• "สถาบันกษัตริย์จะอยู่คู่กับอังกฤษตลอดไป"

    นี่คือเรื่องราวบางส่วนของ "ลิซ ทรัสส์" (Liz Truss) อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ผู้ที่ในอดีตเคยเรียกร้องให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ หลังผ่านไป 30 ปี เธอก็ยังไม่สามารถทำได้

    นอกจากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว เธอยังต้องปฏิบัติตามราชประเพณีที่สืบสานกันมาตั้งแต่อดีตอีกด้วย นับเป็นความพ่ายแพ้ของบรรดาผู้ที่ต้องการจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์อย่างแท้จริง

    "ลิซ ทรัสส์" เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษที่อยู่ในตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์การเมือง คือ 49 วัน
    (เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษวันที่ 6 กันยายน 2022 จนถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2022 และรักษาการต่อจนถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2022 ซึ่งเป็นวันที่ริชี ซูนัคเข้ารับตำแหน่งต่ออย่างเป็นทางการ ซึ่งรวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 49 วัน)


    เปิดเผยตัวตนเป็นผู้ต่อต้าน
    คลิปวิดีโอที่ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน "ลิซ ทรัสส์" ในวัย 19 ปี “นักศึกษาหญิงหัวก้าวหน้า” ที่ชื่นชอบแนวคิดของพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democrats) จนได้รับโอกาสกล่าวบนเวทีปราศรัยของพรรค ในวันนั้นเธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนระบอบสาธารณรัฐ (republicanism) และเรียกร้องให้ “ยกเลิกสถาบันกษัตริย์” อย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

    การแสดงออกของเธออย่างอย่างแข็งกร้าวในวันนั้น สะท้อนถึงอุดมการณ์อันแรงกล้าต่อความเชื่อใน “ความเท่าเทียม” และ “สิทธิของประชาชนที่มีอย่างเท่าเทียมกัน” โดยเธอปฏิเสธหลักการปกครองแบบสืบทอดทางสายเลือด (เช่น ระบบกษัตริย์ หรือชนชั้นสูงที่สืบทอดอำนาจ) โดยเชื่อว่าสถานะทางสังคมหรือสิทธิในการปกครองไม่ควรถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด

    และประชาชนไม่ควรถูกบังคับให้ยอมรับการตัดสินใจของผู้มีอำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของพวกเขาแต่ควรมาจากความสามารถหรือการได้รับความยินยอมจากประชาชน

    “เราเชื่อในความยุติธรรมและสามัญสำนึก เราไม่เชื่อว่าจะมีคนใดเกิดมาเพื่อปกครอง หรือต้องถูกบังคับให้เงียบต่อการตัดสินใจที่กระทบต่อชีวิตของพวกเขา” (We do not believe that people should be born to rule or that they should put up and shut up about decisions that affect their everyday lives.)

    “พวกเราพรรคเสรีประชาธิปไตยเชื่อในโอกาสสำหรับทุกคน เราไม่เชื่อว่าผู้คนเกิดมาเพื่อปกครอง” (We Liberal Democrats believe in opportunity for all. We do not believe people are born to rule.)

    ในระหว่างปราศรัยวันนั้น เธอยังเสริมอีกว่า:
    เราได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่อยู่ด้านนอกงาน เกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ คุณรู้ไหมว่าพวกเขาพูดอะไร? พวกเขาตอบว่า 'ยกเลิกพวกเขา เราพอแล้ว' (They said abolish them, we’ve had enough) "เราไม่พบคนที่นิยมราชาธิปไตยสักคนเดียวนอก Royal Pavilion"

    คำพูดเหล่านั้นถูกจดจำในฐานะ “จุดยืนแห่งการต่อต้านสถาบัน” ที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งจากนักการเมืองอังกฤษรุ่นใหม่ในยุคนั้น
    .
    แต่เมื่อเวลาผ่านไป อุดมการณ์ที่เคยแรงราวไฟเผา กลับถูกกลืนด้วยความเป็นจริงของอำนาจ ซึ่งพ่ายแพ้ให้กับความเป็นจริงด้วยการ "จุมพิตพระหัตถ์ราชินี"

    ต่อมา ทรัสส์ได้เปลี่ยนเส้นทางการเมือง โดยเข้าร่วมกับพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) ซึ่งเป็นพรรคที่สนับสนุนสถาบันกษัตริย์อย่างแข็งขัน
    และนั่นทำให้มุมมองของเธอค่อยๆ เปลี่ยนไปอีกครั้ง

    ในช่วงปี 2022 ผู้สื่อข่าวถามถึงมุมมองในอดีตของเธอเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ทรัสส์ตอบว่าแนวคิดทางการเมืองของเธอ “พัฒนาไปตามวัย”
    เธอกล่าวกับ Sky News ว่า:

    “ฉันได้พบกับราชินีแล้ว และเธอก็สุภาพเกินกว่าจะยกประเด็นสมัยนั้นขึ้นมา”
    (I have met the Queen, and she was far too polite to raise the issue.)
    เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเธอจะขอโทษหรือไม่ หากราชินีพูดถึงเรื่องนี้ เธอตอบว่า

    “ฉันเคยผิดพลาดที่พูดสิ่งเหล่านั้นในเวลานั้น”
    (I was wrong to say what I did at the time.)

    นิก โรบินสัน” แห่ง BBC ได้ซักถามเกี่ยวกับความคิดเห็นก่อนหน้านี้ของเธอ ซึ่งทรัสส์ตอบว่า:
    “ฉันเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมอังกฤษถึงประสบความสำเร็จ และส่วนหนึ่งของความสำเร็จของเราคือระบอบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญที่สนับสนุนประชาธิปไตยเสรี”
    (I have come to understand more about why Britain is successful — and part of that success is our constitutional monarchy that underpins a free democracy.)

    ท้ายที่สุด เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2022 ลิซ ทรัสส์ ได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการโดยการเข้าเฝ้าและรับการแต่งตั้งจาก สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ณ พระตำหนักบัลมอรัลในสกอตแลนด์

    ภาพของหญิงสาวผู้เคยเรียกร้องให้ “ล้มเลิกสถาบันกษัตริย์” เมื่อวัยเยาว์ กลับต้องค้อมศีรษะและ “จุมพิตพระหัตถ์” ของราชินีผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งระบอบที่เธอเคยปฏิเสธ

    และเพียง 49 วัน หลังจากนั้น เธอก็ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทิ้งไว้เพียงภาพอันน่าขบขันของ “อดีตนักล้มล้าง” ที่ลงเอยด้วยการอยู่ภายใต้ระบอบเดิมที่เธอเคยพยายามโค่นล้มด้วยถ้อยคำรุนแรงของเธอเอง
    .
    https://www.yahoo.com/news/liz-truss-queen-monarchy-abolished-video-114714959.html

    https://www.abc.net.au/news/2022-09-06/who-is-liz-truss-britains-next-prime-minister/101404932

    https://www.independent.co.uk/tv/news/liz-truss-monarchy-republicanism-abolish-b2128076.html
    "สถาบันกษัตริย์จะอยู่คู่กับอังกฤษตลอดไป" นี่คือเรื่องราวบางส่วนของ "ลิซ ทรัสส์" (Liz Truss) อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ผู้ที่ในอดีตเคยเรียกร้องให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ หลังผ่านไป 30 ปี เธอก็ยังไม่สามารถทำได้ นอกจากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว เธอยังต้องปฏิบัติตามราชประเพณีที่สืบสานกันมาตั้งแต่อดีตอีกด้วย นับเป็นความพ่ายแพ้ของบรรดาผู้ที่ต้องการจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์อย่างแท้จริง "ลิซ ทรัสส์" เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษที่อยู่ในตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์การเมือง คือ 49 วัน (เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษวันที่ 6 กันยายน 2022 จนถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2022 และรักษาการต่อจนถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2022 ซึ่งเป็นวันที่ริชี ซูนัคเข้ารับตำแหน่งต่ออย่างเป็นทางการ ซึ่งรวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 49 วัน) 👉เปิดเผยตัวตนเป็นผู้ต่อต้าน คลิปวิดีโอที่ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน "ลิซ ทรัสส์" ในวัย 19 ปี “นักศึกษาหญิงหัวก้าวหน้า” ที่ชื่นชอบแนวคิดของพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democrats) จนได้รับโอกาสกล่าวบนเวทีปราศรัยของพรรค ในวันนั้นเธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนระบอบสาธารณรัฐ (republicanism) และเรียกร้องให้ “ยกเลิกสถาบันกษัตริย์” อย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด การแสดงออกของเธออย่างอย่างแข็งกร้าวในวันนั้น สะท้อนถึงอุดมการณ์อันแรงกล้าต่อความเชื่อใน “ความเท่าเทียม” และ “สิทธิของประชาชนที่มีอย่างเท่าเทียมกัน” โดยเธอปฏิเสธหลักการปกครองแบบสืบทอดทางสายเลือด (เช่น ระบบกษัตริย์ หรือชนชั้นสูงที่สืบทอดอำนาจ) โดยเชื่อว่าสถานะทางสังคมหรือสิทธิในการปกครองไม่ควรถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด และประชาชนไม่ควรถูกบังคับให้ยอมรับการตัดสินใจของผู้มีอำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของพวกเขาแต่ควรมาจากความสามารถหรือการได้รับความยินยอมจากประชาชน “เราเชื่อในความยุติธรรมและสามัญสำนึก เราไม่เชื่อว่าจะมีคนใดเกิดมาเพื่อปกครอง หรือต้องถูกบังคับให้เงียบต่อการตัดสินใจที่กระทบต่อชีวิตของพวกเขา” (We do not believe that people should be born to rule or that they should put up and shut up about decisions that affect their everyday lives.) “พวกเราพรรคเสรีประชาธิปไตยเชื่อในโอกาสสำหรับทุกคน เราไม่เชื่อว่าผู้คนเกิดมาเพื่อปกครอง” (We Liberal Democrats believe in opportunity for all. We do not believe people are born to rule.) ในระหว่างปราศรัยวันนั้น เธอยังเสริมอีกว่า: เราได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่อยู่ด้านนอกงาน เกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ คุณรู้ไหมว่าพวกเขาพูดอะไร? พวกเขาตอบว่า 'ยกเลิกพวกเขา เราพอแล้ว' (They said abolish them, we’ve had enough) "เราไม่พบคนที่นิยมราชาธิปไตยสักคนเดียวนอก Royal Pavilion" คำพูดเหล่านั้นถูกจดจำในฐานะ “จุดยืนแห่งการต่อต้านสถาบัน” ที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งจากนักการเมืองอังกฤษรุ่นใหม่ในยุคนั้น . 👉แต่เมื่อเวลาผ่านไป อุดมการณ์ที่เคยแรงราวไฟเผา กลับถูกกลืนด้วยความเป็นจริงของอำนาจ ซึ่งพ่ายแพ้ให้กับความเป็นจริงด้วยการ "จุมพิตพระหัตถ์ราชินี" ต่อมา ทรัสส์ได้เปลี่ยนเส้นทางการเมือง โดยเข้าร่วมกับพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) ซึ่งเป็นพรรคที่สนับสนุนสถาบันกษัตริย์อย่างแข็งขัน และนั่นทำให้มุมมองของเธอค่อยๆ เปลี่ยนไปอีกครั้ง ในช่วงปี 2022 ผู้สื่อข่าวถามถึงมุมมองในอดีตของเธอเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ทรัสส์ตอบว่าแนวคิดทางการเมืองของเธอ “พัฒนาไปตามวัย” เธอกล่าวกับ Sky News ว่า: “ฉันได้พบกับราชินีแล้ว และเธอก็สุภาพเกินกว่าจะยกประเด็นสมัยนั้นขึ้นมา” (I have met the Queen, and she was far too polite to raise the issue.) เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเธอจะขอโทษหรือไม่ หากราชินีพูดถึงเรื่องนี้ เธอตอบว่า “ฉันเคยผิดพลาดที่พูดสิ่งเหล่านั้นในเวลานั้น” (I was wrong to say what I did at the time.) นิก โรบินสัน” แห่ง BBC ได้ซักถามเกี่ยวกับความคิดเห็นก่อนหน้านี้ของเธอ ซึ่งทรัสส์ตอบว่า: “ฉันเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมอังกฤษถึงประสบความสำเร็จ และส่วนหนึ่งของความสำเร็จของเราคือระบอบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญที่สนับสนุนประชาธิปไตยเสรี” (I have come to understand more about why Britain is successful — and part of that success is our constitutional monarchy that underpins a free democracy.) 👉ท้ายที่สุด เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2022 ลิซ ทรัสส์ ได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการโดยการเข้าเฝ้าและรับการแต่งตั้งจาก สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ณ พระตำหนักบัลมอรัลในสกอตแลนด์ ภาพของหญิงสาวผู้เคยเรียกร้องให้ “ล้มเลิกสถาบันกษัตริย์” เมื่อวัยเยาว์ กลับต้องค้อมศีรษะและ “จุมพิตพระหัตถ์” ของราชินีผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งระบอบที่เธอเคยปฏิเสธ และเพียง 49 วัน หลังจากนั้น เธอก็ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทิ้งไว้เพียงภาพอันน่าขบขันของ “อดีตนักล้มล้าง” ที่ลงเอยด้วยการอยู่ภายใต้ระบอบเดิมที่เธอเคยพยายามโค่นล้มด้วยถ้อยคำรุนแรงของเธอเอง . https://www.yahoo.com/news/liz-truss-queen-monarchy-abolished-video-114714959.html https://www.abc.net.au/news/2022-09-06/who-is-liz-truss-britains-next-prime-minister/101404932 https://www.independent.co.uk/tv/news/liz-truss-monarchy-republicanism-abolish-b2128076.html
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • "นิพนธ์" ปัดข่าวร่วมตั้งพรรคใหม่ "ดร.เอ้" ย้ำยังยึดมั่นอุดมการณ์ "ประชาธิปัตย์" ดั้งเดิมที่เป็นเสรีประชาธิปไตย
    https://www.thai-tai.tv/news/20019/
    .
    #นิพนธ์บุญญามณี #พรรคประชาธิปัตย์ #ไม่ย้ายพรรค #ข่าวลือ #อุดมการณ์ประชาธิปไตย #การเมืองไทย #สงขลา #เสรีประชาธิปไตย #กระจายอำนาจ #ภาคใต้
    "นิพนธ์" ปัดข่าวร่วมตั้งพรรคใหม่ "ดร.เอ้" ย้ำยังยึดมั่นอุดมการณ์ "ประชาธิปัตย์" ดั้งเดิมที่เป็นเสรีประชาธิปไตย https://www.thai-tai.tv/news/20019/ . #นิพนธ์บุญญามณี #พรรคประชาธิปัตย์ #ไม่ย้ายพรรค #ข่าวลือ #อุดมการณ์ประชาธิปไตย #การเมืองไทย #สงขลา #เสรีประชาธิปไตย #กระจายอำนาจ #ภาคใต้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 514 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกียว​โด​นิวส์​ (26​ พ.ค.)​ สำรวจความเห็น​ร้อยละ 59.8 เชื่อว่าราคาข้าวจะถูกลง เมื่อได้รัฐมนตรีฯ​ คนใหม่​ หลังจากที่อดีตรัฐมนตรีถูกปลด​ฯ​ เนื่องจากแสดงความคิดเห็นเชิญชวนคนช่วยกันให้ข้าวแทนของขวัญ​ ซึ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจ
    .
    จากการสำรวจทางโทรศัพท์ พบว่าร้อยละ 59.8 ว่าราคาข้าวจะถูกลง แสดงความคาดหวังดังกล่าว ในขณะที่ร้อยละ 35.1 ไม่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเกิดขึ้นหากชินจิโร โคอิซูมิ​ เข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้ากระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง
    .
    บุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรี​ โคอิซูมิ ถือเป็นผู้นำรุ่นใหม่ที่มีความหวังในพรรคเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรครัฐบาล
    .
    ราคาเฉลี่ยของข้าวที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตญี่ปุ่นยังคงอยู่ที่ระดับสูงกว่าปีที่แล้วประมาณสองเท่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเก็บเกี่ยวที่ตกต่ำนับจากฤดูร้อนปี 2566
    .
    ราคาแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,268 เยน(ประมาณ​ 970 บาท)​ ต่อ 5 กิโลกรัมในสัปดาห์ระหว่างวันที่ 5 พฤษภาคมถึง 11 พฤษภาคม แม้ว่ารัฐบาลจะใช้มาตรการแก้ฯ เช่น การปล่อยสต็อกเพื่อรักษาเสถียรภาพของอุปทาน
    .
    ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่าร้อยละ 44.7 เชื่อว่าราคาข้าวควรลดลงต่ำกว่า 3,000 เยนต่อ 5 กิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าที่นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะให้คำมั่นเมื่อไม่นานนี้
    .
    มีร้อยละ 45.0 ที่เชื่อว่าการปรับลดราคาข้าวเป้าหมายนั้น "เหมาะสม" โดยมีเพียงร้อยละ 7.6 ที่บอกว่าควรตั้งราคาให้สูงขึ้น
    .
    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/japan/detail/9680000049049
    .
    #MGROnline #ญี่ปุน #ราคาข้าว
    เกียว​โด​นิวส์​ (26​ พ.ค.)​ สำรวจความเห็น​ร้อยละ 59.8 เชื่อว่าราคาข้าวจะถูกลง เมื่อได้รัฐมนตรีฯ​ คนใหม่​ หลังจากที่อดีตรัฐมนตรีถูกปลด​ฯ​ เนื่องจากแสดงความคิดเห็นเชิญชวนคนช่วยกันให้ข้าวแทนของขวัญ​ ซึ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจ . จากการสำรวจทางโทรศัพท์ พบว่าร้อยละ 59.8 ว่าราคาข้าวจะถูกลง แสดงความคาดหวังดังกล่าว ในขณะที่ร้อยละ 35.1 ไม่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเกิดขึ้นหากชินจิโร โคอิซูมิ​ เข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้ากระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง . บุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรี​ โคอิซูมิ ถือเป็นผู้นำรุ่นใหม่ที่มีความหวังในพรรคเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรครัฐบาล . ราคาเฉลี่ยของข้าวที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตญี่ปุ่นยังคงอยู่ที่ระดับสูงกว่าปีที่แล้วประมาณสองเท่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเก็บเกี่ยวที่ตกต่ำนับจากฤดูร้อนปี 2566 . ราคาแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,268 เยน(ประมาณ​ 970 บาท)​ ต่อ 5 กิโลกรัมในสัปดาห์ระหว่างวันที่ 5 พฤษภาคมถึง 11 พฤษภาคม แม้ว่ารัฐบาลจะใช้มาตรการแก้ฯ เช่น การปล่อยสต็อกเพื่อรักษาเสถียรภาพของอุปทาน . ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่าร้อยละ 44.7 เชื่อว่าราคาข้าวควรลดลงต่ำกว่า 3,000 เยนต่อ 5 กิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าที่นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะให้คำมั่นเมื่อไม่นานนี้ . มีร้อยละ 45.0 ที่เชื่อว่าการปรับลดราคาข้าวเป้าหมายนั้น "เหมาะสม" โดยมีเพียงร้อยละ 7.6 ที่บอกว่าควรตั้งราคาให้สูงขึ้น . คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/japan/detail/9680000049049 . #MGROnline #ญี่ปุน #ราคาข้าว
    MGRONLINE.COM
    ชาวญี่ปุ่นเกือบ 60% เชื่อว่าราคาข้าวจะถูกลงเมื่อมีรัฐมนตรีเกษตรคนใหม่​
    เกียว​โด​นิวส์​ (26​ พ.ค.)​ สำรวจความเห็น​ร้อยละ 59.8 เชื่อว่าราคาข้าวจะถูกลง เมื่อได้รัฐมนตรีฯ​ คนใหม่​ หลังจากที่อดีตรัฐมนตรีถูกปลด​ฯ​ เนื่องจากแสดงความคิดเห็นเชิญชวนคนช่วยกันให้ข้าวแทนของขวัญ​ ซึ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 521 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## มายา ภาพลวง โลกเสรี และ ประชาธิปไตย ที่ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง ##
    ..
    ..
    แรกๆผมพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ ว่า "ความช่วยเหลือ" ที่ว่านี้ "ไม่ฟรี"...!!!
    .
    วันนี้ Black Rock ได้ แร่หายาก และ แผ่นดิน ยูเครน ไปมหาศาลแล้วใช่มั้ย...???
    .
    อเมริกา ได้อะไรไปบ้าง ราวกับสัมปทาน ชั่วกัลปาวสาน...!!!
    .
    และ ตอนนี้ พวกคนดี ประเทศเสรีประชาธิปไตย ที่เคยบอกว่าจะช่วย ยูเครน รบกับ รัสเซีย จนทหารยูเครนคนสุดท้าย...!!!
    .
    เริ่มขอส่วนแบ่งเค้ก รุมทึ้งแผ่นดิน ยูเครน แล้ว...!!!
    .
    ใครซ้ายจัด เทิดทูน อเมริกา และ ยุโรป เป็นพ่อ เป็นพระเอก เป็นตำรวจโลก คอยเลียก้นให้เขา ไม่รู้วันนี้ กะลาแตก รึยัง...???
    .
    อ่อ ไอ้พวก พรรคการเมืองเสร่อๆนั่นก็ด้วย หรือ ท่านชายพระตะบอง นั่นก็ใช่...!!!
    .
    เอ้อ ศาสดานักวิทยาศาสตร์ ผู้รู้ทุกเรื่อง ที่ทุกวันนี่ยังเชิดชู เซเลนสกี้ ว่าเป็น ฮีโร่ ของ ยูเครน อยู่เลยนั่นผมก็ไม่ลืมนะ...!!!
    .
    ฮีโร่ ประสาอะไร ครับ...???
    .
    บริหารจนประเทศพังพินาศ หมดสภาพความเป็นประเทศไปแล้ว
    .
    ทหารตายไปราว 2 ล้านคน (รวมทหาร NATO ด้วย)
    .
    ประชาชน ต้องอพยพลี้ภัยออกจากประเทศพลัดที่นาคาที่อยู่มากกว่า 10 ล้านคน...
    .
    ถูกคนที่เรียกว่าเพื่อนรุมทึ้งแผ่นดิน
    .
    นั่นแหล่ะ ผลของการที่ มีผู้นำโง่
    .
    และ สิ่งนี้ เกิดขึ้น ในระบอบที่อ้างว่า คือ ประชาธิปไตย...
    .
    ลองถามตัวเองดู คุณเสพข่าวจากแหล่งไหน ฟังอินฟูลคนไหน ถึงได้หลงทาง คาดการณ์ผิดไปไกลขนาดนั้น...???
    .
    เคยคิดบ้างรึเปล่าครับว่า...
    .
    ตัวเอง ถูกล้างสมองด้วย Propaganda (โฆษณาชวนเชื่อ) ไม่ว่าจะด้วย อินฟลูที่ตาม ข่าวที่ฟัง และ หนังฮอลลีวูดที่ดู...???
    .
    https://mgronline.com/around/detail/9680000018785?fbclid=IwY2xjawIt18lleHRuA2FlbQIxMQABHZL_RXNexVthVi27siJ4lA7LywLYfTLah4N5pQw0fjTvUXWndQ2nBUu7zQ_aem_Kq4d9cd5tT_7R1gGhAJPlw
    ## มายา ภาพลวง โลกเสรี และ ประชาธิปไตย ที่ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง ## .. .. แรกๆผมพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ ว่า "ความช่วยเหลือ" ที่ว่านี้ "ไม่ฟรี"...!!! . วันนี้ Black Rock ได้ แร่หายาก และ แผ่นดิน ยูเครน ไปมหาศาลแล้วใช่มั้ย...??? . อเมริกา ได้อะไรไปบ้าง ราวกับสัมปทาน ชั่วกัลปาวสาน...!!! . และ ตอนนี้ พวกคนดี ประเทศเสรีประชาธิปไตย ที่เคยบอกว่าจะช่วย ยูเครน รบกับ รัสเซีย จนทหารยูเครนคนสุดท้าย...!!! . เริ่มขอส่วนแบ่งเค้ก รุมทึ้งแผ่นดิน ยูเครน แล้ว...!!! . ใครซ้ายจัด เทิดทูน อเมริกา และ ยุโรป เป็นพ่อ เป็นพระเอก เป็นตำรวจโลก คอยเลียก้นให้เขา ไม่รู้วันนี้ กะลาแตก รึยัง...??? . อ่อ ไอ้พวก พรรคการเมืองเสร่อๆนั่นก็ด้วย หรือ ท่านชายพระตะบอง นั่นก็ใช่...!!! . เอ้อ ศาสดานักวิทยาศาสตร์ ผู้รู้ทุกเรื่อง ที่ทุกวันนี่ยังเชิดชู เซเลนสกี้ ว่าเป็น ฮีโร่ ของ ยูเครน อยู่เลยนั่นผมก็ไม่ลืมนะ...!!! . ฮีโร่ ประสาอะไร ครับ...??? . บริหารจนประเทศพังพินาศ หมดสภาพความเป็นประเทศไปแล้ว . ทหารตายไปราว 2 ล้านคน (รวมทหาร NATO ด้วย) . ประชาชน ต้องอพยพลี้ภัยออกจากประเทศพลัดที่นาคาที่อยู่มากกว่า 10 ล้านคน... . ถูกคนที่เรียกว่าเพื่อนรุมทึ้งแผ่นดิน . นั่นแหล่ะ ผลของการที่ มีผู้นำโง่ . และ สิ่งนี้ เกิดขึ้น ในระบอบที่อ้างว่า คือ ประชาธิปไตย... . ลองถามตัวเองดู คุณเสพข่าวจากแหล่งไหน ฟังอินฟูลคนไหน ถึงได้หลงทาง คาดการณ์ผิดไปไกลขนาดนั้น...??? . เคยคิดบ้างรึเปล่าครับว่า... . ตัวเอง ถูกล้างสมองด้วย Propaganda (โฆษณาชวนเชื่อ) ไม่ว่าจะด้วย อินฟลูที่ตาม ข่าวที่ฟัง และ หนังฮอลลีวูดที่ดู...??? . https://mgronline.com/around/detail/9680000018785?fbclid=IwY2xjawIt18lleHRuA2FlbQIxMQABHZL_RXNexVthVi27siJ4lA7LywLYfTLah4N5pQw0fjTvUXWndQ2nBUu7zQ_aem_Kq4d9cd5tT_7R1gGhAJPlw
    MGRONLINE.COM
    ส่อสิ้นเนื้อประดาตัว! เจ้าหนี้รายอื่นเอาบ้าง เรียกร้องยูเครนใช้คืนเงินช่วยเหลือระหว่างทำศึกกับรัสเซีย
    สโลวาเกีย มีสิทธิ์เรียกร้องให้ยูเครนชำระคืน เงินช่วยเหลือที่พวกเขามอบให้เคียฟในระหว่างทำศึกสงครามกับมอสโก หากว่าบรรดาชาติตะวันตกอย่าง สหรัฐฯ เยอรมนีและฝรั่งเศส ดำเนินการแบบเดียวกัน สมาชิกรัฐสภาระดับอาวุโสรายหนึ่งของสโลวาเกีย เน้นย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 729 มุมมอง 0 รีวิว
  • "รัฐบาลเยอรมันส่อล่ม หลังโชลซ์ปลดรัฐมนตรีคลังออกจากตำแหน่ง!"

    นายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี ประกาศปลดคริสเตียน ลินด์เนอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกจากตำแหน่ง ด้านลินด์เนอร์ ตอบโต้ด้วยการพาพรรคเอฟดีพีถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลทันที

    ทั้งชอลซ์และลินด์เนอร์ขัดแย้งกันมานานในเรื่องของการบริหารจัดการงบประมาณ ในที่สุดชอลซ์ต้องประกาศปลดลินด์เนอร์ออก โดยให้เหตุผลว่า "ขาดความไว้วางใจ" และ ลินด์เนอร์ไม่สนใจประโยชน์ส่วนรวมของชาติ “ใครก็ตามที่เข้าร่วมรัฐบาลต้องทำหน้าที่อย่างมีความรับผิดชอบและเชื่อถือได้ ไม่ใช่หาที่หลบภัยเมื่อสถานการณ์เลวร้าย” ชอลซ์กล่าวในการแถลงข่าว

    หลังการประกาศถอนตัวของพรรคเสรีประชาธิปไตย (FDP) ของลินด์เนอร์ ทำให้ขณะนี้รัฐบาลของชอลซ์เหลือเพียงสองพรรค คือ พรรคสังคมประชาธิปไตย (SPD) ของชอลซ์ และพรรคกรีน ทำให้ชอลซ์ไม่ได้ครองเสียงข้างมากในสภาอีกต่อไป

    ชอลซ์ยังเผยด้วยว่า เขาจะขอให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และลงมติเกี่ยวกับสถานภาพของรัฐบาล ภายในวันที่ 15 ม.ค. 2568 ซึ่งอาจทำให้เยอรมนีจะต้องมีการเลือกตั้งก่อนกำหนดภายในปลายเดือน มี.ค. 68 จากกำหนดการตามวาระของรัฐบาล ในเดือน ก.ย. 68

    "รัฐบาลเยอรมันส่อล่ม หลังโชลซ์ปลดรัฐมนตรีคลังออกจากตำแหน่ง!" นายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี ประกาศปลดคริสเตียน ลินด์เนอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกจากตำแหน่ง ด้านลินด์เนอร์ ตอบโต้ด้วยการพาพรรคเอฟดีพีถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลทันที ทั้งชอลซ์และลินด์เนอร์ขัดแย้งกันมานานในเรื่องของการบริหารจัดการงบประมาณ ในที่สุดชอลซ์ต้องประกาศปลดลินด์เนอร์ออก โดยให้เหตุผลว่า "ขาดความไว้วางใจ" และ ลินด์เนอร์ไม่สนใจประโยชน์ส่วนรวมของชาติ “ใครก็ตามที่เข้าร่วมรัฐบาลต้องทำหน้าที่อย่างมีความรับผิดชอบและเชื่อถือได้ ไม่ใช่หาที่หลบภัยเมื่อสถานการณ์เลวร้าย” ชอลซ์กล่าวในการแถลงข่าว หลังการประกาศถอนตัวของพรรคเสรีประชาธิปไตย (FDP) ของลินด์เนอร์ ทำให้ขณะนี้รัฐบาลของชอลซ์เหลือเพียงสองพรรค คือ พรรคสังคมประชาธิปไตย (SPD) ของชอลซ์ และพรรคกรีน ทำให้ชอลซ์ไม่ได้ครองเสียงข้างมากในสภาอีกต่อไป ชอลซ์ยังเผยด้วยว่า เขาจะขอให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และลงมติเกี่ยวกับสถานภาพของรัฐบาล ภายในวันที่ 15 ม.ค. 2568 ซึ่งอาจทำให้เยอรมนีจะต้องมีการเลือกตั้งก่อนกำหนดภายในปลายเดือน มี.ค. 68 จากกำหนดการตามวาระของรัฐบาล ในเดือน ก.ย. 68
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 334 มุมมอง 31 0 รีวิว
  • 1 ตุลาคม 2567-นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น นาย Shigeru Ishiba (ชิเงรุ อิชิบะ) ผู้นำพรรครัฐบาลญี่ปุ่น ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการในการลงมติของรัฐสภาในวันนี้ สืบทอดตำแหน่งต่อจากนายฟูมิโอะ คิชิดะ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการเมือง เศรษฐกิจส่อเค้าไม่มั่นคง และภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่เพิ่มสูงขึ้น

    ประวัติ ชิเงรุ อิชิบะ(石破 茂Ishiba Shigeru ) เกิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500เป็นนักการเมืองชาวญี่ปุ่นที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 65 ของญี่ปุ่นและเป็นประธานพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 เขาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ถึง 2551 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ถึง 2552 รวมถึงดำรงตำแหน่งเลขาธิการของ LDPตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ถึง 2557

    https://asia.nikkei.com/Opinion/New-Japan-PM-Ishiba-needs-public-support-to-fend-off-Abe-loyalists

    #Thaitimes
    1 ตุลาคม 2567-นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น นาย Shigeru Ishiba (ชิเงรุ อิชิบะ) ผู้นำพรรครัฐบาลญี่ปุ่น ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการในการลงมติของรัฐสภาในวันนี้ สืบทอดตำแหน่งต่อจากนายฟูมิโอะ คิชิดะ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการเมือง เศรษฐกิจส่อเค้าไม่มั่นคง และภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่เพิ่มสูงขึ้น ประวัติ ชิเงรุ อิชิบะ(石破 茂Ishiba Shigeru ) เกิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500เป็นนักการเมืองชาวญี่ปุ่นที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 65 ของญี่ปุ่นและเป็นประธานพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 เขาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ถึง 2551 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ถึง 2552 รวมถึงดำรงตำแหน่งเลขาธิการของ LDPตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ถึง 2557 https://asia.nikkei.com/Opinion/New-Japan-PM-Ishiba-needs-public-support-to-fend-off-Abe-loyalists #Thaitimes
    ASIA.NIKKEI.COM
    New Japan PM Ishiba needs public support to fend off Abe loyalists
    Leader hemmed in by LDP's right flank, potentially more credible opposition
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 919 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯกำลังจะจัดส่งแพ็คเกจความช่วยเหลือทางด้านความมั่นคงให้ไต้หวันเร็วๆ นี้ ซึ่งจะมีมูลค่าสูงที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมีมา นั่นคือ 567 ล้านดอลลาร์ ทางด้านโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนเตือนว่า การดำเนินการนี้รังแต่ส่งผลลบและเป็นการทำร้ายตัวเอง พร้อมเรียกร้องให้วอชิงตันยุติการติดอาวุธให้ไต้หวันในทุกรูปแบบ
    .
    วอชิงตัน ผู้สนับสนุนรายใหญ่สุดและสำคัญที่สุดของไต้หวันแม้ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน จะใช้เครื่องมือที่เร็วที่สุดที่มีอยู่เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือเหล่านี้ให้แก่ไทเป
    .
    ปักกิ่งที่ระบุว่า ไต้หวันเป็นมณฑลกบฎของตนและประกาศพร้อมรวมเกาะแห่งนี้ด้วยกำลังหากจำเป็น เรียกร้องมาตลอดให้วอชิงตันระงับการขายอาวุธให้ไต้หวัน
    .
    ด้านสหรัฐฯอ้างรัฐบัญญัติความสัมพันธ์กับไต้หวันปี 1979 ของตนเอง ซึ่งระบุว่าอเมริกามีหน้าที่ตามกฎหมายในการขายอาวุธเพื่อให้ไทเปสามารถปกป้องตนเอง พร้อมกับประโคมข่าวว่า เกาะแห่งนี้กำลังเผชิญความกดดันทางทหารจากจีนทั้งในน่านน้ำและน่านฟ้าในบริเวณโดยรอบบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ
    .
    ในคำแถลงที่นำออกเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (30 ก.ย.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งการให้รัฐมนตรีต่างประเทศ นำอุปกรณ์และบริการทางทหารมูลค่า 567 ล้านดอลลาร์จากกระทรวงกลาโหม ตลอดจนถึงการอบรมและการฝึกทางทหาร มอบให้ไต้หวัน
    .
    คำสั่งดังกล่าวหมายความว่า อเมริกาจะจัดส่งอาวุธจากในคลังของประเทศไปให้ไต้หวันโดยตรง ซึ่งเป็นการดำเนินการที่วอชิงตันใช้อยู่บ่อยครั้งในการจัดหาการสนับสนุนให้ยูเครนทำสงครามต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย
    .
    คำแถลงนี้ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม รวมทั้งเรื่องประเภทของอาวุธที่จะจัดส่ง ทว่า แพ็คเกจนี้มีมูลค่าเกือบสองเท่าตัวของแพ็คเกจที่มอบให้ไต้หวันเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งมีมูลค่า 345 ล้านดอลลลาร์
    .
    แม้เป็นเรื่องปกติที่อเมริกาไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับความช่วยเหลือที่มอบให้ไต้หวัน เนื่องจากถือเป็นประเด็นอ่อนไหว แต่สื่อรายงานว่า ความช่วยเหลือด้านความมั่นคงล่าสุดนี้จะครอบคลุมทั้งเรื่องการสนับสนุนการฝึก คลังอาวุธ อาวุธเจาะเกราะ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ การตระหนักรู้หลายมิติ และโดรนที่จำเป็นสำหรับยุทธศาสตร์แบบอสมมาตรเพื่อการป้องกันไต้หวันที่อิงกับหลักการในการทำให้การบุกไต้หวันมีต้นทุนสูงเกินไปสำหรับกองทัพจีน
    .
    สำหรับฝ่ายจีนนั้นออกมาแถลงครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เรื่องไต้หวันคือแกนกลางของประเด็นปัญหาที่เป็นแกนกลางทั้งหลายในความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน ขณะที่ชะตากรรมของเกาะแห่งนี้กำลังกลายเป็นจุดที่เลวร้ายที่สุดไปอย่างรวดเร็ว ในความเป็นปฏิปักษ์ซึ่งรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกทีระหว่างจีนกับอเมริกา
    .
    เมื่อวันอาทิตย์ (29) ขณะที่ หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ก็ได้ตอกย้ำทัศนะเช่นนี้อีก โดยเขากล่าวว่า “ไม่มีหรอกสิ่งที่เรียกว่า ‘สองจีน’ หรือ ‘หนึ่งจีน หนึ่งไต้หวัน’ เรื่องนี้เป็นเรื่องของหลักการ มันไม่มีพื้นที่สีเทาหรือโอกาสสำหรับความคลุมเครือ”
    .
    ต่อมาในวันจันทร์ หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ตอบข้อซักถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับความช่วยเหลือทางทหารล็อตใหม่ที่อเมริกาจัดให้ไต้หวัน โดยเตือนว่า การดำเนินการดังกล่าว รวมถึงการยืนกรานของอเมริกาในการสนับสนุนการประกาศเอกราชของไต้หวัน รังแต่ส่งผลลบและเป็นการทำร้ายตัวเอง พร้อมเรียกร้องให้วอชิงตันยุติการติดอาวุธให้ไต้หวันในทุกรูปแบบ
    .
    ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา มีอยู่หลายครั้งที่ไบเดนทำให้สถานการณ์สลับซับซ้อนขึ้นมา ด้วยการส่งสัญญาณว่า ไม่ตัดความเป็นไปได้ที่อเมริกาอาจใช้กำลังทหารเข้าไปช่วยไต้หวัน หากจีนรุกรานไต้หวัน ถึงแม้บ่อยครั้งที่หลังจากนั้นแล้วก็จะมีพวกเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯ ออกมาอธิบายแก้ตัวให้ไบเดนก็ตามที
    .
    สำหรับพวกเจ้าหน้าที่อาวุโสของญี่ปุ่นที่รวมถึง ชิเกรุ อิชิบะ ซึ่งเพิ่งชนะได้รับเลือกเป็นผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) คนใหม่ และจะได้รับการโหวตจากรัฐสภาให้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันอังคาร (1 ต.ค.) นั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสู้รบขัดแย้งจากกรณีไต้หวัน โดยระบุว่าสงครามที่จะเกิดขึ้นอาจหมายถึงวิกฤตสำหรับการดำรงอยู่ของญี่ปุ่น
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯกำลังจะจัดส่งแพ็คเกจความช่วยเหลือทางด้านความมั่นคงให้ไต้หวันเร็วๆ นี้ ซึ่งจะมีมูลค่าสูงที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมีมา นั่นคือ 567 ล้านดอลลาร์ ทางด้านโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนเตือนว่า การดำเนินการนี้รังแต่ส่งผลลบและเป็นการทำร้ายตัวเอง พร้อมเรียกร้องให้วอชิงตันยุติการติดอาวุธให้ไต้หวันในทุกรูปแบบ . วอชิงตัน ผู้สนับสนุนรายใหญ่สุดและสำคัญที่สุดของไต้หวันแม้ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน จะใช้เครื่องมือที่เร็วที่สุดที่มีอยู่เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือเหล่านี้ให้แก่ไทเป . ปักกิ่งที่ระบุว่า ไต้หวันเป็นมณฑลกบฎของตนและประกาศพร้อมรวมเกาะแห่งนี้ด้วยกำลังหากจำเป็น เรียกร้องมาตลอดให้วอชิงตันระงับการขายอาวุธให้ไต้หวัน . ด้านสหรัฐฯอ้างรัฐบัญญัติความสัมพันธ์กับไต้หวันปี 1979 ของตนเอง ซึ่งระบุว่าอเมริกามีหน้าที่ตามกฎหมายในการขายอาวุธเพื่อให้ไทเปสามารถปกป้องตนเอง พร้อมกับประโคมข่าวว่า เกาะแห่งนี้กำลังเผชิญความกดดันทางทหารจากจีนทั้งในน่านน้ำและน่านฟ้าในบริเวณโดยรอบบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ . ในคำแถลงที่นำออกเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (30 ก.ย.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งการให้รัฐมนตรีต่างประเทศ นำอุปกรณ์และบริการทางทหารมูลค่า 567 ล้านดอลลาร์จากกระทรวงกลาโหม ตลอดจนถึงการอบรมและการฝึกทางทหาร มอบให้ไต้หวัน . คำสั่งดังกล่าวหมายความว่า อเมริกาจะจัดส่งอาวุธจากในคลังของประเทศไปให้ไต้หวันโดยตรง ซึ่งเป็นการดำเนินการที่วอชิงตันใช้อยู่บ่อยครั้งในการจัดหาการสนับสนุนให้ยูเครนทำสงครามต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย . คำแถลงนี้ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม รวมทั้งเรื่องประเภทของอาวุธที่จะจัดส่ง ทว่า แพ็คเกจนี้มีมูลค่าเกือบสองเท่าตัวของแพ็คเกจที่มอบให้ไต้หวันเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งมีมูลค่า 345 ล้านดอลลลาร์ . แม้เป็นเรื่องปกติที่อเมริกาไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับความช่วยเหลือที่มอบให้ไต้หวัน เนื่องจากถือเป็นประเด็นอ่อนไหว แต่สื่อรายงานว่า ความช่วยเหลือด้านความมั่นคงล่าสุดนี้จะครอบคลุมทั้งเรื่องการสนับสนุนการฝึก คลังอาวุธ อาวุธเจาะเกราะ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ การตระหนักรู้หลายมิติ และโดรนที่จำเป็นสำหรับยุทธศาสตร์แบบอสมมาตรเพื่อการป้องกันไต้หวันที่อิงกับหลักการในการทำให้การบุกไต้หวันมีต้นทุนสูงเกินไปสำหรับกองทัพจีน . สำหรับฝ่ายจีนนั้นออกมาแถลงครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เรื่องไต้หวันคือแกนกลางของประเด็นปัญหาที่เป็นแกนกลางทั้งหลายในความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน ขณะที่ชะตากรรมของเกาะแห่งนี้กำลังกลายเป็นจุดที่เลวร้ายที่สุดไปอย่างรวดเร็ว ในความเป็นปฏิปักษ์ซึ่งรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกทีระหว่างจีนกับอเมริกา . เมื่อวันอาทิตย์ (29) ขณะที่ หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ก็ได้ตอกย้ำทัศนะเช่นนี้อีก โดยเขากล่าวว่า “ไม่มีหรอกสิ่งที่เรียกว่า ‘สองจีน’ หรือ ‘หนึ่งจีน หนึ่งไต้หวัน’ เรื่องนี้เป็นเรื่องของหลักการ มันไม่มีพื้นที่สีเทาหรือโอกาสสำหรับความคลุมเครือ” . ต่อมาในวันจันทร์ หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ตอบข้อซักถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับความช่วยเหลือทางทหารล็อตใหม่ที่อเมริกาจัดให้ไต้หวัน โดยเตือนว่า การดำเนินการดังกล่าว รวมถึงการยืนกรานของอเมริกาในการสนับสนุนการประกาศเอกราชของไต้หวัน รังแต่ส่งผลลบและเป็นการทำร้ายตัวเอง พร้อมเรียกร้องให้วอชิงตันยุติการติดอาวุธให้ไต้หวันในทุกรูปแบบ . ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา มีอยู่หลายครั้งที่ไบเดนทำให้สถานการณ์สลับซับซ้อนขึ้นมา ด้วยการส่งสัญญาณว่า ไม่ตัดความเป็นไปได้ที่อเมริกาอาจใช้กำลังทหารเข้าไปช่วยไต้หวัน หากจีนรุกรานไต้หวัน ถึงแม้บ่อยครั้งที่หลังจากนั้นแล้วก็จะมีพวกเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯ ออกมาอธิบายแก้ตัวให้ไบเดนก็ตามที . สำหรับพวกเจ้าหน้าที่อาวุโสของญี่ปุ่นที่รวมถึง ชิเกรุ อิชิบะ ซึ่งเพิ่งชนะได้รับเลือกเป็นผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) คนใหม่ และจะได้รับการโหวตจากรัฐสภาให้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันอังคาร (1 ต.ค.) นั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสู้รบขัดแย้งจากกรณีไต้หวัน โดยระบุว่าสงครามที่จะเกิดขึ้นอาจหมายถึงวิกฤตสำหรับการดำรงอยู่ของญี่ปุ่น .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1516 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์ทัศนะของ วีระ ธีรภัทร จากเพจเฟซบุ๊ก สำนักพิมพ์โรนิน 25 สิงหาคม 2567

    “ คอลัมน์ ปากท้องชาวบ้าน

    ไม่มีอะไรจะเละไปกว่านี้(แล้ว)

    แม้ว่าผมจะไม่ห่วงเรื่องอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในขณะนี้ก็ตาม

    แต่ก็อดคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๕๔ ไม่ได้

    หลังการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมในปีนั้น พรรคเพื่อไทยเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์แบบถล่มทลายสามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยมีคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ

    อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ตามมาพร้อมกับการเป็นรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเลยกลายเป็นบททดสอบความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาลใหม่แบบชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว

    ผลเป็นไงคงพอจำกันได้

    บัดนี้เราได้รัฐบาลใหม่ มีคุณแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าในขณะนี้ยังยุ่งขิงอยู่กับการสรรหาบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลไม่เสร็จ (อันนี้เละเทะมาก) ยังไม่สามารถเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    แต่น้ำเหนือก็หลากมาแล้ว แม้จะไม่น่ากลัวสำหรับคนกรุงเทพและปริมณฑลเหมือนกับเมื่อสิบสามปีก่อนหน้านี้ก็ตามที

    อะไรมันจะซ้ำซากกันได้ถึงขนาดนี้

    แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นข้อใหญ่ในความของเรื่องที่ผมจะคุยอะไรให้ฟังวันนี้ ครับ

    ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นมากมาย หลายเรื่องไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น แม้ผมจะพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุพอสมควร

    ผมเลยอยากจะเล่าอะไรต่อมิอะไรให้คุณฟังแบบเพลินๆ เท่าที่จะคิดได้เป็นสำคัญ

    แน่นอนล่ะครับว่ารายการ Vision For Thailand ในช่วงหัวค่ำของคืนวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ สิงหาคมที่คุณทักษิณ ชินวัตร ไปแสดงวิสัยทัศน์ท่ามกลางคนมีอำนาจในแวดวงการเมืองและธุรกิจภาคเอกชนจำนวนมากนั้น ย่อมอยู่ในความสนใจของผู้คน จนลืมกันไปหมดว่าวันดังกล่าวตรงกับวันครบรอบหนึ่งปีของการเดินทางกลับประเทศไทยของคุณทักษิณ

    ความเป็นคุณทักษิณ ความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย และด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้จะพร่องไปบ้างในช่วงสิบห้าปีที่ลี้ภัยทางการเมืองในต่างแดน

    สิ่งที่คุณทักษิณคิดจึงมองข้ามไม่ได้

    ทักษิณคิดเพื่อไทยทำอย่างที่รู้ๆ กัน

    ผมและคนอื่นๆ อีกไม่น้อยจึงเสียยอมเวลาฟังสิ่งที่คุณทักษิณคิดและอยากให้เกิดกับสังคมไทยในอนาคตตลอดหนึ่งชั่วโมงเศษที่แกคุยอยู่คนเดียวด้วยความตั้งอกตั้งใจ

    สำหรับผมสิ่งที่คุณทักษิณคิดออกมาดังๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นประเด็นปัญหาที่เราพอรู้พอทราบกันอยู่ แต่ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าสิ่งที่คุณทักษิณ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะเอาไปทำหรืออย่างน้อยก็เอาไปคิดต่อว่าจะทำต่อไปเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ

    ตรงนี้จึงมีความหมายมากกว่าการแสดงความคิดเห็นของคนทั่วไป

    แม้ว่าข้อเสนอจำนวนมากเป็นเรื่องที่ผมพอทราบมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง โครงการดิจิทัลวอลเลต การชี้นำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยและเพิ่มการให้สินเชื่อเพื่อเป็นการเติมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจ โครงการแลนด์บริดจ์ โครงการค่าโดยสารรถไฟฟ้า ๒๐ บาทตลอดสาย โครงการเอ็นเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ กองทุนวายุภักษ์ ฯลฯ ล้วนเป็นประเด็นที่จะต้องมีการตัดสินใจและขับเคลื่อนกันต่อไปในรัฐบาลของคุณแพทองธาร ชินวัตร ต่อไป

    นี่จึงเป็นข้อเสนอคำแนะนำที่ไม่ธรรมดาเพราะสามารถจะกลายเป็นนโยบายของรัฐบาลได้อย่างแยบคาย

    ผมจะไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรในเรื่องที่ว่าในตอนนี้ อยากจะรอดูก่อนว่าข้อเสนอดังกล่าวจะกลายเป็นนโยบายและมาตรการของรัฐบาลคุณแพทองธารในเนื้อหารายละเอียดอย่างไรให้ชัดเจนเสียก่อน

    แถมอันที่จริงแล้วในช่วงนี้ต้องบอกว่า ผมอยู่ในช่วงที่ผ่อนคลายมากมีเวลาเหลือมากขึ้น แถมได้ทำสิ่งที่ไม่ได้ทำมานานมากแล้วอีกต่างหาก

    ลำดับแรกเลย งานในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ซึ่งผมต้องไปประชุมรวมกันถึง ๔๐ ครั้งตลอดระยะเวลาสองเดือนเต็มๆ ที่ผ่านมา (นับหนึ่งวันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน) ถือว่าจบสิ้นแล้วในแง่ของกระบวนการพิจารณา แม้ยังไม่จบเสียทีเดียวเพราะต้องมีพิธีกรรมอีกเล็กน้อยในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า

    วันพุธที่ ๒๘ สิงหาคมจะเป็นการประชุมครั้งที่ ๔๑ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของกรรมาธิการเพื่อตรวจทานและลงมติรับร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ว่าจะเอาแบบไหน? อย่างไร? โดยมีกรรมาธิการและสส.จำนวนไม่น้อย ได้สงวนความเห็นและขอแปรญัตติเพื่อจะไปอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะมีการลงมติให้ความเห็นชอบในวาระที่ ๒ และ ๓ ในช่วงวันที่ ๓-๕ กันยายนที่จะถึงนี้

    อันนี้น่าสนใจติดตามฟังกันครับ

    งานที่ว่านี้ดำเนินไปโดยยังไม่มีรัฐบาลใหม่ มีแต่เพียงนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้

    นี่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องแปลก แม้ผมจะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็ตามที

    ลำดับถัดมา ผมไปร่วมรายการ BOT Press Trip 2024 ที่โรงแรม Andaz แถวหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี แม้จะห่างเหินจากการไปร่วมงานในฐานะสื่อมวลชนกับธนาคารแห่งประเทศไทยแบบนี้มานานมากแล้ว แต่ที่ผมอยากไปก็เพราะว่างานนี้มีประเด็นที่ผมอยากสอบถามให้แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไรจากปากของผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นโอกาสดีมากเพราะว่าไปกันครบถ้วนเกือบทั้งหมด เหมือนเราไปเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของที่ต้องการได้ทั้งหมดในสถานที่เพียงแห่งเดียว

    ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย นำโดยคุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ปีหน้าครบวาระห้าปีเป็นต่อไม่ได้) พร้อมกับรองผู้ว่าการและผู้ช่วยผู้ว่าการ ๑๑ คนโดยไม่รวมระดับผู้บริหารระดับปฏิบัติการในฝ่ายต่างๆ ที่มากันเป็นกองทัพ

    อะไรที่ผมสงสัยไม่แน่ใจในเรื่องนโยบายการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารจัดการอยู่ในเวลานี้ จึงถือโอกาสไปร่วมงานนี้ สอบถามพูดคุยกับคนที่ดูแลนโยบายและคนที่ลงมือปฏิบัติการจริงเพื่อให้เกิดความชัดเจนและได้ข้อมูลที่ต้องการครบถ้วน

    เอาเป็นว่าเรื่องระหว่างรัฐบาล กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เคยปีนเกลียวกันในช่วงรัฐบาลคุณเศรษฐา ทวีสิน ที่ผ่านมาและที่อาจจะมีการปะทะปะทั่งกันในช่วงรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร ในอนาคตอันใกล้นี้

    ผมพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว

    เรื่องหลายเรื่องที่รัฐบาลอยากทำแล้วทำไม่ได้ เรื่องหลายเรื่องที่ถกเถียงกันระหว่างรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าควรทำแบบไหนไม่ควรทำแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นโครงการดิจิตอลวอลเลต การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโบบาย ฯลฯ

    การได้พูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้ผมพอปะติดปะต่อภาพได้เกือบครบถ้วนตามที่ต้องการแล้ว

    จะเอาไปทำอะไรต่อที่ไหน? อย่างไร? และเมื่อไหร่? เดี๋ยวค่อยมาว่ากันครับ

    ผมยังมีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมแบบลงรายละเอียดสักหน่อย เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลเอาไว้ตรงนี้เพื่อให้คุณๆ ได้ติดตามความเป็นไปของสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจการเงินการคลังได้อย่างครบถ้วนอยู่เรื่องหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นควรรู้ควรทราบอย่างยิ่ง

    เรื่องของเรื่องก็คือในช่วงสุดท้ายของการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลโดยสำนักงบประมาณได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการจัดสรรเงินงบประมาณให้กับรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งเป็นเงินรวมกัน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท

    รายการที่ว่านั้นเป็นการตั้งงบประมาณชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ให้หน่วยงานของรัฐออกเงินไปให้ก่อนตามมาตรา ๒๘ ของพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยโอนย้ายไปเป็นรายการในงบกลางแทน โดยระบุว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข็มแข็งของเศรษฐกิจ (อันนี้เป็นชื่อของโครงการดิจิตอลวอลเลตที่รัฐบาลจะทำในเอกสารงบประมาณ) เพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้ว ๑๕๒,๗๐๐ ล้านบาท

    นั่นเลยทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการดิจิตอลวอลเลตในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๘ เพิ่มเป็น ๑๘๗,๗๐๐ ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว แต่จะหาจากไหนสำหรับส่วนที่เหลืออีก ๙๗,๓๐๐ ล้านบาทเพื่อให้ครบ ๒๘๕,๐๐๐ ล้านบาท

    อันนี้น่าสนใจ

    ผมอยากให้ข้อมูลตรงนี้เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงโอนย้ายรายจ่ายที่จะจัดสรรให้รัฐวิหาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งที่ว่าไปไว้ที่อื่นนั้น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดูเหมือนจะเจอหนักกว่าใครเพื่อน เพราะเงินที่คาดว่าจะได้รับการชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ธ.ก.ส.แบกรับภาระอยู่ประมาณ ๓๑,๒๐๐ ล้านบาท (จากยอดทั้งหมดประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) จะถูกเลื่อนออกไป

    แบบนี้อธิบายแบบชาวบ้านก็คือรัฐบาลขอต๊ะหนี้ที่มีกับธ.ก.ส.ไว้ก่อน ส่วนจะชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยให้เมื่อไหร่? ค่อยไปว่ากันในอนาคต

    เรื่องนี้ผมคัดค้านอย่างเต็มที่ตอนที่ถกเถียงกันในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการฯ

    แต่เมื่อเสียงข้างมากของกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยเฉพาะกรรมาธิการที่มาในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลได้ลงมติให้เป็นไปตามนั้น ผมจึงกลายเป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยในกรณีนี้

    แม้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบจะต้องไปว่ากันต่อในที่ประชุมวาระที่ ๒ และ ๓ เพื่อให้สส.ลงมติให้ความเห็นชอบสุดท้ายก็ตามที

    แต่เรื่องนี้บอกเราได้อย่างหนึ่งว่าโครงการดิจิตอลวอลเลตยังเดินหน้าเต็มตัว แม้จะปรับเปลี่ยนไปเป็นการจ่ายเงินสดให้กลุ่มเปราะบางไปก่อนในเฟสแรกหรือระลอกแรก (หลักๆ คือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีรายได้น้อย) ทั้งเพื่อให้ทันใช้เงินให้หมดภายในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๗ ซึ่งจะสิ้นสุดภายในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

    ส่วนจะเป็นเท่าไหร่กันแน่ระหว่างวงเงิน ๑๔๕,๐๐๐ หรือ ๑๖๕,๐๐๐ ล้านบาทนั้นคงต้องรอรัฐบาลแถลงนโยบายรัฐสภาต่อไปถึงจะชัดเจน

    พายุหมุนทางเศรษฐกิจที่พูดๆ กันก่อนหน้านี้คงไม่ใช่แล้วสำหรับตอนนี้

    แต่ก็อย่างที่บอกมาโดยตลอดแหละครับว่า ผมจะไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานเกินความจำเป็น

    แม้จะมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรมากมายอย่างที่ว่าก็จริง แต่ผมก็แบ่งเวลาเพื่อทำงานที่ผมชอบอยู่เสมอ โชคดีว่าเมื่อวันศุกร์ก่อนที่จะเดินทางมาหาดจอมเทียน เพื่อร่วมงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย ทางสำนักพิมพ์โรนินได้ส่งต้นฉบับหนังสือสองเล่มมาให้ผมตรวจทานรอบสุดท้าย

    เที่ยวเขมรฉบับพกพา และ ส่องภาพเขียนที่รัสเซีย

    ผมก็เลยเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือเล่มตัวอย่างก่อนที่จะส่งไปให้สำนักพิมพ์ไปจัดการให้ทางโรงพิมพ์ดำเนินการพิมพ์เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกต่ออีกทอดในอนาคต

    แต่ที่น่ายินดีเป็นที่สุดก็คือเมื่อจบการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปีพ.ศ.๒๕๖๘ ในช่วงต้นเดือนกันยายน (วันที่ ๓-๕ กันยายน) ก็ได้เวลาที่ผมจะไปพักผ่อนปลีกวิเวกเป็นการชั่วคราวที่ญี่ปุ่น (ดูภาพเขียน-ออนเซน) พร้อมกับวางแผนเดินทางไปรัสเซีย (ดูภาพเขียนกับเที่ยวชมเมือง) ในช่วงต้นเดือนตุลาคม และเตรียมการจะไปเที่ยวเขมรนครวัด-นครธมในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ไปพร้อมกันด้วย

    พ้นจากนั้นจะไปทำอะไรที่ไหนค่อยว่ากันใหม่

    เมื่อมองย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๗ มาจนถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าปีนี้เป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของผม ได้ทำอะไรเยอะแยะไปหมด สะสางงานเก่าเริ่มงานใหม่และก้าวเข้าไปในพรมแดนใหม่ที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีกต่างหาก

    แม้ว่าบ้านเมืองของเรายามนี้ จะไม่มีอะไรให้เละมากไปกว่านี้ได้แล้วก็ตามที

    การเจริญอุเบกขาธรรมจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ


    ป.ล. เรื่องการฟอร์มคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร นี่ต้องบอกว่าไม่ง่ายเลยครับ งานนี้เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของการเมืองไทย อย่าเพิ่งรำคาญอย่าไปหงุดหงิด แม้จะดูแล้วเละตุ้มเป๊ะได้ถึงขนาดนี้ พรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์จะพาตัวเองให้รอดจากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งรุนแรงในภายพรรคในเวลานี้ เพราะประเด็นการร่วมรัฐบาลของพรรคและการเป็นรัฐมนตรีของผู้บริหารของพรรคได้อย่างไร คงจะมีคำตอบภายในเร็ววันนี้

    การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงวันที่ ๑๗-๑๘ กันยายนที่จะถึงนี้ ถ้าหากฟังจากที่นายเจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางไปพูดที่เมืองตากอากาศแจคสันโฮล ในรัฐไวโอมิงว่าถึงเวลาต้องปรับนโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายได้แล้ว เพราะหมดห่วงเรื่องเงินเฟ้อแล้ว แต่มาห่วงเรื่องการว่างงานแทนจึงทำให้ต้องลดดอกเบี้ย นั่นก็หมายความว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐที่กำหนดไว้ร้อยละ ๕.๒๕-๕.๕๐ ในปัจจุบันจะเริ่มแล้วตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป จะลดมากน้อยลดเร็วช้าแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับทิศทางของดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาลงอย่างชัดเจน

    ค่าเงิน หุ้น และอะไรที่ผูกโยงกับนโยบายการเงินของสหรัฐคงต้องปรับตัวตามไปด้วย

    สำหรับบ้านเราอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ ๒.๕๐ นั้น เท่าที่ฟังจากเกณฑ์ในการตัดสินเรื่องนี้จากผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกรรมการเสียงข้างน้อยในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่เจอกันสุดสัปดาห์นี้ คิดว่าคงยังไม่ถึงเวลาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครับ

    งานนี้คงต้องมีเรื่องมีราวเรื่องลดไม่ลดดอกเบี้ยระหว่างรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร กับธนาคารแห่งประเทศไทยไปอีกสักระยะหนึ่งครับ

    บันทึกเอาไว้กันลืมว่าเดือนสิงหาคม มีผู้นำสามประเทศในเอเชียต้องเผชิญชะตากรรมที่ทำให้พ้นจากตำแหน่งแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบังกลาเทศ (เหมือน ๑๔ ตุลาคมปี ๒๕๑๖ ในบ้านเรา) ไทย (คงไม่ต้องบอกอะไรเพิ่มเติม) และญี่ปุ่น ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีฟูมิโอ คิชิดะ (Fumio Kishida) ได้ประกาศวางมือลงจากตำแหน่ง ส่วนกระบวนการคัดเลือกคนมาเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของเขาน่าสนใจครับ ถ้ามีเวลาจะหาโอกาสมาคุยให้ฟัง

    ขอจบลงตรงนี้ด้วยการแจ้งให้ทราบว่าพรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ๒๕๖๗ วงเงิน ๑๒๒,๐๐๐ ล้านบาทมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม หลังจากได้นำประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ ๒๒ สิงหาคมที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ใครที่รอแจกเงินสดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

    แต่ไม่ใช่โครงการดิจิตอลเลตเตรียมรับได้เลย


    วีระ ธีรภัทร
    วันอาทิตย์ที่ ๒๕ สิงหาคม 2567”

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/ZPvoLGVkV5QkhJNR/?mibextid=CTbP7E

    Thaitimes
    รีโพสต์ทัศนะของ วีระ ธีรภัทร จากเพจเฟซบุ๊ก สำนักพิมพ์โรนิน 25 สิงหาคม 2567 “ คอลัมน์ ปากท้องชาวบ้าน ไม่มีอะไรจะเละไปกว่านี้(แล้ว) แม้ว่าผมจะไม่ห่วงเรื่องอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในขณะนี้ก็ตาม แต่ก็อดคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๕๔ ไม่ได้ หลังการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมในปีนั้น พรรคเพื่อไทยเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์แบบถล่มทลายสามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยมีคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ตามมาพร้อมกับการเป็นรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเลยกลายเป็นบททดสอบความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาลใหม่แบบชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว ผลเป็นไงคงพอจำกันได้ บัดนี้เราได้รัฐบาลใหม่ มีคุณแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าในขณะนี้ยังยุ่งขิงอยู่กับการสรรหาบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลไม่เสร็จ (อันนี้เละเทะมาก) ยังไม่สามารถเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่น้ำเหนือก็หลากมาแล้ว แม้จะไม่น่ากลัวสำหรับคนกรุงเทพและปริมณฑลเหมือนกับเมื่อสิบสามปีก่อนหน้านี้ก็ตามที อะไรมันจะซ้ำซากกันได้ถึงขนาดนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นข้อใหญ่ในความของเรื่องที่ผมจะคุยอะไรให้ฟังวันนี้ ครับ ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นมากมาย หลายเรื่องไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น แม้ผมจะพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุพอสมควร ผมเลยอยากจะเล่าอะไรต่อมิอะไรให้คุณฟังแบบเพลินๆ เท่าที่จะคิดได้เป็นสำคัญ แน่นอนล่ะครับว่ารายการ Vision For Thailand ในช่วงหัวค่ำของคืนวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ สิงหาคมที่คุณทักษิณ ชินวัตร ไปแสดงวิสัยทัศน์ท่ามกลางคนมีอำนาจในแวดวงการเมืองและธุรกิจภาคเอกชนจำนวนมากนั้น ย่อมอยู่ในความสนใจของผู้คน จนลืมกันไปหมดว่าวันดังกล่าวตรงกับวันครบรอบหนึ่งปีของการเดินทางกลับประเทศไทยของคุณทักษิณ ความเป็นคุณทักษิณ ความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย และด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้จะพร่องไปบ้างในช่วงสิบห้าปีที่ลี้ภัยทางการเมืองในต่างแดน สิ่งที่คุณทักษิณคิดจึงมองข้ามไม่ได้ ทักษิณคิดเพื่อไทยทำอย่างที่รู้ๆ กัน ผมและคนอื่นๆ อีกไม่น้อยจึงเสียยอมเวลาฟังสิ่งที่คุณทักษิณคิดและอยากให้เกิดกับสังคมไทยในอนาคตตลอดหนึ่งชั่วโมงเศษที่แกคุยอยู่คนเดียวด้วยความตั้งอกตั้งใจ สำหรับผมสิ่งที่คุณทักษิณคิดออกมาดังๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นประเด็นปัญหาที่เราพอรู้พอทราบกันอยู่ แต่ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าสิ่งที่คุณทักษิณ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะเอาไปทำหรืออย่างน้อยก็เอาไปคิดต่อว่าจะทำต่อไปเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ ตรงนี้จึงมีความหมายมากกว่าการแสดงความคิดเห็นของคนทั่วไป แม้ว่าข้อเสนอจำนวนมากเป็นเรื่องที่ผมพอทราบมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง โครงการดิจิทัลวอลเลต การชี้นำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยและเพิ่มการให้สินเชื่อเพื่อเป็นการเติมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจ โครงการแลนด์บริดจ์ โครงการค่าโดยสารรถไฟฟ้า ๒๐ บาทตลอดสาย โครงการเอ็นเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ กองทุนวายุภักษ์ ฯลฯ ล้วนเป็นประเด็นที่จะต้องมีการตัดสินใจและขับเคลื่อนกันต่อไปในรัฐบาลของคุณแพทองธาร ชินวัตร ต่อไป นี่จึงเป็นข้อเสนอคำแนะนำที่ไม่ธรรมดาเพราะสามารถจะกลายเป็นนโยบายของรัฐบาลได้อย่างแยบคาย ผมจะไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรในเรื่องที่ว่าในตอนนี้ อยากจะรอดูก่อนว่าข้อเสนอดังกล่าวจะกลายเป็นนโยบายและมาตรการของรัฐบาลคุณแพทองธารในเนื้อหารายละเอียดอย่างไรให้ชัดเจนเสียก่อน แถมอันที่จริงแล้วในช่วงนี้ต้องบอกว่า ผมอยู่ในช่วงที่ผ่อนคลายมากมีเวลาเหลือมากขึ้น แถมได้ทำสิ่งที่ไม่ได้ทำมานานมากแล้วอีกต่างหาก ลำดับแรกเลย งานในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ซึ่งผมต้องไปประชุมรวมกันถึง ๔๐ ครั้งตลอดระยะเวลาสองเดือนเต็มๆ ที่ผ่านมา (นับหนึ่งวันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน) ถือว่าจบสิ้นแล้วในแง่ของกระบวนการพิจารณา แม้ยังไม่จบเสียทีเดียวเพราะต้องมีพิธีกรรมอีกเล็กน้อยในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า วันพุธที่ ๒๘ สิงหาคมจะเป็นการประชุมครั้งที่ ๔๑ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของกรรมาธิการเพื่อตรวจทานและลงมติรับร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ว่าจะเอาแบบไหน? อย่างไร? โดยมีกรรมาธิการและสส.จำนวนไม่น้อย ได้สงวนความเห็นและขอแปรญัตติเพื่อจะไปอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะมีการลงมติให้ความเห็นชอบในวาระที่ ๒ และ ๓ ในช่วงวันที่ ๓-๕ กันยายนที่จะถึงนี้ อันนี้น่าสนใจติดตามฟังกันครับ งานที่ว่านี้ดำเนินไปโดยยังไม่มีรัฐบาลใหม่ มีแต่เพียงนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้ นี่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องแปลก แม้ผมจะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็ตามที ลำดับถัดมา ผมไปร่วมรายการ BOT Press Trip 2024 ที่โรงแรม Andaz แถวหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี แม้จะห่างเหินจากการไปร่วมงานในฐานะสื่อมวลชนกับธนาคารแห่งประเทศไทยแบบนี้มานานมากแล้ว แต่ที่ผมอยากไปก็เพราะว่างานนี้มีประเด็นที่ผมอยากสอบถามให้แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไรจากปากของผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นโอกาสดีมากเพราะว่าไปกันครบถ้วนเกือบทั้งหมด เหมือนเราไปเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของที่ต้องการได้ทั้งหมดในสถานที่เพียงแห่งเดียว ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย นำโดยคุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ปีหน้าครบวาระห้าปีเป็นต่อไม่ได้) พร้อมกับรองผู้ว่าการและผู้ช่วยผู้ว่าการ ๑๑ คนโดยไม่รวมระดับผู้บริหารระดับปฏิบัติการในฝ่ายต่างๆ ที่มากันเป็นกองทัพ อะไรที่ผมสงสัยไม่แน่ใจในเรื่องนโยบายการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารจัดการอยู่ในเวลานี้ จึงถือโอกาสไปร่วมงานนี้ สอบถามพูดคุยกับคนที่ดูแลนโยบายและคนที่ลงมือปฏิบัติการจริงเพื่อให้เกิดความชัดเจนและได้ข้อมูลที่ต้องการครบถ้วน เอาเป็นว่าเรื่องระหว่างรัฐบาล กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เคยปีนเกลียวกันในช่วงรัฐบาลคุณเศรษฐา ทวีสิน ที่ผ่านมาและที่อาจจะมีการปะทะปะทั่งกันในช่วงรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร ในอนาคตอันใกล้นี้ ผมพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว เรื่องหลายเรื่องที่รัฐบาลอยากทำแล้วทำไม่ได้ เรื่องหลายเรื่องที่ถกเถียงกันระหว่างรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าควรทำแบบไหนไม่ควรทำแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นโครงการดิจิตอลวอลเลต การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโบบาย ฯลฯ การได้พูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้ผมพอปะติดปะต่อภาพได้เกือบครบถ้วนตามที่ต้องการแล้ว จะเอาไปทำอะไรต่อที่ไหน? อย่างไร? และเมื่อไหร่? เดี๋ยวค่อยมาว่ากันครับ ผมยังมีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมแบบลงรายละเอียดสักหน่อย เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลเอาไว้ตรงนี้เพื่อให้คุณๆ ได้ติดตามความเป็นไปของสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจการเงินการคลังได้อย่างครบถ้วนอยู่เรื่องหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นควรรู้ควรทราบอย่างยิ่ง เรื่องของเรื่องก็คือในช่วงสุดท้ายของการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลโดยสำนักงบประมาณได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการจัดสรรเงินงบประมาณให้กับรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งเป็นเงินรวมกัน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท รายการที่ว่านั้นเป็นการตั้งงบประมาณชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ให้หน่วยงานของรัฐออกเงินไปให้ก่อนตามมาตรา ๒๘ ของพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยโอนย้ายไปเป็นรายการในงบกลางแทน โดยระบุว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข็มแข็งของเศรษฐกิจ (อันนี้เป็นชื่อของโครงการดิจิตอลวอลเลตที่รัฐบาลจะทำในเอกสารงบประมาณ) เพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้ว ๑๕๒,๗๐๐ ล้านบาท นั่นเลยทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการดิจิตอลวอลเลตในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๘ เพิ่มเป็น ๑๘๗,๗๐๐ ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว แต่จะหาจากไหนสำหรับส่วนที่เหลืออีก ๙๗,๓๐๐ ล้านบาทเพื่อให้ครบ ๒๘๕,๐๐๐ ล้านบาท อันนี้น่าสนใจ ผมอยากให้ข้อมูลตรงนี้เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงโอนย้ายรายจ่ายที่จะจัดสรรให้รัฐวิหาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งที่ว่าไปไว้ที่อื่นนั้น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดูเหมือนจะเจอหนักกว่าใครเพื่อน เพราะเงินที่คาดว่าจะได้รับการชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ธ.ก.ส.แบกรับภาระอยู่ประมาณ ๓๑,๒๐๐ ล้านบาท (จากยอดทั้งหมดประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) จะถูกเลื่อนออกไป แบบนี้อธิบายแบบชาวบ้านก็คือรัฐบาลขอต๊ะหนี้ที่มีกับธ.ก.ส.ไว้ก่อน ส่วนจะชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยให้เมื่อไหร่? ค่อยไปว่ากันในอนาคต เรื่องนี้ผมคัดค้านอย่างเต็มที่ตอนที่ถกเถียงกันในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการฯ แต่เมื่อเสียงข้างมากของกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยเฉพาะกรรมาธิการที่มาในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลได้ลงมติให้เป็นไปตามนั้น ผมจึงกลายเป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยในกรณีนี้ แม้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบจะต้องไปว่ากันต่อในที่ประชุมวาระที่ ๒ และ ๓ เพื่อให้สส.ลงมติให้ความเห็นชอบสุดท้ายก็ตามที แต่เรื่องนี้บอกเราได้อย่างหนึ่งว่าโครงการดิจิตอลวอลเลตยังเดินหน้าเต็มตัว แม้จะปรับเปลี่ยนไปเป็นการจ่ายเงินสดให้กลุ่มเปราะบางไปก่อนในเฟสแรกหรือระลอกแรก (หลักๆ คือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีรายได้น้อย) ทั้งเพื่อให้ทันใช้เงินให้หมดภายในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๗ ซึ่งจะสิ้นสุดภายในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ส่วนจะเป็นเท่าไหร่กันแน่ระหว่างวงเงิน ๑๔๕,๐๐๐ หรือ ๑๖๕,๐๐๐ ล้านบาทนั้นคงต้องรอรัฐบาลแถลงนโยบายรัฐสภาต่อไปถึงจะชัดเจน พายุหมุนทางเศรษฐกิจที่พูดๆ กันก่อนหน้านี้คงไม่ใช่แล้วสำหรับตอนนี้ แต่ก็อย่างที่บอกมาโดยตลอดแหละครับว่า ผมจะไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานเกินความจำเป็น แม้จะมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรมากมายอย่างที่ว่าก็จริง แต่ผมก็แบ่งเวลาเพื่อทำงานที่ผมชอบอยู่เสมอ โชคดีว่าเมื่อวันศุกร์ก่อนที่จะเดินทางมาหาดจอมเทียน เพื่อร่วมงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย ทางสำนักพิมพ์โรนินได้ส่งต้นฉบับหนังสือสองเล่มมาให้ผมตรวจทานรอบสุดท้าย เที่ยวเขมรฉบับพกพา และ ส่องภาพเขียนที่รัสเซีย ผมก็เลยเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือเล่มตัวอย่างก่อนที่จะส่งไปให้สำนักพิมพ์ไปจัดการให้ทางโรงพิมพ์ดำเนินการพิมพ์เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกต่ออีกทอดในอนาคต แต่ที่น่ายินดีเป็นที่สุดก็คือเมื่อจบการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปีพ.ศ.๒๕๖๘ ในช่วงต้นเดือนกันยายน (วันที่ ๓-๕ กันยายน) ก็ได้เวลาที่ผมจะไปพักผ่อนปลีกวิเวกเป็นการชั่วคราวที่ญี่ปุ่น (ดูภาพเขียน-ออนเซน) พร้อมกับวางแผนเดินทางไปรัสเซีย (ดูภาพเขียนกับเที่ยวชมเมือง) ในช่วงต้นเดือนตุลาคม และเตรียมการจะไปเที่ยวเขมรนครวัด-นครธมในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ไปพร้อมกันด้วย พ้นจากนั้นจะไปทำอะไรที่ไหนค่อยว่ากันใหม่ เมื่อมองย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๗ มาจนถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าปีนี้เป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของผม ได้ทำอะไรเยอะแยะไปหมด สะสางงานเก่าเริ่มงานใหม่และก้าวเข้าไปในพรมแดนใหม่ที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีกต่างหาก แม้ว่าบ้านเมืองของเรายามนี้ จะไม่มีอะไรให้เละมากไปกว่านี้ได้แล้วก็ตามที การเจริญอุเบกขาธรรมจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ ป.ล. เรื่องการฟอร์มคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร นี่ต้องบอกว่าไม่ง่ายเลยครับ งานนี้เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของการเมืองไทย อย่าเพิ่งรำคาญอย่าไปหงุดหงิด แม้จะดูแล้วเละตุ้มเป๊ะได้ถึงขนาดนี้ พรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์จะพาตัวเองให้รอดจากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งรุนแรงในภายพรรคในเวลานี้ เพราะประเด็นการร่วมรัฐบาลของพรรคและการเป็นรัฐมนตรีของผู้บริหารของพรรคได้อย่างไร คงจะมีคำตอบภายในเร็ววันนี้ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงวันที่ ๑๗-๑๘ กันยายนที่จะถึงนี้ ถ้าหากฟังจากที่นายเจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางไปพูดที่เมืองตากอากาศแจคสันโฮล ในรัฐไวโอมิงว่าถึงเวลาต้องปรับนโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายได้แล้ว เพราะหมดห่วงเรื่องเงินเฟ้อแล้ว แต่มาห่วงเรื่องการว่างงานแทนจึงทำให้ต้องลดดอกเบี้ย นั่นก็หมายความว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐที่กำหนดไว้ร้อยละ ๕.๒๕-๕.๕๐ ในปัจจุบันจะเริ่มแล้วตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป จะลดมากน้อยลดเร็วช้าแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับทิศทางของดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาลงอย่างชัดเจน ค่าเงิน หุ้น และอะไรที่ผูกโยงกับนโยบายการเงินของสหรัฐคงต้องปรับตัวตามไปด้วย สำหรับบ้านเราอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ ๒.๕๐ นั้น เท่าที่ฟังจากเกณฑ์ในการตัดสินเรื่องนี้จากผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกรรมการเสียงข้างน้อยในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่เจอกันสุดสัปดาห์นี้ คิดว่าคงยังไม่ถึงเวลาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครับ งานนี้คงต้องมีเรื่องมีราวเรื่องลดไม่ลดดอกเบี้ยระหว่างรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร กับธนาคารแห่งประเทศไทยไปอีกสักระยะหนึ่งครับ บันทึกเอาไว้กันลืมว่าเดือนสิงหาคม มีผู้นำสามประเทศในเอเชียต้องเผชิญชะตากรรมที่ทำให้พ้นจากตำแหน่งแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบังกลาเทศ (เหมือน ๑๔ ตุลาคมปี ๒๕๑๖ ในบ้านเรา) ไทย (คงไม่ต้องบอกอะไรเพิ่มเติม) และญี่ปุ่น ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีฟูมิโอ คิชิดะ (Fumio Kishida) ได้ประกาศวางมือลงจากตำแหน่ง ส่วนกระบวนการคัดเลือกคนมาเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของเขาน่าสนใจครับ ถ้ามีเวลาจะหาโอกาสมาคุยให้ฟัง ขอจบลงตรงนี้ด้วยการแจ้งให้ทราบว่าพรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ๒๕๖๗ วงเงิน ๑๒๒,๐๐๐ ล้านบาทมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม หลังจากได้นำประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ ๒๒ สิงหาคมที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครที่รอแจกเงินสดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่ใช่โครงการดิจิตอลเลตเตรียมรับได้เลย วีระ ธีรภัทร วันอาทิตย์ที่ ๒๕ สิงหาคม 2567” ที่มา https://www.facebook.com/share/p/ZPvoLGVkV5QkhJNR/?mibextid=CTbP7E Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2400 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ วันนี้ประกาศจะลาออกจากตำแหน่งในเดือนกันยายนนี้ โดยการดำรงตำแหน่ง 3 ปีของคิชิดะเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาว ปัญหาเศรษฐกิจค่าครองชีพที่สูงขึ้น และงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านความมั่นคงที่สูงมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน

    14 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวเดอะการ์เดียนระบุว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ ประกาศจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP ในเดือนกันยายน และจะไม่ลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ที่กำลังครองอำนาจอยู่ในเดือนหน้า การตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลให้มีการแต่งตั้งผู้นำคนใหม่ของเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก

    ตลอดเวลา3ปีภายใต้รัฐบาลคิชิดะเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาวคอรัปชั่น ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการใช้จ่ายด้านความมั่นคงที่สูงมากชนิดทำลายสถิติเดิมไป

    ผลกระทบจากการตัดสินใจลาออกของนายกฯคิชิดะ จะต้องมีการเลือกหัวหน้าพรรคLDPคนใหม่โดยผู้ชนะจะได้รับอนุมัติให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปผ่านรัฐสภาที่พรรค LDP ควบคุมเสียงส่วนใหญ่

    นายกฯญี่ปุ่นคนใหม่ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากคิชิดะ จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในระดับนานาชาติที่เพิ่มมากขึ้น และมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ปลายปี และความกังวลที่เพิ่มขึ้นภายในประเทศเกี่ยวกับวิกฤตค่าครองชีพของญี่ปุ่น

    ที่มา : https://www.theguardian.com/world/article/2024/aug/14/japan-pm-fumio-kishida-stepping-down-september

    #Thaitimes
    นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ วันนี้ประกาศจะลาออกจากตำแหน่งในเดือนกันยายนนี้ โดยการดำรงตำแหน่ง 3 ปีของคิชิดะเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาว ปัญหาเศรษฐกิจค่าครองชีพที่สูงขึ้น และงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านความมั่นคงที่สูงมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน 14 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวเดอะการ์เดียนระบุว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ ประกาศจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP ในเดือนกันยายน และจะไม่ลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ที่กำลังครองอำนาจอยู่ในเดือนหน้า การตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลให้มีการแต่งตั้งผู้นำคนใหม่ของเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ตลอดเวลา3ปีภายใต้รัฐบาลคิชิดะเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาวคอรัปชั่น ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการใช้จ่ายด้านความมั่นคงที่สูงมากชนิดทำลายสถิติเดิมไป ผลกระทบจากการตัดสินใจลาออกของนายกฯคิชิดะ จะต้องมีการเลือกหัวหน้าพรรคLDPคนใหม่โดยผู้ชนะจะได้รับอนุมัติให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปผ่านรัฐสภาที่พรรค LDP ควบคุมเสียงส่วนใหญ่ นายกฯญี่ปุ่นคนใหม่ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากคิชิดะ จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในระดับนานาชาติที่เพิ่มมากขึ้น และมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ปลายปี และความกังวลที่เพิ่มขึ้นภายในประเทศเกี่ยวกับวิกฤตค่าครองชีพของญี่ปุ่น ที่มา : https://www.theguardian.com/world/article/2024/aug/14/japan-pm-fumio-kishida-stepping-down-september #Thaitimes
    WWW.THEGUARDIAN.COM
    Japan PM Fumio Kishida announces he will step down in September
    Kishida’s three-year term has been marked by scandal, rising living costs and record defence spending
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 602 มุมมอง 0 รีวิว