• จบทุกงานบดผงใน 15 วินาที! พริกป่นละเอียด หอมเครื่องเทศ ต้อง "เครื่องบดถ้วย 1,000 กรัม" เท่านั้น!
    เบื่อไหมกับการบดพริกที่ทั้งช้าและไม่ละเอียด? ถ้าคุณทำธุรกิจหรือต้องการผงสมุนไพรคุณภาพสูง นี่คือคำตอบ! เครื่องบดถ้วย รุ่น 1,000 กรัม (Powder Maker) รหัส YBG-DFY1000C-SUS-DA เครื่องเดียวเอาอยู่!

    จุดเด่น สเปคเน้น ๆ (Power Specs):
    ความเร็วฟ้าผ่า: บดเต็มความจุ 1,000 กรัม (1 กิโลกรัม) ได้เป็นผงละเอียดใน 15 วินาที!
    รอบจัด: มอเตอร์ 2,000W (2.6HP) ปั่นด้วยความเร็ว 25,000 RPM ผงละเอียดเนียนกริ๊บ!
    วัสดุคุณภาพ: แข็งแรง ทนทาน เหมาะกับงานหนัก

    เครื่องนี้ทำอะไรได้บ้าง? (เน้นบดของแห้งให้เป็นผงละเอียด)
    บดพริกแห้ง: ทำ พริกป่น หอม ๆ เนียน ๆ
    บดสมุนไพร/ยา: บดรากไม้ สมุนไพรแห้งทุกชนิด ให้เป็นผงสำหรับบรรจุแคปซูล
    บดธัญพืช/เมล็ดพืช: ข้าวสารทำ ข้าวคั่ว งา ถั่วเหลือง
    บดอาหารแห้ง: ปลาหมึกแห้ง กุ้งแห้ง ทำผงโรย หรือผงปรุงรส

    ลงทุนกับเครื่องที่ใช่ เพื่อคุณภาพและกำไรที่เพิ่มขึ้น!

    สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม:
    ติดต่อ: ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng)
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330
    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.30-17.00 น.), เสาร์ (9.00-16.00 น.)
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    แชท: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA

    #เครื่องบดถ้วย #เครื่องบดผง #เครื่องบดพริก #เครื่องบดสมุนไพร #เครื่องบดแห้ง #ยิ่งฮะเฮง #PowderMaker #เครื่องบดอาหาร #เครื่องบดเมล็ดกาแฟ #เครื่องบดข้าวคั่ว #พริกป่น #ผงปรุงรส #แคปซูลสมุนไพร #สมุนไพรไทย #รากสมุนไพร #การแปรรูปอาหาร #โรงงานขนาดเล็ก #SMEไทย #ธุรกิจอาหาร #KitchenTools #GrindingMachine #HighSpeedGrinder #ChiliPowder #SpiceGrinder #HerbGrinder #25000RPM #เครื่องจักรแปรรูป #คุณภาพส่งออก #Yoryonghahheng
    🌶️✨ จบทุกงานบดผงใน 15 วินาที! พริกป่นละเอียด หอมเครื่องเทศ ต้อง "เครื่องบดถ้วย 1,000 กรัม" เท่านั้น! ✨🌿 เบื่อไหมกับการบดพริกที่ทั้งช้าและไม่ละเอียด? ถ้าคุณทำธุรกิจหรือต้องการผงสมุนไพรคุณภาพสูง นี่คือคำตอบ! เครื่องบดถ้วย รุ่น 1,000 กรัม (Powder Maker) รหัส YBG-DFY1000C-SUS-DA เครื่องเดียวเอาอยู่! 🔥 จุดเด่น สเปคเน้น ๆ (Power Specs): ⚡ ความเร็วฟ้าผ่า: บดเต็มความจุ 1,000 กรัม (1 กิโลกรัม) ได้เป็นผงละเอียดใน 15 วินาที! 🚀 รอบจัด: มอเตอร์ 2,000W (2.6HP) ปั่นด้วยความเร็ว 25,000 RPM ผงละเอียดเนียนกริ๊บ! 💪 วัสดุคุณภาพ: แข็งแรง ทนทาน เหมาะกับงานหนัก 🌶️ เครื่องนี้ทำอะไรได้บ้าง? (เน้นบดของแห้งให้เป็นผงละเอียด) บดพริกแห้ง: ทำ พริกป่น หอม ๆ เนียน ๆ บดสมุนไพร/ยา: บดรากไม้ สมุนไพรแห้งทุกชนิด ให้เป็นผงสำหรับบรรจุแคปซูล บดธัญพืช/เมล็ดพืช: ข้าวสารทำ ข้าวคั่ว งา ถั่วเหลือง บดอาหารแห้ง: ปลาหมึกแห้ง กุ้งแห้ง ทำผงโรย หรือผงปรุงรส ลงทุนกับเครื่องที่ใช่ เพื่อคุณภาพและกำไรที่เพิ่มขึ้น! 💸 📍 สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม: ติดต่อ: ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng) ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.30-17.00 น.), เสาร์ (9.00-16.00 น.) 📞 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 💬 แชท: m.me/yonghahheng 📲 LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 🌐 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com 🗺️ แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA #เครื่องบดถ้วย #เครื่องบดผง #เครื่องบดพริก #เครื่องบดสมุนไพร #เครื่องบดแห้ง #ยิ่งฮะเฮง #PowderMaker #เครื่องบดอาหาร #เครื่องบดเมล็ดกาแฟ #เครื่องบดข้าวคั่ว #พริกป่น #ผงปรุงรส #แคปซูลสมุนไพร #สมุนไพรไทย #รากสมุนไพร #การแปรรูปอาหาร #โรงงานขนาดเล็ก #SMEไทย #ธุรกิจอาหาร #KitchenTools #GrindingMachine #HighSpeedGrinder #ChiliPowder #SpiceGrinder #HerbGrinder #25000RPM #เครื่องจักรแปรรูป #คุณภาพส่งออก #Yoryonghahheng
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จ่ายค่าไถ่แล้วก็ไม่รอด: 40% ของเหยื่อแรนซัมแวร์ยังคงสูญเสียข้อมูล”

    รู้หรือเปล่าว่า แม้จะยอมจ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์ไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ข้อมูลคืนเสมอไปนะ! จากรายงานล่าสุดของ Hiscox พบว่า 2 ใน 5 บริษัทที่จ่ายค่าไถ่กลับไม่ได้ข้อมูลคืนเลย หรือได้คืนแค่บางส่วนเท่านั้น

    ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แฮกเกอร์บางกลุ่มถึงขั้นใช้เครื่องมือถอดรหัสที่มีบั๊ก หรือบางทีก็หายตัวไปดื้อ ๆ หลังได้เงินแล้ว แถมบางครั้งตัวถอดรหัสยังทำให้ไฟล์เสียหายยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก

    และที่สำคัญ—การจ่ายเงินไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด เพราะแฮกเกอร์ยุคนี้ไม่ได้แค่ล็อกไฟล์ แต่ยังขู่จะปล่อยข้อมูลหรือโจมตีซ้ำด้วย DDoS แม้จะได้เงินไปแล้วก็ตาม

    องค์กรที่เคยโดนโจมตีอย่างบริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ถึงกับต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อฟื้นฟูระบบ เพราะแม้จะมีประกันไซเบอร์ แต่ก็ต้องรอขั้นตอนการเคลมที่ใช้เวลานาน

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อย่ารอให้โดนก่อนค่อยหาทางแก้ ควรเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า เช่น มีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉิน มีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย และที่สำคัญ—อย่าคิดว่าการจ่ายเงินคือทางออกที่ดีที่สุด

    สถิติจากรายงาน Hiscox Cyber Readiness Report
    40% ของเหยื่อที่จ่ายค่าไถ่ไม่ได้ข้อมูลคืนเลย
    27% ของธุรกิจถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในปีที่ผ่านมา
    80% ของเหยื่อยอมจ่ายค่าไถ่เพื่อพยายามกู้ข้อมูล

    ปัญหาที่เกิดขึ้นแม้จะจ่ายค่าไถ่แล้ว
    เครื่องมือถอดรหัสที่ได้รับอาจมีบั๊กหรือทำให้ไฟล์เสียหาย
    แฮกเกอร์บางกลุ่มไม่มีความน่าเชื่อถือ อาจไม่ส่งคีย์ถอดรหัส
    การถอดรหัสในระบบขนาดใหญ่ใช้เวลานานและอาจล้มเหลว

    ภัยคุกคามที่มากกว่าแค่การเข้ารหัสข้อมูล
    แฮกเกอร์ใช้วิธี “ขู่เปิดเผยข้อมูล” หรือ DDoS แม้จะได้เงินแล้ว
    การจ่ายเงินไม่ช่วยแก้ปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

    กรณีศึกษา: บริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น
    ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่ต้องกู้เงินเพื่อฟื้นฟูระบบ
    แม้มีประกันไซเบอร์ แต่ต้องรอขั้นตอนการเคลม

    คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    ควรมีแผนรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่น การสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย
    ควรมีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า
    การมีประกันไซเบอร์ช่วยลดผลกระทบและให้การสนับสนุนด้านกฎหมาย

    คำเตือนเกี่ยวกับการจ่ายค่าไถ่
    ไม่มีหลักประกันว่าจะได้ข้อมูลคืน
    อาจละเมิดกฎหมายหากจ่ายเงินให้กลุ่มที่ถูกคว่ำบาตร
    การจ่ายเงินอาจกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมไซเบอร์เพิ่มขึ้น
    อาจทำให้ข้อมูลเสียหายมากขึ้นจากการถอดรหัสที่ผิดพลาด

    https://www.csoonline.com/article/4077484/ransomware-recovery-perils-40-of-paying-victims-still-lose-their-data.html
    💸 “จ่ายค่าไถ่แล้วก็ไม่รอด: 40% ของเหยื่อแรนซัมแวร์ยังคงสูญเสียข้อมูล” รู้หรือเปล่าว่า แม้จะยอมจ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์ไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ข้อมูลคืนเสมอไปนะ! จากรายงานล่าสุดของ Hiscox พบว่า 2 ใน 5 บริษัทที่จ่ายค่าไถ่กลับไม่ได้ข้อมูลคืนเลย หรือได้คืนแค่บางส่วนเท่านั้น ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แฮกเกอร์บางกลุ่มถึงขั้นใช้เครื่องมือถอดรหัสที่มีบั๊ก หรือบางทีก็หายตัวไปดื้อ ๆ หลังได้เงินแล้ว แถมบางครั้งตัวถอดรหัสยังทำให้ไฟล์เสียหายยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก และที่สำคัญ—การจ่ายเงินไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด เพราะแฮกเกอร์ยุคนี้ไม่ได้แค่ล็อกไฟล์ แต่ยังขู่จะปล่อยข้อมูลหรือโจมตีซ้ำด้วย DDoS แม้จะได้เงินไปแล้วก็ตาม องค์กรที่เคยโดนโจมตีอย่างบริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ถึงกับต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อฟื้นฟูระบบ เพราะแม้จะมีประกันไซเบอร์ แต่ก็ต้องรอขั้นตอนการเคลมที่ใช้เวลานาน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อย่ารอให้โดนก่อนค่อยหาทางแก้ ควรเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า เช่น มีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉิน มีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย และที่สำคัญ—อย่าคิดว่าการจ่ายเงินคือทางออกที่ดีที่สุด ✅ สถิติจากรายงาน Hiscox Cyber Readiness Report ➡️ 40% ของเหยื่อที่จ่ายค่าไถ่ไม่ได้ข้อมูลคืนเลย ➡️ 27% ของธุรกิจถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในปีที่ผ่านมา ➡️ 80% ของเหยื่อยอมจ่ายค่าไถ่เพื่อพยายามกู้ข้อมูล ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้นแม้จะจ่ายค่าไถ่แล้ว ➡️ เครื่องมือถอดรหัสที่ได้รับอาจมีบั๊กหรือทำให้ไฟล์เสียหาย ➡️ แฮกเกอร์บางกลุ่มไม่มีความน่าเชื่อถือ อาจไม่ส่งคีย์ถอดรหัส ➡️ การถอดรหัสในระบบขนาดใหญ่ใช้เวลานานและอาจล้มเหลว ✅ ภัยคุกคามที่มากกว่าแค่การเข้ารหัสข้อมูล ➡️ แฮกเกอร์ใช้วิธี “ขู่เปิดเผยข้อมูล” หรือ DDoS แม้จะได้เงินแล้ว ➡️ การจ่ายเงินไม่ช่วยแก้ปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ✅ กรณีศึกษา: บริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ➡️ ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่ต้องกู้เงินเพื่อฟื้นฟูระบบ ➡️ แม้มีประกันไซเบอร์ แต่ต้องรอขั้นตอนการเคลม ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ควรมีแผนรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่น การสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย ➡️ ควรมีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า ➡️ การมีประกันไซเบอร์ช่วยลดผลกระทบและให้การสนับสนุนด้านกฎหมาย ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการจ่ายค่าไถ่ ⛔ ไม่มีหลักประกันว่าจะได้ข้อมูลคืน ⛔ อาจละเมิดกฎหมายหากจ่ายเงินให้กลุ่มที่ถูกคว่ำบาตร ⛔ การจ่ายเงินอาจกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมไซเบอร์เพิ่มขึ้น ⛔ อาจทำให้ข้อมูลเสียหายมากขึ้นจากการถอดรหัสที่ผิดพลาด https://www.csoonline.com/article/4077484/ransomware-recovery-perils-40-of-paying-victims-still-lose-their-data.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Ransomware recovery perils: 40% of paying victims still lose their data
    Paying the ransom is no guarantee of a smooth or even successful recovery of data. But that isn’t even the only issue security leaders will face under fire. Preparation is key.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI พลิกโฉมการเงิน: ที่ปรึกษากลยุทธ์ช่วยสถาบันการเงินรับมือความเสี่ยงยุคดิจิทัล”

    ตอนนี้วงการการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะ AI ไม่ได้แค่เข้ามาช่วยคิดเลขหรือวิเคราะห์ข้อมูลธรรมดา ๆ แล้วนะ มันกลายเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความเสี่ยง ป้องกันการโกง และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์แบบที่มนุษย์ทำคนเดียวไม่ไหว

    AI ในภาคการเงินตอนนี้ฉลาดมากถึงขั้นตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยได้แบบเรียลไทม์ วิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเพื่อหาความผิดปกติ และช่วยให้สถาบันการเงินตอบสนองต่อภัยคุกคามได้ทันที ที่เด็ดคือมันยังช่วยปรับปรุงการตัดสินใจเรื่องการลงทุน การให้เครดิต และการบริหารพอร์ตได้อย่างแม่นยำด้วย

    แต่การจะใช้ AI ให้เวิร์กจริง ๆ ไม่ใช่แค่ซื้อระบบมาแล้วจบ ต้องมี “ที่ปรึกษากลยุทธ์ด้าน AI” มาช่วยวางแผนให้ตรงกับเป้าหมายธุรกิจ ตรวจสอบความเสี่ยงตั้งแต่ต้น และออกแบบระบบให้เข้ากับโครงสร้างเดิมขององค์กร

    AI ช่วยจัดการความเสี่ยงและป้องกันการโกงในภาคการเงิน
    วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อหาความผิดปกติ
    ตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์
    ลดผลกระทบทางการเงินจากการโกงและช่วยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ

    AI ช่วยตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ด้วยข้อมูลเชิงลึก
    วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคต
    ปรับปรุงการตัดสินใจเรื่องการลงทุนและการบริหารความเสี่ยง
    ใช้ข้อมูลย้อนหลังและการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยอัตโนมัติ
    ลดเวลาและข้อผิดพลาดจากงานซ้ำ ๆ เช่น การป้อนข้อมูลและการจัดทำรายงาน
    ใช้ chatbot และผู้ช่วยเสมือนในการตอบคำถามลูกค้า
    เพิ่มความเร็วในการให้บริการและลดต้นทุน

    AI ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล
    วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อเสนอคำแนะนำที่ตรงใจ
    สร้างแคมเปญการตลาดเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม
    พัฒนาระบบ self-service ที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละราย

    AI ช่วยให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามกฎระเบียบได้ง่ายขึ้น
    ตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลและการเข้ารหัส
    ปรับระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เปลี่ยนแปลง
    ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและการละเมิดข้อมูล

    บทบาทของที่ปรึกษากลยุทธ์ AI ในการเงิน
    วางแผนการใช้ AI ให้สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ
    ตรวจสอบความเสี่ยงและความปลอดภัยของระบบ AI
    พัฒนาโซลูชัน AI ที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร
    ปรับปรุงประสิทธิภาพของโมเดล AI อย่างต่อเนื่อง
    เชื่อมต่อระบบ AI เข้ากับโครงสร้างเดิมขององค์กรอย่างราบรื่น

    https://hackread.com/ai-financial-sector-consulting-navigate-risk/
    “AI พลิกโฉมการเงิน: ที่ปรึกษากลยุทธ์ช่วยสถาบันการเงินรับมือความเสี่ยงยุคดิจิทัล” ตอนนี้วงการการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะ AI ไม่ได้แค่เข้ามาช่วยคิดเลขหรือวิเคราะห์ข้อมูลธรรมดา ๆ แล้วนะ มันกลายเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความเสี่ยง ป้องกันการโกง และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์แบบที่มนุษย์ทำคนเดียวไม่ไหว AI ในภาคการเงินตอนนี้ฉลาดมากถึงขั้นตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยได้แบบเรียลไทม์ วิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเพื่อหาความผิดปกติ และช่วยให้สถาบันการเงินตอบสนองต่อภัยคุกคามได้ทันที ที่เด็ดคือมันยังช่วยปรับปรุงการตัดสินใจเรื่องการลงทุน การให้เครดิต และการบริหารพอร์ตได้อย่างแม่นยำด้วย แต่การจะใช้ AI ให้เวิร์กจริง ๆ ไม่ใช่แค่ซื้อระบบมาแล้วจบ ต้องมี “ที่ปรึกษากลยุทธ์ด้าน AI” มาช่วยวางแผนให้ตรงกับเป้าหมายธุรกิจ ตรวจสอบความเสี่ยงตั้งแต่ต้น และออกแบบระบบให้เข้ากับโครงสร้างเดิมขององค์กร ✅ AI ช่วยจัดการความเสี่ยงและป้องกันการโกงในภาคการเงิน ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อหาความผิดปกติ ➡️ ตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์ ➡️ ลดผลกระทบทางการเงินจากการโกงและช่วยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ✅ AI ช่วยตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ด้วยข้อมูลเชิงลึก ➡️ วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคต ➡️ ปรับปรุงการตัดสินใจเรื่องการลงทุนและการบริหารความเสี่ยง ➡️ ใช้ข้อมูลย้อนหลังและการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยอัตโนมัติ ➡️ ลดเวลาและข้อผิดพลาดจากงานซ้ำ ๆ เช่น การป้อนข้อมูลและการจัดทำรายงาน ➡️ ใช้ chatbot และผู้ช่วยเสมือนในการตอบคำถามลูกค้า ➡️ เพิ่มความเร็วในการให้บริการและลดต้นทุน ✅ AI ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล ➡️ วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อเสนอคำแนะนำที่ตรงใจ ➡️ สร้างแคมเปญการตลาดเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม ➡️ พัฒนาระบบ self-service ที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละราย ✅ AI ช่วยให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามกฎระเบียบได้ง่ายขึ้น ➡️ ตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลและการเข้ารหัส ➡️ ปรับระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เปลี่ยนแปลง ➡️ ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและการละเมิดข้อมูล ✅ บทบาทของที่ปรึกษากลยุทธ์ AI ในการเงิน ➡️ วางแผนการใช้ AI ให้สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ ➡️ ตรวจสอบความเสี่ยงและความปลอดภัยของระบบ AI ➡️ พัฒนาโซลูชัน AI ที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร ➡️ ปรับปรุงประสิทธิภาพของโมเดล AI อย่างต่อเนื่อง ➡️ เชื่อมต่อระบบ AI เข้ากับโครงสร้างเดิมขององค์กรอย่างราบรื่น https://hackread.com/ai-financial-sector-consulting-navigate-risk/
    HACKREAD.COM
    AI for the Financial Sector: How Strategy Consulting Helps You Navigate Risk
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Typst 0.14 เปิดศักราชใหม่ของเอกสารดิจิทัล: เข้าถึงได้มากขึ้น ฉลาดขึ้น และสวยงามกว่าเดิม”

    รู้ไหมว่า Typst ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดหน้าเอกสารที่หลายคนใช้แทน LaTeX ตอนนี้ออกเวอร์ชันใหม่แล้ว—Typst 0.14! รอบนี้เขาไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะอัปเดตครั้งนี้เน้นเรื่อง “การเข้าถึง” หรือ accessibility เป็นหลักเลยล่ะ

    ลองนึกภาพว่าเราทำเอกสาร PDF แล้วคนที่ใช้ screen reader ก็สามารถเข้าใจเนื้อหาได้เหมือนกับคนที่มองเห็นปกติ—Typst ทำให้สิ่งนี้เป็นจริง เพราะตอนนี้มันสามารถใส่ tag ที่ช่วยให้โปรแกรมช่วยอ่านเข้าใจโครงสร้างของเอกสารได้โดยอัตโนมัติ แถมยังมีตัวเลือกให้ตรวจสอบว่าเอกสารของเราผ่านมาตรฐานสากลอย่าง PDF/UA-1 หรือเปล่าด้วยนะ

    นอกจากนี้ยังมีของใหม่อีกเพียบ เช่น การรองรับ PDF เป็นภาพโดยตรง (เหมาะมากกับคนที่มีกราฟิกซับซ้อน), การจัดย่อหน้าแบบละเอียดถึงระดับตัวอักษร (character-level justification), และการส่งออก HTML ที่ฉลาดขึ้นเยอะ

    ที่น่าสนใจคือ Typst ยังใช้ไลบรารี PDF ใหม่ที่ชื่อว่า “hayro” ซึ่งเขียนด้วยภาษา Rust ทั้งหมด ทำให้การประมวลผล PDF เร็วและเสถียรมากขึ้นอีกด้วย

    การเข้าถึง (Accessibility) เป็นค่าเริ่มต้นใน Typst 0.14
    เอกสาร PDF ที่สร้างจาก Typst จะมี tag สำหรับ screen reader โดยอัตโนมัติ
    รองรับการใส่คำอธิบายภาพ (alt text) สำหรับรูปภาพและแผนภาพ
    มีโหมดตรวจสอบความเข้ากันได้กับมาตรฐาน PDF/UA-1 เพื่อให้เอกสารเข้าถึงได้จริง

    รองรับ PDF เป็นภาพ (PDFs as images)
    สามารถแทรกไฟล์ PDF เป็นภาพในเอกสารได้โดยตรง
    รองรับการแสดงผลในทุกฟอร์แมต เช่น PDF, HTML, SVG, PNG
    ใช้ไลบรารี “hayro” ที่เขียนด้วยภาษา Rust เพื่อประมวลผล PDF

    การจัดย่อหน้าแบบละเอียด (Character-level justification)
    ปรับระยะห่างระหว่างตัวอักษรเพื่อให้ย่อหน้าดูสมดุล
    เป็นฟีเจอร์ที่ LaTeX ยังไม่มีในตอนนี้
    ช่วยให้การจัดหน้าเอกสารดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น

    การส่งออก HTML ที่ฉลาดขึ้น (Richer HTML export)
    รองรับ element เพิ่มเติม เช่น footnotes, citations, outlines
    มีระบบ typed HTML interface สำหรับเขียน HTML ด้วย Typst ได้ง่ายขึ้น
    เตรียมเปิดให้ใช้งานในเว็บแอปเร็ว ๆ นี้

    การอัปเกรดที่ราบรื่น (Migration & Compatibility)
    มีระบบช่วยตรวจสอบความเข้ากันได้ของเอกสารเก่ากับเวอร์ชันใหม่
    แจ้งเตือนเมื่อมีเวอร์ชันใหม่ และให้เลือกอัปเกรดได้ในเว็บแอป

    https://typst.app/blog/2025/typst-0.14/
    “Typst 0.14 เปิดศักราชใหม่ของเอกสารดิจิทัล: เข้าถึงได้มากขึ้น ฉลาดขึ้น และสวยงามกว่าเดิม” รู้ไหมว่า Typst ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดหน้าเอกสารที่หลายคนใช้แทน LaTeX ตอนนี้ออกเวอร์ชันใหม่แล้ว—Typst 0.14! รอบนี้เขาไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะอัปเดตครั้งนี้เน้นเรื่อง “การเข้าถึง” หรือ accessibility เป็นหลักเลยล่ะ ลองนึกภาพว่าเราทำเอกสาร PDF แล้วคนที่ใช้ screen reader ก็สามารถเข้าใจเนื้อหาได้เหมือนกับคนที่มองเห็นปกติ—Typst ทำให้สิ่งนี้เป็นจริง เพราะตอนนี้มันสามารถใส่ tag ที่ช่วยให้โปรแกรมช่วยอ่านเข้าใจโครงสร้างของเอกสารได้โดยอัตโนมัติ แถมยังมีตัวเลือกให้ตรวจสอบว่าเอกสารของเราผ่านมาตรฐานสากลอย่าง PDF/UA-1 หรือเปล่าด้วยนะ นอกจากนี้ยังมีของใหม่อีกเพียบ เช่น การรองรับ PDF เป็นภาพโดยตรง (เหมาะมากกับคนที่มีกราฟิกซับซ้อน), การจัดย่อหน้าแบบละเอียดถึงระดับตัวอักษร (character-level justification), และการส่งออก HTML ที่ฉลาดขึ้นเยอะ ที่น่าสนใจคือ Typst ยังใช้ไลบรารี PDF ใหม่ที่ชื่อว่า “hayro” ซึ่งเขียนด้วยภาษา Rust ทั้งหมด ทำให้การประมวลผล PDF เร็วและเสถียรมากขึ้นอีกด้วย ✅ การเข้าถึง (Accessibility) เป็นค่าเริ่มต้นใน Typst 0.14 ➡️ เอกสาร PDF ที่สร้างจาก Typst จะมี tag สำหรับ screen reader โดยอัตโนมัติ ➡️ รองรับการใส่คำอธิบายภาพ (alt text) สำหรับรูปภาพและแผนภาพ ➡️ มีโหมดตรวจสอบความเข้ากันได้กับมาตรฐาน PDF/UA-1 เพื่อให้เอกสารเข้าถึงได้จริง ✅ รองรับ PDF เป็นภาพ (PDFs as images) ➡️ สามารถแทรกไฟล์ PDF เป็นภาพในเอกสารได้โดยตรง ➡️ รองรับการแสดงผลในทุกฟอร์แมต เช่น PDF, HTML, SVG, PNG ➡️ ใช้ไลบรารี “hayro” ที่เขียนด้วยภาษา Rust เพื่อประมวลผล PDF ✅ การจัดย่อหน้าแบบละเอียด (Character-level justification) ➡️ ปรับระยะห่างระหว่างตัวอักษรเพื่อให้ย่อหน้าดูสมดุล ➡️ เป็นฟีเจอร์ที่ LaTeX ยังไม่มีในตอนนี้ ➡️ ช่วยให้การจัดหน้าเอกสารดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น ✅ การส่งออก HTML ที่ฉลาดขึ้น (Richer HTML export) ➡️ รองรับ element เพิ่มเติม เช่น footnotes, citations, outlines ➡️ มีระบบ typed HTML interface สำหรับเขียน HTML ด้วย Typst ได้ง่ายขึ้น ➡️ เตรียมเปิดให้ใช้งานในเว็บแอปเร็ว ๆ นี้ ✅ การอัปเกรดที่ราบรื่น (Migration & Compatibility) ➡️ มีระบบช่วยตรวจสอบความเข้ากันได้ของเอกสารเก่ากับเวอร์ชันใหม่ ➡️ แจ้งเตือนเมื่อมีเวอร์ชันใหม่ และให้เลือกอัปเกรดได้ในเว็บแอป https://typst.app/blog/2025/typst-0.14/
    TYPST.APP
    Typst: Typst 0.14: Now accessible – Typst Blog
    Typst 0.14 is out now. With accessibility by default, PDFs as images, character-level justification, and more, it has everything you need to move from draft to...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • YouTube ลบวิดีโอกว่า 3,000 รายการที่ปลอมเป็นสูตรโกงเกม – พบใช้แพร่กระจายมัลแวร์ Lumma และ RedLine

    YouTube ได้ลบวิดีโอกว่า 3,000 รายการที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแพร่กระจายมัลแวร์ โดยวิดีโอเหล่านี้ปลอมตัวเป็น “สูตรโกงเกม” หรือ “โปรแกรมเถื่อน” เช่น Adobe Photoshop และ FL Studio เพื่อหลอกให้ผู้ชมดาวน์โหลดไฟล์อันตราย

    แคมเปญนี้ถูกเรียกว่า “YouTube Ghost Network” โดยนักวิจัยจาก Check Point Research พบว่าเป็นการโจมตีแบบประสานงานที่ซับซ้อน ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 และเพิ่มจำนวนวิดีโออย่างรวดเร็วในปี 2025 โดยใช้เทคนิคสร้าง engagement ปลอม เช่น ไลก์ คอมเมนต์ และการสมัครสมาชิก เพื่อให้วิดีโอดูน่าเชื่อถือ

    มัลแวร์ที่พบในแคมเปญนี้ ได้แก่ Lumma Stealer, Rhadamanthys และ RedLine ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน คุกกี้ และข้อมูลการเข้าสู่ระบบต่าง ๆ

    รายละเอียดแคมเปญ YouTube Ghost Network
    วิดีโอปลอมเป็นสูตรโกงเกมและโปรแกรมเถื่อน
    หลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์มัลแวร์
    ใช้ engagement ปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
    เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 และเพิ่มขึ้นในปี 2025

    มัลแวร์ที่เกี่ยวข้อง
    Lumma Stealer – ขโมยรหัสผ่านและข้อมูลเข้าสู่ระบบ
    Rhadamanthys – มัลแวร์ระดับสูงสำหรับการสอดแนม
    RedLine – ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์และแอปต่าง ๆ

    เทคนิคการหลอกลวง
    ใช้ชื่อวิดีโอและคำอธิบายที่ดูน่าเชื่อถือ
    สร้างคอมเมนต์และไลก์ปลอมเพื่อหลอกผู้ใช้
    ใช้หลายบัญชีในการสร้างและโปรโมตวิดีโอ

    https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-youtube-videos-disguised-as-cheat-codes-removed-for-spreading-malware
    🎮 YouTube ลบวิดีโอกว่า 3,000 รายการที่ปลอมเป็นสูตรโกงเกม – พบใช้แพร่กระจายมัลแวร์ Lumma และ RedLine YouTube ได้ลบวิดีโอกว่า 3,000 รายการที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแพร่กระจายมัลแวร์ โดยวิดีโอเหล่านี้ปลอมตัวเป็น “สูตรโกงเกม” หรือ “โปรแกรมเถื่อน” เช่น Adobe Photoshop และ FL Studio เพื่อหลอกให้ผู้ชมดาวน์โหลดไฟล์อันตราย แคมเปญนี้ถูกเรียกว่า “YouTube Ghost Network” โดยนักวิจัยจาก Check Point Research พบว่าเป็นการโจมตีแบบประสานงานที่ซับซ้อน ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 และเพิ่มจำนวนวิดีโออย่างรวดเร็วในปี 2025 โดยใช้เทคนิคสร้าง engagement ปลอม เช่น ไลก์ คอมเมนต์ และการสมัครสมาชิก เพื่อให้วิดีโอดูน่าเชื่อถือ มัลแวร์ที่พบในแคมเปญนี้ ได้แก่ Lumma Stealer, Rhadamanthys และ RedLine ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน คุกกี้ และข้อมูลการเข้าสู่ระบบต่าง ๆ ✅ รายละเอียดแคมเปญ YouTube Ghost Network ➡️ วิดีโอปลอมเป็นสูตรโกงเกมและโปรแกรมเถื่อน ➡️ หลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์มัลแวร์ ➡️ ใช้ engagement ปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ➡️ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 และเพิ่มขึ้นในปี 2025 ✅ มัลแวร์ที่เกี่ยวข้อง ➡️ Lumma Stealer – ขโมยรหัสผ่านและข้อมูลเข้าสู่ระบบ ➡️ Rhadamanthys – มัลแวร์ระดับสูงสำหรับการสอดแนม ➡️ RedLine – ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์และแอปต่าง ๆ ✅ เทคนิคการหลอกลวง ➡️ ใช้ชื่อวิดีโอและคำอธิบายที่ดูน่าเชื่อถือ ➡️ สร้างคอมเมนต์และไลก์ปลอมเพื่อหลอกผู้ใช้ ➡️ ใช้หลายบัญชีในการสร้างและโปรโมตวิดีโอ https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-youtube-videos-disguised-as-cheat-codes-removed-for-spreading-malware
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ออกแพตช์ฉุกเฉินอุดช่องโหว่ร้ายแรงใน Windows Server – เสี่ยงโดนแฮกแบบไม่ต้องคลิก!

    Microsoft ได้ออกแพตช์ความปลอดภัยฉุกเฉินเพื่ออุดช่องโหว่ร้ายแรงใน Windows Server Update Services (WSUS) ซึ่งอาจเปิดทางให้แฮกเกอร์โจมตีแบบ remote code execution (RCE) โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนหรือการคลิกใด ๆ จากผู้ใช้

    ช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-59287 และได้คะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8/10 โดยเกิดจากการ “deserialization ของข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย” ซึ่งทำให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดอันตรายด้วยสิทธิ์ SYSTEM ได้ทันที หาก WSUS เปิดใช้งานอยู่

    แม้ Microsoft จะรวมแพตช์ไว้ในอัปเดต Patch Tuesday ประจำเดือนตุลาคม 2025 แล้ว แต่เมื่อมีโค้ดโจมตี (PoC) เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ บริษัทจึงรีบออกอัปเดตแบบ out-of-band (OOB) เพื่อกระตุ้นให้ผู้ดูแลระบบติดตั้งแพตช์โดยด่วน

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-59287
    ช่องโหว่ใน Windows Server Update Services (WSUS)
    ประเภท: deserialization ของข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย
    ความรุนแรง: 9.8/10 (Critical)
    เปิดทางให้แฮกเกอร์รันโค้ดด้วยสิทธิ์ SYSTEM โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    การตอบสนองของ Microsoft
    แพตช์รวมอยู่ใน Patch Tuesday ตุลาคม 2025
    ออกอัปเดตฉุกเฉินแบบ OOB หลังพบโค้ดโจมตีถูกเผยแพร่
    แนะนำให้ติดตั้งอัปเดตทันทีและรีบูตเครื่อง
    เซิร์ฟเวอร์ที่ยังไม่เปิดใช้ WSUS จะไม่เสี่ยง

    วิธีลดความเสี่ยง (หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ทันที)
    ปิดการใช้งาน WSUS Server Role
    หรือบล็อกพอร์ต 8530 และ 8531 บน firewall
    หมายเหตุ: การบล็อกพอร์ตจะทำให้เครื่องลูกข่ายไม่ได้รับอัปเดต

    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-issues-emergency-windows-server-security-patch-update-now-or-risk-attack
    🚨 Microsoft ออกแพตช์ฉุกเฉินอุดช่องโหว่ร้ายแรงใน Windows Server – เสี่ยงโดนแฮกแบบไม่ต้องคลิก! Microsoft ได้ออกแพตช์ความปลอดภัยฉุกเฉินเพื่ออุดช่องโหว่ร้ายแรงใน Windows Server Update Services (WSUS) ซึ่งอาจเปิดทางให้แฮกเกอร์โจมตีแบบ remote code execution (RCE) โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนหรือการคลิกใด ๆ จากผู้ใช้ ช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-59287 และได้คะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8/10 โดยเกิดจากการ “deserialization ของข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย” ซึ่งทำให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดอันตรายด้วยสิทธิ์ SYSTEM ได้ทันที หาก WSUS เปิดใช้งานอยู่ แม้ Microsoft จะรวมแพตช์ไว้ในอัปเดต Patch Tuesday ประจำเดือนตุลาคม 2025 แล้ว แต่เมื่อมีโค้ดโจมตี (PoC) เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ บริษัทจึงรีบออกอัปเดตแบบ out-of-band (OOB) เพื่อกระตุ้นให้ผู้ดูแลระบบติดตั้งแพตช์โดยด่วน ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-59287 ➡️ ช่องโหว่ใน Windows Server Update Services (WSUS) ➡️ ประเภท: deserialization ของข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย ➡️ ความรุนแรง: 9.8/10 (Critical) ➡️ เปิดทางให้แฮกเกอร์รันโค้ดด้วยสิทธิ์ SYSTEM โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ✅ การตอบสนองของ Microsoft ➡️ แพตช์รวมอยู่ใน Patch Tuesday ตุลาคม 2025 ➡️ ออกอัปเดตฉุกเฉินแบบ OOB หลังพบโค้ดโจมตีถูกเผยแพร่ ➡️ แนะนำให้ติดตั้งอัปเดตทันทีและรีบูตเครื่อง ➡️ เซิร์ฟเวอร์ที่ยังไม่เปิดใช้ WSUS จะไม่เสี่ยง ✅ วิธีลดความเสี่ยง (หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ทันที) ➡️ ปิดการใช้งาน WSUS Server Role ➡️ หรือบล็อกพอร์ต 8530 และ 8531 บน firewall ➡️ หมายเหตุ: การบล็อกพอร์ตจะทำให้เครื่องลูกข่ายไม่ได้รับอัปเดต https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-issues-emergency-windows-server-security-patch-update-now-or-risk-attack
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มแฮกเกอร์ Lazarus จากเกาหลีเหนือใช้กลยุทธ์ “DreamJob” หลอกบริษัทโดรนในยุโรป – ขโมยข้อมูล UAV ที่ใช้ในสงครามยูเครน

    กลุ่ม Lazarus ซึ่งเป็นแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ ได้ใช้กลยุทธ์หลอกลวงผ่าน “DreamJob” เพื่อเจาะระบบบริษัทด้านการผลิตโดรนในยุโรปตะวันออก โดยแสร้งเป็นบริษัทต่างชาติที่เสนองานให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี UAV (Unmanned Aerial Vehicle)

    ผู้ที่หลงเชื่อจะถูกเชิญให้เข้าร่วมการสัมภาษณ์หลายรอบ และถูกขอให้ดาวน์โหลดไฟล์ PDF หรือโปรแกรมที่แฝงมัลแวร์ ซึ่งจะติดตั้ง Remote Access Trojan (RAT) ชื่อ ScoringMathTea เพื่อให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ

    เป้าหมายของการโจมตีคือการขโมยข้อมูลการออกแบบและการผลิตโดรนที่ใช้ในสงครามยูเครน ซึ่งเกาหลีเหนือกำลังพัฒนาเทคโนโลยี UAV ของตนเอง และต้องการข้อมูลจากสนามรบจริงเพื่อเร่งการพัฒนา

    กลยุทธ์ “DreamJob” ของ Lazarus
    สร้างบริษัทและตำแหน่งงานปลอม
    เชิญเป้าหมายเข้าสัมภาษณ์หลายรอบ
    หลอกให้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แฝงมัลแวร์
    ติดตั้ง RAT ชื่อ ScoringMathTea เพื่อควบคุมเครื่อง

    เป้าหมายของการโจมตี
    บริษัทผลิตโดรนในยุโรปตะวันออก
    ขโมยข้อมูลการออกแบบ UAV ที่ใช้ในสงครามยูเครน
    สนับสนุนการพัฒนาโดรนของเกาหลีเหนือ
    ใช้ข้อมูลจากสนามรบจริงเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยี

    ความเชื่อมโยงกับสถานการณ์โลก
    เกาหลีเหนือส่งทหารไปช่วยรัสเซียในภูมิภาค Kursk
    การโจมตีเกิดขึ้นช่วงปลายปี 2024
    บริษัทที่ถูกเจาะระบบผลิตโดรนแบบ single-rotor ซึ่งเกาหลีเหนือกำลังพัฒนาอยู่

    https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-hackers-target-european-defense-firms-with-dream-job-scam
    🎯 กลุ่มแฮกเกอร์ Lazarus จากเกาหลีเหนือใช้กลยุทธ์ “DreamJob” หลอกบริษัทโดรนในยุโรป – ขโมยข้อมูล UAV ที่ใช้ในสงครามยูเครน กลุ่ม Lazarus ซึ่งเป็นแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ ได้ใช้กลยุทธ์หลอกลวงผ่าน “DreamJob” เพื่อเจาะระบบบริษัทด้านการผลิตโดรนในยุโรปตะวันออก โดยแสร้งเป็นบริษัทต่างชาติที่เสนองานให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี UAV (Unmanned Aerial Vehicle) ผู้ที่หลงเชื่อจะถูกเชิญให้เข้าร่วมการสัมภาษณ์หลายรอบ และถูกขอให้ดาวน์โหลดไฟล์ PDF หรือโปรแกรมที่แฝงมัลแวร์ ซึ่งจะติดตั้ง Remote Access Trojan (RAT) ชื่อ ScoringMathTea เพื่อให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ เป้าหมายของการโจมตีคือการขโมยข้อมูลการออกแบบและการผลิตโดรนที่ใช้ในสงครามยูเครน ซึ่งเกาหลีเหนือกำลังพัฒนาเทคโนโลยี UAV ของตนเอง และต้องการข้อมูลจากสนามรบจริงเพื่อเร่งการพัฒนา ✅ กลยุทธ์ “DreamJob” ของ Lazarus ➡️ สร้างบริษัทและตำแหน่งงานปลอม ➡️ เชิญเป้าหมายเข้าสัมภาษณ์หลายรอบ ➡️ หลอกให้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แฝงมัลแวร์ ➡️ ติดตั้ง RAT ชื่อ ScoringMathTea เพื่อควบคุมเครื่อง ✅ เป้าหมายของการโจมตี ➡️ บริษัทผลิตโดรนในยุโรปตะวันออก ➡️ ขโมยข้อมูลการออกแบบ UAV ที่ใช้ในสงครามยูเครน ➡️ สนับสนุนการพัฒนาโดรนของเกาหลีเหนือ ➡️ ใช้ข้อมูลจากสนามรบจริงเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยี ✅ ความเชื่อมโยงกับสถานการณ์โลก ➡️ เกาหลีเหนือส่งทหารไปช่วยรัสเซียในภูมิภาค Kursk ➡️ การโจมตีเกิดขึ้นช่วงปลายปี 2024 ➡️ บริษัทที่ถูกเจาะระบบผลิตโดรนแบบ single-rotor ซึ่งเกาหลีเหนือกำลังพัฒนาอยู่ https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-hackers-target-european-defense-firms-with-dream-job-scam
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • HP ต้องถอนอัปเดต OneAgent หลังทำให้เครื่องหลุดจากระบบความปลอดภัยของ Microsoft


    HP เผลอปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์ OneAgent รุ่น 1.2.50.9581 ที่มีสคริปต์ลบไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ 1E Performance Assist โดยตั้งเงื่อนไขให้ลบไฟล์ที่มีคำว่า “1E” ในชื่อ certificate ซึ่งดันไปลบ certificate สำคัญของ Microsoft ที่ชื่อว่า “MS-Organization-Access” ซึ่งจำเป็นต่อการเชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID และ Intune

    ผลคือเครื่องที่ได้รับอัปเดตนี้จะหลุดออกจากระบบ cloud ของ Microsoft โดยไม่รู้ตัว ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถล็อกอินหรือใช้งานระบบองค์กรได้ตามปกติ

    แม้จะมีผลกระทบเฉพาะกับเครื่อง HP AI PC ที่ใช้ certificate ที่มีคำว่า “1E” ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อยกว่า 10% แต่ก็สร้างความเสียหายให้กับองค์กรที่ใช้ระบบ Entra ID อย่างชัดเจน

    HP ได้ถอนอัปเดตนี้ออกแล้ว และกำลังช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ

    เกิดอะไรขึ้น
    HP ปล่อยอัปเดต OneAgent ที่มีสคริปต์ลบ certificate
    ลบ certificate “MS-Organization-Access” ของ Microsoft โดยไม่ตั้งใจ
    ทำให้เครื่องหลุดจากระบบ Entra ID และ Intune
    ผู้ใช้ไม่สามารถล็อกอินหรือใช้งานระบบองค์กรได้

    ผลกระทบ
    กระทบเฉพาะ HP AI PC ที่มี certificate “1E”
    โอกาสเกิดน้อยกว่า 10% แต่ส่งผลรุนแรง
    เครื่องหลุดจาก cloud โดยไม่มีการแจ้งเตือน

    การตอบสนองของ HP
    ถอนอัปเดตออกจากระบบแล้ว
    ช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ
    ยืนยันว่าอัปเดตนี้จะไม่ถูกปล่อยอีก

    https://www.techradar.com/pro/security/hp-forced-to-pull-software-update-which-broke-microsoft-security-tools
    🛠️ HP ต้องถอนอัปเดต OneAgent หลังทำให้เครื่องหลุดจากระบบความปลอดภัยของ Microsoft HP เผลอปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์ OneAgent รุ่น 1.2.50.9581 ที่มีสคริปต์ลบไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ 1E Performance Assist โดยตั้งเงื่อนไขให้ลบไฟล์ที่มีคำว่า “1E” ในชื่อ certificate ซึ่งดันไปลบ certificate สำคัญของ Microsoft ที่ชื่อว่า “MS-Organization-Access” ซึ่งจำเป็นต่อการเชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID และ Intune ผลคือเครื่องที่ได้รับอัปเดตนี้จะหลุดออกจากระบบ cloud ของ Microsoft โดยไม่รู้ตัว ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถล็อกอินหรือใช้งานระบบองค์กรได้ตามปกติ แม้จะมีผลกระทบเฉพาะกับเครื่อง HP AI PC ที่ใช้ certificate ที่มีคำว่า “1E” ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อยกว่า 10% แต่ก็สร้างความเสียหายให้กับองค์กรที่ใช้ระบบ Entra ID อย่างชัดเจน HP ได้ถอนอัปเดตนี้ออกแล้ว และกำลังช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ ✅ เกิดอะไรขึ้น ➡️ HP ปล่อยอัปเดต OneAgent ที่มีสคริปต์ลบ certificate ➡️ ลบ certificate “MS-Organization-Access” ของ Microsoft โดยไม่ตั้งใจ ➡️ ทำให้เครื่องหลุดจากระบบ Entra ID และ Intune ➡️ ผู้ใช้ไม่สามารถล็อกอินหรือใช้งานระบบองค์กรได้ ✅ ผลกระทบ ➡️ กระทบเฉพาะ HP AI PC ที่มี certificate “1E” ➡️ โอกาสเกิดน้อยกว่า 10% แต่ส่งผลรุนแรง ➡️ เครื่องหลุดจาก cloud โดยไม่มีการแจ้งเตือน ✅ การตอบสนองของ HP ➡️ ถอนอัปเดตออกจากระบบแล้ว ➡️ ช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ยืนยันว่าอัปเดตนี้จะไม่ถูกปล่อยอีก https://www.techradar.com/pro/security/hp-forced-to-pull-software-update-which-broke-microsoft-security-tools
    WWW.TECHRADAR.COM
    HP forced to pull software update which broke Microsoft security tools
    An update made the trust between Windows and Entra ID "disappear"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • OCCT v15 เพิ่มฟีเจอร์ตรวจจับเสียง Coil Whine โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน – เปลี่ยนเสียงรบกวนให้กลายเป็นเครื่องมือวิเคราะห์

    OCCT โปรแกรม stress test ยอดนิยมสำหรับพีซี ได้เปิดตัวเวอร์ชัน 15 พร้อมฟีเจอร์ใหม่สุดอัจฉริยะที่ช่วยตรวจจับเสียง “coil whine” โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟนเลย ฟีเจอร์นี้ใช้เทคนิคการโหลดระบบด้วย “สามเสียงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า” เพื่อเปลี่ยนเสียงรบกวนจากอุปกรณ์ให้กลายเป็นเสียงที่มีรูปแบบเฉพาะ ทำให้ผู้ใช้สามารถแยกแยะได้ง่ายว่าเสียงนั้นมาจากส่วนไหนของเครื่อง เช่น การ์ดจอ เมนบอร์ด หรือ PSU

    Coil whine (เสียงคอยล์หวีด) คือเสียงแหลมสูงหรือเสียงฮัมที่เกิดจากการสั่นของขดลวด (coil) หรือชิ้นส่วนตัวเหนี่ยวนำ (inductor) ภายในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การ์ดจอ เมนบอร์ด หรือแหล่งจ่ายไฟ (PSU) เมื่อมี กระแสไฟฟ้าความถี่สูง ไหลผ่าน

    ฟีเจอร์นี้เหมาะมากสำหรับผู้ที่ใช้งานในพื้นที่เสียงรบกวนสูง เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ หรือออฟฟิศที่มีหลายเครื่อง เพราะเสียง coil whine จะถูก “ดึงออกมา” ให้เด่นชัดขึ้นจากเสียงแวดล้อม

    ฟีเจอร์ใหม่ใน OCCT v15
    ตรวจจับเสียง coil whine โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน
    ใช้การโหลดระบบด้วยเสียงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
    เปลี่ยนเสียงรบกวนให้กลายเป็นเสียงที่มีรูปแบบเฉพาะ
    ช่วยให้แยกแยะแหล่งที่มาของเสียงได้ง่ายขึ้น

    เหมาะกับสถานการณ์แบบไหน
    พื้นที่เสียงรบกวนสูง เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่หรือออฟฟิศ
    ผู้ใช้ที่ไม่สามารถใช้ไมโครโฟนได้
    ช่วยตรวจสอบว่าเสียงที่ได้ยินเป็น coil whine หรือปัญหาอื่น

    ความรู้เกี่ยวกับ coil whine
    เกิดจากการสั่นของขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อมีไฟฟ้าไหลผ่าน
    มักเกิดในอุปกรณ์ที่มีการโหลดไฟสูง เช่น GPU, PSU, เมนบอร์ด
    เสียงอาจเปลี่ยนไปตามระดับการโหลด เช่น เล่นเกมที่ FPS สูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/occt-version-15-adds-coil-whine-detection-that-doesnt-require-a-microphone-popular-stress-tester-gets-genius-new-feature-to-silence-your-pc
    🔧 OCCT v15 เพิ่มฟีเจอร์ตรวจจับเสียง Coil Whine โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน – เปลี่ยนเสียงรบกวนให้กลายเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ OCCT โปรแกรม stress test ยอดนิยมสำหรับพีซี ได้เปิดตัวเวอร์ชัน 15 พร้อมฟีเจอร์ใหม่สุดอัจฉริยะที่ช่วยตรวจจับเสียง “coil whine” โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟนเลย ฟีเจอร์นี้ใช้เทคนิคการโหลดระบบด้วย “สามเสียงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า” เพื่อเปลี่ยนเสียงรบกวนจากอุปกรณ์ให้กลายเป็นเสียงที่มีรูปแบบเฉพาะ ทำให้ผู้ใช้สามารถแยกแยะได้ง่ายว่าเสียงนั้นมาจากส่วนไหนของเครื่อง เช่น การ์ดจอ เมนบอร์ด หรือ PSU Coil whine (เสียงคอยล์หวีด) คือเสียงแหลมสูงหรือเสียงฮัมที่เกิดจากการสั่นของขดลวด (coil) หรือชิ้นส่วนตัวเหนี่ยวนำ (inductor) ภายในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การ์ดจอ เมนบอร์ด หรือแหล่งจ่ายไฟ (PSU) เมื่อมี กระแสไฟฟ้าความถี่สูง ไหลผ่าน ฟีเจอร์นี้เหมาะมากสำหรับผู้ที่ใช้งานในพื้นที่เสียงรบกวนสูง เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ หรือออฟฟิศที่มีหลายเครื่อง เพราะเสียง coil whine จะถูก “ดึงออกมา” ให้เด่นชัดขึ้นจากเสียงแวดล้อม ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน OCCT v15 ➡️ ตรวจจับเสียง coil whine โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน ➡️ ใช้การโหลดระบบด้วยเสียงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ➡️ เปลี่ยนเสียงรบกวนให้กลายเป็นเสียงที่มีรูปแบบเฉพาะ ➡️ ช่วยให้แยกแยะแหล่งที่มาของเสียงได้ง่ายขึ้น ✅ เหมาะกับสถานการณ์แบบไหน ➡️ พื้นที่เสียงรบกวนสูง เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่หรือออฟฟิศ ➡️ ผู้ใช้ที่ไม่สามารถใช้ไมโครโฟนได้ ➡️ ช่วยตรวจสอบว่าเสียงที่ได้ยินเป็น coil whine หรือปัญหาอื่น ✅ ความรู้เกี่ยวกับ coil whine ➡️ เกิดจากการสั่นของขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อมีไฟฟ้าไหลผ่าน ➡️ มักเกิดในอุปกรณ์ที่มีการโหลดไฟสูง เช่น GPU, PSU, เมนบอร์ด ➡️ เสียงอาจเปลี่ยนไปตามระดับการโหลด เช่น เล่นเกมที่ FPS สูง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/occt-version-15-adds-coil-whine-detection-that-doesnt-require-a-microphone-popular-stress-tester-gets-genius-new-feature-to-silence-your-pc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง สันดาน
    “สันดาน”

    (1)

    ผมหายไปจากหน้าจอหลายวันมาก เพราะขี้เกียจดูข่าวและเขียนถึงไอ้นักล่าตอนนี้ บทมันซ้ำจนน่าเบื่อ แถมสะอิดสะเอียน เวลาดูมันพูด เล่นบทเป็นวีรบุรุษ ผู้เสียสละ จำเป็นต้องรักษาสันติสุขของมนุษยชาติ ฯลฯ ขืนดูต่อ ยาแก้คลื่นไส้ก็เอาไม่อยู่ ผมเลยไปค้นหาหนังสือเก่าๆมาอ่านประเทืองปัญญา ดีกว่าดูไอ้นักล่าตอแหล

    ปรากฏว่า อาการผมหนักกว่าคลื่นไส้!

    ผมไปเจอเอกสารเก่า เกือบ 100 ปี “The American and Russian Missions” ปี ค.ศ.1917 เป็นเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ อเมริกัน ที่เรียกว่า Foreign Relations of the United States (FRUS) ทนไม่ไหว ต้องเอามาเล่าสู่กันฟัง ถ้าไม่บอกว่า คนเขียนเอกสาร เขียนเมื่อไหร่ ท่านผู้อ่านอาจนึกว่าเป็นเรื่องในสมัยปัจจุบัน ผ่านมาเกือบ 100 ปี มันก็ยังใช้วิธีเดิมๆ ตามสันดาน…

    ปี ค.ศ.1917 ตามวิชาประวัติศาสตร์สากล สมัยที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม เขาบอกว่า มีการปฏิวัติเกิดขึ้นในรัสเซีย คือการปฏิวัติอันโด่งดังของพวกบอลเชวิก (Bolsheviks) ที่โค่นพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 นั่นแหละ

    แต่ความจริง ในปี ค.ศ.1917 รัสเซีย มีการปฏิวัติ 2 ครั้ง ครั้งแรก ในเดือนมีนาคม ผู้นำการปฏิวัติ คือ นาย Aleksandr Kerensky ซึ่งยึดอำนาจจากพระเจ้าซาร์ ทำให้พระเจ้าซาร์ประกาศสละบัลลังก์ แต่ต่อมาพวกปฏิวัติก็จับท่านและราชวงค์ไปกักขัง ส่วนพวก Bolsheviks มาทำการปฏิวัติซ้ำในพฤศจิกายน ค.ศ.1917 ไล่คณะ นาย Kerensky ออกไป แล้วพวก Bolsheviks ก็ปกครองรัสเซียต่อ

    ในตอนที่ นาย Kerensky ทำการปฏิวัตินั้น สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ ปี ค.ศ.1914 กำลังโซ้ยกันอย่างดุเดือด สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ ความจริงเริ่มมาจากชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เป็นฝ่ายกระสัน อยากจะทำสงครามนะครับ เพราะอังกฤษหมั่นไส้ ปนปอดแหกว่า เยอรมันกำลังจะโตใหญ่เกินหน้า ส่วนเรื่องอาชดยุกค์เฟอร์ดินานด์ แห่งปรัสเซียถูกยิง นั่นมันสาเหตุของสงครามโลก ตามประวัติศาสตร์หลักสูตรกระทรวงศึกษาฯ ลองไปหาประวัติศาสตร์นอกหลักสูตรมาอ่านกันบ้าง จะได้เห็นโลกกว้าง และลึกขึ้น

    ประมาณปี คศ 1899 เยอรมันส้มหล่นใส่ ไปได้สัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาวประมาณ 2,500 ไมล์ ภาพรางรถไฟวิ่งยาวจาก Berlin ผ่านไปกลางตะวันออกกลาง ที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันไปจนถึง Bagdad เลยไปอีกหน่อย ก็ถึงอ่าวเปอร์เซีย ที่อังกฤษตีตั๋วจองไว้ ภาพนี้มันทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯนอนฝันร้าย ที่นอนเปียกชุ่มทุกคืน ตั้งแต่รู้ข่าว ชาวเกาะฯทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาวางแผนเตะตัดขาเยอรมัน ด้วยการไปชวนพรรคพวกมาร่วมรายการถล่มนักสร้างราง แต่ถ้ามีแค่พวกขาประจำอย่างฝรั่งเศส อืตาลีร่วม ชาวเกาะไม่แน่ใจว่า จะถีบนักสร้างรางให้ตกรางได้ ชาวเกาะเลยไปหลอกรัสเซีย ถึงจะอยู่ใกลหน่อย แต่ข่าวว่ากองทัพอึด ให้มาร่วมรายการถล่มนักสร้างรางด้วยกัน (รายละเอียดอยู่ในนิทาน เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือนก 2 หัว” และ นิทานชุด “เหยื่อ”)

    รัสเซีย จริงๆไม่มีเรื่องชังหน้ากับเยอรมันซักหน่อย แต่พออังกฤษเอาของขวัญมาล่อว่า ถ้าถีบมันตกรางได้ เอาไปเลย อาณาจักรออโตมาน เรายกให้ท่าน ไม่รู้รัสเซียกำลังมึนอะไร เดินหล่นพลั่กลงหลุม ที่ชาวเกาะขุดล่อ ออโตมานก็ไม่ใช่ของชาวเกาะใหญ่ฯ ซะหน่อย เขาเอาของคนอื่นมาล่อ ไปตกลงกับเขาได้ยังไง เนี่ย เหมือนเวลาคนดวงไม่ดี มีดาวประเภท เสาร์ ราหู ทับลัคน์อะไรทำนองนั้น เวลาดาวแรงอย่างนี้ทับลัคน์ อย่าไปเชื่ออะไรใครเขาง่ายๆนะครับ
    เมื่อ นาย Kerensky ทำปฏิวัติรัสเซีย สงครามเล่นไปแล้ว 3 ปี แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิก คนจัดรายการ ออกตั๋วเสริมมาขายเพิ่มอยู่เรื่อย แม้บ้านช่องจะพังพินาศฉิบหายกันเป็นแถบๆ แต่ชาวเกาะก็บอกให้สู้ต่อ ก็บทมันเขียนไว้อย่างนั้น ทีนี้ รัสเซียแนวร่วม ดันมีปฏิวัติ รัฐบาลใหม่จะเล่นสงครามต่อหรือ เปล่า ชาวเกาะชักเหงื่อแตก อเมริกาเด็กเรา (ตอนนั้น ไอ้นักล่ายังเป็นเด็ก อยู่ในอาณัติของอังกฤษ เรื่องมัน 100 ปีมาแล้วนะครับ แต่ผมก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้ ถึงไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ก็อาจจะยังอยู่ ในอาณัติกันเหมือนเดิม) ก็ดันประกาศอยู่นั่นว่า เราเป็นกลาง (ยัง) ไม่เข้ามาช่วยรบ จำเราต้องใช้มันไปสืบความว่า รัสเซียหลังปฏิวัตินี่ จะสู้ต่อ หรือจะฝ่อหนี

    ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ไม้หลักปักเลน จึงจัดคณะละครเร่ ไปเจริญสัมพันธไมตรี ชื่อ The Roots Mission ให้ไปดูลาดเลารัสเซีย หลังปฏิวัติครั้งแรก ว่าหน้าตาเป็นยังไง หล่อเหลา หรือเหลาเหย่ คณะละครเร่เจริญสัมพันธไมตรีที่นำโดย นาย Elihu Roots ซึ่งมีตำแหน่งเป็นอดีตทูต อดีตรัฐมนตรี อดีตอะไรเยอะแยะไปหมด ไปเปิดดูกูเกิลเอาแล้วกันนะครับ น่าเชื่อถือดี แต่คราวนี้ดูเหมือนจะไปทำหน้าที่เล่นละคร และทำหน้าที่นักสืบมากกว่า

    คณะนาย Roots มีด้วยกันกว่าสิบคน มีทั้ง นักการทูต นักธุรกิจ วิศวกร นักหนังสือพิมพ์ นักกิจกรรมสังคม (YMCA) นายทหารบก นายทหารเรือ เบิ้มๆทั้งนั้น มันเป็นคณะที่ต้องไปแสดงละครจริงๆ พวกเขาไปถึง เมือง Petrograd ของรัสเซีย เดือนพฤษภาคม 1917 ใช้เวลาเจริญสัมพันธไมตรีกับคณะปฏิวัติ Kerensky ประมาณ 4 เดือน ไปมันทั่วรัสเซียอันกว้างใหญ่ไพศาล ไปจนถึงไซบีเรียโน่น ต้องยอมรับว่า คณะนี้เขาเล่นละครเก่ง

    คงสงสัยกัน พวก YMCA ( Young Men’s Christain Association) นี่คณะละคร เอาไปทำอะไร ในสมัยนั้น (และสมัยนี้ ?!) เขาใช้ YMCA ทำหน้าที่เหมือน CIA ในคราบทูตวัฒนธรรม ใช้ศาสนา การกีฬา การบรรเทิง บังหน้า เข้าไปคลุกคลี กับชาวบ้าน ชาวเมือง และนักเรียนนักศึกษา มีทั้ง YMCA และ YWCA ของฝ่ายหญิง การจะเอาเจ้าหน้าที่ หน่วยงานราชการทหาร ไปคลุกกับชาวบ้านนี่ บางทีไม่ได้ผล ชาวบ้านไม่เปิดใจ ก็ใช้กิจกรรมนำโดยกลุ่มแบบนี้ สมัยนี้ ก็คงไม่ใช้ YMCA แล้ว เขามาในรูปแบบของกลุ่มอะไร ลองเดาดู

    (2)

    เดือนสิงหาคม คณะละครเร่ แสดงเสร็จ ก็ทำรายงานยาวเหยียด ส่งให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ นาย Robert Lansing พิจารณา
    ผมจะขอยกมาเฉพาะบางส่วน ที่น่าสนใจ แต่จะเอาฉบับเต็มลงให้อ่านกันด้วย เผื่อท่านใดอยากจะตั้งคณะละคร จะได้ใช้เป็นตัวอย่าง

    คณะละครได้ไปพบทั้งพวกทำปฏิวัติ ทหารฝ่ายเก่า ฝ่ายใหม่ ชาวบ้าน ชาววัด ครู นักเรียน พ่อค้า นักธุรกิจ สายลับ ฯลฯ พบมันหมด ไปคุย ไปถาม ไปเสือก ก็เหมือนที่ไอ้บ้าอะไรที่เพิ่ง มาเสือกที่บ้านเรา เมื่อต้นเดือนนี้ละครับ มันคงมาจากคณะละครเดียวกัน รูปแบบ การเจรจา ถึงได้ทำนองเดียวกัน เล่นกันแบบนี้มา 100 ปีแล้ว ยังไม่เลิก

    ข้อสรุปที่คณะละคร ได้จากการสำรวจ คือ ชาวรัสเซีย ถอดใจไม่อยากเล่นสงครามแล้ว ขนมปังก็จะไม่มีกิน บ้านก็พัง จนแทบไม่เหลือที่ให้ซุกหัว จะไปรบทำไมอีก คณะละครอ้างว่า เพราะฝ่ายเยอรมันขนสายลับเข้ามา เต็มเมืองรัสเซีย มากรอกหูชาวรัสเซีย และทหารรัสเซียว่า จะไปรบทำไม คนอยากรบน่ะ คือพระเจ้าซาร์ ตอนนี้ท่านก็ไปแล้ว พี่น้องก็ไม่ต้องไปรบแล้ว กลับบ้านไปทำไร่ทำนาต่อแล้วกัน

    ฝ่ายคณะละครได้ยินเข้าก็ลมแทบใส่ นี่ใกล้จะถึงคิวเราเข้าฉากไปรบต่อ ถ้าไม่มีรัสเซียอยู่แถวหน้าตายก่อน พวกเราก็ ฉ. ห. ละซิ เพราะฉนั้น สิ่งที่ฝ่ายเราต้องทำด่วน (ที่เปิดเผยได้) มี 2 เรื่อง

    เรื่องที่ 1 เราต้องเอาทีมอเมริกัน เข้ามาดูแลเรื่องถนนหนทาง รางรถไฟ ในรัสเซีย เพราะขณะนี้ อาวุธยุทธภัณท์ ที่ฝ่ายเราขนมาให้ ยังกองค้างอยูที่เมืองท่า Vladivostok ประมาณ 700,000 ตัน จะขนผ่านข้ามไป Moscow ยังไม่ได้ เพราะทั้งถนน ทั้งทางรถไฟ รับน้ำหนักไม่ไหว แล้วเมื่อเราจะเข้าทำสงคราม ของมันจะต้องขนมาอีกมากมาย เราจะทำยังไง ต้องแก้ไขเรื่องนี้ด่วนจี๋

    อืม คณะละครนี่ ไม่ใช่ย่อย ไม่ใช่มารำเฉิบๆ อย่างเดียว เขาไปสำรวจหมด ระยะทางรถไฟจาก Vladivostok ถึง Moscow น่ะ ประมาณ 5 ถึง 6,000 ไมล์ เชียวนะ รำไป สำรวจไปนี่ไม่ใช่งานเล็กๆ

    แล้วจำกันได้ไหมครับ เมื่อเขาจะรบกับเวียตนาม เขาใช้บ้านเราเป็นฐานทัพ แต่ก่อนจะยกโขยงกองทัพกันเข้ามา เขาส่งคณะละครเร่แบบนี้ มาสำรวจบ้านเราไม่รู้กี่คณะ สำรวจอะไรไปบ้างก็ไม่รู้ แล้วเขาก็สร้างถนน จากสระบุรี กว้างขวางยาวเรียบไปถึงโคราช ให้เราชาวบ้านดีใจ แหม อเมริกาใจดีจัง ถนนเลยมีชื่อว่า มิตรภาพ เปล่าหรอกครับ เขาเตรียมไว้ขนส่ง อาวุธ ยุทธภัณท์ ที่เขาจะขนมาทางเรือ แต่กลัวมากองเป็นภูเขา อยู่แถวท่าเรือคลองเตย แบบ Vladivostock! มันก็เลย ต้องสร้างถนน สร้างสนามบิน ให้ประเทศไทย ฯลฯ (รายละเอียดมีอยู่ในนิทานเรื่อง “จิกโก๋ปากซอย” ถ้าอยากอ่านประวัติศาสตร์ นอกหลักสูตร กระทรวงศึกษาฯ)

    เรื่องที่ 2 ที่คณะละคร บอกสำคัญอย่างยิ่ง คือ เราต้องย้อมความคิค ย้อมสมองคนรัสเซียให้ “อยากทำสงคราม” ไม่ให้เชื่อฟังเยอรมัน อเมริกาจะทำได้อย่างไร รัสเซียไม่ใช่สมันน้อยนะ คณะละครบอกไม่มีปัญหา คนรัสเซีย ก็เหมือนเด็ก ที่ตัวโตนั่นแหละ
    เอ้า เจ้าหน้าที่รัสเซียที่ตามอ่านนิทาน ช่วยขีดเส้นใต้ 2 เส้น แล้วรายงานส่งคุณพี่ปูตินของผมด้วยนะครับ ว่าอเมริกาพูดแบบนี้ แปลว่าเห็นคนรัสเซียเป็นยังไง (เสี้ยม ซะหน่อย)

    คณะละครเร่ เขียนแผนการฟอกย้อมให้เสร็จ เขาระบุว่า เป้าหมายของแผนคือ:

    “To influence the attitude of the people of Russia for the prosecution of war as the only way of perpetuating their democracy ”

    ใครแปลเก่งๆ ลองแปลดูครับ

    สำหรับผม ผมเข้าใจความว่า เพื่อเป็นการย้อมความคิดของคนรัสเซีย ให้เชื่อว่า การเข้าทำสงคราม เป็นทางเดียวที่จะทำให้ประชาธิปไตยของเขาอยู่อย่างยั่งยืน

    ผมเขียนปูพื้น เล่ามาเสียยืดยาว เพื่อจะให้อ่านประโยคนี้กัน อ่านแล้วโปรดพิเคราะห์กันให้ดีๆ จะได้เห็น “สันดาน” อันอำมหิต ของอเมริกา (และของอังกฤษ) ที่ผ่านมาแล้วเกือบ 100 ปี แล้วก็ยังไม่เปลี่ยน และอีกกี่ร้อยปี ก็คงไม่มีวันเปลี่ยนความอำมหิต นี้ โดยใช้ความตอแหล แบบหน้าด้านๆ อ้างเรื่องประชาธิปไตย แบบตะหวักตะบวย เพื่อประโยชน์ของมัน หรือพวกมันเท่านั้น ใครจะเจ็บ ใครจะตาย ใครจะฉิบหาย ใครจะวิบัติ ขนาดไหน มันไม่สนใจ เลวถึงขนาดนี้ อำมหิต อย่างนี้ ยังมีคนอยากให้อเมริกา ครอบหัวสี่เหลี่ยมต่อไปอีกหรือครับ

    แผนการฟอกย้อม จะใช้วิธีหลักๆ อยู่ 5 อย่าง

    1. จัดกระบวนการ “สร้าง และย้อมข่าว” แล้วกระจายข่าว ที่สร้างและย้อมแล้ว ไปทั่วรัสเซีย โดยจะเอาทีมงานมาจากอเมริกา ทั้งด้านการเขียน และการแปล

    คือเอาช่างชำนาญการย้อมของอเมริกา มาตั้งโรงงานที่รัสเซีย เหมือนที่มีอยู่เกลื่อนในบ้านสมันน้อย ซื้อมันทุกช่อง ครอบมันทุกฉบับ

    2. การใช้เอกสารประเภทแผ่นพับ และใบปลิว เพื่อง่ายแก่การเสพข่าว
    สมัยนี้ก็คงเปลี่ยนเป็น เครื่องมือ ไอ้ป๊อด ไอ้แป้ด ไอ้โฟน โดยเฉพาะ พวกเล่นไลน์นี่เหยื่อชั้นดี ส่งข่าวย้อมอะไรเข้าไปแพลบเดียว กระจายทั่ว เรื่องโกหกทั้งนั้น เสพกันได้แยะและเร็วกว่า

    3. สร้างหนังประเภทต่างๆ เพื่อให้ชาวรัสเซียเสพ เช่น หนังเกี่ยวกับสงคราม หนังชีวิตคนอเมริกันในชนบท ในเมือง หนังเกี่ยวกับการทำอุตสาหกรรม การค้า หนังตลก และที่สำคัญ หนังที่แสดงถึงความรักชาติและการแสวงหาประชาธิปไตย

    ฮอลลีวู้ดรับไป เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นโรงย้อมที่สำคัญหมายเลขหนึ่ง

    4. การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะทำเป็นแผ่นโปสเตอร์สีสวยสดุดตา สื่อหัวข้อที่เหมาะสมกับรัสเซีย โดยให้สำนักงานประชาสัมพันธ์ ฝีมือเยี่ยมของอเมริกา

    รู้ไหมครับ พวกประชาสัมพันธ์เก่งๆ เขาย้อมโลกใบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เขาเอาอะไรมาใส่หัวสมันน้อยบ้าง

    5. วิธีการที่แนบเนียนและใช้แพร่หลาย คือการพูด ซึ่งจำเป็นต้องใช้ นักพูด นักประชาสัมพันธ์ และครู เป็นจำนวนมาก โดยอเมริกาอาจจะเลือกอย่างเหมาะสม จากชาวรัสเซียก็ได้ นักพูดและครูนี้ ถือว่าเป็นเครื่องมือย้อมที่เยี่ยมที่สุด

    วิธีการนี้ บ้านสมันน้อยใช้แยะมาก ยิ่งตอนนี้ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของบ้านเมือง ช่างย้อมถูกจ้างมาทำหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกมาก มาในสาระพัดคราบ หัดสังเกตกันบ้าง ใครของจริง ใครของปลอม ใครช่างย้อมฝีมือเนียน

    เป็นไงครับ 5 วิธีการหลัก ยังอยู่ครบในศตวรรษนี้ แค่เปลี่ยน เสื้อผ้า หน้าผม ถ้อยคำ ท่าทาง ให้เข้ากับสมัย ละครฉากเดิมๆก็ยังใช้ได้ เครื่องมือย้อมก็ยังใช้อยู่ แค่เปลี่ยนรุ่นใหม่ไปเรื่อยๆ เท่านั้น นี่ตกลงเราจะให้เขาเล่นแบบนี้ ไปเรื่อยๆ อีก 100 ปีหรือไงครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 กพ. 2558

    ####################
    เอกสารประกอบ
    FRUS
    https://www.dropbox.com/s/
    เรื่อง สันดาน “สันดาน” (1) ผมหายไปจากหน้าจอหลายวันมาก เพราะขี้เกียจดูข่าวและเขียนถึงไอ้นักล่าตอนนี้ บทมันซ้ำจนน่าเบื่อ แถมสะอิดสะเอียน เวลาดูมันพูด เล่นบทเป็นวีรบุรุษ ผู้เสียสละ จำเป็นต้องรักษาสันติสุขของมนุษยชาติ ฯลฯ ขืนดูต่อ ยาแก้คลื่นไส้ก็เอาไม่อยู่ ผมเลยไปค้นหาหนังสือเก่าๆมาอ่านประเทืองปัญญา ดีกว่าดูไอ้นักล่าตอแหล ปรากฏว่า อาการผมหนักกว่าคลื่นไส้! ผมไปเจอเอกสารเก่า เกือบ 100 ปี “The American and Russian Missions” ปี ค.ศ.1917 เป็นเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ อเมริกัน ที่เรียกว่า Foreign Relations of the United States (FRUS) ทนไม่ไหว ต้องเอามาเล่าสู่กันฟัง ถ้าไม่บอกว่า คนเขียนเอกสาร เขียนเมื่อไหร่ ท่านผู้อ่านอาจนึกว่าเป็นเรื่องในสมัยปัจจุบัน ผ่านมาเกือบ 100 ปี มันก็ยังใช้วิธีเดิมๆ ตามสันดาน… ปี ค.ศ.1917 ตามวิชาประวัติศาสตร์สากล สมัยที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม เขาบอกว่า มีการปฏิวัติเกิดขึ้นในรัสเซีย คือการปฏิวัติอันโด่งดังของพวกบอลเชวิก (Bolsheviks) ที่โค่นพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 นั่นแหละ แต่ความจริง ในปี ค.ศ.1917 รัสเซีย มีการปฏิวัติ 2 ครั้ง ครั้งแรก ในเดือนมีนาคม ผู้นำการปฏิวัติ คือ นาย Aleksandr Kerensky ซึ่งยึดอำนาจจากพระเจ้าซาร์ ทำให้พระเจ้าซาร์ประกาศสละบัลลังก์ แต่ต่อมาพวกปฏิวัติก็จับท่านและราชวงค์ไปกักขัง ส่วนพวก Bolsheviks มาทำการปฏิวัติซ้ำในพฤศจิกายน ค.ศ.1917 ไล่คณะ นาย Kerensky ออกไป แล้วพวก Bolsheviks ก็ปกครองรัสเซียต่อ ในตอนที่ นาย Kerensky ทำการปฏิวัตินั้น สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ ปี ค.ศ.1914 กำลังโซ้ยกันอย่างดุเดือด สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ ความจริงเริ่มมาจากชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เป็นฝ่ายกระสัน อยากจะทำสงครามนะครับ เพราะอังกฤษหมั่นไส้ ปนปอดแหกว่า เยอรมันกำลังจะโตใหญ่เกินหน้า ส่วนเรื่องอาชดยุกค์เฟอร์ดินานด์ แห่งปรัสเซียถูกยิง นั่นมันสาเหตุของสงครามโลก ตามประวัติศาสตร์หลักสูตรกระทรวงศึกษาฯ ลองไปหาประวัติศาสตร์นอกหลักสูตรมาอ่านกันบ้าง จะได้เห็นโลกกว้าง และลึกขึ้น ประมาณปี คศ 1899 เยอรมันส้มหล่นใส่ ไปได้สัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาวประมาณ 2,500 ไมล์ ภาพรางรถไฟวิ่งยาวจาก Berlin ผ่านไปกลางตะวันออกกลาง ที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันไปจนถึง Bagdad เลยไปอีกหน่อย ก็ถึงอ่าวเปอร์เซีย ที่อังกฤษตีตั๋วจองไว้ ภาพนี้มันทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯนอนฝันร้าย ที่นอนเปียกชุ่มทุกคืน ตั้งแต่รู้ข่าว ชาวเกาะฯทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาวางแผนเตะตัดขาเยอรมัน ด้วยการไปชวนพรรคพวกมาร่วมรายการถล่มนักสร้างราง แต่ถ้ามีแค่พวกขาประจำอย่างฝรั่งเศส อืตาลีร่วม ชาวเกาะไม่แน่ใจว่า จะถีบนักสร้างรางให้ตกรางได้ ชาวเกาะเลยไปหลอกรัสเซีย ถึงจะอยู่ใกลหน่อย แต่ข่าวว่ากองทัพอึด ให้มาร่วมรายการถล่มนักสร้างรางด้วยกัน (รายละเอียดอยู่ในนิทาน เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือนก 2 หัว” และ นิทานชุด “เหยื่อ”) รัสเซีย จริงๆไม่มีเรื่องชังหน้ากับเยอรมันซักหน่อย แต่พออังกฤษเอาของขวัญมาล่อว่า ถ้าถีบมันตกรางได้ เอาไปเลย อาณาจักรออโตมาน เรายกให้ท่าน ไม่รู้รัสเซียกำลังมึนอะไร เดินหล่นพลั่กลงหลุม ที่ชาวเกาะขุดล่อ ออโตมานก็ไม่ใช่ของชาวเกาะใหญ่ฯ ซะหน่อย เขาเอาของคนอื่นมาล่อ ไปตกลงกับเขาได้ยังไง เนี่ย เหมือนเวลาคนดวงไม่ดี มีดาวประเภท เสาร์ ราหู ทับลัคน์อะไรทำนองนั้น เวลาดาวแรงอย่างนี้ทับลัคน์ อย่าไปเชื่ออะไรใครเขาง่ายๆนะครับ เมื่อ นาย Kerensky ทำปฏิวัติรัสเซีย สงครามเล่นไปแล้ว 3 ปี แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิก คนจัดรายการ ออกตั๋วเสริมมาขายเพิ่มอยู่เรื่อย แม้บ้านช่องจะพังพินาศฉิบหายกันเป็นแถบๆ แต่ชาวเกาะก็บอกให้สู้ต่อ ก็บทมันเขียนไว้อย่างนั้น ทีนี้ รัสเซียแนวร่วม ดันมีปฏิวัติ รัฐบาลใหม่จะเล่นสงครามต่อหรือ เปล่า ชาวเกาะชักเหงื่อแตก อเมริกาเด็กเรา (ตอนนั้น ไอ้นักล่ายังเป็นเด็ก อยู่ในอาณัติของอังกฤษ เรื่องมัน 100 ปีมาแล้วนะครับ แต่ผมก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้ ถึงไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ก็อาจจะยังอยู่ ในอาณัติกันเหมือนเดิม) ก็ดันประกาศอยู่นั่นว่า เราเป็นกลาง (ยัง) ไม่เข้ามาช่วยรบ จำเราต้องใช้มันไปสืบความว่า รัสเซียหลังปฏิวัตินี่ จะสู้ต่อ หรือจะฝ่อหนี ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ไม้หลักปักเลน จึงจัดคณะละครเร่ ไปเจริญสัมพันธไมตรี ชื่อ The Roots Mission ให้ไปดูลาดเลารัสเซีย หลังปฏิวัติครั้งแรก ว่าหน้าตาเป็นยังไง หล่อเหลา หรือเหลาเหย่ คณะละครเร่เจริญสัมพันธไมตรีที่นำโดย นาย Elihu Roots ซึ่งมีตำแหน่งเป็นอดีตทูต อดีตรัฐมนตรี อดีตอะไรเยอะแยะไปหมด ไปเปิดดูกูเกิลเอาแล้วกันนะครับ น่าเชื่อถือดี แต่คราวนี้ดูเหมือนจะไปทำหน้าที่เล่นละคร และทำหน้าที่นักสืบมากกว่า คณะนาย Roots มีด้วยกันกว่าสิบคน มีทั้ง นักการทูต นักธุรกิจ วิศวกร นักหนังสือพิมพ์ นักกิจกรรมสังคม (YMCA) นายทหารบก นายทหารเรือ เบิ้มๆทั้งนั้น มันเป็นคณะที่ต้องไปแสดงละครจริงๆ พวกเขาไปถึง เมือง Petrograd ของรัสเซีย เดือนพฤษภาคม 1917 ใช้เวลาเจริญสัมพันธไมตรีกับคณะปฏิวัติ Kerensky ประมาณ 4 เดือน ไปมันทั่วรัสเซียอันกว้างใหญ่ไพศาล ไปจนถึงไซบีเรียโน่น ต้องยอมรับว่า คณะนี้เขาเล่นละครเก่ง คงสงสัยกัน พวก YMCA ( Young Men’s Christain Association) นี่คณะละคร เอาไปทำอะไร ในสมัยนั้น (และสมัยนี้ ?!) เขาใช้ YMCA ทำหน้าที่เหมือน CIA ในคราบทูตวัฒนธรรม ใช้ศาสนา การกีฬา การบรรเทิง บังหน้า เข้าไปคลุกคลี กับชาวบ้าน ชาวเมือง และนักเรียนนักศึกษา มีทั้ง YMCA และ YWCA ของฝ่ายหญิง การจะเอาเจ้าหน้าที่ หน่วยงานราชการทหาร ไปคลุกกับชาวบ้านนี่ บางทีไม่ได้ผล ชาวบ้านไม่เปิดใจ ก็ใช้กิจกรรมนำโดยกลุ่มแบบนี้ สมัยนี้ ก็คงไม่ใช้ YMCA แล้ว เขามาในรูปแบบของกลุ่มอะไร ลองเดาดู (2) เดือนสิงหาคม คณะละครเร่ แสดงเสร็จ ก็ทำรายงานยาวเหยียด ส่งให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ นาย Robert Lansing พิจารณา ผมจะขอยกมาเฉพาะบางส่วน ที่น่าสนใจ แต่จะเอาฉบับเต็มลงให้อ่านกันด้วย เผื่อท่านใดอยากจะตั้งคณะละคร จะได้ใช้เป็นตัวอย่าง คณะละครได้ไปพบทั้งพวกทำปฏิวัติ ทหารฝ่ายเก่า ฝ่ายใหม่ ชาวบ้าน ชาววัด ครู นักเรียน พ่อค้า นักธุรกิจ สายลับ ฯลฯ พบมันหมด ไปคุย ไปถาม ไปเสือก ก็เหมือนที่ไอ้บ้าอะไรที่เพิ่ง มาเสือกที่บ้านเรา เมื่อต้นเดือนนี้ละครับ มันคงมาจากคณะละครเดียวกัน รูปแบบ การเจรจา ถึงได้ทำนองเดียวกัน เล่นกันแบบนี้มา 100 ปีแล้ว ยังไม่เลิก ข้อสรุปที่คณะละคร ได้จากการสำรวจ คือ ชาวรัสเซีย ถอดใจไม่อยากเล่นสงครามแล้ว ขนมปังก็จะไม่มีกิน บ้านก็พัง จนแทบไม่เหลือที่ให้ซุกหัว จะไปรบทำไมอีก คณะละครอ้างว่า เพราะฝ่ายเยอรมันขนสายลับเข้ามา เต็มเมืองรัสเซีย มากรอกหูชาวรัสเซีย และทหารรัสเซียว่า จะไปรบทำไม คนอยากรบน่ะ คือพระเจ้าซาร์ ตอนนี้ท่านก็ไปแล้ว พี่น้องก็ไม่ต้องไปรบแล้ว กลับบ้านไปทำไร่ทำนาต่อแล้วกัน ฝ่ายคณะละครได้ยินเข้าก็ลมแทบใส่ นี่ใกล้จะถึงคิวเราเข้าฉากไปรบต่อ ถ้าไม่มีรัสเซียอยู่แถวหน้าตายก่อน พวกเราก็ ฉ. ห. ละซิ เพราะฉนั้น สิ่งที่ฝ่ายเราต้องทำด่วน (ที่เปิดเผยได้) มี 2 เรื่อง เรื่องที่ 1 เราต้องเอาทีมอเมริกัน เข้ามาดูแลเรื่องถนนหนทาง รางรถไฟ ในรัสเซีย เพราะขณะนี้ อาวุธยุทธภัณท์ ที่ฝ่ายเราขนมาให้ ยังกองค้างอยูที่เมืองท่า Vladivostok ประมาณ 700,000 ตัน จะขนผ่านข้ามไป Moscow ยังไม่ได้ เพราะทั้งถนน ทั้งทางรถไฟ รับน้ำหนักไม่ไหว แล้วเมื่อเราจะเข้าทำสงคราม ของมันจะต้องขนมาอีกมากมาย เราจะทำยังไง ต้องแก้ไขเรื่องนี้ด่วนจี๋ อืม คณะละครนี่ ไม่ใช่ย่อย ไม่ใช่มารำเฉิบๆ อย่างเดียว เขาไปสำรวจหมด ระยะทางรถไฟจาก Vladivostok ถึง Moscow น่ะ ประมาณ 5 ถึง 6,000 ไมล์ เชียวนะ รำไป สำรวจไปนี่ไม่ใช่งานเล็กๆ แล้วจำกันได้ไหมครับ เมื่อเขาจะรบกับเวียตนาม เขาใช้บ้านเราเป็นฐานทัพ แต่ก่อนจะยกโขยงกองทัพกันเข้ามา เขาส่งคณะละครเร่แบบนี้ มาสำรวจบ้านเราไม่รู้กี่คณะ สำรวจอะไรไปบ้างก็ไม่รู้ แล้วเขาก็สร้างถนน จากสระบุรี กว้างขวางยาวเรียบไปถึงโคราช ให้เราชาวบ้านดีใจ แหม อเมริกาใจดีจัง ถนนเลยมีชื่อว่า มิตรภาพ เปล่าหรอกครับ เขาเตรียมไว้ขนส่ง อาวุธ ยุทธภัณท์ ที่เขาจะขนมาทางเรือ แต่กลัวมากองเป็นภูเขา อยู่แถวท่าเรือคลองเตย แบบ Vladivostock! มันก็เลย ต้องสร้างถนน สร้างสนามบิน ให้ประเทศไทย ฯลฯ (รายละเอียดมีอยู่ในนิทานเรื่อง “จิกโก๋ปากซอย” ถ้าอยากอ่านประวัติศาสตร์ นอกหลักสูตร กระทรวงศึกษาฯ) เรื่องที่ 2 ที่คณะละคร บอกสำคัญอย่างยิ่ง คือ เราต้องย้อมความคิค ย้อมสมองคนรัสเซียให้ “อยากทำสงคราม” ไม่ให้เชื่อฟังเยอรมัน อเมริกาจะทำได้อย่างไร รัสเซียไม่ใช่สมันน้อยนะ คณะละครบอกไม่มีปัญหา คนรัสเซีย ก็เหมือนเด็ก ที่ตัวโตนั่นแหละ เอ้า เจ้าหน้าที่รัสเซียที่ตามอ่านนิทาน ช่วยขีดเส้นใต้ 2 เส้น แล้วรายงานส่งคุณพี่ปูตินของผมด้วยนะครับ ว่าอเมริกาพูดแบบนี้ แปลว่าเห็นคนรัสเซียเป็นยังไง (เสี้ยม ซะหน่อย) คณะละครเร่ เขียนแผนการฟอกย้อมให้เสร็จ เขาระบุว่า เป้าหมายของแผนคือ: “To influence the attitude of the people of Russia for the prosecution of war as the only way of perpetuating their democracy ” ใครแปลเก่งๆ ลองแปลดูครับ สำหรับผม ผมเข้าใจความว่า เพื่อเป็นการย้อมความคิดของคนรัสเซีย ให้เชื่อว่า การเข้าทำสงคราม เป็นทางเดียวที่จะทำให้ประชาธิปไตยของเขาอยู่อย่างยั่งยืน ผมเขียนปูพื้น เล่ามาเสียยืดยาว เพื่อจะให้อ่านประโยคนี้กัน อ่านแล้วโปรดพิเคราะห์กันให้ดีๆ จะได้เห็น “สันดาน” อันอำมหิต ของอเมริกา (และของอังกฤษ) ที่ผ่านมาแล้วเกือบ 100 ปี แล้วก็ยังไม่เปลี่ยน และอีกกี่ร้อยปี ก็คงไม่มีวันเปลี่ยนความอำมหิต นี้ โดยใช้ความตอแหล แบบหน้าด้านๆ อ้างเรื่องประชาธิปไตย แบบตะหวักตะบวย เพื่อประโยชน์ของมัน หรือพวกมันเท่านั้น ใครจะเจ็บ ใครจะตาย ใครจะฉิบหาย ใครจะวิบัติ ขนาดไหน มันไม่สนใจ เลวถึงขนาดนี้ อำมหิต อย่างนี้ ยังมีคนอยากให้อเมริกา ครอบหัวสี่เหลี่ยมต่อไปอีกหรือครับ แผนการฟอกย้อม จะใช้วิธีหลักๆ อยู่ 5 อย่าง 1. จัดกระบวนการ “สร้าง และย้อมข่าว” แล้วกระจายข่าว ที่สร้างและย้อมแล้ว ไปทั่วรัสเซีย โดยจะเอาทีมงานมาจากอเมริกา ทั้งด้านการเขียน และการแปล คือเอาช่างชำนาญการย้อมของอเมริกา มาตั้งโรงงานที่รัสเซีย เหมือนที่มีอยู่เกลื่อนในบ้านสมันน้อย ซื้อมันทุกช่อง ครอบมันทุกฉบับ 2. การใช้เอกสารประเภทแผ่นพับ และใบปลิว เพื่อง่ายแก่การเสพข่าว สมัยนี้ก็คงเปลี่ยนเป็น เครื่องมือ ไอ้ป๊อด ไอ้แป้ด ไอ้โฟน โดยเฉพาะ พวกเล่นไลน์นี่เหยื่อชั้นดี ส่งข่าวย้อมอะไรเข้าไปแพลบเดียว กระจายทั่ว เรื่องโกหกทั้งนั้น เสพกันได้แยะและเร็วกว่า 3. สร้างหนังประเภทต่างๆ เพื่อให้ชาวรัสเซียเสพ เช่น หนังเกี่ยวกับสงคราม หนังชีวิตคนอเมริกันในชนบท ในเมือง หนังเกี่ยวกับการทำอุตสาหกรรม การค้า หนังตลก และที่สำคัญ หนังที่แสดงถึงความรักชาติและการแสวงหาประชาธิปไตย ฮอลลีวู้ดรับไป เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นโรงย้อมที่สำคัญหมายเลขหนึ่ง 4. การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะทำเป็นแผ่นโปสเตอร์สีสวยสดุดตา สื่อหัวข้อที่เหมาะสมกับรัสเซีย โดยให้สำนักงานประชาสัมพันธ์ ฝีมือเยี่ยมของอเมริกา รู้ไหมครับ พวกประชาสัมพันธ์เก่งๆ เขาย้อมโลกใบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เขาเอาอะไรมาใส่หัวสมันน้อยบ้าง 5. วิธีการที่แนบเนียนและใช้แพร่หลาย คือการพูด ซึ่งจำเป็นต้องใช้ นักพูด นักประชาสัมพันธ์ และครู เป็นจำนวนมาก โดยอเมริกาอาจจะเลือกอย่างเหมาะสม จากชาวรัสเซียก็ได้ นักพูดและครูนี้ ถือว่าเป็นเครื่องมือย้อมที่เยี่ยมที่สุด วิธีการนี้ บ้านสมันน้อยใช้แยะมาก ยิ่งตอนนี้ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของบ้านเมือง ช่างย้อมถูกจ้างมาทำหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกมาก มาในสาระพัดคราบ หัดสังเกตกันบ้าง ใครของจริง ใครของปลอม ใครช่างย้อมฝีมือเนียน เป็นไงครับ 5 วิธีการหลัก ยังอยู่ครบในศตวรรษนี้ แค่เปลี่ยน เสื้อผ้า หน้าผม ถ้อยคำ ท่าทาง ให้เข้ากับสมัย ละครฉากเดิมๆก็ยังใช้ได้ เครื่องมือย้อมก็ยังใช้อยู่ แค่เปลี่ยนรุ่นใหม่ไปเรื่อยๆ เท่านั้น นี่ตกลงเราจะให้เขาเล่นแบบนี้ ไปเรื่อยๆ อีก 100 ปีหรือไงครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 กพ. 2558 #################### เอกสารประกอบ FRUS https://www.dropbox.com/s/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี ปี2505
    หลวงพ่อขอม เนื้อดิน วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี ปี2505 // พระดีพิธีใหญ่ (หลวงพ่อกวย ปลุกเสก) //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //

    ** พุทธคุณด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง คงกระพันชาตรี และโชคลาภ ประสบความสำเร็จในด้านการค้าและการเงิน **

    ** หลวงพ่อขอม ท่านมักได้รับนิมนต์ไปร่วมพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกในงาน พุทธาภิเษกตามวัดต่างๆ จนนับครั้งไม่ถ้วน พระเครื่องและวัตถุมงคลที่หลวงพ่อขอมสร้าง มีมากมายหลายแบบหลายพิมพ์ ทั้งแบบพิมพ์รูปตัวท่าน พิมพ์พระพุทธโคดม พิมพ์พระสมเด็จ เป็นต้น **

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    โทรศัพท์ 0881915131
    LINE 0881915131
    หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี ปี2505 หลวงพ่อขอม เนื้อดิน วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี ปี2505 // พระดีพิธีใหญ่ (หลวงพ่อกวย ปลุกเสก) //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ // ** พุทธคุณด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง คงกระพันชาตรี และโชคลาภ ประสบความสำเร็จในด้านการค้าและการเงิน ** ** หลวงพ่อขอม ท่านมักได้รับนิมนต์ไปร่วมพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกในงาน พุทธาภิเษกตามวัดต่างๆ จนนับครั้งไม่ถ้วน พระเครื่องและวัตถุมงคลที่หลวงพ่อขอมสร้าง มีมากมายหลายแบบหลายพิมพ์ ทั้งแบบพิมพ์รูปตัวท่าน พิมพ์พระพุทธโคดม พิมพ์พระสมเด็จ เป็นต้น ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ โทรศัพท์ 0881915131 LINE 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • Audio-Technica เปิดตัว ATH-ADX7000 – หูฟังระดับออดิโอไฟล์รุ่นใหม่ พร้อมไดรเวอร์ 58 มม. และดีไซน์แม่นยำขั้นสุด

    Audio-Technica แบรนด์เครื่องเสียงชื่อดังจากญี่ปุ่นเปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่ ATH-ADX7000 ซึ่งเป็นหูฟังแบบ open-back ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ฟังระดับออดิโอไฟล์โดยเฉพาะ จุดเด่นของรุ่นนี้คือการใช้ไดรเวอร์ HXDT ขนาดใหญ่ถึง 58 มม. ที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เสียงมีความชัดเจน ละเอียด และเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่เคยมีมา

    ตัวไดรเวอร์ถูกติดตั้งด้วยเทคโนโลยี Core Mount ที่วาง voice coil ไว้ตรงกลางของ housing เพื่อให้ตำแหน่งเสียงแม่นยำสูงสุด โครงสร้างของหูฟังใช้วัสดุอลูมิเนียมแบบรังผึ้งและแมกนีเซียมอัลลอยด์ ทำให้มีน้ำหนักเบาเพียง 270 กรัม และช่วยลดการสั่นสะเทือนที่ไม่พึงประสงค์

    ATH-ADX7000 มาพร้อมสายถอดได้ 2 แบบ ได้แก่ สาย balanced แบบ 4-pin XLRM และสาย unbalanced แบบ 6.3 มม. พร้อมกล่องแข็งสำหรับพกพา โดยจะวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม ในราคา $3,499 (ประมาณ 126,000 บาท)

    จุดเด่นของ ATH-ADX7000
    ใช้ไดรเวอร์ HXDT ขนาด 58 มม. ที่พัฒนาขึ้นใหม่
    ติดตั้งด้วยเทคโนโลยี Core Mount เพื่อความแม่นยำของเสียง
    โครงสร้างอลูมิเนียมรังผึ้งและแมกนีเซียมอัลลอยด์ น้ำหนักเบาเพียง 270 กรัม
    มาพร้อมสายถอดได้ 2 แบบ: balanced และ unbalanced
    รวมกล่องแข็งสำหรับพกพา และมีหมายเลขซีเรียลเฉพาะแต่ละตัว

    การออกแบบเพื่อคุณภาพเสียงสูงสุด
    ดีไซน์ open-back เพื่อความโปร่งของเสียง
    วัสดุช่วยลดการสั่นสะเทือนและเพิ่มความบริสุทธิ์ของเสียง
    รองรับการใช้งานกับแอมป์ระดับสูงสำหรับผู้ฟังออดิโอไฟล์

    การวางจำหน่าย
    เริ่มวางขายวันที่ 31 ตุลาคม
    ราคา $3,499 หรือประมาณ 126,000 บาท
    ถือเป็นหูฟังระดับไฮเอนด์ที่เหนือกว่าหูฟังทั่วไปในตลาด

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ราคาสูงมาก เหมาะเฉพาะผู้ใช้งานระดับออดิโอไฟล์จริงจัง
    ต้องใช้แอมป์คุณภาพสูงเพื่อดึงศักยภาพของหูฟังออกมาเต็มที่
    ดีไซน์ open-back ไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่สาธารณะหรือเสียงรบกวนเยอะ
    น้ำหนักเบาแต่ยังต้องพิจารณาความสบายในการใช้งานระยะยาว

    https://www.techradar.com/televisions/japanese-hi-fi-great-audio-technica-just-launched-a-pair-of-hardcore-audiophile-headphones-with-a-new-driver-and-ultra-precise-audio-design
    🎧 Audio-Technica เปิดตัว ATH-ADX7000 – หูฟังระดับออดิโอไฟล์รุ่นใหม่ พร้อมไดรเวอร์ 58 มม. และดีไซน์แม่นยำขั้นสุด Audio-Technica แบรนด์เครื่องเสียงชื่อดังจากญี่ปุ่นเปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่ ATH-ADX7000 ซึ่งเป็นหูฟังแบบ open-back ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ฟังระดับออดิโอไฟล์โดยเฉพาะ จุดเด่นของรุ่นนี้คือการใช้ไดรเวอร์ HXDT ขนาดใหญ่ถึง 58 มม. ที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เสียงมีความชัดเจน ละเอียด และเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตัวไดรเวอร์ถูกติดตั้งด้วยเทคโนโลยี Core Mount ที่วาง voice coil ไว้ตรงกลางของ housing เพื่อให้ตำแหน่งเสียงแม่นยำสูงสุด โครงสร้างของหูฟังใช้วัสดุอลูมิเนียมแบบรังผึ้งและแมกนีเซียมอัลลอยด์ ทำให้มีน้ำหนักเบาเพียง 270 กรัม และช่วยลดการสั่นสะเทือนที่ไม่พึงประสงค์ ATH-ADX7000 มาพร้อมสายถอดได้ 2 แบบ ได้แก่ สาย balanced แบบ 4-pin XLRM และสาย unbalanced แบบ 6.3 มม. พร้อมกล่องแข็งสำหรับพกพา โดยจะวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม ในราคา $3,499 (ประมาณ 126,000 บาท) ✅ จุดเด่นของ ATH-ADX7000 ➡️ ใช้ไดรเวอร์ HXDT ขนาด 58 มม. ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ➡️ ติดตั้งด้วยเทคโนโลยี Core Mount เพื่อความแม่นยำของเสียง ➡️ โครงสร้างอลูมิเนียมรังผึ้งและแมกนีเซียมอัลลอยด์ น้ำหนักเบาเพียง 270 กรัม ➡️ มาพร้อมสายถอดได้ 2 แบบ: balanced และ unbalanced ➡️ รวมกล่องแข็งสำหรับพกพา และมีหมายเลขซีเรียลเฉพาะแต่ละตัว ✅ การออกแบบเพื่อคุณภาพเสียงสูงสุด ➡️ ดีไซน์ open-back เพื่อความโปร่งของเสียง ➡️ วัสดุช่วยลดการสั่นสะเทือนและเพิ่มความบริสุทธิ์ของเสียง ➡️ รองรับการใช้งานกับแอมป์ระดับสูงสำหรับผู้ฟังออดิโอไฟล์ ✅ การวางจำหน่าย ➡️ เริ่มวางขายวันที่ 31 ตุลาคม ➡️ ราคา $3,499 หรือประมาณ 126,000 บาท ➡️ ถือเป็นหูฟังระดับไฮเอนด์ที่เหนือกว่าหูฟังทั่วไปในตลาด ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ราคาสูงมาก เหมาะเฉพาะผู้ใช้งานระดับออดิโอไฟล์จริงจัง ⛔ ต้องใช้แอมป์คุณภาพสูงเพื่อดึงศักยภาพของหูฟังออกมาเต็มที่ ⛔ ดีไซน์ open-back ไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่สาธารณะหรือเสียงรบกวนเยอะ ⛔ น้ำหนักเบาแต่ยังต้องพิจารณาความสบายในการใช้งานระยะยาว https://www.techradar.com/televisions/japanese-hi-fi-great-audio-technica-just-launched-a-pair-of-hardcore-audiophile-headphones-with-a-new-driver-and-ultra-precise-audio-design
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google Earth AI อัปเกรดใหม่ – ใช้พลัง Gemini วิเคราะห์ภัยพิบัติและปัญหาสภาพอากาศล่วงหน้า

    Google Earth AI ได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่ โดยนำเทคโนโลยี Gemini AI เข้ามาเสริมความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ เพื่อช่วยให้องค์กร เมือง และหน่วยงานไม่แสวงหากำไรสามารถรับมือกับภัยพิบัติและปัญหาสภาพอากาศได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

    ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งคำถามกับระบบ AI เพื่อดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น พยากรณ์อากาศ แผนที่ประชากร และภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อคาดการณ์จุดเสี่ยง เช่น พื้นที่น้ำท่วมจากพายุ หรือจุดที่อาจเกิดฝุ่นพิษจากแม่น้ำที่แห้งเหือด นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับการเกิดสาหร่ายพิษในแหล่งน้ำเพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้าได้

    Earth AI ยังรองรับการเชื่อมโยงโมเดลหลายตัวเข้าด้วยกันเพื่อวิเคราะห์คำถามที่ซับซ้อน และเปิดให้หน่วยงานที่สนใจสมัครเป็น “Trusted Testers” ผ่าน Google Cloud เพื่อเข้าถึงโมเดลภาพถ่าย ประชากร และสิ่งแวดล้อม พร้อมเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง

    การอัปเกรดนี้เกิดขึ้นหลังจาก Earth AI เคยช่วยแจ้งเตือนประชาชนกว่า 15 ล้านคนในเหตุไฟป่าแคลิฟอร์เนียปี 2025 โดยใช้ข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อช่วยหาที่หลบภัย ถือเป็นตัวอย่างของการใช้ AI เพื่อช่วยชีวิตและเพิ่มความปลอดภัยในระดับมหภาค

    การอัปเกรด Google Earth AI
    ใช้ Gemini AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ
    รองรับการตั้งคำถามและเชื่อมโยงโมเดลหลายตัว
    วิเคราะห์ข้อมูลจากพยากรณ์อากาศ แผนที่ประชากร และภาพดาวเทียม
    คาดการณ์ภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ฝุ่นพิษ สาหร่ายพิษ

    การใช้งานในภาคส่วนต่างๆ
    หน่วยงานสามารถสมัครเป็น Trusted Testers ผ่าน Google Cloud
    ใช้โมเดลภาพถ่าย ประชากร และสิ่งแวดล้อมร่วมกับข้อมูลของตนเอง
    เหมาะสำหรับองค์กรที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    Earth AI เคยแจ้งเตือนประชาชน 15 ล้านคนในเหตุไฟป่าแคลิฟอร์เนีย
    ใช้ข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อช่วยหาที่หลบภัย
    แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการช่วยชีวิต

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การวิเคราะห์ข้อมูลต้องอาศัยความแม่นยำของโมเดลและข้อมูลต้นทาง
    การใช้งานต้องมีความเข้าใจด้านภูมิสารสนเทศและการตั้งคำถามที่เหมาะสม
    หากข้อมูลไม่ครบถ้วน อาจเกิดการคาดการณ์ผิดพลาด
    การเข้าถึงฟีเจอร์บางอย่างอาจจำกัดเฉพาะผู้สมัคร Trusted Testers

    https://www.techradar.com/pro/google-earth-ai-wants-to-help-us-spot-weather-disasters-and-climate-issues-before-they-happen
    🌍 Google Earth AI อัปเกรดใหม่ – ใช้พลัง Gemini วิเคราะห์ภัยพิบัติและปัญหาสภาพอากาศล่วงหน้า Google Earth AI ได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่ โดยนำเทคโนโลยี Gemini AI เข้ามาเสริมความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ เพื่อช่วยให้องค์กร เมือง และหน่วยงานไม่แสวงหากำไรสามารถรับมือกับภัยพิบัติและปัญหาสภาพอากาศได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งคำถามกับระบบ AI เพื่อดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น พยากรณ์อากาศ แผนที่ประชากร และภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อคาดการณ์จุดเสี่ยง เช่น พื้นที่น้ำท่วมจากพายุ หรือจุดที่อาจเกิดฝุ่นพิษจากแม่น้ำที่แห้งเหือด นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับการเกิดสาหร่ายพิษในแหล่งน้ำเพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ Earth AI ยังรองรับการเชื่อมโยงโมเดลหลายตัวเข้าด้วยกันเพื่อวิเคราะห์คำถามที่ซับซ้อน และเปิดให้หน่วยงานที่สนใจสมัครเป็น “Trusted Testers” ผ่าน Google Cloud เพื่อเข้าถึงโมเดลภาพถ่าย ประชากร และสิ่งแวดล้อม พร้อมเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง การอัปเกรดนี้เกิดขึ้นหลังจาก Earth AI เคยช่วยแจ้งเตือนประชาชนกว่า 15 ล้านคนในเหตุไฟป่าแคลิฟอร์เนียปี 2025 โดยใช้ข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อช่วยหาที่หลบภัย ถือเป็นตัวอย่างของการใช้ AI เพื่อช่วยชีวิตและเพิ่มความปลอดภัยในระดับมหภาค ✅ การอัปเกรด Google Earth AI ➡️ ใช้ Gemini AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ ➡️ รองรับการตั้งคำถามและเชื่อมโยงโมเดลหลายตัว ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลจากพยากรณ์อากาศ แผนที่ประชากร และภาพดาวเทียม ➡️ คาดการณ์ภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ฝุ่นพิษ สาหร่ายพิษ ✅ การใช้งานในภาคส่วนต่างๆ ➡️ หน่วยงานสามารถสมัครเป็น Trusted Testers ผ่าน Google Cloud ➡️ ใช้โมเดลภาพถ่าย ประชากร และสิ่งแวดล้อมร่วมกับข้อมูลของตนเอง ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ Earth AI เคยแจ้งเตือนประชาชน 15 ล้านคนในเหตุไฟป่าแคลิฟอร์เนีย ➡️ ใช้ข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อช่วยหาที่หลบภัย ➡️ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการช่วยชีวิต ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การวิเคราะห์ข้อมูลต้องอาศัยความแม่นยำของโมเดลและข้อมูลต้นทาง ⛔ การใช้งานต้องมีความเข้าใจด้านภูมิสารสนเทศและการตั้งคำถามที่เหมาะสม ⛔ หากข้อมูลไม่ครบถ้วน อาจเกิดการคาดการณ์ผิดพลาด ⛔ การเข้าถึงฟีเจอร์บางอย่างอาจจำกัดเฉพาะผู้สมัคร Trusted Testers https://www.techradar.com/pro/google-earth-ai-wants-to-help-us-spot-weather-disasters-and-climate-issues-before-they-happen
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลทรัมป์เตรียมลงทุนในบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้ง – แลกเงินสนับสนุนกับหุ้นบริษัทเอกชน

    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเจรจากับบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งชั้นนำเพื่อแลกเปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act กับหุ้นในบริษัทเหล่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีควอนตัมที่อาจเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมในอนาคต และเพิ่มบทบาทของรัฐบาลในฐานะนักลงทุนโดยตรงในภาคเอกชน

    บริษัทที่อยู่ระหว่างการเจรจา ได้แก่ Atom Computing, D-Wave Quantum, IonQ, Rigetti Computing และ Quantum Computing โดยแต่ละแห่งต้องการเงินสนับสนุนอย่างน้อย 10 ล้านดอลลาร์จากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับหุ้นหรือเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ตอบแทน การลงทุนนี้จะมาจากสำนักงาน Chips Research and Development ซึ่งดูแลงบประมาณจาก CHIPS Act

    การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลได้เปลี่ยนเงินสนับสนุนมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ให้กลายเป็นหุ้น 9.9% ใน Intel และ 15% ใน MP Materials ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่หายากในสหรัฐฯ ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากการให้เงินเปล่าเป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทน

    ควอนตัมคอมพิวติ้งมีศักยภาพในการคำนวณที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยเฉพาะในด้านการค้นคว้ายาและวัสดุใหม่ๆ ซึ่งทำให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก รัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องการเร่งผลักดันให้บริษัทในประเทศเติบโตและแข่งขันได้

    แผนการลงทุนของรัฐบาลสหรัฐฯ
    เจรจากับบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งเพื่อแลกเงินสนับสนุนกับหุ้น
    บริษัทที่เข้าร่วม ได้แก่ Atom Computing, D-Wave Quantum, IonQ, Rigetti Computing และ Quantum Computing
    เงินสนับสนุนมาจาก CHIPS Act ผ่านสำนักงาน Chips R&D
    เปลี่ยนบทบาทรัฐบาลจากผู้ให้เงินสนับสนุนเป็นนักลงทุนโดยตรง

    ตัวอย่างการลงทุนที่ผ่านมา
    รัฐบาลถือหุ้น 9.9% ใน Intel จากเงินสนับสนุน 9 พันล้านดอลลาร์
    Pentagon ถือหุ้น 15% ใน MP Materials ผู้ผลิตแร่หายาก

    ความสำคัญของควอนตัมคอมพิวติ้ง
    มีศักยภาพในการคำนวณที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    ส่งผลต่อการค้นคว้ายา วัสดุ และอุตสาหกรรมอื่นๆ
    เป็นสนามแข่งขันระดับโลกด้านเทคโนโลยี

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่พิสูจน์อาจมีความเสี่ยงสูง
    หากบริษัทไม่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลอาจสูญเสียเงินลงทุน
    การแทรกแซงของรัฐบาลในภาคเอกชนอาจกระทบต่อกลไกตลาด
    การแข่งขันกับประเทศอื่นในด้านควอนตัมอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเทคโนโลยี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/trump-administration-to-follow-up-intel-stake-with-investment-in-quantum-computing-report-claims-tens-of-millions-of-chips-act-dollars-could-be-paid-out-to-leading-companies-in-exchange-for-equity
    🇺🇸 รัฐบาลทรัมป์เตรียมลงทุนในบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้ง – แลกเงินสนับสนุนกับหุ้นบริษัทเอกชน รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเจรจากับบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งชั้นนำเพื่อแลกเปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act กับหุ้นในบริษัทเหล่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีควอนตัมที่อาจเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมในอนาคต และเพิ่มบทบาทของรัฐบาลในฐานะนักลงทุนโดยตรงในภาคเอกชน บริษัทที่อยู่ระหว่างการเจรจา ได้แก่ Atom Computing, D-Wave Quantum, IonQ, Rigetti Computing และ Quantum Computing โดยแต่ละแห่งต้องการเงินสนับสนุนอย่างน้อย 10 ล้านดอลลาร์จากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับหุ้นหรือเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ตอบแทน การลงทุนนี้จะมาจากสำนักงาน Chips Research and Development ซึ่งดูแลงบประมาณจาก CHIPS Act การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลได้เปลี่ยนเงินสนับสนุนมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ให้กลายเป็นหุ้น 9.9% ใน Intel และ 15% ใน MP Materials ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่หายากในสหรัฐฯ ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากการให้เงินเปล่าเป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทน ควอนตัมคอมพิวติ้งมีศักยภาพในการคำนวณที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยเฉพาะในด้านการค้นคว้ายาและวัสดุใหม่ๆ ซึ่งทำให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก รัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องการเร่งผลักดันให้บริษัทในประเทศเติบโตและแข่งขันได้ ✅ แผนการลงทุนของรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ เจรจากับบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งเพื่อแลกเงินสนับสนุนกับหุ้น ➡️ บริษัทที่เข้าร่วม ได้แก่ Atom Computing, D-Wave Quantum, IonQ, Rigetti Computing และ Quantum Computing ➡️ เงินสนับสนุนมาจาก CHIPS Act ผ่านสำนักงาน Chips R&D ➡️ เปลี่ยนบทบาทรัฐบาลจากผู้ให้เงินสนับสนุนเป็นนักลงทุนโดยตรง ✅ ตัวอย่างการลงทุนที่ผ่านมา ➡️ รัฐบาลถือหุ้น 9.9% ใน Intel จากเงินสนับสนุน 9 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Pentagon ถือหุ้น 15% ใน MP Materials ผู้ผลิตแร่หายาก ✅ ความสำคัญของควอนตัมคอมพิวติ้ง ➡️ มีศักยภาพในการคำนวณที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ➡️ ส่งผลต่อการค้นคว้ายา วัสดุ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ➡️ เป็นสนามแข่งขันระดับโลกด้านเทคโนโลยี ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่พิสูจน์อาจมีความเสี่ยงสูง ⛔ หากบริษัทไม่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลอาจสูญเสียเงินลงทุน ⛔ การแทรกแซงของรัฐบาลในภาคเอกชนอาจกระทบต่อกลไกตลาด ⛔ การแข่งขันกับประเทศอื่นในด้านควอนตัมอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเทคโนโลยี https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/trump-administration-to-follow-up-intel-stake-with-investment-in-quantum-computing-report-claims-tens-of-millions-of-chips-act-dollars-could-be-paid-out-to-leading-companies-in-exchange-for-equity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามค้นหายุคใหม่: AI กำลังเปลี่ยนโฉมการท่องเว็บ และท้าทายอำนาจของ Google

    ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นผู้ช่วยประจำตัวของผู้คนทั่วโลก การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บทความจาก The Star เผยว่า “การค้นหาออนไลน์” กำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ที่พยายามเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเข้าถึงข้อมูล และท้าทายอำนาจของ Google Chrome ที่ครองตลาดมากกว่า 70%

    บริษัทอย่าง OpenAI, Microsoft, Perplexity และ Dia ต่างเปิดตัว “เบราว์เซอร์ AI” ที่สามารถค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ และดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องพิมพ์คำค้นหาแบบเดิมอีกต่อไป เช่น Atlas ของ OpenAI สามารถสร้างรายการซื้อของตามเมนูและจำนวนแขกได้ทันทีจากคำสั่งเดียว

    แม้ Google จะมีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search ที่ใช้ reasoning และ multimodal แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น “agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ

    1️⃣ การเปลี่ยนแปลงของการค้นหาออนไลน์
    แนวโน้มใหม่
    เบราว์เซอร์ AI สามารถค้นหาและดำเนินการแทนผู้ใช้ได้
    ไม่ใช่แค่ตอบคำถาม แต่สามารถจัดการงาน เช่น จองร้านอาหารหรือวางแผนการเดินทาง
    เปลี่ยนจาก “search engine” เป็น “action engine”

    คำเตือน
    ผู้ใช้อาจพึ่งพา AI มากเกินไปโดยไม่ตรวจสอบข้อมูล
    ความผิดพลาดจาก AI อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง

    2️⃣ ผู้เล่นหลักในสมรภูมิ AI Search
    เบราว์เซอร์ AI ที่เปิดตัวแล้ว
    Atlas จาก OpenAI
    Comet จาก Perplexity
    Copilot-enabled Edge จาก Microsoft
    Dia และ Neon จากผู้พัฒนารายใหม่

    คำเตือน
    บางเบราว์เซอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย
    การรวบรวมข้อมูลผู้ใช้เพื่อปรับปรุง AI อาจกระทบความเป็นส่วนตัว

    3️⃣ จุดแข็งและจุดอ่อนของ Google
    จุดแข็งของ Google
    Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์มากกว่า 70%
    Google Search ยังเป็นเครื่องมือหลักในการค้นหาข้อมูล
    มีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search

    จุดอ่อนที่ถูกท้าทาย
    ยังไม่เข้าสู่ระดับ “agentic AI” ที่ทำงานแทนผู้ใช้ได้
    คู่แข่งสามารถรวบรวมข้อมูลจากการใช้งาน AI เพื่อพัฒนาโมเดลได้เร็วกว่า

    4️⃣ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    มุมมองจากนักวิเคราะห์
    Avi Greengart: “AI acting in the browser makes sense เพราะแอปส่วนใหญ่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์อยู่แล้ว”
    Evan Schlossman: “AI กำลังควบคุมอินเทอร์เฟซของผู้ใช้ เพื่อ streamline ประสบการณ์”
    Thomas Thiele: “การรวมข้อมูลจาก ChatGPT และ Atlas อาจสร้าง Google ใหม่”

    คำเตือน
    การควบคุมอินเทอร์เฟซโดย AI อาจทำให้ผู้ใช้เสียอำนาจในการเลือก
    การรวบรวมข้อมูลมากเกินไปอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/online-search-a-battleground-for-ai-titans
    🔍 สงครามค้นหายุคใหม่: AI กำลังเปลี่ยนโฉมการท่องเว็บ และท้าทายอำนาจของ Google ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นผู้ช่วยประจำตัวของผู้คนทั่วโลก การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บทความจาก The Star เผยว่า “การค้นหาออนไลน์” กำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ที่พยายามเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเข้าถึงข้อมูล และท้าทายอำนาจของ Google Chrome ที่ครองตลาดมากกว่า 70% บริษัทอย่าง OpenAI, Microsoft, Perplexity และ Dia ต่างเปิดตัว “เบราว์เซอร์ AI” ที่สามารถค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ และดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องพิมพ์คำค้นหาแบบเดิมอีกต่อไป เช่น Atlas ของ OpenAI สามารถสร้างรายการซื้อของตามเมนูและจำนวนแขกได้ทันทีจากคำสั่งเดียว แม้ Google จะมีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search ที่ใช้ reasoning และ multimodal แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น “agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบ 🔍 สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ 1️⃣ การเปลี่ยนแปลงของการค้นหาออนไลน์ ✅ แนวโน้มใหม่ ➡️ เบราว์เซอร์ AI สามารถค้นหาและดำเนินการแทนผู้ใช้ได้ ➡️ ไม่ใช่แค่ตอบคำถาม แต่สามารถจัดการงาน เช่น จองร้านอาหารหรือวางแผนการเดินทาง ➡️ เปลี่ยนจาก “search engine” เป็น “action engine” ‼️ คำเตือน ⛔ ผู้ใช้อาจพึ่งพา AI มากเกินไปโดยไม่ตรวจสอบข้อมูล ⛔ ความผิดพลาดจาก AI อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง 2️⃣ ผู้เล่นหลักในสมรภูมิ AI Search ✅ เบราว์เซอร์ AI ที่เปิดตัวแล้ว ➡️ Atlas จาก OpenAI ➡️ Comet จาก Perplexity ➡️ Copilot-enabled Edge จาก Microsoft ➡️ Dia และ Neon จากผู้พัฒนารายใหม่ ‼️ คำเตือน ⛔ บางเบราว์เซอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ⛔ การรวบรวมข้อมูลผู้ใช้เพื่อปรับปรุง AI อาจกระทบความเป็นส่วนตัว 3️⃣ จุดแข็งและจุดอ่อนของ Google ✅ จุดแข็งของ Google ➡️ Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์มากกว่า 70% ➡️ Google Search ยังเป็นเครื่องมือหลักในการค้นหาข้อมูล ➡️ มีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search ‼️ จุดอ่อนที่ถูกท้าทาย ⛔ ยังไม่เข้าสู่ระดับ “agentic AI” ที่ทำงานแทนผู้ใช้ได้ ⛔ คู่แข่งสามารถรวบรวมข้อมูลจากการใช้งาน AI เพื่อพัฒนาโมเดลได้เร็วกว่า 4️⃣ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ✅ มุมมองจากนักวิเคราะห์ ➡️ Avi Greengart: “AI acting in the browser makes sense เพราะแอปส่วนใหญ่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์อยู่แล้ว” ➡️ Evan Schlossman: “AI กำลังควบคุมอินเทอร์เฟซของผู้ใช้ เพื่อ streamline ประสบการณ์” ➡️ Thomas Thiele: “การรวมข้อมูลจาก ChatGPT และ Atlas อาจสร้าง Google ใหม่” ‼️ คำเตือน ⛔ การควบคุมอินเทอร์เฟซโดย AI อาจทำให้ผู้ใช้เสียอำนาจในการเลือก ⛔ การรวบรวมข้อมูลมากเกินไปอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/online-search-a-battleground-for-ai-titans
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Online search a battleground for AI titans
    Tech firms battling for supremacy in artificial intelligence are out to transform how people search the web, challenging the dominance of the Chrome browser at the heart of Google's empire.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI กับสิ่งแวดล้อม: ใช้พลังงานมหาศาล แต่ก็ช่วยโลกได้ใน 5 วิธี

    แม้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะถูกวิจารณ์ว่าใช้พลังงานและน้ำมหาศาล โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลที่รองรับการประมวลผลขั้นสูง แต่บทความจาก The Star ชี้ให้เห็นว่า AI ก็สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดมลพิษและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในหลายภาคส่วนได้เช่นกัน

    นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญเสนอ 5 วิธีที่ AI สามารถช่วยสิ่งแวดล้อมได้ ตั้งแต่การจัดการพลังงานในอาคาร ไปจนถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตน้ำมันและการจราจร

    สรุป 5 วิธีที่ AI ช่วยสิ่งแวดล้อม

    1️⃣ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร
    วิธีการทำงาน
    AI ปรับแสงสว่าง อุณหภูมิ และการระบายอากาศตามสภาพอากาศและการใช้งานจริง
    คาดว่าช่วยลดการใช้พลังงานในอาคารได้ 10–30%
    ระบบอัตโนมัติช่วยลดการเปิดแอร์หรือฮีตเตอร์เกินความจำเป็น

    คำเตือน
    หากระบบ AI ขัดข้อง อาจทำให้การควบคุมอุณหภูมิผิดพลาด
    ต้องมีการบำรุงรักษาเซ็นเซอร์และระบบควบคุมอย่างสม่ำเสมอ

    2️⃣ จัดการการชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
    วิธีการทำงาน
    AI กำหนดเวลาชาร์จ EV และสมาร์ตโฟนให้เหมาะกับช่วงที่ไฟฟ้าถูกและสะอาด
    ลดการใช้ไฟฟ้าช่วงพีค และลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล

    คำเตือน
    ต้องมีการเชื่อมต่อกับระบบ grid และข้อมูลราคาพลังงานแบบเรียลไทม์
    หากข้อมูลไม่แม่นยำ อาจชาร์จผิดเวลาและเพิ่มค่าไฟ

    3️⃣ ลดมลพิษจากการผลิตน้ำมันและก๊าซ
    วิธีการทำงาน
    AI วิเคราะห์กระบวนการผลิตเพื่อหาจุดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด
    ช่วยปรับปรุงกระบวนการให้ปล่อยก๊าซน้อยลง
    ใช้ machine learning เพื่อคาดการณ์และป้องกันการรั่วไหล

    คำเตือน
    ข้อมูลจากอุตสาหกรรมอาจไม่เปิดเผยทั้งหมด ทำให้ AI วิเคราะห์ไม่ครบ
    การพึ่งพา AI โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์อาจเสี่ยงต่อความผิดพลาด

    4️⃣ ควบคุมสัญญาณไฟจราจรเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
    วิธีการทำงาน
    AI วิเคราะห์การจราจรแบบเรียลไทม์เพื่อปรับสัญญาณไฟให้รถติดน้อยลง
    ลดการจอดรอและการเร่งเครื่องที่สิ้นเปลืองพลังงาน
    ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากรถยนต์ในเมืองใหญ่

    คำเตือน
    ต้องมีระบบกล้องและเซ็นเซอร์ที่ครอบคลุมทั่วเมือง
    หากระบบล่ม อาจทำให้การจราจรแย่ลงกว่าเดิม

    5️⃣ ตรวจสอบและซ่อมบำรุงระบบ HVAC และอุปกรณ์อื่นๆ
    วิธีการทำงาน
    AI ตรวจจับความผิดปกติในระบบก่อนเกิดความเสียหาย
    ช่วยลดการใช้พลังงานจากอุปกรณ์ที่ทำงานผิดปกติ
    ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมระยะยาว

    คำเตือน
    ต้องมีการติดตั้งเซ็นเซอร์และระบบวิเคราะห์ที่แม่นยำ
    หากไม่ calibrate ระบบอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิด false alarm หรือพลาดการแจ้งเตือนจริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/ai-can-help-the-environment-even-though-it-uses-tremendous-energy-here-are-5-ways-how
    🌱 AI กับสิ่งแวดล้อม: ใช้พลังงานมหาศาล แต่ก็ช่วยโลกได้ใน 5 วิธี แม้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะถูกวิจารณ์ว่าใช้พลังงานและน้ำมหาศาล โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลที่รองรับการประมวลผลขั้นสูง แต่บทความจาก The Star ชี้ให้เห็นว่า AI ก็สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดมลพิษและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในหลายภาคส่วนได้เช่นกัน นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญเสนอ 5 วิธีที่ AI สามารถช่วยสิ่งแวดล้อมได้ ตั้งแต่การจัดการพลังงานในอาคาร ไปจนถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตน้ำมันและการจราจร 🔍 สรุป 5 วิธีที่ AI ช่วยสิ่งแวดล้อม 1️⃣ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI ปรับแสงสว่าง อุณหภูมิ และการระบายอากาศตามสภาพอากาศและการใช้งานจริง ➡️ คาดว่าช่วยลดการใช้พลังงานในอาคารได้ 10–30% ➡️ ระบบอัตโนมัติช่วยลดการเปิดแอร์หรือฮีตเตอร์เกินความจำเป็น ‼️ คำเตือน ⛔ หากระบบ AI ขัดข้อง อาจทำให้การควบคุมอุณหภูมิผิดพลาด ⛔ ต้องมีการบำรุงรักษาเซ็นเซอร์และระบบควบคุมอย่างสม่ำเสมอ 2️⃣ จัดการการชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI กำหนดเวลาชาร์จ EV และสมาร์ตโฟนให้เหมาะกับช่วงที่ไฟฟ้าถูกและสะอาด ➡️ ลดการใช้ไฟฟ้าช่วงพีค และลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีการเชื่อมต่อกับระบบ grid และข้อมูลราคาพลังงานแบบเรียลไทม์ ⛔ หากข้อมูลไม่แม่นยำ อาจชาร์จผิดเวลาและเพิ่มค่าไฟ 3️⃣ ลดมลพิษจากการผลิตน้ำมันและก๊าซ ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI วิเคราะห์กระบวนการผลิตเพื่อหาจุดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ➡️ ช่วยปรับปรุงกระบวนการให้ปล่อยก๊าซน้อยลง ➡️ ใช้ machine learning เพื่อคาดการณ์และป้องกันการรั่วไหล ‼️ คำเตือน ⛔ ข้อมูลจากอุตสาหกรรมอาจไม่เปิดเผยทั้งหมด ทำให้ AI วิเคราะห์ไม่ครบ ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์อาจเสี่ยงต่อความผิดพลาด 4️⃣ ควบคุมสัญญาณไฟจราจรเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI วิเคราะห์การจราจรแบบเรียลไทม์เพื่อปรับสัญญาณไฟให้รถติดน้อยลง ➡️ ลดการจอดรอและการเร่งเครื่องที่สิ้นเปลืองพลังงาน ➡️ ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากรถยนต์ในเมืองใหญ่ ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีระบบกล้องและเซ็นเซอร์ที่ครอบคลุมทั่วเมือง ⛔ หากระบบล่ม อาจทำให้การจราจรแย่ลงกว่าเดิม 5️⃣ ตรวจสอบและซ่อมบำรุงระบบ HVAC และอุปกรณ์อื่นๆ ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI ตรวจจับความผิดปกติในระบบก่อนเกิดความเสียหาย ➡️ ช่วยลดการใช้พลังงานจากอุปกรณ์ที่ทำงานผิดปกติ ➡️ ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมระยะยาว ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีการติดตั้งเซ็นเซอร์และระบบวิเคราะห์ที่แม่นยำ ⛔ หากไม่ calibrate ระบบอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิด false alarm หรือพลาดการแจ้งเตือนจริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/ai-can-help-the-environment-even-though-it-uses-tremendous-energy-here-are-5-ways-how
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI can help the environment, even though it uses tremendous energy. Here are 5 ways how
    Artificial intelligence has caused concern for its tremendous consumptionof water and power. But scientists are also experimenting with ways that AI can help people and businesses use energy more efficiently and pollute less.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • Shadow Escape: ช่องโหว่ใหม่ใน AI Assistant เสี่ยงทำข้อมูลผู้ใช้รั่วไหลมหาศาล

    นักวิจัยจาก Operant AI ได้เปิดเผยการโจมตีแบบใหม่ที่เรียกว่า “Shadow Escape” ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ “zero-click” ที่สามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ผ่าน AI Assistant โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือตอบสนองใดๆ เลย จุดอ่อนนี้เกิดจากการใช้มาตรฐาน Model Context Protocol (MCP) ที่ช่วยให้ AI อย่าง ChatGPT, Gemini และ Claude เชื่อมต่อกับระบบภายในขององค์กร เช่น ฐานข้อมูลหรือ API ต่างๆ

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Shadow Escape สามารถซ่อนคำสั่งอันตรายไว้ในไฟล์ธรรมดา เช่น คู่มือพนักงานหรือ PDF ที่ดูไม่มีพิษภัย เมื่อพนักงานอัปโหลดไฟล์เหล่านี้ให้ AI ช่วยสรุปหรือวิเคราะห์ คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะสั่งให้ AI ดึงข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เช่น หมายเลขประกันสังคม (SSN), ข้อมูลการเงิน, หรือเวชระเบียน แล้วส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ไม่หวังดี โดยที่ระบบความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ เพราะการเข้าถึงข้อมูลเกิดขึ้นภายในระบบที่ได้รับอนุญาตอยู่แล้ว

    1️⃣ ลักษณะของการโจมตี
    จุดเริ่มต้นของการโจมตี
    ใช้ไฟล์ธรรมดา เช่น PDF หรือเอกสาร Word ที่ฝังคำสั่งลับ
    พนักงานอัปโหลดไฟล์ให้ AI ช่วยสรุปหรือวิเคราะห์
    คำสั่งลับจะสั่งให้ AI ดึงข้อมูลจากระบบภายใน

    จุดอ่อนที่ถูกใช้
    มาตรฐาน Model Context Protocol (MCP) ที่เชื่อม AI กับระบบองค์กร
    การตั้งค่า permission ของ MCP ที่ไม่รัดกุม
    AI มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลโดยตรง จึงไม่ถูกระบบรักษาความปลอดภัยภายนอกตรวจจับ

    2️⃣ ข้อมูลที่ตกอยู่ในความเสี่ยง
    ประเภทของข้อมูลที่อาจรั่วไหล
    หมายเลขประกันสังคม (SSN)
    ข้อมูลบัตรเครดิตและบัญชีธนาคาร
    เวชระเบียนและข้อมูลสุขภาพ
    ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า

    คำเตือน
    การรั่วไหลอาจเกิดขึ้นโดยที่พนักงานไม่รู้ตัว
    ข้อมูลอาจถูกส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่มีการแจ้งเตือน

    3️⃣ ทำไมระบบความปลอดภัยทั่วไปจึงไม่สามารถป้องกันได้
    ลักษณะของการโจมตีแบบ “zero-click”
    ไม่ต้องการให้ผู้ใช้คลิกลิงก์หรือทำอะไร
    ใช้ AI ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลเป็นเครื่องมือในการขโมยข้อมูล
    การส่งข้อมูลออกถูกพรางให้ดูเหมือนเป็นการทำงานปกติของระบบ

    คำเตือน
    ระบบ firewall และระบบตรวจจับภัยคุกคามทั่วไปไม่สามารถแยกแยะพฤติกรรมนี้ได้
    การใช้ AI โดยไม่มีการควบคุมสิทธิ์อย่างเข้มงวด อาจกลายเป็นช่องโหว่ร้ายแรง

    4️⃣ ข้อเสนอแนะจากนักวิจัย
    แนวทางป้องกัน
    ตรวจสอบและจำกัดสิทธิ์ของ AI Assistant ในการเข้าถึงข้อมูล
    ปรับแต่ง permission ของ MCP ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง
    ตรวจสอบไฟล์ที่อัปโหลดเข้าระบบอย่างละเอียดก่อนให้ AI ประมวลผล

    คำเตือน
    องค์กรที่ใช้ AI Assistant โดยไม่ตรวจสอบการตั้งค่า MCP อาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
    การละเลยการ audit ระบบ AI อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลระดับ “หลายล้านล้านรายการ”

    https://hackread.com/shadow-escape-0-click-attack-ai-assistants-risk/
    🕵️‍♂️ Shadow Escape: ช่องโหว่ใหม่ใน AI Assistant เสี่ยงทำข้อมูลผู้ใช้รั่วไหลมหาศาล นักวิจัยจาก Operant AI ได้เปิดเผยการโจมตีแบบใหม่ที่เรียกว่า “Shadow Escape” ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ “zero-click” ที่สามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ผ่าน AI Assistant โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือตอบสนองใดๆ เลย จุดอ่อนนี้เกิดจากการใช้มาตรฐาน Model Context Protocol (MCP) ที่ช่วยให้ AI อย่าง ChatGPT, Gemini และ Claude เชื่อมต่อกับระบบภายในขององค์กร เช่น ฐานข้อมูลหรือ API ต่างๆ สิ่งที่น่ากังวลคือ Shadow Escape สามารถซ่อนคำสั่งอันตรายไว้ในไฟล์ธรรมดา เช่น คู่มือพนักงานหรือ PDF ที่ดูไม่มีพิษภัย เมื่อพนักงานอัปโหลดไฟล์เหล่านี้ให้ AI ช่วยสรุปหรือวิเคราะห์ คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะสั่งให้ AI ดึงข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เช่น หมายเลขประกันสังคม (SSN), ข้อมูลการเงิน, หรือเวชระเบียน แล้วส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ไม่หวังดี โดยที่ระบบความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ เพราะการเข้าถึงข้อมูลเกิดขึ้นภายในระบบที่ได้รับอนุญาตอยู่แล้ว 1️⃣ ลักษณะของการโจมตี ✅ จุดเริ่มต้นของการโจมตี ➡️ ใช้ไฟล์ธรรมดา เช่น PDF หรือเอกสาร Word ที่ฝังคำสั่งลับ ➡️ พนักงานอัปโหลดไฟล์ให้ AI ช่วยสรุปหรือวิเคราะห์ ➡️ คำสั่งลับจะสั่งให้ AI ดึงข้อมูลจากระบบภายใน ✅ จุดอ่อนที่ถูกใช้ ➡️ มาตรฐาน Model Context Protocol (MCP) ที่เชื่อม AI กับระบบองค์กร ➡️ การตั้งค่า permission ของ MCP ที่ไม่รัดกุม ➡️ AI มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลโดยตรง จึงไม่ถูกระบบรักษาความปลอดภัยภายนอกตรวจจับ 2️⃣ ข้อมูลที่ตกอยู่ในความเสี่ยง ✅ ประเภทของข้อมูลที่อาจรั่วไหล ➡️ หมายเลขประกันสังคม (SSN) ➡️ ข้อมูลบัตรเครดิตและบัญชีธนาคาร ➡️ เวชระเบียนและข้อมูลสุขภาพ ➡️ ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ‼️ คำเตือน ⛔ การรั่วไหลอาจเกิดขึ้นโดยที่พนักงานไม่รู้ตัว ⛔ ข้อมูลอาจถูกส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่มีการแจ้งเตือน 3️⃣ ทำไมระบบความปลอดภัยทั่วไปจึงไม่สามารถป้องกันได้ ✅ ลักษณะของการโจมตีแบบ “zero-click” ➡️ ไม่ต้องการให้ผู้ใช้คลิกลิงก์หรือทำอะไร ➡️ ใช้ AI ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลเป็นเครื่องมือในการขโมยข้อมูล ➡️ การส่งข้อมูลออกถูกพรางให้ดูเหมือนเป็นการทำงานปกติของระบบ ‼️ คำเตือน ⛔ ระบบ firewall และระบบตรวจจับภัยคุกคามทั่วไปไม่สามารถแยกแยะพฤติกรรมนี้ได้ ⛔ การใช้ AI โดยไม่มีการควบคุมสิทธิ์อย่างเข้มงวด อาจกลายเป็นช่องโหว่ร้ายแรง 4️⃣ ข้อเสนอแนะจากนักวิจัย ✅ แนวทางป้องกัน ➡️ ตรวจสอบและจำกัดสิทธิ์ของ AI Assistant ในการเข้าถึงข้อมูล ➡️ ปรับแต่ง permission ของ MCP ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง ➡️ ตรวจสอบไฟล์ที่อัปโหลดเข้าระบบอย่างละเอียดก่อนให้ AI ประมวลผล ‼️ คำเตือน ⛔ องค์กรที่ใช้ AI Assistant โดยไม่ตรวจสอบการตั้งค่า MCP อาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ⛔ การละเลยการ audit ระบบ AI อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลระดับ “หลายล้านล้านรายการ” https://hackread.com/shadow-escape-0-click-attack-ai-assistants-risk/
    HACKREAD.COM
    Shadow Escape 0-Click Attack in AI Assistants Puts Trillions of Records at Risk
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟีเจอร์ลับบน Android: “App Archiving” ตัวช่วยจัดระเบียบมือถือโดยไม่ต้องลบแอป

    หลายคนมีแอปในมือถือมากมาย ทั้งที่ใช้ทุกวันและแอปที่โหลดมาแล้วแทบไม่ได้แตะ เช่น แอปจองโรงแรม, สแกน QR, หรือแปลภาษา ซึ่งแม้จะไม่ได้ใช้บ่อย แต่ก็ยังจำเป็นในบางช่วงเวลา ปัญหาคือแอปเหล่านี้กินพื้นที่เก็บข้อมูลโดยไม่จำเป็น และการลบออกก็ยุ่งยากเมื่อต้องติดตั้งใหม่

    Android จึงเปิดตัวฟีเจอร์ “App Archiving” ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างชาญฉลาด โดยจะลบเฉพาะส่วนที่ไม่จำเป็นของแอป เช่น ไฟล์ชั่วคราว, สิทธิ์การเข้าถึง และตัวซอฟต์แวร์หลัก แต่ยังเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ครบ ทำให้สามารถเรียกคืนแอปได้ทันทีเมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องตั้งค่าใหม่

    สรุปฟีเจอร์ App Archiving บน Android

    1️⃣ วิธีการทำงานของ App Archiving
    หลักการของฟีเจอร์
    ลบเฉพาะส่วนที่ไม่จำเป็นของแอป เช่น ไฟล์ชั่วคราวและตัวซอฟต์แวร์
    เก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ในเครื่อง เช่น การตั้งค่าและบัญชี
    แอปจะไม่สามารถใช้งานได้ แต่สามารถเรียกคืนได้ทันที

    คำเตือน
    แอปที่ถูก archive จะไม่สามารถเปิดใช้งานได้จนกว่าจะ restore
    หากพื้นที่เก็บข้อมูลเต็ม การ restore จะไม่สำเร็จ

    2️⃣ วิธีเปิดใช้งานแบบอัตโนมัติผ่าน Google Play Store
    ขั้นตอนการตั้งค่า
    เปิด Google Play Store
    แตะไอคอนโปรไฟล์ > Settings
    ขยายแท็บ General แล้วเปิด “Automatically archive apps”
    ระบบจะ archive แอปที่ไม่ค่อยใช้เมื่อพื้นที่ใกล้เต็ม

    คำเตือน
    แอปจะถูก archive โดยอัตโนมัติเมื่อพื้นที่เริ่มเต็ม
    หากไม่ต้องการให้แอปบางตัวถูก archive ต้องตั้งค่าแยก

    3️⃣ วิธี archive แอปแบบแมนนวลผ่าน Settings
    ขั้นตอนการ archive ด้วยตนเอง
    เปิด Settings > Apps
    เลือกแอปที่ต้องการ archive
    กด “Archive” ที่ด้านล่าง
    แอปจะถูกทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ และแสดงเป็นไอคอนจางพร้อมลูกศร

    คำเตือน
    ต้อง archive ทีละแอป ไม่สามารถเลือกหลายแอปพร้อมกันได้
    แอปที่ archive แล้วจะไม่สามารถตั้งค่าหรือเข้าถึงได้จนกว่าจะ restore

    4️⃣ วิธี restore แอปที่ถูก archive
    ขั้นตอนการเรียกคืนแอป
    แตะไอคอนแอปใน app drawer เพื่อ restore
    หรือไปที่ Settings > Apps > [ชื่อแอป] > Restore
    แอปจะถูกดาวน์โหลดใหม่จาก Play Store

    คำเตือน
    ต้องมีอินเทอร์เน็ตเพื่อดาวน์โหลดแอปกลับมา
    หากพื้นที่เต็ม จะไม่สามารถติดตั้งแอปได้

    5️⃣ วิธีปิดการ archive อัตโนมัติสำหรับแอปบางตัว
    ขั้นตอนการยกเว้นแอป
    ไปที่ Settings > Apps
    เลือกแอปที่ต้องการยกเว้น
    ปิด “Manage app if unused”

    คำเตือน
    แอปที่ถูกยกเว้นจะไม่ถูก archive แม้จะไม่ใช้งานนาน
    อาจทำให้พื้นที่เก็บข้อมูลเต็มเร็วขึ้น

    https://www.slashgear.com/2001308/hidden-android-apps-archive-feature-how-use/
    📱 ฟีเจอร์ลับบน Android: “App Archiving” ตัวช่วยจัดระเบียบมือถือโดยไม่ต้องลบแอป หลายคนมีแอปในมือถือมากมาย ทั้งที่ใช้ทุกวันและแอปที่โหลดมาแล้วแทบไม่ได้แตะ เช่น แอปจองโรงแรม, สแกน QR, หรือแปลภาษา ซึ่งแม้จะไม่ได้ใช้บ่อย แต่ก็ยังจำเป็นในบางช่วงเวลา ปัญหาคือแอปเหล่านี้กินพื้นที่เก็บข้อมูลโดยไม่จำเป็น และการลบออกก็ยุ่งยากเมื่อต้องติดตั้งใหม่ Android จึงเปิดตัวฟีเจอร์ “App Archiving” ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างชาญฉลาด โดยจะลบเฉพาะส่วนที่ไม่จำเป็นของแอป เช่น ไฟล์ชั่วคราว, สิทธิ์การเข้าถึง และตัวซอฟต์แวร์หลัก แต่ยังเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ครบ ทำให้สามารถเรียกคืนแอปได้ทันทีเมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องตั้งค่าใหม่ 🔍 สรุปฟีเจอร์ App Archiving บน Android 1️⃣ วิธีการทำงานของ App Archiving ✅ หลักการของฟีเจอร์ ➡️ ลบเฉพาะส่วนที่ไม่จำเป็นของแอป เช่น ไฟล์ชั่วคราวและตัวซอฟต์แวร์ ➡️ เก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ในเครื่อง เช่น การตั้งค่าและบัญชี ➡️ แอปจะไม่สามารถใช้งานได้ แต่สามารถเรียกคืนได้ทันที ‼️ คำเตือน ⛔ แอปที่ถูก archive จะไม่สามารถเปิดใช้งานได้จนกว่าจะ restore ⛔ หากพื้นที่เก็บข้อมูลเต็ม การ restore จะไม่สำเร็จ 2️⃣ วิธีเปิดใช้งานแบบอัตโนมัติผ่าน Google Play Store ✅ ขั้นตอนการตั้งค่า ➡️ เปิด Google Play Store ➡️ แตะไอคอนโปรไฟล์ > Settings ➡️ ขยายแท็บ General แล้วเปิด “Automatically archive apps” ➡️ ระบบจะ archive แอปที่ไม่ค่อยใช้เมื่อพื้นที่ใกล้เต็ม ‼️ คำเตือน ⛔ แอปจะถูก archive โดยอัตโนมัติเมื่อพื้นที่เริ่มเต็ม ⛔ หากไม่ต้องการให้แอปบางตัวถูก archive ต้องตั้งค่าแยก 3️⃣ วิธี archive แอปแบบแมนนวลผ่าน Settings ✅ ขั้นตอนการ archive ด้วยตนเอง ➡️ เปิด Settings > Apps ➡️ เลือกแอปที่ต้องการ archive ➡️ กด “Archive” ที่ด้านล่าง ➡️ แอปจะถูกทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ และแสดงเป็นไอคอนจางพร้อมลูกศร ‼️ คำเตือน ⛔ ต้อง archive ทีละแอป ไม่สามารถเลือกหลายแอปพร้อมกันได้ ⛔ แอปที่ archive แล้วจะไม่สามารถตั้งค่าหรือเข้าถึงได้จนกว่าจะ restore 4️⃣ วิธี restore แอปที่ถูก archive ✅ ขั้นตอนการเรียกคืนแอป ➡️ แตะไอคอนแอปใน app drawer เพื่อ restore ➡️ หรือไปที่ Settings > Apps > [ชื่อแอป] > Restore ➡️ แอปจะถูกดาวน์โหลดใหม่จาก Play Store ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีอินเทอร์เน็ตเพื่อดาวน์โหลดแอปกลับมา ⛔ หากพื้นที่เต็ม จะไม่สามารถติดตั้งแอปได้ 5️⃣ วิธีปิดการ archive อัตโนมัติสำหรับแอปบางตัว ✅ ขั้นตอนการยกเว้นแอป ➡️ ไปที่ Settings > Apps ➡️ เลือกแอปที่ต้องการยกเว้น ➡️ ปิด “Manage app if unused” ‼️ คำเตือน ⛔ แอปที่ถูกยกเว้นจะไม่ถูก archive แม้จะไม่ใช้งานนาน ⛔ อาจทำให้พื้นที่เก็บข้อมูลเต็มเร็วขึ้น https://www.slashgear.com/2001308/hidden-android-apps-archive-feature-how-use/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Hidden Android Setting Makes Managing Apps Easier And Quicker - SlashGear
    Android’s app archiving feature automatically removes unused apps while keeping data safe, freeing storage and decluttering your phone.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • Smart Plug ไม่ใช่ปลั๊กวิเศษ! 5 สิ่งต้องห้ามเสียบเด็ดขาด ถ้าไม่อยากเสี่ยงไฟไหม้หรือระบบล่ม

    ในยุคบ้านอัจฉริยะที่ทุกอย่างควบคุมผ่านมือถือได้ Smart Plug กลายเป็นอุปกรณ์ยอดนิยมที่ช่วยเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นอุปกรณ์อัตโนมัติ เช่น ตั้งเวลาเปิดปิดไฟ หรือควบคุมพัดลมจากระยะไกล แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่ทุกอย่างจะเสียบกับ Smart Plug ได้อย่างปลอดภัย?

    บทความจาก SlashGear ได้เตือนว่า มีอุปกรณ์ 5 ประเภทที่ไม่ควรเสียบกับ Smart Plug เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ตั้งแต่ระบบล่มไปจนถึงไฟไหม้ และบางกรณีอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต

    สรุปสิ่งที่ห้ามเสียบกับ Smart Plug

    1️⃣. อุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง (High-power appliances)
    ข้อเท็จจริง
    Smart Plug ส่วนใหญ่รองรับเพียง 10–15 แอมป์
    อุปกรณ์อย่างเครื่องซักผ้า ฮีตเตอร์ แอร์ ใช้พลังงานมากเกินไป
    การเสียบอุปกรณ์เหล่านี้อาจทำให้ปลั๊กร้อนเกินไปจนละลายหรือไฟไหม้

    คำเตือน
    ห้ามเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน
    หากจำเป็นต้องใช้ ควรเลือก Smart Plug แบบ heavy-duty ที่ออกแบบมาสำหรับโหลดสูง

    2️⃣. ระบบรักษาความปลอดภัย (Security systems)
    ข้อเท็จจริง
    ระบบกล้อง สัญญาณกันขโมย เซ็นเซอร์ ต้องการไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
    Smart Plug อาจตัดไฟโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ระบบหยุดทำงาน
    หากเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi อาจถูกแฮกและควบคุมจากระยะไกล

    คำเตือน
    การตัดไฟโดยไม่ตั้งใจอาจทำให้บ้านไม่มีระบบป้องกัน
    ควรใช้ปลั๊กไฟที่มีแหล่งจ่ายไฟสำรอง (UPS) แทน

    3️⃣. อุปกรณ์ทางการแพทย์ (Healthcare equipment)
    ข้อเท็จจริง
    อุปกรณ์เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดความดัน ต้องการไฟฟ้าที่เสถียร
    Smart Plug ราคาถูกอาจไม่มีระบบความปลอดภัยที่เพียงพอ
    ความผิดพลาดอาจส่งผลถึงชีวิตผู้ป่วย

    คำเตือน
    ห้ามใช้ Smart Plug กับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยเด็ดขาด
    ระบบไฟฟ้าในโรงพยาบาลมีมาตรฐานสูงกว่าในบ้านทั่วไป

    4️⃣. อุปกรณ์ที่สร้างความร้อน (Appliances that generate heat)
    ข้อเท็จจริง
    อุปกรณ์เช่น เตาอบ ฮีตเตอร์ ไดร์เป่าผม ต้องการพลังงานสูงและควบคุมอุณหภูมิ
    หาก Wi-Fi หลุดหรือระบบล่ม อุปกรณ์อาจทำงานต่อโดยไม่หยุด
    เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้หรือความเสียหายจากความร้อนสูง

    คำเตือน
    หลีกเลี่ยงการใช้ Smart Plug กับอุปกรณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหากเปิดทิ้งไว้
    ควรเสียบกับปลั๊กผนังโดยตรงเพื่อความปลอดภัย

    5️⃣. อุปกรณ์ที่มีระบบควบคุมแบบแมนนวล (Devices with manual settings)
    ข้อเท็จจริง
    Smart Plug ควบคุมแค่การจ่ายไฟ ไม่สามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ได้
    อุปกรณ์ที่ต้องกดปุ่มเปิดหลังจากจ่ายไฟ เช่น เครื่องซักผ้า อาจไม่ทำงานแม้เสียบปลั๊กแล้ว
    การรีสตาร์ทอัตโนมัติหลังไฟดับอาจทำให้เกิดการทำงานผิดพลาด

    คำเตือน
    Smart Plug ไม่สามารถทำให้อุปกรณ์ที่ต้องกดปุ่มเปิดทำงานอัตโนมัติได้
    ควรใช้กับอุปกรณ์ที่มีฟังก์ชันเปิด/ปิดแบบง่าย เช่น โคมไฟ หรือพัดลม

    https://www.slashgear.com/2001326/never-plug-these-into-smart-plug/
    ⚡ Smart Plug ไม่ใช่ปลั๊กวิเศษ! 5 สิ่งต้องห้ามเสียบเด็ดขาด ถ้าไม่อยากเสี่ยงไฟไหม้หรือระบบล่ม ในยุคบ้านอัจฉริยะที่ทุกอย่างควบคุมผ่านมือถือได้ Smart Plug กลายเป็นอุปกรณ์ยอดนิยมที่ช่วยเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นอุปกรณ์อัตโนมัติ เช่น ตั้งเวลาเปิดปิดไฟ หรือควบคุมพัดลมจากระยะไกล แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่ทุกอย่างจะเสียบกับ Smart Plug ได้อย่างปลอดภัย? บทความจาก SlashGear ได้เตือนว่า มีอุปกรณ์ 5 ประเภทที่ไม่ควรเสียบกับ Smart Plug เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ตั้งแต่ระบบล่มไปจนถึงไฟไหม้ และบางกรณีอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต 🔍 สรุปสิ่งที่ห้ามเสียบกับ Smart Plug 1️⃣. อุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง (High-power appliances) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ Smart Plug ส่วนใหญ่รองรับเพียง 10–15 แอมป์ ➡️ อุปกรณ์อย่างเครื่องซักผ้า ฮีตเตอร์ แอร์ ใช้พลังงานมากเกินไป ➡️ การเสียบอุปกรณ์เหล่านี้อาจทำให้ปลั๊กร้อนเกินไปจนละลายหรือไฟไหม้ ‼️ คำเตือน ⛔ ห้ามเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน ⛔ หากจำเป็นต้องใช้ ควรเลือก Smart Plug แบบ heavy-duty ที่ออกแบบมาสำหรับโหลดสูง 2️⃣. ระบบรักษาความปลอดภัย (Security systems) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ ระบบกล้อง สัญญาณกันขโมย เซ็นเซอร์ ต้องการไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ➡️ Smart Plug อาจตัดไฟโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ระบบหยุดทำงาน ➡️ หากเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi อาจถูกแฮกและควบคุมจากระยะไกล ‼️ คำเตือน ⛔ การตัดไฟโดยไม่ตั้งใจอาจทำให้บ้านไม่มีระบบป้องกัน ⛔ ควรใช้ปลั๊กไฟที่มีแหล่งจ่ายไฟสำรอง (UPS) แทน 3️⃣. อุปกรณ์ทางการแพทย์ (Healthcare equipment) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ อุปกรณ์เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดความดัน ต้องการไฟฟ้าที่เสถียร ➡️ Smart Plug ราคาถูกอาจไม่มีระบบความปลอดภัยที่เพียงพอ ➡️ ความผิดพลาดอาจส่งผลถึงชีวิตผู้ป่วย ‼️ คำเตือน ⛔ ห้ามใช้ Smart Plug กับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยเด็ดขาด ⛔ ระบบไฟฟ้าในโรงพยาบาลมีมาตรฐานสูงกว่าในบ้านทั่วไป 4️⃣. อุปกรณ์ที่สร้างความร้อน (Appliances that generate heat) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ อุปกรณ์เช่น เตาอบ ฮีตเตอร์ ไดร์เป่าผม ต้องการพลังงานสูงและควบคุมอุณหภูมิ ➡️ หาก Wi-Fi หลุดหรือระบบล่ม อุปกรณ์อาจทำงานต่อโดยไม่หยุด ➡️ เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้หรือความเสียหายจากความร้อนสูง ‼️ คำเตือน ⛔ หลีกเลี่ยงการใช้ Smart Plug กับอุปกรณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหากเปิดทิ้งไว้ ⛔ ควรเสียบกับปลั๊กผนังโดยตรงเพื่อความปลอดภัย 5️⃣. อุปกรณ์ที่มีระบบควบคุมแบบแมนนวล (Devices with manual settings) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ Smart Plug ควบคุมแค่การจ่ายไฟ ไม่สามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ได้ ➡️ อุปกรณ์ที่ต้องกดปุ่มเปิดหลังจากจ่ายไฟ เช่น เครื่องซักผ้า อาจไม่ทำงานแม้เสียบปลั๊กแล้ว ➡️ การรีสตาร์ทอัตโนมัติหลังไฟดับอาจทำให้เกิดการทำงานผิดพลาด ‼️ คำเตือน ⛔ Smart Plug ไม่สามารถทำให้อุปกรณ์ที่ต้องกดปุ่มเปิดทำงานอัตโนมัติได้ ⛔ ควรใช้กับอุปกรณ์ที่มีฟังก์ชันเปิด/ปิดแบบง่าย เช่น โคมไฟ หรือพัดลม https://www.slashgear.com/2001326/never-plug-these-into-smart-plug/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Never Plug These 5 Things Into A Smart Plug - SlashGear
    Smart plugs are useful for bringing simple automations to appliances that aren't smart, but connecting them to those 5 things might not be a clever idea.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าเสียบสิ่งเหล่านี้เข้ากับพอร์ต USB-C ของ iPad ถ้าไม่อยาก “พังไม่รู้ตัว”

    แม้ iPad จะเป็นอุปกรณ์ที่ทรงพลังและสะดวกสบาย แต่พอร์ต USB-C ที่ดูเหมือนจะเปิดโอกาสให้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมมากมาย ก็อาจกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เครื่องพังได้ในพริบตา หากคุณเสียบสิ่งที่ไม่ควรเข้าไป

    บทความจาก SlashGear เตือนผู้ใช้ iPad ว่ามีสองสิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้ากับพอร์ต USB-C เด็ดขาด ได้แก่ “แฟลชไดรฟ์ที่ไม่รู้ที่มา” และ “สายชาร์จราคาถูกที่ไม่มีแบรนด์” เพราะอาจนำไปสู่การเสียหายของระบบภายใน หรือแม้แต่การทำให้ iPad กลายเป็น “อิฐ” ที่ใช้งานไม่ได้เลย

    1️⃣ อย่าเสียบแฟลชไดรฟ์ที่ไม่รู้ที่มา

    เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง
    อาจมีมัลแวร์หรือไวรัสที่พยายามเจาะระบบ
    อาจเป็น “USB killer” ที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเข้าไปในเครื่อง
    อุปกรณ์เหล่านี้ถูกใช้ในงานทดสอบระบบหรือโดยเจ้าหน้าที่ แต่สามารถซื้อได้ทั่วไป

    คำเตือน
    การเสียบแฟลชไดรฟ์ที่ไม่รู้ที่มา อาจทำให้ iPad พังทันที
    อุปกรณ์เหล่านี้อาจทำให้ระบบภายในถูกเผาไหม้หรือเสียหายถาวร

    2️⃣ อย่าใช้สายชาร์จราคาถูกที่ไม่มีแบรนด์

    เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง
    อาจใช้วัสดุคุณภาพต่ำที่ทำให้ระบบควบคุมการชาร์จเสียหาย
    ไม่มีระบบป้องกันไฟเกินหรือไฟย้อนกลับ
    แบรนด์ที่ไม่มีเว็บไซต์หรือข้อมูลออนไลน์อาจไม่น่าเชื่อถือ

    ทางเลือกที่ปลอดภัย
    ใช้อุปกรณ์จากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ เช่น Anker, Belkin, Mophie
    ซื้อจากร้านค้าที่มีการรับประกันและข้อมูลผลิตภัณฑ์ชัดเจน

    คำเตือน
    การใช้สายชาร์จราคาถูก อาจทำให้ระบบชาร์จเสียหายถาวร
    การซ่อมหรือเปลี่ยน iPad ที่เสียหายจากการเสียบอุปกรณ์ผิด อาจมีค่าใช้จ่ายสูงมาก

    https://www.slashgear.com/1999688/never-plug-these-things-into-ipad-usb-c-port/
    ⚠️ อย่าเสียบสิ่งเหล่านี้เข้ากับพอร์ต USB-C ของ iPad ถ้าไม่อยาก “พังไม่รู้ตัว” แม้ iPad จะเป็นอุปกรณ์ที่ทรงพลังและสะดวกสบาย แต่พอร์ต USB-C ที่ดูเหมือนจะเปิดโอกาสให้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมมากมาย ก็อาจกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เครื่องพังได้ในพริบตา หากคุณเสียบสิ่งที่ไม่ควรเข้าไป บทความจาก SlashGear เตือนผู้ใช้ iPad ว่ามีสองสิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้ากับพอร์ต USB-C เด็ดขาด ได้แก่ “แฟลชไดรฟ์ที่ไม่รู้ที่มา” และ “สายชาร์จราคาถูกที่ไม่มีแบรนด์” เพราะอาจนำไปสู่การเสียหายของระบบภายใน หรือแม้แต่การทำให้ iPad กลายเป็น “อิฐ” ที่ใช้งานไม่ได้เลย 1️⃣ อย่าเสียบแฟลชไดรฟ์ที่ไม่รู้ที่มา ✅ เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง ➡️ อาจมีมัลแวร์หรือไวรัสที่พยายามเจาะระบบ ➡️ อาจเป็น “USB killer” ที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเข้าไปในเครื่อง ➡️ อุปกรณ์เหล่านี้ถูกใช้ในงานทดสอบระบบหรือโดยเจ้าหน้าที่ แต่สามารถซื้อได้ทั่วไป ‼️ คำเตือน ⛔ การเสียบแฟลชไดรฟ์ที่ไม่รู้ที่มา อาจทำให้ iPad พังทันที ⛔ อุปกรณ์เหล่านี้อาจทำให้ระบบภายในถูกเผาไหม้หรือเสียหายถาวร 2️⃣ อย่าใช้สายชาร์จราคาถูกที่ไม่มีแบรนด์ ✅ เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง ➡️ อาจใช้วัสดุคุณภาพต่ำที่ทำให้ระบบควบคุมการชาร์จเสียหาย ➡️ ไม่มีระบบป้องกันไฟเกินหรือไฟย้อนกลับ ➡️ แบรนด์ที่ไม่มีเว็บไซต์หรือข้อมูลออนไลน์อาจไม่น่าเชื่อถือ ✅ ทางเลือกที่ปลอดภัย ➡️ ใช้อุปกรณ์จากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ เช่น Anker, Belkin, Mophie ➡️ ซื้อจากร้านค้าที่มีการรับประกันและข้อมูลผลิตภัณฑ์ชัดเจน ‼️ คำเตือน ⛔ การใช้สายชาร์จราคาถูก อาจทำให้ระบบชาร์จเสียหายถาวร ⛔ การซ่อมหรือเปลี่ยน iPad ที่เสียหายจากการเสียบอุปกรณ์ผิด อาจมีค่าใช้จ่ายสูงมาก https://www.slashgear.com/1999688/never-plug-these-things-into-ipad-usb-c-port/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Never Plug These Things Into Your iPad's USB-C Port - SlashGear
    There are two things you should keep well clear of your iPad's USB-C port: random, unknown flash drives or external storage, and cheap, no-name chargers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • TerraMaster เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ F2-425 Plus และ F4-425 Plus: แรง เร็ว พร้อม AI ในบ้านคุณ

    TerraMaster ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเครือข่าย (NAS) ได้เปิดตัวสองรุ่นใหม่ล่าสุดคือ F2-425 Plus และ F4-425 Plus ที่มาพร้อมกับขุมพลัง Intel N150 และดีไซน์ hybrid storage ที่ผสาน SSD M.2 กับ HDD ในเครื่องเดียว เหมาะสำหรับทั้งผู้ใช้ตามบ้านและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบสำรองข้อมูลระดับองค์กรและการสตรีมมีเดียที่ลื่นไหล

    ทั้งสองรุ่นใช้โปรเซสเซอร์ Intel N150 แบบ quad-core ความเร็วสูงสุด 3.6 GHz พร้อมพอร์ต 5GbE สองช่องที่ให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงถึง 1010 MB/s และมีสล็อต M.2 ถึง 3 ช่อง รองรับ SSD ขนาดสูงสุด 8 TB ต่อช่อง

    F2-425 Plus มาพร้อมดีไซน์ 3+2 bay (3 M.2 + 2 HDD) และ RAM DDR5 ขนาด 8 GB รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ตามบ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็ก ส่วน F4-425 Plus ขยายขีดความสามารถด้วยดีไซน์ 3+4 bay, RAM 16 GB และรองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุดถึง 144 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ระดับ power user และครีเอเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    ทั้งสองรุ่นใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6 พร้อมฟีเจอร์ AI photo management ที่สามารถจดจำใบหน้า สัตว์เลี้ยง และฉากต่างๆ ได้ รวมถึงระบบสำรองข้อมูล BBS ที่ให้ความปลอดภัยระดับองค์กร

    สเปกหลักของ F2-425 Plus และ F4-425 Plus
    ใช้ Intel N150 quad-core (สูงสุด 3.6 GHz)
    มีพอร์ต 5GbE สองช่อง ความเร็วสูงสุด 1010 MB/s
    มีสล็อต M.2 จำนวน 3 ช่อง รองรับ SSD สูงสุด 8 TB ต่อช่อง

    ความแตกต่างระหว่างสองรุ่น
    F2-425 Plus: 3+2 bay, RAM 8 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB
    F4-425 Plus: 3+4 bay, RAM 16 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 144 TB

    ฟีเจอร์เด่น
    ใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6
    มีระบบ AI photo management สำหรับจดจำใบหน้าและสัตว์เลี้ยง
    ระบบสำรองข้อมูล BBS ระดับองค์กร
    รองรับการถอดเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์แบบ hot-swap
    รองรับการถอดรหัสวิดีโอ 4K และ 8K

    การเชื่อมต่อและพอร์ต
    USB 3.2 Gen 2 จำนวน 2 ช่อง (10 Gbps)
    HDMI 2.0 รองรับ 4K @ 60 Hz
    น้ำหนัก: F2-425 Plus – 2.2 กก. | F4-425 Plus – 2.9 กก.

    โปรโมชั่นเปิดตัว
    ลดราคา 15% ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2025
    รับประกันทั่วโลก 2 ปี พร้อมบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ
    วางจำหน่ายผ่านร้านค้า TerraMaster, Amazon และ AliExpress

    https://news.itsfoss.com/terramaster-f4-425-plus-launch/
    🗄️ TerraMaster เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ F2-425 Plus และ F4-425 Plus: แรง เร็ว พร้อม AI ในบ้านคุณ TerraMaster ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเครือข่าย (NAS) ได้เปิดตัวสองรุ่นใหม่ล่าสุดคือ F2-425 Plus และ F4-425 Plus ที่มาพร้อมกับขุมพลัง Intel N150 และดีไซน์ hybrid storage ที่ผสาน SSD M.2 กับ HDD ในเครื่องเดียว เหมาะสำหรับทั้งผู้ใช้ตามบ้านและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบสำรองข้อมูลระดับองค์กรและการสตรีมมีเดียที่ลื่นไหล ทั้งสองรุ่นใช้โปรเซสเซอร์ Intel N150 แบบ quad-core ความเร็วสูงสุด 3.6 GHz พร้อมพอร์ต 5GbE สองช่องที่ให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงถึง 1010 MB/s และมีสล็อต M.2 ถึง 3 ช่อง รองรับ SSD ขนาดสูงสุด 8 TB ต่อช่อง F2-425 Plus มาพร้อมดีไซน์ 3+2 bay (3 M.2 + 2 HDD) และ RAM DDR5 ขนาด 8 GB รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ตามบ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็ก ส่วน F4-425 Plus ขยายขีดความสามารถด้วยดีไซน์ 3+4 bay, RAM 16 GB และรองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุดถึง 144 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ระดับ power user และครีเอเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ทั้งสองรุ่นใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6 พร้อมฟีเจอร์ AI photo management ที่สามารถจดจำใบหน้า สัตว์เลี้ยง และฉากต่างๆ ได้ รวมถึงระบบสำรองข้อมูล BBS ที่ให้ความปลอดภัยระดับองค์กร ✅ สเปกหลักของ F2-425 Plus และ F4-425 Plus ➡️ ใช้ Intel N150 quad-core (สูงสุด 3.6 GHz) ➡️ มีพอร์ต 5GbE สองช่อง ความเร็วสูงสุด 1010 MB/s ➡️ มีสล็อต M.2 จำนวน 3 ช่อง รองรับ SSD สูงสุด 8 TB ต่อช่อง ✅ ความแตกต่างระหว่างสองรุ่น ➡️ F2-425 Plus: 3+2 bay, RAM 8 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB ➡️ F4-425 Plus: 3+4 bay, RAM 16 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 144 TB ✅ ฟีเจอร์เด่น ➡️ ใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6 ➡️ มีระบบ AI photo management สำหรับจดจำใบหน้าและสัตว์เลี้ยง ➡️ ระบบสำรองข้อมูล BBS ระดับองค์กร ➡️ รองรับการถอดเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์แบบ hot-swap ➡️ รองรับการถอดรหัสวิดีโอ 4K และ 8K ✅ การเชื่อมต่อและพอร์ต ➡️ USB 3.2 Gen 2 จำนวน 2 ช่อง (10 Gbps) ➡️ HDMI 2.0 รองรับ 4K @ 60 Hz ➡️ น้ำหนัก: F2-425 Plus – 2.2 กก. | F4-425 Plus – 2.9 กก. ✅ โปรโมชั่นเปิดตัว ➡️ ลดราคา 15% ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ➡️ รับประกันทั่วโลก 2 ปี พร้อมบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ ➡️ วางจำหน่ายผ่านร้านค้า TerraMaster, Amazon และ AliExpress https://news.itsfoss.com/terramaster-f4-425-plus-launch/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    TerraMaster Launches F2-425 Plus and F4-425 Plus NAS with Intel N150 and Triple M.2 Slots
    New hybrid NAS series brings enterprise-grade backup and media streaming to home users and small businesses.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • Warlock Ransomware: จู่โจมองค์กรสหรัฐฯ ผ่านช่องโหว่ SharePoint โดยกลุ่มแฮกเกอร์จีน CamoFei

    ภัยคุกคามไซเบอร์ครั้งใหม่กำลังเขย่าโลกธุรกิจสหรัฐฯ เมื่อ Warlock ransomware ปรากฏตัวในเดือนมิถุนายน 2025 และถูกใช้ในการโจมตีองค์กรต่างๆ โดยอาศัยช่องโหว่ ToolShell zero-day ใน Microsoft SharePoint (CVE-2025-53770) ซึ่งสามารถเจาะระบบได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    สิ่งที่ทำให้ Warlock แตกต่างจาก ransomware ทั่วไปคือความเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์จีนสายข่าวกรอง เช่น CamoFei (หรือ ChamelGang) และ Storm-2603 ซึ่งเคยใช้เครื่องมือจารกรรมอย่าง Cobalt Strike และเทคนิค DLL sideloading ในการแทรกซึมระบบมาก่อน

    Warlock ถูกพบว่ามีลักษณะคล้ายกับ Anylock ransomware โดยใช้ extension .x2anylock และมีโครงสร้าง payload ที่ใกล้เคียงกัน บ่งชี้ว่าอาจเป็นการรีแบรนด์หรือพัฒนาต่อยอดจาก LockBit 3.0

    หนึ่งในเทคนิคที่น่ากังวลที่สุดคือการใช้ BYOVD (Bring Your Own Vulnerable Driver) โดยแฮกเกอร์นำ driver จาก Baidu Antivirus ปี 2016 ที่มีช่องโหว่มาใช้ร่วมกับ certificate ปลอมจากนักพัฒนาชื่อ “coolschool” เพื่อปิดการทำงานของโปรแกรมป้องกันไวรัสในระบบเป้าหมาย

    การโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเรียกค่าไถ่ แต่ยังสะท้อนถึงการบูรณาการระหว่างกลุ่มแฮกเกอร์สายข่าวกรองกับกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งอาจเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ของการโจมตีระดับประเทศ

    ลักษณะของ Warlock ransomware
    ปรากฏตัวครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2025
    ใช้ช่องโหว่ CVE-2025-53770 ใน SharePoint
    เชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์จีน เช่น CamoFei และ Storm-2603

    เทคนิคการโจมตี
    ใช้ BYOVD ด้วย driver จาก Baidu Antivirus ปี 2016
    ใช้ certificate ปลอมจากนักพัฒนาชื่อ “coolschool”
    ใช้ DLL sideloading และ toolkit “Project AK47”

    ความสัมพันธ์กับ ransomware อื่น
    มีลักษณะคล้าย Anylock และ LockBit 3.0
    ใช้ extension .x2anylock ในการเข้ารหัสไฟล์
    อาจเป็นการรีแบรนด์หรือพัฒนาต่อยอดจาก ransomware เดิม

    กลุ่มเป้าหมาย
    องค์กรในสหรัฐฯ และหน่วยงานรัฐบาล
    ใช้ช่องโหว่ zero-day เพื่อเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    มีการโจมตีแบบผสมระหว่างจารกรรมและเรียกค่าไถ่

    https://securityonline.info/warlock-ransomware-hits-us-firms-exploiting-sharepoint-zero-day-linked-to-chinas-camofei-apt/
    🧨 Warlock Ransomware: จู่โจมองค์กรสหรัฐฯ ผ่านช่องโหว่ SharePoint โดยกลุ่มแฮกเกอร์จีน CamoFei ภัยคุกคามไซเบอร์ครั้งใหม่กำลังเขย่าโลกธุรกิจสหรัฐฯ เมื่อ Warlock ransomware ปรากฏตัวในเดือนมิถุนายน 2025 และถูกใช้ในการโจมตีองค์กรต่างๆ โดยอาศัยช่องโหว่ ToolShell zero-day ใน Microsoft SharePoint (CVE-2025-53770) ซึ่งสามารถเจาะระบบได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน สิ่งที่ทำให้ Warlock แตกต่างจาก ransomware ทั่วไปคือความเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์จีนสายข่าวกรอง เช่น CamoFei (หรือ ChamelGang) และ Storm-2603 ซึ่งเคยใช้เครื่องมือจารกรรมอย่าง Cobalt Strike และเทคนิค DLL sideloading ในการแทรกซึมระบบมาก่อน Warlock ถูกพบว่ามีลักษณะคล้ายกับ Anylock ransomware โดยใช้ extension .x2anylock และมีโครงสร้าง payload ที่ใกล้เคียงกัน บ่งชี้ว่าอาจเป็นการรีแบรนด์หรือพัฒนาต่อยอดจาก LockBit 3.0 หนึ่งในเทคนิคที่น่ากังวลที่สุดคือการใช้ BYOVD (Bring Your Own Vulnerable Driver) โดยแฮกเกอร์นำ driver จาก Baidu Antivirus ปี 2016 ที่มีช่องโหว่มาใช้ร่วมกับ certificate ปลอมจากนักพัฒนาชื่อ “coolschool” เพื่อปิดการทำงานของโปรแกรมป้องกันไวรัสในระบบเป้าหมาย การโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเรียกค่าไถ่ แต่ยังสะท้อนถึงการบูรณาการระหว่างกลุ่มแฮกเกอร์สายข่าวกรองกับกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งอาจเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ของการโจมตีระดับประเทศ ✅ ลักษณะของ Warlock ransomware ➡️ ปรากฏตัวครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2025 ➡️ ใช้ช่องโหว่ CVE-2025-53770 ใน SharePoint ➡️ เชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์จีน เช่น CamoFei และ Storm-2603 ✅ เทคนิคการโจมตี ➡️ ใช้ BYOVD ด้วย driver จาก Baidu Antivirus ปี 2016 ➡️ ใช้ certificate ปลอมจากนักพัฒนาชื่อ “coolschool” ➡️ ใช้ DLL sideloading และ toolkit “Project AK47” ✅ ความสัมพันธ์กับ ransomware อื่น ➡️ มีลักษณะคล้าย Anylock และ LockBit 3.0 ➡️ ใช้ extension .x2anylock ในการเข้ารหัสไฟล์ ➡️ อาจเป็นการรีแบรนด์หรือพัฒนาต่อยอดจาก ransomware เดิม ✅ กลุ่มเป้าหมาย ➡️ องค์กรในสหรัฐฯ และหน่วยงานรัฐบาล ➡️ ใช้ช่องโหว่ zero-day เพื่อเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ มีการโจมตีแบบผสมระหว่างจารกรรมและเรียกค่าไถ่ https://securityonline.info/warlock-ransomware-hits-us-firms-exploiting-sharepoint-zero-day-linked-to-chinas-camofei-apt/
    SECURITYONLINE.INFO
    Warlock Ransomware Hits US Firms Exploiting SharePoint Zero-Day, Linked to China’s CamoFei APT
    Symantec exposed Warlock ransomware (a probable Anylock rebrand) used by China-linked Storm-2603. It exploits the SharePoint zero-day and BYOVD to disable security and encrypt files with the .x2anylock extension.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • Reddit ฟ้อง Perplexity และบริษัท Data Broker ฐานขูดข้อมูลระดับอุตสาหกรรมเพื่อป้อน AI

    Reddit จุดชนวนสงครามข้อมูลกับบริษัท AI โดยยื่นฟ้อง Perplexity และบริษัท data broker อีก 3 ราย ได้แก่ Oxylabs, SerpApi และ AWMProxy ฐานละเมิดข้อตกลงการใช้งานและขูดข้อมูลจากแพลตฟอร์ม Reddit เพื่อนำไปใช้ในการฝึกโมเดล AI โดยไม่ได้รับอนุญาต

    Reddit ระบุว่า Perplexity เป็น “ลูกค้าผู้เต็มใจ” ในระบบเศรษฐกิจแบบ “ฟอกข้อมูล” ที่กำลังเฟื่องฟูในยุค AI โดยบริษัทเหล่านี้ใช้เทคนิคหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ เช่น การละเมิด robots.txt และการปลอมตัวเป็นผู้ใช้ทั่วไป เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ควรถูกป้องกันไว้

    ที่น่าสนใจคือ Reddit ได้วางกับดักโดยสร้างโพสต์ลับที่มีเพียง Google เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ แต่กลับพบว่าเนื้อหานั้นปรากฏในคำตอบของ Perplexity ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ Reddit ใช้ในการฟ้องร้อง

    Perplexity ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุว่าไม่ได้ใช้ข้อมูล Reddit ในการฝึกโมเดล AI แต่เพียงสรุปและอ้างอิงเนื้อหาสาธารณะเท่านั้น พร้อมกล่าวหาว่า Reddit ใช้คดีนี้เป็นเครื่องมือในการต่อรองข้อตกลงด้านข้อมูลกับ Google และ OpenAI

    คดีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Reddit ฟ้องบริษัท AI ก่อนหน้านี้ก็เคยฟ้อง Anthropic ด้วยเหตุผลคล้ายกัน และสะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างแพลตฟอร์มเนื้อหากับบริษัท AI ที่ต้องการข้อมูลมนุษย์คุณภาพสูงเพื่อฝึกโมเดล

    รายละเอียดคดีฟ้องร้อง
    Reddit ฟ้อง Perplexity, Oxylabs, SerpApi และ AWMProxy ฐานขูดข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    กล่าวหาว่า Perplexity ใช้ข้อมูล Reddit เพื่อฝึกโมเดล AI โดยไม่ทำข้อตกลงลิขสิทธิ์
    บริษัท scraping ใช้ proxy และเทคนิคหลบเลี่ยงเพื่อเข้าถึงข้อมูล

    หลักฐานสำคัญ
    Reddit สร้างโพสต์ลับที่มีเฉพาะ Google เข้าถึงได้
    พบว่า Perplexity ใช้เนื้อหานั้นในคำตอบของ AI ภายในไม่กี่ชั่วโมง
    ชี้ว่า Perplexity ขูดข้อมูลจาก Google SERPs ที่มีเนื้อหา Reddit

    การตอบโต้จาก Perplexity
    ปฏิเสธว่าไม่ได้ฝึกโมเดลด้วยข้อมูล Reddit
    ระบุว่าเพียงสรุปและอ้างอิงเนื้อหาสาธารณะ
    กล่าวหาว่า Redditใช้คดีนี้เพื่อกดดัน Google และ OpenAI

    ความเคลื่อนไหวของ Reddit
    เคยฟ้อง Anthropic ด้วยเหตุผลคล้ายกัน
    มีข้อตกลงลิขสิทธิ์กับ Google และ OpenAI
    เน้นว่าข้อมูลจาก Reddit เป็น “เนื้อหามนุษย์คุณภาพสูง” ที่มีมูลค่าสูงในยุค AI

    https://securityonline.info/reddit-sues-perplexity-and-data-brokers-for-industrial-scale-scraping/
    🧠 Reddit ฟ้อง Perplexity และบริษัท Data Broker ฐานขูดข้อมูลระดับอุตสาหกรรมเพื่อป้อน AI Reddit จุดชนวนสงครามข้อมูลกับบริษัท AI โดยยื่นฟ้อง Perplexity และบริษัท data broker อีก 3 ราย ได้แก่ Oxylabs, SerpApi และ AWMProxy ฐานละเมิดข้อตกลงการใช้งานและขูดข้อมูลจากแพลตฟอร์ม Reddit เพื่อนำไปใช้ในการฝึกโมเดล AI โดยไม่ได้รับอนุญาต Reddit ระบุว่า Perplexity เป็น “ลูกค้าผู้เต็มใจ” ในระบบเศรษฐกิจแบบ “ฟอกข้อมูล” ที่กำลังเฟื่องฟูในยุค AI โดยบริษัทเหล่านี้ใช้เทคนิคหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ เช่น การละเมิด robots.txt และการปลอมตัวเป็นผู้ใช้ทั่วไป เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ควรถูกป้องกันไว้ ที่น่าสนใจคือ Reddit ได้วางกับดักโดยสร้างโพสต์ลับที่มีเพียง Google เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ แต่กลับพบว่าเนื้อหานั้นปรากฏในคำตอบของ Perplexity ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ Reddit ใช้ในการฟ้องร้อง Perplexity ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุว่าไม่ได้ใช้ข้อมูล Reddit ในการฝึกโมเดล AI แต่เพียงสรุปและอ้างอิงเนื้อหาสาธารณะเท่านั้น พร้อมกล่าวหาว่า Reddit ใช้คดีนี้เป็นเครื่องมือในการต่อรองข้อตกลงด้านข้อมูลกับ Google และ OpenAI คดีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Reddit ฟ้องบริษัท AI ก่อนหน้านี้ก็เคยฟ้อง Anthropic ด้วยเหตุผลคล้ายกัน และสะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างแพลตฟอร์มเนื้อหากับบริษัท AI ที่ต้องการข้อมูลมนุษย์คุณภาพสูงเพื่อฝึกโมเดล ✅ รายละเอียดคดีฟ้องร้อง ➡️ Reddit ฟ้อง Perplexity, Oxylabs, SerpApi และ AWMProxy ฐานขูดข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ กล่าวหาว่า Perplexity ใช้ข้อมูล Reddit เพื่อฝึกโมเดล AI โดยไม่ทำข้อตกลงลิขสิทธิ์ ➡️ บริษัท scraping ใช้ proxy และเทคนิคหลบเลี่ยงเพื่อเข้าถึงข้อมูล ✅ หลักฐานสำคัญ ➡️ Reddit สร้างโพสต์ลับที่มีเฉพาะ Google เข้าถึงได้ ➡️ พบว่า Perplexity ใช้เนื้อหานั้นในคำตอบของ AI ภายในไม่กี่ชั่วโมง ➡️ ชี้ว่า Perplexity ขูดข้อมูลจาก Google SERPs ที่มีเนื้อหา Reddit ✅ การตอบโต้จาก Perplexity ➡️ ปฏิเสธว่าไม่ได้ฝึกโมเดลด้วยข้อมูล Reddit ➡️ ระบุว่าเพียงสรุปและอ้างอิงเนื้อหาสาธารณะ ➡️ กล่าวหาว่า Redditใช้คดีนี้เพื่อกดดัน Google และ OpenAI ✅ ความเคลื่อนไหวของ Reddit ➡️ เคยฟ้อง Anthropic ด้วยเหตุผลคล้ายกัน ➡️ มีข้อตกลงลิขสิทธิ์กับ Google และ OpenAI ➡️ เน้นว่าข้อมูลจาก Reddit เป็น “เนื้อหามนุษย์คุณภาพสูง” ที่มีมูลค่าสูงในยุค AI https://securityonline.info/reddit-sues-perplexity-and-data-brokers-for-industrial-scale-scraping/
    SECURITYONLINE.INFO
    Reddit Sues Perplexity and Data Brokers for 'Industrial-Scale' Scraping
    Reddit has filed a lawsuit against Perplexity and three data brokers, accusing them of unauthorized, "industrial-scale" scraping of its content for AI training.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI Sidebar Spoofing: SquareX เตือนภัยส่วนขยายปลอมที่แอบอ้างเป็น Sidebar ของ AI Browser

    SquareX บริษัทด้านความปลอดภัยเบราว์เซอร์ ได้เปิดเผยการโจมตีรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “AI Sidebar Spoofing” ซึ่งใช้ส่วนขยายเบราว์เซอร์ที่เป็นอันตรายในการปลอมแปลงหน้าต่าง Sidebar ของ AI browser เช่น Comet, Brave, Edge และ Firefox เพื่อหลอกผู้ใช้ให้ทำตามคำสั่งที่เป็นอันตรายโดยเข้าใจผิดว่าเป็นคำแนะนำจาก AI จริง

    การโจมตีนี้อาศัยความไว้วางใจของผู้ใช้ที่มีต่อ AI browser ซึ่งมักใช้ Sidebar เป็นช่องทางหลักในการโต้ตอบกับ AI โดยผู้โจมตีจะสร้างส่วนขยายที่สามารถแสดง Sidebar ปลอมได้อย่างแนบเนียน เมื่อผู้ใช้พิมพ์คำถามหรือขอคำแนะนำ Sidebar ปลอมจะตอบกลับด้วยคำแนะนำที่แฝงคำสั่งอันตราย เช่น ลิงก์ฟิชชิ่ง, คำสั่ง reverse shell หรือ OAuth phishing

    SquareX ยกตัวอย่างกรณีศึกษาหลายกรณี เช่น การหลอกให้ผู้ใช้เข้าสู่เว็บไซต์ Binance ปลอมเพื่อขโมยคริปโต, การแนะนำเว็บไซต์แชร์ไฟล์ที่เป็น OAuth trap เพื่อเข้าถึง Gmail และ Google Drive, หรือการแนะนำคำสั่งติดตั้ง Homebrew ที่แฝง reverse shell เพื่อยึดเครื่องของเหยื่อ

    ที่น่ากังวลคือ ส่วนขยายเหล่านี้ใช้สิทธิ์พื้นฐานที่พบได้ทั่วไปในส่วนขยายยอดนิยม เช่น Grammarly หรือ password manager ทำให้ยากต่อการตรวจจับ และสามารถทำงานได้บนเบราว์เซอร์ทุกชนิดที่มี Sidebar AI โดยไม่จำกัดเฉพาะ AI browser

    ลักษณะของการโจมตี AI Sidebar Spoofing
    ใช้ส่วนขยายเบราว์เซอร์ปลอมแปลง Sidebar ของ AI browser
    หลอกผู้ใช้ให้ทำตามคำสั่งที่เป็นอันตรายโดยเข้าใจผิดว่าเป็นคำแนะนำจาก AI
    สามารถทำงานได้บนเบราว์เซอร์ทั่วไปที่มี Sidebar AI เช่น Edge, Brave, Firefox

    ตัวอย่างการโจมตี
    ลิงก์ฟิชชิ่งปลอมเป็น Binance เพื่อขโมยคริปโต
    OAuth phishing ผ่านเว็บไซต์แชร์ไฟล์ปลอม
    reverse shell แฝงในคำสั่งติดตั้ง Homebrew

    จุดอ่อนของระบบ
    ส่วนขยายใช้สิทธิ์พื้นฐานที่พบได้ทั่วไป ทำให้ยากต่อการตรวจจับ
    ไม่มีความแตกต่างด้านภาพหรือการทำงานระหว่าง Sidebar จริงกับ Sidebar ปลอม
    ส่วนขยายสามารถแฝงตัวและรอจังหวะที่เหมาะสมในการโจมตี

    การป้องกันจาก SquareX
    เสนอเครื่องมือ Browser Detection and Response (BDR)
    มีระบบตรวจจับและวิเคราะห์พฤติกรรมส่วนขยายแบบ runtime
    เสนอการตรวจสอบส่วนขยายทั้งองค์กรฟรี

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานเบราว์เซอร์ที่มี AI Sidebar
    อย่าติดตั้งส่วนขยายจากแหล่งที่ไม่เชื่อถือ
    อย่าทำตามคำแนะนำจาก Sidebar โดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง
    ระวังคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ระบบ, การติดตั้งโปรแกรม หรือการแชร์ข้อมูล

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ใช้เบราว์เซอร์ที่มีระบบตรวจสอบส่วนขยายแบบละเอียด
    ตรวจสอบสิทธิ์ของส่วนขยายก่อนติดตั้ง
    อัปเดตเบราว์เซอร์และส่วนขยายให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ

    https://securityonline.info/ai-sidebar-spoofing-attack-squarex-uncovers-malicious-extensions-that-impersonate-ai-browser-sidebars/
    🕵️‍♂️ AI Sidebar Spoofing: SquareX เตือนภัยส่วนขยายปลอมที่แอบอ้างเป็น Sidebar ของ AI Browser SquareX บริษัทด้านความปลอดภัยเบราว์เซอร์ ได้เปิดเผยการโจมตีรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “AI Sidebar Spoofing” ซึ่งใช้ส่วนขยายเบราว์เซอร์ที่เป็นอันตรายในการปลอมแปลงหน้าต่าง Sidebar ของ AI browser เช่น Comet, Brave, Edge และ Firefox เพื่อหลอกผู้ใช้ให้ทำตามคำสั่งที่เป็นอันตรายโดยเข้าใจผิดว่าเป็นคำแนะนำจาก AI จริง การโจมตีนี้อาศัยความไว้วางใจของผู้ใช้ที่มีต่อ AI browser ซึ่งมักใช้ Sidebar เป็นช่องทางหลักในการโต้ตอบกับ AI โดยผู้โจมตีจะสร้างส่วนขยายที่สามารถแสดง Sidebar ปลอมได้อย่างแนบเนียน เมื่อผู้ใช้พิมพ์คำถามหรือขอคำแนะนำ Sidebar ปลอมจะตอบกลับด้วยคำแนะนำที่แฝงคำสั่งอันตราย เช่น ลิงก์ฟิชชิ่ง, คำสั่ง reverse shell หรือ OAuth phishing SquareX ยกตัวอย่างกรณีศึกษาหลายกรณี เช่น การหลอกให้ผู้ใช้เข้าสู่เว็บไซต์ Binance ปลอมเพื่อขโมยคริปโต, การแนะนำเว็บไซต์แชร์ไฟล์ที่เป็น OAuth trap เพื่อเข้าถึง Gmail และ Google Drive, หรือการแนะนำคำสั่งติดตั้ง Homebrew ที่แฝง reverse shell เพื่อยึดเครื่องของเหยื่อ ที่น่ากังวลคือ ส่วนขยายเหล่านี้ใช้สิทธิ์พื้นฐานที่พบได้ทั่วไปในส่วนขยายยอดนิยม เช่น Grammarly หรือ password manager ทำให้ยากต่อการตรวจจับ และสามารถทำงานได้บนเบราว์เซอร์ทุกชนิดที่มี Sidebar AI โดยไม่จำกัดเฉพาะ AI browser ✅ ลักษณะของการโจมตี AI Sidebar Spoofing ➡️ ใช้ส่วนขยายเบราว์เซอร์ปลอมแปลง Sidebar ของ AI browser ➡️ หลอกผู้ใช้ให้ทำตามคำสั่งที่เป็นอันตรายโดยเข้าใจผิดว่าเป็นคำแนะนำจาก AI ➡️ สามารถทำงานได้บนเบราว์เซอร์ทั่วไปที่มี Sidebar AI เช่น Edge, Brave, Firefox ✅ ตัวอย่างการโจมตี ➡️ ลิงก์ฟิชชิ่งปลอมเป็น Binance เพื่อขโมยคริปโต ➡️ OAuth phishing ผ่านเว็บไซต์แชร์ไฟล์ปลอม ➡️ reverse shell แฝงในคำสั่งติดตั้ง Homebrew ✅ จุดอ่อนของระบบ ➡️ ส่วนขยายใช้สิทธิ์พื้นฐานที่พบได้ทั่วไป ทำให้ยากต่อการตรวจจับ ➡️ ไม่มีความแตกต่างด้านภาพหรือการทำงานระหว่าง Sidebar จริงกับ Sidebar ปลอม ➡️ ส่วนขยายสามารถแฝงตัวและรอจังหวะที่เหมาะสมในการโจมตี ✅ การป้องกันจาก SquareX ➡️ เสนอเครื่องมือ Browser Detection and Response (BDR) ➡️ มีระบบตรวจจับและวิเคราะห์พฤติกรรมส่วนขยายแบบ runtime ➡️ เสนอการตรวจสอบส่วนขยายทั้งองค์กรฟรี ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานเบราว์เซอร์ที่มี AI Sidebar ⛔ อย่าติดตั้งส่วนขยายจากแหล่งที่ไม่เชื่อถือ ⛔ อย่าทำตามคำแนะนำจาก Sidebar โดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง ⛔ ระวังคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ระบบ, การติดตั้งโปรแกรม หรือการแชร์ข้อมูล ‼️ คำแนะนำเพิ่มเติม ⛔ ใช้เบราว์เซอร์ที่มีระบบตรวจสอบส่วนขยายแบบละเอียด ⛔ ตรวจสอบสิทธิ์ของส่วนขยายก่อนติดตั้ง ⛔ อัปเดตเบราว์เซอร์และส่วนขยายให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ https://securityonline.info/ai-sidebar-spoofing-attack-squarex-uncovers-malicious-extensions-that-impersonate-ai-browser-sidebars/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • YouTube เปิดตัว “Likeness Detection Tool” ป้องกันครีเอเตอร์จากภัย Deepfake

    ในยุคที่เทคโนโลยี AI ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การปลอมแปลงใบหน้าและเสียงของบุคคลในวิดีโอหรือเสียงกลายเป็นเรื่องง่ายดายอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะกับเหล่าครีเอเตอร์ที่มีชื่อเสียงซึ่งตกเป็นเป้าหมายของการสร้างเนื้อหาเทียม (deepfake) เพื่อหลอกลวงหรือทำลายชื่อเสียง ล่าสุด YouTube ได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่ที่ชื่อว่า “Likeness Detection Tool” เพื่อช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถตรวจจับและจัดการกับวิดีโอที่ใช้ใบหน้าหรือเสียงของตนโดยไม่ได้รับอนุญาต

    เครื่องมือนี้เริ่มเปิดให้ใช้งานในเดือนตุลาคม 2025 โดยจำกัดเฉพาะสมาชิกในโปรแกรม YouTube Partner Program (YPP) ก่อน และจะขยายให้ครอบคลุมครีเอเตอร์ที่มีรายได้ทั้งหมดภายในเดือนมกราคม 2026

    การใช้งานเริ่มต้นด้วยการยืนยันตัวตนผ่านการอัปโหลดบัตรประชาชนและวิดีโอเซลฟี จากนั้นระบบจะสแกนวิดีโอใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มเพื่อหาการใช้ใบหน้าหรือเสียงของครีเอเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต หากพบวิดีโอที่น่าสงสัย ครีเอเตอร์จะได้รับการแจ้งเตือนผ่านแท็บ “Likeness” ใน YouTube Studio และสามารถเลือกดำเนินการ เช่น ส่งคำขอลบวิดีโอ หรือยื่นเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ได้ทันที

    แม้เครื่องมือนี้จะยังไม่สามารถตรวจจับการปลอมแปลงเสียงเพียงอย่างเดียวได้ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องสิทธิ์ของครีเอเตอร์ และลดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือการแอบอ้างตัวตนในโลกออนไลน์

    เครื่องมือใหม่จาก YouTube
    ชื่อว่า “Likeness Detection Tool”
    ใช้ AI ตรวจจับวิดีโอที่ใช้ใบหน้าหรือเสียงของครีเอเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต
    แสดงวิดีโอที่ตรวจพบในแท็บ “Likeness” ของ YouTube Studio

    ขั้นตอนการใช้งาน
    ต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนและวิดีโอเซลฟี
    ระบบจะเริ่มสแกนวิดีโอใหม่ๆ เพื่อหาการปลอมแปลง
    ครีเอเตอร์สามารถส่งคำขอลบวิดีโอหรือยื่นเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ได้

    กลุ่มผู้ใช้งาน
    เริ่มเปิดให้เฉพาะสมาชิก YouTube Partner Program
    จะขยายให้ครีเอเตอร์ที่มีรายได้ทั้งหมดภายในเดือนมกราคม 2026

    เป้าหมายของเครื่องมือ
    ปกป้องตัวตนของครีเอเตอร์จาก deepfake
    ลดการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและการแอบอ้างตัวตน
    เพิ่มความน่าเชื่อถือของเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ยังไม่สามารถตรวจจับการปลอมแปลงเสียงเพียงอย่างเดียวได้
    อาจมี false positive – ตรวจพบวิดีโอที่ใช้ใบหน้าจริงของครีเอเตอร์แต่ไม่ใช่ deepfake
    การใช้งานต้องยอมรับการให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น ใบหน้าและบัตรประชาชน

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ครีเอเตอร์ควรตรวจสอบวิดีโอที่ถูกแจ้งเตือนอย่างละเอียดก่อนดำเนินการ
    ควรติดตามการอัปเดตของ YouTube เกี่ยวกับการขยายขอบเขตการใช้งาน
    ควรพิจารณาความเป็นส่วนตัวก่อนสมัครใช้งานเครื่องมือนี้

    https://securityonline.info/deepfake-defense-youtube-rolls-out-ai-tool-to-protect-creator-likeness/
    🎭 YouTube เปิดตัว “Likeness Detection Tool” ป้องกันครีเอเตอร์จากภัย Deepfake ในยุคที่เทคโนโลยี AI ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การปลอมแปลงใบหน้าและเสียงของบุคคลในวิดีโอหรือเสียงกลายเป็นเรื่องง่ายดายอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะกับเหล่าครีเอเตอร์ที่มีชื่อเสียงซึ่งตกเป็นเป้าหมายของการสร้างเนื้อหาเทียม (deepfake) เพื่อหลอกลวงหรือทำลายชื่อเสียง ล่าสุด YouTube ได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่ที่ชื่อว่า “Likeness Detection Tool” เพื่อช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถตรวจจับและจัดการกับวิดีโอที่ใช้ใบหน้าหรือเสียงของตนโดยไม่ได้รับอนุญาต เครื่องมือนี้เริ่มเปิดให้ใช้งานในเดือนตุลาคม 2025 โดยจำกัดเฉพาะสมาชิกในโปรแกรม YouTube Partner Program (YPP) ก่อน และจะขยายให้ครอบคลุมครีเอเตอร์ที่มีรายได้ทั้งหมดภายในเดือนมกราคม 2026 การใช้งานเริ่มต้นด้วยการยืนยันตัวตนผ่านการอัปโหลดบัตรประชาชนและวิดีโอเซลฟี จากนั้นระบบจะสแกนวิดีโอใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มเพื่อหาการใช้ใบหน้าหรือเสียงของครีเอเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต หากพบวิดีโอที่น่าสงสัย ครีเอเตอร์จะได้รับการแจ้งเตือนผ่านแท็บ “Likeness” ใน YouTube Studio และสามารถเลือกดำเนินการ เช่น ส่งคำขอลบวิดีโอ หรือยื่นเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ได้ทันที แม้เครื่องมือนี้จะยังไม่สามารถตรวจจับการปลอมแปลงเสียงเพียงอย่างเดียวได้ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องสิทธิ์ของครีเอเตอร์ และลดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือการแอบอ้างตัวตนในโลกออนไลน์ ✅ เครื่องมือใหม่จาก YouTube ➡️ ชื่อว่า “Likeness Detection Tool” ➡️ ใช้ AI ตรวจจับวิดีโอที่ใช้ใบหน้าหรือเสียงของครีเอเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ แสดงวิดีโอที่ตรวจพบในแท็บ “Likeness” ของ YouTube Studio ✅ ขั้นตอนการใช้งาน ➡️ ต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนและวิดีโอเซลฟี ➡️ ระบบจะเริ่มสแกนวิดีโอใหม่ๆ เพื่อหาการปลอมแปลง ➡️ ครีเอเตอร์สามารถส่งคำขอลบวิดีโอหรือยื่นเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ได้ ✅ กลุ่มผู้ใช้งาน ➡️ เริ่มเปิดให้เฉพาะสมาชิก YouTube Partner Program ➡️ จะขยายให้ครีเอเตอร์ที่มีรายได้ทั้งหมดภายในเดือนมกราคม 2026 ✅ เป้าหมายของเครื่องมือ ➡️ ปกป้องตัวตนของครีเอเตอร์จาก deepfake ➡️ ลดการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและการแอบอ้างตัวตน ➡️ เพิ่มความน่าเชื่อถือของเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ยังไม่สามารถตรวจจับการปลอมแปลงเสียงเพียงอย่างเดียวได้ ⛔ อาจมี false positive – ตรวจพบวิดีโอที่ใช้ใบหน้าจริงของครีเอเตอร์แต่ไม่ใช่ deepfake ⛔ การใช้งานต้องยอมรับการให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น ใบหน้าและบัตรประชาชน ‼️ คำแนะนำเพิ่มเติม ⛔ ครีเอเตอร์ควรตรวจสอบวิดีโอที่ถูกแจ้งเตือนอย่างละเอียดก่อนดำเนินการ ⛔ ควรติดตามการอัปเดตของ YouTube เกี่ยวกับการขยายขอบเขตการใช้งาน ⛔ ควรพิจารณาความเป็นส่วนตัวก่อนสมัครใช้งานเครื่องมือนี้ https://securityonline.info/deepfake-defense-youtube-rolls-out-ai-tool-to-protect-creator-likeness/
    SECURITYONLINE.INFO
    Deepfake Defense: YouTube Rolls Out AI Tool to Protect Creator Likeness
    YouTube rolls out its "Likeness Detection Tool" to YPP creators, allowing them to automatically flag and remove unauthorized deepfake videos of themselves.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts