• “CISO ยุคใหม่ต้องพูดภาษาธุรกิจให้เป็น”
    Cybersecurity ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือเรื่องของมูลค่าทางธุรกิจ

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่ต้องขึ้นไปนำเสนอผลงานต่อบอร์ดบริหาร คุณเตรียมข้อมูลแน่นปึ้ก ทั้งกราฟการแพตช์ระบบ ช่องโหว่ที่อุดแล้ว และคะแนน maturity จาก NIST… แต่พอพูดจบ บอร์ดกลับถามว่า “แล้วทั้งหมดนี้ช่วยธุรกิจยังไง?”

    นี่คือปัญหาที่ CISO หลายคนกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน — การสื่อสาร “คุณค่าทางธุรกิจ” ของ cybersecurity ด้วยภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจได้

    Michael Oberlaender ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปี บอกว่า CISO ต้อง “ออกจาก comfort zone” ไปพูดคุยกับแผนกต่างๆ เพื่อเข้าใจเป้าหมายของธุรกิจ แล้วจึงนำข้อมูลเหล่านั้นมาสร้าง “metrics” ที่สะท้อนความเสี่ยงและมูลค่าทางการเงินได้จริง

    Chris Hetner ที่ปรึกษาอาวุโสด้านความเสี่ยงไซเบอร์ของ NACD เสริมว่า บอร์ดบริหารไม่ได้อยากฟังศัพท์เทคนิค แต่ต้องการรู้ว่า “เงินที่ลงทุนไปช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจได้แค่ไหน” และ “เทียบกับคู่แข่งแล้ว เราอยู่ตรงไหน”

    Nick Nolen จาก Redpoint Cybersecurity ก็ยกตัวอย่างว่า เขาใช้โมเดลวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินเพื่อแสดงให้ CEO เห็นว่า การลงทุนด้านไซเบอร์ช่วยลดความเสี่ยงจาก $50 ล้าน เหลือ $25 ล้านได้อย่างไร — นี่แหละคือภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจ

    CISO ต้องสื่อสารคุณค่าทางธุรกิจของ cybersecurity
    ไม่ใช่แค่รายงาน patch หรือ maturity score แต่ต้องแสดงผลกระทบต่อรายได้ ความเสี่ยง และต้นทุน
    ใช้ metrics ที่สะท้อนความเสี่ยงทางการเงิน เช่น ความเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับประกัน หรือ ROI จากการลงทุนด้านความปลอดภัย

    Enterprise Risk Management (ERM) คือกุญแจสำคัญ
    การมี ERM ช่วยให้ CISO เชื่อมโยง cybersecurity กับเป้าหมายธุรกิจได้ง่ายขึ้น
    หากองค์กรไม่มี ERM, CISO ควรริเริ่มสร้างขึ้นเองโดยร่วมมือกับฝ่ายธุรกิจ

    บอร์ดบริหารต้องการข้อมูลที่เข้าใจง่าย
    หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิค เช่น MITRE ATT&CK หรือ CVE
    ใช้การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง (benchmarking) เพื่อแสดงจุดแข็ง-จุดอ่อนขององค์กร

    แนวโน้มใหม่: วัดความเสี่ยงเป็นตัวเงิน
    ใช้โมเดลวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินเพื่อแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้
    เช่น “ลดความเสี่ยงจาก $50M เหลือ $25M” หรือ “ROI จากโปรแกรม A = 800%”

    คำเตือน: อย่าติดกับดักการรายงานแบบเทคนิค
    รายงานที่เต็มไปด้วย patch count, CVE, หรือ maturity score โดยไม่มีบริบททางธุรกิจ จะทำให้บอร์ด “เบื่อ” และไม่เห็นคุณค่า
    การพูดด้วย FUD (Fear, Uncertainty, Doubt) โดยไม่มีข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ อาจทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือ

    CISO ที่รายงานต่อ CIO หรือ CTO อาจขาดอิสระ
    เพราะ cybersecurity ถูกมองว่าเป็นเรื่องเทคนิค ไม่ใช่เรื่องธุรกิจ
    ทำให้ยากต่อการเข้าถึงบอร์ดและการจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.csoonline.com/article/4083604/why-cybersecurity-leaders-find-important-to-prove-the-business-value-of-cyber.html
    🛡️ “CISO ยุคใหม่ต้องพูดภาษาธุรกิจให้เป็น” Cybersecurity ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือเรื่องของมูลค่าทางธุรกิจ ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่ต้องขึ้นไปนำเสนอผลงานต่อบอร์ดบริหาร คุณเตรียมข้อมูลแน่นปึ้ก ทั้งกราฟการแพตช์ระบบ ช่องโหว่ที่อุดแล้ว และคะแนน maturity จาก NIST… แต่พอพูดจบ บอร์ดกลับถามว่า “แล้วทั้งหมดนี้ช่วยธุรกิจยังไง?” นี่คือปัญหาที่ CISO หลายคนกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน — การสื่อสาร “คุณค่าทางธุรกิจ” ของ cybersecurity ด้วยภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจได้ Michael Oberlaender ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปี บอกว่า CISO ต้อง “ออกจาก comfort zone” ไปพูดคุยกับแผนกต่างๆ เพื่อเข้าใจเป้าหมายของธุรกิจ แล้วจึงนำข้อมูลเหล่านั้นมาสร้าง “metrics” ที่สะท้อนความเสี่ยงและมูลค่าทางการเงินได้จริง Chris Hetner ที่ปรึกษาอาวุโสด้านความเสี่ยงไซเบอร์ของ NACD เสริมว่า บอร์ดบริหารไม่ได้อยากฟังศัพท์เทคนิค แต่ต้องการรู้ว่า “เงินที่ลงทุนไปช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจได้แค่ไหน” และ “เทียบกับคู่แข่งแล้ว เราอยู่ตรงไหน” Nick Nolen จาก Redpoint Cybersecurity ก็ยกตัวอย่างว่า เขาใช้โมเดลวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินเพื่อแสดงให้ CEO เห็นว่า การลงทุนด้านไซเบอร์ช่วยลดความเสี่ยงจาก $50 ล้าน เหลือ $25 ล้านได้อย่างไร — นี่แหละคือภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจ ✅ CISO ต้องสื่อสารคุณค่าทางธุรกิจของ cybersecurity ➡️ ไม่ใช่แค่รายงาน patch หรือ maturity score แต่ต้องแสดงผลกระทบต่อรายได้ ความเสี่ยง และต้นทุน ➡️ ใช้ metrics ที่สะท้อนความเสี่ยงทางการเงิน เช่น ความเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับประกัน หรือ ROI จากการลงทุนด้านความปลอดภัย ✅ Enterprise Risk Management (ERM) คือกุญแจสำคัญ ➡️ การมี ERM ช่วยให้ CISO เชื่อมโยง cybersecurity กับเป้าหมายธุรกิจได้ง่ายขึ้น ➡️ หากองค์กรไม่มี ERM, CISO ควรริเริ่มสร้างขึ้นเองโดยร่วมมือกับฝ่ายธุรกิจ ✅ บอร์ดบริหารต้องการข้อมูลที่เข้าใจง่าย ➡️ หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิค เช่น MITRE ATT&CK หรือ CVE ➡️ ใช้การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง (benchmarking) เพื่อแสดงจุดแข็ง-จุดอ่อนขององค์กร ✅ แนวโน้มใหม่: วัดความเสี่ยงเป็นตัวเงิน ➡️ ใช้โมเดลวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินเพื่อแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ➡️ เช่น “ลดความเสี่ยงจาก $50M เหลือ $25M” หรือ “ROI จากโปรแกรม A = 800%” ‼️ คำเตือน: อย่าติดกับดักการรายงานแบบเทคนิค ⛔ รายงานที่เต็มไปด้วย patch count, CVE, หรือ maturity score โดยไม่มีบริบททางธุรกิจ จะทำให้บอร์ด “เบื่อ” และไม่เห็นคุณค่า ⛔ การพูดด้วย FUD (Fear, Uncertainty, Doubt) โดยไม่มีข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ อาจทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือ ‼️ CISO ที่รายงานต่อ CIO หรือ CTO อาจขาดอิสระ ⛔ เพราะ cybersecurity ถูกมองว่าเป็นเรื่องเทคนิค ไม่ใช่เรื่องธุรกิจ ⛔ ทำให้ยากต่อการเข้าถึงบอร์ดและการจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ https://www.csoonline.com/article/4083604/why-cybersecurity-leaders-find-important-to-prove-the-business-value-of-cyber.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs must prove the business value of cyber — the right metrics can help
    CISOs still struggle to prove the value of their security programs using metrics that their business leaders so desperately seek.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • หุ่นยนต์ร่วมงานยุคใหม่! Microsoft เตรียมเปิดตัว “Agentic Users” ที่มีตัวตนในองค์กร

    Microsoft กำลังพลิกโฉมแนวคิดการทำงานร่วมกับ AI ด้วยการเปิดตัว “Agentic Users” — หุ่นยนต์ผู้ช่วยที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “เพื่อนร่วมงาน” ที่มีตัวตนในระบบองค์กรอย่างแท้จริง!

    ลองจินตนาการว่าในทีมของคุณมีสมาชิกใหม่ที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่สามารถเข้าร่วมประชุม, ส่งอีเมล, แก้ไขเอกสาร และทำงานร่วมกับคุณได้อย่างคล่องแคล่ว — นี่คือสิ่งที่ Microsoft กำลังจะเปิดตัวในชื่อ “Agentic Users” ภายในเดือนพฤศจิกายน 2025

    Agentic Users จะมี “ตัวตน” ในระบบองค์กร เช่น มีบัญชีอีเมลของตัวเอง, เข้าถึง Microsoft Teams และแอปอื่น ๆ ได้เหมือนพนักงานคนหนึ่ง โดยใช้ระบบ Entra ID หรือ Azure ID เพื่อระบุตัวตน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ พวกเขาจะสามารถทำงานได้อย่างอิสระ เช่น เข้าร่วมประชุมแทนคุณ, ตอบอีเมล, หรือแม้แต่แก้ไขเอกสารโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์ทุกครั้ง — นี่คือการเปลี่ยนแปลงจาก “Copilot” ที่เป็นผู้ช่วย มาเป็น “Agent” ที่เป็นผู้ร่วมงาน

    แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์ “AI as a teammate” ที่กำลังเติบโตในหลายองค์กร เช่น Salesforce ที่เชื่อว่า CEO ในอนาคตจะต้องบริหารทั้งมนุษย์และ AI ไปพร้อมกัน

    นอกจากนี้ยังมีการพูดถึง “Agent Mode” ที่จะถูกฝังในแอป Office เช่น Word และ Excel เพื่อให้ AI เข้าใจบริบทของงานและทำงานได้อย่างมีอารมณ์ร่วม — หรือที่ Microsoft เรียกว่า “vibe working”

    Microsoft เตรียมเปิดตัว Agentic Users ในเดือนพฤศจิกายน 2025
    เป็น AI ที่มีตัวตนในระบบองค์กร เช่น มีอีเมลและบัญชี Teams
    ใช้ Entra ID หรือ Azure ID เพื่อระบุตัวตน
    สามารถเข้าร่วมประชุม, แก้ไขเอกสาร, ส่งอีเมล และทำงานร่วมกับมนุษย์ได้
    มีการติดตามผ่าน Microsoft 365 Roadmap ภายใต้ชื่อ “Discovery and creation of Agentic Users”

    แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์ AI ร่วมงานในองค์กร
    Salesforce เชื่อว่า CEO ในอนาคตจะบริหารทั้งคนและ AI
    Microsoft กำลังผลักดัน Agent Mode ในแอป Office เพื่อให้ AI ทำงานแบบมี “vibe”

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-working-on-a-new-class-of-ai-agents-that-could-change-everything-in-your-workforce
    🧠 หุ่นยนต์ร่วมงานยุคใหม่! Microsoft เตรียมเปิดตัว “Agentic Users” ที่มีตัวตนในองค์กร Microsoft กำลังพลิกโฉมแนวคิดการทำงานร่วมกับ AI ด้วยการเปิดตัว “Agentic Users” — หุ่นยนต์ผู้ช่วยที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “เพื่อนร่วมงาน” ที่มีตัวตนในระบบองค์กรอย่างแท้จริง! ลองจินตนาการว่าในทีมของคุณมีสมาชิกใหม่ที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่สามารถเข้าร่วมประชุม, ส่งอีเมล, แก้ไขเอกสาร และทำงานร่วมกับคุณได้อย่างคล่องแคล่ว — นี่คือสิ่งที่ Microsoft กำลังจะเปิดตัวในชื่อ “Agentic Users” ภายในเดือนพฤศจิกายน 2025 Agentic Users จะมี “ตัวตน” ในระบบองค์กร เช่น มีบัญชีอีเมลของตัวเอง, เข้าถึง Microsoft Teams และแอปอื่น ๆ ได้เหมือนพนักงานคนหนึ่ง โดยใช้ระบบ Entra ID หรือ Azure ID เพื่อระบุตัวตน สิ่งที่น่าสนใจคือ พวกเขาจะสามารถทำงานได้อย่างอิสระ เช่น เข้าร่วมประชุมแทนคุณ, ตอบอีเมล, หรือแม้แต่แก้ไขเอกสารโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์ทุกครั้ง — นี่คือการเปลี่ยนแปลงจาก “Copilot” ที่เป็นผู้ช่วย มาเป็น “Agent” ที่เป็นผู้ร่วมงาน แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์ “AI as a teammate” ที่กำลังเติบโตในหลายองค์กร เช่น Salesforce ที่เชื่อว่า CEO ในอนาคตจะต้องบริหารทั้งมนุษย์และ AI ไปพร้อมกัน นอกจากนี้ยังมีการพูดถึง “Agent Mode” ที่จะถูกฝังในแอป Office เช่น Word และ Excel เพื่อให้ AI เข้าใจบริบทของงานและทำงานได้อย่างมีอารมณ์ร่วม — หรือที่ Microsoft เรียกว่า “vibe working” ✅ Microsoft เตรียมเปิดตัว Agentic Users ในเดือนพฤศจิกายน 2025 ➡️ เป็น AI ที่มีตัวตนในระบบองค์กร เช่น มีอีเมลและบัญชี Teams ➡️ ใช้ Entra ID หรือ Azure ID เพื่อระบุตัวตน ➡️ สามารถเข้าร่วมประชุม, แก้ไขเอกสาร, ส่งอีเมล และทำงานร่วมกับมนุษย์ได้ ➡️ มีการติดตามผ่าน Microsoft 365 Roadmap ภายใต้ชื่อ “Discovery and creation of Agentic Users” ✅ แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์ AI ร่วมงานในองค์กร ➡️ Salesforce เชื่อว่า CEO ในอนาคตจะบริหารทั้งคนและ AI ➡️ Microsoft กำลังผลักดัน Agent Mode ในแอป Office เพื่อให้ AI ทำงานแบบมี “vibe” https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-working-on-a-new-class-of-ai-agents-that-could-change-everything-in-your-workforce
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jensen Huang เยือนไต้หวัน – ย้ำ TSMC คือเส้นเลือดใหญ่ของ NVIDIA”

    CEO ของ NVIDIA กล่าวอย่างหนักแน่นว่า TSMC คือหัวใจของความสำเร็จของบริษัท พร้อมเดินทางเยือนไต้หวันเป็นครั้งที่ 4 ในปีเดียว เพื่อกระชับความร่วมมือและขอเพิ่มกำลังผลิตชิป Blackwell ท่ามกลางความต้องการที่พุ่งสูง

    ในงาน “Sports Day” ของ TSMC ที่จัดขึ้นในไต้หวัน Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ได้กล่าวสุนทรพจน์อย่างจริงใจว่า “หากไม่มี TSMC ก็ไม่มี NVIDIA” พร้อมยกย่องบริษัทนี้ว่าเป็น “ความภาคภูมิใจของไต้หวันและของโลก”

    นี่เป็นการเยือนไต้หวันครั้งที่ 4 ของ Jensen ในปี 2025 ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของ TSMC ในห่วงโซ่อุปทานของ NVIDIA โดยเฉพาะในยุคที่ความต้องการชิป AI พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน

    NVIDIA กำลังเผชิญกับความต้องการชิป Blackwell ที่สูงมาก จึงขอให้ TSMC เพิ่มกำลังผลิตและจัดสรรเวเฟอร์เพิ่มเติม โดยเฉพาะในกระบวนการผลิตระดับ 3nm ซึ่ง NVIDIA คาดว่าจะได้ ส่วนแบ่งถึง 30% ของกำลังผลิตทั้งหมด

    นอกจากการผลิตชิปแล้ว TSMC ยังมีบทบาทสำคัญในด้าน การแพ็กเกจขั้นสูง เช่น CoWoS ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างระบบ AI ขนาดใหญ่แบบ rack-scale ที่ NVIDIA กำลังผลักดัน

    แม้ในอดีต NVIDIA จะเป็นผู้ตามในการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นผู้นำที่แย่งชิงชิประดับสูงอย่าง A16 ก่อนใคร ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่า TSMC คือพันธมิตรที่ NVIDIA ต้องรักษาไว้ให้ใกล้ที่สุด

    Jensen Huang เยือนไต้หวันครั้งที่ 4 ในปี 2025
    เข้าร่วมงาน Sports Day ของ TSMC
    กล่าวสุนทรพจน์ว่า “ไม่มี TSMC ก็ไม่มี NVIDIA”
    ยกย่อง TSMC ว่าเป็นความภาคภูมิใจของโลก

    ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง NVIDIA และ TSMC
    ขอเพิ่มกำลังผลิตชิป Blackwell
    คาดว่าจะได้ส่วนแบ่ง 30% ของกำลังผลิต 3nm
    ใช้บริการแพ็กเกจขั้นสูง CoWoS จาก TSMC

    ความเปลี่ยนแปลงของ NVIDIA ในการนำเทคโนโลยี
    จากผู้ตามกลายเป็นผู้นำในการใช้ชิประดับสูง
    แย่งชิงชิป A16 ก่อนคู่แข่ง
    สะท้อนความสำคัญของ TSMC ในยุค AI

    https://wccftech.com/no-tsmc-no-nvidia-stresses-ceo-jensen-huang-as-he-highlights-the-importance-of-the-taiwan-chip-giant/
    🤝 “Jensen Huang เยือนไต้หวัน – ย้ำ TSMC คือเส้นเลือดใหญ่ของ NVIDIA” CEO ของ NVIDIA กล่าวอย่างหนักแน่นว่า TSMC คือหัวใจของความสำเร็จของบริษัท พร้อมเดินทางเยือนไต้หวันเป็นครั้งที่ 4 ในปีเดียว เพื่อกระชับความร่วมมือและขอเพิ่มกำลังผลิตชิป Blackwell ท่ามกลางความต้องการที่พุ่งสูง ในงาน “Sports Day” ของ TSMC ที่จัดขึ้นในไต้หวัน Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ได้กล่าวสุนทรพจน์อย่างจริงใจว่า “หากไม่มี TSMC ก็ไม่มี NVIDIA” พร้อมยกย่องบริษัทนี้ว่าเป็น “ความภาคภูมิใจของไต้หวันและของโลก” นี่เป็นการเยือนไต้หวันครั้งที่ 4 ของ Jensen ในปี 2025 ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของ TSMC ในห่วงโซ่อุปทานของ NVIDIA โดยเฉพาะในยุคที่ความต้องการชิป AI พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน NVIDIA กำลังเผชิญกับความต้องการชิป Blackwell ที่สูงมาก จึงขอให้ TSMC เพิ่มกำลังผลิตและจัดสรรเวเฟอร์เพิ่มเติม โดยเฉพาะในกระบวนการผลิตระดับ 3nm ซึ่ง NVIDIA คาดว่าจะได้ ส่วนแบ่งถึง 30% ของกำลังผลิตทั้งหมด นอกจากการผลิตชิปแล้ว TSMC ยังมีบทบาทสำคัญในด้าน การแพ็กเกจขั้นสูง เช่น CoWoS ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างระบบ AI ขนาดใหญ่แบบ rack-scale ที่ NVIDIA กำลังผลักดัน แม้ในอดีต NVIDIA จะเป็นผู้ตามในการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นผู้นำที่แย่งชิงชิประดับสูงอย่าง A16 ก่อนใคร ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่า TSMC คือพันธมิตรที่ NVIDIA ต้องรักษาไว้ให้ใกล้ที่สุด ✅ Jensen Huang เยือนไต้หวันครั้งที่ 4 ในปี 2025 ➡️ เข้าร่วมงาน Sports Day ของ TSMC ➡️ กล่าวสุนทรพจน์ว่า “ไม่มี TSMC ก็ไม่มี NVIDIA” ➡️ ยกย่อง TSMC ว่าเป็นความภาคภูมิใจของโลก ✅ ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง NVIDIA และ TSMC ➡️ ขอเพิ่มกำลังผลิตชิป Blackwell ➡️ คาดว่าจะได้ส่วนแบ่ง 30% ของกำลังผลิต 3nm ➡️ ใช้บริการแพ็กเกจขั้นสูง CoWoS จาก TSMC ✅ ความเปลี่ยนแปลงของ NVIDIA ในการนำเทคโนโลยี ➡️ จากผู้ตามกลายเป็นผู้นำในการใช้ชิประดับสูง ➡️ แย่งชิงชิป A16 ก่อนคู่แข่ง ➡️ สะท้อนความสำคัญของ TSMC ในยุค AI https://wccftech.com/no-tsmc-no-nvidia-stresses-ceo-jensen-huang-as-he-highlights-the-importance-of-the-taiwan-chip-giant/
    WCCFTECH.COM
    NVIDIA's CEO Makes Personal Visit to TSMC to Secure More AI Chips Amid "Very Strong" Demand
    NVIDIA's CEO was spotted at TSMC's "Sports Day" today, and he stated that without TSMC, NVIDIA wouldn't have been in the dominant position.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elon Musk เผยแผนสร้าง “TeraFab” โรงงานผลิตชิปขนาดยักษ์ของ Tesla – Jensen Huang เตือน “มันยากกว่าที่คิด”

    Elon Musk ประกาศว่า Tesla อาจต้องสร้างโรงงานผลิตชิปของตัวเองชื่อว่า TeraFab เพื่อรองรับความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล หลังจากโครงการ Dojo ถูกยกเลิก และ Tesla หันมาใช้ชิป AI5 ของตัวเองแทน GPU จาก Nvidia โดยตั้งเป้าให้ TeraFab มีขนาดใหญ่กว่า “Gigafab” ของ TSMC ซึ่งผลิตได้มากกว่า 100,000 wafer ต่อเดือน

    อย่างไรก็ตาม Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เตือนว่า “การสร้างโรงงานผลิตชิปขั้นสูงนั้นยากมาก” ไม่ใช่แค่เรื่องการก่อสร้าง แต่รวมถึง วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และศิลปะของการผลิต ที่ต้องใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับสูง

    แผนการของ Tesla
    Elon Musk เผยว่าอาจต้องสร้าง “TeraFab” เพื่อผลิตชิป AI เอง
    เปรียบเทียบว่าใหญ่กว่า Gigafab ของ TSMC
    ต้องการรองรับความต้องการชิป AI5 สำหรับรถยนต์และหุ่นยนต์
    ปัจจุบันใช้ชิปจาก TSMC และ Samsung แต่ยังไม่พอ

    ความท้าทายในการสร้างโรงงานผลิตชิป
    Jensen Huang เตือนว่า “มันยากมาก”
    ไม่ใช่แค่การสร้างโรงงาน แต่รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต
    ต้องใช้เวลาหลายปีและทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์สูง
    ตัวอย่างเช่น Rapidus ในญี่ปุ่นต้องใช้เงินกว่า $32 พันล้านเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 2nm

    ความต้องการชิปของ Tesla
    Tesla มีซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ขนาดใหญ่
    ต้องการชิป AI5 สำหรับศูนย์ข้อมูล รถยนต์ และหุ่นยนต์
    แม้จะใช้ GPU ของ Nvidia อยู่ แต่ยังไม่เพียงพอในระยะยาว

    คำเตือนเกี่ยวกับการเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปต้องใช้เวลา 5 ปีขึ้นไป
    ต้องมีการวิจัยวัสดุ ทรานซิสเตอร์ และกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน
    การรวมกระบวนการหลายร้อยขั้นตอนต้องการความแม่นยำระดับอะตอม
    การบรรลุผลผลิตสูงในระดับอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยากมาก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/elon-musk-says-terafab-chip-fab-may-be-the-only-answer-to-teslas-colossal-ai-semiconductor-demand-nvidia-ceo-jensen-huang-warns-against-extremely-hard-challenge
    🏭⚠️ Elon Musk เผยแผนสร้าง “TeraFab” โรงงานผลิตชิปขนาดยักษ์ของ Tesla – Jensen Huang เตือน “มันยากกว่าที่คิด” Elon Musk ประกาศว่า Tesla อาจต้องสร้างโรงงานผลิตชิปของตัวเองชื่อว่า TeraFab เพื่อรองรับความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล หลังจากโครงการ Dojo ถูกยกเลิก และ Tesla หันมาใช้ชิป AI5 ของตัวเองแทน GPU จาก Nvidia โดยตั้งเป้าให้ TeraFab มีขนาดใหญ่กว่า “Gigafab” ของ TSMC ซึ่งผลิตได้มากกว่า 100,000 wafer ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เตือนว่า “การสร้างโรงงานผลิตชิปขั้นสูงนั้นยากมาก” ไม่ใช่แค่เรื่องการก่อสร้าง แต่รวมถึง วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และศิลปะของการผลิต ที่ต้องใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับสูง ✅ แผนการของ Tesla ➡️ Elon Musk เผยว่าอาจต้องสร้าง “TeraFab” เพื่อผลิตชิป AI เอง ➡️ เปรียบเทียบว่าใหญ่กว่า Gigafab ของ TSMC ➡️ ต้องการรองรับความต้องการชิป AI5 สำหรับรถยนต์และหุ่นยนต์ ➡️ ปัจจุบันใช้ชิปจาก TSMC และ Samsung แต่ยังไม่พอ ✅ ความท้าทายในการสร้างโรงงานผลิตชิป ➡️ Jensen Huang เตือนว่า “มันยากมาก” ➡️ ไม่ใช่แค่การสร้างโรงงาน แต่รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ➡️ ต้องใช้เวลาหลายปีและทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์สูง ➡️ ตัวอย่างเช่น Rapidus ในญี่ปุ่นต้องใช้เงินกว่า $32 พันล้านเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 2nm ✅ ความต้องการชิปของ Tesla ➡️ Tesla มีซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ขนาดใหญ่ ➡️ ต้องการชิป AI5 สำหรับศูนย์ข้อมูล รถยนต์ และหุ่นยนต์ ➡️ แม้จะใช้ GPU ของ Nvidia อยู่ แต่ยังไม่เพียงพอในระยะยาว ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปต้องใช้เวลา 5 ปีขึ้นไป ⛔ ต้องมีการวิจัยวัสดุ ทรานซิสเตอร์ และกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน ⛔ การรวมกระบวนการหลายร้อยขั้นตอนต้องการความแม่นยำระดับอะตอม ⛔ การบรรลุผลผลิตสูงในระดับอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยากมาก https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/elon-musk-says-terafab-chip-fab-may-be-the-only-answer-to-teslas-colossal-ai-semiconductor-demand-nvidia-ceo-jensen-huang-warns-against-extremely-hard-challenge
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน – ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากปักกิ่ง”

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้ออกมายืนยันว่า ไม่มีแผนจะส่งชิป Blackwell GPU ไปยังประเทศจีนในตอนนี้ โดยระบุว่า “ไม่มีการพูดคุยใดๆ เกิดขึ้น” และการตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตให้ Nvidia กลับมาทำตลาดได้หรือไม่

    คำพูดนี้สอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการสงวนเทคโนโลยี AI ขั้นสูงไว้ใช้ภายในประเทศก่อน โดยอดีตประธานาธิบดี Trump และรัฐมนตรีการคลัง Scott Bessent ได้กล่าวว่า จีนจะสามารถเข้าถึงชิป Blackwell ได้ก็ต่อเมื่อมันล้าสมัยแล้ว 1–2 ปี

    ความซับซ้อนของเกมการค้า AI
    แม้จะไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่า ชิป Blackwell ยังคงหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางลับ ขณะเดียวกัน Nvidia ก็พยายามพัฒนาเวอร์ชันเฉพาะสำหรับจีน เช่น รุ่น B30A ที่มีประสิทธิภาพลดลงจากรุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากได้รับอนุญาตให้ขาย

    จีนเดินหน้าพึ่งพาตนเองด้าน AI
    Beijing ได้สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia เพื่อผลักดันการใช้ชิปภายในประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สของจีน ซึ่ง Huang ยอมรับว่า จีนมีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก และกำลังไล่ตามสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด

    Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน
    Jensen Huang ยืนยันว่า “ไม่มีการพูดคุย” กับจีน
    การตัดสินใจขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตหรือไม่
    สหรัฐฯ ต้องการสงวนเทคโนโลยีไว้ใช้ภายในก่อน

    ความพยายามของ Nvidia
    พัฒนา Blackwell รุ่นลดสเปกสำหรับจีน เช่น B30A
    หากขายได้ ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ
    ต้องขอใบอนุญาตส่งออกก่อนทุกครั้ง

    ท่าทีของจีน
    สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia
    ผลักดันการใช้ชิปและโมเดล AI ภายในประเทศ
    มีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก

    คำเตือนด้านความมั่นคงของเทคโนโลยี
    การควบคุมการส่งออกอาจกระทบห่วงโซ่ AI ทั่วโลก
    การพึ่งพาชิปจากต่างประเทศทำให้จีนเสี่ยงต่อการถูกจำกัด
    ช่องทางลับในการนำเข้าอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jensen-huang-confirms-there-are-no-plans-to-ship-blackwell-gpus-to-china-right-now-chipmaker-at-beijings-mercy-nvidia-ceo-says-shipments-havent-been-approved-by-chinese-authorities
    🧠🚫 “Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน – ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากปักกิ่ง” Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้ออกมายืนยันว่า ไม่มีแผนจะส่งชิป Blackwell GPU ไปยังประเทศจีนในตอนนี้ โดยระบุว่า “ไม่มีการพูดคุยใดๆ เกิดขึ้น” และการตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตให้ Nvidia กลับมาทำตลาดได้หรือไม่ คำพูดนี้สอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการสงวนเทคโนโลยี AI ขั้นสูงไว้ใช้ภายในประเทศก่อน โดยอดีตประธานาธิบดี Trump และรัฐมนตรีการคลัง Scott Bessent ได้กล่าวว่า จีนจะสามารถเข้าถึงชิป Blackwell ได้ก็ต่อเมื่อมันล้าสมัยแล้ว 1–2 ปี 🧩 ความซับซ้อนของเกมการค้า AI แม้จะไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่า ชิป Blackwell ยังคงหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางลับ ขณะเดียวกัน Nvidia ก็พยายามพัฒนาเวอร์ชันเฉพาะสำหรับจีน เช่น รุ่น B30A ที่มีประสิทธิภาพลดลงจากรุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากได้รับอนุญาตให้ขาย 🌏 จีนเดินหน้าพึ่งพาตนเองด้าน AI Beijing ได้สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia เพื่อผลักดันการใช้ชิปภายในประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สของจีน ซึ่ง Huang ยอมรับว่า จีนมีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก และกำลังไล่ตามสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ✅ Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน ➡️ Jensen Huang ยืนยันว่า “ไม่มีการพูดคุย” กับจีน ➡️ การตัดสินใจขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตหรือไม่ ➡️ สหรัฐฯ ต้องการสงวนเทคโนโลยีไว้ใช้ภายในก่อน ✅ ความพยายามของ Nvidia ➡️ พัฒนา Blackwell รุ่นลดสเปกสำหรับจีน เช่น B30A ➡️ หากขายได้ ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ ต้องขอใบอนุญาตส่งออกก่อนทุกครั้ง ✅ ท่าทีของจีน ➡️ สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia ➡️ ผลักดันการใช้ชิปและโมเดล AI ภายในประเทศ ➡️ มีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคงของเทคโนโลยี ⛔ การควบคุมการส่งออกอาจกระทบห่วงโซ่ AI ทั่วโลก ⛔ การพึ่งพาชิปจากต่างประเทศทำให้จีนเสี่ยงต่อการถูกจำกัด ⛔ ช่องทางลับในการนำเข้าอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jensen-huang-confirms-there-are-no-plans-to-ship-blackwell-gpus-to-china-right-now-chipmaker-at-beijings-mercy-nvidia-ceo-says-shipments-havent-been-approved-by-chinese-authorities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • Rivian มอบแพ็คเกจค่าตอบแทนสุดอลังการให้ CEO สไตล์ Elon Musk มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์

    Rivian ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ประกาศมอบแพ็คเกจค่าตอบแทนใหม่ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี หากบรรลุเป้าหมายด้านผลประกอบการและราคาหุ้นที่กำหนดไว้ โดยรูปแบบของแพ็คเกจนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดีลระดับประวัติศาสตร์ของ Elon Musk กับ Tesla

    Rivian กำลังเดินตามรอย Tesla ด้วยการเสนอค่าตอบแทนแบบ “ผลลัพธ์นำหน้า” ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งจะได้รับหุ้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น รายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นที่ต้องแตะระดับเป้าหมาย โดยดีลนี้มีเงื่อนไขที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าของ Musk เพื่อกระตุ้นการเติบโตของบริษัทในระยะยาว

    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของคณะกรรมการ Rivian ว่า Scaringe คือผู้นำที่สามารถพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด

    แพ็คเกจนี้ยังเป็นสัญญาณว่าโมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการผลักดันผู้บริหารให้สร้างมูลค่าอย่างแท้จริง

    รายละเอียดแพ็คเกจค่าตอบแทนของ Rivian
    มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี
    ขึ้นอยู่กับการบรรลุเป้าหมายด้านกำไรและราคาหุ้น
    เงื่อนไขเข้าถึงง่ายกว่าดีลของ Elon Musk
    สะท้อนความเชื่อมั่นในตัว CEO RJ Scaringe

    แนวโน้มในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    โมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่
    บริษัทเทคโนโลยีเริ่มใช้ค่าตอบแทนที่ผูกกับผลลัพธ์ระยะยาว
    กระตุ้นให้ผู้บริหารสร้างมูลค่าแท้จริงให้กับผู้ถือหุ้น

    คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของแพ็คเกจลักษณะนี้
    หากเป้าหมายไม่บรรลุ ผู้บริหารอาจไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย
    อาจสร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารเน้นผลระยะสั้นมากเกินไป
    นักลงทุนควรติดตามเงื่อนไขอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความคุ้มค่า
    การเปรียบเทียบกับดีลของ Musk อาจไม่เหมาะสมในทุกบริบท

    ดีลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงวิธีคิดใหม่ในการบริหารองค์กรเทคโนโลยีในยุคที่ผลลัพธ์คือทุกสิ่ง.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/ev-maker-rivian-gives-ceo-a-musk-style-pay-package-worth-up-to-46-billion
    💰 Rivian มอบแพ็คเกจค่าตอบแทนสุดอลังการให้ CEO สไตล์ Elon Musk มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ Rivian ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ประกาศมอบแพ็คเกจค่าตอบแทนใหม่ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี หากบรรลุเป้าหมายด้านผลประกอบการและราคาหุ้นที่กำหนดไว้ โดยรูปแบบของแพ็คเกจนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดีลระดับประวัติศาสตร์ของ Elon Musk กับ Tesla Rivian กำลังเดินตามรอย Tesla ด้วยการเสนอค่าตอบแทนแบบ “ผลลัพธ์นำหน้า” ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งจะได้รับหุ้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น รายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นที่ต้องแตะระดับเป้าหมาย โดยดีลนี้มีเงื่อนไขที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าของ Musk เพื่อกระตุ้นการเติบโตของบริษัทในระยะยาว การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของคณะกรรมการ Rivian ว่า Scaringe คือผู้นำที่สามารถพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด แพ็คเกจนี้ยังเป็นสัญญาณว่าโมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการผลักดันผู้บริหารให้สร้างมูลค่าอย่างแท้จริง ✅ รายละเอียดแพ็คเกจค่าตอบแทนของ Rivian ➡️ มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี ➡️ ขึ้นอยู่กับการบรรลุเป้าหมายด้านกำไรและราคาหุ้น ➡️ เงื่อนไขเข้าถึงง่ายกว่าดีลของ Elon Musk ➡️ สะท้อนความเชื่อมั่นในตัว CEO RJ Scaringe ✅ แนวโน้มในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ➡️ โมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีเริ่มใช้ค่าตอบแทนที่ผูกกับผลลัพธ์ระยะยาว ➡️ กระตุ้นให้ผู้บริหารสร้างมูลค่าแท้จริงให้กับผู้ถือหุ้น ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของแพ็คเกจลักษณะนี้ ⛔ หากเป้าหมายไม่บรรลุ ผู้บริหารอาจไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย ⛔ อาจสร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารเน้นผลระยะสั้นมากเกินไป ⛔ นักลงทุนควรติดตามเงื่อนไขอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความคุ้มค่า ⛔ การเปรียบเทียบกับดีลของ Musk อาจไม่เหมาะสมในทุกบริบท ดีลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงวิธีคิดใหม่ในการบริหารองค์กรเทคโนโลยีในยุคที่ผลลัพธ์คือทุกสิ่ง. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/ev-maker-rivian-gives-ceo-a-musk-style-pay-package-worth-up-to-46-billion
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EV maker Rivian gives CEO a Musk-style pay package worth up to $4.6 billion
    (Reuters) -Electric pickup and SUV maker Rivian said on Friday it was giving its CEO a pay plan worth as much as $4.6 billion over the next decade, a deal similar to Tesla's record package for CEO Elon Musk, and linked to new profit targets and lower share price milestones than a previous deal.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amadeus มอง AI เป็นโอกาส ไม่ใช่ภัยคุกคาม พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีหลักของแพลตฟอร์ม AI

    Luis Maroto ซีอีโอของ Amadeus กล่าวกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทไม่ได้มองว่าแพลตฟอร์ม AI จะเข้ามาแทนที่ผู้ให้บริการด้านการจองหรือกลายเป็นผู้ขายโดยตรง แต่จะเป็นตัวกลางที่ต้องพึ่งพาข้อมูลและระบบที่ซับซ้อน ซึ่ง Amadeusมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว

    เขายังเน้นว่า “การจัดการเรื่องราคาและบริการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย” และ Amadeus มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้สนับสนุนเทคโนโลยีให้กับ AI แพลตฟอร์มเหล่านี้ เหมือนที่เคยทำมาในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอื่นๆ

    นอกจากนี้ Amadeus ยังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ดีกว่าคาดการณ์ โดยมีการเติบโตในทุกแผนก และยอดการจองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดโลก

    มุมมองของ Amadeus ต่อ AI
    AI ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ
    Amadeus ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีแก่แพลตฟอร์ม AI
    การจัดการข้อมูลราคาและบริการต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
    AI ยังไม่สามารถเป็นผู้ขายหรือรวบรวมเนื้อหาได้โดยตรง

    ผลประกอบการและความแข็งแกร่งของบริษัท
    รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าคาด
    ยอดการจองเพิ่มขึ้นในทุกแผนก
    สะท้อนความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
    การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่งอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด
    แพลตฟอร์ม AI ต้องการข้อมูลที่แม่นยำและเรียลไทม์ ซึ่งไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้
    การเข้าใจผิดว่า AI จะมาแทนที่ระบบจองทั้งหมดอาจนำไปสู่การลงทุนที่ผิดทิศทาง

    Amadeus กำลังพิสูจน์ว่าในโลกที่ AI กำลังเปลี่ยนทุกอย่าง ผู้เล่นที่เข้าใจระบบและมีข้อมูลเชิงลึกจะกลายเป็นผู้สนับสนุนที่ขาดไม่ได้ในระบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นนี้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/ai-platforms-not-danger-but-opportunity-for-amadeus-ceo-says
    🏤 Amadeus มอง AI เป็นโอกาส ไม่ใช่ภัยคุกคาม พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีหลักของแพลตฟอร์ม AI Luis Maroto ซีอีโอของ Amadeus กล่าวกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทไม่ได้มองว่าแพลตฟอร์ม AI จะเข้ามาแทนที่ผู้ให้บริการด้านการจองหรือกลายเป็นผู้ขายโดยตรง แต่จะเป็นตัวกลางที่ต้องพึ่งพาข้อมูลและระบบที่ซับซ้อน ซึ่ง Amadeusมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เขายังเน้นว่า “การจัดการเรื่องราคาและบริการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย” และ Amadeus มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้สนับสนุนเทคโนโลยีให้กับ AI แพลตฟอร์มเหล่านี้ เหมือนที่เคยทำมาในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอื่นๆ นอกจากนี้ Amadeus ยังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ดีกว่าคาดการณ์ โดยมีการเติบโตในทุกแผนก และยอดการจองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดโลก ✅ มุมมองของ Amadeus ต่อ AI ➡️ AI ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ ➡️ Amadeus ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีแก่แพลตฟอร์ม AI ➡️ การจัดการข้อมูลราคาและบริการต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ➡️ AI ยังไม่สามารถเป็นผู้ขายหรือรวบรวมเนื้อหาได้โดยตรง ✅ ผลประกอบการและความแข็งแกร่งของบริษัท ➡️ รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าคาด ➡️ ยอดการจองเพิ่มขึ้นในทุกแผนก ➡️ สะท้อนความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่งอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด ⛔ แพลตฟอร์ม AI ต้องการข้อมูลที่แม่นยำและเรียลไทม์ ซึ่งไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ⛔ การเข้าใจผิดว่า AI จะมาแทนที่ระบบจองทั้งหมดอาจนำไปสู่การลงทุนที่ผิดทิศทาง Amadeus กำลังพิสูจน์ว่าในโลกที่ AI กำลังเปลี่ยนทุกอย่าง ผู้เล่นที่เข้าใจระบบและมีข้อมูลเชิงลึกจะกลายเป็นผู้สนับสนุนที่ขาดไม่ได้ในระบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/ai-platforms-not-danger-but-opportunity-for-amadeus-ceo-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI platforms not danger but opportunity for Amadeus, CEO says
    (Reuters) -Spanish travel technology company Amadeus is "extremely well positioned" to deal with possible expansion into its industry by large-language-models and AI platforms like ChatGPT, the company's chief executive said on Friday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jensen Huang เตือน! จีนอาจชนะสงคราม AI เพราะไฟฟ้าถูก – สหรัฐยังติดหล่มกฎระเบียบ”

    เรื่องเล่าที่สะเทือนวงการเทคโนโลยี! Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในงาน Future of AI Summit ว่า “จีนกำลังจะชนะสงคราม AI” โดยให้เหตุผลว่า สหรัฐกำลังสูญเสียความได้เปรียบจากความขาดแคลนพลังงานและกฎระเบียบที่ซับซ้อน ขณะที่จีนมีนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานอย่างชัดเจน

    Huang ชี้ว่าในจีน บริษัทสามารถเข้าถึงพลังงานได้ง่ายและราคาถูกจากการอุดหนุนของรัฐ ทำให้สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้รวดเร็ว ขณะที่ในสหรัฐ บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่ “50 กฎใหม่” สำหรับ AI และยังต้องลงทุนในพลังงานทางเลือกที่ยังไม่พร้อมใช้งาน เช่น เตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กหรือศูนย์ข้อมูลในอวกาศ

    แม้ Huang จะเคยกล่าวว่า “จีนตามหลังสหรัฐเพียงไม่กี่นาโนวินาที” แต่เขาก็เตือนว่า หากสหรัฐยังคงจำกัดการส่งออกชิป AI อย่าง Blackwell ไปยังจีน ก็อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น และลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งอาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐในระยะยาว

    Jensen Huang เตือนว่าจีนอาจชนะสงคราม AI
    เหตุผลหลักคือการเข้าถึงพลังงานที่ถูกและง่าย
    จีนมีนโยบายอุดหนุนพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล
    สหรัฐยังติดกับดักกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ

    Nvidia สูญเสียตลาดจีนจากการแบนชิป AI
    สหรัฐแบนการส่งออกชิป Blackwell ไปยังจีน
    จีนตอบโต้ด้วยการห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูล
    Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด

    ความพยายามของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง
    หากไม่มีชิป Nvidia จีนจะหันไปพัฒนาเอง
    เงินทุนจะไหลเข้าสู่ผู้ผลิตชิปในประเทศ
    ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของ Nvidia

    สหรัฐยังเผชิญปัญหาด้านพลังงาน
    บริษัทเทคโนโลยีต้องลงทุนในพลังงานทางเลือก
    Microsoft เผยว่ามี GPU ที่ไม่สามารถใช้งานได้เพราะไม่มีพลังงานเพียงพอ

    ความเสี่ยงจากการจำกัดการส่งออกชิป AI
    อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น
    ลดความสามารถในการควบคุมตลาดโลกของ Nvidia

    ความล่าช้าด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานในสหรัฐ
    พลังงานทางเลือกยังไม่พร้อมใช้งานในระดับอุตสาหกรรม
    อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเสียเปรียบในการแข่งขัน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-going-to-win-the-ai-race-nvidia-ceo-jensen-huang-decries-the-price-of-electricity-in-the-us-contrasts-it-with-chinas-subsidized-pricing
    🧠 “Jensen Huang เตือน! จีนอาจชนะสงคราม AI เพราะไฟฟ้าถูก – สหรัฐยังติดหล่มกฎระเบียบ” เรื่องเล่าที่สะเทือนวงการเทคโนโลยี! Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในงาน Future of AI Summit ว่า “จีนกำลังจะชนะสงคราม AI” โดยให้เหตุผลว่า สหรัฐกำลังสูญเสียความได้เปรียบจากความขาดแคลนพลังงานและกฎระเบียบที่ซับซ้อน ขณะที่จีนมีนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานอย่างชัดเจน Huang ชี้ว่าในจีน บริษัทสามารถเข้าถึงพลังงานได้ง่ายและราคาถูกจากการอุดหนุนของรัฐ ทำให้สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้รวดเร็ว ขณะที่ในสหรัฐ บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่ “50 กฎใหม่” สำหรับ AI และยังต้องลงทุนในพลังงานทางเลือกที่ยังไม่พร้อมใช้งาน เช่น เตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กหรือศูนย์ข้อมูลในอวกาศ แม้ Huang จะเคยกล่าวว่า “จีนตามหลังสหรัฐเพียงไม่กี่นาโนวินาที” แต่เขาก็เตือนว่า หากสหรัฐยังคงจำกัดการส่งออกชิป AI อย่าง Blackwell ไปยังจีน ก็อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น และลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งอาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐในระยะยาว ✅ Jensen Huang เตือนว่าจีนอาจชนะสงคราม AI ➡️ เหตุผลหลักคือการเข้าถึงพลังงานที่ถูกและง่าย ➡️ จีนมีนโยบายอุดหนุนพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล ➡️ สหรัฐยังติดกับดักกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ ✅ Nvidia สูญเสียตลาดจีนจากการแบนชิป AI ➡️ สหรัฐแบนการส่งออกชิป Blackwell ไปยังจีน ➡️ จีนตอบโต้ด้วยการห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูล ➡️ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด ✅ ความพยายามของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ➡️ หากไม่มีชิป Nvidia จีนจะหันไปพัฒนาเอง ➡️ เงินทุนจะไหลเข้าสู่ผู้ผลิตชิปในประเทศ ➡️ ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของ Nvidia ✅ สหรัฐยังเผชิญปัญหาด้านพลังงาน ➡️ บริษัทเทคโนโลยีต้องลงทุนในพลังงานทางเลือก ➡️ Microsoft เผยว่ามี GPU ที่ไม่สามารถใช้งานได้เพราะไม่มีพลังงานเพียงพอ ‼️ ความเสี่ยงจากการจำกัดการส่งออกชิป AI ⛔ อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น ⛔ ลดความสามารถในการควบคุมตลาดโลกของ Nvidia ‼️ ความล่าช้าด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานในสหรัฐ ⛔ พลังงานทางเลือกยังไม่พร้อมใช้งานในระดับอุตสาหกรรม ⛔ อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเสียเปรียบในการแข่งขัน https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-going-to-win-the-ai-race-nvidia-ceo-jensen-huang-decries-the-price-of-electricity-in-the-us-contrasts-it-with-chinas-subsidized-pricing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ OpenAI เลือก “โตเอง” แม้ต้องลงทุนมหาศาล

    ในช่วงที่ความต้องการใช้ AI พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก OpenAI ประกาศแผนลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 8 ปี เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป

    แม้ CFO ของบริษัทจะเคยกล่าวว่าอยากให้รัฐบาลช่วยค้ำประกันการลงทุนในชิป แต่ Altman ออกมายืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้ผู้เสียภาษีต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัท หากบริษัทล้มเหลว ก็ต้องรับผิดชอบเอง

    OpenAI กำลังหาทางสร้างรายได้จากการขาย “AI cloud” หรือบริการให้เช่าโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยตรงแก่บริษัทและบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft และ Google ที่เคยเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์มาก่อน

    จุดยืนของ OpenAI ต่อการสนับสนุนจากรัฐบาล
    Altman ยืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้รัฐบาลค้ำประกันการลงทุนในศูนย์ข้อมูล
    บริษัทเห็นว่าผู้เสียภาษีไม่ควรรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจทางธุรกิจ
    หากล้มเหลว บริษัทต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้รัฐ “ช่วยเหลือเพื่อความล้มเหลว”

    แผนลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน
    OpenAI วางแผนลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปี
    ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิปเพื่อรองรับการเติบโตของ AI
    มีดีลร่วมกับ Nvidia และ AMD รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์

    โมเดลธุรกิจใหม่: AI Cloud
    OpenAI เตรียมเปิดบริการขายกำลังประมวลผล AI โดยตรงให้ลูกค้า
    กลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft Azure และ Google Cloud
    อาจต้องระดมทุนเพิ่มผ่านหุ้นหรือหนี้ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน

    สถานะทางการเงินและการเติบโต
    บริษัทขาดทุนกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด
    คาดว่าจะมีรายได้ต่อปีเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้
    ตั้งเป้ารายได้ระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

    คำเตือนจากนักวิเคราะห์และภาครัฐ
    นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” จากการลงทุนมหาศาล
    รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือหากบริษัทล้มเหลว
    หาก OpenAI แข่งขันกับพันธมิตรเดิม อาจเกิดความขัดแย้งในอุตสาหกรรมคลาวด์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/openai-does-not-039want-government-guarantees039-for-massive-ai-data-center-buildout-ceo-altman-says
    🧠 เมื่อ OpenAI เลือก “โตเอง” แม้ต้องลงทุนมหาศาล ในช่วงที่ความต้องการใช้ AI พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก OpenAI ประกาศแผนลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 8 ปี เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป แม้ CFO ของบริษัทจะเคยกล่าวว่าอยากให้รัฐบาลช่วยค้ำประกันการลงทุนในชิป แต่ Altman ออกมายืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้ผู้เสียภาษีต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัท หากบริษัทล้มเหลว ก็ต้องรับผิดชอบเอง OpenAI กำลังหาทางสร้างรายได้จากการขาย “AI cloud” หรือบริการให้เช่าโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยตรงแก่บริษัทและบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft และ Google ที่เคยเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์มาก่อน ✅ จุดยืนของ OpenAI ต่อการสนับสนุนจากรัฐบาล ➡️ Altman ยืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้รัฐบาลค้ำประกันการลงทุนในศูนย์ข้อมูล ➡️ บริษัทเห็นว่าผู้เสียภาษีไม่ควรรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจทางธุรกิจ ➡️ หากล้มเหลว บริษัทต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้รัฐ “ช่วยเหลือเพื่อความล้มเหลว” ✅ แผนลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ OpenAI วางแผนลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปี ➡️ ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิปเพื่อรองรับการเติบโตของ AI ➡️ มีดีลร่วมกับ Nvidia และ AMD รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ✅ โมเดลธุรกิจใหม่: AI Cloud ➡️ OpenAI เตรียมเปิดบริการขายกำลังประมวลผล AI โดยตรงให้ลูกค้า ➡️ กลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft Azure และ Google Cloud ➡️ อาจต้องระดมทุนเพิ่มผ่านหุ้นหรือหนี้ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน ✅ สถานะทางการเงินและการเติบโต ➡️ บริษัทขาดทุนกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด ➡️ คาดว่าจะมีรายได้ต่อปีเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ ➡️ ตั้งเป้ารายได้ระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ‼️ คำเตือนจากนักวิเคราะห์และภาครัฐ ⛔ นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” จากการลงทุนมหาศาล ⛔ รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือหากบริษัทล้มเหลว ⛔ หาก OpenAI แข่งขันกับพันธมิตรเดิม อาจเกิดความขัดแย้งในอุตสาหกรรมคลาวด์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/openai-does-not-039want-government-guarantees039-for-massive-ai-data-center-buildout-ceo-altman-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OpenAI discussed government loan guarantees for chip plants, not data centers, Altman says
    (Reuters) -OpenAI has spoken with the U.S. government about the possibility of federal loan guarantees to spur construction of chip factories in the U.S., but has not sought U.S. government guarantees for building its data centers, CEO Sam Altman said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sora เปิดตัวบน Android! สร้างวิดีโอ AI พร้อมเสียงพากย์ได้ทันที

    OpenAI เปิดตัว Sora เวอร์ชัน Android อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 โดยให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอ AI ได้ฟรีวันละ 30 คลิป พร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่างการมิกซ์เสียงและสร้างเสียงพากย์ในแอปเดียว

    Sora เป็นเครื่องมือสร้างวิดีโอด้วย AI ที่ได้รับความนิยมอย่างมากบน iOS และตอนนี้ก็พร้อมให้ผู้ใช้ Android ได้สัมผัสแล้ว จุดเด่นคือ:
    สร้างวิดีโอได้ฟรีวันละ 30 คลิป ต่อบัญชี
    หากต้องการเพิ่มจำนวนการสร้างวิดีโอ สามารถซื้อเครดิตเพิ่มได้ (10 คลิป ราคา $4) ซึ่งตอนนี้ยังจำกัดเฉพาะ iOS แต่จะขยายไป Android เร็วๆ นี้
    เครดิตที่ซื้อสามารถใช้ข้ามแพลตฟอร์มได้ ทั้ง iOS และ Android
    ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในเวอร์ชัน Android คือ การมิกซ์เสียงและสร้างเสียงพากย์ ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอที่มีเสียงบรรยายโดยไม่ต้องใช้แอปตัดต่อเพิ่มเติม

    Sora จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ครบวงจรสำหรับการสร้างวิดีโอ AI ทั้งภาพและเสียงในแอปเดียว

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    การสร้างเสียงพากย์ด้วย AI ช่วยลดต้นทุนการผลิตวิดีโอสำหรับครีเอเตอร์และนักการตลาด
    ฟีเจอร์ audio mixing ทำให้สามารถรวมเสียงหลายแหล่ง เช่น เพลงประกอบ เสียงพูด และเอฟเฟกต์ ได้อย่างลงตัว
    การใช้ AI สร้างวิดีโอเริ่มกลายเป็นเทรนด์ในวงการโฆษณา การศึกษา และคอนเทนต์ออนไลน์ เพราะช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิต

    การเปิดตัว Sora บน Android
    เปิดให้ใช้งานตั้งแต่ 4 พฤศจิกายน 2025
    สร้างวิดีโอได้ฟรีวันละ 30 คลิป
    ซื้อเครดิตเพิ่มได้ (เฉพาะ iOS ในตอนนี้)
    เครดิตใช้ข้ามแพลตฟอร์มได้

    ฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน Android
    Audio Mixing รวมเสียงหลายแหล่ง
    Voiceover สร้างเสียงบรรยายอัตโนมัติ
    ไม่ต้องใช้แอปตัดต่อเพิ่มเติม

    ประโยชน์สำหรับผู้ใช้
    ลดต้นทุนการผลิตวิดีโอ
    สร้างคอนเทนต์ได้เร็วขึ้น
    เหมาะสำหรับนักการตลาด ครีเอเตอร์ และนักการศึกษา

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android
    ยังไม่สามารถซื้อเครดิตเพิ่มได้ในเวอร์ชัน Android
    ต้องรอการอัปเดตจาก OpenAI เพื่อเปิดฟีเจอร์นี้
    ควรตรวจสอบจำนวนคลิปที่ใช้ในแต่ละวันเพื่อไม่ให้เกินโควตา

    Sora บน Android ไม่ใช่แค่การเปิดตัวแอปใหม่ แต่คือการเปิดประตูสู่การสร้างวิดีโอ AI ที่สมบูรณ์แบบทั้งภาพและเสียง… ในมือคุณ.

    https://securityonline.info/openai-launches-sora-ai-video-generator-with-audio-mixing/
    🎬 Sora เปิดตัวบน Android! สร้างวิดีโอ AI พร้อมเสียงพากย์ได้ทันที OpenAI เปิดตัว Sora เวอร์ชัน Android อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 โดยให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอ AI ได้ฟรีวันละ 30 คลิป พร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่างการมิกซ์เสียงและสร้างเสียงพากย์ในแอปเดียว Sora เป็นเครื่องมือสร้างวิดีโอด้วย AI ที่ได้รับความนิยมอย่างมากบน iOS และตอนนี้ก็พร้อมให้ผู้ใช้ Android ได้สัมผัสแล้ว จุดเด่นคือ: 💠 สร้างวิดีโอได้ฟรีวันละ 30 คลิป ต่อบัญชี 💠 หากต้องการเพิ่มจำนวนการสร้างวิดีโอ สามารถซื้อเครดิตเพิ่มได้ (10 คลิป ราคา $4) ซึ่งตอนนี้ยังจำกัดเฉพาะ iOS แต่จะขยายไป Android เร็วๆ นี้ 💠 เครดิตที่ซื้อสามารถใช้ข้ามแพลตฟอร์มได้ ทั้ง iOS และ Android 💠 ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในเวอร์ชัน Android คือ การมิกซ์เสียงและสร้างเสียงพากย์ ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอที่มีเสียงบรรยายโดยไม่ต้องใช้แอปตัดต่อเพิ่มเติม Sora จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ครบวงจรสำหรับการสร้างวิดีโอ AI ทั้งภาพและเสียงในแอปเดียว 📚 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔖 การสร้างเสียงพากย์ด้วย AI ช่วยลดต้นทุนการผลิตวิดีโอสำหรับครีเอเตอร์และนักการตลาด 🔖 ฟีเจอร์ audio mixing ทำให้สามารถรวมเสียงหลายแหล่ง เช่น เพลงประกอบ เสียงพูด และเอฟเฟกต์ ได้อย่างลงตัว 🔖 การใช้ AI สร้างวิดีโอเริ่มกลายเป็นเทรนด์ในวงการโฆษณา การศึกษา และคอนเทนต์ออนไลน์ เพราะช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิต ✅ การเปิดตัว Sora บน Android ➡️ เปิดให้ใช้งานตั้งแต่ 4 พฤศจิกายน 2025 ➡️ สร้างวิดีโอได้ฟรีวันละ 30 คลิป ➡️ ซื้อเครดิตเพิ่มได้ (เฉพาะ iOS ในตอนนี้) ➡️ เครดิตใช้ข้ามแพลตฟอร์มได้ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน Android ➡️ Audio Mixing รวมเสียงหลายแหล่ง ➡️ Voiceover สร้างเสียงบรรยายอัตโนมัติ ➡️ ไม่ต้องใช้แอปตัดต่อเพิ่มเติม ✅ ประโยชน์สำหรับผู้ใช้ ➡️ ลดต้นทุนการผลิตวิดีโอ ➡️ สร้างคอนเทนต์ได้เร็วขึ้น ➡️ เหมาะสำหรับนักการตลาด ครีเอเตอร์ และนักการศึกษา ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android ⛔ ยังไม่สามารถซื้อเครดิตเพิ่มได้ในเวอร์ชัน Android ⛔ ต้องรอการอัปเดตจาก OpenAI เพื่อเปิดฟีเจอร์นี้ ⛔ ควรตรวจสอบจำนวนคลิปที่ใช้ในแต่ละวันเพื่อไม่ให้เกินโควตา Sora บน Android ไม่ใช่แค่การเปิดตัวแอปใหม่ แต่คือการเปิดประตูสู่การสร้างวิดีโอ AI ที่สมบูรณ์แบบทั้งภาพและเสียง… ในมือคุณ. https://securityonline.info/openai-launches-sora-ai-video-generator-with-audio-mixing/
    SECURITYONLINE.INFO
    Android Debut: OpenAI Launches Sora AI Video Generator with Audio Mixing & Voiceover
    OpenAI officially launched Sora for Android, allowing users to create 30 free AI-generated videos daily. The app includes audio mixing and voiceover features.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่สะเทือนวงการไอที: ช่องโหว่ Microsoft Teams เปิดทางแฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร

    วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานสายไอทีและองค์กรทั่วโลกต้องฟังให้ดี เพราะมันเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารยอดนิยมอย่าง Microsoft Teams ที่มีผู้ใช้งานกว่า 320 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งล่าสุดนักวิจัยจาก Check Point Research ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด ที่สามารถทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดี “ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร” และ “เปลี่ยนแปลงข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย” ได้อย่างแนบเนียน

    ลองนึกภาพว่า คุณได้รับข้อความจาก CEO หรือหัวหน้าฝ่ายการเงินที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วมันถูกปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์อันตราย หรือโอนเงินผิดบัญชี… นี่คือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงจากช่องโหว่เหล่านี้

    4 ช่องโหว่ที่ถูกเปิดโปง
    แก้ไขข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย แฮกเกอร์สามารถเปลี่ยนเนื้อหาข้อความที่ส่งไปแล้ว โดยไม่แสดงคำว่า “Edited” ทำให้ผู้รับไม่รู้ว่าข้อความถูกแก้ไข
    ปลอมการแจ้งเตือนข้อความ โดยการเปลี่ยนค่า imdisplayname ทำให้สามารถแสดงชื่อผู้ส่งเป็นบุคคลสำคัญ เช่น CEO หรือ CFO ได้
    เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ใช้ API เปลี่ยนชื่อหัวข้อแชท ทำให้ผู้รับเข้าใจผิดว่าแชทนั้นมาจากคนอื่น
    ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง เปลี่ยนค่า displayName ในการเริ่มต้นการโทร ทำให้ดูเหมือนว่าโทรมาจากผู้บริหารหรือแผนกสำคัญ

    สาระเพิ่มเติม
    ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “Social Engineering” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกล่อเหยื่อให้ทำตามโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ

    การปลอมตัวในระบบสื่อสารองค์กรสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ BEC (Business Email Compromise) ซึ่งสร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ต่อปี

    แม้ Microsoft จะจัดระดับความรุนแรงเป็น “ปานกลาง” แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความสามารถในการปลอมตัวในระบบที่ใช้กันทั่วโลกนั้น “อันตรายกว่าที่คิด”

    สรุปประเด็นสำคัญ

    ช่องโหว่ที่พบใน Microsoft Teams
    แก้ไขข้อความโดยไม่แสดงว่าเคยถูกแก้
    ปลอมชื่อผู้ส่งในแจ้งเตือน
    เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว
    ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    การหลอกให้โอนเงินผิดบัญชี
    การแพร่กระจายมัลแวร์ผ่านลิงก์ปลอม
    การขโมยข้อมูลบัญชีหรือรหัสผ่าน
    การสร้างความสับสนในการประชุมสำคัญ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานองค์กร
    อย่าเชื่อข้อความหรือการแจ้งเตือนจากบุคคลสำคัญโดยไม่ตรวจสอบ
    หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากข้อความที่ดูผิดปกติ
    ควรมีการอบรมพนักงานเรื่องภัย Social Engineering
    อัปเดตระบบและติดตามช่องโหว่จากผู้พัฒนาอย่างใกล้ชิด

    ถ้าองค์กรของคุณใช้ Microsoft Teams เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร เรื่องนี้ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค… แต่มันคือเรื่องของ “ความไว้วางใจ” ที่อาจถูกทำลายได้ในพริบตา.

    https://securityonline.info/microsoft-teams-flaws-exposed-attackers-could-impersonate-executives-and-forge-caller-identity/
    🛡️ ข่าวใหญ่สะเทือนวงการไอที: ช่องโหว่ Microsoft Teams เปิดทางแฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานสายไอทีและองค์กรทั่วโลกต้องฟังให้ดี เพราะมันเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารยอดนิยมอย่าง Microsoft Teams ที่มีผู้ใช้งานกว่า 320 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งล่าสุดนักวิจัยจาก Check Point Research ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด ที่สามารถทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดี “ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร” และ “เปลี่ยนแปลงข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย” ได้อย่างแนบเนียน ลองนึกภาพว่า คุณได้รับข้อความจาก CEO หรือหัวหน้าฝ่ายการเงินที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วมันถูกปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์อันตราย หรือโอนเงินผิดบัญชี… นี่คือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงจากช่องโหว่เหล่านี้ 🔍 4 ช่องโหว่ที่ถูกเปิดโปง ✏️ แก้ไขข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย แฮกเกอร์สามารถเปลี่ยนเนื้อหาข้อความที่ส่งไปแล้ว โดยไม่แสดงคำว่า “Edited” ทำให้ผู้รับไม่รู้ว่าข้อความถูกแก้ไข 📢 ปลอมการแจ้งเตือนข้อความ โดยการเปลี่ยนค่า imdisplayname ทำให้สามารถแสดงชื่อผู้ส่งเป็นบุคคลสำคัญ เช่น CEO หรือ CFO ได้ 💬 เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ใช้ API เปลี่ยนชื่อหัวข้อแชท ทำให้ผู้รับเข้าใจผิดว่าแชทนั้นมาจากคนอื่น 📞 ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง เปลี่ยนค่า displayName ในการเริ่มต้นการโทร ทำให้ดูเหมือนว่าโทรมาจากผู้บริหารหรือแผนกสำคัญ 🧠 สาระเพิ่มเติม ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “Social Engineering” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกล่อเหยื่อให้ทำตามโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ การปลอมตัวในระบบสื่อสารองค์กรสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ BEC (Business Email Compromise) ซึ่งสร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ต่อปี แม้ Microsoft จะจัดระดับความรุนแรงเป็น “ปานกลาง” แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความสามารถในการปลอมตัวในระบบที่ใช้กันทั่วโลกนั้น “อันตรายกว่าที่คิด” 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่พบใน Microsoft Teams ➡️ แก้ไขข้อความโดยไม่แสดงว่าเคยถูกแก้ ➡️ ปลอมชื่อผู้ส่งในแจ้งเตือน ➡️ เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ➡️ ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ การหลอกให้โอนเงินผิดบัญชี ➡️ การแพร่กระจายมัลแวร์ผ่านลิงก์ปลอม ➡️ การขโมยข้อมูลบัญชีหรือรหัสผ่าน ➡️ การสร้างความสับสนในการประชุมสำคัญ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานองค์กร ⛔ อย่าเชื่อข้อความหรือการแจ้งเตือนจากบุคคลสำคัญโดยไม่ตรวจสอบ ⛔ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากข้อความที่ดูผิดปกติ ⛔ ควรมีการอบรมพนักงานเรื่องภัย Social Engineering ⛔ อัปเดตระบบและติดตามช่องโหว่จากผู้พัฒนาอย่างใกล้ชิด ถ้าองค์กรของคุณใช้ Microsoft Teams เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร เรื่องนี้ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค… แต่มันคือเรื่องของ “ความไว้วางใจ” ที่อาจถูกทำลายได้ในพริบตา. https://securityonline.info/microsoft-teams-flaws-exposed-attackers-could-impersonate-executives-and-forge-caller-identity/
    SECURITYONLINE.INFO
    Microsoft Teams Flaws Exposed: Attackers Could Impersonate Executives and Forge Caller Identity
    Check Point exposed four critical flaws in Microsoft Teams. Attackers could forge executive caller IDs, silently edit messages without trace, and spoof notifications for BEC and espionage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SpaceX ผนึก Besxar สร้างโรงงานผลิตชิปกลางอวกาศ — ภารกิจสุดล้ำที่อาจเปลี่ยนโลกเทคโนโลยี!”

    ลองจินตนาการว่าอนาคตของการผลิตชิปไม่ได้อยู่ในห้องคลีนรูมบนโลกอีกต่อไป… แต่ลอยอยู่ในอวกาศ! นั่นคือแนวคิดสุดล้ำของ Besxar สตาร์ทอัพจากวอชิงตัน ดี.ซี. ที่จับมือกับ SpaceX เพื่อทดลองผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสุญญากาศของอวกาศ โดยใช้ “Fabships” — แคปซูลขนาดไมโครเวฟที่ติดไปกับจรวด Falcon 9

    ภารกิจนี้จะมีทั้งหมด 12 ครั้ง เริ่มปลายปีนี้ โดย Fabships จะถูกส่งขึ้นไปพร้อมจรวด ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีในการสัมผัสสุญญากาศระดับสูง ก่อนกลับลงมาพร้อมข้อมูลสำคัญเพื่อพัฒนาโรงงานผลิตชิปในวงโคจร

    CEO ของ Besxar, Ashley Pilipiszyn อธิบายว่า “โรงงานผลิตชิปบนโลกไม่สามารถสร้างสุญญากาศที่บริสุทธิ์ได้เท่ากับอวกาศ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพและผลผลิตของชิปยุคใหม่” แนวคิดนี้จึงเปรียบเสมือนการใช้ธรรมชาติของอวกาศเป็นห้องคลีนรูมขนาดยักษ์

    แม้จะยังห่างไกลจากการผลิตเชิงพาณิชย์ แต่ Besxar ได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พร้อมเป้าหมายในการสร้างชิปที่ทนรังสีและเหมาะกับการใช้งานในอวกาศและกองทัพ

    Besxar จับมือ SpaceX ทดลองผลิตชิปในอวกาศ
    ใช้แคปซูล “Fabships” ติดไปกับจรวด Falcon 9
    สัมผัสสุญญากาศระดับสูงก่อนกลับสู่โลกภายใน 10 นาที

    เป้าหมายคือสร้างโรงงานผลิตชิปในวงโคจร
    ใช้สุญญากาศของอวกาศแทนห้องคลีนรูม
    หวังเพิ่มคุณภาพและผลผลิตของเซมิคอนดักเตอร์

    ภารกิจเริ่มปลายปีนี้ รวม 12 ครั้ง
    เป็นโครงการทดลองเพื่อเก็บข้อมูล
    ยังไม่ใช่การผลิตเชิงพาณิชย์

    ได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA และกระทรวงกลาโหม
    มีเป้าหมายในการผลิตชิปที่ทนรังสีสำหรับการใช้งานด้านกลาโหม
    อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตชิปในอนาคต

    คำเตือนด้านความเป็นไปได้
    ยังอยู่ในขั้นทดลอง ไม่สามารถผลิตชิปเชิงพาณิชย์ได้ก่อนปี 2030
    ต้องพิสูจน์ว่าชิปสามารถทนต่อแรงกระแทกจากการปล่อยและกลับสู่โลกได้

    คำเตือนด้านต้นทุนและความเสี่ยง
    การสร้างระบบผลิตในอวกาศมีต้นทุนสูงมาก
    หากไม่สำเร็จ อาจเป็นเพียง “โน้ตเชิงทดลองราคาแพง” ในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/elon-musks-spacex-to-launch-reusable-fabships-for-orbital-chip-manufacturing-experiments-besxars-orbital-chipmaking-experiments-to-occur-over-12-launches
    🚀🔬 “SpaceX ผนึก Besxar สร้างโรงงานผลิตชิปกลางอวกาศ — ภารกิจสุดล้ำที่อาจเปลี่ยนโลกเทคโนโลยี!” ลองจินตนาการว่าอนาคตของการผลิตชิปไม่ได้อยู่ในห้องคลีนรูมบนโลกอีกต่อไป… แต่ลอยอยู่ในอวกาศ! นั่นคือแนวคิดสุดล้ำของ Besxar สตาร์ทอัพจากวอชิงตัน ดี.ซี. ที่จับมือกับ SpaceX เพื่อทดลองผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสุญญากาศของอวกาศ โดยใช้ “Fabships” — แคปซูลขนาดไมโครเวฟที่ติดไปกับจรวด Falcon 9 ภารกิจนี้จะมีทั้งหมด 12 ครั้ง เริ่มปลายปีนี้ โดย Fabships จะถูกส่งขึ้นไปพร้อมจรวด ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีในการสัมผัสสุญญากาศระดับสูง ก่อนกลับลงมาพร้อมข้อมูลสำคัญเพื่อพัฒนาโรงงานผลิตชิปในวงโคจร CEO ของ Besxar, Ashley Pilipiszyn อธิบายว่า “โรงงานผลิตชิปบนโลกไม่สามารถสร้างสุญญากาศที่บริสุทธิ์ได้เท่ากับอวกาศ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพและผลผลิตของชิปยุคใหม่” แนวคิดนี้จึงเปรียบเสมือนการใช้ธรรมชาติของอวกาศเป็นห้องคลีนรูมขนาดยักษ์ แม้จะยังห่างไกลจากการผลิตเชิงพาณิชย์ แต่ Besxar ได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พร้อมเป้าหมายในการสร้างชิปที่ทนรังสีและเหมาะกับการใช้งานในอวกาศและกองทัพ ✅ Besxar จับมือ SpaceX ทดลองผลิตชิปในอวกาศ ➡️ ใช้แคปซูล “Fabships” ติดไปกับจรวด Falcon 9 ➡️ สัมผัสสุญญากาศระดับสูงก่อนกลับสู่โลกภายใน 10 นาที ✅ เป้าหมายคือสร้างโรงงานผลิตชิปในวงโคจร ➡️ ใช้สุญญากาศของอวกาศแทนห้องคลีนรูม ➡️ หวังเพิ่มคุณภาพและผลผลิตของเซมิคอนดักเตอร์ ✅ ภารกิจเริ่มปลายปีนี้ รวม 12 ครั้ง ➡️ เป็นโครงการทดลองเพื่อเก็บข้อมูล ➡️ ยังไม่ใช่การผลิตเชิงพาณิชย์ ✅ ได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA และกระทรวงกลาโหม ➡️ มีเป้าหมายในการผลิตชิปที่ทนรังสีสำหรับการใช้งานด้านกลาโหม ➡️ อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตชิปในอนาคต ‼️ คำเตือนด้านความเป็นไปได้ ⛔ ยังอยู่ในขั้นทดลอง ไม่สามารถผลิตชิปเชิงพาณิชย์ได้ก่อนปี 2030 ⛔ ต้องพิสูจน์ว่าชิปสามารถทนต่อแรงกระแทกจากการปล่อยและกลับสู่โลกได้ ‼️ คำเตือนด้านต้นทุนและความเสี่ยง ⛔ การสร้างระบบผลิตในอวกาศมีต้นทุนสูงมาก ⛔ หากไม่สำเร็จ อาจเป็นเพียง “โน้ตเชิงทดลองราคาแพง” ในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/elon-musks-spacex-to-launch-reusable-fabships-for-orbital-chip-manufacturing-experiments-besxars-orbital-chipmaking-experiments-to-occur-over-12-launches
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่ในวงการข่าวกรอง: อดีต CTO CIA ร่วมทีม Brinker เพื่อสู้ภัยข่าวลวงด้วย AI

    Bob Flores อดีต Chief Technology Officer ของ CIA ได้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาให้กับ Brinker บริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง (narrative intelligence) ที่มุ่งมั่นต่อสู้กับการบิดเบือนข้อมูลและแคมเปญอิทธิพลระดับโลกด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง

    Brinker ก่อตั้งโดย Benny Schnaider, Daniel Ravner และ Oded Breiner โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และสกัดกั้นเนื้อหาที่เป็นภัยในโลกออนไลน์แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่ตรวจจับ แต่ต้อง “ตอบโต้” ได้ทันที

    Bob Flores กล่าวไว้ว่า “การรับมือกับข่าวลวงแบบเดิมๆ ไม่ทันต่อความเร็วและขนาดของแคมเปญอิทธิพลในปัจจุบัน” และเขาเชื่อว่า Brinker จะเปลี่ยนเกมนี้ได้ด้วยระบบที่วิเคราะห์และตอบโต้ได้ทันที

    Brinker ใช้ LLM (Large Language Model) ที่พัฒนาเอง ซึ่งสามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัยได้ข้ามแพลตฟอร์ม ภาษา และภูมิศาสตร์ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลที่เครื่องมือเดิมต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นภาพ

    Flores ซึ่งมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีระดับสูง ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการเข้าร่วมของเขาใน Brinker ถือเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ หลังจากที่ Avi Kastan อดีต CEO ของ Sixgill ก็เพิ่งเข้าร่วมทีมที่ปรึกษาเช่นกัน

    Bob Flores เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา Brinker
    อดีต CTO ของ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองและเทคโนโลยี
    ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc.

    Brinker คือบริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง
    ใช้ AI วิเคราะห์และตอบโต้ข่าวลวงแบบเรียลไทม์
    มี LLM ที่สามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัย

    เป้าหมายของ Brinker คือการเปลี่ยนจาก “ตรวจจับ” เป็น “ตอบโต้”
    ระบบสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ลบเนื้อหา, เผยแพร่เนื้อหาตอบโต้, ดำเนินการทางกฎหมายเบื้องต้น

    ทีมที่ปรึกษา Brinker แข็งแกร่งขึ้น
    รวมผู้เชี่ยวชาญจาก CIA และ Sixgill
    เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามระดับโลก

    ความท้าทายของการต่อสู้กับข่าวลวง
    ข่าวลวงแพร่กระจายเร็วและข้ามแพลตฟอร์ม
    การตอบโต้แบบเดิมไม่ทันต่อสถานการณ์

    ความเสี่ยงหากไม่มีระบบตอบโต้แบบเรียลไทม์
    องค์กรอาจตกเป็นเป้าหมายของแคมเปญอิทธิพล
    ข้อมูลผิดอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับชาติและองค์กร

    นี่คือการเคลื่อนไหวที่สะท้อนว่า “สงครามข้อมูล” ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และการมีผู้เชี่ยวชาญระดับ Bob Flores เข้ามาเสริมทัพ Brinker คือการประกาศชัดว่า AI จะเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับภัยเงียบในโลกดิจิทัล.

    https://securityonline.info/bob-flores-former-cto-of-the-cia-joins-brinker/
    🧠 ข่าวใหญ่ในวงการข่าวกรอง: อดีต CTO CIA ร่วมทีม Brinker เพื่อสู้ภัยข่าวลวงด้วย AI Bob Flores อดีต Chief Technology Officer ของ CIA ได้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาให้กับ Brinker บริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง (narrative intelligence) ที่มุ่งมั่นต่อสู้กับการบิดเบือนข้อมูลและแคมเปญอิทธิพลระดับโลกด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง Brinker ก่อตั้งโดย Benny Schnaider, Daniel Ravner และ Oded Breiner โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และสกัดกั้นเนื้อหาที่เป็นภัยในโลกออนไลน์แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่ตรวจจับ แต่ต้อง “ตอบโต้” ได้ทันที Bob Flores กล่าวไว้ว่า “การรับมือกับข่าวลวงแบบเดิมๆ ไม่ทันต่อความเร็วและขนาดของแคมเปญอิทธิพลในปัจจุบัน” และเขาเชื่อว่า Brinker จะเปลี่ยนเกมนี้ได้ด้วยระบบที่วิเคราะห์และตอบโต้ได้ทันที Brinker ใช้ LLM (Large Language Model) ที่พัฒนาเอง ซึ่งสามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัยได้ข้ามแพลตฟอร์ม ภาษา และภูมิศาสตร์ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลที่เครื่องมือเดิมต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นภาพ Flores ซึ่งมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีระดับสูง ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการเข้าร่วมของเขาใน Brinker ถือเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ หลังจากที่ Avi Kastan อดีต CEO ของ Sixgill ก็เพิ่งเข้าร่วมทีมที่ปรึกษาเช่นกัน ✅ Bob Flores เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา Brinker ➡️ อดีต CTO ของ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองและเทคโนโลยี ➡️ ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. ✅ Brinker คือบริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์และตอบโต้ข่าวลวงแบบเรียลไทม์ ➡️ มี LLM ที่สามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัย ✅ เป้าหมายของ Brinker คือการเปลี่ยนจาก “ตรวจจับ” เป็น “ตอบโต้” ➡️ ระบบสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ลบเนื้อหา, เผยแพร่เนื้อหาตอบโต้, ดำเนินการทางกฎหมายเบื้องต้น ✅ ทีมที่ปรึกษา Brinker แข็งแกร่งขึ้น ➡️ รวมผู้เชี่ยวชาญจาก CIA และ Sixgill ➡️ เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามระดับโลก ‼️ ความท้าทายของการต่อสู้กับข่าวลวง ⛔ ข่าวลวงแพร่กระจายเร็วและข้ามแพลตฟอร์ม ⛔ การตอบโต้แบบเดิมไม่ทันต่อสถานการณ์ ‼️ ความเสี่ยงหากไม่มีระบบตอบโต้แบบเรียลไทม์ ⛔ องค์กรอาจตกเป็นเป้าหมายของแคมเปญอิทธิพล ⛔ ข้อมูลผิดอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับชาติและองค์กร นี่คือการเคลื่อนไหวที่สะท้อนว่า “สงครามข้อมูล” ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และการมีผู้เชี่ยวชาญระดับ Bob Flores เข้ามาเสริมทัพ Brinker คือการประกาศชัดว่า AI จะเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับภัยเงียบในโลกดิจิทัล. https://securityonline.info/bob-flores-former-cto-of-the-cia-joins-brinker/
    SECURITYONLINE.INFO
    Bob Flores, Former CTO of the CIA, Joins Brinker
    Delaware, United States, 4th November 2025, CyberNewsWire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • มอเตอร์เล็กพริกขี้หนู: YASA สร้างมอเตอร์ไฟฟ้า 1,005 แรงม้า หนักแค่ 28 ปอนด์

    บริษัท YASA จากสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Mercedes-Benz ได้เปิดตัวมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ axial flux รุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาเพียง 28 ปอนด์ (ประมาณ 12.7 กิโลกรัม) แต่สามารถผลิตกำลังได้ถึง 750 กิโลวัตต์ หรือ 1,005 แรงม้า — เทียบเท่ากับมอเตอร์ Tesla 4 ตัวรวมกันเลยทีเดียว!

    มอเตอร์รุ่นนี้ไม่ใช่แค่แนวคิดในห้องแล็บ แต่เป็นต้นแบบที่ใช้งานได้จริง และสามารถส่งกำลังได้ต่อเนื่องถึง 350–400 กิโลวัตต์ โดยไม่ต้องใช้วัสดุหายากหรือราคาแพง ทำให้มีโอกาสผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ในอนาคต

    CEO ของ YASA กล่าวว่า “เรามีความหนาแน่นของกำลังมากกว่ามอเตอร์แบบ radial flux ถึง 3 เท่า” ซึ่งหมายความว่า EV ที่ใช้มอเตอร์นี้จะเบาขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น

    ปัจจุบัน YASA ผลิตมอเตอร์ให้กับรถระดับไฮเอนด์ เช่น Ferrari 296 GTB และ Mercedes-AMG GT XX และมีแนวโน้มว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้กับรถทั่วไปในอนาคต เช่น Nissan Leaf

    YASA เปิดตัวมอเตอร์ axial flux รุ่นใหม่
    น้ำหนักเพียง 28 ปอนด์ แต่ให้กำลังถึง 1,005 แรงม้า
    แรงกว่ามอเตอร์ Tesla 4 ตัวรวมกัน

    ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 40%
    รุ่นก่อนให้กำลัง 737 แรงม้า
    รุ่นใหม่ให้กำลัง 1,005 แรงม้า

    ส่งกำลังต่อเนื่องได้ 350–400 กิโลวัตต์
    ไม่ใช่แค่แรงระยะสั้น แต่ใช้งานจริงได้ทั้งวัน
    ไม่ใช้วัสดุหายาก ทำให้มีโอกาสผลิตในวงกว้าง

    YASA เป็นบริษัทในเครือของ Mercedes-Benz
    ผลิตมอเตอร์ให้กับรถไฮเอนด์ เช่น Ferrari และ Mercedes
    อาจนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับรถทั่วไปในอนาคต

    https://supercarblondie.com/electric-motor-yasa-more-powerful-tesla-mercedes/
    ⚡ มอเตอร์เล็กพริกขี้หนู: YASA สร้างมอเตอร์ไฟฟ้า 1,005 แรงม้า หนักแค่ 28 ปอนด์ บริษัท YASA จากสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Mercedes-Benz ได้เปิดตัวมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ axial flux รุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาเพียง 28 ปอนด์ (ประมาณ 12.7 กิโลกรัม) แต่สามารถผลิตกำลังได้ถึง 750 กิโลวัตต์ หรือ 1,005 แรงม้า — เทียบเท่ากับมอเตอร์ Tesla 4 ตัวรวมกันเลยทีเดียว! มอเตอร์รุ่นนี้ไม่ใช่แค่แนวคิดในห้องแล็บ แต่เป็นต้นแบบที่ใช้งานได้จริง และสามารถส่งกำลังได้ต่อเนื่องถึง 350–400 กิโลวัตต์ โดยไม่ต้องใช้วัสดุหายากหรือราคาแพง ทำให้มีโอกาสผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ในอนาคต CEO ของ YASA กล่าวว่า “เรามีความหนาแน่นของกำลังมากกว่ามอเตอร์แบบ radial flux ถึง 3 เท่า” ซึ่งหมายความว่า EV ที่ใช้มอเตอร์นี้จะเบาขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น ปัจจุบัน YASA ผลิตมอเตอร์ให้กับรถระดับไฮเอนด์ เช่น Ferrari 296 GTB และ Mercedes-AMG GT XX และมีแนวโน้มว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้กับรถทั่วไปในอนาคต เช่น Nissan Leaf ✅ YASA เปิดตัวมอเตอร์ axial flux รุ่นใหม่ ➡️ น้ำหนักเพียง 28 ปอนด์ แต่ให้กำลังถึง 1,005 แรงม้า ➡️ แรงกว่ามอเตอร์ Tesla 4 ตัวรวมกัน ✅ ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 40% ➡️ รุ่นก่อนให้กำลัง 737 แรงม้า ➡️ รุ่นใหม่ให้กำลัง 1,005 แรงม้า ✅ ส่งกำลังต่อเนื่องได้ 350–400 กิโลวัตต์ ➡️ ไม่ใช่แค่แรงระยะสั้น แต่ใช้งานจริงได้ทั้งวัน ➡️ ไม่ใช้วัสดุหายาก ทำให้มีโอกาสผลิตในวงกว้าง ✅ YASA เป็นบริษัทในเครือของ Mercedes-Benz ➡️ ผลิตมอเตอร์ให้กับรถไฮเอนด์ เช่น Ferrari และ Mercedes ➡️ อาจนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับรถทั่วไปในอนาคต https://supercarblondie.com/electric-motor-yasa-more-powerful-tesla-mercedes/
    SUPERCARBLONDIE.COM
    Tiny electric motor is as powerful as four Tesla motors put together and outperforms record holder by 40%
    UK-based YASA has just built a tiny electric motor that makes Tesla motors look like slackers, and this invention could potentially reshape the future of EVs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • Satya Nadella เผยปัญหาใหญ่ของยุค AI: ชิปมีพร้อม แต่ไฟฟ้าไม่พอเสียบ!

    CEO ของ Microsoft เปิดใจในพอดแคสต์ล่าสุดว่า บริษัทมี GPU สำหรับงาน AI อยู่เต็มคลัง แต่ไม่สามารถติดตั้งใช้งานได้ เพราะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้พลังงานมหาศาลของศูนย์ข้อมูลยุคใหม่

    Satya Nadella พูดในรายการ Bg2 Podcast ร่วมกับ Sam Altman (CEO ของ OpenAI) ว่า ปัญหาหลักของอุตสาหกรรม AI ตอนนี้ไม่ใช่การขาดแคลนชิป แต่เป็น “การไม่มีไฟฟ้าเพียงพอ” ที่จะเปิดใช้งานชิปเหล่านั้น

    เขาเปรียบเทียบว่า “มีชิปอยู่เต็มคลัง แต่ไม่มีที่เสียบ” เพราะศูนย์ข้อมูลต้องการพลังงานมหาศาลในการติดตั้ง GPU รุ่นใหม่อย่าง Nvidia H100 หรือ Blackwell ซึ่งกินไฟมากกว่ารุ่นก่อนถึง 100 เท่า

    หลายบริษัทกำลังหาทางออก เช่น การลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) หรือการใช้พลังงานหมุนเวียน แต่ก็ยังไม่ทันกับความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

    OpenAI ถึงกับเสนอให้รัฐบาลสหรัฐสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มถึง 100 กิกะวัตต์ต่อปี เพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI แข่งกับจีน ซึ่งมีความได้เปรียบด้านพลังงานจากเขื่อนและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่

    ปัญหาหลักของ Microsoft ในการขยาย AI
    มี GPU อยู่ในคลังจำนวนมาก แต่ไม่สามารถติดตั้งได้
    ขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน
    Nadella กล่าวว่า “ไม่มี warm shells ให้เสียบชิป”
    ปัญหาไม่ใช่ compute glut แต่เป็น power glut
    ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
    Nvidia Blackwell rack-scale TDP สูงกว่ารุ่นก่อนถึง 100 เท่า

    ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรม AI
    OpenAI เสนอให้รัฐบาลสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี
    บริษัทเทคโนโลยีเริ่มลงทุนใน SMR และพลังงานหมุนเวียน
    การแข่งขันกับจีนที่มีโครงสร้างพลังงานพร้อมกว่า
    ความเสี่ยงที่ชิปจะกลายเป็นสินค้าค้างคลังถาวร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-ceo-says-the-company-doesnt-have-enough-electricity-to-install-all-the-ai-gpus-in-its-inventory-you-may-actually-have-a-bunch-of-chips-sitting-in-inventory-that-i-cant-plug-in
    ⚡ Satya Nadella เผยปัญหาใหญ่ของยุค AI: ชิปมีพร้อม แต่ไฟฟ้าไม่พอเสียบ! CEO ของ Microsoft เปิดใจในพอดแคสต์ล่าสุดว่า บริษัทมี GPU สำหรับงาน AI อยู่เต็มคลัง แต่ไม่สามารถติดตั้งใช้งานได้ เพราะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้พลังงานมหาศาลของศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ Satya Nadella พูดในรายการ Bg2 Podcast ร่วมกับ Sam Altman (CEO ของ OpenAI) ว่า ปัญหาหลักของอุตสาหกรรม AI ตอนนี้ไม่ใช่การขาดแคลนชิป แต่เป็น “การไม่มีไฟฟ้าเพียงพอ” ที่จะเปิดใช้งานชิปเหล่านั้น เขาเปรียบเทียบว่า “มีชิปอยู่เต็มคลัง แต่ไม่มีที่เสียบ” เพราะศูนย์ข้อมูลต้องการพลังงานมหาศาลในการติดตั้ง GPU รุ่นใหม่อย่าง Nvidia H100 หรือ Blackwell ซึ่งกินไฟมากกว่ารุ่นก่อนถึง 100 เท่า หลายบริษัทกำลังหาทางออก เช่น การลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) หรือการใช้พลังงานหมุนเวียน แต่ก็ยังไม่ทันกับความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว OpenAI ถึงกับเสนอให้รัฐบาลสหรัฐสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มถึง 100 กิกะวัตต์ต่อปี เพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI แข่งกับจีน ซึ่งมีความได้เปรียบด้านพลังงานจากเขื่อนและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ ✅ ปัญหาหลักของ Microsoft ในการขยาย AI ➡️ มี GPU อยู่ในคลังจำนวนมาก แต่ไม่สามารถติดตั้งได้ ➡️ ขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ Nadella กล่าวว่า “ไม่มี warm shells ให้เสียบชิป” ➡️ ปัญหาไม่ใช่ compute glut แต่เป็น power glut ➡️ ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ➡️ Nvidia Blackwell rack-scale TDP สูงกว่ารุ่นก่อนถึง 100 เท่า ✅ ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรม AI ➡️ OpenAI เสนอให้รัฐบาลสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี ➡️ บริษัทเทคโนโลยีเริ่มลงทุนใน SMR และพลังงานหมุนเวียน ➡️ การแข่งขันกับจีนที่มีโครงสร้างพลังงานพร้อมกว่า ➡️ ความเสี่ยงที่ชิปจะกลายเป็นสินค้าค้างคลังถาวร https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-ceo-says-the-company-doesnt-have-enough-electricity-to-install-all-the-ai-gpus-in-its-inventory-you-may-actually-have-a-bunch-of-chips-sitting-in-inventory-that-i-cant-plug-in
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel อาจเข้าซื้อ SambaNova ด้วยมูลค่า $5 พันล้าน หวังพลิกเกม AI ด้วยระบบ end-to-end ที่ไม่พึ่ง NVIDIA

    Intel กำลังเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการของ SambaNova Systems บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ที่มีระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ครบวงจร โดยคาดว่าดีลนี้จะมีมูลค่าราว $5 พันล้าน และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการกลับเข้าสู่ตลาด AI อย่างจริงจังของ Intel

    SambaNova เป็นบริษัทที่พัฒนา Reconfigurable Dataflow Unit (RDU) ซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อประมวลผลโมเดล AI โดยตรงในฮาร์ดแวร์ โดยไม่ต้องผ่านการจัดการหน่วยความจำแบบเดิม ทำให้มีประสิทธิภาพสูงโดยเฉพาะกับโมเดลประเภท transformer

    นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว SambaNova ยังมีระบบซอฟต์แวร์ชื่อ SambaFlow และโซลูชันระดับ rack-scale ที่ชื่อ DataScale Systems ซึ่งทำให้บริษัทมี ecosystem แบบ end-to-end ที่พร้อมใช้งานทันที

    Intel ภายใต้การนำของ CEO Lip-Bu Tan ซึ่งเคยลงทุนใน SambaNova ผ่านบริษัท Walden International กำลังมองหาการเข้าซื้อกิจการนี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในตลาด inference และลดการพึ่งพา NVIDIA

    รายละเอียดของดีล Intel–SambaNova
    Intel อยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อ SambaNova ด้วยมูลค่า $5 พันล้าน
    SambaNova มีระบบ AI แบบ end-to-end ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
    ใช้ชิป RDU ที่ไม่พึ่งพา GPU แบบ NVIDIA
    มีระบบ DataScale และ SambaFlow พร้อมใช้งาน

    เหตุผลที่ Intel สนใจ
    ต้องการเสริมความแข็งแกร่งในตลาด inference
    ลดการพึ่งพา NVIDIA และสร้าง ecosystem ของตัวเอง
    CEO Lip-Bu Tan เคยลงทุนใน SambaNova และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด
    Intel ต้องการเร่งการกลับเข้าสู่ตลาด AI หลังจากตามหลังมานาน

    จุดเด่นของเทคโนโลยี SambaNova
    RDU สามารถแมปกราฟของ neural network ลงในฮาร์ดแวร์โดยตรง
    ลด overhead จากการเคลื่อนย้ายข้อมูลในหน่วยความจำ
    เหมาะกับงาน inference ขนาดใหญ่ เช่น LLM และ transformer
    มีระบบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่พร้อมใช้งานทันที

    https://wccftech.com/intel-potential-acquisition-of-sambanova-could-catalyze-the-ai-comeback/
    💼🔍 Intel อาจเข้าซื้อ SambaNova ด้วยมูลค่า $5 พันล้าน หวังพลิกเกม AI ด้วยระบบ end-to-end ที่ไม่พึ่ง NVIDIA Intel กำลังเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการของ SambaNova Systems บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ที่มีระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ครบวงจร โดยคาดว่าดีลนี้จะมีมูลค่าราว $5 พันล้าน และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการกลับเข้าสู่ตลาด AI อย่างจริงจังของ Intel SambaNova เป็นบริษัทที่พัฒนา Reconfigurable Dataflow Unit (RDU) ซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อประมวลผลโมเดล AI โดยตรงในฮาร์ดแวร์ โดยไม่ต้องผ่านการจัดการหน่วยความจำแบบเดิม ทำให้มีประสิทธิภาพสูงโดยเฉพาะกับโมเดลประเภท transformer นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว SambaNova ยังมีระบบซอฟต์แวร์ชื่อ SambaFlow และโซลูชันระดับ rack-scale ที่ชื่อ DataScale Systems ซึ่งทำให้บริษัทมี ecosystem แบบ end-to-end ที่พร้อมใช้งานทันที Intel ภายใต้การนำของ CEO Lip-Bu Tan ซึ่งเคยลงทุนใน SambaNova ผ่านบริษัท Walden International กำลังมองหาการเข้าซื้อกิจการนี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในตลาด inference และลดการพึ่งพา NVIDIA ✅ รายละเอียดของดีล Intel–SambaNova ➡️ Intel อยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อ SambaNova ด้วยมูลค่า $5 พันล้าน ➡️ SambaNova มีระบบ AI แบบ end-to-end ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ➡️ ใช้ชิป RDU ที่ไม่พึ่งพา GPU แบบ NVIDIA ➡️ มีระบบ DataScale และ SambaFlow พร้อมใช้งาน ✅ เหตุผลที่ Intel สนใจ ➡️ ต้องการเสริมความแข็งแกร่งในตลาด inference ➡️ ลดการพึ่งพา NVIDIA และสร้าง ecosystem ของตัวเอง ➡️ CEO Lip-Bu Tan เคยลงทุนใน SambaNova และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ➡️ Intel ต้องการเร่งการกลับเข้าสู่ตลาด AI หลังจากตามหลังมานาน ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยี SambaNova ➡️ RDU สามารถแมปกราฟของ neural network ลงในฮาร์ดแวร์โดยตรง ➡️ ลด overhead จากการเคลื่อนย้ายข้อมูลในหน่วยความจำ ➡️ เหมาะกับงาน inference ขนาดใหญ่ เช่น LLM และ transformer ➡️ มีระบบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่พร้อมใช้งานทันที https://wccftech.com/intel-potential-acquisition-of-sambanova-could-catalyze-the-ai-comeback/
    WCCFTECH.COM
    Intel’s Potential Acquisition of SambaNova Could ‘Catalyze’ the Company’s AI Comeback — But It May Cost At Least a Hefty $5 Billion
    Intel is eyeing a major acquisition under its new leadership, with a takeover of the AI startup SambaNova, which could prove massive.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nexperia หยุดส่งออกชิปไปจีน! อุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันชะงัก ผลกระทบลามทั่วโลก

    ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเนเธอร์แลนด์และจีนเรื่องการควบคุมบริษัท Nexperia ส่งผลให้การส่งออกชิปไปจีนถูกระงับทันที ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันอย่าง VW, BMW และ Mercedes ต้องลดกำลังการผลิต ขณะที่ญี่ปุ่นและยุโรปเตรียมรับมือกับวิกฤตชิปครั้งใหม่

    Nexperia ซึ่งเคยเป็นบริษัทลูกของจีน ถูกรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 หลังพบว่าอดีต CEO พยายามใช้เงินบริษัทไปสนับสนุนโรงงานชิปส่วนตัวในจีน โดยมีแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้จำกัดอิทธิพลจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยุโรป

    หลังจากการยึดกิจการ Nexperia ได้หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในเมืองตงกวน ประเทศจีน โดยอ้างว่า “ฝ่ายบริหารท้องถิ่นไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินตามสัญญา” ส่งผลให้สายการผลิตในจีนหยุดชะงักทันที

    ผลกระทบลามไปถึงเยอรมนี เมื่อบริษัท ZF Friedrichshafen AG ซึ่งผลิตระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้กับ VW, BMW, Ford และ Mercedes ต้องลดกะการผลิตลง เพราะขาดชิปจาก Nexperia

    ญี่ปุ่นเองก็เริ่มเตรียมรับมือ โดย Nissan ระบุว่ามีสต็อกชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น ขณะที่ Toyota และผู้ผลิตรายอื่นกำลังพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกันเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

    เหตุการณ์หลักจากข่าว
    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการ Nexperia จากบริษัทแม่จีน
    สหรัฐฯ มีบทบาทในการกดดันให้จำกัดอิทธิพลจีน
    Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในจีน
    อ้างว่าฝ่ายบริหารจีนไม่ชำระเงินตามสัญญา

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์
    ZF Friedrichshafen AG ลดกำลังผลิตในเยอรมนี
    กระทบ VW, BMW, Ford, Mercedes
    Nissan มีชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน
    ญี่ปุ่นพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกัน

    ความสำคัญของ Nexperia
    ผลิตชิปรุ่นเก่าแต่จำเป็นต่อระบบรถยนต์
    แม้ไม่ใช่ชิปล้ำสมัยแบบ TSMC แต่ขาดไม่ได้ในสายการผลิต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/nexperia-conflict-spills-overseas-as-it-halts-exports-to-china-german-automotive-manufacturers-slow-production-due-to-semiconductor-shortages-from-dutch-chipmaker
    🚗💥 Nexperia หยุดส่งออกชิปไปจีน! อุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันชะงัก ผลกระทบลามทั่วโลก ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเนเธอร์แลนด์และจีนเรื่องการควบคุมบริษัท Nexperia ส่งผลให้การส่งออกชิปไปจีนถูกระงับทันที ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันอย่าง VW, BMW และ Mercedes ต้องลดกำลังการผลิต ขณะที่ญี่ปุ่นและยุโรปเตรียมรับมือกับวิกฤตชิปครั้งใหม่ Nexperia ซึ่งเคยเป็นบริษัทลูกของจีน ถูกรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 หลังพบว่าอดีต CEO พยายามใช้เงินบริษัทไปสนับสนุนโรงงานชิปส่วนตัวในจีน โดยมีแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้จำกัดอิทธิพลจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยุโรป หลังจากการยึดกิจการ Nexperia ได้หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในเมืองตงกวน ประเทศจีน โดยอ้างว่า “ฝ่ายบริหารท้องถิ่นไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินตามสัญญา” ส่งผลให้สายการผลิตในจีนหยุดชะงักทันที ผลกระทบลามไปถึงเยอรมนี เมื่อบริษัท ZF Friedrichshafen AG ซึ่งผลิตระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้กับ VW, BMW, Ford และ Mercedes ต้องลดกะการผลิตลง เพราะขาดชิปจาก Nexperia ญี่ปุ่นเองก็เริ่มเตรียมรับมือ โดย Nissan ระบุว่ามีสต็อกชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น ขณะที่ Toyota และผู้ผลิตรายอื่นกำลังพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกันเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต ✅ เหตุการณ์หลักจากข่าว ➡️ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการ Nexperia จากบริษัทแม่จีน ➡️ สหรัฐฯ มีบทบาทในการกดดันให้จำกัดอิทธิพลจีน ➡️ Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในจีน ➡️ อ้างว่าฝ่ายบริหารจีนไม่ชำระเงินตามสัญญา ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ ➡️ ZF Friedrichshafen AG ลดกำลังผลิตในเยอรมนี ➡️ กระทบ VW, BMW, Ford, Mercedes ➡️ Nissan มีชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ➡️ ญี่ปุ่นพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกัน ✅ ความสำคัญของ Nexperia ➡️ ผลิตชิปรุ่นเก่าแต่จำเป็นต่อระบบรถยนต์ ➡️ แม้ไม่ใช่ชิปล้ำสมัยแบบ TSMC แต่ขาดไม่ได้ในสายการผลิต https://www.tomshardware.com/tech-industry/nexperia-conflict-spills-overseas-as-it-halts-exports-to-china-german-automotive-manufacturers-slow-production-due-to-semiconductor-shortages-from-dutch-chipmaker
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jensanity” เขย่าตลาด! หุ้นไก่ทอดเกาหลีพุ่ง 30% หลัง Jensen Huang CEO Nvidia แวะกิน KFC สไตล์โซล

    การปรากฏตัวของ Jensen Huang ที่ร้านไก่ทอดเกาหลีในกรุงโซลกลายเป็นไวรัลทันที ส่งผลให้หุ้นแบรนด์ไก่ทอดพุ่งสูงถึง 30% ในวันเดียว พร้อมดันหุ้นหุ่นยนต์ทอดไก่และโรงงานแปรรูปไก่ให้พุ่งตามไปด้วย

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เดินทางไปเกาหลีใต้เพื่อร่วมประชุม APEC CEO Summit และพบปะผู้บริหารระดับสูงของ Samsung และ Hyundai แต่สิ่งที่กลายเป็นไวรัลกลับไม่ใช่การประชุม… แต่เป็นภาพของเขานั่งกินไก่ทอดเกาหลีที่ร้าน Kkanbu Chicken พร้อมเบียร์เย็น ๆ

    ภาพดังกล่าวถูกแชร์อย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย และกลายเป็น “Jensanity” — ปรากฏการณ์ที่การปรากฏตัวของ Jensen Huangสามารถกระตุ้นตลาดได้ทันที โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ที่นักลงทุนมักตอบสนองต่อเหตุการณ์ไวรัลหรือการปรากฏตัวของบุคคลสำคัญ

    แม้ร้าน Kkanbu จะไม่อยู่ในตลาดหุ้น แต่แบรนด์คู่แข่งอย่าง Kyochon F&B กลับได้อานิสงส์ หุ้นพุ่งขึ้นถึง 20% ขณะที่ Cherrybro Co. ผู้ผลิตเนื้อไก่ และ Neuromeka ผู้ผลิตหุ่นยนต์ทอดไก่ ก็พุ่งแตะเพดาน 30% ในวันเดียว

    Bloomberg ระบุว่าเหตุการณ์นี้คล้ายกับตอนที่ Donald Trump เคยชมปากกายี่ห้อ MonAmi ในการเยือนเกาหลีใต้ ทำให้หุ้นบริษัทพุ่งขึ้นทันทีเช่นกัน

    เหตุการณ์ Jensanity ในเกาหลีใต้
    Jensen Huang ไปกินไก่ทอดที่ร้าน Kkanbu Chicken ในกรุงโซล
    ภาพไวรัลกระตุ้นตลาดหุ้นทันที
    เกิดปรากฏการณ์ “Jensanity” ที่การปรากฏตัวของเขาทำให้หุ้นพุ่ง

    หุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงบวก
    Kyochon F&B พุ่งขึ้น 20%
    Cherrybro Co. ผู้ผลิตเนื้อไก่ พุ่งแตะ 30%
    Neuromeka ผู้ผลิตหุ่นยนต์ทอดไก่ พุ่งแตะ 30%

    บริบทของการเยือน
    Huang เดินทางเพื่อร่วมประชุม APEC CEO Summit
    ลงนามสัญญาใหม่ด้าน AI กับบริษัทเกาหลี
    เสริมความร่วมมือด้านเซมิคอนดักเตอร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากจีน

    นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของ “พลังแห่งบุคลิกภาพ” ที่สามารถเขย่าตลาดได้ในมื้อเย็นเดียว… และในโลกที่เทคโนโลยีเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง CEO ที่มีเสน่ห์อาจกลายเป็น influencer ที่ทรงพลังที่สุดในสายธุรกิจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/korean-fried-chicken-stocks-surge-30-percent-as-nvidia-ceo-jensen-huang-dines-out-on-local-delicacy-entire-industry-buoyed-by-secret-ingredient-jensanity
    🍗📈 “Jensanity” เขย่าตลาด! หุ้นไก่ทอดเกาหลีพุ่ง 30% หลัง Jensen Huang CEO Nvidia แวะกิน KFC สไตล์โซล การปรากฏตัวของ Jensen Huang ที่ร้านไก่ทอดเกาหลีในกรุงโซลกลายเป็นไวรัลทันที ส่งผลให้หุ้นแบรนด์ไก่ทอดพุ่งสูงถึง 30% ในวันเดียว พร้อมดันหุ้นหุ่นยนต์ทอดไก่และโรงงานแปรรูปไก่ให้พุ่งตามไปด้วย Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เดินทางไปเกาหลีใต้เพื่อร่วมประชุม APEC CEO Summit และพบปะผู้บริหารระดับสูงของ Samsung และ Hyundai แต่สิ่งที่กลายเป็นไวรัลกลับไม่ใช่การประชุม… แต่เป็นภาพของเขานั่งกินไก่ทอดเกาหลีที่ร้าน Kkanbu Chicken พร้อมเบียร์เย็น ๆ ภาพดังกล่าวถูกแชร์อย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย และกลายเป็น “Jensanity” — ปรากฏการณ์ที่การปรากฏตัวของ Jensen Huangสามารถกระตุ้นตลาดได้ทันที โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ที่นักลงทุนมักตอบสนองต่อเหตุการณ์ไวรัลหรือการปรากฏตัวของบุคคลสำคัญ แม้ร้าน Kkanbu จะไม่อยู่ในตลาดหุ้น แต่แบรนด์คู่แข่งอย่าง Kyochon F&B กลับได้อานิสงส์ หุ้นพุ่งขึ้นถึง 20% ขณะที่ Cherrybro Co. ผู้ผลิตเนื้อไก่ และ Neuromeka ผู้ผลิตหุ่นยนต์ทอดไก่ ก็พุ่งแตะเพดาน 30% ในวันเดียว Bloomberg ระบุว่าเหตุการณ์นี้คล้ายกับตอนที่ Donald Trump เคยชมปากกายี่ห้อ MonAmi ในการเยือนเกาหลีใต้ ทำให้หุ้นบริษัทพุ่งขึ้นทันทีเช่นกัน ✅ เหตุการณ์ Jensanity ในเกาหลีใต้ ➡️ Jensen Huang ไปกินไก่ทอดที่ร้าน Kkanbu Chicken ในกรุงโซล ➡️ ภาพไวรัลกระตุ้นตลาดหุ้นทันที ➡️ เกิดปรากฏการณ์ “Jensanity” ที่การปรากฏตัวของเขาทำให้หุ้นพุ่ง ✅ หุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงบวก ➡️ Kyochon F&B พุ่งขึ้น 20% ➡️ Cherrybro Co. ผู้ผลิตเนื้อไก่ พุ่งแตะ 30% ➡️ Neuromeka ผู้ผลิตหุ่นยนต์ทอดไก่ พุ่งแตะ 30% ✅ บริบทของการเยือน ➡️ Huang เดินทางเพื่อร่วมประชุม APEC CEO Summit ➡️ ลงนามสัญญาใหม่ด้าน AI กับบริษัทเกาหลี ➡️ เสริมความร่วมมือด้านเซมิคอนดักเตอร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากจีน นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของ “พลังแห่งบุคลิกภาพ” ที่สามารถเขย่าตลาดได้ในมื้อเย็นเดียว… และในโลกที่เทคโนโลยีเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง CEO ที่มีเสน่ห์อาจกลายเป็น influencer ที่ทรงพลังที่สุดในสายธุรกิจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/korean-fried-chicken-stocks-surge-30-percent-as-nvidia-ceo-jensen-huang-dines-out-on-local-delicacy-entire-industry-buoyed-by-secret-ingredient-jensanity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ตอนนี้ทำไปทำมา เรา..ประชาชนเริ่มสงสัยในกองทัพไทยเราแล้ว สรุปกองทัพไทยเราถูกdeep stateอีลิทสากลควบคุมใช่หรือไม่นะ,การตัดสินอะไรใดๆไม่เด็ดขาดเลย,เมื่อไม่ฟังสายการเมืองแล้ว ก็ประกาศกฎอัยการศึกอย่างจริงจังเถอะ,แล้วประกาศภาวะสงครามทางการเงินทางเศรษฐกิจไทยให้ชัดเจนเลย,มันควบคลุมสายการเมืองการปกครองจริงทั้งหมดเพราะทั้งหมดมันใช้กลไกเงินกลไกตังขับเคลื่อนประเทศ deep stateมันก็ใช้ระบบทาสเงินครองทุกๆประเทศ สงครามการเงินจึงต้องประกาศให้ชัดเจน จากนั้นกองทัพไทยเราต้องเข้ายึดธนาคารกลางคือแบงค์ชาติไทยเราจริงจังทันที ควบคุมแบงค์ชาติไทยจริงอย่างเป็นทางการเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ ประกาศห้ามมีการทำกิจการใดๆด้านการเงินลักษณะโอนออกจากประเทศไทยทุกๆกรณี และอายัดทุกๆบัญชีเพื่อตรวจสอบทั้งหมดก่อนที่มีกระแสเงินสดไหลเข้าประเทศไทย,ตัดตอนบ่อนหมายทำลายไทยจ้างงานนักทำลายไทยทั้งหมดได้เพราะไม่มีเสบียงคือเงินให้มันเป็นอาหารมีแรงทำงานเต็มพลังหรือสั่งอะไรมาเสริมๆได้เพราะไม่มีตังไปซื้อไปสั่งมาเสริมด้วยถูกกองทัพไทยเราตัดตอนไว้ก่อนนั้นเอง,กองทัพไทยเลิกโง่เสียทีได้แล้ว โง่จากวัคซีนโควิดยังไม่อยากให้อภัยเลย องค์ภาเราก็ถูกวัคซีนจนวูบชัดเจนแน่นอน การสายข่าวทหารกากมากในเครื่องมือมากมายเต็มกองทัพไทยเรา,จน อ.สุจริตมาร่วมประชุมหัวโต๊ะให้สายทางวังรับรู้เรื่องราว.

    ..นี้คือสงครามชัดเจน ไทยเราโดยกองทัพไทยทหารไทยพระราชาเราต้องตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้ว ลีลาน่าลำคาญมาก ยึดอำนาจรัฐบาลเสียเพราะมันใช้สภาทำงานออกกฎหมายให้ฝ่ายมืดอีลิทdeep stateชัดเจน พรบ.มากมายล้วนโยนปูทางสู่agenda2030มันชัดเจน,คลิปนี้คุณอดิเทพอธิบายไว้ชัดเจนมาก กองทัพไทยเรามารับรู้เรื่องนี้กันบ้างมั้ย มันของแท้เลยนะ มิใช่ของกากๆ ไบโอเมทริกซ์ บัตรประชาชนดิจิดัล เงินดิจิดัล เมืองอัจฉริยะ คาร์บอนเครดิต พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ กฎหมายมากมายมันเชื่อมโยงในการจะทำคนไทยประเทศไทยให้ตกเป็นทาสมันชัดเจน ผ่านกลไกกระบวนทางการเมืองของนักการเมือง ทหารทรยศเป็นกบฎเป็นภัยของแผ่นดินไทยเราก็รู้แจ้งเห็นชัดจากกรณีบิ๊กกุ้งยึดคืนพื้นที่11จุดได้ แต่คณะทีมงานฝ่ายพี่ท่านทีมเดอะแก๊งเดอะก๊กบูรพาพยัคฆ์ไม่ทำห่าเหวอะไรถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยจริงสักจุดทั่วภาค.1ตะวันออกทั้งหมด,นี้คือความทรยศชัดเจนขนาดไหน กองทัพไทยไม่เห็นมันเลยเหรอว่าจะตำตาตำใจท่านแล้วขนาดนั้น จะไปเล่นอะไรห่าเหวพิธีการกับมันอีก ไม่ยอมร่วมกันกำจัดกวาดล้างคนทรยศประจำภายในกองทัพด้วย ,พวกมันไม่สู้ชนะเรา..คนไทยประชาชนคนไทยหรอก เรา..ประชาชนยืนเคียงข้างทหารพระราชาแน่นอน พวกมันจะทำลายสถาบันกษัตริย์ชัดเจน โดยใช้หนังหน้าสายทางภาคการเมืองกำลังปาหี่แสดงละครอยู่ขณะนี้พร้อมสุมหัวจะกำจัดกองทัพไทยเราด้วย ลดเครดิตกองทัพไทยชัดเจนผ่านรัฐบาลชั่วเลวสาระพัดเลวที่แก๊งขูสามนิ้วชูนอมินีมาเป็นนายกฯแทนมันเสียข้างน้อย,การเมืองเรามันจบแล้ว กองทัพไทยต้องยึดอำนาจ ท่านรอห่าเหวอะไร เราเปลี่ยนเส้นทางเดินบนทางเรา..ประเทศไทยได้ ร่วมกันปกป้องประเทศเราและประชาชนคนไทยเราถึงที่สุดด้วยมือชาวไทยเราได้,บริบทและบทบาทภาคนักการเมืองมีแต่ทำลายทำร้ายชาติ ทำร้ายทำลายแผ่นดินไทย ท่านจะพากันนิ่งเฉยให้ชาติไทยพินาศแบบนี้จริงๆเหรอ.

    ..จากคลิปคุณอดิเทพ เราสามารถแก้ทางมันได้หมด,ยกเลิกเงินดิจิดัล พรบ.ใดๆที่สนับสนุนเงินดิจิดัลที่อีลิทเขียนฉีกทิ้งหมด,ให้กลับคืนมาใช้เงินบาทกระดาษ,รณรงค์คนไทยเราให้ซื่อสัตย์เพื่อดำรงรักษาคุณค่ามนุษย์บนแผ่นดินไทยให้ได้ ,ยกเลิกสนับสนุนAIมาทดแทนมนุษย์ โรงงานไทยใครจะมาตั้งฐานการผลิตให้ใช้จักรกลเพียง1%ของโรงงาน เพื่อสนันสนุนการจ้างแรงงานคนไทย99%,ยกเลิกแรงงานต่างด้าวทุกๆกรณีไปก่อน,ยึดคืนทรัพยากรที่ผูกขาดจากทุกๆสัญญาใดสัมปทานใดๆทั้งหมด ให้คืนสู่สามัญกลับไปพิจารณาให้เป็นเอกประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของทรัพยากรบนแผ่นดินไทยตนดั่งเดิมชัดเจนก่อน,ยกเลิกการสแกนใบหน้าซื้อสินค้า ยกเลิกบัตรคนจน ยกเลิกกระเป๋าตังดิจิดัล,ให้ประชาชนคนไทยใช้จ่ายจริงด้วยเงินสดภายในประเทศ,แอปใดที่ให้บริการซื้อขายออนไลน์ต้องชำระปลายทางด้วยเงินสดเท่านั้นในประเทศไทย,หากไม่สามารถทำได้ ให้ห้ามมีแอปนี้ให้บริการบนแผ่นดินไทย,ระบบสาธารณะใดๆทั่วไทยเราสามารถใช้เงินสดทั้งหมด,เต็มเงินเข้าบัตรปกติ,มิให้ใช้ตังดิจิดัล.เราจะสามารถต่อยอดและปกป้อง ป้องกันเราเองสาระพัดวิธี ,เมื่อกองทัพไทยเรายึดอำนาจจริง เรา..ประเทศไทยจะรอดพ้นภัยหายนะแน่นอน เพราะพระเจ้าให้เราเลือกเส้นทางเดินเองได้ ถ้าต่างดาวเลวอีลิทชั่ว บังคับเจตจำนงเรา..ประเทศไทย มันจะถูกลงโทษทันทีจากผู้ควบคุมกฎนี้ของจักรวาล ,วัคซีนมันจึงต้องให้เรายินยอมก่อนเป็นต้น มันจะตอบพระเจ้าไม่ได้ ซวยก็จะดับอนาถทั้งหมดแน่นอน,รัฐบาลไทยในอดีตมันรู้สิ่งนี้จึงเชิญชวนแทน แถบีบบังคับทางอ้อมกับคนไม่รู้เรื่องได้,

    ..ตอนนี้ รัฐบาลประเทศไทยยุคอดีตถึงปัจจุบัน มิใช่รัฐบาลประเทศไทย แต่เป็นCEOของอีลิทdeep stateสากลโลกมาปกครองแทนประเทศไทยผ่านปาหี่มุกเลือกตั้งทางประชาชนบังหน้า ,แต่ความจริงรัฐบาลไทยมิใช่รัฐบาลไทยเลย มันคือนอมินีหาแดกร่วมกันบนแผ่นดินไทยบนชื่อประเทศไทย ปกครองทาสประเทศไทยนี้ล่ะ,การพัฒนาก่อสร้างทั้งหมดเพื่ออำนวยการเข้าแดกบนทุกๆตารางนิ้วทั่วไทยได้ดียิ่งขึ้น ขนส่งสมบัติทรัพยากรมีค่าบนแผ่นดินไทยนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น มนุษย์คนไทยแค่เศษทาสแรงงานรับใช้สร้างงานวร้างเนื้องานสร้างประโยชน์สร้างผลกำไรให้มันแค่นั้น จึงมิให้คนไทยทั่วประเทศร่ำรวยได้ จงยากจนดักดานมั่นคงทั่วประเทศไทยต่อไป ทุกข์ยากลำบากวุ่นวายโกลาหลในบ้านในเมืองนี้ด้วยมิให้มรึงคนไทยประเทศไทยสงบได้ เช่นสั่งให้เขมรยิงระเบิดใส่คนไทยสร้างความวุ่นวายโกลาหล พม่า อินโดฯ ใดๆในภูมิภาคนี้คือสถานที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์บนความวุ่นวายไม่สงบสุขบนความโกลาหล ขายอาวุธขายสาระพัดให้พวกมรึงสู้กันกำไรรายได้เห็น บ้านมรึงต่อยอดวิบัติเป็นภัยใส่กันและกันมิให้สงบสุขรายวันนั้นเอง,จากภายในก็นักการเมืองที่กูสั่งได้หมด.

    ..นี้คือเหตุผลคราวๆทำไม กองทัพไทยพระราชาเรา ทหารพระราชาเรา ทหารไทยเราต้องยึดอำนาจ ต้องเด็ดขาดตัดตอนมันจริงๆ อย่าโง่อีกเลย เก็บกวาดกวาดล้างทำความสะอาดทั่วประเทศเลย..เรา..ประชาชนคนไทยทั้งประเทศยืนอยู่เคียงข้างเพื่อสร้างบ้านสร้างเมืองสร้างชาติเราใหม่ให้ดีงามอีกครั้งจากพวกชั่วเลวนี้ทำร้ายทำลายมายาวนานเสียที.

    #กองทัพไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยอย่างจริงจังเดี๋ยวนี้.

    #ทหารไทยต้องยึดอำนาจตัดตอนพวกมันจากทั้งภายในและที่ข้ามทวีปโลกมาด้วย.

    #การยึดอำนาจคือหนทางเดียวและคือทางออก

    #นักการเมืองไทยล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยชาติไทยทุกๆมิติแถมเป็นพวกมันด้วย.

    https://vm.tiktok.com/ZSHcFnF4NYfax-zGJpe/
    ..ตอนนี้ทำไปทำมา เรา..ประชาชนเริ่มสงสัยในกองทัพไทยเราแล้ว สรุปกองทัพไทยเราถูกdeep stateอีลิทสากลควบคุมใช่หรือไม่นะ,การตัดสินอะไรใดๆไม่เด็ดขาดเลย,เมื่อไม่ฟังสายการเมืองแล้ว ก็ประกาศกฎอัยการศึกอย่างจริงจังเถอะ,แล้วประกาศภาวะสงครามทางการเงินทางเศรษฐกิจไทยให้ชัดเจนเลย,มันควบคลุมสายการเมืองการปกครองจริงทั้งหมดเพราะทั้งหมดมันใช้กลไกเงินกลไกตังขับเคลื่อนประเทศ deep stateมันก็ใช้ระบบทาสเงินครองทุกๆประเทศ สงครามการเงินจึงต้องประกาศให้ชัดเจน จากนั้นกองทัพไทยเราต้องเข้ายึดธนาคารกลางคือแบงค์ชาติไทยเราจริงจังทันที ควบคุมแบงค์ชาติไทยจริงอย่างเป็นทางการเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ ประกาศห้ามมีการทำกิจการใดๆด้านการเงินลักษณะโอนออกจากประเทศไทยทุกๆกรณี และอายัดทุกๆบัญชีเพื่อตรวจสอบทั้งหมดก่อนที่มีกระแสเงินสดไหลเข้าประเทศไทย,ตัดตอนบ่อนหมายทำลายไทยจ้างงานนักทำลายไทยทั้งหมดได้เพราะไม่มีเสบียงคือเงินให้มันเป็นอาหารมีแรงทำงานเต็มพลังหรือสั่งอะไรมาเสริมๆได้เพราะไม่มีตังไปซื้อไปสั่งมาเสริมด้วยถูกกองทัพไทยเราตัดตอนไว้ก่อนนั้นเอง,กองทัพไทยเลิกโง่เสียทีได้แล้ว โง่จากวัคซีนโควิดยังไม่อยากให้อภัยเลย องค์ภาเราก็ถูกวัคซีนจนวูบชัดเจนแน่นอน การสายข่าวทหารกากมากในเครื่องมือมากมายเต็มกองทัพไทยเรา,จน อ.สุจริตมาร่วมประชุมหัวโต๊ะให้สายทางวังรับรู้เรื่องราว. ..นี้คือสงครามชัดเจน ไทยเราโดยกองทัพไทยทหารไทยพระราชาเราต้องตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้ว ลีลาน่าลำคาญมาก ยึดอำนาจรัฐบาลเสียเพราะมันใช้สภาทำงานออกกฎหมายให้ฝ่ายมืดอีลิทdeep stateชัดเจน พรบ.มากมายล้วนโยนปูทางสู่agenda2030มันชัดเจน,คลิปนี้คุณอดิเทพอธิบายไว้ชัดเจนมาก กองทัพไทยเรามารับรู้เรื่องนี้กันบ้างมั้ย มันของแท้เลยนะ มิใช่ของกากๆ ไบโอเมทริกซ์ บัตรประชาชนดิจิดัล เงินดิจิดัล เมืองอัจฉริยะ คาร์บอนเครดิต พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ กฎหมายมากมายมันเชื่อมโยงในการจะทำคนไทยประเทศไทยให้ตกเป็นทาสมันชัดเจน ผ่านกลไกกระบวนทางการเมืองของนักการเมือง ทหารทรยศเป็นกบฎเป็นภัยของแผ่นดินไทยเราก็รู้แจ้งเห็นชัดจากกรณีบิ๊กกุ้งยึดคืนพื้นที่11จุดได้ แต่คณะทีมงานฝ่ายพี่ท่านทีมเดอะแก๊งเดอะก๊กบูรพาพยัคฆ์ไม่ทำห่าเหวอะไรถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยจริงสักจุดทั่วภาค.1ตะวันออกทั้งหมด,นี้คือความทรยศชัดเจนขนาดไหน กองทัพไทยไม่เห็นมันเลยเหรอว่าจะตำตาตำใจท่านแล้วขนาดนั้น จะไปเล่นอะไรห่าเหวพิธีการกับมันอีก ไม่ยอมร่วมกันกำจัดกวาดล้างคนทรยศประจำภายในกองทัพด้วย ,พวกมันไม่สู้ชนะเรา..คนไทยประชาชนคนไทยหรอก เรา..ประชาชนยืนเคียงข้างทหารพระราชาแน่นอน พวกมันจะทำลายสถาบันกษัตริย์ชัดเจน โดยใช้หนังหน้าสายทางภาคการเมืองกำลังปาหี่แสดงละครอยู่ขณะนี้พร้อมสุมหัวจะกำจัดกองทัพไทยเราด้วย ลดเครดิตกองทัพไทยชัดเจนผ่านรัฐบาลชั่วเลวสาระพัดเลวที่แก๊งขูสามนิ้วชูนอมินีมาเป็นนายกฯแทนมันเสียข้างน้อย,การเมืองเรามันจบแล้ว กองทัพไทยต้องยึดอำนาจ ท่านรอห่าเหวอะไร เราเปลี่ยนเส้นทางเดินบนทางเรา..ประเทศไทยได้ ร่วมกันปกป้องประเทศเราและประชาชนคนไทยเราถึงที่สุดด้วยมือชาวไทยเราได้,บริบทและบทบาทภาคนักการเมืองมีแต่ทำลายทำร้ายชาติ ทำร้ายทำลายแผ่นดินไทย ท่านจะพากันนิ่งเฉยให้ชาติไทยพินาศแบบนี้จริงๆเหรอ. ..จากคลิปคุณอดิเทพ เราสามารถแก้ทางมันได้หมด,ยกเลิกเงินดิจิดัล พรบ.ใดๆที่สนับสนุนเงินดิจิดัลที่อีลิทเขียนฉีกทิ้งหมด,ให้กลับคืนมาใช้เงินบาทกระดาษ,รณรงค์คนไทยเราให้ซื่อสัตย์เพื่อดำรงรักษาคุณค่ามนุษย์บนแผ่นดินไทยให้ได้ ,ยกเลิกสนับสนุนAIมาทดแทนมนุษย์ โรงงานไทยใครจะมาตั้งฐานการผลิตให้ใช้จักรกลเพียง1%ของโรงงาน เพื่อสนันสนุนการจ้างแรงงานคนไทย99%,ยกเลิกแรงงานต่างด้าวทุกๆกรณีไปก่อน,ยึดคืนทรัพยากรที่ผูกขาดจากทุกๆสัญญาใดสัมปทานใดๆทั้งหมด ให้คืนสู่สามัญกลับไปพิจารณาให้เป็นเอกประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของทรัพยากรบนแผ่นดินไทยตนดั่งเดิมชัดเจนก่อน,ยกเลิกการสแกนใบหน้าซื้อสินค้า ยกเลิกบัตรคนจน ยกเลิกกระเป๋าตังดิจิดัล,ให้ประชาชนคนไทยใช้จ่ายจริงด้วยเงินสดภายในประเทศ,แอปใดที่ให้บริการซื้อขายออนไลน์ต้องชำระปลายทางด้วยเงินสดเท่านั้นในประเทศไทย,หากไม่สามารถทำได้ ให้ห้ามมีแอปนี้ให้บริการบนแผ่นดินไทย,ระบบสาธารณะใดๆทั่วไทยเราสามารถใช้เงินสดทั้งหมด,เต็มเงินเข้าบัตรปกติ,มิให้ใช้ตังดิจิดัล.เราจะสามารถต่อยอดและปกป้อง ป้องกันเราเองสาระพัดวิธี ,เมื่อกองทัพไทยเรายึดอำนาจจริง เรา..ประเทศไทยจะรอดพ้นภัยหายนะแน่นอน เพราะพระเจ้าให้เราเลือกเส้นทางเดินเองได้ ถ้าต่างดาวเลวอีลิทชั่ว บังคับเจตจำนงเรา..ประเทศไทย มันจะถูกลงโทษทันทีจากผู้ควบคุมกฎนี้ของจักรวาล ,วัคซีนมันจึงต้องให้เรายินยอมก่อนเป็นต้น มันจะตอบพระเจ้าไม่ได้ ซวยก็จะดับอนาถทั้งหมดแน่นอน,รัฐบาลไทยในอดีตมันรู้สิ่งนี้จึงเชิญชวนแทน แถบีบบังคับทางอ้อมกับคนไม่รู้เรื่องได้, ..ตอนนี้ รัฐบาลประเทศไทยยุคอดีตถึงปัจจุบัน มิใช่รัฐบาลประเทศไทย แต่เป็นCEOของอีลิทdeep stateสากลโลกมาปกครองแทนประเทศไทยผ่านปาหี่มุกเลือกตั้งทางประชาชนบังหน้า ,แต่ความจริงรัฐบาลไทยมิใช่รัฐบาลไทยเลย มันคือนอมินีหาแดกร่วมกันบนแผ่นดินไทยบนชื่อประเทศไทย ปกครองทาสประเทศไทยนี้ล่ะ,การพัฒนาก่อสร้างทั้งหมดเพื่ออำนวยการเข้าแดกบนทุกๆตารางนิ้วทั่วไทยได้ดียิ่งขึ้น ขนส่งสมบัติทรัพยากรมีค่าบนแผ่นดินไทยนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น มนุษย์คนไทยแค่เศษทาสแรงงานรับใช้สร้างงานวร้างเนื้องานสร้างประโยชน์สร้างผลกำไรให้มันแค่นั้น จึงมิให้คนไทยทั่วประเทศร่ำรวยได้ จงยากจนดักดานมั่นคงทั่วประเทศไทยต่อไป ทุกข์ยากลำบากวุ่นวายโกลาหลในบ้านในเมืองนี้ด้วยมิให้มรึงคนไทยประเทศไทยสงบได้ เช่นสั่งให้เขมรยิงระเบิดใส่คนไทยสร้างความวุ่นวายโกลาหล พม่า อินโดฯ ใดๆในภูมิภาคนี้คือสถานที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์บนความวุ่นวายไม่สงบสุขบนความโกลาหล ขายอาวุธขายสาระพัดให้พวกมรึงสู้กันกำไรรายได้เห็น บ้านมรึงต่อยอดวิบัติเป็นภัยใส่กันและกันมิให้สงบสุขรายวันนั้นเอง,จากภายในก็นักการเมืองที่กูสั่งได้หมด. ..นี้คือเหตุผลคราวๆทำไม กองทัพไทยพระราชาเรา ทหารพระราชาเรา ทหารไทยเราต้องยึดอำนาจ ต้องเด็ดขาดตัดตอนมันจริงๆ อย่าโง่อีกเลย เก็บกวาดกวาดล้างทำความสะอาดทั่วประเทศเลย..เรา..ประชาชนคนไทยทั้งประเทศยืนอยู่เคียงข้างเพื่อสร้างบ้านสร้างเมืองสร้างชาติเราใหม่ให้ดีงามอีกครั้งจากพวกชั่วเลวนี้ทำร้ายทำลายมายาวนานเสียที. #กองทัพไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยอย่างจริงจังเดี๋ยวนี้. #ทหารไทยต้องยึดอำนาจตัดตอนพวกมันจากทั้งภายในและที่ข้ามทวีปโลกมาด้วย. #การยึดอำนาจคือหนทางเดียวและคือทางออก #นักการเมืองไทยล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยชาติไทยทุกๆมิติแถมเป็นพวกมันด้วย. https://vm.tiktok.com/ZSHcFnF4NYfax-zGJpe/
    @adithepchawla01

    Biometric Clip 1 of 3 สแกนหน้า ความปลอดภัย หรือการควบคุม?

    ♬ original sound - อดิเทพ จาวลาห์ - อดิเทพ จาวลาห์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 494 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีต CEO Intel ยกย่อง Nvidia ผลิตชิป Blackwell บนดินสหรัฐฯ แม้ Intel พลาดดีลใหญ่

    Pat Gelsinger อดีต CEO ของ Intel ออกโรงชื่นชมการผลิตชิป Blackwell ของ Nvidia ร่วมกับ TSMC บนดินสหรัฐฯ ว่าเป็น “ก้าวสำคัญของห่วงโซ่อุปทานระดับชาติ” แม้ Intel จะพลาดโอกาสเป็นผู้ผลิตให้ Nvidia

    Pat Gelsinger ซึ่งเคยเป็น CEO ของ Intel ระหว่างปี 2021–2024 ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter) แสดงความยินดีกับ Nvidia ที่สามารถผลิตชิป Blackwell รุ่นล่าสุดในโรงงานที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา โดยร่วมมือกับ TSMC ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนภายในประเทศ

    แม้ว่าในช่วงที่ Gelsinger ยังดำรงตำแหน่ง เขาเคยผลักดันอย่างหนักให้ Intel Foundry Services ได้รับสัญญาผลิตชิปจาก Nvidia แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แม้จะมีการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ตาม

    Nvidia เองก็ใช้โอกาสนี้ในการแสดงบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ โดย CEO Jensen Huang กล่าวในงาน GTC DC ว่า “การจำกัดการส่งออกของ Nvidia จะส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ” พร้อมชูจุดแข็งว่าชิป Blackwell ผลิตในสหรัฐฯ และไต้หวัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีน

    Gelsingerยังกล่าวว่า “การมีห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญ” และชื่นชมความร่วมมือระหว่าง Nvidia และ TSMC แม้ Intel จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดีลนี้

    Nvidia ผลิตชิป Blackwell ในโรงงานรัฐแอริโซนา ร่วมกับ TSMC
    ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ
    ช่วยลดการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน

    Pat Gelsinger อดีต CEO Intel แสดงความยินดีผ่าน X
    ยอมรับว่า Intel พลาดโอกาสในการเป็นผู้ผลิตให้ Nvidia
    ชื่นชมความสำเร็จของ Nvidia และ TSMC

    Nvidia ใช้โอกาสนี้ชูบทบาทเชิงยุทธศาสตร์
    Jensen Huang เตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบสหรัฐฯ
    ชิป Blackwell ผลิตทั้งในสหรัฐฯ และไต้หวัน

    Intel ภายใต้ Gelsinger เคยผลักดันโรงงานในเยอรมนี
    แต่ถูกยกเลิกโดยผู้บริหารคนใหม่
    โรงงานในแอริโซนาที่เขาผลักดันเพิ่งเปิดใช้งาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ex-intel-ceo-pat-gelsinger-praises-cutting-edge-nvidia-chip-production-with-tsmc-on-us-soil-despite-intel-missing-out-hails-manufacturing-milestone-of-us-based-supply-chain
    🇺🇸🔧 อดีต CEO Intel ยกย่อง Nvidia ผลิตชิป Blackwell บนดินสหรัฐฯ แม้ Intel พลาดดีลใหญ่ Pat Gelsinger อดีต CEO ของ Intel ออกโรงชื่นชมการผลิตชิป Blackwell ของ Nvidia ร่วมกับ TSMC บนดินสหรัฐฯ ว่าเป็น “ก้าวสำคัญของห่วงโซ่อุปทานระดับชาติ” แม้ Intel จะพลาดโอกาสเป็นผู้ผลิตให้ Nvidia Pat Gelsinger ซึ่งเคยเป็น CEO ของ Intel ระหว่างปี 2021–2024 ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter) แสดงความยินดีกับ Nvidia ที่สามารถผลิตชิป Blackwell รุ่นล่าสุดในโรงงานที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา โดยร่วมมือกับ TSMC ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนภายในประเทศ แม้ว่าในช่วงที่ Gelsinger ยังดำรงตำแหน่ง เขาเคยผลักดันอย่างหนักให้ Intel Foundry Services ได้รับสัญญาผลิตชิปจาก Nvidia แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แม้จะมีการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ตาม Nvidia เองก็ใช้โอกาสนี้ในการแสดงบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ โดย CEO Jensen Huang กล่าวในงาน GTC DC ว่า “การจำกัดการส่งออกของ Nvidia จะส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ” พร้อมชูจุดแข็งว่าชิป Blackwell ผลิตในสหรัฐฯ และไต้หวัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีน Gelsingerยังกล่าวว่า “การมีห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญ” และชื่นชมความร่วมมือระหว่าง Nvidia และ TSMC แม้ Intel จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดีลนี้ ✅ Nvidia ผลิตชิป Blackwell ในโรงงานรัฐแอริโซนา ร่วมกับ TSMC ➡️ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ ➡️ ช่วยลดการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ✅ Pat Gelsinger อดีต CEO Intel แสดงความยินดีผ่าน X ➡️ ยอมรับว่า Intel พลาดโอกาสในการเป็นผู้ผลิตให้ Nvidia ➡️ ชื่นชมความสำเร็จของ Nvidia และ TSMC ✅ Nvidia ใช้โอกาสนี้ชูบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ Jensen Huang เตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบสหรัฐฯ ➡️ ชิป Blackwell ผลิตทั้งในสหรัฐฯ และไต้หวัน ✅ Intel ภายใต้ Gelsinger เคยผลักดันโรงงานในเยอรมนี ➡️ แต่ถูกยกเลิกโดยผู้บริหารคนใหม่ ➡️ โรงงานในแอริโซนาที่เขาผลักดันเพิ่งเปิดใช้งาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/ex-intel-ceo-pat-gelsinger-praises-cutting-edge-nvidia-chip-production-with-tsmc-on-us-soil-despite-intel-missing-out-hails-manufacturing-milestone-of-us-based-supply-chain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “โดรนกระดาษเกาหลี เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส – ราคาถูก ซ่อมง่าย ใช้จริงในภารกิจทหาร”

    ในยุคที่สงครามและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังท้าทายโลก WOW Future Tech บริษัทสตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ได้เปิดตัว “AirSense UAV” โดรนที่สร้างจากกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่แค่ราคาถูก แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและซ่อมง่ายอย่างเหลือเชื่อ

    แรงบันดาลใจของ CEO มุนจู คิม มาจากสงครามในยูเครน ที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนโดรนในสนามรบ เขาจึงคิดค้นวิธีสร้างโดรนจากวัสดุที่หาได้ง่ายทั่วโลก โดยใช้กระดาษแข็งแทนคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ต้นทุนลดลงถึง 10 เท่า – จากราคาปกติหลายหมื่นเหรียญ เหลือเพียงประมาณ $1,400 ต่อเครื่อง

    โดรนรุ่นนี้ไม่เพียงแต่ราคาถูก แต่ยังสามารถซ่อมแซมได้ง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อนชั้น ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษหรือเครื่องมือซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ผลิตในประเทศ ซึ่งมีราคาถูกกว่าของนำเข้าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า

    แม้จะเน้นการใช้งานพลเรือน แต่กระทรวงกลาโหมเกาหลีก็ให้ความสนใจ โดยเริ่มทดสอบใช้งานในภารกิจฝึกและลาดตระเวน และมีแผนจะขยายการใช้งานในอนาคต

    จุดเด่นของโดรนกระดาษ AirSense UAV
    วัสดุหลักคือกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ
    ต้นทุนการผลิตต่ำเพียง ~$1,400 ต่อเครื่อง
    ซ่อมง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อน ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษ

    ความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
    วัสดุรีไซเคิลได้และหาได้ง่ายทั่วโลก
    ลดการพึ่งพาวัสดุสิ้นเปลืองอย่างคาร์บอนไฟเบอร์
    เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร

    การใช้งานในภารกิจจริง
    ทดสอบโดยกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้
    ใช้ในภารกิจฝึกและลาดตระเวน
    มีแผนขยายการใช้งานในเชิงพาณิชย์และต่างประเทศ

    การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดอากาศ
    ใช้เซ็นเซอร์ผลิตในประเทศ ราคาถูกกว่าของนำเข้า
    มีเทคโนโลยีเหนือกว่าชิ้นส่วนต่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/koreas-cardboard-drones-address-uav-shortages-and-climate-crisis-inspired-by-the-ukraine-war-drone-inventor-looked-for-the-most-easily-sourced-and-repairable-materials
    📦 หัวข้อข่าว: “โดรนกระดาษเกาหลี เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส – ราคาถูก ซ่อมง่าย ใช้จริงในภารกิจทหาร” ในยุคที่สงครามและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังท้าทายโลก WOW Future Tech บริษัทสตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ได้เปิดตัว “AirSense UAV” โดรนที่สร้างจากกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่แค่ราคาถูก แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและซ่อมง่ายอย่างเหลือเชื่อ แรงบันดาลใจของ CEO มุนจู คิม มาจากสงครามในยูเครน ที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนโดรนในสนามรบ เขาจึงคิดค้นวิธีสร้างโดรนจากวัสดุที่หาได้ง่ายทั่วโลก โดยใช้กระดาษแข็งแทนคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ต้นทุนลดลงถึง 10 เท่า – จากราคาปกติหลายหมื่นเหรียญ เหลือเพียงประมาณ $1,400 ต่อเครื่อง โดรนรุ่นนี้ไม่เพียงแต่ราคาถูก แต่ยังสามารถซ่อมแซมได้ง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อนชั้น ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษหรือเครื่องมือซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ผลิตในประเทศ ซึ่งมีราคาถูกกว่าของนำเข้าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า แม้จะเน้นการใช้งานพลเรือน แต่กระทรวงกลาโหมเกาหลีก็ให้ความสนใจ โดยเริ่มทดสอบใช้งานในภารกิจฝึกและลาดตระเวน และมีแผนจะขยายการใช้งานในอนาคต ✅ จุดเด่นของโดรนกระดาษ AirSense UAV ➡️ วัสดุหลักคือกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ➡️ ต้นทุนการผลิตต่ำเพียง ~$1,400 ต่อเครื่อง ➡️ ซ่อมง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อน ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษ ✅ ความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ➡️ วัสดุรีไซเคิลได้และหาได้ง่ายทั่วโลก ➡️ ลดการพึ่งพาวัสดุสิ้นเปลืองอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ ➡️ เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร ✅ การใช้งานในภารกิจจริง ➡️ ทดสอบโดยกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ➡️ ใช้ในภารกิจฝึกและลาดตระเวน ➡️ มีแผนขยายการใช้งานในเชิงพาณิชย์และต่างประเทศ ✅ การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดอากาศ ➡️ ใช้เซ็นเซอร์ผลิตในประเทศ ราคาถูกกว่าของนำเข้า ➡️ มีเทคโนโลยีเหนือกว่าชิ้นส่วนต่างประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/koreas-cardboard-drones-address-uav-shortages-and-climate-crisis-inspired-by-the-ukraine-war-drone-inventor-looked-for-the-most-easily-sourced-and-repairable-materials
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • The Matrix เคยเกือบได้เกมจาก Hideo Kojima แต่ Konami ปฏิเสธแบบไม่ใยดี

    ย้อนกลับไปในปี 1999 ผู้กำกับ The Matrix — พี่น้อง Wachowski — เคยเสนอให้ Hideo Kojima นักออกแบบเกมชื่อดังจากซีรีส์ Metal Gear สร้างเกมจากจักรวาล The Matrix แต่ข้อเสนอถูกปฏิเสธโดย CEO ของ Konami ในขณะนั้น ทั้งที่ Kojima แสดงความสนใจอย่างมาก

    เรื่องราวเบื้องหลังที่เพิ่งถูกเปิดเผย
    Christopher Bergstresser อดีตผู้บริหาร Konami เล่าเหตุการณ์ในวันเปิดตัว The Matrix ที่ญี่ปุ่น
    Wachowski โทรหา Konami เพื่อขอพบ Kojima และเสนอให้เขาสร้างเกมจาก The Matrix
    Kojima, Aki Saito และ Kazumi Kitaue (CEO) เข้าร่วมประชุมกับทีมผู้กำกับ
    เมื่อข้อเสนอถูกแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ CEO ฟัง เขาตอบกลับทันทีว่า “ไม่”
    แม้จะถูกปฏิเสธ ทีมงานยังได้ร่วมงานเปิดตัวภาพยนตร์และงานเลี้ยงหลังฉาย

    มีรายงานเพิ่มเติมว่า Kojima ยังแสดงความสนใจในโปรเจกต์นี้หลังจากถูกปฏิเสธ และอาจเคยพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Wachowski เสนอให้ Kojima สร้างเกมจาก The Matrix ในปี 1999
    Konami ปฏิเสธข้อเสนอทันที แม้ Kojimaสนใจ
    การประชุมเกิดขึ้นในวันเปิดตัวภาพยนตร์ที่ญี่ปุ่น
    ทีมงานยังได้ร่วมงานเลี้ยงหลังฉาย แม้โปรเจกต์ไม่เกิดขึ้น
    Kojima อาจพยายามผลักดันโปรเจกต์หลังจากนั้น แต่ไม่สำเร็จ

    ความสำคัญของโปรเจกต์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น
    The Matrix เป็น IP ที่เหมาะกับเกมแนวแอ็กชันและไซไฟ
    Kojima มีชื่อเสียงด้านการเล่าเรื่องและการออกแบบเกมล้ำยุค
    การร่วมมือครั้งนี้อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์เกมไซไฟไปเลย

    คำเตือนจากอดีตที่น่าคิด
    การตัดสินใจของผู้บริหารอาจขัดขวางโอกาสสร้างสรรค์ระดับตำนาน
    The Matrix ยังไม่มีเกมที่ได้รับคำชมในระดับเดียวกับภาพยนตร์
    แฟน ๆ อาจไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์เกมที่ควรจะเกิดขึ้น

    https://wccftech.com/the-matrix-creators-wanted-kojima-make-a-game-on-the-ip-konami-refused/
    🎮🕶️ The Matrix เคยเกือบได้เกมจาก Hideo Kojima แต่ Konami ปฏิเสธแบบไม่ใยดี ย้อนกลับไปในปี 1999 ผู้กำกับ The Matrix — พี่น้อง Wachowski — เคยเสนอให้ Hideo Kojima นักออกแบบเกมชื่อดังจากซีรีส์ Metal Gear สร้างเกมจากจักรวาล The Matrix แต่ข้อเสนอถูกปฏิเสธโดย CEO ของ Konami ในขณะนั้น ทั้งที่ Kojima แสดงความสนใจอย่างมาก 📼 เรื่องราวเบื้องหลังที่เพิ่งถูกเปิดเผย 💠 Christopher Bergstresser อดีตผู้บริหาร Konami เล่าเหตุการณ์ในวันเปิดตัว The Matrix ที่ญี่ปุ่น 💠 Wachowski โทรหา Konami เพื่อขอพบ Kojima และเสนอให้เขาสร้างเกมจาก The Matrix 💠 Kojima, Aki Saito และ Kazumi Kitaue (CEO) เข้าร่วมประชุมกับทีมผู้กำกับ 💠 เมื่อข้อเสนอถูกแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ CEO ฟัง เขาตอบกลับทันทีว่า “ไม่” 💠 แม้จะถูกปฏิเสธ ทีมงานยังได้ร่วมงานเปิดตัวภาพยนตร์และงานเลี้ยงหลังฉาย มีรายงานเพิ่มเติมว่า Kojima ยังแสดงความสนใจในโปรเจกต์นี้หลังจากถูกปฏิเสธ และอาจเคยพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Wachowski เสนอให้ Kojima สร้างเกมจาก The Matrix ในปี 1999 ➡️ Konami ปฏิเสธข้อเสนอทันที แม้ Kojimaสนใจ ➡️ การประชุมเกิดขึ้นในวันเปิดตัวภาพยนตร์ที่ญี่ปุ่น ➡️ ทีมงานยังได้ร่วมงานเลี้ยงหลังฉาย แม้โปรเจกต์ไม่เกิดขึ้น ➡️ Kojima อาจพยายามผลักดันโปรเจกต์หลังจากนั้น แต่ไม่สำเร็จ ✅ ความสำคัญของโปรเจกต์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น ➡️ The Matrix เป็น IP ที่เหมาะกับเกมแนวแอ็กชันและไซไฟ ➡️ Kojima มีชื่อเสียงด้านการเล่าเรื่องและการออกแบบเกมล้ำยุค ➡️ การร่วมมือครั้งนี้อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์เกมไซไฟไปเลย ‼️ คำเตือนจากอดีตที่น่าคิด ⛔ การตัดสินใจของผู้บริหารอาจขัดขวางโอกาสสร้างสรรค์ระดับตำนาน ⛔ The Matrix ยังไม่มีเกมที่ได้รับคำชมในระดับเดียวกับภาพยนตร์ ⛔ แฟน ๆ อาจไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์เกมที่ควรจะเกิดขึ้น https://wccftech.com/the-matrix-creators-wanted-kojima-make-a-game-on-the-ip-konami-refused/
    WCCFTECH.COM
    The Matrix Creators Wanted Kojima to Make a Game Based on the IP, But Konami Refused
    According to a former Konami employee, the creators of The Matrix asked Hideo Kojima to make a game on the IP, but Konami's CEO refused.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • พนักงานใช้ AI สร้างใบเสร็จปลอม หลอกบริษัททั่วโลก เสียหายหลักล้าน!

    การใช้ AI สร้างภาพปลอมกำลังกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของการโกงค่าใช้จ่ายในองค์กร โดยเฉพาะใบเสร็จค่าเดินทางและค่าอาหารที่สามารถสร้างได้ง่ายเพียงพิมพ์คำสั่งไม่กี่บรรทัด ล่าสุดมีรายงานว่าบริษัทต่างๆ พบใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และยากต่อการตรวจจับด้วยสายตามนุษย์

    รายงานจาก AppZen และ Ramp

    AppZen พบว่าใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI คิดเป็น 14% ของเอกสารหลอกลวงทั้งหมดในเดือนกันยายน 2025 เพิ่มขึ้นจาก 0% ในปี 2024
    Ramp ตรวจพบใบแจ้งหนี้ปลอมมูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ภายใน 90 วัน
    SAP Concur ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการค่าใช้จ่ายระดับโลก ระบุว่า “อย่าไว้ใจสายตา” เพราะใบเสร็จปลอมมีความสมจริงสูงมาก

    ใบเสร็จที่สร้างด้วย AI มีรายละเอียดครบถ้วน เช่น รอยยับของกระดาษ รายการอาหารที่ตรงกับเมนูจริง และลายเซ็นปลอม ทำให้ผู้ตรวจสอบไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยตาเปล่า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI เพิ่มขึ้นจาก 0% เป็น 14% ภายใน 1 ปี
    Ramp ตรวจพบใบแจ้งหนี้ปลอมมูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ใน 90 วัน
    SAP Concur ตรวจสอบเอกสารกว่า 80 ล้านรายการต่อเดือนด้วย AI
    ใบเสร็จปลอมมีความสมจริงสูงจนมนุษย์ไม่สามารถแยกแยะได้
    AI ช่วยสร้างใบเสร็จปลอมได้ในไม่กี่วินาทีจากคำสั่งข้อความธรรมดา

    วิธีตรวจจับใบเสร็จปลอม
    ใช้ AI ตรวจสอบ metadata ของภาพเพื่อดูว่าเป็นภาพที่สร้างด้วย AI หรือไม่
    ตรวจสอบข้อมูลแวดล้อม เช่น เวลาเซิร์ฟเวอร์ รายการเดินทาง และรูปแบบการใช้จ่าย
    ใช้ระบบ cross-check กับข้อมูลจริง เช่น เที่ยวบิน โรงแรม หรือชื่อร้านอาหาร

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    “นี่ไม่ใช่ภัยในอนาคต แต่มันเกิดขึ้นแล้ว” — Sebastien Marchon, CEO ของ Rydoo
    “ใบเสร็จปลอมสมจริงมากจนเราต้องบอกลูกค้า ‘อย่าไว้ใจสายตา’” — Chris Juneau, SAP Concur

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    การตรวจสอบด้วยมนุษย์ไม่สามารถรับมือกับใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI ได้
    Metadata สามารถถูกลบได้ง่ายด้วยการถ่ายภาพหน้าจอหรือถ่ายใหม่
    หากไม่มีระบบตรวจสอบที่ทันสมัย องค์กรอาจเสียหายทางการเงินอย่างหนัก

    https://www.techradar.com/pro/security/workers-are-scamming-their-employers-using-ai-generated-fake-expense-receipts
    🧾🤖 พนักงานใช้ AI สร้างใบเสร็จปลอม หลอกบริษัททั่วโลก เสียหายหลักล้าน! การใช้ AI สร้างภาพปลอมกำลังกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของการโกงค่าใช้จ่ายในองค์กร โดยเฉพาะใบเสร็จค่าเดินทางและค่าอาหารที่สามารถสร้างได้ง่ายเพียงพิมพ์คำสั่งไม่กี่บรรทัด ล่าสุดมีรายงานว่าบริษัทต่างๆ พบใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และยากต่อการตรวจจับด้วยสายตามนุษย์ 📉 รายงานจาก AppZen และ Ramp 💠 AppZen พบว่าใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI คิดเป็น 14% ของเอกสารหลอกลวงทั้งหมดในเดือนกันยายน 2025 เพิ่มขึ้นจาก 0% ในปี 2024 💠 Ramp ตรวจพบใบแจ้งหนี้ปลอมมูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ภายใน 90 วัน 💠 SAP Concur ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการค่าใช้จ่ายระดับโลก ระบุว่า “อย่าไว้ใจสายตา” เพราะใบเสร็จปลอมมีความสมจริงสูงมาก ใบเสร็จที่สร้างด้วย AI มีรายละเอียดครบถ้วน เช่น รอยยับของกระดาษ รายการอาหารที่ตรงกับเมนูจริง และลายเซ็นปลอม ทำให้ผู้ตรวจสอบไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยตาเปล่า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI เพิ่มขึ้นจาก 0% เป็น 14% ภายใน 1 ปี ➡️ Ramp ตรวจพบใบแจ้งหนี้ปลอมมูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ใน 90 วัน ➡️ SAP Concur ตรวจสอบเอกสารกว่า 80 ล้านรายการต่อเดือนด้วย AI ➡️ ใบเสร็จปลอมมีความสมจริงสูงจนมนุษย์ไม่สามารถแยกแยะได้ ➡️ AI ช่วยสร้างใบเสร็จปลอมได้ในไม่กี่วินาทีจากคำสั่งข้อความธรรมดา ✅ วิธีตรวจจับใบเสร็จปลอม ➡️ ใช้ AI ตรวจสอบ metadata ของภาพเพื่อดูว่าเป็นภาพที่สร้างด้วย AI หรือไม่ ➡️ ตรวจสอบข้อมูลแวดล้อม เช่น เวลาเซิร์ฟเวอร์ รายการเดินทาง และรูปแบบการใช้จ่าย ➡️ ใช้ระบบ cross-check กับข้อมูลจริง เช่น เที่ยวบิน โรงแรม หรือชื่อร้านอาหาร ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ “นี่ไม่ใช่ภัยในอนาคต แต่มันเกิดขึ้นแล้ว” — Sebastien Marchon, CEO ของ Rydoo ➡️ “ใบเสร็จปลอมสมจริงมากจนเราต้องบอกลูกค้า ‘อย่าไว้ใจสายตา’” — Chris Juneau, SAP Concur ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ การตรวจสอบด้วยมนุษย์ไม่สามารถรับมือกับใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI ได้ ⛔ Metadata สามารถถูกลบได้ง่ายด้วยการถ่ายภาพหน้าจอหรือถ่ายใหม่ ⛔ หากไม่มีระบบตรวจสอบที่ทันสมัย องค์กรอาจเสียหายทางการเงินอย่างหนัก https://www.techradar.com/pro/security/workers-are-scamming-their-employers-using-ai-generated-fake-expense-receipts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC ไม่สนศึก NVIDIA vs ASIC – เพราะทุกฝ่ายต้องพึ่งโรงงานของตน

    ตอนนี้โลกของ AI กำลังแบ่งออกเป็นสองขั้วใหญ่ๆ คือฝ่ายที่ใช้ GPU เช่น NVIDIA และ AMD กับฝ่ายที่พัฒนา ASIC (ชิปเฉพาะทาง) เช่น Google, Amazon และ Microsoft เพื่อให้ระบบ AI ทำงานได้เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น

    หลายคนมองว่า ASIC จะมาแทนที่ GPU ในอนาคต เพราะมันถูกออกแบบมาเฉพาะงาน AI โดยตรง แต่ TSMC ไม่ได้กังวลเลย เพราะไม่ว่าจะเป็น GPU หรือ ASIC ทุกคนก็ต้องมาหา TSMC เพื่อผลิตชิปอยู่ดี

    CEO ของ TSMC คุณ C.C. Wei กล่าวไว้ชัดเจนว่า “ไม่ว่าจะเป็น GPU หรือ ASIC ก็ใช้เทคโนโลยีล้ำหน้าของเราเหมือนกัน เราไม่แบ่งฝ่าย เราสนับสนุนทุกประเภท”

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Google ที่ร่วมมือกับ Broadcom เพื่อพัฒนา TPU รุ่นใหม่อย่าง Ironwood และ Trillium ซึ่งก็ผลิตโดย TSMC เช่นเดียวกับ Amazon Trainium และ Microsoft Maia ที่ใช้เทคโนโลยีระดับ 5nm และต่ำกว่า

    ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนในสงครามชิป AI TSMC ก็ได้ประโยชน์ทั้งหมด และกลายเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานด้าน AI อย่างแท้จริง

    TSMC เป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก
    ผลิตทั้ง GPU และ ASIC ให้หลายบริษัท
    ใช้เทคโนโลยีระดับ 5nm และต่ำกว่า
    เป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานด้าน AI

    ความร่วมมือกับบริษัทใหญ่
    Google ร่วมกับ Broadcom พัฒนา TPU รุ่นใหม่
    Amazon ใช้ TSMC ผลิต Trainium
    Microsoft ใช้ TSMC ผลิต Maia AI chip

    จุดยืนของ TSMC
    ไม่แบ่งฝ่ายระหว่าง GPU กับ ASIC
    สนับสนุนทุกเทคโนโลยีที่ใช้โรงงานของตน
    มั่นใจว่าความต้องการชิปจะเติบโตต่อเนื่องหลายปี

    https://wccftech.com/tsmc-says-in-the-nvidia-vs-asic-war-it-will-always-win/
    🏭 TSMC ไม่สนศึก NVIDIA vs ASIC – เพราะทุกฝ่ายต้องพึ่งโรงงานของตน ตอนนี้โลกของ AI กำลังแบ่งออกเป็นสองขั้วใหญ่ๆ คือฝ่ายที่ใช้ GPU เช่น NVIDIA และ AMD กับฝ่ายที่พัฒนา ASIC (ชิปเฉพาะทาง) เช่น Google, Amazon และ Microsoft เพื่อให้ระบบ AI ทำงานได้เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น หลายคนมองว่า ASIC จะมาแทนที่ GPU ในอนาคต เพราะมันถูกออกแบบมาเฉพาะงาน AI โดยตรง แต่ TSMC ไม่ได้กังวลเลย เพราะไม่ว่าจะเป็น GPU หรือ ASIC ทุกคนก็ต้องมาหา TSMC เพื่อผลิตชิปอยู่ดี CEO ของ TSMC คุณ C.C. Wei กล่าวไว้ชัดเจนว่า “ไม่ว่าจะเป็น GPU หรือ ASIC ก็ใช้เทคโนโลยีล้ำหน้าของเราเหมือนกัน เราไม่แบ่งฝ่าย เราสนับสนุนทุกประเภท” ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Google ที่ร่วมมือกับ Broadcom เพื่อพัฒนา TPU รุ่นใหม่อย่าง Ironwood และ Trillium ซึ่งก็ผลิตโดย TSMC เช่นเดียวกับ Amazon Trainium และ Microsoft Maia ที่ใช้เทคโนโลยีระดับ 5nm และต่ำกว่า ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนในสงครามชิป AI TSMC ก็ได้ประโยชน์ทั้งหมด และกลายเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานด้าน AI อย่างแท้จริง ✅ TSMC เป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก ➡️ ผลิตทั้ง GPU และ ASIC ให้หลายบริษัท ➡️ ใช้เทคโนโลยีระดับ 5nm และต่ำกว่า ➡️ เป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานด้าน AI ✅ ความร่วมมือกับบริษัทใหญ่ ➡️ Google ร่วมกับ Broadcom พัฒนา TPU รุ่นใหม่ ➡️ Amazon ใช้ TSMC ผลิต Trainium ➡️ Microsoft ใช้ TSMC ผลิต Maia AI chip ✅ จุดยืนของ TSMC ➡️ ไม่แบ่งฝ่ายระหว่าง GPU กับ ASIC ➡️ สนับสนุนทุกเทคโนโลยีที่ใช้โรงงานของตน ➡️ มั่นใจว่าความต้องการชิปจะเติบโตต่อเนื่องหลายปี https://wccftech.com/tsmc-says-in-the-nvidia-vs-asic-war-it-will-always-win/
    WCCFTECH.COM
    TSMC Says in the 'NVIDIA vs ASIC War', It Will Always Win as Customers From Both Sides Turn to the Chip Giant for Foundry Orders
    TSMC is well aware of the growing rivalry between GPU customers and ASICs, but the firm apparently doesn't worry much.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ปลดพนักงานกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี – CEO คนใหม่เดินหน้าฟื้นฟูองค์กรอย่างเข้มข้น

    Intel กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan โดยในช่วงไม่ถึง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,500 คน ซึ่งรวมถึง 20,500 คนในช่วง 3 เดือนล่าสุดเพียงอย่างเดียว ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Intel

    แม้ในตอนแรกจะประกาศลดจำนวนผู้จัดการระดับกลาง แต่ในความเป็นจริงกลับมีวิศวกรและช่างเทคนิคจำนวนมากถูกปลด โดยเฉพาะในโรงงานที่รัฐ Oregon ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวิจัยและพัฒนาอย่างชัดเจน

    Intel ยังลดงบประมาณด้าน R&D ลงกว่า $800 ล้าน แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมุ่งเน้นการลงทุนเฉพาะในโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน เช่น เทคโนโลยี Intel 18A, 14A, ผลิตภัณฑ์ด้าน AI และการบรรจุชิปขั้นสูง

    การปลดพนักงานของ Intel
    ปลดรวมกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี
    20,500 คนถูกปลดในช่วง 3 เดือนล่าสุด
    ส่วนใหญ่เป็นวิศวกรและช่างเทคนิค ไม่ใช่ผู้จัดการ
    โรงงานใน Oregon ได้รับผลกระทบหนัก

    การปรับโครงสร้างองค์กร
    ลดงบประมาณ R&D ลงกว่า $800 ล้าน
    มุ่งเน้นโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน
    ควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ที่ $16 พันล้านในปี 2026
    ลงทุนเฉพาะใน Intel 18A, 14A, AI และ advanced packaging

    วิสัยทัศน์ของ CEO Lip-Bu Tan
    สร้าง Intel ที่ “เล็กลงแต่แข็งแกร่งขึ้น”
    ลดความซ้ำซ้อนของโปรเจกต์
    เน้นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น client, data center & AI, และ Foundry
    เปลี่ยนแนวคิดจาก “ลดต้นทุน” เป็น “ควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัย”

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-has-cut-35-500-jobs-in-less-than-two-years-more-than-20-000-let-go-in-in-recent-months-as-lip-bu-tan-continues-drastic-recovery-journey
    📉 Intel ปลดพนักงานกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี – CEO คนใหม่เดินหน้าฟื้นฟูองค์กรอย่างเข้มข้น Intel กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan โดยในช่วงไม่ถึง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,500 คน ซึ่งรวมถึง 20,500 คนในช่วง 3 เดือนล่าสุดเพียงอย่างเดียว ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Intel แม้ในตอนแรกจะประกาศลดจำนวนผู้จัดการระดับกลาง แต่ในความเป็นจริงกลับมีวิศวกรและช่างเทคนิคจำนวนมากถูกปลด โดยเฉพาะในโรงงานที่รัฐ Oregon ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวิจัยและพัฒนาอย่างชัดเจน Intel ยังลดงบประมาณด้าน R&D ลงกว่า $800 ล้าน แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมุ่งเน้นการลงทุนเฉพาะในโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน เช่น เทคโนโลยี Intel 18A, 14A, ผลิตภัณฑ์ด้าน AI และการบรรจุชิปขั้นสูง ✅ การปลดพนักงานของ Intel ➡️ ปลดรวมกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี ➡️ 20,500 คนถูกปลดในช่วง 3 เดือนล่าสุด ➡️ ส่วนใหญ่เป็นวิศวกรและช่างเทคนิค ไม่ใช่ผู้จัดการ ➡️ โรงงานใน Oregon ได้รับผลกระทบหนัก ✅ การปรับโครงสร้างองค์กร ➡️ ลดงบประมาณ R&D ลงกว่า $800 ล้าน ➡️ มุ่งเน้นโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน ➡️ ควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ที่ $16 พันล้านในปี 2026 ➡️ ลงทุนเฉพาะใน Intel 18A, 14A, AI และ advanced packaging ✅ วิสัยทัศน์ของ CEO Lip-Bu Tan ➡️ สร้าง Intel ที่ “เล็กลงแต่แข็งแกร่งขึ้น” ➡️ ลดความซ้ำซ้อนของโปรเจกต์ ➡️ เน้นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น client, data center & AI, และ Foundry ➡️ เปลี่ยนแนวคิดจาก “ลดต้นทุน” เป็น “ควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัย” https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-has-cut-35-500-jobs-in-less-than-two-years-more-than-20-000-let-go-in-in-recent-months-as-lip-bu-tan-continues-drastic-recovery-journey
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts