• จีนพยายามเร่งสร้างศูนย์ข้อมูล AI แต่กลับพบว่าหลายโครงการล้มเหลวเพราะวางแผนไม่รอบคอบ และไม่ได้ใช้งานจริงตามที่คาดหวัง โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้กลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลยังคงมองว่าเป็นโอกาสเรียนรู้และปรับตัวในอนาคต โดยจะสนับสนุนบริษัทใหญ่ให้พัฒนา AI และโครงสร้างพื้นฐานต่อไป

    การเร่งลงทุนที่มากเกินไป:
    - จีนได้เปิดตัวศูนย์ข้อมูลกว่า 500 แห่งในปี 2023 โดยมีอย่างน้อย 150 แห่งเริ่มดำเนินการภายในปี 2024 แต่หลายโครงการมุ่งเน้นการดึงดูดเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมากกว่าการสร้างศักยภาพ AI ที่แท้จริง.

    ปัญหาด้านเทคโนโลยีและอุปสงค์:
    - เทคโนโลยีที่ใช้ในศูนย์ข้อมูลไม่ตอบโจทย์ความต้องการปัจจุบัน เช่น งานด้าน AI inference ซึ่งต้องการอุปกรณ์ที่รวดเร็วและประหยัดพลังงาน แต่ศูนย์กลับถูกออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI training ที่ไม่จำเป็นในตลาด.

    ราคาที่ลดลงของ GPU Rental:
    - ค่าเช่าหน่วยประมวลผล AI เช่น Nvidia H100 ลดลงมากจาก 180,000 หยวน ($24,000) ต่อเดือน เหลือเพียง 75,000 หยวน ($10,000) ซึ่งสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของตลาด AI.

    การปรับเปลี่ยนแผนในอนาคต:
    - รัฐบาลจีนยังคงให้ความสำคัญกับ AI โดยมองว่านี่เป็นการเรียนรู้จากความผิดพลาด และมีแผนจะมอบหมายศูนย์ข้อมูลที่ไม่ประสบความสำเร็จให้กับผู้ดำเนินการที่มีศักยภาพสูงขึ้น เช่น Alibaba และ ByteDance ที่ได้ประกาศลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน AI.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-ai-data-center-boom-goes-bust-rush-leaves-billions-of-dollars-in-idle-infrastructure
    จีนพยายามเร่งสร้างศูนย์ข้อมูล AI แต่กลับพบว่าหลายโครงการล้มเหลวเพราะวางแผนไม่รอบคอบ และไม่ได้ใช้งานจริงตามที่คาดหวัง โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้กลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลยังคงมองว่าเป็นโอกาสเรียนรู้และปรับตัวในอนาคต โดยจะสนับสนุนบริษัทใหญ่ให้พัฒนา AI และโครงสร้างพื้นฐานต่อไป การเร่งลงทุนที่มากเกินไป: - จีนได้เปิดตัวศูนย์ข้อมูลกว่า 500 แห่งในปี 2023 โดยมีอย่างน้อย 150 แห่งเริ่มดำเนินการภายในปี 2024 แต่หลายโครงการมุ่งเน้นการดึงดูดเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมากกว่าการสร้างศักยภาพ AI ที่แท้จริง. ปัญหาด้านเทคโนโลยีและอุปสงค์: - เทคโนโลยีที่ใช้ในศูนย์ข้อมูลไม่ตอบโจทย์ความต้องการปัจจุบัน เช่น งานด้าน AI inference ซึ่งต้องการอุปกรณ์ที่รวดเร็วและประหยัดพลังงาน แต่ศูนย์กลับถูกออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI training ที่ไม่จำเป็นในตลาด. ราคาที่ลดลงของ GPU Rental: - ค่าเช่าหน่วยประมวลผล AI เช่น Nvidia H100 ลดลงมากจาก 180,000 หยวน ($24,000) ต่อเดือน เหลือเพียง 75,000 หยวน ($10,000) ซึ่งสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของตลาด AI. การปรับเปลี่ยนแผนในอนาคต: - รัฐบาลจีนยังคงให้ความสำคัญกับ AI โดยมองว่านี่เป็นการเรียนรู้จากความผิดพลาด และมีแผนจะมอบหมายศูนย์ข้อมูลที่ไม่ประสบความสำเร็จให้กับผู้ดำเนินการที่มีศักยภาพสูงขึ้น เช่น Alibaba และ ByteDance ที่ได้ประกาศลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน AI. https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-ai-data-center-boom-goes-bust-rush-leaves-billions-of-dollars-in-idle-infrastructure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ant Group ประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนการฝึก AI ด้วยการใช้ชิปจากจีน เช่น ชิปของ Alibaba และ Huawei นี่เป็นการปรับตัวท่ามกลางข้อจำกัดจากสหรัฐฯ ในการใช้ชิป NVIDIA ผลลัพธ์นี้ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังสะท้อนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศที่ก้าวไกล อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามว่าชิปเหล่านี้จะสามารถแข่งขันในระยะยาวได้ดีเพียงใด

    การตอบสนองต่อข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี:
    - การเปลี่ยนมาใช้ชิปที่ผลิตในประเทศจีนเกิดขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดจากสหรัฐฯ ในการเข้าถึง GPU ระดับสูงของ NVIDIA ส่งผลให้บริษัทจีนต้องหาทางเลือกที่เหมาะสม และนี่ถือเป็นความพยายามสำคัญของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก.

    ความหลากหลายในฮาร์ดแวร์:
    - นอกจากใช้ชิปของ Alibaba และ Huawei แล้ว Ant Group ยังพึ่งพาชิปจาก AMD และผู้ผลิตรายอื่น ๆ เพื่อสร้างโมเดล AI ใหม่ โดยยังคงใช้ฮาร์ดแวร์ NVIDIA ในบางกระบวนการ.

    ศักยภาพของเทคโนโลยีจีน:
    - ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงศักยภาพในการแข่งขันด้าน AI ของจีน และสอดคล้องกับความสำเร็จล่าสุดของ DeepSeek AI ที่สามารถทำผลงานได้ดีกว่า GPT-4 ของ OpenAI ในบางเกณฑ์.

    ความท้าทายระยะยาว:
    - แม้ผลลัพธ์ครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่ก็ยังมีคำถามว่าชิปจากจีนและผู้ผลิตรายอื่น ๆ เช่น AMD จะสามารถแข่งขันและรองรับการทำงานในระยะยาวได้เทียบเท่ากับ NVIDIA หรือไม่.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-fintech-company-uses-domestic-semiconductors-for-ai-breakthrough
    Ant Group ประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนการฝึก AI ด้วยการใช้ชิปจากจีน เช่น ชิปของ Alibaba และ Huawei นี่เป็นการปรับตัวท่ามกลางข้อจำกัดจากสหรัฐฯ ในการใช้ชิป NVIDIA ผลลัพธ์นี้ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังสะท้อนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศที่ก้าวไกล อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามว่าชิปเหล่านี้จะสามารถแข่งขันในระยะยาวได้ดีเพียงใด การตอบสนองต่อข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี: - การเปลี่ยนมาใช้ชิปที่ผลิตในประเทศจีนเกิดขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดจากสหรัฐฯ ในการเข้าถึง GPU ระดับสูงของ NVIDIA ส่งผลให้บริษัทจีนต้องหาทางเลือกที่เหมาะสม และนี่ถือเป็นความพยายามสำคัญของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก. ความหลากหลายในฮาร์ดแวร์: - นอกจากใช้ชิปของ Alibaba และ Huawei แล้ว Ant Group ยังพึ่งพาชิปจาก AMD และผู้ผลิตรายอื่น ๆ เพื่อสร้างโมเดล AI ใหม่ โดยยังคงใช้ฮาร์ดแวร์ NVIDIA ในบางกระบวนการ. ศักยภาพของเทคโนโลยีจีน: - ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงศักยภาพในการแข่งขันด้าน AI ของจีน และสอดคล้องกับความสำเร็จล่าสุดของ DeepSeek AI ที่สามารถทำผลงานได้ดีกว่า GPT-4 ของ OpenAI ในบางเกณฑ์. ความท้าทายระยะยาว: - แม้ผลลัพธ์ครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่ก็ยังมีคำถามว่าชิปจากจีนและผู้ผลิตรายอื่น ๆ เช่น AMD จะสามารถแข่งขันและรองรับการทำงานในระยะยาวได้เทียบเท่ากับ NVIDIA หรือไม่. https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-fintech-company-uses-domestic-semiconductors-for-ai-breakthrough
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Ant Group reportedly reduces AI costs 20% with Chinese chips
    The company still uses Nvidia but now relies mainly on Chinese chips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้น่าสนใจมากครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่กรุงปักกิ่งเตรียมนำหลักสูตรเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้สำหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในปีนี้ ซึ่งแสดงถึงความพยายามของจีนในการเร่งพัฒนาศักยภาพด้าน AI และสร้างบุคลากรที่เชี่ยวชาญในสาขานี้

    เรื่องเริ่มจากที่ทุกโรงเรียนในปักกิ่งจะจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับ AI อย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อปี โดยเริ่มในเดือนกันยายนนี้ หลักสูตรดังกล่าวอาจเป็นวิชาหลักหรือบูรณาการร่วมกับวิชาอื่น เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศหรือวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งนำเทคนิคการสอนแบบใหม่มาใช้ เช่น การใช้ AI เป็นผู้ช่วยวิจัยและเครื่องมือเรียนรู้ผ่านการสนทนากับคอมพิวเตอร์

    นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยม เพื่อช่วยปั้นนักเรียนให้เป็น "คนเก่งด้านนวัตกรรมตั้งแต่วัยเยาว์" และยังสอดคล้องกับทิศทางของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างจริงจัง

    ในมุมของเทคโนโลยีเอง จีนยังคงพัฒนารูปแบบ AI ใหม่ๆ เช่น Manus ซึ่งมีความสามารถเหนือกว่าแชทบอททั่วไป ขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ก็ได้เปิดตัวโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้งบประมาณและข้อมูลน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับการแข่งขันระดับโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/beijing-to-roll-out-ai-lessons-for-primary-secondary-students
    ข่าวนี้น่าสนใจมากครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่กรุงปักกิ่งเตรียมนำหลักสูตรเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้สำหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในปีนี้ ซึ่งแสดงถึงความพยายามของจีนในการเร่งพัฒนาศักยภาพด้าน AI และสร้างบุคลากรที่เชี่ยวชาญในสาขานี้ เรื่องเริ่มจากที่ทุกโรงเรียนในปักกิ่งจะจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับ AI อย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อปี โดยเริ่มในเดือนกันยายนนี้ หลักสูตรดังกล่าวอาจเป็นวิชาหลักหรือบูรณาการร่วมกับวิชาอื่น เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศหรือวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งนำเทคนิคการสอนแบบใหม่มาใช้ เช่น การใช้ AI เป็นผู้ช่วยวิจัยและเครื่องมือเรียนรู้ผ่านการสนทนากับคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยม เพื่อช่วยปั้นนักเรียนให้เป็น "คนเก่งด้านนวัตกรรมตั้งแต่วัยเยาว์" และยังสอดคล้องกับทิศทางของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างจริงจัง ในมุมของเทคโนโลยีเอง จีนยังคงพัฒนารูปแบบ AI ใหม่ๆ เช่น Manus ซึ่งมีความสามารถเหนือกว่าแชทบอททั่วไป ขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ก็ได้เปิดตัวโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้งบประมาณและข้อมูลน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับการแข่งขันระดับโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/beijing-to-roll-out-ai-lessons-for-primary-secondary-students
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Beijing to roll out AI lessons for primary, secondary students
    China's AI industry has gained international attention this year after DeepSeek released a new version of its AI chatbot in January, sending shockwaves across global markets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงสนับสนุนแนวคิดนี้ของจีนครับ

    รัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายใหม่ในการส่งเสริมการใช้ชิป RISC-V ที่เป็นโอเพ่นซอร์สอย่างเป็นทางการ เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เช่น x86 และ Arm นโยบายนี้ถูกจัดทำโดยหน่วยงานรัฐบาลถึงแปดแห่ง รวมถึง Cyberspace Administration of China และ Ministry of Industry and Information Technology โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มการใช้งานชิป RISC-V ในประเทศจีนให้มากขึ้น

    การออกนโยบายใหม่นี้จะส่งเสริมให้บริษัทในจีนหันมาใช้ชิป RISC-V ที่ถูกพัฒนาภายในประเทศมากขึ้น เช่น Alibaba's XuanTie และ Nuclei System Technology ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิป RISC-V ชั้นนำของจีน การใช้งานชิปเหล่านี้จะทำให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายและพัฒนาชิปที่เหมาะสมกับการใช้งานในด้าน AI ได้มากขึ้น แม้ว่าในช่วงแรก ชิปเหล่านี้อาจจะยังไม่สามารถแข่งกับชิปของ Nvidia ในด้านประสิทธิภาพได้ แต่ก็จะมีราคาถูกกว่าและถูกออกแบบในจีนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนสนับสนุน

    แม้ว่าการพัฒนาฮาร์ดแวร์ RISC-V จะสำคัญ แต่การสร้างระบบซอฟต์แวร์ที่รองรับชิป RISC-V ก็ไม่แพ้กัน ปัจจุบันนี้ Arm และ x86 ได้รับการสนับสนุนจากระบบปฏิบัติการและโปรแกรมมากมาย ซึ่งแตกต่างจาก RISC-V ที่ยังมีข้อจำกัดในการรองรับซอฟต์แวร์ หากต้องการสร้างชิป AI ที่ใช้ RISC-V นักพัฒนาจำเป็นต้องสร้างระบบนิเวศน์ซอฟต์แวร์เช่นเดียวกับ CUDA ของ Nvidia ซึ่งต้องใช้เวลานับสิบปีในการพัฒนา

    การประกาศนโยบายนี้ทำให้หุ้นของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในจีน เช่น VeriSilicon, ASR Microelectronics และ Shanghai Anlogic Infotech พุ่งสูงขึ้นถึง 15.4% เนื่องจากความสนใจที่เพิ่มขึ้นใน RISC-V อย่างไรก็ตาม ความสนใจที่เพิ่มขึ้นใน RISC-V ยังทำให้สหรัฐฯ กังวล เพราะ RISC-V เป็นโอเพ่นซอร์ส และอาจทำให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีได้เร็วยิ่งขึ้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinese-government-shifts-focus-from-x86-and-arm-cpus-promoting-the-adoption-of-risc-v-chips
    ลุงสนับสนุนแนวคิดนี้ของจีนครับ รัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายใหม่ในการส่งเสริมการใช้ชิป RISC-V ที่เป็นโอเพ่นซอร์สอย่างเป็นทางการ เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เช่น x86 และ Arm นโยบายนี้ถูกจัดทำโดยหน่วยงานรัฐบาลถึงแปดแห่ง รวมถึง Cyberspace Administration of China และ Ministry of Industry and Information Technology โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มการใช้งานชิป RISC-V ในประเทศจีนให้มากขึ้น การออกนโยบายใหม่นี้จะส่งเสริมให้บริษัทในจีนหันมาใช้ชิป RISC-V ที่ถูกพัฒนาภายในประเทศมากขึ้น เช่น Alibaba's XuanTie และ Nuclei System Technology ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิป RISC-V ชั้นนำของจีน การใช้งานชิปเหล่านี้จะทำให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายและพัฒนาชิปที่เหมาะสมกับการใช้งานในด้าน AI ได้มากขึ้น แม้ว่าในช่วงแรก ชิปเหล่านี้อาจจะยังไม่สามารถแข่งกับชิปของ Nvidia ในด้านประสิทธิภาพได้ แต่ก็จะมีราคาถูกกว่าและถูกออกแบบในจีนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนสนับสนุน แม้ว่าการพัฒนาฮาร์ดแวร์ RISC-V จะสำคัญ แต่การสร้างระบบซอฟต์แวร์ที่รองรับชิป RISC-V ก็ไม่แพ้กัน ปัจจุบันนี้ Arm และ x86 ได้รับการสนับสนุนจากระบบปฏิบัติการและโปรแกรมมากมาย ซึ่งแตกต่างจาก RISC-V ที่ยังมีข้อจำกัดในการรองรับซอฟต์แวร์ หากต้องการสร้างชิป AI ที่ใช้ RISC-V นักพัฒนาจำเป็นต้องสร้างระบบนิเวศน์ซอฟต์แวร์เช่นเดียวกับ CUDA ของ Nvidia ซึ่งต้องใช้เวลานับสิบปีในการพัฒนา การประกาศนโยบายนี้ทำให้หุ้นของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในจีน เช่น VeriSilicon, ASR Microelectronics และ Shanghai Anlogic Infotech พุ่งสูงขึ้นถึง 15.4% เนื่องจากความสนใจที่เพิ่มขึ้นใน RISC-V อย่างไรก็ตาม ความสนใจที่เพิ่มขึ้นใน RISC-V ยังทำให้สหรัฐฯ กังวล เพราะ RISC-V เป็นโอเพ่นซอร์ส และอาจทำให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีได้เร็วยิ่งขึ้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinese-government-shifts-focus-from-x86-and-arm-cpus-promoting-the-adoption-of-risc-v-chips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการเปิดตัวชิปประมวลผลเซิร์ฟเวอร์ใหม่จาก Alibaba ที่ชื่อว่า "XuanTie C930" ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม RISC-V ที่พัฒนามาเพื่อการประมวลผล AI และ HPC (High Performance Computing) ชิปนี้ได้รับการเผยแพร่ที่การประชุม China RISC-V Ecosystem Conference ในกรุงปักกิ่ง โดยวิศวกรของ Alibaba มองว่าชิปนี้จะเปิดทางให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคต

    แม้ว่าเราจะยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนคอร์ ความเร็วของชิป หรือขนาดแคช แต่ Alibaba มีประวัติในการพัฒนาชิปที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น Yitian 710 ที่เป็นชิปที่เร็วที่สุดสำหรับคลาวด์เซิร์ฟเวอร์เมื่อปีที่แล้ว การเปิดตัว XuanTie C930 นี้จึงถือว่าเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ Alibaba มีส่วนสำคัญในตลาดชิปประมวลผล

    นอกจากนี้ Alibaba ยังได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 52 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI และคลาวด์ในอีกสามปีข้างหน้า รวมถึงการพัฒนาชิป RISC-V รุ่นอื่น ๆ ที่จะตามมา ได้แก่ C908X, R908A และ XL200 ซึ่งออกแบบมาสำหรับการเร่งความเร็ว AI, การใช้งานในยานยนต์ และการเชื่อมต่อความเร็วสูงตามลำดับ

    สิ่งที่น่าสนใจคือการนำสถาปัตยกรรม RISC-V ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเปิดมาใช้ เนื่องจากการนำเข้าสถาปัตยกรรมที่มีอยู่จากสหรัฐฯ ถูกจำกัดโดยกฎหมายการส่งออกที่เข้มงวดของสหรัฐฯ การพัฒนา RISC-V ของจีนจึงถือว่าเป็นการสร้างเส้นทางใหม่ในการพัฒนาชิปที่ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/alibaba-launches-risc-v-based-xuantie-c930-server-cpu-ai-hpc-chip-ships-this-month-more-designs-to-follow
    มีการเปิดตัวชิปประมวลผลเซิร์ฟเวอร์ใหม่จาก Alibaba ที่ชื่อว่า "XuanTie C930" ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม RISC-V ที่พัฒนามาเพื่อการประมวลผล AI และ HPC (High Performance Computing) ชิปนี้ได้รับการเผยแพร่ที่การประชุม China RISC-V Ecosystem Conference ในกรุงปักกิ่ง โดยวิศวกรของ Alibaba มองว่าชิปนี้จะเปิดทางให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคต แม้ว่าเราจะยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนคอร์ ความเร็วของชิป หรือขนาดแคช แต่ Alibaba มีประวัติในการพัฒนาชิปที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น Yitian 710 ที่เป็นชิปที่เร็วที่สุดสำหรับคลาวด์เซิร์ฟเวอร์เมื่อปีที่แล้ว การเปิดตัว XuanTie C930 นี้จึงถือว่าเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ Alibaba มีส่วนสำคัญในตลาดชิปประมวลผล นอกจากนี้ Alibaba ยังได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 52 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI และคลาวด์ในอีกสามปีข้างหน้า รวมถึงการพัฒนาชิป RISC-V รุ่นอื่น ๆ ที่จะตามมา ได้แก่ C908X, R908A และ XL200 ซึ่งออกแบบมาสำหรับการเร่งความเร็ว AI, การใช้งานในยานยนต์ และการเชื่อมต่อความเร็วสูงตามลำดับ สิ่งที่น่าสนใจคือการนำสถาปัตยกรรม RISC-V ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเปิดมาใช้ เนื่องจากการนำเข้าสถาปัตยกรรมที่มีอยู่จากสหรัฐฯ ถูกจำกัดโดยกฎหมายการส่งออกที่เข้มงวดของสหรัฐฯ การพัฒนา RISC-V ของจีนจึงถือว่าเป็นการสร้างเส้นทางใหม่ในการพัฒนาชิปที่ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/alibaba-launches-risc-v-based-xuantie-c930-server-cpu-ai-hpc-chip-ships-this-month-more-designs-to-follow
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • DeepSeek บริษัทปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังถูกพูดถึงทั่วโลกในขณะนี้ สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการเทคโนโลยีด้วยโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง และสามารถแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากต่างประเทศได้อย่างน่าทึ่ง แต่ที่น่าสนใจคือ จุดเริ่มต้นของบริษัทนี้มาจากเมืองหางโจว (Hangzhou) และมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang University) มหาวิทยาลัยชั้นนำที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีมานี้
    .
    มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ตั้งอยู่ในเมืองหางโจว ห่างจากนครเซี่ยงไฮ้ราว 175 กิโลเมตร เป็นเมืองศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพของจีน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซิลิคอนวัลเลย์ของสหรัฐฯ แม้แต่ แจ๊คหม่า (Jack Ma)ผู้ก่อตั้ง Alibaba ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซ ก็เริ่มต้นธุรกิจจากเมืองนี้ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปจากสื่อหลังจากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนในปี 2563 จนกระทั่งกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ในการพบปะกับสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ร่วมกับ เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ผู้ก่อตั้ง DeepSeek และศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง
    .
    มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่กำลังรุ่งเรืองของเมืองหางโจว และมีเป้าหมายที่จะก้าวสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกภายในปี 2570 โดยมีต้นแบบที่ชัดเจนคือมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) แห่งสหรัฐฯ มากกว่าการเดินตามมหาวิทยาลัยดังในปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้
    .
    ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงมีนักศึกษาและอาจารย์รวมกันกว่า 70,000 คน กระจายอยู่ในวิทยาเขตทั้ง 7 แห่งของเมืองหางโจว และผลิตงานวิจัยออกมาเป็นจำนวนมาก โดยข้อมูลล่าสุดจาก Leiden Ranking ระบุว่า มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงมีจำนวนผลงานตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์มากที่สุดในโลก และเป็นอันดับสองรองจากฮาร์วาร์ดในด้านจำนวนผลงานที่มีคุณภาพอยู่ใน 10% แรกของวงการวิชาการโลก
    .
    ศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงหลายคนล้วนเป็นเศรษฐีแถวหน้าของจีน เช่น หวงเจิง (Colin Huang) ผู้ก่อตั้ง Pinduoduo และต้วน หย่งผิง (Duan Yongping) เจ้าพ่อธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
    .
    ปัจจุบันจีนกำลังจับตามองกลุ่มสตาร์ทอัพดาวรุ่งแห่งเมืองหางโจวที่เรียกกันว่า "มังกรน้อยทั้งหก" ซึ่ง DeepSeek ก็คือหนึ่งในนั้น เช่นเดียวกับ Manycore Tech สตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์ 3D และ Deep Robotics สตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์สี่ขา (Quadruped Robot)
    .
    อย่างไรก็ตาม แม้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงยังมีความท้าทายอีกหลายประการ โดยเฉพาะในแง่ของการเงินที่ยังคงพึ่งพางบประมาณจากรัฐบาลเป็นหลัก และยังไม่มีเงินทุนกองทุนส่วนตัวที่มีขนาดใหญ่เทียบเท่ามหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก นอกจากนี้บุคลากรส่วนใหญ่ก็ยังเป็นชาวจีนแทบทั้งหมด โดยมีนักวิชาการต่างชาติที่เข้าร่วมไม่มากนัก เนื่องจากข้อจำกัดด้านสิทธิเสรีภาพและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    .
    กระนั้นก็ตาม วิลเลียม เคอร์บี้ (William Kirby) นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านจีนจาก Harvard Business School ชี้ว่า "การเกิดขึ้นของมหาวิทยาลัยเช่นเจ้อเจียง แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแวดวงการศึกษาระดับโลก" และถือเป็นก้าวสำคัญในการที่จีนจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจด้านการศึกษาที่มีอิทธิพลระดับโลกภายในปี 2578 ตามที่รัฐบาลจีนวางเป้าหมายเอาไว้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020876
    ..............
    Sondhi X
    DeepSeek บริษัทปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังถูกพูดถึงทั่วโลกในขณะนี้ สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการเทคโนโลยีด้วยโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง และสามารถแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากต่างประเทศได้อย่างน่าทึ่ง แต่ที่น่าสนใจคือ จุดเริ่มต้นของบริษัทนี้มาจากเมืองหางโจว (Hangzhou) และมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang University) มหาวิทยาลัยชั้นนำที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีมานี้ . มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ตั้งอยู่ในเมืองหางโจว ห่างจากนครเซี่ยงไฮ้ราว 175 กิโลเมตร เป็นเมืองศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพของจีน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซิลิคอนวัลเลย์ของสหรัฐฯ แม้แต่ แจ๊คหม่า (Jack Ma)ผู้ก่อตั้ง Alibaba ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซ ก็เริ่มต้นธุรกิจจากเมืองนี้ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปจากสื่อหลังจากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนในปี 2563 จนกระทั่งกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ในการพบปะกับสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ร่วมกับ เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ผู้ก่อตั้ง DeepSeek และศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง . มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่กำลังรุ่งเรืองของเมืองหางโจว และมีเป้าหมายที่จะก้าวสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกภายในปี 2570 โดยมีต้นแบบที่ชัดเจนคือมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) แห่งสหรัฐฯ มากกว่าการเดินตามมหาวิทยาลัยดังในปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ . ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงมีนักศึกษาและอาจารย์รวมกันกว่า 70,000 คน กระจายอยู่ในวิทยาเขตทั้ง 7 แห่งของเมืองหางโจว และผลิตงานวิจัยออกมาเป็นจำนวนมาก โดยข้อมูลล่าสุดจาก Leiden Ranking ระบุว่า มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงมีจำนวนผลงานตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์มากที่สุดในโลก และเป็นอันดับสองรองจากฮาร์วาร์ดในด้านจำนวนผลงานที่มีคุณภาพอยู่ใน 10% แรกของวงการวิชาการโลก . ศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงหลายคนล้วนเป็นเศรษฐีแถวหน้าของจีน เช่น หวงเจิง (Colin Huang) ผู้ก่อตั้ง Pinduoduo และต้วน หย่งผิง (Duan Yongping) เจ้าพ่อธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น . ปัจจุบันจีนกำลังจับตามองกลุ่มสตาร์ทอัพดาวรุ่งแห่งเมืองหางโจวที่เรียกกันว่า "มังกรน้อยทั้งหก" ซึ่ง DeepSeek ก็คือหนึ่งในนั้น เช่นเดียวกับ Manycore Tech สตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์ 3D และ Deep Robotics สตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์สี่ขา (Quadruped Robot) . อย่างไรก็ตาม แม้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงยังมีความท้าทายอีกหลายประการ โดยเฉพาะในแง่ของการเงินที่ยังคงพึ่งพางบประมาณจากรัฐบาลเป็นหลัก และยังไม่มีเงินทุนกองทุนส่วนตัวที่มีขนาดใหญ่เทียบเท่ามหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก นอกจากนี้บุคลากรส่วนใหญ่ก็ยังเป็นชาวจีนแทบทั้งหมด โดยมีนักวิชาการต่างชาติที่เข้าร่วมไม่มากนัก เนื่องจากข้อจำกัดด้านสิทธิเสรีภาพและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ . กระนั้นก็ตาม วิลเลียม เคอร์บี้ (William Kirby) นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านจีนจาก Harvard Business School ชี้ว่า "การเกิดขึ้นของมหาวิทยาลัยเช่นเจ้อเจียง แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแวดวงการศึกษาระดับโลก" และถือเป็นก้าวสำคัญในการที่จีนจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจด้านการศึกษาที่มีอิทธิพลระดับโลกภายในปี 2578 ตามที่รัฐบาลจีนวางเป้าหมายเอาไว้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020876 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1772 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จัก ลิ่วเสี่ยวหลง (六小龙) หกมังกรน้อยเทคโนโลยีดาวรุ่งแห่งเมืองหางโจว และประเทศจีน
    .
    https://www.tiktok.com/@thedongfangbubai/video/7476823906024819975
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #杭州六小龙 #Hangzhou #หางโจว #Alibaba #Deepseek #Unitree
    รู้จัก ลิ่วเสี่ยวหลง (六小龙) หกมังกรน้อยเทคโนโลยีดาวรุ่งแห่งเมืองหางโจว และประเทศจีน . https://www.tiktok.com/@thedongfangbubai/video/7476823906024819975 . #บูรพาไม่แพ้ #杭州六小龙 #Hangzhou #หางโจว #Alibaba #Deepseek #Unitree
    @thedongfangbubai

    รู้จัก ลิ่วเสี่ยวหลง (六小龙) หกมังกรน้อยเทคโนโลยีดาวรุ่งแห่งเมืองหางโจว และประเทศจีน . คลิกฟัง Podcast ฉบับเต็ม >> https://www.youtube.com/watch?v=6b9BgpwDaUo . #บูรพาไม่แพ้ #杭州六小龙 #Hangzhou #หางโจว #Alibaba #Deepseek #Unitree

    ♬ original sound - บูรพาไม่แพ้ - บูรพาไม่แพ้
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 425 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.110 : “6 มังกรน้อยเทคโนโลยี” แห่งเมืองหางโจว
    .
    นอกเหนือจาก “อาลีบาบา” ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีของจีนที่เป็นผู้บุกเบิก และลงหลักปักฐานที่นครหางโจว มณฑลเจ้อเจียง แล้ว ต่อมา บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็ทยอยมาตั้งสำนักงานใหญ่ที่หางโจว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทสตาร์ทอัพจำนวนมาก ส่งผลให้หางโจวมีสตาร์ทอัพทางเทคโนโลยีดาวรุ่งที่เรียกกันว่า “6 มังกรน้อย” หรือในภาษาจีนก็คือ “ลิ่วเสี่ยวหลง (六小龙)”
    .
    พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในวันนี้ เราพาไปรู้จัก “บริษัทเทคโนโลยีรุ่นใหม่ของจีน” ที่มีความกล้าหาญในการบุกเบิกเทคโนโลยีล้ำสมัย ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงมาก แต่ว่ามีประสิทธิภาพไม่แพ้ยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีของโลกตะวันตก จนได้รับการขนานนามว่าเป็น 六小龙 หรือ 6 มังกรน้อยเทคโนโลยี แห่งเมืองหางโจวกัน
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=6b9BgpwDaUo
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #杭州六小龙 #Hangzhou #หางโจว #Alibaba #Deepseek #Unitree
    บูรพาไม่แพ้ Ep.110 : “6 มังกรน้อยเทคโนโลยี” แห่งเมืองหางโจว . นอกเหนือจาก “อาลีบาบา” ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีของจีนที่เป็นผู้บุกเบิก และลงหลักปักฐานที่นครหางโจว มณฑลเจ้อเจียง แล้ว ต่อมา บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็ทยอยมาตั้งสำนักงานใหญ่ที่หางโจว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทสตาร์ทอัพจำนวนมาก ส่งผลให้หางโจวมีสตาร์ทอัพทางเทคโนโลยีดาวรุ่งที่เรียกกันว่า “6 มังกรน้อย” หรือในภาษาจีนก็คือ “ลิ่วเสี่ยวหลง (六小龙)” . พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในวันนี้ เราพาไปรู้จัก “บริษัทเทคโนโลยีรุ่นใหม่ของจีน” ที่มีความกล้าหาญในการบุกเบิกเทคโนโลยีล้ำสมัย ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงมาก แต่ว่ามีประสิทธิภาพไม่แพ้ยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีของโลกตะวันตก จนได้รับการขนานนามว่าเป็น 六小龙 หรือ 6 มังกรน้อยเทคโนโลยี แห่งเมืองหางโจวกัน . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=6b9BgpwDaUo . #บูรพาไม่แพ้ #杭州六小龙 #Hangzhou #หางโจว #Alibaba #Deepseek #Unitree
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 436 มุมมอง 0 รีวิว
  • Alibaba Cloud ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านคลาวด์คอมพิวติ้งของ Alibaba Group ได้เปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ชื่อว่า Animate Anyone 2 โมเดลนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอนิเมชันตัวละครที่เสมือนจริงจากภาพนิ่งและวิดีโอเพียงหนึ่งคลิปได้อย่างง่ายดาย

    Animate Anyone 2 สามารถประมวลผลสัญญาณการเคลื่อนไหวและสัญญาณสิ่งแวดล้อมจากเนื้อหาที่เป็นแหล่งอ้างอิง เช่น วิดีโอต้นฉบับ เพื่อสร้างคลิปใหม่ที่มีความสมจริงสูง เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการสร้างแอนิเมชันตัวละครในอดีตที่ใช้เพียงสัญญาณการเคลื่อนไหวเท่านั้น โมเดลนี้ช่วยให้ตัวละครสามารถแสดงการเคลื่อนไหวที่สมจริงและประสานกับสิ่งแวดล้อมเดิมได้อย่างไม่มีสะดุด

    โมเดลนี้สร้างขึ้นจากเวอร์ชันแรกของ Animate Anyone ที่ประกาศเปิดตัวในปลายปี 2023 ซึ่งเน้นการสร้างวิดีโอตัวละครจากภาพนิ่ง หลังจากนั้น OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ก็ได้เปิดตัวโมเดล Sora ที่สามารถสร้างวิดีโอจากข้อความได้ ทำให้เกิดการแข่งขันในวงการเทคโนโลยี AI ของบริษัทใหญ่ในจีนและสตาร์ทอัพหลายแห่ง

    นอกจากนี้ Animate Anyone 2 ยังมีความสามารถในการสร้างการโต้ตอบระหว่างตัวละครโดยรักษาความสมเหตุสมผลของการเคลื่อนไหวและความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมด้วย ทีมวิจัยจาก Tongyi Lab ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยและพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของ Alibaba Cloud ได้นำเสนอผลการศึกษานี้ใน arXiv ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลงานวิจัยแบบโอเพนซอร์ส

    สิ่งที่น่าสนใจคือ ByteDance บริษัทเจ้าของ TikTok ก็เพิ่งเปิดตัวโมเดลมัลติโมดัลชื่อ OmniHuman-1 ที่สามารถเปลี่ยนภาพและเสียงให้เป็นวิดีโอที่ดูสมจริง การเปิดตัวโมเดลเหล่านี้ทำให้วงการสื่อและโฆษณามีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะในจีนที่โมเดล Sora ยังไม่สามารถใช้งานได้

    เพื่อทดสอบวิธีการของ Animate Anyone 2 ในหลายสถานการณ์ ทีมวิจัยได้เก็บรวบรวมวิดีโอตัวละคร 100,000 คลิปจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงหลายประเภทของฉาก การกระทำ และการโต้ตอบระหว่างคนและวัตถุ อย่างไรก็ตาม การใช้โมเดลวีดีโอเจเนอเรชันเหล่านี้ยังมีความเสี่ยงที่จะมีการแพร่กระจายวิดีโอ deepfake เพิ่มขึ้น

    Liang Haisheng ผู้เชี่ยวชาญด้านโฆษณาจากปักกิ่งกล่าวว่า แม้ว่าเครื่องมือสร้างวิดีโอเหล่านี้จะมีประโยชน์ในการทำวิดีโอตัวอย่างเพื่อเสนอไอเดียให้กับลูกค้า แต่พวกมันยังขาดความสามารถในการแสดงอารมณ์และการแสดงหน้าที่ละเอียดอ่อนของมนุษย์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/21/alibaba-cloud-ai-model-animate-anyone-2-simplifies-making-of-lifelike-character-animation
    Alibaba Cloud ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านคลาวด์คอมพิวติ้งของ Alibaba Group ได้เปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ชื่อว่า Animate Anyone 2 โมเดลนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอนิเมชันตัวละครที่เสมือนจริงจากภาพนิ่งและวิดีโอเพียงหนึ่งคลิปได้อย่างง่ายดาย Animate Anyone 2 สามารถประมวลผลสัญญาณการเคลื่อนไหวและสัญญาณสิ่งแวดล้อมจากเนื้อหาที่เป็นแหล่งอ้างอิง เช่น วิดีโอต้นฉบับ เพื่อสร้างคลิปใหม่ที่มีความสมจริงสูง เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการสร้างแอนิเมชันตัวละครในอดีตที่ใช้เพียงสัญญาณการเคลื่อนไหวเท่านั้น โมเดลนี้ช่วยให้ตัวละครสามารถแสดงการเคลื่อนไหวที่สมจริงและประสานกับสิ่งแวดล้อมเดิมได้อย่างไม่มีสะดุด โมเดลนี้สร้างขึ้นจากเวอร์ชันแรกของ Animate Anyone ที่ประกาศเปิดตัวในปลายปี 2023 ซึ่งเน้นการสร้างวิดีโอตัวละครจากภาพนิ่ง หลังจากนั้น OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ก็ได้เปิดตัวโมเดล Sora ที่สามารถสร้างวิดีโอจากข้อความได้ ทำให้เกิดการแข่งขันในวงการเทคโนโลยี AI ของบริษัทใหญ่ในจีนและสตาร์ทอัพหลายแห่ง นอกจากนี้ Animate Anyone 2 ยังมีความสามารถในการสร้างการโต้ตอบระหว่างตัวละครโดยรักษาความสมเหตุสมผลของการเคลื่อนไหวและความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมด้วย ทีมวิจัยจาก Tongyi Lab ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยและพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของ Alibaba Cloud ได้นำเสนอผลการศึกษานี้ใน arXiv ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลงานวิจัยแบบโอเพนซอร์ส สิ่งที่น่าสนใจคือ ByteDance บริษัทเจ้าของ TikTok ก็เพิ่งเปิดตัวโมเดลมัลติโมดัลชื่อ OmniHuman-1 ที่สามารถเปลี่ยนภาพและเสียงให้เป็นวิดีโอที่ดูสมจริง การเปิดตัวโมเดลเหล่านี้ทำให้วงการสื่อและโฆษณามีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะในจีนที่โมเดล Sora ยังไม่สามารถใช้งานได้ เพื่อทดสอบวิธีการของ Animate Anyone 2 ในหลายสถานการณ์ ทีมวิจัยได้เก็บรวบรวมวิดีโอตัวละคร 100,000 คลิปจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงหลายประเภทของฉาก การกระทำ และการโต้ตอบระหว่างคนและวัตถุ อย่างไรก็ตาม การใช้โมเดลวีดีโอเจเนอเรชันเหล่านี้ยังมีความเสี่ยงที่จะมีการแพร่กระจายวิดีโอ deepfake เพิ่มขึ้น Liang Haisheng ผู้เชี่ยวชาญด้านโฆษณาจากปักกิ่งกล่าวว่า แม้ว่าเครื่องมือสร้างวิดีโอเหล่านี้จะมีประโยชน์ในการทำวิดีโอตัวอย่างเพื่อเสนอไอเดียให้กับลูกค้า แต่พวกมันยังขาดความสามารถในการแสดงอารมณ์และการแสดงหน้าที่ละเอียดอ่อนของมนุษย์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/21/alibaba-cloud-ai-model-animate-anyone-2-simplifies-making-of-lifelike-character-animation
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Alibaba Cloud AI model Animate Anyone 2 simplifies making of lifelike character animation
    China appears to have upped the ante in this field of generative AI, which is poised to disrupt the entertainment and advertising industries.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้บริหารของ Alibaba ออกมาปฏิเสธรายงานที่ว่าบริษัทมีแผนจะลงทุนใน DeepSeek ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันจากประเทศจีน โดย Yan Qiao รองประธานของ Alibaba ได้โพสต์ใน WeChat ของเธอว่า ข่าวที่ว่า Alibaba จะลงทุนใน DeepSeek นั้นเป็นข่าวลวง

    เนื้อหาหลักของข่าวนี้คือ การที่มีข่าวลือในสื่อจีนว่า Alibaba จะลงทุนเงินถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน DeepSeek แต่ทาง Yan Qiao ได้ออกมาบอกว่านี่ไม่เป็นความจริง โดยกล่าวว่า Alibaba เคารพและยินดีในความสำเร็จของ DeepSeek แต่ไม่มีแผนการลงทุนแต่อย่างใด

    สาระน่าสนใจเพิ่มเติมก็คือ ความสำคัญของข่าวนี้อยู่ที่การแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในยุคของสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งสามารถสร้างความเข้าใจผิดและนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้องได้ และเราควรจะมีความรอบคอบในการรับข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการลงทุนทางการเงิน

    การที่ข่าวลือสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในยุคนี้ทำให้เราต้องมีความรับผิดชอบในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนที่จะเชื่อหรือแบ่งปันต่อไป เพราะแม้แต่ข้อมูลจากแหล่งที่ดูน่าเชื่อถือก็อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/07/alibaba-exec-says-reports-that-it-plans-to-invest-in-deepseek-are-untrue---the-paper
    ผู้บริหารของ Alibaba ออกมาปฏิเสธรายงานที่ว่าบริษัทมีแผนจะลงทุนใน DeepSeek ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันจากประเทศจีน โดย Yan Qiao รองประธานของ Alibaba ได้โพสต์ใน WeChat ของเธอว่า ข่าวที่ว่า Alibaba จะลงทุนใน DeepSeek นั้นเป็นข่าวลวง เนื้อหาหลักของข่าวนี้คือ การที่มีข่าวลือในสื่อจีนว่า Alibaba จะลงทุนเงินถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน DeepSeek แต่ทาง Yan Qiao ได้ออกมาบอกว่านี่ไม่เป็นความจริง โดยกล่าวว่า Alibaba เคารพและยินดีในความสำเร็จของ DeepSeek แต่ไม่มีแผนการลงทุนแต่อย่างใด สาระน่าสนใจเพิ่มเติมก็คือ ความสำคัญของข่าวนี้อยู่ที่การแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในยุคของสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งสามารถสร้างความเข้าใจผิดและนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้องได้ และเราควรจะมีความรอบคอบในการรับข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการลงทุนทางการเงิน การที่ข่าวลือสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในยุคนี้ทำให้เราต้องมีความรับผิดชอบในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนที่จะเชื่อหรือแบ่งปันต่อไป เพราะแม้แต่ข้อมูลจากแหล่งที่ดูน่าเชื่อถือก็อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/07/alibaba-exec-says-reports-that-it-plans-to-invest-in-deepseek-are-untrue---the-paper
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Alibaba exec says reports that it plans to invest in DeepSeek are untrue - The Paper
    SHANGHAI (Reuters) - An Alibaba executive has denied reports that the Chinese e-commerce giant intends to invest in DeepSeek, Chinese news outlet The Paper reported on Friday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.93 : อัลฟ่าโกะกับจีน

    ในปี ค.ศ.2016 มีเหตุการณ์เล็กๆที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นครับ คือ มีการแข่งขันเกมส์ “โกะ” (หรือ หมากล้อม) ระหว่างแชมป์โลกโกะชาวเกาหลีใต้ชื่อ “ลี เซดอล“ กับหุ่นยนต์เอไอของกูเกิ้ล ชื่อ ”อัลฟ่าโกะ - AlphaGo"

    ผลก็คือ อัลฟ่าโกะชนะลี เซดอลไปได้ขาดลอย คือ แข่งกัน 5 กระดาน อัลฟ่าโกะชนะไป 4 กระดาน ทำเอาแขมป์โลกลี เซดอลต้องยอมแพ้และถอนตัวจากแข่งขัน

    เผื่อใครไม่ทราบ โกะคือเกมส์ที่เล่นบนกระดานครับ ผู้เล่นสองฝั่งต้องวางแผนล่วงหน้าในการเดินหมากเพื่อลวงคู่ต่อสู้ เป็นเกมส์ที่ใช้พลังสมองและฝึกกระบวนการคิดซับซ้อนเป็นอย่างดี
    .
    .
    .
    ข่าวชัยชนะของอัลฟ่าโกะนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก จนกระทั่งไปเข้าถึงหูของกลุ่มผู้นำจีนในเวลานั้น

    เรื่องใครชนะใครแพ้ในเกมส์โกะนั้นไม่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้นำรัฐบาลจีนเท่ากับความจริงที่ว่า เทคโนโลยีเอไอนั้นก้าวล้ำไปรวดเร็วกว่าที่ใครจะคาดคิดครับ

    ผู้นำจีนได้พูดคุยกันและตัดสินใจทันทีว่า จีนจะต้องเร่งพัฒนาองค์ความรู้เรื่องเอไอเพื่อให้จีนเป็นผู้นำเทคโนโลยีนี้ให้ได้

    ดังนั้นแล้วหนึ่งปีหลังจากชัยชนะของอัลฟ่าโกะ คือ ค.ศ.2017 รัฐบาลจีนได้ประกาศแผนแห่งชาติที่ชื่อว่า “New Generation Artificial Intelligence Development Plan" หรือ ”แผนพัฒนาเอไอยุคใหม่“ ออกมาครับ

    กล่าวโดยสรุปคือ แผนนี้กำหนดเป้าหมายไว้ว่า

    ภายในปี 2020 จีนจะต้องตามทันอเมริกาและชาติที่ก้าวล้ำในด้านเอไอ

    ภายในปี 2025 จีนจะต้องสร้างนวัตกรรมสำคัญในเรื่อง เอไอ application

    ภายในปี 2030 จีนจะต้องเป็นผู้นำโลกด้านเอไอ

    และในหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลจีนก็ได้จัดสรรเงินลงทุนประมาณ 200,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐมุ่งไปที่การพัฒนาเอไออย่างเดียว

    เงินก้อนนี้คิดเป็น 23% ของงบประมาณลงทุนทั้งหมดของรัฐบาลจีนในทศวรรษนี้ครับ

    บางท่านอาจถามว่า “อ้าว… แล้วก่อนหน้าปี 2017 นี่ จีนไม่ได้สนใจเรื่องเอไอเลยเหรอ?”

    คำตอบคือ สนใจครับ ในยุคนั้นมีบริษัทดังๆเช่น หัวเหว่ย, อาลีบาบา, เทนเซนท์ และไป่ตู้ (Baidu) ซึ่งเป็นบริษัทเทคสำคัญๆของจีนก็สนใจเอไออยู่ แต่งบประมาณยังไม่ได้มากมายอะไร

    เมื่อรัฐบาลจีนเข้ามาส่งเสริมเอไอเต็มสูบแบบนี้ พวกบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีนก็เดินหน้าเต็มเหนี่ยวเช่นกัน เช่น ระบบเอไอเฮลธ์แคร์โดยเทนเซนท์, ระบบสมาร์ทซิตี้ของอาลีบาบา หรือ ระบบจดจำใบหน้าของเอไอโดยเซนส์ไทม์ ฯลฯ
    .
    .
    .
    งบ 2 แสนล้านดอลล่าร์ของรัฐบาลนี้ ไม่ได้ส่งไปที่บริษัทหรือเทคสตาร์ทอัพอย่างเดียวครับ แต่ส่งไปยังโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจีนเพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนทั้ง STEM + เอไอด้วย

    STEM ย่อมาจาก การเรียนสายวิทยาศาสตร์คือ Science, Technology, Engineering and Mathematic ครับ

    ในระดับประถม-มัธยมก็เริ่มสอนการเขียนโปรแกรม หรือ โค้ดดิ้ง (Coding) แต่เด็กๆ โดยใส่เข้าไปในหลักสูตรเลย

    ที่น่าสนใจคือ โรงเรียนและผู้ปกครองส่งเสริมให้เด็กๆหัดเล่นโกะเยอะขึ้นมาก เพื่อให้ฝึกกระบวนการคิดหลายชั้น

    และให้เอไอเป็นโค้ชสอนเด็กเล่นโกะด้วยซ้ำ

    มหาวิทยาลัยทั้งหลายในจีนเริ่มเปิดหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเอไอและ STEM มากขึ้น

    ในช่วงปี 2016-2019 นักศึกษาปริญญาเอกในสาย STEM ของมหาวิทยาลัยจีนเพิ่มขึ้นจาก 59,000 คน เป็น 83,000 คน

    คาดว่าในปี 2025 จีนจะผลิตด็อกเตอร์จบใหม่สาย STEM ได้ปีละ 77,000 คน เทียบกับสหรัฐอเมริกาที่ผลิตปีละ 40,000 คน

    ส่วนในระดับปริญญาตรีและโท จีนผลิตบัณฑิตและมหาบัณฑิตได้ปีละหลักล้านคน

    ในจีนนั้นมีอยู่ 3 มหาวิทยาลัยที่ถือว่าโด่งดังในหลักสูตรเอไอ คือ ปักกิ่ง, ซิงหัว และ Zhejiang ครับ ซึ่งมหาลัยเหล่านี้เขาก็ทำงานร่วมกับบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีน 3 แห่งคือ Baitu, Alibaba และ Tencent

    ย่อหน้าที่แล้วผมเขียนชื่อสามบริษัทนี้เป็นภาษาอังกฤษ เพราะยักษ์ใหญ่สามบริษัทนี้เขามีชื่อเรียกย่อๆรวมกันว่า BAT ครับ
    .
    .
    .
    ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่า ก็เพราะอยากจะบอกว่าความสำเร็จของเอไอ “ดีปซีค” นั้นไม่ใช่ความสำเร็จชั่วข้ามคืน

    แต่เกิดจากยุทธศาสตร์ที่มุ่งพัฒนาชาติของรัฐบาลจีนและความมานะหมั่นเพียรของเด็กจีน

    อัลฟ่าโกะนั้นเปรียบเสมือนเสียงนาฬิกาปลุกสำหรับมังกรจีน

    เทียบได้กับในวันที่โซเวียตส่งยานสปุตนิกขึ้นไปโคจรรอบโลกแล้วนั่นคือนาฬิกาปลุกของอเมริกา

    สำหรับประเทศไทยเรานั้น อย่าไปหวังยุทธศาสตร์อะไรกับนายกรัฐมนตรีที่เทงบซอฟท์พาวเวอร์ไป 5 พันล้านบาทเลยครับ

    ยิ่งเห็นข่าวคณะผู้แทนจีนตั้งคำถามกับฝ่ายความมั่นคงและตำรวจไทยเรื่องแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ว่า “ทำไมพวกคุณไม่สนใจดูแลบ้านเมืองของตัวเองบ้างเลย“ แล้ว

    ผมอายบรรพบุรุษครับ

    อายว่า “เจนเนอเรชั่นพวกเรานั้น ทำได้แค่นี้เหรอ? มีดีแค่นี้เหรอ?“
    อ่านเอาเรื่อง Ep.93 : อัลฟ่าโกะกับจีน ในปี ค.ศ.2016 มีเหตุการณ์เล็กๆที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นครับ คือ มีการแข่งขันเกมส์ “โกะ” (หรือ หมากล้อม) ระหว่างแชมป์โลกโกะชาวเกาหลีใต้ชื่อ “ลี เซดอล“ กับหุ่นยนต์เอไอของกูเกิ้ล ชื่อ ”อัลฟ่าโกะ - AlphaGo" ผลก็คือ อัลฟ่าโกะชนะลี เซดอลไปได้ขาดลอย คือ แข่งกัน 5 กระดาน อัลฟ่าโกะชนะไป 4 กระดาน ทำเอาแขมป์โลกลี เซดอลต้องยอมแพ้และถอนตัวจากแข่งขัน เผื่อใครไม่ทราบ โกะคือเกมส์ที่เล่นบนกระดานครับ ผู้เล่นสองฝั่งต้องวางแผนล่วงหน้าในการเดินหมากเพื่อลวงคู่ต่อสู้ เป็นเกมส์ที่ใช้พลังสมองและฝึกกระบวนการคิดซับซ้อนเป็นอย่างดี . . . ข่าวชัยชนะของอัลฟ่าโกะนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก จนกระทั่งไปเข้าถึงหูของกลุ่มผู้นำจีนในเวลานั้น เรื่องใครชนะใครแพ้ในเกมส์โกะนั้นไม่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้นำรัฐบาลจีนเท่ากับความจริงที่ว่า เทคโนโลยีเอไอนั้นก้าวล้ำไปรวดเร็วกว่าที่ใครจะคาดคิดครับ ผู้นำจีนได้พูดคุยกันและตัดสินใจทันทีว่า จีนจะต้องเร่งพัฒนาองค์ความรู้เรื่องเอไอเพื่อให้จีนเป็นผู้นำเทคโนโลยีนี้ให้ได้ ดังนั้นแล้วหนึ่งปีหลังจากชัยชนะของอัลฟ่าโกะ คือ ค.ศ.2017 รัฐบาลจีนได้ประกาศแผนแห่งชาติที่ชื่อว่า “New Generation Artificial Intelligence Development Plan" หรือ ”แผนพัฒนาเอไอยุคใหม่“ ออกมาครับ กล่าวโดยสรุปคือ แผนนี้กำหนดเป้าหมายไว้ว่า ภายในปี 2020 จีนจะต้องตามทันอเมริกาและชาติที่ก้าวล้ำในด้านเอไอ ภายในปี 2025 จีนจะต้องสร้างนวัตกรรมสำคัญในเรื่อง เอไอ application ภายในปี 2030 จีนจะต้องเป็นผู้นำโลกด้านเอไอ และในหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลจีนก็ได้จัดสรรเงินลงทุนประมาณ 200,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐมุ่งไปที่การพัฒนาเอไออย่างเดียว เงินก้อนนี้คิดเป็น 23% ของงบประมาณลงทุนทั้งหมดของรัฐบาลจีนในทศวรรษนี้ครับ บางท่านอาจถามว่า “อ้าว… แล้วก่อนหน้าปี 2017 นี่ จีนไม่ได้สนใจเรื่องเอไอเลยเหรอ?” คำตอบคือ สนใจครับ ในยุคนั้นมีบริษัทดังๆเช่น หัวเหว่ย, อาลีบาบา, เทนเซนท์ และไป่ตู้ (Baidu) ซึ่งเป็นบริษัทเทคสำคัญๆของจีนก็สนใจเอไออยู่ แต่งบประมาณยังไม่ได้มากมายอะไร เมื่อรัฐบาลจีนเข้ามาส่งเสริมเอไอเต็มสูบแบบนี้ พวกบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีนก็เดินหน้าเต็มเหนี่ยวเช่นกัน เช่น ระบบเอไอเฮลธ์แคร์โดยเทนเซนท์, ระบบสมาร์ทซิตี้ของอาลีบาบา หรือ ระบบจดจำใบหน้าของเอไอโดยเซนส์ไทม์ ฯลฯ . . . งบ 2 แสนล้านดอลล่าร์ของรัฐบาลนี้ ไม่ได้ส่งไปที่บริษัทหรือเทคสตาร์ทอัพอย่างเดียวครับ แต่ส่งไปยังโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจีนเพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนทั้ง STEM + เอไอด้วย STEM ย่อมาจาก การเรียนสายวิทยาศาสตร์คือ Science, Technology, Engineering and Mathematic ครับ ในระดับประถม-มัธยมก็เริ่มสอนการเขียนโปรแกรม หรือ โค้ดดิ้ง (Coding) แต่เด็กๆ โดยใส่เข้าไปในหลักสูตรเลย ที่น่าสนใจคือ โรงเรียนและผู้ปกครองส่งเสริมให้เด็กๆหัดเล่นโกะเยอะขึ้นมาก เพื่อให้ฝึกกระบวนการคิดหลายชั้น และให้เอไอเป็นโค้ชสอนเด็กเล่นโกะด้วยซ้ำ มหาวิทยาลัยทั้งหลายในจีนเริ่มเปิดหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเอไอและ STEM มากขึ้น ในช่วงปี 2016-2019 นักศึกษาปริญญาเอกในสาย STEM ของมหาวิทยาลัยจีนเพิ่มขึ้นจาก 59,000 คน เป็น 83,000 คน คาดว่าในปี 2025 จีนจะผลิตด็อกเตอร์จบใหม่สาย STEM ได้ปีละ 77,000 คน เทียบกับสหรัฐอเมริกาที่ผลิตปีละ 40,000 คน ส่วนในระดับปริญญาตรีและโท จีนผลิตบัณฑิตและมหาบัณฑิตได้ปีละหลักล้านคน ในจีนนั้นมีอยู่ 3 มหาวิทยาลัยที่ถือว่าโด่งดังในหลักสูตรเอไอ คือ ปักกิ่ง, ซิงหัว และ Zhejiang ครับ ซึ่งมหาลัยเหล่านี้เขาก็ทำงานร่วมกับบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีน 3 แห่งคือ Baitu, Alibaba และ Tencent ย่อหน้าที่แล้วผมเขียนชื่อสามบริษัทนี้เป็นภาษาอังกฤษ เพราะยักษ์ใหญ่สามบริษัทนี้เขามีชื่อเรียกย่อๆรวมกันว่า BAT ครับ . . . ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่า ก็เพราะอยากจะบอกว่าความสำเร็จของเอไอ “ดีปซีค” นั้นไม่ใช่ความสำเร็จชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากยุทธศาสตร์ที่มุ่งพัฒนาชาติของรัฐบาลจีนและความมานะหมั่นเพียรของเด็กจีน อัลฟ่าโกะนั้นเปรียบเสมือนเสียงนาฬิกาปลุกสำหรับมังกรจีน เทียบได้กับในวันที่โซเวียตส่งยานสปุตนิกขึ้นไปโคจรรอบโลกแล้วนั่นคือนาฬิกาปลุกของอเมริกา สำหรับประเทศไทยเรานั้น อย่าไปหวังยุทธศาสตร์อะไรกับนายกรัฐมนตรีที่เทงบซอฟท์พาวเวอร์ไป 5 พันล้านบาทเลยครับ ยิ่งเห็นข่าวคณะผู้แทนจีนตั้งคำถามกับฝ่ายความมั่นคงและตำรวจไทยเรื่องแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ว่า “ทำไมพวกคุณไม่สนใจดูแลบ้านเมืองของตัวเองบ้างเลย“ แล้ว ผมอายบรรพบุรุษครับ อายว่า “เจนเนอเรชั่นพวกเรานั้น ทำได้แค่นี้เหรอ? มีดีแค่นี้เหรอ?“
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 651 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับการเปิดตัวโมเดล AI ใหม่ที่ชื่อว่า Qwen2.5-Max โดย Alibaba ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน โมเดลนี้ถูกอ้างว่าเหนือกว่า DeepSeek-V3 และ ChatGPT-4o ในหลายๆ ด้าน

    Qwen2.5-Max ไม่ใช่โมเดลการให้เหตุผลเหมือนกับ DeepSeek-R1 หรือ ChatGPT-o1 แต่ทำงานในระดับที่เทียบเท่ากับ DeepSeek-V3 หรือ ChatGPT-4o ทีมงาน Qwen ได้โพสต์ผลการทดสอบที่แสดงให้เห็นว่า Qwen2.5-Max มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าคู่แข่งในหลายๆ การทดสอบ เช่น Arena-Hard, LiveBench, LiveCodeBench และ GPQA-Diamond นอกจากนี้ยังมีผลการทดสอบที่แข่งขันได้ใน MMLU-Pro

    แม้ว่า Qwen2.5-Max จะไม่ใช่โครงการโอเพ่นซอร์ส แต่คุณสามารถลองใช้ได้ผ่านแชทบอท Qwen Chat ในเว็บเบราว์เซอร์ โดยต้องลงชื่อเข้าใช้ด้วยอีเมลหรือบัญชี Google ของคุณ

    Qwen2.5-Max ให้คำตอบที่มีความสมดุลและละเอียดอ่อนมากกว่า DeepSeek ในบางหัวข้อที่อ่อนไหวต่อรัฐบาลจีน เช่น คำถามเกี่ยวกับไต้หวัน แต่ยังคงปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/new-deepseek-ai-rival-claims-to-be-more-powerful-than-both-v3-and-chatgpt-4o-meet-qwen2-5-max
    ข่าวนี้เกี่ยวกับการเปิดตัวโมเดล AI ใหม่ที่ชื่อว่า Qwen2.5-Max โดย Alibaba ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน โมเดลนี้ถูกอ้างว่าเหนือกว่า DeepSeek-V3 และ ChatGPT-4o ในหลายๆ ด้าน Qwen2.5-Max ไม่ใช่โมเดลการให้เหตุผลเหมือนกับ DeepSeek-R1 หรือ ChatGPT-o1 แต่ทำงานในระดับที่เทียบเท่ากับ DeepSeek-V3 หรือ ChatGPT-4o ทีมงาน Qwen ได้โพสต์ผลการทดสอบที่แสดงให้เห็นว่า Qwen2.5-Max มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าคู่แข่งในหลายๆ การทดสอบ เช่น Arena-Hard, LiveBench, LiveCodeBench และ GPQA-Diamond นอกจากนี้ยังมีผลการทดสอบที่แข่งขันได้ใน MMLU-Pro แม้ว่า Qwen2.5-Max จะไม่ใช่โครงการโอเพ่นซอร์ส แต่คุณสามารถลองใช้ได้ผ่านแชทบอท Qwen Chat ในเว็บเบราว์เซอร์ โดยต้องลงชื่อเข้าใช้ด้วยอีเมลหรือบัญชี Google ของคุณ Qwen2.5-Max ให้คำตอบที่มีความสมดุลและละเอียดอ่อนมากกว่า DeepSeek ในบางหัวข้อที่อ่อนไหวต่อรัฐบาลจีน เช่น คำถามเกี่ยวกับไต้หวัน แต่ยังคงปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/new-deepseek-ai-rival-claims-to-be-more-powerful-than-both-v3-and-chatgpt-4o-meet-qwen2-5-max
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 404 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนท้าทาย OpenAI! Qwen AI เปิดตัวฟรี เน้นมัลติโมดัล-วิเคราะห์รูปภาพแม่นยำระดับเซียน

    เมื่อเร็ว ๆ นี้ วงการ AI ของจีนได้สร้างความตื่นตัวด้วยการเปิดตัว DeepSeek R1 โมเดลปัญญาประดิษฐ์ ที่ทำคะแนนเหนือ openAI ที่ทำคะแนนเหนือ ChatGPT-o1 (โมเดลที่เก่งที่สุดของ OpenAI ณ ปัจจุบัน) และ Claude 3.5 ในหลาย ๆ มิติเช่น งานด้านคณิตศาสตร์และเหตุผลเชิงตรรกะ รวมถึงการประมวลผลข้อความและโค้ดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังใช้งานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะเป็นโมเดลที่กระชับกว่า ไม่ได้ใช้ทรัพยากรมากเหมือน chatGPT และ จุดเด่นที่ทำให้ DeepSeek R1 แตกต่างจากโมเดลอื่น ๆ คือการเป็น โอเพนซอร์ส ที่สามารถดาวน์โหลดโค้ดต้นฉบับมาใช้งานบนคอมพิวเตอร์ส่วนตัวได้ทันที (ต่างกับ openAI ที่ไม่เปิดเผย code แม้ว่าจะมีคำว่า open อยู่บนชื่อก็ตาม) แต่ถึงกระนั้น DeepSeek R1 ยังมีจุดอ่อนสำคัญคือ ปัจจุบันไม่สามารถวิเคราะห์รูปภาพได้ และนี่คือช่องว่างที่ Qwen โมเดล AI จาก Alibaba Cloud ฉีกกฎด้วยการเปิดตัว Qwen2.5-VL โมเดลที่สามารถประมวลผลภาษากับภาพร่วมกัน ใช้งานฟรี ซึ่งอาจเป็นมาตรฐานใหม่ให้กับ AI ยุคนี้!

    Qwen2.5-VL: ความสามารถที่ DeepSeek R1 ทำไม่ได้
    1. วิเคราะห์ภาพระดับเทพ
    Qwen2.5-VL ไม่ใช่แค่ตรวจจับวัตถุทั่วไป เช่น ดอกไม้หรือสัตว์ แต่ยังเข้าใจ แผนภูมิ กราฟิก ไอคอน และแม้แต่ โครงสร้างเอกสาร ในรูปภาพได้อย่างแม่นยำ พร้อมระบุตำแหน่งวัตถุ เพื่อใช้ต่อในระบบอัตโนมัติ เช่น
    o ตรวจจับนักบิดในภาพพร้อมสถานะสวมหมวกนิรภัย
    o นับจำนวนนกในภาพแม้เห็นแค่ส่วนหัว
    o แยกข้อมูลจากใบแจ้งหนี้หรือตารางในภาพ ส่งออกเป็นโครงสร้างข้อมูลเพื่อใช้ในงานธุรกิจ
    2. ประมวลผลวิดีโอยาว 1 ชั่วโมง + จับเหตุการณ์เฉพาะช่วงเวลา
    ด้วยเทคโนโลยี Dynamic Frame Rate และ Absolute Time Encoding โมเดลนี้สามารถสรุปเนื้อหาวิดีโอยาวระดับชั่วโมง และระบุเหตุการณ์สำคัญได้แม่นยำถึงระดับวินาที เช่น การโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับฟีเจอร์สร้างภาพในวิดีโอ
    3. ดึงข้อความจากภาพ รองรับมือหลายภาษา
    เพิ่มความแม่นยำในการอ่านข้อความจากภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีน ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่น ๆ แม้ข้อความจะเอียงหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมซับซ้อน เช่น ตรวจสอบที่อยู่บนใบจัดส่งกับป้ายหน้าบ้านเพื่อยืนยันความถูกต้อง
    4. Visual Agent
    Qwen2.5-VL ทำหน้าที่เป็น "ตัวแทนอัจฉริยะ" ที่เชื่อมต่อกับเครื่องมือต่าง ๆ โดยตรง เช่น ควบคุมคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนผ่านการประมวลผลภาพ และสร้างผลลัพธ์แบบมีโครงสร้างเพื่อส่งต่อให้ระบบอื่น

    ในขณะที่ DeepSeek R1 โดดเด่นด้านคณิตศาสตร์และเหตุผล Qwen2.5-VL ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยความสามารถมัลติโมดัลที่สมบูรณ์แบบ พร้อมการสนับสนุนจากระบบ Cloud ของ Alibaba

    ผู้ก่อตั้งและข่าวสาร :
    https://x.com/huybery
    https://x.com/Alibaba_Qwen

    ใช้งาน AI ในข่าวฟรี สมัครฟรี ไม่มีโฆษณาที่: https://chat.qwenlm.ai/
    อ้างอิง: https://x.com/huybery

    คำอธิบายภาพ
    ภาพแรกแสดงการเปรียบเทียบระหว่างการแข่งขันของ โมเดล Qwen2.5-VL 72B เช่น การแก้ปัญหาในระดับมหาวิทยาลัย การอ่านเอกสารและแผนภูมิ การตอบคำถามทางภาพทั่วไป การคำนวณคณิตศาสตร์ การเข้าใจวิดีโอ และการควบคุมอุปกรณ์ผ่านภาพ ซึ่ง โมเดล Qwen2.5-VL 72B เก่งที่สุดในงานจำพวกการอ่านเอกสารและแผนภูมิ นอกจากนี้ยังทำได้ดีในงานตอบคำถามทางภาพทั่วไป

    คลิปมาจาก โมเดล Qwen2.5-plus แปลงข้อความ “Generate Thai people using the ThaiTime.co app everywhere!” เป็นวีดีโอ

    ภาพที่ 2 แสดงการถาม Qwen2.5-plus ว่า “รู้จัก Thaitimes.co ไหม” เพื่อทดสอบว่ามันสามารถหาข้อมูลใน internet ได้ลึกและเข้าใจภาษาไทย


    จีนท้าทาย OpenAI! Qwen AI เปิดตัวฟรี เน้นมัลติโมดัล-วิเคราะห์รูปภาพแม่นยำระดับเซียน เมื่อเร็ว ๆ นี้ วงการ AI ของจีนได้สร้างความตื่นตัวด้วยการเปิดตัว DeepSeek R1 โมเดลปัญญาประดิษฐ์ ที่ทำคะแนนเหนือ openAI ที่ทำคะแนนเหนือ ChatGPT-o1 (โมเดลที่เก่งที่สุดของ OpenAI ณ ปัจจุบัน) และ Claude 3.5 ในหลาย ๆ มิติเช่น งานด้านคณิตศาสตร์และเหตุผลเชิงตรรกะ รวมถึงการประมวลผลข้อความและโค้ดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังใช้งานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะเป็นโมเดลที่กระชับกว่า ไม่ได้ใช้ทรัพยากรมากเหมือน chatGPT และ จุดเด่นที่ทำให้ DeepSeek R1 แตกต่างจากโมเดลอื่น ๆ คือการเป็น โอเพนซอร์ส ที่สามารถดาวน์โหลดโค้ดต้นฉบับมาใช้งานบนคอมพิวเตอร์ส่วนตัวได้ทันที (ต่างกับ openAI ที่ไม่เปิดเผย code แม้ว่าจะมีคำว่า open อยู่บนชื่อก็ตาม) แต่ถึงกระนั้น DeepSeek R1 ยังมีจุดอ่อนสำคัญคือ ปัจจุบันไม่สามารถวิเคราะห์รูปภาพได้ และนี่คือช่องว่างที่ Qwen โมเดล AI จาก Alibaba Cloud ฉีกกฎด้วยการเปิดตัว Qwen2.5-VL โมเดลที่สามารถประมวลผลภาษากับภาพร่วมกัน ใช้งานฟรี ซึ่งอาจเป็นมาตรฐานใหม่ให้กับ AI ยุคนี้! Qwen2.5-VL: ความสามารถที่ DeepSeek R1 ทำไม่ได้ 1. วิเคราะห์ภาพระดับเทพ Qwen2.5-VL ไม่ใช่แค่ตรวจจับวัตถุทั่วไป เช่น ดอกไม้หรือสัตว์ แต่ยังเข้าใจ แผนภูมิ กราฟิก ไอคอน และแม้แต่ โครงสร้างเอกสาร ในรูปภาพได้อย่างแม่นยำ พร้อมระบุตำแหน่งวัตถุ เพื่อใช้ต่อในระบบอัตโนมัติ เช่น o ตรวจจับนักบิดในภาพพร้อมสถานะสวมหมวกนิรภัย o นับจำนวนนกในภาพแม้เห็นแค่ส่วนหัว o แยกข้อมูลจากใบแจ้งหนี้หรือตารางในภาพ ส่งออกเป็นโครงสร้างข้อมูลเพื่อใช้ในงานธุรกิจ 2. ประมวลผลวิดีโอยาว 1 ชั่วโมง + จับเหตุการณ์เฉพาะช่วงเวลา ด้วยเทคโนโลยี Dynamic Frame Rate และ Absolute Time Encoding โมเดลนี้สามารถสรุปเนื้อหาวิดีโอยาวระดับชั่วโมง และระบุเหตุการณ์สำคัญได้แม่นยำถึงระดับวินาที เช่น การโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับฟีเจอร์สร้างภาพในวิดีโอ 3. ดึงข้อความจากภาพ รองรับมือหลายภาษา เพิ่มความแม่นยำในการอ่านข้อความจากภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีน ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่น ๆ แม้ข้อความจะเอียงหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมซับซ้อน เช่น ตรวจสอบที่อยู่บนใบจัดส่งกับป้ายหน้าบ้านเพื่อยืนยันความถูกต้อง 4. Visual Agent Qwen2.5-VL ทำหน้าที่เป็น "ตัวแทนอัจฉริยะ" ที่เชื่อมต่อกับเครื่องมือต่าง ๆ โดยตรง เช่น ควบคุมคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนผ่านการประมวลผลภาพ และสร้างผลลัพธ์แบบมีโครงสร้างเพื่อส่งต่อให้ระบบอื่น ในขณะที่ DeepSeek R1 โดดเด่นด้านคณิตศาสตร์และเหตุผล Qwen2.5-VL ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยความสามารถมัลติโมดัลที่สมบูรณ์แบบ พร้อมการสนับสนุนจากระบบ Cloud ของ Alibaba ผู้ก่อตั้งและข่าวสาร : https://x.com/huybery https://x.com/Alibaba_Qwen ใช้งาน AI ในข่าวฟรี สมัครฟรี ไม่มีโฆษณาที่: https://chat.qwenlm.ai/ อ้างอิง: https://x.com/huybery คำอธิบายภาพ ภาพแรกแสดงการเปรียบเทียบระหว่างการแข่งขันของ โมเดล Qwen2.5-VL 72B เช่น การแก้ปัญหาในระดับมหาวิทยาลัย การอ่านเอกสารและแผนภูมิ การตอบคำถามทางภาพทั่วไป การคำนวณคณิตศาสตร์ การเข้าใจวิดีโอ และการควบคุมอุปกรณ์ผ่านภาพ ซึ่ง โมเดล Qwen2.5-VL 72B เก่งที่สุดในงานจำพวกการอ่านเอกสารและแผนภูมิ นอกจากนี้ยังทำได้ดีในงานตอบคำถามทางภาพทั่วไป คลิปมาจาก โมเดล Qwen2.5-plus แปลงข้อความ “Generate Thai people using the ThaiTime.co app everywhere!” เป็นวีดีโอ ภาพที่ 2 แสดงการถาม Qwen2.5-plus ว่า “รู้จัก Thaitimes.co ไหม” เพื่อทดสอบว่ามันสามารถหาข้อมูลใน internet ได้ลึกและเข้าใจภาษาไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 637 มุมมอง 0 รีวิว
  • "DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จีนท้าชน OpenAI คว้าอันดับ 1 แอปสหรัฐฯ ด้วยโมเดล R1 โอเพนซอร์ส ต้นทุนพัฒนาเพียง 1 ใน 20 ของคู่แข่ง!"

    ที่มาและความเป็นมาของ DeepSeek

    DeepSeek คือสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ก่อตั้งใน พฤษภาคม 2023 โดย เหลียง เวินเฟิง (Liang Wenfeng) นักลงทุนชื่อดังและผู้เชี่ยวชาญ AI อดีตผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทีมวิจัยหลักประกอบด้วยบัณฑิตจบใหม่และนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยชิงหวา

    จุดพลิกเกม
    DeepSeek เปิดตัว โมเดล R1 อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 หลังมีข่าวลือตั้งแต่พฤศจิกายน 2024 โดยโมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ OpenAI o1 โดยตรง ด้วยจุดเด่น 3 ด้าน:
    1. ความสามารถเชิงวิเคราะห์: ให้ผลลัพธ์เหนือกว่าในงานคำนวณคณิตศาสตร์-เขียนโปรแกรม และการให้เหตุผลขั้นสูง
    2. ต้นทุนพัฒนาต่ำสุดวงการ: ใช้เงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคู่แข่งที่ใช้งบหลายร้อยล้าน (ต่ำกว่า 18-20 เท่า)
    3. ระบบโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบ: เปิดเผยโค้ดและโครงสร้างโมเดลทั้งหมด ต่างจาก OpenAI ที่ยังปิดบางส่วน

    แม้มีสำนักงานใหญ่ในจีน แต่โมเดล R1 กลับโด่งดังในตลาดสหรัฐฯ ด้วยการขึ้นเป็น แอปฯ อันดับ 1 บน App Store และ Google Play แซงหน้า ChatGPT ภายใน 2 สัปดาห์หลังเปิดตัว

    เบื้องหลังความสำเร็จ
    • เทคโนโลยี MLA + DeepSeekMoESparse: สถาปัตยกรรม AI ที่ลดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้ถึง 40%
    • กลยุทธ์ "วิจัยก่อนค้า": เปิด API ฟรีให้ชุมชนนักพัฒนาและวิจัย ทุ่มงบ 80% ของบริษัทเพื่อการวิจัยพื้นฐาน
    • แรงกดดันต่อตลาด: ก่อให้เกิด "สงครามราคา AI" ในจีน บีบให้ Alibaba, Tencent และ Baidu ต้องลดราคาโมเดลตัวเอง 30-50%

    สัญญาณเปลี่ยนสนาม AI โลก
    ความสำเร็จของ DeepSeek ถูกมองว่าเป็นหลักฐานว่า จีนสามารถท้าทายการผูกขาด AI ของสหรัฐฯ ได้ แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ดังที่ The Wall Street Journal วิเคราะห์ว่า
    "R1 คือตัวอย่างชัดเจนที่แสดงว่า มาตรการควบคุมชิปของสหรัฐฯ อาจส่งผลตรงข้าม – กระตุ้นให้จีนสร้างนวัตกรรมแบบ 'คิดนอกกรอบ'"
    ขณะที่ เหลียง เวินเฟิง ให้สัมภาษณ์ว่า
    "เราเชื่อว่า AGI (ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป) ต้องเกิดจากความร่วมมือของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่บริษัทยักษ์ใหญ่ 2-3 แห่ง"

    อนาคตที่จับตาของ DeepSeek
    บริษัทประกาศแผนระยะยาว 3 ด้าน:
    1. พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ (Large Language Model) รุ่นถัดไปภายในปี 2026
    2. ขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก
    3. ท้าทายเป้าหมายสูงสุด: สร้าง AGI ที่เข้าถึงได้ทุกคน
    ข้อเท็จจริงน่าสนใจ: หลังเปิดตัว R1 มีนักพัฒนาเกือบ 50,000 คน จาก 120 ประเทศ เข้ามาปรับใช้โมเดลนี้ในโครงการของตัวเองภายในเดือนแรก!

    ล่าสุด
    จีน: ประกาศแผนสนับสนุน AI ด้วยเงิน 1 ล้านล้านหยวน (137 พันล้านดอลลาร์)
    เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 ธนาคารแห่งประเทศจีน (Bank of China) ประกาศแผน "支持人工智能产业链发展行动方案" (แผนปฏิบัติการสนับสนุนห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI) โดยจะจัดสรรเงินทุน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 137 พันล้านดอลลาร์) ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI ทั้งในด้านการวิจัยพื้นฐาน การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ และการสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง

    ติดตามผู้ก่อตั้งได้ที่
    https://x.com/zizhpan
    https://x.com/deepseek_ai

    ใช้งานฟรีไม่จำกัดได้ที่ (สมัครสมาชิกฟรี):
    https://chat.deepseek.com/

    อ้างอิง: Spring News, Mekha News, https://x.com/kimmonismus
    "DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จีนท้าชน OpenAI คว้าอันดับ 1 แอปสหรัฐฯ ด้วยโมเดล R1 โอเพนซอร์ส ต้นทุนพัฒนาเพียง 1 ใน 20 ของคู่แข่ง!" ที่มาและความเป็นมาของ DeepSeek DeepSeek คือสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ก่อตั้งใน พฤษภาคม 2023 โดย เหลียง เวินเฟิง (Liang Wenfeng) นักลงทุนชื่อดังและผู้เชี่ยวชาญ AI อดีตผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทีมวิจัยหลักประกอบด้วยบัณฑิตจบใหม่และนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยชิงหวา จุดพลิกเกม DeepSeek เปิดตัว โมเดล R1 อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 หลังมีข่าวลือตั้งแต่พฤศจิกายน 2024 โดยโมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ OpenAI o1 โดยตรง ด้วยจุดเด่น 3 ด้าน: 1. ความสามารถเชิงวิเคราะห์: ให้ผลลัพธ์เหนือกว่าในงานคำนวณคณิตศาสตร์-เขียนโปรแกรม และการให้เหตุผลขั้นสูง 2. ต้นทุนพัฒนาต่ำสุดวงการ: ใช้เงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคู่แข่งที่ใช้งบหลายร้อยล้าน (ต่ำกว่า 18-20 เท่า) 3. ระบบโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบ: เปิดเผยโค้ดและโครงสร้างโมเดลทั้งหมด ต่างจาก OpenAI ที่ยังปิดบางส่วน แม้มีสำนักงานใหญ่ในจีน แต่โมเดล R1 กลับโด่งดังในตลาดสหรัฐฯ ด้วยการขึ้นเป็น แอปฯ อันดับ 1 บน App Store และ Google Play แซงหน้า ChatGPT ภายใน 2 สัปดาห์หลังเปิดตัว เบื้องหลังความสำเร็จ • เทคโนโลยี MLA + DeepSeekMoESparse: สถาปัตยกรรม AI ที่ลดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้ถึง 40% • กลยุทธ์ "วิจัยก่อนค้า": เปิด API ฟรีให้ชุมชนนักพัฒนาและวิจัย ทุ่มงบ 80% ของบริษัทเพื่อการวิจัยพื้นฐาน • แรงกดดันต่อตลาด: ก่อให้เกิด "สงครามราคา AI" ในจีน บีบให้ Alibaba, Tencent และ Baidu ต้องลดราคาโมเดลตัวเอง 30-50% สัญญาณเปลี่ยนสนาม AI โลก ความสำเร็จของ DeepSeek ถูกมองว่าเป็นหลักฐานว่า จีนสามารถท้าทายการผูกขาด AI ของสหรัฐฯ ได้ แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ดังที่ The Wall Street Journal วิเคราะห์ว่า "R1 คือตัวอย่างชัดเจนที่แสดงว่า มาตรการควบคุมชิปของสหรัฐฯ อาจส่งผลตรงข้าม – กระตุ้นให้จีนสร้างนวัตกรรมแบบ 'คิดนอกกรอบ'" ขณะที่ เหลียง เวินเฟิง ให้สัมภาษณ์ว่า "เราเชื่อว่า AGI (ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป) ต้องเกิดจากความร่วมมือของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่บริษัทยักษ์ใหญ่ 2-3 แห่ง" อนาคตที่จับตาของ DeepSeek บริษัทประกาศแผนระยะยาว 3 ด้าน: 1. พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ (Large Language Model) รุ่นถัดไปภายในปี 2026 2. ขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก 3. ท้าทายเป้าหมายสูงสุด: สร้าง AGI ที่เข้าถึงได้ทุกคน ข้อเท็จจริงน่าสนใจ: หลังเปิดตัว R1 มีนักพัฒนาเกือบ 50,000 คน จาก 120 ประเทศ เข้ามาปรับใช้โมเดลนี้ในโครงการของตัวเองภายในเดือนแรก! ล่าสุด จีน: ประกาศแผนสนับสนุน AI ด้วยเงิน 1 ล้านล้านหยวน (137 พันล้านดอลลาร์) เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 ธนาคารแห่งประเทศจีน (Bank of China) ประกาศแผน "支持人工智能产业链发展行动方案" (แผนปฏิบัติการสนับสนุนห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI) โดยจะจัดสรรเงินทุน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 137 พันล้านดอลลาร์) ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI ทั้งในด้านการวิจัยพื้นฐาน การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ และการสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง ติดตามผู้ก่อตั้งได้ที่ https://x.com/zizhpan https://x.com/deepseek_ai ใช้งานฟรีไม่จำกัดได้ที่ (สมัครสมาชิกฟรี): https://chat.deepseek.com/ อ้างอิง: Spring News, Mekha News, https://x.com/kimmonismus
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 682 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนกำลังเตรียมแผนการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) มูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 138 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อแข่งขันกับโครงการ "Stargate Project" ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แผนการของจีนนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ผ่านการขยายศูนย์ข้อมูลและการเพิ่มจำนวน AI accelerators

    โครงการนี้มีชื่อว่า "AI Industry Development Action Plan" ต่างจากโครงการ "Stargate" ของสหรัฐฯ ที่นำโดยภาคเอกชนและ OpenAI แผนการพัฒนาอุตสาหกรรม AI ของจีนเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐทั้งหมด โดยจะให้ทุนแก่บริษัทต่างๆ เช่น Baidu, ByteDance, Alibaba และ DeepSeek เพื่อสร้างระบบ AI ที่ล้ำหน้ามากขึ้น

    ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา DeepSeek ซึ่งเป็นสาขาของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในจีน ได้เปิดเผยโมเดลการให้เหตุผล R1 และทำให้สามารถใช้งานได้ฟรีสำหรับทุกคน การกระทำนี้ได้ท้าทายคู่แข่งในตะวันตก เช่น OpenAI ซึ่งทำให้ CEO ของ OpenAI ต้องเสนอโมเดล O3-mini สำหรับการใช้งานสูงสุด 100 คำถามต่อวันสำหรับผู้ใช้ ChatGPT Plus

    การพัฒนา AI ในจีนนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันผู้ผลิต AI ในประเทศให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น และอาจทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาโมเดลที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งในตะวันตกได้ แน่นอนว่าการจัดหา GPU สำหรับโครงการเหล่านี้ยังคงเป็นงานที่ซับซ้อน แต่ด้วยการพัฒนา AI accelerators ในประเทศและการใช้ช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออก การแข่งขันในด้าน AI กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก

    https://www.techpowerup.com/331636/the-empire-strikes-back-china-prepares-one-trillion-yuan-ai-plan-to-rival-usd-500-billion-us-stargate-project
    จีนกำลังเตรียมแผนการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) มูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 138 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อแข่งขันกับโครงการ "Stargate Project" ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แผนการของจีนนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ผ่านการขยายศูนย์ข้อมูลและการเพิ่มจำนวน AI accelerators โครงการนี้มีชื่อว่า "AI Industry Development Action Plan" ต่างจากโครงการ "Stargate" ของสหรัฐฯ ที่นำโดยภาคเอกชนและ OpenAI แผนการพัฒนาอุตสาหกรรม AI ของจีนเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐทั้งหมด โดยจะให้ทุนแก่บริษัทต่างๆ เช่น Baidu, ByteDance, Alibaba และ DeepSeek เพื่อสร้างระบบ AI ที่ล้ำหน้ามากขึ้น ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา DeepSeek ซึ่งเป็นสาขาของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในจีน ได้เปิดเผยโมเดลการให้เหตุผล R1 และทำให้สามารถใช้งานได้ฟรีสำหรับทุกคน การกระทำนี้ได้ท้าทายคู่แข่งในตะวันตก เช่น OpenAI ซึ่งทำให้ CEO ของ OpenAI ต้องเสนอโมเดล O3-mini สำหรับการใช้งานสูงสุด 100 คำถามต่อวันสำหรับผู้ใช้ ChatGPT Plus การพัฒนา AI ในจีนนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันผู้ผลิต AI ในประเทศให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น และอาจทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาโมเดลที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งในตะวันตกได้ แน่นอนว่าการจัดหา GPU สำหรับโครงการเหล่านี้ยังคงเป็นงานที่ซับซ้อน แต่ด้วยการพัฒนา AI accelerators ในประเทศและการใช้ช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออก การแข่งขันในด้าน AI กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก https://www.techpowerup.com/331636/the-empire-strikes-back-china-prepares-one-trillion-yuan-ai-plan-to-rival-usd-500-billion-us-stargate-project
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    The Empire Strikes Back: China Prepares One Trillion Yuan AI Plan to Rival $500 Billion US Stargate Project
    A few days ago, we reported on the US reading a massive 500 billion US Dollar package called "Stargate Project" to build AI infrastructure on American soil. However, China is also planning to stay close behind, or even overlap the US in some areas, with a one trillion Yuan "AI Industry Development A...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 470 มุมมอง 0 รีวิว
  • 1 ตุลาคม - วันชาติจีน
    จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย The Chinese Dream 中国梦
    ...........................................
    ในพัฒนาประเทศ ตามหลักของ Marxism-Communism
    จีน มีนโยบาย 2 PHASE ต่อเนื่องกัน คือ
    1) ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย
    2) แบ่งเท่ากัน
    ...........................................
    PHASE-I #นโยบายจีนสร้างประเทศให้ร่ำรวย
    ตามแนวคิดของ Deng Xiao Ping ที่วางยุทธศาสตร์ ไว้ว่า
    " LET SOME PEOPLE GET RICH"
    แปลอังกฤษเป็นไทย ได้ว่า ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย ด้วยการเปิดเสรี ให้คนจีนที่มีความสามารถ นำการพัฒนาความมั่งคั่งให้ประเทศจีน (ด้วยนโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ หรือ แมวสีอะไรก็ได้..ขอให้จับหนูได้)
    จีน..จึงกลายเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้า ขายดี สร้างให้ประเทศร่ำรวย ดังที่ทุกคนในโลก..ได้รับรู้

    ขณะนี้..สถานการณ์Covid-19 ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ได้ทดลอง "ปิดประเทศ" แล้วใช้ระบบเศรษฐกิจแบบ Dual-Circulation กล่าวคือ จีน แบ่งเศรษฐกิจออกเป็นการหมุนเวียนภายในประเทศ และ การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ.
    ผลปรากฎว่า.. 1) ผลของเศรษฐกิจการหมุนเวียนภายในประเทศ จีนผลิต จีนใช้ จีนเจริญ (อยู่ได้..อย่างสบายมาก)อุดมสมบูรณ์ โดยไม่ต้องพึ่งพา การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ.
    2) การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ ยิ่งสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่. !!!
    ......................................................................

    ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ตัดสินใจ
    นำประเทศจีน เข้าสู่ PHASE-II คือ นโยบาย COMMON PROSPERITY แปลเป็นไทยได้ว่า #ได้เวลาที่จะแบ่งความร่ำรวยให้ทุกคนเท่าเทียมกัน
    นี่แหละ..คือ ที่มาของ..นโยบายรัฐบาลจีน ที่สำคัญ 3 ประการ
    1) ควบคุมกิจการเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น ANT GROUP, TenCent, ALiBaBa...etc.
    2) ควบคุมการศึกษา เช่น ปราบ TUTOR ในเมืองใหญ่ เร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เน้นความเสมอภาค #ทำให้เด็กจีนได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกัน และ #รักชาติยิ่งชีพ
    3) ควบคุมอบายมุข เหล้า บุหรี่ และ เกมส์(ยาเสพติดยุคดิจิตอล เทียบเท่า ฝิ่น ในราชวงศ์ชิง)

    จากบทความข้างต้น ท่านคงเข้าใจแล้วนะ ว่า
    ต่อจากวินาที นี้.. " จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย "

    แว๊ว---ช่าย หมาย ?
    .
    Pachäree Wõng
    October1st, 2024
    San Francisco, CA94108
    1 ตุลาคม - วันชาติจีน จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย The Chinese Dream 中国梦 ........................................... ในพัฒนาประเทศ ตามหลักของ Marxism-Communism จีน มีนโยบาย 2 PHASE ต่อเนื่องกัน คือ 1) ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย 2) แบ่งเท่ากัน ........................................... PHASE-I #นโยบายจีนสร้างประเทศให้ร่ำรวย ตามแนวคิดของ Deng Xiao Ping ที่วางยุทธศาสตร์ ไว้ว่า " LET SOME PEOPLE GET RICH" แปลอังกฤษเป็นไทย ได้ว่า ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย ด้วยการเปิดเสรี ให้คนจีนที่มีความสามารถ นำการพัฒนาความมั่งคั่งให้ประเทศจีน (ด้วยนโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ หรือ แมวสีอะไรก็ได้..ขอให้จับหนูได้) จีน..จึงกลายเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้า ขายดี สร้างให้ประเทศร่ำรวย ดังที่ทุกคนในโลก..ได้รับรู้ ขณะนี้..สถานการณ์Covid-19 ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ได้ทดลอง "ปิดประเทศ" แล้วใช้ระบบเศรษฐกิจแบบ Dual-Circulation กล่าวคือ จีน แบ่งเศรษฐกิจออกเป็นการหมุนเวียนภายในประเทศ และ การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ. ผลปรากฎว่า.. 1) ผลของเศรษฐกิจการหมุนเวียนภายในประเทศ จีนผลิต จีนใช้ จีนเจริญ (อยู่ได้..อย่างสบายมาก)อุดมสมบูรณ์ โดยไม่ต้องพึ่งพา การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ. 2) การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ ยิ่งสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่. !!! ...................................................................... ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ตัดสินใจ นำประเทศจีน เข้าสู่ PHASE-II คือ นโยบาย COMMON PROSPERITY แปลเป็นไทยได้ว่า #ได้เวลาที่จะแบ่งความร่ำรวยให้ทุกคนเท่าเทียมกัน นี่แหละ..คือ ที่มาของ..นโยบายรัฐบาลจีน ที่สำคัญ 3 ประการ 1) ควบคุมกิจการเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น ANT GROUP, TenCent, ALiBaBa...etc. 2) ควบคุมการศึกษา เช่น ปราบ TUTOR ในเมืองใหญ่ เร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เน้นความเสมอภาค #ทำให้เด็กจีนได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกัน และ #รักชาติยิ่งชีพ 3) ควบคุมอบายมุข เหล้า บุหรี่ และ เกมส์(ยาเสพติดยุคดิจิตอล เทียบเท่า ฝิ่น ในราชวงศ์ชิง) จากบทความข้างต้น ท่านคงเข้าใจแล้วนะ ว่า ต่อจากวินาที นี้.. " จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย " แว๊ว---ช่าย หมาย ? . Pachäree Wõng October1st, 2024 San Francisco, CA94108
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 570 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทางการจีนลงโทษสั่งแบนบริษัท PwC China เป็นเวลา 6 เดือนและปรับเงิน 441 ล้านหยวน (62 ล้านดอลลาร์) หลังจากที่ พบหลักฐานว่า PwC ที่ตรวจสอบบัญชี บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Evergrande ผิดพลาดร้ายแรง จนส่งผลให้เกิดความเสียหายทางการเงินมหาศาล และละเมิดกฎระเบียบ เจ้าหน้าที่ระบุว่าพนักงาน "ปกปิดหรือแม้กระทั่งยินยอม" ให้เกิดการฉ้อโกงในการตรวจสอบบัญชีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Evergrande ที่ล้มละลาย

    17 กันยายน 2567-รายงานไฟแนนซ์เชียลไทม์ระบุว่ ทางการจีนดำเนินการกับBig Four บริษัทตรวจสอบบัญชีชั้นนำของโลกสี่อันดับแรก โดยเกิดขึ้นหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีนประกาศเมื่อเดือนมีนาคมว่า PwC China ได้อนุมัติบัญชีของ Evergrande แล้ว แม้ว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์Evergrandeรายนี้จะมีรายได้เกือบ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงสองปีก่อนจะผิดนัดชำระหนี้ในปี 2021

    กระทรวงการคลังของจีนกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า PwC Zhong Tian ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ PwC China และสาขาที่กว่างโจวทราบถึง "ข้อผิดพลาดสำคัญ" ในการตรวจสอบบัญชีของ Evergrande ตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2020 แต่ไม่ยอมชี้แจงให้ชัดเจน โดยกระทรวงฯ สั่งให้ปิดสาขาที่กว่างโจวของ PwC China

    PwC China มี "ข้อบกพร่องร้ายแรง" ในกระบวนการตรวจสอบบัญชีของ Hengda Real Estate ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Evergrande ในแผ่นดินใหญ่ ซึ่งนำไปสู่ ​​"ข้อสรุปที่ผิดพลาดมากมาย" กระทรวงฯ กล่าว บริษัท "สูญเสียความเป็นอิสระ" และ "เพิ่มผลกำไร" ผ่านการตรวจสอบบัญชี เจ้าหน้าที่กล่าวเสริม

    "พฤติกรรมของ PwC ไม่ใช่แค่ความล้มเหลวในการตรวจสอบบัญชีเท่านั้น พวกเขาปกปิดหรือแม้กระทั่งยินยอมให้มีการฉ้อโกงทางการเงินและการออกพันธบัตรของบริษัทโดยฉ้อโกงของ Hengda Real Estate" สำนักงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีนกล่าวในแถลงการณ์แยกต่างหาก

    สำนักงานกำกับดูแลหลักทรัพย์พบว่าบันทึกของ PwC เกี่ยวกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ Hengda ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้สะท้อน "สภาพที่แท้จริง" ในพื้นที่ โดยระบุว่ากระบวนการคัดเลือกตัวอย่างของ PwC "อยู่นอกเหนือการควบคุม" โดยที่ทรัพย์สินที่ผู้พัฒนาโครงการระบุว่า "ห้ามเข้า" จะไม่รวมอยู่ในการเยี่ยมชมไซต์ของ PwC

    คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีนได้สั่งปรับ PwC China เป็นเงิน 116 ล้านหยวน และ 325 ล้านหยวน
    PwC ระบุในแถลงการณ์ว่า “เราผิดหวังกับการตรวจสอบบัญชีของ PwC Zhong Tian (หรือ ‘PwC ZT’) ของ Hengda ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานที่เราคาดหวังจากบริษัทสมาชิกเครือข่าย PwC อย่างไม่สามารถยอมรับได้“

    PwC ระบุว่าได้เลิกจ้างหุ้นส่วน 6 คน และสั่งปลด พนักงาน 5 คนที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบบัญชีโดยตรงให้ลาออก
    PwC กล่าวว่า Daniel Li ซึ่งเพิ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งหุ้นส่วนอาวุโสของ PwC China เมื่อเดือนกรกฎาคม และคาดว่าจะดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 4 ปี ได้ตกลงที่จะลาออกจากตำแหน่ง

    “เนื่องจากความรับผิดชอบเดิมของเขา” ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบของบริษัท โดยเขาจะยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบัญชีของบริษัทต่อไป

    PwC กล่าวว่า Hemione Hudson หุ้นส่วนอาวุโสในสหราชอาณาจักร จะเข้ามาดูแลธุรกิจในประเทศจีนเป็นการชั่วคราว และPwC ดึงพันธมิตรจากอังกฤษเข้ามาบริหารธุรกิจในจีนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องอื้อฉาว

    การเคลื่อนไหวดังกล่าวตอกย้ำถึงระดับความกังวลภายในกลุ่ม Big Four เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในจีน ซึ่งแตกต่างจากบริษัทข้ามชาติอื่นๆ PwC มักดำเนินงานเป็นเครือข่ายของหุ้นส่วนที่เป็นเจ้าของในท้องถิ่นอย่างอิสระ ดังนั้น การแต่งตั้งบุคคลภายนอกจึงถือเป็นก้าวที่แปลกมาก

    Mohamed Kande ประธาน PwC ระดับโลกกล่าวว่า “งานที่ดำเนินการโดยทีมตรวจสอบบัญชี Hengda ของ PwC Zhong Tian ต่ำกว่าความคาดหวังสูงของเราอย่างมาก และเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งไม่สะท้อนถึงสิ่งที่เรายึดมั่นในฐานะเครือข่าย และไม่มีที่ว่างสำหรับสิ่งนี้ที่ PwC”
    ค่าปรับPwCดังกล่าว 31 ล้านดอลลาร์และคำสั่งห้ามดำเนินธุรกิจบางส่วนเป็นเวลาสามเดือนที่บังคับใช้กับ Deloitte เมื่อปีที่แล้วสำหรับ “ข้อบกพร่องในการตรวจสอบบัญชีที่ร้ายแรง” ที่เกี่ยวข้องกับงานของบริษัทกับ China Huarong Asset Management ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการหนี้เสียรายใหญ่ที่สุดในจีน

    กระทรวงการคลังยังกล่าวอีกว่าจะดำเนินการสอบสวน "การละเมิดที่เกี่ยวข้อง" ของหน่วยงาน PwC ในฮ่องกง ซึ่งทำการตรวจสอบบัญชีของกลุ่มบริษัทแม่ Evergrande

    กระทรวงได้เพิกถอนใบอนุญาตการบัญชีของพนักงาน PwC 4 คนที่ลงนามในงบการเงินของ Hengda ตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2020 และปรับเงินบุคคลอื่นอีก 7 คนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำเอกสารบัญชีของ Hengda

    PwC สูญเสียรายได้จากการบัญชีไปแล้วประมาณสองในสามจากลูกค้าที่จดทะเบียนในแผ่นดินใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจของจีน ซึ่งเปลี่ยนผู้ตรวจสอบบัญชีจาก PwC ในปีนี้ เนื่องจากคดีความขัดแย้งเกี่ยวกับ Evergrande ที่เพิ่มมากขึ้น ธนาคารแห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดรายหนึ่ง ได้เปลี่ยนมาใช้คู่แข่งอย่าง EY ในเดือนสิงหาคม

    PwC พยายามรักษาลูกค้าไว้โดยให้คำมั่นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาว่าสามารถทำการตรวจสอบบัญชีในปี 2024 ได้สำเร็จแม้จะมีการห้ามก็ตาม ลูกค้ารายใหญ่ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ ได้แก่ บริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Alibaba และ Tencent รวมถึงบริษัทประกันภัย AIA ซึ่งยังคงทำงานร่วมกับ PwC

    ตามกฎหมายในจีน รัฐวิสาหกิจของจีนไม่สามารถใช้ผู้ตรวจสอบบัญชีที่ได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรร่วมกับลูกค้าในแผ่นดินใหญ่จำนวนมากได้

    #Thaitimes
    ทางการจีนลงโทษสั่งแบนบริษัท PwC China เป็นเวลา 6 เดือนและปรับเงิน 441 ล้านหยวน (62 ล้านดอลลาร์) หลังจากที่ พบหลักฐานว่า PwC ที่ตรวจสอบบัญชี บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Evergrande ผิดพลาดร้ายแรง จนส่งผลให้เกิดความเสียหายทางการเงินมหาศาล และละเมิดกฎระเบียบ เจ้าหน้าที่ระบุว่าพนักงาน "ปกปิดหรือแม้กระทั่งยินยอม" ให้เกิดการฉ้อโกงในการตรวจสอบบัญชีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Evergrande ที่ล้มละลาย 17 กันยายน 2567-รายงานไฟแนนซ์เชียลไทม์ระบุว่ ทางการจีนดำเนินการกับBig Four บริษัทตรวจสอบบัญชีชั้นนำของโลกสี่อันดับแรก โดยเกิดขึ้นหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีนประกาศเมื่อเดือนมีนาคมว่า PwC China ได้อนุมัติบัญชีของ Evergrande แล้ว แม้ว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์Evergrandeรายนี้จะมีรายได้เกือบ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงสองปีก่อนจะผิดนัดชำระหนี้ในปี 2021 กระทรวงการคลังของจีนกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า PwC Zhong Tian ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ PwC China และสาขาที่กว่างโจวทราบถึง "ข้อผิดพลาดสำคัญ" ในการตรวจสอบบัญชีของ Evergrande ตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2020 แต่ไม่ยอมชี้แจงให้ชัดเจน โดยกระทรวงฯ สั่งให้ปิดสาขาที่กว่างโจวของ PwC China PwC China มี "ข้อบกพร่องร้ายแรง" ในกระบวนการตรวจสอบบัญชีของ Hengda Real Estate ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Evergrande ในแผ่นดินใหญ่ ซึ่งนำไปสู่ ​​"ข้อสรุปที่ผิดพลาดมากมาย" กระทรวงฯ กล่าว บริษัท "สูญเสียความเป็นอิสระ" และ "เพิ่มผลกำไร" ผ่านการตรวจสอบบัญชี เจ้าหน้าที่กล่าวเสริม "พฤติกรรมของ PwC ไม่ใช่แค่ความล้มเหลวในการตรวจสอบบัญชีเท่านั้น พวกเขาปกปิดหรือแม้กระทั่งยินยอมให้มีการฉ้อโกงทางการเงินและการออกพันธบัตรของบริษัทโดยฉ้อโกงของ Hengda Real Estate" สำนักงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีนกล่าวในแถลงการณ์แยกต่างหาก สำนักงานกำกับดูแลหลักทรัพย์พบว่าบันทึกของ PwC เกี่ยวกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ Hengda ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้สะท้อน "สภาพที่แท้จริง" ในพื้นที่ โดยระบุว่ากระบวนการคัดเลือกตัวอย่างของ PwC "อยู่นอกเหนือการควบคุม" โดยที่ทรัพย์สินที่ผู้พัฒนาโครงการระบุว่า "ห้ามเข้า" จะไม่รวมอยู่ในการเยี่ยมชมไซต์ของ PwC คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีนได้สั่งปรับ PwC China เป็นเงิน 116 ล้านหยวน และ 325 ล้านหยวน PwC ระบุในแถลงการณ์ว่า “เราผิดหวังกับการตรวจสอบบัญชีของ PwC Zhong Tian (หรือ ‘PwC ZT’) ของ Hengda ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานที่เราคาดหวังจากบริษัทสมาชิกเครือข่าย PwC อย่างไม่สามารถยอมรับได้“ PwC ระบุว่าได้เลิกจ้างหุ้นส่วน 6 คน และสั่งปลด พนักงาน 5 คนที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบบัญชีโดยตรงให้ลาออก PwC กล่าวว่า Daniel Li ซึ่งเพิ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งหุ้นส่วนอาวุโสของ PwC China เมื่อเดือนกรกฎาคม และคาดว่าจะดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 4 ปี ได้ตกลงที่จะลาออกจากตำแหน่ง “เนื่องจากความรับผิดชอบเดิมของเขา” ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบของบริษัท โดยเขาจะยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบัญชีของบริษัทต่อไป PwC กล่าวว่า Hemione Hudson หุ้นส่วนอาวุโสในสหราชอาณาจักร จะเข้ามาดูแลธุรกิจในประเทศจีนเป็นการชั่วคราว และPwC ดึงพันธมิตรจากอังกฤษเข้ามาบริหารธุรกิจในจีนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องอื้อฉาว การเคลื่อนไหวดังกล่าวตอกย้ำถึงระดับความกังวลภายในกลุ่ม Big Four เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในจีน ซึ่งแตกต่างจากบริษัทข้ามชาติอื่นๆ PwC มักดำเนินงานเป็นเครือข่ายของหุ้นส่วนที่เป็นเจ้าของในท้องถิ่นอย่างอิสระ ดังนั้น การแต่งตั้งบุคคลภายนอกจึงถือเป็นก้าวที่แปลกมาก Mohamed Kande ประธาน PwC ระดับโลกกล่าวว่า “งานที่ดำเนินการโดยทีมตรวจสอบบัญชี Hengda ของ PwC Zhong Tian ต่ำกว่าความคาดหวังสูงของเราอย่างมาก และเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งไม่สะท้อนถึงสิ่งที่เรายึดมั่นในฐานะเครือข่าย และไม่มีที่ว่างสำหรับสิ่งนี้ที่ PwC” ค่าปรับPwCดังกล่าว 31 ล้านดอลลาร์และคำสั่งห้ามดำเนินธุรกิจบางส่วนเป็นเวลาสามเดือนที่บังคับใช้กับ Deloitte เมื่อปีที่แล้วสำหรับ “ข้อบกพร่องในการตรวจสอบบัญชีที่ร้ายแรง” ที่เกี่ยวข้องกับงานของบริษัทกับ China Huarong Asset Management ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการหนี้เสียรายใหญ่ที่สุดในจีน กระทรวงการคลังยังกล่าวอีกว่าจะดำเนินการสอบสวน "การละเมิดที่เกี่ยวข้อง" ของหน่วยงาน PwC ในฮ่องกง ซึ่งทำการตรวจสอบบัญชีของกลุ่มบริษัทแม่ Evergrande กระทรวงได้เพิกถอนใบอนุญาตการบัญชีของพนักงาน PwC 4 คนที่ลงนามในงบการเงินของ Hengda ตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2020 และปรับเงินบุคคลอื่นอีก 7 คนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำเอกสารบัญชีของ Hengda PwC สูญเสียรายได้จากการบัญชีไปแล้วประมาณสองในสามจากลูกค้าที่จดทะเบียนในแผ่นดินใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจของจีน ซึ่งเปลี่ยนผู้ตรวจสอบบัญชีจาก PwC ในปีนี้ เนื่องจากคดีความขัดแย้งเกี่ยวกับ Evergrande ที่เพิ่มมากขึ้น ธนาคารแห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดรายหนึ่ง ได้เปลี่ยนมาใช้คู่แข่งอย่าง EY ในเดือนสิงหาคม PwC พยายามรักษาลูกค้าไว้โดยให้คำมั่นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาว่าสามารถทำการตรวจสอบบัญชีในปี 2024 ได้สำเร็จแม้จะมีการห้ามก็ตาม ลูกค้ารายใหญ่ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ ได้แก่ บริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Alibaba และ Tencent รวมถึงบริษัทประกันภัย AIA ซึ่งยังคงทำงานร่วมกับ PwC ตามกฎหมายในจีน รัฐวิสาหกิจของจีนไม่สามารถใช้ผู้ตรวจสอบบัญชีที่ได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรร่วมกับลูกค้าในแผ่นดินใหญ่จำนวนมากได้ #Thaitimes
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1508 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนจ่อแบนบริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC) ในประเทศจีน 6 เดือน ปมตรวจสอบบัญชีบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป (China Evergrande Group) ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ประสบภาวะล้มละลายและคดีฉ้อโกง

    22 สิงหาคม 2567-รายงานข่าว Financial Times ระบุว่า PwC ประเทศจีน ได้แจ้งลูกค้าว่า มีความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะสั่งปรับเงิน และระงับการดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นเวลา 6 เดือน โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้เร็วที่สุดในเดือนกันยายนนี้ หลังมีความผิดในคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ของ Evergrande อดีตผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน

    การตัดสินบทลงโทษที่รุนแรงครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และดูแลตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) หรือ ก.ล.ต. ตรวจพบความผิดปกติในงบการเงินของ Hengda Real Estate บริษัทลูกของ Evergrande ในเดือนมีนาคม โดยพบว่าบริษัทรายงานรายได้เกินจริง

    โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นมากผิดปกติที่ 2.13 แสนล้านหยวน หรือครึ่งหนึ่งของรายได้รวมในปี 2562 ในขณะที่ปี 2563 มีรายได้เพิ่มขึ้น 3.5 แสนล้านหยวน หรือ 78.5% ของรายได้รวม นอกจากนี้ยังออกหุ้นกู้โดยอ้างอิงงบการเงินเท็จ โดย PwC ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีขณะนั้น กลับรับรองว่างบการเงินถูกต้อง ซึ่งแสดงว่าบริษัทบกพร่องในการตรวจสอบบัญชี

    อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น 2 ปีก่อนที่ Evergrande จะผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ต่างประเทศครั้งแรก จนนำมาสู่วิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ฉุดรั้งการเติบโตเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน ทั้งนี้ หากบทลงโทษมีผลบังคับใช้ PwC จะไม่สามารถลงนามรับรองงบการเงิน และการเสนอขายหุ้น IPO รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในบทลงโทษ

    การถูกแทรกแซงจากหน่วยงานกำกับของจีน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบริษัทไม่น้อย โดยข้อมูลล่าสุด ณ เดือนมีนาคม พบว่า PwC เป็นบริษัทตรวจสอบบัญชีที่ได้รับความนิยมในจีนมากที่สุด โดยมีลูกค้าบริษัทจดทะเบียนวางใจใช้บริการมากถึง 110 แห่ง ทั้งนี้ นับตั้งแต่บริษัทถูก ก.ล.ต. จีน สอบสวนในเดือนมีนาคม มีบริษัทอย่างน้อย 50 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงิน ได้ขอให้ PwC ยกเลิกการตรวจสอบบัญชีในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาทำให้ในปีนี้ PwC ประเทศจีน สูญเสียรายได้ทางบัญชีไปแล้วอย่างน้อยสองในสามจากบริษัทจดทะเบียนในจีน เช่น ลูกค้ารายใหญ่อย่าง Bank of China ที่หันไปใช้บริการบริษัทคู่แข่ง EY สำหรับการตรวจสอบบัญชีประจำปี เนื่องจากได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังจีนว่า PwC จะถูกหน่วยงานกำกับของจีนสั่งปรับเงินฐานมีความผิดในคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ของ Evergrande ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้

    แม้รายได้จากบริษัทจดทะเบียนและรัฐวิสาหกิจในจีนจะมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมดของ PwC ประเทศจีน แต่การถูกหน่วยงานกำกับของจีนตรวจสอบ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นบริษัทในฐานะหนึ่งใน Big Four ผู้ตรวจสอบบัญชีชั้นนำระดับโลก

    ขณะนี้บริษัทจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นกับลูกค้ารายใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดต่างประเทศ รวมถึงยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตของจีนอย่าง Alibaba และ Tencent โดยการสร้างความมั่นใจว่าบริษัทสามารถดำเนินการตรวจสอบบัญชีประจำปี 2567 ให้เสร็จสิ้นได้ นอกจากนี้ ยังเสนอให้ลูกค้าบางรายทำสัญญาล่วงหน้าเพื่อผูกมัดให้ใช้บริการต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568

    ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์

    #Thaitimes
    จีนจ่อแบนบริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC) ในประเทศจีน 6 เดือน ปมตรวจสอบบัญชีบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป (China Evergrande Group) ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ประสบภาวะล้มละลายและคดีฉ้อโกง 22 สิงหาคม 2567-รายงานข่าว Financial Times ระบุว่า PwC ประเทศจีน ได้แจ้งลูกค้าว่า มีความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะสั่งปรับเงิน และระงับการดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นเวลา 6 เดือน โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้เร็วที่สุดในเดือนกันยายนนี้ หลังมีความผิดในคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ของ Evergrande อดีตผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน การตัดสินบทลงโทษที่รุนแรงครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และดูแลตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) หรือ ก.ล.ต. ตรวจพบความผิดปกติในงบการเงินของ Hengda Real Estate บริษัทลูกของ Evergrande ในเดือนมีนาคม โดยพบว่าบริษัทรายงานรายได้เกินจริง โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นมากผิดปกติที่ 2.13 แสนล้านหยวน หรือครึ่งหนึ่งของรายได้รวมในปี 2562 ในขณะที่ปี 2563 มีรายได้เพิ่มขึ้น 3.5 แสนล้านหยวน หรือ 78.5% ของรายได้รวม นอกจากนี้ยังออกหุ้นกู้โดยอ้างอิงงบการเงินเท็จ โดย PwC ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีขณะนั้น กลับรับรองว่างบการเงินถูกต้อง ซึ่งแสดงว่าบริษัทบกพร่องในการตรวจสอบบัญชี อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น 2 ปีก่อนที่ Evergrande จะผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ต่างประเทศครั้งแรก จนนำมาสู่วิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ฉุดรั้งการเติบโตเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน ทั้งนี้ หากบทลงโทษมีผลบังคับใช้ PwC จะไม่สามารถลงนามรับรองงบการเงิน และการเสนอขายหุ้น IPO รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในบทลงโทษ การถูกแทรกแซงจากหน่วยงานกำกับของจีน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบริษัทไม่น้อย โดยข้อมูลล่าสุด ณ เดือนมีนาคม พบว่า PwC เป็นบริษัทตรวจสอบบัญชีที่ได้รับความนิยมในจีนมากที่สุด โดยมีลูกค้าบริษัทจดทะเบียนวางใจใช้บริการมากถึง 110 แห่ง ทั้งนี้ นับตั้งแต่บริษัทถูก ก.ล.ต. จีน สอบสวนในเดือนมีนาคม มีบริษัทอย่างน้อย 50 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงิน ได้ขอให้ PwC ยกเลิกการตรวจสอบบัญชีในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาทำให้ในปีนี้ PwC ประเทศจีน สูญเสียรายได้ทางบัญชีไปแล้วอย่างน้อยสองในสามจากบริษัทจดทะเบียนในจีน เช่น ลูกค้ารายใหญ่อย่าง Bank of China ที่หันไปใช้บริการบริษัทคู่แข่ง EY สำหรับการตรวจสอบบัญชีประจำปี เนื่องจากได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังจีนว่า PwC จะถูกหน่วยงานกำกับของจีนสั่งปรับเงินฐานมีความผิดในคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ของ Evergrande ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ แม้รายได้จากบริษัทจดทะเบียนและรัฐวิสาหกิจในจีนจะมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมดของ PwC ประเทศจีน แต่การถูกหน่วยงานกำกับของจีนตรวจสอบ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นบริษัทในฐานะหนึ่งใน Big Four ผู้ตรวจสอบบัญชีชั้นนำระดับโลก ขณะนี้บริษัทจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นกับลูกค้ารายใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดต่างประเทศ รวมถึงยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตของจีนอย่าง Alibaba และ Tencent โดยการสร้างความมั่นใจว่าบริษัทสามารถดำเนินการตรวจสอบบัญชีประจำปี 2567 ให้เสร็จสิ้นได้ นอกจากนี้ ยังเสนอให้ลูกค้าบางรายทำสัญญาล่วงหน้าเพื่อผูกมัดให้ใช้บริการต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568 ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 720 มุมมอง 0 รีวิว