• เครื่องบดแห้ง BONNY (Pin Type) เครื่องเดียวจบทุกการบด!
    บดสมุนไพรแห้งให้เป็นผงละเอียด รวดเร็วทันใจ กำลังการผลิตสูง
    ตัวเครื่องสแตนเลสแท้ 100%
    บดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรแห้ง พริก ข้าวสาร หรือธัญพืชต่างๆ
    ใช้งานง่าย ทำความสะอาดสะดวก
    เหมาะสำหรับธุรกิจอาหารและสมุนไพรทุกขนาด! สนใจเครื่องบดคุณภาพดี ทักเลย!
    สนใจสินค้า? แวะมาดูเครื่องจริงได้เลย! เรายินดีให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกท่านค่ะ
    เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น. | เสาร์: 8.00 - 16.00 น.
    แผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/4ppsHfy3NYb1uPPu6
    ช่องทางติดต่อสอบถาม:
    Facebook Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE Official Account: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก https://lin.ee/HV4lSKp
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com, yonghahheng@gmail.com
    #เครื่องบด #เครื่องบดสมุนไพร #เครื่องบดแห้ง #เครื่องบดผง #เครื่องบดอุตสาหกรรม #เครื่องบดอาหาร #เครื่องปั่นแห้ง #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ธุรกิจสมุนไพร #ธุรกิจอาหาร #สมุนไพร #บดสมุนไพร #ผงสมุนไพร #เครื่องเทศ #ผงเครื่องเทศ #ขมิ้น #ขิง #พริกไทย #ใบชา #BonnyPulverizer #โรงงานสมุนไพร #โรงงานอาหาร #เครื่องจักร #เครื่องมือ #ผู้ประกอบการ #เกษตรแปรรูป #แปรรูปสมุนไพร #ครัวเรือน #ผงชงดื่ม #YongHahHeng
    เครื่องบดแห้ง BONNY (Pin Type) เครื่องเดียวจบทุกการบด! บดสมุนไพรแห้งให้เป็นผงละเอียด รวดเร็วทันใจ กำลังการผลิตสูง ✅ ตัวเครื่องสแตนเลสแท้ 100% ✅ บดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรแห้ง พริก ข้าวสาร หรือธัญพืชต่างๆ ✅ ใช้งานง่าย ทำความสะอาดสะดวก เหมาะสำหรับธุรกิจอาหารและสมุนไพรทุกขนาด! สนใจเครื่องบดคุณภาพดี ทักเลย! สนใจสินค้า? แวะมาดูเครื่องจริงได้เลย! เรายินดีให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกท่านค่ะ เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น. | เสาร์: 8.00 - 16.00 น. แผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/4ppsHfy3NYb1uPPu6 ช่องทางติดต่อสอบถาม: Facebook Messenger: m.me/yonghahheng LINE Official Account: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก https://lin.ee/HV4lSKp โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com, yonghahheng@gmail.com #เครื่องบด #เครื่องบดสมุนไพร #เครื่องบดแห้ง #เครื่องบดผง #เครื่องบดอุตสาหกรรม #เครื่องบดอาหาร #เครื่องปั่นแห้ง #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ธุรกิจสมุนไพร #ธุรกิจอาหาร #สมุนไพร #บดสมุนไพร #ผงสมุนไพร #เครื่องเทศ #ผงเครื่องเทศ #ขมิ้น #ขิง #พริกไทย #ใบชา #BonnyPulverizer #โรงงานสมุนไพร #โรงงานอาหาร #เครื่องจักร #เครื่องมือ #ผู้ประกอบการ #เกษตรแปรรูป #แปรรูปสมุนไพร #ครัวเรือน #ผงชงดื่ม #YongHahHeng
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • “EggStreme: มัลแวร์ไร้ไฟล์จากจีน เจาะระบบทหารฟิลิปปินส์ — เงียบแต่ลึก พร้อมระบบสอดแนมครบวงจร”

    Bitdefender เผยรายงานล่าสุดเกี่ยวกับมัลแวร์ใหม่ชื่อ “EggStreme” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับจีนในการโจมตีบริษัทด้านการทหารของฟิลิปปินส์ โดยมัลแวร์นี้มีลักษณะ “fileless” คือไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในระบบไฟล์ ทำให้ตรวจจับได้ยาก และสามารถฝังตัวในหน่วยความจำเพื่อสอดแนมและควบคุมระบบได้อย่างต่อเนื่อง

    EggStreme เป็นชุดเครื่องมือแบบหลายขั้นตอน ประกอบด้วย 6 โมดูล ได้แก่ EggStremeFuel, EggStremeLoader, EggStremeReflectiveLoader, EggStremeAgent, EggStremeKeylogger และ EggStremeWizard ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างช่องทางสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2), ดึงข้อมูล, ควบคุมระบบ, และติดตั้ง backdoor สำรอง

    การโจมตีเริ่มจากการ sideload DLL ผ่านโปรแกรมที่เชื่อถือได้ เช่น mscorsvc.dll ซึ่งถูกฝังในระบบผ่าน batch script ที่รันจาก SMB share โดยไม่ทราบวิธีการเข้าถึงในขั้นต้น จากนั้นมัลแวร์จะค่อย ๆ โหลด payload เข้าสู่หน่วยความจำ และเปิดช่องทางสื่อสารแบบ gRPC เพื่อควบคุมระบบจากระยะไกล

    EggStremeAgent ซึ่งเป็นแกนหลักของระบบ มีคำสั่งมากถึง 58 แบบ เช่น การตรวจสอบระบบ, การยกระดับสิทธิ์, การเคลื่อนที่ในเครือข่าย, การดึงข้อมูล และการฝัง keylogger เพื่อเก็บข้อมูลการพิมพ์ของผู้ใช้ โดยมัลแวร์นี้ยังสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับจาก antivirus ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    แม้ Bitdefender จะไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ากลุ่มใดเป็นผู้โจมตี แต่เป้าหมายและวิธีการสอดคล้องกับกลุ่ม APT จากจีนที่เคยโจมตีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น เวียดนาม ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะในบริบทของความขัดแย้งในทะเลจีนใต้

    รายละเอียดของมัลแวร์ EggStreme
    เป็นมัลแวร์แบบ fileless ที่ทำงานในหน่วยความจำโดยไม่แตะระบบไฟล์
    ใช้ DLL sideloading ผ่านโปรแกรมที่เชื่อถือได้ เช่น mscorsvc.dll
    ประกอบด้วย 6 โมดูลหลักที่ทำงานร่วมกันแบบหลายขั้นตอน
    สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน gRPC เพื่อควบคุมระบบจากระยะไกล

    ความสามารถของแต่ละโมดูล
    EggStremeFuel: โหลด DLL เริ่มต้น, เปิด reverse shell, ตรวจสอบระบบ
    EggStremeLoader: อ่าน payload ที่เข้ารหัสและ inject เข้าสู่ process
    EggStremeReflectiveLoader: ถอดรหัสและเรียกใช้ payload สุดท้าย
    EggStremeAgent: backdoor หลัก มีคำสั่ง 58 แบบสำหรับควบคุมระบบ
    EggStremeKeylogger: ดักจับการพิมพ์และข้อมูลผู้ใช้
    EggStremeWizard: backdoor สำรองสำหรับ reverse shell และการอัปโหลดไฟล์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การโจมตีเริ่มจาก batch script บน SMB share โดยไม่ทราบวิธีการวางไฟล์
    เทคนิค fileless และ DLL sideloading ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับได้ดี
    การใช้โมดูลแบบหลายขั้นตอนช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจพบ
    เป้าหมายของการโจมตีคือการสอดแนมระยะยาวและการเข้าถึงแบบถาวร

    https://www.techradar.com/pro/security/china-related-threat-actors-deployed-a-new-fileless-malware-against-the-philippines-military
    🕵️‍♂️ “EggStreme: มัลแวร์ไร้ไฟล์จากจีน เจาะระบบทหารฟิลิปปินส์ — เงียบแต่ลึก พร้อมระบบสอดแนมครบวงจร” Bitdefender เผยรายงานล่าสุดเกี่ยวกับมัลแวร์ใหม่ชื่อ “EggStreme” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับจีนในการโจมตีบริษัทด้านการทหารของฟิลิปปินส์ โดยมัลแวร์นี้มีลักษณะ “fileless” คือไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในระบบไฟล์ ทำให้ตรวจจับได้ยาก และสามารถฝังตัวในหน่วยความจำเพื่อสอดแนมและควบคุมระบบได้อย่างต่อเนื่อง EggStreme เป็นชุดเครื่องมือแบบหลายขั้นตอน ประกอบด้วย 6 โมดูล ได้แก่ EggStremeFuel, EggStremeLoader, EggStremeReflectiveLoader, EggStremeAgent, EggStremeKeylogger และ EggStremeWizard ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างช่องทางสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2), ดึงข้อมูล, ควบคุมระบบ, และติดตั้ง backdoor สำรอง การโจมตีเริ่มจากการ sideload DLL ผ่านโปรแกรมที่เชื่อถือได้ เช่น mscorsvc.dll ซึ่งถูกฝังในระบบผ่าน batch script ที่รันจาก SMB share โดยไม่ทราบวิธีการเข้าถึงในขั้นต้น จากนั้นมัลแวร์จะค่อย ๆ โหลด payload เข้าสู่หน่วยความจำ และเปิดช่องทางสื่อสารแบบ gRPC เพื่อควบคุมระบบจากระยะไกล EggStremeAgent ซึ่งเป็นแกนหลักของระบบ มีคำสั่งมากถึง 58 แบบ เช่น การตรวจสอบระบบ, การยกระดับสิทธิ์, การเคลื่อนที่ในเครือข่าย, การดึงข้อมูล และการฝัง keylogger เพื่อเก็บข้อมูลการพิมพ์ของผู้ใช้ โดยมัลแวร์นี้ยังสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับจาก antivirus ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ Bitdefender จะไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ากลุ่มใดเป็นผู้โจมตี แต่เป้าหมายและวิธีการสอดคล้องกับกลุ่ม APT จากจีนที่เคยโจมตีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น เวียดนาม ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะในบริบทของความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ✅ รายละเอียดของมัลแวร์ EggStreme ➡️ เป็นมัลแวร์แบบ fileless ที่ทำงานในหน่วยความจำโดยไม่แตะระบบไฟล์ ➡️ ใช้ DLL sideloading ผ่านโปรแกรมที่เชื่อถือได้ เช่น mscorsvc.dll ➡️ ประกอบด้วย 6 โมดูลหลักที่ทำงานร่วมกันแบบหลายขั้นตอน ➡️ สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน gRPC เพื่อควบคุมระบบจากระยะไกล ✅ ความสามารถของแต่ละโมดูล ➡️ EggStremeFuel: โหลด DLL เริ่มต้น, เปิด reverse shell, ตรวจสอบระบบ ➡️ EggStremeLoader: อ่าน payload ที่เข้ารหัสและ inject เข้าสู่ process ➡️ EggStremeReflectiveLoader: ถอดรหัสและเรียกใช้ payload สุดท้าย ➡️ EggStremeAgent: backdoor หลัก มีคำสั่ง 58 แบบสำหรับควบคุมระบบ ➡️ EggStremeKeylogger: ดักจับการพิมพ์และข้อมูลผู้ใช้ ➡️ EggStremeWizard: backdoor สำรองสำหรับ reverse shell และการอัปโหลดไฟล์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การโจมตีเริ่มจาก batch script บน SMB share โดยไม่ทราบวิธีการวางไฟล์ ➡️ เทคนิค fileless และ DLL sideloading ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับได้ดี ➡️ การใช้โมดูลแบบหลายขั้นตอนช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจพบ ➡️ เป้าหมายของการโจมตีคือการสอดแนมระยะยาวและการเข้าถึงแบบถาวร https://www.techradar.com/pro/security/china-related-threat-actors-deployed-a-new-fileless-malware-against-the-philippines-military
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • “RTX 4090 ถูกแฮกให้กลายเป็น GPU 48GB สำหรับงาน AI — เมื่อช่างรัสเซียจับมือจีนเปลี่ยนการ์ดเกมให้กลายเป็นเครื่องมือระดับองค์กร”

    ในโลกของการดัดแปลงฮาร์ดแวร์ มีเรื่องราวที่น่าทึ่งเกิดขึ้นเมื่อ VIK-on ช่างเทคนิคและนักโมดิฟายจากรัสเซีย ได้เผยแพร่วิดีโอสาธิตการแปลงการ์ดจอ MSI RTX 4090 Suprim ให้กลายเป็น GPU สำหรับงาน AI ด้วยหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นเป็น 48GB โดยใช้เทคนิคที่ผสมผสานระหว่างการเปลี่ยนแผงวงจร (PCB) แบบพิเศษจากจีน การบัดกรีขั้นสูง และการดัดแปลงเฟิร์มแวร์

    กระบวนการนี้เริ่มจากการถอดชิป AD102 และชิป GDDR6X ขนาด 2GB จำนวน 12 ตัวออกจากการ์ดเดิม แล้วนำไปติดตั้งบน PCB แบบ “clamshell” ที่รองรับการติดตั้งหน่วยความจำทั้งสองด้าน พร้อมติดตั้งระบบระบายความร้อนแบบ blower-style ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้ในแร็คเซิร์ฟเวอร์หลาย GPU

    เฟิร์มแวร์ที่ใช้ถูกดัดแปลงจากเทคนิคที่เคยใช้ในการกู้การ์ดที่มีช่องหน่วยความจำเสีย โดยปรับให้ GPU สามารถรับรู้หน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นได้อย่างถูกต้อง แม้จะต้องใช้เครื่องมือราคาแพงและความชำนาญสูง แต่ราคาชุด PCB ที่จีนผลิตไว้ล่วงหน้ากลับอยู่ที่ประมาณ $140 และค่าใช้จ่ายรวมสำหรับการอัปเกรดอยู่ที่ราว $430 ก่อนค่าขนส่ง

    แม้จะดูคุ้มค่าเมื่อเทียบกับ GPU สำหรับ AI อย่าง L40s ที่มีราคาสูงถึง $7,500–$11,000 แต่การดัดแปลงนี้ก็มีข้อจำกัดหลายประการ ทั้งด้านความเสถียร การรับประกัน และความเสี่ยงในการใช้งานระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อการ์ดเหล่านี้อาจกลับเข้าสู่ตลาดมือสองโดยไม่มีการแจ้งเตือน

    รายละเอียดการดัดแปลง RTX 4090 เป็น 48GB
    ใช้ MSI RTX 4090 Suprim เป็นฐาน แล้วถอดชิป GPU และหน่วยความจำออก
    ติดตั้งบน PCB แบบ clamshell ที่รองรับหน่วยความจำสองด้าน
    ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ blower-style สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์
    ดัดแปลงเฟิร์มแวร์ให้ GPU รับรู้หน่วยความจำที่เพิ่มขึ้น

    องค์ประกอบและต้นทุน
    PCB แบบ clamshell มีราคาประมาณ $140 และมีส่วนประกอบพื้นฐานติดตั้งไว้แล้ว
    ค่าใช้จ่ายรวมสำหรับการอัปเกรดอยู่ที่ ~$430 ก่อนค่าขนส่ง
    หน่วยความจำ GDDR6X มักถูกเก็บจากการ์ดเสียหรือซื้อในราคาถูก
    การดัดแปลงต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ เช่น heat gun, flux, stencil และความชำนาญสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การ์ดที่ดัดแปลงสามารถใช้งานในงาน AI ได้ใกล้เคียงกับ L40s ซึ่งมีราคาสูงมาก
    BIOS ที่ใช้ดัดแปลงมาจากการรั่วไหลของเฟิร์มแวร์ Ada-generation
    มีการดัดแปลงลักษณะนี้ใน RTX 3090 และ 30-series มาก่อน
    การ์ดที่ถูกดัดแปลงอาจกลับเข้าสู่ตลาดมือสองโดยไม่มีการแจ้งว่าเคยถูกแก้ไข

    https://www.techpowerup.com/340880/nvidia-geforce-rtx-4090-gets-a-48-gb-mod-and-step-by-step-tutorial
    💥 “RTX 4090 ถูกแฮกให้กลายเป็น GPU 48GB สำหรับงาน AI — เมื่อช่างรัสเซียจับมือจีนเปลี่ยนการ์ดเกมให้กลายเป็นเครื่องมือระดับองค์กร” ในโลกของการดัดแปลงฮาร์ดแวร์ มีเรื่องราวที่น่าทึ่งเกิดขึ้นเมื่อ VIK-on ช่างเทคนิคและนักโมดิฟายจากรัสเซีย ได้เผยแพร่วิดีโอสาธิตการแปลงการ์ดจอ MSI RTX 4090 Suprim ให้กลายเป็น GPU สำหรับงาน AI ด้วยหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นเป็น 48GB โดยใช้เทคนิคที่ผสมผสานระหว่างการเปลี่ยนแผงวงจร (PCB) แบบพิเศษจากจีน การบัดกรีขั้นสูง และการดัดแปลงเฟิร์มแวร์ กระบวนการนี้เริ่มจากการถอดชิป AD102 และชิป GDDR6X ขนาด 2GB จำนวน 12 ตัวออกจากการ์ดเดิม แล้วนำไปติดตั้งบน PCB แบบ “clamshell” ที่รองรับการติดตั้งหน่วยความจำทั้งสองด้าน พร้อมติดตั้งระบบระบายความร้อนแบบ blower-style ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้ในแร็คเซิร์ฟเวอร์หลาย GPU เฟิร์มแวร์ที่ใช้ถูกดัดแปลงจากเทคนิคที่เคยใช้ในการกู้การ์ดที่มีช่องหน่วยความจำเสีย โดยปรับให้ GPU สามารถรับรู้หน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นได้อย่างถูกต้อง แม้จะต้องใช้เครื่องมือราคาแพงและความชำนาญสูง แต่ราคาชุด PCB ที่จีนผลิตไว้ล่วงหน้ากลับอยู่ที่ประมาณ $140 และค่าใช้จ่ายรวมสำหรับการอัปเกรดอยู่ที่ราว $430 ก่อนค่าขนส่ง แม้จะดูคุ้มค่าเมื่อเทียบกับ GPU สำหรับ AI อย่าง L40s ที่มีราคาสูงถึง $7,500–$11,000 แต่การดัดแปลงนี้ก็มีข้อจำกัดหลายประการ ทั้งด้านความเสถียร การรับประกัน และความเสี่ยงในการใช้งานระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อการ์ดเหล่านี้อาจกลับเข้าสู่ตลาดมือสองโดยไม่มีการแจ้งเตือน ✅ รายละเอียดการดัดแปลง RTX 4090 เป็น 48GB ➡️ ใช้ MSI RTX 4090 Suprim เป็นฐาน แล้วถอดชิป GPU และหน่วยความจำออก ➡️ ติดตั้งบน PCB แบบ clamshell ที่รองรับหน่วยความจำสองด้าน ➡️ ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ blower-style สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ดัดแปลงเฟิร์มแวร์ให้ GPU รับรู้หน่วยความจำที่เพิ่มขึ้น ✅ องค์ประกอบและต้นทุน ➡️ PCB แบบ clamshell มีราคาประมาณ $140 และมีส่วนประกอบพื้นฐานติดตั้งไว้แล้ว ➡️ ค่าใช้จ่ายรวมสำหรับการอัปเกรดอยู่ที่ ~$430 ก่อนค่าขนส่ง ➡️ หน่วยความจำ GDDR6X มักถูกเก็บจากการ์ดเสียหรือซื้อในราคาถูก ➡️ การดัดแปลงต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ เช่น heat gun, flux, stencil และความชำนาญสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การ์ดที่ดัดแปลงสามารถใช้งานในงาน AI ได้ใกล้เคียงกับ L40s ซึ่งมีราคาสูงมาก ➡️ BIOS ที่ใช้ดัดแปลงมาจากการรั่วไหลของเฟิร์มแวร์ Ada-generation ➡️ มีการดัดแปลงลักษณะนี้ใน RTX 3090 และ 30-series มาก่อน ➡️ การ์ดที่ถูกดัดแปลงอาจกลับเข้าสู่ตลาดมือสองโดยไม่มีการแจ้งว่าเคยถูกแก้ไข https://www.techpowerup.com/340880/nvidia-geforce-rtx-4090-gets-a-48-gb-mod-and-step-by-step-tutorial
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    NVIDIA GeForce RTX 4090 Gets a 48 GB Mod and Step-by-Step Tutorial
    A Russian technician and modder known as VIK-on has posted a hands-on video showing how Chinese workshops are converting GeForce RTX 4090 gaming cards into AI-focused accelerators by doubling their memory. Using an MSI RTX 4090 Suprim as a donor, VIK-on removed the AD102 GPU package and the card's 1...
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • “DOOMQL: เกมยิงแบบมัลติเพลเยอร์ที่เขียนด้วย SQL ล้วน ๆ — เมื่อฐานข้อมูลกลายเป็นเครื่องมือสร้างโลก 3D”

    ใครจะคิดว่า SQL ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้จัดการฐานข้อมูล จะสามารถใช้สร้างเกมยิงแบบ DOOM ได้ ล่าสุด Lukas Vogel นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และผู้ร่วมก่อตั้ง CedarDB ได้สร้างเกมชื่อ “DOOMQL” ซึ่งเป็นเกมยิงแบบมัลติเพลเยอร์ที่เขียนด้วย “pure SQL” ทั้งหมด โดยใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนระหว่างการลาคลอด

    DOOMQL ใช้เพียง ~150 บรรทัดของ Python สำหรับ client ที่รับอินพุตจากผู้เล่นและแสดงภาพ ส่วนการประมวลผลทั้งหมด — ตั้งแต่การเรนเดอร์ภาพ 3D, การเคลื่อนไหวของศัตรู, ไปจนถึงการจัดการสถานะเกม — ถูกเขียนด้วย SQL ล้วน ๆ บนฐานข้อมูล CedarDB ซึ่งทำให้เกมสามารถรันได้ที่ 30 FPS บนความละเอียด 128x64 พิกเซล

    ความพิเศษของ DOOMQL คือการใช้ฐานข้อมูลเป็น “เซิร์ฟเวอร์เกม” โดยอาศัยคุณสมบัติของ SQL เช่น transaction isolation เพื่อให้ผู้เล่นแต่ละคนเห็นสถานะเกมที่สอดคล้องกัน แม้จะมีผู้เล่นหลายคนพร้อมกัน และยังสามารถ “โกง” ได้โดยการส่งคำสั่ง SQL ตรงเข้าไปในฐานข้อมูล

    Vogel ได้แรงบันดาลใจจากโปรเจกต์ DuckDB-DOOM ซึ่งใช้ SQL ร่วมกับ JavaScript ในการเรนเดอร์ภาพ แต่เขามองว่าการใช้ JavaScript เป็น “การโกง” และต้องการพิสูจน์ว่า SQL เพียงอย่างเดียวก็สามารถสร้างเกมได้จริง แม้จะยอมรับว่า “มันอาจจะเป็นไอเดียที่แย่” ในแง่ของการดูแลรักษาและดีบัก

    จุดเด่นของ DOOMQL
    เกมยิงแบบมัลติเพลเยอร์ที่เขียนด้วย SQL ล้วน ๆ — ไม่มี JavaScript หรือ engine ภายนอก
    ใช้ CedarDB เป็นฐานข้อมูลหลักในการจัดการสถานะและเรนเดอร์ภาพ
    รันที่ 30 FPS บนความละเอียด 128x64 พิกเซล — เร็วกว่ารุ่น DuckDB ที่รันได้เพียง 8 FPS
    ใช้เพียง ~150 บรรทัดของ Python สำหรับ client ที่รับอินพุตและแสดงภาพ

    สถาปัตยกรรมของเกม
    ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในตาราง SQL เช่น map, players, mobs, inputs, sprites
    การเรนเดอร์ใช้ stack ของ SQL views ที่ทำ raycasting และ sprite projection
    game loop เป็น shell script ที่รัน SQL file ประมาณ 30 ครั้งต่อวินาที
    ผู้เล่นสามารถส่งคำสั่ง SQL เพื่อเปลี่ยนสถานะเกมหรือ “โกง” ได้โดยตรง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DuckDB-DOOM เป็นโปรเจกต์ก่อนหน้า ที่ใช้ SQL ร่วมกับ JavaScript และ WebAssembly
    DOOMQL ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาและนักวิจัยด้านฐานข้อมูล
    CedarDB เป็นฐานข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพสูงในการ query แบบ real-time
    Vogel วางแผนเพิ่มฟีเจอร์ เช่น power-ups, อาวุธหลายแบบ, AI ฝ่ายตรงข้าม และระบบ sprite ที่ดีขึ้น

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/doom-multiplayer-tribute-gets-coded-in-pure-sql-and-runs-at-30fps-made-from-just-150-lines-of-code-in-less-than-a-month
    🧠 “DOOMQL: เกมยิงแบบมัลติเพลเยอร์ที่เขียนด้วย SQL ล้วน ๆ — เมื่อฐานข้อมูลกลายเป็นเครื่องมือสร้างโลก 3D” ใครจะคิดว่า SQL ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้จัดการฐานข้อมูล จะสามารถใช้สร้างเกมยิงแบบ DOOM ได้ ล่าสุด Lukas Vogel นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และผู้ร่วมก่อตั้ง CedarDB ได้สร้างเกมชื่อ “DOOMQL” ซึ่งเป็นเกมยิงแบบมัลติเพลเยอร์ที่เขียนด้วย “pure SQL” ทั้งหมด โดยใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนระหว่างการลาคลอด DOOMQL ใช้เพียง ~150 บรรทัดของ Python สำหรับ client ที่รับอินพุตจากผู้เล่นและแสดงภาพ ส่วนการประมวลผลทั้งหมด — ตั้งแต่การเรนเดอร์ภาพ 3D, การเคลื่อนไหวของศัตรู, ไปจนถึงการจัดการสถานะเกม — ถูกเขียนด้วย SQL ล้วน ๆ บนฐานข้อมูล CedarDB ซึ่งทำให้เกมสามารถรันได้ที่ 30 FPS บนความละเอียด 128x64 พิกเซล ความพิเศษของ DOOMQL คือการใช้ฐานข้อมูลเป็น “เซิร์ฟเวอร์เกม” โดยอาศัยคุณสมบัติของ SQL เช่น transaction isolation เพื่อให้ผู้เล่นแต่ละคนเห็นสถานะเกมที่สอดคล้องกัน แม้จะมีผู้เล่นหลายคนพร้อมกัน และยังสามารถ “โกง” ได้โดยการส่งคำสั่ง SQL ตรงเข้าไปในฐานข้อมูล Vogel ได้แรงบันดาลใจจากโปรเจกต์ DuckDB-DOOM ซึ่งใช้ SQL ร่วมกับ JavaScript ในการเรนเดอร์ภาพ แต่เขามองว่าการใช้ JavaScript เป็น “การโกง” และต้องการพิสูจน์ว่า SQL เพียงอย่างเดียวก็สามารถสร้างเกมได้จริง แม้จะยอมรับว่า “มันอาจจะเป็นไอเดียที่แย่” ในแง่ของการดูแลรักษาและดีบัก ✅ จุดเด่นของ DOOMQL ➡️ เกมยิงแบบมัลติเพลเยอร์ที่เขียนด้วย SQL ล้วน ๆ — ไม่มี JavaScript หรือ engine ภายนอก ➡️ ใช้ CedarDB เป็นฐานข้อมูลหลักในการจัดการสถานะและเรนเดอร์ภาพ ➡️ รันที่ 30 FPS บนความละเอียด 128x64 พิกเซล — เร็วกว่ารุ่น DuckDB ที่รันได้เพียง 8 FPS ➡️ ใช้เพียง ~150 บรรทัดของ Python สำหรับ client ที่รับอินพุตและแสดงภาพ ✅ สถาปัตยกรรมของเกม ➡️ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในตาราง SQL เช่น map, players, mobs, inputs, sprites ➡️ การเรนเดอร์ใช้ stack ของ SQL views ที่ทำ raycasting และ sprite projection ➡️ game loop เป็น shell script ที่รัน SQL file ประมาณ 30 ครั้งต่อวินาที ➡️ ผู้เล่นสามารถส่งคำสั่ง SQL เพื่อเปลี่ยนสถานะเกมหรือ “โกง” ได้โดยตรง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DuckDB-DOOM เป็นโปรเจกต์ก่อนหน้า ที่ใช้ SQL ร่วมกับ JavaScript และ WebAssembly ➡️ DOOMQL ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาและนักวิจัยด้านฐานข้อมูล ➡️ CedarDB เป็นฐานข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพสูงในการ query แบบ real-time ➡️ Vogel วางแผนเพิ่มฟีเจอร์ เช่น power-ups, อาวุธหลายแบบ, AI ฝ่ายตรงข้าม และระบบ sprite ที่ดีขึ้น https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/doom-multiplayer-tribute-gets-coded-in-pure-sql-and-runs-at-30fps-made-from-just-150-lines-of-code-in-less-than-a-month
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • “Windows 11 25H2 มาแล้ว — อัปเดตแบบ ‘เปิดสวิตช์’ พร้อม ISO สำหรับนักทดสอบ แต่ยังไม่มีอะไรใหม่ให้ตื่นเต้น”

    Microsoft ปล่อยไฟล์ ISO สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 แล้วในวันที่ 10 กันยายน 2025 หลังจากมีความล่าช้าเล็กน้อย โดยเปิดให้ดาวน์โหลดผ่านหน้า Windows Insider สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งแบบ clean install หรืออัปเกรดด้วยตนเองก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Windows 11 25H2 ไม่ใช่การอัปเดตแบบเปลี่ยนระบบทั้งหมด แต่เป็น “enablement package” หรือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ที่ถูกฝังไว้แล้วในเวอร์ชัน 24H2 โดยไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด ทำให้การอัปเดตเร็วขึ้น ใช้พื้นที่น้อยลง และไม่กระทบกับระบบหลัก

    แม้จะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น แต่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น การลบเครื่องมือเก่าอย่าง PowerShell 2.0 และ WMIC ออกจากระบบ รวมถึงการเปิดให้ผู้ดูแลระบบในองค์กรสามารถถอนการติดตั้งแอปจาก Microsoft Store ได้มากขึ้น เพื่อให้การจัดการเครื่องในองค์กรง่ายขึ้น

    สำหรับผู้ใช้ทั่วไป การอัปเดตนี้อาจไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะไม่มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพจากเวอร์ชัน 24H2 และยังไม่มีฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา ยกเว้นในเครื่องที่รองรับ Copilot+ ซึ่งต้องใช้ NPU ที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 40 TOPS

    รายละเอียดของ Windows 11 25H2
    ปล่อย ISO สำหรับนักทดสอบเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025
    ใช้รูปแบบ “enablement package” — เปิดฟีเจอร์ที่ฝังไว้ใน 24H2
    อัปเดตเร็วขึ้น ไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด และใช้พื้นที่น้อย
    Build 26200.5074 อยู่ใน Release Preview Channel

    การเปลี่ยนแปลงในระบบ
    ลบเครื่องมือเก่า เช่น PowerShell 2.0 และ WMIC
    ผู้ดูแลระบบสามารถถอนการติดตั้งแอปจาก Microsoft Store ได้มากขึ้น
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพจากเวอร์ชัน 24H2
    รองรับการอัปเดตแบบ in-place หรือ clean install ผ่าน ISO

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฟีเจอร์ใหม่ถูกฝังไว้ใน 24H2 แล้ว — 25H2 แค่เปิดใช้งาน
    การอัปเดตแบบนี้เคยใช้ใน Windows 10 ระหว่าง 1903 กับ 1909
    เครื่องที่ใช้ Copilot+ จะได้ฟีเจอร์ AI เพิ่มเติม แต่ต้องมี NPU 40+ TOPS
    การอัปเดตนี้จะรีเซ็ตรอบการสนับสนุนใหม่ — 24 เดือนสำหรับทั่วไป, 36 เดือนสำหรับองค์กร

    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11-25h2-isos-released
    🖥️ “Windows 11 25H2 มาแล้ว — อัปเดตแบบ ‘เปิดสวิตช์’ พร้อม ISO สำหรับนักทดสอบ แต่ยังไม่มีอะไรใหม่ให้ตื่นเต้น” Microsoft ปล่อยไฟล์ ISO สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 แล้วในวันที่ 10 กันยายน 2025 หลังจากมีความล่าช้าเล็กน้อย โดยเปิดให้ดาวน์โหลดผ่านหน้า Windows Insider สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งแบบ clean install หรืออัปเกรดด้วยตนเองก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ Windows 11 25H2 ไม่ใช่การอัปเดตแบบเปลี่ยนระบบทั้งหมด แต่เป็น “enablement package” หรือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ที่ถูกฝังไว้แล้วในเวอร์ชัน 24H2 โดยไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด ทำให้การอัปเดตเร็วขึ้น ใช้พื้นที่น้อยลง และไม่กระทบกับระบบหลัก แม้จะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น แต่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น การลบเครื่องมือเก่าอย่าง PowerShell 2.0 และ WMIC ออกจากระบบ รวมถึงการเปิดให้ผู้ดูแลระบบในองค์กรสามารถถอนการติดตั้งแอปจาก Microsoft Store ได้มากขึ้น เพื่อให้การจัดการเครื่องในองค์กรง่ายขึ้น สำหรับผู้ใช้ทั่วไป การอัปเดตนี้อาจไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะไม่มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพจากเวอร์ชัน 24H2 และยังไม่มีฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา ยกเว้นในเครื่องที่รองรับ Copilot+ ซึ่งต้องใช้ NPU ที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 40 TOPS ✅ รายละเอียดของ Windows 11 25H2 ➡️ ปล่อย ISO สำหรับนักทดสอบเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 ➡️ ใช้รูปแบบ “enablement package” — เปิดฟีเจอร์ที่ฝังไว้ใน 24H2 ➡️ อัปเดตเร็วขึ้น ไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด และใช้พื้นที่น้อย ➡️ Build 26200.5074 อยู่ใน Release Preview Channel ✅ การเปลี่ยนแปลงในระบบ ➡️ ลบเครื่องมือเก่า เช่น PowerShell 2.0 และ WMIC ➡️ ผู้ดูแลระบบสามารถถอนการติดตั้งแอปจาก Microsoft Store ได้มากขึ้น ➡️ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพจากเวอร์ชัน 24H2 ➡️ รองรับการอัปเดตแบบ in-place หรือ clean install ผ่าน ISO ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ถูกฝังไว้ใน 24H2 แล้ว — 25H2 แค่เปิดใช้งาน ➡️ การอัปเดตแบบนี้เคยใช้ใน Windows 10 ระหว่าง 1903 กับ 1909 ➡️ เครื่องที่ใช้ Copilot+ จะได้ฟีเจอร์ AI เพิ่มเติม แต่ต้องมี NPU 40+ TOPS ➡️ การอัปเดตนี้จะรีเซ็ตรอบการสนับสนุนใหม่ — 24 เดือนสำหรับทั่วไป, 36 เดือนสำหรับองค์กร https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11-25h2-isos-released
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Windows 11 25H2 ISOs released after delays — upgrade switches on some features, now available for insiders
    Microsoft's fall update is now just a download away, but support won’t be available until general availability later this year.
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • “ปืนกาวพิมพ์กระดูก — นวัตกรรมใหม่จากเกาหลีใต้ เปลี่ยนการผ่าตัดกระดูกให้แม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น”

    ใครจะคิดว่า “ปืนกาว” ที่เราใช้ในงานประดิษฐ์จะกลายเป็นเครื่องมือช่วยชีวิตในห้องผ่าตัด ล่าสุดทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Sungkyunkwan (SKKU) ประเทศเกาหลีใต้ ได้พัฒนาอุปกรณ์พิมพ์สามมิติแบบมือถือที่สามารถ “พิมพ์กระดูกเทียม” ลงบนเนื้อเยื่อของผู้ป่วยได้โดยตรงระหว่างการผ่าตัด

    อุปกรณ์นี้มีลักษณะคล้ายปืนกาวทั่วไป แต่ใช้วัสดุแท่งที่ประกอบด้วย polycaprolactone (PCL) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพ และ hydroxyapatite (HA) ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่พบในกระดูกตามธรรมชาติ เมื่อหลอมละลายแล้วจะกลายเป็นโครงสร้างรองรับการเจริญเติบโตของกระดูกใหม่ โดยสามารถปรับทิศทาง ความลึก และมุมการพิมพ์ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เหมาะกับการซ่อมแซมรอยแตกหรือช่องว่างที่มีรูปร่างไม่แน่นอน

    นอกจากความสามารถในการพิมพ์โครงสร้างกระดูกแล้ว ทีมวิจัยยังสามารถผสมยาปฏิชีวนะ เช่น vancomycin และ gentamycin ลงในวัสดุพิมพ์ได้โดยตรง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังผ่าตัด และลดการใช้ยาปฏิชีวนะแบบกินที่อาจนำไปสู่การดื้อยา

    การทดลองในสัตว์แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างที่พิมพ์ด้วยอุปกรณ์นี้มีความแข็งแรงสูง กระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ได้ดี และไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง โดยวัสดุจะค่อย ๆ สลายตัวและถูกแทนที่ด้วยกระดูกจริงในระยะเวลา 12 สัปดาห์

    แม้เทคโนโลยีนี้จะยังไม่พร้อมใช้งานในโรงพยาบาลทั่วไป แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของการผ่าตัดแบบ “พิมพ์สด” ที่อาจเปลี่ยนวิธีการรักษากระดูกในอนาคต

    จุดเด่นของเทคโนโลยีปืนกาวพิมพ์กระดูก
    พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Sungkyunkwan (SKKU) ประเทศเกาหลีใต้
    ใช้วัสดุ PCL และ hydroxyapatite ซึ่งปลอดภัยและกระตุ้นการสร้างกระดูก
    พิมพ์ได้โดยตรงบนเนื้อเยื่อของผู้ป่วยระหว่างการผ่าตัด
    ปรับทิศทาง มุม และความลึกของการพิมพ์ได้แบบเรียลไทม์

    ความสามารถเพิ่มเติม
    ผสมยาปฏิชีวนะลงในวัสดุพิมพ์เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
    ไม่ต้องใช้สารละลายที่เป็นพิษ — ปลอดภัยต่อเนื้อเยื่อ
    วัสดุพิมพ์สามารถสลายตัวและถูกแทนที่ด้วยกระดูกจริง
    ใช้เวลาพิมพ์เพียงไม่กี่นาที — ลดเวลาในการผ่าตัด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การทดลองในสัตว์แสดงผลลัพธ์ที่ดีในด้านความแข็งแรงและการฟื้นฟู
    การปรับสัดส่วน HA/PCL สามารถควบคุมความแข็งและอัตราการสลายตัวได้
    อุปกรณ์นี้ได้รับความร่วมมือจากหลายสถาบัน เช่น MIT, KAIST, SNU
    เทคโนโลยีนี้อาจแทนที่ bone cement และการปลูกถ่ายโลหะในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/researchers-develop-modified-glue-gun-that-can-print-bone-device-3d-prints-synthetic-grafts-directly-onto-patients-living-tissue-during-surgery
    🦴 “ปืนกาวพิมพ์กระดูก — นวัตกรรมใหม่จากเกาหลีใต้ เปลี่ยนการผ่าตัดกระดูกให้แม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น” ใครจะคิดว่า “ปืนกาว” ที่เราใช้ในงานประดิษฐ์จะกลายเป็นเครื่องมือช่วยชีวิตในห้องผ่าตัด ล่าสุดทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Sungkyunkwan (SKKU) ประเทศเกาหลีใต้ ได้พัฒนาอุปกรณ์พิมพ์สามมิติแบบมือถือที่สามารถ “พิมพ์กระดูกเทียม” ลงบนเนื้อเยื่อของผู้ป่วยได้โดยตรงระหว่างการผ่าตัด อุปกรณ์นี้มีลักษณะคล้ายปืนกาวทั่วไป แต่ใช้วัสดุแท่งที่ประกอบด้วย polycaprolactone (PCL) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพ และ hydroxyapatite (HA) ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่พบในกระดูกตามธรรมชาติ เมื่อหลอมละลายแล้วจะกลายเป็นโครงสร้างรองรับการเจริญเติบโตของกระดูกใหม่ โดยสามารถปรับทิศทาง ความลึก และมุมการพิมพ์ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เหมาะกับการซ่อมแซมรอยแตกหรือช่องว่างที่มีรูปร่างไม่แน่นอน นอกจากความสามารถในการพิมพ์โครงสร้างกระดูกแล้ว ทีมวิจัยยังสามารถผสมยาปฏิชีวนะ เช่น vancomycin และ gentamycin ลงในวัสดุพิมพ์ได้โดยตรง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังผ่าตัด และลดการใช้ยาปฏิชีวนะแบบกินที่อาจนำไปสู่การดื้อยา การทดลองในสัตว์แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างที่พิมพ์ด้วยอุปกรณ์นี้มีความแข็งแรงสูง กระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ได้ดี และไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง โดยวัสดุจะค่อย ๆ สลายตัวและถูกแทนที่ด้วยกระดูกจริงในระยะเวลา 12 สัปดาห์ แม้เทคโนโลยีนี้จะยังไม่พร้อมใช้งานในโรงพยาบาลทั่วไป แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของการผ่าตัดแบบ “พิมพ์สด” ที่อาจเปลี่ยนวิธีการรักษากระดูกในอนาคต ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยีปืนกาวพิมพ์กระดูก ➡️ พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Sungkyunkwan (SKKU) ประเทศเกาหลีใต้ ➡️ ใช้วัสดุ PCL และ hydroxyapatite ซึ่งปลอดภัยและกระตุ้นการสร้างกระดูก ➡️ พิมพ์ได้โดยตรงบนเนื้อเยื่อของผู้ป่วยระหว่างการผ่าตัด ➡️ ปรับทิศทาง มุม และความลึกของการพิมพ์ได้แบบเรียลไทม์ ✅ ความสามารถเพิ่มเติม ➡️ ผสมยาปฏิชีวนะลงในวัสดุพิมพ์เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ ➡️ ไม่ต้องใช้สารละลายที่เป็นพิษ — ปลอดภัยต่อเนื้อเยื่อ ➡️ วัสดุพิมพ์สามารถสลายตัวและถูกแทนที่ด้วยกระดูกจริง ➡️ ใช้เวลาพิมพ์เพียงไม่กี่นาที — ลดเวลาในการผ่าตัด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การทดลองในสัตว์แสดงผลลัพธ์ที่ดีในด้านความแข็งแรงและการฟื้นฟู ➡️ การปรับสัดส่วน HA/PCL สามารถควบคุมความแข็งและอัตราการสลายตัวได้ ➡️ อุปกรณ์นี้ได้รับความร่วมมือจากหลายสถาบัน เช่น MIT, KAIST, SNU ➡️ เทคโนโลยีนี้อาจแทนที่ bone cement และการปลูกถ่ายโลหะในอนาคต https://www.tomshardware.com/3d-printing/researchers-develop-modified-glue-gun-that-can-print-bone-device-3d-prints-synthetic-grafts-directly-onto-patients-living-tissue-during-surgery
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews
  • “Nano11 ลดขนาด Windows 11 เหลือแค่ 2.8GB — สคริปต์ทดลองสุดขั้วสำหรับสายทดสอบที่ไม่ต้องการ ‘ขยะ’ ใด ๆ”

    NTDEV นักพัฒนาผู้เคยสร้าง Tiny11 ได้เปิดตัวสคริปต์ใหม่ชื่อว่า “Nano11 Builder” ซึ่งสามารถลดขนาดไฟล์ติดตั้ง Windows 11 ลงได้อย่างน่าทึ่ง โดยจาก ISO มาตรฐานขนาด 7.04GB สามารถลดเหลือเพียง 2.29GB และหากใช้ Windows 11 LTSC เป็นต้นฉบับ จะสามารถติดตั้งได้ในพื้นที่เพียง 2.8GB เท่านั้น

    Nano11 ไม่ใช่แค่การลบฟีเจอร์ทั่วไป แต่เป็นการ “ปาดทิ้งทุกสิ่งที่ไม่จำเป็น” เช่น Windows Hello, .NET assemblies, IME, driver ที่ไม่จำเป็น, wallpaper และอื่น ๆ โดยใช้ PowerShell script ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับการทดสอบเท่านั้น ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน

    การติดตั้ง Nano11 บน VMware Workstation ใช้พื้นที่เพียง 20GB และหลังจากรันคำสั่ง ‘Compact’ ด้วย LZX compression และลบ page file แล้ว พื้นที่ใช้งานจริงเหลือเพียง 3.2GB ซึ่งถือว่าเบากว่าระบบปฏิบัติการมือถือบางตัวเสียอีก

    แม้จะดูน่าตื่นเต้นสำหรับสายทดสอบหรือผู้ที่ต้องการ VM ขนาดเล็ก แต่ NTDEV ก็เตือนชัดเจนว่า Nano11 เป็น “สคริปต์ทดลองสุดขั้ว” ไม่เหมาะกับการใช้งานจริง และไม่มีระบบอัปเดตหรือความปลอดภัยที่เพียงพอ

    จุดเด่นของ Nano11 Builder
    ลดขนาด ISO จาก 7.04GB เหลือ 2.29GB ด้วย PowerShell script
    หากใช้ Windows 11 LTSC จะติดตั้งได้ในพื้นที่เพียง 2.8GB
    ลบฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น เช่น Windows Hello, IME, .NET assemblies, driver, wallpaper
    ใช้ LZX compression และลบ page file เพื่อให้ footprint ต่ำสุด

    การใช้งานและการติดตั้ง
    เหมาะสำหรับการสร้าง VM ขนาดเล็กเพื่อทดสอบระบบ
    ใช้ VMware Workstation ติดตั้งบน virtual disk ขนาด 20GB
    ใช้เครื่องมือจาก Microsoft เช่น DISM และ oscdimg เท่านั้น
    เหมาะกับผู้พัฒนา, นักทดสอบ, หรือผู้ที่ต้องการระบบเบาสุด ๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tiny11 เคยลดขนาด Windows 11 ได้เหลือประมาณ 8GB — Nano11 เล็กกว่า 3.5 เท่า
    โครงการนี้ได้รับความนิยมใน GitHub และฟอรั่มสายทดสอบ
    Windows 11 LTSC เป็นเวอร์ชันที่ไม่มีฟีเจอร์ AI และแอป Microsoft 365
    Nano11 ยังสามารถใช้กับ Windows 11 รุ่นอื่นได้ แต่ผลลัพธ์อาจต่างกัน

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Nano11 เป็นสคริปต์ทดลอง — ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงหรือเครื่องหลัก
    ไม่มีระบบ Windows Update — ไม่สามารถอัปเดตหรือรับแพตช์ความปลอดภัย
    การลบฟีเจอร์บางอย่างอาจทำให้แอปหรือบริการบางตัวไม่ทำงาน
    ไม่มีการรับประกันความเสถียรหรือความปลอดภัยของระบบ
    การใช้งานในองค์กรหรือเครื่องจริงอาจเสี่ยงต่อข้อมูลและความมั่นคง

    https://www.tomshardware.com/software/windows/nano11-compresses-windows-11-install-footprint-to-as-little-as-2-8gb-extreme-experimental-script-is-3-5-times-smaller-than-tiny11-and-comes-with-none-of-the-fluff
    🧪 “Nano11 ลดขนาด Windows 11 เหลือแค่ 2.8GB — สคริปต์ทดลองสุดขั้วสำหรับสายทดสอบที่ไม่ต้องการ ‘ขยะ’ ใด ๆ” NTDEV นักพัฒนาผู้เคยสร้าง Tiny11 ได้เปิดตัวสคริปต์ใหม่ชื่อว่า “Nano11 Builder” ซึ่งสามารถลดขนาดไฟล์ติดตั้ง Windows 11 ลงได้อย่างน่าทึ่ง โดยจาก ISO มาตรฐานขนาด 7.04GB สามารถลดเหลือเพียง 2.29GB และหากใช้ Windows 11 LTSC เป็นต้นฉบับ จะสามารถติดตั้งได้ในพื้นที่เพียง 2.8GB เท่านั้น Nano11 ไม่ใช่แค่การลบฟีเจอร์ทั่วไป แต่เป็นการ “ปาดทิ้งทุกสิ่งที่ไม่จำเป็น” เช่น Windows Hello, .NET assemblies, IME, driver ที่ไม่จำเป็น, wallpaper และอื่น ๆ โดยใช้ PowerShell script ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับการทดสอบเท่านั้น ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน การติดตั้ง Nano11 บน VMware Workstation ใช้พื้นที่เพียง 20GB และหลังจากรันคำสั่ง ‘Compact’ ด้วย LZX compression และลบ page file แล้ว พื้นที่ใช้งานจริงเหลือเพียง 3.2GB ซึ่งถือว่าเบากว่าระบบปฏิบัติการมือถือบางตัวเสียอีก แม้จะดูน่าตื่นเต้นสำหรับสายทดสอบหรือผู้ที่ต้องการ VM ขนาดเล็ก แต่ NTDEV ก็เตือนชัดเจนว่า Nano11 เป็น “สคริปต์ทดลองสุดขั้ว” ไม่เหมาะกับการใช้งานจริง และไม่มีระบบอัปเดตหรือความปลอดภัยที่เพียงพอ ✅ จุดเด่นของ Nano11 Builder ➡️ ลดขนาด ISO จาก 7.04GB เหลือ 2.29GB ด้วย PowerShell script ➡️ หากใช้ Windows 11 LTSC จะติดตั้งได้ในพื้นที่เพียง 2.8GB ➡️ ลบฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น เช่น Windows Hello, IME, .NET assemblies, driver, wallpaper ➡️ ใช้ LZX compression และลบ page file เพื่อให้ footprint ต่ำสุด ✅ การใช้งานและการติดตั้ง ➡️ เหมาะสำหรับการสร้าง VM ขนาดเล็กเพื่อทดสอบระบบ ➡️ ใช้ VMware Workstation ติดตั้งบน virtual disk ขนาด 20GB ➡️ ใช้เครื่องมือจาก Microsoft เช่น DISM และ oscdimg เท่านั้น ➡️ เหมาะกับผู้พัฒนา, นักทดสอบ, หรือผู้ที่ต้องการระบบเบาสุด ๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tiny11 เคยลดขนาด Windows 11 ได้เหลือประมาณ 8GB — Nano11 เล็กกว่า 3.5 เท่า ➡️ โครงการนี้ได้รับความนิยมใน GitHub และฟอรั่มสายทดสอบ ➡️ Windows 11 LTSC เป็นเวอร์ชันที่ไม่มีฟีเจอร์ AI และแอป Microsoft 365 ➡️ Nano11 ยังสามารถใช้กับ Windows 11 รุ่นอื่นได้ แต่ผลลัพธ์อาจต่างกัน ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Nano11 เป็นสคริปต์ทดลอง — ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงหรือเครื่องหลัก ⛔ ไม่มีระบบ Windows Update — ไม่สามารถอัปเดตหรือรับแพตช์ความปลอดภัย ⛔ การลบฟีเจอร์บางอย่างอาจทำให้แอปหรือบริการบางตัวไม่ทำงาน ⛔ ไม่มีการรับประกันความเสถียรหรือความปลอดภัยของระบบ ⛔ การใช้งานในองค์กรหรือเครื่องจริงอาจเสี่ยงต่อข้อมูลและความมั่นคง https://www.tomshardware.com/software/windows/nano11-compresses-windows-11-install-footprint-to-as-little-as-2-8gb-extreme-experimental-script-is-3-5-times-smaller-than-tiny11-and-comes-with-none-of-the-fluff
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
  • “บริการป้องกัน DDoS กลายเป็นเหยื่อของการโจมตี DDoS ขนาดมหึมา — FastNetMon ตรวจจับได้ทันก่อนระบบล่ม”

    ในเหตุการณ์ที่ชวนให้ตั้งคำถามถึงความมั่นคงของโครงสร้างอินเทอร์เน็ต บริการป้องกัน DDoS รายหนึ่งในยุโรปตะวันตกกลับกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตี DDoS ขนาดใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยมีปริมาณการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มาจากอุปกรณ์ลูกค้าทั่วโลกกว่า 11,000 เครือข่าย2.

    แม้จะเป็นบริการที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการโจมตีลักษณะนี้ แต่ครั้งนี้ก็ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจาก FastNetMon ซึ่งสามารถตรวจจับและบรรเทาการโจมตีได้ภายในไม่กี่วินาที ด้วยแพลตฟอร์มที่ใช้ algorithm แบบ C++ ที่ปรับแต่งมาเพื่อการวิเคราะห์ทราฟฟิกแบบเรียลไทม์

    สิ่งที่ทำให้การโจมตีครั้งนี้น่ากังวลคือการใช้ “อุปกรณ์ทั่วไปในบ้าน” เช่น เราเตอร์และ IoT ที่ถูกแฮกมาเป็นเครื่องมือโจมตี ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการ weaponize อุปกรณ์ผู้บริโภคในระดับมหาศาล โดย FastNetMon เตือนว่า หากไม่มีการกรองทราฟฟิกที่ระดับ ISP การโจมตีลักษณะนี้จะยิ่งขยายตัวและควบคุมได้ยาก

    แม้จะไม่ใช่การโจมตีที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของ bandwidth (Cloudflare เคยรับมือกับการโจมตีขนาด 11.5 Tbps และ 5.1 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที) แต่การโจมตีครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในระดับ packet-rate ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ และเป็นสัญญาณเตือนว่าโลกไซเบอร์กำลังเข้าสู่ยุคที่การโจมตีสามารถเกิดขึ้นจากอุปกรณ์ที่เราใช้อยู่ทุกวัน

    รายละเอียดของการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่
    เป้าหมายคือผู้ให้บริการ DDoS scrubbing ในยุโรปตะวันตก
    ปริมาณการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps)
    ใช้เทคนิค UDP flood จากอุปกรณ์ CPE ที่ถูกแฮก เช่น IoT และเราเตอร์
    มาจากกว่า 11,000 เครือข่ายทั่วโลก — สะท้อนการกระจายตัวระดับมหาศาล

    การตอบสนองของ FastNetMon
    ใช้แพลตฟอร์ม Advanced ที่เขียนด้วย C++ สำหรับการตรวจจับแบบเรียลไทม์
    ตรวจจับได้ภายในไม่กี่วินาที — ป้องกันระบบล่มได้ทัน
    ใช้ ACL บน edge routers เพื่อบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย
    เตือนให้มีการกรองทราฟฟิกที่ระดับ ISP เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cloudflare เคยรับมือกับการโจมตีขนาด 11.5 Tbps และ 5.1 Bpps เพียงไม่กี่วันก่อนหน้า
    UDP เป็นโปรโตคอลที่นิยมใช้โจมตี เพราะไม่ต้องมี handshake แบบ TCP
    อุปกรณ์ CPE ที่ไม่ได้รับการอัปเดตหรือมีรหัสผ่านเริ่มต้น เป็นเป้าหมายหลักของการแฮก
    การโจมตีแบบ packet-rate flood มุ่งทำลาย state table และ buffer ของอุปกรณ์เครือข่าย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ddos-scrubbing-service-ironic-target-of-massive-attack-it-was-built-to-prevent-hit-with-1-5-billion-packets-per-second-from-more-than-11-000-distributed-networks
    🌐 “บริการป้องกัน DDoS กลายเป็นเหยื่อของการโจมตี DDoS ขนาดมหึมา — FastNetMon ตรวจจับได้ทันก่อนระบบล่ม” ในเหตุการณ์ที่ชวนให้ตั้งคำถามถึงความมั่นคงของโครงสร้างอินเทอร์เน็ต บริการป้องกัน DDoS รายหนึ่งในยุโรปตะวันตกกลับกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตี DDoS ขนาดใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยมีปริมาณการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มาจากอุปกรณ์ลูกค้าทั่วโลกกว่า 11,000 เครือข่าย2. แม้จะเป็นบริการที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการโจมตีลักษณะนี้ แต่ครั้งนี้ก็ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจาก FastNetMon ซึ่งสามารถตรวจจับและบรรเทาการโจมตีได้ภายในไม่กี่วินาที ด้วยแพลตฟอร์มที่ใช้ algorithm แบบ C++ ที่ปรับแต่งมาเพื่อการวิเคราะห์ทราฟฟิกแบบเรียลไทม์ สิ่งที่ทำให้การโจมตีครั้งนี้น่ากังวลคือการใช้ “อุปกรณ์ทั่วไปในบ้าน” เช่น เราเตอร์และ IoT ที่ถูกแฮกมาเป็นเครื่องมือโจมตี ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการ weaponize อุปกรณ์ผู้บริโภคในระดับมหาศาล โดย FastNetMon เตือนว่า หากไม่มีการกรองทราฟฟิกที่ระดับ ISP การโจมตีลักษณะนี้จะยิ่งขยายตัวและควบคุมได้ยาก แม้จะไม่ใช่การโจมตีที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของ bandwidth (Cloudflare เคยรับมือกับการโจมตีขนาด 11.5 Tbps และ 5.1 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที) แต่การโจมตีครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในระดับ packet-rate ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ และเป็นสัญญาณเตือนว่าโลกไซเบอร์กำลังเข้าสู่ยุคที่การโจมตีสามารถเกิดขึ้นจากอุปกรณ์ที่เราใช้อยู่ทุกวัน ✅ รายละเอียดของการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่ ➡️ เป้าหมายคือผู้ให้บริการ DDoS scrubbing ในยุโรปตะวันตก ➡️ ปริมาณการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ➡️ ใช้เทคนิค UDP flood จากอุปกรณ์ CPE ที่ถูกแฮก เช่น IoT และเราเตอร์ ➡️ มาจากกว่า 11,000 เครือข่ายทั่วโลก — สะท้อนการกระจายตัวระดับมหาศาล ✅ การตอบสนองของ FastNetMon ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม Advanced ที่เขียนด้วย C++ สำหรับการตรวจจับแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจจับได้ภายในไม่กี่วินาที — ป้องกันระบบล่มได้ทัน ➡️ ใช้ ACL บน edge routers เพื่อบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย ➡️ เตือนให้มีการกรองทราฟฟิกที่ระดับ ISP เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cloudflare เคยรับมือกับการโจมตีขนาด 11.5 Tbps และ 5.1 Bpps เพียงไม่กี่วันก่อนหน้า ➡️ UDP เป็นโปรโตคอลที่นิยมใช้โจมตี เพราะไม่ต้องมี handshake แบบ TCP ➡️ อุปกรณ์ CPE ที่ไม่ได้รับการอัปเดตหรือมีรหัสผ่านเริ่มต้น เป็นเป้าหมายหลักของการแฮก ➡️ การโจมตีแบบ packet-rate flood มุ่งทำลาย state table และ buffer ของอุปกรณ์เครือข่าย https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ddos-scrubbing-service-ironic-target-of-massive-attack-it-was-built-to-prevent-hit-with-1-5-billion-packets-per-second-from-more-than-11-000-distributed-networks
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • “ByteDance เปิดตัว Seedream 4.0 ท้าชน Nano Banana ของ Google — เมื่อ AI สร้างภาพกลายเป็นสนามแข่งระดับโลก”

    ByteDance เจ้าของ TikTok เปิดตัวเครื่องมือ AI สร้างภาพรุ่นใหม่ชื่อว่า “Seedream 4.0” โดยตั้งเป้าแข่งขันโดยตรงกับ Gemini 2.5 Flash Image ของ Google DeepMind ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อเล่นว่า “Nano Banana” ที่โด่งดังจากการสร้างภาพ 3D สุดสร้างสรรค์บนโซเชียล Seedream 4.0 ได้รับการพัฒนาโดยแผนก Seed ของ ByteDance และเปิดตัวเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025

    ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 มีประสิทธิภาพเหนือกว่า Nano Banana ในการสร้างภาพและแก้ไขภาพ โดยเฉพาะด้านความแม่นยำของ prompt, ความสอดคล้องขององค์ประกอบ และความสวยงามของภาพ ซึ่งวัดจาก benchmark ภายในชื่อว่า MagicBench แม้ผลการทดสอบจะยังไม่ถูกเผยแพร่ในรายงานทางเทคนิคอย่างเป็นทางการ

    Seedream 4.0 เป็นการรวมจุดแข็งของ Seedream 3.0 (ด้าน text-to-image) และ SeedEdit 3.0 (ด้าน image editing) เข้าด้วยกัน พร้อมปรับสถาปัตยกรรมใหม่ให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 10 เท่า โดยยังคงราคาเดิมที่ $30 ต่อ 1,000 ภาพ และมีราคาต่อภาพต่ำกว่า Gemini 2.5 Flash Image บนแพลตฟอร์ม Fal.ai

    เครื่องมือนี้เปิดให้ใช้งานแล้วในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao รวมถึงลูกค้าองค์กรผ่าน Volcano Engine ขณะที่ตลาด AI สร้างภาพในจีนกำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง Tencent, Kuaishou และ Vidu จาก Tsinghua University ที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับการสร้างภาพจากหลาย reference

    จุดเด่นของ Seedream 4.0 จาก ByteDance
    เปิดตัวเมื่อ 10 กันยายน 2025 โดยแผนก Seed ของ ByteDance
    รวมความสามารถของ Seedream 3.0 และ SeedEdit 3.0 เข้าด้วยกัน
    ปรับสถาปัตยกรรมใหม่ ทำให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า
    ราคา $30 ต่อ 1,000 ภาพ หรือ $0.03 ต่อภาพ บน Fal.ai — ถูกกว่า Nano Banana

    การเปรียบเทียบกับ Gemini 2.5 Flash Image (Nano Banana)
    ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 เหนือกว่าใน prompt adherence, alignment และ aesthetics
    ใช้ benchmark ภายในชื่อ MagicBench แต่ยังไม่มีรายงานเทคนิคเผยแพร่
    Nano Banana ได้รับความนิยมจากการสร้างภาพ 3D ที่แชร์ได้ง่ายและสนุก
    Gemini 2.5 ยังครองอันดับสูงสุดใน text-to-image และ image editing บน Artificial Analysis

    การใช้งานและการเข้าถึง
    เปิดให้ใช้งานในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao
    ลูกค้าองค์กรสามารถใช้ผ่าน Volcano Engine ของ ByteDance
    ได้รับคำชมจากผู้ใช้เรื่องความแม่นยำในการแก้ไขภาพผ่าน text prompt
    รองรับการใช้งานแบบ bulk สำหรับลูกค้าเชิงพาณิชย์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ตลาด AI สร้างภาพในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เล่นหลายราย
    Vidu จาก Tsinghua University เปิดตัวฟีเจอร์สร้างภาพจาก 7 reference
    Gemini 2.5 รองรับการสร้างภาพจาก 9 reference
    รัฐบาลจีนรับรองลิขสิทธิ์ของภาพที่สร้างด้วย AI ตั้งแต่ปลายปี 2023 พร้อมบังคับติดป้ายกำกับ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/bytedance-unveils-new-ai-image-model-to-rival-google-deepminds-nano-banana
    🖼️ “ByteDance เปิดตัว Seedream 4.0 ท้าชน Nano Banana ของ Google — เมื่อ AI สร้างภาพกลายเป็นสนามแข่งระดับโลก” ByteDance เจ้าของ TikTok เปิดตัวเครื่องมือ AI สร้างภาพรุ่นใหม่ชื่อว่า “Seedream 4.0” โดยตั้งเป้าแข่งขันโดยตรงกับ Gemini 2.5 Flash Image ของ Google DeepMind ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อเล่นว่า “Nano Banana” ที่โด่งดังจากการสร้างภาพ 3D สุดสร้างสรรค์บนโซเชียล Seedream 4.0 ได้รับการพัฒนาโดยแผนก Seed ของ ByteDance และเปิดตัวเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 มีประสิทธิภาพเหนือกว่า Nano Banana ในการสร้างภาพและแก้ไขภาพ โดยเฉพาะด้านความแม่นยำของ prompt, ความสอดคล้องขององค์ประกอบ และความสวยงามของภาพ ซึ่งวัดจาก benchmark ภายในชื่อว่า MagicBench แม้ผลการทดสอบจะยังไม่ถูกเผยแพร่ในรายงานทางเทคนิคอย่างเป็นทางการ Seedream 4.0 เป็นการรวมจุดแข็งของ Seedream 3.0 (ด้าน text-to-image) และ SeedEdit 3.0 (ด้าน image editing) เข้าด้วยกัน พร้อมปรับสถาปัตยกรรมใหม่ให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 10 เท่า โดยยังคงราคาเดิมที่ $30 ต่อ 1,000 ภาพ และมีราคาต่อภาพต่ำกว่า Gemini 2.5 Flash Image บนแพลตฟอร์ม Fal.ai เครื่องมือนี้เปิดให้ใช้งานแล้วในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao รวมถึงลูกค้าองค์กรผ่าน Volcano Engine ขณะที่ตลาด AI สร้างภาพในจีนกำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง Tencent, Kuaishou และ Vidu จาก Tsinghua University ที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับการสร้างภาพจากหลาย reference ✅ จุดเด่นของ Seedream 4.0 จาก ByteDance ➡️ เปิดตัวเมื่อ 10 กันยายน 2025 โดยแผนก Seed ของ ByteDance ➡️ รวมความสามารถของ Seedream 3.0 และ SeedEdit 3.0 เข้าด้วยกัน ➡️ ปรับสถาปัตยกรรมใหม่ ทำให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า ➡️ ราคา $30 ต่อ 1,000 ภาพ หรือ $0.03 ต่อภาพ บน Fal.ai — ถูกกว่า Nano Banana ✅ การเปรียบเทียบกับ Gemini 2.5 Flash Image (Nano Banana) ➡️ ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 เหนือกว่าใน prompt adherence, alignment และ aesthetics ➡️ ใช้ benchmark ภายในชื่อ MagicBench แต่ยังไม่มีรายงานเทคนิคเผยแพร่ ➡️ Nano Banana ได้รับความนิยมจากการสร้างภาพ 3D ที่แชร์ได้ง่ายและสนุก ➡️ Gemini 2.5 ยังครองอันดับสูงสุดใน text-to-image และ image editing บน Artificial Analysis ✅ การใช้งานและการเข้าถึง ➡️ เปิดให้ใช้งานในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao ➡️ ลูกค้าองค์กรสามารถใช้ผ่าน Volcano Engine ของ ByteDance ➡️ ได้รับคำชมจากผู้ใช้เรื่องความแม่นยำในการแก้ไขภาพผ่าน text prompt ➡️ รองรับการใช้งานแบบ bulk สำหรับลูกค้าเชิงพาณิชย์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ตลาด AI สร้างภาพในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เล่นหลายราย ➡️ Vidu จาก Tsinghua University เปิดตัวฟีเจอร์สร้างภาพจาก 7 reference ➡️ Gemini 2.5 รองรับการสร้างภาพจาก 9 reference ➡️ รัฐบาลจีนรับรองลิขสิทธิ์ของภาพที่สร้างด้วย AI ตั้งแต่ปลายปี 2023 พร้อมบังคับติดป้ายกำกับ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/bytedance-unveils-new-ai-image-model-to-rival-google-deepminds-nano-banana
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ByteDance unveils new AI image model to rival Google DeepMind’s ‘Nano Banana’
    ByteDance claims that Seedream 4.0 beat Gemini 2.5 Flash Image for image generation and editing on its internal evaluation benchmark.
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • “Microsoft–OpenAI เซ็น MOU เปิดทางสู่การปรับโครงสร้างใหม่ — จุดเปลี่ยนจากองค์กรไม่แสวงกำไรสู่บริษัทมหาชน”

    Microsoft และ OpenAI ประกาศร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับใหม่เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือในระยะถัดไป โดยมีเป้าหมายหลักคือการเปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างจากองค์กรไม่แสวงกำไรไปสู่บริษัทแบบ for-profit ซึ่งจะสามารถระดมทุนและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ในอนาคต

    แม้ข้อตกลงนี้ยังไม่เป็นสัญญาผูกพัน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัทที่มีบทบาทสูงสุดในวงการ AI โดยเฉพาะในยุคที่ ChatGPT และโมเดลภาษาขนาดใหญ่กลายเป็นเครื่องมือหลักในหลายภาคส่วน

    OpenAI ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และลดการพึ่งพา Microsoft ทั้งในด้านเงินทุนและโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการเซ็นสัญญา cloud computing กับ Oracle และ Google เพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างนี้ยังเผชิญกับแรงต้านจากหลายฝ่าย เช่น อัยการรัฐแคลิฟอร์เนียและเดลาแวร์ที่เปิดการสอบสวน รวมถึง Elon Musk ที่ยื่นฟ้องเพื่อหยุดการเปลี่ยนแปลง โดยอ้างว่า OpenAI ละทิ้งพันธกิจเดิมในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ

    รายละเอียดของข้อตกลงระหว่าง Microsoft และ OpenAI
    ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อกำหนดความร่วมมือระยะใหม่
    เปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทแบบ for-profit
    ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินหรือสัดส่วนการถือหุ้น
    Microsoft ยังคงเข้าถึงเทคโนโลยีของ OpenAI แม้บริษัทจะบรรลุ AGI

    เป้าหมายของการปรับโครงสร้าง
    OpenAI ต้องการระดมทุนเพิ่มเติมและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น
    เปลี่ยนจาก nonprofit เป็น public benefit corporation โดย nonprofit ยังคงถือหุ้นใหญ่
    ลดการพึ่งพา Microsoft โดยเซ็นสัญญา cloud กับ Oracle และ Google
    เพิ่มความคล่องตัวในการแข่งขันกับบริษัท AI อื่น ๆ เช่น xAI และ Anthropic

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OpenAI มีมูลค่าประเมินในตลาดเอกชนกว่า $500 พันล้าน
    Microsoft ลงทุนใน OpenAI มากกว่า $13 พันล้านตั้งแต่ปี 2019
    AGI (Artificial General Intelligence) ถูกนิยามใหม่เป็นระบบที่สร้างรายได้เกิน $100 พันล้าน
    การเปลี่ยนโครงสร้างต้องได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/microsoft-openai-sign-mou-for-next-phase-of-partnership
    💼 “Microsoft–OpenAI เซ็น MOU เปิดทางสู่การปรับโครงสร้างใหม่ — จุดเปลี่ยนจากองค์กรไม่แสวงกำไรสู่บริษัทมหาชน” Microsoft และ OpenAI ประกาศร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับใหม่เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือในระยะถัดไป โดยมีเป้าหมายหลักคือการเปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างจากองค์กรไม่แสวงกำไรไปสู่บริษัทแบบ for-profit ซึ่งจะสามารถระดมทุนและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ในอนาคต แม้ข้อตกลงนี้ยังไม่เป็นสัญญาผูกพัน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัทที่มีบทบาทสูงสุดในวงการ AI โดยเฉพาะในยุคที่ ChatGPT และโมเดลภาษาขนาดใหญ่กลายเป็นเครื่องมือหลักในหลายภาคส่วน OpenAI ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และลดการพึ่งพา Microsoft ทั้งในด้านเงินทุนและโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการเซ็นสัญญา cloud computing กับ Oracle และ Google เพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างนี้ยังเผชิญกับแรงต้านจากหลายฝ่าย เช่น อัยการรัฐแคลิฟอร์เนียและเดลาแวร์ที่เปิดการสอบสวน รวมถึง Elon Musk ที่ยื่นฟ้องเพื่อหยุดการเปลี่ยนแปลง โดยอ้างว่า OpenAI ละทิ้งพันธกิจเดิมในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ ✅ รายละเอียดของข้อตกลงระหว่าง Microsoft และ OpenAI ➡️ ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อกำหนดความร่วมมือระยะใหม่ ➡️ เปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทแบบ for-profit ➡️ ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินหรือสัดส่วนการถือหุ้น ➡️ Microsoft ยังคงเข้าถึงเทคโนโลยีของ OpenAI แม้บริษัทจะบรรลุ AGI ✅ เป้าหมายของการปรับโครงสร้าง ➡️ OpenAI ต้องการระดมทุนเพิ่มเติมและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น ➡️ เปลี่ยนจาก nonprofit เป็น public benefit corporation โดย nonprofit ยังคงถือหุ้นใหญ่ ➡️ ลดการพึ่งพา Microsoft โดยเซ็นสัญญา cloud กับ Oracle และ Google ➡️ เพิ่มความคล่องตัวในการแข่งขันกับบริษัท AI อื่น ๆ เช่น xAI และ Anthropic ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OpenAI มีมูลค่าประเมินในตลาดเอกชนกว่า $500 พันล้าน ➡️ Microsoft ลงทุนใน OpenAI มากกว่า $13 พันล้านตั้งแต่ปี 2019 ➡️ AGI (Artificial General Intelligence) ถูกนิยามใหม่เป็นระบบที่สร้างรายได้เกิน $100 พันล้าน ➡️ การเปลี่ยนโครงสร้างต้องได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/microsoft-openai-sign-mou-for-next-phase-of-partnership
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft, OpenAI reach non-binding deal to allow OpenAI to restructure
    (Reuters) - Microsoft and OpenAI said on Thursday they have signed a non-binding deal for new relationship terms that would allow OpenAI to proceed to restructure itself into a for-profit company, marking a new phase of the most high-profile partnerships to fund the ChatGPT frenzy.
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • “Senator Wyden จี้ FTC สอบ Microsoft หลังมัลแวร์โจมตีโรงพยาบาล Ascension — เมื่อซอฟต์แวร์ที่ ‘ผ่านการรับรอง’ กลายเป็นช่องโหว่ระดับชาติ”

    วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ Ron Wyden ได้ส่งจดหมายถึง FTC (คณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐฯ) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 เพื่อเรียกร้องให้สอบสวน Microsoft กรณีซอฟต์แวร์ของบริษัทมีส่วนทำให้เกิดการโจมตีแบบ ransomware ครั้งใหญ่ต่อเครือข่ายโรงพยาบาล Ascension ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบสาธารณสุขไม่แสวงกำไรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยเหตุการณ์นี้ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบไอทีของโรงพยาบาลต้องหยุดชะงักเป็นเวลาหลายสัปดาห์

    การโจมตีเริ่มต้นจากการที่ผู้รับเหมาของ Ascension คลิกลิงก์อันตรายจากการค้นหาบน Bing ซึ่งเป็นเครื่องมือค้นหาของ Microsoft ส่งผลให้มัลแวร์แฝงตัวเข้าสู่ระบบ จากนั้นผู้โจมตีใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Kerberoasting” เพื่อเจาะระบบ Active Directory โดยอาศัยช่องโหว่จากการใช้การเข้ารหัสแบบ RC4 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่าตั้งแต่ยุค 1980 ที่ยังคงเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นในซอฟต์แวร์ของ Microsoft

    Wyden ระบุว่า Microsoft ได้รับการแจ้งเตือนเรื่องช่องโหว่นี้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 แต่ใช้เวลาถึงเดือนตุลาคมจึงเผยแพร่บล็อกโพสต์ทางเทคนิค และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว Wyden เปรียบเทียบ Microsoft ว่าเป็น “นักวางเพลิงที่ขายบริการดับไฟให้เหยื่อของตัวเอง” และชี้ว่าการผูกขาดของ Microsoft ทำให้หลายองค์กรไม่มีทางเลือกอื่นในการใช้งานซอฟต์แวร์

    รายละเอียดเหตุการณ์โจมตี Ascension
    เกิดจากผู้รับเหมาคลิกลิงก์อันตรายจาก Bing บนแล็ปท็อปของ Ascension
    มัลแวร์เข้าระบบและใช้ Kerberoasting เจาะ Active Directory
    ใช้การเข้ารหัส RC4 ซึ่งยังเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นใน Windows
    ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบโรงพยาบาลล่มหลายสัปดาห์

    การตอบสนองของ Microsoft
    ได้รับการแจ้งเตือนจากทีม Wyden ตั้งแต่กรกฎาคม 2024
    เผยแพร่บล็อกโพสต์ในเดือนตุลาคม แต่ยังไม่ปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์
    ระบุว่า RC4 ใช้งานน้อยกว่า 0.1% แต่ยังไม่ปิดการใช้งานโดยค่าเริ่มต้น
    วางแผนจะปิด RC4 ใน Windows Server 2025 และ Windows 11 24H2

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RC4 ถูกห้ามใช้ใน TLS มาตั้งแต่ปี 2015 เนื่องจากมีช่องโหว่ร้ายแรง
    Kerberoasting เป็นเทคนิคที่ใช้เจาะรหัสผ่านจาก service tickets ใน Active Directory
    กลุ่ม Black Basta ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี Ascension
    Microsoft มีรายได้จากธุรกิจความปลอดภัยกว่า $20 พันล้านต่อปี แต่ฟีเจอร์สำคัญบางส่วนอยู่หลัง paywall

    https://hackread.com/senator-ftc-probe-microsoft-ascension-ransomware-attack/
    🧯 “Senator Wyden จี้ FTC สอบ Microsoft หลังมัลแวร์โจมตีโรงพยาบาล Ascension — เมื่อซอฟต์แวร์ที่ ‘ผ่านการรับรอง’ กลายเป็นช่องโหว่ระดับชาติ” วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ Ron Wyden ได้ส่งจดหมายถึง FTC (คณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐฯ) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 เพื่อเรียกร้องให้สอบสวน Microsoft กรณีซอฟต์แวร์ของบริษัทมีส่วนทำให้เกิดการโจมตีแบบ ransomware ครั้งใหญ่ต่อเครือข่ายโรงพยาบาล Ascension ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบสาธารณสุขไม่แสวงกำไรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยเหตุการณ์นี้ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบไอทีของโรงพยาบาลต้องหยุดชะงักเป็นเวลาหลายสัปดาห์ การโจมตีเริ่มต้นจากการที่ผู้รับเหมาของ Ascension คลิกลิงก์อันตรายจากการค้นหาบน Bing ซึ่งเป็นเครื่องมือค้นหาของ Microsoft ส่งผลให้มัลแวร์แฝงตัวเข้าสู่ระบบ จากนั้นผู้โจมตีใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Kerberoasting” เพื่อเจาะระบบ Active Directory โดยอาศัยช่องโหว่จากการใช้การเข้ารหัสแบบ RC4 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่าตั้งแต่ยุค 1980 ที่ยังคงเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นในซอฟต์แวร์ของ Microsoft Wyden ระบุว่า Microsoft ได้รับการแจ้งเตือนเรื่องช่องโหว่นี้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 แต่ใช้เวลาถึงเดือนตุลาคมจึงเผยแพร่บล็อกโพสต์ทางเทคนิค และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว Wyden เปรียบเทียบ Microsoft ว่าเป็น “นักวางเพลิงที่ขายบริการดับไฟให้เหยื่อของตัวเอง” และชี้ว่าการผูกขาดของ Microsoft ทำให้หลายองค์กรไม่มีทางเลือกอื่นในการใช้งานซอฟต์แวร์ ✅ รายละเอียดเหตุการณ์โจมตี Ascension ➡️ เกิดจากผู้รับเหมาคลิกลิงก์อันตรายจาก Bing บนแล็ปท็อปของ Ascension ➡️ มัลแวร์เข้าระบบและใช้ Kerberoasting เจาะ Active Directory ➡️ ใช้การเข้ารหัส RC4 ซึ่งยังเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นใน Windows ➡️ ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบโรงพยาบาลล่มหลายสัปดาห์ ✅ การตอบสนองของ Microsoft ➡️ ได้รับการแจ้งเตือนจากทีม Wyden ตั้งแต่กรกฎาคม 2024 ➡️ เผยแพร่บล็อกโพสต์ในเดือนตุลาคม แต่ยังไม่ปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์ ➡️ ระบุว่า RC4 ใช้งานน้อยกว่า 0.1% แต่ยังไม่ปิดการใช้งานโดยค่าเริ่มต้น ➡️ วางแผนจะปิด RC4 ใน Windows Server 2025 และ Windows 11 24H2 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RC4 ถูกห้ามใช้ใน TLS มาตั้งแต่ปี 2015 เนื่องจากมีช่องโหว่ร้ายแรง ➡️ Kerberoasting เป็นเทคนิคที่ใช้เจาะรหัสผ่านจาก service tickets ใน Active Directory ➡️ กลุ่ม Black Basta ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี Ascension ➡️ Microsoft มีรายได้จากธุรกิจความปลอดภัยกว่า $20 พันล้านต่อปี แต่ฟีเจอร์สำคัญบางส่วนอยู่หลัง paywall https://hackread.com/senator-ftc-probe-microsoft-ascension-ransomware-attack/
    HACKREAD.COM
    Senator Urges FTC Probe Into Microsoft After Ascension Ransomware Attack
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • “5 เครื่องมือ AI ช่วยสมัครงานที่ดีที่สุดในปี 2025 — จากจัดการเรซูเม่ถึงสมัครอัตโนมัติ แต่ต้องใช้ด้วยความระวัง”

    ในยุคที่การหางานกลายเป็นภารกิจที่กินพลังชีวิตมากกว่าที่คิด ทั้งการเขียนเรซูเม่ให้ตรงกับแต่ละตำแหน่ง การตอบคำถามคัดกรอง และการติดตามสถานะการสมัคร — AI ได้เข้ามาเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่ไร้ข้อจำกัด

    บทความจาก SlashGear ได้จัดอันดับเครื่องมือ AI ที่ดีที่สุดสำหรับการสมัครงานในปี 2025 โดยอิงจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่เคยทำงานด้าน HR และการวิเคราะห์ฟีเจอร์ของแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การจัดการเรซูเม่ การตรวจสอบ ATS ไปจนถึงการสมัครงานแบบอัตโนมัติ

    เครื่องมือที่ได้รับการแนะนำ ได้แก่:
    - Huntr สำหรับการติดตามสถานะการสมัครและจัดการเรซูเม่หลายเวอร์ชัน
    - Enhancv สำหรับตรวจสอบว่าเรซูเม่ผ่านระบบ ATS ได้หรือไม่
    - JobCopilot สำหรับการสมัครงานอัตโนมัติแบบไม่ต้องกรอกซ้ำ
    - LinkedIn Job Match AI สำหรับการจับคู่ตำแหน่งงานกับโปรไฟล์ของผู้สมัคร
    - Kickresume สำหรับการปรับแต่งเรซูเม่ให้ตรงกับประกาศงานและดูเป็นมืออาชีพ

    แม้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยลดภาระในการสมัครงาน แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับระบบ AI, ความเสี่ยงจากการสมัครงานที่ไม่ตรงเป้าหมาย และการถูกกรองออกโดยระบบของบริษัทที่ไม่รับเรซูเม่ที่สร้างด้วย AI

    เครื่องมือ AI ที่ช่วยในการสมัครงาน
    Huntr: ติดตามสถานะการสมัคร, จัดการเรซูเม่, เก็บข้อมูลประกาศงาน
    Enhancv: ตรวจสอบเรซูเม่ให้ผ่านระบบ ATS, วิเคราะห์ความยาว, bullet points, การใช้คำซ้ำ
    JobCopilot: สมัครงานอัตโนมัติ, ตอบคำถามคัดกรองครั้งเดียว, มีแดชบอร์ดติดตาม
    LinkedIn Job Match AI: วิเคราะห์ความเหมาะสมของโปรไฟล์กับตำแหน่งงาน, ใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ Premium
    Kickresume: สร้างและปรับแต่งเรซูเม่ด้วย AI, เลือกรับคำแนะนำเฉพาะจุด, รองรับการเขียน cover letter

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ATS (Applicant Tracking System) เป็นระบบที่บริษัทใช้กรองเรซูเม่ก่อนถึงมือ HR
    Resume ที่ไม่ผ่าน ATS จะถูกคัดออกทันที แม้จะมีคุณสมบัติเหมาะสม
    AI resume optimization ช่วยให้ผ่านการกรองเบื้องต้นและเพิ่มโอกาสเข้าสัมภาษณ์
    เครื่องมืออย่าง Careerflow, LoopCV, Sonara.ai ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดเดียวกัน

    https://www.slashgear.com/1942696/best-ai-tools-applying-to-jobs-ranked/
    🤖 “5 เครื่องมือ AI ช่วยสมัครงานที่ดีที่สุดในปี 2025 — จากจัดการเรซูเม่ถึงสมัครอัตโนมัติ แต่ต้องใช้ด้วยความระวัง” ในยุคที่การหางานกลายเป็นภารกิจที่กินพลังชีวิตมากกว่าที่คิด ทั้งการเขียนเรซูเม่ให้ตรงกับแต่ละตำแหน่ง การตอบคำถามคัดกรอง และการติดตามสถานะการสมัคร — AI ได้เข้ามาเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่ไร้ข้อจำกัด บทความจาก SlashGear ได้จัดอันดับเครื่องมือ AI ที่ดีที่สุดสำหรับการสมัครงานในปี 2025 โดยอิงจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่เคยทำงานด้าน HR และการวิเคราะห์ฟีเจอร์ของแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การจัดการเรซูเม่ การตรวจสอบ ATS ไปจนถึงการสมัครงานแบบอัตโนมัติ เครื่องมือที่ได้รับการแนะนำ ได้แก่: - Huntr สำหรับการติดตามสถานะการสมัครและจัดการเรซูเม่หลายเวอร์ชัน - Enhancv สำหรับตรวจสอบว่าเรซูเม่ผ่านระบบ ATS ได้หรือไม่ - JobCopilot สำหรับการสมัครงานอัตโนมัติแบบไม่ต้องกรอกซ้ำ - LinkedIn Job Match AI สำหรับการจับคู่ตำแหน่งงานกับโปรไฟล์ของผู้สมัคร - Kickresume สำหรับการปรับแต่งเรซูเม่ให้ตรงกับประกาศงานและดูเป็นมืออาชีพ แม้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยลดภาระในการสมัครงาน แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับระบบ AI, ความเสี่ยงจากการสมัครงานที่ไม่ตรงเป้าหมาย และการถูกกรองออกโดยระบบของบริษัทที่ไม่รับเรซูเม่ที่สร้างด้วย AI ✅ เครื่องมือ AI ที่ช่วยในการสมัครงาน ➡️ Huntr: ติดตามสถานะการสมัคร, จัดการเรซูเม่, เก็บข้อมูลประกาศงาน ➡️ Enhancv: ตรวจสอบเรซูเม่ให้ผ่านระบบ ATS, วิเคราะห์ความยาว, bullet points, การใช้คำซ้ำ ➡️ JobCopilot: สมัครงานอัตโนมัติ, ตอบคำถามคัดกรองครั้งเดียว, มีแดชบอร์ดติดตาม ➡️ LinkedIn Job Match AI: วิเคราะห์ความเหมาะสมของโปรไฟล์กับตำแหน่งงาน, ใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ Premium ➡️ Kickresume: สร้างและปรับแต่งเรซูเม่ด้วย AI, เลือกรับคำแนะนำเฉพาะจุด, รองรับการเขียน cover letter ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ATS (Applicant Tracking System) เป็นระบบที่บริษัทใช้กรองเรซูเม่ก่อนถึงมือ HR ➡️ Resume ที่ไม่ผ่าน ATS จะถูกคัดออกทันที แม้จะมีคุณสมบัติเหมาะสม ➡️ AI resume optimization ช่วยให้ผ่านการกรองเบื้องต้นและเพิ่มโอกาสเข้าสัมภาษณ์ ➡️ เครื่องมืออย่าง Careerflow, LoopCV, Sonara.ai ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดเดียวกัน https://www.slashgear.com/1942696/best-ai-tools-applying-to-jobs-ranked/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Of The Best AI Tools For Applying To Jobs, Ranked - SlashGear
    5 of the best AI tools to streamline your job search, from resume optimization and application tracking to LinkedIn job matching and auto-apply options.
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • “เบื้องหลังความเร็วของ Bun Install — เมื่อการติดตั้งแพ็กเกจกลายเป็นงานระบบ ไม่ใช่แค่เรื่อง JavaScript”

    ในโลกของนักพัฒนา JavaScript ที่เคยชินกับการรอ npm install จนกาแฟเย็น Bun ได้เข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยความเร็วที่เหนือชั้น โดยเฉลี่ยเร็วกว่า npm ถึง 7 เท่า, pnpm 4 เท่า และ yarn 17 เท่า แต่เบื้องหลังความเร็วนี้ไม่ใช่แค่การเขียนโค้ดให้ดีขึ้น — มันคือการออกแบบใหม่ทั้งหมดในระดับระบบปฏิบัติการ

    Bun มองการติดตั้งแพ็กเกจเป็น “ปัญหาด้านระบบ” มากกว่าปัญหา JavaScript โดยลดการใช้ system call ที่สิ้นเปลือง, ใช้การจัดเก็บข้อมูลแบบ binary, และใช้การคัดลอกไฟล์แบบ native ที่เร็วกว่าเดิมหลายเท่า นอกจากนี้ยังใช้ multi-threading เต็มรูปแบบเพื่อให้ทุก core ของ CPU ทำงานพร้อมกัน ต่างจาก npm ที่ใช้แค่ thread เดียว

    Bun เขียนด้วยภาษา Zig ซึ่งสามารถเรียก system call ได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่าน libuv หรือ event loop แบบ Node.js ทำให้การอ่านไฟล์หรือจัดการเครือข่ายเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังใช้เทคนิคเช่น clonefile (macOS) หรือ hardlink (Linux) เพื่อคัดลอกไฟล์โดยไม่ต้องอ่านและเขียนใหม่

    นอกจากนี้ Bun ยังใช้การจัดเก็บข้อมูลแบบ Structure of Arrays แทน Object-based ซึ่งช่วยให้ CPU โหลดข้อมูลได้เร็วขึ้นจาก cache โดยไม่ต้องวิ่งไป RAM บ่อย ๆ และยังมีการจัดการ lockfile แบบ cache-friendly ที่ลดการ parsing JSON ซ้ำซ้อน

    สาเหตุที่ Bun install เร็วกว่าเครื่องมืออื่น
    ลดจำนวน system call ที่สิ้นเปลือง เช่น futex และ epoll
    ใช้ Zig เรียก system call โดยตรง ไม่ผ่าน JavaScript runtime
    ใช้ binary manifest แทน JSON เพื่อลดการ parsing
    ใช้ clonefile (macOS) และ hardlink (Linux) เพื่อคัดลอกไฟล์แบบ O(1)

    การจัดการข้อมูลแบบ cache-friendly
    ใช้ Structure of Arrays แทน Object-based เพื่อเพิ่ม cache locality
    ลด pointer chasing ที่ทำให้ CPU ต้องวิ่งไป RAM บ่อย
    lockfile ของ Bun ใช้รูปแบบที่อ่านเร็วและลดการจัดสรรหน่วยความจำ
    ใช้ string buffer เดียวสำหรับข้อมูลซ้ำ เช่นชื่อแพ็กเกจและเวอร์ชัน

    การใช้ multi-core อย่างเต็มประสิทธิภาพ
    Bun ใช้ thread pool แบบ work-stealing ที่ไม่มีการล็อก
    แต่ละ thread มี memory pool ของตัวเอง ลดการรอการจัดสรร
    network thread แยกจาก CPU thread ทำให้ไม่ต้องรอการดาวน์โหลด
    สามารถประมวลผล package.json ได้มากกว่า 140,000 ไฟล์ต่อวินาที

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Bun ใช้ libdeflate แทน zlib เพื่อการ decompress ที่เร็วขึ้น
    clonefile และ hardlink เป็นเทคนิค copy-on-write ที่ลดการใช้พื้นที่
    Bun install แบบ cached เร็วกว่า npm install แบบ fresh ถึง 196 เท่า
    Bun สามารถใช้ในโปรเจกต์ Node.js ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยน runtime

    https://bun.com/blog/behind-the-scenes-of-bun-install
    ⚙️ “เบื้องหลังความเร็วของ Bun Install — เมื่อการติดตั้งแพ็กเกจกลายเป็นงานระบบ ไม่ใช่แค่เรื่อง JavaScript” ในโลกของนักพัฒนา JavaScript ที่เคยชินกับการรอ npm install จนกาแฟเย็น Bun ได้เข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยความเร็วที่เหนือชั้น โดยเฉลี่ยเร็วกว่า npm ถึง 7 เท่า, pnpm 4 เท่า และ yarn 17 เท่า แต่เบื้องหลังความเร็วนี้ไม่ใช่แค่การเขียนโค้ดให้ดีขึ้น — มันคือการออกแบบใหม่ทั้งหมดในระดับระบบปฏิบัติการ Bun มองการติดตั้งแพ็กเกจเป็น “ปัญหาด้านระบบ” มากกว่าปัญหา JavaScript โดยลดการใช้ system call ที่สิ้นเปลือง, ใช้การจัดเก็บข้อมูลแบบ binary, และใช้การคัดลอกไฟล์แบบ native ที่เร็วกว่าเดิมหลายเท่า นอกจากนี้ยังใช้ multi-threading เต็มรูปแบบเพื่อให้ทุก core ของ CPU ทำงานพร้อมกัน ต่างจาก npm ที่ใช้แค่ thread เดียว Bun เขียนด้วยภาษา Zig ซึ่งสามารถเรียก system call ได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่าน libuv หรือ event loop แบบ Node.js ทำให้การอ่านไฟล์หรือจัดการเครือข่ายเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังใช้เทคนิคเช่น clonefile (macOS) หรือ hardlink (Linux) เพื่อคัดลอกไฟล์โดยไม่ต้องอ่านและเขียนใหม่ นอกจากนี้ Bun ยังใช้การจัดเก็บข้อมูลแบบ Structure of Arrays แทน Object-based ซึ่งช่วยให้ CPU โหลดข้อมูลได้เร็วขึ้นจาก cache โดยไม่ต้องวิ่งไป RAM บ่อย ๆ และยังมีการจัดการ lockfile แบบ cache-friendly ที่ลดการ parsing JSON ซ้ำซ้อน ✅ สาเหตุที่ Bun install เร็วกว่าเครื่องมืออื่น ➡️ ลดจำนวน system call ที่สิ้นเปลือง เช่น futex และ epoll ➡️ ใช้ Zig เรียก system call โดยตรง ไม่ผ่าน JavaScript runtime ➡️ ใช้ binary manifest แทน JSON เพื่อลดการ parsing ➡️ ใช้ clonefile (macOS) และ hardlink (Linux) เพื่อคัดลอกไฟล์แบบ O(1) ✅ การจัดการข้อมูลแบบ cache-friendly ➡️ ใช้ Structure of Arrays แทน Object-based เพื่อเพิ่ม cache locality ➡️ ลด pointer chasing ที่ทำให้ CPU ต้องวิ่งไป RAM บ่อย ➡️ lockfile ของ Bun ใช้รูปแบบที่อ่านเร็วและลดการจัดสรรหน่วยความจำ ➡️ ใช้ string buffer เดียวสำหรับข้อมูลซ้ำ เช่นชื่อแพ็กเกจและเวอร์ชัน ✅ การใช้ multi-core อย่างเต็มประสิทธิภาพ ➡️ Bun ใช้ thread pool แบบ work-stealing ที่ไม่มีการล็อก ➡️ แต่ละ thread มี memory pool ของตัวเอง ลดการรอการจัดสรร ➡️ network thread แยกจาก CPU thread ทำให้ไม่ต้องรอการดาวน์โหลด ➡️ สามารถประมวลผล package.json ได้มากกว่า 140,000 ไฟล์ต่อวินาที ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Bun ใช้ libdeflate แทน zlib เพื่อการ decompress ที่เร็วขึ้น ➡️ clonefile และ hardlink เป็นเทคนิค copy-on-write ที่ลดการใช้พื้นที่ ➡️ Bun install แบบ cached เร็วกว่า npm install แบบ fresh ถึง 196 เท่า ➡️ Bun สามารถใช้ในโปรเจกต์ Node.js ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยน runtime https://bun.com/blog/behind-the-scenes-of-bun-install
    BUN.COM
    Behind The Scenes of Bun Install
    Learn how Bun is able to cut install times by up to 25×. Bun skips Node.js's overhead with direct system calls, cache-friendly data layouts, OS-level copy-on-write, and full-core parallelism.
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • “Doomscrolling: The Game — เมื่อการเลื่อนหน้าจอกลายเป็นเกมที่ทั้งเสียดสีและเสพติด”

    David Friedman นักเขียนจาก Ironic Sans ได้สร้างเกมที่ไม่เหมือนใครในชื่อว่า “Doomscrolling: The Game” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพฤติกรรมของผู้คนที่เลื่อนฟีดข่าวอย่างไม่หยุดยั้งจนรู้สึกหดหู่ หรือที่เรียกว่า doomscrolling โดยเขาตั้งคำถามว่า “ถ้า Doom เป็นเกมที่เล่นด้วยการเลื่อนหน้าจอเท่านั้น จะเป็นอย่างไร?” และคำตอบก็คือเกมนี้ — ที่คุณไม่ต้องกระโดด ไม่ต้องเคลื่อนที่ด้านข้าง แค่เลื่อนลงไปเรื่อย ๆ

    เกมนี้เริ่มต้นจากความล้มเหลว เพราะ GPT-4 ไม่สามารถเข้าใจแนวคิด “เลื่อนลง = พื้นหลังเลื่อนขึ้น” ได้เลย แต่เมื่อ GPT-5 เปิดตัว Friedman กลับมาลองใหม่ และสามารถสร้างต้นแบบเกมได้ภายใน 2 ชั่วโมง โดยใช้ vibe coding และการทดลองผ่าน “lab pages” ที่ให้เขาปรับค่าต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เช่น สีพื้นหลัง, รูปแบบใยแมงมุม, หรือดีไซน์แผ่นป้ายข่าว

    ตัวเกมมีระบบที่กระตุ้นให้ผู้เล่นเคลื่อนไหว เช่น อัปเกรดอาวุธทุก 100 ตัวที่ฆ่า, กำแพงไฟที่ไล่ตามถ้าหยุดนานเกินไป, และสิ่งกีดขวางอย่างใยแมงมุมหรือกำแพงอิฐ นอกจากนี้ยังมี “แผ่นป้ายข่าว” ที่แสดงพาดหัวข่าวจริงจาก RSS ของ New York Times เพื่อสร้างบรรยากาศ doomscrolling อย่างแท้จริง — อ่านแล้วหดหู่แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนต่อ

    แม้ Friedman จะไม่ใช่นักพัฒนาเกมมืออาชีพ แต่เขาใช้ AI เป็นเครื่องมือในการสร้างเกมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว และเปิดให้เล่นฟรีทั้งบนมือถือและเดสก์ท็อป โดยสามารถบันทึกเกมไว้ในหน้าจอหลักให้เหมือนแอปจริงได้

    จุดเด่นของ Doomscrolling: The Game
    เล่นด้วยการเลื่อนหน้าจอเท่านั้น — ไม่มีการเคลื่อนที่ด้านข้างหรือกระโดด
    ได้แรงบันดาลใจจากเกม Doom และพฤติกรรม doomscrolling
    ใช้ GPT-5 ในการสร้างต้นแบบเกมภายในเวลาอันสั้น
    ใช้ vibe coding และ lab pages เพื่อปรับแต่งองค์ประกอบเกม

    ระบบเกมที่กระตุ้นให้เคลื่อนไหว
    อัปเกรดอาวุธทุก 100 ตัวที่ฆ่า
    กำแพงไฟไล่ตามถ้าหยุดนานเกินไป
    มีสิ่งกีดขวาง เช่น ใยแมงมุมและกำแพงอิฐ
    มี health potion และระบบบันทึกระยะทางที่ทำได้

    การผสานข่าวจริงเข้ากับเกม
    ใช้ RSS feed จาก New York Times แสดงพาดหัวข่าวบนแผ่นป้าย
    ข่าวไม่มีผลต่อเกม แต่สร้างบรรยากาศ doomscrolling อย่างแท้จริง
    ผู้เล่นอาจถูกดึงดูดให้หยุดอ่านข่าวระหว่างเล่น
    เป็นการเสียดสีพฤติกรรมเสพข่าวที่ไม่มีวันจบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เกมนี้เป็นตัวอย่างของ “vibe-coded” project ที่ใช้ AI อย่างสร้างสรรค์
    Friedman ใช้ lab pages เพื่อปรับค่ากราฟิก เช่น ใยแมงมุมและแผ่นป้าย
    เกมสามารถเล่นได้ทั้งบนมือถือและเดสก์ท็อปอย่างลื่นไหล
    มีผู้เล่นบางรายรายงานปัญหาเรื่องการเลื่อนหน้าจอบนบางเบราว์เซอร์

    https://ironicsans.ghost.io/doomscrolling-the-game/
    🕹️ “Doomscrolling: The Game — เมื่อการเลื่อนหน้าจอกลายเป็นเกมที่ทั้งเสียดสีและเสพติด” David Friedman นักเขียนจาก Ironic Sans ได้สร้างเกมที่ไม่เหมือนใครในชื่อว่า “Doomscrolling: The Game” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพฤติกรรมของผู้คนที่เลื่อนฟีดข่าวอย่างไม่หยุดยั้งจนรู้สึกหดหู่ หรือที่เรียกว่า doomscrolling โดยเขาตั้งคำถามว่า “ถ้า Doom เป็นเกมที่เล่นด้วยการเลื่อนหน้าจอเท่านั้น จะเป็นอย่างไร?” และคำตอบก็คือเกมนี้ — ที่คุณไม่ต้องกระโดด ไม่ต้องเคลื่อนที่ด้านข้าง แค่เลื่อนลงไปเรื่อย ๆ เกมนี้เริ่มต้นจากความล้มเหลว เพราะ GPT-4 ไม่สามารถเข้าใจแนวคิด “เลื่อนลง = พื้นหลังเลื่อนขึ้น” ได้เลย แต่เมื่อ GPT-5 เปิดตัว Friedman กลับมาลองใหม่ และสามารถสร้างต้นแบบเกมได้ภายใน 2 ชั่วโมง โดยใช้ vibe coding และการทดลองผ่าน “lab pages” ที่ให้เขาปรับค่าต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เช่น สีพื้นหลัง, รูปแบบใยแมงมุม, หรือดีไซน์แผ่นป้ายข่าว ตัวเกมมีระบบที่กระตุ้นให้ผู้เล่นเคลื่อนไหว เช่น อัปเกรดอาวุธทุก 100 ตัวที่ฆ่า, กำแพงไฟที่ไล่ตามถ้าหยุดนานเกินไป, และสิ่งกีดขวางอย่างใยแมงมุมหรือกำแพงอิฐ นอกจากนี้ยังมี “แผ่นป้ายข่าว” ที่แสดงพาดหัวข่าวจริงจาก RSS ของ New York Times เพื่อสร้างบรรยากาศ doomscrolling อย่างแท้จริง — อ่านแล้วหดหู่แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนต่อ แม้ Friedman จะไม่ใช่นักพัฒนาเกมมืออาชีพ แต่เขาใช้ AI เป็นเครื่องมือในการสร้างเกมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว และเปิดให้เล่นฟรีทั้งบนมือถือและเดสก์ท็อป โดยสามารถบันทึกเกมไว้ในหน้าจอหลักให้เหมือนแอปจริงได้ ✅ จุดเด่นของ Doomscrolling: The Game ➡️ เล่นด้วยการเลื่อนหน้าจอเท่านั้น — ไม่มีการเคลื่อนที่ด้านข้างหรือกระโดด ➡️ ได้แรงบันดาลใจจากเกม Doom และพฤติกรรม doomscrolling ➡️ ใช้ GPT-5 ในการสร้างต้นแบบเกมภายในเวลาอันสั้น ➡️ ใช้ vibe coding และ lab pages เพื่อปรับแต่งองค์ประกอบเกม ✅ ระบบเกมที่กระตุ้นให้เคลื่อนไหว ➡️ อัปเกรดอาวุธทุก 100 ตัวที่ฆ่า ➡️ กำแพงไฟไล่ตามถ้าหยุดนานเกินไป ➡️ มีสิ่งกีดขวาง เช่น ใยแมงมุมและกำแพงอิฐ ➡️ มี health potion และระบบบันทึกระยะทางที่ทำได้ ✅ การผสานข่าวจริงเข้ากับเกม ➡️ ใช้ RSS feed จาก New York Times แสดงพาดหัวข่าวบนแผ่นป้าย ➡️ ข่าวไม่มีผลต่อเกม แต่สร้างบรรยากาศ doomscrolling อย่างแท้จริง ➡️ ผู้เล่นอาจถูกดึงดูดให้หยุดอ่านข่าวระหว่างเล่น ➡️ เป็นการเสียดสีพฤติกรรมเสพข่าวที่ไม่มีวันจบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เกมนี้เป็นตัวอย่างของ “vibe-coded” project ที่ใช้ AI อย่างสร้างสรรค์ ➡️ Friedman ใช้ lab pages เพื่อปรับค่ากราฟิก เช่น ใยแมงมุมและแผ่นป้าย ➡️ เกมสามารถเล่นได้ทั้งบนมือถือและเดสก์ท็อปอย่างลื่นไหล ➡️ มีผู้เล่นบางรายรายงานปัญหาเรื่องการเลื่อนหน้าจอบนบางเบราว์เซอร์ https://ironicsans.ghost.io/doomscrolling-the-game/
    IRONICSANS.GHOST.IO
    Doomscrolling: The Game
    Can a game work where all you do is scroll?
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • แหกคอก ตอนที่ 3 – ซ่อนรูป
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 3 : ซ่อนรูป
    ในปี ค.ศ.1940 หลวงพ่อ CFR ก็ทำการศึกษาวางแผนระยะยาวเพิ่มเติมอีก เกี่ยวกับเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างการทำสงคราม ซึ่งจะต้องมีการดูแลจัดการเกี่ยวกับเรื่องปากท้อง เงินทอง เพื่อให้อเมริกา นักล่าเข้าไปทำสงครามแบบสบายใจ หลวงพ่อนี่ดูแลแบบ ไม่มีตกไม่หล่นเลย รอบคอบมาก พวกเขาสรุปว่า อเมริกาต้องหาทางทำให้เกิดรายได้เข้าประเทศ โดยหาหรือสร้างตลาดใหญ่ สำหรับรองรับการผลิตสินค้าของอเมริกา และเพื่อให้แน่ใจว่า อเมริกาจะเข้าไปถึงแหล่งวัตถุดิบในบริเวณที่ประทับตรา ควบคุม (ขโมย !) ได้อย่างสะดวกเสรี ปราศจากการปิดกั้น หรือต้องตีตั๋วผ่าน รวมทั้งดูแลส่วนที่เกี่ยวกับ การค้าขาย การลงทุน เพื่อให้การล่าราบรื่น ไม่มีสดุด ติดขัด อเมริกาจำเป็นต้องมีกองทัพอันแข็งแกร่ง Military Supremacy เพื่อการนี้ด้วย แม่เจ้าโว้ย ! ฟันน้ำนมยังไม่ขึ้น พี่เลี้ยงสั่งให้แยกเขี้ยวแล้ว
    เริ่มต้น Grand Area Project บอกว่าศึกษาเพื่อเตรียมให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และดูแลเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างรบ ไม่ใช่รบๆ ไปกระเป๋าฉีก กางเกงขาด มันคงทุลักทุเล ทุเรศน่าดู แต่นั่นแหละพี่เลี้ยงนักล่าระดับหลวงพ่อ CFR ทำอะไรจะให้มันเปิดเผยเหมือนยืนล่อนจ้อนอยู่หน้าจอได้ยังไง มันต้องซ่อนต้องซ้อนกันหน่อย แท้จริงแล้ว Grand Area Project ได้ถูกออกแบบตั้งแต่แรก เพื่อให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลกเป็นผู้ครองโลก คุมเศรษฐกิจโลกทั้งหมด หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง และเพื่อจะควบคุมเศรษฐกิจตามเป้าหมาย ก็จะต้องมีการจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศขึ้นอีกเพียบ เพื่อมาจัดตั้งระบบวางกฎระเบียบ ที่เหมาะสมกับการค้า การลงทุน และระบบการเงินระหว่างประเทศ ให้ทุกอย่างอยู่ในระบบเดียวกับที่อเมริกาต้องการ เอาถึงขนาดนั้นเลยล่ะ และเพื่อจะให้ได้ผลเช่นนั้น อเมริกาจะต้องมีกองกำลังกล้ามใหญ่เอาไว้เบ่ง เวลาพูดจะได้มีคนฟัง ไม่ใช่ทำหูทวนลม แบบนี้เสียหน้ามาถึงหลวงพ่อCFR ด้วย
    น่าสนใจจริงๆ Grand Area Project นี้ ออกแบบไว้ล่วงหน้า โดยใช้ข้อสมมุติฐานว่า
1. อเมริกาต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
2. เยอรมันจะต้องเป็นผู้แพ้สงครามในตอบจบ
3. หลังจากสงครามโลกจบ อเมริกาจะก้าวขึ้นเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งขึ้นครองโลก หลวงพ่อ CFR ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ได้ทำนายหรือศึกษาเหตุการณ์ แต่ดูเหมือนจะ สร้าง เหตุการณ์ได้ด้วย ! ?
    ภายหลังจากเหตุการณ์ Pearl Harbor เมื่อ ค.ศ.1941 อเมริกาประกาศตัวโดดเข้าเล่นสงครามโลกด้วยจริงๆ ทันทีที่อเมริกาประกาศ CFR รีบออกข่าวตามไปติดๆ สำทับว่าฝ่ายอักษะแพ้สงครามแน่นอน แค่ยังไม่ออกข่าวว่าจะแพ้วันไหน เท่านั้นเอง และพร้อมกันนั้น CFR ขอแก้ไข Grand Area ทุ่งใหญ่ ไม่ใช่มีแค่ 4 แหล่ง ตามที่ศึกษาไว้ตอนแรก แต่มันต้องหมายรวมถึงโลกทั้งใบนี้ด้วย โอ้โห ! หลวงพ่อ CFR หนุนนักล่าสุดตัวไปเต็มตีนเลย แนวความคิดการจัดระเบียบโลกใหม่ จึงเกิดขึ้น (New World Order !) เราจำเป็นต้องจัดระเบียบใหม่ เกี่ยวกับการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งต้องสอดคล้องกันกับแผนการ ที่จะให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง การรวมเป็นหนึ่งเดียวของประเทศทั้งหลายในโลก Unification จึงควรเป็นเป้าหมาย ตามแนวทางความคิดของ CFR พี่เลี้ยง/รัฐบาลอเมริกัน หรือควรจะเรียกว่าผู้กำกับหรือเจ้าของ ! ?
    แล้วเพื่อให้การดำเนินการเป็นไป ตามแผน พี่เลี้ยงบอกนักล่า จำเป็น ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ในกิจการภายในบ้าน (Internal Affairs) ของประเทศหลัก ที่นักล่าจะไป (หลอก) เอาวัตถุดิบที่อยู่ในบ้านเขามา ใช้ ต้องเข้าไปควบคุม ไปล้วงลูก ไปจัดการบ้านของพวกเขา ให้เป็นไปตามแผนเรา และต้องทำให้ประเทศนั้น นอกเหนือจาก ยินยอม ส่งวัถตุดิบให้เราแล้ว เราต้องทำให้เขารู้สึก อยาก ที่จะเป็นผู้บริโภคสินค้าที่เราผลิต (ด้วยวัตถุดิบของเขา) อีกด้วย นี่มันเดินหมากกิน 3 ต่อเลยนะ เพื่อให้นโยบายทั้งหมดสัมฤทธิผล เราจะต้องจัดตั้ง IMF และ IBRD (Bank For Reconstruction and Development ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น World Bank) มาเป็นส่วนสำคัญในการชักใย
    พี่เลี้ยง CFR บอกหน่วยงานพวกนี้ จำเป็นต้องมี เพื่อมาทำหน้าที่สร้างกลไกที่จะทำให้เงินสกุลของประเทศโลก ที่ 3 ที่เราจะไปลงทุน และค้าขายด้วย มีความมั่นคงมีเสถียรภาพ (ใช้ศัพท์วิชาการเลยนะลุง) แหม ! ถ้าเงินของไอ้พวกโลกที่ 3 มันขึ้นลงแบบลิฟท์เสีย ผู้ลงทุนสร้างนักล่าก็ล้มทั้งยืน ซิโยม แล้ว CFR ก็ลงมือร่างแผนการจัดตั้ง World Bank กับ IMF ตั้งแต่ ค.ศ.1941 ในที่สุดโดยการประชุมที่ Bretton Woods ค.ศ.1944 World Bank และ IMF ก็คลอด
    แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ พี่เลี้ยง CFR ก็ยังเป็นห่วง พวกเขาดูแลนักล่าแบบพี่เลี้ยงมือโปร จะล่าเหยื่อกินแบบตะกรุมตะกรามให้ชาวบ้านเขาด่าได้ยังไง เรามันพวกครีม อยู่ชั้นบนของขนมเค้กเป็นชนชั้นสูงของสังคมมิใช่หรือ ฉะนั้นเราต้องเอาผ้าเช็ดปากมาปิดปาก เวลาจะอ้าปากเคี้ยว อำพรางตัวเองหน่อย ตั้งอะไรขึ้นมาบังหน้า แล้วเราคุมมันอีกต่อไม่ดีหรือ United Nations สหประชาชาติยังไงเล่า เพราะนายทุนกระเป๋าใหญ่ของ CFR อย่างมูลนิธิ Rockefeller และ Carnegie Corporation ต่างก็เคยฝัน อยากให้ประเทศต่างๆ รวมตัวกันเป็น League of Nations ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แล้ว แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรหนักหนา ก็ได้แต่มารวมตัวกัน คุยกันหลวมๆ เหมือนมางานสังสรร ระดับ CFR จะคิดจะทำอะไรมันต้องหนักแน่นแม่นยำกว่านั้น มันต้องเป็นเครื่องมือของการล่าเหยื่อชนิดพิเศษ Informal Agenda Group จึงถูก CFR ตั้งขึ้นมาทำการบ้าน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1942 (ไอ้พวกนี้มันบ้าจัดตั้งหน่วยงานกันจริงนะ!) เพื่อสร้างฉาก จัดการ ให้มีหน่วยงานตามเป้าหมาย คือ องค์การสหประชาชาติ United Nations นั้นแหละ
    คณะสร้างฉากนี้มีสมาชิกทำงาน 6 คน รวมทั้งตัวนาย Cordell Hull รัฐมนตรีของ State Department คณะสร้างฉากนี้นอกเหนือจากตัวรัฐมนตรีแล้ว ที่เหลืออีก 5 คน เป็นสมาชิกของ CFR ทั้งสิ้น คณะสร้างฉาก ได้ข้อสรุปว่า เพื่อไม่ให้ชาวบ้านจับได้ไล่ทัน ว่าเราจะทำอะไร เราควรเอาตัวละครอื่นมาร่วมเข้า ฉากด้วย เป้ามันจะได้กระจาย เช่น สหภาพโซเวียต แคนาดา อังกฤษ ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ก็ตกลง (คุณประธานาธิบดีนี่ เวลาหลวงพ่อ CFR เสนอ มีบ้างไหมที่แกไม่ตกลงชักสงสัย) ดังนั้นปี ค.ศ.1944 องค์กรสหประชาชาติก็ถูกจัดตั้งขึ้นเรียบร้อย มีกฎบัตร จัดร่างตีตราประทับอย่างถูกต้อง โดยลากเอาสมาชิก CFR ที่เป็นนักกฎหมายอีกเป็นกระบุง เข้ามาดูแล เข้ามาร่วมจัดร่างด้วย CFR ทำงานกันเป็นทีมแบบนี้ นายทุนกระเป๋าหนัก John D. Rockefeller หน้าบานยิ้มจนหุบปากไม่ลง ว่าแล้วก็ยกที่ดินกลางเมืองนิวยอร์ค ราคา 8.5 ล้านเหรียญ ให้เป็นของขวัญ (สมัยนั้น แปลว่าแยะนะครับ สมัยนี้ก็แยะ ถ้าเป็นเงินของเรา) เพื่อสร้างตึกสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ
    ตกลงนับตั้งแต่ ค.ศ.1939 เป็นต้นมา อเมริกานักล่าอยู่ภายใต้การกำกับชักใยอย่างเปิดเผย โดยกลุ่มพี่เลี้ยง CFR ตกลงหลวงพ่อ CFR เป็นเจ้าของนักล่า หรือแค่เป็นผู้จัดการ ยังมีใครอื่นที่กำกับหลวงพ่ออีกหรือเปล่า เรารู้กันแน่ไหมว่าใครเป็นคนสั่งให้โลกหมุน ใครเป็นคนกำหนดอนาคตของโลกใบนี้
    คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 3 – ซ่อนรูป นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 3 : ซ่อนรูป ในปี ค.ศ.1940 หลวงพ่อ CFR ก็ทำการศึกษาวางแผนระยะยาวเพิ่มเติมอีก เกี่ยวกับเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างการทำสงคราม ซึ่งจะต้องมีการดูแลจัดการเกี่ยวกับเรื่องปากท้อง เงินทอง เพื่อให้อเมริกา นักล่าเข้าไปทำสงครามแบบสบายใจ หลวงพ่อนี่ดูแลแบบ ไม่มีตกไม่หล่นเลย รอบคอบมาก พวกเขาสรุปว่า อเมริกาต้องหาทางทำให้เกิดรายได้เข้าประเทศ โดยหาหรือสร้างตลาดใหญ่ สำหรับรองรับการผลิตสินค้าของอเมริกา และเพื่อให้แน่ใจว่า อเมริกาจะเข้าไปถึงแหล่งวัตถุดิบในบริเวณที่ประทับตรา ควบคุม (ขโมย !) ได้อย่างสะดวกเสรี ปราศจากการปิดกั้น หรือต้องตีตั๋วผ่าน รวมทั้งดูแลส่วนที่เกี่ยวกับ การค้าขาย การลงทุน เพื่อให้การล่าราบรื่น ไม่มีสดุด ติดขัด อเมริกาจำเป็นต้องมีกองทัพอันแข็งแกร่ง Military Supremacy เพื่อการนี้ด้วย แม่เจ้าโว้ย ! ฟันน้ำนมยังไม่ขึ้น พี่เลี้ยงสั่งให้แยกเขี้ยวแล้ว เริ่มต้น Grand Area Project บอกว่าศึกษาเพื่อเตรียมให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และดูแลเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างรบ ไม่ใช่รบๆ ไปกระเป๋าฉีก กางเกงขาด มันคงทุลักทุเล ทุเรศน่าดู แต่นั่นแหละพี่เลี้ยงนักล่าระดับหลวงพ่อ CFR ทำอะไรจะให้มันเปิดเผยเหมือนยืนล่อนจ้อนอยู่หน้าจอได้ยังไง มันต้องซ่อนต้องซ้อนกันหน่อย แท้จริงแล้ว Grand Area Project ได้ถูกออกแบบตั้งแต่แรก เพื่อให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลกเป็นผู้ครองโลก คุมเศรษฐกิจโลกทั้งหมด หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง และเพื่อจะควบคุมเศรษฐกิจตามเป้าหมาย ก็จะต้องมีการจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศขึ้นอีกเพียบ เพื่อมาจัดตั้งระบบวางกฎระเบียบ ที่เหมาะสมกับการค้า การลงทุน และระบบการเงินระหว่างประเทศ ให้ทุกอย่างอยู่ในระบบเดียวกับที่อเมริกาต้องการ เอาถึงขนาดนั้นเลยล่ะ และเพื่อจะให้ได้ผลเช่นนั้น อเมริกาจะต้องมีกองกำลังกล้ามใหญ่เอาไว้เบ่ง เวลาพูดจะได้มีคนฟัง ไม่ใช่ทำหูทวนลม แบบนี้เสียหน้ามาถึงหลวงพ่อCFR ด้วย น่าสนใจจริงๆ Grand Area Project นี้ ออกแบบไว้ล่วงหน้า โดยใช้ข้อสมมุติฐานว่า
1. อเมริกาต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
2. เยอรมันจะต้องเป็นผู้แพ้สงครามในตอบจบ
3. หลังจากสงครามโลกจบ อเมริกาจะก้าวขึ้นเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งขึ้นครองโลก หลวงพ่อ CFR ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ได้ทำนายหรือศึกษาเหตุการณ์ แต่ดูเหมือนจะ สร้าง เหตุการณ์ได้ด้วย ! ? ภายหลังจากเหตุการณ์ Pearl Harbor เมื่อ ค.ศ.1941 อเมริกาประกาศตัวโดดเข้าเล่นสงครามโลกด้วยจริงๆ ทันทีที่อเมริกาประกาศ CFR รีบออกข่าวตามไปติดๆ สำทับว่าฝ่ายอักษะแพ้สงครามแน่นอน แค่ยังไม่ออกข่าวว่าจะแพ้วันไหน เท่านั้นเอง และพร้อมกันนั้น CFR ขอแก้ไข Grand Area ทุ่งใหญ่ ไม่ใช่มีแค่ 4 แหล่ง ตามที่ศึกษาไว้ตอนแรก แต่มันต้องหมายรวมถึงโลกทั้งใบนี้ด้วย โอ้โห ! หลวงพ่อ CFR หนุนนักล่าสุดตัวไปเต็มตีนเลย แนวความคิดการจัดระเบียบโลกใหม่ จึงเกิดขึ้น (New World Order !) เราจำเป็นต้องจัดระเบียบใหม่ เกี่ยวกับการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งต้องสอดคล้องกันกับแผนการ ที่จะให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง การรวมเป็นหนึ่งเดียวของประเทศทั้งหลายในโลก Unification จึงควรเป็นเป้าหมาย ตามแนวทางความคิดของ CFR พี่เลี้ยง/รัฐบาลอเมริกัน หรือควรจะเรียกว่าผู้กำกับหรือเจ้าของ ! ? แล้วเพื่อให้การดำเนินการเป็นไป ตามแผน พี่เลี้ยงบอกนักล่า จำเป็น ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ในกิจการภายในบ้าน (Internal Affairs) ของประเทศหลัก ที่นักล่าจะไป (หลอก) เอาวัตถุดิบที่อยู่ในบ้านเขามา ใช้ ต้องเข้าไปควบคุม ไปล้วงลูก ไปจัดการบ้านของพวกเขา ให้เป็นไปตามแผนเรา และต้องทำให้ประเทศนั้น นอกเหนือจาก ยินยอม ส่งวัถตุดิบให้เราแล้ว เราต้องทำให้เขารู้สึก อยาก ที่จะเป็นผู้บริโภคสินค้าที่เราผลิต (ด้วยวัตถุดิบของเขา) อีกด้วย นี่มันเดินหมากกิน 3 ต่อเลยนะ เพื่อให้นโยบายทั้งหมดสัมฤทธิผล เราจะต้องจัดตั้ง IMF และ IBRD (Bank For Reconstruction and Development ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น World Bank) มาเป็นส่วนสำคัญในการชักใย พี่เลี้ยง CFR บอกหน่วยงานพวกนี้ จำเป็นต้องมี เพื่อมาทำหน้าที่สร้างกลไกที่จะทำให้เงินสกุลของประเทศโลก ที่ 3 ที่เราจะไปลงทุน และค้าขายด้วย มีความมั่นคงมีเสถียรภาพ (ใช้ศัพท์วิชาการเลยนะลุง) แหม ! ถ้าเงินของไอ้พวกโลกที่ 3 มันขึ้นลงแบบลิฟท์เสีย ผู้ลงทุนสร้างนักล่าก็ล้มทั้งยืน ซิโยม แล้ว CFR ก็ลงมือร่างแผนการจัดตั้ง World Bank กับ IMF ตั้งแต่ ค.ศ.1941 ในที่สุดโดยการประชุมที่ Bretton Woods ค.ศ.1944 World Bank และ IMF ก็คลอด แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ พี่เลี้ยง CFR ก็ยังเป็นห่วง พวกเขาดูแลนักล่าแบบพี่เลี้ยงมือโปร จะล่าเหยื่อกินแบบตะกรุมตะกรามให้ชาวบ้านเขาด่าได้ยังไง เรามันพวกครีม อยู่ชั้นบนของขนมเค้กเป็นชนชั้นสูงของสังคมมิใช่หรือ ฉะนั้นเราต้องเอาผ้าเช็ดปากมาปิดปาก เวลาจะอ้าปากเคี้ยว อำพรางตัวเองหน่อย ตั้งอะไรขึ้นมาบังหน้า แล้วเราคุมมันอีกต่อไม่ดีหรือ United Nations สหประชาชาติยังไงเล่า เพราะนายทุนกระเป๋าใหญ่ของ CFR อย่างมูลนิธิ Rockefeller และ Carnegie Corporation ต่างก็เคยฝัน อยากให้ประเทศต่างๆ รวมตัวกันเป็น League of Nations ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แล้ว แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรหนักหนา ก็ได้แต่มารวมตัวกัน คุยกันหลวมๆ เหมือนมางานสังสรร ระดับ CFR จะคิดจะทำอะไรมันต้องหนักแน่นแม่นยำกว่านั้น มันต้องเป็นเครื่องมือของการล่าเหยื่อชนิดพิเศษ Informal Agenda Group จึงถูก CFR ตั้งขึ้นมาทำการบ้าน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1942 (ไอ้พวกนี้มันบ้าจัดตั้งหน่วยงานกันจริงนะ!) เพื่อสร้างฉาก จัดการ ให้มีหน่วยงานตามเป้าหมาย คือ องค์การสหประชาชาติ United Nations นั้นแหละ คณะสร้างฉากนี้มีสมาชิกทำงาน 6 คน รวมทั้งตัวนาย Cordell Hull รัฐมนตรีของ State Department คณะสร้างฉากนี้นอกเหนือจากตัวรัฐมนตรีแล้ว ที่เหลืออีก 5 คน เป็นสมาชิกของ CFR ทั้งสิ้น คณะสร้างฉาก ได้ข้อสรุปว่า เพื่อไม่ให้ชาวบ้านจับได้ไล่ทัน ว่าเราจะทำอะไร เราควรเอาตัวละครอื่นมาร่วมเข้า ฉากด้วย เป้ามันจะได้กระจาย เช่น สหภาพโซเวียต แคนาดา อังกฤษ ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ก็ตกลง (คุณประธานาธิบดีนี่ เวลาหลวงพ่อ CFR เสนอ มีบ้างไหมที่แกไม่ตกลงชักสงสัย) ดังนั้นปี ค.ศ.1944 องค์กรสหประชาชาติก็ถูกจัดตั้งขึ้นเรียบร้อย มีกฎบัตร จัดร่างตีตราประทับอย่างถูกต้อง โดยลากเอาสมาชิก CFR ที่เป็นนักกฎหมายอีกเป็นกระบุง เข้ามาดูแล เข้ามาร่วมจัดร่างด้วย CFR ทำงานกันเป็นทีมแบบนี้ นายทุนกระเป๋าหนัก John D. Rockefeller หน้าบานยิ้มจนหุบปากไม่ลง ว่าแล้วก็ยกที่ดินกลางเมืองนิวยอร์ค ราคา 8.5 ล้านเหรียญ ให้เป็นของขวัญ (สมัยนั้น แปลว่าแยะนะครับ สมัยนี้ก็แยะ ถ้าเป็นเงินของเรา) เพื่อสร้างตึกสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ ตกลงนับตั้งแต่ ค.ศ.1939 เป็นต้นมา อเมริกานักล่าอยู่ภายใต้การกำกับชักใยอย่างเปิดเผย โดยกลุ่มพี่เลี้ยง CFR ตกลงหลวงพ่อ CFR เป็นเจ้าของนักล่า หรือแค่เป็นผู้จัดการ ยังมีใครอื่นที่กำกับหลวงพ่ออีกหรือเปล่า เรารู้กันแน่ไหมว่าใครเป็นคนสั่งให้โลกหมุน ใครเป็นคนกำหนดอนาคตของโลกใบนี้ คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • “เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยของแฮกเกอร์ — 80% ของแรนซัมแวร์ในปี 2025 ใช้ AI สร้างมัลแวร์ ปลอมเสียง และเจาะระบบแบบไร้รอย”

    ภัยไซเบอร์ในปี 2025 ไม่ได้มาในรูปแบบเดิมอีกต่อไป เพราะตอนนี้แฮกเกอร์ใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างแรนซัมแวร์ที่ทั้งฉลาดและอันตรายกว่าเดิม จากการศึกษาของ MIT Sloan และ Safe Security พบว่า 80% ของการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการใช้ AI เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมัลแวร์อัตโนมัติ, ปลอมเสียงด้วย deepfake, หรือแม้แต่การเจาะระบบผ่าน CAPTCHA และรหัสผ่านด้วย LLM

    AI ไม่ได้แค่ช่วยให้แฮกเกอร์ทำงานเร็วขึ้น แต่ยังทำให้การโจมตีมีความแม่นยำและยากต่อการตรวจจับมากขึ้น เช่น การปลอมตัวเป็นฝ่ายบริการลูกค้าด้วยเสียงที่เหมือนจริง หรือการสร้างอีเมลฟิชชิ่งที่ดูน่าเชื่อถือจนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญยังหลงกล

    Michael Siegel นักวิจัยจาก CAMS เตือนว่า “ผู้โจมตีต้องการแค่ช่องโหว่เดียว แต่ผู้ป้องกันต้องปิดทุกช่องทาง” ซึ่งกลายเป็นความท้าทายที่รุนแรงขึ้นเมื่อ AI ทำให้การโจมตีขยายตัวได้ในระดับที่มนุษย์ตามไม่ทัน

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ นักวิจัยเสนอแนวทางป้องกันแบบ 3 เสาหลัก ได้แก่

    1️⃣ ระบบ hygiene อัตโนมัติ เช่น โค้ดที่ซ่อมตัวเอง, ระบบ patch อัตโนมัติ และการตรวจสอบพื้นผิวการโจมตีแบบต่อเนื่อง

    2️⃣ ระบบป้องกันแบบหลอกล่อและอัตโนมัติ เช่น การเปลี่ยนเป้าหมายตลอดเวลา และการใช้ข้อมูลปลอมเพื่อหลอกแฮกเกอร์

    3️⃣ การรายงานและ oversight แบบ real-time เพื่อให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมของภัยคุกคามและตัดสินใจได้ทันเวลา

    สถานการณ์ภัยไซเบอร์ในปี 2025
    80% ของแรนซัมแวร์ใช้ AI ในการสร้างมัลแวร์ ฟิชชิ่ง และ deepfake
    ใช้ LLM ในการเจาะรหัสผ่าน, bypass CAPTCHA และเขียนโค้ดอัตโนมัติ
    ปลอมเสียงเป็นฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อหลอกเหยื่อผ่านโทรศัพท์
    AI ทำให้การโจมตีขยายตัวเร็วและแม่นยำกว่าที่เคย

    แนวทางป้องกันที่แนะนำ
    เสาหลักที่ 1: ระบบ hygiene อัตโนมัติ เช่น self-healing code และ zero-trust architecture
    เสาหลักที่ 2: ระบบป้องกันแบบหลอกล่อ เช่น moving-target defense และข้อมูลปลอม
    เสาหลักที่ 3: การ oversight แบบ real-time เพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจได้ทัน
    ต้องใช้หลายชั้นร่วมกัน ไม่ใช่แค่เครื่องมือ AI ฝั่งป้องกันอย่างเดียว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Deepfake phishing หรือ “vishing” เพิ่มขึ้น 1,633% ใน Q1 ปี 2025
    การโจมตีแบบ adversary-in-the-middle เพิ่มขึ้น — ขโมย session cookie เพื่อข้าม 2FA
    การโจมตีระบบ OT (Operational Technology) เช่นโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น
    จำนวนการโจมตี ransomware เพิ่มขึ้น 132% แม้ยอดจ่ายค่าไถ่จะลดลง

    https://www.techradar.com/pro/security/only-20-of-ransomware-is-not-powered-by-ai-but-expect-that-number-to-drop-even-further-in-2025
    🧨 “เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยของแฮกเกอร์ — 80% ของแรนซัมแวร์ในปี 2025 ใช้ AI สร้างมัลแวร์ ปลอมเสียง และเจาะระบบแบบไร้รอย” ภัยไซเบอร์ในปี 2025 ไม่ได้มาในรูปแบบเดิมอีกต่อไป เพราะตอนนี้แฮกเกอร์ใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างแรนซัมแวร์ที่ทั้งฉลาดและอันตรายกว่าเดิม จากการศึกษาของ MIT Sloan และ Safe Security พบว่า 80% ของการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการใช้ AI เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมัลแวร์อัตโนมัติ, ปลอมเสียงด้วย deepfake, หรือแม้แต่การเจาะระบบผ่าน CAPTCHA และรหัสผ่านด้วย LLM AI ไม่ได้แค่ช่วยให้แฮกเกอร์ทำงานเร็วขึ้น แต่ยังทำให้การโจมตีมีความแม่นยำและยากต่อการตรวจจับมากขึ้น เช่น การปลอมตัวเป็นฝ่ายบริการลูกค้าด้วยเสียงที่เหมือนจริง หรือการสร้างอีเมลฟิชชิ่งที่ดูน่าเชื่อถือจนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญยังหลงกล Michael Siegel นักวิจัยจาก CAMS เตือนว่า “ผู้โจมตีต้องการแค่ช่องโหว่เดียว แต่ผู้ป้องกันต้องปิดทุกช่องทาง” ซึ่งกลายเป็นความท้าทายที่รุนแรงขึ้นเมื่อ AI ทำให้การโจมตีขยายตัวได้ในระดับที่มนุษย์ตามไม่ทัน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ นักวิจัยเสนอแนวทางป้องกันแบบ 3 เสาหลัก ได้แก่ 1️⃣ ระบบ hygiene อัตโนมัติ เช่น โค้ดที่ซ่อมตัวเอง, ระบบ patch อัตโนมัติ และการตรวจสอบพื้นผิวการโจมตีแบบต่อเนื่อง 2️⃣ ระบบป้องกันแบบหลอกล่อและอัตโนมัติ เช่น การเปลี่ยนเป้าหมายตลอดเวลา และการใช้ข้อมูลปลอมเพื่อหลอกแฮกเกอร์ 3️⃣ การรายงานและ oversight แบบ real-time เพื่อให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมของภัยคุกคามและตัดสินใจได้ทันเวลา ✅ สถานการณ์ภัยไซเบอร์ในปี 2025 ➡️ 80% ของแรนซัมแวร์ใช้ AI ในการสร้างมัลแวร์ ฟิชชิ่ง และ deepfake ➡️ ใช้ LLM ในการเจาะรหัสผ่าน, bypass CAPTCHA และเขียนโค้ดอัตโนมัติ ➡️ ปลอมเสียงเป็นฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อหลอกเหยื่อผ่านโทรศัพท์ ➡️ AI ทำให้การโจมตีขยายตัวเร็วและแม่นยำกว่าที่เคย ✅ แนวทางป้องกันที่แนะนำ ➡️ เสาหลักที่ 1: ระบบ hygiene อัตโนมัติ เช่น self-healing code และ zero-trust architecture ➡️ เสาหลักที่ 2: ระบบป้องกันแบบหลอกล่อ เช่น moving-target defense และข้อมูลปลอม ➡️ เสาหลักที่ 3: การ oversight แบบ real-time เพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจได้ทัน ➡️ ต้องใช้หลายชั้นร่วมกัน ไม่ใช่แค่เครื่องมือ AI ฝั่งป้องกันอย่างเดียว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Deepfake phishing หรือ “vishing” เพิ่มขึ้น 1,633% ใน Q1 ปี 2025 ➡️ การโจมตีแบบ adversary-in-the-middle เพิ่มขึ้น — ขโมย session cookie เพื่อข้าม 2FA ➡️ การโจมตีระบบ OT (Operational Technology) เช่นโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น ➡️ จำนวนการโจมตี ransomware เพิ่มขึ้น 132% แม้ยอดจ่ายค่าไถ่จะลดลง https://www.techradar.com/pro/security/only-20-of-ransomware-is-not-powered-by-ai-but-expect-that-number-to-drop-even-further-in-2025
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • “LUBA Mini AWD LiDAR: หุ่นยนต์ตัดหญ้าอัจฉริยะที่ไม่หลงทางอีกต่อไป — เมื่อ LiDAR, RTK และกล้อง 3D รวมพลังในระบบ Tri-Fusion”

    หุ่นยนต์ตัดหญ้าเคยเป็นของเล่นสำหรับคนรักเทคโนโลยี แต่วันนี้มันกลายเป็นเครื่องมือจริงจังสำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการความแม่นยำและความสะดวกสบาย ล่าสุด Mammotion เปิดตัว LUBA Mini AWD LiDAR หุ่นยนต์ตัดหญ้ารุ่นใหม่ที่มาพร้อมระบบนำทาง Tri-Fusion ซึ่งรวมเทคโนโลยีสามอย่างไว้ในเครื่องเดียว: RTK, กล้อง 3D และ LiDAR แบบ solid-state

    แต่ละเทคโนโลยีมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง — RTK เหมาะกับพื้นที่โล่งแต่สัญญาณดาวเทียมอาจถูกบังด้วยต้นไม้, LiDAR แม่นยำในพื้นที่มีสิ่งกีดขวางแต่ไม่ดีในพื้นที่โล่ง, ส่วนกล้อง 3D ช่วยหลบหลีกวัตถุแต่ต้องการแสงเพื่อทำงานได้ดี. LUBA Mini AWD LiDAR จึงใช้ระบบ Tri-Fusion เพื่อสลับการทำงานระหว่างสามเทคโนโลยีตามสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ได้ความแม่นยำระดับ ±1 ซม. ไม่ว่าจะเป็นสนามหญ้าที่มีร่มเงา, ทางลาด, หรือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง

    ตัวเครื่องยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) ที่สามารถไต่ทางลาดได้ถึง 80% และตัดหญ้าได้แม้ในพื้นที่ขรุขระหรือริมแม่น้ำ โดยไม่ต้องใช้สายล้อมเขตหรือสถานีฐานภายนอก ทำให้การติดตั้งง่ายขึ้นมาก

    เทคโนโลยี Tri-Fusion ใน LUBA Mini AWD LiDAR
    รวม RTK, LiDAR และกล้อง 3D เพื่อความแม่นยำระดับ ±1 ซม.
    สลับการทำงานระหว่างเทคโนโลยีตามสภาพแวดล้อมแบบอัตโนมัติ
    RTK ใช้ในพื้นที่โล่ง, LiDAR ใช้ในพื้นที่มีสิ่งกีดขวาง, กล้องใช้หลบหลีกวัตถุ
    ไม่ต้องใช้สายล้อมเขตหรือสถานีฐาน — ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว

    ความสามารถของตัวเครื่อง
    ขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) ไต่ทางลาดได้ถึง 80%
    ตัดหญ้าได้ในพื้นที่ขนาด 1,500 ตร.ม. ด้วยความแม่นยำสูง
    ใช้ LiDAR แบบ 144-beam สร้างแผนที่ 3D ด้วย 200,000 จุดต่อวินาที
    ตรวจจับวัตถุที่สะท้อนแสงต่ำ เช่น สัตว์เลี้ยงหรือของเล่นสีดำ

    การใช้งานจริงและความสะดวก
    ทำงานเงียบ (ต่ำกว่า 60 dB) เหมาะกับพื้นที่อยู่อาศัย
    รองรับการทำงานหลายโซนในสนามเดียวกัน
    ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน — ระบบประเมินสภาพแวดล้อมอัตโนมัติ
    เหมาะกับสนามหญ้าที่มีต้นไม้, เฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง, หรือสิ่งกีดขวางอื่น ๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยี LiDAR เคยใช้ในหุ่นยนต์ดูดฝุ่น แต่เพิ่งถูกนำมาใช้ในหุ่นยนต์ตัดหญ้า
    RTK คือเทคโนโลยีดาวเทียมที่ใช้ในงานเกษตรแม่นยำและโดรน
    กล้อง 3D ช่วยให้หุ่นยนต์หลบหลีกวัตถุได้แม่นยำขึ้น แต่ต้องการแสง
    Mammotion เคยใช้ระบบ dual-sensor ในรุ่นก่อนหน้า ก่อนพัฒนาเป็น Tri-Fusion

    https://www.techradar.com/home/smart-home/this-new-robot-mower-switches-between-lidar-rtk-and-cameras-to-make-sure-it-never-gets-lost
    🌿 “LUBA Mini AWD LiDAR: หุ่นยนต์ตัดหญ้าอัจฉริยะที่ไม่หลงทางอีกต่อไป — เมื่อ LiDAR, RTK และกล้อง 3D รวมพลังในระบบ Tri-Fusion” หุ่นยนต์ตัดหญ้าเคยเป็นของเล่นสำหรับคนรักเทคโนโลยี แต่วันนี้มันกลายเป็นเครื่องมือจริงจังสำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการความแม่นยำและความสะดวกสบาย ล่าสุด Mammotion เปิดตัว LUBA Mini AWD LiDAR หุ่นยนต์ตัดหญ้ารุ่นใหม่ที่มาพร้อมระบบนำทาง Tri-Fusion ซึ่งรวมเทคโนโลยีสามอย่างไว้ในเครื่องเดียว: RTK, กล้อง 3D และ LiDAR แบบ solid-state แต่ละเทคโนโลยีมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง — RTK เหมาะกับพื้นที่โล่งแต่สัญญาณดาวเทียมอาจถูกบังด้วยต้นไม้, LiDAR แม่นยำในพื้นที่มีสิ่งกีดขวางแต่ไม่ดีในพื้นที่โล่ง, ส่วนกล้อง 3D ช่วยหลบหลีกวัตถุแต่ต้องการแสงเพื่อทำงานได้ดี. LUBA Mini AWD LiDAR จึงใช้ระบบ Tri-Fusion เพื่อสลับการทำงานระหว่างสามเทคโนโลยีตามสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ได้ความแม่นยำระดับ ±1 ซม. ไม่ว่าจะเป็นสนามหญ้าที่มีร่มเงา, ทางลาด, หรือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง ตัวเครื่องยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) ที่สามารถไต่ทางลาดได้ถึง 80% และตัดหญ้าได้แม้ในพื้นที่ขรุขระหรือริมแม่น้ำ โดยไม่ต้องใช้สายล้อมเขตหรือสถานีฐานภายนอก ทำให้การติดตั้งง่ายขึ้นมาก ✅ เทคโนโลยี Tri-Fusion ใน LUBA Mini AWD LiDAR ➡️ รวม RTK, LiDAR และกล้อง 3D เพื่อความแม่นยำระดับ ±1 ซม. ➡️ สลับการทำงานระหว่างเทคโนโลยีตามสภาพแวดล้อมแบบอัตโนมัติ ➡️ RTK ใช้ในพื้นที่โล่ง, LiDAR ใช้ในพื้นที่มีสิ่งกีดขวาง, กล้องใช้หลบหลีกวัตถุ ➡️ ไม่ต้องใช้สายล้อมเขตหรือสถานีฐาน — ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว ✅ ความสามารถของตัวเครื่อง ➡️ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) ไต่ทางลาดได้ถึง 80% ➡️ ตัดหญ้าได้ในพื้นที่ขนาด 1,500 ตร.ม. ด้วยความแม่นยำสูง ➡️ ใช้ LiDAR แบบ 144-beam สร้างแผนที่ 3D ด้วย 200,000 จุดต่อวินาที ➡️ ตรวจจับวัตถุที่สะท้อนแสงต่ำ เช่น สัตว์เลี้ยงหรือของเล่นสีดำ ✅ การใช้งานจริงและความสะดวก ➡️ ทำงานเงียบ (ต่ำกว่า 60 dB) เหมาะกับพื้นที่อยู่อาศัย ➡️ รองรับการทำงานหลายโซนในสนามเดียวกัน ➡️ ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน — ระบบประเมินสภาพแวดล้อมอัตโนมัติ ➡️ เหมาะกับสนามหญ้าที่มีต้นไม้, เฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง, หรือสิ่งกีดขวางอื่น ๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยี LiDAR เคยใช้ในหุ่นยนต์ดูดฝุ่น แต่เพิ่งถูกนำมาใช้ในหุ่นยนต์ตัดหญ้า ➡️ RTK คือเทคโนโลยีดาวเทียมที่ใช้ในงานเกษตรแม่นยำและโดรน ➡️ กล้อง 3D ช่วยให้หุ่นยนต์หลบหลีกวัตถุได้แม่นยำขึ้น แต่ต้องการแสง ➡️ Mammotion เคยใช้ระบบ dual-sensor ในรุ่นก่อนหน้า ก่อนพัฒนาเป็น Tri-Fusion https://www.techradar.com/home/smart-home/this-new-robot-mower-switches-between-lidar-rtk-and-cameras-to-make-sure-it-never-gets-lost
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • “จีนเร่งผลิตชิป AI ในประเทศ แต่ติดขัดสองด่านใหญ่ — โรงงานผลิตขั้นสูงและหน่วยความจำ HBM ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ”

    จีนกำลังเดินหน้าสร้างความพึ่งพาตนเองด้านฮาร์ดแวร์ AI อย่างจริงจัง โดยบริษัทชั้นนำอย่าง Huawei และ Cambricon ได้เริ่มเร่งผลิตตัวเร่ง AI (AI accelerators) ภายในโรงงานในประเทศ โดยคาดว่าจะผลิตได้มากกว่า 1 ล้านชิ้นภายในปี 2026 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพา NVIDIA และผู้ผลิตต่างชาติ

    แต่ความทะเยอทะยานนี้ยังติดขัดจากสองอุปสรรคใหญ่ ได้แก่ ความสามารถของโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง (เช่น SMIC) และการขาดแคลนหน่วยความจำ HBM ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของชิป AI ระดับสูง โดยเฉพาะรุ่น Ascend 910B และ 910C ที่ Huawei ใช้ในศูนย์ข้อมูลของตน

    แม้ SMIC จะเริ่มผลิตชิป Ascend ได้ในระดับ 7nm-class แต่ยังมีข้อจำกัดด้าน yield และระยะเวลาการผลิตที่ยาวนานกว่ามาตรฐานโลกถึงสองเท่า ขณะที่ HBM ซึ่งเคยสต็อกไว้จาก Samsung กว่า 11 ล้านชุด ก็กำลังจะหมดลงภายในสิ้นปี 2025 และผู้ผลิตในประเทศอย่าง CXMT ยังไม่สามารถผลิตได้ในระดับที่เพียงพอ

    นอกจากนี้ Huawei ยังถูกกล่าวหาว่าเคยใช้บริษัทตัวแทนในการสั่งผลิตชิปจาก TSMC โดยหลบเลี่ยงข้อจำกัดจากสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดในอุตสาหกรรม และผลักดันให้จีนต้องเร่งสร้างโรงงานของตนเอง พร้อมลงทุนกว่า 9 พันล้านดอลลาร์ในอุปกรณ์ผลิตชิป

    ความคืบหน้าการผลิตชิป AI ในจีน
    Huawei และ Cambricon ตั้งเป้าผลิต AI accelerators กว่า 1 ล้านชิ้นในปี 2026
    SMIC เริ่มผลิตชิป Ascend 910B และ 910C ด้วยเทคโนโลยี 7nm-class
    Huawei เคยใช้ TSMC ผ่านบริษัทตัวแทนเพื่อผลิตชิป Ascend 910B
    SMIC เพิ่มกำลังผลิตจาก 20,000 เป็น 80,000 wafers ต่อเดือนภายในปี 2027

    ปัญหาด้านหน่วยความจำ HBM
    Huawei เคยสต็อก HBM จาก Samsung กว่า 11.7 ล้านชุดก่อนถูกแบน
    คาดว่า HBM จะหมดภายในสิ้นปี 2025
    CXMT ผลิต HBM ได้เพียง 2.2 ล้านชุดในปี 2026 — รองรับได้แค่ 250,000–400,000 ชิป
    YMTC เตรียมเข้าสู่ตลาด DRAM และใช้เทคโนโลยี Xtacking เพื่อผลิต HBM

    การลงทุนและแผนระยะยาว
    Huawei ลงทุนกว่า $9 พันล้านในอุปกรณ์ผลิตชิปเพื่อสร้างโรงงานของตนเอง
    ก่อตั้งบริษัท SiCarrier เพื่อผลิตเครื่องมือสำหรับโรงงาน
    หากสำเร็จ จะช่วยลดภาระ SMIC และเพิ่มความสามารถในการผลิตในประเทศ
    เป้าหมายคือการสร้างระบบผลิตชิปแบบครบวงจรโดยไม่พึ่งต่างชาติ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NVIDIA ยังสามารถส่งชิป AI รุ่นลดสเปก เช่น H20 และ B30A ให้จีนได้
    CUDA ของ NVIDIA ยังเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนไปใช้ฮาร์ดแวร์จีน
    Huawei พัฒนา CANN เป็นทางเลือกแทน CUDA สำหรับงาน AI
    จีนมีแผนสร้างศูนย์ข้อมูล AI 39 แห่ง โดยใช้ GPU ที่ถูกจำกัดจากสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-chip-champions-ramp-up-production-of-ai-accelerators-at-domestic-fabs-but-hbm-and-fab-production-capacity-are-towering-bottlenecks
    🇨🇳 “จีนเร่งผลิตชิป AI ในประเทศ แต่ติดขัดสองด่านใหญ่ — โรงงานผลิตขั้นสูงและหน่วยความจำ HBM ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ” จีนกำลังเดินหน้าสร้างความพึ่งพาตนเองด้านฮาร์ดแวร์ AI อย่างจริงจัง โดยบริษัทชั้นนำอย่าง Huawei และ Cambricon ได้เริ่มเร่งผลิตตัวเร่ง AI (AI accelerators) ภายในโรงงานในประเทศ โดยคาดว่าจะผลิตได้มากกว่า 1 ล้านชิ้นภายในปี 2026 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพา NVIDIA และผู้ผลิตต่างชาติ แต่ความทะเยอทะยานนี้ยังติดขัดจากสองอุปสรรคใหญ่ ได้แก่ ความสามารถของโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง (เช่น SMIC) และการขาดแคลนหน่วยความจำ HBM ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของชิป AI ระดับสูง โดยเฉพาะรุ่น Ascend 910B และ 910C ที่ Huawei ใช้ในศูนย์ข้อมูลของตน แม้ SMIC จะเริ่มผลิตชิป Ascend ได้ในระดับ 7nm-class แต่ยังมีข้อจำกัดด้าน yield และระยะเวลาการผลิตที่ยาวนานกว่ามาตรฐานโลกถึงสองเท่า ขณะที่ HBM ซึ่งเคยสต็อกไว้จาก Samsung กว่า 11 ล้านชุด ก็กำลังจะหมดลงภายในสิ้นปี 2025 และผู้ผลิตในประเทศอย่าง CXMT ยังไม่สามารถผลิตได้ในระดับที่เพียงพอ นอกจากนี้ Huawei ยังถูกกล่าวหาว่าเคยใช้บริษัทตัวแทนในการสั่งผลิตชิปจาก TSMC โดยหลบเลี่ยงข้อจำกัดจากสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดในอุตสาหกรรม และผลักดันให้จีนต้องเร่งสร้างโรงงานของตนเอง พร้อมลงทุนกว่า 9 พันล้านดอลลาร์ในอุปกรณ์ผลิตชิป ✅ ความคืบหน้าการผลิตชิป AI ในจีน ➡️ Huawei และ Cambricon ตั้งเป้าผลิต AI accelerators กว่า 1 ล้านชิ้นในปี 2026 ➡️ SMIC เริ่มผลิตชิป Ascend 910B และ 910C ด้วยเทคโนโลยี 7nm-class ➡️ Huawei เคยใช้ TSMC ผ่านบริษัทตัวแทนเพื่อผลิตชิป Ascend 910B ➡️ SMIC เพิ่มกำลังผลิตจาก 20,000 เป็น 80,000 wafers ต่อเดือนภายในปี 2027 ✅ ปัญหาด้านหน่วยความจำ HBM ➡️ Huawei เคยสต็อก HBM จาก Samsung กว่า 11.7 ล้านชุดก่อนถูกแบน ➡️ คาดว่า HBM จะหมดภายในสิ้นปี 2025 ➡️ CXMT ผลิต HBM ได้เพียง 2.2 ล้านชุดในปี 2026 — รองรับได้แค่ 250,000–400,000 ชิป ➡️ YMTC เตรียมเข้าสู่ตลาด DRAM และใช้เทคโนโลยี Xtacking เพื่อผลิต HBM ✅ การลงทุนและแผนระยะยาว ➡️ Huawei ลงทุนกว่า $9 พันล้านในอุปกรณ์ผลิตชิปเพื่อสร้างโรงงานของตนเอง ➡️ ก่อตั้งบริษัท SiCarrier เพื่อผลิตเครื่องมือสำหรับโรงงาน ➡️ หากสำเร็จ จะช่วยลดภาระ SMIC และเพิ่มความสามารถในการผลิตในประเทศ ➡️ เป้าหมายคือการสร้างระบบผลิตชิปแบบครบวงจรโดยไม่พึ่งต่างชาติ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NVIDIA ยังสามารถส่งชิป AI รุ่นลดสเปก เช่น H20 และ B30A ให้จีนได้ ➡️ CUDA ของ NVIDIA ยังเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนไปใช้ฮาร์ดแวร์จีน ➡️ Huawei พัฒนา CANN เป็นทางเลือกแทน CUDA สำหรับงาน AI ➡️ จีนมีแผนสร้างศูนย์ข้อมูล AI 39 แห่ง โดยใช้ GPU ที่ถูกจำกัดจากสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-chip-champions-ramp-up-production-of-ai-accelerators-at-domestic-fabs-but-hbm-and-fab-production-capacity-are-towering-bottlenecks
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • “สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน ล่าตัวแฮกเกอร์ยูเครน Volodymyr Tymoshchuk — ผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีไซเบอร์มูลค่า $18 พันล้านทั่วโลก”

    Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี กลายเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ทั่วโลก หลังจากถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าทีมแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วย ransomware ชุดใหญ่ ได้แก่ MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมมูลค่าความเสียหายกว่า $18 พันล้าน

    หนึ่งในเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคือการโจมตีบริษัทพลังงานหมุนเวียน Norsk Hydro ในปี 2019 ซึ่งทำให้ระบบของบริษัทกว่า 170 แห่งทั่วโลกหยุดชะงัก และสร้างความเสียหายกว่า $81 ล้าน. Tymoshchuk ถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือเจาะระบบอย่าง Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่ายของเหยื่อเป็นเวลาหลายเดือนก่อนปล่อย ransomware

    หลังจาก LockerGoga และ MegaCortex ถูกถอดรหัสโดยหน่วยงานความมั่นคง Tymoshchuk ก็หันไปพัฒนา Nefilim ซึ่งเน้นโจมตีบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน โดยขายสิทธิ์การเข้าถึงให้กับแฮกเกอร์รายอื่น แลกกับส่วนแบ่ง 20% จากเงินค่าไถ่ที่ได้รับ

    ล่าสุด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk และเปิดเผยรายชื่อเหยื่อบางส่วนในคำฟ้องที่ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 โดยเขาถูกตั้งข้อหาทั้งหมด 7 กระทง รวมถึงการทำลายข้อมูลโดยเจตนา การเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต และการข่มขู่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว

    ข้อมูลจากข่าวการตั้งค่าหัว
    สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลนำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk
    ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง ransomware MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim
    สร้างความเสียหายรวมกว่า $18 พันล้านทั่วโลก
    หน่วยงานที่ร่วมมือ ได้แก่ FBI, DOJ, Europol และรัฐบาลฝรั่งเศส, เยอรมนี, นอร์เวย์

    รายละเอียดการโจมตี
    MegaCortex เปลี่ยนรหัสผ่าน Windows และเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ
    LockerGoga โจมตี Norsk Hydro ทำให้ระบบกว่า 170 แห่งหยุดชะงัก
    Nefilim เน้นโจมตีบริษัทมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน และขายสิทธิ์ให้แฮกเกอร์อื่น
    ใช้เครื่องมือเจาะระบบ เช่น Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่าย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น “deadforz”, “Boba”, “msfv”, “farnetwork”
    Europol จัดให้เขาอยู่ในรายชื่อ “Most Wanted” ของยุโรป
    การโจมตีบางครั้งทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าไถ่เกิน $1 ล้านต่อครั้ง
    คำฟ้องระบุว่าเขาอาจถูกลงโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต หากถูกจับและตัดสินว่าผิด

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Tymoshchuk ยังไม่ถูกจับ — ยังคงหลบหนีและอาจมีการโจมตีเพิ่มเติม
    การโจมตีแบบแฝงตัวหลายเดือนทำให้ตรวจจับได้ยาก
    บริษัทที่ถูกโจมตีมักไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจ่ายค่าไถ่
    การใช้เครื่องมือเจาะระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายในทางผิด ทำให้การป้องกันซับซ้อน
    การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/u-s-places-usd11-million-bounty-on-ukrainian-ransomware-mastermind-tymoshchuk-allegedly-stole-usd18-billion-from-large-companies-over-3-years
    🕵️‍♂️ “สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน ล่าตัวแฮกเกอร์ยูเครน Volodymyr Tymoshchuk — ผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีไซเบอร์มูลค่า $18 พันล้านทั่วโลก” Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี กลายเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ทั่วโลก หลังจากถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าทีมแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วย ransomware ชุดใหญ่ ได้แก่ MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมมูลค่าความเสียหายกว่า $18 พันล้าน หนึ่งในเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคือการโจมตีบริษัทพลังงานหมุนเวียน Norsk Hydro ในปี 2019 ซึ่งทำให้ระบบของบริษัทกว่า 170 แห่งทั่วโลกหยุดชะงัก และสร้างความเสียหายกว่า $81 ล้าน. Tymoshchuk ถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือเจาะระบบอย่าง Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่ายของเหยื่อเป็นเวลาหลายเดือนก่อนปล่อย ransomware หลังจาก LockerGoga และ MegaCortex ถูกถอดรหัสโดยหน่วยงานความมั่นคง Tymoshchuk ก็หันไปพัฒนา Nefilim ซึ่งเน้นโจมตีบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน โดยขายสิทธิ์การเข้าถึงให้กับแฮกเกอร์รายอื่น แลกกับส่วนแบ่ง 20% จากเงินค่าไถ่ที่ได้รับ ล่าสุด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk และเปิดเผยรายชื่อเหยื่อบางส่วนในคำฟ้องที่ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 โดยเขาถูกตั้งข้อหาทั้งหมด 7 กระทง รวมถึงการทำลายข้อมูลโดยเจตนา การเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต และการข่มขู่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ✅ ข้อมูลจากข่าวการตั้งค่าหัว ➡️ สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลนำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk ➡️ ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง ransomware MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim ➡️ สร้างความเสียหายรวมกว่า $18 พันล้านทั่วโลก ➡️ หน่วยงานที่ร่วมมือ ได้แก่ FBI, DOJ, Europol และรัฐบาลฝรั่งเศส, เยอรมนี, นอร์เวย์ ✅ รายละเอียดการโจมตี ➡️ MegaCortex เปลี่ยนรหัสผ่าน Windows และเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ ➡️ LockerGoga โจมตี Norsk Hydro ทำให้ระบบกว่า 170 แห่งหยุดชะงัก ➡️ Nefilim เน้นโจมตีบริษัทมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน และขายสิทธิ์ให้แฮกเกอร์อื่น ➡️ ใช้เครื่องมือเจาะระบบ เช่น Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่าย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น “deadforz”, “Boba”, “msfv”, “farnetwork” ➡️ Europol จัดให้เขาอยู่ในรายชื่อ “Most Wanted” ของยุโรป ➡️ การโจมตีบางครั้งทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าไถ่เกิน $1 ล้านต่อครั้ง ➡️ คำฟ้องระบุว่าเขาอาจถูกลงโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต หากถูกจับและตัดสินว่าผิด ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Tymoshchuk ยังไม่ถูกจับ — ยังคงหลบหนีและอาจมีการโจมตีเพิ่มเติม ⛔ การโจมตีแบบแฝงตัวหลายเดือนทำให้ตรวจจับได้ยาก ⛔ บริษัทที่ถูกโจมตีมักไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจ่ายค่าไถ่ ⛔ การใช้เครื่องมือเจาะระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายในทางผิด ทำให้การป้องกันซับซ้อน ⛔ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/u-s-places-usd11-million-bounty-on-ukrainian-ransomware-mastermind-tymoshchuk-allegedly-stole-usd18-billion-from-large-companies-over-3-years
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    U.S. places $11 million bounty on Ukrainian ransomware mastermind — Tymoshchuk allegedly stole $18 billion from large companies over 3 years
    Volodymyr Tymoshchuk is accused of masterminding ransomware that disrupted 250 companies in the United States alone.
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • “เปลี่ยน RTX 4090 เป็นการ์ด AI 48GB ด้วยชุดอัปเกรด $142 — เมื่อโรงงานจีนสร้าง GPU ระดับดาต้าเซ็นเตอร์จากเกมมิ่งแฟลกชิป”

    ในยุคที่การประมวลผล AI ต้องการหน่วยความจำมหาศาล การ์ดจอเกมมิ่งระดับสูงอย่าง RTX 4090 ก็ถูกนำมาดัดแปลงให้กลายเป็น GPU สำหรับงาน AI โดยเฉพาะในจีนที่มีข้อจำกัดด้านการนำเข้าอุปกรณ์ AI จากสหรัฐฯ โรงงานหลายแห่งจึงเริ่ม “แปลงร่าง” RTX 4090 ให้กลายเป็นการ์ด 48GB ที่สามารถรันโมเดลขนาดใหญ่ได้อย่างลื่นไหล

    เทคนิคนี้เริ่มจากการใช้ชุดอัปเกรดที่ขายในจีนในราคาเพียง $142 ซึ่งประกอบด้วย PCB แบบ clamshell ที่รองรับการติดตั้งชิปหน่วยความจำทั้งสองด้าน (เหมือนกับ RTX 3090) และระบบระบายความร้อนแบบ blower-style ที่เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์ GPU หลายตัว

    ช่างเทคนิคชื่อ VIK-on ได้สาธิตการถอดชิป AD102 และ GDDR6X ขนาด 2GB จำนวน 12 ตัวจากการ์ด MSI RTX 4090 Suprim แล้วนำไปติดตั้งบน PCB ใหม่ พร้อมอัปโหลดเฟิร์มแวร์ที่ถูกดัดแปลงให้รองรับหน่วยความจำ 48GB โดยใช้เครื่องมือภายในของ NVIDIA ที่หลุดออกมา เช่น MATS และ Mods

    แม้จะต้องใช้ทักษะการบัดกรีระดับสูงและอุปกรณ์เฉพาะทาง แต่ผลลัพธ์คือการ์ด RTX 4090 ที่สามารถรันโมเดล LLM ขนาด 70B ได้อย่างเสถียร โดยไม่ต้องพึ่งการ์ดระดับดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีราคาหลายพันดอลลาร์

    การ์ดที่ถูกดัดแปลงนี้ยังสามารถใช้งานกับไดรเวอร์ NVIDIA ได้ตามปกติ และมีการทดสอบความร้อนและประสิทธิภาพผ่าน Furmark, 3DMark และแอปพลิเคชัน AI เพื่อยืนยันว่าใช้งานได้จริง

    วิธีการอัปเกรด RTX 4090 เป็น 48GB
    ใช้ชุดอัปเกรด $142 ที่มี PCB แบบ clamshell และระบบระบายความร้อน blower-style
    ถอดชิป AD102 และ GDDR6X จากการ์ดเดิมแล้วติดตั้งบน PCB ใหม่
    ใช้เฟิร์มแวร์ดัดแปลงเพื่อให้ระบบรู้จักหน่วยความจำ 48GB
    ใช้ชิปหน่วยความจำจากการ์ดเสียเพื่อลดต้นทุน

    ประสิทธิภาพและการใช้งาน
    สามารถรันโมเดล LLM ขนาด 70B ได้อย่างลื่นไหล
    ใช้งานกับไดรเวอร์ NVIDIA ได้โดยไม่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม
    ระบบระบายความร้อน blower-style เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์หลาย GPU
    ทดสอบผ่าน Furmark, 3DMark และแอป AI เพื่อยืนยันความเสถียร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การ์ด RTX 4090 48GB ขายในจีนราว $3,320 — ถูกกว่าดาต้าเซ็นเตอร์ GPU ถึง 39%
    GPU AD102 มีประสิทธิภาพสูงในงาน AI และ deep learning
    PCB แบบ clamshell เคยใช้ใน RTX 3090 เพื่อรองรับหน่วยความจำสองด้าน
    เฟิร์มแวร์ NVIDIA มีระบบตรวจสอบ device ID เพื่อป้องกันการดัดแปลง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/usd142-upgrade-kit-and-spare-modules-turn-nvidia-rtx-4090-24gb-to-48gb-ai-card-technician-explains-how-chinese-factories-turn-gaming-flagships-into-highly-desirable-ai-gpus
    🧠 “เปลี่ยน RTX 4090 เป็นการ์ด AI 48GB ด้วยชุดอัปเกรด $142 — เมื่อโรงงานจีนสร้าง GPU ระดับดาต้าเซ็นเตอร์จากเกมมิ่งแฟลกชิป” ในยุคที่การประมวลผล AI ต้องการหน่วยความจำมหาศาล การ์ดจอเกมมิ่งระดับสูงอย่าง RTX 4090 ก็ถูกนำมาดัดแปลงให้กลายเป็น GPU สำหรับงาน AI โดยเฉพาะในจีนที่มีข้อจำกัดด้านการนำเข้าอุปกรณ์ AI จากสหรัฐฯ โรงงานหลายแห่งจึงเริ่ม “แปลงร่าง” RTX 4090 ให้กลายเป็นการ์ด 48GB ที่สามารถรันโมเดลขนาดใหญ่ได้อย่างลื่นไหล เทคนิคนี้เริ่มจากการใช้ชุดอัปเกรดที่ขายในจีนในราคาเพียง $142 ซึ่งประกอบด้วย PCB แบบ clamshell ที่รองรับการติดตั้งชิปหน่วยความจำทั้งสองด้าน (เหมือนกับ RTX 3090) และระบบระบายความร้อนแบบ blower-style ที่เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์ GPU หลายตัว ช่างเทคนิคชื่อ VIK-on ได้สาธิตการถอดชิป AD102 และ GDDR6X ขนาด 2GB จำนวน 12 ตัวจากการ์ด MSI RTX 4090 Suprim แล้วนำไปติดตั้งบน PCB ใหม่ พร้อมอัปโหลดเฟิร์มแวร์ที่ถูกดัดแปลงให้รองรับหน่วยความจำ 48GB โดยใช้เครื่องมือภายในของ NVIDIA ที่หลุดออกมา เช่น MATS และ Mods แม้จะต้องใช้ทักษะการบัดกรีระดับสูงและอุปกรณ์เฉพาะทาง แต่ผลลัพธ์คือการ์ด RTX 4090 ที่สามารถรันโมเดล LLM ขนาด 70B ได้อย่างเสถียร โดยไม่ต้องพึ่งการ์ดระดับดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีราคาหลายพันดอลลาร์ การ์ดที่ถูกดัดแปลงนี้ยังสามารถใช้งานกับไดรเวอร์ NVIDIA ได้ตามปกติ และมีการทดสอบความร้อนและประสิทธิภาพผ่าน Furmark, 3DMark และแอปพลิเคชัน AI เพื่อยืนยันว่าใช้งานได้จริง ✅ วิธีการอัปเกรด RTX 4090 เป็น 48GB ➡️ ใช้ชุดอัปเกรด $142 ที่มี PCB แบบ clamshell และระบบระบายความร้อน blower-style ➡️ ถอดชิป AD102 และ GDDR6X จากการ์ดเดิมแล้วติดตั้งบน PCB ใหม่ ➡️ ใช้เฟิร์มแวร์ดัดแปลงเพื่อให้ระบบรู้จักหน่วยความจำ 48GB ➡️ ใช้ชิปหน่วยความจำจากการ์ดเสียเพื่อลดต้นทุน ✅ ประสิทธิภาพและการใช้งาน ➡️ สามารถรันโมเดล LLM ขนาด 70B ได้อย่างลื่นไหล ➡️ ใช้งานกับไดรเวอร์ NVIDIA ได้โดยไม่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม ➡️ ระบบระบายความร้อน blower-style เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์หลาย GPU ➡️ ทดสอบผ่าน Furmark, 3DMark และแอป AI เพื่อยืนยันความเสถียร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การ์ด RTX 4090 48GB ขายในจีนราว $3,320 — ถูกกว่าดาต้าเซ็นเตอร์ GPU ถึง 39% ➡️ GPU AD102 มีประสิทธิภาพสูงในงาน AI และ deep learning ➡️ PCB แบบ clamshell เคยใช้ใน RTX 3090 เพื่อรองรับหน่วยความจำสองด้าน ➡️ เฟิร์มแวร์ NVIDIA มีระบบตรวจสอบ device ID เพื่อป้องกันการดัดแปลง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/usd142-upgrade-kit-and-spare-modules-turn-nvidia-rtx-4090-24gb-to-48gb-ai-card-technician-explains-how-chinese-factories-turn-gaming-flagships-into-highly-desirable-ai-gpus
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • “AI สร้างอดีตที่เราไม่เคยมี — เมื่อความคิดถึงยุค 90 กลายเป็นภาพจำปลอมที่คนรุ่นใหม่หลงรัก”

    ในยุคที่โลกจริงเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความไม่แน่นอน ผู้คนจำนวนมากหันกลับไปหาความทรงจำในอดีตเพื่อปลอบใจตนเอง และตอนนี้ AI ได้กลายเป็นเครื่องมือหลักในการสร้าง “อดีตจำลอง” ที่ทั้งสวยงามและน่าหลงใหล แม้จะไม่เคยเกิดขึ้นจริงก็ตาม

    บน TikTok และ Instagram มีคลิปวิดีโอจำนวนมากที่จำลองบรรยากาศยุค 80 และ 90 ด้วยภาพที่ดูเหมือนหลุดมาจากเทป VHS หรือโฆษณาเก่า — แต่ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นด้วย AI เช่น Midjourney, DaVinci Resolve และ Photoshop โดยผู้สร้างเนื้อหาชื่อดังอย่าง Nostalgia Cat, Purest Nostalgia และ Maximal Nostalgia

    คลิปเหล่านี้มักมีตัวละครวัยรุ่นที่พูดประโยคชวนฝัน เช่น “ไม่มีแชต ไม่มี DM มีแต่เรื่องราวรอบกองไฟจนเช้า” ทั้งที่ยุค 2000 ก็มีมือถือแล้วก็ตาม ความย้อนแยงนี้ไม่ได้ทำให้ผู้ชมรู้สึกแปลก — กลับยิ่งเพิ่มความรู้สึก “คิดถึง” ที่ไม่ต้องอิงความจริง

    ผู้สร้างเนื้อหาอย่าง Josh Crowe และ Tavaius Dawson ยอมรับว่าไม่ได้ตั้งใจให้เนื้อหาถูกต้องทางประวัติศาสตร์ แต่เน้น “ความรู้สึกดี” และ “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับผู้ชม โดยมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นหลักแสนต่อเดือน และบางคลิปมียอดวิวถึง 27 ล้านครั้ง

    นักวิจารณ์วัฒนธรรมบางคน เช่น Christine Rosen เตือนว่า การจมอยู่กับภาพจำปลอมอาจทำให้เรายิ่งห่างจากความจริง และความรู้สึกคิดถึงนั้นอาจไม่ได้ช่วยเยียวยา แต่กลับทำให้รู้สึกแย่ลงเมื่อกลับสู่โลกจริง

    การสร้างเนื้อหาแนวย้อนยุคด้วย AI
    ใช้เครื่องมืออย่าง Midjourney, DaVinci Resolve และ Photoshop
    สร้างภาพจำยุค 80–90 ด้วยเทคนิค VHS, Polaroid และ 35mm film
    ตัวละครในคลิปเป็น AI ทั้งหมด รวมถึงบทพูดและฉาก
    เน้นความรู้สึก “คิดถึง” มากกว่าความถูกต้องทางประวัติศาสตร์

    ผู้สร้างเนื้อหาและกระแสตอบรับ
    Nostalgia Cat, Purest Nostalgia และ Maximal Nostalgia มีผู้ติดตามหลักแสน
    Josh Crowe ใช้ภาพจริงผสมกับ prompt engineering เพื่อสร้างฉาก
    Tavaius Dawson เขียนสคริปต์และ storyboard สำหรับแต่ละคลิป
    ผู้ชมจากทั่วโลก เช่น ยูเครนและอิสราเอล ส่งข้อความขอบคุณที่ช่วยเยียวยาจิตใจ

    ความรู้สึกคิดถึงในยุคดิจิทัล
    คนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยอยู่ในยุคนั้นกลับรู้สึกผูกพันกับภาพจำที่สร้างขึ้น
    นักวิจัยเช่น Clay Routledge พบว่าเยาวชนมีแนวโน้ม “คิดถึงอดีต” มากขึ้น
    AI กลายเป็นเครื่องมือสร้าง “ความทรงจำจำลอง” ที่มีพลังทางอารมณ์
    ความนิยมของเนื้อหาแนวย้อนยุคเพิ่มขึ้นในช่วงที่โลกจริงเต็มไปด้วยความเครียด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Vanilla Ice แสดงความคิดเห็นว่า “คอมพิวเตอร์ทำลายโลก” ในคลิป AI ย้อนยุค
    นักพัฒนาเว็บอย่าง Scott Anderson พบว่าตนเองดูคลิป AI โดยไม่รู้ตัว
    Christine Rosen เตือนว่า “ความคิดถึงที่สร้างด้วย AI อาจทำให้เรารู้สึกแย่ลง”
    ความนิยมของคลิปแนวย้อนยุคสะท้อนความต้องการ “ความมั่นคงทางอารมณ์”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/11/remember-when-things-were-better-in-the-90s-ai-does-too
    📼 “AI สร้างอดีตที่เราไม่เคยมี — เมื่อความคิดถึงยุค 90 กลายเป็นภาพจำปลอมที่คนรุ่นใหม่หลงรัก” ในยุคที่โลกจริงเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความไม่แน่นอน ผู้คนจำนวนมากหันกลับไปหาความทรงจำในอดีตเพื่อปลอบใจตนเอง และตอนนี้ AI ได้กลายเป็นเครื่องมือหลักในการสร้าง “อดีตจำลอง” ที่ทั้งสวยงามและน่าหลงใหล แม้จะไม่เคยเกิดขึ้นจริงก็ตาม บน TikTok และ Instagram มีคลิปวิดีโอจำนวนมากที่จำลองบรรยากาศยุค 80 และ 90 ด้วยภาพที่ดูเหมือนหลุดมาจากเทป VHS หรือโฆษณาเก่า — แต่ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นด้วย AI เช่น Midjourney, DaVinci Resolve และ Photoshop โดยผู้สร้างเนื้อหาชื่อดังอย่าง Nostalgia Cat, Purest Nostalgia และ Maximal Nostalgia คลิปเหล่านี้มักมีตัวละครวัยรุ่นที่พูดประโยคชวนฝัน เช่น “ไม่มีแชต ไม่มี DM มีแต่เรื่องราวรอบกองไฟจนเช้า” ทั้งที่ยุค 2000 ก็มีมือถือแล้วก็ตาม ความย้อนแยงนี้ไม่ได้ทำให้ผู้ชมรู้สึกแปลก — กลับยิ่งเพิ่มความรู้สึก “คิดถึง” ที่ไม่ต้องอิงความจริง ผู้สร้างเนื้อหาอย่าง Josh Crowe และ Tavaius Dawson ยอมรับว่าไม่ได้ตั้งใจให้เนื้อหาถูกต้องทางประวัติศาสตร์ แต่เน้น “ความรู้สึกดี” และ “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับผู้ชม โดยมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นหลักแสนต่อเดือน และบางคลิปมียอดวิวถึง 27 ล้านครั้ง นักวิจารณ์วัฒนธรรมบางคน เช่น Christine Rosen เตือนว่า การจมอยู่กับภาพจำปลอมอาจทำให้เรายิ่งห่างจากความจริง และความรู้สึกคิดถึงนั้นอาจไม่ได้ช่วยเยียวยา แต่กลับทำให้รู้สึกแย่ลงเมื่อกลับสู่โลกจริง ✅ การสร้างเนื้อหาแนวย้อนยุคด้วย AI ➡️ ใช้เครื่องมืออย่าง Midjourney, DaVinci Resolve และ Photoshop ➡️ สร้างภาพจำยุค 80–90 ด้วยเทคนิค VHS, Polaroid และ 35mm film ➡️ ตัวละครในคลิปเป็น AI ทั้งหมด รวมถึงบทพูดและฉาก ➡️ เน้นความรู้สึก “คิดถึง” มากกว่าความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ ✅ ผู้สร้างเนื้อหาและกระแสตอบรับ ➡️ Nostalgia Cat, Purest Nostalgia และ Maximal Nostalgia มีผู้ติดตามหลักแสน ➡️ Josh Crowe ใช้ภาพจริงผสมกับ prompt engineering เพื่อสร้างฉาก ➡️ Tavaius Dawson เขียนสคริปต์และ storyboard สำหรับแต่ละคลิป ➡️ ผู้ชมจากทั่วโลก เช่น ยูเครนและอิสราเอล ส่งข้อความขอบคุณที่ช่วยเยียวยาจิตใจ ✅ ความรู้สึกคิดถึงในยุคดิจิทัล ➡️ คนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยอยู่ในยุคนั้นกลับรู้สึกผูกพันกับภาพจำที่สร้างขึ้น ➡️ นักวิจัยเช่น Clay Routledge พบว่าเยาวชนมีแนวโน้ม “คิดถึงอดีต” มากขึ้น ➡️ AI กลายเป็นเครื่องมือสร้าง “ความทรงจำจำลอง” ที่มีพลังทางอารมณ์ ➡️ ความนิยมของเนื้อหาแนวย้อนยุคเพิ่มขึ้นในช่วงที่โลกจริงเต็มไปด้วยความเครียด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Vanilla Ice แสดงความคิดเห็นว่า “คอมพิวเตอร์ทำลายโลก” ในคลิป AI ย้อนยุค ➡️ นักพัฒนาเว็บอย่าง Scott Anderson พบว่าตนเองดูคลิป AI โดยไม่รู้ตัว ➡️ Christine Rosen เตือนว่า “ความคิดถึงที่สร้างด้วย AI อาจทำให้เรารู้สึกแย่ลง” ➡️ ความนิยมของคลิปแนวย้อนยุคสะท้อนความต้องการ “ความมั่นคงทางอารมณ์” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/11/remember-when-things-were-better-in-the-90s-ai-does-too
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Remember when things were better in the '90s? AI does, too
    Dubious videos about the glory of bygone eras are creating nostalgia for those too young to fact check them.
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • “EggStreme: มัลแวร์ไร้ไฟล์จากจีนเจาะระบบทหารฟิลิปปินส์ — ปฏิบัติการลับที่ซับซ้อนที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

    Bitdefender เผยการค้นพบมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ชื่อว่า “EggStreme” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) จากจีนในการเจาะระบบของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกองทัพฟิลิปปินส์ และยังพบการใช้งานในองค์กรทหารทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

    EggStreme ไม่ใช่มัลแวร์ทั่วไป แต่เป็น “framework” ที่ประกอบด้วยหลายโมดูลทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจาก EggStremeFuel ซึ่งเป็นตัวโหลดที่เตรียมสภาพแวดล้อม จากนั้นจึงเรียกใช้ EggStremeAgent ซึ่งเป็น backdoor หลักที่สามารถสอดแนมระบบ, ขโมยข้อมูล, ลบหรือแก้ไขไฟล์ และฝัง keylogger ลงใน explorer.exe ทุกครั้งที่มีการเปิด session ใหม่

    ความน่ากลัวของ EggStreme คือมันเป็น “fileless malware” — ไม่มีไฟล์มัลแวร์อยู่บนดิสก์ แต่จะถอดรหัสและรัน payload ในหน่วยความจำเท่านั้น ทำให้ระบบป้องกันทั่วไปตรวจจับได้ยากมาก และยังใช้เทคนิค DLL sideloading เพื่อแอบแฝงตัวในโปรแกรมที่ดูปลอดภัย

    นอกจาก EggStremeAgent ยังมี EggStremeWizard ซึ่งเป็น backdoor รองที่ใช้ xwizard.exe ในการ sideload DLL และมีรายชื่อ fallback servers เพื่อรักษาการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) แม้เซิร์ฟเวอร์หลักจะถูกปิดไปแล้ว พร้อมกับเครื่องมือ proxy ชื่อว่า Stowaway ที่ช่วยให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลภายในเครือข่ายโดยไม่ถูกไฟร์วอลล์บล็อก

    การโจมตีนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ซึ่งฟิลิปปินส์เผชิญกับการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 300% ตั้งแต่ต้นปี 2024 โดย EggStreme เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สะท้อนถึงการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมของการจารกรรมไซเบอร์ — ไม่ใช่แค่เครื่องมือเดี่ยว แต่เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมเป้าหมายในระยะยาว

    โครงสร้างมัลแวร์ EggStreme
    เริ่มจาก EggStremeFuel ที่เตรียมระบบและเรียกใช้ EggStremeLoader
    EggStremeReflectiveLoader จะรัน EggStremeAgent ซึ่งเป็น backdoor หลัก
    EggStremeAgent รองรับคำสั่ง 58 แบบ เช่น สแกนระบบ, ขโมยข้อมูล, ฝัง payload
    ฝัง keylogger ลงใน explorer.exe ทุกครั้งที่เปิด session ใหม่

    เทคนิคการแฝงตัว
    ใช้ DLL sideloading ผ่านไฟล์ที่ดูปลอดภัย เช่น xwizard.exe
    payload ถูกถอดรหัสและรันในหน่วยความจำเท่านั้น (fileless execution)
    สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน gRPC แบบเข้ารหัส
    มี fallback servers เพื่อรักษาการเชื่อมต่อแม้เซิร์ฟเวอร์หลักถูกปิด

    เครื่องมือเสริมใน framework
    EggStremeWizard เป็น backdoor รองที่ให้ reverse shell และอัปโหลดไฟล์
    Stowaway proxy ช่วยส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายภายในโดยไม่ถูกบล็อก
    ระบบสามารถเคลื่อนย้ายภายในเครือข่าย (lateral movement) ได้อย่างแนบเนียน
    framework ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและปรับตัวตามเป้าหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Bitdefender พบการโจมตีครั้งแรกในต้นปี 2024 ผ่าน batch script บน SMB share
    ฟิลิปปินส์เผชิญการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 300% จากความขัดแย้งในทะเลจีนใต้
    EggStreme เป็นตัวอย่างของการพัฒนา “ชุดเครื่องมือจารกรรม” ที่มีความซับซ้อนสูง
    นักวิจัยเตือนว่าองค์กรใน APAC ควรใช้ IOC ที่เผยแพร่เพื่อป้องกันการโจมตี

    https://hackread.com/chinese-apt-philippine-military-eggstreme-fileless-malware/
    🕵️‍♂️ “EggStreme: มัลแวร์ไร้ไฟล์จากจีนเจาะระบบทหารฟิลิปปินส์ — ปฏิบัติการลับที่ซับซ้อนที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” Bitdefender เผยการค้นพบมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ชื่อว่า “EggStreme” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) จากจีนในการเจาะระบบของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกองทัพฟิลิปปินส์ และยังพบการใช้งานในองค์กรทหารทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก EggStreme ไม่ใช่มัลแวร์ทั่วไป แต่เป็น “framework” ที่ประกอบด้วยหลายโมดูลทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจาก EggStremeFuel ซึ่งเป็นตัวโหลดที่เตรียมสภาพแวดล้อม จากนั้นจึงเรียกใช้ EggStremeAgent ซึ่งเป็น backdoor หลักที่สามารถสอดแนมระบบ, ขโมยข้อมูล, ลบหรือแก้ไขไฟล์ และฝัง keylogger ลงใน explorer.exe ทุกครั้งที่มีการเปิด session ใหม่ ความน่ากลัวของ EggStreme คือมันเป็น “fileless malware” — ไม่มีไฟล์มัลแวร์อยู่บนดิสก์ แต่จะถอดรหัสและรัน payload ในหน่วยความจำเท่านั้น ทำให้ระบบป้องกันทั่วไปตรวจจับได้ยากมาก และยังใช้เทคนิค DLL sideloading เพื่อแอบแฝงตัวในโปรแกรมที่ดูปลอดภัย นอกจาก EggStremeAgent ยังมี EggStremeWizard ซึ่งเป็น backdoor รองที่ใช้ xwizard.exe ในการ sideload DLL และมีรายชื่อ fallback servers เพื่อรักษาการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) แม้เซิร์ฟเวอร์หลักจะถูกปิดไปแล้ว พร้อมกับเครื่องมือ proxy ชื่อว่า Stowaway ที่ช่วยให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลภายในเครือข่ายโดยไม่ถูกไฟร์วอลล์บล็อก การโจมตีนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ซึ่งฟิลิปปินส์เผชิญกับการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 300% ตั้งแต่ต้นปี 2024 โดย EggStreme เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สะท้อนถึงการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมของการจารกรรมไซเบอร์ — ไม่ใช่แค่เครื่องมือเดี่ยว แต่เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมเป้าหมายในระยะยาว ✅ โครงสร้างมัลแวร์ EggStreme ➡️ เริ่มจาก EggStremeFuel ที่เตรียมระบบและเรียกใช้ EggStremeLoader ➡️ EggStremeReflectiveLoader จะรัน EggStremeAgent ซึ่งเป็น backdoor หลัก ➡️ EggStremeAgent รองรับคำสั่ง 58 แบบ เช่น สแกนระบบ, ขโมยข้อมูล, ฝัง payload ➡️ ฝัง keylogger ลงใน explorer.exe ทุกครั้งที่เปิด session ใหม่ ✅ เทคนิคการแฝงตัว ➡️ ใช้ DLL sideloading ผ่านไฟล์ที่ดูปลอดภัย เช่น xwizard.exe ➡️ payload ถูกถอดรหัสและรันในหน่วยความจำเท่านั้น (fileless execution) ➡️ สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน gRPC แบบเข้ารหัส ➡️ มี fallback servers เพื่อรักษาการเชื่อมต่อแม้เซิร์ฟเวอร์หลักถูกปิด ✅ เครื่องมือเสริมใน framework ➡️ EggStremeWizard เป็น backdoor รองที่ให้ reverse shell และอัปโหลดไฟล์ ➡️ Stowaway proxy ช่วยส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายภายในโดยไม่ถูกบล็อก ➡️ ระบบสามารถเคลื่อนย้ายภายในเครือข่าย (lateral movement) ได้อย่างแนบเนียน ➡️ framework ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและปรับตัวตามเป้าหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Bitdefender พบการโจมตีครั้งแรกในต้นปี 2024 ผ่าน batch script บน SMB share ➡️ ฟิลิปปินส์เผชิญการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 300% จากความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ➡️ EggStreme เป็นตัวอย่างของการพัฒนา “ชุดเครื่องมือจารกรรม” ที่มีความซับซ้อนสูง ➡️ นักวิจัยเตือนว่าองค์กรใน APAC ควรใช้ IOC ที่เผยแพร่เพื่อป้องกันการโจมตี https://hackread.com/chinese-apt-philippine-military-eggstreme-fileless-malware/
    HACKREAD.COM
    Chinese APT Hits Philippine Military Firm with New EggStreme Fileless Malware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 14
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 14 (ตอนจบ)
    หลังจากนาย Kenneth จัดอบรมหลักสูตรปรับพื้นสนามล่าได้ประมาณ
2 ปี วันหนึ่งในปี ค.ศ.1963 นาย Alexis Johnson ก็เข้ามาเยี่ยมระหว่างการฝึกอบรมและประกาศว่านาย Kenneth ทำหน้าที่ปรับพื้นสนามล่าได้ผล เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงจะให้นาย Kenneth ไปทำหน้าที่สำคัญกว่านั้น โดยเป็น Dean of Area Studies for the Foreign Service Institute ซึ่งเป็นการสร้างหลักสูตรสำหรับโปรแกรมต่างๆ ทั่วโลก เป็นงานนั่งโต๊ะ ซึ่งนาย Kenneth บอกว่าไม่รู้ตัวเลย ว่าเขาถูกปลดจากที่ยืนบนแท่นที่ มีไฟส่อง ไปนั่งโต๊ะทำงานในมุมมืด แต่งานมันมีมุมลึกกว่าเดิม ถึงจะลึกยังไง คงไม่สบกับอารมณ์ของนาย Kenneth ซึ่งชอบเสนอหน้า เขาทนนั่งทำงานอยู่ที่สถาบันนี้อยู่ 2,3 ปี จึงออกไปทำงานเป็นศาสตราจารย์เต็ม ตัวใน American University ตามคำชวนของนาย Ernest Griffith แห่ง Council for American Learned Studies ตกลง ใครนะเป็นเจ้าของ มิชชั่นนารี จากเมืองตรัง
    นาย Griffith ขอให้เขาตั้งสถาบันเอเซีย ท้ังตะวันออกเฉียงใต้และเอเซียใต้ที่ American University ซึ่งนาย Kenneth ก็ตกลง เขาคิดหลักสูตรและให้มีการสอนทั้งภาษา ไทย พม่า เวียตนาม ฮินดู และอินโดนีเซีย ฯลฯ หลังจากนั้นมหาวิทยาลัยดังๆ ต่างๆ ในอเมริกา ต่างพากันตั้งสถาบันทำนองนี้กันหมด ครอบคลุมไปหลาย area เครื่องมือนักล่าแพร่หลายและใช้การได้อย่างดี นาย Kenneth (หรือคนสร้างนาย Kenneth ? ) เป็นคนมองเห็นการณ์ไกลจริง
    และก็สถาบันแบบนี้แหละ ที่ ประมาณ 6,7 ปีมานี้ ไอ้โจรร้ายได้ส่งพวกอาจารย์นักบิด(เบือน)รุ่นใหญ่ ไปเป็นหัวหน้าภาควิชา โดยการสนับสนุนให้ทุนก้อนใหญ่ และการร่วมมือของพวกนักล่า ไปปรับหลักสูตรใหม่ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับสถาบัน หลังจากน้ัน บทความที่บิดเบือนเกี่ยวกับสถาบัน เขียนโดยสมุนนักล่า และ ขี้ข้าโจร ก็ทยอยกันออกมา จนถึงทุกวันนี้ และตอนนี้ก็กำลังโหมฟืนเพิ่มไฟ นักล่าและไอ้โจรร้าย ทำทุกวิถีทางที่จะเขย่าเสาหลักให้คลอน การครอบครองแดนสมันน้อยจะได้ง่ายขึ้น เลิกสงสัยกันได้ว่า เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
    อเมริกาซึ่งเคยรู้จักเมืองไทยแบบลางเลือน รู้แค่ว่าเมืองไทยมีแต่คนฝาแฝดตัวติดกัน รู้จักสถาบันกษัตริย์ของไทยผ่านสายตา ของนางพี่เลี้ยงที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและเพ้อเจ้อ เช่น นาง Anna Leonowens ก็ได้ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนไป คงต้องยอมรับว่า ฝีมือกระล่อนและความเป็นนักฉวยโอกาสของนาย Kenneth ได้ผล ทำให้เครื่องมือนักล่าประเภทนี้ขึ้นอันดับ อเมริกาติดใจดัดแปลงเครื่องมือชนิดนี้ไปเรื่อๆ นาย Kenneth มาเป็นมิชชั่นนารี อาสามาทำงานในเมืองไทยเอง หรือจะมาด้วยเหตุผลอื่น เรายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเครื่องมือนักล่าเช่นนี้ ได้ผลอย่างชนิดเหลือเชื่อ การเรียนภาษาไทยจนเข้าใจและอ่านได้ ถึงขนาดอ่านขาดว่าม้าตัวเต็งชื่อสฤษดิ์จะเข้าวิน ทำให้อเมริกาเดินงานได้ตามแผนที่วางไว้เกือบทุกอย่าง แบบนี้จะมีหรือที่ อเมริกาจะไม่เก็บเครื่องมือชนิดนี้ไว้ใช้ต่อ แค่ดัดแปลงใส่ app ใหม่ๆเข้าไปเรื่อยๆเท่านั้น
    สถาบันเอเซียศึกษาไม่ว่าอยู่ใน เมืองไทย หรือในอเมริกา มาจากไหน หนังสือเกือบ 2000 เล่ม และแผ่นที่หอบไป ขยายผลได้มากมาย มูลนิธิต่างๆ เช่น Asia Foundation ….. ได้ถูกนำมาก่อตั้งในเมืองไทยมีทั้งแบบโจ๋งครึ่ม และปกปิด ครูบาอาจารย์หรือ ให้ทุนมันเข้าไป จะได้ไปรับวัฒนธรรมทางความคิดของอเมริกากลับเข้ามา เหตุการณ์ ค.ศ.1960 ที่ประธานาธิบดี Kennedy ฉุนขาดจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ผ่านมากว่า 50 ปี เรารู้กันบ้างไหมว่าเขาเอานาย Kenneth 1,2,3….. ถึง 1000 มาไว้บ้านเรากี่คนแล้ว ยกตัวอย่างเช่น นาย Kenneth รุ่นใหม่ ชื่อพี่เจฟ เข้ามาเป็น Peace Corp อยู่ทางใต้ (เดินตามรอยกันมาเดี๊ยะเชียวนะ ! ) ตั้งแต่ยังแน่นหนุ่ม ตอนนั้นทั้งเหี่ยวทั้งล้านก็ยังอยู่เมืองไทย เข้าออกในที่สูงที่ลับที่แจ้ง บนเวทีลุงกำนันก็ไปขึ้นมาแล้ว ขนพรรคพวกมาอยู่ข้างเวทีเกือบทุกวัน สมัยหนึ่ง 3-4 ปีมาแล้วถึงกับจัดงานหาทุนให้พรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่ง (ไม่เข็ดเรื่อง Lotus Project หรือไง ต้องให้แฉกันมากกว่านี้มั๊ย ? ท่านใดอ่านแล้วงงก็ไปหาอ่านกันต่อในนิทานเรื่องจิ๊กโก๋ปากซอยนะครับ) ยังมีทุนการศึกษาต่างๆ เช่น American Field Service (AFS) ที่ให้แก่นักเรียนชั้น ม. ปลาย ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยไปอยู่กับครอบครัวอเมริกัน ตั้งแต่สมัยสงครามเวียตนาม หลายๆคน เดี๋ยวนี้ก็ยังเข้มแข็งจัดงานเฉลิมฉลองมิตรไมตรีความเข้าใจอันดีของ 2 ประเทศอยู่ทุกปี ขนาดโดนเขาด่า เขามาแทรกแซงประเทศ คนพวกนี้ก็เหมือนจะเห็นบุญคุณของ 1 ปี ที่ไปอยู่กับเขามากกว่าแผ่นดินเกิดของตนเอง
    นี่ยังไม่ได้พูดถึงครูบาอาจารย์ ที่ได้ทุนไปเรียนปริญญาตรี โท เอก ของ Asia Foundation, Fulbright, Ford Foundation, Rockefeller ฯลฯ อาจารย์ต่างๆเหล่านี้ กลับมาสอนในมหาวิทยาลัยไทย แต่จัดหลักสูตรใหม่ตามที่ผู้ให้ทุนต้องการ เขารู้จักเรามากว่า 50 ปีแล้วจากที่แทบจะไม่มีใครในบ้านเมืองเขาได้ยินชื่อเมืองเราเลย จนเดี๋ยวนี้เขารู้จักเมืองเราทุกตารางนิ้ว รู้จักและใช้คนของเราทำงานเพื่อ ประโยชน์ของเขา เขาติดตามเราทุกย่างก้าว ครอบงำความคิด วัฒนธรรม การศึกษา ฯลฯ เราเกือบทุกเรื่อง โดยเราไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว แต่ไม่รู้สึก ไม่ฉุกคิด ไม่เฉลียวใจ ไม่รับรู้ ไม่หวงแหน นี่ขนาดเขาใช้เครื่องมือล่าระดับง่ามไม้เล็กๆ เขายังกวาดข้อมูล นำไปใช้เป็นต้นแบบเครื่องมือล่าให้แม่นยำขึ้นไปอีก แล้วถ้าเราเจอเครื่องมือล่าประเภทหัวเจาะ ไม่ว่าเป็นประเภทหัวเจาะผมทอง หรือผมดำสัญชาติไทยแต่ใจเป็นอื่น ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยในบ้านเรา และอาจจะกำลังถูกนำมาใช้งานเร็วๆนี้ แล้วเราจะนั่งไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปหรือครับ

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 14 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 14 (ตอนจบ) หลังจากนาย Kenneth จัดอบรมหลักสูตรปรับพื้นสนามล่าได้ประมาณ
2 ปี วันหนึ่งในปี ค.ศ.1963 นาย Alexis Johnson ก็เข้ามาเยี่ยมระหว่างการฝึกอบรมและประกาศว่านาย Kenneth ทำหน้าที่ปรับพื้นสนามล่าได้ผล เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงจะให้นาย Kenneth ไปทำหน้าที่สำคัญกว่านั้น โดยเป็น Dean of Area Studies for the Foreign Service Institute ซึ่งเป็นการสร้างหลักสูตรสำหรับโปรแกรมต่างๆ ทั่วโลก เป็นงานนั่งโต๊ะ ซึ่งนาย Kenneth บอกว่าไม่รู้ตัวเลย ว่าเขาถูกปลดจากที่ยืนบนแท่นที่ มีไฟส่อง ไปนั่งโต๊ะทำงานในมุมมืด แต่งานมันมีมุมลึกกว่าเดิม ถึงจะลึกยังไง คงไม่สบกับอารมณ์ของนาย Kenneth ซึ่งชอบเสนอหน้า เขาทนนั่งทำงานอยู่ที่สถาบันนี้อยู่ 2,3 ปี จึงออกไปทำงานเป็นศาสตราจารย์เต็ม ตัวใน American University ตามคำชวนของนาย Ernest Griffith แห่ง Council for American Learned Studies ตกลง ใครนะเป็นเจ้าของ มิชชั่นนารี จากเมืองตรัง นาย Griffith ขอให้เขาตั้งสถาบันเอเซีย ท้ังตะวันออกเฉียงใต้และเอเซียใต้ที่ American University ซึ่งนาย Kenneth ก็ตกลง เขาคิดหลักสูตรและให้มีการสอนทั้งภาษา ไทย พม่า เวียตนาม ฮินดู และอินโดนีเซีย ฯลฯ หลังจากนั้นมหาวิทยาลัยดังๆ ต่างๆ ในอเมริกา ต่างพากันตั้งสถาบันทำนองนี้กันหมด ครอบคลุมไปหลาย area เครื่องมือนักล่าแพร่หลายและใช้การได้อย่างดี นาย Kenneth (หรือคนสร้างนาย Kenneth ? ) เป็นคนมองเห็นการณ์ไกลจริง และก็สถาบันแบบนี้แหละ ที่ ประมาณ 6,7 ปีมานี้ ไอ้โจรร้ายได้ส่งพวกอาจารย์นักบิด(เบือน)รุ่นใหญ่ ไปเป็นหัวหน้าภาควิชา โดยการสนับสนุนให้ทุนก้อนใหญ่ และการร่วมมือของพวกนักล่า ไปปรับหลักสูตรใหม่ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับสถาบัน หลังจากน้ัน บทความที่บิดเบือนเกี่ยวกับสถาบัน เขียนโดยสมุนนักล่า และ ขี้ข้าโจร ก็ทยอยกันออกมา จนถึงทุกวันนี้ และตอนนี้ก็กำลังโหมฟืนเพิ่มไฟ นักล่าและไอ้โจรร้าย ทำทุกวิถีทางที่จะเขย่าเสาหลักให้คลอน การครอบครองแดนสมันน้อยจะได้ง่ายขึ้น เลิกสงสัยกันได้ว่า เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร อเมริกาซึ่งเคยรู้จักเมืองไทยแบบลางเลือน รู้แค่ว่าเมืองไทยมีแต่คนฝาแฝดตัวติดกัน รู้จักสถาบันกษัตริย์ของไทยผ่านสายตา ของนางพี่เลี้ยงที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและเพ้อเจ้อ เช่น นาง Anna Leonowens ก็ได้ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนไป คงต้องยอมรับว่า ฝีมือกระล่อนและความเป็นนักฉวยโอกาสของนาย Kenneth ได้ผล ทำให้เครื่องมือนักล่าประเภทนี้ขึ้นอันดับ อเมริกาติดใจดัดแปลงเครื่องมือชนิดนี้ไปเรื่อๆ นาย Kenneth มาเป็นมิชชั่นนารี อาสามาทำงานในเมืองไทยเอง หรือจะมาด้วยเหตุผลอื่น เรายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเครื่องมือนักล่าเช่นนี้ ได้ผลอย่างชนิดเหลือเชื่อ การเรียนภาษาไทยจนเข้าใจและอ่านได้ ถึงขนาดอ่านขาดว่าม้าตัวเต็งชื่อสฤษดิ์จะเข้าวิน ทำให้อเมริกาเดินงานได้ตามแผนที่วางไว้เกือบทุกอย่าง แบบนี้จะมีหรือที่ อเมริกาจะไม่เก็บเครื่องมือชนิดนี้ไว้ใช้ต่อ แค่ดัดแปลงใส่ app ใหม่ๆเข้าไปเรื่อยๆเท่านั้น สถาบันเอเซียศึกษาไม่ว่าอยู่ใน เมืองไทย หรือในอเมริกา มาจากไหน หนังสือเกือบ 2000 เล่ม และแผ่นที่หอบไป ขยายผลได้มากมาย มูลนิธิต่างๆ เช่น Asia Foundation ….. ได้ถูกนำมาก่อตั้งในเมืองไทยมีทั้งแบบโจ๋งครึ่ม และปกปิด ครูบาอาจารย์หรือ ให้ทุนมันเข้าไป จะได้ไปรับวัฒนธรรมทางความคิดของอเมริกากลับเข้ามา เหตุการณ์ ค.ศ.1960 ที่ประธานาธิบดี Kennedy ฉุนขาดจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ผ่านมากว่า 50 ปี เรารู้กันบ้างไหมว่าเขาเอานาย Kenneth 1,2,3….. ถึง 1000 มาไว้บ้านเรากี่คนแล้ว ยกตัวอย่างเช่น นาย Kenneth รุ่นใหม่ ชื่อพี่เจฟ เข้ามาเป็น Peace Corp อยู่ทางใต้ (เดินตามรอยกันมาเดี๊ยะเชียวนะ ! ) ตั้งแต่ยังแน่นหนุ่ม ตอนนั้นทั้งเหี่ยวทั้งล้านก็ยังอยู่เมืองไทย เข้าออกในที่สูงที่ลับที่แจ้ง บนเวทีลุงกำนันก็ไปขึ้นมาแล้ว ขนพรรคพวกมาอยู่ข้างเวทีเกือบทุกวัน สมัยหนึ่ง 3-4 ปีมาแล้วถึงกับจัดงานหาทุนให้พรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่ง (ไม่เข็ดเรื่อง Lotus Project หรือไง ต้องให้แฉกันมากกว่านี้มั๊ย ? ท่านใดอ่านแล้วงงก็ไปหาอ่านกันต่อในนิทานเรื่องจิ๊กโก๋ปากซอยนะครับ) ยังมีทุนการศึกษาต่างๆ เช่น American Field Service (AFS) ที่ให้แก่นักเรียนชั้น ม. ปลาย ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยไปอยู่กับครอบครัวอเมริกัน ตั้งแต่สมัยสงครามเวียตนาม หลายๆคน เดี๋ยวนี้ก็ยังเข้มแข็งจัดงานเฉลิมฉลองมิตรไมตรีความเข้าใจอันดีของ 2 ประเทศอยู่ทุกปี ขนาดโดนเขาด่า เขามาแทรกแซงประเทศ คนพวกนี้ก็เหมือนจะเห็นบุญคุณของ 1 ปี ที่ไปอยู่กับเขามากกว่าแผ่นดินเกิดของตนเอง นี่ยังไม่ได้พูดถึงครูบาอาจารย์ ที่ได้ทุนไปเรียนปริญญาตรี โท เอก ของ Asia Foundation, Fulbright, Ford Foundation, Rockefeller ฯลฯ อาจารย์ต่างๆเหล่านี้ กลับมาสอนในมหาวิทยาลัยไทย แต่จัดหลักสูตรใหม่ตามที่ผู้ให้ทุนต้องการ เขารู้จักเรามากว่า 50 ปีแล้วจากที่แทบจะไม่มีใครในบ้านเมืองเขาได้ยินชื่อเมืองเราเลย จนเดี๋ยวนี้เขารู้จักเมืองเราทุกตารางนิ้ว รู้จักและใช้คนของเราทำงานเพื่อ ประโยชน์ของเขา เขาติดตามเราทุกย่างก้าว ครอบงำความคิด วัฒนธรรม การศึกษา ฯลฯ เราเกือบทุกเรื่อง โดยเราไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว แต่ไม่รู้สึก ไม่ฉุกคิด ไม่เฉลียวใจ ไม่รับรู้ ไม่หวงแหน นี่ขนาดเขาใช้เครื่องมือล่าระดับง่ามไม้เล็กๆ เขายังกวาดข้อมูล นำไปใช้เป็นต้นแบบเครื่องมือล่าให้แม่นยำขึ้นไปอีก แล้วถ้าเราเจอเครื่องมือล่าประเภทหัวเจาะ ไม่ว่าเป็นประเภทหัวเจาะผมทอง หรือผมดำสัญชาติไทยแต่ใจเป็นอื่น ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยในบ้านเรา และอาจจะกำลังถูกนำมาใช้งานเร็วๆนี้ แล้วเราจะนั่งไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปหรือครับ คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 13
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 13
    นาย Kenneth จัดหลักสูตรปรับพื้นสนามล่า ให้การอบรมแก่เหล่าสมุนนักล่าอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นก็มีคนอื่นมารับหน้าที่ปรับพื้นสนามต่อ ตัวเขาย้ายกลับไปอยู่กระทรวงต่าง ประเทศ เดินแกว่งไปมาอีกรอบ จน ค.ศ. 1966 Pentagon มีงานพิเศษ Advanced Research Project Agency (ARPA) ต้องการได้ข้อมูลแบบละเอียดเหมือนทำสารานุกรม เกี่ยวกับพื้นที่แถวอีสานเหนือของไทย ที่อเมริกามาสร้างสนามบินไว้หลายแห่ง เพื่อให้เครื่องบินรบของอเมริกา บินไปถล่มเวียตมินท์ เวียตนาม หรือกัมพูชา ข้อมูลที่ Pentagon ต้องการอยู่แถวอีสาณตอนบน แถบ นครพนม มุกดาหาร และเส้นทางตามแม่น้ำโขง นั้นแหละ ซึ่งอเมริกาอ้างว่าต้องการข้อมูล เพิ่ม หัวหน้าทีม ชื่อ Wilfred Smith ถูกตามตัวมาจากอียิปต์ ( ! ? ) เพื่อมาคุมทีม ทางPentagon ขอให้นาย Kenneth มาด้วย พร้อมกับนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ ผู้ชำนาญด้านเกษตรกรรม และสภาพอากาศ นาย Smith ตามประวัติบอกว่าเกิดและโตที่เมือง จีน พ่อแม่เป็นมิชชั่น นารี (อีกแล้ว!) ต่อมาเป็นทหารอเมริกัน และล่าสุดสังกัดหน่วย OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้ชำนาญด้านระบอบคอมมิวนิสต์ ชนิดติดตามแบบวันต่อวัน ประธานาธิบดี Kennedy ประทับใจมาก ให้ไปจิกตัวกลับมาจากอียิปต์ เพื่อมาคุมงานนี้ แต่เพื่อไม่ให้สมันน้อยตกใจจับไต๋ได้ แทนที่จะมาในนาม ARPA เขาใช้ชื่อบริษัท Philco บังหน้า จึงเรียก Phico Project
    บริษัท Philco นี้ เป็นคู่สัญญากับกองทัพอเมริกา รับงานสร้างและติดตั้งเครื่องมือสื่อสาร ตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็กไปจนถึงสร้างสถานีส่งเรดาห์สัญญาณสื่อ สารและดาวเทียม เขามาทำอะไรมาสำรวจอะไร นาย Kenneth ไม่ได้โม้ให้ฟัง บอกว่ามาสำรวจอยู่กว่า 3 เดือน และเขาได้พบกับนายพจน์ สารสิน (อีกแล้ว ! ) ซึ่งตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีด้านพัฒนาสังคมของเมืองไทย ซึ่งอำนวยความสะดวกให้คณะสำรวจอย่างดี
    ก็น่าสนใจการสำรวจคร้ังนี้ หัวหน้าทีมชำนาญด้าน คอมมิวนิสต์ มาสำรวจพื้นที่บ้านเรา แถบที่พวกเขามาสร้างสนามบินไว้ แต่หอบเอานักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์มาด้วย จะว่ามาสำรวจเพื่อสร้างสนามบินเพิ่ม มันก็จะมากไปหน่อย จะต้ังสนามบินแฝดหรือไง หรือว่ามีอะไรพิเศษที่นักล่าสนใจรู้เค้ามา แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะรู้เรื่องกับเขาหรือเปล่า
    ท่านผู้อ่านนิทานจะพอจำกันได้ไหม เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง อันลือชื่อของไทยเรา ถูกค้นพบโดยนาย Stephen Young ลูกชายของฑูต Kenneth Young ประจำประเทศไทย เมื่อปี ค.ศ. 1966 ตอนนั้นนาย Stephen เพิ่งอายุประมาณ 15 – 16 ปี ยังเรียนหนังสืออยู่มัธยม มันเหลือเชื่อน่าสงสัยขนาดไหน ลองไปหาอ่านกันดู นาย Stephen Young ล่าสุดดำรงตำแหน่ง Global Exclusive Director ของ Caux Round Table
    และหวังว่ายังคงไม่ลืมค่ายรามสูร (ถ้าจำไม่ได้ ช่วยกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอยนะครับ) ที่นักล่าสร้างไว้ที่อุดร ใหญ่ชนิดมีสนามกอล์ฟและสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิก มีพนักงาน 2,000 คน เอาไว้ดักฟังสัญญาณต่างๆ ได้ถึงดาวอังคาร เมื่อสงครามเวียตนามเลิก อเมริกาบอกปิดค่ายรามสูรอพยพกลับบ้าน แต่ข่าววงในบอกว่าอพยพแต่เจ้าหน้าที่ แต่เครื่องมือย้ายมาอยู่แถวบางเขน บ้างก็ว่าอยู่ทุ่งมหาเมฆ แต่สรุปว่า เอาแค่ป้ายชื่อค่ายรามสูรออก ขนคนทำงานประเภทเสมียนกลับอเมริกา ส่วนคนไทยก็ปลดออก แล้วย้ายเรดาห์ทั้งหมดมาอยู่ในที่กรุงเทพแทน! แหม! ดักฟังได้ชัดเจนกว่า นายกรัฐมนตรีคนไหนของไทยจะกระแอม จะคุยกับอาเฮีย หรือ จะเรียก 20 เรียก 30 กับมันได้ยินกันหมด แล้วมันจะไม่อยู่ในมือเขาหรือ แล้วไอ้เรื่อง Philco Project นั้นมันจะเกี่ยวข้องกับบ้านเชียงหรือเปล่า มันน่าอัศจรรย์เกินบรรยาย กรมศิลปากรทั้งกรมค้นหามาไม่รู้กี่สิบปีไม่เจอซักกะหม้อ แหม พอหนุ่มน้อยอายุ 15-16 ปี เดินเล่นชมนกชมไม้ (ไปตามที่เครื่องมือของ Philco Project มันทำทางไว้ ! ?) ดันเจอหม้อไหอายุ 5000 ปี เต็มไปหมด เด็กอะไรมันเก่งขนาดนั้น แล้วมันจะเกี่ยวกับน้ำมัน ที่ภายหลังต่างชาติ โดยเฉพาะ Chevron เขาสำรวจเจอน้ำมัน ได้สัมปทานช่วงปี 1970 ต้นๆ เพียบเลยหรือเปล่า
    นี่ยังไม่นับรวมแร่ธาตุและทองอีกเพียบ ที่สำรวจเจอ แต่ปิดปากกันเงียบรู้กันเฉพาะวงในสุดๆ เช่น โปแตส ซึ่งเป็นแร่สำคัญ เป็นสารต้ังต้นของอุตสาหกรรมเกือบทุกชนิด เป็นส่วนผสมของการทำระเบิดขนาดเล็กไปถึงขนาดปรมาณู มีมากอยู่แถวอีสาณเหนือนั้นแหละ ใครวิ่ง ใครได้สัมปทาน ก็ไปสืบกันดู และไอ้เจ้าโปแตสนี้ มีอยู่มากที่อาฟกานิสถาน นักล่าถึงยังเล่นรบอยู่แถวน้ัน ไม่เลิกเสียที ก็ลองคิดนอกกรอบกันดูบ้างแล้วกัน

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 13 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 13 นาย Kenneth จัดหลักสูตรปรับพื้นสนามล่า ให้การอบรมแก่เหล่าสมุนนักล่าอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นก็มีคนอื่นมารับหน้าที่ปรับพื้นสนามต่อ ตัวเขาย้ายกลับไปอยู่กระทรวงต่าง ประเทศ เดินแกว่งไปมาอีกรอบ จน ค.ศ. 1966 Pentagon มีงานพิเศษ Advanced Research Project Agency (ARPA) ต้องการได้ข้อมูลแบบละเอียดเหมือนทำสารานุกรม เกี่ยวกับพื้นที่แถวอีสานเหนือของไทย ที่อเมริกามาสร้างสนามบินไว้หลายแห่ง เพื่อให้เครื่องบินรบของอเมริกา บินไปถล่มเวียตมินท์ เวียตนาม หรือกัมพูชา ข้อมูลที่ Pentagon ต้องการอยู่แถวอีสาณตอนบน แถบ นครพนม มุกดาหาร และเส้นทางตามแม่น้ำโขง นั้นแหละ ซึ่งอเมริกาอ้างว่าต้องการข้อมูล เพิ่ม หัวหน้าทีม ชื่อ Wilfred Smith ถูกตามตัวมาจากอียิปต์ ( ! ? ) เพื่อมาคุมทีม ทางPentagon ขอให้นาย Kenneth มาด้วย พร้อมกับนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ ผู้ชำนาญด้านเกษตรกรรม และสภาพอากาศ นาย Smith ตามประวัติบอกว่าเกิดและโตที่เมือง จีน พ่อแม่เป็นมิชชั่น นารี (อีกแล้ว!) ต่อมาเป็นทหารอเมริกัน และล่าสุดสังกัดหน่วย OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้ชำนาญด้านระบอบคอมมิวนิสต์ ชนิดติดตามแบบวันต่อวัน ประธานาธิบดี Kennedy ประทับใจมาก ให้ไปจิกตัวกลับมาจากอียิปต์ เพื่อมาคุมงานนี้ แต่เพื่อไม่ให้สมันน้อยตกใจจับไต๋ได้ แทนที่จะมาในนาม ARPA เขาใช้ชื่อบริษัท Philco บังหน้า จึงเรียก Phico Project บริษัท Philco นี้ เป็นคู่สัญญากับกองทัพอเมริกา รับงานสร้างและติดตั้งเครื่องมือสื่อสาร ตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็กไปจนถึงสร้างสถานีส่งเรดาห์สัญญาณสื่อ สารและดาวเทียม เขามาทำอะไรมาสำรวจอะไร นาย Kenneth ไม่ได้โม้ให้ฟัง บอกว่ามาสำรวจอยู่กว่า 3 เดือน และเขาได้พบกับนายพจน์ สารสิน (อีกแล้ว ! ) ซึ่งตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีด้านพัฒนาสังคมของเมืองไทย ซึ่งอำนวยความสะดวกให้คณะสำรวจอย่างดี ก็น่าสนใจการสำรวจคร้ังนี้ หัวหน้าทีมชำนาญด้าน คอมมิวนิสต์ มาสำรวจพื้นที่บ้านเรา แถบที่พวกเขามาสร้างสนามบินไว้ แต่หอบเอานักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์มาด้วย จะว่ามาสำรวจเพื่อสร้างสนามบินเพิ่ม มันก็จะมากไปหน่อย จะต้ังสนามบินแฝดหรือไง หรือว่ามีอะไรพิเศษที่นักล่าสนใจรู้เค้ามา แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะรู้เรื่องกับเขาหรือเปล่า ท่านผู้อ่านนิทานจะพอจำกันได้ไหม เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง อันลือชื่อของไทยเรา ถูกค้นพบโดยนาย Stephen Young ลูกชายของฑูต Kenneth Young ประจำประเทศไทย เมื่อปี ค.ศ. 1966 ตอนนั้นนาย Stephen เพิ่งอายุประมาณ 15 – 16 ปี ยังเรียนหนังสืออยู่มัธยม มันเหลือเชื่อน่าสงสัยขนาดไหน ลองไปหาอ่านกันดู นาย Stephen Young ล่าสุดดำรงตำแหน่ง Global Exclusive Director ของ Caux Round Table และหวังว่ายังคงไม่ลืมค่ายรามสูร (ถ้าจำไม่ได้ ช่วยกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอยนะครับ) ที่นักล่าสร้างไว้ที่อุดร ใหญ่ชนิดมีสนามกอล์ฟและสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิก มีพนักงาน 2,000 คน เอาไว้ดักฟังสัญญาณต่างๆ ได้ถึงดาวอังคาร เมื่อสงครามเวียตนามเลิก อเมริกาบอกปิดค่ายรามสูรอพยพกลับบ้าน แต่ข่าววงในบอกว่าอพยพแต่เจ้าหน้าที่ แต่เครื่องมือย้ายมาอยู่แถวบางเขน บ้างก็ว่าอยู่ทุ่งมหาเมฆ แต่สรุปว่า เอาแค่ป้ายชื่อค่ายรามสูรออก ขนคนทำงานประเภทเสมียนกลับอเมริกา ส่วนคนไทยก็ปลดออก แล้วย้ายเรดาห์ทั้งหมดมาอยู่ในที่กรุงเทพแทน! แหม! ดักฟังได้ชัดเจนกว่า นายกรัฐมนตรีคนไหนของไทยจะกระแอม จะคุยกับอาเฮีย หรือ จะเรียก 20 เรียก 30 กับมันได้ยินกันหมด แล้วมันจะไม่อยู่ในมือเขาหรือ แล้วไอ้เรื่อง Philco Project นั้นมันจะเกี่ยวข้องกับบ้านเชียงหรือเปล่า มันน่าอัศจรรย์เกินบรรยาย กรมศิลปากรทั้งกรมค้นหามาไม่รู้กี่สิบปีไม่เจอซักกะหม้อ แหม พอหนุ่มน้อยอายุ 15-16 ปี เดินเล่นชมนกชมไม้ (ไปตามที่เครื่องมือของ Philco Project มันทำทางไว้ ! ?) ดันเจอหม้อไหอายุ 5000 ปี เต็มไปหมด เด็กอะไรมันเก่งขนาดนั้น แล้วมันจะเกี่ยวกับน้ำมัน ที่ภายหลังต่างชาติ โดยเฉพาะ Chevron เขาสำรวจเจอน้ำมัน ได้สัมปทานช่วงปี 1970 ต้นๆ เพียบเลยหรือเปล่า นี่ยังไม่นับรวมแร่ธาตุและทองอีกเพียบ ที่สำรวจเจอ แต่ปิดปากกันเงียบรู้กันเฉพาะวงในสุดๆ เช่น โปแตส ซึ่งเป็นแร่สำคัญ เป็นสารต้ังต้นของอุตสาหกรรมเกือบทุกชนิด เป็นส่วนผสมของการทำระเบิดขนาดเล็กไปถึงขนาดปรมาณู มีมากอยู่แถวอีสาณเหนือนั้นแหละ ใครวิ่ง ใครได้สัมปทาน ก็ไปสืบกันดู และไอ้เจ้าโปแตสนี้ มีอยู่มากที่อาฟกานิสถาน นักล่าถึงยังเล่นรบอยู่แถวน้ัน ไม่เลิกเสียที ก็ลองคิดนอกกรอบกันดูบ้างแล้วกัน คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • “มัลแวร์สายพันธุ์ใหม่โจมตี Docker API! ไม่ขุดคริปโต แต่สร้างเครือข่ายบอตเน็ต — พร้อมกลไกปิดประตูใส่คู่แข่ง”

    ถ้าคุณคิดว่า Docker API ที่เปิดไว้แค่ “ทดสอบ” จะไม่มีใครสนใจ — ตอนนี้คุณอาจต้องคิดใหม่ เพราะ Akamai พบมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ที่ใช้ช่องโหว่จาก Docker API ที่เปิดสาธารณะ เพื่อสร้างเครือข่ายควบคุมระบบแบบลับๆ โดยไม่เน้นขุดคริปโตเหมือนที่ผ่านมา แต่เน้น “ยึดพื้นที่” และ “กันคู่แข่งออก” เพื่อเตรียมสร้างบอตเน็ตในอนาคต

    ย้อนกลับไปช่วงกลางปี 2025 Trend Micro เคยรายงานมัลแวร์ที่ใช้ Docker API ที่เปิดไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อรัน container ที่มี cryptominer ผ่านโดเมน Tor แต่ในเวอร์ชันล่าสุดที่ Akamai ตรวจพบจาก honeypot ในเดือนสิงหาคมนั้น เป้าหมายเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน — มัลแวร์จะบล็อกการเข้าถึง API จากภายนอกทันทีที่ติดตั้ง และฝังเครื่องมือควบคุมระบบแทน

    หลังจากเข้าถึงระบบได้ มัลแวร์จะรันสคริปต์ที่ถูกเข้ารหัสแบบ Base64 เพื่อฝังตัวถาวร และบล็อกพอร์ต 2375 ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของ Docker API เพื่อกันไม่ให้แฮกเกอร์รายอื่นเข้ามาแทรกแซง จากนั้นจะดาวน์โหลด binary dropper ที่เขียนด้วยภาษา Go ซึ่งมีโค้ดแปลกๆ เช่น emoji รูป “ผู้ใช้” ที่อาจบ่งบอกว่าใช้ LLM ช่วยเขียนโค้ด

    มัลแวร์ยังใช้ masscan เพื่อสแกนหา Docker API ที่เปิดอยู่ในระบบอื่น แล้วพยายามติดตั้งตัวเองซ้ำในเซิร์ฟเวอร์เหล่านั้น — เป็นการเริ่มต้นสร้างเครือข่ายบอตเน็ตแบบแพร่กระจายตัวเอง และยังมีโค้ดที่เตรียมไว้สำหรับโจมตีผ่าน Telnet และ Chrome remote debugging port แม้ยังไม่เปิดใช้งานในเวอร์ชันนี้

    ที่น่าสนใจคือ มัลแวร์จะตรวจสอบ container ที่รัน Ubuntu ซึ่งมักถูกใช้โดยแฮกเกอร์รายอื่นในการขุดคริปโต แล้วลบออกทันที เพื่อยึดพื้นที่ให้ตัวเอง — สะท้อนว่าเป้าหมายของแคมเปญนี้ไม่ใช่แค่การหารายได้ แต่เป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานควบคุมระบบในระยะยาว

    Akamai ใช้โครงการ Beelzebub honeypot ที่จำลองการตอบสนองของ Docker API เพื่อดึงดูดแฮกเกอร์ให้เปิดเผยพฤติกรรม และสามารถระบุ IOC (Indicators of Compromise) ได้ เช่น onion domain, webhook และ hash ของไฟล์มัลแวร์.

    ลักษณะของมัลแวร์ Docker สายพันธุ์ใหม่
    โจมตีผ่าน Docker API ที่เปิดสาธารณะโดยไม่ได้ตั้งใจ
    ไม่ติดตั้ง cryptominer แต่ฝังเครื่องมือควบคุมระบบ
    บล็อกพอร์ต 2375 เพื่อกันไม่ให้แฮกเกอร์รายอื่นเข้ามา
    ใช้ Base64 script เพื่อฝังตัวและสร้าง persistence

    พฤติกรรมหลังติดตั้ง
    ดาวน์โหลด binary dropper ที่เขียนด้วย Go
    ใช้ masscan สแกนหา Docker API ในระบบอื่น
    พยายามติดตั้งตัวเองซ้ำเพื่อสร้างเครือข่ายบอตเน็ต
    มีโค้ดเตรียมโจมตีผ่าน Telnet และ Chrome remote debugging port

    การจัดการคู่แข่ง
    ตรวจสอบ container ที่รัน Ubuntu ซึ่งมักใช้ขุดคริปโต
    ลบ container เหล่านั้นเพื่อยึดพื้นที่ให้ตัวเอง
    สะท้อนเป้าหมายในการสร้างโครงสร้างควบคุมระยะยาว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เวอร์ชันก่อนหน้าที่ Trend Micro พบในเดือนมิถุนายน 2025 ใช้ Tor และติดตั้ง XMRig miner
    โค้ดของ dropper มี emoji ซึ่งอาจบ่งบอกว่าใช้ LLM ช่วยเขียน
    Akamai ใช้ Beelzebub honeypot เพื่อศึกษาพฤติกรรมมัลแวร์
    พบ IOC เช่น onion domain, webhook และ file hash ที่เกี่ยวข้องกับมัลแวร์

    https://hackread.com/new-docker-malware-blocking-rivals-exposed-apis/
    🐙 “มัลแวร์สายพันธุ์ใหม่โจมตี Docker API! ไม่ขุดคริปโต แต่สร้างเครือข่ายบอตเน็ต — พร้อมกลไกปิดประตูใส่คู่แข่ง” ถ้าคุณคิดว่า Docker API ที่เปิดไว้แค่ “ทดสอบ” จะไม่มีใครสนใจ — ตอนนี้คุณอาจต้องคิดใหม่ เพราะ Akamai พบมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ที่ใช้ช่องโหว่จาก Docker API ที่เปิดสาธารณะ เพื่อสร้างเครือข่ายควบคุมระบบแบบลับๆ โดยไม่เน้นขุดคริปโตเหมือนที่ผ่านมา แต่เน้น “ยึดพื้นที่” และ “กันคู่แข่งออก” เพื่อเตรียมสร้างบอตเน็ตในอนาคต ย้อนกลับไปช่วงกลางปี 2025 Trend Micro เคยรายงานมัลแวร์ที่ใช้ Docker API ที่เปิดไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อรัน container ที่มี cryptominer ผ่านโดเมน Tor แต่ในเวอร์ชันล่าสุดที่ Akamai ตรวจพบจาก honeypot ในเดือนสิงหาคมนั้น เป้าหมายเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน — มัลแวร์จะบล็อกการเข้าถึง API จากภายนอกทันทีที่ติดตั้ง และฝังเครื่องมือควบคุมระบบแทน หลังจากเข้าถึงระบบได้ มัลแวร์จะรันสคริปต์ที่ถูกเข้ารหัสแบบ Base64 เพื่อฝังตัวถาวร และบล็อกพอร์ต 2375 ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของ Docker API เพื่อกันไม่ให้แฮกเกอร์รายอื่นเข้ามาแทรกแซง จากนั้นจะดาวน์โหลด binary dropper ที่เขียนด้วยภาษา Go ซึ่งมีโค้ดแปลกๆ เช่น emoji รูป “ผู้ใช้” ที่อาจบ่งบอกว่าใช้ LLM ช่วยเขียนโค้ด มัลแวร์ยังใช้ masscan เพื่อสแกนหา Docker API ที่เปิดอยู่ในระบบอื่น แล้วพยายามติดตั้งตัวเองซ้ำในเซิร์ฟเวอร์เหล่านั้น — เป็นการเริ่มต้นสร้างเครือข่ายบอตเน็ตแบบแพร่กระจายตัวเอง และยังมีโค้ดที่เตรียมไว้สำหรับโจมตีผ่าน Telnet และ Chrome remote debugging port แม้ยังไม่เปิดใช้งานในเวอร์ชันนี้ ที่น่าสนใจคือ มัลแวร์จะตรวจสอบ container ที่รัน Ubuntu ซึ่งมักถูกใช้โดยแฮกเกอร์รายอื่นในการขุดคริปโต แล้วลบออกทันที เพื่อยึดพื้นที่ให้ตัวเอง — สะท้อนว่าเป้าหมายของแคมเปญนี้ไม่ใช่แค่การหารายได้ แต่เป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานควบคุมระบบในระยะยาว Akamai ใช้โครงการ Beelzebub honeypot ที่จำลองการตอบสนองของ Docker API เพื่อดึงดูดแฮกเกอร์ให้เปิดเผยพฤติกรรม และสามารถระบุ IOC (Indicators of Compromise) ได้ เช่น onion domain, webhook และ hash ของไฟล์มัลแวร์. ✅ ลักษณะของมัลแวร์ Docker สายพันธุ์ใหม่ ➡️ โจมตีผ่าน Docker API ที่เปิดสาธารณะโดยไม่ได้ตั้งใจ ➡️ ไม่ติดตั้ง cryptominer แต่ฝังเครื่องมือควบคุมระบบ ➡️ บล็อกพอร์ต 2375 เพื่อกันไม่ให้แฮกเกอร์รายอื่นเข้ามา ➡️ ใช้ Base64 script เพื่อฝังตัวและสร้าง persistence ✅ พฤติกรรมหลังติดตั้ง ➡️ ดาวน์โหลด binary dropper ที่เขียนด้วย Go ➡️ ใช้ masscan สแกนหา Docker API ในระบบอื่น ➡️ พยายามติดตั้งตัวเองซ้ำเพื่อสร้างเครือข่ายบอตเน็ต ➡️ มีโค้ดเตรียมโจมตีผ่าน Telnet และ Chrome remote debugging port ✅ การจัดการคู่แข่ง ➡️ ตรวจสอบ container ที่รัน Ubuntu ซึ่งมักใช้ขุดคริปโต ➡️ ลบ container เหล่านั้นเพื่อยึดพื้นที่ให้ตัวเอง ➡️ สะท้อนเป้าหมายในการสร้างโครงสร้างควบคุมระยะยาว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เวอร์ชันก่อนหน้าที่ Trend Micro พบในเดือนมิถุนายน 2025 ใช้ Tor และติดตั้ง XMRig miner ➡️ โค้ดของ dropper มี emoji ซึ่งอาจบ่งบอกว่าใช้ LLM ช่วยเขียน ➡️ Akamai ใช้ Beelzebub honeypot เพื่อศึกษาพฤติกรรมมัลแวร์ ➡️ พบ IOC เช่น onion domain, webhook และ file hash ที่เกี่ยวข้องกับมัลแวร์ https://hackread.com/new-docker-malware-blocking-rivals-exposed-apis/
    HACKREAD.COM
    New Docker Malware Strain Spotted Blocking Rivals on Exposed APIs
    Akamai finds new Docker malware blocking rivals on exposed APIs, replacing cryptominers with tools that hint at early botnet development.
    0 Comments 0 Shares 106 Views 0 Reviews
More Results