• มีคนชอบ comment ว่าทำไม ค่ายยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น ไม่ลงมาเล่น มาลุย มาแข่งขัน ในตลาดรถไฟฟ้า...ปล่อยให้จีน โกยเอาๆ....ตอบจากผู้เขียนอยู่วงการรถมาเกินกว่า 30 ปี....ตอบว่า... ทำทันที...ไม่ได้...อธิบายให้เห็นภาพ รถสันดาบเดิม..อุปกรณ์รวม 2 พันกว่าชิ้นส่วน...นั่นหมายถึง supply แต่ละราย ที่ผูกพันธ์เป็นคู่ค้ากันมาอย่างยาวนาน..มีกี่เจ้า....เช่น abs จาก bosch ไฟจาก phillips ผ้าเบรคจาก ferrado ..อะไรประมาณนี้...บริษัทเจ้าของแบรนด์ ไม่ได้ผลิตสารพัดอะไหล่..เพียงแต่สั่งและนำมาประกอบ.....ถ้าทำทุกอย่างเอง..ทีมงาน วิจัย ออกแบบ พัฒนาเทคโนโลยี ผลิต ..มีสัก หมื่นคน..ก็ไม่น่าจะพอ..ถ้าทำเอง..ทั้งหมด
    ..แต่พอเป็นรถไฟฟ้า..อุปกรณ์ลงมาเหลือไม่กี่ร้อยชิ้น....จีน..จึงเริ่มได้เลย เพราะเขานับจาก 1 ..ไม่ได้มีคู่ค้าเก่าแก่แบบค่ายญี่ปุ่น...ไม่ต้องทิ้งใคร....ซึ่งเคยเป็นคู่ค้ากันมา..ซึ่งมันง่ายกว่ามาก.
    ...ค่ายญี่ปุ่น จึงยืนยัน ว่า จะทำแค่ hybrid..รถไฟฟ้า pure ..ยังไม่มี plan เนื่องจาก เหตุผล เรื่อง คู่ค้าข้างต้น..ต้องค่อยๆ และใช้เวลา....เราจะเห็นผู้บริหาร toyota มาด้อยค่ารถไฟฟ้าบ่อยครั้ง...เพราะเขาไม่คิดจะสู้ในสงครามนี้....
    ..แต่ trend ของโลกมันมาทางนี้...ก็ต้องดูกันต่อไป..
    ..แต่่ที่แน่ๆ จนถึงตอนนี้ สถาบันการเงิน ยังไม่กล้ารับจัด F/n รถไฟฟ้าจีน.มือสอง..เพราะประเมินราคาไม่ถูก ..เกิดให้ยอดจัดสูงไป..ผู้กู้ทิ้งรถ เนื่องจากปัญหาใดก็ตาม..หนึ้เสียก็จะกลับมาที่สถาบันการเงิน....
    .
    มีคนชอบ comment ว่าทำไม ค่ายยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น ไม่ลงมาเล่น มาลุย มาแข่งขัน ในตลาดรถไฟฟ้า...ปล่อยให้จีน โกยเอาๆ....ตอบจากผู้เขียนอยู่วงการรถมาเกินกว่า 30 ปี....ตอบว่า... ทำทันที...ไม่ได้...อธิบายให้เห็นภาพ รถสันดาบเดิม..อุปกรณ์รวม 2 พันกว่าชิ้นส่วน...นั่นหมายถึง supply แต่ละราย ที่ผูกพันธ์เป็นคู่ค้ากันมาอย่างยาวนาน..มีกี่เจ้า....เช่น abs จาก bosch ไฟจาก phillips ผ้าเบรคจาก ferrado ..อะไรประมาณนี้...บริษัทเจ้าของแบรนด์ ไม่ได้ผลิตสารพัดอะไหล่..เพียงแต่สั่งและนำมาประกอบ.....ถ้าทำทุกอย่างเอง..ทีมงาน วิจัย ออกแบบ พัฒนาเทคโนโลยี ผลิต ..มีสัก หมื่นคน..ก็ไม่น่าจะพอ..ถ้าทำเอง..ทั้งหมด ..แต่พอเป็นรถไฟฟ้า..อุปกรณ์ลงมาเหลือไม่กี่ร้อยชิ้น....จีน..จึงเริ่มได้เลย เพราะเขานับจาก 1 ..ไม่ได้มีคู่ค้าเก่าแก่แบบค่ายญี่ปุ่น...ไม่ต้องทิ้งใคร....ซึ่งเคยเป็นคู่ค้ากันมา..ซึ่งมันง่ายกว่ามาก. ...ค่ายญี่ปุ่น จึงยืนยัน ว่า จะทำแค่ hybrid..รถไฟฟ้า pure ..ยังไม่มี plan เนื่องจาก เหตุผล เรื่อง คู่ค้าข้างต้น..ต้องค่อยๆ และใช้เวลา....เราจะเห็นผู้บริหาร toyota มาด้อยค่ารถไฟฟ้าบ่อยครั้ง...เพราะเขาไม่คิดจะสู้ในสงครามนี้.... ..แต่ trend ของโลกมันมาทางนี้...ก็ต้องดูกันต่อไป.. ..แต่่ที่แน่ๆ จนถึงตอนนี้ สถาบันการเงิน ยังไม่กล้ารับจัด F/n รถไฟฟ้าจีน.มือสอง..เพราะประเมินราคาไม่ถูก ..เกิดให้ยอดจัดสูงไป..ผู้กู้ทิ้งรถ เนื่องจากปัญหาใดก็ตาม..หนึ้เสียก็จะกลับมาที่สถาบันการเงิน.... .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ
    มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง
    คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ
    1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
    2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง
    3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
    4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที
    5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย
    6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง
    7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี
    8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้
    ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ 1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง 2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง 3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย 4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที 5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย 6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง 7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี 8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้ ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • River of Life ฟื้นชีวิตสายน้ำมาเลย์

    กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย นอกจากจะมีอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ หรือตึกแฝด ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวแล้ว อีกจุดเช็กอินหนึ่งซึ่งเป็นที่พูดถึง คือ ริเวอร์ ออฟ ไลฟ์ (River of Life) บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Masjid Jamek ซึ่งมีมัสยิดเก่าแก่อย่างมัสยิดจาเม็ก ที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นที่บรรจบกันของแม่น้ำสองสาย ได้แก่ แม่น้ำแคลง (Klang River) กับแม่น้ำกอมบัค (Gombak River) ก่อนเข้าสู่รัฐสลังงอร์ ลงสู่ทะเลที่พอร์ตแคลง ท่าเรือน้ำลึกของประเทศ

    โครงการริเวอร์ออฟไลฟ์ ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 2555 โดยมีจุดมุ่งหมายเปลี่ยนพื้นที่สาธารณะในเมือง ให้มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม จากเดิมเป็นเพียงแม่น้ำสายเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำเน่าเสีย ขยะ และสิ่งสกปรกต่างๆ ได้เปลี่ยนไป โดยการนำน้ำไปผ่านการบำบัดให้มีความสะอาด เพียงพอที่จะสัมผัสต่อร่างกายและการพักผ่อนหย่อนใจ พร้อมกับสร้างทางเดินเลียบแม่น้ำ ความยาว 8 กิโลเมตร ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ผ่านอาคารและสถานที่น่าสนใจหลายแห่งในเมือง

    แลนด์มาร์คที่สำคัญอยู่ที่เลโบห์ ปาซาร์ เบซาร์ (Leboh Pasar Besar) เชื่อมโยงระหว่างศูนย์กลางการบริหารของรัฐบาลอาณานิคมของอังกฤษที่ฝั่งตะวันตก กับชุมชนการค้าและการทำเหมืองของชาวเอเชียที่ฝั่งตะวันออก เดิมเคยเป็นสะพานไม้ ก่อนแทนที่ด้วยคานเหล็กและสะพานเหล็กหล่อ เป็นสัญลักษณ์ของยุคปฎิวัติอุตสาหกรรมในพื้นที่ ภายหลังได้รื้อลงมาในปี 2537 เพื่อก่อสร้างสะพานคอนกรีต เมื่อยืนจากสะพานจะมองเห็นแม่น้ำสองสายบรรจบกัน โดยมีมัสยิดจาเม็กอยู่เบื้องหลัง

    ลูกเล่นที่นำมาใช้ในโครงการนี้ ในยามกลางวันจะมีการพ่นละอองน้ำบริเวณริมสองฝั่งแม่น้ำและมัสยิดจาเม็ก ราวกับเมืองในหมอก ส่วนเวลากลางคืนจะฉายไฟแอลอีดีโทนสีฟ้า เพื่อให้สวยงามราวกับเมืองในเทพนิยาย นอกจากนี้ การเข้มงวดกฎระเบียบก็เป็นสิ่งสำคัญ จะเห็นได้ว่าไม่มีขยะในแม่น้ำ ตามทางเดินไม่มีเศษบุหรี่ ไม่มีคนไร้บ้านเข้ามาพักอาศัยหลับนอน ตากเสื้อผ้า ตั้งเพิงพักใต้สะพาน จะมีก็แต่เดินเข้ามาปะปนกับผู้คนที่สัญจรไปมาโดยทั่วไปเท่านั้น

    กลับมาที่กรุงเทพมหานคร ที่ผ่านมาสมัย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม. มีการพัฒนาแหล่งน้ำให้เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ได้แก่ คลองโอ่งอ่าง คลองผดุงกรุงเกษม และคลองช่องนนทรี ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แต่มาถึงสมัยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในปัจจุบันพบว่าแทบไม่ได้รับการสานต่อ ส่วนจุดที่เคยปรับภูมิทัศน์มีสภาพเสื่อมโทรม จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองหลวงประเทศเพื่อนบ้านที่พัฒนาก้าวหน้าแบบทิ้งห่างเช่นนี้

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    River of Life ฟื้นชีวิตสายน้ำมาเลย์ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย นอกจากจะมีอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ หรือตึกแฝด ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวแล้ว อีกจุดเช็กอินหนึ่งซึ่งเป็นที่พูดถึง คือ ริเวอร์ ออฟ ไลฟ์ (River of Life) บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Masjid Jamek ซึ่งมีมัสยิดเก่าแก่อย่างมัสยิดจาเม็ก ที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นที่บรรจบกันของแม่น้ำสองสาย ได้แก่ แม่น้ำแคลง (Klang River) กับแม่น้ำกอมบัค (Gombak River) ก่อนเข้าสู่รัฐสลังงอร์ ลงสู่ทะเลที่พอร์ตแคลง ท่าเรือน้ำลึกของประเทศ โครงการริเวอร์ออฟไลฟ์ ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 2555 โดยมีจุดมุ่งหมายเปลี่ยนพื้นที่สาธารณะในเมือง ให้มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม จากเดิมเป็นเพียงแม่น้ำสายเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำเน่าเสีย ขยะ และสิ่งสกปรกต่างๆ ได้เปลี่ยนไป โดยการนำน้ำไปผ่านการบำบัดให้มีความสะอาด เพียงพอที่จะสัมผัสต่อร่างกายและการพักผ่อนหย่อนใจ พร้อมกับสร้างทางเดินเลียบแม่น้ำ ความยาว 8 กิโลเมตร ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ผ่านอาคารและสถานที่น่าสนใจหลายแห่งในเมือง แลนด์มาร์คที่สำคัญอยู่ที่เลโบห์ ปาซาร์ เบซาร์ (Leboh Pasar Besar) เชื่อมโยงระหว่างศูนย์กลางการบริหารของรัฐบาลอาณานิคมของอังกฤษที่ฝั่งตะวันตก กับชุมชนการค้าและการทำเหมืองของชาวเอเชียที่ฝั่งตะวันออก เดิมเคยเป็นสะพานไม้ ก่อนแทนที่ด้วยคานเหล็กและสะพานเหล็กหล่อ เป็นสัญลักษณ์ของยุคปฎิวัติอุตสาหกรรมในพื้นที่ ภายหลังได้รื้อลงมาในปี 2537 เพื่อก่อสร้างสะพานคอนกรีต เมื่อยืนจากสะพานจะมองเห็นแม่น้ำสองสายบรรจบกัน โดยมีมัสยิดจาเม็กอยู่เบื้องหลัง ลูกเล่นที่นำมาใช้ในโครงการนี้ ในยามกลางวันจะมีการพ่นละอองน้ำบริเวณริมสองฝั่งแม่น้ำและมัสยิดจาเม็ก ราวกับเมืองในหมอก ส่วนเวลากลางคืนจะฉายไฟแอลอีดีโทนสีฟ้า เพื่อให้สวยงามราวกับเมืองในเทพนิยาย นอกจากนี้ การเข้มงวดกฎระเบียบก็เป็นสิ่งสำคัญ จะเห็นได้ว่าไม่มีขยะในแม่น้ำ ตามทางเดินไม่มีเศษบุหรี่ ไม่มีคนไร้บ้านเข้ามาพักอาศัยหลับนอน ตากเสื้อผ้า ตั้งเพิงพักใต้สะพาน จะมีก็แต่เดินเข้ามาปะปนกับผู้คนที่สัญจรไปมาโดยทั่วไปเท่านั้น กลับมาที่กรุงเทพมหานคร ที่ผ่านมาสมัย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม. มีการพัฒนาแหล่งน้ำให้เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ได้แก่ คลองโอ่งอ่าง คลองผดุงกรุงเกษม และคลองช่องนนทรี ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แต่มาถึงสมัยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในปัจจุบันพบว่าแทบไม่ได้รับการสานต่อ ส่วนจุดที่เคยปรับภูมิทัศน์มีสภาพเสื่อมโทรม จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองหลวงประเทศเพื่อนบ้านที่พัฒนาก้าวหน้าแบบทิ้งห่างเช่นนี้ #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 370 มุมมอง 0 รีวิว
  • Saloma Link สะพานที่มากกว่าไฟสวย

    มาเลเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีแหล่งท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการ (Recreational Attraction) จำนวนมาก ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อการพักผ่อนและเสริมสร้างสุขภาพ ให้ความสนุกสนาน บันเทิง และการศึกษาหาความรู้ แม้ไม่มีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม แต่มีลักษณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวร่วมสมัย ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ River of Life บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Masjid Jamek และสะพาน Saloma Link บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru

    กล่าวถึงสะพาน Saloma Link (ซาโลมาลิงก์) เป็นสะพานขนาดไม่ใหญ่ ยาว 69 เมตร กว้าง 3 เมตร สูง 7 เมตร ข้ามทางด่วนสาย E12 อัมปัง-กัวลาลัมเปอร์ (AKLEH) และแม่น้ำแคลงที่อยู่เกาะกลาง มีทางลาดลงไปยังด้านข้างสุสานอิสลามจาลันอัมปัง แล้วออกทางแยกหน้าอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ ย่าน KLCC เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2563 โดยมีบริษัท VERITAS Design Group ออกแบบโครงสร้าง ใช้งบก่อสร้าง 31 ล้านริงกิต (237 ล้านบาท)

    จุดเด่นของสะพานซาโลมาลิงก์ คือการออกแบบโครงสร้างเหล็ก โดยได้แรงบันดาลใจจากการจัดช่อดอกไม้มงคลที่เรียกว่า ซิเระ จุนจุง (Sireh Junjung) ในพิธีแต่งงานของชาวมาเลย์ ประดับด้วยกระจกและแผงไฟ LED รูปทรงเพชร ฉายแสงในรูปแบบต่างๆ หลากสีสัน ชื่อสะพานมาจาก ซาโลมา ชื่อเรียกของ ซัลมาห์ อิสมาอิล (Salmah Ismail) นักร้อง นักแสดงชื่อดังชาวสิงคโปร์-มาเลเซีย ฉายามาริลิน มอนโรแห่งเอเชีย ที่เสียชีวิตเมื่อปี 2526 ด้วยวัย 48 ปี และถูกฝังอยู่ในสุสานอิสลามจาลันอัมปัง

    ก่อนจะมาเป็นสะพานที่สวยงามแห่งนี้ แต่เดิมเคยเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแคลง จากกัวลาลัมเปอร์ไปยังกำปุงบารู (Kampung Baru) ชุมชนที่อยู่อีกฝั่ง แต่ได้รื้อสะพานเมื่อปี 2539 เพื่อก่อสร้างทางด่วนที่ยกสูงขึ้น เสมือนเป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำที่อยู่ตรงกลาง

    ในยามค่ำคืน สะพานแห่งนี้จะเปิดไฟ LED หลากสีสันอย่างสวยงาม ล้อไปกับตึกแฝดปิโตรนาสทาวเวอร์ ที่เปิดไฟส่องไสวไปทั่วตึกเช่นกัน นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปสะพานโดยเฉพาะฝั่งกำปุงบารู จะเห็นด้านหลังทั้งสะพานและตึกปิโตรนาส เป็นจุดเช็กอินยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมาเลเซียต้องไม่พลาด ซึ่งฝั่งกำปุงบารูจะเป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดเล็ก มีร้านอาหารแบบสตรีทฟู้ดจำหน่าย ขึ้นลงได้จากบันไดและลิฟต์ และมีทางเดินไปถึงสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru ซึ่งเป็นสถานีใต้ดิน

    สะพานแห่งนี้เปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่ 05.00-24.00 น. โปรดปฎิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ใช้ความระมัดระวังในการถ่ายรูป ไม่ปีนป่ายราวสะพาน และระวังสิ่งของที่ติดตัวตกจากสะพาน

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Saloma Link สะพานที่มากกว่าไฟสวย มาเลเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีแหล่งท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการ (Recreational Attraction) จำนวนมาก ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อการพักผ่อนและเสริมสร้างสุขภาพ ให้ความสนุกสนาน บันเทิง และการศึกษาหาความรู้ แม้ไม่มีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม แต่มีลักษณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวร่วมสมัย ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ River of Life บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Masjid Jamek และสะพาน Saloma Link บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru กล่าวถึงสะพาน Saloma Link (ซาโลมาลิงก์) เป็นสะพานขนาดไม่ใหญ่ ยาว 69 เมตร กว้าง 3 เมตร สูง 7 เมตร ข้ามทางด่วนสาย E12 อัมปัง-กัวลาลัมเปอร์ (AKLEH) และแม่น้ำแคลงที่อยู่เกาะกลาง มีทางลาดลงไปยังด้านข้างสุสานอิสลามจาลันอัมปัง แล้วออกทางแยกหน้าอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ ย่าน KLCC เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2563 โดยมีบริษัท VERITAS Design Group ออกแบบโครงสร้าง ใช้งบก่อสร้าง 31 ล้านริงกิต (237 ล้านบาท) จุดเด่นของสะพานซาโลมาลิงก์ คือการออกแบบโครงสร้างเหล็ก โดยได้แรงบันดาลใจจากการจัดช่อดอกไม้มงคลที่เรียกว่า ซิเระ จุนจุง (Sireh Junjung) ในพิธีแต่งงานของชาวมาเลย์ ประดับด้วยกระจกและแผงไฟ LED รูปทรงเพชร ฉายแสงในรูปแบบต่างๆ หลากสีสัน ชื่อสะพานมาจาก ซาโลมา ชื่อเรียกของ ซัลมาห์ อิสมาอิล (Salmah Ismail) นักร้อง นักแสดงชื่อดังชาวสิงคโปร์-มาเลเซีย ฉายามาริลิน มอนโรแห่งเอเชีย ที่เสียชีวิตเมื่อปี 2526 ด้วยวัย 48 ปี และถูกฝังอยู่ในสุสานอิสลามจาลันอัมปัง ก่อนจะมาเป็นสะพานที่สวยงามแห่งนี้ แต่เดิมเคยเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแคลง จากกัวลาลัมเปอร์ไปยังกำปุงบารู (Kampung Baru) ชุมชนที่อยู่อีกฝั่ง แต่ได้รื้อสะพานเมื่อปี 2539 เพื่อก่อสร้างทางด่วนที่ยกสูงขึ้น เสมือนเป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำที่อยู่ตรงกลาง ในยามค่ำคืน สะพานแห่งนี้จะเปิดไฟ LED หลากสีสันอย่างสวยงาม ล้อไปกับตึกแฝดปิโตรนาสทาวเวอร์ ที่เปิดไฟส่องไสวไปทั่วตึกเช่นกัน นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปสะพานโดยเฉพาะฝั่งกำปุงบารู จะเห็นด้านหลังทั้งสะพานและตึกปิโตรนาส เป็นจุดเช็กอินยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมาเลเซียต้องไม่พลาด ซึ่งฝั่งกำปุงบารูจะเป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดเล็ก มีร้านอาหารแบบสตรีทฟู้ดจำหน่าย ขึ้นลงได้จากบันไดและลิฟต์ และมีทางเดินไปถึงสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru ซึ่งเป็นสถานีใต้ดิน สะพานแห่งนี้เปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่ 05.00-24.00 น. โปรดปฎิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ใช้ความระมัดระวังในการถ่ายรูป ไม่ปีนป่ายราวสะพาน และระวังสิ่งของที่ติดตัวตกจากสะพาน #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    Wow
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 591 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหมือนไหม? กลายเป็นประเด็นร้อนเมื่อไม่นานมานี้ หลังชาวจีนออกมาโจมตีทางออกของสถานีรถไฟใต้ดินฮวาตี้วาน ในกว่างโจว มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการรีโนเวท ว่าเหมือนกับ "โรงศพดั้งเดิมขนาดยักษ์"

    เดิมทีสถานีรถไฟใต้ดินแห่งนี้ ถือเป็นหนึ่งในสถานีที่เก่าแก่ที่สุดในกว่างโจว มีกำหนดการเปิดให้บริการอีกครั้งในช่วงกลางเดือนม.ค. หลังจากทำการรีโนเวท โดยมีบริษัท Guangzhou Wanxi Enterprise Management เป็นผู้รับผิดชอบ และบริษัท Shanghai GM Landscape Design รับหน้าที่เป็นผู้ออกแบบ

    อย่างไรก็ดี หลังมีการเผยแพร่ภาพทางออกของสถานีดังกล่าวลงบนโลกออนไลน์ ก็ถูกชาวเน็ตร้องเรียนและวิจารณ์อย่างหนัก เช่น "นี่เป็นประตูสู่ยมโลกหรือเปล่า?" "นี่เป็นผลงานของทีมงานมืออาชีพจริงๆ หรือ?" และ "ออกแบบมาแบบนี้ ช่างสิ้นเปลืองงบจริงๆ"

    ต่อมาบริษัท Guangzhou Metro Group ได้ออกมาตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าแรงบันดาลใจและคอนเซ็ปต์ของการออกแบบมีที่มาจาก "กลีบดอกงิ้ว" ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำนครกว่างโจว ไม่ใช่โลงศพอย่างที่ทุกคนคิด

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000003397

    #MGROnline #สถานีรถไฟใต้ดินฮวาตี้วาน #กว่างโจว #กลีบดอกงิ้ว #โลงศพ
    เหมือนไหม? กลายเป็นประเด็นร้อนเมื่อไม่นานมานี้ หลังชาวจีนออกมาโจมตีทางออกของสถานีรถไฟใต้ดินฮวาตี้วาน ในกว่างโจว มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการรีโนเวท ว่าเหมือนกับ "โรงศพดั้งเดิมขนาดยักษ์" • เดิมทีสถานีรถไฟใต้ดินแห่งนี้ ถือเป็นหนึ่งในสถานีที่เก่าแก่ที่สุดในกว่างโจว มีกำหนดการเปิดให้บริการอีกครั้งในช่วงกลางเดือนม.ค. หลังจากทำการรีโนเวท โดยมีบริษัท Guangzhou Wanxi Enterprise Management เป็นผู้รับผิดชอบ และบริษัท Shanghai GM Landscape Design รับหน้าที่เป็นผู้ออกแบบ • อย่างไรก็ดี หลังมีการเผยแพร่ภาพทางออกของสถานีดังกล่าวลงบนโลกออนไลน์ ก็ถูกชาวเน็ตร้องเรียนและวิจารณ์อย่างหนัก เช่น "นี่เป็นประตูสู่ยมโลกหรือเปล่า?" "นี่เป็นผลงานของทีมงานมืออาชีพจริงๆ หรือ?" และ "ออกแบบมาแบบนี้ ช่างสิ้นเปลืองงบจริงๆ" • ต่อมาบริษัท Guangzhou Metro Group ได้ออกมาตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าแรงบันดาลใจและคอนเซ็ปต์ของการออกแบบมีที่มาจาก "กลีบดอกงิ้ว" ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำนครกว่างโจว ไม่ใช่โลงศพอย่างที่ทุกคนคิด • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000003397 • #MGROnline #สถานีรถไฟใต้ดินฮวาตี้วาน #กว่างโจว #กลีบดอกงิ้ว #โลงศพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • โบสถ์ไม้ เมืองกอนตูม (Kon Tum) เป็นโบสถ์คริสต์ที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลังที่เก่าแก่และสวยที่สุดในประเทศเวียดนาม อยู่ใน จ.กอนตูม เริ่มสร้างในปี ค.ศ.1913 และเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1918 ก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมโรมันผสานกับสถาปัตยกรรมท้องถิ่นอย่างลงตัว ตกแต่งลวดลายอย่างวิจิตร โครงสร้างใช้ไม้ต่อกันโดยการเข้าเดือยไม่ใช้ตะปู ฉาบผนังด้วยดินผสมฟาง ถึงแม้จะมีอายุกว่า 100 ปีแล้ว แต่โครงสร้างยังคงแข็งแรงเป็นอย่างดี vnjoytravel
    โบสถ์ไม้ เมืองกอนตูม (Kon Tum) เป็นโบสถ์คริสต์ที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลังที่เก่าแก่และสวยที่สุดในประเทศเวียดนาม อยู่ใน จ.กอนตูม เริ่มสร้างในปี ค.ศ.1913 และเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1918 ก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมโรมันผสานกับสถาปัตยกรรมท้องถิ่นอย่างลงตัว ตกแต่งลวดลายอย่างวิจิตร โครงสร้างใช้ไม้ต่อกันโดยการเข้าเดือยไม่ใช้ตะปู ฉาบผนังด้วยดินผสมฟาง ถึงแม้จะมีอายุกว่า 100 ปีแล้ว แต่โครงสร้างยังคงแข็งแรงเป็นอย่างดี vnjoytravel
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥ทัวร์ญี่ปุ่น โตเกียว GALA YUZAWA SAKURA SNOW GK0325-TG 6 วัน 4 คืน💥
    🟣 พีเรียด 24-29 มีนาคม 2568
    🟣 ราคาเพียง 59,900 บาท

    บินสายการบิน บริการ FULL SERVICE น้ำหนักกระเป๋า 25 KG. บินตรงลง ฮาเนดะ
    พักสกีรีสอร์ท 1 คืน ⛷️

    ✨️ไฮไลท์โปรแกรม✨️
    - นั่งรถไฟสายโรแมนติก วาตาราเซะ กุมมะ 🚂 ชมวิวซากุระบานสะพรั่ง 🌸
    - เล่นลานสกีชื่อดัง GALA YUZAWA
    - สวนสนุก FUJI Q
    ▪️สนุกสนานกับกิจกรรม ลานสกีกาล่า ยูซาว่า (GALA YUZAWA)
    ▪️สะพานชินเคียว สะพานไม้สีแดง นิกโก้
    ▪️ศาลเจ้านิกโกโทโชกุ
    ▪️ทะเลสาบชูเซนจิ แห่งเมืองนิกโก้
    ▪️วัดโชรินซัง ดารุมะจิ วัดดังเก่าแก่ต้นกำเนิดตุ๊กตาดารุมะ
    ▪️ชมความงามทะเลสาบคาวากูจิโกะ
    ▪️อิคาโฮะออนเซ็น (IKAHO ONSEN)
    ▪️สวนสนุกฟูจิ คิว ไฮแลนด์
    ▪️โอชิโนะ ฮัคไค (OSHINO HAKKAI) หมู่บ้านน้ำใส วิวภูเขาไฟฟูจิ
    ▪️วัดเซ็นโซจิ หรือ วัดอาซากุสะ
    ▪️ชมโตเกียว สกายทรี (TOKYO SKYTREE)
    ▪️ชอปปิ้งย่านชินจูกุ / ย่านอุเอโนะ / ห้างไดเวอร์ซิตี้
    ▪️อิสระท่องเที่ยว 1 วัน (FREEDAY)

    🌸พิเศษ บุฟเฟ่ต์ขาปู
    🌸พิเศษ พรีเมี่ยม บุฟเฟ่ต์ยากินิกุ ROKKASEN
    🌸พิเศษ พักออนเซ็น 2 คืน
    🌸พิเศษ พักสกีรีสอร์ท 1 คืน
    📢 ระดับทัวร์ : ทัวร์คุณภาพระดับมาตรฐาน
    📢 รหัสทัวร์ : A13730
    🏢 โรงแรม : ⭐️⭐️⭐️

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e8f597

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์ต่างประเทศ #ทัวร์โปรไฟไหม้ #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ที่หลุด #ท่องเที่ยว #เที่ยว #ทัวร์ทั่วโลก #linetoday #linetimeline #linevoom #line #etravelway #ทัวร์ยุโรป #ทัวร์พรีเมี่ยม #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #ทัวร์ถูก #ทัวร์คุณภาพ #ทัวร์สุดคุ้ม #แพคเกจทัวร์ต่างประเทศ #กรุ๊ปเหมา
    💥ทัวร์ญี่ปุ่น โตเกียว GALA YUZAWA SAKURA SNOW GK0325-TG 6 วัน 4 คืน💥 🟣 พีเรียด 24-29 มีนาคม 2568 🟣 ราคาเพียง 59,900 บาท บินสายการบิน บริการ FULL SERVICE น้ำหนักกระเป๋า 25 KG. บินตรงลง ฮาเนดะ พักสกีรีสอร์ท 1 คืน ⛷️ ✨️ไฮไลท์โปรแกรม✨️ - นั่งรถไฟสายโรแมนติก วาตาราเซะ กุมมะ 🚂 ชมวิวซากุระบานสะพรั่ง 🌸 - เล่นลานสกีชื่อดัง GALA YUZAWA - สวนสนุก FUJI Q ▪️สนุกสนานกับกิจกรรม ลานสกีกาล่า ยูซาว่า (GALA YUZAWA) ▪️สะพานชินเคียว สะพานไม้สีแดง นิกโก้ ▪️ศาลเจ้านิกโกโทโชกุ ▪️ทะเลสาบชูเซนจิ แห่งเมืองนิกโก้ ▪️วัดโชรินซัง ดารุมะจิ วัดดังเก่าแก่ต้นกำเนิดตุ๊กตาดารุมะ ▪️ชมความงามทะเลสาบคาวากูจิโกะ ▪️อิคาโฮะออนเซ็น (IKAHO ONSEN) ▪️สวนสนุกฟูจิ คิว ไฮแลนด์ ▪️โอชิโนะ ฮัคไค (OSHINO HAKKAI) หมู่บ้านน้ำใส วิวภูเขาไฟฟูจิ ▪️วัดเซ็นโซจิ หรือ วัดอาซากุสะ ▪️ชมโตเกียว สกายทรี (TOKYO SKYTREE) ▪️ชอปปิ้งย่านชินจูกุ / ย่านอุเอโนะ / ห้างไดเวอร์ซิตี้ ▪️อิสระท่องเที่ยว 1 วัน (FREEDAY) 🌸พิเศษ บุฟเฟ่ต์ขาปู 🌸พิเศษ พรีเมี่ยม บุฟเฟ่ต์ยากินิกุ ROKKASEN 🌸พิเศษ พักออนเซ็น 2 คืน 🌸พิเศษ พักสกีรีสอร์ท 1 คืน 📢 ระดับทัวร์ : ทัวร์คุณภาพระดับมาตรฐาน 📢 รหัสทัวร์ : A13730 🏢 โรงแรม : ⭐️⭐️⭐️ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e8f597 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์ต่างประเทศ #ทัวร์โปรไฟไหม้ #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ที่หลุด #ท่องเที่ยว #เที่ยว #ทัวร์ทั่วโลก #linetoday #linetimeline #linevoom #line #etravelway #ทัวร์ยุโรป #ทัวร์พรีเมี่ยม #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #ทัวร์ถูก #ทัวร์คุณภาพ #ทัวร์สุดคุ้ม #แพคเกจทัวร์ต่างประเทศ #กรุ๊ปเหมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 629 มุมมอง 0 รีวิว
  • โล่วหู นาฬิกาหยดน้ำโบราณ

    สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยู่กันกับซีรีส์เรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ

    หลายท่านคงทราบว่านาฬิกาโบราณนั้น มีนาฬิกาแดด นาฬิกาทรายและนาฬิกาหยดน้ำ ก่อนจะพัฒนามาเป็นนาฬิกากลไกที่ใช้เฟือง มีบทความเกี่ยวกับนาฬิกาโบราณไม่น้อยให้เพื่อนเพจได้ค้นหาอ่านกัน วันนี้ Storyฯ มาขยายความเรื่องนาฬิกาน้ำแบบหยดน้ำ เพราะที่เห็นในเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> มันสวยเตะตาเหลือเกิน (แต่จนใจหาฉากที่เห็นรูปนาฬิกาแบบเต็มเรือนมาให้ดูไม่ได้)

    นาฬิกาหยดน้ำที่เห็นในซีรีส์เรื่องนี้มีองค์ประกอบและหลักการทำงานโดยสรุปดังนี้ (ดูรูปประกอบ): เป็นโถใส่น้ำอยู่ด้านบน ปล่อยให้น้ำค่อยๆ หยดลงบนถาด เมื่อน้ำปริ่มจนได้ระดับก็จะหยดลงในอ่างด้านล่าง ในอ่างด้านล่างมีไม้บรรทัดตั้งอยู่โดยเสียบผ่านถาดไม้บนอ่าง บนไม้บรรทัดมีขีดบอกเวลาสิบสองชั่วยาม เมื่อระดับน้ำในอ่างรับน้ำมีมากขึ้นไม้ก็จะค่อยๆ ลอยขึ้น ระดับความสูงของขอบถาดอยู่ตรงขีดไม้บรรทัดขีดไหนก็คือเวลานั้นๆ

    ดูจากหลักการทำงานตามที่กล่าวมาข้างต้น Storyฯ คิดว่านาฬิการุ่นนี้เป็นแบบขั้นบันได พูดแล้วเพื่อนเพจคงงงว่าเป็นแบบขั้นบันไดอย่างไร ก่อนอื่นมาดูรูปแบบของนาฬิกาหยดน้ำโบราณกันค่ะ

    นาฬิกาหยดน้ำเรียกว่า ‘โล่วหู’ (漏壶 แปลตรงตัวว่าโถที่มีรู) มีดีไซน์หลากหลาย แต่สามารถจัดหมวดหมู่ได้เป็นสามกลุ่มตามหลักการที่ใช้ สรุปดังนี้

    1. แบบระบายน้ำ (泄水型 /เซี่ยสุ่ยสิง หรือ 沉箭漏 / เฉินเจี้ยนโล่ว): นี่เป็นแบบแรกเริ่มของนาฬิกาหยดน้ำในจีน โดยหลักการคือใช้โถปล่อยน้ำที่มีท่อเล็กระบายน้ำที่ส่วนล่าง ฝาโถมีรูให้เสียบก้านไม้ที่มีเส้นขีดบอกเวลาเพื่อว่าก้านไม้จะได้ไม่เอียง ด้านล่างของก้านไม้ยึดอยู่บนถาดที่ลอยอยู่ในโถ (ดูรูปประกอบ) เมื่อน้ำค่อยๆ หยดระบายออก ก้านไม้ในโถก็จะค่อยๆ ลดระดับ เมื่อมองจากด้านนอกก็จะเห็นว่าขีดบอกเวลาอยู่ที่ระดับใด โบราณวัตถุที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยค้นพบเจอนั้นเป็นของสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (ปี 202 ก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 008)

    ข้อเสียของนาฬิกาหยดน้ำแบบระบายน้ำนี้ก็คือ ความช้าเร็วในการหยดของน้ำจะแตกต่างกันเมื่อระดับปริมาณน้ำในโถที่ลดลง เป็นเรื่องของแรงดันน้ำอันเกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลก คือน้ำในโถปล่อยยิ่งมาก แรงดันยิ่งสูง ก็จะยิ่งหยดเร็ว

    2. แบบสะสมน้ำ (受水型 /โซ่วสุ่ยสิง หรือ 浮箭漏/ฝูเจี้ยนโล่ว): ว่ากันว่านาฬิกาแบบนี้มีมาแต่สมัยฮั่นตะวันตกในช่วงปลายราชวงศ์ โดยหลักการคือเอาก้านไม้ที่บอกเวลาไปลอยไว้ในโถหรืออ่างรับน้ำที่วางอยู่ข้างล่าง เมื่อโถรับน้ำมีปริมาณน้ำสะสมมากขึ้นก็จะดันให้ก้านไม้ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นพ้นขอบ ก็จะเห็นว่าขีดบอกเวลาอยู่ที่ขีดเวลาใด (ดูรูปประกอบเพื่อเปรียบเทียบ) เป็นหลักการที่พยายามแก้ไขปัญหาความเพี้ยนของการบอกเวลา

    แต่... มันยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ดี ดังนั้น จึงเกิดเป็นแบบที่สามขึ้นมา

    3. แบบขั้นบันได (阶梯式 /เจี้ยทีซึ): คือมีโถปล่อยน้ำเรียงหลายขั้นลดหลั่นกันลงมา แรกเริ่มคือเป็นโถปล่อยน้ำ 2 ขั้น มีใช้ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ค.ศ. 25-220 ) ต่อมาเพิ่มโถปล่อยน้ำอีกหลาย ในราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 266-420) เป็นโถปล่อยน้ำ 3 ขั้น หลักการทำงานคือมีก้านไม้บอกเวลาลอยอยู่ในโถรับน้ำ (เหมือนแบบสะสมน้ำ) แต่ที่เพิ่มเติมคือมีการรักษาให้ปริมาตรของน้ำจากโถปล่อยน้ำมีความคงที่ด้วยการแบ่งเป็นหลายโถ โถขั้นกลางและล่างจะได้มีปริมาตรและแรงดันที่ค่อนข้างคงที่ ยิ่งจำนวนโถปล่อยน้ำขั้นกลางมีมากเท่าไหร่ น้ำที่หยดลงสู่อ่างรับน้ำก็จะยิ่งมีระยะห่างที่สม่ำเสมอ เป็นการสร้างเสถียรภาพในการบอกเวลาได้ดี

    แต่มันก็ยังไม่แม่นยำนัก ต่อมาในยุคหลังจึงเกิดนาฬิกากลไกขึ้นมา

    Storyฯ เล่าหลักการแบบง่ายๆ นะคะ แต่ในความเป็นจริงต้องมีการคำนวณอย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นความกว้างความสูงของทุกชิ้นส่วนของภาชนะ การตีเส้นบนก้านไม้ ตำแหน่งความสูงของหลอดปล่อยน้ำ ฯลฯ

    กลับมาที่นาฬิกาเรือนสวยลายนกเป็ดน้ำในซีรีส์ <เล่ห์รักวังคุนหนิง>... ที่ Storyฯ บอกว่ามันเป็นนาฬิกาหยดน้ำแบบขั้นบันไดก็เพราะว่ามีการรักษาปริมาตรของน้ำเพื่อให้น้ำหยดลงในระยะห่างที่คงที่ด้วยการใช้ถาดใบบัวมาขั้นนั่นเอง (ดูรูปประกอบ) แน่นอนว่ามันมีหน้าตาสวยงามกว่าต้นแบบที่ต้องใช้โถหลายใบวางเรียงกันแต่ก็คงแม่นยำไม่เท่าด้วย

    นาฬิกาหยดน้ำเป็นสิ่งประดิษฐ์ของจีนหรือว่าได้รับอิทธิพลมาจากทางตะวันตก? เรื่องนี้คำตอบไม่แน่ชัด บ้างบอกว่าได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งตะวันตกเพราะดูจากหลักฐานโบราณวัตถุที่ค้นพบในจีนนั้นเป็นของยุคสมัยฮั่นตะวันตก แต่นาฬิกาหยดน้ำที่ใช้ในโลกตะวันตกมีต้นแบบมาจากสมัยบาบีโลนของอียิปต์ (ประมาณพันห้าร้อยปีก่อนคริสตกาล) เป็นแบบระบายน้ำเรียกว่า clepsydra โดยของฝั่งโลกตะวันตกไม่ได้ใช้ก้านไม้ขีดเส้นลอยอยู่ในน้ำ แต่เป็นการบากเส้นขึ้นในภาชนะและจะใช้เป็นภาชนะปากกว้างเช่นอ่างเพื่อให้เห็นเส้นขีดบอกเวลาภายใน

    แต่มีบางบทความอ้างอิงว่าในบันทึกโจวหลี่มีการเขียนไว้ว่า ในสมัยราชวงศ์ซางมีตำแหน่งข้าราชการที่เรียกว่า ‘เชี่ยหูซึ’ (挈壶氏) มีหน้าที่คอยดูเวลาที่นาฬิกาหยดน้ำ บ่งบอกว่านาฬิกาหยดน้ำมีใช้ในจีนโบราณมาตั้งแต่สี่พันปีที่แล้ว

    จริงๆ ในซีรีส์เรื่องนี้มีนาฬิกาโบราณแบบอื่นให้เห็นด้วย มีเพื่อนเพจท่านใดจำได้บ้างไหม?

    หมายเหตุ: แก้ไขรูปประกอบที่ผิดพลาดเมื่อวันที่ 17/5 เวลา 16.30น. นะคะ ขออภัยที่สร้างความสับสนมาก่อนหน้านี้

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/582597735
    http://www.chinajl.com.cn/jiliangqiwu/57554.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://art.people.com.cn/n/2014/0521/c206244-25043967.html
    https://www.cctv.com/geography/news/20030514/7.html#:~:text=中国最早的漏壶,或“浮箭漏”。
    https://zh.wikipedia.org/wiki/水鐘
    http://m.cnwest.com/sxxw/a/2021/12/21/20176664.html

    #เล่ห์รักวังคุนหนิง #นาฬิกาโบราณ #นาฬิกาหยดน้ำ #โล่วหู
    โล่วหู นาฬิกาหยดน้ำโบราณ สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยู่กันกับซีรีส์เรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ หลายท่านคงทราบว่านาฬิกาโบราณนั้น มีนาฬิกาแดด นาฬิกาทรายและนาฬิกาหยดน้ำ ก่อนจะพัฒนามาเป็นนาฬิกากลไกที่ใช้เฟือง มีบทความเกี่ยวกับนาฬิกาโบราณไม่น้อยให้เพื่อนเพจได้ค้นหาอ่านกัน วันนี้ Storyฯ มาขยายความเรื่องนาฬิกาน้ำแบบหยดน้ำ เพราะที่เห็นในเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> มันสวยเตะตาเหลือเกิน (แต่จนใจหาฉากที่เห็นรูปนาฬิกาแบบเต็มเรือนมาให้ดูไม่ได้) นาฬิกาหยดน้ำที่เห็นในซีรีส์เรื่องนี้มีองค์ประกอบและหลักการทำงานโดยสรุปดังนี้ (ดูรูปประกอบ): เป็นโถใส่น้ำอยู่ด้านบน ปล่อยให้น้ำค่อยๆ หยดลงบนถาด เมื่อน้ำปริ่มจนได้ระดับก็จะหยดลงในอ่างด้านล่าง ในอ่างด้านล่างมีไม้บรรทัดตั้งอยู่โดยเสียบผ่านถาดไม้บนอ่าง บนไม้บรรทัดมีขีดบอกเวลาสิบสองชั่วยาม เมื่อระดับน้ำในอ่างรับน้ำมีมากขึ้นไม้ก็จะค่อยๆ ลอยขึ้น ระดับความสูงของขอบถาดอยู่ตรงขีดไม้บรรทัดขีดไหนก็คือเวลานั้นๆ ดูจากหลักการทำงานตามที่กล่าวมาข้างต้น Storyฯ คิดว่านาฬิการุ่นนี้เป็นแบบขั้นบันได พูดแล้วเพื่อนเพจคงงงว่าเป็นแบบขั้นบันไดอย่างไร ก่อนอื่นมาดูรูปแบบของนาฬิกาหยดน้ำโบราณกันค่ะ นาฬิกาหยดน้ำเรียกว่า ‘โล่วหู’ (漏壶 แปลตรงตัวว่าโถที่มีรู) มีดีไซน์หลากหลาย แต่สามารถจัดหมวดหมู่ได้เป็นสามกลุ่มตามหลักการที่ใช้ สรุปดังนี้ 1. แบบระบายน้ำ (泄水型 /เซี่ยสุ่ยสิง หรือ 沉箭漏 / เฉินเจี้ยนโล่ว): นี่เป็นแบบแรกเริ่มของนาฬิกาหยดน้ำในจีน โดยหลักการคือใช้โถปล่อยน้ำที่มีท่อเล็กระบายน้ำที่ส่วนล่าง ฝาโถมีรูให้เสียบก้านไม้ที่มีเส้นขีดบอกเวลาเพื่อว่าก้านไม้จะได้ไม่เอียง ด้านล่างของก้านไม้ยึดอยู่บนถาดที่ลอยอยู่ในโถ (ดูรูปประกอบ) เมื่อน้ำค่อยๆ หยดระบายออก ก้านไม้ในโถก็จะค่อยๆ ลดระดับ เมื่อมองจากด้านนอกก็จะเห็นว่าขีดบอกเวลาอยู่ที่ระดับใด โบราณวัตถุที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยค้นพบเจอนั้นเป็นของสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (ปี 202 ก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 008) ข้อเสียของนาฬิกาหยดน้ำแบบระบายน้ำนี้ก็คือ ความช้าเร็วในการหยดของน้ำจะแตกต่างกันเมื่อระดับปริมาณน้ำในโถที่ลดลง เป็นเรื่องของแรงดันน้ำอันเกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลก คือน้ำในโถปล่อยยิ่งมาก แรงดันยิ่งสูง ก็จะยิ่งหยดเร็ว 2. แบบสะสมน้ำ (受水型 /โซ่วสุ่ยสิง หรือ 浮箭漏/ฝูเจี้ยนโล่ว): ว่ากันว่านาฬิกาแบบนี้มีมาแต่สมัยฮั่นตะวันตกในช่วงปลายราชวงศ์ โดยหลักการคือเอาก้านไม้ที่บอกเวลาไปลอยไว้ในโถหรืออ่างรับน้ำที่วางอยู่ข้างล่าง เมื่อโถรับน้ำมีปริมาณน้ำสะสมมากขึ้นก็จะดันให้ก้านไม้ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นพ้นขอบ ก็จะเห็นว่าขีดบอกเวลาอยู่ที่ขีดเวลาใด (ดูรูปประกอบเพื่อเปรียบเทียบ) เป็นหลักการที่พยายามแก้ไขปัญหาความเพี้ยนของการบอกเวลา แต่... มันยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ดี ดังนั้น จึงเกิดเป็นแบบที่สามขึ้นมา 3. แบบขั้นบันได (阶梯式 /เจี้ยทีซึ): คือมีโถปล่อยน้ำเรียงหลายขั้นลดหลั่นกันลงมา แรกเริ่มคือเป็นโถปล่อยน้ำ 2 ขั้น มีใช้ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ค.ศ. 25-220 ) ต่อมาเพิ่มโถปล่อยน้ำอีกหลาย ในราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 266-420) เป็นโถปล่อยน้ำ 3 ขั้น หลักการทำงานคือมีก้านไม้บอกเวลาลอยอยู่ในโถรับน้ำ (เหมือนแบบสะสมน้ำ) แต่ที่เพิ่มเติมคือมีการรักษาให้ปริมาตรของน้ำจากโถปล่อยน้ำมีความคงที่ด้วยการแบ่งเป็นหลายโถ โถขั้นกลางและล่างจะได้มีปริมาตรและแรงดันที่ค่อนข้างคงที่ ยิ่งจำนวนโถปล่อยน้ำขั้นกลางมีมากเท่าไหร่ น้ำที่หยดลงสู่อ่างรับน้ำก็จะยิ่งมีระยะห่างที่สม่ำเสมอ เป็นการสร้างเสถียรภาพในการบอกเวลาได้ดี แต่มันก็ยังไม่แม่นยำนัก ต่อมาในยุคหลังจึงเกิดนาฬิกากลไกขึ้นมา Storyฯ เล่าหลักการแบบง่ายๆ นะคะ แต่ในความเป็นจริงต้องมีการคำนวณอย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นความกว้างความสูงของทุกชิ้นส่วนของภาชนะ การตีเส้นบนก้านไม้ ตำแหน่งความสูงของหลอดปล่อยน้ำ ฯลฯ กลับมาที่นาฬิกาเรือนสวยลายนกเป็ดน้ำในซีรีส์ <เล่ห์รักวังคุนหนิง>... ที่ Storyฯ บอกว่ามันเป็นนาฬิกาหยดน้ำแบบขั้นบันไดก็เพราะว่ามีการรักษาปริมาตรของน้ำเพื่อให้น้ำหยดลงในระยะห่างที่คงที่ด้วยการใช้ถาดใบบัวมาขั้นนั่นเอง (ดูรูปประกอบ) แน่นอนว่ามันมีหน้าตาสวยงามกว่าต้นแบบที่ต้องใช้โถหลายใบวางเรียงกันแต่ก็คงแม่นยำไม่เท่าด้วย นาฬิกาหยดน้ำเป็นสิ่งประดิษฐ์ของจีนหรือว่าได้รับอิทธิพลมาจากทางตะวันตก? เรื่องนี้คำตอบไม่แน่ชัด บ้างบอกว่าได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งตะวันตกเพราะดูจากหลักฐานโบราณวัตถุที่ค้นพบในจีนนั้นเป็นของยุคสมัยฮั่นตะวันตก แต่นาฬิกาหยดน้ำที่ใช้ในโลกตะวันตกมีต้นแบบมาจากสมัยบาบีโลนของอียิปต์ (ประมาณพันห้าร้อยปีก่อนคริสตกาล) เป็นแบบระบายน้ำเรียกว่า clepsydra โดยของฝั่งโลกตะวันตกไม่ได้ใช้ก้านไม้ขีดเส้นลอยอยู่ในน้ำ แต่เป็นการบากเส้นขึ้นในภาชนะและจะใช้เป็นภาชนะปากกว้างเช่นอ่างเพื่อให้เห็นเส้นขีดบอกเวลาภายใน แต่มีบางบทความอ้างอิงว่าในบันทึกโจวหลี่มีการเขียนไว้ว่า ในสมัยราชวงศ์ซางมีตำแหน่งข้าราชการที่เรียกว่า ‘เชี่ยหูซึ’ (挈壶氏) มีหน้าที่คอยดูเวลาที่นาฬิกาหยดน้ำ บ่งบอกว่านาฬิกาหยดน้ำมีใช้ในจีนโบราณมาตั้งแต่สี่พันปีที่แล้ว จริงๆ ในซีรีส์เรื่องนี้มีนาฬิกาโบราณแบบอื่นให้เห็นด้วย มีเพื่อนเพจท่านใดจำได้บ้างไหม? หมายเหตุ: แก้ไขรูปประกอบที่ผิดพลาดเมื่อวันที่ 17/5 เวลา 16.30น. นะคะ ขออภัยที่สร้างความสับสนมาก่อนหน้านี้ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/582597735 http://www.chinajl.com.cn/jiliangqiwu/57554.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://art.people.com.cn/n/2014/0521/c206244-25043967.html https://www.cctv.com/geography/news/20030514/7.html#:~:text=中国最早的漏壶,或“浮箭漏”。 https://zh.wikipedia.org/wiki/水鐘 http://m.cnwest.com/sxxw/a/2021/12/21/20176664.html #เล่ห์รักวังคุนหนิง #นาฬิกาโบราณ #นาฬิกาหยดน้ำ #โล่วหู
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ที่มีช่วงหนึ่งพระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วบทความที่เหยียนซิ่งกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน สัปดาห์ที่แล้วคุยกันไปประโยคหนึ่ง วันนี้มาคุยต่อ ซึ่งคือบทพูดยาวที่เหยียนซิ่งกล่าวว่า “ผู้สูงศักดิ์แม้มองตนสูงค่า กลับต่ำต้อยเยี่ยงธุลีดิน คนต่ำต้อยแม้ด้อยค่าตนเอง ทว่าน้ำหนักดุจพันจวิน”(贵者虽自贵,视之若埃尘。贱者虽自贱,重之若千钧。) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า)ทั้งนี้ ‘จวิน’ เป็นหน่วยวัดน้ำหนักในสมัยโบราณ เทียบเท่าประมาณสิบห้ากิโลกรัม และ ‘พันจวิน’ เป็นการอุปมาอุปมัยว่าน้ำหนักมากมีค่ามากยิ่งนักวลีสี่วรรคนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทกวีบทที่หกจากชุดบทกวีแปดบท ‘หยงสื่อปาโส่ว’ (咏史八首) ของจั่วซือ (ค.ศ. 250-305) นักประพันธ์เลื่องชื่อในสมัยจิ้นตะวันตกจั่วซือมาจากครอบครัวขุนนางเก่าแก่แต่บิดาไม่ได้มีตำแหน่งสูงนัก เรียกได้ว่าเป็นคนจากตระกูล ‘หานเหมิน’ ซึ่งก็คือครอบครัวขุนนางเก่าหรือขุนนางชั้นล่างที่ไม่มีอิทธิพลหรืออำนาจทางการเมือง (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนอธิบายถึงหานเหมินไปแล้ว ลองย้อนอ่านทำความเข้าใจได้ที่ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02irzPP9WVBtk8DXM6MFwphMu3ngFyjoz511zYfX8rWt8zHjHrFvk2ZwRiPXWuVWUal)ในช่วงที่จิ้นอู่ตี้ (ซือหม่าเหยียน ปฐมกษัตรย์แห่งราชวงศ์จิ้น) เกณฑ์สตรีจากครอบครัวขุนนางระดับกลางถึงระดับบนเข้าวังเป็นนางในเป็นจำนวนมากนั้น น้องสาวของจั่วซือก็ถูกเกณฑ์เข้าวังเป็นสนมเช่นกัน เขาเลยย้ายเข้าเมืองหลวงลั่วหยางพร้อมครอบครัวและพยายามหาหนทางเข้ารับราชการแต่ไม่ประสบความสำเร็จ และเขาพบว่ามีความฟอนเฟะในระบบราชการไม่น้อย ต่อมาเขาใช้เวลาสิบปีประพันธ์บทความที่เรียกว่า ‘ซานตูฟู่’ (三都赋/บทประพันธ์สามนคร) โดยยกตัวอย่างของแต่ละเมืองในบทความเพื่อสะท้อนแนวคิดและหลักการบริหารบ้านเมือง ต่อมาบทความนี้ได้รับการยอมรับอย่างมากมายจนในที่สุดจั่วซือได้เข้ารับราชการเป็นบรรณารักษ์แห่งหอพระสมุดว่ากันว่ากวีแปดบทนี้เป็นผลงานช่วงแรกที่เขาเข้ามาลั่วหยางและพบทางตันในการพยายามเป็นขุนนางจนรู้สึกท้อแท้และอัดอั้นตันใจ เป็นชุดบทกวีที่สะท้อนให้เห็นสภาวะทางสังคม อุดมการณ์อันยิ่งใหญ่และความคับแค้นใจของผู้ที่มาจากตระกูล ‘หานเหมิน’ ในยุคสมัยที่ไม่มีการสอบราชบัณฑิต โดยบทกวีแต่ละบทเป็นการยืมเรื่องในประวัติศาสตร์มาเล่าในเชิงยกย่องสรรเสริญและบทกวีบทที่หกนี้ เป็นการสรรเสริญ ‘จิงเคอ’ ซึ่งก็คือหนึ่งในมือสังหารที่มีชื่อที่สุดของจีน ถูกส่งไปลอบสังหารจิ๋นซีฮ่องเต้ในช่วงก่อนรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันสำเร็จ (คือต้นแบบของนักฆ่านิรนาม ‘อู๋หมิง’ ในภาพยนต์เรื่อง <Hero> ปี 2002 ของจางอี้โหมวที่เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยได้ดู) ซึ่งการลอบสังหารนั้นอยู่บนความเชื่อที่ว่ากษัตริย์แคว้นฉิ๋นโหดเหี้ยมบ้าอำนาจคิดกวาดล้างทำลายแคว้นอื่น จะทำให้ผู้คนล้มตายบ้านแตกสาแหรกขาดอีกไม่น้อย บทกวีบทที่หกนี้สรุปใจความได้ประมาณว่า จิงเคอร่ำสุราสำราญใจอย่างไม่แคร์ผู้ใด อุปนิสัยใจกล้าองอาจ เป็นคนที่มีเอกลักษณ์ไม่อาจมองข้าม แม้ไม่ใช่คนจากสังคมชั้นสูงแต่กลับมีคุณค่ามากมายเพราะสละชีพเพื่อผองชน และในสายตาของจิงเคอแล้วนั้น พวกตระกูลขุนนางชั้นสูงไม่มีคุณค่าใด บทกวีนี้จึงไม่เพียงสรรเสริญจิงเคอหากยังเสียดสีถึงคนจากสังคมชั้นสูงในสมัยนั้นอีกด้วย“ผู้สูงศักดิ์แม้มองตนสูงค่า กลับต่ำต้อยเยี่ยงธุลีดิน คนต่ำต้อยแม้ด้อยค่าตนเอง ทว่าน้ำหนักดุจพันจวิน” วลีสี่วรรคนี้ที่เหยียนซิ่งกล่าวในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> โดยในซีรีส์สมมุติไว้ว่านี่เป็นประโยคที่พานฉือแต่งขึ้น จึงเป็นการเท้าความถึงตอนที่พานฉือเดินทางเข้ากรุงใหม่ๆ ยังเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์และความเชื่อมั่นอันแรงกล้า และเป็นการปลอบใจให้พานฉืออย่าได้ท้อใจในอุปสรรคที่ได้พบเจอ เพราะคุณค่าของคนอยู่ที่ตนเอง ไม่ใช่จากพื้นเพชาติตระกูล(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545http://zhld.com/zkwb/html/2017-04/21/content_7602721.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:http://zhld.com/zkwb/html/2017-04/21/content_7602721.htm https://m.guoxuedashi.net/shici/81367k.html https://www.gushiwen.cn/mingju/juv_d4a0651f3a21.aspxhttps://baike.baidu.com/item/左思/582418 #ทำนองรักกังวานแดนดิน #วลีจีน #จั่วซือ #บทกวีจีนโบราณ #จิงเคอ #สาระจีน
    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ที่มีช่วงหนึ่งพระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วบทความที่เหยียนซิ่งกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน สัปดาห์ที่แล้วคุยกันไปประโยคหนึ่ง วันนี้มาคุยต่อ ซึ่งคือบทพูดยาวที่เหยียนซิ่งกล่าวว่า “ผู้สูงศักดิ์แม้มองตนสูงค่า กลับต่ำต้อยเยี่ยงธุลีดิน คนต่ำต้อยแม้ด้อยค่าตนเอง ทว่าน้ำหนักดุจพันจวิน”(贵者虽自贵,视之若埃尘。贱者虽自贱,重之若千钧。) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า)ทั้งนี้ ‘จวิน’ เป็นหน่วยวัดน้ำหนักในสมัยโบราณ เทียบเท่าประมาณสิบห้ากิโลกรัม และ ‘พันจวิน’ เป็นการอุปมาอุปมัยว่าน้ำหนักมากมีค่ามากยิ่งนักวลีสี่วรรคนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทกวีบทที่หกจากชุดบทกวีแปดบท ‘หยงสื่อปาโส่ว’ (咏史八首) ของจั่วซือ (ค.ศ. 250-305) นักประพันธ์เลื่องชื่อในสมัยจิ้นตะวันตกจั่วซือมาจากครอบครัวขุนนางเก่าแก่แต่บิดาไม่ได้มีตำแหน่งสูงนัก เรียกได้ว่าเป็นคนจากตระกูล ‘หานเหมิน’ ซึ่งก็คือครอบครัวขุนนางเก่าหรือขุนนางชั้นล่างที่ไม่มีอิทธิพลหรืออำนาจทางการเมือง (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนอธิบายถึงหานเหมินไปแล้ว ลองย้อนอ่านทำความเข้าใจได้ที่ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02irzPP9WVBtk8DXM6MFwphMu3ngFyjoz511zYfX8rWt8zHjHrFvk2ZwRiPXWuVWUal)ในช่วงที่จิ้นอู่ตี้ (ซือหม่าเหยียน ปฐมกษัตรย์แห่งราชวงศ์จิ้น) เกณฑ์สตรีจากครอบครัวขุนนางระดับกลางถึงระดับบนเข้าวังเป็นนางในเป็นจำนวนมากนั้น น้องสาวของจั่วซือก็ถูกเกณฑ์เข้าวังเป็นสนมเช่นกัน เขาเลยย้ายเข้าเมืองหลวงลั่วหยางพร้อมครอบครัวและพยายามหาหนทางเข้ารับราชการแต่ไม่ประสบความสำเร็จ และเขาพบว่ามีความฟอนเฟะในระบบราชการไม่น้อย ต่อมาเขาใช้เวลาสิบปีประพันธ์บทความที่เรียกว่า ‘ซานตูฟู่’ (三都赋/บทประพันธ์สามนคร) โดยยกตัวอย่างของแต่ละเมืองในบทความเพื่อสะท้อนแนวคิดและหลักการบริหารบ้านเมือง ต่อมาบทความนี้ได้รับการยอมรับอย่างมากมายจนในที่สุดจั่วซือได้เข้ารับราชการเป็นบรรณารักษ์แห่งหอพระสมุดว่ากันว่ากวีแปดบทนี้เป็นผลงานช่วงแรกที่เขาเข้ามาลั่วหยางและพบทางตันในการพยายามเป็นขุนนางจนรู้สึกท้อแท้และอัดอั้นตันใจ เป็นชุดบทกวีที่สะท้อนให้เห็นสภาวะทางสังคม อุดมการณ์อันยิ่งใหญ่และความคับแค้นใจของผู้ที่มาจากตระกูล ‘หานเหมิน’ ในยุคสมัยที่ไม่มีการสอบราชบัณฑิต โดยบทกวีแต่ละบทเป็นการยืมเรื่องในประวัติศาสตร์มาเล่าในเชิงยกย่องสรรเสริญและบทกวีบทที่หกนี้ เป็นการสรรเสริญ ‘จิงเคอ’ ซึ่งก็คือหนึ่งในมือสังหารที่มีชื่อที่สุดของจีน ถูกส่งไปลอบสังหารจิ๋นซีฮ่องเต้ในช่วงก่อนรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันสำเร็จ (คือต้นแบบของนักฆ่านิรนาม ‘อู๋หมิง’ ในภาพยนต์เรื่อง <Hero> ปี 2002 ของจางอี้โหมวที่เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยได้ดู) ซึ่งการลอบสังหารนั้นอยู่บนความเชื่อที่ว่ากษัตริย์แคว้นฉิ๋นโหดเหี้ยมบ้าอำนาจคิดกวาดล้างทำลายแคว้นอื่น จะทำให้ผู้คนล้มตายบ้านแตกสาแหรกขาดอีกไม่น้อย บทกวีบทที่หกนี้สรุปใจความได้ประมาณว่า จิงเคอร่ำสุราสำราญใจอย่างไม่แคร์ผู้ใด อุปนิสัยใจกล้าองอาจ เป็นคนที่มีเอกลักษณ์ไม่อาจมองข้าม แม้ไม่ใช่คนจากสังคมชั้นสูงแต่กลับมีคุณค่ามากมายเพราะสละชีพเพื่อผองชน และในสายตาของจิงเคอแล้วนั้น พวกตระกูลขุนนางชั้นสูงไม่มีคุณค่าใด บทกวีนี้จึงไม่เพียงสรรเสริญจิงเคอหากยังเสียดสีถึงคนจากสังคมชั้นสูงในสมัยนั้นอีกด้วย“ผู้สูงศักดิ์แม้มองตนสูงค่า กลับต่ำต้อยเยี่ยงธุลีดิน คนต่ำต้อยแม้ด้อยค่าตนเอง ทว่าน้ำหนักดุจพันจวิน” วลีสี่วรรคนี้ที่เหยียนซิ่งกล่าวในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> โดยในซีรีส์สมมุติไว้ว่านี่เป็นประโยคที่พานฉือแต่งขึ้น จึงเป็นการเท้าความถึงตอนที่พานฉือเดินทางเข้ากรุงใหม่ๆ ยังเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์และความเชื่อมั่นอันแรงกล้า และเป็นการปลอบใจให้พานฉืออย่าได้ท้อใจในอุปสรรคที่ได้พบเจอ เพราะคุณค่าของคนอยู่ที่ตนเอง ไม่ใช่จากพื้นเพชาติตระกูล(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545http://zhld.com/zkwb/html/2017-04/21/content_7602721.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:http://zhld.com/zkwb/html/2017-04/21/content_7602721.htm https://m.guoxuedashi.net/shici/81367k.html https://www.gushiwen.cn/mingju/juv_d4a0651f3a21.aspxhttps://baike.baidu.com/item/左思/582418 #ทำนองรักกังวานแดนดิน #วลีจีน #จั่วซือ #บทกวีจีนโบราณ #จิงเคอ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 562 มุมมอง 0 รีวิว
  • หานเหมิน ตระกูลขุนนาง 'ชั้นสอง' สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดู <ทำนองรักกังวานแดนดิน> คงจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่พระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่หรือที่เรียกว่า ‘หานเหมิน’ (寒门) จริงๆ แล้วบทความที่เหยียนซิ่นกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน ไว้ Storyฯ จะทยอยมาเล่าต่อ แต่ที่วันนี้จะคุยกันคือคำว่า ‘หานเหมิน’ นี้ปัจจุบันคำว่า ‘หานเหมิน’ หมายถึงคนที่มีฐานะยากจน (‘หาน’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าหนาวมากแต่หมายถึงแร้นแค้นยากจน และ ‘เหมิน’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าประตูแต่หมายถึงครอบครัวหรือตระกูล) และในหลายซีรีส์ที่มีการสอบราชบัณฑิตก็ดูจะสะท้อนถึงเหล่าบัณฑิตยากไร้ที่พยายามมาสอบเพื่อสร้างอนาคตให้กับตนเอง Storyฯ ไม่ได้ดูว่าละครซับไทยหรือพากย์ไทยแปลมันไว้ว่าอย่างไร แต่จริงๆ แล้ว ‘หานเหมิน’ ในบริบทจีนโบราณแรกเริ่มเลยไม่ได้หมายถึงคนจน เพราะคำว่า ‘เหมิน’ จะใช้เรียกตระกูลที่มีกำลังทรัพย์และอิทธิพลเท่านั้น ไม่ได้เรียกครอบครัวชาวบ้านธรรมดา เราลองมาดูกันสักสองตัวอย่างตัวอย่างแรกคือเผยเหวินเซวียน พระเอกจากเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> ที่ถูกองค์หญิงหลี่หรงเรียกว่ามาจากตระกูล ‘หานเหมิน’ ซึ่งพื้นเพของเขาคือ มาจากตระกูลที่ไม่เคยมีรับตำแหน่งสูงเกินขั้นที่ห้า แต่ก็จัดเป็นตระกูลอยู่ดีกินดี (อนึ่ง ตำแหน่งขุนนางในอดีตเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดไปตามยุคสมัยแต่โดยกรอบใหญ่การแบ่งขุนนางส่วนกลางเป็นเก้าขั้น หรือ ‘จิ๋วผิ่น’ (九品) มีมายาวนานร่วมสองพันปี) จวบจนบิดาได้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่นำพาให้คนในตระกูลมีโอกาสย้ายเข้ามารับราชการอยู่ในเมืองหลวงอีกตัวอย่างหนึ่งคือพานฉือจากเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีรายละเอียดในซีรีส์มากน้อยแค่ไหน แต่ในบทนิยายเดิมพื้นเพของเขาคือมาจากครอบครัวข้าราชการมีหน้ามีตาระดับท้องถิ่น บิดาเป็นผู้บัญชาการทหารระดับสูง จัดเป็นตระกูลที่อยู่ดีกินดี แต่เขาอยากเห็นคนที่ไม่ได้มีอิทธิพลหนุนหลังสามารถฝ่าฟันอุปสรรคเข้าไปสู่ตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของส่วนกลางได้โดยผ่านการสอบราชบัณฑิต เขาถูกเรียกว่ามาจาก ‘หานเหมิน’ เช่นกันจากสองตัวอย่างนี้ เพื่อนเพจคงพอเดาได้แล้วว่าความหมายดั้งเดิมของ ‘หานเหมิน’ หมายถึงตระกูลขุนนางที่อิทธิพลเสื่อมถอย ไม่ได้มีอำนาจผงาดอยู่ในราชสำนัก แต่ก็จัดเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาพอประมาณและมีอันจะกินพอที่ลูกหลานจะมีการศึกษาที่ดี ไม่ใช่คนยากจนสิ้นไร้ไม้ตอก หลายครั้งถูกมองว่าเป็นตระกูลขุนนาง 'ชั้นสอง' หรือ Tier 2แล้วตระกูลขุนนาง 'ชั้นหนึ่ง' หรือ Tier 1 คืออะไร? คำตอบคือ ‘สื้อเจีย’ (世家) ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเมื่อนานมาแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/373292221465743 และ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/378258494302449) ซึ่งโดยสรุปคือหมายถึงตระกูลขุนนางระดับสูงอันเก่าแก่ คนในตระกูลรับตำแหน่งขุนนางระดับสูงถึงสูงที่สุดต่อเนื่องมาหลายชั่วอายุคน ตระกูลเหล่านี้มีอิทธิพลทางการเมืองสูง (และอิทธิพลทางสังคมด้านอื่นๆ ด้วย) และในสมัยโบราณตระกูลเหล่านี้สามารถยื่นฎีกาเสนอชื่อคนในตระกูลเข้ารับตำแหน่งขุนนางได้เลย ดังนั้นในสายตาของชาวสื้อเจียที่มียศอำนาจสูงมาตลอดแล้วนั้น คนจากหานเหมินจึงต่ำต้อยกว่าเพราะมีเพียงครั้งคราวที่มีโอกาสได้รับตำแหน่งใหญ่หรืออาจเป็นเพียงตระกูลที่ ‘เคยมี’ การสอบราชบัณฑิตจึงเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ได้มาจากตระกูลสื้อเจียสามารถเข้ามาช่วงชิงตำแหน่งทางการเมืองได้ผ่านความรู้ความสามารถของตน แต่แน่นอนว่าหนทางนี้ไม่ได้ง่าย อย่างที่เราเห็นในหลายซีรีส์ถึงความพยายามของเหล่ากลุ่มอำนาจที่จะพยายามดำรงไว้ซึ่งอำนาจ และ Storyฯ คิดว่าเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> สะท้อนประเด็นความขัดแย้งนี้ออกมาได้ดีมาก และองค์หญิงหลี่หรงเองเคยถกถึงข้อดีข้อเสียของการรับคนจากสื้อเจียบรรจุเข้าเป็นขุนนางโดยไม่ผ่านการสอบแข่งขันด้วยการสอบราชบัณฑิตได้รับการพัฒนาถึงขีดสุดในสมัยซ่งและในยุคสมัยนี้เองที่เหล่าสื้อเจียถูกริดรอนอำนาจจนเสื่อมหายไปในที่สุด เมื่อไม่มีสื้อเจียตระกูลขุนนางชั้นหนึ่งก็ไม่มีหานเหมินตระกูลขุนนางชั้นสอง และต่อมาคำว่า ‘หานเหมิน’ จึงถูกใช้เรียกคนยากจนสัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อถึงวลีจีนที่เหยียนซิ่นใช้ปลอบพานฉือที่กล่าวถึงในย่อหน้าแรกค่ะ(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545https://business.china.com/ent/13004728/20240625/46749263.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://www.sohu.com/a/249182333_100121516 https://www.163.com/dy/article/HQT63VVA05561H1M.html https://www.sohu.com/a/576151365_121252035 https://www.lishirenwu.com/jiangxianggushi/58427.html #ทำนองรักกังวานแดนดิน #องค์หญิงใหญ่ #หานเหมิน #สื้อเจีย #ตระกูลขุนนางจีน #สาระจีน
    หานเหมิน ตระกูลขุนนาง 'ชั้นสอง' สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดู <ทำนองรักกังวานแดนดิน> คงจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่พระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่หรือที่เรียกว่า ‘หานเหมิน’ (寒门) จริงๆ แล้วบทความที่เหยียนซิ่นกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน ไว้ Storyฯ จะทยอยมาเล่าต่อ แต่ที่วันนี้จะคุยกันคือคำว่า ‘หานเหมิน’ นี้ปัจจุบันคำว่า ‘หานเหมิน’ หมายถึงคนที่มีฐานะยากจน (‘หาน’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าหนาวมากแต่หมายถึงแร้นแค้นยากจน และ ‘เหมิน’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าประตูแต่หมายถึงครอบครัวหรือตระกูล) และในหลายซีรีส์ที่มีการสอบราชบัณฑิตก็ดูจะสะท้อนถึงเหล่าบัณฑิตยากไร้ที่พยายามมาสอบเพื่อสร้างอนาคตให้กับตนเอง Storyฯ ไม่ได้ดูว่าละครซับไทยหรือพากย์ไทยแปลมันไว้ว่าอย่างไร แต่จริงๆ แล้ว ‘หานเหมิน’ ในบริบทจีนโบราณแรกเริ่มเลยไม่ได้หมายถึงคนจน เพราะคำว่า ‘เหมิน’ จะใช้เรียกตระกูลที่มีกำลังทรัพย์และอิทธิพลเท่านั้น ไม่ได้เรียกครอบครัวชาวบ้านธรรมดา เราลองมาดูกันสักสองตัวอย่างตัวอย่างแรกคือเผยเหวินเซวียน พระเอกจากเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> ที่ถูกองค์หญิงหลี่หรงเรียกว่ามาจากตระกูล ‘หานเหมิน’ ซึ่งพื้นเพของเขาคือ มาจากตระกูลที่ไม่เคยมีรับตำแหน่งสูงเกินขั้นที่ห้า แต่ก็จัดเป็นตระกูลอยู่ดีกินดี (อนึ่ง ตำแหน่งขุนนางในอดีตเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดไปตามยุคสมัยแต่โดยกรอบใหญ่การแบ่งขุนนางส่วนกลางเป็นเก้าขั้น หรือ ‘จิ๋วผิ่น’ (九品) มีมายาวนานร่วมสองพันปี) จวบจนบิดาได้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่นำพาให้คนในตระกูลมีโอกาสย้ายเข้ามารับราชการอยู่ในเมืองหลวงอีกตัวอย่างหนึ่งคือพานฉือจากเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีรายละเอียดในซีรีส์มากน้อยแค่ไหน แต่ในบทนิยายเดิมพื้นเพของเขาคือมาจากครอบครัวข้าราชการมีหน้ามีตาระดับท้องถิ่น บิดาเป็นผู้บัญชาการทหารระดับสูง จัดเป็นตระกูลที่อยู่ดีกินดี แต่เขาอยากเห็นคนที่ไม่ได้มีอิทธิพลหนุนหลังสามารถฝ่าฟันอุปสรรคเข้าไปสู่ตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของส่วนกลางได้โดยผ่านการสอบราชบัณฑิต เขาถูกเรียกว่ามาจาก ‘หานเหมิน’ เช่นกันจากสองตัวอย่างนี้ เพื่อนเพจคงพอเดาได้แล้วว่าความหมายดั้งเดิมของ ‘หานเหมิน’ หมายถึงตระกูลขุนนางที่อิทธิพลเสื่อมถอย ไม่ได้มีอำนาจผงาดอยู่ในราชสำนัก แต่ก็จัดเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาพอประมาณและมีอันจะกินพอที่ลูกหลานจะมีการศึกษาที่ดี ไม่ใช่คนยากจนสิ้นไร้ไม้ตอก หลายครั้งถูกมองว่าเป็นตระกูลขุนนาง 'ชั้นสอง' หรือ Tier 2แล้วตระกูลขุนนาง 'ชั้นหนึ่ง' หรือ Tier 1 คืออะไร? คำตอบคือ ‘สื้อเจีย’ (世家) ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเมื่อนานมาแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/373292221465743 และ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/378258494302449) ซึ่งโดยสรุปคือหมายถึงตระกูลขุนนางระดับสูงอันเก่าแก่ คนในตระกูลรับตำแหน่งขุนนางระดับสูงถึงสูงที่สุดต่อเนื่องมาหลายชั่วอายุคน ตระกูลเหล่านี้มีอิทธิพลทางการเมืองสูง (และอิทธิพลทางสังคมด้านอื่นๆ ด้วย) และในสมัยโบราณตระกูลเหล่านี้สามารถยื่นฎีกาเสนอชื่อคนในตระกูลเข้ารับตำแหน่งขุนนางได้เลย ดังนั้นในสายตาของชาวสื้อเจียที่มียศอำนาจสูงมาตลอดแล้วนั้น คนจากหานเหมินจึงต่ำต้อยกว่าเพราะมีเพียงครั้งคราวที่มีโอกาสได้รับตำแหน่งใหญ่หรืออาจเป็นเพียงตระกูลที่ ‘เคยมี’ การสอบราชบัณฑิตจึงเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ได้มาจากตระกูลสื้อเจียสามารถเข้ามาช่วงชิงตำแหน่งทางการเมืองได้ผ่านความรู้ความสามารถของตน แต่แน่นอนว่าหนทางนี้ไม่ได้ง่าย อย่างที่เราเห็นในหลายซีรีส์ถึงความพยายามของเหล่ากลุ่มอำนาจที่จะพยายามดำรงไว้ซึ่งอำนาจ และ Storyฯ คิดว่าเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> สะท้อนประเด็นความขัดแย้งนี้ออกมาได้ดีมาก และองค์หญิงหลี่หรงเองเคยถกถึงข้อดีข้อเสียของการรับคนจากสื้อเจียบรรจุเข้าเป็นขุนนางโดยไม่ผ่านการสอบแข่งขันด้วยการสอบราชบัณฑิตได้รับการพัฒนาถึงขีดสุดในสมัยซ่งและในยุคสมัยนี้เองที่เหล่าสื้อเจียถูกริดรอนอำนาจจนเสื่อมหายไปในที่สุด เมื่อไม่มีสื้อเจียตระกูลขุนนางชั้นหนึ่งก็ไม่มีหานเหมินตระกูลขุนนางชั้นสอง และต่อมาคำว่า ‘หานเหมิน’ จึงถูกใช้เรียกคนยากจนสัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อถึงวลีจีนที่เหยียนซิ่นใช้ปลอบพานฉือที่กล่าวถึงในย่อหน้าแรกค่ะ(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545https://business.china.com/ent/13004728/20240625/46749263.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://www.sohu.com/a/249182333_100121516 https://www.163.com/dy/article/HQT63VVA05561H1M.html https://www.sohu.com/a/576151365_121252035 https://www.lishirenwu.com/jiangxianggushi/58427.html #ทำนองรักกังวานแดนดิน #องค์หญิงใหญ่ #หานเหมิน #สื้อเจีย #ตระกูลขุนนางจีน #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 618 มุมมอง 0 รีวิว

  • กาดนัดป่างิ้ว

    วันพุธ+วันอาทิตย์ ตลาดใหญ่..เก่าแก่ ริมปิง มีมานานแล้ว อยู่ใต้สะพานวัดป่างิ้ว ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จอดรถหน้าวัดได้ เป็นกาดนัด(ของแท้) เกษตรกร ผลิตผลจากสวน-ชาวบ้าน ขายกันถูกๆ..ราคาบ้านๆ 16.00-20.00น.
    https://maps.app.goo.gl/Ls21jtLJNwScZJrE7

    ข้าวกั๊นจี๊น ขนมเบื้อง ขนมลา ถั่วดินต้ม น้ำพริก อาหารเหนือ น้ำตาลมะพร้าว ปลาทูแห้งจากแม่กลอง แหนม หมูยอ มะพร้าวอ่อน พริก หอม กระเทียม ข้าวโพดต้ม ไก่ปิ้ง ไก่ย่าง เห็ดถอบ ว่าน-ไม้มงคล ผักสด-ผลไม้สด ขนมไทย ห่อนึ่ง ลำไย น้ำพริกน้ำปู๋ หน่อไม้ กุ้ยช่ายทอด-นึ่ง น้ำผึ้งแท้ รังผึ้ง ตั๊กแตนปาทังก้า ข้าวเงี๊ยว

    การเดินทาง

    เส้นทางที่ 1
    ค่อนข้างไกลจากบ้านและตัวเมืองเชียงใหม่ คือ บ้านฉันอยู่ริมถนนห้วยแก้ว หน้า ม.เชียงใหม่ ขับรถเข้าสี่แยกเชียงใหม่ภูคำ วิ่งมาทางทิศใต้เลียบถนนชลประทาน..ยาวๆตลอด ถึงสามแยกตลาดแม่เหียะ(รอบเมือง2) เลี้ยวซ้ายเข้า ถนนรอบเมือง2 (สมโภชเชียงใหม่700ปี) แล้ว**ชิดซ้าย**เพื่อเข้าถนนเชียงใหม่-ลำพูน(สายเก่า) วี่งไปยาวๆ ไปข้ามน้ำปิงที่ "สะพานป่าแดด-ท่าวังตาล" ลงสะพานเลี้ยวขวา ถึงวัดป่างิ้ว จอดรถได้ที่หน้าวัด(ระยะทาง 17.1 กิโลเมตร-26นาที)

    เส้นทางที่ 2
    ถ้าอยู่บ้านที่ท่าแพซอย4 ให้ขับรถเข้า ถนนช้างคลาน ลงมาทางใต้ ตรงๆ..ยาวๆ ไปข้ามน้ำปิงที่ "สะพานป่าแดด-ท่าวังตาล" ลงสะพานเลี้ยวขวา ถึงวัดป่างิ้ว จอดรถได้ที่หน้าวัด(ระยะทาง 9.7 กิโลเมตร-20นาที)

    อ้างอิง : Google Map









    กาดนัดป่างิ้ว วันพุธ+วันอาทิตย์ ตลาดใหญ่..เก่าแก่ ริมปิง มีมานานแล้ว อยู่ใต้สะพานวัดป่างิ้ว ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จอดรถหน้าวัดได้ เป็นกาดนัด(ของแท้) เกษตรกร ผลิตผลจากสวน-ชาวบ้าน ขายกันถูกๆ..ราคาบ้านๆ 16.00-20.00น. https://maps.app.goo.gl/Ls21jtLJNwScZJrE7 ข้าวกั๊นจี๊น ขนมเบื้อง ขนมลา ถั่วดินต้ม น้ำพริก อาหารเหนือ น้ำตาลมะพร้าว ปลาทูแห้งจากแม่กลอง แหนม หมูยอ มะพร้าวอ่อน พริก หอม กระเทียม ข้าวโพดต้ม ไก่ปิ้ง ไก่ย่าง เห็ดถอบ ว่าน-ไม้มงคล ผักสด-ผลไม้สด ขนมไทย ห่อนึ่ง ลำไย น้ำพริกน้ำปู๋ หน่อไม้ กุ้ยช่ายทอด-นึ่ง น้ำผึ้งแท้ รังผึ้ง ตั๊กแตนปาทังก้า ข้าวเงี๊ยว การเดินทาง เส้นทางที่ 1 ค่อนข้างไกลจากบ้านและตัวเมืองเชียงใหม่ คือ บ้านฉันอยู่ริมถนนห้วยแก้ว หน้า ม.เชียงใหม่ ขับรถเข้าสี่แยกเชียงใหม่ภูคำ วิ่งมาทางทิศใต้เลียบถนนชลประทาน..ยาวๆตลอด ถึงสามแยกตลาดแม่เหียะ(รอบเมือง2) เลี้ยวซ้ายเข้า ถนนรอบเมือง2 (สมโภชเชียงใหม่700ปี) แล้ว**ชิดซ้าย**เพื่อเข้าถนนเชียงใหม่-ลำพูน(สายเก่า) วี่งไปยาวๆ ไปข้ามน้ำปิงที่ "สะพานป่าแดด-ท่าวังตาล" ลงสะพานเลี้ยวขวา ถึงวัดป่างิ้ว จอดรถได้ที่หน้าวัด(ระยะทาง 17.1 กิโลเมตร-26นาที) เส้นทางที่ 2 ถ้าอยู่บ้านที่ท่าแพซอย4 ให้ขับรถเข้า ถนนช้างคลาน ลงมาทางใต้ ตรงๆ..ยาวๆ ไปข้ามน้ำปิงที่ "สะพานป่าแดด-ท่าวังตาล" ลงสะพานเลี้ยวขวา ถึงวัดป่างิ้ว จอดรถได้ที่หน้าวัด(ระยะทาง 9.7 กิโลเมตร-20นาที) อ้างอิง : Google Map
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับฉลากเอฟเอคัพ ยักษ์ชนยักษ์ (03/12/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #เอฟเอคัพ #ฟุตบอลเก่าแก่อังกฤษ #ถ้วยเอฟเอคัพ
    จับฉลากเอฟเอคัพ ยักษ์ชนยักษ์ (03/12/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #เอฟเอคัพ #ฟุตบอลเก่าแก่อังกฤษ #ถ้วยเอฟเอคัพ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 937 มุมมอง 68 0 รีวิว
  • กับปรากฏการณ์ข่าวฉาวๆที่กลายเป็นไวรัลและได้รับการจับจ้องติดตามกระแสกันอย่างต่อเนื่อง เวลานี้คงไม่พ้นประเด็นข่าวเทาๆของผู้มีชื่อเสียงที่ติดร่างแหถูกฟ้องร้องในคดีความร้อนๆอยู่อีกหลายคดี จะถูกหรือผิดยังคงต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสินจึงไม่ขอก้าวล่วง

    แต่จะขอนำประเด็นอีกมุมมองหนึ่งเพื่อวิเคราะห์ถึงข่าวฉาวๆเทาๆว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่กระแสพลังดาวประจำยุคกับกระแสพลังดาวประจำปีจรที่สอดรับกับผังภูมิ 8 ทิศ“八卦”(โป๊ยข่วย) จะส่งอิทธิพลกระทบจนเกิดปรากฏการณ์ในครั้งนี้

    ในปีพ.ศ.2567 นี้ เข้าสู่ยุคที่ 9 มีดาว 5 สถิตที่ภูมิ 7 จึงขออนุญาตนำ“易经”(อี้จิง) ศาสตร์วิชาตำราอันเก่าแก่ของจีนมาอรรถาธิบายความเป็นไปตามลักษณะ Keyword ดังนี้

    ยุค 9 หรือ ดาวเก้าม่วง“九紫”(เก๋าจี้) ดาวชื่อเสียง เกียรติยศ ประจำที่ภูมิทิศใต้ “离卦”(ลี้ข่วย) ธาตุไฟ สัญลักษณ์คือ พระอาทิตย์ ลักษณะทั่วไปคือ แสงสว่าง เปิดเผย

    ดาว 5 หรือ ดาวห้าเหลือง“五黃”(โหงวอึ๊ง) ดาววิบาก ประจำที่ภูมิกลาง ธาตุดิน ลักษณะทั่วไปหมายถึง ผิดกฎหมาย ฟ้องร้อง คดีความ เอาแต่ใจตัวเอง คิดเป็นใหญ่เกินตัว กระทำการเกินปกติ สร้างความเสียหายถึงลูกหลานและบริวาร

    ภูมิ 7 หรือ ดาวเจ็ดแสด“七赤”(ชิ๊กเฉียะ) ดาวแตกหัก ขัดแย้ง ประจำที่ภูมิทิศตะวันตก“兑卦”(ต่วยข่วย) ธาตุทอง ลักษณะอาชีพคือ ทนายความ ที่ปรึกษาทางกฎหมาย ประชาสัมพันธ์ นักการเมือง นักขาย นักพูด นักบรรยาย แพทย์ ดารา พิธีกร หมอดู หมอดูฮวงจุ้ย ฯลฯ

    โดยสามารถอรรถาธิบายได้ว่า ในปีพ.ศ.2567 นี้ ผู้ที่มีชื่อเสียงเกียรติยศในแวดวง ทนายความ ที่ปรึกษาทางกฎหมาย ประชาสัมพันธ์ นักการเมือง นักขาย นักพูด นักบรรยาย แพทย์ ดารา พิธีกร หมอดู หมอดูฮวงจุ้ย ฯลฯ ที่ประพฤติผิดนอกลู่นอกทางหรือมีธุรกรรมอำพรางปกปิด จะถูกเปิดเผยฟ้องร้องฟ้องศาลจนเป็นคดีความติดตัว สร้างความเสียหายให้แก่คนรอบข้างแม้แต่ลูกหลานและบริวาร

    ดั่ง“ดวงดาวพิสูจน์ฟ้า กาลเวลาพิสูจน์คน” หากครองตนบนความซื่อสัตย์ เปิดเผย ซื่อตรง มีคุณธรรมและจริยธรรม ยึดประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ไม่ว่าจะสวมบทบาทอาชีพใดก็ตาม อาทิตย์ย่อมฉายแสงส่องสว่างถึงคุณงามความดีให้ปรากฏบนเวทีในยุคที่ 9 นี้
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    กับปรากฏการณ์ข่าวฉาวๆที่กลายเป็นไวรัลและได้รับการจับจ้องติดตามกระแสกันอย่างต่อเนื่อง เวลานี้คงไม่พ้นประเด็นข่าวเทาๆของผู้มีชื่อเสียงที่ติดร่างแหถูกฟ้องร้องในคดีความร้อนๆอยู่อีกหลายคดี จะถูกหรือผิดยังคงต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสินจึงไม่ขอก้าวล่วง แต่จะขอนำประเด็นอีกมุมมองหนึ่งเพื่อวิเคราะห์ถึงข่าวฉาวๆเทาๆว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่กระแสพลังดาวประจำยุคกับกระแสพลังดาวประจำปีจรที่สอดรับกับผังภูมิ 8 ทิศ“八卦”(โป๊ยข่วย) จะส่งอิทธิพลกระทบจนเกิดปรากฏการณ์ในครั้งนี้ ในปีพ.ศ.2567 นี้ เข้าสู่ยุคที่ 9 มีดาว 5 สถิตที่ภูมิ 7 จึงขออนุญาตนำ“易经”(อี้จิง) ศาสตร์วิชาตำราอันเก่าแก่ของจีนมาอรรถาธิบายความเป็นไปตามลักษณะ Keyword ดังนี้ ยุค 9 หรือ ดาวเก้าม่วง“九紫”(เก๋าจี้) ดาวชื่อเสียง เกียรติยศ ประจำที่ภูมิทิศใต้ “离卦”(ลี้ข่วย) ธาตุไฟ สัญลักษณ์คือ พระอาทิตย์ ลักษณะทั่วไปคือ แสงสว่าง เปิดเผย ดาว 5 หรือ ดาวห้าเหลือง“五黃”(โหงวอึ๊ง) ดาววิบาก ประจำที่ภูมิกลาง ธาตุดิน ลักษณะทั่วไปหมายถึง ผิดกฎหมาย ฟ้องร้อง คดีความ เอาแต่ใจตัวเอง คิดเป็นใหญ่เกินตัว กระทำการเกินปกติ สร้างความเสียหายถึงลูกหลานและบริวาร ภูมิ 7 หรือ ดาวเจ็ดแสด“七赤”(ชิ๊กเฉียะ) ดาวแตกหัก ขัดแย้ง ประจำที่ภูมิทิศตะวันตก“兑卦”(ต่วยข่วย) ธาตุทอง ลักษณะอาชีพคือ ทนายความ ที่ปรึกษาทางกฎหมาย ประชาสัมพันธ์ นักการเมือง นักขาย นักพูด นักบรรยาย แพทย์ ดารา พิธีกร หมอดู หมอดูฮวงจุ้ย ฯลฯ โดยสามารถอรรถาธิบายได้ว่า ในปีพ.ศ.2567 นี้ ผู้ที่มีชื่อเสียงเกียรติยศในแวดวง ทนายความ ที่ปรึกษาทางกฎหมาย ประชาสัมพันธ์ นักการเมือง นักขาย นักพูด นักบรรยาย แพทย์ ดารา พิธีกร หมอดู หมอดูฮวงจุ้ย ฯลฯ ที่ประพฤติผิดนอกลู่นอกทางหรือมีธุรกรรมอำพรางปกปิด จะถูกเปิดเผยฟ้องร้องฟ้องศาลจนเป็นคดีความติดตัว สร้างความเสียหายให้แก่คนรอบข้างแม้แต่ลูกหลานและบริวาร ดั่ง“ดวงดาวพิสูจน์ฟ้า กาลเวลาพิสูจน์คน” หากครองตนบนความซื่อสัตย์ เปิดเผย ซื่อตรง มีคุณธรรมและจริยธรรม ยึดประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ไม่ว่าจะสวมบทบาทอาชีพใดก็ตาม อาทิตย์ย่อมฉายแสงส่องสว่างถึงคุณงามความดีให้ปรากฏบนเวทีในยุคที่ 9 นี้ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลวงพ่อใหญ่ ชื่อเดิมของพระพุทธชินราชถ้าพูดถึงจังหวัดพิษณุโลกแน่นอนที่สุดเราจะนึกถึงพระพุทธชินราชพระเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองประดิษฐานอยู่ที่ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหารแต่เดิมมีชื่อว่าวัดใหญ่ ในอดีตชาวบ้านจึงเรียกพระพุทธชินราชว่า "หลวงพ่อใหญ่"พระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย อายุกว่า 663 ปี เป็นงานฝีมือช่างจากเมืองแห่งศรีสัชนาลัย และเมืองหริภุญชัย หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง 5 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว และสูง 7 ศอก สร้างขึ้นมาพร้อมๆการสร้างเมือง และสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ใน พ.ศ. 1900 จากพระราชดำริของพระมหากษัตริย์ผู้ครองกรุงสุโขทัยในสมัยนั้นในอดีตพระพุทธชินราชไม่ได้ลงรักปิดทอง ในปี พ.ศ.2146 สมเด็จพระเอกาทศรถคราวเสด็จพระราชดำเนินมา นมัสการ พระพุทธชินราชจึงได้ และมีการปิดทองครั้งแรกบรรพบุรุษไทยได้สร้างศิลปะอันทรงคุณค่าสืบทอดยาวนานมาให้ลูกหลานได้กราบสักการะบูชา ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของชาวไทย ที่ควรสืบทอดและอนุรักษ์ให้อยู่คู่ประเทศไทยตราบนานเท่านานช้างเรื่องเยอะ!#ช้างเรื่องเยอะ #ช้างชักภาพ #พระพุทธชินราช #พิษณุโลก #วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร #เที่ยวไทย #เทรนวันนี้
    หลวงพ่อใหญ่ ชื่อเดิมของพระพุทธชินราชถ้าพูดถึงจังหวัดพิษณุโลกแน่นอนที่สุดเราจะนึกถึงพระพุทธชินราชพระเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองประดิษฐานอยู่ที่ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหารแต่เดิมมีชื่อว่าวัดใหญ่ ในอดีตชาวบ้านจึงเรียกพระพุทธชินราชว่า "หลวงพ่อใหญ่"พระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย อายุกว่า 663 ปี เป็นงานฝีมือช่างจากเมืองแห่งศรีสัชนาลัย และเมืองหริภุญชัย หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง 5 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว และสูง 7 ศอก สร้างขึ้นมาพร้อมๆการสร้างเมือง และสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ใน พ.ศ. 1900 จากพระราชดำริของพระมหากษัตริย์ผู้ครองกรุงสุโขทัยในสมัยนั้นในอดีตพระพุทธชินราชไม่ได้ลงรักปิดทอง ในปี พ.ศ.2146 สมเด็จพระเอกาทศรถคราวเสด็จพระราชดำเนินมา นมัสการ พระพุทธชินราชจึงได้ และมีการปิดทองครั้งแรกบรรพบุรุษไทยได้สร้างศิลปะอันทรงคุณค่าสืบทอดยาวนานมาให้ลูกหลานได้กราบสักการะบูชา ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของชาวไทย ที่ควรสืบทอดและอนุรักษ์ให้อยู่คู่ประเทศไทยตราบนานเท่านานช้างเรื่องเยอะ!#ช้างเรื่องเยอะ #ช้างชักภาพ #พระพุทธชินราช #พิษณุโลก #วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร #เที่ยวไทย #เทรนวันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 628 มุมมอง 0 รีวิว
  • หากใครแวะเวียนมาแถวตลาดน้อย คงไม่มีใครเดินผ่านร้านเป็ดตุ๋นเจ้าท่าไปเฉยๆ เป็นแน่ เพราะร้านนี้เปิดมายาวนานเกือบ 50 ปีแล้ว เจ้าของมีสูตรความอร่อยมาจากการช่วยคุณน้าทำเป็ดต้มพะโล้ไหว้เจ้าตอนยังเด็ก และพัฒนาสูตรขึ้นมาด้วยตัวเอง มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และใช้เวลา จนทำให้เป็ดพะโล้ของเจ้านี้โดดเด่นไม่เหมือนใคร เมนูเด็ดที่พลาดไม่ได้ของร้านนี้คือ เป็ดพะโล้ และหมี่ผัดกระเฉด ที่อร่อยไม่แพ้กัน ราคาเริ่มต้นเพียง 60 บาท เท่านั้น เป็นร้านเก่าแก่อีกหนึ่งร้านในย่านนี้ที่ควรมาลอง

    พิกัด : https://goo.gl/maps/o8Nu31MKEZGP51SZ6
    ที่อยู่ : 945 ซอยวานิช 2 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร
    ร้านเปิดบริการ : 08.30 - 15.30 น.

    #อาหารเช้ากรุงเทพฯ #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    หากใครแวะเวียนมาแถวตลาดน้อย คงไม่มีใครเดินผ่านร้านเป็ดตุ๋นเจ้าท่าไปเฉยๆ เป็นแน่ เพราะร้านนี้เปิดมายาวนานเกือบ 50 ปีแล้ว เจ้าของมีสูตรความอร่อยมาจากการช่วยคุณน้าทำเป็ดต้มพะโล้ไหว้เจ้าตอนยังเด็ก และพัฒนาสูตรขึ้นมาด้วยตัวเอง มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และใช้เวลา จนทำให้เป็ดพะโล้ของเจ้านี้โดดเด่นไม่เหมือนใคร เมนูเด็ดที่พลาดไม่ได้ของร้านนี้คือ เป็ดพะโล้ และหมี่ผัดกระเฉด ที่อร่อยไม่แพ้กัน ราคาเริ่มต้นเพียง 60 บาท เท่านั้น เป็นร้านเก่าแก่อีกหนึ่งร้านในย่านนี้ที่ควรมาลอง พิกัด : https://goo.gl/maps/o8Nu31MKEZGP51SZ6 ที่อยู่ : 945 ซอยวานิช 2 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ร้านเปิดบริการ : 08.30 - 15.30 น. #อาหารเช้ากรุงเทพฯ #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 668 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้านเก่าแก่อายุกว่า 80 ปี ที่กลายเป็นขวัญใจวัยรุ่น ออน ล๊อก หยุ่น ถือเป็นร้านเบรกฟาสต์ขวัญใจวัยรุ่นหลังวังขนาดที่เล่าลือกันว่า แดง ไบเล่ย์ เซเลบแห่งพระนครก็เคยฝากท้องกับร้านนี้อยู่เป็นประจำ จุดเด่นของร้านนี้คือการไม่เปลี่ยนแปลงร้าน ให้คงความเก่าและเก๋าเอาไว้เช่นเคย แถมด้วยอาหารเช้าที่กินง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็น ชุด ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก เบคอน กุนเชียง, ขนมปังชุบไข่, ขนมปังปิ้งจิ้มสังขยารสเด็ด เป็นอีกร้านเก่าแก่บนถนนเจริญกรุง ที่ควรค่าแก่การมาลอง

    พิกัด : https://goo.gl/maps/VvPvzdpDR62bUz7o7
    ที่อยู่ : 72 ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
    ร้านเปิดบริการ : 06.00-14.30 น.

    #อาหารเช้ากรุงเทพฯ #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    ร้านเก่าแก่อายุกว่า 80 ปี ที่กลายเป็นขวัญใจวัยรุ่น ออน ล๊อก หยุ่น ถือเป็นร้านเบรกฟาสต์ขวัญใจวัยรุ่นหลังวังขนาดที่เล่าลือกันว่า แดง ไบเล่ย์ เซเลบแห่งพระนครก็เคยฝากท้องกับร้านนี้อยู่เป็นประจำ จุดเด่นของร้านนี้คือการไม่เปลี่ยนแปลงร้าน ให้คงความเก่าและเก๋าเอาไว้เช่นเคย แถมด้วยอาหารเช้าที่กินง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็น ชุด ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก เบคอน กุนเชียง, ขนมปังชุบไข่, ขนมปังปิ้งจิ้มสังขยารสเด็ด เป็นอีกร้านเก่าแก่บนถนนเจริญกรุง ที่ควรค่าแก่การมาลอง พิกัด : https://goo.gl/maps/VvPvzdpDR62bUz7o7 ที่อยู่ : 72 ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ร้านเปิดบริการ : 06.00-14.30 น. #อาหารเช้ากรุงเทพฯ #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 571 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัดนี้เกี่ยวข้องอะไรกับพระสุพรรณกัลยา? วัดน้ำฮู เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองปาย ตั้งอยู่ที่ บ้านน้ำฮู ต.เวียงใต้ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน  ความเป็นมาของวัดน้ำฮูนั้น ไม่ปรากฏบันทึกการสร้างชัดเจน แต่เชื่อกันว่าน่าจะสร้างโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา ซึ่งได้เสด็จไปเป็นตัวประกันที่พม่าแทนพระองค์ แต่ต่อมาได้ถูกปลงพระชนม์ที่พม่านั่นเอง และบรรจุเส้นพระเกศาไว้ในพระเจดีย์สีทองที่อยู่หลังวิหารของวัดน้ำฮูแห่งนี้ใครมาเที่ยวปายแนะนำมากราบนมัสการกันนะครับ ลุงช้างหญ่าย | ช้างเรื่องเยอะ #ช้างเรื่องเยอะ #ลุงช้างหญ่าย #พระสุพรรณกัลยา #วัดน้ำฮู #ปายแม่ฮ่องสอน
    วัดนี้เกี่ยวข้องอะไรกับพระสุพรรณกัลยา? วัดน้ำฮู เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองปาย ตั้งอยู่ที่ บ้านน้ำฮู ต.เวียงใต้ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน  ความเป็นมาของวัดน้ำฮูนั้น ไม่ปรากฏบันทึกการสร้างชัดเจน แต่เชื่อกันว่าน่าจะสร้างโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา ซึ่งได้เสด็จไปเป็นตัวประกันที่พม่าแทนพระองค์ แต่ต่อมาได้ถูกปลงพระชนม์ที่พม่านั่นเอง และบรรจุเส้นพระเกศาไว้ในพระเจดีย์สีทองที่อยู่หลังวิหารของวัดน้ำฮูแห่งนี้ใครมาเที่ยวปายแนะนำมากราบนมัสการกันนะครับ ลุงช้างหญ่าย | ช้างเรื่องเยอะ #ช้างเรื่องเยอะ #ลุงช้างหญ่าย #พระสุพรรณกัลยา #วัดน้ำฮู #ปายแม่ฮ่องสอน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 506 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัดเชียงแสน อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ แหล่งโบราณเก่าแก่ก่อนประวัติศาสตร์ 3000 ปี
    วัดเชียงแสน อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ แหล่งโบราณเก่าแก่ก่อนประวัติศาสตร์ 3000 ปี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • Haaretz หนังสือพิมพ์ที่เก่าแก่ที่สุดของอิสราเอลรายงานว่า:
    ทรัมป์จะเสนอให้เนทันยาฮูยุติสงครามในกาซา หากเขาปฏิเสธข้อเสนอนี้ ทรัมป์อาจจะตัดความช่วยเหลือที่มีต่ออิสราเอล เนื่องจากที่ผ่านมาต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อปกป้องอิสราเอลไว้
    Haaretz หนังสือพิมพ์ที่เก่าแก่ที่สุดของอิสราเอลรายงานว่า: ทรัมป์จะเสนอให้เนทันยาฮูยุติสงครามในกาซา หากเขาปฏิเสธข้อเสนอนี้ ทรัมป์อาจจะตัดความช่วยเหลือที่มีต่ออิสราเอล เนื่องจากที่ผ่านมาต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อปกป้องอิสราเอลไว้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบื่อหาดใหญ่ ไปอลอร์สตาร์

    ในขณะที่ชาวมาเลเซียนิยมเข้ามาท่องเที่ยวที่หาดใหญ่ จ.สงขลาอย่างคึกคัก ในทางกลับกันยังมีคนไทยอีกส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะชาวหาดใหญ่ นิยมไปเที่ยวประเทศมาเลเซีย หนึ่งในนั้นคือ อลอร์สตาร์ (Alor Setar) เมืองหลวงของรัฐเคดะห์ (Kedah) หากขับรถไปเองโดยใช้ทางด่วนเหนือ-ใต้ E1 จากด่านบูกิตกายูฮิตัม ตรงข้าม อ.สะเดา จ.สงขลา ระยะทางเพียง 50 กิโลเมตร

    แต่ส่วนมากนิยมเดินทางโดยรถไฟ KTM Komuter จากสถานีปาดังเบซาร์ (Padang Besar) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ค่าโดยสาร 5.70 ริงกิตต่อเที่ยว (ประมาณ 45 บาท) หากเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ นิยมจอดรถที่ด่านปาดังเบซาร์ฝั่งไทย ก่อนไปประทับตราหนังสือเดินทางที่ด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ เปิดเวลา 05.00-21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย กับศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์

    ชาวหาดใหญ่นิยมมาช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้าอะมาน เซ็นทรัล (Aman Central) เนื่องจากมีร้านค้าที่ไม่มีในหาดใหญ่ เช่น ร้าน CHAGEE, ร้าน Krispy Kreme ที่มีโดนัทไซส์เล็ก, ไอศกรีม Llaollao (เหยาเหยา) นอกนั้นก็จะซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ทั้งน้ำหอม สกินแคร์ และวิตามินต่างๆ บางรายการถูกกว่าประเทศไทย

    อะมาน เซ็นทรัล เป็นศูนย์การค้าขนาด 8 ชั้นของกลุ่มเบลล์วิลล์กรุ๊ป เปิดเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2558 มีร้านค้าเช่ารวม 420 ร้าน แมกเนตหลักประกอบด้วย โลตัส (Lotus's) ห้างสรรพสินค้าพาร์คสัน (Parkson) และโรงภาพยนตร์โกลเด้นสกรีนซีนีม่าส์ (GSC)

    ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมประกอบด้วย Menara Alor Setar หอโทรคมนาคม สูง 4 ชั้น ยาว 165.5 เมตร (543 ฟุต) อันดับสามในมาเลเซีย เปิดเมื่อปี 2540 ราคาเข้าชมจุดชมวิวเริ่มต้นที่ 8 ริงกิต, มัสยิดซาฮีร์ (Zahir Mosque) ซึ่งเก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย นอกนั้นก็จะมี Kedah State Art Gallery หอศิลป์แห่งรัฐเคดาห์ ห่างออกไปจะเป็น Kedah Paddy Museum พิพิธภัณฑ์ข้าว

    เคดะห์เป็นรัฐ 5 อันดับแรกในมาเลเซียที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวสูงสุด เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวอย่างเกาะลังกาวี โดยในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 6.45 ล้านคน โดยเมืองอลอร์สตาร์มีโรงแรมให้บริการรวม 2,552 ห้อง ส่วนสนามบินอลอร์สตาร์ (AOR) มีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 588,771 คน มีเที่ยวบินจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์ (KUL) 23 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ สนามบินซูบัง (SZB) 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และสนามบินเซไน รัฐยะโฮร์ (JHB) 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์

    ล่าสุด สายการบินบาติกแอร์ (Batik Air) ประกาศเปิดเส้นทางบินใหม่ กัวลาลัมเปอร์-อลอร์สตาร์ ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 737 ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. 2567 ให้บริการ 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์

    #Newskit #AlorSetar #Kedah
    เบื่อหาดใหญ่ ไปอลอร์สตาร์ ในขณะที่ชาวมาเลเซียนิยมเข้ามาท่องเที่ยวที่หาดใหญ่ จ.สงขลาอย่างคึกคัก ในทางกลับกันยังมีคนไทยอีกส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะชาวหาดใหญ่ นิยมไปเที่ยวประเทศมาเลเซีย หนึ่งในนั้นคือ อลอร์สตาร์ (Alor Setar) เมืองหลวงของรัฐเคดะห์ (Kedah) หากขับรถไปเองโดยใช้ทางด่วนเหนือ-ใต้ E1 จากด่านบูกิตกายูฮิตัม ตรงข้าม อ.สะเดา จ.สงขลา ระยะทางเพียง 50 กิโลเมตร แต่ส่วนมากนิยมเดินทางโดยรถไฟ KTM Komuter จากสถานีปาดังเบซาร์ (Padang Besar) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ค่าโดยสาร 5.70 ริงกิตต่อเที่ยว (ประมาณ 45 บาท) หากเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ นิยมจอดรถที่ด่านปาดังเบซาร์ฝั่งไทย ก่อนไปประทับตราหนังสือเดินทางที่ด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ เปิดเวลา 05.00-21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย กับศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ ชาวหาดใหญ่นิยมมาช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้าอะมาน เซ็นทรัล (Aman Central) เนื่องจากมีร้านค้าที่ไม่มีในหาดใหญ่ เช่น ร้าน CHAGEE, ร้าน Krispy Kreme ที่มีโดนัทไซส์เล็ก, ไอศกรีม Llaollao (เหยาเหยา) นอกนั้นก็จะซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ทั้งน้ำหอม สกินแคร์ และวิตามินต่างๆ บางรายการถูกกว่าประเทศไทย อะมาน เซ็นทรัล เป็นศูนย์การค้าขนาด 8 ชั้นของกลุ่มเบลล์วิลล์กรุ๊ป เปิดเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2558 มีร้านค้าเช่ารวม 420 ร้าน แมกเนตหลักประกอบด้วย โลตัส (Lotus's) ห้างสรรพสินค้าพาร์คสัน (Parkson) และโรงภาพยนตร์โกลเด้นสกรีนซีนีม่าส์ (GSC) ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมประกอบด้วย Menara Alor Setar หอโทรคมนาคม สูง 4 ชั้น ยาว 165.5 เมตร (543 ฟุต) อันดับสามในมาเลเซีย เปิดเมื่อปี 2540 ราคาเข้าชมจุดชมวิวเริ่มต้นที่ 8 ริงกิต, มัสยิดซาฮีร์ (Zahir Mosque) ซึ่งเก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย นอกนั้นก็จะมี Kedah State Art Gallery หอศิลป์แห่งรัฐเคดาห์ ห่างออกไปจะเป็น Kedah Paddy Museum พิพิธภัณฑ์ข้าว เคดะห์เป็นรัฐ 5 อันดับแรกในมาเลเซียที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวสูงสุด เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวอย่างเกาะลังกาวี โดยในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 6.45 ล้านคน โดยเมืองอลอร์สตาร์มีโรงแรมให้บริการรวม 2,552 ห้อง ส่วนสนามบินอลอร์สตาร์ (AOR) มีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 588,771 คน มีเที่ยวบินจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์ (KUL) 23 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ สนามบินซูบัง (SZB) 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และสนามบินเซไน รัฐยะโฮร์ (JHB) 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ล่าสุด สายการบินบาติกแอร์ (Batik Air) ประกาศเปิดเส้นทางบินใหม่ กัวลาลัมเปอร์-อลอร์สตาร์ ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 737 ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. 2567 ให้บริการ 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ #Newskit #AlorSetar #Kedah
    Like
    Love
    9
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1008 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ร้านเก่าแก่เดียวในกรุงเทพฯ ที่ได้ทั้งวิวของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกับเพลงบรรเลงเย็น ๆ เพราะ ๆ ตัวร้านบรรยากาศคลาสสิกมาก การตกแต่งก็ดี ชุดพนักงานช่างเข้ากับถนนราชดำเนินจริง ๆ เหมือนย้อนวัยสมัยยุคคุณพ่อคุณแม่ ทุกเมนูรสชาติจัดจ้าน เหมาะกับทั้งลิ้นคนไทยและต่างชาติ เมนูที่แนะนำคือ กระทงทอง ยำส้มโอ และต้มยำปลาเก๋าโหระพา

    #อาหารไทยดั้งเดิม #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    “ร้านเก่าแก่เดียวในกรุงเทพฯ ที่ได้ทั้งวิวของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกับเพลงบรรเลงเย็น ๆ เพราะ ๆ ตัวร้านบรรยากาศคลาสสิกมาก การตกแต่งก็ดี ชุดพนักงานช่างเข้ากับถนนราชดำเนินจริง ๆ เหมือนย้อนวัยสมัยยุคคุณพ่อคุณแม่ ทุกเมนูรสชาติจัดจ้าน เหมาะกับทั้งลิ้นคนไทยและต่างชาติ เมนูที่แนะนำคือ กระทงทอง ยำส้มโอ และต้มยำปลาเก๋าโหระพา #อาหารไทยดั้งเดิม #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 773 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมนูที่ห้ามพลาด เมื่อมาถึงเยาวราช ก็คือ หูฉลามน้ำแดง ! ถ้ายังคิดชื่อร้านไม่ออก เราขอแนะนำร้าน เล่าลี่ หูฉลาม เลยครับ ความเก๋าของร้านนี้อยู่ตรงที่ ความเก่าแก่ เพราะที่นี่เปิดให้บริการมาเป็นเวลายาวนาน รสชาติของเมนูหูฉลามก็ถูกส่งต่อ รุ่นต่อรุ่น อย่างเป็นความลับ เอาเป็นว่า มันดีมาก.

    พิกัด : https://goo.gl/maps/Aq4PjEsc3R5SXSw18
    ที่อยู่ : ถนนเยาวราช แขวง/เขต สัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ
    ร้านเปิดบริการ : 11.00 - 21.00 น.
    โทร : 0-2223-0325
    #เยาวราช #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    เมนูที่ห้ามพลาด เมื่อมาถึงเยาวราช ก็คือ หูฉลามน้ำแดง ! ถ้ายังคิดชื่อร้านไม่ออก เราขอแนะนำร้าน เล่าลี่ หูฉลาม เลยครับ ความเก๋าของร้านนี้อยู่ตรงที่ ความเก่าแก่ เพราะที่นี่เปิดให้บริการมาเป็นเวลายาวนาน รสชาติของเมนูหูฉลามก็ถูกส่งต่อ รุ่นต่อรุ่น อย่างเป็นความลับ เอาเป็นว่า มันดีมาก. พิกัด : https://goo.gl/maps/Aq4PjEsc3R5SXSw18 ที่อยู่ : ถนนเยาวราช แขวง/เขต สัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ร้านเปิดบริการ : 11.00 - 21.00 น. โทร : 0-2223-0325 #เยาวราช #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 0 รีวิว
  • "หมาหลง..."

    ที่ไม่ได้หมายถึง "หลงทาง" หรือหายตัวไปจากที่อยู่อาศัยนะครับ แต่หมายถึง "หลงลืม" จำอะไรต่ออะไรไม่ได้แล้ว ลืมเรื่องราวต่างๆไป

    ผมชอบไปกินข้าวตามสั่งอยู่ร้านนึง ตรง 5 แยกลำกระโหลก ตรงถนนพระยาสุเรนทร์ บ่อยๆ จะเจอน้องหมาตัวนึงประจำๆ น้องชื่อ "เซเว่น"

    ที่ชื่อ "เซเว่น" เพราะป้าๆแม่ค้าแถวนั้นร่วมใจกันตั้งชื่อไว้ให้ เค้าบอกว่า น้องอยู่หน้า 7/11 สาขานี้ตั้งแต่เด็กๆ แม่น้องคงคาบมาจากป่าข้างหลัง เป็นลูกโทน พี่น้องก็ไม่มีเลย เพราะอาจจะถูกพี่งูแถวนั้นรับประทาน หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบได้ ทำให้เว่นได้รับสัมปทาน เป็นหมาตัวเดียวใน 7/11 ตรงนั้น ไปโดยปริยาย

    แม่ค้าเเถวนี้เค้าเลยตั้งชื่อให้ตามชาติพันธุ์และเเหล่งกำเนิดของเว่น

    ผมเห็นเซเว่นตั้งแต่มาอยู่แถวนี้ใหม่ๆ ราวๆ 8-9 ปีก่อน เซเว่นจะเป็นที่รักของแม่ค้าและคนที่มานั่งกินอาหารแถวนี้มากๆ คือไม่เห่าไม่กัด เป็นมิตรกับทุกๆคน คืออยู่เป็นเลยทีเดียว ตอนเว่นเด็กคือน่ารักมากๆ อ้วนๆจ้ำม่ำ ปุ๊กลุ๊ก ชอบวิ่งขาพันกันหกล้มหกลุกอยู่ตรงนั้นทุกๆวัน

    กิจวัตรประจำวันของเซเว่น คือจะนอนขวางทางเข้าออกหน้า 7/11 หรือบางครั้งเค้าก็จะเข้ามานอนอยู่ข้างตู้ไอติม หรือใต้ชั้นหนังสือ ถ้าดึกๆจะได้เห็นเว่นนอนเย็นๆยาวๆ เพราะน้องๆพนักงาน 7/11 กะดึกก็คงรักและไม่อยากรบกวนเวลาหลับนอนอันแสนสบายของเว่น

    เกะกะบ้าง แต่ไม่เคยระรานหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใคร พอหิวก็จะเดินมามอง ส่งสายตาและกระเเสจิต ตามโต๊ะอาหารที่ลูกค้ากำลังนั่งกิน ไม่ว่าเป็นร้าน ราดหน้า ข้าวมันไก่ บะหมี่เกี๊ยว ขออาหารด้วยสายวิงวอน ชนิดที่ว่า ต่อให้คุณจะเป็นองคุลีมาลกลับชาติมาเกิดคุณก็ต้องรีบถวายไก่ในจานข้าวมันไก่ให้มันซักชิ้นนึงทันที เหมือนเป็นหน้าที่ ที่ต้องทำ

    น้องจะเดินไถทุกโต๊ะด้วยความมั่นใจ และทำตัวเหมือนเป็นมิตรโดยไม่รู้สึกผิดและเคอะเขิน

    คือบอนทูบีเลย ว่างั้นเห่อะ...

    ล่าสุด ผมแวะไปกินข้าวร้านป้าวาส ผมไม่ได้มากินร้านป้าวาสบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ร้านรวงที่เคยกินๆก็หายไปหลายร้าน เหลืออยู่แค่ 2-3 ร้านที่ยังขายอยู่ แต่ผมยังเห็นแกขายอยู่ เป็นร้านเก่าแก่ร้านเดียว ที่ผมคิดถึง ผมเลยสั่งอาหารจานเดิมๆที่ผมชอบสั่งตลอดมาทันทีจานนึง แล้วมานั่งรออาหารที่โต๊ะในร้าน

    ก็เหลือบไปเห็นเจ้าเซเว่นเดินออกมามองผมจากที่ไหนก็ไม่รู้ในหลืบๆแถวนั้น

    เซเว่นดูแก่ไปมาก ตอนแรกผมไม่คิดว่าจะเป็นเว่น จนป้าวาสบอกว่าไอ่นี่แหล่ะ ไอ้เว่น... ผมโคตรดีใจเหมือนเจอเพื่อนเก่า แต่ผมแอบเห็นเว่นเดินตุปั๊ดตุเป๋ เซไปเซมาเหมือนรถยังไม่ได้ตั้งศูนย์ มาด้อมๆมองๆ ป้าวาสแกก็เลยผัดข้าวไปเล่าไปให้ฟังว่า

    "มันหลงแล้วไอ่หนู... มันได้แต่เดินมามองๆไปงั้นแหล่ะ แต่มันจำใครไม่ได้แล้ว ใครเดินเข้าไปไกล้ๆก็ไม่ได้ด้วยนะ มันจะคอยแหง่มใส่เท้า แต่มันไม่มีฟันบน กัดใครก็ไม่เข้าแล้ว อย่าไปไกล้มันล่ะหนู.... "

    ส่วนตัวผมก็อยากรู้ว่า ป้าวาสแกรู้ได้ไงหว่า... ว่ามันหลง?
    มันแสดงอาการอะไรออกมา?
    ที่ทำให้แกฟันธงว่าว่ามันหลงลืมหรือเป็นอัลไซเมอร์ในหมา?

    พอถามแกไปแกก็แจงให้ทราบดังนี้

    1. พาไปหาหมอหมา พ่อค้าแม่ค้ารวมเงินกันพาไป จากแม่ค้าหมูปิ้ง ร้านเย็นตาโฟ น้ำปั่น ร้านราดหน้า เตี๋ยวน้ำตก แล้วก็ป้าวาส หมอเลยบอกว่าน้องเริ่มหลงเเล้วนะ

    2. น้องจำใครไม่ได้เลย จะแง่งใส่ทุกคน

    3. จำที่นอนกับข้าวของของตัวเองไม่ได้ เช่น เว่นจะมีผ้าเน่าอยู่ผืนนึงไว้ปูเป็นที่นอน น้องจะติดผ้าผืนนี้มาก และน้องจะชอบหาไม่เจอ ถึงจะปูไว้ที่เดิม ไม่เคยย้ายไปไหน แต่น้องจะวนเห่าตามหาตลอด พอเอามาให้แล้วจะเงียบทันที

    4. เวลาให้ของกิน น้องจะกินไปเรื่อยๆ กินซักพักแล้วก็หยุดแล้วกินใหม่ เดินเป็นวงกลม กินไปเดินไป กินไม่รู้อิ่ม กินอยู่อย่างนั้นแหล่ะ เหมือนไม่รู้ว่าตัวเองกินไปเท่าไหร่จำไม่ได้ ต้องคอยดูตลอดเวลา แต่ผมเห็นน้องไม่อ้วนเลย ป้าแกคิดว่าน่าจะมีพยาธิในท้องเยอะ

    จากคำบอกเล่าของป้าวาสอีกเรื่องนึงคือเมื่อวาน เว่นเดินก๊งๆ พยามไปนอนเกาะกลางถนนแล้วโดนมอเตอร์ไซด์ชนไปทีนึง ลุงหน่องร้านข้าวขาหมูเลยไปอุ้มเว่นกลับมา ทำให้วันนี้เลยเดินซะง๊อกซะแง้กอย่างที่เห็น

    ผมเองเกิดมา ก็ไม่เคยเห็นหมาเป็นโรคและอาการแบบนี้เลย ก็ได้เอาใจช่วยเซเว่นอยากให้น้องมีชีวิตอย่างปลอดภัยและมีความสุข แต่สิ่งนึงเลย ที่รู้สึกแปลกใจมากๆคือ เซเว่นเจอคนดีๆเยอะมากกกกก มีแต่คนน่ารักๆที่หยิบยื่นให้เว่นตลอด ป้าร้านหมูปิ้งตอนเช้าก็พาไปอาบน้ำ ป้าวาส ปูที่นอน หาข้าวให้กิน ลุงหน่องเอาขึ้นรถไปหาหมอ ฯลฯ

    เว่นถือว่าเป็นหมาที่ชีวิตมีความสุขมากๆตัวนึงเลย ในช่วงชีวิตนึงของเค้า กินอิ่มนอนหลับ มีที่อยู่ที่กิน และมีคนคอยพาไปหาหมอและช่วยกันดูแล ปัจจัย 4 คือพร้อมสรรพ เว่นโชคดีมากๆ ที่มาเกิดและโตในชุมชนเล็กๆที่เค้ารักสัตว์ทุกคนๆ ความโชคดีที่ ถ้าเป็นระดับเลเวลคือ เสมือนถูกสลากกินแบ่งรัดทะบานรางวัลที่ 1 เวอร์ชั่นหมาจรจัด

    ไอ้คำว่า "วาสนา" นี่ ผมว่ามันมีจริงๆนะ...
    "หมาหลง..." ที่ไม่ได้หมายถึง "หลงทาง" หรือหายตัวไปจากที่อยู่อาศัยนะครับ แต่หมายถึง "หลงลืม" จำอะไรต่ออะไรไม่ได้แล้ว ลืมเรื่องราวต่างๆไป ผมชอบไปกินข้าวตามสั่งอยู่ร้านนึง ตรง 5 แยกลำกระโหลก ตรงถนนพระยาสุเรนทร์ บ่อยๆ จะเจอน้องหมาตัวนึงประจำๆ น้องชื่อ "เซเว่น" ที่ชื่อ "เซเว่น" เพราะป้าๆแม่ค้าแถวนั้นร่วมใจกันตั้งชื่อไว้ให้ เค้าบอกว่า น้องอยู่หน้า 7/11 สาขานี้ตั้งแต่เด็กๆ แม่น้องคงคาบมาจากป่าข้างหลัง เป็นลูกโทน พี่น้องก็ไม่มีเลย เพราะอาจจะถูกพี่งูแถวนั้นรับประทาน หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบได้ ทำให้เว่นได้รับสัมปทาน เป็นหมาตัวเดียวใน 7/11 ตรงนั้น ไปโดยปริยาย แม่ค้าเเถวนี้เค้าเลยตั้งชื่อให้ตามชาติพันธุ์และเเหล่งกำเนิดของเว่น ผมเห็นเซเว่นตั้งแต่มาอยู่แถวนี้ใหม่ๆ ราวๆ 8-9 ปีก่อน เซเว่นจะเป็นที่รักของแม่ค้าและคนที่มานั่งกินอาหารแถวนี้มากๆ คือไม่เห่าไม่กัด เป็นมิตรกับทุกๆคน คืออยู่เป็นเลยทีเดียว ตอนเว่นเด็กคือน่ารักมากๆ อ้วนๆจ้ำม่ำ ปุ๊กลุ๊ก ชอบวิ่งขาพันกันหกล้มหกลุกอยู่ตรงนั้นทุกๆวัน กิจวัตรประจำวันของเซเว่น คือจะนอนขวางทางเข้าออกหน้า 7/11 หรือบางครั้งเค้าก็จะเข้ามานอนอยู่ข้างตู้ไอติม หรือใต้ชั้นหนังสือ ถ้าดึกๆจะได้เห็นเว่นนอนเย็นๆยาวๆ เพราะน้องๆพนักงาน 7/11 กะดึกก็คงรักและไม่อยากรบกวนเวลาหลับนอนอันแสนสบายของเว่น เกะกะบ้าง แต่ไม่เคยระรานหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใคร พอหิวก็จะเดินมามอง ส่งสายตาและกระเเสจิต ตามโต๊ะอาหารที่ลูกค้ากำลังนั่งกิน ไม่ว่าเป็นร้าน ราดหน้า ข้าวมันไก่ บะหมี่เกี๊ยว ขออาหารด้วยสายวิงวอน ชนิดที่ว่า ต่อให้คุณจะเป็นองคุลีมาลกลับชาติมาเกิดคุณก็ต้องรีบถวายไก่ในจานข้าวมันไก่ให้มันซักชิ้นนึงทันที เหมือนเป็นหน้าที่ ที่ต้องทำ น้องจะเดินไถทุกโต๊ะด้วยความมั่นใจ และทำตัวเหมือนเป็นมิตรโดยไม่รู้สึกผิดและเคอะเขิน คือบอนทูบีเลย ว่างั้นเห่อะ... ล่าสุด ผมแวะไปกินข้าวร้านป้าวาส ผมไม่ได้มากินร้านป้าวาสบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ร้านรวงที่เคยกินๆก็หายไปหลายร้าน เหลืออยู่แค่ 2-3 ร้านที่ยังขายอยู่ แต่ผมยังเห็นแกขายอยู่ เป็นร้านเก่าแก่ร้านเดียว ที่ผมคิดถึง ผมเลยสั่งอาหารจานเดิมๆที่ผมชอบสั่งตลอดมาทันทีจานนึง แล้วมานั่งรออาหารที่โต๊ะในร้าน ก็เหลือบไปเห็นเจ้าเซเว่นเดินออกมามองผมจากที่ไหนก็ไม่รู้ในหลืบๆแถวนั้น เซเว่นดูแก่ไปมาก ตอนแรกผมไม่คิดว่าจะเป็นเว่น จนป้าวาสบอกว่าไอ่นี่แหล่ะ ไอ้เว่น... ผมโคตรดีใจเหมือนเจอเพื่อนเก่า แต่ผมแอบเห็นเว่นเดินตุปั๊ดตุเป๋ เซไปเซมาเหมือนรถยังไม่ได้ตั้งศูนย์ มาด้อมๆมองๆ ป้าวาสแกก็เลยผัดข้าวไปเล่าไปให้ฟังว่า "มันหลงแล้วไอ่หนู... มันได้แต่เดินมามองๆไปงั้นแหล่ะ แต่มันจำใครไม่ได้แล้ว ใครเดินเข้าไปไกล้ๆก็ไม่ได้ด้วยนะ มันจะคอยแหง่มใส่เท้า แต่มันไม่มีฟันบน กัดใครก็ไม่เข้าแล้ว อย่าไปไกล้มันล่ะหนู.... " ส่วนตัวผมก็อยากรู้ว่า ป้าวาสแกรู้ได้ไงหว่า... ว่ามันหลง? มันแสดงอาการอะไรออกมา? ที่ทำให้แกฟันธงว่าว่ามันหลงลืมหรือเป็นอัลไซเมอร์ในหมา? พอถามแกไปแกก็แจงให้ทราบดังนี้ 1. พาไปหาหมอหมา พ่อค้าแม่ค้ารวมเงินกันพาไป จากแม่ค้าหมูปิ้ง ร้านเย็นตาโฟ น้ำปั่น ร้านราดหน้า เตี๋ยวน้ำตก แล้วก็ป้าวาส หมอเลยบอกว่าน้องเริ่มหลงเเล้วนะ 2. น้องจำใครไม่ได้เลย จะแง่งใส่ทุกคน 3. จำที่นอนกับข้าวของของตัวเองไม่ได้ เช่น เว่นจะมีผ้าเน่าอยู่ผืนนึงไว้ปูเป็นที่นอน น้องจะติดผ้าผืนนี้มาก และน้องจะชอบหาไม่เจอ ถึงจะปูไว้ที่เดิม ไม่เคยย้ายไปไหน แต่น้องจะวนเห่าตามหาตลอด พอเอามาให้แล้วจะเงียบทันที 4. เวลาให้ของกิน น้องจะกินไปเรื่อยๆ กินซักพักแล้วก็หยุดแล้วกินใหม่ เดินเป็นวงกลม กินไปเดินไป กินไม่รู้อิ่ม กินอยู่อย่างนั้นแหล่ะ เหมือนไม่รู้ว่าตัวเองกินไปเท่าไหร่จำไม่ได้ ต้องคอยดูตลอดเวลา แต่ผมเห็นน้องไม่อ้วนเลย ป้าแกคิดว่าน่าจะมีพยาธิในท้องเยอะ จากคำบอกเล่าของป้าวาสอีกเรื่องนึงคือเมื่อวาน เว่นเดินก๊งๆ พยามไปนอนเกาะกลางถนนแล้วโดนมอเตอร์ไซด์ชนไปทีนึง ลุงหน่องร้านข้าวขาหมูเลยไปอุ้มเว่นกลับมา ทำให้วันนี้เลยเดินซะง๊อกซะแง้กอย่างที่เห็น ผมเองเกิดมา ก็ไม่เคยเห็นหมาเป็นโรคและอาการแบบนี้เลย ก็ได้เอาใจช่วยเซเว่นอยากให้น้องมีชีวิตอย่างปลอดภัยและมีความสุข แต่สิ่งนึงเลย ที่รู้สึกแปลกใจมากๆคือ เซเว่นเจอคนดีๆเยอะมากกกกก มีแต่คนน่ารักๆที่หยิบยื่นให้เว่นตลอด ป้าร้านหมูปิ้งตอนเช้าก็พาไปอาบน้ำ ป้าวาส ปูที่นอน หาข้าวให้กิน ลุงหน่องเอาขึ้นรถไปหาหมอ ฯลฯ เว่นถือว่าเป็นหมาที่ชีวิตมีความสุขมากๆตัวนึงเลย ในช่วงชีวิตนึงของเค้า กินอิ่มนอนหลับ มีที่อยู่ที่กิน และมีคนคอยพาไปหาหมอและช่วยกันดูแล ปัจจัย 4 คือพร้อมสรรพ เว่นโชคดีมากๆ ที่มาเกิดและโตในชุมชนเล็กๆที่เค้ารักสัตว์ทุกคนๆ ความโชคดีที่ ถ้าเป็นระดับเลเวลคือ เสมือนถูกสลากกินแบ่งรัดทะบานรางวัลที่ 1 เวอร์ชั่นหมาจรจัด ไอ้คำว่า "วาสนา" นี่ ผมว่ามันมีจริงๆนะ...
    Love
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 581 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพการโจมตีทางอากาศจากกองกำลังอิสราเอลอย่างรุนแรงในเขตพื้นที่เมือง Baalbak

    ก่อนการโจมตีเพียงไม่กี่ชั่วโมง กำลังอิสราเอลเพิ่งออกคำสั่งให้ประชาชนกว่าแสนรายในเมือง Baalbak ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขา Beqaa ของเลบานอน และพื้นที่ใกล้เคียง ให้รีบอพยพออกจากพื้นที่โดยด่วน

    "ประชาชนทุกคนต้องอพยพทันทีโดยใช้เส้นทางอพยพที่กำหนดไว้ เรากำลังจะโจมตีพื้นที่เป้าหมายอย่างรุนแรงต่อเป้าหมายของกลุ่ม Hezbollah ที่นั่นในไม่ช้า" คำสั่งของอิสราเอล

    Baalbak (บาอัลบัก) หรือเมืองแห่งดวงอาทิตย์ คือสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ที่มีหลักฐานว่ามนุษย์เริ่มรวมตัวอยู่กันเป็นชุมชนใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุด (ประมาณ 11,000 ปี) กำลังถูกอิสราเอลโจมตีต่อสายตาของคนทั่วโลก
    ภาพการโจมตีทางอากาศจากกองกำลังอิสราเอลอย่างรุนแรงในเขตพื้นที่เมือง Baalbak ก่อนการโจมตีเพียงไม่กี่ชั่วโมง กำลังอิสราเอลเพิ่งออกคำสั่งให้ประชาชนกว่าแสนรายในเมือง Baalbak ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขา Beqaa ของเลบานอน และพื้นที่ใกล้เคียง ให้รีบอพยพออกจากพื้นที่โดยด่วน "ประชาชนทุกคนต้องอพยพทันทีโดยใช้เส้นทางอพยพที่กำหนดไว้ เรากำลังจะโจมตีพื้นที่เป้าหมายอย่างรุนแรงต่อเป้าหมายของกลุ่ม Hezbollah ที่นั่นในไม่ช้า" คำสั่งของอิสราเอล Baalbak (บาอัลบัก) หรือเมืองแห่งดวงอาทิตย์ คือสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ที่มีหลักฐานว่ามนุษย์เริ่มรวมตัวอยู่กันเป็นชุมชนใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุด (ประมาณ 11,000 ปี) กำลังถูกอิสราเอลโจมตีต่อสายตาของคนทั่วโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงค่ำวันนี้ (27 ต.ค.) พิธีสวดพระอภิธรรม และฌาปนกิจ คุณโสภณ องค์การณ์ ณ วัดโสมนัสราชวรวิหาร ศาลา 10 ในคืนที่สอง มีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อในเครือ NEWS1-ผู้จัดการ เป็นเจ้าภาพเหมือนเคย นอกจากนี้ยังมี เพื่อนร่วมงานเก่าที่ The Nation มาร่วมเป็นเจ้าภาพโดย นำโดย คุณสุทธิชัย หยุ่น, คุณเทพชัย หย่อง, คุณธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์, คุณสุภาพ คลี่ขจาย, คุณกวี จงกิจถาวร, คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล, คุณอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีมิตรสหายเก่าแก่ของคุณโสภณมาร่วมงานอีกคับคั่ง
    .
    หลังพิธีเสร็จสิ้น คุณสนธิ ได้ลุกขึ้นคุยกับคุณสุทธิชัย และถ่ายภาพร่วมกันอย่างเป็นกันเอง จนหลายคนบอกว่าถ้าพี่โส ได้เห็นภาพดังกล่าวน่าจะปลื้มปิติมิใช่น้อย
    .
    สำหรับกำหนดการพิธีสวดพระอภิธรรม และฌาปนกิจ คุณโสภณ องค์การณ์ ณ วัดโสมนัสราชวรวิหาร ศาลา 10 นั้นเหลืออีกหนึ่งวันคือ วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2567 โดยกำหนดการสวดพระอภิธรรมจะเริ่มในเวลา 18.00น. ส่วนพิธีฌาปนกิจจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2567 เวลา 14.00น.
    ช่วงค่ำวันนี้ (27 ต.ค.) พิธีสวดพระอภิธรรม และฌาปนกิจ คุณโสภณ องค์การณ์ ณ วัดโสมนัสราชวรวิหาร ศาลา 10 ในคืนที่สอง มีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อในเครือ NEWS1-ผู้จัดการ เป็นเจ้าภาพเหมือนเคย นอกจากนี้ยังมี เพื่อนร่วมงานเก่าที่ The Nation มาร่วมเป็นเจ้าภาพโดย นำโดย คุณสุทธิชัย หยุ่น, คุณเทพชัย หย่อง, คุณธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์, คุณสุภาพ คลี่ขจาย, คุณกวี จงกิจถาวร, คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล, คุณอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีมิตรสหายเก่าแก่ของคุณโสภณมาร่วมงานอีกคับคั่ง . หลังพิธีเสร็จสิ้น คุณสนธิ ได้ลุกขึ้นคุยกับคุณสุทธิชัย และถ่ายภาพร่วมกันอย่างเป็นกันเอง จนหลายคนบอกว่าถ้าพี่โส ได้เห็นภาพดังกล่าวน่าจะปลื้มปิติมิใช่น้อย . สำหรับกำหนดการพิธีสวดพระอภิธรรม และฌาปนกิจ คุณโสภณ องค์การณ์ ณ วัดโสมนัสราชวรวิหาร ศาลา 10 นั้นเหลืออีกหนึ่งวันคือ วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2567 โดยกำหนดการสวดพระอภิธรรมจะเริ่มในเวลา 18.00น. ส่วนพิธีฌาปนกิจจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2567 เวลา 14.00น.
    Like
    Love
    15
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1099 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts