• นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 20 : เจ้ามือมาแล้ว
    ย้อนกลับไประหว่างที่สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังขับเคี้ยวกันอยู่ ประธานาธิบดีอเมริกา Woodrow Wilson นั่งบนกำแพงดูทิศทางลม ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในสงครามพวกนักธุรกิจเห็นว่ามัวแต่นั่งดูทางลมแบบนั้น มันจะเข้าทางพวกเราหรือ ว่าแล้วพวกเขาก็รวบรวมพรรคพวก ตั้งคณะกำหนดทิศทางลมแทน ชื่อ “The Inquiry” เพื่อทำการศึกษา (ตามโผ !) และแนะนำประธานาธิบดี Wilson ว่า หาก Kaiser และจักรวรรดิเยอรมันล้มคว่ำ โลกนี้ควรจะมีทิศทางในการเดินเกมการเมืองอย่างไร การเสนอแนะของ The Inquiry ทำผ่าน Col. Edward M. House คนสนิทของประธานาธิบดี Wilson ท่านนายพัน House นี้ เป็นตัวสำคัญในการผลักดันให้เกิด Federal Reserve System
    The Inquiry นี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของ The Council on Foreign Relations (CFR) ผู้มีอำนาจและอิทธิพลสูงสุด พวกเขาคือคนถือเข็มทิศ กำหนดทิศทางเดินของอเมริกานั่นเอง CFR เริ่มต้นจากการรวมตัวของนักวิชาการและนักการฑูตจากอังกฤษและอเมริกา เขาตกลงกันในที่ประชุมเมื่อพฤษภาคม ค.ศ. 1919 ว่า พวกเราควรจัดให้มีสถาบันร่วมมือกันระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เพื่อ “ดูแล” เกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศ (International Affairs) หลังจากนั้น ใน ค.ศ. 1921 พวกเขาก็ได้ขยายแนวร่วมไปยังกลุ่ม นักกฎหมายและนักการเงิน และร่วมกันตั้ง The Council on Foreign Relations ขึ้นในปี ค.ศ. 1921
    CFR มีเป้าหมายที่จะกำหนดที่ยืนของอเมริกาในโลกเสียใหม่ จากที่ทำแต่อุตสาหกรรมโดยลำพัง อยู่โดดเดี่ยว เปลี่ยนสภาพเป็นตัวกลไกสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเงินระหว่างประเทศ และกำหนดทิศทางการเดินของอเมริกาที่จะก้าวไปสู่การเป็นจักรวรรดิอเมริกา ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านธุรกิจ การเงิน การเมืองระหว่างประเทศ การทหาร สื่อมวลชน และนักวิชาการ ในสังคมระดับสูง และทิศทางดังกล่าวจะต้องทำเป็นนโยบายระดับนานาชาติ โดยมีกลุ่มทุนใหญ่สนับสนุนอยู่ข้างหลัง
    เงินคืออำนาจ อำนาจคือเงิน อย่าถามว่าพวกเขาจะสร้างอำนาจนี้ได้จริงหรือ และเมื่อมีอำนาจแล้วจะใช้อำนาจนี้ไหม จักรวรรดิอเมริกามีจริงหรือไม่ เขาว่าถามแบบนี้ แน่นอน คนถามต้องไม่ใช่เป็นพวก CFR และไม่มีวันได้เป็น ฮา !
    แต่ก่อนจะมีอำนาจ ต้องมีเงินก่อนตามสูตร แล้วนักเล่นกล ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่อเมริกาจะต้องมีธนาคารกลาง แต่เป็นธนาคารกลางที่พวกเขา ควรเป็น (เจ้ามือ) เจ้าของและควบคุม มันเป็นการร่วมมือกันระหว่างนักการเงิน 2 ฝั่งคาบสมุทร Atlantic
    J P Morgan ร่ายมนต์ให้นักการเมืองฟังว่า เหตุการณ์วิกฤติทางการเงินของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1907 น่ะ เพราะพวกคุณไม่มีระบบการเงินที่ดี รัฐบาลก็ไม่มีกระเป๋าเงินของตัวเองที่ใหญ่พอ ตอนเกิดเรื่องนะจำได้มั้ย เราน่ะ J P Morgan เป็นคนให้รัฐบาลยืมเงินนะ จะเสียหน้าแบบนั้นอีกเหรอ คำขู่ได้ผลประธานาธิบดี Wilson มือไม้สั่นรีบออก Federal Reserve Act ในปี ค.ศ. 1913 ผลของกฎหมายฉบับนี้ ทำให้อเมริกาถูกควบคุม โดยผู้มีอำนาจทางการเงิน Federal Reserve Bank หรือ “Fed” (เจ้ามือตัวจริง !) ซึ่งรัฐบาลอเมริกาไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ Fed สามารถที่กำหนดหลักเกณฑ์ ในการพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้เอง โดยไม่ต้องผ่าน Congress เยี่ยมจริง ๆ!!!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 20 : เจ้ามือมาแล้ว ย้อนกลับไประหว่างที่สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังขับเคี้ยวกันอยู่ ประธานาธิบดีอเมริกา Woodrow Wilson นั่งบนกำแพงดูทิศทางลม ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในสงครามพวกนักธุรกิจเห็นว่ามัวแต่นั่งดูทางลมแบบนั้น มันจะเข้าทางพวกเราหรือ ว่าแล้วพวกเขาก็รวบรวมพรรคพวก ตั้งคณะกำหนดทิศทางลมแทน ชื่อ “The Inquiry” เพื่อทำการศึกษา (ตามโผ !) และแนะนำประธานาธิบดี Wilson ว่า หาก Kaiser และจักรวรรดิเยอรมันล้มคว่ำ โลกนี้ควรจะมีทิศทางในการเดินเกมการเมืองอย่างไร การเสนอแนะของ The Inquiry ทำผ่าน Col. Edward M. House คนสนิทของประธานาธิบดี Wilson ท่านนายพัน House นี้ เป็นตัวสำคัญในการผลักดันให้เกิด Federal Reserve System The Inquiry นี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของ The Council on Foreign Relations (CFR) ผู้มีอำนาจและอิทธิพลสูงสุด พวกเขาคือคนถือเข็มทิศ กำหนดทิศทางเดินของอเมริกานั่นเอง CFR เริ่มต้นจากการรวมตัวของนักวิชาการและนักการฑูตจากอังกฤษและอเมริกา เขาตกลงกันในที่ประชุมเมื่อพฤษภาคม ค.ศ. 1919 ว่า พวกเราควรจัดให้มีสถาบันร่วมมือกันระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เพื่อ “ดูแล” เกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศ (International Affairs) หลังจากนั้น ใน ค.ศ. 1921 พวกเขาก็ได้ขยายแนวร่วมไปยังกลุ่ม นักกฎหมายและนักการเงิน และร่วมกันตั้ง The Council on Foreign Relations ขึ้นในปี ค.ศ. 1921 CFR มีเป้าหมายที่จะกำหนดที่ยืนของอเมริกาในโลกเสียใหม่ จากที่ทำแต่อุตสาหกรรมโดยลำพัง อยู่โดดเดี่ยว เปลี่ยนสภาพเป็นตัวกลไกสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเงินระหว่างประเทศ และกำหนดทิศทางการเดินของอเมริกาที่จะก้าวไปสู่การเป็นจักรวรรดิอเมริกา ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านธุรกิจ การเงิน การเมืองระหว่างประเทศ การทหาร สื่อมวลชน และนักวิชาการ ในสังคมระดับสูง และทิศทางดังกล่าวจะต้องทำเป็นนโยบายระดับนานาชาติ โดยมีกลุ่มทุนใหญ่สนับสนุนอยู่ข้างหลัง เงินคืออำนาจ อำนาจคือเงิน อย่าถามว่าพวกเขาจะสร้างอำนาจนี้ได้จริงหรือ และเมื่อมีอำนาจแล้วจะใช้อำนาจนี้ไหม จักรวรรดิอเมริกามีจริงหรือไม่ เขาว่าถามแบบนี้ แน่นอน คนถามต้องไม่ใช่เป็นพวก CFR และไม่มีวันได้เป็น ฮา ! แต่ก่อนจะมีอำนาจ ต้องมีเงินก่อนตามสูตร แล้วนักเล่นกล ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่อเมริกาจะต้องมีธนาคารกลาง แต่เป็นธนาคารกลางที่พวกเขา ควรเป็น (เจ้ามือ) เจ้าของและควบคุม มันเป็นการร่วมมือกันระหว่างนักการเงิน 2 ฝั่งคาบสมุทร Atlantic J P Morgan ร่ายมนต์ให้นักการเมืองฟังว่า เหตุการณ์วิกฤติทางการเงินของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1907 น่ะ เพราะพวกคุณไม่มีระบบการเงินที่ดี รัฐบาลก็ไม่มีกระเป๋าเงินของตัวเองที่ใหญ่พอ ตอนเกิดเรื่องนะจำได้มั้ย เราน่ะ J P Morgan เป็นคนให้รัฐบาลยืมเงินนะ จะเสียหน้าแบบนั้นอีกเหรอ คำขู่ได้ผลประธานาธิบดี Wilson มือไม้สั่นรีบออก Federal Reserve Act ในปี ค.ศ. 1913 ผลของกฎหมายฉบับนี้ ทำให้อเมริกาถูกควบคุม โดยผู้มีอำนาจทางการเงิน Federal Reserve Bank หรือ “Fed” (เจ้ามือตัวจริง !) ซึ่งรัฐบาลอเมริกาไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ Fed สามารถที่กำหนดหลักเกณฑ์ ในการพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้เอง โดยไม่ต้องผ่าน Congress เยี่ยมจริง ๆ!!! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • คนไทยเฮ! ผู้พันเบิร์ดบุกหน้าด่าน แจ้งเขมรแบบนี้ (26/8/68)

    Lieutenant Colonel Bird affirms that the area of Ban Nong Jan belongs to Thailand.
    If Cambodians oppose this without regard to the facts, the Thai forces are justified in pushing them out.

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #CambodiaEncroachingThailand
    #ผู้พันเบิร์ด
    #BanNongJan
    #ThaiTimes
    #news1
    #shorts
    #BorderConflict
    #ข่าวด่วน
    #กองทัพไทย
    #ชายแดนไทย
    คนไทยเฮ! ผู้พันเบิร์ดบุกหน้าด่าน แจ้งเขมรแบบนี้ (26/8/68) Lieutenant Colonel Bird affirms that the area of Ban Nong Jan belongs to Thailand. If Cambodians oppose this without regard to the facts, the Thai forces are justified in pushing them out. #TruthFromThailand #scambodia #CambodiaEncroachingThailand #ผู้พันเบิร์ด #BanNongJan #ThaiTimes #news1 #shorts #BorderConflict #ข่าวด่วน #กองทัพไทย #ชายแดนไทย
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก
    อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ
    แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว
    ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง
    – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์
    (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน)
    อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม !
    แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !)
    เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ
    – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย
    อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน
    แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน) อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม ! แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !) เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้ รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 Reviews
  • AMD ปิดตำนาน B650 – เปิดทางสู่ B850 ที่แรงกว่าแต่แพงขึ้น

    ในโลกของฮาร์ดแวร์ที่เปลี่ยนแปลงเร็วเหมือนกระแสไฟ AMD ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะยุติการผลิตชิปเซ็ต B650 ซึ่งเคยเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ใช้งานระดับกลางที่ต้องการเข้าสู่แพลตฟอร์ม AM5 โดยราคาที่เคยเริ่มต้นราว $125 และลดลงต่ำกว่า $100 ทำให้ B650 เป็นขวัญใจสายประกอบคอมงบจำกัด

    แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้า AMD ก็ต้องปรับตัว โดยเปิดตัวชิปเซ็ต B850 และ B840 ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ต้นปี 2025 โดย B850 มาพร้อมกับการรองรับ PCIe 5.0 ที่กว้างขึ้น ทั้งในช่องเสียบ GPU และ M.2 NVMe ซึ่งใน B650 นั้นยังเป็นตัวเลือกเสริม ไม่ได้บังคับให้มี

    AMD ระบุว่าการเปลี่ยนผ่านนี้จะช่วยให้แพลตฟอร์ม AM5 พร้อมสำหรับอนาคต ทั้งในด้านการเชื่อมต่อ ความเร็วในการจัดเก็บข้อมูล และการขยายระบบ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้งาน Ryzen 9000 และรุ่นใหม่ ๆ ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด

    แม้จะมีข่าวดีเรื่องฟีเจอร์ใหม่ แต่ก็มีผลกระทบตามมา เพราะ B850 มีราคาสูงกว่า B650 และผู้ผลิตเมนบอร์ดไม่สามารถสั่งซื้อ B650 เพิ่มได้อีกแล้ว ทำให้ผู้ใช้งานที่ต้องการประกอบคอมราคาประหยัดต้องรีบคว้า B650 ที่ยังเหลืออยู่ในตลาดก่อนหมด

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AMD ประกาศยุติการผลิตชิปเซ็ต B650 อย่างเป็นทางการ
    ผู้ผลิตเมนบอร์ดไม่สามารถสั่งซื้อ B650 เพิ่มได้อีก
    AMD แนะนำให้เปลี่ยนผ่านไปใช้ B850 และ B840 แทน
    B850 รองรับ PCIe 5.0 สำหรับ M.2 NVMe แบบบังคับ และ GPU แบบเลือกได้
    B650 รองรับ PCIe 5.0 เฉพาะบางรุ่น และไม่บังคับในช่อง GPU
    B850 ใช้ชิป Promontory 21 เหมือนกับ B650 แต่มีฟีเจอร์ที่ปรับปรุง
    B650 เปิดตัวในปี 2022 และได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานระดับกลาง
    B850 เปิดตัวต้นปี 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่และรองรับ Ryzen 9000
    AMD ยืนยันว่าเมนบอร์ด B650 ที่มีอยู่ยังสามารถใช้งานกับ CPU รุ่นใหม่ได้
    ผู้ผลิตเมนบอร์ดกำลังทยอยขายสต็อก B650 ให้หมดภายในไตรมาส 3–4 ปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ราคาของ B650 เคยลดลงต่ำกว่า $100 ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยม
    B850 มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะรุ่นที่รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ
    ผู้ใช้งานที่ต้องการประกอบคอมขนาดเล็กควรรีบซื้อ B650 ก่อนหมดตลาด
    B850 ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ GPU และ SSD รุ่นใหม่ได้เต็มประสิทธิภาพ
    การเปลี่ยนผ่านนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรีเฟรชแพลตฟอร์ม AM5 ในปี 2024–2025

    https://www.tomshardware.com/pc-components/chipsets/amd-discontinues-b650-chipset-to-transition-to-the-newer-b850-chipset-affordable-am5-motherboards-just-got-a-bit-pricier
    🎙️ AMD ปิดตำนาน B650 – เปิดทางสู่ B850 ที่แรงกว่าแต่แพงขึ้น ในโลกของฮาร์ดแวร์ที่เปลี่ยนแปลงเร็วเหมือนกระแสไฟ AMD ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะยุติการผลิตชิปเซ็ต B650 ซึ่งเคยเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ใช้งานระดับกลางที่ต้องการเข้าสู่แพลตฟอร์ม AM5 โดยราคาที่เคยเริ่มต้นราว $125 และลดลงต่ำกว่า $100 ทำให้ B650 เป็นขวัญใจสายประกอบคอมงบจำกัด แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้า AMD ก็ต้องปรับตัว โดยเปิดตัวชิปเซ็ต B850 และ B840 ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ต้นปี 2025 โดย B850 มาพร้อมกับการรองรับ PCIe 5.0 ที่กว้างขึ้น ทั้งในช่องเสียบ GPU และ M.2 NVMe ซึ่งใน B650 นั้นยังเป็นตัวเลือกเสริม ไม่ได้บังคับให้มี AMD ระบุว่าการเปลี่ยนผ่านนี้จะช่วยให้แพลตฟอร์ม AM5 พร้อมสำหรับอนาคต ทั้งในด้านการเชื่อมต่อ ความเร็วในการจัดเก็บข้อมูล และการขยายระบบ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้งาน Ryzen 9000 และรุ่นใหม่ ๆ ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด แม้จะมีข่าวดีเรื่องฟีเจอร์ใหม่ แต่ก็มีผลกระทบตามมา เพราะ B850 มีราคาสูงกว่า B650 และผู้ผลิตเมนบอร์ดไม่สามารถสั่งซื้อ B650 เพิ่มได้อีกแล้ว ทำให้ผู้ใช้งานที่ต้องการประกอบคอมราคาประหยัดต้องรีบคว้า B650 ที่ยังเหลืออยู่ในตลาดก่อนหมด 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AMD ประกาศยุติการผลิตชิปเซ็ต B650 อย่างเป็นทางการ ➡️ ผู้ผลิตเมนบอร์ดไม่สามารถสั่งซื้อ B650 เพิ่มได้อีก ➡️ AMD แนะนำให้เปลี่ยนผ่านไปใช้ B850 และ B840 แทน ➡️ B850 รองรับ PCIe 5.0 สำหรับ M.2 NVMe แบบบังคับ และ GPU แบบเลือกได้ ➡️ B650 รองรับ PCIe 5.0 เฉพาะบางรุ่น และไม่บังคับในช่อง GPU ➡️ B850 ใช้ชิป Promontory 21 เหมือนกับ B650 แต่มีฟีเจอร์ที่ปรับปรุง ➡️ B650 เปิดตัวในปี 2022 และได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานระดับกลาง ➡️ B850 เปิดตัวต้นปี 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่และรองรับ Ryzen 9000 ➡️ AMD ยืนยันว่าเมนบอร์ด B650 ที่มีอยู่ยังสามารถใช้งานกับ CPU รุ่นใหม่ได้ ➡️ ผู้ผลิตเมนบอร์ดกำลังทยอยขายสต็อก B650 ให้หมดภายในไตรมาส 3–4 ปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ราคาของ B650 เคยลดลงต่ำกว่า $100 ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยม ➡️ B850 มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะรุ่นที่รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ ➡️ ผู้ใช้งานที่ต้องการประกอบคอมขนาดเล็กควรรีบซื้อ B650 ก่อนหมดตลาด ➡️ B850 ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ GPU และ SSD รุ่นใหม่ได้เต็มประสิทธิภาพ ➡️ การเปลี่ยนผ่านนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรีเฟรชแพลตฟอร์ม AM5 ในปี 2024–2025 https://www.tomshardware.com/pc-components/chipsets/amd-discontinues-b650-chipset-to-transition-to-the-newer-b850-chipset-affordable-am5-motherboards-just-got-a-bit-pricier
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย

    ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต

    สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน

    แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025
    การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้
    บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ
    ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ
    การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443
    อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW
    นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด
    ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น
    เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ
    การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน
    NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน
    จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน
    การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference)
    นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    🎙️ เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 ➡️ การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้ ➡️ บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ ➡️ ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ ➡️ การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443 ➡️ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW ➡️ นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด ➡️ ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น ➡️ เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ ➡️ การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน ➡️ NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน ➡️ จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน ➡️ การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference) ➡️ นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต” https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • เมื่อแชตบอตกลายเป็นช่องทางเจาะระบบ – และคำถามธรรมดาอาจเปิดประตูให้แฮกเกอร์

    Lenovo เปิดตัวแชตบอต Lena เพื่อช่วยลูกค้าในระบบสนับสนุน โดยใช้ GPT-4 เป็นแกนหลักในการตอบคำถาม แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นนวัตกรรมกลับกลายเป็นช่องโหว่ร้ายแรง เมื่อทีมวิจัยจาก Cybernews พบว่า Lena สามารถถูกหลอกให้สร้างโค้ด HTML อันตรายผ่าน prompt เพียง 400 ตัวอักษร

    แฮกเกอร์ใช้เทคนิค prompt injection โดยเริ่มต้นด้วยคำถามเกี่ยวกับสินค้า แล้วแทรกคำสั่งให้ Lena ตอบกลับในรูปแบบ HTML พร้อมฝังโค้ด JavaScript ที่ขโมย session cookie เมื่อภาพไม่สามารถโหลดได้

    เมื่อเจ้าหน้าที่สนับสนุนเปิดดูการสนทนา โค้ดนั้นจะทำงานทันทีใน browser ของพวกเขา ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบสนับสนุนของบริษัทได้โดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง

    Melissa Ruzzi จาก AppOmni เตือนว่า AI ที่มีสิทธิ์แก้ไขข้อมูลโดยไม่มีการควบคุม อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีที่ร้ายแรง และ Arjun Chauhan จาก Everest Group เสริมว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังมอง AI เป็น “โครงการทดลอง” มากกว่าระบบที่ต้องมีมาตรการความปลอดภัยจริงจัง

    ช่องโหว่นี้ไม่ใช่แค่การขโมย cookie แต่สามารถนำไปสู่การติดตั้ง keylogger, redirect ไปยังเว็บ phishing หรือแม้แต่การฝัง backdoor เพื่อเคลื่อนย้ายภายในเครือข่ายองค์กร

    Lenovo ยอมรับช่องโหว่และแก้ไขทันทีหลังได้รับการแจ้งเตือนจากนักวิจัย แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึง blind spot ด้านความปลอดภัยของ AI ที่องค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Lenovo chatbot Lena ถูกพบว่ามีช่องโหว่ XSS จากการตอบสนองต่อ prompt ที่ถูกออกแบบมาอย่างเจาะจง
    ช่องโหว่เกิดจากการ sanitization ของ input และ output ที่ไม่เพียงพอ
    แฮกเกอร์สามารถฝังโค้ด JavaScript ผ่าน HTML ที่ Lena สร้างขึ้น
    โค้ดจะทำงานเมื่อเจ้าหน้าที่สนับสนุนเปิดดูการสนทนา ทำให้ session cookie ถูกขโมย
    ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การติดตั้ง keylogger, redirect ไปยังเว็บ phishing และฝัง backdoor
    Lena ใช้ GPT-4 เป็นแกนหลักในการตอบคำถามลูกค้า
    Lenovo ได้รับแจ้งจากนักวิจัยและดำเนินการแก้ไขทันที
    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า AI ควรได้รับการดูแลด้านความปลอดภัยเทียบเท่ากับแอปพลิเคชันทั่วไป
    ช่องโหว่นี้สะท้อนถึง blind spot ในการออกแบบระบบ AI ที่เน้นความเร็วมากกว่าความปลอดภัย
    การโจมตีใช้ prompt เพียง 400 ตัวอักษรในการเจาะระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cybernews และ CybersecurityNews รายงานว่า Lena สามารถรันสคริปต์บนเครื่องขององค์กรได้
    ช่องโหว่สามารถขยายผลไปยังระบบอื่นในเครือข่ายผ่าน lateral movement
    OWASP จัด prompt injection เป็นช่องโหว่อันดับหนึ่งใน AI systems
    ปริมาณ bot traffic แซงหน้าการใช้งานของมนุษย์ในปี 2024 คิดเป็น 51% ของทั้งหมด
    การป้องกันต้องใช้ CSP headers, whitelisting, และ context-aware validation

    https://www.csoonline.com/article/4043005/lenovo-chatbot-breach-highlights-ai-security-blind-spots-in-customer-facing-systems.html
    🎙️ เมื่อแชตบอตกลายเป็นช่องทางเจาะระบบ – และคำถามธรรมดาอาจเปิดประตูให้แฮกเกอร์ Lenovo เปิดตัวแชตบอต Lena เพื่อช่วยลูกค้าในระบบสนับสนุน โดยใช้ GPT-4 เป็นแกนหลักในการตอบคำถาม แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นนวัตกรรมกลับกลายเป็นช่องโหว่ร้ายแรง เมื่อทีมวิจัยจาก Cybernews พบว่า Lena สามารถถูกหลอกให้สร้างโค้ด HTML อันตรายผ่าน prompt เพียง 400 ตัวอักษร แฮกเกอร์ใช้เทคนิค prompt injection โดยเริ่มต้นด้วยคำถามเกี่ยวกับสินค้า แล้วแทรกคำสั่งให้ Lena ตอบกลับในรูปแบบ HTML พร้อมฝังโค้ด JavaScript ที่ขโมย session cookie เมื่อภาพไม่สามารถโหลดได้ เมื่อเจ้าหน้าที่สนับสนุนเปิดดูการสนทนา โค้ดนั้นจะทำงานทันทีใน browser ของพวกเขา ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบสนับสนุนของบริษัทได้โดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง Melissa Ruzzi จาก AppOmni เตือนว่า AI ที่มีสิทธิ์แก้ไขข้อมูลโดยไม่มีการควบคุม อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีที่ร้ายแรง และ Arjun Chauhan จาก Everest Group เสริมว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังมอง AI เป็น “โครงการทดลอง” มากกว่าระบบที่ต้องมีมาตรการความปลอดภัยจริงจัง ช่องโหว่นี้ไม่ใช่แค่การขโมย cookie แต่สามารถนำไปสู่การติดตั้ง keylogger, redirect ไปยังเว็บ phishing หรือแม้แต่การฝัง backdoor เพื่อเคลื่อนย้ายภายในเครือข่ายองค์กร Lenovo ยอมรับช่องโหว่และแก้ไขทันทีหลังได้รับการแจ้งเตือนจากนักวิจัย แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึง blind spot ด้านความปลอดภัยของ AI ที่องค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Lenovo chatbot Lena ถูกพบว่ามีช่องโหว่ XSS จากการตอบสนองต่อ prompt ที่ถูกออกแบบมาอย่างเจาะจง ➡️ ช่องโหว่เกิดจากการ sanitization ของ input และ output ที่ไม่เพียงพอ ➡️ แฮกเกอร์สามารถฝังโค้ด JavaScript ผ่าน HTML ที่ Lena สร้างขึ้น ➡️ โค้ดจะทำงานเมื่อเจ้าหน้าที่สนับสนุนเปิดดูการสนทนา ทำให้ session cookie ถูกขโมย ➡️ ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การติดตั้ง keylogger, redirect ไปยังเว็บ phishing และฝัง backdoor ➡️ Lena ใช้ GPT-4 เป็นแกนหลักในการตอบคำถามลูกค้า ➡️ Lenovo ได้รับแจ้งจากนักวิจัยและดำเนินการแก้ไขทันที ➡️ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า AI ควรได้รับการดูแลด้านความปลอดภัยเทียบเท่ากับแอปพลิเคชันทั่วไป ➡️ ช่องโหว่นี้สะท้อนถึง blind spot ในการออกแบบระบบ AI ที่เน้นความเร็วมากกว่าความปลอดภัย ➡️ การโจมตีใช้ prompt เพียง 400 ตัวอักษรในการเจาะระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cybernews และ CybersecurityNews รายงานว่า Lena สามารถรันสคริปต์บนเครื่องขององค์กรได้ ➡️ ช่องโหว่สามารถขยายผลไปยังระบบอื่นในเครือข่ายผ่าน lateral movement ➡️ OWASP จัด prompt injection เป็นช่องโหว่อันดับหนึ่งใน AI systems ➡️ ปริมาณ bot traffic แซงหน้าการใช้งานของมนุษย์ในปี 2024 คิดเป็น 51% ของทั้งหมด ➡️ การป้องกันต้องใช้ CSP headers, whitelisting, และ context-aware validation https://www.csoonline.com/article/4043005/lenovo-chatbot-breach-highlights-ai-security-blind-spots-in-customer-facing-systems.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Lenovo chatbot breach highlights AI security blind spots in customer-facing systems
    Experts say the vulnerability in Lenovo’s GPT-4-powered chatbot reflects a broader enterprise trend: deploying AI tools without applying the same security rigor as traditional applications.
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • เมื่อซีอีโอ AWS บอกว่า “ไล่เด็กใหม่ออกเพราะ AI” คือความคิดที่โง่ที่สุด

    ในยุคที่ AI กำลังเข้ามาแทนที่งานหลายประเภท หลายองค์กรเริ่มคิดว่า “ถ้า AI ทำงานแทนได้ ก็ไม่ต้องจ้างเด็กใหม่แล้วสิ” แต่ Matt Garman ซีอีโอของ AWS กลับออกมาพูดตรง ๆ ว่า “นั่นคือความคิดที่โง่ที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา”

    เขาให้เหตุผลว่า พนักงานระดับเริ่มต้น (junior staff) คือกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด และเป็นกลุ่มที่ “โตมากับ AI” จึงมีความเข้าใจและพร้อมใช้งานเครื่องมือใหม่ ๆ มากที่สุด ถ้าองค์กรไม่จ้างคนรุ่นใหม่เข้ามาเรียนรู้และเติบโต วันหนึ่งจะไม่มีใครเหลือที่เข้าใจวิธีการทำงานจริงเลย

    Garman ยังวิจารณ์แนวคิดที่วัดประสิทธิภาพของ AI ด้วย “จำนวนบรรทัดของโค้ดที่เขียนได้” โดยบอกว่า “มันเป็น metric ที่ไร้สาระ” เพราะโค้ดเยอะไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป บางครั้งโค้ดน้อยแต่มีคุณภาพกลับดีกว่า

    เขาเชื่อว่า AI ควรเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนา ไม่ใช่เครื่องมือแทนที่ และสิ่งสำคัญที่สุดในยุคนี้คือ “การเรียนรู้ที่จะเรียนรู้” เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก การเรียนแค่ทักษะเฉพาะทางอาจไม่พอสำหรับการทำงานระยะยาว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Matt Garman ซีอีโอ AWS กล่าวว่าการใช้ AI แทนพนักงานระดับเริ่มต้นคือ “ความคิดที่โง่ที่สุด”
    เขาให้เหตุผลว่าเด็กใหม่มีค่าใช้จ่ายต่ำและเข้าใจ AI มากที่สุด
    การไม่จ้างเด็กใหม่จะทำให้องค์กรไม่มีคนที่มีประสบการณ์ในอนาคต
    Garman สนับสนุนให้จ้างเด็กจบใหม่และสอนทักษะการคิดและแก้ปัญหา
    เขาเชื่อว่า AI ควรช่วยในการเรียนรู้ ไม่ใช่แทนที่การเรียนรู้
    เขาวิจารณ์การวัดผล AI ด้วยจำนวนโค้ดว่าเป็น metric ที่ไร้สาระ
    โค้ดมากไม่ได้แปลว่าดี บางครั้งโค้ดน้อยแต่มีคุณภาพกลับดีกว่า
    กว่า 80% ของนักพัฒนาใน AWS ใช้ AI ในงาน เช่น เขียน unit test, เอกสาร, โค้ด และทำงานร่วมกับ AI agent
    การใช้งาน AI ใน AWS เพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TechRadar รายงานว่า Gen Z มองว่าเจ้านายไม่เข้าใจประโยชน์ของ AI
    Garman แนะนำให้พนักงานรุ่นใหม่ “เรียนรู้ที่จะเรียนรู้” เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
    เขาเน้นทักษะการคิดเชิงวิพากษ์, ความคิดสร้างสรรค์ และการแยกปัญหา
    การใช้ AI เพื่อเสริมการเรียนรู้จะช่วยให้พนักงานรุ่นใหม่เติบโตได้เร็วขึ้น
    AWS ใช้เครื่องมือ Kiro เพื่อช่วยในการเขียนโค้ดแบบมีผู้ช่วย

    https://www.theregister.com/2025/08/21/aws_ceo_entry_level_jobs_opinion/
    🎙️ เมื่อซีอีโอ AWS บอกว่า “ไล่เด็กใหม่ออกเพราะ AI” คือความคิดที่โง่ที่สุด ในยุคที่ AI กำลังเข้ามาแทนที่งานหลายประเภท หลายองค์กรเริ่มคิดว่า “ถ้า AI ทำงานแทนได้ ก็ไม่ต้องจ้างเด็กใหม่แล้วสิ” แต่ Matt Garman ซีอีโอของ AWS กลับออกมาพูดตรง ๆ ว่า “นั่นคือความคิดที่โง่ที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา” เขาให้เหตุผลว่า พนักงานระดับเริ่มต้น (junior staff) คือกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด และเป็นกลุ่มที่ “โตมากับ AI” จึงมีความเข้าใจและพร้อมใช้งานเครื่องมือใหม่ ๆ มากที่สุด ถ้าองค์กรไม่จ้างคนรุ่นใหม่เข้ามาเรียนรู้และเติบโต วันหนึ่งจะไม่มีใครเหลือที่เข้าใจวิธีการทำงานจริงเลย Garman ยังวิจารณ์แนวคิดที่วัดประสิทธิภาพของ AI ด้วย “จำนวนบรรทัดของโค้ดที่เขียนได้” โดยบอกว่า “มันเป็น metric ที่ไร้สาระ” เพราะโค้ดเยอะไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป บางครั้งโค้ดน้อยแต่มีคุณภาพกลับดีกว่า เขาเชื่อว่า AI ควรเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนา ไม่ใช่เครื่องมือแทนที่ และสิ่งสำคัญที่สุดในยุคนี้คือ “การเรียนรู้ที่จะเรียนรู้” เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก การเรียนแค่ทักษะเฉพาะทางอาจไม่พอสำหรับการทำงานระยะยาว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Matt Garman ซีอีโอ AWS กล่าวว่าการใช้ AI แทนพนักงานระดับเริ่มต้นคือ “ความคิดที่โง่ที่สุด” ➡️ เขาให้เหตุผลว่าเด็กใหม่มีค่าใช้จ่ายต่ำและเข้าใจ AI มากที่สุด ➡️ การไม่จ้างเด็กใหม่จะทำให้องค์กรไม่มีคนที่มีประสบการณ์ในอนาคต ➡️ Garman สนับสนุนให้จ้างเด็กจบใหม่และสอนทักษะการคิดและแก้ปัญหา ➡️ เขาเชื่อว่า AI ควรช่วยในการเรียนรู้ ไม่ใช่แทนที่การเรียนรู้ ➡️ เขาวิจารณ์การวัดผล AI ด้วยจำนวนโค้ดว่าเป็น metric ที่ไร้สาระ ➡️ โค้ดมากไม่ได้แปลว่าดี บางครั้งโค้ดน้อยแต่มีคุณภาพกลับดีกว่า ➡️ กว่า 80% ของนักพัฒนาใน AWS ใช้ AI ในงาน เช่น เขียน unit test, เอกสาร, โค้ด และทำงานร่วมกับ AI agent ➡️ การใช้งาน AI ใน AWS เพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TechRadar รายงานว่า Gen Z มองว่าเจ้านายไม่เข้าใจประโยชน์ของ AI ➡️ Garman แนะนำให้พนักงานรุ่นใหม่ “เรียนรู้ที่จะเรียนรู้” เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ➡️ เขาเน้นทักษะการคิดเชิงวิพากษ์, ความคิดสร้างสรรค์ และการแยกปัญหา ➡️ การใช้ AI เพื่อเสริมการเรียนรู้จะช่วยให้พนักงานรุ่นใหม่เติบโตได้เร็วขึ้น ➡️ AWS ใช้เครื่องมือ Kiro เพื่อช่วยในการเขียนโค้ดแบบมีผู้ช่วย https://www.theregister.com/2025/08/21/aws_ceo_entry_level_jobs_opinion/
    WWW.THEREGISTER.COM
    AWS CEO says AI replacing junior staff is 'dumbest idea'
    : They're cheap and grew up with AI … so you're firing them why?
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • Bigme B13: จอ ePaper สีแบบพกพารุ่นแรกของโลกเพื่อสายตาและงานเอกสาร

    Bigme B13 คือจอมอนิเตอร์ขนาด 13.3 นิ้วที่ใช้เทคโนโลยี ePaper สี ซึ่งต่างจากจอ LCD หรือ OLED ตรงที่ให้ภาพเหมือนกระดาษจริง ลดแสงสะท้อนและความเมื่อยล้าของสายตา เหมาะสำหรับการอ่านเอกสาร, แก้ไขข้อความ และท่องเว็บ

    จอนี้มีความละเอียดสูงถึง 3200x2400 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 4:3 และรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบสาย (USB-C, HDMI) และไร้สาย (AirPlay, Miracast, DLNA) พร้อมโหมดการใช้งานหลายแบบ เช่น โหมดข้อความ, โหมดภาพ, โหมดวิดีโอ และโหมดเว็บ ที่ปรับ refresh rate และความคมชัดตามลักษณะงาน

    Bigme B13 ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น ระบบปรับแสงหน้าจอได้ทั้งความสว่างและอุณหภูมิสี, ลำโพงคู่ในตัว, ช่องเสียบหูฟัง และขาตั้งแม่เหล็กที่สามารถติดกับแล็ปท็อปเพื่อใช้งานแบบสองจอได้อย่างสะดวก

    แม้จะมีจุดเด่นเรื่องการถนอมสายตาและความพกพาสะดวก แต่จอนี้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำของสี เช่น การออกแบบกราฟิกหรือการตัดต่อภาพ และราคาก็ยังค่อนข้างสูงที่ $699–$729

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ใช้หน้าจอ Kaleido 3 ซึ่งให้ความละเอียด 300PPI สำหรับขาวดำ และ 150PPI สำหรับสี
    รองรับการเล่นวิดีโอที่ 30Hz ด้วยเทคโนโลยี refresh เฉพาะของ Bigme
    ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Android และ iOS รวมถึง Linux บางรุ่น
    มีรีโมตและเคสแถมมาในกล่อง พร้อมบอดี้อลูมิเนียมที่แข็งแรง
    Bigme ยังมีรุ่นจอใหญ่ 25.3 นิ้ว (B251) สำหรับงานระดับมืออาชีพ
    คู่แข่งในตลาด ePaper monitor ได้แก่ Dasung และ Onyx ซึ่งมีรุ่นจำกัด

    https://www.techradar.com/pro/the-worlds-first-portable-color-epaper-monitor-has-gone-on-sale-but-dont-expect-it-to-be-affordable-just-yet
    🧠 Bigme B13: จอ ePaper สีแบบพกพารุ่นแรกของโลกเพื่อสายตาและงานเอกสาร Bigme B13 คือจอมอนิเตอร์ขนาด 13.3 นิ้วที่ใช้เทคโนโลยี ePaper สี ซึ่งต่างจากจอ LCD หรือ OLED ตรงที่ให้ภาพเหมือนกระดาษจริง ลดแสงสะท้อนและความเมื่อยล้าของสายตา เหมาะสำหรับการอ่านเอกสาร, แก้ไขข้อความ และท่องเว็บ จอนี้มีความละเอียดสูงถึง 3200x2400 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 4:3 และรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบสาย (USB-C, HDMI) และไร้สาย (AirPlay, Miracast, DLNA) พร้อมโหมดการใช้งานหลายแบบ เช่น โหมดข้อความ, โหมดภาพ, โหมดวิดีโอ และโหมดเว็บ ที่ปรับ refresh rate และความคมชัดตามลักษณะงาน Bigme B13 ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น ระบบปรับแสงหน้าจอได้ทั้งความสว่างและอุณหภูมิสี, ลำโพงคู่ในตัว, ช่องเสียบหูฟัง และขาตั้งแม่เหล็กที่สามารถติดกับแล็ปท็อปเพื่อใช้งานแบบสองจอได้อย่างสะดวก แม้จะมีจุดเด่นเรื่องการถนอมสายตาและความพกพาสะดวก แต่จอนี้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำของสี เช่น การออกแบบกราฟิกหรือการตัดต่อภาพ และราคาก็ยังค่อนข้างสูงที่ $699–$729 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ใช้หน้าจอ Kaleido 3 ซึ่งให้ความละเอียด 300PPI สำหรับขาวดำ และ 150PPI สำหรับสี ➡️ รองรับการเล่นวิดีโอที่ 30Hz ด้วยเทคโนโลยี refresh เฉพาะของ Bigme ➡️ ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Android และ iOS รวมถึง Linux บางรุ่น ➡️ มีรีโมตและเคสแถมมาในกล่อง พร้อมบอดี้อลูมิเนียมที่แข็งแรง ➡️ Bigme ยังมีรุ่นจอใหญ่ 25.3 นิ้ว (B251) สำหรับงานระดับมืออาชีพ ➡️ คู่แข่งในตลาด ePaper monitor ได้แก่ Dasung และ Onyx ซึ่งมีรุ่นจำกัด https://www.techradar.com/pro/the-worlds-first-portable-color-epaper-monitor-has-gone-on-sale-but-dont-expect-it-to-be-affordable-just-yet
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ย้ำทุกเขตเร่งแก้ไขปัญหาเมือง เดินหน้าทำต่อให้เข้มข้น พร้อมผนึกกำลังสกัดยาเสพติดทั่วกรุงตามนโยบายเร่งด่วนรัฐบาล
    https://www.thai-tai.tv/news/20945/
    .
    #ชัชชาติ #กทม #TraffyFondue #NoDrugsNoDealers #ข่าวสังคม #ไทยไท
    ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ย้ำทุกเขตเร่งแก้ไขปัญหาเมือง เดินหน้าทำต่อให้เข้มข้น พร้อมผนึกกำลังสกัดยาเสพติดทั่วกรุงตามนโยบายเร่งด่วนรัฐบาล https://www.thai-tai.tv/news/20945/ . #ชัชชาติ #กทม #TraffyFondue #NoDrugsNoDealers #ข่าวสังคม #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องแล็บสู่โลกออนไลน์: เมื่อเครื่องมือแพทย์กลายเป็นช่องโหว่ให้ข้อมูลหลุด

    ลองจินตนาการว่า MRI หรือ X-ray ที่คุณเพิ่งตรวจ ถูกเก็บไว้ในระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ อย่าง “123456” แล้วข้อมูลนั้น—รวมถึงชื่อ เบอร์โทร และผลตรวจ—หลุดออกไปให้ใครก็ได้เห็น

    นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ จากการค้นพบของนักวิจัยจาก Modat ที่สแกนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และพบว่ามีมากกว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ทำให้ข้อมูลหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลที่หลุดไม่ใช่แค่ภาพสแกนสมองหรือผลเลือด แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่สามารถนำไปใช้หลอกลวง หรือแม้แต่แบล็กเมล์ผู้ป่วยได้ เช่น ขู่จะเปิดเผยโรคที่เป็นให้ครอบครัวรู้ หากไม่จ่ายเงิน

    ที่น่าตกใจคือ อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งค่าให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตั้งแต่โรงงาน โดยไม่มีความจำเป็นทางคลินิก และโรงพยาบาลจำนวนมากไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น หรืออัปเดตระบบเลย

    นอกจากการขโมยข้อมูล ยังมีความเสี่ยงที่แฮกเกอร์จะ “แก้ไข” ข้อมูล เช่น เปลี่ยนผลตรวจ หรือเพิ่มขนาดยาที่สั่งจ่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง

    พบอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด
    ทำให้ข้อมูลหลุดออกสู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลที่หลุดรวมถึง MRI, X-ray, ผลเลือด และข้อมูลส่วนตัว
    เช่น ชื่อ เบอร์โทร และหมายเลขผู้ป่วย

    บางอุปกรณ์ไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ เช่น “admin” หรือ “123456”
    ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย

    ข้อมูลที่หลุดอาจถูกใช้แบล็กเมล์หรือหลอกลวงผู้ป่วย
    เช่น ส่งอีเมลปลอมจากโรงพยาบาลเพื่อขโมยข้อมูลเพิ่มเติม

    ประเทศที่มีอุปกรณ์หลุดมากที่สุดคือสหรัฐฯ, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, บราซิล และเยอรมนี
    รวมกันมากกว่า 600,000 เครื่อง

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทาง proactive security
    เช่น ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดและจัดการช่องโหว่ล่วงหน้า

    https://www.techradar.com/pro/security/mri-scans-x-rays-and-more-leaked-online-in-major-breach-over-a-million-healthcare-devices-affected-heres-what-we-know
    🧠💥 เรื่องเล่าจากห้องแล็บสู่โลกออนไลน์: เมื่อเครื่องมือแพทย์กลายเป็นช่องโหว่ให้ข้อมูลหลุด ลองจินตนาการว่า MRI หรือ X-ray ที่คุณเพิ่งตรวจ ถูกเก็บไว้ในระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ อย่าง “123456” แล้วข้อมูลนั้น—รวมถึงชื่อ เบอร์โทร และผลตรวจ—หลุดออกไปให้ใครก็ได้เห็น นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ จากการค้นพบของนักวิจัยจาก Modat ที่สแกนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และพบว่ามีมากกว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ทำให้ข้อมูลหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ ข้อมูลที่หลุดไม่ใช่แค่ภาพสแกนสมองหรือผลเลือด แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่สามารถนำไปใช้หลอกลวง หรือแม้แต่แบล็กเมล์ผู้ป่วยได้ เช่น ขู่จะเปิดเผยโรคที่เป็นให้ครอบครัวรู้ หากไม่จ่ายเงิน ที่น่าตกใจคือ อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งค่าให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตั้งแต่โรงงาน โดยไม่มีความจำเป็นทางคลินิก และโรงพยาบาลจำนวนมากไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น หรืออัปเดตระบบเลย นอกจากการขโมยข้อมูล ยังมีความเสี่ยงที่แฮกเกอร์จะ “แก้ไข” ข้อมูล เช่น เปลี่ยนผลตรวจ หรือเพิ่มขนาดยาที่สั่งจ่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง ✅ พบอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ➡️ ทำให้ข้อมูลหลุดออกสู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ ✅ ข้อมูลที่หลุดรวมถึง MRI, X-ray, ผลเลือด และข้อมูลส่วนตัว ➡️ เช่น ชื่อ เบอร์โทร และหมายเลขผู้ป่วย ✅ บางอุปกรณ์ไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ เช่น “admin” หรือ “123456” ➡️ ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ✅ ข้อมูลที่หลุดอาจถูกใช้แบล็กเมล์หรือหลอกลวงผู้ป่วย ➡️ เช่น ส่งอีเมลปลอมจากโรงพยาบาลเพื่อขโมยข้อมูลเพิ่มเติม ✅ ประเทศที่มีอุปกรณ์หลุดมากที่สุดคือสหรัฐฯ, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, บราซิล และเยอรมนี ➡️ รวมกันมากกว่า 600,000 เครื่อง ✅ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทาง proactive security ➡️ เช่น ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดและจัดการช่องโหว่ล่วงหน้า https://www.techradar.com/pro/security/mri-scans-x-rays-and-more-leaked-online-in-major-breach-over-a-million-healthcare-devices-affected-heres-what-we-know
    0 Comments 0 Shares 243 Views 0 Reviews
  • Great Britain vs. UK vs. England: Keep Calm And Learn The Difference

    If you sail off the coast of northwestern Europe and keep to the east of Ireland, you’ll find yourself in a country rich with history and royal magnificence. But what, exactly, is this country called? England? The United Kingdom? Great Britain? Or just Britain? Are any of these names correct? Are all of them?

    In this article, we’ll take a tour of the British Isles and discuss the technical differences between the terms Great Britain, United Kingdom, and England and explain how these terms often overlap with each other in casual use.

    Quick summary

    The United Kingdom (UK) is a country that consists of England, Scotland, Wales, and Northern Ireland. The name Great Britain refers to the island on which most of the non-sovereign countries of England, Scotland, and Wales are situated. In casual use, the names Great Britain and Britain (and even sometimes England) are often used to refer to the UK even though Northern Ireland isn’t geographically part of the island of Great Britain.

    Is the UK a country?

    The United Kingdom, officially known as The United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland, is a country located off the northwestern coast of the European mainland. The United Kingdom is a sovereign nation that exists as a political union between the countries of England, Scotland, Wales, and Northern Ireland. These countries, while they do have their own local governments and autonomy, are not considered sovereign nations. This means that, for example, the government of Scotland cannot negotiate international treaties or declare war.

    United Kingdom vs. Great Britain

    The United Kingdom, popularly abbreviated as the UK, is a sovereign nation spread across multiple islands on the coast of northwestern Europe.

    It consists of the countries of England, Scotland, Wales, and Northern Ireland.

    Great Britain is a large island on which most of England, Scotland, and Wales are located. It is geographically located to the east of the smaller island of Ireland, which consists of Northern Ireland and the separate, independent nation known as the Republic of Ireland. The term Great Britain does not include the Isle of Man or the many smaller islands located nearby that are part of the UK.

    In technical language, United Kingdom is a political term while Great Britain is a geographical one. However, these two terms overlap heavily in popular usage. Notably, the term Great Britain is popularly used as a synonym of United Kingdom, meaning Northern Ireland is included.

    Britain vs. England

    Some people, especially those who live in other countries, may casually use the terms Britain and England interchangeably. The word Britain is often used as a shortened form of Great Britain either to refer geographically to the island or to refer politically to the United Kingdom. Like Great Britain, the word Britain is often used as more than a geographical term.

    In addition to being used to refer to the modern UK, the word Britain is commonly used to refer to the historical British Empire. In this context, the name Britain is often used to refer to the nations or political entities that controlled Great Britain throughout British history, some of which also claimed rule over the entirety of the island of Ireland as well.

    So, Britain is often used in geographical contexts or to refer to the modern nation of the UK. In most of these uses, England is considered a part of Britain, but the two terms may sometimes be used synonymously in casual use.

    UK vs. England

    England is one of the four countries, along with Scotland, Wales, and Northern Ireland, that make up the sovereign nation of the UK. In fact, the union of these nations is what the United in United Kingdom refers to. Geographically, England spans the central and southern parts of Great Britain. Like the other three countries of the UK, England is not a sovereign state and cannot participate in international affairs by itself. Prior to the existence of the UK and the British Empire, England was a sovereign monarchy ruled by the same royal family that continues to act as the constitutional monarchs of the UK today.

    The national government of the UK is located in its capital city of London, England, which is likely one of the reasons why England is often conflated with the UK as a whole. While England specifically has had and continues to have significant political influence, it alone doesn’t decide the political actions of the UK. For example, the UK Parliament includes representatives from all four of its constituent countries.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Great Britain vs. UK vs. England: Keep Calm And Learn The Difference If you sail off the coast of northwestern Europe and keep to the east of Ireland, you’ll find yourself in a country rich with history and royal magnificence. But what, exactly, is this country called? England? The United Kingdom? Great Britain? Or just Britain? Are any of these names correct? Are all of them? In this article, we’ll take a tour of the British Isles and discuss the technical differences between the terms Great Britain, United Kingdom, and England and explain how these terms often overlap with each other in casual use. 🇬🇧 Quick summary The United Kingdom (UK) is a country that consists of England, Scotland, Wales, and Northern Ireland. The name Great Britain refers to the island on which most of the non-sovereign countries of England, Scotland, and Wales are situated. In casual use, the names Great Britain and Britain (and even sometimes England) are often used to refer to the UK even though Northern Ireland isn’t geographically part of the island of Great Britain. Is the UK a country? The United Kingdom, officially known as The United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland, is a country located off the northwestern coast of the European mainland. The United Kingdom is a sovereign nation that exists as a political union between the countries of England, Scotland, Wales, and Northern Ireland. These countries, while they do have their own local governments and autonomy, are not considered sovereign nations. This means that, for example, the government of Scotland cannot negotiate international treaties or declare war. United Kingdom vs. Great Britain The United Kingdom, popularly abbreviated as the UK, is a sovereign nation spread across multiple islands on the coast of northwestern Europe. It consists of the countries of England, Scotland, Wales, and Northern Ireland. Great Britain is a large island on which most of England, Scotland, and Wales are located. It is geographically located to the east of the smaller island of Ireland, which consists of Northern Ireland and the separate, independent nation known as the Republic of Ireland. The term Great Britain does not include the Isle of Man or the many smaller islands located nearby that are part of the UK. In technical language, United Kingdom is a political term while Great Britain is a geographical one. However, these two terms overlap heavily in popular usage. Notably, the term Great Britain is popularly used as a synonym of United Kingdom, meaning Northern Ireland is included. Britain vs. England Some people, especially those who live in other countries, may casually use the terms Britain and England interchangeably. The word Britain is often used as a shortened form of Great Britain either to refer geographically to the island or to refer politically to the United Kingdom. Like Great Britain, the word Britain is often used as more than a geographical term. In addition to being used to refer to the modern UK, the word Britain is commonly used to refer to the historical British Empire. In this context, the name Britain is often used to refer to the nations or political entities that controlled Great Britain throughout British history, some of which also claimed rule over the entirety of the island of Ireland as well. So, Britain is often used in geographical contexts or to refer to the modern nation of the UK. In most of these uses, England is considered a part of Britain, but the two terms may sometimes be used synonymously in casual use. UK vs. England England is one of the four countries, along with Scotland, Wales, and Northern Ireland, that make up the sovereign nation of the UK. In fact, the union of these nations is what the United in United Kingdom refers to. Geographically, England spans the central and southern parts of Great Britain. Like the other three countries of the UK, England is not a sovereign state and cannot participate in international affairs by itself. Prior to the existence of the UK and the British Empire, England was a sovereign monarchy ruled by the same royal family that continues to act as the constitutional monarchs of the UK today. The national government of the UK is located in its capital city of London, England, which is likely one of the reasons why England is often conflated with the UK as a whole. While England specifically has had and continues to have significant political influence, it alone doesn’t decide the political actions of the UK. For example, the UK Parliament includes representatives from all four of its constituent countries. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 396 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกเวอร์ชวล: Proxmox VE 9.0 อัปเดตครั้งใหญ่ที่พร้อมพาองค์กรสู่ยุคใหม่ของการจำลองระบบ

    Proxmox VE 9.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2025 โดยถือเป็นเวอร์ชันแรกของซีรีส์ 9.x ที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสามารถในการจัดการระบบเวอร์ชวลสำหรับทั้งองค์กรและผู้ใช้ระดับ home lab

    เวอร์ชันนี้สร้างบน Debian 13 “Trixie” พร้อม Linux kernel 6.14.8-2 ซึ่งช่วยให้รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ได้ดีขึ้น และเพิ่มความเสถียรในการใช้งาน KVM และ LXC โดยมีการอัปเดตเทคโนโลยีหลัก เช่น QEMU 10.0.2, LXC 6.0.4, ZFS 2.3.3 และ Ceph Squid 19.2.3 ที่ช่วยให้การจัดการ VM และ container มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ฟีเจอร์เด่นที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ snapshot สำหรับ VM บน LVM แบบ thick-provisioned, ระบบ Software-Defined Networking (SDN) ที่รองรับ OpenFabric และ OSPF, และ affinity rules สำหรับ High Availability ที่ช่วยให้วาง workload ได้อย่างแม่นยำ

    สำหรับผู้ที่ต้องการอัปเกรดจากเวอร์ชัน 8.x ไปยัง 9.0 Proxmox แนะนำให้ใช้สคริปต์ pve8to9 เพื่อเช็กความเข้ากันได้ก่อนอัปเกรด และควรสำรองข้อมูล VM และ container ทั้งหมด รวมถึงไฟล์ config ที่สำคัญ

    Proxmox VE 9.0 เปิดตัวเมื่อ 5 สิงหาคม 2025
    เป็นเวอร์ชันแรกของซีรีส์ 9.x ที่มีการอัปเดตครั้งใหญ่

    สร้างบน Debian 13 “Trixie” และใช้ Linux kernel 6.14.8-2
    เพิ่มความเสถียรและรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่

    อัปเดตเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ QEMU 10.0.2, LXC 6.0.4, ZFS 2.3.3, Ceph Squid 19.2.3
    เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการจัดการ VM และ container

    เพิ่ม snapshot สำหรับ VM บน LVM แบบ thick-provisioned
    เหมาะกับองค์กรที่ใช้ Fibre Channel หรือ iSCSI SAN

    รองรับ Software-Defined Networking ด้วย OpenFabric และ OSPF
    ช่วยสร้างโครงสร้างเครือข่ายที่ซับซ้อนและขยายได้

    เพิ่ม affinity rules สำหรับ High Availability
    ช่วยควบคุมการวาง workload ให้เหมาะสมกับทรัพยากร

    Proxmox VE 9.0 เหมาะกับ hybrid cloud และ software-defined datacenter
    รองรับการใช้งานระดับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่น

    pve8to9 เป็นสคริปต์เช็กความเข้ากันได้ก่อนอัปเกรด
    ช่วยตรวจสอบปัญหาและแนะนำการแก้ไข

    มีสองวิธีในการอัปเกรด: in-place upgrade และติดตั้งใหม่
    การติดตั้งใหม่ต้องสำรองข้อมูลและ config ทั้งหมด

    ควรใช้ tmux หรือ screen เมื่ออัปเกรดผ่าน SSH
    ป้องกันการหลุดการเชื่อมต่อระหว่างการอัปเกรด

    https://linuxconfig.org/proxmox-virtual-environment-9-0-released-a-comprehensive-update-with-enhanced-virtualization
    🖥️🚀 เรื่องเล่าจากโลกเวอร์ชวล: Proxmox VE 9.0 อัปเดตครั้งใหญ่ที่พร้อมพาองค์กรสู่ยุคใหม่ของการจำลองระบบ Proxmox VE 9.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2025 โดยถือเป็นเวอร์ชันแรกของซีรีส์ 9.x ที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสามารถในการจัดการระบบเวอร์ชวลสำหรับทั้งองค์กรและผู้ใช้ระดับ home lab เวอร์ชันนี้สร้างบน Debian 13 “Trixie” พร้อม Linux kernel 6.14.8-2 ซึ่งช่วยให้รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ได้ดีขึ้น และเพิ่มความเสถียรในการใช้งาน KVM และ LXC โดยมีการอัปเดตเทคโนโลยีหลัก เช่น QEMU 10.0.2, LXC 6.0.4, ZFS 2.3.3 และ Ceph Squid 19.2.3 ที่ช่วยให้การจัดการ VM และ container มีประสิทธิภาพมากขึ้น ฟีเจอร์เด่นที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ snapshot สำหรับ VM บน LVM แบบ thick-provisioned, ระบบ Software-Defined Networking (SDN) ที่รองรับ OpenFabric และ OSPF, และ affinity rules สำหรับ High Availability ที่ช่วยให้วาง workload ได้อย่างแม่นยำ สำหรับผู้ที่ต้องการอัปเกรดจากเวอร์ชัน 8.x ไปยัง 9.0 Proxmox แนะนำให้ใช้สคริปต์ pve8to9 เพื่อเช็กความเข้ากันได้ก่อนอัปเกรด และควรสำรองข้อมูล VM และ container ทั้งหมด รวมถึงไฟล์ config ที่สำคัญ ✅ Proxmox VE 9.0 เปิดตัวเมื่อ 5 สิงหาคม 2025 ➡️ เป็นเวอร์ชันแรกของซีรีส์ 9.x ที่มีการอัปเดตครั้งใหญ่ ✅ สร้างบน Debian 13 “Trixie” และใช้ Linux kernel 6.14.8-2 ➡️ เพิ่มความเสถียรและรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ✅ อัปเดตเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ QEMU 10.0.2, LXC 6.0.4, ZFS 2.3.3, Ceph Squid 19.2.3 ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการจัดการ VM และ container ✅ เพิ่ม snapshot สำหรับ VM บน LVM แบบ thick-provisioned ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ใช้ Fibre Channel หรือ iSCSI SAN ✅ รองรับ Software-Defined Networking ด้วย OpenFabric และ OSPF ➡️ ช่วยสร้างโครงสร้างเครือข่ายที่ซับซ้อนและขยายได้ ✅ เพิ่ม affinity rules สำหรับ High Availability ➡️ ช่วยควบคุมการวาง workload ให้เหมาะสมกับทรัพยากร ✅ Proxmox VE 9.0 เหมาะกับ hybrid cloud และ software-defined datacenter ➡️ รองรับการใช้งานระดับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่น ✅ pve8to9 เป็นสคริปต์เช็กความเข้ากันได้ก่อนอัปเกรด ➡️ ช่วยตรวจสอบปัญหาและแนะนำการแก้ไข ✅ มีสองวิธีในการอัปเกรด: in-place upgrade และติดตั้งใหม่ ➡️ การติดตั้งใหม่ต้องสำรองข้อมูลและ config ทั้งหมด ✅ ควรใช้ tmux หรือ screen เมื่ออัปเกรดผ่าน SSH ➡️ ป้องกันการหลุดการเชื่อมต่อระหว่างการอัปเกรด https://linuxconfig.org/proxmox-virtual-environment-9-0-released-a-comprehensive-update-with-enhanced-virtualization
    LINUXCONFIG.ORG
    Proxmox VE 9.0 Released: What's New, Key Features, and How to Upgrade from Version 8.x
    Explore the new features and enhancements of Proxmox VE 9.0, including updates to the virtualization stack, support for modern server hardware, and advanced storage solutions. Discover why this release is crucial for hybrid cloud environments and data centers.
    0 Comments 0 Shares 275 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เฮลซิงกิ เมืองที่ไม่มีใครตายบนถนนตลอดปี—บทพิสูจน์ของการวางแผนระยะยาวและความร่วมมือของทุกฝ่าย

    ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน เฮลซิงกิเคยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรถึง 30 รายต่อปี และอุบัติเหตุที่มีผู้บาดเจ็บเกือบ 1,000 ครั้งต่อปี แต่ในปี 2025 เมืองนี้สามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรลงเหลือ “ศูนย์” ได้สำเร็จ

    ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เป็นผลจากการวางแผนอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน, ลดความเร็วรถ, เพิ่มระบบขนส่งสาธารณะ, และใช้แนวคิด “Vision Zero” ที่เชื่อว่า “ไม่มีใครควรต้องตายจากการใช้ถนน”

    เฮลซิงกิบันทึกปี 2025 โดยไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรเลยแม้แต่รายเดียว
    ครั้งสุดท้ายที่มีผู้เสียชีวิตคือเดือนกรกฎาคม 2024 ในเขต Kontula
    ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเมืองหลวงยุโรป

    มากกว่าครึ่งของถนนในเฮลซิงกิมีการจำกัดความเร็วไว้ที่ 30 กม./ชม.
    ลดจาก 50 กม./ชม. ที่เคยใช้เมื่อ 50 ปีก่อน
    โดยเฉพาะรอบโรงเรียนและพื้นที่ชุมชน

    มีการออกแบบถนนใหม่เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    เช่น การจัดทางม้าลาย, แยกทางจักรยาน, และลดช่องทางรถยนต์
    ปลูกต้นไม้และสร้างภูมิทัศน์ให้ซับซ้อนเพื่อบังคับให้คนขับระมัดระวัง

    ระบบขนส่งสาธารณะมีประสิทธิภาพสูง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว
    มีการลงทุนในรถบัสไฟฟ้า, รถรางใหม่, และเครือข่ายจักรยานกว่า 1,500 กม.
    ส่งผลให้จำนวนอุบัติเหตุรุนแรงลดลงอย่างชัดเจน

    มีการใช้กล้องตรวจจับความเร็วและระบบบังคับใช้กฎหมายอัตโนมัติ
    ติดตั้งกล้องใหม่กว่า 70 ตัวทั่วเมือง
    เพิ่มความร่วมมือระหว่างตำรวจและเจ้าหน้าที่เมือง

    กลยุทธ์ Vision Zero ของ EU เป็นแนวทางหลักในการตัดสินใจ
    ตั้งเป้าหมายให้ไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุภายในปี 2050
    ใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ผลกระทบระยะยาวในการวางแผน

    จำนวนอุบัติเหตุที่มีผู้บาดเจ็บลดลงจาก 1,000 เหลือเพียง 277 รายในปีล่าสุด
    สะท้อนถึงผลลัพธ์ของการวางแผนและการออกแบบเมืองที่เน้นความปลอดภัย

    https://www.helsinkitimes.fi/finland/finland-news/domestic/27539-helsinki-records-zero-traffic-deaths-for-full-year.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เฮลซิงกิ เมืองที่ไม่มีใครตายบนถนนตลอดปี—บทพิสูจน์ของการวางแผนระยะยาวและความร่วมมือของทุกฝ่าย ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน เฮลซิงกิเคยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรถึง 30 รายต่อปี และอุบัติเหตุที่มีผู้บาดเจ็บเกือบ 1,000 ครั้งต่อปี แต่ในปี 2025 เมืองนี้สามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรลงเหลือ “ศูนย์” ได้สำเร็จ ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เป็นผลจากการวางแผนอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน, ลดความเร็วรถ, เพิ่มระบบขนส่งสาธารณะ, และใช้แนวคิด “Vision Zero” ที่เชื่อว่า “ไม่มีใครควรต้องตายจากการใช้ถนน” ✅ เฮลซิงกิบันทึกปี 2025 โดยไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรเลยแม้แต่รายเดียว ➡️ ครั้งสุดท้ายที่มีผู้เสียชีวิตคือเดือนกรกฎาคม 2024 ในเขต Kontula ➡️ ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเมืองหลวงยุโรป ✅ มากกว่าครึ่งของถนนในเฮลซิงกิมีการจำกัดความเร็วไว้ที่ 30 กม./ชม. ➡️ ลดจาก 50 กม./ชม. ที่เคยใช้เมื่อ 50 ปีก่อน ➡️ โดยเฉพาะรอบโรงเรียนและพื้นที่ชุมชน ✅ มีการออกแบบถนนใหม่เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ➡️ เช่น การจัดทางม้าลาย, แยกทางจักรยาน, และลดช่องทางรถยนต์ ➡️ ปลูกต้นไม้และสร้างภูมิทัศน์ให้ซับซ้อนเพื่อบังคับให้คนขับระมัดระวัง ✅ ระบบขนส่งสาธารณะมีประสิทธิภาพสูง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ➡️ มีการลงทุนในรถบัสไฟฟ้า, รถรางใหม่, และเครือข่ายจักรยานกว่า 1,500 กม. ➡️ ส่งผลให้จำนวนอุบัติเหตุรุนแรงลดลงอย่างชัดเจน ✅ มีการใช้กล้องตรวจจับความเร็วและระบบบังคับใช้กฎหมายอัตโนมัติ ➡️ ติดตั้งกล้องใหม่กว่า 70 ตัวทั่วเมือง ➡️ เพิ่มความร่วมมือระหว่างตำรวจและเจ้าหน้าที่เมือง ✅ กลยุทธ์ Vision Zero ของ EU เป็นแนวทางหลักในการตัดสินใจ ➡️ ตั้งเป้าหมายให้ไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุภายในปี 2050 ➡️ ใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ผลกระทบระยะยาวในการวางแผน ✅ จำนวนอุบัติเหตุที่มีผู้บาดเจ็บลดลงจาก 1,000 เหลือเพียง 277 รายในปีล่าสุด ➡️ สะท้อนถึงผลลัพธ์ของการวางแผนและการออกแบบเมืองที่เน้นความปลอดภัย https://www.helsinkitimes.fi/finland/finland-news/domestic/27539-helsinki-records-zero-traffic-deaths-for-full-year.html
    WWW.HELSINKITIMES.FI
    Helsinki records zero traffic deaths for full year
    Helsinki has completed 12 months without a single traffic fatality, a milestone credited to lower speed limits, safer infrastructure, and years of consistent planning, officials say.
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Coffeematic PC – คอมพิวเตอร์ที่ชงกาแฟ และใช้กาแฟร้อนในการ “ระบายความร้อน”

    ในฤดูหนาวปี 2024 Doug MacDowell ศิลปินและนักสร้างสรรค์ ได้หยิบเครื่องชงกาแฟ GE Coffeematic รุ่นปี 1980 จากร้านของมือสอง แล้วดัดแปลงให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เล่นเกมที่สามารถชงกาแฟได้จริง และใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนของ CPU

    เขาใช้ชิ้นส่วนเก่าจากยุค 2000 เช่น เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM, CPU AMD Athlon II X4, RAM DDR2 และ SSD 240GB ติดตั้งลงบนตัวเครื่องชงกาแฟ พร้อมระบบท่อและปั๊มที่หมุนเวียนกาแฟร้อน (~90°C) ผ่านหม้อน้ำสองตัว ก่อนส่งไปยัง CPU เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ที่ประมาณ 33°C

    แม้จะฟังดู “เกือบทำลายตัวเอง” แต่ Coffeematic PC กลับทำงานได้จริงทั้งในส่วนของคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟ แม้จะไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน และกาแฟที่ได้ก็ไม่ควรดื่มก็ตาม

    Coffeematic PC คือการรวมเครื่องชงกาแฟ GE รุ่นปี 1980 กับคอมพิวเตอร์เล่นเกม
    ใช้เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM และ CPU AMD Athlon II X4
    ติดตั้งบนตัวเครื่องด้วยแผ่นสแตนเลสและซีลกันน้ำ

    ระบบระบายความร้อนใช้กาแฟร้อนแทนน้ำหรือพัดลม
    กาแฟร้อน (~90°C) ถูกปั๊มผ่านหม้อน้ำก่อนถึง CPU
    อุณหภูมิ CPU คงที่ที่ ~33°C หลังหมุนเวียน 75 นาที

    ทั้งคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟทำงานได้จริง
    สามารถชงกาแฟและเปิดระบบปฏิบัติการ Linux Mint ได้
    มีปั๊มแยกสำหรับจ่ายกาแฟให้ผู้ใช้โดยตรง

    เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ “coffee maker PC” ที่มีมาตั้งแต่ปี 2002
    มีรุ่นก่อนหน้าเช่น The Caffeine Machine (2002), Zotac Mekspresso (2018), Mr. Coffee PC (2019), Nerdforge (2024)
    Coffeematic PC เป็นรุ่นที่ 5 ในสายงานนี้

    โครงการนี้เน้นความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการใช้งานจริง
    เป็นงานศิลปะเชิงเทคนิคที่ท้าทายขอบเขตของการออกแบบ
    แสดงในนิทรรศการ Sparklines พร้อมกราฟข้อมูลที่เขียนด้วยมือ

    กาแฟที่ใช้ในระบบไม่เหมาะสำหรับการบริโภค
    ท่อและปั๊มไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับอาหาร
    อาจเกิดเชื้อราและสิ่งสกปรกสะสมในระบบ

    ระบบเปิดเผยสายไฟและชิ้นส่วนทั้งหมด อาจเกิดอันตรายจากน้ำหก
    การเติมน้ำผิดพลาดอาจทำให้ระบบไฟฟ้าลัดวงจร
    ไม่มีการป้องกันจากการสัมผัสโดยตรง

    ไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวันหรือเป็นคอมพิวเตอร์หลัก
    ใช้ชิ้นส่วนเก่าที่ไม่รองรับซอฟต์แวร์ใหม่
    ประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน

    การใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนอาจเสี่ยงต่อความเสียหายของ CPU
    อุณหภูมิเริ่มต้นสูงเกินกว่าที่ CPU ควรรับได้
    ต้องพึ่งพาหม้อน้ำและการควบคุมที่แม่นยำ

    https://www.dougmacdowell.com/coffeematic-pc.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Coffeematic PC – คอมพิวเตอร์ที่ชงกาแฟ และใช้กาแฟร้อนในการ “ระบายความร้อน” ในฤดูหนาวปี 2024 Doug MacDowell ศิลปินและนักสร้างสรรค์ ได้หยิบเครื่องชงกาแฟ GE Coffeematic รุ่นปี 1980 จากร้านของมือสอง แล้วดัดแปลงให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เล่นเกมที่สามารถชงกาแฟได้จริง และใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนของ CPU เขาใช้ชิ้นส่วนเก่าจากยุค 2000 เช่น เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM, CPU AMD Athlon II X4, RAM DDR2 และ SSD 240GB ติดตั้งลงบนตัวเครื่องชงกาแฟ พร้อมระบบท่อและปั๊มที่หมุนเวียนกาแฟร้อน (~90°C) ผ่านหม้อน้ำสองตัว ก่อนส่งไปยัง CPU เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ที่ประมาณ 33°C แม้จะฟังดู “เกือบทำลายตัวเอง” แต่ Coffeematic PC กลับทำงานได้จริงทั้งในส่วนของคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟ แม้จะไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน และกาแฟที่ได้ก็ไม่ควรดื่มก็ตาม ✅ Coffeematic PC คือการรวมเครื่องชงกาแฟ GE รุ่นปี 1980 กับคอมพิวเตอร์เล่นเกม ➡️ ใช้เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM และ CPU AMD Athlon II X4 ➡️ ติดตั้งบนตัวเครื่องด้วยแผ่นสแตนเลสและซีลกันน้ำ ✅ ระบบระบายความร้อนใช้กาแฟร้อนแทนน้ำหรือพัดลม ➡️ กาแฟร้อน (~90°C) ถูกปั๊มผ่านหม้อน้ำก่อนถึง CPU ➡️ อุณหภูมิ CPU คงที่ที่ ~33°C หลังหมุนเวียน 75 นาที ✅ ทั้งคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟทำงานได้จริง ➡️ สามารถชงกาแฟและเปิดระบบปฏิบัติการ Linux Mint ได้ ➡️ มีปั๊มแยกสำหรับจ่ายกาแฟให้ผู้ใช้โดยตรง ✅ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ “coffee maker PC” ที่มีมาตั้งแต่ปี 2002 ➡️ มีรุ่นก่อนหน้าเช่น The Caffeine Machine (2002), Zotac Mekspresso (2018), Mr. Coffee PC (2019), Nerdforge (2024) ➡️ Coffeematic PC เป็นรุ่นที่ 5 ในสายงานนี้ ✅ โครงการนี้เน้นความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการใช้งานจริง ➡️ เป็นงานศิลปะเชิงเทคนิคที่ท้าทายขอบเขตของการออกแบบ ➡️ แสดงในนิทรรศการ Sparklines พร้อมกราฟข้อมูลที่เขียนด้วยมือ ‼️ กาแฟที่ใช้ในระบบไม่เหมาะสำหรับการบริโภค ⛔ ท่อและปั๊มไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับอาหาร ⛔ อาจเกิดเชื้อราและสิ่งสกปรกสะสมในระบบ ‼️ ระบบเปิดเผยสายไฟและชิ้นส่วนทั้งหมด อาจเกิดอันตรายจากน้ำหก ⛔ การเติมน้ำผิดพลาดอาจทำให้ระบบไฟฟ้าลัดวงจร ⛔ ไม่มีการป้องกันจากการสัมผัสโดยตรง ‼️ ไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวันหรือเป็นคอมพิวเตอร์หลัก ⛔ ใช้ชิ้นส่วนเก่าที่ไม่รองรับซอฟต์แวร์ใหม่ ⛔ ประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน ‼️ การใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนอาจเสี่ยงต่อความเสียหายของ CPU ⛔ อุณหภูมิเริ่มต้นสูงเกินกว่าที่ CPU ควรรับได้ ⛔ ต้องพึ่งพาหม้อน้ำและการควบคุมที่แม่นยำ https://www.dougmacdowell.com/coffeematic-pc.html
    WWW.DOUGMACDOWELL.COM
    Coffeematic PC – Coffee Maker Computer by Doug MacDowell
    A 1980s GE coffee maker converted into a working computer. Part art, part absurd machine, fully functional.
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: ธีม WordPress “Alone” ถูกเจาะทะลุ—เปิดทางให้แฮกเกอร์ยึดเว็บแบบเงียบ ๆ

    ธีม Alone – Charity Multipurpose Non-profit ซึ่งถูกใช้ในเว็บไซต์องค์กรการกุศลกว่า 200 แห่งทั่วโลก ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-4394 ที่เปิดให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถอัปโหลดไฟล์ ZIP ที่มี backdoor PHP เพื่อรันคำสั่งจากระยะไกล และสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบปลอมได้ทันที

    ช่องโหว่นี้มีอยู่ในทุกเวอร์ชันก่อน 7.8.5 ซึ่งเพิ่งได้รับการแก้ไขเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2025 แต่การโจมตีเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม ก่อนที่ช่องโหว่จะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะเพียง 2 วัน โดย Wordfence รายงานว่ามีความพยายามโจมตีมากกว่า 120,000 ครั้งแล้วจากหลาย IP ทั่วโลก

    แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้เพื่อ:
    - สร้างบัญชีแอดมินปลอม
    - อัปโหลดมัลแวร์
    - เปลี่ยนเส้นทางผู้เยี่ยมชมไปยังเว็บฟิชชิ่ง
    - ใช้เว็บไซต์เป็นฐานปล่อยมัลแวร์อื่น

    ธีม Alone – Charity Multipurpose ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-4394
    คะแนนความรุนแรง 9.8/10
    เปิดทางให้แฮกเกอร์อัปโหลดไฟล์และรันคำสั่งจากระยะไกล

    ช่องโหว่นี้มีอยู่ในทุกเวอร์ชันก่อน 7.8.5
    เวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ 7.8.5 ขึ้นไป
    ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    Wordfence รายงานว่ามีการโจมตีมากกว่า 120,000 ครั้งแล้ว
    เริ่มโจมตีตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2025
    ใช้ไฟล์ ZIP ที่มี backdoor เช่น wp-classic-editor.zip

    แฮกเกอร์สามารถสร้างบัญชีแอดมินปลอมและควบคุมเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ
    ใช้เว็บไซต์เป็นฐานปล่อยมัลแวร์หรือ redirect ไปยังเว็บอันตราย
    อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและข้อมูลผู้ใช้งาน

    ธีมนี้ถูกใช้ในเว็บไซต์องค์กรการกุศลและ NGO กว่า 200 แห่งทั่วโลก
    มีฟีเจอร์ donation integration และรองรับ Elementor/WPBakery
    เป็นธีมเชิงพาณิชย์ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มไม่แสวงหากำไร

    หากยังใช้เวอร์ชันก่อน 7.8.5 เว็บไซต์ของคุณเสี่ยงต่อการถูกยึดครองทันที
    ช่องโหว่เปิดให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน
    อาจถูกใช้เป็นฐานปล่อยมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผู้ใช้

    การโจมตีเกิดขึ้นก่อนการเปิดเผยช่องโหว่ต่อสาธารณะ
    แสดงว่าแฮกเกอร์ติดตามการเปลี่ยนแปลงโค้ดอย่างใกล้ชิด
    อาจมีการโจมตีแบบ zero-day ในธีมอื่น ๆ อีก

    ผู้ดูแลเว็บไซต์อาจไม่รู้ว่าถูกเจาะ เพราะมัลแวร์ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน
    เช่น การสร้างผู้ใช้ชื่อ “officialwp” หรือการซ่อนไฟล์ใน mu-plugins
    ต้องตรวจสอบ log และผู้ใช้แอดมินอย่างละเอียด

    การใช้ธีมและปลั๊กอินจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยเพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก
    ธีมเชิงพาณิชย์ที่ไม่มีการอัปเดตสม่ำเสมออาจมีช่องโหว่
    ควรใช้ธีมที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-target-critical-wordpress-theme-flaw-thousands-of-sites-at-risk-from-potential-takeover-find-out-if-youre-affected
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: ธีม WordPress “Alone” ถูกเจาะทะลุ—เปิดทางให้แฮกเกอร์ยึดเว็บแบบเงียบ ๆ ธีม Alone – Charity Multipurpose Non-profit ซึ่งถูกใช้ในเว็บไซต์องค์กรการกุศลกว่า 200 แห่งทั่วโลก ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-4394 ที่เปิดให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถอัปโหลดไฟล์ ZIP ที่มี backdoor PHP เพื่อรันคำสั่งจากระยะไกล และสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบปลอมได้ทันที ช่องโหว่นี้มีอยู่ในทุกเวอร์ชันก่อน 7.8.5 ซึ่งเพิ่งได้รับการแก้ไขเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2025 แต่การโจมตีเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม ก่อนที่ช่องโหว่จะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะเพียง 2 วัน โดย Wordfence รายงานว่ามีความพยายามโจมตีมากกว่า 120,000 ครั้งแล้วจากหลาย IP ทั่วโลก แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้เพื่อ: - สร้างบัญชีแอดมินปลอม - อัปโหลดมัลแวร์ - เปลี่ยนเส้นทางผู้เยี่ยมชมไปยังเว็บฟิชชิ่ง - ใช้เว็บไซต์เป็นฐานปล่อยมัลแวร์อื่น ✅ ธีม Alone – Charity Multipurpose ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-4394 ➡️ คะแนนความรุนแรง 9.8/10 ➡️ เปิดทางให้แฮกเกอร์อัปโหลดไฟล์และรันคำสั่งจากระยะไกล ✅ ช่องโหว่นี้มีอยู่ในทุกเวอร์ชันก่อน 7.8.5 ➡️ เวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ 7.8.5 ขึ้นไป ➡️ ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ✅ Wordfence รายงานว่ามีการโจมตีมากกว่า 120,000 ครั้งแล้ว ➡️ เริ่มโจมตีตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2025 ➡️ ใช้ไฟล์ ZIP ที่มี backdoor เช่น wp-classic-editor.zip ✅ แฮกเกอร์สามารถสร้างบัญชีแอดมินปลอมและควบคุมเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ ➡️ ใช้เว็บไซต์เป็นฐานปล่อยมัลแวร์หรือ redirect ไปยังเว็บอันตราย ➡️ อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและข้อมูลผู้ใช้งาน ✅ ธีมนี้ถูกใช้ในเว็บไซต์องค์กรการกุศลและ NGO กว่า 200 แห่งทั่วโลก ➡️ มีฟีเจอร์ donation integration และรองรับ Elementor/WPBakery ➡️ เป็นธีมเชิงพาณิชย์ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มไม่แสวงหากำไร ‼️ หากยังใช้เวอร์ชันก่อน 7.8.5 เว็บไซต์ของคุณเสี่ยงต่อการถูกยึดครองทันที ⛔ ช่องโหว่เปิดให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน ⛔ อาจถูกใช้เป็นฐานปล่อยมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผู้ใช้ ‼️ การโจมตีเกิดขึ้นก่อนการเปิดเผยช่องโหว่ต่อสาธารณะ ⛔ แสดงว่าแฮกเกอร์ติดตามการเปลี่ยนแปลงโค้ดอย่างใกล้ชิด ⛔ อาจมีการโจมตีแบบ zero-day ในธีมอื่น ๆ อีก ‼️ ผู้ดูแลเว็บไซต์อาจไม่รู้ว่าถูกเจาะ เพราะมัลแวร์ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน ⛔ เช่น การสร้างผู้ใช้ชื่อ “officialwp” หรือการซ่อนไฟล์ใน mu-plugins ⛔ ต้องตรวจสอบ log และผู้ใช้แอดมินอย่างละเอียด ‼️ การใช้ธีมและปลั๊กอินจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยเพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก ⛔ ธีมเชิงพาณิชย์ที่ไม่มีการอัปเดตสม่ำเสมออาจมีช่องโหว่ ⛔ ควรใช้ธีมที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย https://www.techradar.com/pro/security/hackers-target-critical-wordpress-theme-flaw-thousands-of-sites-at-risk-from-potential-takeover-find-out-if-youre-affected
    0 Comments 0 Shares 302 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Nvidia ปิดฉากการ์ดจอรุ่นเก๋า พร้อมส่งท้ายด้วยอัปเดตความปลอดภัย 3 ปี

    หลังจากให้บริการมานานกว่า 9–11 ปี Nvidia ประกาศว่า GPU ตระกูล Maxwell (GTX 900), Pascal (GTX 10) และ Volta (Titan V) จะได้รับไดรเวอร์ Game Ready ครั้งสุดท้ายในเดือนตุลาคม 2025 จากนั้นจะเปลี่ยนไปให้ “อัปเดตด้านความปลอดภัยรายไตรมาส” จนถึงตุลาคม 2028

    แม้จะไม่มีการปรับแต่งประสิทธิภาพหรือรองรับเกมใหม่อีกต่อไป แต่ผู้ใช้ยังสามารถเล่นเกมเดิมได้ตามปกติ หากเกมนั้นไม่ต้องการฟีเจอร์ใหม่อย่าง ray tracing หรือ DLSS ซึ่ง GPU รุ่นเก่าไม่รองรับอยู่แล้ว

    Nvidia ยังประกาศว่าจะขยายการสนับสนุน Game Ready บน Windows 10 สำหรับ GPU ตระกูล RTX ไปจนถึงตุลาคม 2026 แม้ Microsoft จะหยุดสนับสนุน Windows 10 ในเดือนตุลาคม 2025 ก็ตาม

    Nvidia จะหยุดออกไดรเวอร์ Game Ready สำหรับ GPU Maxwell, Pascal และ Volta ในเดือนตุลาคม 2025
    การ์ดจอที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ GTX 900, GTX 10 และ Titan V
    จะยังได้รับอัปเดตด้านความปลอดภัยรายไตรมาสไปจนถึงตุลาคม 2028

    การ์ดจอรุ่นเก่าเหล่านี้จะยังสามารถเล่นเกมได้ หากไม่ต้องการฟีเจอร์ใหม่
    เช่น ray tracing หรือ DLSS ที่เริ่มมีในสถาปัตยกรรม Turing เป็นต้นไป
    เกมเก่าและเกมที่ไม่ใช้ฟีเจอร์ใหม่ยังสามารถรันได้ตามปกติ

    Nvidia จะยังสนับสนุน Game Ready บน Windows 10 สำหรับ RTX GPU ไปจนถึงตุลาคม 2026
    เป็นการขยายเวลาหลังจาก Microsoft หยุดสนับสนุน Windows 10 ในตุลาคม 2025
    ช่วยให้ผู้ใช้มีเวลาวางแผนอัปเกรดระบบ

    GPU Maxwell เปิดตัวในปี 2014 และ Pascal ในปี 2016 ถือว่าได้รับการสนับสนุนยาวนานถึง 11 ปี
    เกินมาตรฐานอุตสาหกรรมทั่วไป
    GTX 1060 ยังติดอันดับการ์ดจอยอดนิยมใน Steam Survey ปี 2025

    ผู้ใช้ Pascal ยังสามารถใช้ Intel XeSS DP4a สำหรับการอัปสเกลภาพในบางเกมได้
    เป็นทางเลือกแทน DLSS ที่ไม่รองรับบน GPU รุ่นเก่า
    ช่วยยืดอายุการใช้งานในเกมที่รองรับ

    หลังตุลาคม 2025 จะไม่มีการปรับแต่งประสิทธิภาพหรือแก้บั๊กสำหรับเกมใหม่อีกต่อไป
    เกมใหม่อาจรันได้ไม่ดี หรือไม่เสถียรบน GPU Maxwell/Pascal
    ไม่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่หรือรองรับเทคโนโลยีล่าสุด

    GPU รุ่นเก่าไม่รองรับ DLSS หรือ ray tracing ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในเกม AAA ยุคใหม่
    ทำให้ภาพและประสิทธิภาพด้อยกว่าการ์ดรุ่นใหม่
    อาจไม่สามารถเล่นเกมที่บังคับใช้ฟีเจอร์เหล่านี้ได้เลย

    Windows 10 จะหยุดรับการอัปเดตจาก Microsoft ในตุลาคม 2025
    แม้ Nvidia จะขยายการสนับสนุนไปถึง 2026 แต่ระบบปฏิบัติการจะไม่มีฟีเจอร์ใหม่หรือแพตช์จาก Microsoft
    เสี่ยงต่อช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในระดับระบบ

    ผู้ใช้ที่ยังใช้ GPU รุ่นเก่าอาจต้องวางแผนอัปเกรดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
    หากต้องการเล่นเกมใหม่หรือใช้งานฟีเจอร์ AI เช่น DLSS 4
    การ์ดรุ่นใหม่อาจมีข้อกำหนดด้านระบบที่ต้องใช้ Windows 11

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-confirms-end-of-game-ready-driver-support-for-maxwell-and-pascal-gpus-affected-products-will-get-optimized-drivers-through-october-2025
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Nvidia ปิดฉากการ์ดจอรุ่นเก๋า พร้อมส่งท้ายด้วยอัปเดตความปลอดภัย 3 ปี หลังจากให้บริการมานานกว่า 9–11 ปี Nvidia ประกาศว่า GPU ตระกูล Maxwell (GTX 900), Pascal (GTX 10) และ Volta (Titan V) จะได้รับไดรเวอร์ Game Ready ครั้งสุดท้ายในเดือนตุลาคม 2025 จากนั้นจะเปลี่ยนไปให้ “อัปเดตด้านความปลอดภัยรายไตรมาส” จนถึงตุลาคม 2028 แม้จะไม่มีการปรับแต่งประสิทธิภาพหรือรองรับเกมใหม่อีกต่อไป แต่ผู้ใช้ยังสามารถเล่นเกมเดิมได้ตามปกติ หากเกมนั้นไม่ต้องการฟีเจอร์ใหม่อย่าง ray tracing หรือ DLSS ซึ่ง GPU รุ่นเก่าไม่รองรับอยู่แล้ว Nvidia ยังประกาศว่าจะขยายการสนับสนุน Game Ready บน Windows 10 สำหรับ GPU ตระกูล RTX ไปจนถึงตุลาคม 2026 แม้ Microsoft จะหยุดสนับสนุน Windows 10 ในเดือนตุลาคม 2025 ก็ตาม ✅ Nvidia จะหยุดออกไดรเวอร์ Game Ready สำหรับ GPU Maxwell, Pascal และ Volta ในเดือนตุลาคม 2025 ➡️ การ์ดจอที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ GTX 900, GTX 10 และ Titan V ➡️ จะยังได้รับอัปเดตด้านความปลอดภัยรายไตรมาสไปจนถึงตุลาคม 2028 ✅ การ์ดจอรุ่นเก่าเหล่านี้จะยังสามารถเล่นเกมได้ หากไม่ต้องการฟีเจอร์ใหม่ ➡️ เช่น ray tracing หรือ DLSS ที่เริ่มมีในสถาปัตยกรรม Turing เป็นต้นไป ➡️ เกมเก่าและเกมที่ไม่ใช้ฟีเจอร์ใหม่ยังสามารถรันได้ตามปกติ ✅ Nvidia จะยังสนับสนุน Game Ready บน Windows 10 สำหรับ RTX GPU ไปจนถึงตุลาคม 2026 ➡️ เป็นการขยายเวลาหลังจาก Microsoft หยุดสนับสนุน Windows 10 ในตุลาคม 2025 ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้มีเวลาวางแผนอัปเกรดระบบ ✅ GPU Maxwell เปิดตัวในปี 2014 และ Pascal ในปี 2016 ถือว่าได้รับการสนับสนุนยาวนานถึง 11 ปี ➡️ เกินมาตรฐานอุตสาหกรรมทั่วไป ➡️ GTX 1060 ยังติดอันดับการ์ดจอยอดนิยมใน Steam Survey ปี 2025 ✅ ผู้ใช้ Pascal ยังสามารถใช้ Intel XeSS DP4a สำหรับการอัปสเกลภาพในบางเกมได้ ➡️ เป็นทางเลือกแทน DLSS ที่ไม่รองรับบน GPU รุ่นเก่า ➡️ ช่วยยืดอายุการใช้งานในเกมที่รองรับ ‼️ หลังตุลาคม 2025 จะไม่มีการปรับแต่งประสิทธิภาพหรือแก้บั๊กสำหรับเกมใหม่อีกต่อไป ⛔ เกมใหม่อาจรันได้ไม่ดี หรือไม่เสถียรบน GPU Maxwell/Pascal ⛔ ไม่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่หรือรองรับเทคโนโลยีล่าสุด ‼️ GPU รุ่นเก่าไม่รองรับ DLSS หรือ ray tracing ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในเกม AAA ยุคใหม่ ⛔ ทำให้ภาพและประสิทธิภาพด้อยกว่าการ์ดรุ่นใหม่ ⛔ อาจไม่สามารถเล่นเกมที่บังคับใช้ฟีเจอร์เหล่านี้ได้เลย ‼️ Windows 10 จะหยุดรับการอัปเดตจาก Microsoft ในตุลาคม 2025 ⛔ แม้ Nvidia จะขยายการสนับสนุนไปถึง 2026 แต่ระบบปฏิบัติการจะไม่มีฟีเจอร์ใหม่หรือแพตช์จาก Microsoft ⛔ เสี่ยงต่อช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในระดับระบบ ‼️ ผู้ใช้ที่ยังใช้ GPU รุ่นเก่าอาจต้องวางแผนอัปเกรดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ⛔ หากต้องการเล่นเกมใหม่หรือใช้งานฟีเจอร์ AI เช่น DLSS 4 ⛔ การ์ดรุ่นใหม่อาจมีข้อกำหนดด้านระบบที่ต้องใช้ Windows 11 https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-confirms-end-of-game-ready-driver-support-for-maxwell-and-pascal-gpus-affected-products-will-get-optimized-drivers-through-october-2025
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “ช่องว่างแห่งความมั่นใจ” ที่อาจทำให้องค์กรพังโดยไม่รู้ตัว

    รายงานจาก Bitdefender และ Darktrace ในปี 2025 เผยให้เห็นช่องว่างความเข้าใจระหว่างผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) กับทีมปฏิบัติการด้านไซเบอร์ (security practitioners) อย่างชัดเจน

    - 45% ของ CISO เชื่อว่าระบบขององค์กรสามารถรับมือกับภัยคุกคามได้ดี
    - แต่มีเพียง 19% ของผู้จัดการระดับกลางที่เห็นด้วย
    - และเมื่อพูดถึงภัยจาก AI มีถึง 62% ของผู้บริหารที่มั่นใจว่าจะรับมือได้ แต่ทีมปฏิบัติการกลับมั่นใจแค่ 49%

    เหตุผลหลักคือ ผู้บริหารมักดูข้อมูลจาก dashboard และรายงานสรุป ในขณะที่ทีมปฏิบัติการต้องรับมือกับความจริงที่ซับซ้อน เช่น ระบบเก่า, การแจ้งเตือนล้นระบบ, และการขาดทรัพยากร

    ผลที่ตามมาคือการลงทุนผิดจุด เช่น เน้น compliance มากกว่าการพัฒนาเครื่องมือรับมือภัยจริง และการประเมินความเสี่ยงที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง

    CISO มั่นใจในความปลอดภัยขององค์กรมากกว่าทีมปฏิบัติการอย่างมีนัยสำคัญ
    45% ของผู้บริหารมั่นใจเทียบกับ 19% ของผู้จัดการระดับกลาง
    ช่องว่างนี้ส่งผลต่อการจัดลำดับความสำคัญในการลงทุน

    ภัยคุกคามจาก AI ถูกประเมินต่ำเกินไปโดยผู้บริหาร
    62% ของผู้บริหารมั่นใจว่าจะรับมือได้
    แต่ทีมปฏิบัติการเห็นว่าระบบยังไม่พร้อม และขาดความเข้าใจใน AI

    ทีมปฏิบัติการเผชิญกับความเครียดจากการแจ้งเตือนล้นระบบและเครื่องมือที่ไม่เชื่อมโยงกัน
    ทำให้มองเห็นปัญหาที่ผู้บริหารไม่เคยสัมผัส
    เช่น legacy systems, alert fatigue, และ policy ที่ไม่สอดคล้องกัน

    การลงทุนมักเน้น compliance และ visibility มากกว่าการพัฒนา core capabilities
    เช่น detection engineering, incident response, threat containment
    ส่งผลให้ระบบไม่พร้อมรับมือภัยจริง

    Darktrace พบว่า 78% ของ CISO เห็นว่า AI มีผลกระทบต่อองค์กรอย่างมาก
    แต่มีเพียง 42% ของผู้ปฏิบัติการที่เข้าใจว่า AI ในระบบคืออะไร
    ช่องว่างความรู้ทำให้การใช้ AI เพื่อป้องกันภัยยังไม่เต็มประสิทธิภาพ

    https://www.csoonline.com/article/4031648/mind-the-overconfidence-gap-cisos-and-staff-dont-see-eye-to-eye-on-security-posture.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “ช่องว่างแห่งความมั่นใจ” ที่อาจทำให้องค์กรพังโดยไม่รู้ตัว รายงานจาก Bitdefender และ Darktrace ในปี 2025 เผยให้เห็นช่องว่างความเข้าใจระหว่างผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) กับทีมปฏิบัติการด้านไซเบอร์ (security practitioners) อย่างชัดเจน - 45% ของ CISO เชื่อว่าระบบขององค์กรสามารถรับมือกับภัยคุกคามได้ดี - แต่มีเพียง 19% ของผู้จัดการระดับกลางที่เห็นด้วย - และเมื่อพูดถึงภัยจาก AI มีถึง 62% ของผู้บริหารที่มั่นใจว่าจะรับมือได้ แต่ทีมปฏิบัติการกลับมั่นใจแค่ 49% เหตุผลหลักคือ ผู้บริหารมักดูข้อมูลจาก dashboard และรายงานสรุป ในขณะที่ทีมปฏิบัติการต้องรับมือกับความจริงที่ซับซ้อน เช่น ระบบเก่า, การแจ้งเตือนล้นระบบ, และการขาดทรัพยากร ผลที่ตามมาคือการลงทุนผิดจุด เช่น เน้น compliance มากกว่าการพัฒนาเครื่องมือรับมือภัยจริง และการประเมินความเสี่ยงที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ✅ CISO มั่นใจในความปลอดภัยขององค์กรมากกว่าทีมปฏิบัติการอย่างมีนัยสำคัญ ➡️ 45% ของผู้บริหารมั่นใจเทียบกับ 19% ของผู้จัดการระดับกลาง ➡️ ช่องว่างนี้ส่งผลต่อการจัดลำดับความสำคัญในการลงทุน ✅ ภัยคุกคามจาก AI ถูกประเมินต่ำเกินไปโดยผู้บริหาร ➡️ 62% ของผู้บริหารมั่นใจว่าจะรับมือได้ ➡️ แต่ทีมปฏิบัติการเห็นว่าระบบยังไม่พร้อม และขาดความเข้าใจใน AI ✅ ทีมปฏิบัติการเผชิญกับความเครียดจากการแจ้งเตือนล้นระบบและเครื่องมือที่ไม่เชื่อมโยงกัน ➡️ ทำให้มองเห็นปัญหาที่ผู้บริหารไม่เคยสัมผัส ➡️ เช่น legacy systems, alert fatigue, และ policy ที่ไม่สอดคล้องกัน ✅ การลงทุนมักเน้น compliance และ visibility มากกว่าการพัฒนา core capabilities ➡️ เช่น detection engineering, incident response, threat containment ➡️ ส่งผลให้ระบบไม่พร้อมรับมือภัยจริง ✅ Darktrace พบว่า 78% ของ CISO เห็นว่า AI มีผลกระทบต่อองค์กรอย่างมาก ➡️ แต่มีเพียง 42% ของผู้ปฏิบัติการที่เข้าใจว่า AI ในระบบคืออะไร ➡️ ช่องว่างความรู้ทำให้การใช้ AI เพื่อป้องกันภัยยังไม่เต็มประสิทธิภาพ https://www.csoonline.com/article/4031648/mind-the-overconfidence-gap-cisos-and-staff-dont-see-eye-to-eye-on-security-posture.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Mind the overconfidence gap: CISOs and staff don’t see eye to eye on security posture
    Security executives may be prone to believing cyber defenses are stronger than front-line staff see them to be, thereby distorting spending priorities and creating a false sense of security.
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • ด่วน! ผู้ว่าศรีสะเกษประกาศฉุกเฉิน 3 อำเภอ กระทบประชาชนมากกว่า 3 แสนคน
    (Urgent! Sisaket governor declares emergency in 3 districts — over 300,000 people affected.) [28/7/68]

    #ด่วนศรีสะเกษ #ประกาศฉุกเฉิน3อำเภอ #ผู้ว่าศรีสะเกษ #วิกฤตชายแดน #กระทบประชาชนกว่า3แสน #สถานการณ์ฉุกเฉิน #ข่าวจังหวัดศรีสะเกษ #แนวหน้าเดือด #ThaiEmergencyAlert #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ข่าวด่วนภาคอีสาน
    #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 #カンボジアが先に発砲 #캄보디아가먼저발포 #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #thaitimes #news1 #shorts
    ด่วน! ผู้ว่าศรีสะเกษประกาศฉุกเฉิน 3 อำเภอ กระทบประชาชนมากกว่า 3 แสนคน (Urgent! Sisaket governor declares emergency in 3 districts — over 300,000 people affected.) [28/7/68] #ด่วนศรีสะเกษ #ประกาศฉุกเฉิน3อำเภอ #ผู้ว่าศรีสะเกษ #วิกฤตชายแดน #กระทบประชาชนกว่า3แสน #สถานการณ์ฉุกเฉิน #ข่าวจังหวัดศรีสะเกษ #แนวหน้าเดือด #ThaiEmergencyAlert #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ข่าวด่วนภาคอีสาน #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 #カンボジアが先に発砲 #캄보디아가먼저발포 #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #thaitimes #news1 #shorts
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 0 Reviews
  • Sweet daffodils
    Sweet daffodils
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสายโทรศัพท์: เมื่อแฮกเกอร์แค่ “ขอรหัส” แล้วได้จริง

    ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคม 2023 บริษัท Clorox ผู้ผลิตน้ำยาฟอกขาวชื่อดัง ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์โดยกลุ่ม Scattered Spider ซึ่งใช้วิธีง่ายๆ อย่างการโทรไปยังฝ่าย IT ของ Cognizant—ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีของ Clorox—แล้ว “ขอรหัสผ่าน” โดยแอบอ้างว่าเป็นพนักงาน

    สิ่งที่น่าตกใจคือ พนักงานของ Cognizant กลับให้รหัสผ่านโดยไม่ตรวจสอบตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น! ไม่ถามชื่อผู้จัดการ ไม่ตรวจสอบอีเมล ไม่ใช้ระบบยืนยันตัวตนที่ Clorox เตรียมไว้เลยแม้แต่นิดเดียว

    ผลลัพธ์คือ Clorox ต้องหยุดการผลิต, ปิดระบบ IT, และใช้การจัดการคำสั่งซื้อแบบแมนนวลนานหลายสัปดาห์ รวมความเสียหายกว่า 380 ล้านดอลลาร์ และล่าสุด Clorox ได้ฟ้อง Cognizant ฐานประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

    Clorox ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในเดือนสิงหาคม 2023 โดยกลุ่ม Scattered Spider
    ใช้วิธี social engineering โทรไปขอรหัสผ่านจากฝ่าย IT โดยแอบอ้างเป็นพนักงาน
    ไม่ใช้มัลแวร์หรือเทคนิคซับซ้อนใดๆ

    Cognizant เป็นผู้ให้บริการ IT ที่ดูแลระบบภายในของ Clorox รวมถึงการรีเซ็ตรหัสผ่านและ MFA
    มีหน้าที่ตรวจสอบตัวตนก่อนให้ข้อมูลสำคัญ
    แต่กลับละเลยขั้นตอนทั้งหมดที่ Clorox กำหนดไว้

    Clorox ฟ้อง Cognizant เรียกค่าเสียหาย 380 ล้านดอลลาร์
    รวมถึงค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูระบบกว่า 49 ล้านดอลลาร์
    และความเสียหายจากการหยุดผลิตและจัดส่งสินค้า

    มีหลักฐานเป็นบทสนทนาระหว่างแฮกเกอร์กับพนักงาน Cognizant ที่ให้รหัสโดยไม่ตรวจสอบ
    “I don’t have a password, so I can’t connect.”
    “Oh, ok. Ok. So, let me provide the password to you, okay?”

    ระบบที่ควรใช้คือ MyID และการตรวจสอบผ่านชื่อผู้จัดการและอีเมลยืนยัน
    แต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้เลยในเหตุการณ์นี้
    แสดงถึงความล้มเหลวในการฝึกอบรมและควบคุมคุณภาพ

    การละเลยขั้นตอนตรวจสอบตัวตนสามารถเปิดช่องให้เกิดการโจมตีร้ายแรง
    แม้จะมีระบบความปลอดภัยดีแค่ไหน แต่จุดอ่อนคือ “มนุษย์” ที่ไม่ทำตามขั้นตอน
    การแอบอ้างตัวตนเป็นวิธีพื้นฐานที่ยังได้ผลในหลายองค์กร

    การจ้างบริษัทภายนอกดูแลระบบ IT ต้องมีการกำกับและตรวจสอบอย่างเข้มงวด
    ไม่ควรคิดว่า “จ้างแล้วจบ” โดยไม่ติดตามการปฏิบัติงานจริง
    ควรมีสัญญาที่ระบุขั้นตอนความปลอดภัยอย่างชัดเจน

    การตอบสนองต่อเหตุการณ์โจมตีต้องรวดเร็วและแม่นยำ
    Clorox ระบุว่า Cognizantใช้เวลานานเกินไปในการติดตั้งเครื่องมือป้องกัน
    ส่งผลให้การควบคุมความเสียหายล่าช้าไปหลายชั่วโมง

    การละเมิดขั้นตอนพื้นฐานอาจนำไปสู่ความเสียหายระดับองค์กร
    ไม่ใช่แค่ข้อมูลรั่ว แต่กระทบถึงการผลิต, การจัดส่ง, และความเชื่อมั่นของลูกค้า
    อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนในการฟื้นฟูภาพลักษณ์และระบบ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/it-provider-sued-after-it-simply-handed-the-credentials-to-hackers-clorox-claims-cognizant-gaffe-enabled-a-usd380m-ransomware-attack
    🔓 เรื่องเล่าจากสายโทรศัพท์: เมื่อแฮกเกอร์แค่ “ขอรหัส” แล้วได้จริง ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคม 2023 บริษัท Clorox ผู้ผลิตน้ำยาฟอกขาวชื่อดัง ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์โดยกลุ่ม Scattered Spider ซึ่งใช้วิธีง่ายๆ อย่างการโทรไปยังฝ่าย IT ของ Cognizant—ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีของ Clorox—แล้ว “ขอรหัสผ่าน” โดยแอบอ้างว่าเป็นพนักงาน สิ่งที่น่าตกใจคือ พนักงานของ Cognizant กลับให้รหัสผ่านโดยไม่ตรวจสอบตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น! ไม่ถามชื่อผู้จัดการ ไม่ตรวจสอบอีเมล ไม่ใช้ระบบยืนยันตัวตนที่ Clorox เตรียมไว้เลยแม้แต่นิดเดียว ผลลัพธ์คือ Clorox ต้องหยุดการผลิต, ปิดระบบ IT, และใช้การจัดการคำสั่งซื้อแบบแมนนวลนานหลายสัปดาห์ รวมความเสียหายกว่า 380 ล้านดอลลาร์ และล่าสุด Clorox ได้ฟ้อง Cognizant ฐานประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ✅ Clorox ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในเดือนสิงหาคม 2023 โดยกลุ่ม Scattered Spider ➡️ ใช้วิธี social engineering โทรไปขอรหัสผ่านจากฝ่าย IT โดยแอบอ้างเป็นพนักงาน ➡️ ไม่ใช้มัลแวร์หรือเทคนิคซับซ้อนใดๆ ✅ Cognizant เป็นผู้ให้บริการ IT ที่ดูแลระบบภายในของ Clorox รวมถึงการรีเซ็ตรหัสผ่านและ MFA ➡️ มีหน้าที่ตรวจสอบตัวตนก่อนให้ข้อมูลสำคัญ ➡️ แต่กลับละเลยขั้นตอนทั้งหมดที่ Clorox กำหนดไว้ ✅ Clorox ฟ้อง Cognizant เรียกค่าเสียหาย 380 ล้านดอลลาร์ ➡️ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูระบบกว่า 49 ล้านดอลลาร์ ➡️ และความเสียหายจากการหยุดผลิตและจัดส่งสินค้า ✅ มีหลักฐานเป็นบทสนทนาระหว่างแฮกเกอร์กับพนักงาน Cognizant ที่ให้รหัสโดยไม่ตรวจสอบ ➡️ “I don’t have a password, so I can’t connect.” ➡️ “Oh, ok. Ok. So, let me provide the password to you, okay?” ✅ ระบบที่ควรใช้คือ MyID และการตรวจสอบผ่านชื่อผู้จัดการและอีเมลยืนยัน ➡️ แต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้เลยในเหตุการณ์นี้ ➡️ แสดงถึงความล้มเหลวในการฝึกอบรมและควบคุมคุณภาพ ‼️ การละเลยขั้นตอนตรวจสอบตัวตนสามารถเปิดช่องให้เกิดการโจมตีร้ายแรง ⛔ แม้จะมีระบบความปลอดภัยดีแค่ไหน แต่จุดอ่อนคือ “มนุษย์” ที่ไม่ทำตามขั้นตอน ⛔ การแอบอ้างตัวตนเป็นวิธีพื้นฐานที่ยังได้ผลในหลายองค์กร ‼️ การจ้างบริษัทภายนอกดูแลระบบ IT ต้องมีการกำกับและตรวจสอบอย่างเข้มงวด ⛔ ไม่ควรคิดว่า “จ้างแล้วจบ” โดยไม่ติดตามการปฏิบัติงานจริง ⛔ ควรมีสัญญาที่ระบุขั้นตอนความปลอดภัยอย่างชัดเจน ‼️ การตอบสนองต่อเหตุการณ์โจมตีต้องรวดเร็วและแม่นยำ ⛔ Clorox ระบุว่า Cognizantใช้เวลานานเกินไปในการติดตั้งเครื่องมือป้องกัน ⛔ ส่งผลให้การควบคุมความเสียหายล่าช้าไปหลายชั่วโมง ‼️ การละเมิดขั้นตอนพื้นฐานอาจนำไปสู่ความเสียหายระดับองค์กร ⛔ ไม่ใช่แค่ข้อมูลรั่ว แต่กระทบถึงการผลิต, การจัดส่ง, และความเชื่อมั่นของลูกค้า ⛔ อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนในการฟื้นฟูภาพลักษณ์และระบบ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/it-provider-sued-after-it-simply-handed-the-credentials-to-hackers-clorox-claims-cognizant-gaffe-enabled-a-usd380m-ransomware-attack
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากงานแต่งที่ไม่ใช่แค่เรื่องรัก: เมื่อลูกสาว Steve Jobs จัดงานแต่งที่สะท้อนทั้ง Silicon Valley และความหรูหราแบบอังกฤษ

    Eve Jobs วัย 27 ปี แม้จะเป็นทายาทของบุคคลที่เปลี่ยนโลกเทคโนโลยี แต่เธอเลือกเดินเส้นทางของตัวเองในวงการแฟชั่น และหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อเสียงของพ่อเพื่อเข้าสู่วงการไอที

    งานแต่งของเธอกับ Harry Charles นักกีฬาขี่ม้าทีมชาติอังกฤษ จะจัดขึ้นใน Oxfordshire ประเทศอังกฤษ โดยมี:
    - งบประมาณกว่า $6.7 ล้าน
    - ผู้จัดงานคือ Stanlee Gatti นักออกแบบงานอีเวนต์ชื่อดังจากแคลิฟอร์เนีย
    - คาดว่าจะมีการตกแต่งด้วยดอกไม้ immersive, สวนเทียน, และบรรยากาศแบบเทพนิยาย

    แขกที่ได้รับเชิญ ได้แก่:
    - Elton John (แสดงสด)
    - Kamala Harris (อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ)
    - เจ้าหญิง Beatrice
    - Jessica Springsteen
    - Jennifer และ Phoebe Gates
    - Matt Helders (Arctic Monkeys)

    แม้หลายคนจะคิดว่า Eve ใช้เงินจากมรดกของ Steve Jobs แต่ Laurene Powell Jobs แม่ของเธอเคยประกาศชัดว่าไม่เชื่อใน “การส่งต่อความมั่งคั่ง” และจะใช้ทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนงานการกุศลแทน

    งานแต่งนี้จึงสะท้อนว่า Eve กำลัง “นิยามใหม่” ของการสืบทอดชื่อ Jobs — ไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยี แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความสง่างามในแบบของเธอเอง

    https://wccftech.com/steve-jobs-daughter-to-host-6-7m-high-profile-tech-wedding-elton-john-performing-kamala-harris-attending-and-oxfordshire-bracing-for-a-star-studded-affair/
    🎙️ เรื่องเล่าจากงานแต่งที่ไม่ใช่แค่เรื่องรัก: เมื่อลูกสาว Steve Jobs จัดงานแต่งที่สะท้อนทั้ง Silicon Valley และความหรูหราแบบอังกฤษ Eve Jobs วัย 27 ปี แม้จะเป็นทายาทของบุคคลที่เปลี่ยนโลกเทคโนโลยี แต่เธอเลือกเดินเส้นทางของตัวเองในวงการแฟชั่น และหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อเสียงของพ่อเพื่อเข้าสู่วงการไอที งานแต่งของเธอกับ Harry Charles นักกีฬาขี่ม้าทีมชาติอังกฤษ จะจัดขึ้นใน Oxfordshire ประเทศอังกฤษ โดยมี: - งบประมาณกว่า $6.7 ล้าน - ผู้จัดงานคือ Stanlee Gatti นักออกแบบงานอีเวนต์ชื่อดังจากแคลิฟอร์เนีย - คาดว่าจะมีการตกแต่งด้วยดอกไม้ immersive, สวนเทียน, และบรรยากาศแบบเทพนิยาย แขกที่ได้รับเชิญ ได้แก่: - Elton John (แสดงสด) - Kamala Harris (อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ) - เจ้าหญิง Beatrice - Jessica Springsteen - Jennifer และ Phoebe Gates - Matt Helders (Arctic Monkeys) แม้หลายคนจะคิดว่า Eve ใช้เงินจากมรดกของ Steve Jobs แต่ Laurene Powell Jobs แม่ของเธอเคยประกาศชัดว่าไม่เชื่อใน “การส่งต่อความมั่งคั่ง” และจะใช้ทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนงานการกุศลแทน งานแต่งนี้จึงสะท้อนว่า Eve กำลัง “นิยามใหม่” ของการสืบทอดชื่อ Jobs — ไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยี แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความสง่างามในแบบของเธอเอง https://wccftech.com/steve-jobs-daughter-to-host-6-7m-high-profile-tech-wedding-elton-john-performing-kamala-harris-attending-and-oxfordshire-bracing-for-a-star-studded-affair/
    WCCFTECH.COM
    Steve Jobs’ Daughter To Host $6.7M High-Profile Tech Wedding - Elton John Performing, Kamala Harris Attending, And Oxfordshire Bracing For A Star-Studded Affair
    Eve Jobs, daughter of Apple's co-founder Steve Jobs is grabbing headlines for tying the knot in rather lavish wedding affair
    0 Comments 0 Shares 288 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Salt Typhoon แฮกเข้า US National Guard แบบเนียน 9 เดือนเต็ม

    ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อว่า Salt Typhoon ได้เจาะเข้าเครือข่ายของกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติสหรัฐ โดยไม่มีการตรวจจับได้นานถึง 9 เดือนเต็ม

    ข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วย:
    - สิทธิ์ผู้ดูแลระบบ (admin credentials)
    - ผังการจราจรบนเครือข่าย (network traffic diagrams)
    - แผนที่ทางภูมิศาสตร์
    - ข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII)

    ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่ม Salt Typhoon ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลการติดต่อระหว่างเครือข่ายของรัฐต่าง ๆ และอีก 4 ดินแดนของสหรัฐ แปลว่าพวกเขาอาจ “กระจายการโจมตี” ต่อไปยังระบบอื่น ๆ ได้โดยง่าย

    ถึงแม้รายงานจะไม่เปิดเผยวิธีการเจาะระบบครั้งนี้โดยตรง แต่ Department of Homeland Security เชื่อว่า Salt Typhoonอาจใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Cisco routers ที่ไม่ได้รับการอัปเดต (CVE exploitation)

    กลุ่ม Salt Typhoon ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Typhoon collective” ที่รวมถึง Brass Typhoon, Volt Typhoon ฯลฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐทั้งด้านทหาร การสื่อสาร และพลังงาน เพื่อใช้เป็นช่องทางโจมตีหากเกิดความตึงเครียดทางการทูต โดยเฉพาะประเด็น ไต้หวัน ระหว่างจีน-สหรัฐ

    Salt Typhoon แฮกเข้าเครือข่ายของ US National Guard นานถึง 9 เดือน
    ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 โดยไม่มีการตรวจพบ

    ขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น admin credentials และ PII ของทหาร
    รวมถึงผังเครือข่าย แผนที่ และข้อมูลการสื่อสารระหว่างรัฐ

    สามารถเข้าถึงข้อมูลจากเครือข่ายระหว่างรัฐและดินแดนอื่นอีก 4 แห่ง
    อาจเป็นช่องทางในการกระจายการโจมตีเพิ่มเติมไปยังองค์กรอื่น

    DHS คาดว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่ของอุปกรณ์ Cisco ในการเจาะระบบ
    โดยใช้มัลแวร์เช่น JumblePath และ GhostSpider ที่ใช้ในปฏิบัติการก่อนหน้า

    Salt Typhoon เป็นกลุ่มที่มีการโจมตีองค์กรอื่น ๆ มาแล้ว เช่น AT&T, Viasat
    แสดงถึงความต่อเนื่องและความสามารถในการบุกระบบเชิงลึก

    จุดประสงค์หลักคือเตรียมการสำหรับความขัดแย้งเรื่องไต้หวัน
    เพื่อให้พร้อมโจมตีหรือรบกวนระบบของสหรัฐในกรณีเกิดสงคราม

    การเจาะระบบระดับหน่วยงานทหารนานถึง 9 เดือนโดยไม่มีใครพบ
    แสดงถึงช่องโหว่ด้านการตรวจจับภัย (threat detection) ในระบบราชการ

    การละเมิดข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) อาจนำไปสู่การถูกโจมตีเจาะจงในอนาคต
    เช่น phishing หรือการขู่กรรโชกแบบ targeted

    ช่องโหว่ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้แพตช์ยังเป็นปัญหาใหญ่
    ต้องเร่งอัปเดตซอฟต์แวร์และควบคุมการใช้อุปกรณ์เครือข่ายให้ดีกว่านี้

    ปฏิบัติการลับของแฮกเกอร์ที่รอให้เกิดความขัดแย้งแล้วค่อยโจมตี
    เป็นภัยคุกคามระดับชาติที่ต้องการความร่วมมือจากหลายหน่วยงานเพื่อป้องกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-were-able-to-breach-us-national-guard-and-stay-undetected-for-months
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Salt Typhoon แฮกเข้า US National Guard แบบเนียน 9 เดือนเต็ม ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อว่า Salt Typhoon ได้เจาะเข้าเครือข่ายของกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติสหรัฐ โดยไม่มีการตรวจจับได้นานถึง 9 เดือนเต็ม 🧠 ข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วย: - สิทธิ์ผู้ดูแลระบบ (admin credentials) - ผังการจราจรบนเครือข่าย (network traffic diagrams) - แผนที่ทางภูมิศาสตร์ - ข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่ม Salt Typhoon ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลการติดต่อระหว่างเครือข่ายของรัฐต่าง ๆ และอีก 4 ดินแดนของสหรัฐ แปลว่าพวกเขาอาจ “กระจายการโจมตี” ต่อไปยังระบบอื่น ๆ ได้โดยง่าย ถึงแม้รายงานจะไม่เปิดเผยวิธีการเจาะระบบครั้งนี้โดยตรง แต่ Department of Homeland Security เชื่อว่า Salt Typhoonอาจใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Cisco routers ที่ไม่ได้รับการอัปเดต (CVE exploitation) กลุ่ม Salt Typhoon ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Typhoon collective” ที่รวมถึง Brass Typhoon, Volt Typhoon ฯลฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐทั้งด้านทหาร การสื่อสาร และพลังงาน เพื่อใช้เป็นช่องทางโจมตีหากเกิดความตึงเครียดทางการทูต โดยเฉพาะประเด็น ไต้หวัน ระหว่างจีน-สหรัฐ ✅ Salt Typhoon แฮกเข้าเครือข่ายของ US National Guard นานถึง 9 เดือน ➡️ ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 โดยไม่มีการตรวจพบ ✅ ขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น admin credentials และ PII ของทหาร ➡️ รวมถึงผังเครือข่าย แผนที่ และข้อมูลการสื่อสารระหว่างรัฐ ✅ สามารถเข้าถึงข้อมูลจากเครือข่ายระหว่างรัฐและดินแดนอื่นอีก 4 แห่ง ➡️ อาจเป็นช่องทางในการกระจายการโจมตีเพิ่มเติมไปยังองค์กรอื่น ✅ DHS คาดว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่ของอุปกรณ์ Cisco ในการเจาะระบบ ➡️ โดยใช้มัลแวร์เช่น JumblePath และ GhostSpider ที่ใช้ในปฏิบัติการก่อนหน้า ✅ Salt Typhoon เป็นกลุ่มที่มีการโจมตีองค์กรอื่น ๆ มาแล้ว เช่น AT&T, Viasat ➡️ แสดงถึงความต่อเนื่องและความสามารถในการบุกระบบเชิงลึก ✅ จุดประสงค์หลักคือเตรียมการสำหรับความขัดแย้งเรื่องไต้หวัน ➡️ เพื่อให้พร้อมโจมตีหรือรบกวนระบบของสหรัฐในกรณีเกิดสงคราม ‼️ การเจาะระบบระดับหน่วยงานทหารนานถึง 9 เดือนโดยไม่มีใครพบ ⛔ แสดงถึงช่องโหว่ด้านการตรวจจับภัย (threat detection) ในระบบราชการ ‼️ การละเมิดข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) อาจนำไปสู่การถูกโจมตีเจาะจงในอนาคต ⛔ เช่น phishing หรือการขู่กรรโชกแบบ targeted ‼️ ช่องโหว่ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้แพตช์ยังเป็นปัญหาใหญ่ ⛔ ต้องเร่งอัปเดตซอฟต์แวร์และควบคุมการใช้อุปกรณ์เครือข่ายให้ดีกว่านี้ ‼️ ปฏิบัติการลับของแฮกเกอร์ที่รอให้เกิดความขัดแย้งแล้วค่อยโจมตี ⛔ เป็นภัยคุกคามระดับชาติที่ต้องการความร่วมมือจากหลายหน่วยงานเพื่อป้องกัน https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-were-able-to-breach-us-national-guard-and-stay-undetected-for-months
    0 Comments 0 Shares 406 Views 0 Reviews
  • Every day, millions of people across India eagerly await the results of Lottery Sambad, hoping for a lucky break that could change their lives. Especially popular in states like Nagaland, West Bengal, and Sikkim, this government-authorized lottery has become more than just a game — it’s a symbol of hope for many.

    With three daily draws at 1 PM, 6 PM, and 8 PM, Lottery Sambad offers multiple chances to win. Tickets are affordable, often priced at just a few rupees, making it accessible to people from all walks of life. For many, buying a ticket is a small gesture of belief — a chance to dream big.
    https://sambadlottery.co/
    Winners can take home anything from a few hundred rupees to a life-changing sum of ₹1 crore. The results are published online and in newspapers, and for some, checking them becomes a daily ritual.

    While the thrill of winning is exciting, it's important to play responsibly. After all, the heart of Lottery Sambad lies in the joy of dreaming — and the hope that tomorrow might just be your lucky day.
    Every day, millions of people across India eagerly await the results of Lottery Sambad, hoping for a lucky break that could change their lives. Especially popular in states like Nagaland, West Bengal, and Sikkim, this government-authorized lottery has become more than just a game — it’s a symbol of hope for many. With three daily draws at 1 PM, 6 PM, and 8 PM, Lottery Sambad offers multiple chances to win. Tickets are affordable, often priced at just a few rupees, making it accessible to people from all walks of life. For many, buying a ticket is a small gesture of belief — a chance to dream big. https://sambadlottery.co/ Winners can take home anything from a few hundred rupees to a life-changing sum of ₹1 crore. The results are published online and in newspapers, and for some, checking them becomes a daily ritual. While the thrill of winning is exciting, it's important to play responsibly. After all, the heart of Lottery Sambad lies in the joy of dreaming — and the hope that tomorrow might just be your lucky day.
    SAMBADLOTTERY.CO
    Lottery Sambad Today Result
    Welcome to sambadLottery.co, the best place to see and download Lottery Sambad today result in various formats including PDF and Image. We provide fastest
    0 Comments 0 Shares 350 Views 0 Reviews
  • กทม. โร่ชี้แจงดราม่า "ภาพตัดต่อ" บน Traffy Fondue ยอมรับเจ้าหน้าที่ผิดจริง ลงโทษทางวินัยแล้ว! ผู้บริหารสั่งห้ามใช้ภาพปลอมปิดเรื่องร้องเรียนเด็ดขาด เตรียมประสาน สวทช. พัฒนาระบบ AI ตรวจจับ พร้อมขอบคุณ "ฟุตบาทไทยสไตล์" ชี้เป้า

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000067812

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    กทม. โร่ชี้แจงดราม่า "ภาพตัดต่อ" บน Traffy Fondue ยอมรับเจ้าหน้าที่ผิดจริง ลงโทษทางวินัยแล้ว! ผู้บริหารสั่งห้ามใช้ภาพปลอมปิดเรื่องร้องเรียนเด็ดขาด เตรียมประสาน สวทช. พัฒนาระบบ AI ตรวจจับ พร้อมขอบคุณ "ฟุตบาทไทยสไตล์" ชี้เป้า อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000067812 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 598 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกซีพียู: เมื่อความร้อนทำให้ Firefox ล่มเพราะ Intel Raptor Lake

    Gabriele Svelto วิศวกรอาวุโสของ Mozilla เปิดเผยว่า Firefox crash จำนวนมากในช่วงฤดูร้อนปี 2025 มาจากเครื่องที่ใช้ซีพียู Intel Raptor Lake โดยเฉพาะรุ่น Core i7-14700K ซึ่งมีปัญหาความไม่เสถียรที่รุนแรงขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูง

    ทีม Mozilla พบว่ารายงาน crash จาก Firefox สามารถบอกได้เลยว่าประเทศไหนในยุโรปกำลังเผชิญคลื่นความร้อน เพราะจำนวน crash จาก Raptor Lake พุ่งสูงในพื้นที่เหล่านั้น

    ปัญหานี้เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2023 และ Intel ใช้เวลาหลายเดือนในการหาสาเหตุ ซึ่งพบว่าเป็นการเสื่อมสภาพทางกายภาพของซิลิคอน ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยซอฟต์แวร์ มีเพียงการอัปเดต microcode เพื่อ “ลดโอกาส” ที่จะเกิดเท่านั้น

    ล่าสุด Intel ปล่อย microcode เวอร์ชัน 0x12F เพื่อแก้ปัญหา Vmin shift (แรงดันไฟต่ำผิดปกติ) แต่กลับทำให้บั๊กกลับมาอีกครั้งอย่างรุนแรง

    Mozilla จึงตัดสินใจปิดระบบ bot ที่ส่ง crash report อัตโนมัติ เพราะข้อมูลจาก Raptor Lake ล้นระบบ และไม่สามารถแยกแยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Firefox crash จำนวนมากเกิดจากเครื่องที่ใช้ Intel Raptor Lake
    โดยเฉพาะรุ่น Core i7-14700K ในพื้นที่ที่มีคลื่นความร้อน

    Mozilla พบว่ารายงาน crash สะท้อนสภาพอากาศในยุโรปได้
    เพราะจำนวน crash พุ่งสูงในประเทศที่มีอุณหภูมิสูง

    ปัญหาความไม่เสถียรของ Raptor Lake เกิดจากการเสื่อมสภาพของซิลิคอน
    ไม่สามารถแก้ด้วย patch หรือซอฟต์แวร์

    Intel ปล่อย microcode 0x12F เพื่อแก้ Vmin shift
    แต่กลับทำให้บั๊กกลับมาอีกครั้ง

    Mozilla ปิดระบบ bot ที่ส่ง crash report อัตโนมัติ
    เพราะข้อมูลจาก Raptor Lake ล้นระบบและทำให้การวิเคราะห์ผิดเพี้ยน

    Intel ขยายระยะประกันจาก 3 ปีเป็น 5 ปีสำหรับชิปที่ได้รับผลกระทบ
    ผู้ใช้สามารถ RMA เพื่อขอเปลี่ยนชิปได้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/firefox-dev-says-intel-raptor-lake-crashes-are-increasing-with-rising-temperatures-in-record-european-heat-wave-mozilla-staffs-tracking-overwhelmed-by-intel-crash-reports-team-disables-the-function
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกซีพียู: เมื่อความร้อนทำให้ Firefox ล่มเพราะ Intel Raptor Lake Gabriele Svelto วิศวกรอาวุโสของ Mozilla เปิดเผยว่า Firefox crash จำนวนมากในช่วงฤดูร้อนปี 2025 มาจากเครื่องที่ใช้ซีพียู Intel Raptor Lake โดยเฉพาะรุ่น Core i7-14700K ซึ่งมีปัญหาความไม่เสถียรที่รุนแรงขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูง ทีม Mozilla พบว่ารายงาน crash จาก Firefox สามารถบอกได้เลยว่าประเทศไหนในยุโรปกำลังเผชิญคลื่นความร้อน เพราะจำนวน crash จาก Raptor Lake พุ่งสูงในพื้นที่เหล่านั้น ปัญหานี้เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2023 และ Intel ใช้เวลาหลายเดือนในการหาสาเหตุ ซึ่งพบว่าเป็นการเสื่อมสภาพทางกายภาพของซิลิคอน ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยซอฟต์แวร์ มีเพียงการอัปเดต microcode เพื่อ “ลดโอกาส” ที่จะเกิดเท่านั้น ล่าสุด Intel ปล่อย microcode เวอร์ชัน 0x12F เพื่อแก้ปัญหา Vmin shift (แรงดันไฟต่ำผิดปกติ) แต่กลับทำให้บั๊กกลับมาอีกครั้งอย่างรุนแรง Mozilla จึงตัดสินใจปิดระบบ bot ที่ส่ง crash report อัตโนมัติ เพราะข้อมูลจาก Raptor Lake ล้นระบบ และไม่สามารถแยกแยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ Firefox crash จำนวนมากเกิดจากเครื่องที่ใช้ Intel Raptor Lake ➡️ โดยเฉพาะรุ่น Core i7-14700K ในพื้นที่ที่มีคลื่นความร้อน ✅ Mozilla พบว่ารายงาน crash สะท้อนสภาพอากาศในยุโรปได้ ➡️ เพราะจำนวน crash พุ่งสูงในประเทศที่มีอุณหภูมิสูง ✅ ปัญหาความไม่เสถียรของ Raptor Lake เกิดจากการเสื่อมสภาพของซิลิคอน ➡️ ไม่สามารถแก้ด้วย patch หรือซอฟต์แวร์ ✅ Intel ปล่อย microcode 0x12F เพื่อแก้ Vmin shift ➡️ แต่กลับทำให้บั๊กกลับมาอีกครั้ง ✅ Mozilla ปิดระบบ bot ที่ส่ง crash report อัตโนมัติ ➡️ เพราะข้อมูลจาก Raptor Lake ล้นระบบและทำให้การวิเคราะห์ผิดเพี้ยน ✅ Intel ขยายระยะประกันจาก 3 ปีเป็น 5 ปีสำหรับชิปที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ผู้ใช้สามารถ RMA เพื่อขอเปลี่ยนชิปได้ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/firefox-dev-says-intel-raptor-lake-crashes-are-increasing-with-rising-temperatures-in-record-european-heat-wave-mozilla-staffs-tracking-overwhelmed-by-intel-crash-reports-team-disables-the-function
    0 Comments 0 Shares 296 Views 0 Reviews
More Results