• YouTube ครองใจผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอังกฤษ

    รายงาน Online Nation 2025 ของ Ofcom เปิดเผยว่า ชาวอังกฤษใช้เวลาเฉลี่ย 51 นาทีต่อวันบน YouTube โดยบริการจาก Alphabet และ Meta ครองเวลาการใช้งานออนไลน์มากกว่าครึ่ง สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของภูมิทัศน์สื่อในสหราชอาณาจักร

    ในปี 2025 ชาวอังกฤษใช้เวลาเฉลี่ย 4 ชั่วโมงครึ่งต่อวันบนโลกออนไลน์ เพิ่มขึ้น 10 นาทีจากปีก่อน โดย YouTube เป็นบริการยอดนิยมที่สุดของ Alphabet มีผู้ใช้งานถึง 94% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผู้ใหญ่ แซงหน้า Google Search ที่มี 82%.

    Meta ยังคงแข็งแกร่ง
    แม้ YouTube จะเติบโต แต่บริการของ Meta ก็ยังครองตลาด โดย Facebook และ Messenger มีผู้ใช้ถึง 93% และ WhatsApp มีผู้ใช้ 90% ทำให้ทั้ง Alphabet และ Meta รวมกันครองเวลาการใช้งานออนไลน์มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหราชอาณาจักร.

    สื่อดั้งเดิมสูญเสียพื้นที่
    ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ YouTube และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทำให้ ผู้ชมของสื่อกระจายเสียงแบบดั้งเดิมลดลง ตัวอย่างเช่น Sky (ในเครือ Comcast) กำลังเจรจาซื้อ ITV ซึ่งเป็นสถานีฟรีทีวีใหญ่ที่สุดของอังกฤษ เพื่อปรับตัวต่อการแข่งขันกับแพลตฟอร์มดิจิทัล.

    ตลาดโฆษณาที่เปลี่ยนไป
    ในปี 2024 Meta และ Google ครองส่วนแบ่งโฆษณาในสหราชอาณาจักรมากถึง 60% โดย YouTube เป็นบริการที่มีผู้ชมมากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจาก BBC เท่านั้น ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มีการ ปรับกฎเกณฑ์การโฆษณาใหม่ เพื่อสะท้อนการแข่งขันกับบริการดิจิทัล.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การใช้งาน YouTube ในสหราชอาณาจักร
    เฉลี่ย 51 นาทีต่อวันในปี 2025
    ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผู้ใหญ่ 94% ใช้ YouTube

    การใช้งานบริการอื่น ๆ
    Google Search มีผู้ใช้ 82%
    Facebook และ Messenger มีผู้ใช้ 93%
    WhatsApp มีผู้ใช้ 90%

    แนวโน้มสื่อและโฆษณา
    ผู้ชมสื่อดั้งเดิมลดลง
    Sky เจรจาซื้อ ITV เพื่อแข่งขันกับแพลตฟอร์มดิจิทัล
    Meta และ Google ครอง 60% ของตลาดโฆษณาในปี 2024

    คำเตือนต่อสื่อดั้งเดิมและตลาดโฆษณา
    การสูญเสียผู้ชมอาจทำให้สื่อดั้งเดิมเสื่อมความสำคัญ
    หากไม่ปรับกฎเกณฑ์โฆษณา อาจเกิดความไม่สมดุลในตลาด
    การพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลมากเกินไปอาจกระทบต่อความหลากหลายของสื่อ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/10/britons-watch-youtube-for-51-minutes-a-day-regulator-ofcom-says
    📺 YouTube ครองใจผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอังกฤษ รายงาน Online Nation 2025 ของ Ofcom เปิดเผยว่า ชาวอังกฤษใช้เวลาเฉลี่ย 51 นาทีต่อวันบน YouTube โดยบริการจาก Alphabet และ Meta ครองเวลาการใช้งานออนไลน์มากกว่าครึ่ง สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของภูมิทัศน์สื่อในสหราชอาณาจักร ในปี 2025 ชาวอังกฤษใช้เวลาเฉลี่ย 4 ชั่วโมงครึ่งต่อวันบนโลกออนไลน์ เพิ่มขึ้น 10 นาทีจากปีก่อน โดย YouTube เป็นบริการยอดนิยมที่สุดของ Alphabet มีผู้ใช้งานถึง 94% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผู้ใหญ่ แซงหน้า Google Search ที่มี 82%. 📱 Meta ยังคงแข็งแกร่ง แม้ YouTube จะเติบโต แต่บริการของ Meta ก็ยังครองตลาด โดย Facebook และ Messenger มีผู้ใช้ถึง 93% และ WhatsApp มีผู้ใช้ 90% ทำให้ทั้ง Alphabet และ Meta รวมกันครองเวลาการใช้งานออนไลน์มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหราชอาณาจักร. 📉 สื่อดั้งเดิมสูญเสียพื้นที่ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ YouTube และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทำให้ ผู้ชมของสื่อกระจายเสียงแบบดั้งเดิมลดลง ตัวอย่างเช่น Sky (ในเครือ Comcast) กำลังเจรจาซื้อ ITV ซึ่งเป็นสถานีฟรีทีวีใหญ่ที่สุดของอังกฤษ เพื่อปรับตัวต่อการแข่งขันกับแพลตฟอร์มดิจิทัล. 💵 ตลาดโฆษณาที่เปลี่ยนไป ในปี 2024 Meta และ Google ครองส่วนแบ่งโฆษณาในสหราชอาณาจักรมากถึง 60% โดย YouTube เป็นบริการที่มีผู้ชมมากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจาก BBC เท่านั้น ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มีการ ปรับกฎเกณฑ์การโฆษณาใหม่ เพื่อสะท้อนการแข่งขันกับบริการดิจิทัล. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การใช้งาน YouTube ในสหราชอาณาจักร ➡️ เฉลี่ย 51 นาทีต่อวันในปี 2025 ➡️ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผู้ใหญ่ 94% ใช้ YouTube ✅ การใช้งานบริการอื่น ๆ ➡️ Google Search มีผู้ใช้ 82% ➡️ Facebook และ Messenger มีผู้ใช้ 93% ➡️ WhatsApp มีผู้ใช้ 90% ✅ แนวโน้มสื่อและโฆษณา ➡️ ผู้ชมสื่อดั้งเดิมลดลง ➡️ Sky เจรจาซื้อ ITV เพื่อแข่งขันกับแพลตฟอร์มดิจิทัล ➡️ Meta และ Google ครอง 60% ของตลาดโฆษณาในปี 2024 ‼️ คำเตือนต่อสื่อดั้งเดิมและตลาดโฆษณา ⛔ การสูญเสียผู้ชมอาจทำให้สื่อดั้งเดิมเสื่อมความสำคัญ ⛔ หากไม่ปรับกฎเกณฑ์โฆษณา อาจเกิดความไม่สมดุลในตลาด ⛔ การพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลมากเกินไปอาจกระทบต่อความหลากหลายของสื่อ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/10/britons-watch-youtube-for-51-minutes-a-day-regulator-ofcom-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Britons watch YouTube for 51 minutes a day, regulator Ofcom says
    LONDON, Dec 10 (Reuters) - Britons watched YouTube on average for 51 minutes a day in 2025 on smartphones, tablets and PCs, regulator Ofcom said, noting that services from its owner Alphabet and from Meta account for more than half of all time spent online.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • เผยเหตุ ซีเกมส์เขมรถอนตัว เพราะโปรโมท "กาสิNo" บนเสื้อวอร์ม เสร็จแล้ว
    ตั้งใจมาแข่งกีฬา ตั้งใจมาโปรโมทบ่อน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เผยเหตุ ซีเกมส์เขมรถอนตัว เพราะโปรโมท "กาสิNo" บนเสื้อวอร์ม เสร็จแล้ว ตั้งใจมาแข่งกีฬา❌ ตั้งใจมาโปรโมทบ่อน✔️ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลดแคลอรี 30% อาจช่วยป้องกันสมองจากความเสื่อม

    งานวิจัยใหม่ในลิง rhesus พบว่า การลดแคลอรีลงประมาณ 30% ช่วยชะลอการเสื่อมของสมอง โดยเฉพาะการปกป้อง myelin ซึ่งเป็นปลอกหุ้มเส้นใยประสาทที่สำคัญต่อการสื่อสารของสมอง

    รายละเอียดการศึกษา
    ทีมนักวิจัยจาก Boston University ศึกษาลิง rhesus จำนวน 24 ตัว ที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารปกติและอาหารลดแคลอรีลง 30% เป็นเวลากว่า 20 ปี พบว่า สมองของลิงที่ลดแคลอรีมีการสื่อสารของเซลล์ประสาทที่ดีขึ้น และมีการปกป้องโครงสร้างสมองจากการเสื่อมตามวัย

    บทบาทของ Myelin
    งานวิจัยเน้นไปที่ myelin ซึ่งเป็นปลอกไขมันหุ้มเส้นใยประสาท ทำหน้าที่เร่งการส่งสัญญาณในสมอง เมื่ออายุมากขึ้น myelin มักเสื่อมสภาพและก่อให้เกิดการอักเสบ แต่ในลิงที่ลดแคลอรี ยีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและซ่อมแซม myelin ทำงานได้ดีกว่า ทำให้สมองยังคงมีประสิทธิภาพสูง

    ความหมายต่อมนุษย์
    แม้การทดลองนี้ทำในลิง แต่สมองของลิง rhesus มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มาก ผลลัพธ์จึงบ่งชี้ว่า การลดแคลอรีในระยะยาวอาจช่วยชะลอความเสื่อมของสมองในคนได้ และอาจมีผลต่อการลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม เช่น Alzheimer’s และ Parkinson’s

    ข้อควรระวัง
    นักวิจัยย้ำว่าแม้การลดแคลอรีมีประโยชน์ แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อสุขภาพสมอง เช่น คุณภาพการนอน และการเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆ ดังนั้นการดูแลสมองควรเป็นการผสมผสานหลายวิธี ไม่ใช่พึ่งพาการลดอาหารเพียงอย่างเดียว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การลดแคลอรีลง 30% ช่วยชะลอการเสื่อมของสมองในลิง rhesus
    พบการสื่อสารของเซลล์ประสาทที่ดีขึ้นและโครงสร้างสมองแข็งแรงกว่า

    Myelin ได้รับการปกป้องมากขึ้นในกลุ่มที่ลดแคลอรี
    ยีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและซ่อมแซม myelin ทำงานมีประสิทธิภาพ

    ผลลัพธ์อาจมีความหมายต่อมนุษย์
    อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม เช่น Alzheimer’s และ Parkinson’s

    การลดแคลอรีไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ดูแลสมองได้
    ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น เช่น การนอนหลับและการเรียนรู้

    https://www.sciencealert.com/cutting-calories-by-30-may-be-enough-to-shield-brain-against-aging
    🧠 ลดแคลอรี 30% อาจช่วยป้องกันสมองจากความเสื่อม งานวิจัยใหม่ในลิง rhesus พบว่า การลดแคลอรีลงประมาณ 30% ช่วยชะลอการเสื่อมของสมอง โดยเฉพาะการปกป้อง myelin ซึ่งเป็นปลอกหุ้มเส้นใยประสาทที่สำคัญต่อการสื่อสารของสมอง 🔬 รายละเอียดการศึกษา ทีมนักวิจัยจาก Boston University ศึกษาลิง rhesus จำนวน 24 ตัว ที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารปกติและอาหารลดแคลอรีลง 30% เป็นเวลากว่า 20 ปี พบว่า สมองของลิงที่ลดแคลอรีมีการสื่อสารของเซลล์ประสาทที่ดีขึ้น และมีการปกป้องโครงสร้างสมองจากการเสื่อมตามวัย 🧩 บทบาทของ Myelin งานวิจัยเน้นไปที่ myelin ซึ่งเป็นปลอกไขมันหุ้มเส้นใยประสาท ทำหน้าที่เร่งการส่งสัญญาณในสมอง เมื่ออายุมากขึ้น myelin มักเสื่อมสภาพและก่อให้เกิดการอักเสบ แต่ในลิงที่ลดแคลอรี ยีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและซ่อมแซม myelin ทำงานได้ดีกว่า ทำให้สมองยังคงมีประสิทธิภาพสูง 🌍 ความหมายต่อมนุษย์ แม้การทดลองนี้ทำในลิง แต่สมองของลิง rhesus มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มาก ผลลัพธ์จึงบ่งชี้ว่า การลดแคลอรีในระยะยาวอาจช่วยชะลอความเสื่อมของสมองในคนได้ และอาจมีผลต่อการลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม เช่น Alzheimer’s และ Parkinson’s ⚖️ ข้อควรระวัง นักวิจัยย้ำว่าแม้การลดแคลอรีมีประโยชน์ แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อสุขภาพสมอง เช่น คุณภาพการนอน และการเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆ ดังนั้นการดูแลสมองควรเป็นการผสมผสานหลายวิธี ไม่ใช่พึ่งพาการลดอาหารเพียงอย่างเดียว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การลดแคลอรีลง 30% ช่วยชะลอการเสื่อมของสมองในลิง rhesus ➡️ พบการสื่อสารของเซลล์ประสาทที่ดีขึ้นและโครงสร้างสมองแข็งแรงกว่า ✅ Myelin ได้รับการปกป้องมากขึ้นในกลุ่มที่ลดแคลอรี ➡️ ยีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและซ่อมแซม myelin ทำงานมีประสิทธิภาพ ✅ ผลลัพธ์อาจมีความหมายต่อมนุษย์ ➡️ อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม เช่น Alzheimer’s และ Parkinson’s ‼️ การลดแคลอรีไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ดูแลสมองได้ ⛔ ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น เช่น การนอนหลับและการเรียนรู้ https://www.sciencealert.com/cutting-calories-by-30-may-be-enough-to-shield-brain-against-aging
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Cutting Calories by 30% May Be Enough to Shield Brain Against Aging
    A calorie-restricted diet could slow down the aging that naturally happens in the brain as we get older, according to a new study of rhesus monkeys, and the findings could also be relevant to brain diseases such as Alzheimer's.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ว่าฯ กกเทา เป็นดร.
    แต่ไม่รู้ว่าใส่เสื้อวอร์มติดโลโก้กาสิNo ผิดไหม ส้วม สนาม ลำโพง หลอดไฟ เสื้อ งานยากทั้งน้านนนน
    #7ดอกจิก
    ผู้ว่าฯ กกเทา เป็นดร. แต่ไม่รู้ว่าใส่เสื้อวอร์มติดโลโก้กาสิNo ผิดไหม ส้วม สนาม ลำโพง หลอดไฟ เสื้อ งานยากทั้งน้านนนน #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมองเสียหายแบบ "Prion-Like" โดยไม่ต้องมี Prion ติดเชื้อ

    นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Alberta ได้เปิดเผยผลการทดลองใหม่ที่พลิกความเข้าใจเดิมเกี่ยวกับโรคสมองเสื่อมชนิด Prion disease โดยพบว่าอาการเสียหายของสมอง เช่น การเกิดรูพรุน (spongiform damage), การสะสมของ amyloid plaques และการเกิดแผลเป็นจากเซลล์ประสาท (astrogliosis) สามารถเกิดขึ้นได้แม้ไม่มี prion ที่ติดเชื้อ อยู่ในสมองเลย

    กลไกที่ค้นพบ
    ทีมวิจัยใช้หนูทดลองที่ถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม โดยบางกลุ่มได้รับโปรตีน PrP ที่ผิดรูปแต่ไม่ติดเชื้อ และบางกลุ่มได้รับสาร lipopolysaccharide (LPS) ซึ่งเป็นสารพิษจากแบคทีเรีย ผลการทดลองพบว่า:
    หนูที่ได้รับ PrP ผิดรูปเพียงอย่างเดียวก็เกิดความเสียหายของสมองแบบ prion-like
    หนูที่ได้รับ LPS เพียงอย่างเดียวเกิด amyloid plaques และความเสียหายของสมอง พร้อมอัตราการตายสูงถึง 40%
    เมื่อรวม LPS กับ PrP ผิดรูป ความเสียหายยิ่งรุนแรงขึ้น แม้ไม่ถึงขั้นติดเชื้อ
    กลุ่มที่ได้รับ prion ติดเชื้อจริงร่วมกับ LPS เสียชีวิตทั้งหมดภายใน 200 วัน

    ความหมายต่อโรคสมองเสื่อม
    ผลการค้นพบนี้ชี้ว่า การอักเสบเรื้อรัง อาจเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้โปรตีนผิดรูปก่อความเสียหายต่อสมองได้ แม้ไม่กลายเป็น prion ที่ติดเชื้อจริง ๆ สิ่งนี้มีนัยสำคัญต่อโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ เช่น Alzheimer’s, Parkinson’s และ ALS ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับโปรตีนผิดรูปและการอักเสบในสมอง

    แนวทางใหม่ในการป้องกัน
    นักวิจัยเสนอว่า หากการอักเสบและสารพิษจากแบคทีเรียมีบทบาทสำคัญ เราอาจลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้ด้วยการควบคุมปัจจัยอักเสบ เช่น การออกกำลังกาย, อาหารต้านการอักเสบ, สุขภาพลำไส้ และการดูแลเมตาบอลิซึม ซึ่งอาจช่วยลดภาระของ endotoxin ในร่างกายและป้องกันการเกิดโรคได้ในระยะยาว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบใหม่
    สมองสามารถเกิดความเสียหายแบบ prion-like ได้แม้ไม่มี prion ติดเชื้อ

    กลไกที่เกี่ยวข้อง
    โปรตีน PrP ผิดรูปและสาร LPS จากแบคทีเรียมีบทบาทสำคัญ

    ผลกระทบต่อโรคสมองเสื่อม
    การอักเสบอาจเป็นตัวกระตุ้นหลักใน Alzheimer’s, Parkinson’s และ ALS

    แนวทางป้องกัน
    การลดการอักเสบด้วยอาหาร ออกกำลังกาย และสุขภาพลำไส้

    ความเสี่ยงที่ต้องระวัง
    การอักเสบเรื้อรังอาจเป็นจุดเริ่มต้นของโรคสมองเสื่อม

    ความท้าทายในการรักษา
    ต้องพัฒนาแนวทางใหม่ที่เน้นการควบคุมการอักเสบ ไม่ใช่แค่จัดการกับ prion

    https://www.sciencealert.com/prion-like-brain-damage-can-occur-without-infectious-prions-study-finds
    🧠 สมองเสียหายแบบ "Prion-Like" โดยไม่ต้องมี Prion ติดเชื้อ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Alberta ได้เปิดเผยผลการทดลองใหม่ที่พลิกความเข้าใจเดิมเกี่ยวกับโรคสมองเสื่อมชนิด Prion disease โดยพบว่าอาการเสียหายของสมอง เช่น การเกิดรูพรุน (spongiform damage), การสะสมของ amyloid plaques และการเกิดแผลเป็นจากเซลล์ประสาท (astrogliosis) สามารถเกิดขึ้นได้แม้ไม่มี prion ที่ติดเชื้อ อยู่ในสมองเลย 🔬 กลไกที่ค้นพบ ทีมวิจัยใช้หนูทดลองที่ถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม โดยบางกลุ่มได้รับโปรตีน PrP ที่ผิดรูปแต่ไม่ติดเชื้อ และบางกลุ่มได้รับสาร lipopolysaccharide (LPS) ซึ่งเป็นสารพิษจากแบคทีเรีย ผลการทดลองพบว่า: 💠 หนูที่ได้รับ PrP ผิดรูปเพียงอย่างเดียวก็เกิดความเสียหายของสมองแบบ prion-like 💠 หนูที่ได้รับ LPS เพียงอย่างเดียวเกิด amyloid plaques และความเสียหายของสมอง พร้อมอัตราการตายสูงถึง 40% 💠 เมื่อรวม LPS กับ PrP ผิดรูป ความเสียหายยิ่งรุนแรงขึ้น แม้ไม่ถึงขั้นติดเชื้อ 💠 กลุ่มที่ได้รับ prion ติดเชื้อจริงร่วมกับ LPS เสียชีวิตทั้งหมดภายใน 200 วัน ⚡ ความหมายต่อโรคสมองเสื่อม ผลการค้นพบนี้ชี้ว่า การอักเสบเรื้อรัง อาจเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้โปรตีนผิดรูปก่อความเสียหายต่อสมองได้ แม้ไม่กลายเป็น prion ที่ติดเชื้อจริง ๆ สิ่งนี้มีนัยสำคัญต่อโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ เช่น Alzheimer’s, Parkinson’s และ ALS ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับโปรตีนผิดรูปและการอักเสบในสมอง 🌍 แนวทางใหม่ในการป้องกัน นักวิจัยเสนอว่า หากการอักเสบและสารพิษจากแบคทีเรียมีบทบาทสำคัญ เราอาจลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้ด้วยการควบคุมปัจจัยอักเสบ เช่น การออกกำลังกาย, อาหารต้านการอักเสบ, สุขภาพลำไส้ และการดูแลเมตาบอลิซึม ซึ่งอาจช่วยลดภาระของ endotoxin ในร่างกายและป้องกันการเกิดโรคได้ในระยะยาว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบใหม่ ➡️ สมองสามารถเกิดความเสียหายแบบ prion-like ได้แม้ไม่มี prion ติดเชื้อ ✅ กลไกที่เกี่ยวข้อง ➡️ โปรตีน PrP ผิดรูปและสาร LPS จากแบคทีเรียมีบทบาทสำคัญ ✅ ผลกระทบต่อโรคสมองเสื่อม ➡️ การอักเสบอาจเป็นตัวกระตุ้นหลักใน Alzheimer’s, Parkinson’s และ ALS ✅ แนวทางป้องกัน ➡️ การลดการอักเสบด้วยอาหาร ออกกำลังกาย และสุขภาพลำไส้ ‼️ ความเสี่ยงที่ต้องระวัง ⛔ การอักเสบเรื้อรังอาจเป็นจุดเริ่มต้นของโรคสมองเสื่อม ‼️ ความท้าทายในการรักษา ⛔ ต้องพัฒนาแนวทางใหม่ที่เน้นการควบคุมการอักเสบ ไม่ใช่แค่จัดการกับ prion https://www.sciencealert.com/prion-like-brain-damage-can-occur-without-infectious-prions-study-finds
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Prion-Like Brain Damage Can Occur Without Infectious Prions, Study Finds
    We may have been overestimating the role of a pathological class of misfolded protein in neurodegenerative disease.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาษา Perl เสื่อมความนิยมลง ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิค

    บทความนี้อธิบายว่า การที่ภาษา Perl เสื่อมความนิยมลง ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิค แต่เป็นผลจาก วัฒนธรรมของชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนา ที่ทำให้ภาษาไม่สามารถปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกซอฟต์แวร์

    ผู้เขียนเล่าว่าช่วงยุค 90s–2000s Perl เคยเป็นภาษาที่โดดเด่นมาก โดยเฉพาะในงาน เว็บและระบบ UNIX แต่ชุมชน Perl เติบโตจากวัฒนธรรม sysadmin ที่มีลักษณะ ปิดกั้น, เน้นความยาก, และยกย่องความเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” มากกว่าการเปิดรับผู้ใช้ใหม่ สิ่งนี้สร้างบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรต่อมือใหม่ และทำให้การพัฒนาภาษาไม่ก้าวไปข้างหน้า

    นอกจากนี้ยังมีแนวคิด TIMTOWTDI (There Is More Than One Way To Do It) ที่แม้จะดูเสรี แต่กลับสร้างความซับซ้อนและ dependency hell ผ่าน CPAN เพราะทุกอย่างสามารถทำได้หลายวิธีโดยไม่ต้องรวมเข้าสู่ core language ผลลัพธ์คือภาษาไม่พัฒนาอย่างเป็นระบบ และเกิดความแตกแยกเมื่อมีการสร้าง Perl 6 ซึ่งกลายเป็น “schism” ที่สะท้อนความขัดแย้งภายในชุมชน

    เมื่อเทียบกับภาษาอื่น เช่น Ruby (Rails), PHP, และ Python ที่มีวัฒนธรรมเปิดกว้างและเน้นความง่ายต่อผู้ใช้ใหม่ ทำให้ Perl สูญเสียความนิยมอย่างรวดเร็ว แม้ในเชิงเทคนิค Perl จะยังคงมีความสามารถสูง แต่การไม่ปรับตัวทางวัฒนธรรมทำให้มันถูกแทนที่ในตลาดเว็บและระบบสมัยใหม่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Perl เคยรุ่งเรืองในยุค 90s–2000s
    ใช้กันแพร่หลายในงานเว็บและระบบ UNIX

    วัฒนธรรมชุมชนแบบปิดกั้น
    เน้นความยาก, ยกย่องผู้เชี่ยวชาญ, ไม่เป็นมิตรต่อมือใหม่

    แนวคิด TIMTOWTDI
    ทำให้เกิดความซับซ้อนและ dependency hell ผ่าน CPAN

    การแตกแยกจาก Perl 6
    สะท้อนความขัดแย้งภายในชุมชนและทำให้การพัฒนาภาษาหยุดชะงัก

    ภาษาอื่นที่เข้ามาแทนที่
    Ruby (Rails), PHP, Python มีวัฒนธรรมเปิดกว้างและใช้ง่ายกว่า

    ข้อจำกัดที่แท้จริงของ Perl
    ไม่ใช่ด้านเทคนิค แต่เป็นด้านวัฒนธรรมและการปรับตัวของชุมชน

    https://www.beatworm.co.uk/blog/computers/perls-decline-was-cultural-not-technical
    📉 ภาษา Perl เสื่อมความนิยมลง ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิค บทความนี้อธิบายว่า การที่ภาษา Perl เสื่อมความนิยมลง ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิค แต่เป็นผลจาก วัฒนธรรมของชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนา ที่ทำให้ภาษาไม่สามารถปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกซอฟต์แวร์ ผู้เขียนเล่าว่าช่วงยุค 90s–2000s Perl เคยเป็นภาษาที่โดดเด่นมาก โดยเฉพาะในงาน เว็บและระบบ UNIX แต่ชุมชน Perl เติบโตจากวัฒนธรรม sysadmin ที่มีลักษณะ ปิดกั้น, เน้นความยาก, และยกย่องความเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” มากกว่าการเปิดรับผู้ใช้ใหม่ สิ่งนี้สร้างบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรต่อมือใหม่ และทำให้การพัฒนาภาษาไม่ก้าวไปข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีแนวคิด TIMTOWTDI (There Is More Than One Way To Do It) ที่แม้จะดูเสรี แต่กลับสร้างความซับซ้อนและ dependency hell ผ่าน CPAN เพราะทุกอย่างสามารถทำได้หลายวิธีโดยไม่ต้องรวมเข้าสู่ core language ผลลัพธ์คือภาษาไม่พัฒนาอย่างเป็นระบบ และเกิดความแตกแยกเมื่อมีการสร้าง Perl 6 ซึ่งกลายเป็น “schism” ที่สะท้อนความขัดแย้งภายในชุมชน เมื่อเทียบกับภาษาอื่น เช่น Ruby (Rails), PHP, และ Python ที่มีวัฒนธรรมเปิดกว้างและเน้นความง่ายต่อผู้ใช้ใหม่ ทำให้ Perl สูญเสียความนิยมอย่างรวดเร็ว แม้ในเชิงเทคนิค Perl จะยังคงมีความสามารถสูง แต่การไม่ปรับตัวทางวัฒนธรรมทำให้มันถูกแทนที่ในตลาดเว็บและระบบสมัยใหม่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Perl เคยรุ่งเรืองในยุค 90s–2000s ➡️ ใช้กันแพร่หลายในงานเว็บและระบบ UNIX ✅ วัฒนธรรมชุมชนแบบปิดกั้น ➡️ เน้นความยาก, ยกย่องผู้เชี่ยวชาญ, ไม่เป็นมิตรต่อมือใหม่ ✅ แนวคิด TIMTOWTDI ➡️ ทำให้เกิดความซับซ้อนและ dependency hell ผ่าน CPAN ✅ การแตกแยกจาก Perl 6 ➡️ สะท้อนความขัดแย้งภายในชุมชนและทำให้การพัฒนาภาษาหยุดชะงัก ✅ ภาษาอื่นที่เข้ามาแทนที่ ➡️ Ruby (Rails), PHP, Python มีวัฒนธรรมเปิดกว้างและใช้ง่ายกว่า ‼️ ข้อจำกัดที่แท้จริงของ Perl ⛔ ไม่ใช่ด้านเทคนิค แต่เป็นด้านวัฒนธรรมและการปรับตัวของชุมชน https://www.beatworm.co.uk/blog/computers/perls-decline-was-cultural-not-technical
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุคใหม่ของโครโมโซม Y : ความอยู่รอดหรือการสิ้นสุด?

    นักวิทยาศาสตร์กำลังถกเถียงกันอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับอนาคตของโครโมโซม Y ซึ่งเป็นตัวกำหนดเพศชายในมนุษย์ บางฝ่ายเชื่อว่ามันกำลังเสื่อมสลายและอาจหายไปในอีกไม่กี่ล้านปีข้างหน้า ขณะที่อีกฝ่ายมองว่ามันมีความเสถียรและจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างมั่นคง การถกเถียงนี้สะท้อนให้เห็นถึงสองมุมมองทางวิวัฒนาการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

    Jenny Graves นักชีววิทยาวิวัฒนาการเคยคำนวณว่าโครโมโซม Y สูญเสียยีนไปแล้วกว่า 97% ในช่วง 300 ล้านปีที่ผ่านมา หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป มันอาจหายไปในอนาคต แต่เธอย้ำว่านี่เป็นเพียงการคำนวณเชิงทฤษฎี ไม่ใช่คำทำนายว่ามนุษย์เพศชายจะสูญพันธุ์ทันที หลายชนิดสัตว์ เช่น หนูพุก และหนูหนาม ได้สูญเสียโครโมโซม Y ไปแล้ว แต่ยังคงมีระบบกำหนดเพศใหม่ที่ทำงานแทนได้

    ในอีกด้านหนึ่ง Jennifer Hughes จาก MIT ชี้ว่าโครโมโซม Y ของมนุษย์มีความเสถียรในระยะยาว หลักฐานจากการเปรียบเทียบยีนในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดบ่งชี้ว่าการสูญเสียยีนหยุดลงแล้ว และยีนที่เหลือมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกายจนไม่สามารถหายไปได้ง่ายๆ สิ่งนี้ทำให้บางนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโครโมโซม Y จะยังคงอยู่ต่อไป

    นอกเหนือจากการถกเถียงเชิงวิชาการแล้ว ประเด็นนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของวิวัฒนาการ มนุษย์และสัตว์อาจปรับตัวได้หากโครโมโซม Y หายไป โดยการสร้างระบบกำหนดเพศใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธรรมชาติมีวิธีการรักษาสมดุลของชีวิต แม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ก็ตาม

    สรุปสาระสำคัญ
    โครโมโซม Y สูญเสียยีนไปแล้วกว่า 97%
    การคำนวณของ Jenny Graves ชี้ว่าอาจหายไปในอีกไม่กี่ล้านปี

    หลายชนิดสัตว์สูญเสียโครโมโซม Y แต่ยังคงมีระบบกำหนดเพศใหม่
    เช่น หนูพุก และหนูหนาม ที่พัฒนากลไกแทน

    นักวิทยาศาสตร์บางฝ่ายเชื่อว่าโครโมโซม Y มีความเสถียร
    Jennifer Hughes ชี้ว่าการสูญเสียยีนหยุดลงแล้ว และยีนที่เหลือมีความสำคัญต่อร่างกาย

    การถกเถียงสะท้อนสองมุมมองทางวิวัฒนาการ
    ฝ่ายหนึ่งมองว่า Y กำลังเสื่อมสลาย อีกฝ่ายมองว่ามันมั่นคง

    ความเข้าใจผิดจากสื่ออาจทำให้คนเชื่อว่ามนุษย์เพศชายจะสูญพันธุ์
    Jenny Graves ย้ำว่านี่เป็นเพียงการคำนวณเชิงทฤษฎี ไม่ใช่คำทำนายจริง

    การเสื่อมสลายของโครโมโซม Y ไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุดของมนุษย์
    วิวัฒนาการสามารถสร้างระบบใหม่เพื่อรักษาสมดุลของชีวิตได้

    https://www.sciencealert.com/is-the-y-chromosome-vanishing-a-new-sex-gene-may-be-the-future-of-men
    🧬 ยุคใหม่ของโครโมโซม Y : ความอยู่รอดหรือการสิ้นสุด? นักวิทยาศาสตร์กำลังถกเถียงกันอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับอนาคตของโครโมโซม Y ซึ่งเป็นตัวกำหนดเพศชายในมนุษย์ บางฝ่ายเชื่อว่ามันกำลังเสื่อมสลายและอาจหายไปในอีกไม่กี่ล้านปีข้างหน้า ขณะที่อีกฝ่ายมองว่ามันมีความเสถียรและจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างมั่นคง การถกเถียงนี้สะท้อนให้เห็นถึงสองมุมมองทางวิวัฒนาการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง Jenny Graves นักชีววิทยาวิวัฒนาการเคยคำนวณว่าโครโมโซม Y สูญเสียยีนไปแล้วกว่า 97% ในช่วง 300 ล้านปีที่ผ่านมา หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป มันอาจหายไปในอนาคต แต่เธอย้ำว่านี่เป็นเพียงการคำนวณเชิงทฤษฎี ไม่ใช่คำทำนายว่ามนุษย์เพศชายจะสูญพันธุ์ทันที หลายชนิดสัตว์ เช่น หนูพุก และหนูหนาม ได้สูญเสียโครโมโซม Y ไปแล้ว แต่ยังคงมีระบบกำหนดเพศใหม่ที่ทำงานแทนได้ ในอีกด้านหนึ่ง Jennifer Hughes จาก MIT ชี้ว่าโครโมโซม Y ของมนุษย์มีความเสถียรในระยะยาว หลักฐานจากการเปรียบเทียบยีนในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดบ่งชี้ว่าการสูญเสียยีนหยุดลงแล้ว และยีนที่เหลือมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกายจนไม่สามารถหายไปได้ง่ายๆ สิ่งนี้ทำให้บางนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโครโมโซม Y จะยังคงอยู่ต่อไป นอกเหนือจากการถกเถียงเชิงวิชาการแล้ว ประเด็นนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของวิวัฒนาการ มนุษย์และสัตว์อาจปรับตัวได้หากโครโมโซม Y หายไป โดยการสร้างระบบกำหนดเพศใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธรรมชาติมีวิธีการรักษาสมดุลของชีวิต แม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ก็ตาม 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ โครโมโซม Y สูญเสียยีนไปแล้วกว่า 97% ➡️ การคำนวณของ Jenny Graves ชี้ว่าอาจหายไปในอีกไม่กี่ล้านปี ✅ หลายชนิดสัตว์สูญเสียโครโมโซม Y แต่ยังคงมีระบบกำหนดเพศใหม่ ➡️ เช่น หนูพุก และหนูหนาม ที่พัฒนากลไกแทน ✅ นักวิทยาศาสตร์บางฝ่ายเชื่อว่าโครโมโซม Y มีความเสถียร ➡️ Jennifer Hughes ชี้ว่าการสูญเสียยีนหยุดลงแล้ว และยีนที่เหลือมีความสำคัญต่อร่างกาย ✅ การถกเถียงสะท้อนสองมุมมองทางวิวัฒนาการ ➡️ ฝ่ายหนึ่งมองว่า Y กำลังเสื่อมสลาย อีกฝ่ายมองว่ามันมั่นคง ‼️ ความเข้าใจผิดจากสื่ออาจทำให้คนเชื่อว่ามนุษย์เพศชายจะสูญพันธุ์ ⛔ Jenny Graves ย้ำว่านี่เป็นเพียงการคำนวณเชิงทฤษฎี ไม่ใช่คำทำนายจริง ‼️ การเสื่อมสลายของโครโมโซม Y ไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุดของมนุษย์ ⛔ วิวัฒนาการสามารถสร้างระบบใหม่เพื่อรักษาสมดุลของชีวิตได้ https://www.sciencealert.com/is-the-y-chromosome-vanishing-a-new-sex-gene-may-be-the-future-of-men
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Is The Y Chromosome Vanishing? A New Sex Gene May Be The Future of Men
    In 2002, evolutionary biologist Jenny Graves shared a controversial calculation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • "YouTube ทดลองใช้ AI ปรับแต่งวิดีโอ โดยไม่บอกผู้สร้าง"

    YouTube ถูกจับตามองหลังจากมีการค้นพบว่าแพลตฟอร์มได้ทดลองใช้ AI เพื่อปรับแต่งวิดีโอของครีเอเตอร์บางรายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า สอง YouTuber ชื่อดัง Rick Beato และ Rhett Shull สังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในวิดีโอ เช่น ผิวที่เรียบขึ้น เสื้อผ้าที่ดูคมชัดขึ้น หรือแม้กระทั่งรูปร่างหูที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกว่าเนื้อหาดู “ไม่เป็นธรรมชาติ”

    YouTube ยอมรับว่ากำลังทำการทดลองแบบจำกัด โดยใช้ machine learning เพื่อปรับปรุงความคมชัด ลด noise และทำให้ภาพดูชัดเจนขึ้น คล้ายกับสิ่งที่สมาร์ทโฟนสมัยใหม่ทำเวลาถ่ายภาพ แต่คำอธิบายนี้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการใช้ถ้อยคำที่ทำให้เข้าใจผิด เพราะจริง ๆ แล้ว machine learning ก็ถือเป็น AI เช่นกัน

    นักวิชาการด้านข้อมูลและสื่อเตือนว่า การแก้ไขวิดีโอโดยไม่บอกผู้สร้างหรือผู้ชม อาจทำให้เกิด ปัญหาความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส เนื่องจากผู้ใช้ไม่สามารถรู้ได้ว่าเนื้อหาที่เห็นผ่าน YouTube ถูกปรับแต่งไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต่างจากฟิลเตอร์หรือเอฟเฟกต์ที่ผู้สร้างเลือกใช้เองอย่างชัดเจน

    แม้บางครีเอเตอร์อย่าง Rick Beato จะยังคงมองว่า YouTube เป็นแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนชีวิตและมีคุณค่า แต่หลายฝ่ายกังวลว่าการทดลองเช่นนี้อาจเป็น จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนสื่อดิจิทัล ที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมได้ และอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์มระยะยาว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สิ่งที่เกิดขึ้น
    YouTube ใช้ AI ปรับแต่งวิดีโอโดยไม่แจ้งผู้สร้าง
    การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น ผิวเรียบ เสื้อคมชัด หูเปลี่ยนรูป

    คำอธิบายจาก YouTube
    ระบุว่าเป็นการทดลองจำกัดเพื่อปรับปรุงความคมชัด
    เปรียบเทียบกับการประมวลผลภาพในสมาร์ทโฟน

    ความเสี่ยงและข้อกังวล
    อาจกระทบความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของแพลตฟอร์ม
    ผู้สร้างและผู้ชมไม่สามารถควบคุมการปรับแต่งได้
    เสี่ยงต่อการบิดเบือนสื่อดิจิทัลในอนาคต

    https://www.ynetnews.com/tech-and-digital/article/bj1qbwcklg
    🎥 "YouTube ทดลองใช้ AI ปรับแต่งวิดีโอ โดยไม่บอกผู้สร้าง" YouTube ถูกจับตามองหลังจากมีการค้นพบว่าแพลตฟอร์มได้ทดลองใช้ AI เพื่อปรับแต่งวิดีโอของครีเอเตอร์บางรายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า สอง YouTuber ชื่อดัง Rick Beato และ Rhett Shull สังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในวิดีโอ เช่น ผิวที่เรียบขึ้น เสื้อผ้าที่ดูคมชัดขึ้น หรือแม้กระทั่งรูปร่างหูที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกว่าเนื้อหาดู “ไม่เป็นธรรมชาติ” YouTube ยอมรับว่ากำลังทำการทดลองแบบจำกัด โดยใช้ machine learning เพื่อปรับปรุงความคมชัด ลด noise และทำให้ภาพดูชัดเจนขึ้น คล้ายกับสิ่งที่สมาร์ทโฟนสมัยใหม่ทำเวลาถ่ายภาพ แต่คำอธิบายนี้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการใช้ถ้อยคำที่ทำให้เข้าใจผิด เพราะจริง ๆ แล้ว machine learning ก็ถือเป็น AI เช่นกัน นักวิชาการด้านข้อมูลและสื่อเตือนว่า การแก้ไขวิดีโอโดยไม่บอกผู้สร้างหรือผู้ชม อาจทำให้เกิด ปัญหาความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส เนื่องจากผู้ใช้ไม่สามารถรู้ได้ว่าเนื้อหาที่เห็นผ่าน YouTube ถูกปรับแต่งไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต่างจากฟิลเตอร์หรือเอฟเฟกต์ที่ผู้สร้างเลือกใช้เองอย่างชัดเจน แม้บางครีเอเตอร์อย่าง Rick Beato จะยังคงมองว่า YouTube เป็นแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนชีวิตและมีคุณค่า แต่หลายฝ่ายกังวลว่าการทดลองเช่นนี้อาจเป็น จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนสื่อดิจิทัล ที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมได้ และอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์มระยะยาว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สิ่งที่เกิดขึ้น ➡️ YouTube ใช้ AI ปรับแต่งวิดีโอโดยไม่แจ้งผู้สร้าง ➡️ การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น ผิวเรียบ เสื้อคมชัด หูเปลี่ยนรูป ✅ คำอธิบายจาก YouTube ➡️ ระบุว่าเป็นการทดลองจำกัดเพื่อปรับปรุงความคมชัด ➡️ เปรียบเทียบกับการประมวลผลภาพในสมาร์ทโฟน ‼️ ความเสี่ยงและข้อกังวล ⛔ อาจกระทบความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของแพลตฟอร์ม ⛔ ผู้สร้างและผู้ชมไม่สามารถควบคุมการปรับแต่งได้ ⛔ เสี่ยงต่อการบิดเบือนสื่อดิจิทัลในอนาคต https://www.ynetnews.com/tech-and-digital/article/bj1qbwcklg
    WWW.YNETNEWS.COM
    YouTube secretly tests AI video retouching without creators’ consent
    Popular YouTubers Rick Beato and Rhett Shull discovered the platform was quietly altering their videos with AI; the company admits to a limited experiment, raising concerns about trust, consent and media manipulation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดตัว Atlas Eon 100: การเก็บข้อมูลด้วย DNA

    Atlas Data Storage ประกาศเปิดตัวบริการ Atlas Eon 100 ซึ่งเป็นการใช้ DNA สังเคราะห์ในการเก็บข้อมูลเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในโลก บริษัทอ้างว่านี่คือ “การเก็บข้อมูลที่หนาแน่นและทนทานที่สุด” โดยสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 60PB ในพื้นที่เล็กกว่า 1 ลิตร ซึ่งเทียบเท่ากับการเก็บภาพยนตร์ 4K ได้กว่า 660,000 เรื่อง

    เปรียบเทียบกับเทปแม่เหล็ก LTO-10
    Atlas ชี้ว่า DNA storage มีความหนาแน่นกว่าเทปแม่เหล็กรุ่น LTO-10 ถึง 1000 เท่า และไม่ต้องการการรีเฟรชข้อมูลทุก 7–10 ปีเหมือนเทปแม่เหล็ก อีกทั้งยังไม่ต้องใช้ห้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นพิเศษ ทำให้ต้นทุนการดูแลรักษาลดลงอย่างมาก

    ความทนทานและอายุการใช้งาน
    DNA capsules ที่ใช้ใน Atlas Eon 100 สามารถทนความร้อนได้ถึง 104°F (40°C) และมีอายุการเก็บรักษานับพันปีโดยไม่เสื่อมสภาพ ซึ่งเหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลระยะยาว เช่น โมเดล AI, มรดกทางวัฒนธรรม และข้อมูลเชิงวิจัยที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    มุมมองอนาคตของ DNA Storage
    แม้เทคโนโลยีนี้ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่การเปิดตัวเชิงพาณิชย์ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนโฉมการเก็บข้อมูลในอนาคต นักวิเคราะห์คาดว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีหรือทศวรรษก่อนที่ DNA storage จะเข้าสู่ตลาดผู้บริโภค แต่การเริ่มต้นครั้งนี้เป็นสัญญาณว่าการเก็บข้อมูลด้วยชีววิทยากำลังจะกลายเป็นจริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Atlas เปิดตัวบริการ Atlas Eon 100
    ใช้ DNA สังเคราะห์ในการเก็บข้อมูลเชิงพาณิชย์ครั้งแรก

    ความหนาแน่นสูงถึง 60PB ใน 60 ลูกบาศก์นิ้ว
    เทียบเท่าภาพยนตร์ 4K กว่า 660,000 เรื่อง

    เหนือกว่าเทปแม่เหล็ก LTO-10 ถึง 1000 เท่า
    ไม่ต้องรีเฟรชข้อมูลทุก 7–10 ปี

    ทนความร้อนและเก็บได้นับพันปี
    เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลระยะยาวและสำคัญ

    ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานทั่วไป
    อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีหรือทศวรรษกว่าจะเข้าสู่ตลาดผู้บริโภค

    ความท้าทายด้านการเข้าถึงและต้นทุน
    ปัจจุบันยังไม่เปิดเผยราคาหรือแผนการจำหน่ายอย่างชัดเจน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/worlds-first-scalable-dna-data-storage-offering-announced-offering-a-staggering-60pb-in-60-cubic-inches-enough-to-hold-660-000-4k-movies-atlas-data-storage-claims-its-solution-is-1000x-denser-than-lto-10-tape
    🧬 เปิดตัว Atlas Eon 100: การเก็บข้อมูลด้วย DNA Atlas Data Storage ประกาศเปิดตัวบริการ Atlas Eon 100 ซึ่งเป็นการใช้ DNA สังเคราะห์ในการเก็บข้อมูลเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในโลก บริษัทอ้างว่านี่คือ “การเก็บข้อมูลที่หนาแน่นและทนทานที่สุด” โดยสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 60PB ในพื้นที่เล็กกว่า 1 ลิตร ซึ่งเทียบเท่ากับการเก็บภาพยนตร์ 4K ได้กว่า 660,000 เรื่อง 📀 เปรียบเทียบกับเทปแม่เหล็ก LTO-10 Atlas ชี้ว่า DNA storage มีความหนาแน่นกว่าเทปแม่เหล็กรุ่น LTO-10 ถึง 1000 เท่า และไม่ต้องการการรีเฟรชข้อมูลทุก 7–10 ปีเหมือนเทปแม่เหล็ก อีกทั้งยังไม่ต้องใช้ห้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นพิเศษ ทำให้ต้นทุนการดูแลรักษาลดลงอย่างมาก 🌡️ ความทนทานและอายุการใช้งาน DNA capsules ที่ใช้ใน Atlas Eon 100 สามารถทนความร้อนได้ถึง 104°F (40°C) และมีอายุการเก็บรักษานับพันปีโดยไม่เสื่อมสภาพ ซึ่งเหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลระยะยาว เช่น โมเดล AI, มรดกทางวัฒนธรรม และข้อมูลเชิงวิจัยที่ต้องการความปลอดภัยสูง 🚀 มุมมองอนาคตของ DNA Storage แม้เทคโนโลยีนี้ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่การเปิดตัวเชิงพาณิชย์ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนโฉมการเก็บข้อมูลในอนาคต นักวิเคราะห์คาดว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีหรือทศวรรษก่อนที่ DNA storage จะเข้าสู่ตลาดผู้บริโภค แต่การเริ่มต้นครั้งนี้เป็นสัญญาณว่าการเก็บข้อมูลด้วยชีววิทยากำลังจะกลายเป็นจริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Atlas เปิดตัวบริการ Atlas Eon 100 ➡️ ใช้ DNA สังเคราะห์ในการเก็บข้อมูลเชิงพาณิชย์ครั้งแรก ✅ ความหนาแน่นสูงถึง 60PB ใน 60 ลูกบาศก์นิ้ว ➡️ เทียบเท่าภาพยนตร์ 4K กว่า 660,000 เรื่อง ✅ เหนือกว่าเทปแม่เหล็ก LTO-10 ถึง 1000 เท่า ➡️ ไม่ต้องรีเฟรชข้อมูลทุก 7–10 ปี ✅ ทนความร้อนและเก็บได้นับพันปี ➡️ เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลระยะยาวและสำคัญ ‼️ ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานทั่วไป ⛔ อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีหรือทศวรรษกว่าจะเข้าสู่ตลาดผู้บริโภค ‼️ ความท้าทายด้านการเข้าถึงและต้นทุน ⛔ ปัจจุบันยังไม่เปิดเผยราคาหรือแผนการจำหน่ายอย่างชัดเจน https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/worlds-first-scalable-dna-data-storage-offering-announced-offering-a-staggering-60pb-in-60-cubic-inches-enough-to-hold-660-000-4k-movies-atlas-data-storage-claims-its-solution-is-1000x-denser-than-lto-10-tape
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอปโอเพ่นซอร์ส "Mental Math" ตัวช่วยหนี Brainrot (สมองเสื่อม)

    แอป Mental Math ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการเสพคอนเทนต์สั้น ๆ ที่ทำให้สมาธิและความสามารถในการจดจ่อลดลง ตัวแอปมีโจทย์คณิตศาสตร์พื้นฐาน เช่น บวก ลบ คูณ หาร พร้อมระดับความยาก 9 ระดับ และโหมดการเล่นทั้งแบบจับเวลาและแบบทำโจทย์จำนวนที่กำหนด จุดเด่นคือทำงานแบบออฟไลน์ ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีโฆษณา

    ผลกระทบของคอนเทนต์สั้นต่อสมาธิ
    งานวิจัยล่าสุดพบว่าการเสพ short-form content เช่น TikTok หรือ Instagram Reels มีผลโดยตรงต่อสมาธิและการเรียนรู้ นักศึกษาที่ใช้เวลามากกับคอนเทนต์สั้นมีแนวโน้มที่จะมีสมาธิสั้นลงและผลการเรียนลดลง การเสพคอนเทนต์เร็ว ๆ ทำให้สมองชินกับการรับข้อมูลแบบทันใจ จนไม่สามารถโฟกัสกับงานที่ต้องใช้เวลานานได้

    ประโยชน์ของการฝึกสมองด้วยคณิตศาสตร์
    การฝึกคณิตศาสตร์ผ่านแอปประเภทนี้ช่วยกระตุ้นสมองในหลายด้าน ทั้งการคิดเชิงตรรกะ ความจำ และการแก้ปัญหา งานวิจัยด้านประสาทวิทยายืนยันว่าการทำโจทย์คณิตศาสตร์ช่วยสร้างการเชื่อมต่อของสมองที่แข็งแรงขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมในอนาคต

    การผสมผสานเกมสมองกับคณิตศาสตร์
    นักวิจัยเสนอว่าการผสมผสานเกมฝึกสมองกับโจทย์คณิตศาสตร์เป็นแนวทางที่ดี เพราะช่วยให้ผู้ใช้สนุกไปกับการเรียนรู้และยังได้ประโยชน์จริงต่อสมอง การฝึกแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการคิดเลข แต่ยังช่วยให้สมาธิกลับคืนมาในยุคที่คอนเทนต์สั้นครองโลก

    Download ได้ที่นี่ครับ
    https://play.google.com/store/apps/details?id=com.helddertierwelt.mentalmath

    สรุปสาระสำคัญ
    แอป Mental Math
    ฟรี, ไม่มีโฆษณา, ทำงานออฟไลน์, เคารพความเป็นส่วนตัว
    มีโหมดจับเวลาและโหมดทำโจทย์ตามจำนวน

    ผลกระทบของคอนเทนต์สั้น
    ทำให้สมาธิสั้นลง
    ส่งผลต่อผลการเรียนและการทำงาน

    ประโยชน์ของการฝึกคณิตศาสตร์
    ช่วยสร้างการเชื่อมต่อสมองที่แข็งแรง
    ลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม

    การผสมผสานเกมกับคณิตศาสตร์
    ทำให้การเรียนรู้สนุกและมีแรงจูงใจ
    เพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการคิดเลข

    คำเตือนเกี่ยวกับคอนเทนต์สั้น
    การเสพมากเกินไปอาจทำให้สมาธิและความสามารถในการเรียนรู้ลดลง
    อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต เช่น ความหงุดหงิดและความเครียด

    https://itsfoss.com/mental-math/
    📰 แอปโอเพ่นซอร์ส "Mental Math" ตัวช่วยหนี Brainrot (สมองเสื่อม) แอป Mental Math ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการเสพคอนเทนต์สั้น ๆ ที่ทำให้สมาธิและความสามารถในการจดจ่อลดลง ตัวแอปมีโจทย์คณิตศาสตร์พื้นฐาน เช่น บวก ลบ คูณ หาร พร้อมระดับความยาก 9 ระดับ และโหมดการเล่นทั้งแบบจับเวลาและแบบทำโจทย์จำนวนที่กำหนด จุดเด่นคือทำงานแบบออฟไลน์ ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีโฆษณา 🧠 ผลกระทบของคอนเทนต์สั้นต่อสมาธิ งานวิจัยล่าสุดพบว่าการเสพ short-form content เช่น TikTok หรือ Instagram Reels มีผลโดยตรงต่อสมาธิและการเรียนรู้ นักศึกษาที่ใช้เวลามากกับคอนเทนต์สั้นมีแนวโน้มที่จะมีสมาธิสั้นลงและผลการเรียนลดลง การเสพคอนเทนต์เร็ว ๆ ทำให้สมองชินกับการรับข้อมูลแบบทันใจ จนไม่สามารถโฟกัสกับงานที่ต้องใช้เวลานานได้ 🎮 ประโยชน์ของการฝึกสมองด้วยคณิตศาสตร์ การฝึกคณิตศาสตร์ผ่านแอปประเภทนี้ช่วยกระตุ้นสมองในหลายด้าน ทั้งการคิดเชิงตรรกะ ความจำ และการแก้ปัญหา งานวิจัยด้านประสาทวิทยายืนยันว่าการทำโจทย์คณิตศาสตร์ช่วยสร้างการเชื่อมต่อของสมองที่แข็งแรงขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมในอนาคต 🌐 การผสมผสานเกมสมองกับคณิตศาสตร์ นักวิจัยเสนอว่าการผสมผสานเกมฝึกสมองกับโจทย์คณิตศาสตร์เป็นแนวทางที่ดี เพราะช่วยให้ผู้ใช้สนุกไปกับการเรียนรู้และยังได้ประโยชน์จริงต่อสมอง การฝึกแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการคิดเลข แต่ยังช่วยให้สมาธิกลับคืนมาในยุคที่คอนเทนต์สั้นครองโลก ⬇️ Download ได้ที่นี่ครับ https://play.google.com/store/apps/details?id=com.helddertierwelt.mentalmath 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แอป Mental Math ➡️ ฟรี, ไม่มีโฆษณา, ทำงานออฟไลน์, เคารพความเป็นส่วนตัว ➡️ มีโหมดจับเวลาและโหมดทำโจทย์ตามจำนวน ✅ ผลกระทบของคอนเทนต์สั้น ➡️ ทำให้สมาธิสั้นลง ➡️ ส่งผลต่อผลการเรียนและการทำงาน ✅ ประโยชน์ของการฝึกคณิตศาสตร์ ➡️ ช่วยสร้างการเชื่อมต่อสมองที่แข็งแรง ➡️ ลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ✅ การผสมผสานเกมกับคณิตศาสตร์ ➡️ ทำให้การเรียนรู้สนุกและมีแรงจูงใจ ➡️ เพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการคิดเลข ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับคอนเทนต์สั้น ⛔ การเสพมากเกินไปอาจทำให้สมาธิและความสามารถในการเรียนรู้ลดลง ⛔ อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต เช่น ความหงุดหงิดและความเครียด https://itsfoss.com/mental-math/
    ITSFOSS.COM
    This Open Source Android App Fights Brainrot With Basic Math Problems
    Mental Math tests your arithmetic skills without tracking your every move.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัคซีนงูสวัดอาจช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อม และลดความเสี่ยงเสียชีวิตได้ถึง 30%

    งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cell พบว่า โปรแกรมการฉีดวัคซีนงูสวัดในประเทศเวลส์ตั้งแต่ปี 2013 ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันโรคงูสวัด แต่ยังมีผลเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงของ ภาวะสมองเสื่อม (dementia) และการเสียชีวิตจากโรคนี้ได้ถึง 30%

    ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 14,350 คน ที่ได้รับการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมก่อนเริ่มโครงการ พบว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคนี้น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนมีแนวโน้มที่จะพัฒนา ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย (MCI) ช้าลง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนก่อนเข้าสู่ภาวะสมองเสื่อมเต็มรูปแบบ

    นักวิจัยเชื่อว่า กลไกการป้องกันอาจเกี่ยวข้องกับการหยุดยั้งไวรัสที่โจมตีระบบประสาท เช่น Varicella zoster virus ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคงูสวัด ไวรัสเหล่านี้อาจมีบทบาทในการกระตุ้นการสะสมโปรตีนผิดปกติที่พบในโรคอัลไซเมอร์ การป้องกันไวรัสจึงอาจช่วยลดความเสี่ยงหรือชะลอการดำเนินโรคสมองเสื่อมได้

    แม้ผลการศึกษาจะยังไม่สามารถยืนยันความสัมพันธ์เชิงสาเหตุโดยตรง แต่นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่า วัคซีนงูสวัดมีความ ปลอดภัย ราคาถูก และเข้าถึงได้ง่าย จึงอาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการสาธารณสุข หากมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลลัพธ์และทำความเข้าใจกลไกที่แท้จริง

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    โปรแกรมวัคซีนงูสวัดในเวลส์
    เริ่มตั้งแต่ปี 2013 โดย NHS
    ใช้โครงสร้างการแจกจ่ายที่ทำให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มอายุ 79 และ 80 ปี

    ผลการศึกษา
    ลดความเสี่ยงเสียชีวิตจากสมองเสื่อมได้เกือบ 30%
    ลดความเสี่ยงการพัฒนา MCI ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สมองเสื่อม

    กลไกที่เป็นไปได้
    ป้องกันไวรัส Varicella zoster ที่โจมตีระบบประสาท
    อาจลดการสะสมโปรตีนผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับอัลไซเมอร์

    ข้อจำกัดของงานวิจัย
    ยังไม่สามารถยืนยันความสัมพันธ์เชิงสาเหตุโดยตรง
    ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มประชากรที่กว้างขึ้นและวัคซีนรุ่นใหม่

    ผลกระทบต่อสาธารณสุข
    หากผลลัพธ์ได้รับการยืนยัน อาจเปลี่ยนแนวทางการป้องกันสมองเสื่อม
    จำเป็นต้องลงทุนวิจัยต่อเนื่องเพื่อหากลไกที่แท้จริง

    https://www.sciencealert.com/an-existing-vaccine-could-slow-dementia-and-cut-death-risk-by-30
    💉 วัคซีนงูสวัดอาจช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อม และลดความเสี่ยงเสียชีวิตได้ถึง 30% งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cell พบว่า โปรแกรมการฉีดวัคซีนงูสวัดในประเทศเวลส์ตั้งแต่ปี 2013 ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันโรคงูสวัด แต่ยังมีผลเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงของ ภาวะสมองเสื่อม (dementia) และการเสียชีวิตจากโรคนี้ได้ถึง 30% ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 14,350 คน ที่ได้รับการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมก่อนเริ่มโครงการ พบว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคนี้น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนมีแนวโน้มที่จะพัฒนา ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย (MCI) ช้าลง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนก่อนเข้าสู่ภาวะสมองเสื่อมเต็มรูปแบบ นักวิจัยเชื่อว่า กลไกการป้องกันอาจเกี่ยวข้องกับการหยุดยั้งไวรัสที่โจมตีระบบประสาท เช่น Varicella zoster virus ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคงูสวัด ไวรัสเหล่านี้อาจมีบทบาทในการกระตุ้นการสะสมโปรตีนผิดปกติที่พบในโรคอัลไซเมอร์ การป้องกันไวรัสจึงอาจช่วยลดความเสี่ยงหรือชะลอการดำเนินโรคสมองเสื่อมได้ แม้ผลการศึกษาจะยังไม่สามารถยืนยันความสัมพันธ์เชิงสาเหตุโดยตรง แต่นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่า วัคซีนงูสวัดมีความ ปลอดภัย ราคาถูก และเข้าถึงได้ง่าย จึงอาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการสาธารณสุข หากมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลลัพธ์และทำความเข้าใจกลไกที่แท้จริง 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ โปรแกรมวัคซีนงูสวัดในเวลส์ ➡️ เริ่มตั้งแต่ปี 2013 โดย NHS ➡️ ใช้โครงสร้างการแจกจ่ายที่ทำให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มอายุ 79 และ 80 ปี ✅ ผลการศึกษา ➡️ ลดความเสี่ยงเสียชีวิตจากสมองเสื่อมได้เกือบ 30% ➡️ ลดความเสี่ยงการพัฒนา MCI ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สมองเสื่อม ✅ กลไกที่เป็นไปได้ ➡️ ป้องกันไวรัส Varicella zoster ที่โจมตีระบบประสาท ➡️ อาจลดการสะสมโปรตีนผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับอัลไซเมอร์ ‼️ ข้อจำกัดของงานวิจัย ⛔ ยังไม่สามารถยืนยันความสัมพันธ์เชิงสาเหตุโดยตรง ⛔ ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มประชากรที่กว้างขึ้นและวัคซีนรุ่นใหม่ ‼️ ผลกระทบต่อสาธารณสุข ⛔ หากผลลัพธ์ได้รับการยืนยัน อาจเปลี่ยนแนวทางการป้องกันสมองเสื่อม ⛔ จำเป็นต้องลงทุนวิจัยต่อเนื่องเพื่อหากลไกที่แท้จริง https://www.sciencealert.com/an-existing-vaccine-could-slow-dementia-and-cut-death-risk-by-30
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    An Existing Vaccine Could Slow Dementia And Cut Death Risk by 30%
    A shingles vaccination program that began in Wales in 2013 has led to two discoveries that give fresh hope to efforts to treat dementia: The vaccine appears to reduce the risk of mild cognitive impairment, as well as slowing progression of dementia in those already diagnosed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิทยาศาสตร์สร้างผ้าดำที่สุดในโลก ดูดซับแสงได้ถึง 99.87%

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ สหรัฐฯ ได้พัฒนาผ้าขนสัตว์เมอริโนที่ผ่านการเคลือบด้วยโพลีโดปามีนและการบำบัดด้วยพลาสมา จนเกิดโครงสร้างระดับนาโนที่สามารถดักจับและสะท้อนแสงภายใน ทำให้ผ้าชนิดนี้ดูดซับแสงได้มากถึง 99.87% ซึ่งถือเป็นผ้าที่ดำที่สุดที่เคยถูกสร้างขึ้นมา

    แรงบันดาลใจของงานวิจัยนี้มาจากนก Magnificent Riflebird ที่มีขนดำพิเศษซึ่งสามารถดูดซับแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักวิจัยเลียนแบบโครงสร้างเส้นใยเล็กๆ (nanofibrils) ของขนดังกล่าว เพื่อสร้างเอฟเฟกต์ “ultrablack” ที่ไม่สะท้อนแสงแม้มองจากมุมต่างๆ ถึง 60 องศา ซึ่งเหนือกว่าความสามารถของขนนกจริง

    แม้จะไม่ดำที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับวัสดุอย่าง Vantablack (ดูดซับแสง 99.96%) หรือวัสดุคาร์บอนนาโนทิวบ์จาก MIT (99.995%) แต่ผ้าดำใหม่นี้มีข้อได้เปรียบคือ ผลิตง่ายและราคาถูกกว่า จึงมีศักยภาพในการนำไปใช้จริงในหลายด้าน เช่น แฟชั่น การถ่ายภาพ และงานวิทยาศาสตร์ที่ต้องการวัสดุควบคุมแสง

    นอกจากนี้ นักศึกษาด้านแฟชั่นของคอร์เนลล์ยังได้นำผ้าดำพิเศษนี้ไปสร้างชุดเดรสที่มีการไล่เฉดสีจากเทาเข้มไปจนถึงดำสนิท พร้อมจุดสีฟ้า-เขียวตรงกลางเพื่อเลียนแบบอกของนก riflebird ถือเป็นการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และศิลปะที่น่าทึ่ง

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    ผ้าดำที่สุดที่เคยสร้าง
    ดูดซับแสงได้ 99.87%
    ใช้โพลีโดปามีนและการบำบัดพลาสมา

    แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ
    เลียนแบบโครงสร้างขนนก Magnificent Riflebird
    สร้างเอฟเฟกต์ ultrablack ที่คงทนแม้มองจากหลายมุม

    เปรียบเทียบกับวัสดุอื่น
    ดำไม่เท่า Vantablack หรือคาร์บอนนาโนทิวบ์
    แต่ผลิตง่ายและราคาถูกกว่า เหมาะต่อการใช้งานจริง

    การประยุกต์ใช้งาน
    แฟชั่นและการออกแบบเสื้อผ้า
    งานวิทยาศาสตร์และการถ่ายภาพที่ต้องการควบคุมแสง

    ข้อควรระวัง
    แม้จะผลิตง่าย แต่ยังต้องตรวจสอบความทนทานระยะยาว
    การใช้งานในอุตสาหกรรมต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม

    https://www.sciencealert.com/blackest-fabric-ever-made-absorbs-99-87-of-all-light-that-hits-it
    ✨ นักวิทยาศาสตร์สร้างผ้าดำที่สุดในโลก ดูดซับแสงได้ถึง 99.87% ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ สหรัฐฯ ได้พัฒนาผ้าขนสัตว์เมอริโนที่ผ่านการเคลือบด้วยโพลีโดปามีนและการบำบัดด้วยพลาสมา จนเกิดโครงสร้างระดับนาโนที่สามารถดักจับและสะท้อนแสงภายใน ทำให้ผ้าชนิดนี้ดูดซับแสงได้มากถึง 99.87% ซึ่งถือเป็นผ้าที่ดำที่สุดที่เคยถูกสร้างขึ้นมา แรงบันดาลใจของงานวิจัยนี้มาจากนก Magnificent Riflebird ที่มีขนดำพิเศษซึ่งสามารถดูดซับแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักวิจัยเลียนแบบโครงสร้างเส้นใยเล็กๆ (nanofibrils) ของขนดังกล่าว เพื่อสร้างเอฟเฟกต์ “ultrablack” ที่ไม่สะท้อนแสงแม้มองจากมุมต่างๆ ถึง 60 องศา ซึ่งเหนือกว่าความสามารถของขนนกจริง แม้จะไม่ดำที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับวัสดุอย่าง Vantablack (ดูดซับแสง 99.96%) หรือวัสดุคาร์บอนนาโนทิวบ์จาก MIT (99.995%) แต่ผ้าดำใหม่นี้มีข้อได้เปรียบคือ ผลิตง่ายและราคาถูกกว่า จึงมีศักยภาพในการนำไปใช้จริงในหลายด้าน เช่น แฟชั่น การถ่ายภาพ และงานวิทยาศาสตร์ที่ต้องการวัสดุควบคุมแสง นอกจากนี้ นักศึกษาด้านแฟชั่นของคอร์เนลล์ยังได้นำผ้าดำพิเศษนี้ไปสร้างชุดเดรสที่มีการไล่เฉดสีจากเทาเข้มไปจนถึงดำสนิท พร้อมจุดสีฟ้า-เขียวตรงกลางเพื่อเลียนแบบอกของนก riflebird ถือเป็นการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และศิลปะที่น่าทึ่ง 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ ผ้าดำที่สุดที่เคยสร้าง ➡️ ดูดซับแสงได้ 99.87% ➡️ ใช้โพลีโดปามีนและการบำบัดพลาสมา ✅ แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ➡️ เลียนแบบโครงสร้างขนนก Magnificent Riflebird ➡️ สร้างเอฟเฟกต์ ultrablack ที่คงทนแม้มองจากหลายมุม ✅ เปรียบเทียบกับวัสดุอื่น ➡️ ดำไม่เท่า Vantablack หรือคาร์บอนนาโนทิวบ์ ➡️ แต่ผลิตง่ายและราคาถูกกว่า เหมาะต่อการใช้งานจริง ✅ การประยุกต์ใช้งาน ➡️ แฟชั่นและการออกแบบเสื้อผ้า ➡️ งานวิทยาศาสตร์และการถ่ายภาพที่ต้องการควบคุมแสง ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ แม้จะผลิตง่าย แต่ยังต้องตรวจสอบความทนทานระยะยาว ⛔ การใช้งานในอุตสาหกรรมต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม https://www.sciencealert.com/blackest-fabric-ever-made-absorbs-99-87-of-all-light-that-hits-it
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Blackest Fabric Ever Made Absorbs 99.87% of All Light That Hits It
    If you want to stand out at your next metal gig, don't settle for a spot of color in a sea of black – go ultrablack instead.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • "AI ลดต้นทุนการโน้มน้าวใจ – เปิดทางชนชั้นนำออกแบบการแบ่งขั้วสังคม"

    ในระบอบประชาธิปไตย การตัดสินใจเชิงนโยบายใหญ่ ๆ ต้องอาศัยเสียงส่วนใหญ่หรือฉันทามติ แต่ชนชั้นนำจำเป็นต้องหาวิธีสร้างการสนับสนุนจากประชาชน งานวิจัยนี้เสนอว่า AI ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ กำลังทำให้การจัดการความคิดเห็นของสังคมกลายเป็นสิ่งที่สามารถ “ออกแบบ” ได้ ไม่ใช่เพียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

    โมเดลเชิงพลวัตที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น แสดงให้เห็นว่า หากมีชนชั้นนำเพียงกลุ่มเดียว การแทรกแซงที่เหมาะสมจะผลักดันสังคมไปสู่ ความเห็นที่แตกต่างสุดขั้วมากขึ้น (polarization pull) และเมื่อเทคโนโลยี persuasion ดีขึ้น กระบวนการนี้ก็จะยิ่งเร็วขึ้น ทำให้ความแตกแยกในสังคมทวีความรุนแรง

    แต่หากมีชนชั้นนำสองฝ่ายที่ผลัดกันมีอำนาจ เทคโนโลยี persuasion เดียวกันนี้อาจสร้างแรงจูงใจให้ “ล็อก” ความเห็นของสังคมให้อยู่ในพื้นที่กึ่งกลางที่เหนียวแน่น (semi-lock) เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ผลลัพธ์คือ AI สามารถทั้ง เพิ่มหรือบรรเทาความแตกแยก ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางการเมือง

    โดยรวมแล้ว งานวิจัยนี้เตือนว่า การแบ่งขั้วไม่ใช่เพียงผลพลอยได้ของสังคมยุคดิจิทัล แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ของการปกครอง เมื่อเทคโนโลยี persuasion ถูกทำให้เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลกระทบต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยจึงอาจรุนแรงกว่าที่เคยคิด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากงานวิจัย
    AI ลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ
    ชนชั้นนำสามารถออกแบบการกระจายความคิดเห็นของประชาชนได้
    โมเดลแสดงให้เห็นว่า “polarization pull” เกิดขึ้นเมื่อมีชนชั้นนำเพียงฝ่ายเดียว
    เมื่อมีสองฝ่าย เทคโนโลยีอาจสร้าง “semi-lock” ทำให้ความเห็นเหนียวแน่น

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    นักวิชาการหลายคนเตือนว่า AI อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้าง echo chamber
    การใช้ AI ในการโฆษณาและการรณรงค์ทางการเมืองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสหรัฐฯ และยุโรป
    มีการถกเถียงว่าควรมีการกำกับดูแลการใช้ AI เพื่อป้องกันการบิดเบือนประชาธิปไตย

    คำเตือนจากงานวิจัย
    การแบ่งขั้วอาจไม่ใช่ผลลัพธ์ธรรมชาติ แต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบโดยชนชั้นนำ
    การใช้ AI persuasion โดยไม่มีการกำกับดูแล อาจทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมเสถียร
    ความเห็นของประชาชนอาจถูก “ล็อก” จนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย

    https://arxiv.org/abs/2512.04047
    🧠 "AI ลดต้นทุนการโน้มน้าวใจ – เปิดทางชนชั้นนำออกแบบการแบ่งขั้วสังคม" ในระบอบประชาธิปไตย การตัดสินใจเชิงนโยบายใหญ่ ๆ ต้องอาศัยเสียงส่วนใหญ่หรือฉันทามติ แต่ชนชั้นนำจำเป็นต้องหาวิธีสร้างการสนับสนุนจากประชาชน งานวิจัยนี้เสนอว่า AI ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ กำลังทำให้การจัดการความคิดเห็นของสังคมกลายเป็นสิ่งที่สามารถ “ออกแบบ” ได้ ไม่ใช่เพียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โมเดลเชิงพลวัตที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น แสดงให้เห็นว่า หากมีชนชั้นนำเพียงกลุ่มเดียว การแทรกแซงที่เหมาะสมจะผลักดันสังคมไปสู่ ความเห็นที่แตกต่างสุดขั้วมากขึ้น (polarization pull) และเมื่อเทคโนโลยี persuasion ดีขึ้น กระบวนการนี้ก็จะยิ่งเร็วขึ้น ทำให้ความแตกแยกในสังคมทวีความรุนแรง แต่หากมีชนชั้นนำสองฝ่ายที่ผลัดกันมีอำนาจ เทคโนโลยี persuasion เดียวกันนี้อาจสร้างแรงจูงใจให้ “ล็อก” ความเห็นของสังคมให้อยู่ในพื้นที่กึ่งกลางที่เหนียวแน่น (semi-lock) เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ผลลัพธ์คือ AI สามารถทั้ง เพิ่มหรือบรรเทาความแตกแยก ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางการเมือง โดยรวมแล้ว งานวิจัยนี้เตือนว่า การแบ่งขั้วไม่ใช่เพียงผลพลอยได้ของสังคมยุคดิจิทัล แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ของการปกครอง เมื่อเทคโนโลยี persuasion ถูกทำให้เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลกระทบต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยจึงอาจรุนแรงกว่าที่เคยคิด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากงานวิจัย ➡️ AI ลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ ➡️ ชนชั้นนำสามารถออกแบบการกระจายความคิดเห็นของประชาชนได้ ➡️ โมเดลแสดงให้เห็นว่า “polarization pull” เกิดขึ้นเมื่อมีชนชั้นนำเพียงฝ่ายเดียว ➡️ เมื่อมีสองฝ่าย เทคโนโลยีอาจสร้าง “semi-lock” ทำให้ความเห็นเหนียวแน่น ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ นักวิชาการหลายคนเตือนว่า AI อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้าง echo chamber ➡️ การใช้ AI ในการโฆษณาและการรณรงค์ทางการเมืองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสหรัฐฯ และยุโรป ➡️ มีการถกเถียงว่าควรมีการกำกับดูแลการใช้ AI เพื่อป้องกันการบิดเบือนประชาธิปไตย ‼️ คำเตือนจากงานวิจัย ⛔ การแบ่งขั้วอาจไม่ใช่ผลลัพธ์ธรรมชาติ แต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบโดยชนชั้นนำ ⛔ การใช้ AI persuasion โดยไม่มีการกำกับดูแล อาจทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมเสถียร ⛔ ความเห็นของประชาชนอาจถูก “ล็อก” จนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย https://arxiv.org/abs/2512.04047
    ARXIV.ORG
    Polarization by Design: How Elites Could Shape Mass Preferences as AI Reduces Persuasion Costs
    In democracies, major policy decisions typically require some form of majority or consensus, so elites must secure mass support to govern. Historically, elites could shape support only through limited instruments like schooling and mass media; advances in AI-driven persuasion sharply reduce the cost and increase the precision of shaping public opinion, making the distribution of preferences itself an object of deliberate design. We develop a dynamic model in which elites choose how much to reshape the distribution of policy preferences, subject to persuasion costs and a majority rule constraint. With a single elite, any optimal intervention tends to push society toward more polarized opinion profiles - a ``polarization pull'' - and improvements in persuasion technology accelerate this drift. When two opposed elites alternate in power, the same technology also creates incentives to park society in ``semi-lock'' regions where opinions are more cohesive and harder for a rival to overturn, so advances in persuasion can either heighten or dampen polarization depending on the environment. Taken together, cheaper persuasion technologies recast polarization as a strategic instrument of governance rather than a purely emergent social byproduct, with important implications for democratic stability as AI capabilities advance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พฤติกรรมการขับรถ” อาจเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของภาวะสมองเสื่อมในอนาคต

    นักวิจัยติดตามพฤติกรรมการขับรถของผู้สูงอายุ 298 คน (อายุเฉลี่ย 75 ปี) เป็นเวลา 40 เดือน พบว่า ผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย (MCI) มักจะขับรถน้อยลง เลือกเส้นทางที่ง่ายและคุ้นเคย และมีแนวโน้มลดการขับรถเร็วหรือเดินทางไกล เมื่อเทียบกับผู้ที่ยังไม่มีปัญหาด้านสมอง

    การใช้ข้อมูล GPS และการทดสอบสมอง
    ทีมวิจัยใช้ GPS ติดตามการขับรถ ร่วมกับการทดสอบความจำและการทำงานของสมอง ผลลัพธ์สามารถทำนายภาวะ MCI ได้แม่นยำถึง 82–87% ซึ่งสูงกว่าการใช้ข้อมูลอายุหรือปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว

    ความสำคัญต่อสาธารณสุข
    การตรวจจับสัญญาณเตือนจากพฤติกรรมขับรถถือเป็นวิธีที่ ไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจช่วยให้แพทย์สามารถแทรกแซงได้เร็วขึ้น ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุหรืออาการสมองเสื่อมรุนแรง การวิจัยนี้ยังเปิดทางให้ใช้ข้อมูลจากรถยนต์อัจฉริยะหรือระบบติดตามเพื่อช่วยวินิจฉัยในอนาคต

    ข้อควรระวังและจริยธรรม
    แม้การติดตามพฤติกรรมขับรถจะมีประโยชน์ แต่ก็ต้องคำนึงถึง ความเป็นส่วนตัวและสิทธิในการตัดสินใจของผู้สูงอายุ นักวิจัยย้ำว่าการใช้ข้อมูลต้องอยู่บนพื้นฐานของความยินยอมและมาตรฐานจริยธรรมที่เข้มงวด

    สรุปเป็นหัวข้อ
    พฤติกรรมขับรถสะท้อนภาวะสมองเสื่อม
    ขับน้อยลง เลือกเส้นทางง่าย และลดการขับเร็ว

    GPS และการทดสอบสมองช่วยทำนาย MCI ได้แม่นยำ
    ความแม่นยำสูงถึง 82–87%

    วิธีตรวจจับที่ไม่รบกวนชีวิตประจำวัน
    ช่วยให้แพทย์แทรกแซงได้เร็วขึ้น

    ศักยภาพการใช้เทคโนโลยีรถยนต์อัจฉริยะ
    อาจช่วยวินิจฉัยและติดตามสุขภาพในอนาคต

    ข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัว
    ต้องได้รับความยินยอมและเคารพสิทธิผู้สูงอายุ

    การตีความข้อมูลต้องระมัดระวัง
    พฤติกรรมขับรถอาจเปลี่ยนไปด้วยเหตุผลอื่น เช่น สุขภาพกายหรือสภาพแวดล้อม

    https://www.sciencealert.com/your-driving-choices-could-be-hiding-signs-of-future-cognitive-decline
    🚗 “พฤติกรรมการขับรถ” อาจเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของภาวะสมองเสื่อมในอนาคต นักวิจัยติดตามพฤติกรรมการขับรถของผู้สูงอายุ 298 คน (อายุเฉลี่ย 75 ปี) เป็นเวลา 40 เดือน พบว่า ผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย (MCI) มักจะขับรถน้อยลง เลือกเส้นทางที่ง่ายและคุ้นเคย และมีแนวโน้มลดการขับรถเร็วหรือเดินทางไกล เมื่อเทียบกับผู้ที่ยังไม่มีปัญหาด้านสมอง 🧠 การใช้ข้อมูล GPS และการทดสอบสมอง ทีมวิจัยใช้ GPS ติดตามการขับรถ ร่วมกับการทดสอบความจำและการทำงานของสมอง ผลลัพธ์สามารถทำนายภาวะ MCI ได้แม่นยำถึง 82–87% ซึ่งสูงกว่าการใช้ข้อมูลอายุหรือปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว 🌍 ความสำคัญต่อสาธารณสุข การตรวจจับสัญญาณเตือนจากพฤติกรรมขับรถถือเป็นวิธีที่ ไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจช่วยให้แพทย์สามารถแทรกแซงได้เร็วขึ้น ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุหรืออาการสมองเสื่อมรุนแรง การวิจัยนี้ยังเปิดทางให้ใช้ข้อมูลจากรถยนต์อัจฉริยะหรือระบบติดตามเพื่อช่วยวินิจฉัยในอนาคต ⚖️ ข้อควรระวังและจริยธรรม แม้การติดตามพฤติกรรมขับรถจะมีประโยชน์ แต่ก็ต้องคำนึงถึง ความเป็นส่วนตัวและสิทธิในการตัดสินใจของผู้สูงอายุ นักวิจัยย้ำว่าการใช้ข้อมูลต้องอยู่บนพื้นฐานของความยินยอมและมาตรฐานจริยธรรมที่เข้มงวด 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ พฤติกรรมขับรถสะท้อนภาวะสมองเสื่อม ➡️ ขับน้อยลง เลือกเส้นทางง่าย และลดการขับเร็ว ✅ GPS และการทดสอบสมองช่วยทำนาย MCI ได้แม่นยำ ➡️ ความแม่นยำสูงถึง 82–87% ✅ วิธีตรวจจับที่ไม่รบกวนชีวิตประจำวัน ➡️ ช่วยให้แพทย์แทรกแซงได้เร็วขึ้น ✅ ศักยภาพการใช้เทคโนโลยีรถยนต์อัจฉริยะ ➡️ อาจช่วยวินิจฉัยและติดตามสุขภาพในอนาคต ‼️ ข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัว ⛔ ต้องได้รับความยินยอมและเคารพสิทธิผู้สูงอายุ ‼️ การตีความข้อมูลต้องระมัดระวัง ⛔ พฤติกรรมขับรถอาจเปลี่ยนไปด้วยเหตุผลอื่น เช่น สุขภาพกายหรือสภาพแวดล้อม https://www.sciencealert.com/your-driving-choices-could-be-hiding-signs-of-future-cognitive-decline
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Your Driving Choices Could Be Hiding Signs of Future Cognitive Decline
    Early signs of cognitive decline may influence our driving habits, making our choices in travel times and routes a potential indicator of future mental health.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • พบแหล่งรอยเท้าไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    นักบรรพชีวินวิทยาค้นพบแหล่งรอยเท้าไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ Carreras Pampa, Torotoro National Park ประเทศโบลิเวีย มีรอยเท้ามากกว่า 18,000 รอย ซึ่งบันทึกพฤติกรรมการเดิน วิ่ง และแม้แต่การว่ายน้ำของไดโนเสาร์เมื่อราว 70 ล้านปีก่อน

    การค้นพบครั้งประวัติศาสตร์
    นักวิจัยนับได้กว่า 16,600 รอยเท้าแบบสามนิ้ว กระจายอยู่ใน 1,321 เส้นทาง พร้อมกับรอยเท้าเดี่ยว 289 รอย และรอยว่ายน้ำ 1,378 รอยใน 280 เส้นทาง ทั้งหมดเป็นของ ไดโนเสาร์กลุ่มเทอโรพอด (Theropods) ซึ่งรวมถึงไดโนเสาร์กินเนื้อและบรรพบุรุษของนกในปัจจุบัน

    สภาพแวดล้อมที่ช่วยเก็บรักษา
    พื้นที่นี้เคยเป็นชายฝั่งทะเลสาบน้ำจืดตื้น ๆ ที่มีดินโคลนคาร์บอเนตอุดมสมบูรณ์ ทำให้รอยเท้าถูกกดลงไปลึกพอที่จะคงรูป ก่อนถูกตะกอนทับและกลายเป็นฟอสซิลในเวลาต่อมา สภาพแวดล้อมที่ “พอดี” นี้ทำให้รอยเท้าหลากหลายชนิดถูกเก็บรักษาไว้อย่างสมบูรณ์

    พฤติกรรมที่ถูกบันทึกไว้
    นอกจากรอยเท้าเดินและวิ่งแล้ว ยังพบรอยลากหาง รอยเล็บ และรอยขูดพื้นจากการว่ายน้ำ ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนของไดโนเสาร์ในยุคนั้น ขนาดรอยเท้ามีตั้งแต่เล็กกว่า 10 ซม. ไปจนถึงใหญ่กว่า 30 ซม. บ่งบอกถึงการอยู่ร่วมกันของไดโนเสาร์หลายขนาดในพื้นที่เดียวกัน

    ความสำคัญต่อโลกวิทยาศาสตร์
    Carreras Pampa ได้รับการจัดว่าเป็น Lagerstätte หรือแหล่งฟอสซิลที่มีการเก็บรักษาอย่างพิเศษ เพราะไม่เพียงแต่มีจำนวนรอยเท้ามากที่สุด แต่ยังบันทึกพฤติกรรมที่หลากหลาย ทำให้เป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลสำคัญที่สุดในการศึกษาชีวิตและสิ่งแวดล้อมของไดโนเสาร์ช่วงปลายยุคครีเทเชียส

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ค้นพบรอยเท้าไดโนเสาร์กว่า 18,000 รอย
    เป็นแหล่งรอยเท้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    ทั้งหมดเป็นของไดโนเสาร์กลุ่มเทอโรพอด
    รวมถึงไดโนเสาร์กินเนื้อและบรรพบุรุษของนก

    สภาพแวดล้อมทะเลสาบน้ำจืดช่วยเก็บรักษา
    ดินโคลนคาร์บอเนตทำให้รอยเท้าถูกคงรูปและกลายเป็นฟอสซิล

    บันทึกพฤติกรรมหลากหลาย
    เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ลากหาง และขูดพื้น

    Carreras Pampa จัดเป็น Lagerstätte สำคัญ
    มีทั้งจำนวนและคุณภาพการเก็บรักษาที่โดดเด่น

    การตีความพฤติกรรมยังมีข้อจำกัด
    ต้องใช้การศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่ารอยเท้าแต่ละแบบเกิดจากพฤติกรรมใดแน่ชัด

    ความเสี่ยงจากการเสื่อมสภาพของแหล่งฟอสซิล
    ต้องมีมาตรการอนุรักษ์เพื่อป้องกันการสูญเสียข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

    https://www.sciencealert.com/18000-tracks-discovered-in-worlds-largest-dinosaur-tracksite
    🦕 พบแหล่งรอยเท้าไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นักบรรพชีวินวิทยาค้นพบแหล่งรอยเท้าไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ Carreras Pampa, Torotoro National Park ประเทศโบลิเวีย มีรอยเท้ามากกว่า 18,000 รอย ซึ่งบันทึกพฤติกรรมการเดิน วิ่ง และแม้แต่การว่ายน้ำของไดโนเสาร์เมื่อราว 70 ล้านปีก่อน 🦖 การค้นพบครั้งประวัติศาสตร์ นักวิจัยนับได้กว่า 16,600 รอยเท้าแบบสามนิ้ว กระจายอยู่ใน 1,321 เส้นทาง พร้อมกับรอยเท้าเดี่ยว 289 รอย และรอยว่ายน้ำ 1,378 รอยใน 280 เส้นทาง ทั้งหมดเป็นของ ไดโนเสาร์กลุ่มเทอโรพอด (Theropods) ซึ่งรวมถึงไดโนเสาร์กินเนื้อและบรรพบุรุษของนกในปัจจุบัน 🌊 สภาพแวดล้อมที่ช่วยเก็บรักษา พื้นที่นี้เคยเป็นชายฝั่งทะเลสาบน้ำจืดตื้น ๆ ที่มีดินโคลนคาร์บอเนตอุดมสมบูรณ์ ทำให้รอยเท้าถูกกดลงไปลึกพอที่จะคงรูป ก่อนถูกตะกอนทับและกลายเป็นฟอสซิลในเวลาต่อมา สภาพแวดล้อมที่ “พอดี” นี้ทำให้รอยเท้าหลากหลายชนิดถูกเก็บรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ 🧩 พฤติกรรมที่ถูกบันทึกไว้ นอกจากรอยเท้าเดินและวิ่งแล้ว ยังพบรอยลากหาง รอยเล็บ และรอยขูดพื้นจากการว่ายน้ำ ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนของไดโนเสาร์ในยุคนั้น ขนาดรอยเท้ามีตั้งแต่เล็กกว่า 10 ซม. ไปจนถึงใหญ่กว่า 30 ซม. บ่งบอกถึงการอยู่ร่วมกันของไดโนเสาร์หลายขนาดในพื้นที่เดียวกัน 🌍 ความสำคัญต่อโลกวิทยาศาสตร์ Carreras Pampa ได้รับการจัดว่าเป็น Lagerstätte หรือแหล่งฟอสซิลที่มีการเก็บรักษาอย่างพิเศษ เพราะไม่เพียงแต่มีจำนวนรอยเท้ามากที่สุด แต่ยังบันทึกพฤติกรรมที่หลากหลาย ทำให้เป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลสำคัญที่สุดในการศึกษาชีวิตและสิ่งแวดล้อมของไดโนเสาร์ช่วงปลายยุคครีเทเชียส 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ค้นพบรอยเท้าไดโนเสาร์กว่า 18,000 รอย ➡️ เป็นแหล่งรอยเท้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ✅ ทั้งหมดเป็นของไดโนเสาร์กลุ่มเทอโรพอด ➡️ รวมถึงไดโนเสาร์กินเนื้อและบรรพบุรุษของนก ✅ สภาพแวดล้อมทะเลสาบน้ำจืดช่วยเก็บรักษา ➡️ ดินโคลนคาร์บอเนตทำให้รอยเท้าถูกคงรูปและกลายเป็นฟอสซิล ✅ บันทึกพฤติกรรมหลากหลาย ➡️ เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ลากหาง และขูดพื้น ✅ Carreras Pampa จัดเป็น Lagerstätte สำคัญ ➡️ มีทั้งจำนวนและคุณภาพการเก็บรักษาที่โดดเด่น ‼️ การตีความพฤติกรรมยังมีข้อจำกัด ⛔ ต้องใช้การศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่ารอยเท้าแต่ละแบบเกิดจากพฤติกรรมใดแน่ชัด ‼️ ความเสี่ยงจากการเสื่อมสภาพของแหล่งฟอสซิล ⛔ ต้องมีมาตรการอนุรักษ์เพื่อป้องกันการสูญเสียข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ https://www.sciencealert.com/18000-tracks-discovered-in-worlds-largest-dinosaur-tracksite
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    18,000 Tracks Discovered in World's Largest Dinosaur Tracksite
    An expanse of ancient rock in the high-altitude Torotoro National Park in Bolivia has been revealed as the largest dinosaur tracksite ever recorded.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้นทุนมหาศาลของศูนย์ข้อมูล AI

    CEO ของ IBM เตือนว่า การลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูล AI มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์อาจไม่ยั่งยืน เพราะต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานสูงเกินไป โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์ การเสื่อมราคา และพลังงาน

    Arvind Krishna, CEO ของ IBM กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้เงินมหาศาล เช่น 1 กิกะวัตต์ของศูนย์ข้อมูลต้องใช้เงินราว 80 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อรวมโครงการที่ประกาศแล้วทั่วโลก ตัวเลขอาจสูงถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งต้องการกำไรปีละ 800 พันล้านดอลลาร์เพื่อชดเชยต้นทุนการลงทุน

    ปัญหาการเสื่อมราคาและการเปลี่ยนฮาร์ดแวร์
    Krishna ชี้ว่า GPU และ AI accelerators มีอายุการใช้งานเพียง 5 ปี เพราะต้องเปลี่ยนรุ่นใหม่ตามการพัฒนาโมเดลและสถาปัตยกรรม ทำให้ต้นทุนสะสมสูงขึ้นเรื่อย ๆ นักลงทุนจำนวนมากอาจประเมินค่าการเสื่อมราคาต่ำเกินไป และไม่คำนึงถึงการต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ทั้งชุดในรอบสั้น ๆ

    ความท้าทายด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน
    ศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล เช่น โครงการของบางบริษัทมีแผนสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใช้ไฟฟ้า มากกว่า 100 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของประเทศขนาดใหญ่ทั้งประเทศ ปัญหานี้ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานจะไม่สามารถรองรับได้

    ความเสี่ยงต่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรม
    แม้ AI จะสร้างประโยชน์ด้านผลิตภาพ แต่ Krishna เตือนว่า สัดส่วนระหว่างต้นทุนและผลตอบแทนยังไม่สมดุล หากบริษัทไม่สามารถสร้างรายได้มหาศาลเพื่อชดเชยการลงทุน อุตสาหกรรมอาจเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ และเสี่ยงต่อการล้มเหลวในระยะยาว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ต้นทุนสร้างศูนย์ข้อมูล AI สูงถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์
    ต้องการกำไรปีละ 800 พันล้านดอลลาร์เพื่อคุ้มทุน

    ฮาร์ดแวร์ AI มีอายุใช้งานเพียง 5 ปี
    ต้องเปลี่ยน GPU และ accelerators ทั้งชุดบ่อยครั้ง

    โครงการศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ไฟฟ้ามากกว่า 100 กิกะวัตต์
    เทียบเท่าการใช้ไฟฟ้าของประเทศทั้งประเทศ

    นักลงทุนอาจประเมินค่าการเสื่อมราคาต่ำเกินไป
    เสี่ยงต่อการขาดทุนและไม่สามารถคืนทุนได้

    อุตสาหกรรม AI อาจเข้าสู่ภาวะฟองสบู่
    หากรายได้ไม่สมดุลกับต้นทุนมหาศาล

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ibm-ceo-warns-trillion-dollar-ai-boom-unsustainable-at-current-infrastructure-costs
    💰 ต้นทุนมหาศาลของศูนย์ข้อมูล AI CEO ของ IBM เตือนว่า การลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูล AI มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์อาจไม่ยั่งยืน เพราะต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานสูงเกินไป โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์ การเสื่อมราคา และพลังงาน Arvind Krishna, CEO ของ IBM กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้เงินมหาศาล เช่น 1 กิกะวัตต์ของศูนย์ข้อมูลต้องใช้เงินราว 80 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อรวมโครงการที่ประกาศแล้วทั่วโลก ตัวเลขอาจสูงถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งต้องการกำไรปีละ 800 พันล้านดอลลาร์เพื่อชดเชยต้นทุนการลงทุน 🔄 ปัญหาการเสื่อมราคาและการเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ Krishna ชี้ว่า GPU และ AI accelerators มีอายุการใช้งานเพียง 5 ปี เพราะต้องเปลี่ยนรุ่นใหม่ตามการพัฒนาโมเดลและสถาปัตยกรรม ทำให้ต้นทุนสะสมสูงขึ้นเรื่อย ๆ นักลงทุนจำนวนมากอาจประเมินค่าการเสื่อมราคาต่ำเกินไป และไม่คำนึงถึงการต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ทั้งชุดในรอบสั้น ๆ ⚡ ความท้าทายด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน ศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล เช่น โครงการของบางบริษัทมีแผนสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใช้ไฟฟ้า มากกว่า 100 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของประเทศขนาดใหญ่ทั้งประเทศ ปัญหานี้ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานจะไม่สามารถรองรับได้ ⚠️ ความเสี่ยงต่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรม แม้ AI จะสร้างประโยชน์ด้านผลิตภาพ แต่ Krishna เตือนว่า สัดส่วนระหว่างต้นทุนและผลตอบแทนยังไม่สมดุล หากบริษัทไม่สามารถสร้างรายได้มหาศาลเพื่อชดเชยการลงทุน อุตสาหกรรมอาจเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ และเสี่ยงต่อการล้มเหลวในระยะยาว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ต้นทุนสร้างศูนย์ข้อมูล AI สูงถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์ ➡️ ต้องการกำไรปีละ 800 พันล้านดอลลาร์เพื่อคุ้มทุน ✅ ฮาร์ดแวร์ AI มีอายุใช้งานเพียง 5 ปี ➡️ ต้องเปลี่ยน GPU และ accelerators ทั้งชุดบ่อยครั้ง ✅ โครงการศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ไฟฟ้ามากกว่า 100 กิกะวัตต์ ➡️ เทียบเท่าการใช้ไฟฟ้าของประเทศทั้งประเทศ ‼️ นักลงทุนอาจประเมินค่าการเสื่อมราคาต่ำเกินไป ⛔ เสี่ยงต่อการขาดทุนและไม่สามารถคืนทุนได้ ‼️ อุตสาหกรรม AI อาจเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ ⛔ หากรายได้ไม่สมดุลกับต้นทุนมหาศาล https://www.tomshardware.com/tech-industry/ibm-ceo-warns-trillion-dollar-ai-boom-unsustainable-at-current-infrastructure-costs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • Linus Torvalds ปกป้อง Blue Screen of Death ของ Windows

    Linus Torvalds ผู้สร้าง Linux ได้กล่าวในวิดีโอร่วมกับ Linus Tech Tips ว่า BSOD ของ Windows ไม่ได้เกิดจากซอฟต์แวร์เสมอไป แต่บ่อยครั้งมีสาเหตุมาจากฮาร์ดแวร์ที่ไม่เสถียร เช่น หน่วยความจำที่ไม่มีระบบ ECC (Error Correction Code) ซึ่งช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดเล็ก ๆ ในหน่วยความจำก่อนจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ เขาเชื่อว่าผู้ใช้ที่โอเวอร์คล็อกเครื่องมักเจอความไม่เสถียรมากขึ้น และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ Windows แสดง BSOD บ่อยครั้ง

    Microsoft เปลี่ยน BSOD เป็น Black Screen of Death
    ในปี 2025 Microsoft ได้อัปเดต Windows 11 โดยเปลี่ยน Blue Screen of Death เป็น Black Screen of Death เพื่อให้สอดคล้องกับการออกแบบใหม่และลดภาพลักษณ์เชิงลบ แม้การเปลี่ยนแปลงจะเป็นเพียงด้านภาพ แต่ก็สะท้อนถึงความพยายามของ Microsoft ในการทำให้ระบบมีความเสถียรมากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มฟีเจอร์ Quick Machine Recovery ที่ช่วยให้เครื่องฟื้นตัวเร็วขึ้นเมื่อเกิดปัญหา

    ECC และการวิจารณ์ Intel
    Torvalds เคยวิจารณ์ Intel ว่าเป็นผู้ทำให้ ECC ไม่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในคอมพิวเตอร์ผู้ใช้ทั่วไป ทั้งที่ ECC เป็นเทคโนโลยีที่ควรมีในทุกเครื่อง ไม่ใช่แค่เซิร์ฟเวอร์ เขาเชื่อว่าการไม่มี ECC ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปต้องเจอกับความเสี่ยงด้านความเสถียรและข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว

    มุมมองทางวัฒนธรรมของ BSOD
    แม้ BSOD จะเป็นสัญลักษณ์ของความผิดพลาด แต่ก็กลายเป็น วัฒนธรรมอินเทอร์เน็ต ที่มีทั้งมีม เสื้อยืด และชุมชนออนไลน์ที่แชร์ภาพหน้าจอ BSOD การเปลี่ยนเป็น Black Screen จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสี แต่เป็นการปิดฉากหนึ่งในสัญลักษณ์ที่อยู่กับ Windows มานานกว่า 40 ปี

    สรุปสาระสำคัญ
    BSOD ไม่ได้เกิดจากซอฟต์แวร์เสมอไป
    ปัญหาฮาร์ดแวร์ เช่น หน่วยความจำที่ไม่มี ECC เป็นสาเหตุหลัก

    Microsoft เปลี่ยน BSOD เป็น Black Screen
    เป็นการปรับภาพลักษณ์และเพิ่มฟีเจอร์ Quick Machine Recovery

    ECC มีความสำคัญต่อความเสถียรของระบบ
    Torvalds วิจารณ์ Intel ที่ไม่ผลักดัน ECC ในตลาดผู้ใช้ทั่วไป

    BSOD เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    มีม, เสื้อยืด, และชุมชนออนไลน์ที่แชร์ประสบการณ์

    การโอเวอร์คล็อกเพิ่มความเสี่ยงต่อ BSOD
    ผู้ใช้ที่ปรับแต่งเครื่องมากเกินไปอาจเจอความไม่เสถียรสูง

    การไม่มี ECC ทำให้ข้อมูลเสี่ยงเสียหาย
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าหน่วยความจำมีข้อผิดพลาดที่ไม่ได้รับการแก้ไข

    https://itsfoss.com/news/torvalds-blue-screen-of-death/
    🖥️ Linus Torvalds ปกป้อง Blue Screen of Death ของ Windows Linus Torvalds ผู้สร้าง Linux ได้กล่าวในวิดีโอร่วมกับ Linus Tech Tips ว่า BSOD ของ Windows ไม่ได้เกิดจากซอฟต์แวร์เสมอไป แต่บ่อยครั้งมีสาเหตุมาจากฮาร์ดแวร์ที่ไม่เสถียร เช่น หน่วยความจำที่ไม่มีระบบ ECC (Error Correction Code) ซึ่งช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดเล็ก ๆ ในหน่วยความจำก่อนจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ เขาเชื่อว่าผู้ใช้ที่โอเวอร์คล็อกเครื่องมักเจอความไม่เสถียรมากขึ้น และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ Windows แสดง BSOD บ่อยครั้ง ⚙️ Microsoft เปลี่ยน BSOD เป็น Black Screen of Death ในปี 2025 Microsoft ได้อัปเดต Windows 11 โดยเปลี่ยน Blue Screen of Death เป็น Black Screen of Death เพื่อให้สอดคล้องกับการออกแบบใหม่และลดภาพลักษณ์เชิงลบ แม้การเปลี่ยนแปลงจะเป็นเพียงด้านภาพ แต่ก็สะท้อนถึงความพยายามของ Microsoft ในการทำให้ระบบมีความเสถียรมากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มฟีเจอร์ Quick Machine Recovery ที่ช่วยให้เครื่องฟื้นตัวเร็วขึ้นเมื่อเกิดปัญหา 🔒 ECC และการวิจารณ์ Intel Torvalds เคยวิจารณ์ Intel ว่าเป็นผู้ทำให้ ECC ไม่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในคอมพิวเตอร์ผู้ใช้ทั่วไป ทั้งที่ ECC เป็นเทคโนโลยีที่ควรมีในทุกเครื่อง ไม่ใช่แค่เซิร์ฟเวอร์ เขาเชื่อว่าการไม่มี ECC ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปต้องเจอกับความเสี่ยงด้านความเสถียรและข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว 💡 มุมมองทางวัฒนธรรมของ BSOD แม้ BSOD จะเป็นสัญลักษณ์ของความผิดพลาด แต่ก็กลายเป็น วัฒนธรรมอินเทอร์เน็ต ที่มีทั้งมีม เสื้อยืด และชุมชนออนไลน์ที่แชร์ภาพหน้าจอ BSOD การเปลี่ยนเป็น Black Screen จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสี แต่เป็นการปิดฉากหนึ่งในสัญลักษณ์ที่อยู่กับ Windows มานานกว่า 40 ปี 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ BSOD ไม่ได้เกิดจากซอฟต์แวร์เสมอไป ➡️ ปัญหาฮาร์ดแวร์ เช่น หน่วยความจำที่ไม่มี ECC เป็นสาเหตุหลัก ✅ Microsoft เปลี่ยน BSOD เป็น Black Screen ➡️ เป็นการปรับภาพลักษณ์และเพิ่มฟีเจอร์ Quick Machine Recovery ✅ ECC มีความสำคัญต่อความเสถียรของระบบ ➡️ Torvalds วิจารณ์ Intel ที่ไม่ผลักดัน ECC ในตลาดผู้ใช้ทั่วไป ✅ BSOD เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ➡️ มีม, เสื้อยืด, และชุมชนออนไลน์ที่แชร์ประสบการณ์ ‼️ การโอเวอร์คล็อกเพิ่มความเสี่ยงต่อ BSOD ⛔ ผู้ใช้ที่ปรับแต่งเครื่องมากเกินไปอาจเจอความไม่เสถียรสูง ‼️ การไม่มี ECC ทำให้ข้อมูลเสี่ยงเสียหาย ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าหน่วยความจำมีข้อผิดพลาดที่ไม่ได้รับการแก้ไข https://itsfoss.com/news/torvalds-blue-screen-of-death/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาราธอนขายหน้าโลก โคตรจะแมนใช้บิบผู้หญิงวิ่ง

    การจัดงานอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน 2025 ที่สนามหลวงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (30 พ.ย.) นอกจากนักวิ่งกว่า 36,000 คน จะประสบปัญหาเรื่องการจัดการด้านเส้นทางวิ่ง จุดปฐมพยาบาล ห้องน้ำ อาหารและของว่างที่ยังบกพร่อง รวมไปถึงเสื้อ Finisher ที่แจกให้กับนักวิ่ง 42.195 และ 21.1 กิโลเมตร กลับมีข้อบกพร่องในการแจก นักวิ่งบางคนเห็นแก่ตัว วนไปรับเสื้อซ้ำแล้วเอาไปขาย ทำให้นักวิ่งที่มาทีหลังจำนวนมากไม่ได้รับแจกเสื้อ ผู้จัดการแข่งขันต้องให้นักวิ่งลงชื่อเอาไว้ แล้วจะส่งอีเมลแจ้งการส่งเสื้อภายหลัง

    แต่ที่หนักที่สุดคือการที่นักวิ่งชายนำบิบ (BIB) หรือป้ายหมายเลขประจำตัวนักวิ่งของผู้หญิง ซึ่งไม่ตรงกับเพศและอายุไปวิ่ง ทำให้ผู้เข้าแข่งขันหญิงคนอื่นที่ทำตามกติกาเสียโอกาสในการเก็บสถิติและรับรางวัล เช่น นักวิ่งชายรายหนึ่ง เอาบิบระยะ 21.1 กิโลเมตร ของเพศหญิง รุ่นอายุ 60 ปีขึ้นไปมาใส่ ติดถ้วยรางวัลหญิงอันดับ 1 ในรุ่นอายุ ทำให้นักวิ่งหญิงที่ทำตามกติกาพลาดโอกาสได้รางวัลที่ 1 เพราะลำดับที่ 1 กลับไม่มารายงานตัว พอไปตรวจสอบเลขบิบย้อนหลังปรากฎว่าเป็นนักวิ่งชาย

    รายต่อมามีทั้งนักวิ่งชายเอาบิบระยะ 21.1 กิโลเมตร ของเพศหญิง รุ่นอายุ 55-59 ปีมาใส่ ติดถ้วยรางวัลหญิงอันดับ 1 ในรุ่นอายุ นักวิ่งหญิงที่วิ่งตามกติกานอกจากพลาดโอกาสในการรับรางวัลแล้ว ในแต่ละอันดับเงินรางวัลก็แตกต่างกันอีกด้วย ภายหลังมีการแก้ไขอันดับใหม่และขยับอันดับขึ้น รายที่สาม นักวิ่งชายเอาบิบระยะ 10 กิโลเมตร ของเพศหญิง รุ่นอายุ 55-59 ปีมาใส่ ติดถ้วยรางวัลอันดับสอง นักวิ่งหญิงอีกคนพลาดโอกาสที่จะได้รางวัลที่สูงขึ้นเช่นกัน

    ที่หนักที่สุด คือนักวิ่งชายรายหนึ่งถอดบิบออก เอาชิปที่ติดด้านหลังบิบใส่ไว้ในเสื้อ แล้ววิ่งโดยไม่ติดบิบ จนติดอันดับ 3 รุ่น Overall Thai female แล้วทำให้นักวิ่งหญิงคนอื่นเดือดร้อน เพราะมีชื่อที่ไม่คุ้น ทีแรกกรรมการอ้างว่าเช็กทุกคนว่าหญิงหรือชาย ไม่ยอมให้ดูรูปตอนเข้าเส้นชัย ภายหลังมีระบบผิดพลาดหลายรุ่นจึงยอมให้ดูรูป พบว่าเป็นผู้ชายเอาบิบผู้หญิงมาวิ่ง แล้วซ่อนบิบไว้ในเสื้อไม่เห็นอะไรเลย แต่เวลาตรงตามชื่อผู้หญิงคนที่เข้าเส้นชัย กรรมการจึงขยับผู้ที่ทำตามกติกาขึ้นมา

    หลังจากที่เรื่องนี้ถูกตีแผ่ หญิงรายหนึ่งอ้างว่าเป็นแฟนของนักวิ่งชาย ส่งข้อความข่มขู่ให้ลบโพสต์ อ้างว่าแฟนเป็นตำรวจจะดำเนินคดี แต่ภายหลังนักวิ่งคนดังกล่าวอ้างว่าแจ้งเจ้าหน้าไปที่แล้วว่าซื้อบิบต่อมา และอ้างว่าไม่ทราบ ถ้ารับบิบต่อจากคนอื่นมาแล้วต้องแกะชิปออก ขอโทษที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ คนที่ข่มขู่จึงมีน้ำเสียงอ่อนลง

    #Newskit
    มาราธอนขายหน้าโลก โคตรจะแมนใช้บิบผู้หญิงวิ่ง การจัดงานอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน 2025 ที่สนามหลวงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (30 พ.ย.) นอกจากนักวิ่งกว่า 36,000 คน จะประสบปัญหาเรื่องการจัดการด้านเส้นทางวิ่ง จุดปฐมพยาบาล ห้องน้ำ อาหารและของว่างที่ยังบกพร่อง รวมไปถึงเสื้อ Finisher ที่แจกให้กับนักวิ่ง 42.195 และ 21.1 กิโลเมตร กลับมีข้อบกพร่องในการแจก นักวิ่งบางคนเห็นแก่ตัว วนไปรับเสื้อซ้ำแล้วเอาไปขาย ทำให้นักวิ่งที่มาทีหลังจำนวนมากไม่ได้รับแจกเสื้อ ผู้จัดการแข่งขันต้องให้นักวิ่งลงชื่อเอาไว้ แล้วจะส่งอีเมลแจ้งการส่งเสื้อภายหลัง แต่ที่หนักที่สุดคือการที่นักวิ่งชายนำบิบ (BIB) หรือป้ายหมายเลขประจำตัวนักวิ่งของผู้หญิง ซึ่งไม่ตรงกับเพศและอายุไปวิ่ง ทำให้ผู้เข้าแข่งขันหญิงคนอื่นที่ทำตามกติกาเสียโอกาสในการเก็บสถิติและรับรางวัล เช่น นักวิ่งชายรายหนึ่ง เอาบิบระยะ 21.1 กิโลเมตร ของเพศหญิง รุ่นอายุ 60 ปีขึ้นไปมาใส่ ติดถ้วยรางวัลหญิงอันดับ 1 ในรุ่นอายุ ทำให้นักวิ่งหญิงที่ทำตามกติกาพลาดโอกาสได้รางวัลที่ 1 เพราะลำดับที่ 1 กลับไม่มารายงานตัว พอไปตรวจสอบเลขบิบย้อนหลังปรากฎว่าเป็นนักวิ่งชาย รายต่อมามีทั้งนักวิ่งชายเอาบิบระยะ 21.1 กิโลเมตร ของเพศหญิง รุ่นอายุ 55-59 ปีมาใส่ ติดถ้วยรางวัลหญิงอันดับ 1 ในรุ่นอายุ นักวิ่งหญิงที่วิ่งตามกติกานอกจากพลาดโอกาสในการรับรางวัลแล้ว ในแต่ละอันดับเงินรางวัลก็แตกต่างกันอีกด้วย ภายหลังมีการแก้ไขอันดับใหม่และขยับอันดับขึ้น รายที่สาม นักวิ่งชายเอาบิบระยะ 10 กิโลเมตร ของเพศหญิง รุ่นอายุ 55-59 ปีมาใส่ ติดถ้วยรางวัลอันดับสอง นักวิ่งหญิงอีกคนพลาดโอกาสที่จะได้รางวัลที่สูงขึ้นเช่นกัน ที่หนักที่สุด คือนักวิ่งชายรายหนึ่งถอดบิบออก เอาชิปที่ติดด้านหลังบิบใส่ไว้ในเสื้อ แล้ววิ่งโดยไม่ติดบิบ จนติดอันดับ 3 รุ่น Overall Thai female แล้วทำให้นักวิ่งหญิงคนอื่นเดือดร้อน เพราะมีชื่อที่ไม่คุ้น ทีแรกกรรมการอ้างว่าเช็กทุกคนว่าหญิงหรือชาย ไม่ยอมให้ดูรูปตอนเข้าเส้นชัย ภายหลังมีระบบผิดพลาดหลายรุ่นจึงยอมให้ดูรูป พบว่าเป็นผู้ชายเอาบิบผู้หญิงมาวิ่ง แล้วซ่อนบิบไว้ในเสื้อไม่เห็นอะไรเลย แต่เวลาตรงตามชื่อผู้หญิงคนที่เข้าเส้นชัย กรรมการจึงขยับผู้ที่ทำตามกติกาขึ้นมา หลังจากที่เรื่องนี้ถูกตีแผ่ หญิงรายหนึ่งอ้างว่าเป็นแฟนของนักวิ่งชาย ส่งข้อความข่มขู่ให้ลบโพสต์ อ้างว่าแฟนเป็นตำรวจจะดำเนินคดี แต่ภายหลังนักวิ่งคนดังกล่าวอ้างว่าแจ้งเจ้าหน้าไปที่แล้วว่าซื้อบิบต่อมา และอ้างว่าไม่ทราบ ถ้ารับบิบต่อจากคนอื่นมาแล้วต้องแกะชิปออก ขอโทษที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ คนที่ข่มขู่จึงมีน้ำเสียงอ่อนลง #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • โมเลกุลธรรมชาติ “Spermine” อาจช่วยเคลียร์โปรตีนสะสมในสมองที่เกี่ยวข้องกับอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน

    นักวิจัยจากสถาบัน Paul Scherrer Institute (PSI) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พบว่า spermine ซึ่งเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติ อาจช่วยป้องกันการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมองที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน โดยการทดลองในหนอนที่มีอาการคล้ายโรคเหล่านี้ พบว่าสุขภาพของเซลล์ดีขึ้นและมีการเสื่อมสภาพน้อยลงเมื่อได้รับ spermine

    กลไกที่น่าสนใจคือ spermine ทำให้โปรตีน tau และ alpha-synuclein ซึ่งมักจะจับตัวเป็นก้อนแข็งและเป็นพิษต่อเซลล์สมอง กลายเป็นหยดของเหลวที่นุ่มและเคลื่อนที่ได้ง่ายขึ้น ทำให้ระบบกำจัดขยะของร่างกาย (autophagy) สามารถจัดการได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ผลลัพธ์นี้เปรียบเสมือน “ชีสที่เชื่อมเส้นพาสต้าให้ย่อยง่ายขึ้น” ตามคำอธิบายของนักวิจัย

    แม้ผลการทดลองในหนอนและหลอดทดลองจะให้ความหวัง แต่ยังต้องใช้เวลาอีกมากในการพิสูจน์ว่า spermine จะมีผลเช่นเดียวกันในสมองมนุษย์ที่ซับซ้อนกว่า การวิจัยเพิ่มเติมอาจเปิดทางให้ spermine หรือโมเลกุลที่คล้ายกันถูกนำมาใช้เป็นแนวทางใหม่ในการรักษาโรคทางระบบประสาท รวมถึงโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการสะสมโปรตีนผิดปกติ

    สิ่งที่น่าสนใจคือ spermine ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการทำงานของโปรตีนโดยตรง แต่จะทำงานเฉพาะเมื่อโปรตีนอยู่ในระดับที่สูงเกินไปและมีแนวโน้มผิดรูป ซึ่งหมายความว่ามันอาจช่วยรักษาสมดุลของระบบสมองโดยไม่รบกวนการทำงานปกติของโปรตีนที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบใหม่
    Spermine ช่วยลดการสะสมโปรตีน tau และ alpha-synuclein
    การทดลองในหนอนพบว่าสุขภาพเซลล์ดีขึ้นและเสื่อมช้าลง

    กลไกการทำงาน
    เปลี่ยนโปรตีนที่แข็งเป็นหยดของเหลวที่กำจัดง่าย
    กระตุ้นระบบ autophagy ให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ความเป็นไปได้ทางการแพทย์
    อาจนำไปสู่การรักษาโรคอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโปรตีนผิดปกติ
    เปิดแนวทางใหม่ในการใช้โมเลกุลธรรมชาติเป็น “ยาชีวภาพ”

    ข้อควรระวัง
    ผลการทดลองยังอยู่ในระดับหนอนและหลอดทดลอง ไม่สามารถสรุปผลในมนุษย์ได้
    ต้องมีการศึกษาทางคลินิกเพิ่มเติมก่อนนำมาใช้จริง
    การใช้โมเลกุลในมนุษย์อาจมีผลข้างเคียงที่ยังไม่ทราบแน่ชัด

    https://www.sciencealert.com/a-natural-molecule-may-help-clear-buildup-of-alzheimers-proteins-study-finds
    ✨ โมเลกุลธรรมชาติ “Spermine” อาจช่วยเคลียร์โปรตีนสะสมในสมองที่เกี่ยวข้องกับอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน นักวิจัยจากสถาบัน Paul Scherrer Institute (PSI) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พบว่า spermine ซึ่งเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติ อาจช่วยป้องกันการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมองที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน โดยการทดลองในหนอนที่มีอาการคล้ายโรคเหล่านี้ พบว่าสุขภาพของเซลล์ดีขึ้นและมีการเสื่อมสภาพน้อยลงเมื่อได้รับ spermine กลไกที่น่าสนใจคือ spermine ทำให้โปรตีน tau และ alpha-synuclein ซึ่งมักจะจับตัวเป็นก้อนแข็งและเป็นพิษต่อเซลล์สมอง กลายเป็นหยดของเหลวที่นุ่มและเคลื่อนที่ได้ง่ายขึ้น ทำให้ระบบกำจัดขยะของร่างกาย (autophagy) สามารถจัดการได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ผลลัพธ์นี้เปรียบเสมือน “ชีสที่เชื่อมเส้นพาสต้าให้ย่อยง่ายขึ้น” ตามคำอธิบายของนักวิจัย แม้ผลการทดลองในหนอนและหลอดทดลองจะให้ความหวัง แต่ยังต้องใช้เวลาอีกมากในการพิสูจน์ว่า spermine จะมีผลเช่นเดียวกันในสมองมนุษย์ที่ซับซ้อนกว่า การวิจัยเพิ่มเติมอาจเปิดทางให้ spermine หรือโมเลกุลที่คล้ายกันถูกนำมาใช้เป็นแนวทางใหม่ในการรักษาโรคทางระบบประสาท รวมถึงโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการสะสมโปรตีนผิดปกติ สิ่งที่น่าสนใจคือ spermine ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการทำงานของโปรตีนโดยตรง แต่จะทำงานเฉพาะเมื่อโปรตีนอยู่ในระดับที่สูงเกินไปและมีแนวโน้มผิดรูป ซึ่งหมายความว่ามันอาจช่วยรักษาสมดุลของระบบสมองโดยไม่รบกวนการทำงานปกติของโปรตีนที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบใหม่ ➡️ Spermine ช่วยลดการสะสมโปรตีน tau และ alpha-synuclein ➡️ การทดลองในหนอนพบว่าสุขภาพเซลล์ดีขึ้นและเสื่อมช้าลง ✅ กลไกการทำงาน ➡️ เปลี่ยนโปรตีนที่แข็งเป็นหยดของเหลวที่กำจัดง่าย ➡️ กระตุ้นระบบ autophagy ให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ความเป็นไปได้ทางการแพทย์ ➡️ อาจนำไปสู่การรักษาโรคอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโปรตีนผิดปกติ ➡️ เปิดแนวทางใหม่ในการใช้โมเลกุลธรรมชาติเป็น “ยาชีวภาพ” ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผลการทดลองยังอยู่ในระดับหนอนและหลอดทดลอง ไม่สามารถสรุปผลในมนุษย์ได้ ⛔ ต้องมีการศึกษาทางคลินิกเพิ่มเติมก่อนนำมาใช้จริง ⛔ การใช้โมเลกุลในมนุษย์อาจมีผลข้างเคียงที่ยังไม่ทราบแน่ชัด https://www.sciencealert.com/a-natural-molecule-may-help-clear-buildup-of-alzheimers-proteins-study-finds
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    A Natural Molecule May Help Clear Buildup of Alzheimer's Proteins, Study Finds
    The small molecule spermine has the potential to stop the toxic build-up of proteins in the brain that characterizes diseases like Alzheimer's and Parkinson's, researchers have found – and it works a bit like melting cheese on spaghetti.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • Dan Houser วิจารณ์การผลักดัน Generative AI ในการสร้างเกม

    Dan Houser ผู้ร่วมก่อตั้ง Rockstar Games และผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างซีรีส์ดังอย่าง Grand Theft Auto และ Red Dead Redemption ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการใช้ Generative AI ในการสร้างเกม โดยเขามองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่คือ “คนที่พยายามผลักดันให้ AI ถูกใช้ในทุกสถานการณ์” ซึ่งเขาเรียกว่า “ไม่ใช่คนที่มีความเป็นมนุษย์หรือความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด”

    Houser อธิบายว่า AI มีข้อจำกัดที่ชัดเจน โดยเฉพาะการพึ่งพาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งในอนาคตจะเต็มไปด้วยข้อมูลที่สร้างโดย AI เอง ทำให้คุณภาพของข้อมูลลดลง เขาเปรียบเทียบว่า “เหมือนตอนที่เราให้อาหารวัวด้วยวัวเองแล้วเกิดโรค BSE (mad cow disease)” ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ AI จะวนซ้ำและเสื่อมคุณภาพไปเรื่อย ๆ

    แม้ Houser จะยอมรับว่า AI สามารถช่วยให้บางคนสร้างสรรค์ผลงานได้ง่ายขึ้น แต่เขาเชื่อว่าผลงานจำนวนมากจะออกมา “คล้ายกันหมด” และ AI จะเก่งในงานที่ “ราคาถูกและพอใช้ได้” แต่ไม่สามารถสร้าง “เวทมนตร์” แบบที่มนุษย์ทำได้ เขายังเสริมว่า คนที่มีพรสวรรค์จริง ๆ จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Dan Houser วิจารณ์การผลักดัน Generative AI
    มองว่าคนที่ผลักดันไม่ใช่คนที่มีความคิดสร้างสรรค์หรือความเป็นมนุษย์มากที่สุด
    เชื่อว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ได้

    ข้อจำกัดของ AI ที่ Houser ชี้ให้เห็น
    พึ่งพาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตที่อาจเสื่อมคุณภาพเมื่อ AI สร้างข้อมูลเอง
    เปรียบเทียบกับโรค mad cow disease ที่เกิดจากการวนซ้ำในระบบ

    มุมมองต่อผลกระทบในวงการเกม
    AI จะสร้างผลงานที่คล้ายกันไปหมด
    เก่งในงานที่ราคาถูกและพอใช้ แต่ไม่สามารถสร้าง “เวทมนตร์” ได้

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การใช้ AI ในทุกด้านอาจลดความหลากหลายและคุณภาพของงานสร้างสรรค์
    ความเสี่ยงที่ข้อมูลจะวนซ้ำและเสื่อมคุณภาพ
    อาจทำให้ผู้สร้างเกมที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์จริง ๆ พึ่งพา AI มากเกินไป

    https://wccftech.com/dan-houser-calls-people-pushing-genai-not-the-most-humane-or-creative-people/
    🎮 Dan Houser วิจารณ์การผลักดัน Generative AI ในการสร้างเกม Dan Houser ผู้ร่วมก่อตั้ง Rockstar Games และผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างซีรีส์ดังอย่าง Grand Theft Auto และ Red Dead Redemption ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการใช้ Generative AI ในการสร้างเกม โดยเขามองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่คือ “คนที่พยายามผลักดันให้ AI ถูกใช้ในทุกสถานการณ์” ซึ่งเขาเรียกว่า “ไม่ใช่คนที่มีความเป็นมนุษย์หรือความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด” Houser อธิบายว่า AI มีข้อจำกัดที่ชัดเจน โดยเฉพาะการพึ่งพาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งในอนาคตจะเต็มไปด้วยข้อมูลที่สร้างโดย AI เอง ทำให้คุณภาพของข้อมูลลดลง เขาเปรียบเทียบว่า “เหมือนตอนที่เราให้อาหารวัวด้วยวัวเองแล้วเกิดโรค BSE (mad cow disease)” ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ AI จะวนซ้ำและเสื่อมคุณภาพไปเรื่อย ๆ แม้ Houser จะยอมรับว่า AI สามารถช่วยให้บางคนสร้างสรรค์ผลงานได้ง่ายขึ้น แต่เขาเชื่อว่าผลงานจำนวนมากจะออกมา “คล้ายกันหมด” และ AI จะเก่งในงานที่ “ราคาถูกและพอใช้ได้” แต่ไม่สามารถสร้าง “เวทมนตร์” แบบที่มนุษย์ทำได้ เขายังเสริมว่า คนที่มีพรสวรรค์จริง ๆ จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Dan Houser วิจารณ์การผลักดัน Generative AI ➡️ มองว่าคนที่ผลักดันไม่ใช่คนที่มีความคิดสร้างสรรค์หรือความเป็นมนุษย์มากที่สุด ➡️ เชื่อว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ได้ ✅ ข้อจำกัดของ AI ที่ Houser ชี้ให้เห็น ➡️ พึ่งพาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตที่อาจเสื่อมคุณภาพเมื่อ AI สร้างข้อมูลเอง ➡️ เปรียบเทียบกับโรค mad cow disease ที่เกิดจากการวนซ้ำในระบบ ✅ มุมมองต่อผลกระทบในวงการเกม ➡️ AI จะสร้างผลงานที่คล้ายกันไปหมด ➡️ เก่งในงานที่ราคาถูกและพอใช้ แต่ไม่สามารถสร้าง “เวทมนตร์” ได้ ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การใช้ AI ในทุกด้านอาจลดความหลากหลายและคุณภาพของงานสร้างสรรค์ ⛔ ความเสี่ยงที่ข้อมูลจะวนซ้ำและเสื่อมคุณภาพ ⛔ อาจทำให้ผู้สร้างเกมที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์จริง ๆ พึ่งพา AI มากเกินไป https://wccftech.com/dan-houser-calls-people-pushing-genai-not-the-most-humane-or-creative-people/
    WCCFTECH.COM
    Rockstar Co-Founder Dan Houser Calls Those Pushing for GenAI Use In Everything "Not the Most Humane or Creative People"
    Rockstar co-founder and lead creative Dan Houser calls those pushing GenAI "not the most humane or creative people."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปีที่หนักหน่วงของธุรกิจสร้างสรรค์

    Andy Bell ผู้ก่อตั้ง Set Studio และ Piccalilli เล่าถึงปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งเศรษฐกิจชะลอตัว ภาวะเงินเฟ้อ และความไม่มั่นคงทางการเมือง ทำให้การหาลูกค้าใหม่ยากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสตูดิโอเลือกที่จะไม่ทำงานด้านการตลาดที่เกี่ยวข้องกับ AI แม้จะเป็นสิ่งที่ตลาดต้องการมากที่สุด เขาย้ำว่าการรักษาชื่อเสียงและจริยธรรมสำคัญกว่าการตามกระแส

    เศรษฐกิจโลกในปี 2025
    รายงานจาก World Economic Forum และ ACCA ชี้ว่าโลกกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ทั้งการเพิ่มขึ้นของภาษีการค้า ความเสี่ยงจากสงคราม และการเร่งตัวของ AI ที่เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างแรงงานและการผลิต หลายประเทศ เช่น อินเดีย กลับสามารถเติบโตสวนกระแสด้วยการบริโภคภายในและการผลิตที่แข็งแกร่ง แต่โดยรวมแล้วธุรกิจขนาดเล็กทั่วโลกยังคงเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนและความไม่แน่นอน

    AI กับวงการครีเอทีฟ
    ในขณะที่บางสตูดิโอเลือกปฏิเสธ AI หลายแห่งกลับนำมาใช้เป็นเครื่องมือเสริม เช่น การสร้างไอเดียเบื้องต้น การออกแบบภาพตัวอย่าง หรือการช่วยกำหนดทิศทางงานศิลป์ ข้อมูลล่าสุดเผยว่า 78% ของเอเจนซี่ครีเอทีฟทั่วโลกใช้ AI ในบางขั้นตอนแล้ว แม้จะทำให้ราคางานบางประเภทถูกลง แต่ก็เพิ่มปริมาณงานและรายได้โดยรวม อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องการแทนที่แรงงานและความเสื่อมของคุณค่ามนุษย์ยังคงเป็นประเด็นใหญ่

    ทางรอดและความหวัง
    Andy เสนอให้ผู้สนับสนุนช่วยซื้อคอร์สออนไลน์ แชร์ผลงาน หรือจ้างสตูดิโอเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไป เขาเชื่อว่าการสร้างงานที่มีคุณภาพจริงและไม่เอาเปรียบผู้ใช้คือหนทางที่จะทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ อยู่รอดในยุคที่ AI และเศรษฐกิจโลกกำลังเขย่าโครงสร้างเดิม

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ความท้าทายของ Set Studio และ Piccalilli
    เศรษฐกิจชะลอตัวและต้นทุนสูง
    ปฏิเสธงานการตลาดที่เกี่ยวข้องกับ AI เพื่อรักษาจริยธรรม

    แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2025
    ภาษีการค้าและความไม่แน่นอนทางการเมือง
    อินเดียเติบโตสวนกระแสด้วยการผลิตและการบริโภค

    ผลกระทบของ AI ต่อวงการครีเอทีฟ
    78% ของเอเจนซี่ใช้ AI ในบางขั้นตอน
    ราคางานลดลงแต่ปริมาณงานเพิ่มขึ้น

    ทางรอดของธุรกิจเล็ก
    การขายคอร์สออนไลน์และการสนับสนุนจากชุมชน
    การสร้างงานคุณภาพที่ไม่เอาเปรียบผู้ใช้

    คำเตือนจากแนวโน้มโลก
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI มากเกินไป อาจนำไปสู่การตกงาน
    ความไม่แน่นอนทางการเมืองและสงครามอาจกระทบเศรษฐกิจหนักขึ้น
    การแข่งขันด้านราคาอาจบีบให้ธุรกิจเล็กอยู่รอดยากขึ้น

    https://bell.bz/its-been-a-very-hard-year/
    📰 ปีที่หนักหน่วงของธุรกิจสร้างสรรค์ Andy Bell ผู้ก่อตั้ง Set Studio และ Piccalilli เล่าถึงปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งเศรษฐกิจชะลอตัว ภาวะเงินเฟ้อ และความไม่มั่นคงทางการเมือง ทำให้การหาลูกค้าใหม่ยากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสตูดิโอเลือกที่จะไม่ทำงานด้านการตลาดที่เกี่ยวข้องกับ AI แม้จะเป็นสิ่งที่ตลาดต้องการมากที่สุด เขาย้ำว่าการรักษาชื่อเสียงและจริยธรรมสำคัญกว่าการตามกระแส 🌍 เศรษฐกิจโลกในปี 2025 รายงานจาก World Economic Forum และ ACCA ชี้ว่าโลกกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ทั้งการเพิ่มขึ้นของภาษีการค้า ความเสี่ยงจากสงคราม และการเร่งตัวของ AI ที่เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างแรงงานและการผลิต หลายประเทศ เช่น อินเดีย กลับสามารถเติบโตสวนกระแสด้วยการบริโภคภายในและการผลิตที่แข็งแกร่ง แต่โดยรวมแล้วธุรกิจขนาดเล็กทั่วโลกยังคงเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนและความไม่แน่นอน 🎨 AI กับวงการครีเอทีฟ ในขณะที่บางสตูดิโอเลือกปฏิเสธ AI หลายแห่งกลับนำมาใช้เป็นเครื่องมือเสริม เช่น การสร้างไอเดียเบื้องต้น การออกแบบภาพตัวอย่าง หรือการช่วยกำหนดทิศทางงานศิลป์ ข้อมูลล่าสุดเผยว่า 78% ของเอเจนซี่ครีเอทีฟทั่วโลกใช้ AI ในบางขั้นตอนแล้ว แม้จะทำให้ราคางานบางประเภทถูกลง แต่ก็เพิ่มปริมาณงานและรายได้โดยรวม อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องการแทนที่แรงงานและความเสื่อมของคุณค่ามนุษย์ยังคงเป็นประเด็นใหญ่ 💡 ทางรอดและความหวัง Andy เสนอให้ผู้สนับสนุนช่วยซื้อคอร์สออนไลน์ แชร์ผลงาน หรือจ้างสตูดิโอเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไป เขาเชื่อว่าการสร้างงานที่มีคุณภาพจริงและไม่เอาเปรียบผู้ใช้คือหนทางที่จะทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ อยู่รอดในยุคที่ AI และเศรษฐกิจโลกกำลังเขย่าโครงสร้างเดิม 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ความท้าทายของ Set Studio และ Piccalilli ➡️ เศรษฐกิจชะลอตัวและต้นทุนสูง ➡️ ปฏิเสธงานการตลาดที่เกี่ยวข้องกับ AI เพื่อรักษาจริยธรรม ✅ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2025 ➡️ ภาษีการค้าและความไม่แน่นอนทางการเมือง ➡️ อินเดียเติบโตสวนกระแสด้วยการผลิตและการบริโภค ✅ ผลกระทบของ AI ต่อวงการครีเอทีฟ ➡️ 78% ของเอเจนซี่ใช้ AI ในบางขั้นตอน ➡️ ราคางานลดลงแต่ปริมาณงานเพิ่มขึ้น ✅ ทางรอดของธุรกิจเล็ก ➡️ การขายคอร์สออนไลน์และการสนับสนุนจากชุมชน ➡️ การสร้างงานคุณภาพที่ไม่เอาเปรียบผู้ใช้ ‼️ คำเตือนจากแนวโน้มโลก ⛔ ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI มากเกินไป อาจนำไปสู่การตกงาน ⛔ ความไม่แน่นอนทางการเมืองและสงครามอาจกระทบเศรษฐกิจหนักขึ้น ⛔ การแข่งขันด้านราคาอาจบีบให้ธุรกิจเล็กอยู่รอดยากขึ้น https://bell.bz/its-been-a-very-hard-year/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    คดีแห่งแสง: ศึกเทพ-มารที่กระทบมนุษย์

    โลกที่แสงและความมืดปะทะกัน

    ในยามที่มนุษย์คิดว่าตนเองก้าวเข้าสู่ยุคทองของเทคโนโลยี ความขัดแย้งอันเป็นนิรันดร์ระหว่าง "เทพแห่งแสง" และ "มารแห่งความมืด" กำลังถึงจุดวิกฤติ ผลพวงของสงครามศักดิ์สิทธิ์เริ่มกระทบโลกมนุษย์อย่างจับต้องได้

    ```mermaid
    graph TB
    A[สงครามเทพ-มาร<br>ขยายสู่โลกมนุษย์] --> B[มนุษย์เริ่ม<br>แสดงอาการผิดปกติ]
    B --> C[ผู้ที่สัมผัสแสงมาก<br>เกินไปกลายเป็นสุดโต่ง]
    B --> D[ผู้ที่อยู่ในความมืด<br>นานเกินสูญเสีย]
    C --> E[มนุษย์แสง: พัฒนาพลัง<br>แต่สูญเสียความเห็นอกเห็นใจ]
    D --> F[มนุษย์มืด: แข็งแกร่ง<br>แต่โหดร้าย]
    E --> G[สงครามกลางเมือง<br>ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน]
    F --> G
    ```

    เคสปริศนาที่ปรากฏ

    กรณีผู้หายตัวไปสามประเภท

    1. ผู้ศรัทธาสุดโต่ง - หายไปพร้อมกับแสงจ้าปริศนา
    2. ผู้สิ้นหวังเรื้อรัง - หายไปในความมืดมิด
    3. คนกลางทั่วไป - เริ่มแสดงพลังประหลาดโดยไม่รู้ตัว

    ลักษณะคดีที่น่าสงสัย

    ```python
    class StrangeCases:
    def __init__(self):
    self.light_abductions = {
    "สถานที่": "แหล่งเทคโนโลยีสูง, วัด, ห้องสมุด",
    "เวลา": "เที่ยงวันพอดี",
    "พยาน": "รายงานเห็นแสงสีขาวจ้า",
    "หลักฐาน": "เหลือแต่เสื้อผ้าไร้ร่องรอยการต่อสู้"
    }

    self.dark_abductions = {
    "สถานที่": "โรงงานร้าง, ซอยมืด, ท้องถนนยามดึก",
    "เวลา": "เที่ยงคืนตรง",
    "พยาน": "รู้สึกหนาวเหน็บและได้ยินเสียงกระซิบ",
    "หลักฐาน": "รอยเท้าที่หายไปกลางอากาศ"
    }

    self.awakenings = {
    "อาการ": "ควบคุมแสง/ความมืดได้โดยไม่รู้ตัว",
    "ผลกระทบ": "สร้างความเสียหายโดยไม่ตั้งใจ",
    "จิตใต้สำนึก: "สับสนระหว่างความเป็นมนุษย์และพลังเหนือธรรมชาติ"
    }ล
    ```

    การค้นพบความจริงที่น่าตกใจ

    การสืบสวนของหนูดี

    หนูดีได้รับมอบหมายคดีจากหน่วยงานพิเศษ หลังพบว่า โอปปาติกะหลายคนเริ่มเลือกข้าง ในสงครามนี้โดยไม่รู้ตัว

    ธรรมบาลเทพ ปรากฏตัวพร้อมคำเตือน:
    "หนูดี... นี่ไม่ใช่สงครามที่เจ้าคิด
    นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของจักรวาล
    และมนุษย์กำลังจะกลายเป็นเหยื่อและนักรบไปพร้อมกัน"

    สมดุลที่แตกสลาย

    ```mermaid
    graph LR
    A[สมดุลเดิม<br>เทพ-มาร-มนุษย์] --> B[มนุษย์พัฒนา<br>เทคโนโลยีและจิตวิญญาณ]
    B --> C[เทพแห่งแสง<br>ต้องการมนุษย์เป็นทหาร]
    B --> D[มารแห่งความมืด<br>ต้องการมนุษย์เป็นเชื้อเพลิง]
    C --> E[สมดุลพังทลาย<br>มนุษย์ตกอยู่กลางศึก]
    D --> E
    ```

    ความลับที่ถูกเปิดเผย

    ที่มาที่แท้จริงของมนุษย์

    ธรรมบาลเทพเปิดเผยความจริงอันน่าตกใจ:

    "มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้...
    พวกเจ้าเป็นผลงานชิ้นเอกที่เทพและมารร่วมกันสร้าง
    เพื่อพิสูจน์ว่าแสงหรือความมืดมีคุณค่ากว่ากัน"

    "และตอนนี้... เวลาสำหรับการตัดสินได้มาถึงแล้ว
    มนุษย์แต่ละคนต้องเลือกว่าจะอยู่ฝั่งใด
    หรือจะพยายามรักษาสมดุลแบบที่เป็นอยู่"

    บทบาทของโอปปาติกะ

    หนูดีค้นพบว่า:

    · โอปปาติกะคือ มนุษย์รุ่นดัดแปลงพิเศษ
    · ถูกสร้างมาให้เป็น ตัวกลางระหว่างสามฝ่าย
    · แต่หลายคนเริ่ม เอียงข้าง เนื่องจากพลังที่ได้รับ

    ```python
    class OpapatikaRevelation:
    def __init__(self):
    self.true_origin = {
    "วัตถุประสงค์เดิม": "เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเทพ-มาร-มนุษย์",
    "ความสามารถพิเศษ": "เข้าใจและสื่อสารกับทั้งสามฝ่ายได้",
    "พันธสัญญา": "ต้องรักษาความเป็นกลางเพื่อความสมดุล",
    "ภัยคุกคาม": "พลังที่เพิ่มขึ้นทำให้ยากต่อการควบคุมตนเอง"
    }

    self.current_crisis = {
    "ฝ่ายแสง": "โอปปาติกะบางคนถูกเทพแห่งแสงชักจูง",
    "ฝ่ายมืด": "โอปปาติกะบางคนถูกมารแห่งความมืดครอบงำ",
    "ฝ่ายกลาง": "เหลือน้อยลงทุกทีและกำลังถูกโจมตีจากทั้งสองฝ่าย",
    "หนูดี": "ถูกทั้งสองฝ่ายจับตามองเพราะพลังบริสุทธิ์ที่ยังไม่เลือกข้าง"
    }
    ```

    การเผชิญหน้าครั้งใหม่

    การปรากฏตัวของเทพแห่งแสง

    สุริยเทพ ปรากฏตัวต่อหน้ากลุ่มหนูดี:
    "โอปปาติกะผู้ยิ่งใหญ่... มาร่วมมือกับเรา
    มนุษย์ควรก้าวสู่ความสว่างไสวอย่างสมบูรณ์
    เราจะลบล้างความมืดและความไม่สมบูรณ์ทั้งหมด
    สร้างโลกใหม่ที่ปราศจากความทุกข์ทรมาน"

    การปรากฏตัวของมารแห่งความมืด

    ราตรีมาร ปรากฏจากเงามืด:
    "อย่าเชื่อคำสัญญาโกหกของแสง...
    ในความมืดมีอิสระที่แท้จริง
    มนุษย์ควรปลดปล่อยตนเองจากพันธะกรรม
    ยอมรับธรรมชาติที่แท้จริงซึ่งไม่ใช่แสงสว่างเสมอไป"

    ทางเลือกที่สาม

    หนูดีเริ่มเข้าใจบทเรียนจากพ่อที่ลึกซึ้งขึ้น:
    "พ่อเคยบอกว่า... ความจริงมักไม่ใช่สีขาวหรือดำ
    แต่คือเฉดสีเทาที่ต้องเข้าใจด้วยหัวใจ"

    ยุทธศาสตร์ใหม่

    การค้นพบจุดอ่อนของสงคราม

    หนูดีวิเคราะห์ว่า:

    1. เทพแห่งแสง ต้องการศรัทธาและความเชื่ออย่างblind
    2. มารแห่งความมืด ต้องการความสิ้นหวังและความกลัว
    3. มนุษย์มีสิ่งที่ทั้งสองขาด - อิสระในการเลือก

    ยุทธวิธี "ความเป็นมนุษย์"

    หนูดีพัฒนายุทธศาสตร์ที่ไม่พึ่งพาพลังเหนือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว:

    ```python
    class HumanStrategy:
    def __init__(self):
    self.weapons = {
    "การตั้งคำถาม": "ทำให้ทั้งเทพและมารอ่อนแอเพราะพวกเขาไม่คุ้นเคย",
    "อารมณ์ที่ซับซ้อน": "ความรักที่ทั้งแสงและความมืดเข้าใจไม่หมด",
    "ความคิดสร้างสรรค์": "สร้างสิ่งที่ไม่เคยมีในแผนการของเทพหรือมาร",
    "ความไม่แน่นอน": "มนุษย์เปลี่ยนแปลงได้เสมอไม่ติดตรึงแบบพลังเหนือธรรมชาติ"
    }

    self.allies = [
    "โอปปาติกะที่ยังเป็นกลาง",
    "มนุษย์ธรรมดาที่ไม่ยอมถูกควบคุม",
    "สิ่งมีชีวิตอื่นที่ได้รับผลกระทบ",
    "เทพ/มารบางส่วนที่เริ่มตั้งคำถาม"
    ]
    ```

    การปฏิบัติการพิเศษ

    ปฏิบัติการ "แสงเทียนในความมืด"

    หนูดีและทีมเริ่มปฏิบัติการเพื่อ:

    1. ช่วยเหลือมนุษย์ที่ถูกบังคับให้เลือกข้าง
    2. เปิดโปงแผนการของทั้งสองฝ่าย
    3. สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับมนุษย์ที่ต้องการเป็นกลาง
    4. ค้นหาวิธียุติสงครามโดยไม่ทำลายสมดุล

    การสร้างพันธมิตรที่คาดไม่ถึง

    ในระหว่างปฏิบัติการ หนูดีพบว่า:

    · มีเทพบางองค์ ที่เห็นว่าการบังคับมนุษย์เป็นสิ่งผิด
    · มีมารบางตน ที่เชื่อในอิสระของการเลือกของมนุษย์
    · มนุษย์ธรรมดาหลายคน พร้อมต่อสู้เพื่อสิทธิในการกำหนดชะตาตนเอง

    จุดแตกหัก

    การพิพากษาครั้งใหญ่

    เทพแห่งแสงและมารแห่งความมืดประกาศว่า:
    "ในคืนจันทรคราสที่จะมาถึง...
    มนุษย์ทุกคนต้องเลือกว่าจะอยู่ฝั่งใด
    ผู้ที่ยังคงเป็นกลางจะถูกกำจัดทั้งสองฝ่าย"

    คำประกาศของหนูดี

    หนูดีปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองฝ่ายพร้อมคำประกาศ:

    "พวกท่านลืมไปหรือไม่ว่า...
    มนุษย์คือผลงานที่ท่านร่วมกันสร้าง
    การบังคับให้เราเลือกข้าง
    คือการปฏิเสธความเป็นพ่อแม่ของท่านเอง

    และเราขอประกาศว่า...
    มนุษย์จะเลือกทางที่สาม
    ทางของเราเอง

    เราจะไม่เป็นทาสของแสง
    และจะไม่เป็นเชื้อเพลิงของความมืด
    เราจะเป็น... มนุษย์อย่างสมบูรณ์"

    การต่อสู้ครั้งสำคัญ

    ศึกสามฝ่ายที่จุดสมดุล

    หนูดีนำทั้ง มนุษย์ โอปปาติกะ เทพและมารที่เป็นกลาง ต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิในการกำหนดชะตากรรม

    ```mermaid
    graph TB
    A[หนูดีและฝ่ายกลาง] --> B[ต่อสู้เพื่อสิทธิ<br>ในการกำหนดชะตากรรม]
    C[เทพแห่งแสง] --> D[ต้องการควบคุม<br>มนุษย์เพื่อ'ความสมบูรณ์แบบ']
    E[มารแห่งความมืด] --> F[ต้องการมนุษย์<br>เป็นแหล่งพลังงาน]
    D --> G[ศึกตัดสินที่<br>จุดสมดุลแห่งจักรวาล]
    F --> G
    B --> G
    ```

    พลังใหม่ที่กำเนิดขึ้น

    ในยามคับขัน หนูดีค้นพบว่า:
    "พลังที่แท้จริงของโอปปาติกะ...
    ไม่ใช่การควบคุมแสงหรือความมืด
    แต่คือการเข้าใจว่าทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
    และมนุษย์คือผู้ที่สามารถรวมทั้งสองเข้าด้วยกันได้"

    บทสรุปแห่งการเปลี่ยนแปลง

    โลกใหม่ที่เกิดจากทางเลือก

    หลังจากการต่อสู้อันยาวนาน:

    1. เทพแห่งแสงและมารแห่งความมืด ยอมรับสิทธิของมนุษย์
    2. สนธิสัญญาใหม่ ถูกเซ็น - มนุษย์มีสิทธิกำหนดวิถีตนเอง
    3. โอปปาติกะ กลายเป็นผู้รักษาสมดุลอย่างเป็นทางการ
    4. มนุษย์เรียนรู้ ที่จะใช้ทั้งแสงและความมืดอย่างชาญฉลาด

    พันธสัญญาสามฝ่าย

    ```python
    class NewCovenant:
    def __init__(self):
    self.agreements = {
    "เทพแห่งแสง": [
    "เคารพการเลือกของมนุษย์",
    "ให้ความรู้แต่ไม่บังคับ",
    "ยอมรับว่าความไม่สมบูรณ์คือความงามอย่างหนึ่ง"
    ],
    "มารแห่งความมืด": [
    "ไม่ใช้มนุษย์เป็นทรัพยากร",
    "เคารพอิสระในการเลือก",
    "ยอมรับว่าความมืดไม่ใช่ทางออกเดียว"
    ],
    "มนุษย์": [
    "รับผิดชอบต่อการเลือกของตนเอง",
    "ไม่ใช้พลังในทางที่ทำลายสมดุล",
    "เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกต่างๆ"
    ]
    }

    self.guardians = [
    "โอปปาติกะเป็นผู้ดูแลสนธิสัญญา",
    "หนูดีเป็นประธานคณะกรรมการสมดุล",
    "มนุษย์เทพและมนุษย์มารร่วมทำงานกัน"
    ]
    ```

    คำสอนใหม่ของหนูดี

    การเติบโตอีกขั้น

    หนูดีเรียนรู้ว่า:

    "การเป็นโอปปาติกะไม่ใช่การควบคุมพลังเหนือธรรมชาติ...
    แต่คือการเข้าใจว่าพลังทุกชนิดมีที่มาและจุดหมาย

    และการเป็นมนุษย์ที่แท้...
    คือการมีอิสระที่จะเลือก
    พร้อมกับความรับผิดชอบต่อการเลือกนั้น"

    คำคมสรุปคดี

    "ในสงครามระหว่างแสงและความมืด...
    มนุษย์ค้นพบว่าเรามีทั้งสองอย่างในตนเอง

    และทางออกไม่ใช่การเลือกข้าง...
    แต่คือการเรียนรู้ที่จะเป็นทั้งคู่
    ในเวลาที่เหมาะสม

    เพราะมนุษย์ที่สมบูรณ์...
    คือผู้ที่เข้าใจว่าแสงส่องสว่างเมื่อจำเป็น
    และความมืดให้ความสงบเมื่อต้องการ

    และนี่คือบทเรียนที่เทพและมาร...
    ต้องเรียนรู้จากลูกหลานของพวกเขาเอง"

    ---

    บทส่งท้าย:
    สงครามแห่งแสงจบลง แต่การเดินทางของมนุษย์เพิ่งเริ่มต้น
    หนูดีและโอปปาติกะกลายเป็นผู้พิทักษ์สมดุลใหม่
    ในโลกที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับพลังที่ได้รับมาอย่างรับผิดชอบ

    และบางที... นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่
    ที่เทพ มาร และมนุษย์ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน
    ไม่ใช่ผ่านการทำสงคราม
    แต่ผ่านการเข้าใจในความแตกต่าง
    O.P.K. 🔥 คดีแห่งแสง: ศึกเทพ-มารที่กระทบมนุษย์ 🌌 โลกที่แสงและความมืดปะทะกัน ในยามที่มนุษย์คิดว่าตนเองก้าวเข้าสู่ยุคทองของเทคโนโลยี ความขัดแย้งอันเป็นนิรันดร์ระหว่าง "เทพแห่งแสง" และ "มารแห่งความมืด" กำลังถึงจุดวิกฤติ ผลพวงของสงครามศักดิ์สิทธิ์เริ่มกระทบโลกมนุษย์อย่างจับต้องได้ ```mermaid graph TB A[สงครามเทพ-มาร<br>ขยายสู่โลกมนุษย์] --> B[มนุษย์เริ่ม<br>แสดงอาการผิดปกติ] B --> C[ผู้ที่สัมผัสแสงมาก<br>เกินไปกลายเป็นสุดโต่ง] B --> D[ผู้ที่อยู่ในความมืด<br>นานเกินสูญเสีย] C --> E[มนุษย์แสง: พัฒนาพลัง<br>แต่สูญเสียความเห็นอกเห็นใจ] D --> F[มนุษย์มืด: แข็งแกร่ง<br>แต่โหดร้าย] E --> G[สงครามกลางเมือง<br>ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน] F --> G ``` 🚨 เคสปริศนาที่ปรากฏ 👥 กรณีผู้หายตัวไปสามประเภท 1. ผู้ศรัทธาสุดโต่ง - หายไปพร้อมกับแสงจ้าปริศนา 2. ผู้สิ้นหวังเรื้อรัง - หายไปในความมืดมิด 3. คนกลางทั่วไป - เริ่มแสดงพลังประหลาดโดยไม่รู้ตัว 🔍 ลักษณะคดีที่น่าสงสัย ```python class StrangeCases: def __init__(self): self.light_abductions = { "สถานที่": "แหล่งเทคโนโลยีสูง, วัด, ห้องสมุด", "เวลา": "เที่ยงวันพอดี", "พยาน": "รายงานเห็นแสงสีขาวจ้า", "หลักฐาน": "เหลือแต่เสื้อผ้าไร้ร่องรอยการต่อสู้" } self.dark_abductions = { "สถานที่": "โรงงานร้าง, ซอยมืด, ท้องถนนยามดึก", "เวลา": "เที่ยงคืนตรง", "พยาน": "รู้สึกหนาวเหน็บและได้ยินเสียงกระซิบ", "หลักฐาน": "รอยเท้าที่หายไปกลางอากาศ" } self.awakenings = { "อาการ": "ควบคุมแสง/ความมืดได้โดยไม่รู้ตัว", "ผลกระทบ": "สร้างความเสียหายโดยไม่ตั้งใจ", "จิตใต้สำนึก: "สับสนระหว่างความเป็นมนุษย์และพลังเหนือธรรมชาติ" }ล ``` 🌓 การค้นพบความจริงที่น่าตกใจ 🕵️ การสืบสวนของหนูดี หนูดีได้รับมอบหมายคดีจากหน่วยงานพิเศษ หลังพบว่า โอปปาติกะหลายคนเริ่มเลือกข้าง ในสงครามนี้โดยไม่รู้ตัว ธรรมบาลเทพ ปรากฏตัวพร้อมคำเตือน: "หนูดี... นี่ไม่ใช่สงครามที่เจ้าคิด นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของจักรวาล และมนุษย์กำลังจะกลายเป็นเหยื่อและนักรบไปพร้อมกัน" ⚖️ สมดุลที่แตกสลาย ```mermaid graph LR A[สมดุลเดิม<br>เทพ-มาร-มนุษย์] --> B[มนุษย์พัฒนา<br>เทคโนโลยีและจิตวิญญาณ] B --> C[เทพแห่งแสง<br>ต้องการมนุษย์เป็นทหาร] B --> D[มารแห่งความมืด<br>ต้องการมนุษย์เป็นเชื้อเพลิง] C --> E[สมดุลพังทลาย<br>มนุษย์ตกอยู่กลางศึก] D --> E ``` 👁️ ความลับที่ถูกเปิดเผย 🧬 ที่มาที่แท้จริงของมนุษย์ ธรรมบาลเทพเปิดเผยความจริงอันน่าตกใจ: "มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้... พวกเจ้าเป็นผลงานชิ้นเอกที่เทพและมารร่วมกันสร้าง เพื่อพิสูจน์ว่าแสงหรือความมืดมีคุณค่ากว่ากัน" "และตอนนี้... เวลาสำหรับการตัดสินได้มาถึงแล้ว มนุษย์แต่ละคนต้องเลือกว่าจะอยู่ฝั่งใด หรือจะพยายามรักษาสมดุลแบบที่เป็นอยู่" 💔 บทบาทของโอปปาติกะ หนูดีค้นพบว่า: · โอปปาติกะคือ มนุษย์รุ่นดัดแปลงพิเศษ · ถูกสร้างมาให้เป็น ตัวกลางระหว่างสามฝ่าย · แต่หลายคนเริ่ม เอียงข้าง เนื่องจากพลังที่ได้รับ ```python class OpapatikaRevelation: def __init__(self): self.true_origin = { "วัตถุประสงค์เดิม": "เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเทพ-มาร-มนุษย์", "ความสามารถพิเศษ": "เข้าใจและสื่อสารกับทั้งสามฝ่ายได้", "พันธสัญญา": "ต้องรักษาความเป็นกลางเพื่อความสมดุล", "ภัยคุกคาม": "พลังที่เพิ่มขึ้นทำให้ยากต่อการควบคุมตนเอง" } self.current_crisis = { "ฝ่ายแสง": "โอปปาติกะบางคนถูกเทพแห่งแสงชักจูง", "ฝ่ายมืด": "โอปปาติกะบางคนถูกมารแห่งความมืดครอบงำ", "ฝ่ายกลาง": "เหลือน้อยลงทุกทีและกำลังถูกโจมตีจากทั้งสองฝ่าย", "หนูดี": "ถูกทั้งสองฝ่ายจับตามองเพราะพลังบริสุทธิ์ที่ยังไม่เลือกข้าง" } ``` ⚡ การเผชิญหน้าครั้งใหม่ 🌟 การปรากฏตัวของเทพแห่งแสง สุริยเทพ ปรากฏตัวต่อหน้ากลุ่มหนูดี: "โอปปาติกะผู้ยิ่งใหญ่... มาร่วมมือกับเรา มนุษย์ควรก้าวสู่ความสว่างไสวอย่างสมบูรณ์ เราจะลบล้างความมืดและความไม่สมบูรณ์ทั้งหมด สร้างโลกใหม่ที่ปราศจากความทุกข์ทรมาน" 🌑 การปรากฏตัวของมารแห่งความมืด ราตรีมาร ปรากฏจากเงามืด: "อย่าเชื่อคำสัญญาโกหกของแสง... ในความมืดมีอิสระที่แท้จริง มนุษย์ควรปลดปล่อยตนเองจากพันธะกรรม ยอมรับธรรมชาติที่แท้จริงซึ่งไม่ใช่แสงสว่างเสมอไป" 🕊️ ทางเลือกที่สาม หนูดีเริ่มเข้าใจบทเรียนจากพ่อที่ลึกซึ้งขึ้น: "พ่อเคยบอกว่า... ความจริงมักไม่ใช่สีขาวหรือดำ แต่คือเฉดสีเทาที่ต้องเข้าใจด้วยหัวใจ" 🛡️ ยุทธศาสตร์ใหม่ 🔮 การค้นพบจุดอ่อนของสงคราม หนูดีวิเคราะห์ว่า: 1. เทพแห่งแสง ต้องการศรัทธาและความเชื่ออย่างblind 2. มารแห่งความมืด ต้องการความสิ้นหวังและความกลัว 3. มนุษย์มีสิ่งที่ทั้งสองขาด - อิสระในการเลือก 💡 ยุทธวิธี "ความเป็นมนุษย์" หนูดีพัฒนายุทธศาสตร์ที่ไม่พึ่งพาพลังเหนือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว: ```python class HumanStrategy: def __init__(self): self.weapons = { "การตั้งคำถาม": "ทำให้ทั้งเทพและมารอ่อนแอเพราะพวกเขาไม่คุ้นเคย", "อารมณ์ที่ซับซ้อน": "ความรักที่ทั้งแสงและความมืดเข้าใจไม่หมด", "ความคิดสร้างสรรค์": "สร้างสิ่งที่ไม่เคยมีในแผนการของเทพหรือมาร", "ความไม่แน่นอน": "มนุษย์เปลี่ยนแปลงได้เสมอไม่ติดตรึงแบบพลังเหนือธรรมชาติ" } self.allies = [ "โอปปาติกะที่ยังเป็นกลาง", "มนุษย์ธรรมดาที่ไม่ยอมถูกควบคุม", "สิ่งมีชีวิตอื่นที่ได้รับผลกระทบ", "เทพ/มารบางส่วนที่เริ่มตั้งคำถาม" ] ``` 🌈 การปฏิบัติการพิเศษ 🎯 ปฏิบัติการ "แสงเทียนในความมืด" หนูดีและทีมเริ่มปฏิบัติการเพื่อ: 1. ช่วยเหลือมนุษย์ที่ถูกบังคับให้เลือกข้าง 2. เปิดโปงแผนการของทั้งสองฝ่าย 3. สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับมนุษย์ที่ต้องการเป็นกลาง 4. ค้นหาวิธียุติสงครามโดยไม่ทำลายสมดุล 🤝 การสร้างพันธมิตรที่คาดไม่ถึง ในระหว่างปฏิบัติการ หนูดีพบว่า: · มีเทพบางองค์ ที่เห็นว่าการบังคับมนุษย์เป็นสิ่งผิด · มีมารบางตน ที่เชื่อในอิสระของการเลือกของมนุษย์ · มนุษย์ธรรมดาหลายคน พร้อมต่อสู้เพื่อสิทธิในการกำหนดชะตาตนเอง 💥 จุดแตกหัก ⚖️ การพิพากษาครั้งใหญ่ เทพแห่งแสงและมารแห่งความมืดประกาศว่า: "ในคืนจันทรคราสที่จะมาถึง... มนุษย์ทุกคนต้องเลือกว่าจะอยู่ฝั่งใด ผู้ที่ยังคงเป็นกลางจะถูกกำจัดทั้งสองฝ่าย" 🛡️ คำประกาศของหนูดี หนูดีปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองฝ่ายพร้อมคำประกาศ: "พวกท่านลืมไปหรือไม่ว่า... มนุษย์คือผลงานที่ท่านร่วมกันสร้าง การบังคับให้เราเลือกข้าง คือการปฏิเสธความเป็นพ่อแม่ของท่านเอง และเราขอประกาศว่า... มนุษย์จะเลือกทางที่สาม ทางของเราเอง เราจะไม่เป็นทาสของแสง และจะไม่เป็นเชื้อเพลิงของความมืด เราจะเป็น... มนุษย์อย่างสมบูรณ์" 🌟 การต่อสู้ครั้งสำคัญ 🔥 ศึกสามฝ่ายที่จุดสมดุล หนูดีนำทั้ง มนุษย์ โอปปาติกะ เทพและมารที่เป็นกลาง ต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิในการกำหนดชะตากรรม ```mermaid graph TB A[หนูดีและฝ่ายกลาง] --> B[ต่อสู้เพื่อสิทธิ<br>ในการกำหนดชะตากรรม] C[เทพแห่งแสง] --> D[ต้องการควบคุม<br>มนุษย์เพื่อ'ความสมบูรณ์แบบ'] E[มารแห่งความมืด] --> F[ต้องการมนุษย์<br>เป็นแหล่งพลังงาน] D --> G[ศึกตัดสินที่<br>จุดสมดุลแห่งจักรวาล] F --> G B --> G ``` ✨ พลังใหม่ที่กำเนิดขึ้น ในยามคับขัน หนูดีค้นพบว่า: "พลังที่แท้จริงของโอปปาติกะ... ไม่ใช่การควบคุมแสงหรือความมืด แต่คือการเข้าใจว่าทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และมนุษย์คือผู้ที่สามารถรวมทั้งสองเข้าด้วยกันได้" 🕊️ บทสรุปแห่งการเปลี่ยนแปลง 🌍 โลกใหม่ที่เกิดจากทางเลือก หลังจากการต่อสู้อันยาวนาน: 1. เทพแห่งแสงและมารแห่งความมืด ยอมรับสิทธิของมนุษย์ 2. สนธิสัญญาใหม่ ถูกเซ็น - มนุษย์มีสิทธิกำหนดวิถีตนเอง 3. โอปปาติกะ กลายเป็นผู้รักษาสมดุลอย่างเป็นทางการ 4. มนุษย์เรียนรู้ ที่จะใช้ทั้งแสงและความมืดอย่างชาญฉลาด 📜 พันธสัญญาสามฝ่าย ```python class NewCovenant: def __init__(self): self.agreements = { "เทพแห่งแสง": [ "เคารพการเลือกของมนุษย์", "ให้ความรู้แต่ไม่บังคับ", "ยอมรับว่าความไม่สมบูรณ์คือความงามอย่างหนึ่ง" ], "มารแห่งความมืด": [ "ไม่ใช้มนุษย์เป็นทรัพยากร", "เคารพอิสระในการเลือก", "ยอมรับว่าความมืดไม่ใช่ทางออกเดียว" ], "มนุษย์": [ "รับผิดชอบต่อการเลือกของตนเอง", "ไม่ใช้พลังในทางที่ทำลายสมดุล", "เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกต่างๆ" ] } self.guardians = [ "โอปปาติกะเป็นผู้ดูแลสนธิสัญญา", "หนูดีเป็นประธานคณะกรรมการสมดุล", "มนุษย์เทพและมนุษย์มารร่วมทำงานกัน" ] ``` 💫 คำสอนใหม่ของหนูดี 🌱 การเติบโตอีกขั้น หนูดีเรียนรู้ว่า: "การเป็นโอปปาติกะไม่ใช่การควบคุมพลังเหนือธรรมชาติ... แต่คือการเข้าใจว่าพลังทุกชนิดมีที่มาและจุดหมาย และการเป็นมนุษย์ที่แท้... คือการมีอิสระที่จะเลือก พร้อมกับความรับผิดชอบต่อการเลือกนั้น" 🕯️ คำคมสรุปคดี "ในสงครามระหว่างแสงและความมืด... มนุษย์ค้นพบว่าเรามีทั้งสองอย่างในตนเอง และทางออกไม่ใช่การเลือกข้าง... แต่คือการเรียนรู้ที่จะเป็นทั้งคู่ ในเวลาที่เหมาะสม เพราะมนุษย์ที่สมบูรณ์... คือผู้ที่เข้าใจว่าแสงส่องสว่างเมื่อจำเป็น และความมืดให้ความสงบเมื่อต้องการ และนี่คือบทเรียนที่เทพและมาร... ต้องเรียนรู้จากลูกหลานของพวกเขาเอง"✨ --- 📖 บทส่งท้าย: สงครามแห่งแสงจบลง แต่การเดินทางของมนุษย์เพิ่งเริ่มต้น หนูดีและโอปปาติกะกลายเป็นผู้พิทักษ์สมดุลใหม่ ในโลกที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับพลังที่ได้รับมาอย่างรับผิดชอบ และบางที... นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่เทพ มาร และมนุษย์ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่ผ่านการทำสงคราม แต่ผ่านการเข้าใจในความแตกต่าง🌈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 390 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อุปกรณ์ที่ไม่ควรใช้แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้”

    แม้ว่าแบตเตอรี่แบบชาร์จใหม่ได้จะกลายเป็นมาตรฐานในชีวิตประจำวัน ทั้งสมาร์ทโฟน กล้อง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ แต่ก็มีบางกรณีที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว (disposable) ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เหตุผลหลักคือ รูปแบบการคายประจุและแรงดันไฟฟ้า ที่แตกต่างกัน แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้จะคายประจุอย่างคงที่จนใกล้หมดแล้วแรงดันตกลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจะคายประจุอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรในระยะยาว

    หนึ่งในกลุ่มอุปกรณ์ที่สำคัญคือ อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น เครื่องตรวจจับควัน เครื่องตรวจจับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และไฟฉุกเฉิน ซึ่งต้องการแบตเตอรี่ที่สามารถเก็บพลังงานได้นานโดยไม่ต้องดูแลบ่อย ๆ แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจึงเหมาะสมกว่า เพราะมีอายุการเก็บรักษายาวนานและพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น

    อีกกลุ่มคือ อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ ที่ใช้พลังงานเพียงเล็กน้อย เช่น นาฬิกาแขวน รีโมทคอนโทรล เทอร์โมสแตท และวิทยุขนาดเล็ก แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องยาวนานโดยไม่เปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อย ๆ

    สุดท้ายคือ อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย เช่น ไฟฉายสำหรับแคมป์หรือไฟฉุกเฉินในบ้าน เนื่องจากแบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวสามารถเก็บพลังงานได้นานหลายปีโดยไม่เสื่อม ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อหยิบมาใช้จะยังมีไฟฟ้าเพียงพอ ต่างจากแบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้ที่อาจหมดประจุเองเมื่อเก็บไว้นาน

    สรุปสาระสำคัญ
    อุปกรณ์ความปลอดภัย
    เครื่องตรวจจับควัน, เครื่องตรวจจับ CO, ไฟฉุกเฉินควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว

    อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ
    นาฬิกาแขวน, รีโมทคอนโทรล, เทอร์โมสแตท, วิทยุเล็ก ๆ ใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวได้ดีกว่า

    อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย
    ไฟฉายแคมป์, ไฟฉุกเฉิน ควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวเพื่อความมั่นใจ

    คำเตือน
    แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีแรงดันต่ำกว่า (1.2V เทียบกับ 1.5V) อาจทำให้อุปกรณ์บางชนิดทำงานผิดปกติ
    มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรระยะยาว

    https://www.slashgear.com/2039176/devices-should-not-use-rechargeable-batteries/
    🔋 “อุปกรณ์ที่ไม่ควรใช้แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้” แม้ว่าแบตเตอรี่แบบชาร์จใหม่ได้จะกลายเป็นมาตรฐานในชีวิตประจำวัน ทั้งสมาร์ทโฟน กล้อง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ แต่ก็มีบางกรณีที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว (disposable) ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เหตุผลหลักคือ รูปแบบการคายประจุและแรงดันไฟฟ้า ที่แตกต่างกัน แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้จะคายประจุอย่างคงที่จนใกล้หมดแล้วแรงดันตกลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจะคายประจุอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรในระยะยาว หนึ่งในกลุ่มอุปกรณ์ที่สำคัญคือ อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น เครื่องตรวจจับควัน เครื่องตรวจจับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และไฟฉุกเฉิน ซึ่งต้องการแบตเตอรี่ที่สามารถเก็บพลังงานได้นานโดยไม่ต้องดูแลบ่อย ๆ แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจึงเหมาะสมกว่า เพราะมีอายุการเก็บรักษายาวนานและพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น อีกกลุ่มคือ อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ ที่ใช้พลังงานเพียงเล็กน้อย เช่น นาฬิกาแขวน รีโมทคอนโทรล เทอร์โมสแตท และวิทยุขนาดเล็ก แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องยาวนานโดยไม่เปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อย ๆ สุดท้ายคือ อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย เช่น ไฟฉายสำหรับแคมป์หรือไฟฉุกเฉินในบ้าน เนื่องจากแบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวสามารถเก็บพลังงานได้นานหลายปีโดยไม่เสื่อม ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อหยิบมาใช้จะยังมีไฟฟ้าเพียงพอ ต่างจากแบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้ที่อาจหมดประจุเองเมื่อเก็บไว้นาน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ อุปกรณ์ความปลอดภัย ➡️ เครื่องตรวจจับควัน, เครื่องตรวจจับ CO, ไฟฉุกเฉินควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว ✅ อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ ➡️ นาฬิกาแขวน, รีโมทคอนโทรล, เทอร์โมสแตท, วิทยุเล็ก ๆ ใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวได้ดีกว่า ✅ อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย ➡️ ไฟฉายแคมป์, ไฟฉุกเฉิน ควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวเพื่อความมั่นใจ ‼️ คำเตือน ⛔ แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีแรงดันต่ำกว่า (1.2V เทียบกับ 1.5V) อาจทำให้อุปกรณ์บางชนิดทำงานผิดปกติ ⛔ มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรระยะยาว https://www.slashgear.com/2039176/devices-should-not-use-rechargeable-batteries/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Devices Should Not Use Rechargeable Batteries? - SlashGear
    Avoid using rechargeable batteries in smoke alarms, wall clocks, and remotes. Their lower voltage and self-discharge rates make single-use alkalines safer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรตีน Sox9 สามารถกระตุ้นเซลล์สมองที่เสื่อมในหนูให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง

    งานวิจัยใหม่พบว่าโปรตีน Sox9 สามารถกระตุ้นเซลล์สมองที่เสื่อมในหนูให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง โดยช่วยกำจัดคราบโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ และอาจเป็นแนวทางใหม่ในการรักษาโรคสมองเสื่อมในอนาคต

    นักวิจัยจาก Baylor College of Medicine ทดลองเพิ่มระดับโปรตีน Sox9 ในหนูที่มีภาวะคล้ายโรคอัลไซเมอร์ พบว่าเซลล์สมองชนิด astrocytes ซึ่งทำหน้าที่ดูแลและกำจัดของเสียในสมอง กลับมาทำงานได้ดีขึ้น สามารถ “ดูดซับ” คราบโปรตีน amyloid-beta ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การทำงานด้านความจำและพฤติกรรมของหนูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    กลไกการทำงานของ Sox9
    ผลการทดลองชี้ว่า Sox9 กระตุ้นการแสดงออกของตัวรับ MEGF10 บนผิวเซลล์ astrocytes ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำจัดคราบโปรตีนที่เป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของสมอง การทดลองในหนูที่ถูกตัดยีน Sox9 ออกกลับพบว่า astrocytes ทำงานแย่ลง ความจำเสื่อม และคราบโปรตีนสะสมมากขึ้น แสดงให้เห็นว่า Sox9 เป็นกุญแจสำคัญต่อสุขภาพสมอง

    ความซับซ้อนของโรคอัลไซเมอร์
    แม้การกำจัดคราบ amyloid-beta จะเป็นเป้าหมายหลักของการรักษาโรคอัลไซเมอร์ แต่งานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าการรักษาแบบนี้ไม่ได้ผลเสมอไป เนื่องจากโรคมีหลายปัจจัยร่วม เช่น การอักเสบในสมอง และการเสื่อมของเซลล์ประสาท การค้นพบ Sox9 จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เน้นการเสริมพลังให้กับ เซลล์ดูแลสมอง มากกว่าการรักษาเฉพาะเซลล์ประสาท

    ความหวังและข้อจำกัด
    แม้งานวิจัยนี้ยังอยู่ในระดับการทดลองกับหนู แต่ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าน่าตื่นเต้น เพราะแสดงให้เห็นว่า การฟื้นฟูสมองที่เสื่อมแล้ว อาจเป็นไปได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์ เพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพก่อนนำไปใช้จริง

    สรุปสาระสำคัญ
    โปรตีน Sox9 ช่วยฟื้นฟูสมองเสื่อมในหนู
    กระตุ้น astrocytes ให้กำจัดคราบ amyloid-beta ได้ดีขึ้น
    หนูที่ได้รับ Sox9 มีความจำและพฤติกรรมดีขึ้น

    กลไก Sox9 ผ่านตัวรับ MEGF10
    เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ดูแลสมอง
    การตัด Sox9 ออกทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น

    แนวทางใหม่ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์
    เน้นเสริมพลังเซลล์ดูแลสมองมากกว่าการรักษาเซลล์ประสาท
    อาจช่วยแก้ปัญหาที่การรักษาแบบเดิมไม่สำเร็จ

    ข้อจำกัดและความเสี่ยง
    งานวิจัยยังอยู่ในระดับทดลองกับสัตว์
    ต้องมีการทดสอบในมนุษย์เพื่อยืนยันความปลอดภัย

    https://www.sciencealert.com/boosting-one-protein-reawakens-aging-brain-cells-in-mice-study-shows
    🧠 โปรตีน Sox9 สามารถกระตุ้นเซลล์สมองที่เสื่อมในหนูให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง งานวิจัยใหม่พบว่าโปรตีน Sox9 สามารถกระตุ้นเซลล์สมองที่เสื่อมในหนูให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง โดยช่วยกำจัดคราบโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ และอาจเป็นแนวทางใหม่ในการรักษาโรคสมองเสื่อมในอนาคต นักวิจัยจาก Baylor College of Medicine ทดลองเพิ่มระดับโปรตีน Sox9 ในหนูที่มีภาวะคล้ายโรคอัลไซเมอร์ พบว่าเซลล์สมองชนิด astrocytes ซึ่งทำหน้าที่ดูแลและกำจัดของเสียในสมอง กลับมาทำงานได้ดีขึ้น สามารถ “ดูดซับ” คราบโปรตีน amyloid-beta ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การทำงานด้านความจำและพฤติกรรมของหนูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 🔬 กลไกการทำงานของ Sox9 ผลการทดลองชี้ว่า Sox9 กระตุ้นการแสดงออกของตัวรับ MEGF10 บนผิวเซลล์ astrocytes ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำจัดคราบโปรตีนที่เป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของสมอง การทดลองในหนูที่ถูกตัดยีน Sox9 ออกกลับพบว่า astrocytes ทำงานแย่ลง ความจำเสื่อม และคราบโปรตีนสะสมมากขึ้น แสดงให้เห็นว่า Sox9 เป็นกุญแจสำคัญต่อสุขภาพสมอง 🧩 ความซับซ้อนของโรคอัลไซเมอร์ แม้การกำจัดคราบ amyloid-beta จะเป็นเป้าหมายหลักของการรักษาโรคอัลไซเมอร์ แต่งานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าการรักษาแบบนี้ไม่ได้ผลเสมอไป เนื่องจากโรคมีหลายปัจจัยร่วม เช่น การอักเสบในสมอง และการเสื่อมของเซลล์ประสาท การค้นพบ Sox9 จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เน้นการเสริมพลังให้กับ เซลล์ดูแลสมอง มากกว่าการรักษาเฉพาะเซลล์ประสาท 🌍 ความหวังและข้อจำกัด แม้งานวิจัยนี้ยังอยู่ในระดับการทดลองกับหนู แต่ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าน่าตื่นเต้น เพราะแสดงให้เห็นว่า การฟื้นฟูสมองที่เสื่อมแล้ว อาจเป็นไปได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์ เพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพก่อนนำไปใช้จริง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ โปรตีน Sox9 ช่วยฟื้นฟูสมองเสื่อมในหนู ➡️ กระตุ้น astrocytes ให้กำจัดคราบ amyloid-beta ได้ดีขึ้น ➡️ หนูที่ได้รับ Sox9 มีความจำและพฤติกรรมดีขึ้น ✅ กลไก Sox9 ผ่านตัวรับ MEGF10 ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ดูแลสมอง ➡️ การตัด Sox9 ออกทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น ✅ แนวทางใหม่ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ ➡️ เน้นเสริมพลังเซลล์ดูแลสมองมากกว่าการรักษาเซลล์ประสาท ➡️ อาจช่วยแก้ปัญหาที่การรักษาแบบเดิมไม่สำเร็จ ‼️ ข้อจำกัดและความเสี่ยง ⛔ งานวิจัยยังอยู่ในระดับทดลองกับสัตว์ ⛔ ต้องมีการทดสอบในมนุษย์เพื่อยืนยันความปลอดภัย https://www.sciencealert.com/boosting-one-protein-reawakens-aging-brain-cells-in-mice-study-shows
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Boosting One Protein Reawakens Aging Brain Cells in Mice, Study Shows
    A discovery by researchers from the Baylor College of Medicine in the US could lead to treatments that clear the troublesome aggregations of protein thought to play a key role in Alzheimer's disease.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปลี่ยนภาพถ่ายเก่าเป็นดิจิทัลด้วยตัวเอง

    บทความจาก The Star ชี้ให้เห็นว่าหลายครอบครัวมีภาพถ่าย ฟิล์ม และวิดีโอเก่าที่เสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา การแปลงเป็นไฟล์ดิจิทัลจึงเป็นวิธีรักษาความทรงจำให้คงอยู่ต่อไป โดยมีสองแนวทางหลักคือ ส่งให้บริษัทบริการเช่น Legacy Box หรือ Capture.com ซึ่งสะดวกแต่มีค่าใช้จ่ายสูง และ ทำเองที่บ้าน ซึ่งอาจถูกกว่าและสนุกกว่า.

    สำหรับ ฟิล์มเนกาทีฟและสไลด์ วิธีที่นิยมคือใช้ สแกนเนอร์เนกาทีฟ ราคาประมาณ 100–200 ดอลลาร์ สามารถสแกนฟิล์ม 35 มม. และขนาดเล็กกว่าได้ หากเป็นฟิล์มขนาดใหญ่ สามารถใช้กล้องดิจิทัลหรือสมาร์ตโฟนถ่ายภาพโดยวางฟิล์มบนกล่องไฟ USB ราคาย่อมเยา แล้วใช้ซอฟต์แวร์กลับภาพ (invert) เพื่อให้ได้ภาพปกติ.

    สำหรับ วิดีโอเทปและฟิล์ม 16 มม. วิธีง่ายที่สุดคือฉายด้วยโปรเจ็กเตอร์บนผนังหรือจอ แล้วใช้สมาร์ตโฟนบันทึกภาพ พร้อมบันทึกเสียงบรรยายจากสมาชิกครอบครัวเพื่อเพิ่มคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ ส่วนวิดีโอเทปสามารถเล่นผ่านทีวีแล้วใช้กล้องถ่ายซ้ำในห้องมืดเพื่อลดแสงสะท้อน.

    สิ่งสำคัญคือการทำด้วยตัวเองช่วยให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการเล่าเรื่องและระลึกความทรงจำร่วมกัน ขณะเดียวกันก็เป็นกิจกรรมที่สนุกและสร้างสรรค์ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงเหมือนการใช้บริการภายนอก.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ทางเลือกการแปลงภาพเก่า
    ส่งให้บริษัทบริการ เช่น Legacy Box, Capture.com
    ทำเองที่บ้านด้วยอุปกรณ์ราคาย่อมเยา

    วิธีสำหรับฟิล์มและสไลด์
    ใช้สแกนเนอร์เนกาทีฟ (100–200 ดอลลาร์)
    ใช้กล้องดิจิทัล/สมาร์ตโฟนกับกล่องไฟ USB

    วิธีสำหรับวิดีโอเทปและฟิล์ม
    ฉายด้วยโปรเจ็กเตอร์แล้วถ่ายซ้ำ
    เล่นผ่านทีวีแล้วบันทึกด้วยกล้องในห้องมืด

    คุณค่าของการทำเอง
    ประหยัดค่าใช้จ่าย
    เพิ่มความทรงจำร่วมด้วยเสียงบรรยายจากครอบครัว

    ข้อควรระวัง
    คุณภาพอาจไม่เทียบเท่าบริการมืออาชีพ
    ต้องใช้เวลาและความอดทนในการปรับแต่งภาพ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/30/opinion-can-you-convert-your-old-photos-and-negatives-to-digital-at-home
    📸 เปลี่ยนภาพถ่ายเก่าเป็นดิจิทัลด้วยตัวเอง บทความจาก The Star ชี้ให้เห็นว่าหลายครอบครัวมีภาพถ่าย ฟิล์ม และวิดีโอเก่าที่เสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา การแปลงเป็นไฟล์ดิจิทัลจึงเป็นวิธีรักษาความทรงจำให้คงอยู่ต่อไป โดยมีสองแนวทางหลักคือ ส่งให้บริษัทบริการเช่น Legacy Box หรือ Capture.com ซึ่งสะดวกแต่มีค่าใช้จ่ายสูง และ ทำเองที่บ้าน ซึ่งอาจถูกกว่าและสนุกกว่า. สำหรับ ฟิล์มเนกาทีฟและสไลด์ วิธีที่นิยมคือใช้ สแกนเนอร์เนกาทีฟ ราคาประมาณ 100–200 ดอลลาร์ สามารถสแกนฟิล์ม 35 มม. และขนาดเล็กกว่าได้ หากเป็นฟิล์มขนาดใหญ่ สามารถใช้กล้องดิจิทัลหรือสมาร์ตโฟนถ่ายภาพโดยวางฟิล์มบนกล่องไฟ USB ราคาย่อมเยา แล้วใช้ซอฟต์แวร์กลับภาพ (invert) เพื่อให้ได้ภาพปกติ. สำหรับ วิดีโอเทปและฟิล์ม 16 มม. วิธีง่ายที่สุดคือฉายด้วยโปรเจ็กเตอร์บนผนังหรือจอ แล้วใช้สมาร์ตโฟนบันทึกภาพ พร้อมบันทึกเสียงบรรยายจากสมาชิกครอบครัวเพื่อเพิ่มคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ ส่วนวิดีโอเทปสามารถเล่นผ่านทีวีแล้วใช้กล้องถ่ายซ้ำในห้องมืดเพื่อลดแสงสะท้อน. สิ่งสำคัญคือการทำด้วยตัวเองช่วยให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการเล่าเรื่องและระลึกความทรงจำร่วมกัน ขณะเดียวกันก็เป็นกิจกรรมที่สนุกและสร้างสรรค์ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงเหมือนการใช้บริการภายนอก. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ทางเลือกการแปลงภาพเก่า ➡️ ส่งให้บริษัทบริการ เช่น Legacy Box, Capture.com ➡️ ทำเองที่บ้านด้วยอุปกรณ์ราคาย่อมเยา ✅ วิธีสำหรับฟิล์มและสไลด์ ➡️ ใช้สแกนเนอร์เนกาทีฟ (100–200 ดอลลาร์) ➡️ ใช้กล้องดิจิทัล/สมาร์ตโฟนกับกล่องไฟ USB ✅ วิธีสำหรับวิดีโอเทปและฟิล์ม ➡️ ฉายด้วยโปรเจ็กเตอร์แล้วถ่ายซ้ำ ➡️ เล่นผ่านทีวีแล้วบันทึกด้วยกล้องในห้องมืด ✅ คุณค่าของการทำเอง ➡️ ประหยัดค่าใช้จ่าย ➡️ เพิ่มความทรงจำร่วมด้วยเสียงบรรยายจากครอบครัว ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ คุณภาพอาจไม่เทียบเท่าบริการมืออาชีพ ⛔ ต้องใช้เวลาและความอดทนในการปรับแต่งภาพ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/30/opinion-can-you-convert-your-old-photos-and-negatives-to-digital-at-home
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: Can you convert your old photos and negatives to digital at home?
    This week I heard from a reader, "I have a ton of old photos, negatives (both 35mm and medium format 120/220mm), 16mm movie film, slides, camcorder video and a few VHS cassettes that I need to convert to digital. I know there are phone apps that advertise their ability to quickly and easily convert all but movies and video, as well as services like Legacy Box who can do it all. I would love your recommendations."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts