• งูสวัดมีเรื่อง อันตรายอีกเยอะนอกจากผื่น.

    • ไนตำแหน่งหน้า ศีรษะ คอ บ่าไหล่ ไม่ว่าจะอายุเท่าไร เป็นภูมิคุ้มกันปกติก็ตาม
    เป็นเรื่องต้องให้การรักษาทันที โอกาศไวรัสลามเข้าสมองผ่านทางเส้นเลือดสูงมาก

    ถ้ามาช้า และเริ่มผิดปกติมากกว่านอกจากที่ผิวหนัง มีไข้ ปวดหัว ไม่ต้องรอให้โคม่า หรือตาบอด หรือเส้นเลือดอักเสบตัน ให้เป็น IV acyclovir 10 mg/kg ทุก 8 ชั่วโมงทันที ไป 14 วัน

    ในขณะที่ตำแหน่งอื่นอาจใช้เป็นยากินแทน
    และ acyclovir กิน แม้ว่าต้องกินวันละห้าครั้งทุก 4 ชั่วโมงไปเป็นเวลาอย่างน้อยเจ็ดวันและอาจถึง 14 วัน ประสิทธิภาพดีกว่า ยาที่ทาน วันละสองครั้ง เพราะสามารถควบคุมไม่ให้ไวรัสวิ่งย้อนกลับเข้าไปตามเส้นประสาทเข้าในไขสันหลัง หรือสมอง

    ยกเว้นการมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ต้องเป็นยาฉีดทั้งหมด

    • และงูสวัดไม่ว่าอยู่ตำแหน่งใดของร่างกายมีความเสี่ยงอัมพฤกษ์ เส้นเลือดหัวใจตัน ถึง 6 เดือน จนถึงหลายปี

    ประการสำคัญ การรักษาไม่ใช่พอใจที่ทายาพอกที่ผื่น แม้ว่าทาแล้วหายเร็ว ก็ตาม
    อยู่ที่การป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบที่ปมประสาท และจะเจ็บปวดไปหลายเดือน ปี หรือไม่หาย
    และเพื่อต้องกันไม่ให้ไวรัสย้อนกลับตามเส้นประสาทเข้าไปที่ไขสันหลัง เกิตขาอัมพาต เข้าสมอง ติดเกิดเส้นเลือดอักเสบ และไวรัสทะลักเข้าไปติดเชื้อในสมอง

    • ย้ำๆๆๆ ไม่ว่างูสวัดขึ้นที่ใดต้องรักษาทั้งสิ้น ไม่ใช่เพื่อผื่นหายอย่างเดียวเท่านั้นเช่นจาก ยาทา พอก หรือกินยาสมุนไพร ต้องกันที่ร้ายแรงกว่านั้นอีกเยอะ

    • ในปัจจุบันมีวัคซีนงูสวัดที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงที่เป็นโปรตีนสับยูนิต และสามารถใช้ได้กับคนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ต่างจากวัคซีนยุคแรกที่เป็นเชื้ออ่อนกำลัง แต่อย่างไรก็ตามสารที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันดีมาก จนอาจทำให้มีปฏิกิริยาข้างเคียง ระดับน้อยจนรุนแรงแต่ไม่ได้เกิดทุกคน และในบางกรณีเกิดการกระตุ้นทำให้เกิดเส้นประสาทอักเสบได้
    • ดังนั้นการได้วัคซีน ควรต้องให้แพทย์ ให้คำแนะนำ และถ้าเกิดมีปฏิกิริยาข้างเคียงจะได้รีบรักษาได้ทัน

    ลักษณะอาการของงูสวัดและผลแทรกซ้อนไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในระยะนั้นอย่างเดียว จะเกิดขึ้นตามหลังได้อย่างน้อยหกเดือนและอาจเป็นปีโดยเฉพาะออกอาการเป็นเส้นเลือดในสมองและเส้นเลือดในหัวใจตัน

    เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมีอาการของเส้นเลือดหัวใจเจ็บหน้าอก หรือเส้นเลือดสมองอัมพฤกษ์ ต้องบอกคุณหมอว่าเคยเป็นงูสวัดในช่วงก่อนหน้า ซึ่งต้องพิจารณาว่าควรต้องรักษางูสวัดควบคู่กันไปด้วย ให้ทางเส้นเลือด ร่วมกับการรักษาสมองหรือหัวใจที่ผิดปกติ
    ทั้งนี้เนื่องจากยังมีความเป็นไปได้ว่าไวรัสยังไม่ได้สงบเสงี่ยมนิ่งอยู่กับที่ แต่ ยังมีการกระตุ้นการอักเสบอยู่เรื่อยๆ จนเกิดเส้นเลือดหัวใจหรือสมองตัน

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และ
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    งูสวัดมีเรื่อง อันตรายอีกเยอะนอกจากผื่น. • ไนตำแหน่งหน้า ศีรษะ คอ บ่าไหล่ ไม่ว่าจะอายุเท่าไร เป็นภูมิคุ้มกันปกติก็ตาม เป็นเรื่องต้องให้การรักษาทันที โอกาศไวรัสลามเข้าสมองผ่านทางเส้นเลือดสูงมาก ถ้ามาช้า และเริ่มผิดปกติมากกว่านอกจากที่ผิวหนัง มีไข้ ปวดหัว ไม่ต้องรอให้โคม่า หรือตาบอด หรือเส้นเลือดอักเสบตัน ให้เป็น IV acyclovir 10 mg/kg ทุก 8 ชั่วโมงทันที ไป 14 วัน ในขณะที่ตำแหน่งอื่นอาจใช้เป็นยากินแทน และ acyclovir กิน แม้ว่าต้องกินวันละห้าครั้งทุก 4 ชั่วโมงไปเป็นเวลาอย่างน้อยเจ็ดวันและอาจถึง 14 วัน ประสิทธิภาพดีกว่า ยาที่ทาน วันละสองครั้ง เพราะสามารถควบคุมไม่ให้ไวรัสวิ่งย้อนกลับเข้าไปตามเส้นประสาทเข้าในไขสันหลัง หรือสมอง ยกเว้นการมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ต้องเป็นยาฉีดทั้งหมด • และงูสวัดไม่ว่าอยู่ตำแหน่งใดของร่างกายมีความเสี่ยงอัมพฤกษ์ เส้นเลือดหัวใจตัน ถึง 6 เดือน จนถึงหลายปี ประการสำคัญ การรักษาไม่ใช่พอใจที่ทายาพอกที่ผื่น แม้ว่าทาแล้วหายเร็ว ก็ตาม อยู่ที่การป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบที่ปมประสาท และจะเจ็บปวดไปหลายเดือน ปี หรือไม่หาย และเพื่อต้องกันไม่ให้ไวรัสย้อนกลับตามเส้นประสาทเข้าไปที่ไขสันหลัง เกิตขาอัมพาต เข้าสมอง ติดเกิดเส้นเลือดอักเสบ และไวรัสทะลักเข้าไปติดเชื้อในสมอง • ย้ำๆๆๆ ไม่ว่างูสวัดขึ้นที่ใดต้องรักษาทั้งสิ้น ไม่ใช่เพื่อผื่นหายอย่างเดียวเท่านั้นเช่นจาก ยาทา พอก หรือกินยาสมุนไพร ต้องกันที่ร้ายแรงกว่านั้นอีกเยอะ • ในปัจจุบันมีวัคซีนงูสวัดที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงที่เป็นโปรตีนสับยูนิต และสามารถใช้ได้กับคนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ต่างจากวัคซีนยุคแรกที่เป็นเชื้ออ่อนกำลัง แต่อย่างไรก็ตามสารที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันดีมาก จนอาจทำให้มีปฏิกิริยาข้างเคียง ระดับน้อยจนรุนแรงแต่ไม่ได้เกิดทุกคน และในบางกรณีเกิดการกระตุ้นทำให้เกิดเส้นประสาทอักเสบได้ • ดังนั้นการได้วัคซีน ควรต้องให้แพทย์ ให้คำแนะนำ และถ้าเกิดมีปฏิกิริยาข้างเคียงจะได้รีบรักษาได้ทัน ลักษณะอาการของงูสวัดและผลแทรกซ้อนไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในระยะนั้นอย่างเดียว จะเกิดขึ้นตามหลังได้อย่างน้อยหกเดือนและอาจเป็นปีโดยเฉพาะออกอาการเป็นเส้นเลือดในสมองและเส้นเลือดในหัวใจตัน เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมีอาการของเส้นเลือดหัวใจเจ็บหน้าอก หรือเส้นเลือดสมองอัมพฤกษ์ ต้องบอกคุณหมอว่าเคยเป็นงูสวัดในช่วงก่อนหน้า ซึ่งต้องพิจารณาว่าควรต้องรักษางูสวัดควบคู่กันไปด้วย ให้ทางเส้นเลือด ร่วมกับการรักษาสมองหรือหัวใจที่ผิดปกติ ทั้งนี้เนื่องจากยังมีความเป็นไปได้ว่าไวรัสยังไม่ได้สงบเสงี่ยมนิ่งอยู่กับที่ แต่ ยังมีการกระตุ้นการอักเสบอยู่เรื่อยๆ จนเกิดเส้นเลือดหัวใจหรือสมองตัน ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✴️ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย
    1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน
    2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน

    ข้อแรกผิดยังไง?
    ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ

    ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น
    1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย
    2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ
    การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน
    เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ
    และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง

    ข้อสองผิดยังไง?
    ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ
    แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ
    1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์)
    2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ
    3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย
    4. และการอักเสบ
    ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่
    การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training
    อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food
    การจัดการความเครียด
    และการนอนให้มีคุณภาพดี

    ดังนั้น
    ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน
    และ
    Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ
    คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    ✴️ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย 1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน 2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน ข้อแรกผิดยังไง? ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น 1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย 2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง ข้อสองผิดยังไง? ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ 1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์) 2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ 3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย 4. และการอักเสบ ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่ การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food การจัดการความเครียด และการนอนให้มีคุณภาพดี ดังนั้น ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน และ Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✴️ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย
    1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน
    2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน

    ข้อแรกผิดยังไง?
    ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ

    ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น
    1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย
    2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ
    การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน
    เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ
    และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง

    ข้อสองผิดยังไง?
    ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ
    แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ
    1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์)
    2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ
    3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย
    4. และการอักเสบ
    ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่
    การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training
    อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food
    การจัดการความเครียด
    และการนอนให้มีคุณภาพดี

    ดังนั้น
    ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน
    และ
    Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ
    คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    ✴️ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย 1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน 2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน ข้อแรกผิดยังไง? ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น 1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย 2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง ข้อสองผิดยังไง? ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ 1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์) 2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ 3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย 4. และการอักเสบ ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่ การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food การจัดการความเครียด และการนอนให้มีคุณภาพดี ดังนั้น ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน และ Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..คนไทยต้องตื่น เหมือนตื่นเล่นสงกรานต์จริงๆนะ ทั่วไทยเลย แชร์ต่อๆกันไปนะครับที่เข้ามาเห็น มาอ่านดูข่าวนี้.

    หมอดื้อ :-

    📢🚩 สนธิสัญญาองค์การอนามัยโลก ถ้ายอมรับสั่งอย่างไรต้องทำตาม เอาเช่นนั้นหรือ
    ________________________________________________________________________________

    คนไทยต้อง ทราบขณะนี้ ถ้าทำตามสั่งคือความเสียหาย เรียกร้องจากองค์การอนามัยโลกไม่ได้ ว่าถือว่ายอมไปแล้ว

    ช่วยกันกระจายข่าวไปให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คนไทยรับทราบ ว่ากระทรวงสาธารณสุขกำลังจะทำอะไรคนไทยครับ

    องค์การอนามัยโลกยื่นสนธิสัญญา WHO treaty มาให้ประเทศต่างๆ ยอมรับและเซ็นสัญญา หลังจากที่ถูกคัดค้านอย่างหนักมาในรอบแรก

    ● รอบนี้เดือนเมษายน 2025 กระทรวงสาธารณสุข อาจจะมีแนวโน้มทำตามองค์การอนามัยโลกทุกอย่าง
    นั่นหมายความว่า องค์การอนามัยโลกสามารถบงการได้ทุกสิ่งอย่าง

    ● สามารถประกาศให้โรคอะไรก็ตาม ที่แม้ยังไม่มีความเสี่ยงชัดเจน กลายเป็นโรคระบาด และเริ่มเห็นแล้วในกรณีของฝีดาษลิง ที่ให้ข่าวทั่วโลก ว่าจะเกิดระบาดแน่ และมีวัคซีนฝีดาษลิงออกมา แต่ในที่สุด ไม่สำเร็จที่จะบังคับให้คนทั้งโลกฉีดอีกครั้ง วัคซีนฝีดาษลิง มีผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเช่นกัน

    ● และในปัจจุบันคือเรื่องไข้หวัดนก โดยที่มีการพัฒนา mRNA วัคซีน จากกลุ่มเดิมที่ทำวัคซีนโควิด และได้รับทุนสนับสนุนจากกลุ่มเดิม ทั้ง NIH BARDA และถ้าร่วมอยู่ในภาคีสนธิสัญญานี้ อาจจะลงเอยที่ทุกคนต้องได้รับวัคซีน ทั้งๆที่ mRNA เทคโนโลยีเป็นของเดิม และไม่มีข้อพิสูจน์ว่าปลอดภัยกว่าที่ผ่านมา โดยผู้เสียชีวิตและพิการ ต่างถูกปฏิเสธจากรัฐบาลในประเทศต่างๆ กระทั่งในสหรัฐอเมริกาเอง มีหลายมลรัฐที่ยื่นฟ้อง เฟาซี และพวก 12 คน และหน่วยงานของรัฐ ที่บังคับให้ฉีดวัคซีน โดยเป็นข้อหาอาชญากรรม ประทุษร้ายต่อชีวิตเป็นต้น

    🇹🇭 การคัดค้านสนธิสัญญานี้ โดยกลุ่มคนไทย แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ รวมทั้ง เครือข่ายสมาพันธ์ชาวนา สี่ถึง 50,000 ราย
    เกรงว่าในช่วงสงกรานต์นี้ กระทรวงสาธารณสุขอาจจะดำเนินการเอง และหมายความว่า ไม่ใช่แต่เพียงเรื่องของการต้องฉีดวัคซีนตามสั่ง แต่ต้องทำการกักกันออกจากบ้าน การเดินทาง ต้องมีพาสปอร์ตวัคซีน ไม่สามารถเรียกร้องความเสียหายจากวัคซีน และยาต้องเป็นไปตามสั่ง ไม่สามารถใช้ยาอื่น ที่ทราบว่ามีคุณสมบัติในการต่อต้าน และรักษาไวรัสนี้ได้ ทั้งนี้ยังรวมถึงสมุนไพรต่างๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว และได้รับการพิสูจน์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แล้วด้วย

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    https://www.rookon.com/?p=696 กรณีมีคนจะร่วมลงชื่อเพิ่มครับ

    https://www.facebook.com/share/1DJ8XxPqN8/

    คัดค้าน WHO 24 พฤษภาคม 2567
    https://www.facebook.com/share/p/1BDG459tAu/
    ..คนไทยต้องตื่น เหมือนตื่นเล่นสงกรานต์จริงๆนะ ทั่วไทยเลย แชร์ต่อๆกันไปนะครับที่เข้ามาเห็น มาอ่านดูข่าวนี้. หมอดื้อ :- 📢🚩 สนธิสัญญาองค์การอนามัยโลก ถ้ายอมรับสั่งอย่างไรต้องทำตาม เอาเช่นนั้นหรือ ________________________________________________________________________________ คนไทยต้อง ทราบขณะนี้ ถ้าทำตามสั่งคือความเสียหาย เรียกร้องจากองค์การอนามัยโลกไม่ได้ ว่าถือว่ายอมไปแล้ว ช่วยกันกระจายข่าวไปให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คนไทยรับทราบ ว่ากระทรวงสาธารณสุขกำลังจะทำอะไรคนไทยครับ องค์การอนามัยโลกยื่นสนธิสัญญา WHO treaty มาให้ประเทศต่างๆ ยอมรับและเซ็นสัญญา หลังจากที่ถูกคัดค้านอย่างหนักมาในรอบแรก ● รอบนี้เดือนเมษายน 2025 กระทรวงสาธารณสุข อาจจะมีแนวโน้มทำตามองค์การอนามัยโลกทุกอย่าง นั่นหมายความว่า องค์การอนามัยโลกสามารถบงการได้ทุกสิ่งอย่าง ● สามารถประกาศให้โรคอะไรก็ตาม ที่แม้ยังไม่มีความเสี่ยงชัดเจน กลายเป็นโรคระบาด และเริ่มเห็นแล้วในกรณีของฝีดาษลิง ที่ให้ข่าวทั่วโลก ว่าจะเกิดระบาดแน่ และมีวัคซีนฝีดาษลิงออกมา แต่ในที่สุด ไม่สำเร็จที่จะบังคับให้คนทั้งโลกฉีดอีกครั้ง วัคซีนฝีดาษลิง มีผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเช่นกัน ● และในปัจจุบันคือเรื่องไข้หวัดนก โดยที่มีการพัฒนา mRNA วัคซีน จากกลุ่มเดิมที่ทำวัคซีนโควิด และได้รับทุนสนับสนุนจากกลุ่มเดิม ทั้ง NIH BARDA และถ้าร่วมอยู่ในภาคีสนธิสัญญานี้ อาจจะลงเอยที่ทุกคนต้องได้รับวัคซีน ทั้งๆที่ mRNA เทคโนโลยีเป็นของเดิม และไม่มีข้อพิสูจน์ว่าปลอดภัยกว่าที่ผ่านมา โดยผู้เสียชีวิตและพิการ ต่างถูกปฏิเสธจากรัฐบาลในประเทศต่างๆ กระทั่งในสหรัฐอเมริกาเอง มีหลายมลรัฐที่ยื่นฟ้อง เฟาซี และพวก 12 คน และหน่วยงานของรัฐ ที่บังคับให้ฉีดวัคซีน โดยเป็นข้อหาอาชญากรรม ประทุษร้ายต่อชีวิตเป็นต้น 🇹🇭 การคัดค้านสนธิสัญญานี้ โดยกลุ่มคนไทย แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ รวมทั้ง เครือข่ายสมาพันธ์ชาวนา สี่ถึง 50,000 ราย เกรงว่าในช่วงสงกรานต์นี้ กระทรวงสาธารณสุขอาจจะดำเนินการเอง และหมายความว่า ไม่ใช่แต่เพียงเรื่องของการต้องฉีดวัคซีนตามสั่ง แต่ต้องทำการกักกันออกจากบ้าน การเดินทาง ต้องมีพาสปอร์ตวัคซีน ไม่สามารถเรียกร้องความเสียหายจากวัคซีน และยาต้องเป็นไปตามสั่ง ไม่สามารถใช้ยาอื่น ที่ทราบว่ามีคุณสมบัติในการต่อต้าน และรักษาไวรัสนี้ได้ ทั้งนี้ยังรวมถึงสมุนไพรต่างๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว และได้รับการพิสูจน์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แล้วด้วย ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต https://www.rookon.com/?p=696 กรณีมีคนจะร่วมลงชื่อเพิ่มครับ https://www.facebook.com/share/1DJ8XxPqN8/ คัดค้าน WHO 24 พฤษภาคม 2567 https://www.facebook.com/share/p/1BDG459tAu/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♥️To Gen-Xสิ่งที่ควรรู้♥️
    👉“ร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันคือสัญญาณร่างกายกำลัง SOS”
    👇คุณเคยมีอาการแบบนี้บ้างไหม?
    • อยู่ดีๆ ก็ร้อนวูบวาบ เหงื่อแตกเฉยๆ
    • กลางดึกตื่นมาทั้งที่เปิดแอร์ แต่เสื้อเปียกเหงื่อ
    • ใจสั่นแบบไม่มีเหตุผล ทั้งที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ
    • หรือรู้สึกเหมือนจะวูบ ทั้งที่นั่งเฉยๆ

    ถ้าเคย นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ
    แต่มันคือ “เสียงเตือนจากฮอร์โมน” ที่กำลังแปรปรวน

    👉อะไร❓️ทำให้เกิดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออก

    👉ผู้หญิงวัย 40+ จะเริ่มมีการลดลงของ “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอโรน”
    ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมระบบประสาท อุณหภูมิ และอารมณ์

    เมื่อฮอร์โมน 2 ตัวนี้ไม่สมดุลกัน จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า…

    Vasomotor Symptoms
    = ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายผิดปกติ จึงเกิด “ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ใจสั่น” โดยไม่รู้ตัว

    ฮอร์โมนที่ลดลงยังส่งผลให้ร่างกาย
    • เสียสมดุลการควบคุมอุณหภูมิ
    • ระบบเผาผลาญรวน
    • ความดันผันผวน → ใจสั่น หวิว

    👉และถ้าคุณมีภาวะเครียดสะสม❌️ นอนไม่พอ หรือกินน้ำตาลเยอะ
    อาการพวกนี้จะชัดเจนและถี่ขึ้นเรื่อยๆ นี่คือ👉สัญญาณที่ร่างกายบอกว่า ฉันกำลังเสียสมดุล
    👉อาการร้อนวูบวาบเจอสั่น
    👉 เหงื่อออกตอนกลางคืน อาจไม่ได้แสดง อันตรายทันที แต่ถ้าปล่อยไว้มันจะเป็น😡"ภาวะเรื้อรัง" ที่ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข และในระยะยาว มันเกี่ยวข้องกับหัวใจความดันมะเร็ง ✴️และความเสื่อมของระบบประสาทแบบที่หลายคนไม่เคยรู้

    ✴️5 วิธีลดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกแบบธรรมชาติ

    1. งดแอลกอฮอล์ น้ำตาล และคาเฟอีนช่วงเย็น
    • เพราะทั้งหมดนี้กระตุ้นหลอดเลือดให้ขยายเร็วขึ้น
    • ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบง่ายและหลับไม่ลึก

    2. ทำ IF (Intermittent Fasting) แบบค่อยเป็นค่อยไป
    • ลดการอักเสบภายใน
    • ปรับสมดุลน้ำตาล → ลดภาวะใจสั่น
    • ช่วยให้ร่างกายไม่หลั่งอินซูลินเกินจำเป็นตอนกลางคืน

    3. ฝึกหายใจช้าๆ วันละ 5-10 นาที
    • ช่วยปรับระบบประสาทอัตโนมัติให้สมดุล
    • ลดความตื่นตัวของร่างกาย → ลดโอกาสวูบวาบใจสั่น

    4. กินไขมันดีเสริมฮอร์โมน
    • เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เมล็ดแฟลกซ์
    • ไขมันดี = วัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมน
    • ช่วยให้ฮอร์โมนไม่แปรปรวนเร็วเกินไป

    5. แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนนอน
    • เป็นการกระจายความร้อนจากส่วนบนของร่างกาย
    • ลดอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนได้ดีมาก
    ♥️To Gen-Xสิ่งที่ควรรู้♥️ 👉“ร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันคือสัญญาณร่างกายกำลัง SOS” 👇คุณเคยมีอาการแบบนี้บ้างไหม? • อยู่ดีๆ ก็ร้อนวูบวาบ เหงื่อแตกเฉยๆ • กลางดึกตื่นมาทั้งที่เปิดแอร์ แต่เสื้อเปียกเหงื่อ • ใจสั่นแบบไม่มีเหตุผล ทั้งที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ • หรือรู้สึกเหมือนจะวูบ ทั้งที่นั่งเฉยๆ ถ้าเคย นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ แต่มันคือ “เสียงเตือนจากฮอร์โมน” ที่กำลังแปรปรวน 👉อะไร❓️ทำให้เกิดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออก 👉ผู้หญิงวัย 40+ จะเริ่มมีการลดลงของ “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอโรน” ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมระบบประสาท อุณหภูมิ และอารมณ์ เมื่อฮอร์โมน 2 ตัวนี้ไม่สมดุลกัน จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า… Vasomotor Symptoms = ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายผิดปกติ จึงเกิด “ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ใจสั่น” โดยไม่รู้ตัว ฮอร์โมนที่ลดลงยังส่งผลให้ร่างกาย • เสียสมดุลการควบคุมอุณหภูมิ • ระบบเผาผลาญรวน • ความดันผันผวน → ใจสั่น หวิว 👉และถ้าคุณมีภาวะเครียดสะสม❌️ นอนไม่พอ หรือกินน้ำตาลเยอะ อาการพวกนี้จะชัดเจนและถี่ขึ้นเรื่อยๆ นี่คือ👉สัญญาณที่ร่างกายบอกว่า ฉันกำลังเสียสมดุล 👉อาการร้อนวูบวาบเจอสั่น 👉 เหงื่อออกตอนกลางคืน อาจไม่ได้แสดง อันตรายทันที แต่ถ้าปล่อยไว้มันจะเป็น😡"ภาวะเรื้อรัง" ที่ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข และในระยะยาว มันเกี่ยวข้องกับหัวใจความดันมะเร็ง ✴️และความเสื่อมของระบบประสาทแบบที่หลายคนไม่เคยรู้ ✴️5 วิธีลดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกแบบธรรมชาติ 1. งดแอลกอฮอล์ น้ำตาล และคาเฟอีนช่วงเย็น • เพราะทั้งหมดนี้กระตุ้นหลอดเลือดให้ขยายเร็วขึ้น • ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบง่ายและหลับไม่ลึก 2. ทำ IF (Intermittent Fasting) แบบค่อยเป็นค่อยไป • ลดการอักเสบภายใน • ปรับสมดุลน้ำตาล → ลดภาวะใจสั่น • ช่วยให้ร่างกายไม่หลั่งอินซูลินเกินจำเป็นตอนกลางคืน 3. ฝึกหายใจช้าๆ วันละ 5-10 นาที • ช่วยปรับระบบประสาทอัตโนมัติให้สมดุล • ลดความตื่นตัวของร่างกาย → ลดโอกาสวูบวาบใจสั่น 4. กินไขมันดีเสริมฮอร์โมน • เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เมล็ดแฟลกซ์ • ไขมันดี = วัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมน • ช่วยให้ฮอร์โมนไม่แปรปรวนเร็วเกินไป 5. แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนนอน • เป็นการกระจายความร้อนจากส่วนบนของร่างกาย • ลดอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนได้ดีมาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🙄“ร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันคือสัญญาณร่างกายกำลัง SOS”
    👉คุณเคยมีอาการแบบนี้บ้างไหม❓️
    • อยู่ดีๆ ก็ร้อนวูบวาบ เหงื่อแตกเฉยๆ
    • กลางดึกตื่นมาทั้งที่เปิดแอร์ แต่เสื้อเปียกเหงื่อ
    • ใจสั่นแบบไม่มีเหตุผล ทั้งที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ
    • หรือรู้สึกเหมือนจะวูบ ทั้งที่นั่งเฉยๆ

    ถ้าเคย นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ
    แต่มันคือ “เสียงเตือนจากฮอร์โมน” ที่กำลังแปรปรวน


    📌อะไร❓️ทำให้เกิดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออก?

    ผู้หญิงวัย 40+ จะเริ่มมีการลดลงของ “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอโรน”
    ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมระบบประสาท อุณหภูมิ และอารมณ์

    เมื่อฮอร์โมน 2 ตัวนี้ไม่สมดุลกัน จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า…

    Vasomotor Symptoms
    = ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายผิดปกติ จึงเกิด “ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ใจสั่น” โดยไม่รู้ตัว

    ฮอร์โมนที่ลดลงยังส่งผลให้ร่างกาย
    • เสียสมดุลการควบคุมอุณหภูมิ
    • ระบบเผาผลาญรวน
    • ความดันผันผวน → ใจสั่น หวิว

    และถ้าคุณมีภาวะเครียดสะสม นอนไม่พอ หรือกินน้ำตาลเยอะ
    อาการพวกนี้จะชัดเจนและถี่ขึ้นเรื่อยๆ
    ✴️ 5 วิธีลดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกแบบธรรมชาติ

    1. งดแอลกอฮอล์ น้ำตาล และคาเฟอีนช่วงเย็น
    • เพราะทั้งหมดนี้กระตุ้นหลอดเลือดให้ขยายเร็วขึ้น
    • ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบง่ายและหลับไม่ลึก

    2. ทำ IF (Intermittent Fasting) แบบค่อยเป็นค่อยไป
    • ลดการอักเสบภายใน
    • ปรับสมดุลน้ำตาล → ลดภาวะใจสั่น
    • ช่วยให้ร่างกายไม่หลั่งอินซูลินเกินจำเป็นตอนกลางคืน

    3. ฝึกหายใจช้าๆ วันละ 5-10 นาที
    • ช่วยปรับระบบประสาทอัตโนมัติให้สมดุล
    • ลดความตื่นตัวของร่างกาย → ลดโอกาสวูบวาบใจสั่น

    4. กินไขมันดีเสริมฮอร์โมน
    • เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เมล็ดแฟลกซ์
    • ไขมันดี = วัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมน
    • ช่วยให้ฮอร์โมนไม่แปรปรวนเร็วเกินไป

    5. แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนนอน
    • เป็นการกระจายความร้อนจากส่วนบนของร่างกาย
    • ลดอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนได้ดีมาก
    👉นี่คือสัญญาณที่ร่างกายบอกว่า “ฉันกำลังเสียสมดุล”

    อาการร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน
    อาจไม่ได้แสดงอันตรายทันที
    แต่ถ้าปล่อยไว้ มันจะเป็น “ภาวะเรื้อรัง” ที่ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข

    และในระยะยาว…
    มันเกี่ยวข้องกับ “หัวใจ ความดัน มะเร็ง และความเสื่อมของระบบประสาท” แบบที่หลายคนไม่เคยรู้


    🙄“ร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันคือสัญญาณร่างกายกำลัง SOS” 👉คุณเคยมีอาการแบบนี้บ้างไหม❓️ • อยู่ดีๆ ก็ร้อนวูบวาบ เหงื่อแตกเฉยๆ • กลางดึกตื่นมาทั้งที่เปิดแอร์ แต่เสื้อเปียกเหงื่อ • ใจสั่นแบบไม่มีเหตุผล ทั้งที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ • หรือรู้สึกเหมือนจะวูบ ทั้งที่นั่งเฉยๆ ถ้าเคย นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ แต่มันคือ “เสียงเตือนจากฮอร์โมน” ที่กำลังแปรปรวน 📌อะไร❓️ทำให้เกิดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออก? ผู้หญิงวัย 40+ จะเริ่มมีการลดลงของ “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอโรน” ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมระบบประสาท อุณหภูมิ และอารมณ์ เมื่อฮอร์โมน 2 ตัวนี้ไม่สมดุลกัน จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า… Vasomotor Symptoms = ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายผิดปกติ จึงเกิด “ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ใจสั่น” โดยไม่รู้ตัว ฮอร์โมนที่ลดลงยังส่งผลให้ร่างกาย • เสียสมดุลการควบคุมอุณหภูมิ • ระบบเผาผลาญรวน • ความดันผันผวน → ใจสั่น หวิว และถ้าคุณมีภาวะเครียดสะสม นอนไม่พอ หรือกินน้ำตาลเยอะ อาการพวกนี้จะชัดเจนและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ✴️ 5 วิธีลดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกแบบธรรมชาติ 1. งดแอลกอฮอล์ น้ำตาล และคาเฟอีนช่วงเย็น • เพราะทั้งหมดนี้กระตุ้นหลอดเลือดให้ขยายเร็วขึ้น • ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบง่ายและหลับไม่ลึก 2. ทำ IF (Intermittent Fasting) แบบค่อยเป็นค่อยไป • ลดการอักเสบภายใน • ปรับสมดุลน้ำตาล → ลดภาวะใจสั่น • ช่วยให้ร่างกายไม่หลั่งอินซูลินเกินจำเป็นตอนกลางคืน 3. ฝึกหายใจช้าๆ วันละ 5-10 นาที • ช่วยปรับระบบประสาทอัตโนมัติให้สมดุล • ลดความตื่นตัวของร่างกาย → ลดโอกาสวูบวาบใจสั่น 4. กินไขมันดีเสริมฮอร์โมน • เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เมล็ดแฟลกซ์ • ไขมันดี = วัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมน • ช่วยให้ฮอร์โมนไม่แปรปรวนเร็วเกินไป 5. แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนนอน • เป็นการกระจายความร้อนจากส่วนบนของร่างกาย • ลดอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนได้ดีมาก 👉นี่คือสัญญาณที่ร่างกายบอกว่า “ฉันกำลังเสียสมดุล” อาการร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน อาจไม่ได้แสดงอันตรายทันที แต่ถ้าปล่อยไว้ มันจะเป็น “ภาวะเรื้อรัง” ที่ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข และในระยะยาว… มันเกี่ยวข้องกับ “หัวใจ ความดัน มะเร็ง และความเสื่อมของระบบประสาท” แบบที่หลายคนไม่เคยรู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💔 นอนไม่หลับอาจไม่ใช่แค่ปัญหาเล็กๆ…แต่มันคือ “ไฟกะพริบ” ที่ร่างกายส่งสัญญาณให้เราฟัง

    👉มีผู้หญิงวัย 40+ จำนวนไม่น้อยที่นอนไม่หลับ
    “ช่วงนี้นอนไม่หลับเลยค่ะ ผมเริ่มบาง ใจสั่น รู้สึกอ่อนเพลียทั้งวัน”
    บางคนก็แค่คิดว่า “อาจเครียด อาจเหนื่อย เดี๋ยวก็คงหาย”
    แต่ความจริง…มันลึกกว่านั้นครับ

    เมื่ออายุเข้าสู่ช่วงวัย 40+ ระบบ “ฮอร์โมนเพศหญิง” อย่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะเริ่มลดลงอย่างช้าๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว
    ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญกับระบบนอนหลับ สมอง หัวใจ ผิวพรรณ และแม้แต่ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

    และนี่คือเหตุผลที่ “นอนไม่หลับ” กลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ของหลายโรคร้าย



    งานวิจัยระดับโลกพูดตรงกันว่า…

    ผู้หญิงวัยกลางคนที่นอนไม่เพียงพอหรือหลับไม่ลึก มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และโรคหัวใจสูงขึ้นถึง 50-70%【Harvard Medical School, 2021】

    เพราะขณะนอนหลับ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน “เมลาโทนิน” และ “โกรทฮอร์โมน” ซึ่งช่วย
    • ฟื้นฟูเซลล์ที่เสียหาย
    • กำจัดสารพิษจากระบบประสาท
    • และ “ควบคุมการแบ่งเซลล์ผิดปกติ” ซึ่งเป็นต้นทางของเซลล์มะเร็ง

    หากคุณนอนไม่หลับนานๆ ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะ “อักเสบเรื้อรัง”
    อาการเหล่านี้มักจะตามมาเรื่อยๆ โดยที่คุณไม่ทันสังเกต
    • เพลียทั้งวัน
    • น้ำหนักเพิ่มง่าย
    • ขี้หงุดหงิด
    • สมองเบลอ
    • และ “ภูมิต้านทานลดลง”



    แล้วจะเริ่มฟื้นฟูอย่างไรดี? โดยไม่ต้องพึ่งยา

    ผมขอแบ่งเป็น 3 ด้านง่ายๆ ที่คุณทำได้เองที่บ้านเลยครับ

    1. เปลี่ยน “กิจวัตรก่อนนอน” ให้ร่างกายรู้ว่า…ถึงเวลาพักแล้ว
    • ปิดหน้าจอมือถืออย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนนอน
    • อาบน้ำอุ่นก่อนนอน ช่วยลดคอร์ติซอล (ฮอร์โมนเครียด)
    • ใช้กลิ่นลาเวนเดอร์ หรือเปิดเสียง white noise ผ่อนคลายสมอง
    • หายใจลึกๆ แบบ 4-7-8 (4 วินาที-กลั้น 7-หายใจออก 😎

    2. ดูแลฮอร์โมนด้วยอาหารที่ใช่
    • ลดน้ำตาล แป้งขัดขาว เพราะมันทำให้ “อินซูลิน” แปรปรวน → รบกวนสมดุลฮอร์โมน
    • เสริมผักใบเขียว ไขมันดี (น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง) และโปรตีนพอดีๆ
    • ลองทำ IF แบบนุ่มๆ เช่น 12/12 หรือ 14/10 → ให้ระบบย่อยได้พัก และช่วยฟื้นฮอร์โมนได้จริง

    3. ตื่นให้ตรงเวลา และรับแดดเช้า
    • การรับแสงแดดตอนเช้า 10-15 นาที จะกระตุ้นการหลั่งเซโรโทนิน และช่วยให้คุณหลับลึกในตอนกลางคืน
    • แสงเช้า = นาฬิกาชีวิต → ปรับวงจรการหลับ-ตื่นของร่างกายอย่างธรรมชาติ



    อย่าปล่อยให้ “นอนไม่หลับ” เป็นเรื่องเล็ก

    เพราะบางครั้ง…การปล่อยผ่าน อาจทำให้เราพลาดโอกาสในการดูแลตัวเอง
    แค่คุณเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ เหล่านี้ ชีวิตก็จะเริ่มเปลี่ยนครับ
    คุณจะรู้สึกได้ว่า “สมองโล่งขึ้น” “ร่างกายสดชื่นขึ้น” และ “จิตใจเบาสบายขึ้น” อย่างเป็นธรรมชาติ

    และผมเชื่อเสมอว่า
    คุณไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบอดทนกับอาการเหล่านี้อีกต่อไป

    ขอแค่คุณเห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วเริ่มดูแลตัวเองจากคืนนี้เลยครับ
    💔 นอนไม่หลับอาจไม่ใช่แค่ปัญหาเล็กๆ…แต่มันคือ “ไฟกะพริบ” ที่ร่างกายส่งสัญญาณให้เราฟัง 👉มีผู้หญิงวัย 40+ จำนวนไม่น้อยที่นอนไม่หลับ “ช่วงนี้นอนไม่หลับเลยค่ะ ผมเริ่มบาง ใจสั่น รู้สึกอ่อนเพลียทั้งวัน” บางคนก็แค่คิดว่า “อาจเครียด อาจเหนื่อย เดี๋ยวก็คงหาย” แต่ความจริง…มันลึกกว่านั้นครับ เมื่ออายุเข้าสู่ช่วงวัย 40+ ระบบ “ฮอร์โมนเพศหญิง” อย่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะเริ่มลดลงอย่างช้าๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญกับระบบนอนหลับ สมอง หัวใจ ผิวพรรณ และแม้แต่ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และนี่คือเหตุผลที่ “นอนไม่หลับ” กลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ของหลายโรคร้าย ⸻ งานวิจัยระดับโลกพูดตรงกันว่า… ผู้หญิงวัยกลางคนที่นอนไม่เพียงพอหรือหลับไม่ลึก มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และโรคหัวใจสูงขึ้นถึง 50-70%【Harvard Medical School, 2021】 เพราะขณะนอนหลับ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน “เมลาโทนิน” และ “โกรทฮอร์โมน” ซึ่งช่วย • ฟื้นฟูเซลล์ที่เสียหาย • กำจัดสารพิษจากระบบประสาท • และ “ควบคุมการแบ่งเซลล์ผิดปกติ” ซึ่งเป็นต้นทางของเซลล์มะเร็ง หากคุณนอนไม่หลับนานๆ ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะ “อักเสบเรื้อรัง” อาการเหล่านี้มักจะตามมาเรื่อยๆ โดยที่คุณไม่ทันสังเกต • เพลียทั้งวัน • น้ำหนักเพิ่มง่าย • ขี้หงุดหงิด • สมองเบลอ • และ “ภูมิต้านทานลดลง” ⸻ แล้วจะเริ่มฟื้นฟูอย่างไรดี? โดยไม่ต้องพึ่งยา ผมขอแบ่งเป็น 3 ด้านง่ายๆ ที่คุณทำได้เองที่บ้านเลยครับ 1. เปลี่ยน “กิจวัตรก่อนนอน” ให้ร่างกายรู้ว่า…ถึงเวลาพักแล้ว • ปิดหน้าจอมือถืออย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนนอน • อาบน้ำอุ่นก่อนนอน ช่วยลดคอร์ติซอล (ฮอร์โมนเครียด) • ใช้กลิ่นลาเวนเดอร์ หรือเปิดเสียง white noise ผ่อนคลายสมอง • หายใจลึกๆ แบบ 4-7-8 (4 วินาที-กลั้น 7-หายใจออก 😎 2. ดูแลฮอร์โมนด้วยอาหารที่ใช่ • ลดน้ำตาล แป้งขัดขาว เพราะมันทำให้ “อินซูลิน” แปรปรวน → รบกวนสมดุลฮอร์โมน • เสริมผักใบเขียว ไขมันดี (น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง) และโปรตีนพอดีๆ • ลองทำ IF แบบนุ่มๆ เช่น 12/12 หรือ 14/10 → ให้ระบบย่อยได้พัก และช่วยฟื้นฮอร์โมนได้จริง 3. ตื่นให้ตรงเวลา และรับแดดเช้า • การรับแสงแดดตอนเช้า 10-15 นาที จะกระตุ้นการหลั่งเซโรโทนิน และช่วยให้คุณหลับลึกในตอนกลางคืน • แสงเช้า = นาฬิกาชีวิต → ปรับวงจรการหลับ-ตื่นของร่างกายอย่างธรรมชาติ ⸻ อย่าปล่อยให้ “นอนไม่หลับ” เป็นเรื่องเล็ก เพราะบางครั้ง…การปล่อยผ่าน อาจทำให้เราพลาดโอกาสในการดูแลตัวเอง แค่คุณเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ เหล่านี้ ชีวิตก็จะเริ่มเปลี่ยนครับ คุณจะรู้สึกได้ว่า “สมองโล่งขึ้น” “ร่างกายสดชื่นขึ้น” และ “จิตใจเบาสบายขึ้น” อย่างเป็นธรรมชาติ และผมเชื่อเสมอว่า คุณไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบอดทนกับอาการเหล่านี้อีกต่อไป ขอแค่คุณเห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วเริ่มดูแลตัวเองจากคืนนี้เลยครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 สาเหตุ ที่ทำให้ ตับอักเสบ
    1. แอลกอฮอล์
    2. ไวรัส
    3. ไขมันพอกตับ ถุง หวาน ทอด ไตร เลว เบา
    3 สาเหตุ ที่ทำให้ ตับอักเสบ 1. แอลกอฮอล์ 2. ไวรัส 3. ไขมันพอกตับ ถุง หวาน ทอด ไตร เลว เบา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • 🌿พบสารใน "โรสแมรี่" ช่วยฟื้นฟูความจำ อาจรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้
    .
    🧠 นักวิจัยสหรัฐฯ ค้นพบสารจากสมุนไพรครัวเรือน ที่อาจช่วยรักษาอัลไซเมอร์ได้ในอนาคต สาร diAcCA ที่สังเคราะห์จากโรสแมรี่และเสจ แสดงผลดีในหนูทดลอง ช่วยเพิ่มไซแนปส์ในสมอง และลดการสะสมของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์
    .
    📌 กรดคาร์โนซิกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ แต่มีอายุการเก็บรักษาสั้นมาก ในขณะที่ diAcCA สามารถรับประทานทางปากก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นกรดคาร์โนซิกในกระเพาะอาหารและเข้าสู่กระแสเลือด
    .
    📍 สำหรับโรคอัลไซเมอร์คิดเป็น 70% ของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม และสร้างภาระที่สำคัญและเพิ่มขึ้นทั่วโลก เนื่องจากประชากรที่มีอายุมากขึ้น

    ..ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ..
    #โรสแมรี่ #อัลไซเมอร์ #thaitime
    🌿พบสารใน "โรสแมรี่" ช่วยฟื้นฟูความจำ อาจรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้ . 🧠 นักวิจัยสหรัฐฯ ค้นพบสารจากสมุนไพรครัวเรือน ที่อาจช่วยรักษาอัลไซเมอร์ได้ในอนาคต สาร diAcCA ที่สังเคราะห์จากโรสแมรี่และเสจ แสดงผลดีในหนูทดลอง ช่วยเพิ่มไซแนปส์ในสมอง และลดการสะสมของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ . 📌 กรดคาร์โนซิกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ แต่มีอายุการเก็บรักษาสั้นมาก ในขณะที่ diAcCA สามารถรับประทานทางปากก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นกรดคาร์โนซิกในกระเพาะอาหารและเข้าสู่กระแสเลือด . 📍 สำหรับโรคอัลไซเมอร์คิดเป็น 70% ของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม และสร้างภาระที่สำคัญและเพิ่มขึ้นทั่วโลก เนื่องจากประชากรที่มีอายุมากขึ้น ..ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ.. #โรสแมรี่ #อัลไซเมอร์ #thaitime
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 425 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้มาคุยในเรื่องที่เพื่อนเพจท่านหนึ่งเคยถามมา สืบเนื่องจากเราเห็นละครจีนโบราณหลายเรื่องมีการกินน้ำแกงคุมกำเนิดหรือแม้แต่น้ำแกงที่ทำให้แท้งลูก อย่างตัวอย่างในเรื่อง <ร้อยรักปักดวงใจ> ที่หนึ่งในตัวละครหลักคืออนุฉินถูกบังคับให้กินน้ำแกงคุมกำเนิดมาตลอดจนภายหลังเมื่อตั้งครรภ์ก็แท้งลูกและไม่สามารถมีลูกได้อีก คำถามคือ มียาอย่างนี้จริงๆ หรือ?

    คำตอบคือ ‘น่าจะมี’ เพราะมีสูตรยาจีนโบราณหลายฉบับที่สืบทอดกันมาจวบจนปัจจุบัน เพียงแต่ว่าไม่มีใครออกมายืนยันว่าได้ทดลองและได้ผลจริง สาเหตุก็เพราะว่าปัจจุบันมีวิธีและยาคุมกำเนิดหลากหลาย และยาสูตรโบราณเหล่านี้อาจมีผลร้ายในระยะยาวต่อร่างกายได้ ดังเช่นที่ตำรายาจีนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า ‘เป็นยานั้นไซร้สามส่วนคือพิษ’ (是药三分毒) อันหมายความว่า ยาอาจให้คุณและให้โทษได้

    จีนโบราณมีวิธีคุมกำเนิดหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือการกินน้ำแกงป้องกันการมีบุตร (ปี้จื่อทั้ง / 避子汤) หรือสูตรยาที่หยุดครรภ์ (ต้วนฉ่านฟ้าง / 断产方) อย่างเช่นใน ‘ตำราครรภ์’ ของเต๋อเจิ๊นฉางในสมัยสุย-ถัง หรือ ‘สูตรยาสำคัญของสตรี’ ของซุ้นซื้อเหมี่ยว แพทย์สมัยถังที่เลื่องชื่อในประวัติศาสตร์จีน

    เท่าที่ Storyฯ หาข้อมูลได้ พบว่ามีสูตรหลากหลาย แต่พอจะสรุปจากตัวยาหลักได้ว่าสรรพคุณโดยรวมของยาคุมกำเนิดและยาหยุดครรภ์เหล่านี้ก็คือ การเพิ่มฤทธิ์ธาตุหยิน (หรือฤทธิ์เย็น) ภายในร่างกาย และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ขับลม ขับเลือดเสีย ซึ่งมียาสมุนไพรจีนหลายตัวที่ให้สรรพคุณเหล่านี้ และหากใช้ในปริมาณที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายจะใช้เป็นยารักษาหรือยาบำรุงได้ เช่นว่า โบราณใช้เป็นยาก่อนตั้งครรภ์เพื่อล้างมดลูกให้สะอาดและบำรุงชี่ปรับสภาพร่างกายเพื่อกระตุ้นให้ตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น และยาหลังคลอดบุตรหรือหลังประจำเดือนหมดเพื่อขับเลือดเสียที่เกาะอยู่บนผนังมดลูกออกมา ตัวอย่างของยาที่อยู่ในกลุ่มประเภทนี้ก็มีหลายชนิด (ดูรูปตัวอย่าง) เช่น ต่อมหางกวางชะมด ดอกคำฝอย ชวนเกียง น้ำมันที่สกัดจากผักกาดก้านขาว (canola oil) เป็นต้น แน่นอนว่าสูตรยาแต่ละขนานจะประกอบด้วยตัวยาหลากชนิด จึงอาจมีสรรพคุณในด้านอื่นด้วย เช่น ขับลม ลดสภาวะอักเสบในร่างกาย ลดการจับตัวของไขมัน ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น เป็นต้น

    แต่ ‘เป็นยานั้นไซร้สามส่วนคือพิษ’ หากรับประทานต่อเนื่องระยะยาวอาจทำให้มีภาวะโลหิตจาง ร่างกายอ่อนเพลียง่าย มดลูกทำงานไม่ปกติและประจำเดือนมาไม่ปกติ ทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ และหากรับประทานในช่วงตั้งครรภ์จะขับลิ่มเลือดและทำให้มดลูกบีบตัว ทำให้แท้งลูกได้ ยกตัวอย่างคือดอกคำฝอย เพื่อนเพจที่ดื่มชาดอกคำฝอยจะทราบดีถึงคำเตือนว่าห้ามดื่มในระหว่างตั้งครรภ์

    เพื่อนเพจที่คุ้นเคยกับยาสมุนไพรและยาจีนจะทราบว่า ยาเหล่านี้ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ผลดังที่ต้องการ เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อาหารอย่างอื่นที่เรารับประทานว่ามีฤทธิค้านกัน หรือมีฤทธิเสริมกันแรงเกินไปหรือไม่ และขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน

    ดังนั้นยาสูตร ‘ปี้จื่อทั้ง’ หรือ ‘ต้วนฉ่านฟ้าง’ ที่สืบทอดมาแต่โบราณเหล่านี้ จะออกฤทธิ์ทันควันเหมือนที่เราเห็นในละครหรือไม่? หรือว่าออกฤทธิ์ได้จริงแบบที่เห็นในละครหรือไม่? Storyฯ ก็ไม่ทราบได้ และไม่มีความรู้ลึกซึ้งถึงการรักษาแบบแผนจีนพอที่จะให้ความเห็น แต่ด้วยหลักการ ‘เป็นยานั้นไซร้สามส่วนคือพิษ’ เราจึงมักเห็นพล็อตละคร/นิยายที่มีการปรับสัดส่วนของสมุนไพรในสูตรยาหรือเพิ่มยาตัวอื่นเข้าไปให้กลายเป็นพิษนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://inf.news/entertainment/b6ddc93cc4f9a720bf5c3fd752c4e1b9.html
    https://www.popdaily.com.tw/forum/entertainment/935802
    https://www.sohu.com/a/251057863_100011360
    https://www.sohu.com/a/249476484_242776
    https://www.sohu.com/a/525891685_121119111
    https://www.huachiewtcm.com/content/8036/ชวนซฺยง-川芎-ข้อมูลสมุนไพรจีน
    https://baike.baidu.com/item/红花/16556131
    https://zh.wikipedia.org/zh-hant/麝香

    #ร้อยรักปักดวงใจ #ปี้จื่อทัง #น้ำแกงห้ามลูก #สมุนไพรในละครจีน
    วันนี้มาคุยในเรื่องที่เพื่อนเพจท่านหนึ่งเคยถามมา สืบเนื่องจากเราเห็นละครจีนโบราณหลายเรื่องมีการกินน้ำแกงคุมกำเนิดหรือแม้แต่น้ำแกงที่ทำให้แท้งลูก อย่างตัวอย่างในเรื่อง <ร้อยรักปักดวงใจ> ที่หนึ่งในตัวละครหลักคืออนุฉินถูกบังคับให้กินน้ำแกงคุมกำเนิดมาตลอดจนภายหลังเมื่อตั้งครรภ์ก็แท้งลูกและไม่สามารถมีลูกได้อีก คำถามคือ มียาอย่างนี้จริงๆ หรือ? คำตอบคือ ‘น่าจะมี’ เพราะมีสูตรยาจีนโบราณหลายฉบับที่สืบทอดกันมาจวบจนปัจจุบัน เพียงแต่ว่าไม่มีใครออกมายืนยันว่าได้ทดลองและได้ผลจริง สาเหตุก็เพราะว่าปัจจุบันมีวิธีและยาคุมกำเนิดหลากหลาย และยาสูตรโบราณเหล่านี้อาจมีผลร้ายในระยะยาวต่อร่างกายได้ ดังเช่นที่ตำรายาจีนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า ‘เป็นยานั้นไซร้สามส่วนคือพิษ’ (是药三分毒) อันหมายความว่า ยาอาจให้คุณและให้โทษได้ จีนโบราณมีวิธีคุมกำเนิดหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือการกินน้ำแกงป้องกันการมีบุตร (ปี้จื่อทั้ง / 避子汤) หรือสูตรยาที่หยุดครรภ์ (ต้วนฉ่านฟ้าง / 断产方) อย่างเช่นใน ‘ตำราครรภ์’ ของเต๋อเจิ๊นฉางในสมัยสุย-ถัง หรือ ‘สูตรยาสำคัญของสตรี’ ของซุ้นซื้อเหมี่ยว แพทย์สมัยถังที่เลื่องชื่อในประวัติศาสตร์จีน เท่าที่ Storyฯ หาข้อมูลได้ พบว่ามีสูตรหลากหลาย แต่พอจะสรุปจากตัวยาหลักได้ว่าสรรพคุณโดยรวมของยาคุมกำเนิดและยาหยุดครรภ์เหล่านี้ก็คือ การเพิ่มฤทธิ์ธาตุหยิน (หรือฤทธิ์เย็น) ภายในร่างกาย และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ขับลม ขับเลือดเสีย ซึ่งมียาสมุนไพรจีนหลายตัวที่ให้สรรพคุณเหล่านี้ และหากใช้ในปริมาณที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายจะใช้เป็นยารักษาหรือยาบำรุงได้ เช่นว่า โบราณใช้เป็นยาก่อนตั้งครรภ์เพื่อล้างมดลูกให้สะอาดและบำรุงชี่ปรับสภาพร่างกายเพื่อกระตุ้นให้ตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น และยาหลังคลอดบุตรหรือหลังประจำเดือนหมดเพื่อขับเลือดเสียที่เกาะอยู่บนผนังมดลูกออกมา ตัวอย่างของยาที่อยู่ในกลุ่มประเภทนี้ก็มีหลายชนิด (ดูรูปตัวอย่าง) เช่น ต่อมหางกวางชะมด ดอกคำฝอย ชวนเกียง น้ำมันที่สกัดจากผักกาดก้านขาว (canola oil) เป็นต้น แน่นอนว่าสูตรยาแต่ละขนานจะประกอบด้วยตัวยาหลากชนิด จึงอาจมีสรรพคุณในด้านอื่นด้วย เช่น ขับลม ลดสภาวะอักเสบในร่างกาย ลดการจับตัวของไขมัน ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น เป็นต้น แต่ ‘เป็นยานั้นไซร้สามส่วนคือพิษ’ หากรับประทานต่อเนื่องระยะยาวอาจทำให้มีภาวะโลหิตจาง ร่างกายอ่อนเพลียง่าย มดลูกทำงานไม่ปกติและประจำเดือนมาไม่ปกติ ทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ และหากรับประทานในช่วงตั้งครรภ์จะขับลิ่มเลือดและทำให้มดลูกบีบตัว ทำให้แท้งลูกได้ ยกตัวอย่างคือดอกคำฝอย เพื่อนเพจที่ดื่มชาดอกคำฝอยจะทราบดีถึงคำเตือนว่าห้ามดื่มในระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อนเพจที่คุ้นเคยกับยาสมุนไพรและยาจีนจะทราบว่า ยาเหล่านี้ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ผลดังที่ต้องการ เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อาหารอย่างอื่นที่เรารับประทานว่ามีฤทธิค้านกัน หรือมีฤทธิเสริมกันแรงเกินไปหรือไม่ และขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน ดังนั้นยาสูตร ‘ปี้จื่อทั้ง’ หรือ ‘ต้วนฉ่านฟ้าง’ ที่สืบทอดมาแต่โบราณเหล่านี้ จะออกฤทธิ์ทันควันเหมือนที่เราเห็นในละครหรือไม่? หรือว่าออกฤทธิ์ได้จริงแบบที่เห็นในละครหรือไม่? Storyฯ ก็ไม่ทราบได้ และไม่มีความรู้ลึกซึ้งถึงการรักษาแบบแผนจีนพอที่จะให้ความเห็น แต่ด้วยหลักการ ‘เป็นยานั้นไซร้สามส่วนคือพิษ’ เราจึงมักเห็นพล็อตละคร/นิยายที่มีการปรับสัดส่วนของสมุนไพรในสูตรยาหรือเพิ่มยาตัวอื่นเข้าไปให้กลายเป็นพิษนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://inf.news/entertainment/b6ddc93cc4f9a720bf5c3fd752c4e1b9.html https://www.popdaily.com.tw/forum/entertainment/935802 https://www.sohu.com/a/251057863_100011360 https://www.sohu.com/a/249476484_242776 https://www.sohu.com/a/525891685_121119111 https://www.huachiewtcm.com/content/8036/ชวนซฺยง-川芎-ข้อมูลสมุนไพรจีน https://baike.baidu.com/item/红花/16556131 https://zh.wikipedia.org/zh-hant/麝香 #ร้อยรักปักดวงใจ #ปี้จื่อทัง #น้ำแกงห้ามลูก #สมุนไพรในละครจีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 604 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาวะหัวใจหยุดเต้นจากแผลเป็นเล็กๆ กระจาย หลายแห่งในกล้ามเนื้อหัวใจ (multiple microscars MMS)รายงานการชันสูตรศพ และตรวจชิ้นเนื้อของกล้ามเนื้อหัวใจในผู้เสียชีวิตสามราย ที่ มีภาวะหัวใจหยุดเต้นที่อธิบายไม่ได้ (unexplained cardiac arrest) โดยมีอายุมาก 75 91 และ 73 ปีถึงแม้ผู้เสียชีวิตจะสูงวัยแต่การตรวจ พบสิ่งปกติที่ทางสถาบันไม่เคยพบมาก่อนตลอดช่วงระยะเวลา 30 ปี นั้นก็คือ • แผลเป็นขนาดเล็กกระจายทั่วไป multiple micro scars ซึ่งต่างจากแผลเป็นขนาดใหญ่ ที่พบได้ทั่วไปในกรณีที่เส้นเลือดหัวใจตัน ทั้งสามรายได้รับโควิดวัคซีน ห้าเข็ม ในสองรายแรก และหกเข็มในสุดท้ายรายที่สองมีมะเร็ง HCC และรายที่สามมีมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยได้รับเคมีบำบัดด้วย และการชันสูตรศพไม่สามารถอธิบายความเกี่ยวพันของภาวะมะเร็งและเคมีบำบัด และไม่พบโปรตีนอมิลอยด์ใน แผลเป็น จึงไม่ใช่เป็นโรคอมิลอยด์ของหัวใจ (cardiac amyloidosis)การอภิปรายของคณะรายงานนี่อาจเป็นรายงานแรกของผู้ป่วยที่มี MMS ในหัวใจที่เสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้น • ที่น่าสังเกตคือ การบีบตัวของหัวใจซ้าย ejection fraction ของผู้ป่วยทั้ง 3 รายไม่ได้ลดลง แม้ว่าจะมี MMS ในกล้ามเนื้อหัวใจทั้งหมด • ผู้ป่วย 2 รายไม่มีประวัติติดเชื้อ COVID-19 และ 1 รายติดเชื้อ COVID-19 • สำหรับประวัติการฉีดวัคซีน COVID-19 ผู้ป่วยทั้ง 3 รายมีประวัติการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันจนถึงการเข้ารับการรักษาครั้งสุดท้าย • มีการรายงานความเชื่อมโยงระหว่างภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและการฉีดวัคซีน COVID-19 เมื่อไม่นานนี้ ตามวารสารด้านล่าง • Patone M., Mei X.W., Handunnetthi L., et al. "Risks of myocarditis, pericarditis, and cardiac arrhythmias associated with COVID-19 vaccination or SARS-CoV-2 infection". Nat Med . 2022;28:410-422. �CrossrefMedlineGoogle Scholar • Pari B., Babbili A., Kattubadi A., et al. "COVID-19 vaccination and cardiac arrhythmias: a review". Curr Cardiol Rep . 2023;25:925-940. �CrossrefMedlineGoogle Scholar • การสำรวจทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าวัคซีน COVID-19 ทุกประเภทดูเหมือนจะกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และวัคซีน COVID-19 อาจทำให้เกิดความผิดปกติของการนำไฟฟ้าของหัวใจ • กลไกเหล่านี้คาดว่าจะเกิดจากการเลียนแบบโมเลกุลหรือการผลิตโปรตีนสไปก์ การตอบสนองของการอักเสบที่เพิ่มขึ้น และการเกิดแผลเป็นและพังผืด • ในที่สุด ที่น่าสนใจคือ ในกรณีศึกษาทางพยาธิวิทยาปัจจุบัน ยังพบไมโครสการ์ริง (แผลเป็นขนาดเล็ก) ที่จุดเชื่อมต่อระหว่างatriumด้านซ้ายกับหลอดเลือดแดงพัลโมนารีและatriumด้านบน ซึ่งเป็นตำแหน่งทั่วไป สำหรับการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกติด้วยการใส่สายสวนเข้าไปจี้ • ในอนาคต เราหวังว่าจะได้เห็นการวิจัยที่จะทำให้สามารถวินิจฉัยพยาธิสรีรวิทยาของ MMS ในหัวใจได้ผ่านการสร้างภาพหัวใจและ/หรือการตรวจเลือดก่อนเสียชีวิต • เหตุใดจึงพบ MMS ในกล้ามเนื้อหัวใจเท่านั้น? • ระยะห่างและขนาดของแผลเป็นที่อยู่ติดกันภายในกล้ามเนื้อหัวใจบ่งชี้ว่า แผลเป็นเกิดขึ้นหลังจากการอักเสบที่ระดับของหลอดเลือดฝอยขนาดเล็ก ระยะห่างจากหลอดเลือดแดงส่วนปลายไปยังจุดเริ่มต้นของหลอดเลือดดำอยู่ที่ประมาณ 300 ถึง 500 ไมโครเมตร (การศึกษาแผนภูมิของ เส้นเลือดฝอยในตำรา เช่นเดียวกับระยะห่างระหว่างแผลเป็นในกรณีปัจจุบัน) • ข้อเท็จจริงที่ว่าแผลเป็นเหล่านี้เกิดจากการอักเสบอันเนื่องมาจากการอุดตันของหลอดเลือดฝอยเท่านั้น และแผลเป็นแต่ละแผลมีลักษณะเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่า“การอักเสบเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดและในเวลาเดียวกัน ” การย้อมด้วย antibody ต่อ CD42b ไม่ติดในหัวใจ ซึ่งบ่งชี้ว่าไม่มีการกระตุ้นของเกล็ดเลือด กล่าวคือ ไม่ใช่เป็นการเกิดขึ้นเฉียบพลัน (acute phase) • แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานการดำเนินไปของ MMS ในหัวใจ แต่ก็ถือเป็นการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี เว้นแต่จะได้รับการรักษาที่เหมาะสม • ดังที่แสดงในภาพขยายของหัวใจ จะเห็นการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงในหลอดเลือดขนาดเล็กซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็ก (microangiopathy) ที่เกิดจากลิ่มเลือด (thrombotic microangiopathy) • การค้นพบความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กที่ไม่คาดคิดนี้ เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อหัวใจเท่านั้น ไม่ใช่ในไต แสดงให้เห็นว่ากรณีเหล่านี้ไม่เข้ากันกับการวินิจฉัยภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากลิ่มเลือด (TTP :thrombotic thrombocytopenia) หรือกลุ่มอาการยูรีเมียจากเม็ดเลือดแดงแตกผิดปกติ (HUS :hemolytic uremic syndrome) • แต่ถือเป็นความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กจากลิ่มเลือดในทางพยาธิวิทยา • สาเหตุของ MMS ในหัวใจยังไม่ชัดเจน • แต่ด้วยความจริงที่ว่า MMS ในหัวใจที่หายากเหล่านี้ยังคงพบได้ในระหว่างการชันสูตรพลิกศพภายในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 6 เดือน • ทำให้เราต้องพิจารณาถึงความเกี่ยวข้อง กับปัจจัยโน้มนำที่เกิดขึ้นในระยะปัจจุบัน • แม้ว่าภาวะหลอดเลือดแดงตีบในกล้ามเนื้อหัวใจ มีความเป็นไปได้ในผู้ป่วย MMS ในหัวใจเหล่านี้ที่จะเกิดก่อนหน้านี้นาน • แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ COVID-19 • มีรายงานการเกิดลิ่มเลือดหลังจากการฉีดวัคซีน COVID-19 และผู้ป่วยของเราได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน COVID-19 • แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ MMS จะถูกเหนี่ยวนำโดยวัคซีน แต่ไม่สามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการฉีดวัคซีนและ MMS เหล่านี้กับลิ่มเลือดในระดับเส้นเลือดฝอยได้ในการศึกษานี้ • ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของ MMS กับวัคซีนรายงานในวารสาร ราชวิทยาลัยหัวใจของอเมริกาCardiac Multiple Micro-Scars: An Autopsy Study.J Am Coll Cardiol Case Rep. 2025 Mar, 30 (5)https://www.jacc.org/doi/full/10.1016/j.jaccas.2024.103083?utm_source=substack&utm_medium=emailรายงานนี้เป็นศัพท์แพทย์และเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของการชันสูตรทางพยาธิวิทยาทั้งสิ้น ที่ระบุ แผลเป็นขนาดเล็กที่มีลักษณะเฉพาะตัว เกิดจากการอักเสบในเส้นเลือดฝอย และไม่ใช่การอุดตันของเส้นเลือดหัวใจตามปกติ ที่สำคัญก็คือ น่าจะอธิบายปรากฏการณ์หัวใจวายที่อธิบายไม่ได้ที่ปรากฏทั่วไปในระยะหลังจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งในประเทศไทยรายงานนี้ตอกย้ำรายงานก่อนหน้าที่ใช้การตรวจ MRI และมีการฉีดสี พบว่าผู้ได้รับวัคซีนมีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจและเมื่อติดตามจะพบแผลเป็นและรายงานที่ใช้ PET scan โดยเวชศาสตร์นิวเคลียร์ พบว่ากล้ามเนื้อหัวใจในกลุ่มคนหลายร้อยคนที่ฉีดวัคซีน แม้ไม่มีอาการแต่ก็จะมีการอักเสบคุกรุ่นตลอด (silent inflammation) เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนทั้งนี้การตรวจทางชิ้นเนื้อพยาธิวิทยาได้ตัดประเด็นสาเหตุที่อาจจะเกิดจากโรคประจำตัว การรักษาโรคประจำตัว และไม่อาจอธิบายด้วยการติดเชื้อโควิด รายละเอียดของแต่ละราย กรรมวิธีในการตรวจสามารถสืบค้นได้ในวารสารที่แนบไว้ ที่ต้องนำมาโพสต์เพราะเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากการตายไม่ทราบสาเหตุแบบกระทันหันเกิดขึ้นได้ทั้งคนอายุน้อยซึ่งมีสุขภาพดี และในคนอายุมากที่ไม่มีใครสนใจเพราะมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว แต่เมื่อหาสาเหตุอันแท้จริงแล้วจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อนเพจนี้อ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ร่วมกับสิ่งที่ประจักษ์ในผู้ป่วยที่ได้ดูแลในประเทศไทย • สื่อที่บิดเบือนความจริงในหลักฐาน ถือได้ว่าเป็นการนำความเท็จเข้าระบบคอมพิวเตอร์ และรวมทั้งที่กล่าวว่าโพสต์ของ หมอธีระวัฒน์และของหมอชลธวัช นั้นเป็นข้อมูลไม่จริง ถือเป็นหลักฐานสำคัญยิ่งที่เน้นว่าสื่อต่างๆเหล่านี้พยายามปกปิดข้อมูลและบิดเบือนความจริงตลอดมา สามารถนำเข้าสู่ขั้นตอนการร้องเรียนเพื่อดำเนินคดีได้ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาประธานนพ ดร ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริรองประธานศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุขและที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    ภาวะหัวใจหยุดเต้นจากแผลเป็นเล็กๆ กระจาย หลายแห่งในกล้ามเนื้อหัวใจ (multiple microscars MMS)รายงานการชันสูตรศพ และตรวจชิ้นเนื้อของกล้ามเนื้อหัวใจในผู้เสียชีวิตสามราย ที่ มีภาวะหัวใจหยุดเต้นที่อธิบายไม่ได้ (unexplained cardiac arrest) โดยมีอายุมาก 75 91 และ 73 ปีถึงแม้ผู้เสียชีวิตจะสูงวัยแต่การตรวจ พบสิ่งปกติที่ทางสถาบันไม่เคยพบมาก่อนตลอดช่วงระยะเวลา 30 ปี นั้นก็คือ • แผลเป็นขนาดเล็กกระจายทั่วไป multiple micro scars ซึ่งต่างจากแผลเป็นขนาดใหญ่ ที่พบได้ทั่วไปในกรณีที่เส้นเลือดหัวใจตัน ทั้งสามรายได้รับโควิดวัคซีน ห้าเข็ม ในสองรายแรก และหกเข็มในสุดท้ายรายที่สองมีมะเร็ง HCC และรายที่สามมีมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยได้รับเคมีบำบัดด้วย และการชันสูตรศพไม่สามารถอธิบายความเกี่ยวพันของภาวะมะเร็งและเคมีบำบัด และไม่พบโปรตีนอมิลอยด์ใน แผลเป็น จึงไม่ใช่เป็นโรคอมิลอยด์ของหัวใจ (cardiac amyloidosis)การอภิปรายของคณะรายงานนี่อาจเป็นรายงานแรกของผู้ป่วยที่มี MMS ในหัวใจที่เสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้น • ที่น่าสังเกตคือ การบีบตัวของหัวใจซ้าย ejection fraction ของผู้ป่วยทั้ง 3 รายไม่ได้ลดลง แม้ว่าจะมี MMS ในกล้ามเนื้อหัวใจทั้งหมด • ผู้ป่วย 2 รายไม่มีประวัติติดเชื้อ COVID-19 และ 1 รายติดเชื้อ COVID-19 • สำหรับประวัติการฉีดวัคซีน COVID-19 ผู้ป่วยทั้ง 3 รายมีประวัติการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันจนถึงการเข้ารับการรักษาครั้งสุดท้าย • มีการรายงานความเชื่อมโยงระหว่างภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและการฉีดวัคซีน COVID-19 เมื่อไม่นานนี้ ตามวารสารด้านล่าง • Patone M., Mei X.W., Handunnetthi L., et al. "Risks of myocarditis, pericarditis, and cardiac arrhythmias associated with COVID-19 vaccination or SARS-CoV-2 infection". Nat Med . 2022;28:410-422. �CrossrefMedlineGoogle Scholar • Pari B., Babbili A., Kattubadi A., et al. "COVID-19 vaccination and cardiac arrhythmias: a review". Curr Cardiol Rep . 2023;25:925-940. �CrossrefMedlineGoogle Scholar • การสำรวจทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าวัคซีน COVID-19 ทุกประเภทดูเหมือนจะกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และวัคซีน COVID-19 อาจทำให้เกิดความผิดปกติของการนำไฟฟ้าของหัวใจ • กลไกเหล่านี้คาดว่าจะเกิดจากการเลียนแบบโมเลกุลหรือการผลิตโปรตีนสไปก์ การตอบสนองของการอักเสบที่เพิ่มขึ้น และการเกิดแผลเป็นและพังผืด • ในที่สุด ที่น่าสนใจคือ ในกรณีศึกษาทางพยาธิวิทยาปัจจุบัน ยังพบไมโครสการ์ริง (แผลเป็นขนาดเล็ก) ที่จุดเชื่อมต่อระหว่างatriumด้านซ้ายกับหลอดเลือดแดงพัลโมนารีและatriumด้านบน ซึ่งเป็นตำแหน่งทั่วไป สำหรับการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกติด้วยการใส่สายสวนเข้าไปจี้ • ในอนาคต เราหวังว่าจะได้เห็นการวิจัยที่จะทำให้สามารถวินิจฉัยพยาธิสรีรวิทยาของ MMS ในหัวใจได้ผ่านการสร้างภาพหัวใจและ/หรือการตรวจเลือดก่อนเสียชีวิต • เหตุใดจึงพบ MMS ในกล้ามเนื้อหัวใจเท่านั้น? • ระยะห่างและขนาดของแผลเป็นที่อยู่ติดกันภายในกล้ามเนื้อหัวใจบ่งชี้ว่า แผลเป็นเกิดขึ้นหลังจากการอักเสบที่ระดับของหลอดเลือดฝอยขนาดเล็ก ระยะห่างจากหลอดเลือดแดงส่วนปลายไปยังจุดเริ่มต้นของหลอดเลือดดำอยู่ที่ประมาณ 300 ถึง 500 ไมโครเมตร (การศึกษาแผนภูมิของ เส้นเลือดฝอยในตำรา เช่นเดียวกับระยะห่างระหว่างแผลเป็นในกรณีปัจจุบัน) • ข้อเท็จจริงที่ว่าแผลเป็นเหล่านี้เกิดจากการอักเสบอันเนื่องมาจากการอุดตันของหลอดเลือดฝอยเท่านั้น และแผลเป็นแต่ละแผลมีลักษณะเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่า“การอักเสบเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดและในเวลาเดียวกัน ” การย้อมด้วย antibody ต่อ CD42b ไม่ติดในหัวใจ ซึ่งบ่งชี้ว่าไม่มีการกระตุ้นของเกล็ดเลือด กล่าวคือ ไม่ใช่เป็นการเกิดขึ้นเฉียบพลัน (acute phase) • แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานการดำเนินไปของ MMS ในหัวใจ แต่ก็ถือเป็นการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี เว้นแต่จะได้รับการรักษาที่เหมาะสม • ดังที่แสดงในภาพขยายของหัวใจ จะเห็นการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงในหลอดเลือดขนาดเล็กซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็ก (microangiopathy) ที่เกิดจากลิ่มเลือด (thrombotic microangiopathy) • การค้นพบความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กที่ไม่คาดคิดนี้ เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อหัวใจเท่านั้น ไม่ใช่ในไต แสดงให้เห็นว่ากรณีเหล่านี้ไม่เข้ากันกับการวินิจฉัยภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากลิ่มเลือด (TTP :thrombotic thrombocytopenia) หรือกลุ่มอาการยูรีเมียจากเม็ดเลือดแดงแตกผิดปกติ (HUS :hemolytic uremic syndrome) • แต่ถือเป็นความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กจากลิ่มเลือดในทางพยาธิวิทยา • สาเหตุของ MMS ในหัวใจยังไม่ชัดเจน • แต่ด้วยความจริงที่ว่า MMS ในหัวใจที่หายากเหล่านี้ยังคงพบได้ในระหว่างการชันสูตรพลิกศพภายในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 6 เดือน • ทำให้เราต้องพิจารณาถึงความเกี่ยวข้อง กับปัจจัยโน้มนำที่เกิดขึ้นในระยะปัจจุบัน • แม้ว่าภาวะหลอดเลือดแดงตีบในกล้ามเนื้อหัวใจ มีความเป็นไปได้ในผู้ป่วย MMS ในหัวใจเหล่านี้ที่จะเกิดก่อนหน้านี้นาน • แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ COVID-19 • มีรายงานการเกิดลิ่มเลือดหลังจากการฉีดวัคซีน COVID-19 และผู้ป่วยของเราได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน COVID-19 • แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ MMS จะถูกเหนี่ยวนำโดยวัคซีน แต่ไม่สามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการฉีดวัคซีนและ MMS เหล่านี้กับลิ่มเลือดในระดับเส้นเลือดฝอยได้ในการศึกษานี้ • ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของ MMS กับวัคซีนรายงานในวารสาร ราชวิทยาลัยหัวใจของอเมริกาCardiac Multiple Micro-Scars: An Autopsy Study.J Am Coll Cardiol Case Rep. 2025 Mar, 30 (5)https://www.jacc.org/doi/full/10.1016/j.jaccas.2024.103083?utm_source=substack&utm_medium=emailรายงานนี้เป็นศัพท์แพทย์และเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของการชันสูตรทางพยาธิวิทยาทั้งสิ้น ที่ระบุ แผลเป็นขนาดเล็กที่มีลักษณะเฉพาะตัว เกิดจากการอักเสบในเส้นเลือดฝอย และไม่ใช่การอุดตันของเส้นเลือดหัวใจตามปกติ ที่สำคัญก็คือ น่าจะอธิบายปรากฏการณ์หัวใจวายที่อธิบายไม่ได้ที่ปรากฏทั่วไปในระยะหลังจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งในประเทศไทยรายงานนี้ตอกย้ำรายงานก่อนหน้าที่ใช้การตรวจ MRI และมีการฉีดสี พบว่าผู้ได้รับวัคซีนมีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจและเมื่อติดตามจะพบแผลเป็นและรายงานที่ใช้ PET scan โดยเวชศาสตร์นิวเคลียร์ พบว่ากล้ามเนื้อหัวใจในกลุ่มคนหลายร้อยคนที่ฉีดวัคซีน แม้ไม่มีอาการแต่ก็จะมีการอักเสบคุกรุ่นตลอด (silent inflammation) เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนทั้งนี้การตรวจทางชิ้นเนื้อพยาธิวิทยาได้ตัดประเด็นสาเหตุที่อาจจะเกิดจากโรคประจำตัว การรักษาโรคประจำตัว และไม่อาจอธิบายด้วยการติดเชื้อโควิด รายละเอียดของแต่ละราย กรรมวิธีในการตรวจสามารถสืบค้นได้ในวารสารที่แนบไว้ ที่ต้องนำมาโพสต์เพราะเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากการตายไม่ทราบสาเหตุแบบกระทันหันเกิดขึ้นได้ทั้งคนอายุน้อยซึ่งมีสุขภาพดี และในคนอายุมากที่ไม่มีใครสนใจเพราะมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว แต่เมื่อหาสาเหตุอันแท้จริงแล้วจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อนเพจนี้อ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ร่วมกับสิ่งที่ประจักษ์ในผู้ป่วยที่ได้ดูแลในประเทศไทย • สื่อที่บิดเบือนความจริงในหลักฐาน ถือได้ว่าเป็นการนำความเท็จเข้าระบบคอมพิวเตอร์ และรวมทั้งที่กล่าวว่าโพสต์ของ หมอธีระวัฒน์และของหมอชลธวัช นั้นเป็นข้อมูลไม่จริง ถือเป็นหลักฐานสำคัญยิ่งที่เน้นว่าสื่อต่างๆเหล่านี้พยายามปกปิดข้อมูลและบิดเบือนความจริงตลอดมา สามารถนำเข้าสู่ขั้นตอนการร้องเรียนเพื่อดำเนินคดีได้ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาประธานนพ ดร ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริรองประธานศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุขและที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 967 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกว่ามีบุุคลผู้ตายคาประตูนิพพาน
    สัทธรรมลำดับที่ : 563
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=563
    ชื่อบทธรรม :- ผู้ตายคาประตูนิพพาน
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ผู้ตายคาประตูนิพพาน
    --สุนักขัตตะ ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ คือจะมีภิกษุบางรูปในกรณีนี้
    มีความเข้าใจของตนมีความหมายอันสรุปได้อย่างนี้เป็นต้น ว่า

    “ตัณหานั้น สมณะกล่าวกันว่าเป็นลูกศร,
    โทษอันมีพิษของอวิชชา ย่อมงอกงามเพราะฉันทราคะและพยาบาท,
    ลูกศรคือตัณหานั้นเราละได้แล้ว,
    โทษอันมีพิษของอวิชชา เราก็นำออกไปหมดแล้ว,
    เราเป็นผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ”
    ดังนี้.
    +-เธอนั้นย่อมตามประกอบซึ่งธรรมทั้งหลายอัน
    ไม่เป็นที่สบายแก่ผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ ;
    คือตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบาย
    ในการเห็นรูปด้วยตา
    ฟังเสียงด้วยหู
    ดมกลิ่นด้วยจมูก
    ลิ้มรสด้วยลิ้น
    ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย
    รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ
    อันล้วนไม่เป็นที่สบาย.
    +-เมื่อเธอตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบายเหล่านี้ อยู่,
    ราคะย่อมเสียบแทงจิตของเธอ.
    เธอมีจิตอันราคะเสียบแทงแล้ว
    ย่อมถึงความตายหรือความทุกข์เจียนตาย.

    --สุนักขัตตะ ! เปรียบเหมือนบุรุษถูกยิงด้วยลูกศรอันอาบไว้ด้วยยาพิษอย่างแรงกล้า.
    มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของเขา
    จัดหาหมอผ่าตัดมารักษาหมอได้ใช้ศาสตราชำแหละปากแผลของเขา
    แล้วใช้เครื่องตรวจค้นหาลูกศร พบแล้วถอนลูกศรออก
    กำจัดโทษอันเป็นพิษที่ยังมีเชื้อเหลือติดอยู่ จนรู้ว่าไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่
    แล้วกล่าวแก่เขาอย่างนี้ว่า
    “--บุรุษผู้เจริญ ! ลูกศรถูกถอนออกแล้ว,
    โทษอันเป็นพิษเรานำออกจนไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว,
    ท่านไม่มีอันตรายอีกแล้ว,
    และท่านจะ บริโภคอาหารได้ตามสบาย
    แต่อย่าไปกินอาหารชนิดที่ไม่สบายแก่แผลอันจะทำให้แผลอักเสบ
    และจงล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา,
    เมื่อท่านล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา
    อย่าให้หนองและเลือดเกรอะกรังปากแผล,
    และท่านอย่าเที่ยวตากลมตากแดด,
    เมื่อเที่ยวตากลมตากแดด, ก็อย่าให้ฝุ่นละอองและของโสโครกเข้าไปในปากแผล.
    --บุรุษผู้เจริญ ! ท่านจงเป็นผู้ระวังรักษาแผล มีเรื่องแผลเป็นเรื่องสำคัญเถอะนะ”
    ดังนี้.

    บุรุษนั้นมีความคิดว่า
    “หมอถอนลูกศรให้เราเสร็จแล้ว
    โทษอันเป็นพิษหมอก็นำออกจนไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว เราหมดอันตราย”
    เขาจึงบริโภคโภชนะที่แสลง,
    เมื่อบริโภคโภชนะที่แสลง แผลก็กำเริบ,
    และเขาไม่ชะแผลตามเวลาไม่ทายาที่ปากแผลตามเวลา,
    เมื่อเขาไม่ชะแผลตามเวลา ไม่ทายาที่ปากแผลตามเวลา หนองและเลือดก็เกรอะกรังปากแผล,
    และเขาเที่ยวตากลมตากแดดปล่อยให้ฝุ่นละอองของโสโครกเข้าไปในปากแผล,
    และเขาไม่ระวังรักษาแผลไม่มีเรื่องแผลเป็นเรื่องสำคัญ.
    เขานำโทษพิษอันไม่สะอาดออกไปด้วยการกระทำอันไม่ถูกต้องเหล่านี้ แผลจึงมีเชื้อเหลืออยู่,
    แผลก็บวมขึ้นเพราะเหตุทั้งสองนั้น.
    บุรุษนั้นมีแผลบวมแล้ว ก็ถึงซึ่งความตายบ้าง ซึ่งความทุกข์เจียนตายบ้าง,
    นี้ฉันใด ;

    --สุนักขัตตะ ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือข้อที่ภิกษุบางรูป
    สำคัญตนว่าน้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ
    ....
    แต่ตามประกอบในธรรมไม่เป็นที่สบายแก่การน้อมไปในนิพพานโดยชอบ
    ....
    ราคะก็เสียบแทงจิตของเธอ.
    เธอมีจิตอันราคะเสียบแทงแล้ว ย่อมถึงความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย.
    --สุนักขัตตะ ! ในอริยวินัยนี้

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/66/76.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/51/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%96
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๖๖/๗๖.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/66/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%96
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=563
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=37&id=563
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=37
    ลำดับสาธยายธรรม : 37 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_37.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกว่ามีบุุคลผู้ตายคาประตูนิพพาน สัทธรรมลำดับที่ : 563 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=563 ชื่อบทธรรม :- ผู้ตายคาประตูนิพพาน เนื้อความทั้งหมด :- --ผู้ตายคาประตูนิพพาน --สุนักขัตตะ ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ คือจะมีภิกษุบางรูปในกรณีนี้ มีความเข้าใจของตนมีความหมายอันสรุปได้อย่างนี้เป็นต้น ว่า “ตัณหานั้น สมณะกล่าวกันว่าเป็นลูกศร, โทษอันมีพิษของอวิชชา ย่อมงอกงามเพราะฉันทราคะและพยาบาท, ลูกศรคือตัณหานั้นเราละได้แล้ว, โทษอันมีพิษของอวิชชา เราก็นำออกไปหมดแล้ว, เราเป็นผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ” ดังนี้. +-เธอนั้นย่อมตามประกอบซึ่งธรรมทั้งหลายอัน ไม่เป็นที่สบายแก่ผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ ; คือตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบาย ในการเห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู ดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ อันล้วนไม่เป็นที่สบาย. +-เมื่อเธอตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบายเหล่านี้ อยู่, ราคะย่อมเสียบแทงจิตของเธอ. เธอมีจิตอันราคะเสียบแทงแล้ว ย่อมถึงความตายหรือความทุกข์เจียนตาย. --สุนักขัตตะ ! เปรียบเหมือนบุรุษถูกยิงด้วยลูกศรอันอาบไว้ด้วยยาพิษอย่างแรงกล้า. มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของเขา จัดหาหมอผ่าตัดมารักษาหมอได้ใช้ศาสตราชำแหละปากแผลของเขา แล้วใช้เครื่องตรวจค้นหาลูกศร พบแล้วถอนลูกศรออก กำจัดโทษอันเป็นพิษที่ยังมีเชื้อเหลือติดอยู่ จนรู้ว่าไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่ แล้วกล่าวแก่เขาอย่างนี้ว่า “--บุรุษผู้เจริญ ! ลูกศรถูกถอนออกแล้ว, โทษอันเป็นพิษเรานำออกจนไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว, ท่านไม่มีอันตรายอีกแล้ว, และท่านจะ บริโภคอาหารได้ตามสบาย แต่อย่าไปกินอาหารชนิดที่ไม่สบายแก่แผลอันจะทำให้แผลอักเสบ และจงล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา, เมื่อท่านล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา อย่าให้หนองและเลือดเกรอะกรังปากแผล, และท่านอย่าเที่ยวตากลมตากแดด, เมื่อเที่ยวตากลมตากแดด, ก็อย่าให้ฝุ่นละอองและของโสโครกเข้าไปในปากแผล. --บุรุษผู้เจริญ ! ท่านจงเป็นผู้ระวังรักษาแผล มีเรื่องแผลเป็นเรื่องสำคัญเถอะนะ” ดังนี้. บุรุษนั้นมีความคิดว่า “หมอถอนลูกศรให้เราเสร็จแล้ว โทษอันเป็นพิษหมอก็นำออกจนไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว เราหมดอันตราย” เขาจึงบริโภคโภชนะที่แสลง, เมื่อบริโภคโภชนะที่แสลง แผลก็กำเริบ, และเขาไม่ชะแผลตามเวลาไม่ทายาที่ปากแผลตามเวลา, เมื่อเขาไม่ชะแผลตามเวลา ไม่ทายาที่ปากแผลตามเวลา หนองและเลือดก็เกรอะกรังปากแผล, และเขาเที่ยวตากลมตากแดดปล่อยให้ฝุ่นละอองของโสโครกเข้าไปในปากแผล, และเขาไม่ระวังรักษาแผลไม่มีเรื่องแผลเป็นเรื่องสำคัญ. เขานำโทษพิษอันไม่สะอาดออกไปด้วยการกระทำอันไม่ถูกต้องเหล่านี้ แผลจึงมีเชื้อเหลืออยู่, แผลก็บวมขึ้นเพราะเหตุทั้งสองนั้น. บุรุษนั้นมีแผลบวมแล้ว ก็ถึงซึ่งความตายบ้าง ซึ่งความทุกข์เจียนตายบ้าง, นี้ฉันใด ; --สุนักขัตตะ ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือข้อที่ภิกษุบางรูป สำคัญตนว่าน้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ .... แต่ตามประกอบในธรรมไม่เป็นที่สบายแก่การน้อมไปในนิพพานโดยชอบ .... ราคะก็เสียบแทงจิตของเธอ. เธอมีจิตอันราคะเสียบแทงแล้ว ย่อมถึงความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย. --สุนักขัตตะ ! ในอริยวินัยนี้ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/66/76. http://etipitaka.com/read/thai/14/51/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๖๖/๗๖. http://etipitaka.com/read/pali/14/66/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%96 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=563 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=37&id=563 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=37 ลำดับสาธยายธรรม : 37 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_37.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ผู้ตายคาประตูนิพพาน
    -ผู้ตายคาประตูนิพพาน สุนักขัตตะ ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ คือจะมีภิกษุบางรูปในกรณีนี้มีความเข้าใจของตนมีความหมายอันสรุปได้อย่างนี้เป็นต้น ว่า “ตัณหานั้น สมณะกล่าวกันว่าเป็นลูกศร, โทษอันมีพิษของอวิชชา ย่อมงอกงามเพราะฉันทราคะและพยาบาท, ลูกศรคือตัณหานั้นเราละได้แล้ว, โทษอันมีพิษของอวิชชา เราก็นำออกไปหมดแล้ว, เราเป็นผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ” ดังนี้. เธอนั้นย่อมตามประกอบซึ่งธรรมทั้งหลายอันไม่เป็นที่สบายแก่ผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ ; คือตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบาย ในการเห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู ดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ อันล้วนไม่เป็นที่สบาย. เมื่อเธอตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบายเหล่านี้ อยู่, ราคะย่อมเสียบแทงจิตของเธอ. เธอมีจิตอันราคะเสียบแทงแล้ว ย่อมถึงความตายหรือความทุกข์เจียนตาย. สุนักขัตตะ ! เปรียบเหมือนบุรุษถูกยิงด้วยลูกศรอันอาบไว้ด้วยยาพิษอย่างแรงกล้า. มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของเขา จัดหาหมอผ่าตัดมารักษาหมอได้ใช้ศาสตราชำแหละปากแผลของเขา แล้วใช้เครื่องตรวจค้นหาลูกศร พบแล้วถอนลูกศรออก กำจัดโทษอันเป็นพิษที่ยังมีเชื้อเหลือติดอยู่ จนรู้ว่าไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่ แล้วกล่าวแก่เขาอย่างนี้ว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ลูกศรถูกถอนออกแล้ว, โทษอันเป็นพิษเรานำออกจนไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว, ท่านไม่มีอันตรายอีกแล้ว, และท่านจะ บริโภคอาหารได้ตามสบาย แต่อย่าไปกินอาหารชนิดที่ไม่สบายแก่แผลอันจะทำให้แผลอักเสบ และจงล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา, เมื่อท่านล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา อย่าให้หนองและเลือดเกรอะกรังปากแผล, และท่านอย่าเที่ยวตากลมตากแดด, เมื่อเที่ยวตากลมตากแดด, ก็อย่าให้ฝุ่นละอองและของโสโครกเข้าไปในปากแผล. บุรุษผู้เจริญ ! ท่านจงเป็นผู้ระวังรักษาแผล มีเรื่องแผลเป็นเรื่องสำคัญเถอะนะ” ดังนี้. บุรุษนั้นมีความคิดว่า “หมอถอนลูกศรให้เราเสร็จแล้ว โทษอันเป็นพิษหมอก็นำออกจนไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว เราหมดอันตราย” เขาจึงบริโภคโภชนะที่แสลง, เมื่อบริโภคโภชนะที่แสลง แผลก็กำเริบ, และเขาไม่ชะแผลตามเวลาไม่ทายาที่ปากแผลตามเวลา, เมื่อเขาไม่ชะแผลตามเวลา ไม่ทายาที่ปากแผลตามเวลา หนองและเลือดก็เกรอะกรังปากแผล, และเขาเที่ยวตากลมตากแดดปล่อยให้ฝุ่นละอองของโสโครกเข้าไปในปากแผล, และเขาไม่ระวังรักษาแผลไม่มีเรื่องแผลเป็นเรื่องสำคัญ. เขานำโทษพิษอันไม่สะอาดออกไปด้วยการกระทำอันไม่ถูกต้องเหล่านี้ แผลจึงมีเชื้อเหลืออยู่, แผลก็บวมขึ้นเพราะเหตุทั้งสองนั้น. บุรุษนั้นมีแผลบวมแล้ว ก็ถึงซึ่งความตายบ้าง ซึ่งความทุกข์เจียนตายบ้าง, นี้ฉันใด ; สุนักขัตตะ ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือข้อที่ภิกษุบางรูป สำคัญตนว่าน้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ.... แต่ตามประกอบในธรรมไม่เป็นที่สบายแก่การน้อมไปในนิพพานโดยชอบ....ราคะก็เสียบแทงจิตของเธอ. เธอมีจิตอันราคะเสียบแทงแล้ว ย่อมถึงความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย. สุนักขัตตะ ! ในอริยวินัยนี้ ความตายหมายถึงการบอกคืนสิกขา เวียนไปสู่เพศต่ำ ; ความทุกข์เจียนตายหมายถึงการต้องอาบัติ อันเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 365 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาบุคคลผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง​
    สัทธรรมลำดับที่ : 562
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=562
    ชื่อบทธรรม :- ผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง
    --สุนักขัตตะ ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้
    คือจะมีภิกษุบางรูปในกรณีนี้มีความเข้าใจของตนว่า
    “ตัณหานั้น สมณะกล่าวกันว่าเป็นลูกศร,
    โทษอันมีพิษของอวิชชา ย่อมงอกงามเพราะ​ ฉันทราคะและพยาบาท ;
    ลูกศรคือตัณหานั้นเราละได้แล้ว,
    โทษอันมีพิษของ​ อวิชชา เราก็นำออกไปหมดแล้ว,
    เราเป็นผู้น้อมไปแล้วใน​ นิพพาน​ โดยชอบ.”
    http://etipitaka.com/read/pali/14/69/?keywords=สมฺมานิพฺพานาธิมุตฺโต
    ดังนี้.
    +-เมื่อเธอน้อมไปแล้วใน​ นิพพาน​ โดยชอบ อยู่,
    +-เธอก็ไม่ตามประกอบซึ่งธรรมทั้งหลายอันไม่เป็นที่สบาย
    แก่ผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ ;
    คือไม่ตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบาย ในการ
    เห็นรูปด้วยตาฟังเสียงด้วยหู ;
    ดมกลิ่นด้วยจมูก ;
    ลิ้มรสด้วยลิ้น ;
    ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ;
    รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ
    อันล้วนไม่เป็นที่สบาย.
    เมื่อเธอไม่ตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบายเหล่านี้อยู่,
    ราคะย่อมไม่เสียบแทงจิตของเธอ.
    +-เธอมีจิตอันราคะไม่เสียบแทงแล้ว ย่อมไม่ถึงความตายหรือความทุกข์เจียนตาย.
    --สุนกขัตตะ !
    เปรียบเหมือนบุรุษถูกยิงด้วยลูกศรอันอาบไว้ด้วยยาพิษอย่างแรงกล้า.
    มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของเขาจัดหาหมอผ่าตัดมารักษา.
    หมอได้ใช้ศาสตราชำแหละปากแผลของเขา แล้ว ใช้เครื่องตรวจ
    ค้นหาลูกศร พบแล้วถอนลูกศรออก นำออกซึ่งโทษอันเป็นพิษจนรู้ว่าไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่.
    หมอนั้นกล่าวแก่เขาอย่างนี้ว่า
    “บุรุษผู้เจริญ ! ลูกศรถูกถอนออกแล้ว,
    โทษอันเป็นพิษ เรานำออกจนไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่แล้ว,
    ท่านหมดอันตรายแล้ว และท่านจะบริโภคอาหารได้ตามสบาย ;
    แต่ท่านอย่าไปกินอาหารชนิดที่ไม่สบายแก่แผลอันจะทำให้แผลอักเสบ
    และจงล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา.
    เมื่อท่านล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา
    อย่าให้หนองและเลือดเกรอะกรังปากแผล,
    และท่านอย่าเที่ยวตากลมและแดด, เมื่อเที่ยวตากลมและแดด
    ก็อย่าให้ฝุ่นละอองของโสโครกเข้าไปในปากแผล.
    บุรุษผู้เจริญ! ท่านจงเป็นผู้ระวังรักษาแผล มีเรื่องแผลเป็นเรื่องสำคัญเถอะนะ”
    ดังนี้.
    บุรุษนั้น มีความคิดว่า
    “หมอถอนลูกศรให้เราเสร็จแล้ว
    โทษอันเป็นพิษหมอก็นำออกจนไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว เราหมดอันตราย”
    เขาบริโภคโภชนะอันเป็นที่สบาย (และประพฤติตามหมอสั่งทุกประการ)
    เขานำโทษพิษอันไม่สะอาดออกไป ด้วยการกระทำอันถูกต้องเหล่านี้
    แผลจึงไม่มีเชื้อเหลืออยู่, และงอกขึ้นเต็มเพราะเหตุทั้งสองนั้น.
    เขามีแผลงอกเต็ม มีผิวหนังราบเรียบแล้ว ก็ไม่ถึงซึ่งความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย,
    นี้ฉันใด ;
    --สุนักขัตตะ ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือข้อที่
    ภิกษุบางรูป สำคัญตนว่าน้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ
    แล้วไม่ตามประกอบในธรรมที่ไม่เป็นที่สบายแก่การน้อมไปในนิพพานโดยชอบ
    ราคะก็ไม่เสียบแทงจิตเธอ.
    เธอมีจิตอันราคะไม่เสียบแทงแล้ว ย่อมไม่ถึงความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย.
    --สุนักขัตตะ ! อุปมานี้เรากระทำขึ้น เพื่อให้เข้าใจเนื้อความ นี้คือเนื้อความในอุปมานั้น ;
    +-คำว่า ‘แผล’ เป็นชื่อแห่ง &​อายตนะภายในหก.
    +-คำว่า ‘โทษอันเป็นพิษ’ เป็นชื่อแห่ง &​อวิชชา.
    +-คำว่า ‘ลูกศร’ เป็นชื่อแห่ง &​ตัณหา.
    +-คำว่า ‘เครื่องตรวจ’ เป็นชื่อแห่ง &​สติ.
    +-คำว่า ‘ศาสตรา’ เป็นชื่อของ &​อริยปัญญา.
    +-คำว่า ‘หมอผ่าตัด’ เป็นชื่อของ #ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ.-
    http://etipitaka.com/read/pali/14/72/?keywords=ตถาคต

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ.ม. 14/53/77.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/53/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%97
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ.ม. ๑๔/๖๙/๗๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/69/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%97
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=562
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=37&id=562
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=37
    ลำดับสาธยายธรรม : 37 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_37.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาบุคคลผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง​ สัทธรรมลำดับที่ : 562 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=562 ชื่อบทธรรม :- ผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง เนื้อความทั้งหมด :- --ผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง --สุนักขัตตะ ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ คือจะมีภิกษุบางรูปในกรณีนี้มีความเข้าใจของตนว่า “ตัณหานั้น สมณะกล่าวกันว่าเป็นลูกศร, โทษอันมีพิษของอวิชชา ย่อมงอกงามเพราะ​ ฉันทราคะและพยาบาท ; ลูกศรคือตัณหานั้นเราละได้แล้ว, โทษอันมีพิษของ​ อวิชชา เราก็นำออกไปหมดแล้ว, เราเป็นผู้น้อมไปแล้วใน​ นิพพาน​ โดยชอบ.” http://etipitaka.com/read/pali/14/69/?keywords=สมฺมานิพฺพานาธิมุตฺโต ดังนี้. +-เมื่อเธอน้อมไปแล้วใน​ นิพพาน​ โดยชอบ อยู่, +-เธอก็ไม่ตามประกอบซึ่งธรรมทั้งหลายอันไม่เป็นที่สบาย แก่ผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ ; คือไม่ตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบาย ในการ เห็นรูปด้วยตาฟังเสียงด้วยหู ; ดมกลิ่นด้วยจมูก ; ลิ้มรสด้วยลิ้น ; ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ; รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ อันล้วนไม่เป็นที่สบาย. เมื่อเธอไม่ตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบายเหล่านี้อยู่, ราคะย่อมไม่เสียบแทงจิตของเธอ. +-เธอมีจิตอันราคะไม่เสียบแทงแล้ว ย่อมไม่ถึงความตายหรือความทุกข์เจียนตาย. --สุนกขัตตะ ! เปรียบเหมือนบุรุษถูกยิงด้วยลูกศรอันอาบไว้ด้วยยาพิษอย่างแรงกล้า. มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของเขาจัดหาหมอผ่าตัดมารักษา. หมอได้ใช้ศาสตราชำแหละปากแผลของเขา แล้ว ใช้เครื่องตรวจ ค้นหาลูกศร พบแล้วถอนลูกศรออก นำออกซึ่งโทษอันเป็นพิษจนรู้ว่าไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่. หมอนั้นกล่าวแก่เขาอย่างนี้ว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ลูกศรถูกถอนออกแล้ว, โทษอันเป็นพิษ เรานำออกจนไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่แล้ว, ท่านหมดอันตรายแล้ว และท่านจะบริโภคอาหารได้ตามสบาย ; แต่ท่านอย่าไปกินอาหารชนิดที่ไม่สบายแก่แผลอันจะทำให้แผลอักเสบ และจงล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา. เมื่อท่านล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา อย่าให้หนองและเลือดเกรอะกรังปากแผล, และท่านอย่าเที่ยวตากลมและแดด, เมื่อเที่ยวตากลมและแดด ก็อย่าให้ฝุ่นละอองของโสโครกเข้าไปในปากแผล. บุรุษผู้เจริญ! ท่านจงเป็นผู้ระวังรักษาแผล มีเรื่องแผลเป็นเรื่องสำคัญเถอะนะ” ดังนี้. บุรุษนั้น มีความคิดว่า “หมอถอนลูกศรให้เราเสร็จแล้ว โทษอันเป็นพิษหมอก็นำออกจนไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว เราหมดอันตราย” เขาบริโภคโภชนะอันเป็นที่สบาย (และประพฤติตามหมอสั่งทุกประการ) เขานำโทษพิษอันไม่สะอาดออกไป ด้วยการกระทำอันถูกต้องเหล่านี้ แผลจึงไม่มีเชื้อเหลืออยู่, และงอกขึ้นเต็มเพราะเหตุทั้งสองนั้น. เขามีแผลงอกเต็ม มีผิวหนังราบเรียบแล้ว ก็ไม่ถึงซึ่งความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย, นี้ฉันใด ; --สุนักขัตตะ ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือข้อที่ ภิกษุบางรูป สำคัญตนว่าน้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ แล้วไม่ตามประกอบในธรรมที่ไม่เป็นที่สบายแก่การน้อมไปในนิพพานโดยชอบ ราคะก็ไม่เสียบแทงจิตเธอ. เธอมีจิตอันราคะไม่เสียบแทงแล้ว ย่อมไม่ถึงความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย. --สุนักขัตตะ ! อุปมานี้เรากระทำขึ้น เพื่อให้เข้าใจเนื้อความ นี้คือเนื้อความในอุปมานั้น ; +-คำว่า ‘แผล’ เป็นชื่อแห่ง &​อายตนะภายในหก. +-คำว่า ‘โทษอันเป็นพิษ’ เป็นชื่อแห่ง &​อวิชชา. +-คำว่า ‘ลูกศร’ เป็นชื่อแห่ง &​ตัณหา. +-คำว่า ‘เครื่องตรวจ’ เป็นชื่อแห่ง &​สติ. +-คำว่า ‘ศาสตรา’ เป็นชื่อของ &​อริยปัญญา. +-คำว่า ‘หมอผ่าตัด’ เป็นชื่อของ #ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ.- http://etipitaka.com/read/pali/14/72/?keywords=ตถาคต #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ.ม. 14/53/77. http://etipitaka.com/read/thai/14/53/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%97 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ.ม. ๑๔/๖๙/๗๗. http://etipitaka.com/read/pali/14/69/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%97 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=562 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=37&id=562 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=37 ลำดับสาธยายธรรม : 37 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_37.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง
    -ผู้รอดไปได้ไม่ตายกลางทาง สุนักขัตตะ ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ คือจะมีภิกษุบางรูปในกรณีนี้มีความเข้าใจของตนว่า “ตัณหานั้น สมณะกล่าวกันว่าเป็นลูกศร, โทษอันมีพิษของอวิชชา ย่อมงอกงามเพราะฉันทราคะและพยาบาท ; ลูกศรคือตัณหานั้นเราละได้แล้ว, โทษอันมีพิษของอวิชชา เราก็นำออกไปหมดแล้ว, เราเป็นผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ.” ดังนี้. เมื่อเธอน้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ อยู่, เธอก็ไม่ตามประกอบซึ่งธรรมทั้งหลายอันไม่เป็นที่สบายแก่ผู้น้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ ; คือไม่ตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบาย ในการเห็นรูปด้วยตาฟังเสียงด้วยหู ดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ อันล้วนไม่เป็นที่สบาย. เมื่อเธอไม่ตามประกอบซึ่งธรรมอันไม่เป็นที่สบายเหล่านี้อยู่, ราคะย่อมไม่เสียบแทงจิตของเธอ. เธอมีจิตอันราคะไม่เสียบแทงแล้ว ย่อมไม่ถึงความตายหรือความทุกข์เจียนตาย. สุนกขัตตะ ! เปรียบเหมือนบุรุษถูกยิงด้วยลูกศรอันอาบไว้ด้วยยาพิษอย่างแรงกล้า. มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของเขาจัดหาหมอผ่าตัดมารักษา. หมอ ได้ใช้ศาสตราชำแหละปากแผลของเขา แล้วใช้เครื่องตรวจค้นหาลูกศร พบแล้วถอนลูกศรออก นำออกซึ่งโทษอันเป็นพิษจนรู้ว่าไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่. หมอนั้นกล่าวแก่เขาอย่างนี้ว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ลูกศรถูกถอนออกแล้ว, โทษอันเป็นพิษ เรานำออกจนไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่แล้ว, ท่านหมดอันตรายแล้ว และท่านจะบริโภคอาหารได้ตามสบาย ; แต่ท่านอย่าไปกินอาหารชนิดที่ไม่สบายแก่แผลอันจะทำให้แผลอักเสบ และจงล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา. เมื่อท่านล้างแผลตามเวลา ทายาที่ปากแผลตามเวลา อย่าให้หนองและเลือดเกรอะกรังปากแผล, และท่านอย่าเที่ยวตากลมและแดด, เมื่อเที่ยวตากลมและแดด ก็อย่าให้ฝุ่นละอองของโสโครกเข้าไปในปากแผล. บุรุษผู้เจริญ! ท่านจงเป็นผู้ระวังรักษาแผล มีเรื่องแผลเป็นเรื่องสำคัญเถอะนะ” ดังนี้. บุรุษนั้น มีความคิดว่า “หมอถอนลูกศรให้เราเสร็จแล้ว โทษอันเป็นพิษหมอก็นำออกจนไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว เราหมดอันตราย” เขาบริโภคโภชนะอันเป็นที่สบาย (และประพฤติตามหมอสั่งทุกประการ) เขานำโทษพิษอันไม่สะอาดออกไป ด้วยการกระทำอันถูกต้องเหล่านี้ แผลจึงไม่มีเชื้อเหลืออยู่, และงอกขึ้นเต็มเพราะเหตุทั้งสองนั้น. เขามีแผลงอกเต็ม มีผิวหนังราบเรียบแล้ว ก็ไม่ถึงซึ่งความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย, นี้ฉันใด ; สุนักขัตตะ ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือข้อที่ภิกษุบางรูป สำคัญตนว่าน้อมไปแล้วในนิพพานโดยชอบ....แล้วไม่ตามประกอบในธรรมที่ไม่เป็นที่สบายแก่การน้อมไปในนิพพานโดยชอบ....ราคะก็ไม่เสียบแทงจิตเธอ. เธอมีจิตอันราคะไม่เสียบแทงแล้ว ย่อมไม่ถึงความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย. สุนักขัตตะ ! อุปมานี้เรากระทำขึ้น เพื่อให้เข้าใจเนื้อความ นี้คือเนื้อความในอุปมานั้น ; คำว่า ‘แผล’ เป็นชื่อแห่งอายตนะภายในหก. คำว่า ‘โทษอันเป็นพิษ’ เป็นชื่อแห่ง อวิชชา. คำว่า ‘ลูกศร’ เป็นชื่อแห่ง ตัณหา. คำว่า ‘เครื่องตรวจ’ เป็นชื่อแห่ง สติ. คำว่า ‘ศาสตรา’ เป็นชื่อของ อริยปัญญา. คำว่า ‘หมอผ่าตัด’ เป็นชื่อของ ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 425 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหลือเชื่อ! แค่เอาเท้าไปแช่ลงในน้ำเกลือ ผลที่ได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่สามารถอธิบายได้
    สำหรับคนรักสุขภาพ!!! เทรนด์ยอดฮิตที่กำลังมาแรงในตอนนี้นอกจากการออกกำลังกายแล้วนั้นคือ “แช่เท้าด้วยน้ำเกลือ” ที่ใครก็สามารถทำได้แบบไม่ต้องเสียเงินเข้าสปาเลย แถมได้ประโยชน์มากมายเกินคาด!!
    ประโยชน์ของการแช่เท้าด้วยน้ำเกลือ
    1. ช่วยดึงสิ่งที่ตกค้างในร่างกายออก
    2. ช่วยดึงพลังงานลบที่เกิดจากอารมณ์ที่ไม่ดีและไฟฟ้าไร้สายที่ยิงผ่านร่างกายมนุษย์ออก
    3. หลังจากที่ดึงพลังงานลบออกจากร่างกายแล้วเราก็ใช้วิธีการรักษาได้ตามปกติ ทั้งนี้วิธีการนี้จะเป็นการช่วยดึงพลังงานลบออกจากร่างกาย ก่อนการรักษา ทำให้รักษาได้ง่ายขึ้น
    4. เมื่อแช่เท้าด้วยน้ำเกลือ บ่อยๆ ร่างกายจึงไม่มีพลังงานลบที่ก่อโรคหลงเหลืออยู่อีก และนี่เองจึงทำให้สุขภาพของเราดีขึ้น
    วิธีการแช่เท้าด้วยน้ำเกลือ
    1. นำกะละมังขนาดที่สามารถวางเท้าแช่ได้-ใส่เกลือทะเล(เกลือเม็ดใหญ่)ลงไป3-4ช้อนโต๊ะเติมน้ำลงไปให้ท่วมตาตุ่มควรเป็นน้ำอุ่น แล้วใส่น้ำส้มสายชู ลงไป 1 ช้อนโต๊ะ เพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกจากเท้า
    2. เอาเท้าเหยียบเกลือที่ยังละลายไม่หมดได้
    3. ทำจิตใจให้สงบ หรือเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ นั่งอยู่ประมาณ 25-30 นาที
    4. หลังจากนั้นให้ล้างเท้าด้วยน้ำเปล่า
    การแช่เท้าด้วยน้ำเกลือนั้นคนปกติ สามารถทำได้ทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ส่วนคนป่วย ทำทุกวันก่อนนอน
    ทั้งนี้การแช่เท้า ไม่ว่าจะเป็นน้ำเกลือหรือน้ำอุ่นหรือไม่ก็ตาม ยังมีข้อดีอีกหลายอย่างดังนี้!
    1. ลดอาการปวดบวมที่เท้า
    2. ลดอาการปวดท้อง
    3. กระตุ้นความต้านทานของร่างกาย
    4. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น
    5. ป้องกันอาการมือเท้าเย็นโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว
    6. ลดอาการอักเสบของจมูกและลำคอ
    7. ช่วยให้อาการปวดหัวหรือปวดประจำเดือนลดลง
    8. ลดอาการคั่งของเลือดที่ส่วนอื่นๆ
    9. ทำให้นอนหลับง่ายตลอดคืน เป็นต้น
    ขอมอบให้ทุกท่านเพื่อดูแลสุขภาพกันด้วยความห่วงใยกันและกัน
    เหลือเชื่อ! แค่เอาเท้าไปแช่ลงในน้ำเกลือ ผลที่ได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ สำหรับคนรักสุขภาพ!!! เทรนด์ยอดฮิตที่กำลังมาแรงในตอนนี้นอกจากการออกกำลังกายแล้วนั้นคือ “แช่เท้าด้วยน้ำเกลือ” ที่ใครก็สามารถทำได้แบบไม่ต้องเสียเงินเข้าสปาเลย แถมได้ประโยชน์มากมายเกินคาด!! ประโยชน์ของการแช่เท้าด้วยน้ำเกลือ 1. ช่วยดึงสิ่งที่ตกค้างในร่างกายออก 2. ช่วยดึงพลังงานลบที่เกิดจากอารมณ์ที่ไม่ดีและไฟฟ้าไร้สายที่ยิงผ่านร่างกายมนุษย์ออก 3. หลังจากที่ดึงพลังงานลบออกจากร่างกายแล้วเราก็ใช้วิธีการรักษาได้ตามปกติ ทั้งนี้วิธีการนี้จะเป็นการช่วยดึงพลังงานลบออกจากร่างกาย ก่อนการรักษา ทำให้รักษาได้ง่ายขึ้น 4. เมื่อแช่เท้าด้วยน้ำเกลือ บ่อยๆ ร่างกายจึงไม่มีพลังงานลบที่ก่อโรคหลงเหลืออยู่อีก และนี่เองจึงทำให้สุขภาพของเราดีขึ้น วิธีการแช่เท้าด้วยน้ำเกลือ 1. นำกะละมังขนาดที่สามารถวางเท้าแช่ได้-ใส่เกลือทะเล(เกลือเม็ดใหญ่)ลงไป3-4ช้อนโต๊ะเติมน้ำลงไปให้ท่วมตาตุ่มควรเป็นน้ำอุ่น แล้วใส่น้ำส้มสายชู ลงไป 1 ช้อนโต๊ะ เพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกจากเท้า 2. เอาเท้าเหยียบเกลือที่ยังละลายไม่หมดได้ 3. ทำจิตใจให้สงบ หรือเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ นั่งอยู่ประมาณ 25-30 นาที 4. หลังจากนั้นให้ล้างเท้าด้วยน้ำเปล่า การแช่เท้าด้วยน้ำเกลือนั้นคนปกติ สามารถทำได้ทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ส่วนคนป่วย ทำทุกวันก่อนนอน ทั้งนี้การแช่เท้า ไม่ว่าจะเป็นน้ำเกลือหรือน้ำอุ่นหรือไม่ก็ตาม ยังมีข้อดีอีกหลายอย่างดังนี้! 1. ลดอาการปวดบวมที่เท้า 2. ลดอาการปวดท้อง 3. กระตุ้นความต้านทานของร่างกาย 4. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น 5. ป้องกันอาการมือเท้าเย็นโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว 6. ลดอาการอักเสบของจมูกและลำคอ 7. ช่วยให้อาการปวดหัวหรือปวดประจำเดือนลดลง 8. ลดอาการคั่งของเลือดที่ส่วนอื่นๆ 9. ทำให้นอนหลับง่ายตลอดคืน เป็นต้น ขอมอบให้ทุกท่านเพื่อดูแลสุขภาพกันด้วยความห่วงใยกันและกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 482 มุมมอง 0 รีวิว
  • Athrosclerosis เป็นภาวะการอักเสบเรื้อรังของหลอดเลือด หรือ ภาวะหลอดเลือดเสื่อม แล้วทำให้เกิดการสะสมของคลอเรสตอรอล ที่ ผนังหลอดเลือดแล้วทำให้หลอดเลือดตีบตัน ซึ่งเป็นภาวะการอักเสบของหลอดเลือด
    ดังนั้น..การกินยาลดคลอเรสตอรอล ไม่ใช่เป็นการแก้ไขปัญหา
    ปัจจุบัน วงการแพทย์จึงเน้นไปที่สาเหตุของปัญหา คือ ลดการอักเสบของหลอดเลือด
    โดยเจาะเลือด เพื่อตรวจ.
    1. High Sensitivity CRP. และ 2. Homocysteine
    Athrosclerosis เป็นภาวะการอักเสบเรื้อรังของหลอดเลือด หรือ ภาวะหลอดเลือดเสื่อม แล้วทำให้เกิดการสะสมของคลอเรสตอรอล ที่ ผนังหลอดเลือดแล้วทำให้หลอดเลือดตีบตัน ซึ่งเป็นภาวะการอักเสบของหลอดเลือด ดังนั้น..การกินยาลดคลอเรสตอรอล ไม่ใช่เป็นการแก้ไขปัญหา ปัจจุบัน วงการแพทย์จึงเน้นไปที่สาเหตุของปัญหา คือ ลดการอักเสบของหลอดเลือด โดยเจาะเลือด เพื่อตรวจ. 1. High Sensitivity CRP. และ 2. Homocysteine
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 357 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • 2/3/68

    กินวิถีญี่ปุ่น 3 อาหาร "ต้านมะเร็ง" แถมยืดอายุยืน ไทยมีครบทุกอย่าง และราคาถูกกว่าด้วย!

    จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า อายุขัยเฉลี่ยของชาวญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 84.3 ปี ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ไม่เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนจากระบบการแพทย์ที่ทันสมัย และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ต่ยังรวมถึงการรับประทานอาหารที่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง

    ในขณะเดียวกัน การศึกษาหลายชิ้นพบว่า มะเร็งเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการรับประทานอาหาร ตามข้อมูลจากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (AICR) ระบุว่า ประมาณ 30–50% ของเคสมะเร็ง สามารถป้องกันได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีสุขภาพดีขึ้น แล้วคนญี่ปุ่นมักกินอะไร เพื่อปกป้องสุขภาพและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง?

    3 เมนูต้านมะเร็ง ที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ อุดมไปด้วยสารอาหาร!

    1.กระเทียม: ยารักษามะเร็งจากธรรมชาติ
    คนญี่ปุ่นมักใส่กระเทียมเข้าไปในอาหารประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการปรุงซุป ผัดผัก ไปจนถึงการทำน้ำจิ้ม ขณะเดียวกัน กระเทียมนั้นเป็นหนึ่งในอาหารต้านมะเร็งชั้นนำที่คนญี่ปุ่นบริโภคทุกวัน

    ตามการวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NCI) กระเทียมมีสารออร์แกโนซัลเฟอร์ ซึ่งสามารถกระตุ้นเอนไซม์กำจัดสารพิษในตับได้ จึงช่วยกำจัดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกายได้

    นอกจากนี้ กระเทียมยังยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากไนไตรต์ที่พบในอาหารแปรรูปอีกด้วย และยังมีอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition แสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคกระเทียมเป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง 30–50% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานกระเทียม

    2.ชาเขียว: เคล็ดลับอายุยืนของคนญี่ปุ่น
    ในญี่ปุ่น ชาเขียวไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นยาสำหรับการปกป้องสุขภาพด้วย ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention ผู้ที่ดื่มชาเขียว 5 แก้วต่อวัน หรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ดื่มน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

    ชาเขียวมีสารคาเทชินและอีจีซีจี (Epigallocatechin gallate) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
    โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก
    มะเร็งปอด
    และมะเร็งกระเพาะอาหาร,
    ป้องกันการสร้างเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง ซึ่งช่วยยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง, ขับสารพิษและปกป้องตับ เนื่องจากความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย

    ไม่เพียงเท่านั้น แอล-ธีอะนีน (L-theanine) ในชาเขียวยังช่วยลดความเครียดและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ ชาวญี่ปุ่นหลายคนจึงมีนิสัยดื่มชาเขียวทุกวัน และบางคนยังสร้างสรรค์มัทฉะ - ผงชาเขียวบริสุทธิ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าชาเขียวปกติหลายเท่า

    3.กล้วยที่มีจุดดำ:
    ซูเปอร์ฟู้ดเสริมภูมิคุ้มกัน
    ชาวญี่ปุ่นมีนิสัยที่ค่อนข้างพิเศษ คือพวกเขาชอบกินกล้วยที่มีจุดดำบนเปลือก แทนที่จะกินสุกสีเหลืองธรรมดาเหมือนประเทศอื่นๆ

    จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยโตเกียว พบว่ากล้วยที่สุกจนมีจุดดำจะมีสาร TNF (Tumor Necrosis Factor) ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็ง

    ประโยชน์ของกล้วยที่มีจุดดำคือ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสามารถระบุและทำลายเซลล์มะเร็งได้เร็วขึ้น,
    มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก
    ปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ,
    ช่วยในการย่อยอาหาร
    ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ลดความเสี่ยงของการอักเสบและมะเร็งลำไส้ใหญ่ และจากการศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีอาหารญี่ปุ่นยังพบว่า กล้วยที่มีจุดดำช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้มากกว่ากล้วยที่ยังไม่สุกถึง 8 เท่า

    ท้ายที่สุด วิธีการรับประทานอาหารของชาวญี่ปุ่นเป็นหลักฐานชัดเจนว่า อาหารสามารถมีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็งและยืดอายุขัย แทนที่จะไปมองหา "ซูเปอร์ฟู้ด" ที่มีราคาสูง พวกเขาเลือกอาหารที่ใกล้ตัวและให้คุณค่าทางสุขภาพสูง!
    cr:sanook
    2/3/68 กินวิถีญี่ปุ่น 3 อาหาร "ต้านมะเร็ง" แถมยืดอายุยืน ไทยมีครบทุกอย่าง และราคาถูกกว่าด้วย! จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า อายุขัยเฉลี่ยของชาวญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 84.3 ปี ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ไม่เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนจากระบบการแพทย์ที่ทันสมัย และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ต่ยังรวมถึงการรับประทานอาหารที่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ในขณะเดียวกัน การศึกษาหลายชิ้นพบว่า มะเร็งเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการรับประทานอาหาร ตามข้อมูลจากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (AICR) ระบุว่า ประมาณ 30–50% ของเคสมะเร็ง สามารถป้องกันได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีสุขภาพดีขึ้น แล้วคนญี่ปุ่นมักกินอะไร เพื่อปกป้องสุขภาพและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง? 3 เมนูต้านมะเร็ง ที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ อุดมไปด้วยสารอาหาร! 1.กระเทียม: ยารักษามะเร็งจากธรรมชาติ คนญี่ปุ่นมักใส่กระเทียมเข้าไปในอาหารประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการปรุงซุป ผัดผัก ไปจนถึงการทำน้ำจิ้ม ขณะเดียวกัน กระเทียมนั้นเป็นหนึ่งในอาหารต้านมะเร็งชั้นนำที่คนญี่ปุ่นบริโภคทุกวัน ตามการวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NCI) กระเทียมมีสารออร์แกโนซัลเฟอร์ ซึ่งสามารถกระตุ้นเอนไซม์กำจัดสารพิษในตับได้ จึงช่วยกำจัดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกายได้ นอกจากนี้ กระเทียมยังยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากไนไตรต์ที่พบในอาหารแปรรูปอีกด้วย และยังมีอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition แสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคกระเทียมเป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง 30–50% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานกระเทียม 2.ชาเขียว: เคล็ดลับอายุยืนของคนญี่ปุ่น ในญี่ปุ่น ชาเขียวไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นยาสำหรับการปกป้องสุขภาพด้วย ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention ผู้ที่ดื่มชาเขียว 5 แก้วต่อวัน หรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ดื่มน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ชาเขียวมีสารคาเทชินและอีจีซีจี (Epigallocatechin gallate) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร, ป้องกันการสร้างเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง ซึ่งช่วยยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง, ขับสารพิษและปกป้องตับ เนื่องจากความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย ไม่เพียงเท่านั้น แอล-ธีอะนีน (L-theanine) ในชาเขียวยังช่วยลดความเครียดและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ ชาวญี่ปุ่นหลายคนจึงมีนิสัยดื่มชาเขียวทุกวัน และบางคนยังสร้างสรรค์มัทฉะ - ผงชาเขียวบริสุทธิ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าชาเขียวปกติหลายเท่า 3.กล้วยที่มีจุดดำ: ซูเปอร์ฟู้ดเสริมภูมิคุ้มกัน ชาวญี่ปุ่นมีนิสัยที่ค่อนข้างพิเศษ คือพวกเขาชอบกินกล้วยที่มีจุดดำบนเปลือก แทนที่จะกินสุกสีเหลืองธรรมดาเหมือนประเทศอื่นๆ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยโตเกียว พบว่ากล้วยที่สุกจนมีจุดดำจะมีสาร TNF (Tumor Necrosis Factor) ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็ง ประโยชน์ของกล้วยที่มีจุดดำคือ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสามารถระบุและทำลายเซลล์มะเร็งได้เร็วขึ้น, มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ, ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ลดความเสี่ยงของการอักเสบและมะเร็งลำไส้ใหญ่ และจากการศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีอาหารญี่ปุ่นยังพบว่า กล้วยที่มีจุดดำช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้มากกว่ากล้วยที่ยังไม่สุกถึง 8 เท่า ท้ายที่สุด วิธีการรับประทานอาหารของชาวญี่ปุ่นเป็นหลักฐานชัดเจนว่า อาหารสามารถมีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็งและยืดอายุขัย แทนที่จะไปมองหา "ซูเปอร์ฟู้ด" ที่มีราคาสูง พวกเขาเลือกอาหารที่ใกล้ตัวและให้คุณค่าทางสุขภาพสูง! cr:sanook
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 894 มุมมอง 0 รีวิว
  • 34 ปี โศกนาฏกรรม คลังสารเคมีคลองเตยระเบิด! “คาร์บอนแบล็ค” ฟุ้งกระจาย สูญเสียครั้งใหญ่ที่ถูกลืม ตายทันที 4 ศพ เจ็บ 1,700 คน การท่าเรือได้พื้นที่คืนสมใจ 200 ไร่

    📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมท่าเรือคลองเตย 2534 ผ่านมา 34 ปีเต็ม กับเหตุการณ์โกดังเก็บสารเคมีระเบิด ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นำไปสู่การสูญเสียชีวิต และสุขภาพของผู้คนหลายพันราย แต่กลับไม่มีใครได้รับผิดชอบ อย่างแท้จริง! ⏳

    📆 บ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2534 เวลา 13.30 น. เสียงระเบิดดังสนั่น จากโกดังเก็บสารเคมีหมายเลข 3 ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังโกดังหมายเลข 4 และ 5 สารเคมีหลายชนิดถูกเผาไหม้ และปล่อยควันพิษมหาศาล รถดับเพลิงกว่า 100 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 500 นาย ถูกระดมเข้าไปดับไฟ แต่กลับทำให้เกิดการระเบิด เพิ่มขึ้นอีก! 🔥

    🚨 แรงระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ ลามไปถึงบ้านเรือนประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร ชุมชนคลองเตยถูกเผาผลาญไปกว่า 642 หลังคาเรือน กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา

    ☠️ ผลกระทบจากการระเบิด สูญเสียมหาศาล!
    🔴 ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
    ✅ เสียชีวิตทันที 4 ศพ
    ✅ บาดเจ็บสาหัส 30 ราย รวมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 16 นาย
    ✅ ได้รับสารพิษต้องรักษาในโรงพยาบาล 1,700 คน รวมหญิงมีครรภ์ 499 คน
    ✅ เสียชีวิตจากผลกระทบระยะยาว 43 ราย
    ✅ ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย กว่า 5,000 คน

    💀 “คาร์บอนแบล็ค” และสารพิษที่แทรกซึมร่างกายผู้คน หนึ่งในสารเคมีอันตราย ที่กระจายออกมาจากเหตุการณ์นี้คือ "คาร์บอนแบล็ค" (Carbon Black) ซึ่งเป็นเขม่าสีดำ ที่เกิดจากการเผาไหม้สารเคมีในอุณหภูมิสูง มันไม่เพียงแต่กระจายไปไกล กว่า 13 กิโลเมตร แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผู้คนโดยตรง

    🔬 นักวิจัยตรวจพบว่า
    ✔️ ฝุ่นคาร์บอนแบล็คกระจายไปตามบ้านเรือน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ
    ✔️ มีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ ส่งผลให้สัตว์ทดลองตายใน 24-96 ชั่วโมง
    ✔️ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ผิวหนังอักเสบ และมะเร็ง

    ⛔ ไม่มีแพทย์รายใดกล้ารับรองว่า โรคเหล่านี้เกิดจากพิษสารเคมีโดยตรง! ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบ
    ไม่ได้รับการเยียวยา อย่างเป็นธรรม

    🚒 การรับมือที่ผิดพลาด ทำไมความเสียหายถึงรุนแรง?
    ❌ การดับเพลิงที่ไม่ถูกต้อง สารเคมีหลายชนิด ห้ามใช้น้ำดับเพลิง แต่เจ้าหน้าที่กลับฉีดน้ำเข้าไป โดยไม่ทราบข้อมูล ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ที่ทำให้ไฟลุกลามและระเบิดซ้ำ 🔥

    ❌ ไม่มีมาตรการอพยพฉุกเฉิน ประชาชนในพื้นที่ ไม่ถูกสั่งให้อพยพอย่างเป็นระบบ หลายคนยังคงอยู่ในพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยสารพิษ ส่งผลให้มีผู้ป่วย จากการสูดดมควันพิษจำนวนมาก 🏃‍♂️

    ❌ ขาดการเปิดเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่และภาครัฐ ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี ที่เก็บอยู่ในโกดัง ทำให้แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วย ได้อย่างถูกต้อง 📢

    💰 ใครต้องรับผิดชอบ? แต่กลับไม่มีใครต้องรับโทษ! การสอบสวนพบว่า โกดังที่ระเบิด เป็นที่เก็บสารเคมีอันตรายหลายชนิด แต่กลับสรุปว่า เหตุการณ์นี้เป็น "อุบัติเหตุ" 🚔

    🔍 การท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของสถานที่
    ✔️ ให้เงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเพียง 1,000 - 12,000 บาท
    ✔️ ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท สร้างแฟลตใหม่ แต่ไม่ใช่ค่าชดเชยให้กับผู้ประสบภัย
    ✔️ ไม่เคยมีการฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง ของการท่าเรือฯ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง

    📜 มีการฟ้องร้องจากผู้ป่วยเพียง 2 ราย ในปี 2539 และ 2542 ซึ่งการดำเนินคดี เต็มไปด้วยอุปสรรคและไม่เป็นที่สนใจของรัฐ

    ⚖️ บทเรียนราคาแพงที่ไม่มีการแก้ไข
    📌 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาสำคัญ หลายประการ
    ✅ การจัดเก็บสารเคมีที่อันตราย ในพื้นที่ชุมชน
    ✅ การไม่เปิดเผยข้อมูลอันตราย ต่อประชาชน
    ✅ ระบบกฎหมายไทย ที่ไม่สามารถคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบ
    ✅ ขาดมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในระยะยาว

    📢 34 ปีผ่านไป แต่เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกลืม!

    🔴 34 ปีผ่านไป ท่าเรือคลองเตยได้พื้นที่คืน แต่ความเป็นธรรมยังมาไม่ถึง! วันนี้ที่ดินกว่า 200 ไร่ ที่เคยเป็นโกดังเก็บสารเคมี ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ใช้สอย ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามแผนเดิมที่วางไว้ ⏳

    💬 คำถามคือ
    ✔️ ใครได้ประโยชน์ จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้?
    ✔️ ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อชีวิตที่สูญเสียไป?
    ✔️ ระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับสารเคมีในประเทศไทย พัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน?

    ⛔ อย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถูกลืม! 💔

    📌 #คลองเตยระเบิด #โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม #คาร์บอนแบล็ค #ภัยสารเคมี #กฎหมายสิ่งแวดล้อม #ความยุติธรรมที่หายไป #34ปีคลองเตย #อุบัติภัยครั้งใหญ่ #ระเบิดสารเคมี #สิ่งแวดล้อมไทย
    34 ปี โศกนาฏกรรม คลังสารเคมีคลองเตยระเบิด! “คาร์บอนแบล็ค” ฟุ้งกระจาย สูญเสียครั้งใหญ่ที่ถูกลืม ตายทันที 4 ศพ เจ็บ 1,700 คน การท่าเรือได้พื้นที่คืนสมใจ 200 ไร่ 📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมท่าเรือคลองเตย 2534 ผ่านมา 34 ปีเต็ม กับเหตุการณ์โกดังเก็บสารเคมีระเบิด ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นำไปสู่การสูญเสียชีวิต และสุขภาพของผู้คนหลายพันราย แต่กลับไม่มีใครได้รับผิดชอบ อย่างแท้จริง! ⏳ 📆 บ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2534 เวลา 13.30 น. เสียงระเบิดดังสนั่น จากโกดังเก็บสารเคมีหมายเลข 3 ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังโกดังหมายเลข 4 และ 5 สารเคมีหลายชนิดถูกเผาไหม้ และปล่อยควันพิษมหาศาล รถดับเพลิงกว่า 100 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 500 นาย ถูกระดมเข้าไปดับไฟ แต่กลับทำให้เกิดการระเบิด เพิ่มขึ้นอีก! 🔥 🚨 แรงระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ ลามไปถึงบ้านเรือนประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร ชุมชนคลองเตยถูกเผาผลาญไปกว่า 642 หลังคาเรือน กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา ☠️ ผลกระทบจากการระเบิด สูญเสียมหาศาล! 🔴 ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ✅ เสียชีวิตทันที 4 ศพ ✅ บาดเจ็บสาหัส 30 ราย รวมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 16 นาย ✅ ได้รับสารพิษต้องรักษาในโรงพยาบาล 1,700 คน รวมหญิงมีครรภ์ 499 คน ✅ เสียชีวิตจากผลกระทบระยะยาว 43 ราย ✅ ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย กว่า 5,000 คน 💀 “คาร์บอนแบล็ค” และสารพิษที่แทรกซึมร่างกายผู้คน หนึ่งในสารเคมีอันตราย ที่กระจายออกมาจากเหตุการณ์นี้คือ "คาร์บอนแบล็ค" (Carbon Black) ซึ่งเป็นเขม่าสีดำ ที่เกิดจากการเผาไหม้สารเคมีในอุณหภูมิสูง มันไม่เพียงแต่กระจายไปไกล กว่า 13 กิโลเมตร แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผู้คนโดยตรง 🔬 นักวิจัยตรวจพบว่า ✔️ ฝุ่นคาร์บอนแบล็คกระจายไปตามบ้านเรือน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ ✔️ มีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ ส่งผลให้สัตว์ทดลองตายใน 24-96 ชั่วโมง ✔️ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ผิวหนังอักเสบ และมะเร็ง ⛔ ไม่มีแพทย์รายใดกล้ารับรองว่า โรคเหล่านี้เกิดจากพิษสารเคมีโดยตรง! ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบ ไม่ได้รับการเยียวยา อย่างเป็นธรรม 🚒 การรับมือที่ผิดพลาด ทำไมความเสียหายถึงรุนแรง? ❌ การดับเพลิงที่ไม่ถูกต้อง สารเคมีหลายชนิด ห้ามใช้น้ำดับเพลิง แต่เจ้าหน้าที่กลับฉีดน้ำเข้าไป โดยไม่ทราบข้อมูล ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ที่ทำให้ไฟลุกลามและระเบิดซ้ำ 🔥 ❌ ไม่มีมาตรการอพยพฉุกเฉิน ประชาชนในพื้นที่ ไม่ถูกสั่งให้อพยพอย่างเป็นระบบ หลายคนยังคงอยู่ในพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยสารพิษ ส่งผลให้มีผู้ป่วย จากการสูดดมควันพิษจำนวนมาก 🏃‍♂️ ❌ ขาดการเปิดเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่และภาครัฐ ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี ที่เก็บอยู่ในโกดัง ทำให้แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วย ได้อย่างถูกต้อง 📢 💰 ใครต้องรับผิดชอบ? แต่กลับไม่มีใครต้องรับโทษ! การสอบสวนพบว่า โกดังที่ระเบิด เป็นที่เก็บสารเคมีอันตรายหลายชนิด แต่กลับสรุปว่า เหตุการณ์นี้เป็น "อุบัติเหตุ" 🚔 🔍 การท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของสถานที่ ✔️ ให้เงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเพียง 1,000 - 12,000 บาท ✔️ ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท สร้างแฟลตใหม่ แต่ไม่ใช่ค่าชดเชยให้กับผู้ประสบภัย ✔️ ไม่เคยมีการฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง ของการท่าเรือฯ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง 📜 มีการฟ้องร้องจากผู้ป่วยเพียง 2 ราย ในปี 2539 และ 2542 ซึ่งการดำเนินคดี เต็มไปด้วยอุปสรรคและไม่เป็นที่สนใจของรัฐ ⚖️ บทเรียนราคาแพงที่ไม่มีการแก้ไข 📌 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาสำคัญ หลายประการ ✅ การจัดเก็บสารเคมีที่อันตราย ในพื้นที่ชุมชน ✅ การไม่เปิดเผยข้อมูลอันตราย ต่อประชาชน ✅ ระบบกฎหมายไทย ที่ไม่สามารถคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบ ✅ ขาดมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในระยะยาว 📢 34 ปีผ่านไป แต่เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกลืม! 🔴 34 ปีผ่านไป ท่าเรือคลองเตยได้พื้นที่คืน แต่ความเป็นธรรมยังมาไม่ถึง! วันนี้ที่ดินกว่า 200 ไร่ ที่เคยเป็นโกดังเก็บสารเคมี ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ใช้สอย ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามแผนเดิมที่วางไว้ ⏳ 💬 คำถามคือ ✔️ ใครได้ประโยชน์ จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้? ✔️ ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อชีวิตที่สูญเสียไป? ✔️ ระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับสารเคมีในประเทศไทย พัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน? ⛔ อย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถูกลืม! 💔 📌 #คลองเตยระเบิด #โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม #คาร์บอนแบล็ค #ภัยสารเคมี #กฎหมายสิ่งแวดล้อม #ความยุติธรรมที่หายไป #34ปีคลองเตย #อุบัติภัยครั้งใหญ่ #ระเบิดสารเคมี #สิ่งแวดล้อมไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 926 มุมมอง 0 รีวิว
  • อยากรู้ไหม๊คะ สิวอักเสบคืออะไร ตามมาดูกันค่ะ
    direct IG Instagram: lookatmebybp
    facebook fanpage: Look At Me by BP
    LINE OFFICIAL: @lookatme_bp
    Tiktok: look@me by BP
    อยากรู้ไหม๊คะ สิวอักเสบคืออะไร ตามมาดูกันค่ะ direct IG Instagram: lookatmebybp facebook fanpage: Look At Me by BP LINE OFFICIAL: @lookatme_bp Tiktok: look@me by BP
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 418 มุมมอง 23 0 รีวิว
  • 🏅ผลิตภัณฑ์ G-Fight ดูแลกรดไหลย้อน นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี
    ต้านการอักเสบ ช่วยเรื่องท้องอืดท้องเฟ้อ ต้านอนุมูลอิสระ
    ส่วนประกอบของ G-Fight
    🌿 ขมิ้นชัน
    🌿มัลเบอร์รี่
    🌿มะขามป้อม
    🌿อาร์ติโชค
    🌿L-Cysteine
    🌿Glycine
    🌿ผงแอปเปิ้ล
    🌿ผงสับปะรด
    🌿วิตามิน บี
    🌿วิตามิน ซี
    มีสารสกัดขมิ้นชันเป็นส่วนประกอบหลัก กระบวนการผลิตด้วยนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี เพื่อแก้ไขข้อจำกัดสมุนไพร และเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
    https://gfight.t1team.com
    LIne: @t1herb
    #gfight #สมุนไพรดรออย #ขมิ้นชันดรออย
    🏅ผลิตภัณฑ์ G-Fight ดูแลกรดไหลย้อน นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี ต้านการอักเสบ ช่วยเรื่องท้องอืดท้องเฟ้อ ต้านอนุมูลอิสระ ส่วนประกอบของ G-Fight 🌿 ขมิ้นชัน 🌿มัลเบอร์รี่ 🌿มะขามป้อม 🌿อาร์ติโชค 🌿L-Cysteine 🌿Glycine 🌿ผงแอปเปิ้ล 🌿ผงสับปะรด 🌿วิตามิน บี 🌿วิตามิน ซี มีสารสกัดขมิ้นชันเป็นส่วนประกอบหลัก กระบวนการผลิตด้วยนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี เพื่อแก้ไขข้อจำกัดสมุนไพร และเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด https://gfight.t1team.com LIne: @t1herb #gfight #สมุนไพรดรออย #ขมิ้นชันดรออย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 606 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🏅ผลิตภัณฑ์ G-Fight ดูแลกรดไหลย้อน นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี
    ต้านการอักเสบ ช่วยเรื่องท้องอืดท้องเฟ้อ ต้านอนุมูลอิสระ
    ส่วนประกอบของ G-Fight
    🌿 ขมิ้นชัน
    🌿มัลเบอร์รี่
    🌿มะขามป้อม
    🌿อาร์ติโชค
    🌿L-Cysteine
    🌿Glycine
    🌿ผงแอปเปิ้ล
    🌿ผงสับปะรด
    🌿วิตามิน บี
    🌿วิตามิน ซี
    มีสารสกัดขมิ้นชันเป็นส่วนประกอบหลัก กระบวนการผลิตด้วยนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี เพื่อแก้ไขข้อจำกัดสมุนไพร และเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
    https://gfight.t1team.com
    LIne: @t1herb
    #gfight #สมุนไพรดรออย #ขมิ้นชันดรออย
    🏅ผลิตภัณฑ์ G-Fight ดูแลกรดไหลย้อน นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี ต้านการอักเสบ ช่วยเรื่องท้องอืดท้องเฟ้อ ต้านอนุมูลอิสระ ส่วนประกอบของ G-Fight 🌿 ขมิ้นชัน 🌿มัลเบอร์รี่ 🌿มะขามป้อม 🌿อาร์ติโชค 🌿L-Cysteine 🌿Glycine 🌿ผงแอปเปิ้ล 🌿ผงสับปะรด 🌿วิตามิน บี 🌿วิตามิน ซี มีสารสกัดขมิ้นชันเป็นส่วนประกอบหลัก กระบวนการผลิตด้วยนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี เพื่อแก้ไขข้อจำกัดสมุนไพร และเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด https://gfight.t1team.com LIne: @t1herb #gfight #สมุนไพรดรออย #ขมิ้นชันดรออย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 604 มุมมอง 0 รีวิว
  • กินพืช...ป้องกันผมหงอก

    งานวิจัยชี้ชัด ลูทีโอลิน (luteolin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในผักบางชนิด ช่วยแก้ไขปัญหาการส่งสัญญาณระหว่างเอนโดทีลินส์ในเซลล์ต้นกำเนิดเคราติโนไซต์และตัวรับในเซลล์ต้นกำเนิดเมลาโนไซต์ ซึ่งนำไปสู่การลดลงของผมหงอก

    พืชที่มีลูทีโอลินสูงในประเทศไทย
    1. พริกเขียว รวมถึงพริกหวานสีเขียว
    2. ฟักทอง – เป็นแหล่งลูทีโอลินที่ดี และยังให้วิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงเส้นผม
    3. ขึ้นฉ่าย (Celery) – อุดมไปด้วยลูทีโอลินและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ.



    กินพืช...ป้องกันผมหงอก งานวิจัยชี้ชัด ลูทีโอลิน (luteolin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในผักบางชนิด ช่วยแก้ไขปัญหาการส่งสัญญาณระหว่างเอนโดทีลินส์ในเซลล์ต้นกำเนิดเคราติโนไซต์และตัวรับในเซลล์ต้นกำเนิดเมลาโนไซต์ ซึ่งนำไปสู่การลดลงของผมหงอก พืชที่มีลูทีโอลินสูงในประเทศไทย 1. พริกเขียว รวมถึงพริกหวานสีเขียว 2. ฟักทอง – เป็นแหล่งลูทีโอลินที่ดี และยังให้วิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงเส้นผม 3. ขึ้นฉ่าย (Celery) – อุดมไปด้วยลูทีโอลินและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 457 มุมมอง 0 รีวิว
  • ล้างพิษจากวัคซีน mRNA ที่ฉีดไปแล้ว
    เพื่อ บรรเทาภาวะอักเสบในร่างกาย ทำได้โดย

    1. กินอาหารมังสวิรัติ ลดแป้งไม่ทานขนมหวาน
    2. ออกกำลังกาย ด้วย การเดินตั้งแต่ 4500 - 10,000 ก้าว
    3. ตากแดดอ่อนๆ ได้วิตามินดี และ เมลาโทนิน(นอนหลับ..สบาย)
    4. สมุนไพรไทย ขิง ข่า ตะไคร้ ขมิ้น โหระพา พริกไทยดำ และอื่นๆ


    สรุป การล้างพิษทำได้ด้วยตนเอง ไม่เสียเงิน

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    ล้างพิษจากวัคซีน mRNA ที่ฉีดไปแล้ว เพื่อ บรรเทาภาวะอักเสบในร่างกาย ทำได้โดย 1. กินอาหารมังสวิรัติ ลดแป้งไม่ทานขนมหวาน 2. ออกกำลังกาย ด้วย การเดินตั้งแต่ 4500 - 10,000 ก้าว 3. ตากแดดอ่อนๆ ได้วิตามินดี และ เมลาโทนิน(นอนหลับ..สบาย) 4. สมุนไพรไทย ขิง ข่า ตะไคร้ ขมิ้น โหระพา พริกไทยดำ และอื่นๆ สรุป การล้างพิษทำได้ด้วยตนเอง ไม่เสียเงิน ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 785 มุมมอง 0 รีวิว
  • DG เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาในรูปแบบแคปซูล ที่มีสารสกัดสมุนไพรซึ่งผ่านการพัฒนาโดยนาโนเทคโนโลยี เพิ่มความสามารถในการละลายน้ำของเคอร์คูมินจากขมิ้นชันได้มากถึง 40,000 เท่า ทำให้ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีขึ้น
    DG ประกอบด้วยสารสกัดสมุนไพร ขมิ้นชัน ตังกุย อบเชย ขิง พริกไทยดำ และกะเพรา
    ช่วยบรรเทาปัญหาทางเดินอาหาร ดูแลข้อและตับ ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต ป้องกันมะเร็ง และลดการอักเสบ
    รายละเอียดผลิตภัณฑ์ DG 👉 https://dg.t1team.com/
    DG เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาในรูปแบบแคปซูล ที่มีสารสกัดสมุนไพรซึ่งผ่านการพัฒนาโดยนาโนเทคโนโลยี เพิ่มความสามารถในการละลายน้ำของเคอร์คูมินจากขมิ้นชันได้มากถึง 40,000 เท่า ทำให้ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีขึ้น DG ประกอบด้วยสารสกัดสมุนไพร ขมิ้นชัน ตังกุย อบเชย ขิง พริกไทยดำ และกะเพรา ช่วยบรรเทาปัญหาทางเดินอาหาร ดูแลข้อและตับ ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต ป้องกันมะเร็ง และลดการอักเสบ รายละเอียดผลิตภัณฑ์ DG 👉 https://dg.t1team.com/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 551 มุมมอง 0 รีวิว
  • DG เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาในรูปแบบแคปซูล ที่มีสารสกัดสมุนไพรซึ่งผ่านการพัฒนาโดยนาโนเทคโนโลยี เพิ่มความสามารถในการละลายน้ำของเคอร์คูมินจากขมิ้นชันได้มากถึง 40,000 เท่า ทำให้ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีขึ้น
    DG ประกอบด้วยสารสกัดสมุนไพร ขมิ้นชัน ตังกุย อบเชย ขิง พริกไทยดำ และกะเพรา
    ช่วยบรรเทาปัญหาทางเดินอาหาร ดูแลข้อและตับ ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต ป้องกันมะเร็ง และลดการอักเสบ
    รายละเอียดผลิตภัณฑ์ DG 👉 https://dg.t1team.com/
    DG เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาในรูปแบบแคปซูล ที่มีสารสกัดสมุนไพรซึ่งผ่านการพัฒนาโดยนาโนเทคโนโลยี เพิ่มความสามารถในการละลายน้ำของเคอร์คูมินจากขมิ้นชันได้มากถึง 40,000 เท่า ทำให้ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีขึ้น DG ประกอบด้วยสารสกัดสมุนไพร ขมิ้นชัน ตังกุย อบเชย ขิง พริกไทยดำ และกะเพรา ช่วยบรรเทาปัญหาทางเดินอาหาร ดูแลข้อและตับ ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต ป้องกันมะเร็ง และลดการอักเสบ รายละเอียดผลิตภัณฑ์ DG 👉 https://dg.t1team.com/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 531 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใหม่ !!!

    น้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติ จากมะขามป้อม
    Indian Gooseberry Cider Vinegar

    ORGANIC & WITH THE MOTHER
    ไม่กรอง ไม่พาสเจอร์ไรส์ อุดมไปด้วย Probiotics
    และจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย

    สรรพคุณ :
    - ต้านการอักเสบ ยังยั้งการสร้างเมลานินได้
    - มีสารต้านอนุมูลอิสระ และ วิตามินซี
    - แก้ไอ ละลายเสมหะ -แก้กระหายน้ำ
    - ช่วยขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อนๆ
    - ช่วยลด และรักษาเลือดออกตามไรฟัน
    - แก้คลื่นไส้ อาเจียน
    - ช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ


    วิธีการใช้ Indian Gooseberry Cider Vinegar: GBCV Keto Friendly
    ==============================
    1 🥤 ผสมกับเครื่องดื่มเย็นๆ อาจจะเป็นน้ำเย็นธรรมดา หรือ น้ำผลไม้ , น้ำสมุนไพร หรือ น้ำโซดา โดยผสมวีนีก้าร์เพียง 2-3 ช้อนชา เท่านั้น
    2 🥘 ใช้เป็นส่วนผสมในปรุง หรือการหมักอาหาร
    3 🥗 ใช้เป็นส่วนผสมในการปรุง น้ำสลัด , น้ำซอส หรือ น้ำจิ้ม
    4 🥨 ใช้เป็นส่วนผสมในการอบขนม เช่น คุกกี้ หรือ เบเกอรี่ต่างๆ
    5 👧 ใช้เป็นโทนเนอร์ทำความสะอาดผิวหน้า โดยมีอัตราส่วน 1:1 น้ำวีนีก้าร์ กับ น้ำสะอาด


    สั่งซื้อได้แล้วตอนนี้ ที่ Shopee : https://s.shopee.co.th/6V8qkraHos
    ใหม่ !!! น้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติ จากมะขามป้อม Indian Gooseberry Cider Vinegar ORGANIC & WITH THE MOTHER ไม่กรอง ไม่พาสเจอร์ไรส์ อุดมไปด้วย Probiotics และจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย สรรพคุณ : - ต้านการอักเสบ ยังยั้งการสร้างเมลานินได้ - มีสารต้านอนุมูลอิสระ และ วิตามินซี - แก้ไอ ละลายเสมหะ -แก้กระหายน้ำ - ช่วยขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อนๆ - ช่วยลด และรักษาเลือดออกตามไรฟัน - แก้คลื่นไส้ อาเจียน - ช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ วิธีการใช้ Indian Gooseberry Cider Vinegar: GBCV Keto Friendly ============================== 1 🥤 ผสมกับเครื่องดื่มเย็นๆ อาจจะเป็นน้ำเย็นธรรมดา หรือ น้ำผลไม้ , น้ำสมุนไพร หรือ น้ำโซดา โดยผสมวีนีก้าร์เพียง 2-3 ช้อนชา เท่านั้น 2 🥘 ใช้เป็นส่วนผสมในปรุง หรือการหมักอาหาร 3 🥗 ใช้เป็นส่วนผสมในการปรุง น้ำสลัด , น้ำซอส หรือ น้ำจิ้ม 4 🥨 ใช้เป็นส่วนผสมในการอบขนม เช่น คุกกี้ หรือ เบเกอรี่ต่างๆ 5 👧 ใช้เป็นโทนเนอร์ทำความสะอาดผิวหน้า โดยมีอัตราส่วน 1:1 น้ำวีนีก้าร์ กับ น้ำสะอาด สั่งซื้อได้แล้วตอนนี้ ที่ Shopee : https://s.shopee.co.th/6V8qkraHos
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 674 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts