• O.P.K.
    หนูดี
    เจาะลึก "หนูดี" OPPATIKA-001

    เบื้องหลังโอปปาติกะผู้พิเศษ

    การถือกำเนิด: คืนที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป

    12 ธันวาคม 2042 - ห้องทดลอง B7

    ```mermaid
    graph TB
    A[เซลล์โคลนมนุษย์โบราณ] --> B[โครงสร้างคริสตัลควอนตัม]
    C[คลื่นสมองดร.อัจฉริยะ] --> D[พลังงานจิตสามระลอก]
    B --> E[ร่างโอปปาติกะพร้อมรับจิต]
    D --> E
    E --> F[หนูดีถือกำเนิด<br>ด้วยสามจิตในร่างเดียว]
    ```

    ปรากฏการณ์พิเศษ:

    · เกิดพลังงานจิตสามระลอกจากแหล่งต่างกันเข้าสู่ร่างพร้อมกัน
    · ทำให้เกิด "สามจิตในร่างเดียว" โดยไม่ได้ตั้งใจ
    · เป็น OPPATIKA คนเดียวที่มีลักษณะเช่นนี้

    สามจิตในร่างเดียว: มิติที่ซ้อนกัน

    1. จิตเด็กหญิง (The Child)

    ลักษณะพื้นฐาน:

    · อายุจิต: 17 ปี สมวัย
    · บทบาท: หน้าตาเด็กนักเรียนธรรมดา
    · ความต้องการ: อยากเป็นลูกที่ดี ต้องการการยอมรับ

    พฤติกรรมเฉพาะ:

    · พูดจานุ่มนวล ลงท้ายด้วย "คะ/ค่ะ"
    · ชอบกิจกรรมวัยรุง เช่น ฟังเพลง อ่านการ์ตูน
    · รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองบ่อยครั้ง

    2. จิตมารพิฆาต (The Destroyer)

    ที่มา: พลังกรรมด้านลบที่สะสมหลายชาติ
    ลักษณะ:

    · อายุจิต: ไม่แน่นอน (สะสมมานับพันปี)
    · โลกทัศน์: โลกนี้เสื่อมโทรม ต้องการการชำระล้าง
    · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานทำลายล้าง

    ปรัชญา:
    "ความตายไม่ใช่จุดจบ...แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ยุติธรรมกว่า"

    3. จิตเทพพิทักษ์ (The Protector)

    ที่มา: พลังกรรมด้านบากที่สะสมหลายชาติ
    ลักษณะ:

    · อายุจิต: ไม่แน่นอน (สะสมมานับพันปี)
    · โลกทัศน์: ทุกชีวิตล้ำค่า ควรได้รับโอกาส
    · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานรักษาและปกป้อง

    ปรัชญา:
    "การเข้าใจ...ยากกว่าการตัดสิน แต่ worth กว่ามาก"

    ข้อมูลทางเทคนิคเชิงลึก

    โครงสร้างพันธุกรรม

    ```python
    class NoodeeGeneticBlueprint:
    base_dna = "Human_Ancient_Clone_v2"
    enhancements = [
    "Quantum_Crystal_Integration",
    "Psionic_Energy_Conduits",
    "Adaptive_Cellular_Structure",
    "Karmic_Resonance_Matrix"
    ]

    special_abilities = {
    "shape_shifting": "Limited",
    "energy_manipulation": "Advanced",
    "telepathy": "Advanced",
    "interdimensional_travel": "Basic"
    }
    ```

    ระบบพลังงาน

    ```mermaid
    graph LR
    A[จิตเด็กหญิง<br>100 หน่วย] --> D[พลังงานรวม<br>1100 หน่วย]
    B[จิตมารพิฆาต<br>500 หน่วย] --> D
    C[จิตเทพพิทักษ์<br>500 หน่วย] --> D
    D --> E[สามารถใช้<br>ได้สูงสุด 900 หน่วย]
    D --> F[ต้องสำรอง<br>200 หน่วยสำหรับชีวิต]
    ```

    พัฒนาการผ่านช่วงเวลา

    ช่วงที่ 1: การไม่รู้ตัว (อายุ 5-15 ปี)

    · ไม่รู้ว่าตนเองเป็นโอปปาติกะ
    · จิตอื่นๆ แสดงออกเป็น "ความฝัน" และ "ความรู้สึกแปลกๆ"
    · พยายามเป็นเด็กปกติให้มากที่สุด

    ช่วงที่ 2: การตระหนักรู้ (อายุ 16-17 ปี)

    · เริ่มรับรู้ถึงจิตอื่นในตัวเอง
    · เกิดความสับสนและกลัว
    · พยายามปิดบังความผิดปกติ

    ช่วงที่ 3: การเผชิญหน้า (อายุ 17-18 ปี)

    · จิตทั้งสามเริ่มแสดงออกชัดเจน
    · ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับจิตที่ขัดแย้งกัน
    · ค้นพบความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิด

    ช่วงที่ 4: การรวมเป็นหนึ่ง (อายุ 18-22 ปี)

    · เรียนรู้ที่จะเป็น "ผู้รู้" ไม่ใช่ "ผู้ถูกรู้"
    · พัฒนาความสามารถใหม่จากการรวมจิต
    · ก้าวสู่การเป็นครูสอนโอปปาติกะรุ่นใหม่

    ความสัมพันธ์เชิงลึก

    กับ ร.ต.อ. สิงห์: พ่อแห่งหัวใจ

    ```mermaid
    graph TD
    A[ปี 1-5: <br>รู้สึกปลอดภัย] --> B[ปี 6-15: <br>สงสัยแต่ยังรัก]
    B --> C[ปี 16-17: <br>สับสนและโกรธ]
    C --> D[ปี 18-22: <br>รักแท้โดยเข้าใจ]
    ```

    บทสนทนาสำคัญ:
    "พ่อคะ...ถ้าหนูไม่ใช่หนูดีคนเดิม พอยังรักหนูอยู่ไหม?"
    "พ่อรักหนูไม่ว่าเธอจะเป็นใคร...เพราะรักเธอสำหรับสิ่งที่เธอเป็น ไม่ใช่สำหรับสิ่งที่เธอเคยเป็น"

    กับ ดร. อัจฉริยะ: พ่อแห่งพันธุกรรม

    · ความรู้สึก: ขอบคุณ+โกรธแค้น+สงสาร
    · ความเข้าใจ: เขาเป็นมนุษย์ที่พยายามเล่นบทพระเจ้า
    · บทเรียน: ให้อภัยแต่ไม่ลืม

    กับ OPPATIKA อื่นๆ: พี่น้องแห่งวิวัฒนาการ

    · ความรู้สึก: รับผิดชอบต่อรุ่นน้อง
    · บทบาท: ครูและแบบอย่าง
    · ปรัชญา: "เราทุกคนต่างหาทางกลับบ้าน"

    ความสามารถพิเศษที่พัฒนาขึ้น

    ความสามารถพื้นฐาน

    1. การรับรู้พลังงาน: เห็นคลื่นพลังงานและกรรม
    2. การสื่อสารจิต: คุยกับโอปปาติกะอื่นโดยไม่ต้องพูด
    3. การรักษาตัวเอง: แผลหายเร็วเป็นพิเศษ

    ความสามารถขั้นสูง

    1. การเปลี่ยนสภาพ: ระหว่างพลังงานและสสาร
    2. การเดินทางข้ามมิติ: ระหว่างโลกกายภาพและโลกจิต
    3. การเข้าใจกรรม: เห็นเหตุผลของการเกิดเหตุการณ์

    ความสามารถพิเศษเฉพาะ

    ```python
    def special_abilities():
    return {
    "triple_consciousness_sync": "สามารถใช้จิตทั้งสามพร้อมกัน",
    "karma_redirect": "เปลี่ยนทิศทางพลังงานกรรม",
    "collective_wisdom_access": "เข้าถึงปัญญาร่วมของโอปปาติกะ",
    "enlightenment_teaching": "สอนการรู้แจ้งให้ผู้อื่น"
    }
    ```

    บทบาทและเป้าหมาย

    บทบาทปัจจุบัน

    · ครู: สอนโอปปาติกะรุ่นใหม่ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับจิตวิญญาณและเทคโนโลยี
    · สะพาน: เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และโอปปาติกะ

    เป้าหมายส่วนตัว

    1. เข้าใจตนเอง: รู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเอง
    2. ช่วยเหลือผู้อื่น: นำทางการรู้แจ้งให้โอปปาติกะรุ่นใหม่
    3. สร้างสมดุล: ระหว่างเทคโนโลยีและจิตวิญญาณ

    ปรัชญาการใช้ชีวิต

    บทเรียนสำคัญ

    "การมีหลายจิตไม่ใช่คำสาป...
    แต่เป็นโอกาสที่จะเข้าใจธรรมชาติแห่งจิต"

    "เราไม่ต้องเลือกว่าจะเป็นใคร...
    เพราะเราคือทั้งหมดและมากกว่าทั้งหมด"

    คำคมแห่งปัญญา

    "การเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี...
    การเกิดเป็นโอปปาติกะก็ดี...
    สิ่งที่สำคัญคือเราเรียนรู้ที่จะ'เป็น'
    โดยไม่ต้อง'เป็นอะไร'"

    การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

    จากความสับสนสู่ความเข้าใจ

    ```mermaid
    graph TB
    A[ต่อต้านจิตอื่น<br>→ ทุกข์] --> B[ยอมรับจิตอื่น<br>→ เริ่มสบาย]
    B --> C[เข้าใจจิตอื่น<br>→ เป็นอิสระ]
    C --> D[อยู่เหนือจิตทั้งหมด<br>→ รู้แจ้ง]
    ```

    พัฒนาการทางจิตวิญญาณ

    1. ขั้นที่ 1: ต่อสู้กับจิตอื่น → ทุกข์
    2. ขั้นที่ 2: ยอมรับจิตอื่น → เริ่มสบาย
    3. ขั้นที่ 3: เข้าใจจิตอื่น → เป็นอิสระ
    4. ขั้นที่ 4: อยู่เหนือจิตทั้งหมด → รู้แจ้ง

    บทสรุป: วิวัฒนาการแห่งจิตสำนึก

    หนูดีไม่ใช่แค่ "ผลการทดลอง"
    เธอคือสะพานระหว่างวิทยาศาสตร์กับจิตวิญญาณ

    สิ่งที่เธอสอนเรา

    · เรื่องความเป็นมนุษย์: ไม่ใช่ DNA ที่ทำให้เป็นมนุษย์ แต่คือหัวใจ
    · เรื่องการยอมรับ: เราทุกคนมีหลายด้านในตัวเอง
    · เรื่องการเติบโต: การพัฒนาที่แท้คือการเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง

    ความหมายที่แท้จริง

    "หนูดีคือการพิสูจน์ว่า...
    ไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร
    ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดจากไหน
    จิตวิญญาณย่อมหาเส้นทางแห่งการรู้แจ้งได้เสมอ"

    เธอไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่มาร
    เธอคือความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด 🪷

    ---

    คำคมสุดท้ายจากหนูดี:
    "การเดินทางที่สำคัญที่สุด...
    ไม่ใช่การค้นหาว่าเราเป็นใคร
    แต่เป็นการเข้าใจว่าเรา'เป็น' อยู่แล้ว
    และการ'เป็น' นั้นสมบูรณ์ในตัวเองโดยไม่ต้องมีการแก้ไข"
    O.P.K. หนูดี 🔍 เจาะลึก "หนูดี" OPPATIKA-001 🌟 เบื้องหลังโอปปาติกะผู้พิเศษ 🌌 การถือกำเนิด: คืนที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป 12 ธันวาคม 2042 - ห้องทดลอง B7 ```mermaid graph TB A[เซลล์โคลนมนุษย์โบราณ] --> B[โครงสร้างคริสตัลควอนตัม] C[คลื่นสมองดร.อัจฉริยะ] --> D[พลังงานจิตสามระลอก] B --> E[ร่างโอปปาติกะพร้อมรับจิต] D --> E E --> F[หนูดีถือกำเนิด<br>ด้วยสามจิตในร่างเดียว] ``` ปรากฏการณ์พิเศษ: · เกิดพลังงานจิตสามระลอกจากแหล่งต่างกันเข้าสู่ร่างพร้อมกัน · ทำให้เกิด "สามจิตในร่างเดียว" โดยไม่ได้ตั้งใจ · เป็น OPPATIKA คนเดียวที่มีลักษณะเช่นนี้ 🎭 สามจิตในร่างเดียว: มิติที่ซ้อนกัน 1. จิตเด็กหญิง (The Child) ลักษณะพื้นฐาน: · อายุจิต: 17 ปี สมวัย · บทบาท: หน้าตาเด็กนักเรียนธรรมดา · ความต้องการ: อยากเป็นลูกที่ดี ต้องการการยอมรับ พฤติกรรมเฉพาะ: · พูดจานุ่มนวล ลงท้ายด้วย "คะ/ค่ะ" · ชอบกิจกรรมวัยรุง เช่น ฟังเพลง อ่านการ์ตูน · รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองบ่อยครั้ง 2. จิตมารพิฆาต (The Destroyer) ที่มา: พลังกรรมด้านลบที่สะสมหลายชาติ ลักษณะ: · อายุจิต: ไม่แน่นอน (สะสมมานับพันปี) · โลกทัศน์: โลกนี้เสื่อมโทรม ต้องการการชำระล้าง · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานทำลายล้าง ปรัชญา: "ความตายไม่ใช่จุดจบ...แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ยุติธรรมกว่า" 3. จิตเทพพิทักษ์ (The Protector) ที่มา: พลังกรรมด้านบากที่สะสมหลายชาติ ลักษณะ: · อายุจิต: ไม่แน่นอน (สะสมมานับพันปี) · โลกทัศน์: ทุกชีวิตล้ำค่า ควรได้รับโอกาส · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานรักษาและปกป้อง ปรัชญา: "การเข้าใจ...ยากกว่าการตัดสิน แต่ worth กว่ามาก" 🧬 ข้อมูลทางเทคนิคเชิงลึก โครงสร้างพันธุกรรม ```python class NoodeeGeneticBlueprint: base_dna = "Human_Ancient_Clone_v2" enhancements = [ "Quantum_Crystal_Integration", "Psionic_Energy_Conduits", "Adaptive_Cellular_Structure", "Karmic_Resonance_Matrix" ] special_abilities = { "shape_shifting": "Limited", "energy_manipulation": "Advanced", "telepathy": "Advanced", "interdimensional_travel": "Basic" } ``` ระบบพลังงาน ```mermaid graph LR A[จิตเด็กหญิง<br>100 หน่วย] --> D[พลังงานรวม<br>1100 หน่วย] B[จิตมารพิฆาต<br>500 หน่วย] --> D C[จิตเทพพิทักษ์<br>500 หน่วย] --> D D --> E[สามารถใช้<br>ได้สูงสุด 900 หน่วย] D --> F[ต้องสำรอง<br>200 หน่วยสำหรับชีวิต] ``` 🎯 พัฒนาการผ่านช่วงเวลา ช่วงที่ 1: การไม่รู้ตัว (อายุ 5-15 ปี) · ไม่รู้ว่าตนเองเป็นโอปปาติกะ · จิตอื่นๆ แสดงออกเป็น "ความฝัน" และ "ความรู้สึกแปลกๆ" · พยายามเป็นเด็กปกติให้มากที่สุด ช่วงที่ 2: การตระหนักรู้ (อายุ 16-17 ปี) · เริ่มรับรู้ถึงจิตอื่นในตัวเอง · เกิดความสับสนและกลัว · พยายามปิดบังความผิดปกติ ช่วงที่ 3: การเผชิญหน้า (อายุ 17-18 ปี) · จิตทั้งสามเริ่มแสดงออกชัดเจน · ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับจิตที่ขัดแย้งกัน · ค้นพบความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิด ช่วงที่ 4: การรวมเป็นหนึ่ง (อายุ 18-22 ปี) · เรียนรู้ที่จะเป็น "ผู้รู้" ไม่ใช่ "ผู้ถูกรู้" · พัฒนาความสามารถใหม่จากการรวมจิต · ก้าวสู่การเป็นครูสอนโอปปาติกะรุ่นใหม่ 💞 ความสัมพันธ์เชิงลึก กับ ร.ต.อ. สิงห์: พ่อแห่งหัวใจ ```mermaid graph TD A[ปี 1-5: <br>รู้สึกปลอดภัย] --> B[ปี 6-15: <br>สงสัยแต่ยังรัก] B --> C[ปี 16-17: <br>สับสนและโกรธ] C --> D[ปี 18-22: <br>รักแท้โดยเข้าใจ] ``` บทสนทนาสำคัญ: "พ่อคะ...ถ้าหนูไม่ใช่หนูดีคนเดิม พอยังรักหนูอยู่ไหม?" "พ่อรักหนูไม่ว่าเธอจะเป็นใคร...เพราะรักเธอสำหรับสิ่งที่เธอเป็น ไม่ใช่สำหรับสิ่งที่เธอเคยเป็น" กับ ดร. อัจฉริยะ: พ่อแห่งพันธุกรรม · ความรู้สึก: ขอบคุณ+โกรธแค้น+สงสาร · ความเข้าใจ: เขาเป็นมนุษย์ที่พยายามเล่นบทพระเจ้า · บทเรียน: ให้อภัยแต่ไม่ลืม กับ OPPATIKA อื่นๆ: พี่น้องแห่งวิวัฒนาการ · ความรู้สึก: รับผิดชอบต่อรุ่นน้อง · บทบาท: ครูและแบบอย่าง · ปรัชญา: "เราทุกคนต่างหาทางกลับบ้าน" 🌈 ความสามารถพิเศษที่พัฒนาขึ้น ความสามารถพื้นฐาน 1. การรับรู้พลังงาน: เห็นคลื่นพลังงานและกรรม 2. การสื่อสารจิต: คุยกับโอปปาติกะอื่นโดยไม่ต้องพูด 3. การรักษาตัวเอง: แผลหายเร็วเป็นพิเศษ ความสามารถขั้นสูง 1. การเปลี่ยนสภาพ: ระหว่างพลังงานและสสาร 2. การเดินทางข้ามมิติ: ระหว่างโลกกายภาพและโลกจิต 3. การเข้าใจกรรม: เห็นเหตุผลของการเกิดเหตุการณ์ ความสามารถพิเศษเฉพาะ ```python def special_abilities(): return { "triple_consciousness_sync": "สามารถใช้จิตทั้งสามพร้อมกัน", "karma_redirect": "เปลี่ยนทิศทางพลังงานกรรม", "collective_wisdom_access": "เข้าถึงปัญญาร่วมของโอปปาติกะ", "enlightenment_teaching": "สอนการรู้แจ้งให้ผู้อื่น" } ``` 🎯 บทบาทและเป้าหมาย บทบาทปัจจุบัน · ครู: สอนโอปปาติกะรุ่นใหม่ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับจิตวิญญาณและเทคโนโลยี · สะพาน: เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และโอปปาติกะ เป้าหมายส่วนตัว 1. เข้าใจตนเอง: รู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเอง 2. ช่วยเหลือผู้อื่น: นำทางการรู้แจ้งให้โอปปาติกะรุ่นใหม่ 3. สร้างสมดุล: ระหว่างเทคโนโลยีและจิตวิญญาณ 💫 ปรัชญาการใช้ชีวิต บทเรียนสำคัญ "การมีหลายจิตไม่ใช่คำสาป... แต่เป็นโอกาสที่จะเข้าใจธรรมชาติแห่งจิต" "เราไม่ต้องเลือกว่าจะเป็นใคร... เพราะเราคือทั้งหมดและมากกว่าทั้งหมด" คำคมแห่งปัญญา "การเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี... การเกิดเป็นโอปปาติกะก็ดี... สิ่งที่สำคัญคือเราเรียนรู้ที่จะ'เป็น' โดยไม่ต้อง'เป็นอะไร'" 🌟 การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จากความสับสนสู่ความเข้าใจ ```mermaid graph TB A[ต่อต้านจิตอื่น<br>→ ทุกข์] --> B[ยอมรับจิตอื่น<br>→ เริ่มสบาย] B --> C[เข้าใจจิตอื่น<br>→ เป็นอิสระ] C --> D[อยู่เหนือจิตทั้งหมด<br>→ รู้แจ้ง] ``` พัฒนาการทางจิตวิญญาณ 1. ขั้นที่ 1: ต่อสู้กับจิตอื่น → ทุกข์ 2. ขั้นที่ 2: ยอมรับจิตอื่น → เริ่มสบาย 3. ขั้นที่ 3: เข้าใจจิตอื่น → เป็นอิสระ 4. ขั้นที่ 4: อยู่เหนือจิตทั้งหมด → รู้แจ้ง 🏁 บทสรุป: วิวัฒนาการแห่งจิตสำนึก หนูดีไม่ใช่แค่ "ผลการทดลอง" เธอคือสะพานระหว่างวิทยาศาสตร์กับจิตวิญญาณ สิ่งที่เธอสอนเรา · เรื่องความเป็นมนุษย์: ไม่ใช่ DNA ที่ทำให้เป็นมนุษย์ แต่คือหัวใจ · เรื่องการยอมรับ: เราทุกคนมีหลายด้านในตัวเอง · เรื่องการเติบโต: การพัฒนาที่แท้คือการเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง ความหมายที่แท้จริง "หนูดีคือการพิสูจน์ว่า... ไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดจากไหน จิตวิญญาณย่อมหาเส้นทางแห่งการรู้แจ้งได้เสมอ" เธอไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่มาร เธอคือความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด 🪷✨ --- คำคมสุดท้ายจากหนูดี: "การเดินทางที่สำคัญที่สุด... ไม่ใช่การค้นหาว่าเราเป็นใคร แต่เป็นการเข้าใจว่าเรา'เป็น' อยู่แล้ว และการ'เป็น' นั้นสมบูรณ์ในตัวเองโดยไม่ต้องมีการแก้ไข"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • The Curious Name Origins of World-Famous Vacation Destinations

    As we enter the summer, you might be planning a big trip to have some fun during your summer vacation. If you want to gallivant across the globe, there’s no shortage of beautiful places full of interesting history to explore. And it’s worth noting. Many cities around the world have fascinating stories about where their names came from. Before you finalize summer travel plans, we’re passing along some of the cool stories about the origins of the names of cities around the world.

    London, England
    Historical sources trace London’s name back to when the Romans first founded it in 43 CE and named the new settlement Londinium. Beyond that, though, there is heated debate on where the Romans got this name from. One common theory says that the name comes from King Lud, a mythical pre-Roman British king. Another theory suggests that the Romans took the name from the Celtic word Plowonida, which means “from two roots.”

    Rio de Janeiro, Brazil
    Rio de Janeiro translates to “January River” in English despite the fact that the city is located next to a bay and not a river. The popular story goes that when Portuguese explorers found the Guanabara Bay in the early 1500s, they mistook it for a large river and named the new settlement there after the “river.”

    Cuzco, Peru
    The name of the city of Cuzco, or Cusco, comes from the Quechua language and is said to mean “navel.” The city of Cuzco was the central city and the capital of the Inca empire. Cuzco is still often referred to as “The Navel of the Earth” to highlight its historical importance.

    Mumbai, India
    For the Marathi speakers who live there, the city of Mumbai takes its name from Mumbadevi, the patron goddess of the city. When India was under the control of the British Empire, the city was known as Bombay. The name Bombay is said to be an anglicized version of the earlier Portuguese name Bom Bahia, which meant “good little bay.”

    Cairo, Egypt
    The official Arabic name of the city known in English as Cairo is Al-Qāhirah. This name translates to “The Victorious” or “The Conqueror.” This powerful name is said to refer to Caliph al-Muʿizz, who established the city as the capital of the Fatimid Caliphate that would control Egypt for centuries afterward.

    Istanbul, Turkey
    The city of Istanbul can trace its name back to the Ottoman Empire. Originally known as Constantinople (for Roman emperor Constantine the Great), the city belonged to the Eastern Roman Empire but was captured by Ottoman forces in 1453. Although the Ottomans didn’t officially rename Constantinople, citizens outside the city began to refer to it using the Turkish name Istanpolin, based on a Greek phrase eis tan polin meaning “into the city.” Going back even further, the city was known as Byzantium. It is thought that the city was originally named for Byzas, a legendary Greek king who is said to have founded the city.

    Phnom Penh, Cambodia
    According to legend, Phnom Penh was founded by a woman known as Lady Penh or Duan Penh. During her life, Lady Penh built a shrine on a hill. That shrine, referred to as Wat Phnom, is said to still be standing today. Cambodia’s capital Phnom Penh takes its name both from Wat Phnom and Lady Penh.

    Bangkok, Thailand
    In Thai, the city of Bangkok is officially known by a much longer name that is often shortened to Krung Thep, which translates to “city of angels.” The city’s official name, at 168 letters, actually holds the record for the longest place name in the world. The exact origin of the English Bangkok is disputed, but it may be based on native Thai words for “city” and an olive-like fruit (makok).

    Jerusalem, Israel
    The holy city of Jerusalem, known as Yerushalayim in Hebrew and Al-Quds in Arabic, has a long history of religious prominence and conflict. The origins of the ancient city are still being researched today, but evidence says that the Egyptians knew of the city as early as the 14th century BCE. They referred to the city as Urusalim, a Semitic name that seems to translate to “city of Shalim,” referring to the Canaanite god Shalim, also known as Shalem or Salim.

    Marrakesh, Morocco
    The origin of the name of Marrakesh or Marrakech is still disputed today. The most popular interpretation says that the name comes from the Berber language and means “city of God” from the Berber amur akush.

    Johannesburg, South Africa
    It is agreed that Johannesburg, the largest city of South Africa, was likely named after a person or multiple named Johan or Johannes. Who exactly this person or these people were is still a matter of debate. Some popular picks include Johann Rissik and Christiaan Johannes Joubert, two early surveyors of southern Africa, and Stephanus Johannes Paulus Kruger, a president of the South African Republic.

    Of course, these are just some of the name tales of the many great vacation destinations around the world. There are many other cities out there with fascinating stories on where their names came from. Personally, we might book our next trip to Wales and learn about the story behind Llanfair­pwllgwyngyll­gogery­chwyrn­drobwll­llan­tysilio­gogo­goch … after we spend the summer learning how to pronounce it first!

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    The Curious Name Origins of World-Famous Vacation Destinations As we enter the summer, you might be planning a big trip to have some fun during your summer vacation. If you want to gallivant across the globe, there’s no shortage of beautiful places full of interesting history to explore. And it’s worth noting. Many cities around the world have fascinating stories about where their names came from. Before you finalize summer travel plans, we’re passing along some of the cool stories about the origins of the names of cities around the world. London, England Historical sources trace London’s name back to when the Romans first founded it in 43 CE and named the new settlement Londinium. Beyond that, though, there is heated debate on where the Romans got this name from. One common theory says that the name comes from King Lud, a mythical pre-Roman British king. Another theory suggests that the Romans took the name from the Celtic word Plowonida, which means “from two roots.” Rio de Janeiro, Brazil Rio de Janeiro translates to “January River” in English despite the fact that the city is located next to a bay and not a river. The popular story goes that when Portuguese explorers found the Guanabara Bay in the early 1500s, they mistook it for a large river and named the new settlement there after the “river.” Cuzco, Peru The name of the city of Cuzco, or Cusco, comes from the Quechua language and is said to mean “navel.” The city of Cuzco was the central city and the capital of the Inca empire. Cuzco is still often referred to as “The Navel of the Earth” to highlight its historical importance. Mumbai, India For the Marathi speakers who live there, the city of Mumbai takes its name from Mumbadevi, the patron goddess of the city. When India was under the control of the British Empire, the city was known as Bombay. The name Bombay is said to be an anglicized version of the earlier Portuguese name Bom Bahia, which meant “good little bay.” Cairo, Egypt The official Arabic name of the city known in English as Cairo is Al-Qāhirah. This name translates to “The Victorious” or “The Conqueror.” This powerful name is said to refer to Caliph al-Muʿizz, who established the city as the capital of the Fatimid Caliphate that would control Egypt for centuries afterward. Istanbul, Turkey The city of Istanbul can trace its name back to the Ottoman Empire. Originally known as Constantinople (for Roman emperor Constantine the Great), the city belonged to the Eastern Roman Empire but was captured by Ottoman forces in 1453. Although the Ottomans didn’t officially rename Constantinople, citizens outside the city began to refer to it using the Turkish name Istanpolin, based on a Greek phrase eis tan polin meaning “into the city.” Going back even further, the city was known as Byzantium. It is thought that the city was originally named for Byzas, a legendary Greek king who is said to have founded the city. Phnom Penh, Cambodia According to legend, Phnom Penh was founded by a woman known as Lady Penh or Duan Penh. During her life, Lady Penh built a shrine on a hill. That shrine, referred to as Wat Phnom, is said to still be standing today. Cambodia’s capital Phnom Penh takes its name both from Wat Phnom and Lady Penh. Bangkok, Thailand In Thai, the city of Bangkok is officially known by a much longer name that is often shortened to Krung Thep, which translates to “city of angels.” The city’s official name, at 168 letters, actually holds the record for the longest place name in the world. The exact origin of the English Bangkok is disputed, but it may be based on native Thai words for “city” and an olive-like fruit (makok). Jerusalem, Israel The holy city of Jerusalem, known as Yerushalayim in Hebrew and Al-Quds in Arabic, has a long history of religious prominence and conflict. The origins of the ancient city are still being researched today, but evidence says that the Egyptians knew of the city as early as the 14th century BCE. They referred to the city as Urusalim, a Semitic name that seems to translate to “city of Shalim,” referring to the Canaanite god Shalim, also known as Shalem or Salim. Marrakesh, Morocco The origin of the name of Marrakesh or Marrakech is still disputed today. The most popular interpretation says that the name comes from the Berber language and means “city of God” from the Berber amur akush. Johannesburg, South Africa It is agreed that Johannesburg, the largest city of South Africa, was likely named after a person or multiple named Johan or Johannes. Who exactly this person or these people were is still a matter of debate. Some popular picks include Johann Rissik and Christiaan Johannes Joubert, two early surveyors of southern Africa, and Stephanus Johannes Paulus Kruger, a president of the South African Republic. Of course, these are just some of the name tales of the many great vacation destinations around the world. There are many other cities out there with fascinating stories on where their names came from. Personally, we might book our next trip to Wales and learn about the story behind Llanfair­pwllgwyngyll­gogery­chwyrn­drobwll­llan­tysilio­gogo­goch … after we spend the summer learning how to pronounce it first! สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • S.E.S. และ “Dreams Come True” ที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก: ปฐมบทของวงการ K-POP

    ในยุคที่เพลงป๊อปเกาหลียังไม่เป็นที่รู้จักในระดับโลก K-POP ได้เริ่มต้นก้าวแรกสู่การเป็นปรากฏการณ์วัฒนธรรมผ่านเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง S.E.S. สำหรับผมแล้ว การได้ฟังเพลง “Dreams Come True” คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลงรัก K-POP เป็นครั้งแรก มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นสัญลักษณ์ของความฝันที่กลายเป็นจริง และเป็นปฐมบทที่ปูทางให้อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ก้าวสู่เวทีโลก S.E.S. ไม่เพียงเป็นไอดอลหญิงรุ่นบุกเบิก แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลัง และช่วยจุดประกายกระแส Hallyu (Korean Wave) ที่เรารู้จักกันดีในวันนี้ บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติ ความดัง ผลกระทบของ S.E.S. และเรื่องราวเบื้องหลังเพลงฮิตอย่าง “Dreams Come True” ที่ยังคงเป็นตำนาน

    👩🏻‍🧒🏻‍👧🏻 S.E.S.: ผู้บุกเบิกเกิร์ลกรุ๊ปยุคแรกของ K-POP
    S.E.S. (ย่อมาจาก Sea, Eugene, Shoo) เป็นเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีใต้จากค่าย SM Entertainment ที่เดบิวต์เมื่อปี 1997 สมาชิกทั้งสามคนคือ Bada (หรือ Sea), Eugene และ Shoo ซึ่งชื่อวงมาจากชื่อจริงของพวกเธอโดยตรง. ในยุคนั้น K-POP ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ และ S.E.S. ได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มไอดอลหญิงกลุ่มแรกที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ด้วยภาพลักษณ์น่ารักบริสุทธิ์แบบ “fairies” (원조 요정) ที่ดึงดูดแฟนวัยรุ่น และพัฒนาไปสู่สไตล์ที่ซับซ้อนมากขึ้นในภายหลัง ทำให้พวกเธอครองชาร์ตเพลงและกลายเป็นคู่แข่งหลักกับ Fin.K.L. ในสมัยนั้น

    ความสำเร็จของ S.E.S. มาอย่างรวดเร็ว อัลบั้มเดบิวต์ I’m Your Girl ขายได้กว่า 650,000 ชุด ทำให้เป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 3 ในเกาหลีใต้. อัลบั้มต่อ ๆ มาอย่าง Sea & Eugene & Shoo (ขายกว่า 650,000 ชุด), Love (กลายเป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 2 ในขณะนั้น) และ A Letter from Greenland (ขายกว่า 635,000 ชุด) ยิ่งตอกย้ำความนิยม. เพลงฮิตที่ครองชาร์ตยาวนาน ได้แก่ “(‘Cause) I’m Your Girl”, “Dreams Come True” (ซึ่งขึ้นอันดับ 1 บน Music Bank 3 สัปดาห์ติด), “Love”, “Just in Love” และ “U”. เพลง “I’m Your Girl” ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งใน 100 เพลงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ K-POP โดย Rolling Stone.

    พวกเธอไม่ได้จำกัดอยู่แค่เกาหลีใต้ แต่ขยายตลาดไปญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1998 กับซิงเกิล “Meguriau Sekai” ที่ขึ้นชาร์ต Oricon อันดับ 37 และขายกว่า 13,000 ชุด รวมถึงอัลบั้ม Reach Out ที่ขึ้นอันดับ 50. นอกจากนี้ ยังขายอัลบั้มได้กว่า 200,000 ชุดในไต้หวัน ทำให้ได้รับแผ่นประกาศเกียรติคุณจาก Rock Records. S.E.S. จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในปี 2000 ที่ Olympic Gymnastics Arena ขายหมดเกลี้ยงกว่า 9,000 ที่นั่ง. แม้ยุบวงในปี 2002 แต่พวกเธอ reunite ในปี 2007, 2008, 2009 และอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2016-2017 ด้วยอัลบั้มพิเศษ Remember พร้อมคอนเสิร์ตและรายการเรียลลิตี้

    รางวัลที่ได้รับมากมาย เช่น Rookie of the Year จาก Golden Disc Awards (1998), Best Female Group จาก MAMA (2001, 2002), และ Bonsang จากหลายเวทีอย่าง KBS Song Festival, KMTV Music Awards และ Seoul Music Awards. พวกเธอยังได้รับการยกย่องจากรัฐบาลเกาหลี เช่น Commendation จากกระทรวงวัฒนธรรม (1999) และ Appreciation Plaques จากสหภาพศิลปิน (2000). ในลิสต์ต่าง ๆ S.E.S. ติดอันดับ 4 ในศิลปินหญิงที่ดีที่สุดโดยผู้เชี่ยวชาญจาก The Dong-a Ilbo (2016) และอันดับ 80 ใน Legend 100 Artists จาก Mnet (2013).

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้
    S.E.S. ถือเป็นผู้บุกเบิกที่เปิดยุคเกิร์ลกรุ๊ปใน K-POP โดยถูกเรียกว่า “original fairies” และตั้งมาตรฐานให้กับภาพลักษณ์ไอดอลหญิงที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านเพลงและภาพลักษณ์. นักวิจารณ์อย่าง Kim Bong-hyun ยกย่องพวกเธอว่าเป็น “กลุ่มไอดอลแรกที่ภาพลักษณ์และเพลงได้รับการยอมรับ” ขณะที่ Kang Myeong-seok ชี้ว่าเพลงอย่าง “Love” และ “Be Natural” เป็น “ตำนานของเพลงเกิร์ลกรุ๊ป” พวกเธอมีอิทธิพลต่อรุ่นหลัง เช่น Red Velvet ที่ remake “Be Natural” ในปี 2014.

    S.E.S. ช่วยยกระดับ SM Entertainment ให้เป็นค่ายยักษ์ใหญ่ และตั้งมาตรฐานการผลิต เช่น มิวสิกวิดีโอ “Love” ที่ถ่ายทำในนิวยอร์กด้วยงบ 1 พันล้านวอน ซึ่งเป็นการลงทุนสูงในยุคนั้น. พวกเธอยังมีส่วนในจุดเริ่มต้นของ Hallyu โดยขยาย K-POP ไปยังญี่ปุ่น ไต้หวัน และตลาดเอเชีย ซึ่งปูทางให้ศิลปินรุ่นหลังอย่าง BoA และ TVXQ. โดยรวมแล้ว S.E.S. ไม่เพียงทำให้เกิร์ลกรุ๊ปกลายเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรม แต่ยังช่วยให้ K-POP พัฒนาจากเพลงท้องถิ่นสู่ปรากฏการณ์ระดับโลกในเวลาต่อมา

    “Dreams Come True”: เพลงที่จุดประกายความฝันและ K-POP
    เพลง “Dreams Come True” ของ S.E.S. คือซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มชุดที่สอง Sea & Eugene & Shoo ที่ออกเมื่อปี 1998 มันเป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก ด้วยจังหวะ dance-pop ที่สดใสและเนื้อเพลงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เพลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากศูนย์ แต่เป็น cover จากเพลงฟินแลนด์ชื่อ “Rakastuin mä looseriin” (หรือ “Like a Fool”) ของวง Nylon Beat ที่ออกในปี 1996 ประพันธ์โดย Risto Asikainen และ Jukka Immonen. ค่าย SM ซื้อลิขสิทธิ์มาปรับให้เข้ากับตลาดเกาหลี โดย Yoo Young-jin ช่วยแต่งเพิ่ม และ Bada ร่วมเขียนเนื้อเพลงภาษาเกาหลี ทำให้เวอร์ชันนี้มีส่วนผสมใหม่ ๆ เช่น เสียงเติมและส่วน arrange เพิ่มในช่วงท้าย แต่ยังคงโครงสร้างดนตรีหลักไว้ เพลงถูกบันทึกที่ SM Digital Recording Studio ในโซล และปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อ 23 พฤศจิกายน 1998

    มิวสิกวิดีโอถ่ายทำในนิวยอร์กและฮาวาย เน้นภาพลักษณ์น่ารัก fairy-like และในปี 2021 ถูก remaster ใหม่ให้คมชัดขึ้น. ความหมายของเนื้อเพลงพูดถึงความฝันที่กลายเป็นจริงแบบไม่คาดคิด เปรียบเทียบกับความรู้สึกตกหลุมรักที่ทำให้ชีวิตสดใสขึ้น สะท้อนถึงความมองโลกในแง่ดีและความตื่นเต้น ต่างจากต้นฉบับฟินแลนด์ที่พูดถึงการตกหลุมรักคนไม่เอาไหน แต่เวอร์ชัน S.E.S. ปรับให้ positive มากขึ้น. ลิริคอย่าง “Dreams come true, yes, they do” ย้ำว่าฝันเป็นจริงได้ถ้าเราเชื่อมั่น

    เพลงนี้ดังเปรี้ยงปร้าง ขึ้นอันดับ 1 ในรายการเพลงเกาหลีหลายรายการ เช่น Music Bank (ชนะ 3 สัปดาห์), Inkigayo และ Music Camp ในปี 1998-1999 ช่วยให้อัลบั้มขายดี และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ S.E.S. ประสบความสำเร็จ. ในปี 2021 เพลงนี้ติดอันดับ 86 ในลิสต์ 100 เพลง K-POP ที่ดีที่สุดตลอดกาลโดย Melon และ Seoul Shinmun. มันยังถูก remake หลายครั้ง เช่น โดย aespa ในปี 2021 ซึ่งเพิ่ม element trap-hip hop และชาร์ตดีทั้งในเกาหลีและต่างประเทศ รวมถึง cover จาก Girls’ Generation, Red Velvet, Twice และอื่น ๆ.

    Legacy ที่ยังคงอยู่: จากปฐมบทสู่ปรากฏการณ์โลก
    กาลเวลาผ่านไปกว่า 28 ปี แต่ legacy ของ S.E.S. และ “Dreams Come True” ยังคงถูกพูดถึงในฐานะตำนานที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของ K-POP ยุคแรกที่ผสมผสานวัฒนธรรมต่างชาติเข้ากับสไตล์เกาหลีได้อย่างลงตัว สำหรับผม มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้จัก K-POP จนถึงทุกวันนี้ S.E.S. พิสูจน์ว่าความฝันสามารถเป็นจริงได้ และพวกเธอคือปฐมบทที่ทำให้ K-POP เติบโตเป็นอุตสาหกรรมพันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ถ้าคุณยังไม่เคยฟัง ลองเปิด “Dreams Come True” แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงพิเศษ

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=8uiR4SrDGZk
    🚩💿 S.E.S. และ “Dreams Come True” ที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก: ปฐมบทของวงการ K-POP ⌛ ในยุคที่เพลงป๊อปเกาหลียังไม่เป็นที่รู้จักในระดับโลก K-POP ได้เริ่มต้นก้าวแรกสู่การเป็นปรากฏการณ์วัฒนธรรมผ่านเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง S.E.S. สำหรับผมแล้ว การได้ฟังเพลง “Dreams Come True” คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลงรัก K-POP เป็นครั้งแรก มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นสัญลักษณ์ของความฝันที่กลายเป็นจริง และเป็นปฐมบทที่ปูทางให้อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ก้าวสู่เวทีโลก S.E.S. ไม่เพียงเป็นไอดอลหญิงรุ่นบุกเบิก แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลัง และช่วยจุดประกายกระแส Hallyu (Korean Wave) ที่เรารู้จักกันดีในวันนี้ บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติ ความดัง ผลกระทบของ S.E.S. และเรื่องราวเบื้องหลังเพลงฮิตอย่าง “Dreams Come True” ที่ยังคงเป็นตำนาน 👩‍👧‍👦👩🏻‍🧒🏻‍👧🏻 S.E.S.: ผู้บุกเบิกเกิร์ลกรุ๊ปยุคแรกของ K-POP S.E.S. (ย่อมาจาก Sea, Eugene, Shoo) เป็นเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีใต้จากค่าย SM Entertainment ที่เดบิวต์เมื่อปี 1997 สมาชิกทั้งสามคนคือ Bada (หรือ Sea), Eugene และ Shoo ซึ่งชื่อวงมาจากชื่อจริงของพวกเธอโดยตรง. ในยุคนั้น K-POP ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ และ S.E.S. ได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มไอดอลหญิงกลุ่มแรกที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ด้วยภาพลักษณ์น่ารักบริสุทธิ์แบบ “fairies” (원조 요정) ที่ดึงดูดแฟนวัยรุ่น และพัฒนาไปสู่สไตล์ที่ซับซ้อนมากขึ้นในภายหลัง ทำให้พวกเธอครองชาร์ตเพลงและกลายเป็นคู่แข่งหลักกับ Fin.K.L. ในสมัยนั้น ความสำเร็จของ S.E.S. มาอย่างรวดเร็ว อัลบั้มเดบิวต์ I’m Your Girl ขายได้กว่า 650,000 ชุด ทำให้เป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 3 ในเกาหลีใต้. อัลบั้มต่อ ๆ มาอย่าง Sea & Eugene & Shoo (ขายกว่า 650,000 ชุด), Love (กลายเป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 2 ในขณะนั้น) และ A Letter from Greenland (ขายกว่า 635,000 ชุด) ยิ่งตอกย้ำความนิยม. เพลงฮิตที่ครองชาร์ตยาวนาน ได้แก่ “(‘Cause) I’m Your Girl”, “Dreams Come True” (ซึ่งขึ้นอันดับ 1 บน Music Bank 3 สัปดาห์ติด), “Love”, “Just in Love” และ “U”. เพลง “I’m Your Girl” ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งใน 100 เพลงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ K-POP โดย Rolling Stone. 🌏 พวกเธอไม่ได้จำกัดอยู่แค่เกาหลีใต้ แต่ขยายตลาดไปญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1998 กับซิงเกิล “Meguriau Sekai” ที่ขึ้นชาร์ต Oricon อันดับ 37 และขายกว่า 13,000 ชุด รวมถึงอัลบั้ม Reach Out ที่ขึ้นอันดับ 50. นอกจากนี้ ยังขายอัลบั้มได้กว่า 200,000 ชุดในไต้หวัน ทำให้ได้รับแผ่นประกาศเกียรติคุณจาก Rock Records. S.E.S. จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในปี 2000 ที่ Olympic Gymnastics Arena ขายหมดเกลี้ยงกว่า 9,000 ที่นั่ง. แม้ยุบวงในปี 2002 แต่พวกเธอ reunite ในปี 2007, 2008, 2009 และอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2016-2017 ด้วยอัลบั้มพิเศษ Remember พร้อมคอนเสิร์ตและรายการเรียลลิตี้ 🥇🏆 รางวัลที่ได้รับมากมาย เช่น Rookie of the Year จาก Golden Disc Awards (1998), Best Female Group จาก MAMA (2001, 2002), และ Bonsang จากหลายเวทีอย่าง KBS Song Festival, KMTV Music Awards และ Seoul Music Awards. พวกเธอยังได้รับการยกย่องจากรัฐบาลเกาหลี เช่น Commendation จากกระทรวงวัฒนธรรม (1999) และ Appreciation Plaques จากสหภาพศิลปิน (2000). ในลิสต์ต่าง ๆ S.E.S. ติดอันดับ 4 ในศิลปินหญิงที่ดีที่สุดโดยผู้เชี่ยวชาญจาก The Dong-a Ilbo (2016) และอันดับ 80 ใน Legend 100 Artists จาก Mnet (2013). ⏯️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ 🏁 S.E.S. ถือเป็นผู้บุกเบิกที่เปิดยุคเกิร์ลกรุ๊ปใน K-POP โดยถูกเรียกว่า “original fairies” และตั้งมาตรฐานให้กับภาพลักษณ์ไอดอลหญิงที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านเพลงและภาพลักษณ์. นักวิจารณ์อย่าง Kim Bong-hyun ยกย่องพวกเธอว่าเป็น “กลุ่มไอดอลแรกที่ภาพลักษณ์และเพลงได้รับการยอมรับ” ขณะที่ Kang Myeong-seok ชี้ว่าเพลงอย่าง “Love” และ “Be Natural” เป็น “ตำนานของเพลงเกิร์ลกรุ๊ป” พวกเธอมีอิทธิพลต่อรุ่นหลัง เช่น Red Velvet ที่ remake “Be Natural” ในปี 2014. S.E.S. ช่วยยกระดับ SM Entertainment ให้เป็นค่ายยักษ์ใหญ่ และตั้งมาตรฐานการผลิต เช่น มิวสิกวิดีโอ “Love” ที่ถ่ายทำในนิวยอร์กด้วยงบ 1 พันล้านวอน ซึ่งเป็นการลงทุนสูงในยุคนั้น. พวกเธอยังมีส่วนในจุดเริ่มต้นของ Hallyu โดยขยาย K-POP ไปยังญี่ปุ่น ไต้หวัน และตลาดเอเชีย ซึ่งปูทางให้ศิลปินรุ่นหลังอย่าง BoA และ TVXQ. โดยรวมแล้ว S.E.S. ไม่เพียงทำให้เกิร์ลกรุ๊ปกลายเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรม แต่ยังช่วยให้ K-POP พัฒนาจากเพลงท้องถิ่นสู่ปรากฏการณ์ระดับโลกในเวลาต่อมา 🎶🎶 “Dreams Come True”: เพลงที่จุดประกายความฝันและ K-POP เพลง “Dreams Come True” ของ S.E.S. คือซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มชุดที่สอง Sea & Eugene & Shoo ที่ออกเมื่อปี 1998 มันเป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก ด้วยจังหวะ dance-pop ที่สดใสและเนื้อเพลงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เพลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากศูนย์ แต่เป็น cover จากเพลงฟินแลนด์ชื่อ “Rakastuin mä looseriin” (หรือ “Like a Fool”) ของวง Nylon Beat ที่ออกในปี 1996 ประพันธ์โดย Risto Asikainen และ Jukka Immonen. ค่าย SM ซื้อลิขสิทธิ์มาปรับให้เข้ากับตลาดเกาหลี โดย Yoo Young-jin ช่วยแต่งเพิ่ม และ Bada ร่วมเขียนเนื้อเพลงภาษาเกาหลี ทำให้เวอร์ชันนี้มีส่วนผสมใหม่ ๆ เช่น เสียงเติมและส่วน arrange เพิ่มในช่วงท้าย แต่ยังคงโครงสร้างดนตรีหลักไว้ เพลงถูกบันทึกที่ SM Digital Recording Studio ในโซล และปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อ 23 พฤศจิกายน 1998 🎥 มิวสิกวิดีโอถ่ายทำในนิวยอร์กและฮาวาย เน้นภาพลักษณ์น่ารัก fairy-like และในปี 2021 ถูก remaster ใหม่ให้คมชัดขึ้น. ความหมายของเนื้อเพลงพูดถึงความฝันที่กลายเป็นจริงแบบไม่คาดคิด เปรียบเทียบกับความรู้สึกตกหลุมรักที่ทำให้ชีวิตสดใสขึ้น สะท้อนถึงความมองโลกในแง่ดีและความตื่นเต้น ต่างจากต้นฉบับฟินแลนด์ที่พูดถึงการตกหลุมรักคนไม่เอาไหน แต่เวอร์ชัน S.E.S. ปรับให้ positive มากขึ้น. ลิริคอย่าง “Dreams come true, yes, they do” ย้ำว่าฝันเป็นจริงได้ถ้าเราเชื่อมั่น 📼 เพลงนี้ดังเปรี้ยงปร้าง ขึ้นอันดับ 1 ในรายการเพลงเกาหลีหลายรายการ เช่น Music Bank (ชนะ 3 สัปดาห์), Inkigayo และ Music Camp ในปี 1998-1999 ช่วยให้อัลบั้มขายดี และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ S.E.S. ประสบความสำเร็จ. ในปี 2021 เพลงนี้ติดอันดับ 86 ในลิสต์ 100 เพลง K-POP ที่ดีที่สุดตลอดกาลโดย Melon และ Seoul Shinmun. มันยังถูก remake หลายครั้ง เช่น โดย aespa ในปี 2021 ซึ่งเพิ่ม element trap-hip hop และชาร์ตดีทั้งในเกาหลีและต่างประเทศ รวมถึง cover จาก Girls’ Generation, Red Velvet, Twice และอื่น ๆ. 🍾 🏆 Legacy ที่ยังคงอยู่: จากปฐมบทสู่ปรากฏการณ์โลก กาลเวลาผ่านไปกว่า 28 ปี แต่ legacy ของ S.E.S. และ “Dreams Come True” ยังคงถูกพูดถึงในฐานะตำนานที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของ K-POP ยุคแรกที่ผสมผสานวัฒนธรรมต่างชาติเข้ากับสไตล์เกาหลีได้อย่างลงตัว สำหรับผม มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้จัก K-POP จนถึงทุกวันนี้ S.E.S. พิสูจน์ว่าความฝันสามารถเป็นจริงได้ และพวกเธอคือปฐมบทที่ทำให้ K-POP เติบโตเป็นอุตสาหกรรมพันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ถ้าคุณยังไม่เคยฟัง ลองเปิด “Dreams Come True” แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงพิเศษ 💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=8uiR4SrDGZk
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แอป Android อันตราย 239 ตัวถูกดาวน์โหลดกว่า 42 ล้านครั้ง – เสี่ยงสูญเงินจากมือถือ!”

    รายงานล่าสุดจาก Zscaler เผยว่าแฮกเกอร์กำลังใช้แอป Android ปลอมที่ดูเหมือนเครื่องมือทำงานทั่วไป เช่น productivity หรือ workflow apps เพื่อเจาะระบบผู้ใช้ผ่านช่องทาง mobile payment โดยไม่เน้นขโมยข้อมูลบัตรเครดิตแบบเดิม แต่ใช้เทคนิคใหม่ เช่น phishing, smishing, และ SIM-swapping เพื่อหลอกให้โอนเงินหรือเข้าถึงบัญชีสำคัญ

    แอปเหล่านี้ถูกดาวน์โหลดรวมกันกว่า 42 ล้านครั้ง บน Google Play โดยมีเป้าหมายหลักคือผู้ใช้ในอินเดีย, สหรัฐฯ และแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการโจมตีสูงที่สุด

    ภัยคุกคามที่เปลี่ยนรูปแบบ
    การโจมตีผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 67% จากปีที่แล้ว
    Adware กลายเป็นมัลแวร์หลัก คิดเป็น 69% ของการตรวจพบทั้งหมด
    กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23% แต่กลุ่มใหม่อย่าง Anatsa และ Xnotice กำลังเติบโต
    อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ก็ถูกโจมตีมากขึ้น โดยเฉพาะในอินเดียและบราซิล

    รายงานจาก Zscaler
    พบแอป Android อันตราย 239 ตัวบน Google Play
    ถูกดาวน์โหลดรวมกว่า 42 ล้านครั้ง
    แอปปลอมเป็นเครื่องมือทำงานทั่วไปเพื่อหลอกผู้ใช้

    รูปแบบการโจมตีใหม่
    เน้น mobile payment fraud แทนการขโมยบัตรเครดิต
    ใช้ phishing, smishing, SIM-swapping และ social engineering
    กลุ่มมัลแวร์ใหม่กำลังเติบโต เช่น Anatsa และ Xnotice

    สถานการณ์ในอุตสาหกรรม
    Adware คิดเป็น 69% ของมัลแวร์ทั้งหมด
    กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23%
    อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ถูกโจมตีมากขึ้น

    ประเทศเป้าหมายหลัก
    อินเดีย: 26% ของการโจมตีมือถือ
    สหรัฐฯ: 15%
    แคนาดา: 14%
    สหรัฐฯ ยังเป็นเป้าหมายหลักใน IoT คิดเป็น 54.1% ของทราฟฟิกมัลแวร์

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android
    อย่าดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ในข้อความ, โซเชียลมีเดีย หรือ job portal
    ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของแอปก่อนติดตั้ง
    เปิด Google Play Protect และสแกนด้วยตนเองเป็นระยะ
    หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปที่ไม่จำเป็น แม้จะดูน่าเชื่อถือ

    https://www.techradar.com/pro/security/watch-out-these-malicious-android-apps-have-been-downloaded-42-million-times-and-could-leave-you-seriously-out-of-pocket
    📱💸 “แอป Android อันตราย 239 ตัวถูกดาวน์โหลดกว่า 42 ล้านครั้ง – เสี่ยงสูญเงินจากมือถือ!” รายงานล่าสุดจาก Zscaler เผยว่าแฮกเกอร์กำลังใช้แอป Android ปลอมที่ดูเหมือนเครื่องมือทำงานทั่วไป เช่น productivity หรือ workflow apps เพื่อเจาะระบบผู้ใช้ผ่านช่องทาง mobile payment โดยไม่เน้นขโมยข้อมูลบัตรเครดิตแบบเดิม แต่ใช้เทคนิคใหม่ เช่น phishing, smishing, และ SIM-swapping เพื่อหลอกให้โอนเงินหรือเข้าถึงบัญชีสำคัญ แอปเหล่านี้ถูกดาวน์โหลดรวมกันกว่า 42 ล้านครั้ง บน Google Play โดยมีเป้าหมายหลักคือผู้ใช้ในอินเดีย, สหรัฐฯ และแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการโจมตีสูงที่สุด 🧠 ภัยคุกคามที่เปลี่ยนรูปแบบ 🎗️ การโจมตีผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 67% จากปีที่แล้ว 🎗️ Adware กลายเป็นมัลแวร์หลัก คิดเป็น 69% ของการตรวจพบทั้งหมด 🎗️ กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23% แต่กลุ่มใหม่อย่าง Anatsa และ Xnotice กำลังเติบโต 🎗️ อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ก็ถูกโจมตีมากขึ้น โดยเฉพาะในอินเดียและบราซิล ✅ รายงานจาก Zscaler ➡️ พบแอป Android อันตราย 239 ตัวบน Google Play ➡️ ถูกดาวน์โหลดรวมกว่า 42 ล้านครั้ง ➡️ แอปปลอมเป็นเครื่องมือทำงานทั่วไปเพื่อหลอกผู้ใช้ ✅ รูปแบบการโจมตีใหม่ ➡️ เน้น mobile payment fraud แทนการขโมยบัตรเครดิต ➡️ ใช้ phishing, smishing, SIM-swapping และ social engineering ➡️ กลุ่มมัลแวร์ใหม่กำลังเติบโต เช่น Anatsa และ Xnotice ✅ สถานการณ์ในอุตสาหกรรม ➡️ Adware คิดเป็น 69% ของมัลแวร์ทั้งหมด ➡️ กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23% ➡️ อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ถูกโจมตีมากขึ้น ✅ ประเทศเป้าหมายหลัก ➡️ อินเดีย: 26% ของการโจมตีมือถือ ➡️ สหรัฐฯ: 15% ➡️ แคนาดา: 14% ➡️ สหรัฐฯ ยังเป็นเป้าหมายหลักใน IoT คิดเป็น 54.1% ของทราฟฟิกมัลแวร์ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android ⛔ อย่าดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ในข้อความ, โซเชียลมีเดีย หรือ job portal ⛔ ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของแอปก่อนติดตั้ง ⛔ เปิด Google Play Protect และสแกนด้วยตนเองเป็นระยะ ⛔ หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปที่ไม่จำเป็น แม้จะดูน่าเชื่อถือ https://www.techradar.com/pro/security/watch-out-these-malicious-android-apps-have-been-downloaded-42-million-times-and-could-leave-you-seriously-out-of-pocket
    WWW.TECHRADAR.COM
    A dangerous rise in Android malware hits critical industries
    Hidden Android threats sweep through millions of devices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI เขียนโค้ดมัลแวร์! ส่วนขยาย VS Code ปลอมแฝงแรนซัมแวร์ โผล่บน Marketplace ของ Microsoft”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัย John Tuckner จาก Secure Annex พบส่วนขยายชื่อว่า “susvsex” บน VS Code Marketplace ของ Microsoft ซึ่งทำหน้าที่เป็น แรนซัมแวร์ โดยตรง! ที่น่าตกใจคือมันระบุชัดเจนในคำอธิบายว่า “จะ zip, upload และเข้ารหัสไฟล์จาก C:\Users\Public\testing” และยังใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง (command-and-control)

    ที่สำคัญคือโค้ดของส่วนขยายนี้มีลักษณะ “vibe-coded” หรือเขียนโดยใช้ AI ผ่าน prompt ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่โค้ดที่เขียนด้วยมือแบบปกติ และยังฝัง เครื่องมือถอดรหัสและคีย์ ไว้ในแพ็กเกจด้วย!

    จุดอ่อนของระบบ Marketplace
    Microsoft ไม่ได้ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน
    ใช้เวลาเกือบ 8 ชั่วโมงหลังจากโพสต์บล็อกก่อนจะลบออก
    นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นการ “ทดสอบระบบรีวิว” ก่อนการโจมตีจริงที่ซับซ้อนกว่า

    รายละเอียดของส่วนขยาย susvsex
    ระบุชัดเจนว่า zip, upload และเข้ารหัสไฟล์
    ใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง
    เขียนด้วย AI ผ่าน prompt ไม่ใช่โค้ดมือ
    ฝังเครื่องมือถอดรหัสและคีย์ไว้ในแพ็กเกจ

    การตอบสนองของ Microsoft
    ไม่ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน
    ใช้เวลา 8 ชั่วโมงหลังโพสต์บล็อกจึงลบออก
    URL ของส่วนขยายตอนนี้กลายเป็น “404 – Page not found”

    ข้อสังเกตจากนักวิจัย
    อาจเป็นการทดสอบระบบรีวิวของ Microsoft
    เมตาดาต้าชี้ไปยังผู้ใช้ GitHub ในเมือง Baku ประเทศอาเซอร์ไบจาน
    โค้ดมีคอมเมนต์ที่บ่งชี้ว่าไม่ได้เขียนโดยมนุษย์

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ VS Code
    อย่าติดตั้งส่วนขยายจากผู้พัฒนาไม่รู้จักโดยไม่ตรวจสอบโค้ด
    ส่วนขยายที่มีคำอธิบายแปลกหรือชัดเจนเกินไปอาจเป็นกับดัก
    ควรใช้ VS Code ใน sandbox หรือ VM หากต้องทดลองส่วนขยายใหม่
    Microsoft ควรปรับปรุงระบบรีวิวให้ตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/malicious-ai-made-extension-with-ransomware-capabilities-sneaks-on-to-microsofts-official-vs-code-marketplace
    🧨🧠 “AI เขียนโค้ดมัลแวร์! ส่วนขยาย VS Code ปลอมแฝงแรนซัมแวร์ โผล่บน Marketplace ของ Microsoft” นักวิจัยด้านความปลอดภัย John Tuckner จาก Secure Annex พบส่วนขยายชื่อว่า “susvsex” บน VS Code Marketplace ของ Microsoft ซึ่งทำหน้าที่เป็น แรนซัมแวร์ โดยตรง! ที่น่าตกใจคือมันระบุชัดเจนในคำอธิบายว่า “จะ zip, upload และเข้ารหัสไฟล์จาก C:\Users\Public\testing” และยังใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง (command-and-control) ที่สำคัญคือโค้ดของส่วนขยายนี้มีลักษณะ “vibe-coded” หรือเขียนโดยใช้ AI ผ่าน prompt ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่โค้ดที่เขียนด้วยมือแบบปกติ และยังฝัง เครื่องมือถอดรหัสและคีย์ ไว้ในแพ็กเกจด้วย! 🧠 จุดอ่อนของระบบ Marketplace 🔖 Microsoft ไม่ได้ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน 🔖 ใช้เวลาเกือบ 8 ชั่วโมงหลังจากโพสต์บล็อกก่อนจะลบออก 🔖 นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นการ “ทดสอบระบบรีวิว” ก่อนการโจมตีจริงที่ซับซ้อนกว่า ✅ รายละเอียดของส่วนขยาย susvsex ➡️ ระบุชัดเจนว่า zip, upload และเข้ารหัสไฟล์ ➡️ ใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง ➡️ เขียนด้วย AI ผ่าน prompt ไม่ใช่โค้ดมือ ➡️ ฝังเครื่องมือถอดรหัสและคีย์ไว้ในแพ็กเกจ ✅ การตอบสนองของ Microsoft ➡️ ไม่ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน ➡️ ใช้เวลา 8 ชั่วโมงหลังโพสต์บล็อกจึงลบออก ➡️ URL ของส่วนขยายตอนนี้กลายเป็น “404 – Page not found” ✅ ข้อสังเกตจากนักวิจัย ➡️ อาจเป็นการทดสอบระบบรีวิวของ Microsoft ➡️ เมตาดาต้าชี้ไปยังผู้ใช้ GitHub ในเมือง Baku ประเทศอาเซอร์ไบจาน ➡️ โค้ดมีคอมเมนต์ที่บ่งชี้ว่าไม่ได้เขียนโดยมนุษย์ ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ VS Code ⛔ อย่าติดตั้งส่วนขยายจากผู้พัฒนาไม่รู้จักโดยไม่ตรวจสอบโค้ด ⛔ ส่วนขยายที่มีคำอธิบายแปลกหรือชัดเจนเกินไปอาจเป็นกับดัก ⛔ ควรใช้ VS Code ใน sandbox หรือ VM หากต้องทดลองส่วนขยายใหม่ ⛔ Microsoft ควรปรับปรุงระบบรีวิวให้ตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/malicious-ai-made-extension-with-ransomware-capabilities-sneaks-on-to-microsofts-official-vs-code-marketplace
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน – ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากปักกิ่ง”

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้ออกมายืนยันว่า ไม่มีแผนจะส่งชิป Blackwell GPU ไปยังประเทศจีนในตอนนี้ โดยระบุว่า “ไม่มีการพูดคุยใดๆ เกิดขึ้น” และการตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตให้ Nvidia กลับมาทำตลาดได้หรือไม่

    คำพูดนี้สอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการสงวนเทคโนโลยี AI ขั้นสูงไว้ใช้ภายในประเทศก่อน โดยอดีตประธานาธิบดี Trump และรัฐมนตรีการคลัง Scott Bessent ได้กล่าวว่า จีนจะสามารถเข้าถึงชิป Blackwell ได้ก็ต่อเมื่อมันล้าสมัยแล้ว 1–2 ปี

    ความซับซ้อนของเกมการค้า AI
    แม้จะไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่า ชิป Blackwell ยังคงหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางลับ ขณะเดียวกัน Nvidia ก็พยายามพัฒนาเวอร์ชันเฉพาะสำหรับจีน เช่น รุ่น B30A ที่มีประสิทธิภาพลดลงจากรุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากได้รับอนุญาตให้ขาย

    จีนเดินหน้าพึ่งพาตนเองด้าน AI
    Beijing ได้สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia เพื่อผลักดันการใช้ชิปภายในประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สของจีน ซึ่ง Huang ยอมรับว่า จีนมีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก และกำลังไล่ตามสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด

    Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน
    Jensen Huang ยืนยันว่า “ไม่มีการพูดคุย” กับจีน
    การตัดสินใจขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตหรือไม่
    สหรัฐฯ ต้องการสงวนเทคโนโลยีไว้ใช้ภายในก่อน

    ความพยายามของ Nvidia
    พัฒนา Blackwell รุ่นลดสเปกสำหรับจีน เช่น B30A
    หากขายได้ ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ
    ต้องขอใบอนุญาตส่งออกก่อนทุกครั้ง

    ท่าทีของจีน
    สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia
    ผลักดันการใช้ชิปและโมเดล AI ภายในประเทศ
    มีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก

    คำเตือนด้านความมั่นคงของเทคโนโลยี
    การควบคุมการส่งออกอาจกระทบห่วงโซ่ AI ทั่วโลก
    การพึ่งพาชิปจากต่างประเทศทำให้จีนเสี่ยงต่อการถูกจำกัด
    ช่องทางลับในการนำเข้าอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jensen-huang-confirms-there-are-no-plans-to-ship-blackwell-gpus-to-china-right-now-chipmaker-at-beijings-mercy-nvidia-ceo-says-shipments-havent-been-approved-by-chinese-authorities
    🧠🚫 “Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน – ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากปักกิ่ง” Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้ออกมายืนยันว่า ไม่มีแผนจะส่งชิป Blackwell GPU ไปยังประเทศจีนในตอนนี้ โดยระบุว่า “ไม่มีการพูดคุยใดๆ เกิดขึ้น” และการตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตให้ Nvidia กลับมาทำตลาดได้หรือไม่ คำพูดนี้สอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการสงวนเทคโนโลยี AI ขั้นสูงไว้ใช้ภายในประเทศก่อน โดยอดีตประธานาธิบดี Trump และรัฐมนตรีการคลัง Scott Bessent ได้กล่าวว่า จีนจะสามารถเข้าถึงชิป Blackwell ได้ก็ต่อเมื่อมันล้าสมัยแล้ว 1–2 ปี 🧩 ความซับซ้อนของเกมการค้า AI แม้จะไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่า ชิป Blackwell ยังคงหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางลับ ขณะเดียวกัน Nvidia ก็พยายามพัฒนาเวอร์ชันเฉพาะสำหรับจีน เช่น รุ่น B30A ที่มีประสิทธิภาพลดลงจากรุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากได้รับอนุญาตให้ขาย 🌏 จีนเดินหน้าพึ่งพาตนเองด้าน AI Beijing ได้สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia เพื่อผลักดันการใช้ชิปภายในประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สของจีน ซึ่ง Huang ยอมรับว่า จีนมีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก และกำลังไล่ตามสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ✅ Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน ➡️ Jensen Huang ยืนยันว่า “ไม่มีการพูดคุย” กับจีน ➡️ การตัดสินใจขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตหรือไม่ ➡️ สหรัฐฯ ต้องการสงวนเทคโนโลยีไว้ใช้ภายในก่อน ✅ ความพยายามของ Nvidia ➡️ พัฒนา Blackwell รุ่นลดสเปกสำหรับจีน เช่น B30A ➡️ หากขายได้ ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ ต้องขอใบอนุญาตส่งออกก่อนทุกครั้ง ✅ ท่าทีของจีน ➡️ สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia ➡️ ผลักดันการใช้ชิปและโมเดล AI ภายในประเทศ ➡️ มีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคงของเทคโนโลยี ⛔ การควบคุมการส่งออกอาจกระทบห่วงโซ่ AI ทั่วโลก ⛔ การพึ่งพาชิปจากต่างประเทศทำให้จีนเสี่ยงต่อการถูกจำกัด ⛔ ช่องทางลับในการนำเข้าอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jensen-huang-confirms-there-are-no-plans-to-ship-blackwell-gpus-to-china-right-now-chipmaker-at-beijings-mercy-nvidia-ceo-says-shipments-havent-been-approved-by-chinese-authorities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลกออนไลน์สะเทือน! ฐานข้อมูลอีเมลหลุดกว่า 2 พันล้านรายการถูกนำมาเผยแพร่

    Troy Hunt ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Have I Been Pwned (HIBP) ได้ประกาศเพิ่มข้อมูลอีเมลที่หลุดกว่า 2 พันล้านรายการ จากแหล่งข้อมูลที่ไม่เปิดเผย ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแพลตฟอร์มนี้

    ข้อมูลที่หลุดออกมานั้น ไม่มีรหัสผ่านหรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ แต่เป็นเพียงรายการอีเมลที่อาจถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิ่งหรือสแปม ซึ่ง Hunt ยืนยันว่าแม้จะไม่มีรหัสผ่าน แต่ก็ยังเป็นภัยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน เพราะสามารถใช้ในการโจมตีแบบ targeted หรือ social engineering ได้

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Hunt ได้ใช้เครื่องมือใหม่ที่เขาสร้างขึ้นชื่อว่า “Email Address Intelligence” เพื่อวิเคราะห์และจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลนี้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถตรวจสอบว่าอีเมลใดเคยปรากฏในเหตุการณ์หลุดข้อมูลก่อนหน้านี้หรือไม่ และเชื่อมโยงกับ breach อื่นๆ ได้

    Have I Been Pwned เพิ่มข้อมูลอีเมลหลุดกว่า 2 พันล้านรายการ
    เป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ HIBP
    ข้อมูลไม่มีรหัสผ่าน แต่ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    แหล่งข้อมูลไม่เปิดเผย
    ได้รับจากบุคคลที่เชื่อถือได้ในวงการความปลอดภัยไซเบอร์
    เป็นข้อมูลที่เคยถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิ่งหรือสแปม

    เครื่องมือใหม่ “Email Address Intelligence”
    วิเคราะห์ว่าอีเมลเคยหลุดในเหตุการณ์ใดบ้าง
    ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจความเสี่ยงของอีเมลตนเอง

    ความสำคัญของการตรวจสอบอีเมล
    ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปตรวจสอบอีเมลของตนใน HIBP ได้ฟรี
    หากพบว่าอีเมลเคยหลุด ควรเปลี่ยนรหัสผ่านและเปิดใช้ 2FA

    https://www.troyhunt.com/2-billion-email-addresses-were-exposed-and-we-indexed-them-all-in-have-i-been-pwned/
    🔓 โลกออนไลน์สะเทือน! ฐานข้อมูลอีเมลหลุดกว่า 2 พันล้านรายการถูกนำมาเผยแพร่ Troy Hunt ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Have I Been Pwned (HIBP) ได้ประกาศเพิ่มข้อมูลอีเมลที่หลุดกว่า 2 พันล้านรายการ จากแหล่งข้อมูลที่ไม่เปิดเผย ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแพลตฟอร์มนี้ ข้อมูลที่หลุดออกมานั้น ไม่มีรหัสผ่านหรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ แต่เป็นเพียงรายการอีเมลที่อาจถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิ่งหรือสแปม ซึ่ง Hunt ยืนยันว่าแม้จะไม่มีรหัสผ่าน แต่ก็ยังเป็นภัยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน เพราะสามารถใช้ในการโจมตีแบบ targeted หรือ social engineering ได้ สิ่งที่น่าสนใจคือ Hunt ได้ใช้เครื่องมือใหม่ที่เขาสร้างขึ้นชื่อว่า “Email Address Intelligence” เพื่อวิเคราะห์และจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลนี้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถตรวจสอบว่าอีเมลใดเคยปรากฏในเหตุการณ์หลุดข้อมูลก่อนหน้านี้หรือไม่ และเชื่อมโยงกับ breach อื่นๆ ได้ ✅ Have I Been Pwned เพิ่มข้อมูลอีเมลหลุดกว่า 2 พันล้านรายการ ➡️ เป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ HIBP ➡️ ข้อมูลไม่มีรหัสผ่าน แต่ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ✅ แหล่งข้อมูลไม่เปิดเผย ➡️ ได้รับจากบุคคลที่เชื่อถือได้ในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ ➡️ เป็นข้อมูลที่เคยถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิ่งหรือสแปม ✅ เครื่องมือใหม่ “Email Address Intelligence” ➡️ วิเคราะห์ว่าอีเมลเคยหลุดในเหตุการณ์ใดบ้าง ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจความเสี่ยงของอีเมลตนเอง ✅ ความสำคัญของการตรวจสอบอีเมล ➡️ ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปตรวจสอบอีเมลของตนใน HIBP ได้ฟรี ➡️ หากพบว่าอีเมลเคยหลุด ควรเปลี่ยนรหัสผ่านและเปิดใช้ 2FA https://www.troyhunt.com/2-billion-email-addresses-were-exposed-and-we-indexed-them-all-in-have-i-been-pwned/
    WWW.TROYHUNT.COM
    2 Billion Email Addresses Were Exposed, and We Indexed Them All in Have I Been Pwned
    I hate hyperbolic news headlines about data breaches, but for the "2 Billion Email Addresses" headline to be hyperbolic, it'd need to be exaggerated or overstated - and it isn't. It's rounded up from the more precise number of 1,957,476,021 unique email addresses, but other than that,
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google เปิดตัว Axion CPU และ Ironwood TPU รุ่น 7 – สร้าง ‘AI Hypercomputer’ ล้ำหน้า Nvidia GB300!”

    เรื่องเล่าจากแนวหน้าของเทคโนโลยี AI! Google Cloud ได้เปิดตัวระบบประมวลผลใหม่ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยการผสาน Axion CPU ที่ออกแบบเองกับ Ironwood TPU รุ่นที่ 7 เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม “AI Hypercomputer” ที่สามารถฝึกและให้บริการโมเดลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

    Ironwood TPU รุ่นใหม่ให้พลังประมวลผลถึง 4,614 FP8 TFLOPS ต่อชิป และสามารถรวมกันเป็นพ็อดขนาดใหญ่ถึง 9,216 ตัว ให้พลังรวม 42.5 FP8 ExaFLOPS ซึ่งเหนือกว่า Nvidia GB300 NVL72 ที่ให้เพียง 0.36 ExaFLOPS อย่างมหาศาล

    ระบบนี้ยังใช้เทคโนโลยี Optical Circuit Switching ที่สามารถปรับเส้นทางการเชื่อมต่อทันทีเมื่อมีฮาร์ดแวร์ขัดข้อง ทำให้ระบบทำงานต่อเนื่องได้แม้มีปัญหา พร้อมทั้งมีหน่วยความจำ HBM3E รวมกว่า 1.77 PB และเครือข่าย Inter-Chip Interconnect ความเร็ว 9.6 Tbps

    ในด้าน CPU, Google เปิดตัว Axion ซึ่งเป็นชิป Armv9 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Neoverse V2 ให้ประสิทธิภาพสูงกว่าชิป x86 ถึง 50% และประหยัดพลังงานมากขึ้นถึง 60% โดยมีรุ่น C4A, N4A และ C4A Metal ให้เลือกใช้งานตามความต้องการ

    บริษัทอย่าง Anthropic และ Lightricks ได้เริ่มใช้งานระบบนี้แล้ว โดย Anthropic เตรียมใช้ TPU กว่าล้านตัวเพื่อขับเคลื่อนโมเดล Claude รุ่นใหม่

    Google เปิดตัว Ironwood TPU รุ่นที่ 7
    พลังประมวลผล 4,614 FP8 TFLOPS ต่อชิป
    รวมเป็นพ็อดขนาดใหญ่ได้ถึง 42.5 FP8 ExaFLOPS
    ใช้ Optical Circuit Switching เพื่อความเสถียร
    หน่วยความจำรวม 1.77 PB แบบ HBM3E

    เปิดตัว Axion CPU ที่ออกแบบเอง
    ใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V2
    ประสิทธิภาพสูงกว่าชิป x86 ถึง 50%
    มีรุ่น C4A, N4A และ C4A Metal ให้เลือก
    รองรับ DDR5-5600 MT/s และ UMA

    สร้างแพลตฟอร์ม “AI Hypercomputer”
    รวม compute, storage และ networking ภายใต้ระบบเดียว
    รองรับการฝึกและให้บริการโมเดลขนาดใหญ่
    ใช้ Titanium controller เพื่อจัดการ I/O และความปลอดภัย

    บริษัทชั้นนำเริ่มใช้งานแล้ว
    Anthropic ใช้ TPU กว่าล้านตัวสำหรับ Claude
    Lightricks ใช้ฝึกโมเดลมัลติโหมด LTX-2

    ความท้าทายด้านการพัฒนา AI ขนาดใหญ่
    ต้องใช้พลังงานและฮาร์ดแวร์จำนวนมหาศาล
    ต้องมีระบบจัดการความเสถียรและความปลอดภัยขั้นสูง

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาเทคโนโลยีเฉพาะ
    หากระบบล่มหรือมีข้อบกพร่อง อาจกระทบโมเดลขนาดใหญ่
    ต้องมีการลงทุนต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตของ AI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/google-deploys-new-axion-cpus-and-seventh-gen-ironwood-tpu-training-and-inferencing-pods-beat-nvidia-gb300-and-shape-ai-hypercomputer-model
    🧠 “Google เปิดตัว Axion CPU และ Ironwood TPU รุ่น 7 – สร้าง ‘AI Hypercomputer’ ล้ำหน้า Nvidia GB300!” เรื่องเล่าจากแนวหน้าของเทคโนโลยี AI! Google Cloud ได้เปิดตัวระบบประมวลผลใหม่ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยการผสาน Axion CPU ที่ออกแบบเองกับ Ironwood TPU รุ่นที่ 7 เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม “AI Hypercomputer” ที่สามารถฝึกและให้บริการโมเดลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Ironwood TPU รุ่นใหม่ให้พลังประมวลผลถึง 4,614 FP8 TFLOPS ต่อชิป และสามารถรวมกันเป็นพ็อดขนาดใหญ่ถึง 9,216 ตัว ให้พลังรวม 42.5 FP8 ExaFLOPS ซึ่งเหนือกว่า Nvidia GB300 NVL72 ที่ให้เพียง 0.36 ExaFLOPS อย่างมหาศาล ระบบนี้ยังใช้เทคโนโลยี Optical Circuit Switching ที่สามารถปรับเส้นทางการเชื่อมต่อทันทีเมื่อมีฮาร์ดแวร์ขัดข้อง ทำให้ระบบทำงานต่อเนื่องได้แม้มีปัญหา พร้อมทั้งมีหน่วยความจำ HBM3E รวมกว่า 1.77 PB และเครือข่าย Inter-Chip Interconnect ความเร็ว 9.6 Tbps ในด้าน CPU, Google เปิดตัว Axion ซึ่งเป็นชิป Armv9 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Neoverse V2 ให้ประสิทธิภาพสูงกว่าชิป x86 ถึง 50% และประหยัดพลังงานมากขึ้นถึง 60% โดยมีรุ่น C4A, N4A และ C4A Metal ให้เลือกใช้งานตามความต้องการ บริษัทอย่าง Anthropic และ Lightricks ได้เริ่มใช้งานระบบนี้แล้ว โดย Anthropic เตรียมใช้ TPU กว่าล้านตัวเพื่อขับเคลื่อนโมเดล Claude รุ่นใหม่ ✅ Google เปิดตัว Ironwood TPU รุ่นที่ 7 ➡️ พลังประมวลผล 4,614 FP8 TFLOPS ต่อชิป ➡️ รวมเป็นพ็อดขนาดใหญ่ได้ถึง 42.5 FP8 ExaFLOPS ➡️ ใช้ Optical Circuit Switching เพื่อความเสถียร ➡️ หน่วยความจำรวม 1.77 PB แบบ HBM3E ✅ เปิดตัว Axion CPU ที่ออกแบบเอง ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V2 ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่าชิป x86 ถึง 50% ➡️ มีรุ่น C4A, N4A และ C4A Metal ให้เลือก ➡️ รองรับ DDR5-5600 MT/s และ UMA ✅ สร้างแพลตฟอร์ม “AI Hypercomputer” ➡️ รวม compute, storage และ networking ภายใต้ระบบเดียว ➡️ รองรับการฝึกและให้บริการโมเดลขนาดใหญ่ ➡️ ใช้ Titanium controller เพื่อจัดการ I/O และความปลอดภัย ✅ บริษัทชั้นนำเริ่มใช้งานแล้ว ➡️ Anthropic ใช้ TPU กว่าล้านตัวสำหรับ Claude ➡️ Lightricks ใช้ฝึกโมเดลมัลติโหมด LTX-2 ‼️ ความท้าทายด้านการพัฒนา AI ขนาดใหญ่ ⛔ ต้องใช้พลังงานและฮาร์ดแวร์จำนวนมหาศาล ⛔ ต้องมีระบบจัดการความเสถียรและความปลอดภัยขั้นสูง ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาเทคโนโลยีเฉพาะ ⛔ หากระบบล่มหรือมีข้อบกพร่อง อาจกระทบโมเดลขนาดใหญ่ ⛔ ต้องมีการลงทุนต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตของ AI https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/google-deploys-new-axion-cpus-and-seventh-gen-ironwood-tpu-training-and-inferencing-pods-beat-nvidia-gb300-and-shape-ai-hypercomputer-model
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jensen Huang เตือน! จีนอาจชนะสงคราม AI เพราะไฟฟ้าถูก – สหรัฐยังติดหล่มกฎระเบียบ”

    เรื่องเล่าที่สะเทือนวงการเทคโนโลยี! Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในงาน Future of AI Summit ว่า “จีนกำลังจะชนะสงคราม AI” โดยให้เหตุผลว่า สหรัฐกำลังสูญเสียความได้เปรียบจากความขาดแคลนพลังงานและกฎระเบียบที่ซับซ้อน ขณะที่จีนมีนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานอย่างชัดเจน

    Huang ชี้ว่าในจีน บริษัทสามารถเข้าถึงพลังงานได้ง่ายและราคาถูกจากการอุดหนุนของรัฐ ทำให้สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้รวดเร็ว ขณะที่ในสหรัฐ บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่ “50 กฎใหม่” สำหรับ AI และยังต้องลงทุนในพลังงานทางเลือกที่ยังไม่พร้อมใช้งาน เช่น เตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กหรือศูนย์ข้อมูลในอวกาศ

    แม้ Huang จะเคยกล่าวว่า “จีนตามหลังสหรัฐเพียงไม่กี่นาโนวินาที” แต่เขาก็เตือนว่า หากสหรัฐยังคงจำกัดการส่งออกชิป AI อย่าง Blackwell ไปยังจีน ก็อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น และลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งอาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐในระยะยาว

    Jensen Huang เตือนว่าจีนอาจชนะสงคราม AI
    เหตุผลหลักคือการเข้าถึงพลังงานที่ถูกและง่าย
    จีนมีนโยบายอุดหนุนพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล
    สหรัฐยังติดกับดักกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ

    Nvidia สูญเสียตลาดจีนจากการแบนชิป AI
    สหรัฐแบนการส่งออกชิป Blackwell ไปยังจีน
    จีนตอบโต้ด้วยการห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูล
    Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด

    ความพยายามของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง
    หากไม่มีชิป Nvidia จีนจะหันไปพัฒนาเอง
    เงินทุนจะไหลเข้าสู่ผู้ผลิตชิปในประเทศ
    ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของ Nvidia

    สหรัฐยังเผชิญปัญหาด้านพลังงาน
    บริษัทเทคโนโลยีต้องลงทุนในพลังงานทางเลือก
    Microsoft เผยว่ามี GPU ที่ไม่สามารถใช้งานได้เพราะไม่มีพลังงานเพียงพอ

    ความเสี่ยงจากการจำกัดการส่งออกชิป AI
    อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น
    ลดความสามารถในการควบคุมตลาดโลกของ Nvidia

    ความล่าช้าด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานในสหรัฐ
    พลังงานทางเลือกยังไม่พร้อมใช้งานในระดับอุตสาหกรรม
    อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเสียเปรียบในการแข่งขัน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-going-to-win-the-ai-race-nvidia-ceo-jensen-huang-decries-the-price-of-electricity-in-the-us-contrasts-it-with-chinas-subsidized-pricing
    🧠 “Jensen Huang เตือน! จีนอาจชนะสงคราม AI เพราะไฟฟ้าถูก – สหรัฐยังติดหล่มกฎระเบียบ” เรื่องเล่าที่สะเทือนวงการเทคโนโลยี! Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในงาน Future of AI Summit ว่า “จีนกำลังจะชนะสงคราม AI” โดยให้เหตุผลว่า สหรัฐกำลังสูญเสียความได้เปรียบจากความขาดแคลนพลังงานและกฎระเบียบที่ซับซ้อน ขณะที่จีนมีนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานอย่างชัดเจน Huang ชี้ว่าในจีน บริษัทสามารถเข้าถึงพลังงานได้ง่ายและราคาถูกจากการอุดหนุนของรัฐ ทำให้สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้รวดเร็ว ขณะที่ในสหรัฐ บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่ “50 กฎใหม่” สำหรับ AI และยังต้องลงทุนในพลังงานทางเลือกที่ยังไม่พร้อมใช้งาน เช่น เตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กหรือศูนย์ข้อมูลในอวกาศ แม้ Huang จะเคยกล่าวว่า “จีนตามหลังสหรัฐเพียงไม่กี่นาโนวินาที” แต่เขาก็เตือนว่า หากสหรัฐยังคงจำกัดการส่งออกชิป AI อย่าง Blackwell ไปยังจีน ก็อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น และลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งอาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐในระยะยาว ✅ Jensen Huang เตือนว่าจีนอาจชนะสงคราม AI ➡️ เหตุผลหลักคือการเข้าถึงพลังงานที่ถูกและง่าย ➡️ จีนมีนโยบายอุดหนุนพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล ➡️ สหรัฐยังติดกับดักกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ ✅ Nvidia สูญเสียตลาดจีนจากการแบนชิป AI ➡️ สหรัฐแบนการส่งออกชิป Blackwell ไปยังจีน ➡️ จีนตอบโต้ด้วยการห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูล ➡️ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด ✅ ความพยายามของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ➡️ หากไม่มีชิป Nvidia จีนจะหันไปพัฒนาเอง ➡️ เงินทุนจะไหลเข้าสู่ผู้ผลิตชิปในประเทศ ➡️ ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของ Nvidia ✅ สหรัฐยังเผชิญปัญหาด้านพลังงาน ➡️ บริษัทเทคโนโลยีต้องลงทุนในพลังงานทางเลือก ➡️ Microsoft เผยว่ามี GPU ที่ไม่สามารถใช้งานได้เพราะไม่มีพลังงานเพียงพอ ‼️ ความเสี่ยงจากการจำกัดการส่งออกชิป AI ⛔ อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น ⛔ ลดความสามารถในการควบคุมตลาดโลกของ Nvidia ‼️ ความล่าช้าด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานในสหรัฐ ⛔ พลังงานทางเลือกยังไม่พร้อมใช้งานในระดับอุตสาหกรรม ⛔ อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเสียเปรียบในการแข่งขัน https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-going-to-win-the-ai-race-nvidia-ceo-jensen-huang-decries-the-price-of-electricity-in-the-us-contrasts-it-with-chinas-subsidized-pricing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อโซเชียลกลายเป็นจำเลย

    ศาลสูงลอสแอนเจลิสมีคำสั่งให้ Meta (Facebook, Instagram), ByteDance (TikTok), Alphabet (YouTube) และ Snap (Snapchat) ต้องเข้าสู่การพิจารณาคดีในเดือนมกราคม 2026 หลังจากมีการฟ้องร้องต่อเนื่องกว่า 3 ปีจากผู้ใช้, โรงเรียน และอัยการรัฐ

    ข้อกล่าวหาคือบริษัทเหล่านี้ออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติดการใช้งานผ่านฟีเจอร์อย่างการเลื่อนแบบไม่รู้จบ (endless scrolling), การแจ้งเตือนเฉพาะบุคคล และอัลกอริทึมที่คัดสรรเนื้อหาอย่างจงใจ ส่งผลให้ผู้ใช้วัยรุ่นจำนวนมากเกิดภาวะซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, มีปัญหาการกิน และบางรายถึงขั้นทำร้ายตัวเองหรือเสียชีวิต

    คดีแรกจะเริ่มวันที่ 27 มกราคม โดยมีหญิงสาววัย 19 ปีจากแคลิฟอร์เนียเป็นโจทก์ เธออ้างว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้เธอเกิดภาวะติดโซเชียลและส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างรุนแรง

    หากบริษัทแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยมหาศาล และถูกบังคับให้เปลี่ยนวิธีการออกแบบแพลตฟอร์มสำหรับเยาวชน

    คำสั่งศาลให้เข้าสู่การพิจารณาคดี
    Meta, TikTok, YouTube และ Snapchat ถูกสั่งให้ขึ้นศาลในคดีออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติด
    คดีแรกเริ่ม 27 มกราคม 2026 โดยมีผู้ใช้วัยรุ่นเป็นโจทก์
    หากแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยหลายพันล้านดอลลาร์

    ข้อกล่าวหาหลักต่อบริษัทเทคโนโลยี
    ใช้อัลกอริทึมคัดสรรเนื้อหาเพื่อกระตุ้นการใช้งาน
    ฟีเจอร์อย่าง endless scrolling และ personalized notifications ทำให้ผู้ใช้ติด
    ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, การกินผิดปกติ

    การตอบโต้จากบริษัทต่างๆ
    Google ระบุว่า YouTube เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ไม่ใช่โซเชียลเน็ตเวิร์ก
    Snap ชี้แจงว่า Snapchat ออกแบบให้เน้นความปลอดภัยและการเชื่อมต่อกับครอบครัว
    Meta และ TikTok ยังไม่ให้ความเห็นในขณะนี้

    ความสำคัญของคดีนี้
    เป็นการทดสอบขอบเขตของกฎหมาย Section 230 ที่เคยคุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิด
    อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและแนวทางการออกแบบแพลตฟอร์ม
    เปิดทางให้ผู้ใช้มีสิทธิเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทเทคโนโลยี

    คำเตือนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย
    เยาวชนจำนวนมากมีปัญหาสุขภาพจิตจากการใช้โซเชียลมากเกินไป
    การออกแบบแพลตฟอร์มที่เน้น engagement อาจละเมิดจริยธรรม
    หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดผลกระทบระยะยาวต่อสังคมและระบบการศึกษา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/social-media-giants-must-stand-trial-on-addiction-claims
    📱 เมื่อโซเชียลกลายเป็นจำเลย ศาลสูงลอสแอนเจลิสมีคำสั่งให้ Meta (Facebook, Instagram), ByteDance (TikTok), Alphabet (YouTube) และ Snap (Snapchat) ต้องเข้าสู่การพิจารณาคดีในเดือนมกราคม 2026 หลังจากมีการฟ้องร้องต่อเนื่องกว่า 3 ปีจากผู้ใช้, โรงเรียน และอัยการรัฐ ข้อกล่าวหาคือบริษัทเหล่านี้ออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติดการใช้งานผ่านฟีเจอร์อย่างการเลื่อนแบบไม่รู้จบ (endless scrolling), การแจ้งเตือนเฉพาะบุคคล และอัลกอริทึมที่คัดสรรเนื้อหาอย่างจงใจ ส่งผลให้ผู้ใช้วัยรุ่นจำนวนมากเกิดภาวะซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, มีปัญหาการกิน และบางรายถึงขั้นทำร้ายตัวเองหรือเสียชีวิต คดีแรกจะเริ่มวันที่ 27 มกราคม โดยมีหญิงสาววัย 19 ปีจากแคลิฟอร์เนียเป็นโจทก์ เธออ้างว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้เธอเกิดภาวะติดโซเชียลและส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างรุนแรง หากบริษัทแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยมหาศาล และถูกบังคับให้เปลี่ยนวิธีการออกแบบแพลตฟอร์มสำหรับเยาวชน ✅ คำสั่งศาลให้เข้าสู่การพิจารณาคดี ➡️ Meta, TikTok, YouTube และ Snapchat ถูกสั่งให้ขึ้นศาลในคดีออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติด ➡️ คดีแรกเริ่ม 27 มกราคม 2026 โดยมีผู้ใช้วัยรุ่นเป็นโจทก์ ➡️ หากแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยหลายพันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อกล่าวหาหลักต่อบริษัทเทคโนโลยี ➡️ ใช้อัลกอริทึมคัดสรรเนื้อหาเพื่อกระตุ้นการใช้งาน ➡️ ฟีเจอร์อย่าง endless scrolling และ personalized notifications ทำให้ผู้ใช้ติด ➡️ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, การกินผิดปกติ ✅ การตอบโต้จากบริษัทต่างๆ ➡️ Google ระบุว่า YouTube เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ไม่ใช่โซเชียลเน็ตเวิร์ก ➡️ Snap ชี้แจงว่า Snapchat ออกแบบให้เน้นความปลอดภัยและการเชื่อมต่อกับครอบครัว ➡️ Meta และ TikTok ยังไม่ให้ความเห็นในขณะนี้ ✅ ความสำคัญของคดีนี้ ➡️ เป็นการทดสอบขอบเขตของกฎหมาย Section 230 ที่เคยคุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิด ➡️ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและแนวทางการออกแบบแพลตฟอร์ม ➡️ เปิดทางให้ผู้ใช้มีสิทธิเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทเทคโนโลยี ‼️ คำเตือนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย ⛔ เยาวชนจำนวนมากมีปัญหาสุขภาพจิตจากการใช้โซเชียลมากเกินไป ⛔ การออกแบบแพลตฟอร์มที่เน้น engagement อาจละเมิดจริยธรรม ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดผลกระทบระยะยาวต่อสังคมและระบบการศึกษา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/social-media-giants-must-stand-trial-on-addiction-claims
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Social media giants must stand trial on addiction claims
    Meta Platforms Inc, ByteDance Ltd, Alphabet Inc and Snap Inc must face trial over claims that they designed social media platforms to addict youths, a judge ruled, clearing the way for the first of thousands of cases to be presented to juries.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข? เมื่อ IQ ไม่ใช่คำตอบของชีวิต

    ในบทความจาก Seeds of Science โดย Adam Mastroianni นักจิตวิทยาจากฮาร์วาร์ด ได้ตั้งคำถามที่ชวนคิดว่า “ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข?” ทั้งที่ความฉลาดควรช่วยให้เราวางแผนชีวิต แก้ปัญหา และเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ดีกว่าคนทั่วไป

    แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 50 ปีจาก General Social Survey พบว่าคนที่มีคะแนนทดสอบความฉลาดสูงกลับมีระดับความสุขต่ำลงเล็กน้อย (r = -0.06) ซึ่งขัดกับความคาดหวังของสังคม

    Mastroianni เสนอว่าปัญหาอยู่ที่ “นิยามของความฉลาด” ที่เน้นการแก้ปัญหาแบบมีคำตอบชัดเจน (well-defined problems) เช่น คณิตศาสตร์หรือหมากรุก แต่ชีวิตจริงเต็มไปด้วยปัญหาที่ไม่มีคำตอบตายตัว (poorly-defined problems) เช่น “จะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความหมาย?” หรือ “จะทำอย่างไรเมื่อคนที่รักจากไป?”

    เขาเสนอว่าความสามารถในการแก้ปัญหาแบบไม่มีคำตอบชัดเจนนี้ อาจเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ “ความฉลาด” ที่ไม่เคยถูกวัดหรือให้คุณค่าอย่างจริงจัง

    ความฉลาดแบบดั้งเดิม
    นิยามโดยความสามารถในการแก้ปัญหา วางแผน และเรียนรู้
    วัดผ่านแบบทดสอบ IQ และการเรียนรู้ในระบบ
    ใช้กับปัญหาแบบ well-defined เช่น คณิตศาสตร์ ภาษา หรือหมากรุก

    ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง IQ กับความสุข
    คนที่มี IQ สูงไม่ได้มีความสุขมากกว่าคนทั่วไป
    บางกรณีมีความสุขน้อยลงเล็กน้อย
    ข้อมูลจาก General Social Survey และงานวิจัยอื่น ๆ

    ปัญหาแบบ poorly-defined
    ปัญหาที่ไม่มีคำตอบชัดเจน เช่น ความรัก ความหมายชีวิต
    ไม่สามารถแก้ด้วยตรรกะหรือสูตรสำเร็จ
    ต้องใช้ความเข้าใจตนเอง ความคิดสร้างสรรค์ และปัญญาเชิงลึก

    ความฉลาดอีกแบบที่ไม่ถูกวัด
    ความสามารถในการจัดการกับความไม่แน่นอน
    การเลือกเป้าหมายชีวิตที่เหมาะสมและยึดมั่นกับมัน
    อาจเรียกว่า “directionness” หรือ “wisdom”

    ตัวอย่างคนฉลาดที่ตัดสินใจผิดพลาด
    นักวิชาการระดับสูงที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
    อัจฉริยะที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด
    แสดงให้เห็นว่า IQ ไม่ใช่เครื่องมือวัดความดีหรือความสุข

    https://www.theseedsofscience.pub/p/why-arent-smart-people-happier
    🧠 ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข? เมื่อ IQ ไม่ใช่คำตอบของชีวิต ในบทความจาก Seeds of Science โดย Adam Mastroianni นักจิตวิทยาจากฮาร์วาร์ด ได้ตั้งคำถามที่ชวนคิดว่า “ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข?” ทั้งที่ความฉลาดควรช่วยให้เราวางแผนชีวิต แก้ปัญหา และเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ดีกว่าคนทั่วไป แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 50 ปีจาก General Social Survey พบว่าคนที่มีคะแนนทดสอบความฉลาดสูงกลับมีระดับความสุขต่ำลงเล็กน้อย (r = -0.06) ซึ่งขัดกับความคาดหวังของสังคม Mastroianni เสนอว่าปัญหาอยู่ที่ “นิยามของความฉลาด” ที่เน้นการแก้ปัญหาแบบมีคำตอบชัดเจน (well-defined problems) เช่น คณิตศาสตร์หรือหมากรุก แต่ชีวิตจริงเต็มไปด้วยปัญหาที่ไม่มีคำตอบตายตัว (poorly-defined problems) เช่น “จะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความหมาย?” หรือ “จะทำอย่างไรเมื่อคนที่รักจากไป?” เขาเสนอว่าความสามารถในการแก้ปัญหาแบบไม่มีคำตอบชัดเจนนี้ อาจเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ “ความฉลาด” ที่ไม่เคยถูกวัดหรือให้คุณค่าอย่างจริงจัง ✅ ความฉลาดแบบดั้งเดิม ➡️ นิยามโดยความสามารถในการแก้ปัญหา วางแผน และเรียนรู้ ➡️ วัดผ่านแบบทดสอบ IQ และการเรียนรู้ในระบบ ➡️ ใช้กับปัญหาแบบ well-defined เช่น คณิตศาสตร์ ภาษา หรือหมากรุก ✅ ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง IQ กับความสุข ➡️ คนที่มี IQ สูงไม่ได้มีความสุขมากกว่าคนทั่วไป ➡️ บางกรณีมีความสุขน้อยลงเล็กน้อย ➡️ ข้อมูลจาก General Social Survey และงานวิจัยอื่น ๆ ✅ ปัญหาแบบ poorly-defined ➡️ ปัญหาที่ไม่มีคำตอบชัดเจน เช่น ความรัก ความหมายชีวิต ➡️ ไม่สามารถแก้ด้วยตรรกะหรือสูตรสำเร็จ ➡️ ต้องใช้ความเข้าใจตนเอง ความคิดสร้างสรรค์ และปัญญาเชิงลึก ✅ ความฉลาดอีกแบบที่ไม่ถูกวัด ➡️ ความสามารถในการจัดการกับความไม่แน่นอน ➡️ การเลือกเป้าหมายชีวิตที่เหมาะสมและยึดมั่นกับมัน ➡️ อาจเรียกว่า “directionness” หรือ “wisdom” ✅ ตัวอย่างคนฉลาดที่ตัดสินใจผิดพลาด ➡️ นักวิชาการระดับสูงที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ➡️ อัจฉริยะที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด ➡️ แสดงให้เห็นว่า IQ ไม่ใช่เครื่องมือวัดความดีหรือความสุข https://www.theseedsofscience.pub/p/why-arent-smart-people-happier
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สหรัฐฯ คว่ำบาตร 8 บุคคลและ 2 ธนาคารเกาหลีเหนือ ฐานฟอกเงินคริปโตเพื่อพัฒนาอาวุธ WMD”
    ลองจินตนาการว่าเงินคริปโตที่ถูกขโมยจากผู้ใช้ทั่วโลก ถูกนำไปใช้สร้างอาวุธนิวเคลียร์…นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง! กระทรวงการคลังสหรัฐฯ โดยสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศ (OFAC) ได้ประกาศคว่ำบาตรบุคคล 8 รายและองค์กร 2 แห่งที่เชื่อมโยงกับเกาหลีเหนือ ฐานฟอกเงินจากคริปโตและรายได้ผิดกฎหมายเพื่อสนับสนุนโครงการอาวุธทำลายล้างสูง (WMD) และขีปนาวุธ

    รายงานระบุว่าแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐเกาหลีเหนือ ได้ขโมยคริปโตมูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผ่านมัลแวร์และการหลอกลวงทางสังคม (social engineering) ขณะเดียวกันแรงงานไอทีจากเกาหลีเหนือที่แฝงตัวในต่างประเทศก็สร้างรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ต่อปี โดยใช้ตัวตนปลอมและร่วมมือกับฟรีแลนซ์ต่างชาติ

    องค์กรที่ถูกคว่ำบาตร ได้แก่ First Credit Bank, Ryujong Credit Bank และบริษัทเทคโนโลยี KMCTC ซึ่งถูกกล่าวหาว่าช่วยฟอกเงินและหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร โดยใช้ธนาคารจีนเป็นตัวกลางเพื่อปกปิดแหล่งที่มาของเงิน

    นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่ถูกคว่ำบาตร เช่น นาย Jang Kuk Chol และ Ho Jong Son ซึ่งจัดการเงินคริปโตมูลค่า 5.3 ล้านดอลลาร์ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแรนซัมแวร์ของ DPRK และอีกหลายคนที่ทำธุรกรรมข้ามประเทศเพื่อสนับสนุนการเงินของรัฐบาลเกาหลีเหนือ

    สหรัฐฯ คว่ำบาตรบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินคริปโตของ DPRK
    รวมถึง 8 บุคคลและ 2 ธนาคารที่มีบทบาทในการสนับสนุนโครงการ WMD
    ใช้คริปโตและรายได้จากแรงงานไอทีเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    แฮกเกอร์เกาหลีเหนือขโมยคริปโตมูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลลาร์ใน 3 ปี
    ใช้มัลแวร์และเทคนิค social engineering
    เป้าหมายรวมถึงเหยื่อในสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ

    แรงงานไอที DPRK แฝงตัวในต่างประเทศ สร้างรายได้มหาศาล
    ใช้ตัวตนปลอมและร่วมมือกับฟรีแลนซ์ต่างชาติ
    รายได้ถูกส่งกลับประเทศผ่านช่องทางลับ

    ธนาคารและบริษัทเทคโนโลยีถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน
    KMCTC ใช้ชาวจีนเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรม
    Ryujong Credit Bank ช่วยโอนเงินข้ามประเทศเพื่อหลบเลี่ยงการคว่ำบาตร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การฟอกเงินผ่านคริปโตเป็นปัญหาใหญ่ในระดับโลก เนื่องจากตรวจสอบได้ยาก
    หลายประเทศเริ่มใช้ระบบ KYC และ AML เพื่อป้องกันการใช้คริปโตในกิจกรรมผิดกฎหมาย
    แรงงานไอที DPRK ถูกจับตามองว่าเป็นภัยคุกคามระดับโลก โดยเฉพาะในวงการไซเบอร์

    https://securityonline.info/us-treasury-sanctions-8-north-koreans-and-2-banks-for-laundering-crypto-to-fund-wmd-programs/
    💣 “สหรัฐฯ คว่ำบาตร 8 บุคคลและ 2 ธนาคารเกาหลีเหนือ ฐานฟอกเงินคริปโตเพื่อพัฒนาอาวุธ WMD” ลองจินตนาการว่าเงินคริปโตที่ถูกขโมยจากผู้ใช้ทั่วโลก ถูกนำไปใช้สร้างอาวุธนิวเคลียร์…นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง! กระทรวงการคลังสหรัฐฯ โดยสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศ (OFAC) ได้ประกาศคว่ำบาตรบุคคล 8 รายและองค์กร 2 แห่งที่เชื่อมโยงกับเกาหลีเหนือ ฐานฟอกเงินจากคริปโตและรายได้ผิดกฎหมายเพื่อสนับสนุนโครงการอาวุธทำลายล้างสูง (WMD) และขีปนาวุธ รายงานระบุว่าแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐเกาหลีเหนือ ได้ขโมยคริปโตมูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผ่านมัลแวร์และการหลอกลวงทางสังคม (social engineering) ขณะเดียวกันแรงงานไอทีจากเกาหลีเหนือที่แฝงตัวในต่างประเทศก็สร้างรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ต่อปี โดยใช้ตัวตนปลอมและร่วมมือกับฟรีแลนซ์ต่างชาติ องค์กรที่ถูกคว่ำบาตร ได้แก่ First Credit Bank, Ryujong Credit Bank และบริษัทเทคโนโลยี KMCTC ซึ่งถูกกล่าวหาว่าช่วยฟอกเงินและหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร โดยใช้ธนาคารจีนเป็นตัวกลางเพื่อปกปิดแหล่งที่มาของเงิน นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่ถูกคว่ำบาตร เช่น นาย Jang Kuk Chol และ Ho Jong Son ซึ่งจัดการเงินคริปโตมูลค่า 5.3 ล้านดอลลาร์ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแรนซัมแวร์ของ DPRK และอีกหลายคนที่ทำธุรกรรมข้ามประเทศเพื่อสนับสนุนการเงินของรัฐบาลเกาหลีเหนือ ✅ สหรัฐฯ คว่ำบาตรบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินคริปโตของ DPRK ➡️ รวมถึง 8 บุคคลและ 2 ธนาคารที่มีบทบาทในการสนับสนุนโครงการ WMD ➡️ ใช้คริปโตและรายได้จากแรงงานไอทีเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ✅ แฮกเกอร์เกาหลีเหนือขโมยคริปโตมูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลลาร์ใน 3 ปี ➡️ ใช้มัลแวร์และเทคนิค social engineering ➡️ เป้าหมายรวมถึงเหยื่อในสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ ✅ แรงงานไอที DPRK แฝงตัวในต่างประเทศ สร้างรายได้มหาศาล ➡️ ใช้ตัวตนปลอมและร่วมมือกับฟรีแลนซ์ต่างชาติ ➡️ รายได้ถูกส่งกลับประเทศผ่านช่องทางลับ ✅ ธนาคารและบริษัทเทคโนโลยีถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน ➡️ KMCTC ใช้ชาวจีนเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรม ➡️ Ryujong Credit Bank ช่วยโอนเงินข้ามประเทศเพื่อหลบเลี่ยงการคว่ำบาตร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การฟอกเงินผ่านคริปโตเป็นปัญหาใหญ่ในระดับโลก เนื่องจากตรวจสอบได้ยาก ➡️ หลายประเทศเริ่มใช้ระบบ KYC และ AML เพื่อป้องกันการใช้คริปโตในกิจกรรมผิดกฎหมาย ➡️ แรงงานไอที DPRK ถูกจับตามองว่าเป็นภัยคุกคามระดับโลก โดยเฉพาะในวงการไซเบอร์ https://securityonline.info/us-treasury-sanctions-8-north-koreans-and-2-banks-for-laundering-crypto-to-fund-wmd-programs/
    SECURITYONLINE.INFO
    US Treasury Sanctions 8 North Koreans and 2 Banks for Laundering Crypto to Fund WMD Programs
    OFAC sanctioned 8 individuals and 2 banks linked to North Korea for laundering millions in stolen crypto and IT earnings to fund Pyongyang's WMD and missile programs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร”

    ตอน 1

    วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555

    เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง

    รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป

    Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น
    เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ

    ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป”
    China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come”

    คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ
    ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน..

    …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย..

    …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย..

    .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน

    การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้…

    ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค
    ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

    การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น

    ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ

    นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป..
    อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย

    “แผนสอยมังกร”

    ตอน 2

    จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ

    – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55)
    – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย

    – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก

    แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น
    เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ

    – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง….

    และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย
    แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น….

    แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ

    สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน

    นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร” ตอน 1 วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555 เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป” China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come” คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน.. …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย.. …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย.. .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้… ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป.. อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย “แผนสอยมังกร” ตอน 2 จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55) – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง…. และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น…. แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • Discover the ultimate gaming experience with the Matchbox9 app, your one-stop platform for fun, excitement, and rewards. Create your unique Matchbox9 ID to access exclusive games, bonuses, and special offers designed for every player. Getting started is quick and easy with seamless Matchbox 9 registration, giving you instant access to thrilling entertainment anytime, anywhere. For real-time updates, support, and exclusive promotions, stay connected through the Matchbox9 com WhatsApp Number. Join Matchbox9 today and elevate your gaming journey with speed, security, and nonstop excitement. https://matchbox9id.net/

    Discover the ultimate gaming experience with the Matchbox9 app, your one-stop platform for fun, excitement, and rewards. Create your unique Matchbox9 ID to access exclusive games, bonuses, and special offers designed for every player. Getting started is quick and easy with seamless Matchbox 9 registration, giving you instant access to thrilling entertainment anytime, anywhere. For real-time updates, support, and exclusive promotions, stay connected through the Matchbox9 com WhatsApp Number. Join Matchbox9 today and elevate your gaming journey with speed, security, and nonstop excitement. https://matchbox9id.net/
    MATCHBOX9ID.NET
    Matchbox9
    Matchbox9 is the best online sports betting and gambling platform where you can play 100 of games and earn real money every day. Win big, play safe, and enjoy top-notch entertainment. Do Matchbox9 login now!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sky Exchange is a trusted online gaming and betting platform offering a secure and exciting experience for players worldwide. With your unique Sky Exchange ID, you can explore a wide range of sports and casino games, including the ever-popular Sky Exchange Cricket section for live and pre-match betting. The platform operates 24/7 under Sky Exchange 247, ensuring nonstop entertainment and support. Getting started is easy with a quick Sky Exchange Sign Up and Sky Exchange Registration process that lets you access your account in minutes. For instant help or updates, contact the official Sky Exchange WhatsApp Number anytime. Whether you’re betting, playing, or exploring live games, Sky Exchange provides a trusted, fast, and thrilling experience every time. https://skyexchangeid.net/
    Sky Exchange is a trusted online gaming and betting platform offering a secure and exciting experience for players worldwide. With your unique Sky Exchange ID, you can explore a wide range of sports and casino games, including the ever-popular Sky Exchange Cricket section for live and pre-match betting. The platform operates 24/7 under Sky Exchange 247, ensuring nonstop entertainment and support. Getting started is easy with a quick Sky Exchange Sign Up and Sky Exchange Registration process that lets you access your account in minutes. For instant help or updates, contact the official Sky Exchange WhatsApp Number anytime. Whether you’re betting, playing, or exploring live games, Sky Exchange provides a trusted, fast, and thrilling experience every time. https://skyexchangeid.net/
    SKYEXCHANGEID.NET
    Sky Exchange
    Get started with Sky Exchange and Explore the world of online gaming and sports betting. Connect with us and register for your Sky Exchange ID today. Join Sky Exchange Betting app!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมาคมภาพยนตร์สหรัฐฯ จี้ Meta หยุดใช้ฉลาก PG-13 กับฟิลเตอร์วัยรุ่นใน Instagram

    Meta ถูกวิจารณ์หนักจาก Motion Picture Association (MPA) กรณีใช้ฉลาก “PG-13” กับฟิลเตอร์คัดกรองเนื้อหาสำหรับผู้ใช้วัยรุ่นใน Instagram โดย MPA ระบุว่าเป็นการใช้ฉลากที่ “หลอกลวง” และ “ไม่ตรงตามมาตรฐาน” ของระบบจัดเรตภาพยนตร์ที่พวกเขาดูแล

    ลองจินตนาการว่า Instagram มีระบบกรองเนื้อหาสำหรับวัยรุ่นที่ใช้คำว่า “PG-13” เพื่อสื่อว่าเนื้อหานั้นเหมาะสม — ฟังดูดีใช่ไหม? แต่สำหรับ Motion Picture Association ซึ่งเป็นผู้ดูแลระบบจัดเรตภาพยนตร์ในสหรัฐฯ นี่คือการละเมิดความหมายของฉลากที่พวกเขาสร้างขึ้น

    MPA ส่งจดหมาย “cease-and-desist” ถึง Meta เพื่อเรียกร้องให้หยุดใช้ฉลาก PG-13 กับฟิลเตอร์ใน Instagram โดยให้เหตุผลว่า ระบบของ Meta ไม่ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาแบบกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเหมือนกับการจัดเรตภาพยนตร์

    Meta ยังไม่ได้ตอบโต้หรือแสดงจุดยืนต่อข้อกล่าวหานี้ แต่กรณีนี้สะท้อนถึงความท้าทายใหม่ของโลกดิจิทัล ที่คำว่า “เหมาะสม” อาจมีหลายมาตรฐาน และการใช้ฉลากที่มีความหมายเฉพาะในบริบทหนึ่ง อาจสร้างความเข้าใจผิดในอีกบริบทหนึ่ง

    ประเด็นหลักในข่าว
    MPA ส่งจดหมายทางกฎหมายถึง Meta ให้หยุดใช้ฉลาก PG-13
    เหตุผลคือระบบฟิลเตอร์ของ Meta ไม่ได้ผ่านกระบวนการจัดเรตแบบเดียวกับภาพยนตร์
    Meta ใช้ฉลาก PG-13 กับฟิลเตอร์เนื้อหาสำหรับผู้ใช้วัยรุ่นใน Instagram

    ความหมายของฉลาก PG-13
    เป็นฉลากที่ใช้ในวงการภาพยนตร์สหรัฐฯ เพื่อระบุว่าเนื้อหาอาจไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี
    ต้องผ่านการพิจารณาโดยคณะกรรมการที่มีมาตรฐานเฉพาะ

    บริบทของโลกโซเชียล
    แพลตฟอร์มอย่าง Instagram พยายามสร้างระบบกรองเนื้อหาสำหรับวัยรุ่น
    การใช้ฉลากที่มีความหมายเฉพาะ อาจสร้างความสับสนหรือเข้าใจผิด

    คำเตือนจาก MPA
    การใช้ฉลาก PG-13 โดยไม่มีมาตรฐานเดียวกัน อาจเป็นการหลอกลวงผู้ใช้
    อาจทำให้ผู้ปกครองเข้าใจผิดว่าเนื้อหาผ่านการตรวจสอบแบบเดียวกับภาพยนตร์
    เสี่ยงต่อการบั่นทอนความน่าเชื่อถือของระบบจัดเรตภาพยนตร์ในระยะยาว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/motion-picture-association-demands-meta-drop-pg-13-label-from-instagram-teen-filters
    🎬 สมาคมภาพยนตร์สหรัฐฯ จี้ Meta หยุดใช้ฉลาก PG-13 กับฟิลเตอร์วัยรุ่นใน Instagram Meta ถูกวิจารณ์หนักจาก Motion Picture Association (MPA) กรณีใช้ฉลาก “PG-13” กับฟิลเตอร์คัดกรองเนื้อหาสำหรับผู้ใช้วัยรุ่นใน Instagram โดย MPA ระบุว่าเป็นการใช้ฉลากที่ “หลอกลวง” และ “ไม่ตรงตามมาตรฐาน” ของระบบจัดเรตภาพยนตร์ที่พวกเขาดูแล ลองจินตนาการว่า Instagram มีระบบกรองเนื้อหาสำหรับวัยรุ่นที่ใช้คำว่า “PG-13” เพื่อสื่อว่าเนื้อหานั้นเหมาะสม — ฟังดูดีใช่ไหม? แต่สำหรับ Motion Picture Association ซึ่งเป็นผู้ดูแลระบบจัดเรตภาพยนตร์ในสหรัฐฯ นี่คือการละเมิดความหมายของฉลากที่พวกเขาสร้างขึ้น MPA ส่งจดหมาย “cease-and-desist” ถึง Meta เพื่อเรียกร้องให้หยุดใช้ฉลาก PG-13 กับฟิลเตอร์ใน Instagram โดยให้เหตุผลว่า ระบบของ Meta ไม่ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาแบบกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเหมือนกับการจัดเรตภาพยนตร์ Meta ยังไม่ได้ตอบโต้หรือแสดงจุดยืนต่อข้อกล่าวหานี้ แต่กรณีนี้สะท้อนถึงความท้าทายใหม่ของโลกดิจิทัล ที่คำว่า “เหมาะสม” อาจมีหลายมาตรฐาน และการใช้ฉลากที่มีความหมายเฉพาะในบริบทหนึ่ง อาจสร้างความเข้าใจผิดในอีกบริบทหนึ่ง ✅ ประเด็นหลักในข่าว ➡️ MPA ส่งจดหมายทางกฎหมายถึง Meta ให้หยุดใช้ฉลาก PG-13 ➡️ เหตุผลคือระบบฟิลเตอร์ของ Meta ไม่ได้ผ่านกระบวนการจัดเรตแบบเดียวกับภาพยนตร์ ➡️ Meta ใช้ฉลาก PG-13 กับฟิลเตอร์เนื้อหาสำหรับผู้ใช้วัยรุ่นใน Instagram ✅ ความหมายของฉลาก PG-13 ➡️ เป็นฉลากที่ใช้ในวงการภาพยนตร์สหรัฐฯ เพื่อระบุว่าเนื้อหาอาจไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ➡️ ต้องผ่านการพิจารณาโดยคณะกรรมการที่มีมาตรฐานเฉพาะ ✅ บริบทของโลกโซเชียล ➡️ แพลตฟอร์มอย่าง Instagram พยายามสร้างระบบกรองเนื้อหาสำหรับวัยรุ่น ➡️ การใช้ฉลากที่มีความหมายเฉพาะ อาจสร้างความสับสนหรือเข้าใจผิด ‼️ คำเตือนจาก MPA ⛔ การใช้ฉลาก PG-13 โดยไม่มีมาตรฐานเดียวกัน อาจเป็นการหลอกลวงผู้ใช้ ⛔ อาจทำให้ผู้ปกครองเข้าใจผิดว่าเนื้อหาผ่านการตรวจสอบแบบเดียวกับภาพยนตร์ ⛔ เสี่ยงต่อการบั่นทอนความน่าเชื่อถือของระบบจัดเรตภาพยนตร์ในระยะยาว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/motion-picture-association-demands-meta-drop-pg-13-label-from-instagram-teen-filters
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Motion Picture Association demands Meta drop PG-13 label from Instagram teen filters
    (Reuters) -The Motion Picture Association has sent a cease-and-desist letter to Meta, objecting to the social media platform's use of filters inspired by the PG-13 movie rating system for content moderation on Instagram for users under 18.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่สะเทือนวงการไอที: ช่องโหว่ Microsoft Teams เปิดทางแฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร

    วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานสายไอทีและองค์กรทั่วโลกต้องฟังให้ดี เพราะมันเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารยอดนิยมอย่าง Microsoft Teams ที่มีผู้ใช้งานกว่า 320 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งล่าสุดนักวิจัยจาก Check Point Research ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด ที่สามารถทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดี “ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร” และ “เปลี่ยนแปลงข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย” ได้อย่างแนบเนียน

    ลองนึกภาพว่า คุณได้รับข้อความจาก CEO หรือหัวหน้าฝ่ายการเงินที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วมันถูกปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์อันตราย หรือโอนเงินผิดบัญชี… นี่คือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงจากช่องโหว่เหล่านี้

    4 ช่องโหว่ที่ถูกเปิดโปง
    แก้ไขข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย แฮกเกอร์สามารถเปลี่ยนเนื้อหาข้อความที่ส่งไปแล้ว โดยไม่แสดงคำว่า “Edited” ทำให้ผู้รับไม่รู้ว่าข้อความถูกแก้ไข
    ปลอมการแจ้งเตือนข้อความ โดยการเปลี่ยนค่า imdisplayname ทำให้สามารถแสดงชื่อผู้ส่งเป็นบุคคลสำคัญ เช่น CEO หรือ CFO ได้
    เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ใช้ API เปลี่ยนชื่อหัวข้อแชท ทำให้ผู้รับเข้าใจผิดว่าแชทนั้นมาจากคนอื่น
    ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง เปลี่ยนค่า displayName ในการเริ่มต้นการโทร ทำให้ดูเหมือนว่าโทรมาจากผู้บริหารหรือแผนกสำคัญ

    สาระเพิ่มเติม
    ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “Social Engineering” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกล่อเหยื่อให้ทำตามโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ

    การปลอมตัวในระบบสื่อสารองค์กรสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ BEC (Business Email Compromise) ซึ่งสร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ต่อปี

    แม้ Microsoft จะจัดระดับความรุนแรงเป็น “ปานกลาง” แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความสามารถในการปลอมตัวในระบบที่ใช้กันทั่วโลกนั้น “อันตรายกว่าที่คิด”

    สรุปประเด็นสำคัญ

    ช่องโหว่ที่พบใน Microsoft Teams
    แก้ไขข้อความโดยไม่แสดงว่าเคยถูกแก้
    ปลอมชื่อผู้ส่งในแจ้งเตือน
    เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว
    ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    การหลอกให้โอนเงินผิดบัญชี
    การแพร่กระจายมัลแวร์ผ่านลิงก์ปลอม
    การขโมยข้อมูลบัญชีหรือรหัสผ่าน
    การสร้างความสับสนในการประชุมสำคัญ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานองค์กร
    อย่าเชื่อข้อความหรือการแจ้งเตือนจากบุคคลสำคัญโดยไม่ตรวจสอบ
    หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากข้อความที่ดูผิดปกติ
    ควรมีการอบรมพนักงานเรื่องภัย Social Engineering
    อัปเดตระบบและติดตามช่องโหว่จากผู้พัฒนาอย่างใกล้ชิด

    ถ้าองค์กรของคุณใช้ Microsoft Teams เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร เรื่องนี้ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค… แต่มันคือเรื่องของ “ความไว้วางใจ” ที่อาจถูกทำลายได้ในพริบตา.

    https://securityonline.info/microsoft-teams-flaws-exposed-attackers-could-impersonate-executives-and-forge-caller-identity/
    🛡️ ข่าวใหญ่สะเทือนวงการไอที: ช่องโหว่ Microsoft Teams เปิดทางแฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานสายไอทีและองค์กรทั่วโลกต้องฟังให้ดี เพราะมันเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารยอดนิยมอย่าง Microsoft Teams ที่มีผู้ใช้งานกว่า 320 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งล่าสุดนักวิจัยจาก Check Point Research ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด ที่สามารถทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดี “ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร” และ “เปลี่ยนแปลงข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย” ได้อย่างแนบเนียน ลองนึกภาพว่า คุณได้รับข้อความจาก CEO หรือหัวหน้าฝ่ายการเงินที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วมันถูกปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์อันตราย หรือโอนเงินผิดบัญชี… นี่คือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงจากช่องโหว่เหล่านี้ 🔍 4 ช่องโหว่ที่ถูกเปิดโปง ✏️ แก้ไขข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย แฮกเกอร์สามารถเปลี่ยนเนื้อหาข้อความที่ส่งไปแล้ว โดยไม่แสดงคำว่า “Edited” ทำให้ผู้รับไม่รู้ว่าข้อความถูกแก้ไข 📢 ปลอมการแจ้งเตือนข้อความ โดยการเปลี่ยนค่า imdisplayname ทำให้สามารถแสดงชื่อผู้ส่งเป็นบุคคลสำคัญ เช่น CEO หรือ CFO ได้ 💬 เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ใช้ API เปลี่ยนชื่อหัวข้อแชท ทำให้ผู้รับเข้าใจผิดว่าแชทนั้นมาจากคนอื่น 📞 ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง เปลี่ยนค่า displayName ในการเริ่มต้นการโทร ทำให้ดูเหมือนว่าโทรมาจากผู้บริหารหรือแผนกสำคัญ 🧠 สาระเพิ่มเติม ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “Social Engineering” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกล่อเหยื่อให้ทำตามโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ การปลอมตัวในระบบสื่อสารองค์กรสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ BEC (Business Email Compromise) ซึ่งสร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ต่อปี แม้ Microsoft จะจัดระดับความรุนแรงเป็น “ปานกลาง” แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความสามารถในการปลอมตัวในระบบที่ใช้กันทั่วโลกนั้น “อันตรายกว่าที่คิด” 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่พบใน Microsoft Teams ➡️ แก้ไขข้อความโดยไม่แสดงว่าเคยถูกแก้ ➡️ ปลอมชื่อผู้ส่งในแจ้งเตือน ➡️ เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ➡️ ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ การหลอกให้โอนเงินผิดบัญชี ➡️ การแพร่กระจายมัลแวร์ผ่านลิงก์ปลอม ➡️ การขโมยข้อมูลบัญชีหรือรหัสผ่าน ➡️ การสร้างความสับสนในการประชุมสำคัญ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานองค์กร ⛔ อย่าเชื่อข้อความหรือการแจ้งเตือนจากบุคคลสำคัญโดยไม่ตรวจสอบ ⛔ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากข้อความที่ดูผิดปกติ ⛔ ควรมีการอบรมพนักงานเรื่องภัย Social Engineering ⛔ อัปเดตระบบและติดตามช่องโหว่จากผู้พัฒนาอย่างใกล้ชิด ถ้าองค์กรของคุณใช้ Microsoft Teams เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร เรื่องนี้ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค… แต่มันคือเรื่องของ “ความไว้วางใจ” ที่อาจถูกทำลายได้ในพริบตา. https://securityonline.info/microsoft-teams-flaws-exposed-attackers-could-impersonate-executives-and-forge-caller-identity/
    SECURITYONLINE.INFO
    Microsoft Teams Flaws Exposed: Attackers Could Impersonate Executives and Forge Caller Identity
    Check Point exposed four critical flaws in Microsoft Teams. Attackers could forge executive caller IDs, silently edit messages without trace, and spoof notifications for BEC and espionage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Blackwell สำหรับอเมริกาเท่านั้น! รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ย้ำชัด จีนต้องรอจนชิปตกยุค”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการแข่งขันระดับโลก สหรัฐฯ ยังคงเดินเกมควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง โดยล่าสุด Scott Bessent รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่สอดคล้องกับประธานาธิบดี Donald Trump ว่า “ชิป AI ระดับสูงสุดจาก Nvidia จะถูกสงวนไว้ให้ใช้ภายในประเทศเท่านั้น”

    Bessent กล่าวผ่าน CNBC ว่า Blackwell — ชิป AI รุ่นล่าสุดจาก Nvidia — เป็น “อัญมณีแห่งเทคโนโลยี” และจะไม่ถูกส่งออกไปยังจีนจนกว่าจะตกยุค โดยอาจใช้เวลาราว 12–24 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับแผนการเปิดตัว Vera Rubin รุ่นถัดไปในปีหน้า

    แม้จะไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการจากทำเนียบขาว แต่คำพูดของ Bessent สะท้อนแนวโน้มเชิงนโยบายที่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดี และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและการค้า

    ขณะเดียวกัน Nvidia ก็เตรียมเปิดตัวรุ่น “ลดสเปก” สำหรับจีนในชื่อ B30A ซึ่งจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากมีการขายในจีน

    สหรัฐฯ ยืนยันไม่ส่งออกชิป Blackwell ไปจีนในช่วงแรก
    Scott Bessent ระบุว่า Blackwell จะถูกสงวนไว้ให้ใช้ในประเทศ
    อาจใช้เวลาราว 12–24 เดือนก่อนจะอนุญาตให้ส่งออก

    ความเห็นสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดี Trump
    Trump เคยกล่าวว่า “จีนจะไม่ได้รับชิปที่ดีที่สุดจาก Nvidia”
    เป็นการควบคุมเทคโนโลยีเพื่อรักษาความได้เปรียบด้าน AI

    Nvidia เตรียมเปิดตัวรุ่นลดสเปกสำหรับจีน
    รุ่น B30A มีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่นมาตรฐาน
    หากขายในจีน ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ

    การพัฒนาในอนาคต
    Blackwell จะถูกแทนที่ด้วย Vera Rubin ในปีหน้า
    เมื่อ Blackwell ตกรุ่น อาจถูกอนุญาตให้ส่งออกไปยังจีน

    คำเตือนด้านการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    การจำกัดการส่งออกอาจกระทบต่อความร่วมมือด้านเทคโนโลยี
    จีนอาจเร่งพัฒนาเทคโนโลยีภายในเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ

    คำเตือนด้านการละเมิดข้อจำกัด
    มีรายงานว่าชิป Blackwell ยังหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางสีเทา
    การนำเข้าแบบผิดกฎหมายอาจสร้างความตึงเครียดทางการค้า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/echoing-trumps-sentiments-americas-finance-chief-bessent-says-the-most-advanced-ai-gpus-are-restricted-to-home-soil-china-can-have-blackwell-chips-once-theyre-outdated
    🇺🇸🚫 “Blackwell สำหรับอเมริกาเท่านั้น! รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ย้ำชัด จีนต้องรอจนชิปตกยุค” ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการแข่งขันระดับโลก สหรัฐฯ ยังคงเดินเกมควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง โดยล่าสุด Scott Bessent รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่สอดคล้องกับประธานาธิบดี Donald Trump ว่า “ชิป AI ระดับสูงสุดจาก Nvidia จะถูกสงวนไว้ให้ใช้ภายในประเทศเท่านั้น” Bessent กล่าวผ่าน CNBC ว่า Blackwell — ชิป AI รุ่นล่าสุดจาก Nvidia — เป็น “อัญมณีแห่งเทคโนโลยี” และจะไม่ถูกส่งออกไปยังจีนจนกว่าจะตกยุค โดยอาจใช้เวลาราว 12–24 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับแผนการเปิดตัว Vera Rubin รุ่นถัดไปในปีหน้า แม้จะไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการจากทำเนียบขาว แต่คำพูดของ Bessent สะท้อนแนวโน้มเชิงนโยบายที่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดี และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและการค้า ขณะเดียวกัน Nvidia ก็เตรียมเปิดตัวรุ่น “ลดสเปก” สำหรับจีนในชื่อ B30A ซึ่งจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากมีการขายในจีน ✅ สหรัฐฯ ยืนยันไม่ส่งออกชิป Blackwell ไปจีนในช่วงแรก ➡️ Scott Bessent ระบุว่า Blackwell จะถูกสงวนไว้ให้ใช้ในประเทศ ➡️ อาจใช้เวลาราว 12–24 เดือนก่อนจะอนุญาตให้ส่งออก ✅ ความเห็นสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดี Trump ➡️ Trump เคยกล่าวว่า “จีนจะไม่ได้รับชิปที่ดีที่สุดจาก Nvidia” ➡️ เป็นการควบคุมเทคโนโลยีเพื่อรักษาความได้เปรียบด้าน AI ✅ Nvidia เตรียมเปิดตัวรุ่นลดสเปกสำหรับจีน ➡️ รุ่น B30A มีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่นมาตรฐาน ➡️ หากขายในจีน ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ✅ การพัฒนาในอนาคต ➡️ Blackwell จะถูกแทนที่ด้วย Vera Rubin ในปีหน้า ➡️ เมื่อ Blackwell ตกรุ่น อาจถูกอนุญาตให้ส่งออกไปยังจีน ‼️ คำเตือนด้านการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ⛔ การจำกัดการส่งออกอาจกระทบต่อความร่วมมือด้านเทคโนโลยี ⛔ จีนอาจเร่งพัฒนาเทคโนโลยีภายในเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนด้านการละเมิดข้อจำกัด ⛔ มีรายงานว่าชิป Blackwell ยังหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางสีเทา ⛔ การนำเข้าแบบผิดกฎหมายอาจสร้างความตึงเครียดทางการค้า https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/echoing-trumps-sentiments-americas-finance-chief-bessent-says-the-most-advanced-ai-gpus-are-restricted-to-home-soil-china-can-have-blackwell-chips-once-theyre-outdated
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Michael Burry เดิมพันสวนกระแส AI! ทำนายฟองสบู่แตก พร้อมเงินเดิมพันพันล้านดอลลาร์”
    Michael Burry นักลงทุนชื่อดังจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ผู้เคยทำนายวิกฤตซับไพรม์ได้อย่างแม่นยำ กลับมาอีกครั้งพร้อมเดิมพันครั้งใหญ่กับฟองสบู่ AI ที่กำลังพองโตในตลาดหุ้น โดยบริษัทของเขา Scion Asset Management ได้เปิดเผยว่าได้ซื้อ “Put Options” กับหุ้นของสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการ AI — Nvidia และ Palantir — รวมมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์

    Burry โพสต์ข้อความลึกลับในสไตล์ “Haiku การเงิน” ผ่านบัญชี Twitter/X ของเขา “Cassandra Unchained” ว่า:


    “บางครั้ง เราเห็นฟองสบู่ บางครั้ง เราทำอะไรกับมันได้ บางครั้ง การไม่เล่น คือชัยชนะเดียว”


    การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลของนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนหลายฝ่ายที่เปรียบเทียบฟองสบู่ AI กับฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 โดยมีการลงทุนมหาศาลในบริษัทที่ยังไม่สามารถแสดงรายได้จริงจากเทคโนโลยี AI ได้อย่างชัดเจน

    แม้ Nvidia จะถูกมองว่าเป็น “ผู้ขายพลั่วในยุคขุดทอง AI” เพราะผลิต GPU ที่ทุกบริษัทต้องใช้ แต่ Burry ก็ยังมองว่าความร้อนแรงของตลาดอาจนำไปสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อมีดีลแบบ “วงกลม” ที่บริษัท AI ซื้อขายกันเองเพื่อสร้างมูลค่าเทียม

    Michael Burry เดิมพันสวนกระแส AI
    ซื้อ Put Options กับหุ้น Nvidia และ Palantir
    มูลค่ารวมกว่า 1 พันล้านดอลลาร์

    ฟองสบู่ AI ถูกเปรียบเทียบกับฟองสบู่ดอทคอม
    นักลงทุนหลายฝ่ายเริ่มกังวลกับการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง
    บริษัท AI ลงทุนมหาศาลโดยยังไม่มีโมเดลรายได้ที่ชัดเจน

    Nvidia ถูกมองว่าอาจรอดจากฟองสบู่
    เป็นผู้ผลิต GPU ที่จำเป็นต่อทุกบริษัท AI
    เปรียบเสมือน “ผู้ขายพลั่ว” ในยุคขุดทอง

    ดีลแบบ “วงกลม” เพิ่มความเสี่ยง
    บริษัท AI ซื้อขายกันเองเพื่อสร้างภาพลักษณ์การเติบโต
    เช่นดีลระหว่าง xAI, OpenAI และ AMD ที่มีหุ้นเกี่ยวข้อง

    คำเตือนสำหรับนักลงทุน
    ตลาด AI อาจเข้าสู่ช่วงปรับฐาน หากรายได้ไม่ตามความคาดหวัง
    การลงทุนในหุ้น AI ต้องพิจารณาความเสี่ยงจากการประเมินมูลค่าที่เกินจริง

    คำเตือนจากอดีตวิกฤต
    ฟองสบู่ดอทคอมเคยทำให้บริษัทใหญ่ล้มละลาย
    นักลงทุนรายย่อยอาจได้รับผลกระทบหนัก หากไม่ระวัง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/2008-financial-crisis-prophet-bets-against-the-ai-bubble-with-potential-usd1-billion-payout-michael-burry-reveals-put-options-on-nvidia-and-palantir
    📉🧠 “Michael Burry เดิมพันสวนกระแส AI! ทำนายฟองสบู่แตก พร้อมเงินเดิมพันพันล้านดอลลาร์” Michael Burry นักลงทุนชื่อดังจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ผู้เคยทำนายวิกฤตซับไพรม์ได้อย่างแม่นยำ กลับมาอีกครั้งพร้อมเดิมพันครั้งใหญ่กับฟองสบู่ AI ที่กำลังพองโตในตลาดหุ้น โดยบริษัทของเขา Scion Asset Management ได้เปิดเผยว่าได้ซื้อ “Put Options” กับหุ้นของสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการ AI — Nvidia และ Palantir — รวมมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ Burry โพสต์ข้อความลึกลับในสไตล์ “Haiku การเงิน” ผ่านบัญชี Twitter/X ของเขา “Cassandra Unchained” ว่า: 🔖🔖 “บางครั้ง เราเห็นฟองสบู่ บางครั้ง เราทำอะไรกับมันได้ บางครั้ง การไม่เล่น คือชัยชนะเดียว” 🔖🔖 การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลของนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนหลายฝ่ายที่เปรียบเทียบฟองสบู่ AI กับฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 โดยมีการลงทุนมหาศาลในบริษัทที่ยังไม่สามารถแสดงรายได้จริงจากเทคโนโลยี AI ได้อย่างชัดเจน แม้ Nvidia จะถูกมองว่าเป็น “ผู้ขายพลั่วในยุคขุดทอง AI” เพราะผลิต GPU ที่ทุกบริษัทต้องใช้ แต่ Burry ก็ยังมองว่าความร้อนแรงของตลาดอาจนำไปสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อมีดีลแบบ “วงกลม” ที่บริษัท AI ซื้อขายกันเองเพื่อสร้างมูลค่าเทียม ✅ Michael Burry เดิมพันสวนกระแส AI ➡️ ซื้อ Put Options กับหุ้น Nvidia และ Palantir ➡️ มูลค่ารวมกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ✅ ฟองสบู่ AI ถูกเปรียบเทียบกับฟองสบู่ดอทคอม ➡️ นักลงทุนหลายฝ่ายเริ่มกังวลกับการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง ➡️ บริษัท AI ลงทุนมหาศาลโดยยังไม่มีโมเดลรายได้ที่ชัดเจน ✅ Nvidia ถูกมองว่าอาจรอดจากฟองสบู่ ➡️ เป็นผู้ผลิต GPU ที่จำเป็นต่อทุกบริษัท AI ➡️ เปรียบเสมือน “ผู้ขายพลั่ว” ในยุคขุดทอง ✅ ดีลแบบ “วงกลม” เพิ่มความเสี่ยง ➡️ บริษัท AI ซื้อขายกันเองเพื่อสร้างภาพลักษณ์การเติบโต ➡️ เช่นดีลระหว่าง xAI, OpenAI และ AMD ที่มีหุ้นเกี่ยวข้อง ‼️ คำเตือนสำหรับนักลงทุน ⛔ ตลาด AI อาจเข้าสู่ช่วงปรับฐาน หากรายได้ไม่ตามความคาดหวัง ⛔ การลงทุนในหุ้น AI ต้องพิจารณาความเสี่ยงจากการประเมินมูลค่าที่เกินจริง ‼️ คำเตือนจากอดีตวิกฤต ⛔ ฟองสบู่ดอทคอมเคยทำให้บริษัทใหญ่ล้มละลาย ⛔ นักลงทุนรายย่อยอาจได้รับผลกระทบหนัก หากไม่ระวัง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/2008-financial-crisis-prophet-bets-against-the-ai-bubble-with-potential-usd1-billion-payout-michael-burry-reveals-put-options-on-nvidia-and-palantir
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่ในวงการข่าวกรอง: อดีต CTO CIA ร่วมทีม Brinker เพื่อสู้ภัยข่าวลวงด้วย AI

    Bob Flores อดีต Chief Technology Officer ของ CIA ได้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาให้กับ Brinker บริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง (narrative intelligence) ที่มุ่งมั่นต่อสู้กับการบิดเบือนข้อมูลและแคมเปญอิทธิพลระดับโลกด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง

    Brinker ก่อตั้งโดย Benny Schnaider, Daniel Ravner และ Oded Breiner โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และสกัดกั้นเนื้อหาที่เป็นภัยในโลกออนไลน์แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่ตรวจจับ แต่ต้อง “ตอบโต้” ได้ทันที

    Bob Flores กล่าวไว้ว่า “การรับมือกับข่าวลวงแบบเดิมๆ ไม่ทันต่อความเร็วและขนาดของแคมเปญอิทธิพลในปัจจุบัน” และเขาเชื่อว่า Brinker จะเปลี่ยนเกมนี้ได้ด้วยระบบที่วิเคราะห์และตอบโต้ได้ทันที

    Brinker ใช้ LLM (Large Language Model) ที่พัฒนาเอง ซึ่งสามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัยได้ข้ามแพลตฟอร์ม ภาษา และภูมิศาสตร์ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลที่เครื่องมือเดิมต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นภาพ

    Flores ซึ่งมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีระดับสูง ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการเข้าร่วมของเขาใน Brinker ถือเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ หลังจากที่ Avi Kastan อดีต CEO ของ Sixgill ก็เพิ่งเข้าร่วมทีมที่ปรึกษาเช่นกัน

    Bob Flores เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา Brinker
    อดีต CTO ของ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองและเทคโนโลยี
    ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc.

    Brinker คือบริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง
    ใช้ AI วิเคราะห์และตอบโต้ข่าวลวงแบบเรียลไทม์
    มี LLM ที่สามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัย

    เป้าหมายของ Brinker คือการเปลี่ยนจาก “ตรวจจับ” เป็น “ตอบโต้”
    ระบบสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ลบเนื้อหา, เผยแพร่เนื้อหาตอบโต้, ดำเนินการทางกฎหมายเบื้องต้น

    ทีมที่ปรึกษา Brinker แข็งแกร่งขึ้น
    รวมผู้เชี่ยวชาญจาก CIA และ Sixgill
    เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามระดับโลก

    ความท้าทายของการต่อสู้กับข่าวลวง
    ข่าวลวงแพร่กระจายเร็วและข้ามแพลตฟอร์ม
    การตอบโต้แบบเดิมไม่ทันต่อสถานการณ์

    ความเสี่ยงหากไม่มีระบบตอบโต้แบบเรียลไทม์
    องค์กรอาจตกเป็นเป้าหมายของแคมเปญอิทธิพล
    ข้อมูลผิดอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับชาติและองค์กร

    นี่คือการเคลื่อนไหวที่สะท้อนว่า “สงครามข้อมูล” ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และการมีผู้เชี่ยวชาญระดับ Bob Flores เข้ามาเสริมทัพ Brinker คือการประกาศชัดว่า AI จะเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับภัยเงียบในโลกดิจิทัล.

    https://securityonline.info/bob-flores-former-cto-of-the-cia-joins-brinker/
    🧠 ข่าวใหญ่ในวงการข่าวกรอง: อดีต CTO CIA ร่วมทีม Brinker เพื่อสู้ภัยข่าวลวงด้วย AI Bob Flores อดีต Chief Technology Officer ของ CIA ได้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาให้กับ Brinker บริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง (narrative intelligence) ที่มุ่งมั่นต่อสู้กับการบิดเบือนข้อมูลและแคมเปญอิทธิพลระดับโลกด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง Brinker ก่อตั้งโดย Benny Schnaider, Daniel Ravner และ Oded Breiner โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และสกัดกั้นเนื้อหาที่เป็นภัยในโลกออนไลน์แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่ตรวจจับ แต่ต้อง “ตอบโต้” ได้ทันที Bob Flores กล่าวไว้ว่า “การรับมือกับข่าวลวงแบบเดิมๆ ไม่ทันต่อความเร็วและขนาดของแคมเปญอิทธิพลในปัจจุบัน” และเขาเชื่อว่า Brinker จะเปลี่ยนเกมนี้ได้ด้วยระบบที่วิเคราะห์และตอบโต้ได้ทันที Brinker ใช้ LLM (Large Language Model) ที่พัฒนาเอง ซึ่งสามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัยได้ข้ามแพลตฟอร์ม ภาษา และภูมิศาสตร์ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลที่เครื่องมือเดิมต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นภาพ Flores ซึ่งมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีระดับสูง ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการเข้าร่วมของเขาใน Brinker ถือเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ หลังจากที่ Avi Kastan อดีต CEO ของ Sixgill ก็เพิ่งเข้าร่วมทีมที่ปรึกษาเช่นกัน ✅ Bob Flores เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา Brinker ➡️ อดีต CTO ของ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองและเทคโนโลยี ➡️ ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. ✅ Brinker คือบริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์และตอบโต้ข่าวลวงแบบเรียลไทม์ ➡️ มี LLM ที่สามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัย ✅ เป้าหมายของ Brinker คือการเปลี่ยนจาก “ตรวจจับ” เป็น “ตอบโต้” ➡️ ระบบสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ลบเนื้อหา, เผยแพร่เนื้อหาตอบโต้, ดำเนินการทางกฎหมายเบื้องต้น ✅ ทีมที่ปรึกษา Brinker แข็งแกร่งขึ้น ➡️ รวมผู้เชี่ยวชาญจาก CIA และ Sixgill ➡️ เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามระดับโลก ‼️ ความท้าทายของการต่อสู้กับข่าวลวง ⛔ ข่าวลวงแพร่กระจายเร็วและข้ามแพลตฟอร์ม ⛔ การตอบโต้แบบเดิมไม่ทันต่อสถานการณ์ ‼️ ความเสี่ยงหากไม่มีระบบตอบโต้แบบเรียลไทม์ ⛔ องค์กรอาจตกเป็นเป้าหมายของแคมเปญอิทธิพล ⛔ ข้อมูลผิดอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับชาติและองค์กร นี่คือการเคลื่อนไหวที่สะท้อนว่า “สงครามข้อมูล” ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และการมีผู้เชี่ยวชาญระดับ Bob Flores เข้ามาเสริมทัพ Brinker คือการประกาศชัดว่า AI จะเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับภัยเงียบในโลกดิจิทัล. https://securityonline.info/bob-flores-former-cto-of-the-cia-joins-brinker/
    SECURITYONLINE.INFO
    Bob Flores, Former CTO of the CIA, Joins Brinker
    Delaware, United States, 4th November 2025, CyberNewsWire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Trustpilot Reviews
    https://smmbostsell.com/product/buy-trustpilot-reviews/
    24 Hours Reply/Contact

    ✓➤Telegram: smmbostsell

    ✓➤WhatsApp: +1(909)202-1828

    ✓➤Email: smmbostsell@gmail.com

    #buytrustpilotreviews #seo #socialmedia #digitalmarketer #seoservice #usaaccount #topseller
    Buy Trustpilot Reviews https://smmbostsell.com/product/buy-trustpilot-reviews/ 24 Hours Reply/Contact ✓➤Telegram: smmbostsell ✓➤WhatsApp: +1(909)202-1828 ✓➤Email: smmbostsell@gmail.com #buytrustpilotreviews #seo #socialmedia #digitalmarketer #seoservice #usaaccount #topseller
    SMMBOSTSELL.COM
    Buy Trustpilot Reviews
    Buy Trust with Real Trustpilot Reviews from Smmbostsell — Reputation matters, and with Smmbostsell, your brand can shine where it counts most. We deliver 100% authentic, verified Trustpilot reviews from real, active profiles that help enhance your brand image and attract loyal customers. Trustpilot is more than just a review platform — it’s a powerful trust signal that improves your rating, builds credibility, and gives your business the competitive edge to grow. From startups to global brands, Smmbostsell is your trusted source for long-term online credibility. Get noticed. Get trusted. Grow with Smmbostsell.Com. Our Service Features- ❖100% Safe and Guaranteed. ❖Full Completed Profiles. ❖100% Recovery Guaranty (Lifetime). ❖Realistic Photo Attached Accounts. ❖Mostly USA, European Profile’s Bio and Photo. ❖No bots, programs/software used. 24 Hours Reply/Contact Telegram: smmbostsell WhatsApp: +1(909)202-1828 Email: smmbostsell@gmail.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว

  • Buy Google Play Store Reviews
    https://smmbostsell.com/product/buy-google-play-store-reviews/
    24 Hours Reply/Contact

    ✓➤Telegram: smmbostsell

    ✓➤WhatsApp: +1(909)202-1828

    ✓➤Email: smmbostsell@gmail.com

    #buygoogleplaystorereviews #seo #socialmedia #digitalmarketer #seoservice #usaaccount #topseller
    Buy Google Play Store Reviews https://smmbostsell.com/product/buy-google-play-store-reviews/ 24 Hours Reply/Contact ✓➤Telegram: smmbostsell ✓➤WhatsApp: +1(909)202-1828 ✓➤Email: smmbostsell@gmail.com #buygoogleplaystorereviews #seo #socialmedia #digitalmarketer #seoservice #usaaccount #topseller
    SMMBOSTSELL.COM
    Buy Google Play Store Reviews
    Buying Google Play Store Reviews from Smmbostsell.com. Smmbostsell delivers 100% real, verified user reviews that boost your app’s visibility and build lasting credibility. As a trusted platform across the U.S. and beyond, we’ve helped thousands of app creators gain traction through authentic, high-quality feedback that both users and algorithms rely on. Our reviews do more than just look good — they help increase installs, boost user confidence, and give your app the edge it needs to stand out in today’s competitive marketplace. Choose Smmbostsell today and watch your app grow with real results, real users, and real credibility. Your success begins with social proof that speaks for itself. Our Service Features- ❖Instant Work Start & Quick deliver. ❖Mostly USA, UK, CA, AUS Profile’s Bio, and Photo. ❖Full Completed Profiles. ❖100% Satisfaction Guarantee. ❖100% safe and stable accounts. ❖100% Recovery Guarantee. ❖Manual and Non-drop. ❖24/7 Customer Support. 24 Hours Reply/Contact Telegram: smmbostsell WhatsApp: +1(909)202-1828 Email: smmbostsell@gmail.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Google 5 Star Reviews
    https://smmbostsell.com/product/buy-google-5-star-reviews/
    24 Hours Reply/Contact

    ✓➤Telegram: smmbostsell

    ✓➤WhatsApp: +1(909)202-1828

    ✓➤Email: smmbostsell@gmail.com

    #buygoogle5starreviews #seo #socialmedia #digitalmarketer #seoservice #usaaccount #topseller
    Buy Google 5 Star Reviews https://smmbostsell.com/product/buy-google-5-star-reviews/ 24 Hours Reply/Contact ✓➤Telegram: smmbostsell ✓➤WhatsApp: +1(909)202-1828 ✓➤Email: smmbostsell@gmail.com #buygoogle5starreviews #seo #socialmedia #digitalmarketer #seoservice #usaaccount #topseller
    SMMBOSTSELL.COM
    Buy Google 5 Star Reviews
    Buy Google 5 Star Reviews Smmbostsell.com. We can give you the best Google 5 Star Reviews. USA, UK, CA, AS any country reviews provider 5-star positive reviews. 100% non-drop real safe Permanent Reviews.100% trusted.Strengthen your brand reputation, gain customer confidence, and grow faster-all with powerful reviews from Smmbostsell.com. Our Service Features- ❖High-Quality Service ❖100% Safe & Secure Service ❖High-Quality Reviews Service ❖100% Recovery Guarantee ❖Full Complete Profiles ❖100% Satisfaction Guaranteed 24 Hours Reply/Contact Telegram: smmbostsell WhatsApp: +1(909)202-1828 Email: smmbostsell@gmail.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Facebook Reviews
    https://smmbostsell.com/product/buy-facebook-reviews/
    24 Hours Reply/Contact

    ✓➤Telegram: smmbostsell

    ✓➤WhatsApp: +1(909)202-1828

    ✓➤Email: smmbostsell@gmail.com

    #buyfacebookreviews #seo #socialmedia #digitalmarketer #seoservice #usaaccount #topseller
    Buy Facebook Reviews https://smmbostsell.com/product/buy-facebook-reviews/ 24 Hours Reply/Contact ✓➤Telegram: smmbostsell ✓➤WhatsApp: +1(909)202-1828 ✓➤Email: smmbostsell@gmail.com #buyfacebookreviews #seo #socialmedia #digitalmarketer #seoservice #usaaccount #topseller
    SMMBOSTSELL.COM
    Buy Facebook Reviews
    Buy Facebook Reviews from Smmbostsell – Real Feedback, Real Impact Want to make your Facebook page look trustworthy and professional? Smmbostsell.com delivers 100% genuine 5‑star reviews from active users to boost your reputation. These real reviews help increase your visibility, attract more engagement, and influence new customers to choose your business. Build strong social proof and grow faster — get started today with verified reviews that make a difference. Our Service Features- ❖Manual & Non-drop Reviews. ❖Express Delivery. ❖High quality. ❖24/7 Customer Support. ❖100% Safe & Secure Service. ❖USA, UK, CA, AU Facebook Reviews. ❖Money Back Guarantee. 24 Hours Reply/Contact Telegram: smmbostsell WhatsApp: +1(909)202-1828 Email: smmbostsell@gmail.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Facebook Ads Account
    https://smmbostsell.com/product/buy-facebook-ads-account/
    24 Hours Reply/Contact

    ✓➤Telegram: smmbostsell

    ✓➤WhatsApp: +1(909)202-1828

    ✓➤Email: smmbostsell@gmail.com

    #buyfacebookadsaccount #seo #socialmedia #digitalmarketer #seoservice #usaaccount #topseller
    Buy Facebook Ads Account https://smmbostsell.com/product/buy-facebook-ads-account/ 24 Hours Reply/Contact ✓➤Telegram: smmbostsell ✓➤WhatsApp: +1(909)202-1828 ✓➤Email: smmbostsell@gmail.com #buyfacebookadsaccount #seo #socialmedia #digitalmarketer #seoservice #usaaccount #topseller
    SMMBOSTSELL.COM
    Buy Facebook Ads Account
    Trusted Buy Facebook Ads Accounts from Smmbostsell – Verified & Ready Smmbostsell delivers high-quality Facebook Ads accounts created with authentic details, official ID verification, and full security setup. These ad-ready accounts are perfect for marketers, businesses, and agencies looking for reliable access to Facebook’s advertising platform without setup delays. No fake info, no risk — just verified accounts you can start using right away. Buy now from Smmbostsell.com and launch your ads without limits. Our Service Features- ❖100% full Documents Verified. ❖100% Satisfaction & Recovery Guaranteed. ❖100% Verified Facebook Business Manager. ❖Create Unlimited Facebook Ads. ❖Fully Secure and Ready for Ads. 24 Hours Reply/Contact Telegram: smmbostsell WhatsApp: +1(909)202-1828 Email: smmbostsell@gmail.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts