• แคลอรี่ว่างเปล่า (Empty Calories)

    อาหารทุกชนิดมีแคลอรี และร่างกายจะใช้แคลอรีทั้งหมดเป็นพลังงานทันที และอาจเก็บไว้เป็นไกลโคเจนเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในอนาคตหรือเปลี่ยนเป็นไขมัน ขึ้นอยู่กับจำนวนแคลอรีที่คุณกินในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อาหารบางชนิดอาจมีแคลอรีต่ำมาก เช่น ผักและผลไม้บางชนิด แต่นอกจากน้ำและสารให้ความหวานเทียมแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณกินได้โดยไม่มีแคลอรีเลย

    สิ่งที่เรากินควรมีมากกว่าแค่แคลอรี่

    แน่นอนว่าเราต้องการแคลอรีเพื่อการดำรงชีวิต แต่ร่างกายต้องการอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ โปรตีน วิตามิน ไฟเบอร์ และไขมันดี

    ผักมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อให้ทำงานได้อย่างปกติ เนื้อไม่ติดมันและปลาเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการซ่อมแซม การเจริญเติบโต และพัฒนาการของร่างกาย ไฟเบอร์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้รู้สึกอิ่ม เป็นแหล่งที่อยู่ของจุลชีพฝั่งดีในลำไส้และกระตุ้นการขับถ่ายให้เป็นปกติ ส่วนไขมันดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบางชนิดได้ดี

    แคลอรีว่างเปล่าก็คืออาหารที่มีแต่แคลอรี ซึ่งให้ประโยชน์แก่ร่างกายไม่ครบถ้วน

    แคลอรี่ว่างเปล่าสามารถให้พลังงานได้ทันที ส่งเสริมความอิ่ม แต่ไม่สามารถใช้สร้างกล้ามเนื้อ ไม่ให้วิตามินหรือให้ประโยชน์ทางโภชนาการอื่นๆ ได้ นอกจากนี้แคลอรี่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้เป็นพลังงานจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ ไขมัน

    ตามหลักการทั่วไป หากอาหารไม่มีสารอาหารหรือมีแคลอรีจากน้ำตาลและไขมันมากกว่าสารอาหาร ก็ถือว่าเป็นแหล่งแคลอรีว่างเปล่า หลักๆได้แก่:

    • เครื่องดื่มอัดลม เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา ชาหวาน น้ำมะนาว และเครื่องดื่มชูกำลัง

    • อาหารขยะและอาหารจานด่วน

    • ลูกอม รวมทั้งลูกอมแข็งและลูกอมเคี้ยวหวานหรือเปรี้ยว

    • เค้กและโดนัท

    ทำไมแคลอรี่ว่างเปล่าถึงไม่ดี

    เมื่อคุณกินแคลอรีว่างเปล่า คุณมักจะกินเข้าไปเมื่อพิจารณาถึง ความเร่งรีบ ความอิ่มและการลดน้ำหนัก การรับประทานแคลอรี่ว่างเปล่ามากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและเกิดการอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจได้

    ร่างกายต้องการอาหารที่ครบถ้วนในแต่ละมื้อ แคลอรีจำเป็นเพื่อให้พลังงานเท่านั้น
    สิ่งที่น่าห่วงใยที่สุด ก็คือสมอง

    เมื่อสมองขาดสารอาหารที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่ธาตุ ต่อมาคุณก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ การคิดอย่างมีสมาธิ การมีสติสัมปชัญญะ และความสามารถในการควบคุมอวัยวะอื่นๆ

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    แคลอรี่ว่างเปล่า (Empty Calories) อาหารทุกชนิดมีแคลอรี และร่างกายจะใช้แคลอรีทั้งหมดเป็นพลังงานทันที และอาจเก็บไว้เป็นไกลโคเจนเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในอนาคตหรือเปลี่ยนเป็นไขมัน ขึ้นอยู่กับจำนวนแคลอรีที่คุณกินในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อาหารบางชนิดอาจมีแคลอรีต่ำมาก เช่น ผักและผลไม้บางชนิด แต่นอกจากน้ำและสารให้ความหวานเทียมแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณกินได้โดยไม่มีแคลอรีเลย สิ่งที่เรากินควรมีมากกว่าแค่แคลอรี่ แน่นอนว่าเราต้องการแคลอรีเพื่อการดำรงชีวิต แต่ร่างกายต้องการอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ โปรตีน วิตามิน ไฟเบอร์ และไขมันดี ผักมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อให้ทำงานได้อย่างปกติ เนื้อไม่ติดมันและปลาเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการซ่อมแซม การเจริญเติบโต และพัฒนาการของร่างกาย ไฟเบอร์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้รู้สึกอิ่ม เป็นแหล่งที่อยู่ของจุลชีพฝั่งดีในลำไส้และกระตุ้นการขับถ่ายให้เป็นปกติ ส่วนไขมันดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบางชนิดได้ดี แคลอรีว่างเปล่าก็คืออาหารที่มีแต่แคลอรี ซึ่งให้ประโยชน์แก่ร่างกายไม่ครบถ้วน แคลอรี่ว่างเปล่าสามารถให้พลังงานได้ทันที ส่งเสริมความอิ่ม แต่ไม่สามารถใช้สร้างกล้ามเนื้อ ไม่ให้วิตามินหรือให้ประโยชน์ทางโภชนาการอื่นๆ ได้ นอกจากนี้แคลอรี่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้เป็นพลังงานจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ ไขมัน ตามหลักการทั่วไป หากอาหารไม่มีสารอาหารหรือมีแคลอรีจากน้ำตาลและไขมันมากกว่าสารอาหาร ก็ถือว่าเป็นแหล่งแคลอรีว่างเปล่า หลักๆได้แก่: • เครื่องดื่มอัดลม เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา ชาหวาน น้ำมะนาว และเครื่องดื่มชูกำลัง • อาหารขยะและอาหารจานด่วน • ลูกอม รวมทั้งลูกอมแข็งและลูกอมเคี้ยวหวานหรือเปรี้ยว • เค้กและโดนัท ทำไมแคลอรี่ว่างเปล่าถึงไม่ดี เมื่อคุณกินแคลอรีว่างเปล่า คุณมักจะกินเข้าไปเมื่อพิจารณาถึง ความเร่งรีบ ความอิ่มและการลดน้ำหนัก การรับประทานแคลอรี่ว่างเปล่ามากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและเกิดการอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ ร่างกายต้องการอาหารที่ครบถ้วนในแต่ละมื้อ แคลอรีจำเป็นเพื่อให้พลังงานเท่านั้น สิ่งที่น่าห่วงใยที่สุด ก็คือสมอง เมื่อสมองขาดสารอาหารที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่ธาตุ ต่อมาคุณก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ การคิดอย่างมีสมาธิ การมีสติสัมปชัญญะ และความสามารถในการควบคุมอวัยวะอื่นๆ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💵 เคลมประกันสุขภาพง่าย ไม่มีปัญหา!
    OPD ทอนซิลอักเสบ ยอดค่าใช้จ่าย 5,614฿💰
    แฟกซ์เคลมเต็มจำนวน ไม่ต้องสำรองจ่าย!
    บริการรวดเร็ว ไว้ใจได้ ติดต่อFiamonyได้เลยค่ะ

    ••••••••

    🛡️"ปกป้องอนาคตคุณวันนี้" #เช็คเบี้ยประกันได้ทันที

    อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน‼️
    ⛑️ เลือกประกันที่คุ้มครองทุกความเสี่ยง
    ด้วยเบี้ยประกันเริ่มต้นที่คุ้มค่า คุ้มครองครบทุกด้าน

    **ใส่ใจทุกความต้องการ ด้วยบริการที่ดีที่สุด**
    ✅ ปรึกษาออนไลน์ได้ทันที เพื่อความมั่นใจในทุกจังหวะของชีวิต อยู่ที่ไหนก็ซื้อประกันได้ง่ายๆทั่วประเทศ

    💬 สนใจทักแชทได้เลย ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ
    📩 Line ID : @fiamony
    📩 คลิ๊กเลย https://lin.ee/o3lzLTu
    🌐 FB Page: Fiamony
    ☎️ 081-323-8168

    *ให้ความคุ้มครองโดย บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต

    #fiamony | #อลิอันซ์อยุธยา | #AllianzAyudhya
    #ประกันสุขภาพเหมาจ่าย | #สุขภาพดี | #ประกันชีวิต
    #ซื้อประกันออนไลน์ | #ประกันสุขภาพ | #เคลมง่ายเคลมไว
    💵 เคลมประกันสุขภาพง่าย ไม่มีปัญหา! OPD ทอนซิลอักเสบ ยอดค่าใช้จ่าย 5,614฿💰 แฟกซ์เคลมเต็มจำนวน ไม่ต้องสำรองจ่าย! บริการรวดเร็ว ไว้ใจได้ ติดต่อFiamonyได้เลยค่ะ •••••••• 🛡️"ปกป้องอนาคตคุณวันนี้" #เช็คเบี้ยประกันได้ทันที อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน‼️ ⛑️ เลือกประกันที่คุ้มครองทุกความเสี่ยง ด้วยเบี้ยประกันเริ่มต้นที่คุ้มค่า คุ้มครองครบทุกด้าน **ใส่ใจทุกความต้องการ ด้วยบริการที่ดีที่สุด** ✅ ปรึกษาออนไลน์ได้ทันที เพื่อความมั่นใจในทุกจังหวะของชีวิต อยู่ที่ไหนก็ซื้อประกันได้ง่ายๆทั่วประเทศ 💬 สนใจทักแชทได้เลย ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ 📩 Line ID : @fiamony 📩 คลิ๊กเลย https://lin.ee/o3lzLTu 🌐 FB Page: Fiamony ☎️ 081-323-8168 *ให้ความคุ้มครองโดย บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต #fiamony | #อลิอันซ์อยุธยา | #AllianzAyudhya #ประกันสุขภาพเหมาจ่าย | #สุขภาพดี | #ประกันชีวิต #ซื้อประกันออนไลน์ | #ประกันสุขภาพ | #เคลมง่ายเคลมไว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ฝ้า

    เป็นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากรังสี UVA และ UVB จากการกระทำของตัวเราเอง

    ฝ้า คือการที่สีของผิวหนังผิดปกติไปในบางตำแหน่ง สีของผิวเกิดจากสารหรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งถูกสร้างมาจากเซลล์ผิวหนัง (เมลาโนไซต์ - melanocyte) ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท โดยแฝงตัวอยู่ที่ด้านล่างสุดของชั้นหนังกำพร้า โดยที่เซลล์ผิวหนังหนึ่งเซลล์จะมีแขนงไปแตะจับกับเซลล์ผิวหนังอีกราวๆ 30-40 เซลล์ เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็ตามที่ทำให้เม็ดสีเหล่านี้ผิดปกติไป ก็จะทำให้สีของผิวบริเวณนั้นผิดปกติไป ถ้ามีลักษณะเป็นแผ่นปื้น ก็จะเรียกว่า "เป็นฝ้า" นั่นเอง และนั่นหมายถึง ร่างกายผลิตขึ้นได้ ร่างกายก็สามารถเอามันออกไปได้ด้วยระบบที่ซับซ้อนของร่างกายเอง เพราะ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อซ่อมแซมตัวเอง แต่มันช้า ไม่ได้ดั่งใจ

    ฝ้ามี 3 ชนิดโดยแบ่งตามความลึกของ melanin ที่ไปฝังตัว

    1. เม็ดสี melanin ไปฝังตัวที่หนังกำพร้าเราเรียก Epidermal type melisma หรือ ฝ้าเมลานิน เป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดทำลายชั้นผิว มักจะเกิดบริเวณข้างแก้ม มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย ชนิดนี้รักษาไม่ยาก

    2. เม็ดสีฝังตัวที่หนังแท้เราเรียก dermal type melasma หรือฝ้าเส้นเลือด มักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ชนิดนี้ นานหน่อยกว่าจะหาย

    3. ชนิดผสมจาก 2 แบบดังกล่าว

    การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp

    ความผิดปกติที่เกิดกับเม็ดสีของผิว (โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า)

    1. เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด

    การอักเสบเป็นเวลานานๆ สามารถเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดรอยด่างดำบนผิวหน้าได้ ซึ่งหลังจากการอักเสบหายไป ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ การติดเชื้อบางอย่างเช่นสิวอักเสบแล้วเป็นอยู่เวลานานๆ นอกจากนั้นก็ยังมีโรคผิวหนังบางอย่างอีกเช่น

    Riehl's melanosis โรคปื้นร่างแหสีน้ำตาล มักเห็นชัดที่บริเวณหน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม คาง และ คอ อาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง
    Poikiloderma of Civatte โรคเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ
    Erythromelanosis follicularis โรคที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงตามโหนกแก้ม
    Linear Fusca เป็นภาวะที่มีลักษณะเป็นเส้นสีเข้มที่พาดบริเวณหน้าผาก

    2. ยาบางชนิดทำให้เกิดฝ้า

    ยาบางชนิดสามารถไปกระตุ้นผิวหนังให้ไวต่อแสงแดด ในขณะที่ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดฝ้าได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องได้รับการช่วยกระตุ้นจากแสงแดดเลย ยาที่มักจะพบว่ามีผลต่อการเกิดฝ้าคือ

    -ยาคุมกำเนิดบางชนิด
    -ยาแก้อักเสบ เช่น เตตร้าไซคลิน (tetracyclines)
    -อะมิโอดาโรน (Amiodarone) ซึ่งเป็นยาที่มีผลกับการทำงานของหัวใจ
    -ฟินนีโทอีน (Phenytoin) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคลมชักชนิดต่างๆ
    -ฟิโนเธียซีน (Phenothiazines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาท มีผลทำให้ง่วงนอน
    -ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด
    -ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวโดยมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน โดย ไม่ทาครีมกันแดดร่วมด้วย

    3. เกิดจากแสงแดด (รังสีอุลต้าไวโอเล็ต - UV, Ultraviolet) สามารถทำให้เกิดฝ้าบางชนิดได้

    ฝ้า (Melasma) มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาล เกิดบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก โดยเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอและมองเห็นได้จากภายนอก เม็ดสีเมลานินนี้มีหน้าที่พิเศษคือกรองรังสีเหนือม่วง หรือ อุลตร้าไวโอเล็ต (UV - Ultraviolet) ดังนั้นยิ่งเราตากแดดมากขึ้น ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยที่รังสี UVA (รังสี UV ชนิด A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ) จะกระตุ้นให้เซลล์ melanocytes สร้างเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ให้ทำงานได้มากขึ้นและทำให้เซลล์ผิวหนัง (keratinocyte) รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น จึงทำให้เกิดผิวสีคล้ำ เกิดฝ้า หรือ กระ และรังสี UVB (รังสี UV ชนิด B มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง) จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melinocyte และเซลล์ keratinocytes ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานิน ถ้าได้รับมากๆ สามารถทำให้เกิดผิวไหม้ บวมแดง และหากได้รับรังสีเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

    กระแดด (Solar lentigines) มักจะเกิดในคนที่อายุมากและมีประวัติการถูกแสงแดด อาจจะเริ่มจากจุดเล็กแล้วอาจขยายใหญ่ได้มาก (ถ้า lentigines จะหมายถึงขี้แมลงวัน)

    กระ (ephelides) หมายถึงจุดสีน้ำตาลที่มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม. เกิดจากการมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ พบที่บริเวณใบหน้าและบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อยๆ และมักมีสีเข้มขึ้นในฤดูร้อนและจางลงในฤดูหนาว เพราะแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UV-B เป็นตัวกระตุ้นให้กระเข้มขึ้น

    4. สาเหตุอื่นๆ ของการเป็นฝ้า

    นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีโรคหรือภาวะบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกันก็คือ

    -การตั้งครรภ์
    โรคกรดไหลย้อน
    โรคลำไส้แปรปรวน
    โรคแพ้ภูมิตัวเอง
    -โรคตับ
    -โรคแอดดิสัน (พบได้น้อยมาก เกิดจากต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตอรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ)
    -อีโมโครมาโทซิส (Hemochromatosis) เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เกิดจากการสะสมของเหล็กในกระแสเลือด จนทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับ
    -เนื้องอกใต้สมอง

    5.ขาดสารอาหารที่เซลล์ผิวหนังต้องการ

    6. ระบบการย่อยและระบบการดูดซึมของร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์

    ฝ้าสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรบกวนผิว มลภาวะ และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ไปกระตุ้นการเกิดฝ้า พวก Whitening ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคที่ซื้อเป็นเพราะโฆษณาชวนเชื่อและรู้เท่าไม่ถึงการณ์

    ฝ้าเส้นเลือด เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าเสียสภาพไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทำให้เลือดซึมออกมาใต้ผิวหนัง เป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด ซึ่งสีของฝ้าเส้นเลือดสามารถเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิการแสดงอารมณ์โดยในตอนเช้าสีจะออกชมพู แต่เมื่อเวลาโดนแดดจัดสีจะคล้ำจนเป็นสีดำ นอกจากนี้ผิวหนังจะมีความรู้สึกไว แสบง่าย ส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่มีลักษณะของเซลล์ที่มีความผิดปกติหรือแตกตัวผิดปกติ หรือทานยาแอสไพรินมายาวนาน

    การปลดฝ้า

    เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส และป้องกันการกลับมาเยือนของฝ้า อย่างแรกคือ ต้องทราบสาเหตุของการเกิดฝ้า เพราะแต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน การรักษาที่ถูกวิธีต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเน้นที่การยับยั้ง หรือกดเซลล์ กล่าวคือ การใช้ยาเพื่อไปยับยั้งการทำงานของเมลานิน ซึ่งถ้าหยุดใช้ยา ฝ้าก็สามารถกลับมาเยือนได้อีก และท่านก็ต้องใช้ยาอีก จึงดูเหมือนเป็นการพายเรือวนในอ่าง

    วิธีการที่ถูกต้องคือให้สารอาหารที่สามารถหยุดหรือระงับการสร้างเมลานิลโดยไม่ทำให้เซลล์สร้างสีตาย เพราะถ้าใช้สารทำลายเซลล์สร้างสีแล้ว ร่างกายจะขาดกำลังสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากแสงแดด

    สารอาหาร

    Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย

    อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น

    Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยื่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย

    อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว

    Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีนและสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) ซึ่งปัจจุบันได้มีการคิดค้นเกี่ยวกับสารสังเคราะห์สำหรับผิวพรรณที่เรียกว่า กลุ่มเรตินอยด์ ทั้งในรูปของครีมทา และยารับประทาน ( ซึ่งนำมารักษาสิวและริ้วรอย) ใช้คำว่าเลียนแบบวิตามินเอ ( เรตินอล) มีรายงานมากมายที่สนับสนุนว่า วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัยครับ

    อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ ผักเช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol)

    ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้และป้องกันมะเร็ง

    ยังไม่มีรายงานการขาดสารซิลีเนียมในคนแล้วเกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม เพราะอาจจะมีปริมาณสูงเกินไป ส่วนใหญ่จะนำมาผสมในครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด

    ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า

    อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก.

    สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอได้ดีขึ้น

    อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก.

    Co enyme Q10 ( Uniquinone) เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 จะพบมากในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา

    อาหารดีๆ

    1.ปลา : เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แนะนำ ปลาโอ ปลาอินทรีย์สด ปลาแซลม่อน ปลาสวาย

    2.น้ำมันมะกอก : เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงแต่ข้อดีคือ มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

    3.น้ำดื่มสะอาด : หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้และยังป้องกันเซลลูไลต์อีกด้วย

    4.มะเขือเทศ : ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย

    5.บร็อกโคลี : ผักสีเขียวที่เป็นแหล่งของวิตามินเอและซี โดยที่วิตามินเอมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป และยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนังให้มีการทำงานอย่างปกติ ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

    สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบการย่อยและการดูดซึม เพราะเป็นตัวกำหนดปริมาณสารอาหารที่ได้รับว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่

    ผลิตภัณฑ์แนะนำ

    สบู่สมุนไพร
    Pun c
    Prink
    Alovi
    Praow
    Praew

    Cr. Santi Manadee
    #ฝ้า เป็นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากรังสี UVA และ UVB จากการกระทำของตัวเราเอง ฝ้า คือการที่สีของผิวหนังผิดปกติไปในบางตำแหน่ง สีของผิวเกิดจากสารหรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งถูกสร้างมาจากเซลล์ผิวหนัง (เมลาโนไซต์ - melanocyte) ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท โดยแฝงตัวอยู่ที่ด้านล่างสุดของชั้นหนังกำพร้า โดยที่เซลล์ผิวหนังหนึ่งเซลล์จะมีแขนงไปแตะจับกับเซลล์ผิวหนังอีกราวๆ 30-40 เซลล์ เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็ตามที่ทำให้เม็ดสีเหล่านี้ผิดปกติไป ก็จะทำให้สีของผิวบริเวณนั้นผิดปกติไป ถ้ามีลักษณะเป็นแผ่นปื้น ก็จะเรียกว่า "เป็นฝ้า" นั่นเอง และนั่นหมายถึง ร่างกายผลิตขึ้นได้ ร่างกายก็สามารถเอามันออกไปได้ด้วยระบบที่ซับซ้อนของร่างกายเอง เพราะ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อซ่อมแซมตัวเอง แต่มันช้า ไม่ได้ดั่งใจ ฝ้ามี 3 ชนิดโดยแบ่งตามความลึกของ melanin ที่ไปฝังตัว 1. เม็ดสี melanin ไปฝังตัวที่หนังกำพร้าเราเรียก Epidermal type melisma หรือ ฝ้าเมลานิน เป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดทำลายชั้นผิว มักจะเกิดบริเวณข้างแก้ม มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย ชนิดนี้รักษาไม่ยาก 2. เม็ดสีฝังตัวที่หนังแท้เราเรียก dermal type melasma หรือฝ้าเส้นเลือด มักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ชนิดนี้ นานหน่อยกว่าจะหาย 3. ชนิดผสมจาก 2 แบบดังกล่าว การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp ความผิดปกติที่เกิดกับเม็ดสีของผิว (โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า) 1. เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด การอักเสบเป็นเวลานานๆ สามารถเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดรอยด่างดำบนผิวหน้าได้ ซึ่งหลังจากการอักเสบหายไป ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ การติดเชื้อบางอย่างเช่นสิวอักเสบแล้วเป็นอยู่เวลานานๆ นอกจากนั้นก็ยังมีโรคผิวหนังบางอย่างอีกเช่น Riehl's melanosis โรคปื้นร่างแหสีน้ำตาล มักเห็นชัดที่บริเวณหน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม คาง และ คอ อาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง Poikiloderma of Civatte โรคเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ Erythromelanosis follicularis โรคที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงตามโหนกแก้ม Linear Fusca เป็นภาวะที่มีลักษณะเป็นเส้นสีเข้มที่พาดบริเวณหน้าผาก 2. ยาบางชนิดทำให้เกิดฝ้า ยาบางชนิดสามารถไปกระตุ้นผิวหนังให้ไวต่อแสงแดด ในขณะที่ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดฝ้าได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องได้รับการช่วยกระตุ้นจากแสงแดดเลย ยาที่มักจะพบว่ามีผลต่อการเกิดฝ้าคือ -ยาคุมกำเนิดบางชนิด -ยาแก้อักเสบ เช่น เตตร้าไซคลิน (tetracyclines) -อะมิโอดาโรน (Amiodarone) ซึ่งเป็นยาที่มีผลกับการทำงานของหัวใจ -ฟินนีโทอีน (Phenytoin) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคลมชักชนิดต่างๆ -ฟิโนเธียซีน (Phenothiazines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาท มีผลทำให้ง่วงนอน -ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด -ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวโดยมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน โดย ไม่ทาครีมกันแดดร่วมด้วย 3. เกิดจากแสงแดด (รังสีอุลต้าไวโอเล็ต - UV, Ultraviolet) สามารถทำให้เกิดฝ้าบางชนิดได้ ฝ้า (Melasma) มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาล เกิดบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก โดยเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอและมองเห็นได้จากภายนอก เม็ดสีเมลานินนี้มีหน้าที่พิเศษคือกรองรังสีเหนือม่วง หรือ อุลตร้าไวโอเล็ต (UV - Ultraviolet) ดังนั้นยิ่งเราตากแดดมากขึ้น ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยที่รังสี UVA (รังสี UV ชนิด A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ) จะกระตุ้นให้เซลล์ melanocytes สร้างเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ให้ทำงานได้มากขึ้นและทำให้เซลล์ผิวหนัง (keratinocyte) รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น จึงทำให้เกิดผิวสีคล้ำ เกิดฝ้า หรือ กระ และรังสี UVB (รังสี UV ชนิด B มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง) จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melinocyte และเซลล์ keratinocytes ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานิน ถ้าได้รับมากๆ สามารถทำให้เกิดผิวไหม้ บวมแดง และหากได้รับรังสีเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ กระแดด (Solar lentigines) มักจะเกิดในคนที่อายุมากและมีประวัติการถูกแสงแดด อาจจะเริ่มจากจุดเล็กแล้วอาจขยายใหญ่ได้มาก (ถ้า lentigines จะหมายถึงขี้แมลงวัน) กระ (ephelides) หมายถึงจุดสีน้ำตาลที่มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม. เกิดจากการมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ พบที่บริเวณใบหน้าและบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อยๆ และมักมีสีเข้มขึ้นในฤดูร้อนและจางลงในฤดูหนาว เพราะแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UV-B เป็นตัวกระตุ้นให้กระเข้มขึ้น 4. สาเหตุอื่นๆ ของการเป็นฝ้า นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีโรคหรือภาวะบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกันก็คือ -การตั้งครรภ์ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน โรคแพ้ภูมิตัวเอง -โรคตับ -โรคแอดดิสัน (พบได้น้อยมาก เกิดจากต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตอรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ) -อีโมโครมาโทซิส (Hemochromatosis) เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เกิดจากการสะสมของเหล็กในกระแสเลือด จนทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับ -เนื้องอกใต้สมอง 5.ขาดสารอาหารที่เซลล์ผิวหนังต้องการ 6. ระบบการย่อยและระบบการดูดซึมของร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์ ฝ้าสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรบกวนผิว มลภาวะ และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ไปกระตุ้นการเกิดฝ้า พวก Whitening ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคที่ซื้อเป็นเพราะโฆษณาชวนเชื่อและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฝ้าเส้นเลือด เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าเสียสภาพไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทำให้เลือดซึมออกมาใต้ผิวหนัง เป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด ซึ่งสีของฝ้าเส้นเลือดสามารถเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิการแสดงอารมณ์โดยในตอนเช้าสีจะออกชมพู แต่เมื่อเวลาโดนแดดจัดสีจะคล้ำจนเป็นสีดำ นอกจากนี้ผิวหนังจะมีความรู้สึกไว แสบง่าย ส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่มีลักษณะของเซลล์ที่มีความผิดปกติหรือแตกตัวผิดปกติ หรือทานยาแอสไพรินมายาวนาน การปลดฝ้า เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส และป้องกันการกลับมาเยือนของฝ้า อย่างแรกคือ ต้องทราบสาเหตุของการเกิดฝ้า เพราะแต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน การรักษาที่ถูกวิธีต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเน้นที่การยับยั้ง หรือกดเซลล์ กล่าวคือ การใช้ยาเพื่อไปยับยั้งการทำงานของเมลานิน ซึ่งถ้าหยุดใช้ยา ฝ้าก็สามารถกลับมาเยือนได้อีก และท่านก็ต้องใช้ยาอีก จึงดูเหมือนเป็นการพายเรือวนในอ่าง วิธีการที่ถูกต้องคือให้สารอาหารที่สามารถหยุดหรือระงับการสร้างเมลานิลโดยไม่ทำให้เซลล์สร้างสีตาย เพราะถ้าใช้สารทำลายเซลล์สร้างสีแล้ว ร่างกายจะขาดกำลังสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากแสงแดด สารอาหาร Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยื่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีนและสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) ซึ่งปัจจุบันได้มีการคิดค้นเกี่ยวกับสารสังเคราะห์สำหรับผิวพรรณที่เรียกว่า กลุ่มเรตินอยด์ ทั้งในรูปของครีมทา และยารับประทาน ( ซึ่งนำมารักษาสิวและริ้วรอย) ใช้คำว่าเลียนแบบวิตามินเอ ( เรตินอล) มีรายงานมากมายที่สนับสนุนว่า วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัยครับ อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ ผักเช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol) ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้และป้องกันมะเร็ง ยังไม่มีรายงานการขาดสารซิลีเนียมในคนแล้วเกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม เพราะอาจจะมีปริมาณสูงเกินไป ส่วนใหญ่จะนำมาผสมในครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก. สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอได้ดีขึ้น อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก. Co enyme Q10 ( Uniquinone) เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 จะพบมากในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา อาหารดีๆ 1.ปลา : เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แนะนำ ปลาโอ ปลาอินทรีย์สด ปลาแซลม่อน ปลาสวาย 2.น้ำมันมะกอก : เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงแต่ข้อดีคือ มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม 3.น้ำดื่มสะอาด : หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้และยังป้องกันเซลลูไลต์อีกด้วย 4.มะเขือเทศ : ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย 5.บร็อกโคลี : ผักสีเขียวที่เป็นแหล่งของวิตามินเอและซี โดยที่วิตามินเอมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป และยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนังให้มีการทำงานอย่างปกติ ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบการย่อยและการดูดซึม เพราะเป็นตัวกำหนดปริมาณสารอาหารที่ได้รับว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ ผลิตภัณฑ์แนะนำ สบู่สมุนไพร Pun c Prink Alovi Praow Praew Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 480 มุมมอง 0 รีวิว
  • 23/1/68

    PM 2.5 หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เช็ก 4 อาการเสี่ยงระดับรุนแรง

    ฝุ่น PM2.5 ทำให้ค่าอายุเฉลี่ยของคนไทยลดลง 1.78 ปี โดยกรมอนามัย ระบุ ผลกระทบต่อสุขภาพ ในระยะสั้น ไอ จาม ระคายเคืองผิวหนัง ผื่น คัน ระคายเคืองตา แสบตา ตาแดง ส่วนผลกระทบระยะยาว ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หัวใจวาย ภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ความดันโลหิตสูง ,ระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ,เบาหวาน, มะเร็งปอด ,เสี่ยงแท้ง/คลอดก่อนกำหนด ,กระทบต่อพัฒนาการ/ระบบสมองของทารกและทารกแรกคลอดผิดปกติ/น้ำหนักน้อย

    4 อาการ เสี่ยงระดับรุนแรง
    การประเมินตนเองผ่านคลินิกมลพิษออนไลน์ หากมีอาการ 1 ใน 4 รายการนี้เพียง 1 ข้อ ถือว่าอยู่ในระดับรุนแรงควรรีบปรึกษาแพทย์ ได้แก่

    แน่นหน้าอก หายใจลำบาก

    หอบ หายใจเสียงดังวี๊ด

    เจ็บหน้าอก

    เหนื่อยมากจนต้องนั่งพักหรือทำงานไม่ได้

    ฝุ่น PM 2.5 ทำร้ายเซลล์หลอดเลือด

    พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผอ.กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ว่า ข้อมูลสะสมตั้งแต่ ต.ค.2567-ม.ค.2568 มีรายงานผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคที่เฝ้าระวังประมาณ 1 ล้านราย มากที่สุดคือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นราว 2 แสนราย เป็นต้น

    การได้รับฝุ่น PM 2.5 ต่อเนื่อง กรณีที่ป่วยอยู่แล้ว ในระยะยาวจะทำให้ป่วยรุนแรง เช่น ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือหอบหืดอยู่แล้ว แทนที่จะหายใจได้บ้างก็กลายเป็นหายใจลำบาก เพราะฝุ่นทำให้โรคไม่หายเสียที นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับสารเคมีตัวอื่นที่เกาะกับฝุ่น PM 2.5 เข้าสู่ร่างกายได้ด้วย ฝุ่น PM 2.5 เข้าไปได้ลึกถึงถุงลม สารเคมีที่มาจับกับฝุ่นก็ลงไปได้ลึกเท่านั้น ที่กังวลคือการก่อมะเร็งปอดในอนาคต
    “ผลกระทบจริงๆ ของฝุ่น PM 2.5 เข้าไปทำร้ายเซลล์หลอดเลือด เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ เนื่องจากฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้ผนังเส้นเลือดไม่แข็งแรง หรือกรณีที่เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคเกี่ยวกับสมองเพราะฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้เส้นเลือดสมองไม่แข็งแรง ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย”พญ.ฉันทนากล่าว

    หากเป็นกรณีการอักเสบ เหมือนเป็นแผล ถ้าไม่มีฝุ่น PM2.5 เข้ามาทำให้เกิดการระคายเคืองอีก ก็สามารถหายได้ แต่กรณีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืดก็จะเข้าสู่ภาวะโรคปกติ เช่น ยังต้องพ่นยาอยู่ แต่ก็ไม่ต้องพ่นเยอะเหมือนช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 แต่ในส่วนของมะเร็งอาจจะต้องดูระยะยาว ต้องติดตาม

    พญ.ฉันทนา กล่าวอีกว่า มะเร็งปอดที่มาจากฝุ่น PM2.5 ยังต้องเก็บข้อมูลในระยะยาว แต่ก็เห็นตัวอย่างในหลายๆ ประเทศแล้ว แม้แต่ในไทยก็พบมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ทั้งที่มีประวัติคลีนมาก ก็อาจเป็นเรื่องของฝุ่นเป็นหลัก ปัจจุบันคาดการณ์จากประเทศอื่นๆ ที่ทำวิจัย ส่วนในประเทศไทย กำลังมีการศึกษาวิจัยไปข้างหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นไหม ยังไม่นานพอที่จะทำให้เห็นว่าเกี่ยวกับฝุ่น แต่ก็พอเห็นกรณีที่มีความเป็นไปได้ว่ามาจากฝุ่น

    ปัญหาฝุ่น PM2.5 มาจาก 3 ปัจจัยหลักๆ คือ การเผาในที่โล่ง ซึ่งพบมากที่สุดในตอนนี้ ต่อมาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม และการคมนาคมขนส่ง นอกจากฝุ่น PM 2.5 ยังมีสารพิษที่น่ากลัว และน่ากังวลที่สามารถเกาะมากับ PM2.5 คือ สารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon : PAHs) โดยเฉพาะการเผาไหม้ที่เกิดจากการเผายาง หรือการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดสาร PAHs เช่นกัน

    เสี่ยง โรคหัวใจ-สมองขาดเลือดเฉียบพลัน
    ขณะที่ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ค่า PM2.5 ที่บ้านริมน้ำวัดได้สูงสุดตอนเจ็ดโมงเช้าที่ 102.9 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร(มคก./ลบ.ม.) ค่ารายชั่วโมงที่ 75 มคก./ลบ.ม. สำหรับคนทั่วไปอาจจะถึงขั้น เจ็บได้ คือ แสบจมูกและคอ ระคายเคืองตาและผิวหนัง

    แต่ถ้าขึ้นไปถึง 150 มคก./ลบ.ม. อาจตายได้ จากโรคหัวใจขาดเลือดและสมองขาดเลือดเฉียบพลัน สำหรับกลุ่มคนเปราะบาง ค่าเจ็บได้จะอยู่ที่ 37.5 มคก./ลบ.ม. จากโรคหืดและโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้กำเริบ โรคถุงลมโป่งพองกำเริบ โรคหัวใจและสมองกำเริบ ส่วนค่าที่อาจตายได้จะอยู่ที่ 75 มคก./ลบ.ม. หรือเอาง่าย ๆ คือ ครึ่งหนึ่งของคนปกติ

    มะเร็งปอดภาคเหนือสูง
    ดังที่ทราบว่าภาคเหนือมีปัญหาฝุ่น PM 2.5 มานานนับ 10 ปี การศึกษาวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ในการเปรียบเทียบอัตราการตายของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ตั้งแต่ปี 2553-2564 ระหว่าง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ พบว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ และลำปาง มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดสูงที่สุด นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนของผู้ป่วยมะเร็งปอดในคนหนุ่มสาวของประชากรภาคเหนือสูงกว่าภาคอื่นๆ

    นอกจากนี้ งานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มช. ยังบ่งบอกหลักฐานสนับสนุนความสัมพันธ์ของฝุ่น PM2.5 กับมะเร็ง โดยการศึกษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองในพื้นที่ อ.เชียงดาว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีค่า PM2.5 สูงอันดับต้นๆของจ.เชียงใหม่ โดยการขูดเซลล์บริเวณกระพุ้งแก้มของผู้ป่วยถุงลมโป่งพองไปตรวจ เปรียบเทียบกันระหว่างช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูงและช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 ต่ำ ผลปรากฏว่าในช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูง เซลล์กระพุ้งแก้มของผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลง บ่งบอกว่ายีนมีความผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ในอนาคต
    23/1/68 PM 2.5 หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เช็ก 4 อาการเสี่ยงระดับรุนแรง ฝุ่น PM2.5 ทำให้ค่าอายุเฉลี่ยของคนไทยลดลง 1.78 ปี โดยกรมอนามัย ระบุ ผลกระทบต่อสุขภาพ ในระยะสั้น ไอ จาม ระคายเคืองผิวหนัง ผื่น คัน ระคายเคืองตา แสบตา ตาแดง ส่วนผลกระทบระยะยาว ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หัวใจวาย ภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ความดันโลหิตสูง ,ระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ,เบาหวาน, มะเร็งปอด ,เสี่ยงแท้ง/คลอดก่อนกำหนด ,กระทบต่อพัฒนาการ/ระบบสมองของทารกและทารกแรกคลอดผิดปกติ/น้ำหนักน้อย 4 อาการ เสี่ยงระดับรุนแรง การประเมินตนเองผ่านคลินิกมลพิษออนไลน์ หากมีอาการ 1 ใน 4 รายการนี้เพียง 1 ข้อ ถือว่าอยู่ในระดับรุนแรงควรรีบปรึกษาแพทย์ ได้แก่ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หอบ หายใจเสียงดังวี๊ด เจ็บหน้าอก เหนื่อยมากจนต้องนั่งพักหรือทำงานไม่ได้ ฝุ่น PM 2.5 ทำร้ายเซลล์หลอดเลือด พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผอ.กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ว่า ข้อมูลสะสมตั้งแต่ ต.ค.2567-ม.ค.2568 มีรายงานผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคที่เฝ้าระวังประมาณ 1 ล้านราย มากที่สุดคือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นราว 2 แสนราย เป็นต้น การได้รับฝุ่น PM 2.5 ต่อเนื่อง กรณีที่ป่วยอยู่แล้ว ในระยะยาวจะทำให้ป่วยรุนแรง เช่น ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือหอบหืดอยู่แล้ว แทนที่จะหายใจได้บ้างก็กลายเป็นหายใจลำบาก เพราะฝุ่นทำให้โรคไม่หายเสียที นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับสารเคมีตัวอื่นที่เกาะกับฝุ่น PM 2.5 เข้าสู่ร่างกายได้ด้วย ฝุ่น PM 2.5 เข้าไปได้ลึกถึงถุงลม สารเคมีที่มาจับกับฝุ่นก็ลงไปได้ลึกเท่านั้น ที่กังวลคือการก่อมะเร็งปอดในอนาคต “ผลกระทบจริงๆ ของฝุ่น PM 2.5 เข้าไปทำร้ายเซลล์หลอดเลือด เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ เนื่องจากฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้ผนังเส้นเลือดไม่แข็งแรง หรือกรณีที่เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคเกี่ยวกับสมองเพราะฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้เส้นเลือดสมองไม่แข็งแรง ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย”พญ.ฉันทนากล่าว หากเป็นกรณีการอักเสบ เหมือนเป็นแผล ถ้าไม่มีฝุ่น PM2.5 เข้ามาทำให้เกิดการระคายเคืองอีก ก็สามารถหายได้ แต่กรณีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืดก็จะเข้าสู่ภาวะโรคปกติ เช่น ยังต้องพ่นยาอยู่ แต่ก็ไม่ต้องพ่นเยอะเหมือนช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 แต่ในส่วนของมะเร็งอาจจะต้องดูระยะยาว ต้องติดตาม พญ.ฉันทนา กล่าวอีกว่า มะเร็งปอดที่มาจากฝุ่น PM2.5 ยังต้องเก็บข้อมูลในระยะยาว แต่ก็เห็นตัวอย่างในหลายๆ ประเทศแล้ว แม้แต่ในไทยก็พบมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ทั้งที่มีประวัติคลีนมาก ก็อาจเป็นเรื่องของฝุ่นเป็นหลัก ปัจจุบันคาดการณ์จากประเทศอื่นๆ ที่ทำวิจัย ส่วนในประเทศไทย กำลังมีการศึกษาวิจัยไปข้างหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นไหม ยังไม่นานพอที่จะทำให้เห็นว่าเกี่ยวกับฝุ่น แต่ก็พอเห็นกรณีที่มีความเป็นไปได้ว่ามาจากฝุ่น ปัญหาฝุ่น PM2.5 มาจาก 3 ปัจจัยหลักๆ คือ การเผาในที่โล่ง ซึ่งพบมากที่สุดในตอนนี้ ต่อมาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม และการคมนาคมขนส่ง นอกจากฝุ่น PM 2.5 ยังมีสารพิษที่น่ากลัว และน่ากังวลที่สามารถเกาะมากับ PM2.5 คือ สารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon : PAHs) โดยเฉพาะการเผาไหม้ที่เกิดจากการเผายาง หรือการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดสาร PAHs เช่นกัน เสี่ยง โรคหัวใจ-สมองขาดเลือดเฉียบพลัน ขณะที่ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ค่า PM2.5 ที่บ้านริมน้ำวัดได้สูงสุดตอนเจ็ดโมงเช้าที่ 102.9 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร(มคก./ลบ.ม.) ค่ารายชั่วโมงที่ 75 มคก./ลบ.ม. สำหรับคนทั่วไปอาจจะถึงขั้น เจ็บได้ คือ แสบจมูกและคอ ระคายเคืองตาและผิวหนัง แต่ถ้าขึ้นไปถึง 150 มคก./ลบ.ม. อาจตายได้ จากโรคหัวใจขาดเลือดและสมองขาดเลือดเฉียบพลัน สำหรับกลุ่มคนเปราะบาง ค่าเจ็บได้จะอยู่ที่ 37.5 มคก./ลบ.ม. จากโรคหืดและโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้กำเริบ โรคถุงลมโป่งพองกำเริบ โรคหัวใจและสมองกำเริบ ส่วนค่าที่อาจตายได้จะอยู่ที่ 75 มคก./ลบ.ม. หรือเอาง่าย ๆ คือ ครึ่งหนึ่งของคนปกติ มะเร็งปอดภาคเหนือสูง ดังที่ทราบว่าภาคเหนือมีปัญหาฝุ่น PM 2.5 มานานนับ 10 ปี การศึกษาวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ในการเปรียบเทียบอัตราการตายของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ตั้งแต่ปี 2553-2564 ระหว่าง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ พบว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ และลำปาง มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดสูงที่สุด นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนของผู้ป่วยมะเร็งปอดในคนหนุ่มสาวของประชากรภาคเหนือสูงกว่าภาคอื่นๆ นอกจากนี้ งานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มช. ยังบ่งบอกหลักฐานสนับสนุนความสัมพันธ์ของฝุ่น PM2.5 กับมะเร็ง โดยการศึกษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองในพื้นที่ อ.เชียงดาว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีค่า PM2.5 สูงอันดับต้นๆของจ.เชียงใหม่ โดยการขูดเซลล์บริเวณกระพุ้งแก้มของผู้ป่วยถุงลมโป่งพองไปตรวจ เปรียบเทียบกันระหว่างช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูงและช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 ต่ำ ผลปรากฏว่าในช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูง เซลล์กระพุ้งแก้มของผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลง บ่งบอกว่ายีนมีความผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ในอนาคต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 359 มุมมอง 0 รีวิว
  • #PM2.5กับสารอาหารเพื่อป้องกันและรักษา

    ข้อมูลจากสถาบันสุขภาพต่างๆ ชี้ให้เห็นว่ามลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ เนื่องจากมีองค์ประกอบทางเคมีมากมายทั้งสารระคายเคืองต่อสารก่อมะเร็ง และส่งผลให้เกิดโรคเฉียบพลันและเรื้อรัง เช่น โรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ โรคปอดบวม โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ มะเร็งปอด โรคหลอดเลือดหัวใจ การศึกษาพบว่าผู้ที่สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น PM 2.5 หรือน้อยกว่าจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคทางเดินหายใจ เพราะยิ่งมีขนาดเล็กลงก็ยิ่งเข้าสู่ร่างกายและเกาะติดกับปอดได้มากขึ้น โดยกระบวนการอนุภาคขนาดเล็กจะช่วยเร่งการอักเสบในร่างกายและลดจำนวนสารต้านอนุมูลอิสระ เมื่อสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายลดลงตามมาด้วยความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจ ปอด เมื่อได้รับฝุ่นละอองขนาดเล็กมากจะเสื่อมสภาพและอาจตามมาด้วยโรคมะเร็งปอด

    ดังนั้นการได้รับสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่มากขึ้นจะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพจากการได้รับ PM 2.5 ได้

    สารอาหารที่ดี

    1. วิตามินเอและเบต้าแคโรทีนพบได้ในแครอท บวบ ผักบุ้ง ฟักทอง มันเทศ มันเทศ เป็นต้น วิตามินเอนอกจากช่วยส่งเสริมดวงตาแล้วยังช่วยระบบทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกัน พร้อมทั้งสามารถต้านทานผลกระทบฝุ่นพิษได้

    2 . วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยลดความเสียหายทางพันธุกรรมของ DNA เมื่อสัมผัสกับอนุมูลอิสระที่จะทำลายเซลล์ และการศึกษาพบว่าการได้รับวิตามินซีจะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและลดอาการแพ้ต่อระบบต่างๆ เช่น ระบบทางเดินหายใจ อาการคันตา อาการคัน และความรู้สึกแสบร้อน อาการคันและแสบร้อน กลุ่มอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น สตรอเบอร์รี่ ทับทิม ผักใบเขียวเข้ม ใบบัวบก ผักโขม หัวหอม นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาพบว่าการเสริมวิตามินซี 500 มก. ต่อวันสามารถช่วยลดระดับอนุมูลอิสระในผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศได้

    3. วิตามินอี พบได้ในอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ไข่แดง ปลาตัวสีดำท้องขาว สิ่งเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบและต่อต้านอนุมูลอิสระ

    4. วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และกรดโฟลิก สามารถลดโฮโมซิสเทอีนในเลือดได้ วิตามินกลุ่มนี้อยู่ในผักใบเขียวเข้ม ผักสีส้มที่มีเบต้าแคโรทีน เช่น บรอกโคลี แครอท ฟักทอง และวิตามินบี 12 มีอยู่ในเนื้อสัตว์ เนื้อแดง

    5. โอเมก้า 3 พบได้ใน อะโวคาโด วอลนัท เมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันมะกอก ปลาต่าง ๆที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 การศึกษาทางคลินิกในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่มีฝุ่นละออง PM 2.5 สูงพบว่า การทานน้ำมันโอเมก้า 3 สูงเช่น Krill oil 2 กรัม/วันจะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นเล็กๆ นี้

    6. ซัลโฟราเฟนพบได้ในบรอกโคลี และผักกะหล่ำปลีและกะหล่ำดอกต่างๆ มีคุณสมบัติโดดเด่นที่ช่วยในกระบวนการกำจัดสารพิษและป้องกันมะเร็ง มีรายงานการทดลองทางคลินิกทั้งในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ พบว่าการได้รับซัลเฟอร์จากนั้นจากบรอกโคลีอาจช่วยลดผลเสียต่อสุขภาพของฝุ่นได้

    7. N-acetyl cysteine ช่วยลดการหดเกร็งของหลอดลมที่ไวต่อการกระตุ้น และลดความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ โดย N-acetyl cysteine ต้องการกรดอะมิโน cysteine เพื่อช่วยในการสังเคราะห์ อาหารที่มีกรดอะมิโน ได้แก่ หัวหอม ไข่ กระเทียม และเนื้อแดง

    N-acetyl cysteine ยังช่วยลดเสมหะและน้ำมูกในปอด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ N-acetyl cysteine ยังช่วยลดเสมหะและน้ำมูกในปอดอีกด้วย

    8.สารอาหารโพลีแซ็กคาไรด์ในกลุ่มเบต้ากลูแคนซึ่งสกัดได้จาก ยีสต์และเห็ด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายจะสามารถกำจัดไวรัสหรือสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น

    สมุนไพรไทยหลายชนิดยังมีฤทธิ์ในการต่อสู้กับ PM 2.5 :

    มะขามป้อม-Phyllanthus Emblica สารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยป้องกันเซลล์จากการอักเสบและช่วยให้การทำงานของหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นและการไหลเวียนที่ดี

    ขมิ้น มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินอีถึง 80 เท่า ซึ่งดีต่อการทำงานของปอด

    นอกจากการกินอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว การดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2.5 ลิตรต่อวัน การออกกำลังกาย นอนหลับให้เพียงพอ สวมแว่นตาและสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง เพื่อปกป้องหรือลดผลกระทบจากมลภาวะที่เป็นอันตรายจากฝุ่น ตัวกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพที่สามารถช่วยฟอกอากาศในบ้านหรือในรถยนต์ ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยลดผลกระทบได้

    อาหารเสริมที่แนะนำหากคุณมีความยุ่งยากในการรับประทานอาหารตามปกติ

    Glap
    Glube
    Paa super h
    Whole c

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #PM2.5กับสารอาหารเพื่อป้องกันและรักษา ข้อมูลจากสถาบันสุขภาพต่างๆ ชี้ให้เห็นว่ามลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ เนื่องจากมีองค์ประกอบทางเคมีมากมายทั้งสารระคายเคืองต่อสารก่อมะเร็ง และส่งผลให้เกิดโรคเฉียบพลันและเรื้อรัง เช่น โรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ โรคปอดบวม โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ มะเร็งปอด โรคหลอดเลือดหัวใจ การศึกษาพบว่าผู้ที่สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น PM 2.5 หรือน้อยกว่าจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคทางเดินหายใจ เพราะยิ่งมีขนาดเล็กลงก็ยิ่งเข้าสู่ร่างกายและเกาะติดกับปอดได้มากขึ้น โดยกระบวนการอนุภาคขนาดเล็กจะช่วยเร่งการอักเสบในร่างกายและลดจำนวนสารต้านอนุมูลอิสระ เมื่อสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายลดลงตามมาด้วยความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจ ปอด เมื่อได้รับฝุ่นละอองขนาดเล็กมากจะเสื่อมสภาพและอาจตามมาด้วยโรคมะเร็งปอด ดังนั้นการได้รับสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่มากขึ้นจะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพจากการได้รับ PM 2.5 ได้ สารอาหารที่ดี 1. วิตามินเอและเบต้าแคโรทีนพบได้ในแครอท บวบ ผักบุ้ง ฟักทอง มันเทศ มันเทศ เป็นต้น วิตามินเอนอกจากช่วยส่งเสริมดวงตาแล้วยังช่วยระบบทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกัน พร้อมทั้งสามารถต้านทานผลกระทบฝุ่นพิษได้ 2 . วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยลดความเสียหายทางพันธุกรรมของ DNA เมื่อสัมผัสกับอนุมูลอิสระที่จะทำลายเซลล์ และการศึกษาพบว่าการได้รับวิตามินซีจะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและลดอาการแพ้ต่อระบบต่างๆ เช่น ระบบทางเดินหายใจ อาการคันตา อาการคัน และความรู้สึกแสบร้อน อาการคันและแสบร้อน กลุ่มอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น สตรอเบอร์รี่ ทับทิม ผักใบเขียวเข้ม ใบบัวบก ผักโขม หัวหอม นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาพบว่าการเสริมวิตามินซี 500 มก. ต่อวันสามารถช่วยลดระดับอนุมูลอิสระในผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศได้ 3. วิตามินอี พบได้ในอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ไข่แดง ปลาตัวสีดำท้องขาว สิ่งเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบและต่อต้านอนุมูลอิสระ 4. วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และกรดโฟลิก สามารถลดโฮโมซิสเทอีนในเลือดได้ วิตามินกลุ่มนี้อยู่ในผักใบเขียวเข้ม ผักสีส้มที่มีเบต้าแคโรทีน เช่น บรอกโคลี แครอท ฟักทอง และวิตามินบี 12 มีอยู่ในเนื้อสัตว์ เนื้อแดง 5. โอเมก้า 3 พบได้ใน อะโวคาโด วอลนัท เมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันมะกอก ปลาต่าง ๆที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 การศึกษาทางคลินิกในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่มีฝุ่นละออง PM 2.5 สูงพบว่า การทานน้ำมันโอเมก้า 3 สูงเช่น Krill oil 2 กรัม/วันจะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นเล็กๆ นี้ 6. ซัลโฟราเฟนพบได้ในบรอกโคลี และผักกะหล่ำปลีและกะหล่ำดอกต่างๆ มีคุณสมบัติโดดเด่นที่ช่วยในกระบวนการกำจัดสารพิษและป้องกันมะเร็ง มีรายงานการทดลองทางคลินิกทั้งในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ พบว่าการได้รับซัลเฟอร์จากนั้นจากบรอกโคลีอาจช่วยลดผลเสียต่อสุขภาพของฝุ่นได้ 7. N-acetyl cysteine ช่วยลดการหดเกร็งของหลอดลมที่ไวต่อการกระตุ้น และลดความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ โดย N-acetyl cysteine ต้องการกรดอะมิโน cysteine เพื่อช่วยในการสังเคราะห์ อาหารที่มีกรดอะมิโน ได้แก่ หัวหอม ไข่ กระเทียม และเนื้อแดง N-acetyl cysteine ยังช่วยลดเสมหะและน้ำมูกในปอด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ N-acetyl cysteine ยังช่วยลดเสมหะและน้ำมูกในปอดอีกด้วย 8.สารอาหารโพลีแซ็กคาไรด์ในกลุ่มเบต้ากลูแคนซึ่งสกัดได้จาก ยีสต์และเห็ด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายจะสามารถกำจัดไวรัสหรือสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น สมุนไพรไทยหลายชนิดยังมีฤทธิ์ในการต่อสู้กับ PM 2.5 : มะขามป้อม-Phyllanthus Emblica สารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยป้องกันเซลล์จากการอักเสบและช่วยให้การทำงานของหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นและการไหลเวียนที่ดี ขมิ้น มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินอีถึง 80 เท่า ซึ่งดีต่อการทำงานของปอด นอกจากการกินอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว การดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2.5 ลิตรต่อวัน การออกกำลังกาย นอนหลับให้เพียงพอ สวมแว่นตาและสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง เพื่อปกป้องหรือลดผลกระทบจากมลภาวะที่เป็นอันตรายจากฝุ่น ตัวกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพที่สามารถช่วยฟอกอากาศในบ้านหรือในรถยนต์ ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยลดผลกระทบได้ อาหารเสริมที่แนะนำหากคุณมีความยุ่งยากในการรับประทานอาหารตามปกติ Glap Glube Paa super h Whole c ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ความดันโลหิตสูง

    ทำไมในขณะที่เราออกกำลังกาย ความดันโลหิตของเราจึงสูงขึ้น

    ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันของกระแสเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือดแดง ซึ่งเกิดจากการสูบฉีดของหัวใจ สามารถวัดได้โดยการใช้เครื่องวัดความดัน (Sphygmomanometer) วัดที่แขน และมีค่าที่วัดได้ 2 ค่า คือ

    • ความดันช่วงบน หรือ ความดันซิสโตลี (Systolic blood pressure) หมายถึง แรงดันเลือดในขณะที่หัวใจบีบตัว ซึ่งอาจจะสูงตามอายุ และความดันช่วงบนของคนคนเดียวกัน อาจมีค่าที่ต่างกันออกไป ตามท่าเคลื่อนไหวของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และปริมาณของการออกกำลังกาย

    • ความดันช่วงล่าง หรือ ความดันไดแอสโตลี (Diastolic blood pressure) หมายถึง แรงดันเลือดในขณะที่หัวใจคลายตัว ในปัจจุบันได้มีการกำหนดค่าความดันโลหิตปกติ และระดับความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูง ดังนี้

    ความดันโลหิตปกติ < 120 และ < 80

    ความดันโลหิตปกติที่ค่อนไปทางสูง 120-129 และ < 80

    ความดันโลหิตสูงระดับที่ 1 130-139 และ/หรือ 80-89

    ความดันโหลิตสูงระดับที่ 2 ≥ 140 และ/หรือ ≥ 90

    ความดันช่วงบนสูงเดี่ยว≥ 140 และ < 90

    แต่สิ่งที่การกำหนดมาตรฐานลืมคิดก็คือ เมื่อน้ำหนักของร่างกายเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม หลอดเลือดจะยาวเพิ่มขึ้นอีก 5 กิโลเมตร มันแปลว่า จะกำหนดให้ผู้สูงอายุที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานอยู่ 5 กิโลกรัมมีความดันโลหิตที่ 120/80 เท่ากับเด็กหนุ่มที่มีดัชนีร่างกายสมส่วนและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมิได้

    จะกำหนดค่าความดันโลหิตของคนที่มีเม็ดเลือดแดงต่ำ ให้อยู่ในมาตรฐาน 120/80 มิได้ เนื่องจากหัวใจต้องสูบฉีดเลือดมากขึ้น

    ดังนั้น ถ้าค่าความดันโลหิตของคุณไม่อยู่ในมาตรฐาน 120/80 ก็ไม่ต้องกังวลให้มาก แต่ให้ตรวจสอบว่าร่างกายของคุณประสบกับปัญหาอะไรอยู่

    และพึงระลึกไว้ว่า ยาลดความดันโลหิตไม่ได้เป็นการมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและยังมีผลข้างเคียงในระยะยาวอีกด้วย

    สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง

    • ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ประมาณ 90-95% มักจะมีปัญหาทางด้านระบบทางเดินอาหารและระบบการย่อย อาทิ โรคกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน ลำไส้แปรปรวน ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร และโรคภูมิแพ้ เนื่องจาก ขาดสารอาหาร ในขณะที่ร่างกายยังต้องการอาหารและอากาศตามปกติ จำเป็นอยู่เองที่หัวใจจะต้องส่งอาหารและอากาศให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

    • ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงส่วนน้อยประมาณ 5-10% อาจตรวจพบโรคหรือภาวะผิดปกติที่เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง ได้แก่

    • โรคไต เช่น โรคไตเรื้อรัง กรวยไตอักเสบเรื้อรัง หน่วยไตอักเสบ โรคถุงน้ำไตชนิดหลายถุง ฯลฯ หลอดเลือดแดงไตตีบ (Renal artery stenosis)หลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ (Coarctation of aorta) เนื้องอกบางชนิดของต่อมหมวกไต หรือต่อมใต้สมอง

    • โรคเบาหวาน เพราะก่อให้เกิดการอักเสบ เลือดข้นและตีบแคบของหลอดเลือดต่างๆ รวมทั้งหลอดเลือดของไต

    • น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เพิ่ม 1 กิโลกรัม เส้นเลือดฝอยในเนื้อเยื่อจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5 กิโลเมตร ดังนั้นเมื่อระยะทางของหลอดเลือดเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นอยู่เองที่หัวใจจะต้องทำการเพิ่มแรงดัน

    • โรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) จะทำให้หลอดเลือดมีบาดแผลและตับจำเป็นต้องสร้างคอเลสเตอรอลมาซ่อมแซม จึงทำให้เกิดการตีบในหลอดเลือดได้

    ดังนั้นการที่จะรักษาความดันให้ปกติ ก็ต้องไปแก้ที่ต้นเหตุของแต่ละโรค

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจ
    Cr. Santi Manadee
    #ความดันโลหิตสูง ทำไมในขณะที่เราออกกำลังกาย ความดันโลหิตของเราจึงสูงขึ้น ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันของกระแสเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือดแดง ซึ่งเกิดจากการสูบฉีดของหัวใจ สามารถวัดได้โดยการใช้เครื่องวัดความดัน (Sphygmomanometer) วัดที่แขน และมีค่าที่วัดได้ 2 ค่า คือ • ความดันช่วงบน หรือ ความดันซิสโตลี (Systolic blood pressure) หมายถึง แรงดันเลือดในขณะที่หัวใจบีบตัว ซึ่งอาจจะสูงตามอายุ และความดันช่วงบนของคนคนเดียวกัน อาจมีค่าที่ต่างกันออกไป ตามท่าเคลื่อนไหวของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และปริมาณของการออกกำลังกาย • ความดันช่วงล่าง หรือ ความดันไดแอสโตลี (Diastolic blood pressure) หมายถึง แรงดันเลือดในขณะที่หัวใจคลายตัว ในปัจจุบันได้มีการกำหนดค่าความดันโลหิตปกติ และระดับความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูง ดังนี้ ความดันโลหิตปกติ < 120 และ < 80 ความดันโลหิตปกติที่ค่อนไปทางสูง 120-129 และ < 80 ความดันโลหิตสูงระดับที่ 1 130-139 และ/หรือ 80-89 ความดันโหลิตสูงระดับที่ 2 ≥ 140 และ/หรือ ≥ 90 ความดันช่วงบนสูงเดี่ยว≥ 140 และ < 90 แต่สิ่งที่การกำหนดมาตรฐานลืมคิดก็คือ เมื่อน้ำหนักของร่างกายเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม หลอดเลือดจะยาวเพิ่มขึ้นอีก 5 กิโลเมตร มันแปลว่า จะกำหนดให้ผู้สูงอายุที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานอยู่ 5 กิโลกรัมมีความดันโลหิตที่ 120/80 เท่ากับเด็กหนุ่มที่มีดัชนีร่างกายสมส่วนและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมิได้ จะกำหนดค่าความดันโลหิตของคนที่มีเม็ดเลือดแดงต่ำ ให้อยู่ในมาตรฐาน 120/80 มิได้ เนื่องจากหัวใจต้องสูบฉีดเลือดมากขึ้น ดังนั้น ถ้าค่าความดันโลหิตของคุณไม่อยู่ในมาตรฐาน 120/80 ก็ไม่ต้องกังวลให้มาก แต่ให้ตรวจสอบว่าร่างกายของคุณประสบกับปัญหาอะไรอยู่ และพึงระลึกไว้ว่า ยาลดความดันโลหิตไม่ได้เป็นการมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและยังมีผลข้างเคียงในระยะยาวอีกด้วย สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง • ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ประมาณ 90-95% มักจะมีปัญหาทางด้านระบบทางเดินอาหารและระบบการย่อย อาทิ โรคกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน ลำไส้แปรปรวน ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร และโรคภูมิแพ้ เนื่องจาก ขาดสารอาหาร ในขณะที่ร่างกายยังต้องการอาหารและอากาศตามปกติ จำเป็นอยู่เองที่หัวใจจะต้องส่งอาหารและอากาศให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย • ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงส่วนน้อยประมาณ 5-10% อาจตรวจพบโรคหรือภาวะผิดปกติที่เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง ได้แก่ • • โรคไต เช่น โรคไตเรื้อรัง กรวยไตอักเสบเรื้อรัง หน่วยไตอักเสบ โรคถุงน้ำไตชนิดหลายถุง ฯลฯ หลอดเลือดแดงไตตีบ (Renal artery stenosis)หลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ (Coarctation of aorta) เนื้องอกบางชนิดของต่อมหมวกไต หรือต่อมใต้สมอง • โรคเบาหวาน เพราะก่อให้เกิดการอักเสบ เลือดข้นและตีบแคบของหลอดเลือดต่างๆ รวมทั้งหลอดเลือดของไต • น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เพิ่ม 1 กิโลกรัม เส้นเลือดฝอยในเนื้อเยื่อจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5 กิโลเมตร ดังนั้นเมื่อระยะทางของหลอดเลือดเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นอยู่เองที่หัวใจจะต้องทำการเพิ่มแรงดัน • โรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) จะทำให้หลอดเลือดมีบาดแผลและตับจำเป็นต้องสร้างคอเลสเตอรอลมาซ่อมแซม จึงทำให้เกิดการตีบในหลอดเลือดได้ ดังนั้นการที่จะรักษาความดันให้ปกติ ก็ต้องไปแก้ที่ต้นเหตุของแต่ละโรค ด้วยรักและห่วงใยจากใจ Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ
    ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ⭐️⭐️⭐️
    (ตอนที่ 1)
    ความยั่งยืนของระบบสุขภาพนั้นประกอบไปด้วยความตระหนักของประชาชนในการดูแลตัวเองด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเพาะบ่ม ตั้งแต่ในครอบครัวในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลต่อเนื่องไปทั้งชีวิต
    การละทิ้งการรักษาตัวเองจะก่อให้เกิดโรคทางสุขภาพมากมายทำให้คนไทย เปราะบางและพร้อมที่จะเกิดโรคต่างๆในระดับความรุนแรงมากกว่าปกติและแม้เมื่อกระทบกับโรคติดเชื้อกลับถึงกับเสียชีวิต อย่างง่ายดาย
    การโหมประโคม การรักษาฟรีได้ทุกโรคโดยไม่บอกความจริงถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่ทราบว่าการรักษานั้นไม่ได้ถึงขีดสุดตามที่ควรจะเป็น
    และแม้ว่าจะสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ดีเช่นหลอดเลือดหัวใจตันหรือภาวะไตวายซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานให้เป็นการฟอกเลือดแทนการล้างไตในช่องท้องซึ่งประชาชนและครอบครัวยังไม่พร้อมก่อให้เกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
    แต่จำนวนผู้ป่วยเหล่านี้ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนแพทย์พยาบาลและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรับมือไม่ไหว อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีการหยุดงานประท้วงของแพทย์ นักศึกษาแพทย์จนกระทั่งถึงลาออก ทั้งนี้เนื่องจากไม่เข้าใจว่าการให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ยังอยู่ในระบบได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เร่งผลิตแพทย์เอาแต่ปริมาณจำนวนและในที่สุดแล้วมีปัญหาเรื่องคุณภาพและผลกระทบก็คือตกอยู่ที่ประชาชนคนป่วยและขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขรวมถึงการฟ้องร้องอย่างรุนแรง

    ประเด็นที่เกี่ยวโยงกัน คือการหาประโยชน์จากระบบสุขภาพกลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจข้ามชาติ ทั้งนี้
    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอิทธิพลของบริษัทยา วัคซีนและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ โยงไปถึง หน่วยงานหลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และจนกระทั่งองค์กรหลัก ของโลก และในประเทศตะวันตก ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทยยึดถือตามเอาอย่างโดยไม่ผิดเพี้ยน

    การปล่อยออกตลาด ของวัคซีนโควิดในสภาวะฉุกเฉิน แต่กระนั้นก็ต้องมีการศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์เป็นขั้นตอนที่หนึ่ง

    ครอบครัวของเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่เป็นอาสาสมัครเข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ในการศึกษาในมนุษย์ระยะที่หนึ่งในเรื่องความปลอดภัย ปรากฏว่าหลังเข็มที่หนึ่งมีแต่ไข้เจ็บแขนและหายไป แต่หลังเข็มที่สองเกิดอาการมหาศาลตามต่อ 20 ถึง 30 อาการ ต้องเข้าโรงพยาบาล
    อาสาสมัครเหล่านี้นำไปรายงานใน วารสารนิวอิงแลนด์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 และสรุปว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนต่างมีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรงและกล่าวถึงเด็กหญิงคนนี้ว่าอาการไม่น่าวิตกอะไรและเป็นเพียงปวดท้องเนื่องจากความเครียดทางอารมณ์
    หลังจากนั้นอีกไม่นานข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนและนำไปสู่การศึกษาในมนุษย์อย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีการใช้จริงในกลางปี 2021

    วิดีโอนี้เป็นการบันทึกคำให้การของมารดาของเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบและขณะนี้ ยังต้องนั่งรถเข็นและใส่สายยางให้อาหาร เป็นคำให้การและหลักฐานต่อวุฒิสมาชิกและยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบ
    เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตีพิมพ์ในวารสาร ชั้นหนึ่งอันดับโลกมึความบิดเบี้ยว และในบทความตีพิมพ์นี้ นายแพทย์ที่เป็นชื่อแรกคือคนที่รับผิดชอบและดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วยซ้ำ

    กรุณาดูวิดีโอชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ได้มีการตัดต่อใดๆ

    https://youtu.be/L2GKPYzL_JQ?si=VKECXgj_GwGoqKzL

    ยาที่ถูกแสนถูกหมดสิทธิบัตรแล้วและถูกห้ามใช้อย่างรุนแรงจากองค์กรสากลต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย
    ในที่สุด FDA สหรัฐ แพ้คดี ต้องถอนข้อความในการห้ามใช้ ยาฆ่าพยาธิ ไอเวอร์เมคติน ในการป้องกัน และรักษาโควิด และที่มีการดูถูกถากถาง และส่งผลให้แพทย์ถูกลงโทษ

    อีกตัวอย่างที่น่ากลัวคือ การถ่ายทอดผ่านรกของวัคซีน COVID-19 mRNA
    หลักฐานจากการวิเคราะห์รก มารดา และเลือดจากสายสะดือหลังการฉีดวัคซีน

    https://www.ajog.org/article/S0002-9378(24)00063-2/fulltext?fbclid=IwAR213l0Ygqu3FCbE-9iXZ6eZUDjwBk6JnfHex9JA1W2CQKokz62WLOj7tpI

    ประเด็นที่ร้ายแรงต่อตามมาก็คือ ผลผลิตของนวัตกรรมซึ่งสามารถเกิดขึ้น อย่างมหัศจรรย์ แบบผิดธรรมชาติ จากวัคซีนโควิด
    นวัตกรรมนี้สามารถสร้างความเสียหายโดยผ่านกลไกหลายระบบ แบบที่พบเห็นกันทั่วไปจากกลไกทางด้านภูมิคุ้มกัน

    แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือความสามารถที่จะฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ไปนานเป็นปี และสั่งให้ร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม เป็นเป้าล่อให้กระบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์เข้ามาทำลาย ซึ่งก็หมายความว่าทำร้ายตัวเอง

    นอกจากนั้นโปรตีนหนามนี้ เข้าไปสอดแทรกในเนื้อเยื่อที่ลึกลงไป ก่อให้เกิดการอักเสบมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และต่อมา ชิ้นของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะค่อยๆ ทะลักออกมาทางผิวเซลล์ที่ถูกทำลาย

    และในกรณีของหลอดเลือดจะทะลักออกมาในกระแสเลือดโดยโปรตีนนี้ จะเหนี่ยวนำ ให้เกิดโปรตีนบิดเกลียว misfolded protein ลักษณะเป็นอมิลอยด์ ซึ่งไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ และค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ลักษณะอาจเป็นก้อนหรือเป็นแท่งหล่อ พบ ขณะมีชีวิตและเมื่อตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกิดทุกคน
    กลไกจากนวัตกรรมนี้ จนได้ผลิตผล ขั้นสูงสุดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และ “ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับว่าเกิดขึ้นได้นั้น” หมายความว่าแพลตฟอร์มของนวัตกรรมนี้ที่จะนำมาใช้สำหรับโรคอื่นทุกชนิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างในโลกนี้ ต้องถูกระงับ
    เป็นคำอธิบายชัดเจนในการต่อต้าน

    ทั้งนี้ ได้สรุปเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเยอรมันและเจ้าหน้าที่ในสหรัฐ
    กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำไม่สามารถนำลงไปตีพิมพ์ในวารสารได้ เพราะได้รับการต่อต้านตั้งแต่ พบหลักฐานใน 15 รายแรกและได้แจ้งให้สมาคม ราชวิทยาลัยของประเทศให้จับตาและทำการศึกษาอย่างจริงจังแต่ได้รับการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

    ดังนั้น เป็นการเสนองานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดในที่ประชุมนานาชาติ จากการชันสูตรศพและวิเคราะห์เนื้อเยื่อทางกล้องจุลทรรศน์และทางฟิสิกส์จากศพ 100 ราย และจากชิ้นเนื้อจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 ราย
    และข้อมูล ที่สำคัญที่มอบให้สื่อ ยังเป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน cath lab ที่ไม่ระบุชื่อ anonymous whistle blower ที่โรงพยาบาลในสหรัฐที่ทำการฉีดสีและดูด ลาก ตัด ก้อนที่ปะปนกับลิ่มเลือดตามปกติออกมา ซึ่งได้ทำการรายงานโรงพยาบาลทันทีแต่ได้รับคำสั่งห้ามพูดเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก เลยได้ทำการติดต่อโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐซึ่งก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้และทุกแห่งถูกสั่งห้ามพูด

    ทั้งนี้จะมีโรงพยาบาลหลักในสหรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้
    และสนับสนุนนวัตกรรมนี้ทำการปิดกั้นผลกระทบ เหล่านี้ อย่างสิ้นเชิง

    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/

    https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/

    ⭐️⭐️⭐️
    (ตอนที่ 2)

    ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษย์นั้นเริ่มเห็นหนาตาขึ้น จนปิดไม่มิดและประชาชนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
    สำหรับคนที่ยังไม่เกิดอาการและไม่เห็นความสำคัญ ของข้อมูลเหล่านี้ต้องไม่ลืมว่าต้องรอถึงอย่างน้อย 10 ปีจึงจะแน่ใจว่าอยู่รอดปลอดภัย

    วัคซีน นวัตกรรมอำมหิตนี้ 1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น 2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด 3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ 4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์
    5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์ 6-โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย 7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนียวนำทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอมิลอยด์โปรตีนเข้าไปในหลอดเลือด 8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์
    9-คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและสิบสอง และ 10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์

    สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆที่ทยอยกันออกมา
    สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต

    หยุด “มัน” เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก “มัน”
    ขั้นตอนที่จะสู้คือการพัฒนาการตรวจจากเลือดเพื่อดูปริมาณของสารผิดปกตินี้ และใช้ยาถอนพิษซึ่งขณะนี้มีหลายตำรับด้วยกันโดยที่ต้องประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย
    (ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ นวตกรรมอำมหิต ตอนหนึ่งและสอง)

    ประเด็นของ ขององค์การอนามัยโลก และยึดโยงลงเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วลากมาปัจจุบันและที่คนไทยจะเจออะไรในอนาคต
    Tucker Carlson น่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยก และคนเริ่มหันมาสนใจหลาย ล้านคนแล้ว
    https://youtu.be/4MIESbBnA2k?si=JV-UPUa9oHZkP25Y
    โดยที่ องค์การจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉินและสามารถกำหนดให้ประเทศภาคีต้องปฏิบัติตามทั้งในด้านยาผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้
    ไม่สามารถคิดเองทำเองได้โดยเด็ดขาด และสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องได้อย่างสมบูรณ์ทั้งโลกเป็น เรียลไทม์
    ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในภาคีเครือข่าย เนื้อหา บทกำหนดใหม่นั้น มีการตกแต่งต่อเติม อ่านแล้ว งงงวย สรุปคือ ถ้ายอมตามก็เป็นไปตามนั้น และองค์กรถ้าทำผิดพลาดจะไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งฟังดูคุ้นๆ ให้ประเทศรับผิดชอบกันเอง

    ควรหรือไม่ควรที่จะมีการถามจุดยืนของประเทศไทย หรือจะทำอย่างที่ทำมาตลอด ฝรั่งว่าดี ถึงจะทำ ถ้ามีคำแนะนำอะไร ของฝรั่งถือว่าดีที่สุด สมาคมราชวิทยาลัยต่างประเทศ ว่าอย่างไรต้องทำตาม ไม่มีใครเคยฉุกคิดว่า ข้อมูลที่ปรากฏผลที่ประมวลมีการตั้งใจที่จะตัดข้อมูลบางส่วนทิ้งที่ทำให้สถิติออกมา ดูดีหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้

    การอ่านวารสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ผลออกมาดีอย่างผิดธรรมชาติ หรือเลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จำเป็นต้องหาข้อมูลรอบด้าน totality of evidence สิ่งที่เห็นรอบตัว
    ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย โดยทางการ แถลงทุกสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ประกาศว่า
    มีคนได้รับผลกระทบของวัคซีนโควิดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ และเสียชีวิตมี จำนวนห้ารายเท่านั้น
    ดังนั้นอัตราส่วนคือหนึ่งต่อ 1,000,000 คน
    และข้อร้องเรียนอื่นๆนั้น เมื่อพิจารณา อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน

    รายงานในวารสารโดยจากคณะกรรมการพิจารณาผลข้างเคียงของวัคซีนในประเทศไทย บอกว่าวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียง“น้อยมาก” และ“ไม่รุนแรง”
    ในขณะที่สถาบันในประเทศไทยที่ไม่มีอคติทับซ้อนกลับรายงาน ตรงข้าม

    ประชาชนพยายามที่จะบอกว่าได้มีคำร้องไปแล้วครอบครัวมีคนตายไปแล้วแต่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกปัดตกมากมาย หรือที่มีการชดเชย โดย สปสช ไปแล้วก็จะมีการสรุปว่าเป็นตัวเลขที่บรรเทาความเดือดร้อน เท่านั้น ยัง ไม่ได้ พิสูจน์ เกี่ยวข้องกับวัคซีน

    เนื้อหาทางด้านล่างนี้เป็นคำบรรยายตามสูตรของกระทรวงสาธารณสุข อ่านแล้วพิจารณาให้ดี

    ……กองระบาด กรมการแพทย์ไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมีการตรวจสอบถูกต้องตามระบบของ WHO

    สปสช จ่ายเงินเยียวยา โดยไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลและผลสรุปของกองระบาดซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบผลข้างเคียงที่มีความถูกต้องกว่า
    เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลมีความกังวลว่าคนจะไม่ไปฉีดวัคซีน จึงยอมจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งหลายๆครั้งไม่มีการตรวจสอบที่ถูกต้องครับ เพื่อให้การเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน

    สรุปว่าเมื่อ ทางการ จะทำการอ้างอะไร จะเป็นไปตามเบื้องบนองค์กรสั่ง ใช้กรรมการที่ไม่ได้ประกาศชื่อว่ามีใครบ้าง และถ้าความเป็นจริงปรากฏตรงข้ามดังที่เห็นในปัจจุบัน จะต้องรับผิดชอบ ความผิดในการปกปิดบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และจะถูกลงโทษประการใดหรือไม่?

    ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่

    องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR)
    ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO)

    ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้

    ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง
    https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email

    สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว

    https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/
    https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/

    ขอขอบคุณ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    🙏🙏🙏
    กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ⭐️⭐️⭐️ (ตอนที่ 1) ความยั่งยืนของระบบสุขภาพนั้นประกอบไปด้วยความตระหนักของประชาชนในการดูแลตัวเองด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเพาะบ่ม ตั้งแต่ในครอบครัวในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลต่อเนื่องไปทั้งชีวิต การละทิ้งการรักษาตัวเองจะก่อให้เกิดโรคทางสุขภาพมากมายทำให้คนไทย เปราะบางและพร้อมที่จะเกิดโรคต่างๆในระดับความรุนแรงมากกว่าปกติและแม้เมื่อกระทบกับโรคติดเชื้อกลับถึงกับเสียชีวิต อย่างง่ายดาย การโหมประโคม การรักษาฟรีได้ทุกโรคโดยไม่บอกความจริงถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่ทราบว่าการรักษานั้นไม่ได้ถึงขีดสุดตามที่ควรจะเป็น และแม้ว่าจะสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ดีเช่นหลอดเลือดหัวใจตันหรือภาวะไตวายซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานให้เป็นการฟอกเลือดแทนการล้างไตในช่องท้องซึ่งประชาชนและครอบครัวยังไม่พร้อมก่อให้เกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่จำนวนผู้ป่วยเหล่านี้ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนแพทย์พยาบาลและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรับมือไม่ไหว อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีการหยุดงานประท้วงของแพทย์ นักศึกษาแพทย์จนกระทั่งถึงลาออก ทั้งนี้เนื่องจากไม่เข้าใจว่าการให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ยังอยู่ในระบบได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เร่งผลิตแพทย์เอาแต่ปริมาณจำนวนและในที่สุดแล้วมีปัญหาเรื่องคุณภาพและผลกระทบก็คือตกอยู่ที่ประชาชนคนป่วยและขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขรวมถึงการฟ้องร้องอย่างรุนแรง ประเด็นที่เกี่ยวโยงกัน คือการหาประโยชน์จากระบบสุขภาพกลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจข้ามชาติ ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอิทธิพลของบริษัทยา วัคซีนและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ โยงไปถึง หน่วยงานหลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และจนกระทั่งองค์กรหลัก ของโลก และในประเทศตะวันตก ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทยยึดถือตามเอาอย่างโดยไม่ผิดเพี้ยน การปล่อยออกตลาด ของวัคซีนโควิดในสภาวะฉุกเฉิน แต่กระนั้นก็ต้องมีการศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์เป็นขั้นตอนที่หนึ่ง ครอบครัวของเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่เป็นอาสาสมัครเข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ในการศึกษาในมนุษย์ระยะที่หนึ่งในเรื่องความปลอดภัย ปรากฏว่าหลังเข็มที่หนึ่งมีแต่ไข้เจ็บแขนและหายไป แต่หลังเข็มที่สองเกิดอาการมหาศาลตามต่อ 20 ถึง 30 อาการ ต้องเข้าโรงพยาบาล อาสาสมัครเหล่านี้นำไปรายงานใน วารสารนิวอิงแลนด์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 และสรุปว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนต่างมีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรงและกล่าวถึงเด็กหญิงคนนี้ว่าอาการไม่น่าวิตกอะไรและเป็นเพียงปวดท้องเนื่องจากความเครียดทางอารมณ์ หลังจากนั้นอีกไม่นานข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนและนำไปสู่การศึกษาในมนุษย์อย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีการใช้จริงในกลางปี 2021 วิดีโอนี้เป็นการบันทึกคำให้การของมารดาของเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบและขณะนี้ ยังต้องนั่งรถเข็นและใส่สายยางให้อาหาร เป็นคำให้การและหลักฐานต่อวุฒิสมาชิกและยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตีพิมพ์ในวารสาร ชั้นหนึ่งอันดับโลกมึความบิดเบี้ยว และในบทความตีพิมพ์นี้ นายแพทย์ที่เป็นชื่อแรกคือคนที่รับผิดชอบและดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วยซ้ำ กรุณาดูวิดีโอชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ได้มีการตัดต่อใดๆ https://youtu.be/L2GKPYzL_JQ?si=VKECXgj_GwGoqKzL ยาที่ถูกแสนถูกหมดสิทธิบัตรแล้วและถูกห้ามใช้อย่างรุนแรงจากองค์กรสากลต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย ในที่สุด FDA สหรัฐ แพ้คดี ต้องถอนข้อความในการห้ามใช้ ยาฆ่าพยาธิ ไอเวอร์เมคติน ในการป้องกัน และรักษาโควิด และที่มีการดูถูกถากถาง และส่งผลให้แพทย์ถูกลงโทษ อีกตัวอย่างที่น่ากลัวคือ การถ่ายทอดผ่านรกของวัคซีน COVID-19 mRNA หลักฐานจากการวิเคราะห์รก มารดา และเลือดจากสายสะดือหลังการฉีดวัคซีน https://www.ajog.org/article/S0002-9378(24)00063-2/fulltext?fbclid=IwAR213l0Ygqu3FCbE-9iXZ6eZUDjwBk6JnfHex9JA1W2CQKokz62WLOj7tpI ประเด็นที่ร้ายแรงต่อตามมาก็คือ ผลผลิตของนวัตกรรมซึ่งสามารถเกิดขึ้น อย่างมหัศจรรย์ แบบผิดธรรมชาติ จากวัคซีนโควิด นวัตกรรมนี้สามารถสร้างความเสียหายโดยผ่านกลไกหลายระบบ แบบที่พบเห็นกันทั่วไปจากกลไกทางด้านภูมิคุ้มกัน แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือความสามารถที่จะฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ไปนานเป็นปี และสั่งให้ร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม เป็นเป้าล่อให้กระบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์เข้ามาทำลาย ซึ่งก็หมายความว่าทำร้ายตัวเอง นอกจากนั้นโปรตีนหนามนี้ เข้าไปสอดแทรกในเนื้อเยื่อที่ลึกลงไป ก่อให้เกิดการอักเสบมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และต่อมา ชิ้นของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะค่อยๆ ทะลักออกมาทางผิวเซลล์ที่ถูกทำลาย และในกรณีของหลอดเลือดจะทะลักออกมาในกระแสเลือดโดยโปรตีนนี้ จะเหนี่ยวนำ ให้เกิดโปรตีนบิดเกลียว misfolded protein ลักษณะเป็นอมิลอยด์ ซึ่งไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ และค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ลักษณะอาจเป็นก้อนหรือเป็นแท่งหล่อ พบ ขณะมีชีวิตและเมื่อตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกิดทุกคน กลไกจากนวัตกรรมนี้ จนได้ผลิตผล ขั้นสูงสุดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และ “ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับว่าเกิดขึ้นได้นั้น” หมายความว่าแพลตฟอร์มของนวัตกรรมนี้ที่จะนำมาใช้สำหรับโรคอื่นทุกชนิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างในโลกนี้ ต้องถูกระงับ เป็นคำอธิบายชัดเจนในการต่อต้าน ทั้งนี้ ได้สรุปเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเยอรมันและเจ้าหน้าที่ในสหรัฐ กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำไม่สามารถนำลงไปตีพิมพ์ในวารสารได้ เพราะได้รับการต่อต้านตั้งแต่ พบหลักฐานใน 15 รายแรกและได้แจ้งให้สมาคม ราชวิทยาลัยของประเทศให้จับตาและทำการศึกษาอย่างจริงจังแต่ได้รับการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ดังนั้น เป็นการเสนองานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดในที่ประชุมนานาชาติ จากการชันสูตรศพและวิเคราะห์เนื้อเยื่อทางกล้องจุลทรรศน์และทางฟิสิกส์จากศพ 100 ราย และจากชิ้นเนื้อจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 ราย และข้อมูล ที่สำคัญที่มอบให้สื่อ ยังเป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน cath lab ที่ไม่ระบุชื่อ anonymous whistle blower ที่โรงพยาบาลในสหรัฐที่ทำการฉีดสีและดูด ลาก ตัด ก้อนที่ปะปนกับลิ่มเลือดตามปกติออกมา ซึ่งได้ทำการรายงานโรงพยาบาลทันทีแต่ได้รับคำสั่งห้ามพูดเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก เลยได้ทำการติดต่อโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐซึ่งก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้และทุกแห่งถูกสั่งห้ามพูด ทั้งนี้จะมีโรงพยาบาลหลักในสหรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้ และสนับสนุนนวัตกรรมนี้ทำการปิดกั้นผลกระทบ เหล่านี้ อย่างสิ้นเชิง ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข มหาวิทยาลัยรังสิต https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/ https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/ ⭐️⭐️⭐️ (ตอนที่ 2) ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษย์นั้นเริ่มเห็นหนาตาขึ้น จนปิดไม่มิดและประชาชนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า สำหรับคนที่ยังไม่เกิดอาการและไม่เห็นความสำคัญ ของข้อมูลเหล่านี้ต้องไม่ลืมว่าต้องรอถึงอย่างน้อย 10 ปีจึงจะแน่ใจว่าอยู่รอดปลอดภัย วัคซีน นวัตกรรมอำมหิตนี้ 1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น 2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด 3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ 4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์ 5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์ 6-โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย 7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนียวนำทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอมิลอยด์โปรตีนเข้าไปในหลอดเลือด 8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์ 9-คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและสิบสอง และ 10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์ สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆที่ทยอยกันออกมา สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต หยุด “มัน” เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก “มัน” ขั้นตอนที่จะสู้คือการพัฒนาการตรวจจากเลือดเพื่อดูปริมาณของสารผิดปกตินี้ และใช้ยาถอนพิษซึ่งขณะนี้มีหลายตำรับด้วยกันโดยที่ต้องประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย (ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ นวตกรรมอำมหิต ตอนหนึ่งและสอง) ประเด็นของ ขององค์การอนามัยโลก และยึดโยงลงเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วลากมาปัจจุบันและที่คนไทยจะเจออะไรในอนาคต Tucker Carlson น่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยก และคนเริ่มหันมาสนใจหลาย ล้านคนแล้ว https://youtu.be/4MIESbBnA2k?si=JV-UPUa9oHZkP25Y โดยที่ องค์การจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉินและสามารถกำหนดให้ประเทศภาคีต้องปฏิบัติตามทั้งในด้านยาผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ไม่สามารถคิดเองทำเองได้โดยเด็ดขาด และสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องได้อย่างสมบูรณ์ทั้งโลกเป็น เรียลไทม์ ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในภาคีเครือข่าย เนื้อหา บทกำหนดใหม่นั้น มีการตกแต่งต่อเติม อ่านแล้ว งงงวย สรุปคือ ถ้ายอมตามก็เป็นไปตามนั้น และองค์กรถ้าทำผิดพลาดจะไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งฟังดูคุ้นๆ ให้ประเทศรับผิดชอบกันเอง ควรหรือไม่ควรที่จะมีการถามจุดยืนของประเทศไทย หรือจะทำอย่างที่ทำมาตลอด ฝรั่งว่าดี ถึงจะทำ ถ้ามีคำแนะนำอะไร ของฝรั่งถือว่าดีที่สุด สมาคมราชวิทยาลัยต่างประเทศ ว่าอย่างไรต้องทำตาม ไม่มีใครเคยฉุกคิดว่า ข้อมูลที่ปรากฏผลที่ประมวลมีการตั้งใจที่จะตัดข้อมูลบางส่วนทิ้งที่ทำให้สถิติออกมา ดูดีหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้ การอ่านวารสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ผลออกมาดีอย่างผิดธรรมชาติ หรือเลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จำเป็นต้องหาข้อมูลรอบด้าน totality of evidence สิ่งที่เห็นรอบตัว ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย โดยทางการ แถลงทุกสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ประกาศว่า มีคนได้รับผลกระทบของวัคซีนโควิดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ และเสียชีวิตมี จำนวนห้ารายเท่านั้น ดังนั้นอัตราส่วนคือหนึ่งต่อ 1,000,000 คน และข้อร้องเรียนอื่นๆนั้น เมื่อพิจารณา อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน รายงานในวารสารโดยจากคณะกรรมการพิจารณาผลข้างเคียงของวัคซีนในประเทศไทย บอกว่าวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียง“น้อยมาก” และ“ไม่รุนแรง” ในขณะที่สถาบันในประเทศไทยที่ไม่มีอคติทับซ้อนกลับรายงาน ตรงข้าม ประชาชนพยายามที่จะบอกว่าได้มีคำร้องไปแล้วครอบครัวมีคนตายไปแล้วแต่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกปัดตกมากมาย หรือที่มีการชดเชย โดย สปสช ไปแล้วก็จะมีการสรุปว่าเป็นตัวเลขที่บรรเทาความเดือดร้อน เท่านั้น ยัง ไม่ได้ พิสูจน์ เกี่ยวข้องกับวัคซีน เนื้อหาทางด้านล่างนี้เป็นคำบรรยายตามสูตรของกระทรวงสาธารณสุข อ่านแล้วพิจารณาให้ดี ……กองระบาด กรมการแพทย์ไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมีการตรวจสอบถูกต้องตามระบบของ WHO สปสช จ่ายเงินเยียวยา โดยไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลและผลสรุปของกองระบาดซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบผลข้างเคียงที่มีความถูกต้องกว่า เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลมีความกังวลว่าคนจะไม่ไปฉีดวัคซีน จึงยอมจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งหลายๆครั้งไม่มีการตรวจสอบที่ถูกต้องครับ เพื่อให้การเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน สรุปว่าเมื่อ ทางการ จะทำการอ้างอะไร จะเป็นไปตามเบื้องบนองค์กรสั่ง ใช้กรรมการที่ไม่ได้ประกาศชื่อว่ามีใครบ้าง และถ้าความเป็นจริงปรากฏตรงข้ามดังที่เห็นในปัจจุบัน จะต้องรับผิดชอบ ความผิดในการปกปิดบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และจะถูกลงโทษประการใดหรือไม่? ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่ องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR) ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO) ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้ ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/ https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/ ขอขอบคุณ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 🙏🙏🙏
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 577 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia)

    โรคของการทางานที่ผิดปกติของเยื่อบุหลอดเลือด (endothelial malfunction) และการหดตัวของหลอดเลือด (vasospasm) ที่เกิดขึ้นภายหลังอายุครรภ์20 สัปดาห์และอาจแสดงอาการยาวไปจนถึง 4-6 สัปดาห์หลังคลอดได้ ในทางคลินิกภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) หมายถึงการที่มีความดันโลหิตสูงและมีโปรตีนรั่วในหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีความดันโลหิตสูงมาก่อน แบ่งออกเป็นชนิดรุนแรงและไม่รุนแรง มีสาเหตุจากหลายปัจจัย ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากการมีสารที่สร้างจากรกที่พัฒนาผิดปกติไปทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดของมารดา อาการที่รุนแรงหลายอย่างเกิดจากการมีความเสียหายต่อเซลล์เยื่อบุของอวัยวะต่างๆ ของมารดา รวมถึงไตและตับ

    ครรภ์เป็นพิษเกิดจากความผิดปกติของการฝังตัวของรก ซึ่งโดยธรรมชาติรกจะฝังบริเวณเยื่อบุผนังมดลูก แต่ในกรณีที่แม่ครรภ์เป็นพิษรกจะฝังตัวได้ไม่แน่น ส่งผลให้รกบางส่วนเกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด เมื่อเลือดไปเลี้ยงรกได้น้อยลงจะเกิดการหลั่งสารที่เป็นสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะนี้

    อาการ

    ความผิดปกติของร่างกายที่อาจบ่งบอกว่าครรภ์เป็นพิษได้แก่

    • บวม โดยเฉพาะบริเวณมือ เท้า หน้า

    • น้ำหนักเพิ่มเร็วขึ้นผิดปกติ โดยปกติน้ำหนักแม่จะเพิ่มที่เดือนละ 1.5 – 2 กิโลกรัม

    • ปวดศีรษะมาก

    • ทารกดิ้นน้อย ตัวเล็ก โตช้า

    • ความดันโลหิตสูง 140/90 มิลลิเมตรปรอท

    • ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ

    • ตาพร่ามัว

    • ปวดหรือจุกเสียดแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา

    ระดับความรุนแรงของโรค

    ครรภ์เป็นพิษมีความรุนแรงหลายระดับ ได้แก่

    • ครรภ์เป็นพิษระดับที่ไม่รุนแรง (Non – Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท ยังไม่พบภาวะแทรกซ้อน

    • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง (Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 หรือตรวจพบความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบ ไตทำงานลดลง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก ฯลฯ

    • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรงและมีภาวะชัก (Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์ชัก เกร็ง หมดสติ อาจมีเลือดออกในสมอง หากอยู่ในระยะนี้ต้องรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะแม่และลูกมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

    งานวิจัยใหม่ ๆ ได้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันโอเมก้า 3 มีประสิทธิภาพมากกว่าแอสไพรินในภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia)

    pre-eclampsia มีผลประมาณ 3% ของหญิงตั้งครรภ์และคิดเป็น 25% ของทารกทั้งหมดที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยมาก (<1500 กรัม)

    อย่างไรก็ตามพวกเขามักถูกนำเสนอยา (แอสไพรินขนาดต่ำ) เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยชี้ให้เห็นว่าแอสไพรินลด pre-eclampsia ลง 15% แต่การวิจัยชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นเพียง 15% ในอัตราส่วนของกรดไขมันโอเมก้า 3 มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของการเกิด pre-eclampsia 46% นี่คือการปรับปรุงมากกว่า 300% เมื่อเทียบกับแอสไพริน

    นอกจากนี้งานวิจัยของ Olsen SF, Secher, NJ (2) ซึ่งเป็นการทดลองแบบสุ่มยืนยันว่าการบริโภคไขมันโอเมก้า 3 ในระหว่างการตั้งครรภ์สามารถเพิ่มน้ำหนักแรกเกิดและลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้

    ...สิ่งที่น่ากังวล...

    นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ 1ใน 12 คนในสหรัฐอเมริกามีระดับปรอทที่เป็นอันตรายในเลือดของพวกเขาเนื่องจากการบริโภคปลาซึ่งมีปรอทและสารปนเปื้อน PCB ซึ่งมีผลกระทบร้ายแรงต่อการคลอดก่อนกำหนดและ pre-eclampsia

    แคลเซียม:

    การวิจัยสี่ทศวรรษแสดงให้เห็นว่าในผู้หญิงที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารต่ำ การเสริมแคลเซียมสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ครึ่งหนึ่ง แคลเซียมจากอาหารของแม่ช่วยให้กระดูกของทารกที่กำลังพัฒนาก่อตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ มีการดึงแคลเซียมจากแม่มาใช้อย่างมากเพื่อช่วยให้ลูกเติบโต ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนพาราไธรอยด์ ซึ่งช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับแคลเซียมได้

    ฮอร์โมนพาราไธรอยด์ที่มากขึ้นทำให้กระดูกปล่อยแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดและเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของผนังหลอดเลือดแดง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและความดันโลหิตสูง

    องค์การอนามัยโลกแนะนำอาหารเสริมแคลเซียมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีปริมาณแคลเซียมต่ำเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การเสริมแคลเซียมไม่ได้รับการพิสูจน์สำหรับสตรีมีครรภ์ที่ได้รับแคลเซียมเพียงพอจากอาหารแล้ว

    วิตามินดี:

    วิตามินดีที่เพียงพอจากแสงแดดสามารถช่วยให้ผู้คนได้รับแคลเซียมเพียงพอ วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ นอกจากนี้ วิตามินดียังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนารกและควบคุมการอักเสบ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษการขาดวิตามินดีของมารดาสัมพันธ์กับโอกาสที่จะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษเป็นสองเท่า (OR 2.11, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 1.52-2.94) ในขณะที่การเสริมวิตามินดีสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลง 38% ของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (RR 0.62, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 0.43- 0.91)

    ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณอาจดูระดับวิตามินดีของคุณในระหว่างการเจาะเลือดก่อนคลอด ไม่ว่าคุณจะมีความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษหรือไม่ก็ตาม พวกเขาอาจแนะนำอาหารเสริมหากระดับต่ำเพื่อปรับปรุงสุขภาพการตั้งครรภ์โดยรวม

    ธาต์เหล็ก (และบทบาทของโรคโลหิตจาง)

    แม้ว่าดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างระดับธาตุเหล็กและภาวะครรภ์เป็นพิษ แต่หลักฐานไม่ได้ตรงไปตรงมา นักวิจัยยังคงพยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ ธาตุเหล็กที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการตั้งครรภ์ แต่ธาตุเหล็กบางรูปแบบสามารถเป็นอันตรายต่อเซลล์ของร่างกายและเยื่อบุของหลอดเลือดได้ เหล็กเป็นส่วนหนึ่งของฮีโมโกลบินซึ่งจำเป็นสำหรับเซลล์เม็ดเลือดแดงในการนำออกซิเจน

    ระดับฮีโมโกลบินทั้งในระดับต่ำและระดับสูงสัมพันธ์กับอัตราภาวะครรภ์เป็นพิษที่สูงขึ้น ธาตุเหล็กอิสระในเลือดทำปฏิกิริยากับโมเลกุลที่ไม่เสถียรอื่นๆ ซึ่งมีออกซิเจนเพื่อเริ่มต้นความเสียหายของเซลล์ในเยื่อบุหลอดเลือด ซึ่งเรียกว่าความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือด ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมีแนวโน้มที่จะแสดงความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือดมากกว่าผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ผู้ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมักมีระดับธาตุเหล็กในเลือดสูงกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ไม่ชัดเจนว่าระดับสูงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษ อันเป็นผลมาจากโรคหรือทั้งสองอย่าง

    สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าการได้รับธาตุเหล็กเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคโลหิตจางเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่าภาวะโลหิตจางเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ
    Paa super h
    K cal
    น้ำปั่นป๋า
    โกโก้ป๋า

    Cr. Santi Manadee
    #ครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) โรคของการทางานที่ผิดปกติของเยื่อบุหลอดเลือด (endothelial malfunction) และการหดตัวของหลอดเลือด (vasospasm) ที่เกิดขึ้นภายหลังอายุครรภ์20 สัปดาห์และอาจแสดงอาการยาวไปจนถึง 4-6 สัปดาห์หลังคลอดได้ ในทางคลินิกภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) หมายถึงการที่มีความดันโลหิตสูงและมีโปรตีนรั่วในหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีความดันโลหิตสูงมาก่อน แบ่งออกเป็นชนิดรุนแรงและไม่รุนแรง มีสาเหตุจากหลายปัจจัย ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากการมีสารที่สร้างจากรกที่พัฒนาผิดปกติไปทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดของมารดา อาการที่รุนแรงหลายอย่างเกิดจากการมีความเสียหายต่อเซลล์เยื่อบุของอวัยวะต่างๆ ของมารดา รวมถึงไตและตับ ครรภ์เป็นพิษเกิดจากความผิดปกติของการฝังตัวของรก ซึ่งโดยธรรมชาติรกจะฝังบริเวณเยื่อบุผนังมดลูก แต่ในกรณีที่แม่ครรภ์เป็นพิษรกจะฝังตัวได้ไม่แน่น ส่งผลให้รกบางส่วนเกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด เมื่อเลือดไปเลี้ยงรกได้น้อยลงจะเกิดการหลั่งสารที่เป็นสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะนี้ อาการ ความผิดปกติของร่างกายที่อาจบ่งบอกว่าครรภ์เป็นพิษได้แก่ • บวม โดยเฉพาะบริเวณมือ เท้า หน้า • น้ำหนักเพิ่มเร็วขึ้นผิดปกติ โดยปกติน้ำหนักแม่จะเพิ่มที่เดือนละ 1.5 – 2 กิโลกรัม • ปวดศีรษะมาก • ทารกดิ้นน้อย ตัวเล็ก โตช้า • ความดันโลหิตสูง 140/90 มิลลิเมตรปรอท • ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ • ตาพร่ามัว • ปวดหรือจุกเสียดแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา ระดับความรุนแรงของโรค ครรภ์เป็นพิษมีความรุนแรงหลายระดับ ได้แก่ • ครรภ์เป็นพิษระดับที่ไม่รุนแรง (Non – Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท ยังไม่พบภาวะแทรกซ้อน • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง (Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 หรือตรวจพบความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบ ไตทำงานลดลง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก ฯลฯ • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรงและมีภาวะชัก (Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์ชัก เกร็ง หมดสติ อาจมีเลือดออกในสมอง หากอยู่ในระยะนี้ต้องรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะแม่และลูกมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ งานวิจัยใหม่ ๆ ได้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันโอเมก้า 3 มีประสิทธิภาพมากกว่าแอสไพรินในภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) pre-eclampsia มีผลประมาณ 3% ของหญิงตั้งครรภ์และคิดเป็น 25% ของทารกทั้งหมดที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยมาก (<1500 กรัม) อย่างไรก็ตามพวกเขามักถูกนำเสนอยา (แอสไพรินขนาดต่ำ) เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยชี้ให้เห็นว่าแอสไพรินลด pre-eclampsia ลง 15% แต่การวิจัยชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นเพียง 15% ในอัตราส่วนของกรดไขมันโอเมก้า 3 มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของการเกิด pre-eclampsia 46% นี่คือการปรับปรุงมากกว่า 300% เมื่อเทียบกับแอสไพริน นอกจากนี้งานวิจัยของ Olsen SF, Secher, NJ (2) ซึ่งเป็นการทดลองแบบสุ่มยืนยันว่าการบริโภคไขมันโอเมก้า 3 ในระหว่างการตั้งครรภ์สามารถเพิ่มน้ำหนักแรกเกิดและลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้ ...สิ่งที่น่ากังวล... นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ 1ใน 12 คนในสหรัฐอเมริกามีระดับปรอทที่เป็นอันตรายในเลือดของพวกเขาเนื่องจากการบริโภคปลาซึ่งมีปรอทและสารปนเปื้อน PCB ซึ่งมีผลกระทบร้ายแรงต่อการคลอดก่อนกำหนดและ pre-eclampsia แคลเซียม: การวิจัยสี่ทศวรรษแสดงให้เห็นว่าในผู้หญิงที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารต่ำ การเสริมแคลเซียมสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ครึ่งหนึ่ง แคลเซียมจากอาหารของแม่ช่วยให้กระดูกของทารกที่กำลังพัฒนาก่อตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ มีการดึงแคลเซียมจากแม่มาใช้อย่างมากเพื่อช่วยให้ลูกเติบโต ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนพาราไธรอยด์ ซึ่งช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับแคลเซียมได้ ฮอร์โมนพาราไธรอยด์ที่มากขึ้นทำให้กระดูกปล่อยแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดและเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของผนังหลอดเลือดแดง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและความดันโลหิตสูง องค์การอนามัยโลกแนะนำอาหารเสริมแคลเซียมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีปริมาณแคลเซียมต่ำเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การเสริมแคลเซียมไม่ได้รับการพิสูจน์สำหรับสตรีมีครรภ์ที่ได้รับแคลเซียมเพียงพอจากอาหารแล้ว วิตามินดี: วิตามินดีที่เพียงพอจากแสงแดดสามารถช่วยให้ผู้คนได้รับแคลเซียมเพียงพอ วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ นอกจากนี้ วิตามินดียังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนารกและควบคุมการอักเสบ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษการขาดวิตามินดีของมารดาสัมพันธ์กับโอกาสที่จะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษเป็นสองเท่า (OR 2.11, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 1.52-2.94) ในขณะที่การเสริมวิตามินดีสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลง 38% ของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (RR 0.62, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 0.43- 0.91) ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณอาจดูระดับวิตามินดีของคุณในระหว่างการเจาะเลือดก่อนคลอด ไม่ว่าคุณจะมีความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษหรือไม่ก็ตาม พวกเขาอาจแนะนำอาหารเสริมหากระดับต่ำเพื่อปรับปรุงสุขภาพการตั้งครรภ์โดยรวม ธาต์เหล็ก (และบทบาทของโรคโลหิตจาง) แม้ว่าดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างระดับธาตุเหล็กและภาวะครรภ์เป็นพิษ แต่หลักฐานไม่ได้ตรงไปตรงมา นักวิจัยยังคงพยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ ธาตุเหล็กที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการตั้งครรภ์ แต่ธาตุเหล็กบางรูปแบบสามารถเป็นอันตรายต่อเซลล์ของร่างกายและเยื่อบุของหลอดเลือดได้ เหล็กเป็นส่วนหนึ่งของฮีโมโกลบินซึ่งจำเป็นสำหรับเซลล์เม็ดเลือดแดงในการนำออกซิเจน ระดับฮีโมโกลบินทั้งในระดับต่ำและระดับสูงสัมพันธ์กับอัตราภาวะครรภ์เป็นพิษที่สูงขึ้น ธาตุเหล็กอิสระในเลือดทำปฏิกิริยากับโมเลกุลที่ไม่เสถียรอื่นๆ ซึ่งมีออกซิเจนเพื่อเริ่มต้นความเสียหายของเซลล์ในเยื่อบุหลอดเลือด ซึ่งเรียกว่าความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือด ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมีแนวโน้มที่จะแสดงความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือดมากกว่าผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ผู้ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมักมีระดับธาตุเหล็กในเลือดสูงกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ไม่ชัดเจนว่าระดับสูงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษ อันเป็นผลมาจากโรคหรือทั้งสองอย่าง สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าการได้รับธาตุเหล็กเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคโลหิตจางเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่าภาวะโลหิตจางเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Paa super h K cal น้ำปั่นป๋า โกโก้ป๋า Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • 21/1/68

    การต่อสายดิน หรือ การต่อลงดินคืออะไร?
    การต่อลงดินเป็นเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อร่างกายเข้ากับพื้นผิวโลกเพื่อให้สามารถถ่ายโอนอิเล็กตรอนจากโลกเข้าสู่ร่างกายได้

    หากต้องการทำความเข้าใจว่าการต่อลงดินทำงานอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจบทบาทของอิเล็กตรอนในร่างกายมนุษย์เสียก่อน ดังนั้น เรามาเริ่มต้นที่ชั้นเรียนชีววิทยากันก่อน อิเล็กตรอนเป็นอนุภาคย่อยของอะตอมที่มีประจุลบ ซึ่งมีอยู่ในสสารทุกชนิด รวมทั้งร่างกายมนุษย์ด้วย อิเล็กตรอนมีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยาทางชีวเคมี การผลิตพลังงาน และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน

    เมื่อร่างกายสัมผัสกับมลพิษในสิ่งแวดล้อม สารพิษ และสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) ร่างกายอาจเกิดภาวะเครียดออกซิเดชัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายไม่สมดุล อนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรซึ่งอาจทำให้เซลล์ โปรตีน และ DNA เสียหายได้ สารต้านอนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่สามารถทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและป้องกันความเสียหายจากออกซิเดชันได้

    พื้นผิวโลกมีประจุลบ ซึ่งหมายความว่ามีอิเล็กตรอนจำนวนมากที่สามารถถ่ายโอนไปยังร่างกายได้โดยการสัมผัสโดยตรงกับพื้นผิวโลกเมื่อร่างกายสัมผัสกับโลก อิเล็กตรอนจะไหลจากโลกเข้าสู่ร่างกาย ทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและลดการอักเสบโดยพื้นฐานแล้ว พลังงานของโลกจะถูกใช้ในการรักษาตามธรรมชาติ

    เมื่อร่างกายถูกตัดขาดจากสนามไฟฟ้าของโลก อาจเกิดภาวะไฟฟ้าไม่สมดุล ซึ่งอาจนำไปสู่อาการอักเสบเรื้อรัง ความเจ็บปวด และระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ การต่อสายดินสามารถช่วยฟื้นฟูสมดุลไฟฟ้าตามธรรมชาติของร่างกาย และปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมให้ดีขึ้น

    วิทยาศาสตร์บอกอะไรเกี่ยวกับการต่อสายดิน
    การเชื่อมต่อกับโลกอาจฟังดูเป็นเรื่องลึกลับ แต่ว่ามันได้ผลจริงหรือไม่ มาดูทางวิทยาศาสตร์กันดีกว่า

    * การนอนหลับที่ดีขึ้น: การศึกษาวิจัยหนึ่งได้คัดเลือกผู้เข้าร่วม 60 คนที่มีปัญหาด้านการนอนหลับและปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ นักวิจัยให้ผู้เข้าร่วมนอนบนเสื่อรองดิน (ที่ต่อสายดินกับพื้นด้วยลวดทองแดง) หรือเสื่อรองนอนแบบหลอกเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในกลุ่มทดลองที่ต่อสายดิน: 
    * 74% มีอาการปวดดีขึ้น (0% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * 78% รายงานว่าความเป็นอยู่โดยทั่วไปดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * 82% มีอาการกล้ามเนื้อตึงและปวดน้อยลง (0% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * 85% ปรับปรุงเวลาในการนอนหลับ (13% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * 93% มีคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * ตื่นมารู้สึกสดชื่น 100% (13% สำหรับควบคุม)


    * ลดอาการปวดและการอักเสบ: การศึกษาวิจัย ขนาดเล็กในปี 2010ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Alternative and Complementary Medicine พบว่าการกราวด์ช่วยลดเครื่องหมายของการอักเสบในร่างกาย ซึ่งรวมถึงโปรตีนซี-รีแอคทีฟ (CRP) ด้วย


    * ความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ (HRV)และระดับความเครียดที่ดีขึ้นการศึกษาแบบปกปิดสองชั้นในปี 2011ได้ให้ผู้เข้าร่วม 27 คนสัมผัสกับการต่อสายดิน ผลลัพธ์บ่งชี้ว่าการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (การพักผ่อน การย่อยอาหาร การซ่อมแซม) เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในกลุ่มที่ได้รับการต่อสายดินเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมหลังจากช่วงเวลา 40 นาที ผู้เขียนเขียนว่า "การต่อสายดินทำให้ค่า HRV ดีขึ้น ซึ่งเกินกว่าการผ่อนคลายแบบธรรมดา"


    * การนอนหลับดีขึ้น ความเจ็บปวด อัตราการเต้นของหัวใจ และเลือดแข็งตัวมากเกินไปบทวิจารณ์ในปี 2012ในวารสารสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขพบว่าการใช้สายดินอาจเป็น "กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการต่อต้านความเครียดเรื้อรัง ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง การอักเสบ ความเจ็บปวด การนอนหลับไม่เพียงพอ อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ เลือดแข็งตัวมากเกินไป และความผิดปกติทางสุขภาพทั่วไปหลายอย่าง รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด"


    * ความเหนื่อยล้าลดลงการทดลองแบบสุ่มควบคุมในปี 2019วัดไบโอมาร์กเกอร์ของนักกายภาพบำบัด 16 คนในการทดลองแบบสุ่มควบคุมแบบปกปิดสองชั้นขณะที่พวกเขาถูกวางอยู่บนพื้นระหว่างทำงานและขณะนอนหลับ พบว่า "นักกายภาพบำบัดมีสมรรถภาพทางกายและพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาการเหนื่อยล้า อารมณ์ซึมเศร้า ความเหนื่อยล้า และความเจ็บปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ถูกวางอยู่บนพื้นเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้ถูกวางอยู่บนพื้น"


    * การฟื้นฟูที่ดีขึ้นหลังการออกกำลังกายในการศึกษาวิจัยในปี 2015กลุ่มบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงจำนวน 32 คนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์และกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์แบบแกล้งทำ หลังจากทำการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงโดยงอเข่าครึ่งข้าง 200 ครั้ง พบว่าระดับครีเอทีนไคเนสแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีระดับของมาร์กเกอร์การอักเสบที่สูงขึ้นในกลุ่มแกล้งทำ กลุ่มที่เน้นการลงกราวด์ยังแสดงให้เห็นระดับเกล็ดเลือดและนิวโทรฟิลที่สูงขึ้นในช่วงไม่กี่วันหลังการออกกำลังกาย การศึกษาวิจัยรายงานว่า "การลงกราวด์ช่วยลดการสูญเสีย CK จากกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ว่ากล้ามเนื้อได้รับความเสียหายน้อยลง"


    * การสมานแผลดีขึ้นบทความ ในวารสาร Journal of Inflammation Research เมื่อปี 2014ได้รายงานเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการลงกราวด์และการปรับปรุงไซโตไคน์ เซลล์เม็ดเลือดขาว และ “โมเลกุลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อการอักเสบ” ผู้เขียนกล่าวต่อไปว่า “การรักษาจะเร็วขึ้นมาก และสัญญาณหลักของการอักเสบจะลดลงหรือถูกกำจัดออกไป โปรไฟล์ของตัวบ่งชี้การอักเสบต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ จะแตกต่างกันมากในบุคคลที่ลงกราวด์”

การต่อสายดินเป็นแนวทางปฏิบัติที่นิยมกันในการแข่งขันตูร์ เดอ ฟรองซ์ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ดูเหมือนจะก้าวหน้ากว่าด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา เสมอ นักปั่นหลายคนมักจะนำการต่อสายดินมาใช้ในชีวิตประจำวัน และนักปั่นที่เกิดบาดแผล รอยถลอก หรือถลอกจากอุบัติเหตุ จะใช้แผ่นต่อสายดินเหนือและใต้บาดแผลเพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น


    * ความดันโลหิตลดลงการศึกษาวิจัยในปี 2018ได้ทำการศึกษากับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวน 10 ราย ซึ่งทำการออกกำลังกายแบบกราวด์เป็นเวลา 10 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าว ผู้เข้าร่วมทั้งหมดมีความดันโลหิตซิสโตลิกลดลง โดยลดลงตั้งแต่ 8.6% ถึง 22.7% และลดลงโดยเฉลี่ย 14.3%

    ภาพด้านล่างซึ่งถ่ายจากการศึกษาในปี 2020 นี้แสดงให้เห็นภาพผลลัพธ์ของการต่อสายดิน ภาพความร้อนแสดงให้เห็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่า โดยถ่ายห่างกันครึ่งชั่วโมง ก่อนและหลังการต่อสายดิน ภาพด้านซ้ายแสดงสีร้อนที่แสดงถึงความเสียหายของเนื้อเยื่อและการอักเสบในบริเวณหัวเข่า ภาพด้านขวาซึ่งถ่ายหลังจากต่อสายดิน แสดงให้เห็นการลดลงของการอักเสบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ด้วยสีที่เย็นกว่า

    การต่อสายดินได้ผลหรือไม่? แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายที่สนับสนุน แต่การศึกษาเหล่านี้ไม่มีการศึกษาใดที่เหมาะสมที่สุด การศึกษาจำนวนมากขาดผู้เข้าร่วมจำนวนมากหรือการทดลองควบคุมแบบสุ่ม จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากเพื่อพิจารณาว่าการต่อสายดินหรือการต่อสายดินได้ผลหรือไม่ แต่สามารถพูดได้อย่างปลอดภัยว่าแทบไม่มีข้อเสียเลย และควรทำการ ทดลอง n=1เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตัวคุณเอง
    วิธีการต่อสายดินหรือกราวด์
    ความสวยงามของการต่อสายดินอยู่ที่ความเรียบง่าย ไม่มีเทคนิคการต่อสายดินหรือโปรโตคอลการต่อสายดินที่เฉพาะเจาะจง คุณเพียงแค่ต้องสัมผัสกับพื้นโลก ซึ่งอาจเป็นการสัมผัสโดยตรงหรือผ่านพื้นผิวที่มีสภาพเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น แผ่นต่อสายดินหรือรองเท้าเฉพาะ
    * เดินเท้าเปล่า การเดินเท้าเปล่าบนพื้นผิวดินตามธรรมชาติ เช่น หญ้า ทราย หรือดิน ถือเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน วิธีนี้ช่วยให้สัมผัสกับพื้นผิวโลกโดยตรง และช่วยให้ร่างกายดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้

    * แผ่นกันดินการใช้แผ่นกันดิน แผ่น หรือแผ่นแปะที่เสียบลงดินเป็นวิธีที่สะดวกในการลงดินภายในอาคาร ถือเป็นแนวทางที่ดีหากคุณไม่สามารถเดินเท้าเปล่านอกบ้านได้อย่างสม่ำเสมอ ฉันยืนบนแผ่นกันดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก ราคาไม่แพง ขณะเขียนหนังสือ ซึ่งมีสายไฟที่ต่อเข้ากับรูที่สามของปลั๊กไฟ 3 ขาแบบมาตรฐานในเต้าเสียบ คุณสามารถเพิ่มขั้นตอนนี้ได้อีกโดยหาแผ่นกันดินที่ใหญ่กว่ามาปูรองนอน

    รองเท้าแตะ Earth Runners

    * รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้าการใช้รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น รองเท้าที่มีแผ่นทองแดง เป็นอีกวิธีหนึ่งในการต่อสายดิน รองเท้าประเภทนี้ช่วยให้สัมผัสพื้นได้โดยตรง ซึ่งเหมาะมากเมื่ออากาศหนาวเย็นหรือเมื่อเดินเท้าเปล่าซึ่งไม่เหมาะสมต่อการเข้าสังคม ฉันจะสวมรองเท้าแตะ Earth Runner เป็นครั้งคราว ซึ่งมีสายทองแดงที่เชื่อมเท้าของคุณกับพื้น

    พื้นผิวที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับการต่อสายดิน
    โดยทั่วไป พื้นผิวธรรมชาติ เช่น ดิน ทราย และหญ้า เหมาะที่สุดสำหรับการลงกราวด์ พื้นผิว เช่น คอนกรีต อาจไม่นำไฟฟ้าได้มากเท่า แต่ยังคงมีประสิทธิภาพ

    อย่างไรก็ตาม พื้นผิวด้านล่างไม่นำไฟฟ้าได้ดี และจึงไม่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน
    * ยางมะตอย
    * ไม้
    * ไวนิล
    * พลาสติก
    * พรม
    * ยาง(รวมรองเท้า)

    คุณควรลงดินนานแค่ไหน?
    ปริมาณการต่อสายดินที่มีประสิทธิภาพขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 20 นาที ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้ต่อสายดินวันละ 20-30 นาทีเพื่อดูประโยชน์ ในขณะที่บางคนสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เกือบจะทันที

    สิ่งที่ฉันทำ
    เป้าหมายของฉันคือการได้กราวด์อย่างน้อย 20 นาทีต่อวัน ในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น ฉันจะใช้แผ่นกราวด์ (ดังที่กล่าวข้างต้น) ซึ่งฉันจะวางไว้ใต้เท้าขณะเขียนบทความเหล่านี้
    ในช่วงเดือนที่อากาศอบอุ่น ครอบครัวของเราใช้ประโยชน์จากสนามหญ้าอย่างเต็มที่ด้วยการใช้เวลาอยู่กลางแจ้งโดยไม่สวมรองเท้า (และมักจะไม่สวมถุงเท้าด้วย) นอกเหนือจากประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจากการเดินเท้าเปล่าแล้ว เรายังถือว่าการเดินเท้าเปล่าเป็นเรื่องปกติทั้งในบ้านและนอกบ้านเมื่ออากาศดี การพัดใบไม้บนทางเท้าและทางเข้าบ้านเป็นครั้งคราวจะช่วยลดกิ่งไม้หรืออันตรายอื่นๆ ในบริเวณนั้นได้

    บทสรุป
    โดยสรุป การต่อสายดินเป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ ที่เป็นธรรมชาติซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การเชื่อมต่อร่างกายของเรากับพื้นผิวโลกจะช่วยให้เราดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้ ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลระบบไฟฟ้าของร่างกายและลดการอักเสบได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น ความเครียดและความวิตกกังวลลดลง กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้ดีขึ้น พลังงานเพิ่มขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย

    มีหลายวิธีในการฝึกลงกราวด์หรือต่อสายดิน ตั้งแต่การเดินเท้าเปล่านอกบ้านบนพื้นผิวธรรมชาติไปจนถึงการใช้เสื่อหรือแผ่นลงกราวด์ที่เสียบปลั๊กลงดิน การเลือกพื้นผิวที่นำไฟฟ้าได้ เช่น หญ้า ดิน หรือทราย ถือเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากจะเสี่ยงต่อการโดนหินกระแทกเมื่อเหยียบลงบนหญ้าแล้ว ความเสี่ยงยังต่ำและยังมีข้อดีอีกมากมาย ดังนั้นควรถอดรองเท้าแล้วออกไปข้างนอก
    cr:MBD
    21/1/68 การต่อสายดิน หรือ การต่อลงดินคืออะไร? การต่อลงดินเป็นเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อร่างกายเข้ากับพื้นผิวโลกเพื่อให้สามารถถ่ายโอนอิเล็กตรอนจากโลกเข้าสู่ร่างกายได้ หากต้องการทำความเข้าใจว่าการต่อลงดินทำงานอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจบทบาทของอิเล็กตรอนในร่างกายมนุษย์เสียก่อน ดังนั้น เรามาเริ่มต้นที่ชั้นเรียนชีววิทยากันก่อน อิเล็กตรอนเป็นอนุภาคย่อยของอะตอมที่มีประจุลบ ซึ่งมีอยู่ในสสารทุกชนิด รวมทั้งร่างกายมนุษย์ด้วย อิเล็กตรอนมีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยาทางชีวเคมี การผลิตพลังงาน และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายสัมผัสกับมลพิษในสิ่งแวดล้อม สารพิษ และสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) ร่างกายอาจเกิดภาวะเครียดออกซิเดชัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายไม่สมดุล อนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรซึ่งอาจทำให้เซลล์ โปรตีน และ DNA เสียหายได้ สารต้านอนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่สามารถทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและป้องกันความเสียหายจากออกซิเดชันได้ พื้นผิวโลกมีประจุลบ ซึ่งหมายความว่ามีอิเล็กตรอนจำนวนมากที่สามารถถ่ายโอนไปยังร่างกายได้โดยการสัมผัสโดยตรงกับพื้นผิวโลกเมื่อร่างกายสัมผัสกับโลก อิเล็กตรอนจะไหลจากโลกเข้าสู่ร่างกาย ทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและลดการอักเสบโดยพื้นฐานแล้ว พลังงานของโลกจะถูกใช้ในการรักษาตามธรรมชาติ
 เมื่อร่างกายถูกตัดขาดจากสนามไฟฟ้าของโลก อาจเกิดภาวะไฟฟ้าไม่สมดุล ซึ่งอาจนำไปสู่อาการอักเสบเรื้อรัง ความเจ็บปวด และระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ การต่อสายดินสามารถช่วยฟื้นฟูสมดุลไฟฟ้าตามธรรมชาติของร่างกาย และปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมให้ดีขึ้น วิทยาศาสตร์บอกอะไรเกี่ยวกับการต่อสายดิน การเชื่อมต่อกับโลกอาจฟังดูเป็นเรื่องลึกลับ แต่ว่ามันได้ผลจริงหรือไม่ มาดูทางวิทยาศาสตร์กันดีกว่า * การนอนหลับที่ดีขึ้น: การศึกษาวิจัยหนึ่งได้คัดเลือกผู้เข้าร่วม 60 คนที่มีปัญหาด้านการนอนหลับและปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ นักวิจัยให้ผู้เข้าร่วมนอนบนเสื่อรองดิน (ที่ต่อสายดินกับพื้นด้วยลวดทองแดง) หรือเสื่อรองนอนแบบหลอกเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในกลุ่มทดลองที่ต่อสายดิน:  * 74% มีอาการปวดดีขึ้น (0% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 78% รายงานว่าความเป็นอยู่โดยทั่วไปดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 82% มีอาการกล้ามเนื้อตึงและปวดน้อยลง (0% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 85% ปรับปรุงเวลาในการนอนหลับ (13% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 93% มีคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม) * ตื่นมารู้สึกสดชื่น 100% (13% สำหรับควบคุม)

 * ลดอาการปวดและการอักเสบ: การศึกษาวิจัย ขนาดเล็กในปี 2010ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Alternative and Complementary Medicine พบว่าการกราวด์ช่วยลดเครื่องหมายของการอักเสบในร่างกาย ซึ่งรวมถึงโปรตีนซี-รีแอคทีฟ (CRP) ด้วย

 * ความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ (HRV)และระดับความเครียดที่ดีขึ้นการศึกษาแบบปกปิดสองชั้นในปี 2011ได้ให้ผู้เข้าร่วม 27 คนสัมผัสกับการต่อสายดิน ผลลัพธ์บ่งชี้ว่าการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (การพักผ่อน การย่อยอาหาร การซ่อมแซม) เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในกลุ่มที่ได้รับการต่อสายดินเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมหลังจากช่วงเวลา 40 นาที ผู้เขียนเขียนว่า "การต่อสายดินทำให้ค่า HRV ดีขึ้น ซึ่งเกินกว่าการผ่อนคลายแบบธรรมดา"

 * การนอนหลับดีขึ้น ความเจ็บปวด อัตราการเต้นของหัวใจ และเลือดแข็งตัวมากเกินไปบทวิจารณ์ในปี 2012ในวารสารสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขพบว่าการใช้สายดินอาจเป็น "กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการต่อต้านความเครียดเรื้อรัง ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง การอักเสบ ความเจ็บปวด การนอนหลับไม่เพียงพอ อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ เลือดแข็งตัวมากเกินไป และความผิดปกติทางสุขภาพทั่วไปหลายอย่าง รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด"

 * ความเหนื่อยล้าลดลงการทดลองแบบสุ่มควบคุมในปี 2019วัดไบโอมาร์กเกอร์ของนักกายภาพบำบัด 16 คนในการทดลองแบบสุ่มควบคุมแบบปกปิดสองชั้นขณะที่พวกเขาถูกวางอยู่บนพื้นระหว่างทำงานและขณะนอนหลับ พบว่า "นักกายภาพบำบัดมีสมรรถภาพทางกายและพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาการเหนื่อยล้า อารมณ์ซึมเศร้า ความเหนื่อยล้า และความเจ็บปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ถูกวางอยู่บนพื้นเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้ถูกวางอยู่บนพื้น"

 * การฟื้นฟูที่ดีขึ้นหลังการออกกำลังกายในการศึกษาวิจัยในปี 2015กลุ่มบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงจำนวน 32 คนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์และกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์แบบแกล้งทำ หลังจากทำการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงโดยงอเข่าครึ่งข้าง 200 ครั้ง พบว่าระดับครีเอทีนไคเนสแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีระดับของมาร์กเกอร์การอักเสบที่สูงขึ้นในกลุ่มแกล้งทำ กลุ่มที่เน้นการลงกราวด์ยังแสดงให้เห็นระดับเกล็ดเลือดและนิวโทรฟิลที่สูงขึ้นในช่วงไม่กี่วันหลังการออกกำลังกาย การศึกษาวิจัยรายงานว่า "การลงกราวด์ช่วยลดการสูญเสีย CK จากกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ว่ากล้ามเนื้อได้รับความเสียหายน้อยลง"

 * การสมานแผลดีขึ้นบทความ ในวารสาร Journal of Inflammation Research เมื่อปี 2014ได้รายงานเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการลงกราวด์และการปรับปรุงไซโตไคน์ เซลล์เม็ดเลือดขาว และ “โมเลกุลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อการอักเสบ” ผู้เขียนกล่าวต่อไปว่า “การรักษาจะเร็วขึ้นมาก และสัญญาณหลักของการอักเสบจะลดลงหรือถูกกำจัดออกไป โปรไฟล์ของตัวบ่งชี้การอักเสบต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ จะแตกต่างกันมากในบุคคลที่ลงกราวด์”

การต่อสายดินเป็นแนวทางปฏิบัติที่นิยมกันในการแข่งขันตูร์ เดอ ฟรองซ์ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ดูเหมือนจะก้าวหน้ากว่าด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา เสมอ นักปั่นหลายคนมักจะนำการต่อสายดินมาใช้ในชีวิตประจำวัน และนักปั่นที่เกิดบาดแผล รอยถลอก หรือถลอกจากอุบัติเหตุ จะใช้แผ่นต่อสายดินเหนือและใต้บาดแผลเพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น

 * ความดันโลหิตลดลงการศึกษาวิจัยในปี 2018ได้ทำการศึกษากับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวน 10 ราย ซึ่งทำการออกกำลังกายแบบกราวด์เป็นเวลา 10 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าว ผู้เข้าร่วมทั้งหมดมีความดันโลหิตซิสโตลิกลดลง โดยลดลงตั้งแต่ 8.6% ถึง 22.7% และลดลงโดยเฉลี่ย 14.3% ภาพด้านล่างซึ่งถ่ายจากการศึกษาในปี 2020 นี้แสดงให้เห็นภาพผลลัพธ์ของการต่อสายดิน ภาพความร้อนแสดงให้เห็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่า โดยถ่ายห่างกันครึ่งชั่วโมง ก่อนและหลังการต่อสายดิน ภาพด้านซ้ายแสดงสีร้อนที่แสดงถึงความเสียหายของเนื้อเยื่อและการอักเสบในบริเวณหัวเข่า ภาพด้านขวาซึ่งถ่ายหลังจากต่อสายดิน แสดงให้เห็นการลดลงของการอักเสบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ด้วยสีที่เย็นกว่า การต่อสายดินได้ผลหรือไม่? แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายที่สนับสนุน แต่การศึกษาเหล่านี้ไม่มีการศึกษาใดที่เหมาะสมที่สุด การศึกษาจำนวนมากขาดผู้เข้าร่วมจำนวนมากหรือการทดลองควบคุมแบบสุ่ม จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากเพื่อพิจารณาว่าการต่อสายดินหรือการต่อสายดินได้ผลหรือไม่ แต่สามารถพูดได้อย่างปลอดภัยว่าแทบไม่มีข้อเสียเลย และควรทำการ ทดลอง n=1เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตัวคุณเอง วิธีการต่อสายดินหรือกราวด์ ความสวยงามของการต่อสายดินอยู่ที่ความเรียบง่าย ไม่มีเทคนิคการต่อสายดินหรือโปรโตคอลการต่อสายดินที่เฉพาะเจาะจง คุณเพียงแค่ต้องสัมผัสกับพื้นโลก ซึ่งอาจเป็นการสัมผัสโดยตรงหรือผ่านพื้นผิวที่มีสภาพเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น แผ่นต่อสายดินหรือรองเท้าเฉพาะ * เดินเท้าเปล่า การเดินเท้าเปล่าบนพื้นผิวดินตามธรรมชาติ เช่น หญ้า ทราย หรือดิน ถือเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน วิธีนี้ช่วยให้สัมผัสกับพื้นผิวโลกโดยตรง และช่วยให้ร่างกายดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้
 * แผ่นกันดินการใช้แผ่นกันดิน แผ่น หรือแผ่นแปะที่เสียบลงดินเป็นวิธีที่สะดวกในการลงดินภายในอาคาร ถือเป็นแนวทางที่ดีหากคุณไม่สามารถเดินเท้าเปล่านอกบ้านได้อย่างสม่ำเสมอ ฉันยืนบนแผ่นกันดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก ราคาไม่แพง ขณะเขียนหนังสือ ซึ่งมีสายไฟที่ต่อเข้ากับรูที่สามของปลั๊กไฟ 3 ขาแบบมาตรฐานในเต้าเสียบ คุณสามารถเพิ่มขั้นตอนนี้ได้อีกโดยหาแผ่นกันดินที่ใหญ่กว่ามาปูรองนอน รองเท้าแตะ Earth Runners * รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้าการใช้รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น รองเท้าที่มีแผ่นทองแดง เป็นอีกวิธีหนึ่งในการต่อสายดิน รองเท้าประเภทนี้ช่วยให้สัมผัสพื้นได้โดยตรง ซึ่งเหมาะมากเมื่ออากาศหนาวเย็นหรือเมื่อเดินเท้าเปล่าซึ่งไม่เหมาะสมต่อการเข้าสังคม ฉันจะสวมรองเท้าแตะ Earth Runner เป็นครั้งคราว ซึ่งมีสายทองแดงที่เชื่อมเท้าของคุณกับพื้น 
 พื้นผิวที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับการต่อสายดิน โดยทั่วไป พื้นผิวธรรมชาติ เช่น ดิน ทราย และหญ้า เหมาะที่สุดสำหรับการลงกราวด์ พื้นผิว เช่น คอนกรีต อาจไม่นำไฟฟ้าได้มากเท่า แต่ยังคงมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม พื้นผิวด้านล่างไม่นำไฟฟ้าได้ดี และจึงไม่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน * ยางมะตอย * ไม้ * ไวนิล * พลาสติก * พรม * ยาง(รวมรองเท้า) คุณควรลงดินนานแค่ไหน? ปริมาณการต่อสายดินที่มีประสิทธิภาพขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 20 นาที ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้ต่อสายดินวันละ 20-30 นาทีเพื่อดูประโยชน์ ในขณะที่บางคนสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เกือบจะทันที สิ่งที่ฉันทำ เป้าหมายของฉันคือการได้กราวด์อย่างน้อย 20 นาทีต่อวัน ในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น ฉันจะใช้แผ่นกราวด์ (ดังที่กล่าวข้างต้น) ซึ่งฉันจะวางไว้ใต้เท้าขณะเขียนบทความเหล่านี้ ในช่วงเดือนที่อากาศอบอุ่น ครอบครัวของเราใช้ประโยชน์จากสนามหญ้าอย่างเต็มที่ด้วยการใช้เวลาอยู่กลางแจ้งโดยไม่สวมรองเท้า (และมักจะไม่สวมถุงเท้าด้วย) นอกเหนือจากประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจากการเดินเท้าเปล่าแล้ว เรายังถือว่าการเดินเท้าเปล่าเป็นเรื่องปกติทั้งในบ้านและนอกบ้านเมื่ออากาศดี การพัดใบไม้บนทางเท้าและทางเข้าบ้านเป็นครั้งคราวจะช่วยลดกิ่งไม้หรืออันตรายอื่นๆ ในบริเวณนั้นได้ บทสรุป โดยสรุป การต่อสายดินเป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ ที่เป็นธรรมชาติซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การเชื่อมต่อร่างกายของเรากับพื้นผิวโลกจะช่วยให้เราดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้ ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลระบบไฟฟ้าของร่างกายและลดการอักเสบได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น ความเครียดและความวิตกกังวลลดลง กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้ดีขึ้น พลังงานเพิ่มขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย มีหลายวิธีในการฝึกลงกราวด์หรือต่อสายดิน ตั้งแต่การเดินเท้าเปล่านอกบ้านบนพื้นผิวธรรมชาติไปจนถึงการใช้เสื่อหรือแผ่นลงกราวด์ที่เสียบปลั๊กลงดิน การเลือกพื้นผิวที่นำไฟฟ้าได้ เช่น หญ้า ดิน หรือทราย ถือเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากจะเสี่ยงต่อการโดนหินกระแทกเมื่อเหยียบลงบนหญ้าแล้ว ความเสี่ยงยังต่ำและยังมีข้อดีอีกมากมาย ดังนั้นควรถอดรองเท้าแล้วออกไปข้างนอก cr:MBD
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ยาลดกรด

    ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง

    จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12

    ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค :

    -โรคโลหิตจาง
    -ความเสียหายของเส้นประสาท
    -ปัญหาเกี่ยวกับจิต
    -สมองเสื่อม (Dementia)

    ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente:

    "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้"

    การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร

    เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า

    วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ :

    การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน

    การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์
    สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ

    การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า :

    “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น "

    และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ :

    -โรคซึมเศร้า
    -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์
    -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร
    -โรคหัวใจและมะเร็ง

    รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง:

    -ไข่อินทรีย์
    -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์
    -ไก่อินทรีย์
    -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า
    -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ

    ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา

    ยาลดกรด 2

    ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด:
    คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร

    อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ

    ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ

    เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา:

    ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

    ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา

    สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต

    แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ

    Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด

    กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย

    การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้:

    Salmonella
    Campylobacter
    อหิวาตกโรค
    Listeria
    Giardia
    C. difficile
    การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ:
    โรคปอดบวม
    วัณโรค
    ไทฟอยด์
    บิด

    ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome

    ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ

    อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis)

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง:

    มะเร็งกระเพาะอาหาร
    โรคภูมิแพ้
    โรคหอบหืด
    อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์
    โลหิตจาง
    โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ
    โรคนิ่วในถุงน้ำดี
    โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์
    อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC)
    โรคไวรัสตับอักเสบ
    โรคกระดูกพรุน
    โรคเบาหวานประเภท 1
    และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก!

    มะเร็งกระเพาะอาหาร

    โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ

    ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า :
    โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง

    แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น

    ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori
    ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร

    อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้

    ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์

    ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

    หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์

    โรคแพ้ภูมิ

    กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า
    การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม

    เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

    ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ

    โรคหอบหืด

    ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา

    เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก

    ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง

    สรุป

    อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด

    การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง

    Cr. Santi Manadee
    #ยาลดกรด ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12 ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค : -โรคโลหิตจาง -ความเสียหายของเส้นประสาท -ปัญหาเกี่ยวกับจิต -สมองเสื่อม (Dementia) ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente: "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้" การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ : การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์ สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า : “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น " และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ : -โรคซึมเศร้า -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร -โรคหัวใจและมะเร็ง รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง: -ไข่อินทรีย์ -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์ -ไก่อินทรีย์ -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา ยาลดกรด 2 ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด: คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา: ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้: Salmonella Campylobacter อหิวาตกโรค Listeria Giardia C. difficile การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ: โรคปอดบวม วัณโรค ไทฟอยด์ บิด ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง: มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์ โลหิตจาง โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์ อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC) โรคไวรัสตับอักเสบ โรคกระดูกพรุน โรคเบาหวานประเภท 1 และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก! มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า : โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้ ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์ ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์ โรคแพ้ภูมิ กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ โรคหอบหืด ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง สรุป อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 691 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เสมหะในลำคอมากเกินไป (excess mucus)

    เมื่อคุณหายใจ อาจจะมีสารก่อภูมิแพ้ ไวรัส ฝุ่นละอองและเศษต่างๆ เกาะติดอยู่ในโพรงจมูกของคุณ จากนั้นร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาวออกมากำจัดและจะขับออกจากร่างกายไป บางครั้ง ร่างกายของคุณอาจสร้างเสมหะในลำคอมากเกินไป ทำให้ต้องกำจัดเสมหะออกบ่อยครั้ง

    เสมหะเกิดขึ้นในจมูกหรือทางเดินหายใจส่วนล่างเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ โดยเกิดจากเยื่อเมือกที่ไหลจากจมูกไปยังปอด

    การที่ร่างกายมีการกระทำแบบนี้ เขามีจุดประสงค์เพื่อปกป้องระบบทางเดินหายใจของคุณโดยการหล่อลื่นและกรองเสมหะ

    มีภาวะสุขภาพหลายอย่างที่สามารถกระตุ้นให้มีการผลิตเมือกในคอมากเกินไป เช่น:

    • กรดไหลย้อน

    • ภูมิแพ้

    • หอบหืด

    • การติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดธรรมดา

    • โรคปอด เช่น หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดบวม โรคซีสต์ฟิโบรซิส และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)

    การผลิตเมือกในคอมากเกินไปอาจเกิดจากไลฟ์สไตล์และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมบางประการ เช่น:

    -สภาพแวดล้อมในร่มที่แห้ง

    -สภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฝุ่นและควัน

    -การบริโภคน้ำและของเหลวอื่นๆ น้อยเกินไป

    -การบริโภคของเหลวมากเกินไปซึ่งอาจทำให้สูญเสียของเหลว เช่น กาแฟ ชา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

    -ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิดและสารยับยั้ง ACE เช่น ลิซิโนพริล

    -การสูบบุหรี่

    จะกำจัดเมือกในคอได้อย่างไร

    หากการผลิตเมือกในคอมากเกินไปเกิดขึ้นเป็นประจำและไม่สบายตัว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาอย่างครบถ้วน

    วิธีการเยียวยาที่บ้านสำหรับเสมหะในลำคอ

    • กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น: สามารถช่วยขจัดเสมหะจากด้านหลังลำคอและอาจช่วยฆ่าเชื้อโรคได้

    • ประคบร้อนบริเวณโพรงจมูกด้านนอกและบริเวณลำคอ: สามารถทำให้เสมหะเบาบางลงได้

    • สูดดมน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ร้อน ยูคาลิปตัส เปเปอร์มินต์ เปลือกมะนาวหรือเปลือกส้ม หอมแดง

    •เพิ่มความชื้นในอากาศ: ความชื้นในอากาศสามารถช่วยให้เสมหะของคุณบางลงได้

    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะน้ำเปล่า สามารถช่วยคลายการคัดจมูกและช่วยให้เสมหะไหลได้ ของเหลวที่อุ่นอาจมีประสิทธิผล แต่ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

    • ยกศีรษะขึ้น: การนอนราบอาจทำให้รู้สึกเหมือนมีเสมหะสะสมอยู่ด้านหลังลำคอ

    • หลีกเลี่ยงยาแก้คัดจมูก: แม้ว่ายาแก้คัดจมูกจะทำให้สารคัดหลั่งแห้ง แต่ก็อาจทำให้การขับเสมหะออกได้ยากขึ้น

    • หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง น้ำหอม สารเคมี และมลพิษ: สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เยื่อเมือกเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้ร่างกายผลิตเสมหะเพิ่มขึ้น

    • หากคุณสูบบุหรี่ ให้พยายามเลิกบุหรี่ การเลิกบุหรี่มีประโยชน์ โดยเฉพาะกับโรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืดหรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

    • ลองรับประทานอาหารบางชนิดที่มีฤทธิ์ร้อน: กระเทียม ข่า ขิง ขมิ้น ตะใคร้ พริกและผักที่มีกากใยสูง อาจช่วยลดเสมหะได้

    อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งอาจทำให้เสมหะแย่ลง

    ต้องกังวลเกี่ยวกับเสมหะในลำคอเมื่อใด

    การมีเสมหะไม่จำเป็นต้องหมายความว่าคุณมีบางอย่างผิดปกติ แต่เป็นวิธีที่ร่างกายขับสารระคายเคืองในลำคอและโพรงจมูก

    อย่างไรก็ตาม หากคุณไอออกมาแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรืออาการอื่น

    นัดพบแพทย์หากคุณมีอาการเหล่านี้:

    • เสมหะไม่หายไป

    • เสมหะเหนียวขึ้น

    • เสมหะมีปริมาตรเพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนสี

    • คุณมีไข้

    • คุณมีอาการเจ็บหน้าอก

    • คุณหายใจไม่ออก

    • คุณไอเป็นเลือด

    • คุณมีอาการหายใจมีเสียงหวีด

    สัญญาณเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงอาการป่วยที่รุนแรงกว่า เช่น ปอดบวม โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    Glube
    Whole c
    ชาขิงขมิ้น

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    Cr. Santi Manadee
    #เสมหะในลำคอมากเกินไป (excess mucus) เมื่อคุณหายใจ อาจจะมีสารก่อภูมิแพ้ ไวรัส ฝุ่นละอองและเศษต่างๆ เกาะติดอยู่ในโพรงจมูกของคุณ จากนั้นร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาวออกมากำจัดและจะขับออกจากร่างกายไป บางครั้ง ร่างกายของคุณอาจสร้างเสมหะในลำคอมากเกินไป ทำให้ต้องกำจัดเสมหะออกบ่อยครั้ง เสมหะเกิดขึ้นในจมูกหรือทางเดินหายใจส่วนล่างเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ โดยเกิดจากเยื่อเมือกที่ไหลจากจมูกไปยังปอด การที่ร่างกายมีการกระทำแบบนี้ เขามีจุดประสงค์เพื่อปกป้องระบบทางเดินหายใจของคุณโดยการหล่อลื่นและกรองเสมหะ มีภาวะสุขภาพหลายอย่างที่สามารถกระตุ้นให้มีการผลิตเมือกในคอมากเกินไป เช่น: • กรดไหลย้อน • ภูมิแพ้ • หอบหืด • การติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดธรรมดา • โรคปอด เช่น หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดบวม โรคซีสต์ฟิโบรซิส และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) การผลิตเมือกในคอมากเกินไปอาจเกิดจากไลฟ์สไตล์และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมบางประการ เช่น: -สภาพแวดล้อมในร่มที่แห้ง -สภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฝุ่นและควัน -การบริโภคน้ำและของเหลวอื่นๆ น้อยเกินไป -การบริโภคของเหลวมากเกินไปซึ่งอาจทำให้สูญเสียของเหลว เช่น กาแฟ ชา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ -ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิดและสารยับยั้ง ACE เช่น ลิซิโนพริล -การสูบบุหรี่ จะกำจัดเมือกในคอได้อย่างไร หากการผลิตเมือกในคอมากเกินไปเกิดขึ้นเป็นประจำและไม่สบายตัว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาอย่างครบถ้วน วิธีการเยียวยาที่บ้านสำหรับเสมหะในลำคอ • กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น: สามารถช่วยขจัดเสมหะจากด้านหลังลำคอและอาจช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ • ประคบร้อนบริเวณโพรงจมูกด้านนอกและบริเวณลำคอ: สามารถทำให้เสมหะเบาบางลงได้ • สูดดมน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ร้อน ยูคาลิปตัส เปเปอร์มินต์ เปลือกมะนาวหรือเปลือกส้ม หอมแดง •เพิ่มความชื้นในอากาศ: ความชื้นในอากาศสามารถช่วยให้เสมหะของคุณบางลงได้ • ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะน้ำเปล่า สามารถช่วยคลายการคัดจมูกและช่วยให้เสมหะไหลได้ ของเหลวที่อุ่นอาจมีประสิทธิผล แต่ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน • ยกศีรษะขึ้น: การนอนราบอาจทำให้รู้สึกเหมือนมีเสมหะสะสมอยู่ด้านหลังลำคอ • หลีกเลี่ยงยาแก้คัดจมูก: แม้ว่ายาแก้คัดจมูกจะทำให้สารคัดหลั่งแห้ง แต่ก็อาจทำให้การขับเสมหะออกได้ยากขึ้น • หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง น้ำหอม สารเคมี และมลพิษ: สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เยื่อเมือกเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้ร่างกายผลิตเสมหะเพิ่มขึ้น • หากคุณสูบบุหรี่ ให้พยายามเลิกบุหรี่ การเลิกบุหรี่มีประโยชน์ โดยเฉพาะกับโรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืดหรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง • ลองรับประทานอาหารบางชนิดที่มีฤทธิ์ร้อน: กระเทียม ข่า ขิง ขมิ้น ตะใคร้ พริกและผักที่มีกากใยสูง อาจช่วยลดเสมหะได้ อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งอาจทำให้เสมหะแย่ลง ต้องกังวลเกี่ยวกับเสมหะในลำคอเมื่อใด การมีเสมหะไม่จำเป็นต้องหมายความว่าคุณมีบางอย่างผิดปกติ แต่เป็นวิธีที่ร่างกายขับสารระคายเคืองในลำคอและโพรงจมูก อย่างไรก็ตาม หากคุณไอออกมาแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรืออาการอื่น นัดพบแพทย์หากคุณมีอาการเหล่านี้: • เสมหะไม่หายไป • เสมหะเหนียวขึ้น • เสมหะมีปริมาตรเพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนสี • คุณมีไข้ • คุณมีอาการเจ็บหน้าอก • คุณหายใจไม่ออก • คุณไอเป็นเลือด • คุณมีอาการหายใจมีเสียงหวีด สัญญาณเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงอาการป่วยที่รุนแรงกว่า เช่น ปอดบวม โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19 ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Glube Whole c ชาขิงขมิ้น ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว
  • การติดเชื้อโควิดไม่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบรุนแรงในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดอาการร้ายแรงกว่ามาก

    นพ ดร ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ
    Dr Judd Chontavats

    มีบทความบอกว่าการติดเชื้อโควิดทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ การฉีดวัคซีนสามารถป้องกันผลข้างเคียงได้ ดังนั้นจึงสนับสนุนให้ฉีดวัคซีน mRNA

    แต่มีผู้มาแย้งว่าตัววัคซีน mRNA ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ โดยการศึกษานี้ให้ข้อมูลว่าอัตราการเสียชีวิตจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis mortality rate ratio, MMRR) จากกลุ่มที่ฉีดวัคซีนสูงกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรทั่วไปในช่วง 3 ปีที่มีการระบาดหนักของโควิด พบกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในกลุ่มผู้ป่วยเด็กมากกว่ากลุ่มที่ติดเชื้อชัดเจนจากข้อมูลประชากรเกิน 1,000,000 คน ทั้ง mRNA และ vaccine-derived spike protein สามารถพบในหัวใจทั้งผู้ป่วยและเสียชีวิตจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

    สรุปจากการศึกษานี้คือการติดเชื้อโควิดไม่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบรุนแรงในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดอาการร้ายแรงกว่ามาก

    รายละเอียดเพิ่มเติมดูใน reference

    Chontavat Suvanpiyasiri. MD, PhD

    Reference : https://publichealthpolicyjournal.com/letter-to-the-editor-long-term-prognosis-of-patients-with-myocarditis-attributed-to-covid-19-mrna-vaccination-sars-cov-2-infection-or-conventional-etiologies/?utm_source=substack&utm_medium=email
    การติดเชื้อโควิดไม่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบรุนแรงในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดอาการร้ายแรงกว่ามาก นพ ดร ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ Dr Judd Chontavats มีบทความบอกว่าการติดเชื้อโควิดทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ การฉีดวัคซีนสามารถป้องกันผลข้างเคียงได้ ดังนั้นจึงสนับสนุนให้ฉีดวัคซีน mRNA แต่มีผู้มาแย้งว่าตัววัคซีน mRNA ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ โดยการศึกษานี้ให้ข้อมูลว่าอัตราการเสียชีวิตจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis mortality rate ratio, MMRR) จากกลุ่มที่ฉีดวัคซีนสูงกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรทั่วไปในช่วง 3 ปีที่มีการระบาดหนักของโควิด พบกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในกลุ่มผู้ป่วยเด็กมากกว่ากลุ่มที่ติดเชื้อชัดเจนจากข้อมูลประชากรเกิน 1,000,000 คน ทั้ง mRNA และ vaccine-derived spike protein สามารถพบในหัวใจทั้งผู้ป่วยและเสียชีวิตจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สรุปจากการศึกษานี้คือการติดเชื้อโควิดไม่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบรุนแรงในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดอาการร้ายแรงกว่ามาก รายละเอียดเพิ่มเติมดูใน reference Chontavat Suvanpiyasiri. MD, PhD Reference : https://publichealthpolicyjournal.com/letter-to-the-editor-long-term-prognosis-of-patients-with-myocarditis-attributed-to-covid-19-mrna-vaccination-sars-cov-2-infection-or-conventional-etiologies/?utm_source=substack&utm_medium=email
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ตับสัตว์

    ตับเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อย่างไรก็ตาม อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับทุกคน

    ตับคืออะไร

    ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญในมนุษย์และสัตว์ โดยทั่วไปแล้วตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดและมีหน้าที่สำคัญหลายประการ รวมถึง:

    • ผลิตน้ำดีซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร

    • จัดเก็บไกลโคเจน ธาตุเหล็ก วิตามิน และสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ

    • กรองและกำจัดยาและสารพิษออกจากเลือด

    ในสัตว์ที่ไม่ป่วย ตับคืออวัยวะที่ทำความสะอาดตัวเองทุกวัน จึงสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย

    แม้ว่าตับจะได้รับความนิยมน้อยลง แต่ตับก็เป็นอาหารที่มีสารอาหารหนาแน่นสูง

    ตับ 100 กรัม ให้ :

    • พลังงาน 189 แคลอรี่

    • โปรตีน 29 กรัม

    • ไขมัน 5 กรัม

    • คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม

    ตับมีราคาถูกและหาซื้อได้ง่าย ตับของสัตว์ส่วนใหญ่สามารถรับประทานได้ แหล่งที่พบได้ทั่วไปคือ ตับวัว ไก่ เป็ด เนื้อแกะ และหมู

    ตับเป็นแหล่งของสารอาหารหลายชนิด

    ต่อไปนี้คือสารอาหารที่พบในตับวัว 100 กรัม

    • วิตามินบี 12: 2,917% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV) วิตามินบี 12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและ DNA และยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่แข็งแรงอีกด้วย

    • วิตามินเอ: 104% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน วิตามินเอมีความสำคัญต่อการมองเห็น การทำงานของภูมิคุ้มกัน และการสืบพันธุ์ นอกจากนี้ยังช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างถูกต้อง

    • ไรโบฟลาวิน (B2): 261% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ไรโบฟลาวินมีความสำคัญต่อการพัฒนาและการทำงานของเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานอีกด้วย

    • โฟเลต (B9): 63% ของ DV โฟเลตเป็นสารอาหารจำเป็นที่มีบทบาทในการเจริญเติบโตของเซลล์และการสร้าง DNA

    • ธาตุเหล็ก: 36% ของ DV ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารจำเป็นอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยนำออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ธาตุเหล็กในตับคือธาตุเหล็กในกลุ่มฮีม ซึ่งเป็นธาตุเหล็กที่ร่างกายดูดซึมได้ง่ายที่สุด

    • ทองแดง: 1,578% ของ DV ทองแดงทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นเอนไซม์หลายชนิด ซึ่งจะช่วยควบคุมการผลิตพลังงาน การเผาผลาญธาตุเหล็ก และการทำงานของสมอง

    • โคลีน: ตับให้โคลีน 77% ของ DV โคลีนมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและการทำงานของตับ

    ตับเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง

    โปรตีนมีความสำคัญต่อชีวิตและพบได้ในทุกเซลล์ของร่างกายมนุษย์ โปรตีนจำเป็นต่อการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย

    ตับวัวมากกว่าหนึ่งในสี่ประกอบด้วยโปรตีน เนื่องจากเป็นโปรตีนจากสัตว์ จึงมีกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้งหมด

    กรดอะมิโนเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่ประกอบเป็นโปรตีน ร่างกายสามารถสร้างกรดอะมิโนบางชนิดได้ แต่กรดอะมิโนที่จำเป็นจะต้องมาจากอาหาร

    การรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดน้ำหนักได้ เนื่องจากช่วยลดความหิวและความอยากอาหาร นอกจากนี้ ยังพบว่าโปรตีนช่วยบรรเทาความหิวได้ดีกว่าไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต

    ยิ่งไปกว่านั้น การรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ หรือจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายใช้ในการทำงาน

    การที่มีอัตราการเผาผลาญที่สูงขึ้นหมายความว่าคุณใช้แคลอรี่มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรับประทานร่วมกับการลดปริมาณแคลอรี่

    สุดท้ายการรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงสามารถช่วยสร้างกล้ามเนื้อและป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อในขณะที่ลดน้ำหนักได้

    ในขณะเดียวกัน การศึกษาบางกรณีเตือนว่าการบริโภคโปรตีนในระยะยาวมากเกินไป โดยเฉพาะจากโปรตีนจากสัตว์ มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของไต กระดูก หรือตับ และโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นจึงควรรับประทานให้เหมาะสมที่ร่างกายแต่ละคนต้องการ (อ่านตอนโปรตีนในหัวข้อ Fixx pro)

    ความกังวลทั่วไปเกี่ยวกับการรับประทานตับ

    หลายคนมีความกังวลเกี่ยวกับการรับประทานตับและสงสัยว่าตับไม่ดีต่อสุขภาพหรือไม่

    คำถามที่พบบ่อยที่สุดประการหนึ่งคือปริมาณคอเลสเตอรอลเป็นปัญหาหรือไม่

    แม้ว่าตับจะมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่

    ผู้คนเคยเชื่อว่าคอเลสเตอรอลในอาหารทำให้เกิดโรคหัวใจ อย่างไรก็ตาม การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างคอเลสเตอรอลในอาหารและคอเลสเตอรอลในร่างกายนั้นไม่ตรงไปตรงมา

    คำแนะนำปัจจุบันยังคงแนะนำให้กินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงในปริมาณที่พอเหมาะ โดยอยู่ในบริบทของการรับประทานอาหารที่สมดุลและมีคุณค่าทางโภชนาการ

    ประชากรประมาณหนึ่งในสี่ดูเหมือนจะไวต่อคอเลสเตอรอลในอาหารมากกว่า สำหรับคนเหล่านี้ การกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงอาจทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นได้

    นอกจากความกังวลอื่นๆ แล้ว การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ยังพบว่าการรับประทานอาหารที่มีเครื่องในสัตว์สูงมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดโรคไขมันพอกตับที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ แต่การศึกษานี้ยังมีขอบเขตจำกัด และจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม
    ตับอาจไม่เหมาะกับทุกคน

    มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่อาจต้องการหลีกเลี่ยงการรับประทานตับ

    หญิงตั้งครรภ์

    ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของการรับประทานตับในระหว่างตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักเกิดจากปริมาณวิตามินเอ

    การรับประทานวิตามินเอที่ก่อตัวก่อนกำหนดในปริมาณมาก ซึ่งเป็นชนิดที่พบในตับ มีความเชื่อมโยงกับข้อบกพร่องแต่กำเนิดในการศึกษาวิจัยในปี 1995

    ปริมาณวิตามินเอสูงสุดที่ผู้ใหญ่สามารถรับประทานได้คือ 3,000 ไมโครกรัมของเรตินอลแอคทีฟเอควล (mcg RAE) ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรไม่ควรรับประทานวิตามินเอเสริมเกินปริมาณดังกล่าวต่อวัน

    อย่างไรก็ตาม ตับวัว 1 ออนซ์ (28.5 กรัม) มีวิตามินเอ 2,650 ไมโครกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับระดับวิตามินเอสูงสุดที่ร่างกายสามารถรับประทานได้ในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องติดตามปริมาณวิตามินเอ

    การปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับแผนการรับประทานอาหารที่ดีที่สุดสำหรับการตั้งครรภ์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ

    ผู้ที่เป็นโรคเกาต์

    โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากกรดยูริกในเลือดมีปริมาณสูง อาการของโรคได้แก่ ปวด ข้อแข็ง และบวม

    ตับมีสารพิวรีนสูง ซึ่งก่อให้เกิดกรดยูริกในร่างกาย ดังนั้นการหลีกเลี่ยงตับ เครื่องในสัตว์ และปลาดุกจึงเป็นสิ่งสำคัญหากคุณเป็นโรคเกาต์

    วิธีรวมตับไว้ในอาหารของคุณ

    ตับมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งบางคนชอบและบางคนไม่ชอบ

    ต่อไปนี้คือคำแนะนำบางประการเกี่ยวกับวิธีรวมตับไว้ในอาหารของคุณ:

    • การทอดในกระทะ: ตับจะได้ผลดีเมื่อทอดในกระทะพร้อมกับหัวหอม

    • การแช่ตับในน้ำส้มสายชูหรือน้ำมะนาวก่อนปรุงอาหาร: การทำเช่นนี้จะลดรสชาติที่เข้มข้นของตับได้

    สภาวะของร่างกายที่ควรรับประทานตับ

    -กำลังเจริญเติบโตและใช้สมอง
    -เป็นไข้หรือติดเชื้อไวรัส เนื่องจากเชื้อโรคจะทำลายเม็ดเลือดแดง
    -สูญเสียเลือด ไม่ว่าจะเป็นจากการมีประจำเดือน การผ่าตัด หรือประสบอุบัติเหตุ
    -มีภาวะโลหิตจาง
    - ผู้ที่มีอาการโคลงเคลงเหมือนอยู่ในเรือหรือบ้านหมุน
    - ผู้ที่มีความรู้สึกว่าหนาวง่ายเกินไป

    ปริมาณที่แนะนำ
    ถ้าเป็นตับวัวหรือตับหมู รับประทานประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อต่อวัน
    ถ้าเป็นตับไก่หรือตับเป็ด รับประทานประมาณ 1 ไม้เสียบย่าง
    และควรรับประทานสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr.Santi Manadee
    #ตับสัตว์ ตับเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อย่างไรก็ตาม อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับทุกคน ตับคืออะไร ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญในมนุษย์และสัตว์ โดยทั่วไปแล้วตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดและมีหน้าที่สำคัญหลายประการ รวมถึง: • ผลิตน้ำดีซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร • จัดเก็บไกลโคเจน ธาตุเหล็ก วิตามิน และสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ • กรองและกำจัดยาและสารพิษออกจากเลือด ในสัตว์ที่ไม่ป่วย ตับคืออวัยวะที่ทำความสะอาดตัวเองทุกวัน จึงสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย แม้ว่าตับจะได้รับความนิยมน้อยลง แต่ตับก็เป็นอาหารที่มีสารอาหารหนาแน่นสูง ตับ 100 กรัม ให้ : • พลังงาน 189 แคลอรี่ • โปรตีน 29 กรัม • ไขมัน 5 กรัม • คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม ตับมีราคาถูกและหาซื้อได้ง่าย ตับของสัตว์ส่วนใหญ่สามารถรับประทานได้ แหล่งที่พบได้ทั่วไปคือ ตับวัว ไก่ เป็ด เนื้อแกะ และหมู ตับเป็นแหล่งของสารอาหารหลายชนิด ต่อไปนี้คือสารอาหารที่พบในตับวัว 100 กรัม • วิตามินบี 12: 2,917% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV) วิตามินบี 12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและ DNA และยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่แข็งแรงอีกด้วย • วิตามินเอ: 104% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน วิตามินเอมีความสำคัญต่อการมองเห็น การทำงานของภูมิคุ้มกัน และการสืบพันธุ์ นอกจากนี้ยังช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างถูกต้อง • ไรโบฟลาวิน (B2): 261% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ไรโบฟลาวินมีความสำคัญต่อการพัฒนาและการทำงานของเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานอีกด้วย • โฟเลต (B9): 63% ของ DV โฟเลตเป็นสารอาหารจำเป็นที่มีบทบาทในการเจริญเติบโตของเซลล์และการสร้าง DNA • ธาตุเหล็ก: 36% ของ DV ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารจำเป็นอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยนำออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ธาตุเหล็กในตับคือธาตุเหล็กในกลุ่มฮีม ซึ่งเป็นธาตุเหล็กที่ร่างกายดูดซึมได้ง่ายที่สุด • ทองแดง: 1,578% ของ DV ทองแดงทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นเอนไซม์หลายชนิด ซึ่งจะช่วยควบคุมการผลิตพลังงาน การเผาผลาญธาตุเหล็ก และการทำงานของสมอง • โคลีน: ตับให้โคลีน 77% ของ DV โคลีนมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและการทำงานของตับ ตับเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง โปรตีนมีความสำคัญต่อชีวิตและพบได้ในทุกเซลล์ของร่างกายมนุษย์ โปรตีนจำเป็นต่อการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย ตับวัวมากกว่าหนึ่งในสี่ประกอบด้วยโปรตีน เนื่องจากเป็นโปรตีนจากสัตว์ จึงมีกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้งหมด กรดอะมิโนเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่ประกอบเป็นโปรตีน ร่างกายสามารถสร้างกรดอะมิโนบางชนิดได้ แต่กรดอะมิโนที่จำเป็นจะต้องมาจากอาหาร การรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดน้ำหนักได้ เนื่องจากช่วยลดความหิวและความอยากอาหาร นอกจากนี้ ยังพบว่าโปรตีนช่วยบรรเทาความหิวได้ดีกว่าไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต ยิ่งไปกว่านั้น การรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ หรือจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายใช้ในการทำงาน การที่มีอัตราการเผาผลาญที่สูงขึ้นหมายความว่าคุณใช้แคลอรี่มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรับประทานร่วมกับการลดปริมาณแคลอรี่ สุดท้ายการรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงสามารถช่วยสร้างกล้ามเนื้อและป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อในขณะที่ลดน้ำหนักได้ ในขณะเดียวกัน การศึกษาบางกรณีเตือนว่าการบริโภคโปรตีนในระยะยาวมากเกินไป โดยเฉพาะจากโปรตีนจากสัตว์ มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของไต กระดูก หรือตับ และโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นจึงควรรับประทานให้เหมาะสมที่ร่างกายแต่ละคนต้องการ (อ่านตอนโปรตีนในหัวข้อ Fixx pro) ความกังวลทั่วไปเกี่ยวกับการรับประทานตับ หลายคนมีความกังวลเกี่ยวกับการรับประทานตับและสงสัยว่าตับไม่ดีต่อสุขภาพหรือไม่ คำถามที่พบบ่อยที่สุดประการหนึ่งคือปริมาณคอเลสเตอรอลเป็นปัญหาหรือไม่ แม้ว่าตับจะมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่ ผู้คนเคยเชื่อว่าคอเลสเตอรอลในอาหารทำให้เกิดโรคหัวใจ อย่างไรก็ตาม การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างคอเลสเตอรอลในอาหารและคอเลสเตอรอลในร่างกายนั้นไม่ตรงไปตรงมา คำแนะนำปัจจุบันยังคงแนะนำให้กินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงในปริมาณที่พอเหมาะ โดยอยู่ในบริบทของการรับประทานอาหารที่สมดุลและมีคุณค่าทางโภชนาการ ประชากรประมาณหนึ่งในสี่ดูเหมือนจะไวต่อคอเลสเตอรอลในอาหารมากกว่า สำหรับคนเหล่านี้ การกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงอาจทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นได้ นอกจากความกังวลอื่นๆ แล้ว การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ยังพบว่าการรับประทานอาหารที่มีเครื่องในสัตว์สูงมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดโรคไขมันพอกตับที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ แต่การศึกษานี้ยังมีขอบเขตจำกัด และจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม ตับอาจไม่เหมาะกับทุกคน มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่อาจต้องการหลีกเลี่ยงการรับประทานตับ หญิงตั้งครรภ์ ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของการรับประทานตับในระหว่างตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักเกิดจากปริมาณวิตามินเอ การรับประทานวิตามินเอที่ก่อตัวก่อนกำหนดในปริมาณมาก ซึ่งเป็นชนิดที่พบในตับ มีความเชื่อมโยงกับข้อบกพร่องแต่กำเนิดในการศึกษาวิจัยในปี 1995 ปริมาณวิตามินเอสูงสุดที่ผู้ใหญ่สามารถรับประทานได้คือ 3,000 ไมโครกรัมของเรตินอลแอคทีฟเอควล (mcg RAE) ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรไม่ควรรับประทานวิตามินเอเสริมเกินปริมาณดังกล่าวต่อวัน อย่างไรก็ตาม ตับวัว 1 ออนซ์ (28.5 กรัม) มีวิตามินเอ 2,650 ไมโครกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับระดับวิตามินเอสูงสุดที่ร่างกายสามารถรับประทานได้ในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องติดตามปริมาณวิตามินเอ การปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับแผนการรับประทานอาหารที่ดีที่สุดสำหรับการตั้งครรภ์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากกรดยูริกในเลือดมีปริมาณสูง อาการของโรคได้แก่ ปวด ข้อแข็ง และบวม ตับมีสารพิวรีนสูง ซึ่งก่อให้เกิดกรดยูริกในร่างกาย ดังนั้นการหลีกเลี่ยงตับ เครื่องในสัตว์ และปลาดุกจึงเป็นสิ่งสำคัญหากคุณเป็นโรคเกาต์ วิธีรวมตับไว้ในอาหารของคุณ ตับมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งบางคนชอบและบางคนไม่ชอบ ต่อไปนี้คือคำแนะนำบางประการเกี่ยวกับวิธีรวมตับไว้ในอาหารของคุณ: • การทอดในกระทะ: ตับจะได้ผลดีเมื่อทอดในกระทะพร้อมกับหัวหอม • การแช่ตับในน้ำส้มสายชูหรือน้ำมะนาวก่อนปรุงอาหาร: การทำเช่นนี้จะลดรสชาติที่เข้มข้นของตับได้ สภาวะของร่างกายที่ควรรับประทานตับ -กำลังเจริญเติบโตและใช้สมอง -เป็นไข้หรือติดเชื้อไวรัส เนื่องจากเชื้อโรคจะทำลายเม็ดเลือดแดง -สูญเสียเลือด ไม่ว่าจะเป็นจากการมีประจำเดือน การผ่าตัด หรือประสบอุบัติเหตุ -มีภาวะโลหิตจาง - ผู้ที่มีอาการโคลงเคลงเหมือนอยู่ในเรือหรือบ้านหมุน - ผู้ที่มีความรู้สึกว่าหนาวง่ายเกินไป ปริมาณที่แนะนำ ถ้าเป็นตับวัวหรือตับหมู รับประทานประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อต่อวัน ถ้าเป็นตับไก่หรือตับเป็ด รับประทานประมาณ 1 ไม้เสียบย่าง และควรรับประทานสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 506 มุมมอง 0 รีวิว
  • #HPylori มันคือสาเหตุการเกิด “โรคกระเพาะอาหาร” ทั้งยังสามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) หรือ เอชไพโลไร (H.Pylori) เป็นแบคทีเรียประเภทที่พบได้บ่อยและใช่ มันเป็นโรคติดต่อที่ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โดยปกติแล้วแบคทีเรียจะเข้าสู่ปากและเข้าสู่ทางเดินอาหารเชื้อโรคอาจอาศัยอยู่ในน้ำลาย ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ผ่านการจูบ ออรัลเซ็กซ์ การพูดคุยขณะรับประทานอาหารร่วมกัน การพูดคุยกับแม่ค้าขณะตักอาหารให้ หรือแม้แต่การพูดคุยกับพนักงานเสิร์ฟถ้าพนักงานคนนั้นมีเชื้อนอกจากนี้ คุณสามารถติดเชื้อได้จากการปนเปื้อนอุจจาระในอาหารหรือน้ำดื่มแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วการติดเชื้อ H. pylori จะไม่เป็นอันตราย แต่พวกมันมีส่วนทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหารเป็นส่วนใหญ่ แผลเหล่านี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น มะเร็งกระเพาะอาหารH. Pylori พบได้บ่อยแค่ไหนเชื้อ H. pylori มีอยู่ประมาณร้อยละ 60 ของประชากรโลก การศึกษาในปี 2014 ในวารสาร Central European Journal of Urology แนะนำว่าผู้ที่ติดเชื้อ H. pylori มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์อาจมีแบคทีเรียอยู่ในปากและน้ำลาย และอาจเป็นสาเหตุของโรคท่อปัสสาวะอักเสบ การวิจัยยังพบว่า เชื้อ H. pylori อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงหลายอย่าง รวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหารและแผลในกระเพาะอาหารบางชนิด ในปี 2018 นักวิจัยรายงานว่า H. pylori อาจมีบทบาทในการพัฒนาโรคพาร์กินสันรายงานปี 2018 ในวารสาร Gastroenterology ระบุข้อกังวลอื่น: การดื้อต่อยาปฏิชีวนะของ H. pylori ทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นอย่างมากป้องกันการติดเชื้อ H. pyloriสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดีคือวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ การล้างมืออย่างทั่วถึงและบ่อยครั้งเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่ายิ่ง การรับประทานอาหารสุกใหม่ ไม่รับประทานอาหารค้างคืนหรือแม้แต่อาหารที่ปรุงตั้งไว้เกิน 3 ชั่วโมง ไม่ดื่มน้ำที่ไม่มั่นใจว่าสะอาดเพียงพออาการของผู้ติดเชื้อ H.Pyloriโดยปกติแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อ H.Pylori มักจะไม่แสดงอาการ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่สังเกตได้ ดังนี้ปวดหรือแสบร้อนที่ท้องบริเวณเหนือสะดือปวดรุนแรงเมื่อท้องว่างหรือหลังจากรับประทานอาหารคลื่นไส้ อาเจียนจุกเสียดลิ้นปี่ท้องอืด เรอบ่อยเบื่ออาหารน้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ในรายที่มีอาการอักเสบรุนแรง ควรรีบพบแพทย์เร่งด่วนซึ่งจะมีอาการ ดังนี้ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย หรือมีเลือดและกลิ่นรุนแรงปวดท้องรุนแรง เรื้อรังอาเจียนเป็นเลือดหรือมีสีน้ำตาลคล้ำ H.Pylori สามารถแฝงอยู่ในร่างกายนานเป็น 10 ปี โดยแทบไม่แสดงอาการ เสี่ยงเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารมากถึง 2-6 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติที่ไม่มีการติดเชื้อ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกจัดให้เชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็งกระเพาะอาหารดังนั้นการกำจัดเชื้อ Helicobacter Pylori จึงเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร การตรวจหาเชื้อ H.Pylori เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทราบต้นตอก่อนเกิดอาการรุนแรง ซึ่งปัจจุบันสามารถทำการตรวจได้หลายวิธี การตรวจวินิจฉัยเชื้อทางลมหายใจที่เรียกว่า “Urea Breath Test หรือ การเป่าลมหายใจและวัดหาระดับยูเรีย” เป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว ความแม่นยำสูง ( ความไว 88-95% ) และไม่ก่อให้เกิดการเจ็บตัว ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสการเกิดแผลในกระเพาะอาหารซ้ำ และการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารโรคแผลในกระเพาะจากเชื้อเอชไพโลไร (H.Pylori) นับเป็นอีกหนึ่งภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของใครหลายคน ในบางรายรักษาเท่าไหร่ก็ยังไม่หาย หรือบางรายก็ไม่ทราบว่าตัวเองได้รับเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ซึ่งความน่ากลัวของเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) สามารถเกาะเกี่ยวตัวเองไว้กับเยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร และสามารถอยู่ในกระเพาะอาหารนานนับ 10 ปี โดยไม่แสดงอาการใดๆสิ่งที่จะเสริมการรักษาโรคแผลในกระเพาะจากเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารแนะนำ คือการเสริมโปรไบโอติกส์ (Probiotic) และพรีไบโอติกส์ (Prebiotic) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารแนะนำว่า การใช้พรีไบโอติกส์และโปรไบโอติกส์ร่วมกัน สามารถให้ผลทั้งในแง่ของการป้องกันและรักษาโรคในทางเดินอาหารได้ ทั้งยังมีความความปลอดภัยสูง และรับประทานได้ในระยะยาวโดยไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ในข้อมูลทางการแพทย์จุลินทรีย์สายพันธุ์เฉพาะอย่างโปรไบโอติกส์ ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพและบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคต่างๆ แบบเจาะจง โดยเฉพาะโรคแผลในกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียโดยเฉพาะโปรไบโอติกส์สายพันธุ์เฉพาะอย่าง Lactobacillus acidophilus LA-5 และ Bifidobacterium lactis BB-12 สามารถช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (H.Pyroli) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคในกระเพาะอาหารที่เป็นสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหารจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และยังช่วยลดการอักเสบของกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ รวมทั้งช่วยปรับความถี่และความรุนแรงของการบีบตัวของลำไส้เล็ก ส่งผลดีต่อผู้ที่มีอาการปวดท้อง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของโรคแผลในกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียได้อีกด้วยอาหารที่ดีในการบำบัดแผลในกระเพาะอาหารกล้วยดิบว่านหางจระเข้ทั้งสดและสกัดผักบุ้งสดมะละกอดิบ หรืออะไรก็ได้ที่มีความเป็นเมือกสูง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำPaa villSynbcPaa easeเกลือหิมาลัยด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    #HPylori มันคือสาเหตุการเกิด “โรคกระเพาะอาหาร” ทั้งยังสามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) หรือ เอชไพโลไร (H.Pylori) เป็นแบคทีเรียประเภทที่พบได้บ่อยและใช่ มันเป็นโรคติดต่อที่ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โดยปกติแล้วแบคทีเรียจะเข้าสู่ปากและเข้าสู่ทางเดินอาหารเชื้อโรคอาจอาศัยอยู่ในน้ำลาย ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ผ่านการจูบ ออรัลเซ็กซ์ การพูดคุยขณะรับประทานอาหารร่วมกัน การพูดคุยกับแม่ค้าขณะตักอาหารให้ หรือแม้แต่การพูดคุยกับพนักงานเสิร์ฟถ้าพนักงานคนนั้นมีเชื้อนอกจากนี้ คุณสามารถติดเชื้อได้จากการปนเปื้อนอุจจาระในอาหารหรือน้ำดื่มแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วการติดเชื้อ H. pylori จะไม่เป็นอันตราย แต่พวกมันมีส่วนทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหารเป็นส่วนใหญ่ แผลเหล่านี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น มะเร็งกระเพาะอาหารH. Pylori พบได้บ่อยแค่ไหนเชื้อ H. pylori มีอยู่ประมาณร้อยละ 60 ของประชากรโลก การศึกษาในปี 2014 ในวารสาร Central European Journal of Urology แนะนำว่าผู้ที่ติดเชื้อ H. pylori มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์อาจมีแบคทีเรียอยู่ในปากและน้ำลาย และอาจเป็นสาเหตุของโรคท่อปัสสาวะอักเสบ การวิจัยยังพบว่า เชื้อ H. pylori อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงหลายอย่าง รวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหารและแผลในกระเพาะอาหารบางชนิด ในปี 2018 นักวิจัยรายงานว่า H. pylori อาจมีบทบาทในการพัฒนาโรคพาร์กินสันรายงานปี 2018 ในวารสาร Gastroenterology ระบุข้อกังวลอื่น: การดื้อต่อยาปฏิชีวนะของ H. pylori ทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นอย่างมากป้องกันการติดเชื้อ H. pyloriสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดีคือวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ การล้างมืออย่างทั่วถึงและบ่อยครั้งเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่ายิ่ง การรับประทานอาหารสุกใหม่ ไม่รับประทานอาหารค้างคืนหรือแม้แต่อาหารที่ปรุงตั้งไว้เกิน 3 ชั่วโมง ไม่ดื่มน้ำที่ไม่มั่นใจว่าสะอาดเพียงพออาการของผู้ติดเชื้อ H.Pyloriโดยปกติแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อ H.Pylori มักจะไม่แสดงอาการ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่สังเกตได้ ดังนี้ปวดหรือแสบร้อนที่ท้องบริเวณเหนือสะดือปวดรุนแรงเมื่อท้องว่างหรือหลังจากรับประทานอาหารคลื่นไส้ อาเจียนจุกเสียดลิ้นปี่ท้องอืด เรอบ่อยเบื่ออาหารน้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ในรายที่มีอาการอักเสบรุนแรง ควรรีบพบแพทย์เร่งด่วนซึ่งจะมีอาการ ดังนี้ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย หรือมีเลือดและกลิ่นรุนแรงปวดท้องรุนแรง เรื้อรังอาเจียนเป็นเลือดหรือมีสีน้ำตาลคล้ำ H.Pylori สามารถแฝงอยู่ในร่างกายนานเป็น 10 ปี โดยแทบไม่แสดงอาการ เสี่ยงเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารมากถึง 2-6 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติที่ไม่มีการติดเชื้อ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกจัดให้เชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็งกระเพาะอาหารดังนั้นการกำจัดเชื้อ Helicobacter Pylori จึงเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร การตรวจหาเชื้อ H.Pylori เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทราบต้นตอก่อนเกิดอาการรุนแรง ซึ่งปัจจุบันสามารถทำการตรวจได้หลายวิธี การตรวจวินิจฉัยเชื้อทางลมหายใจที่เรียกว่า “Urea Breath Test หรือ การเป่าลมหายใจและวัดหาระดับยูเรีย” เป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว ความแม่นยำสูง ( ความไว 88-95% ) และไม่ก่อให้เกิดการเจ็บตัว ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสการเกิดแผลในกระเพาะอาหารซ้ำ และการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารโรคแผลในกระเพาะจากเชื้อเอชไพโลไร (H.Pylori) นับเป็นอีกหนึ่งภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของใครหลายคน ในบางรายรักษาเท่าไหร่ก็ยังไม่หาย หรือบางรายก็ไม่ทราบว่าตัวเองได้รับเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ซึ่งความน่ากลัวของเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) สามารถเกาะเกี่ยวตัวเองไว้กับเยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร และสามารถอยู่ในกระเพาะอาหารนานนับ 10 ปี โดยไม่แสดงอาการใดๆสิ่งที่จะเสริมการรักษาโรคแผลในกระเพาะจากเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารแนะนำ คือการเสริมโปรไบโอติกส์ (Probiotic) และพรีไบโอติกส์ (Prebiotic) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารแนะนำว่า การใช้พรีไบโอติกส์และโปรไบโอติกส์ร่วมกัน สามารถให้ผลทั้งในแง่ของการป้องกันและรักษาโรคในทางเดินอาหารได้ ทั้งยังมีความความปลอดภัยสูง และรับประทานได้ในระยะยาวโดยไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ในข้อมูลทางการแพทย์จุลินทรีย์สายพันธุ์เฉพาะอย่างโปรไบโอติกส์ ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพและบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคต่างๆ แบบเจาะจง โดยเฉพาะโรคแผลในกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียโดยเฉพาะโปรไบโอติกส์สายพันธุ์เฉพาะอย่าง Lactobacillus acidophilus LA-5 และ Bifidobacterium lactis BB-12 สามารถช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (H.Pyroli) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคในกระเพาะอาหารที่เป็นสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหารจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และยังช่วยลดการอักเสบของกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ รวมทั้งช่วยปรับความถี่และความรุนแรงของการบีบตัวของลำไส้เล็ก ส่งผลดีต่อผู้ที่มีอาการปวดท้อง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของโรคแผลในกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียได้อีกด้วยอาหารที่ดีในการบำบัดแผลในกระเพาะอาหารกล้วยดิบว่านหางจระเข้ทั้งสดและสกัดผักบุ้งสดมะละกอดิบ หรืออะไรก็ได้ที่มีความเป็นเมือกสูง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำPaa villSynbcPaa easeเกลือหิมาลัยด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 436 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันออก

    เดือนนี้ ธุรกิจจะประสบความสำเร็จค้าขายคล่องตัวมีโชคลาภด้านการเงิน งานสำนักงาน การศึกษา งานวิจัย จะมีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะในการเขียนยอดเยี่ยม ฉลาด การศึกษาดี มีเสน่ห์ต่อผู้คนพบเห็นเป็นที่ยอมรับ หากทำผิดกฏปล่อยปละละเลยกฏหมายจะถูกฟ้องร้องฟ้องศาลจนเป็นคดีความให้ต้องเสียชื่อเสียง จะมีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เดินทางท่องเที่ยวควรงดการดื่มเหล้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ทั้งอย่าเที่ยวจนเพลินจนลืมบ้านลืมช่องมีโอกาสจะถูกโจรปล้น ขโมยจะขึ้นบ้านลักทรัพย์สินเงินทองให้สูญหาย รวมทั้งสุขภาพร่างกายมีโอกาสจะเจ็บป่วยเป็นโรคไต เลือดออกในไต ไตมีปัญหา โรคต่อมน้ำตาอุดตัน ความดันโลหิตสูง ปัสสาวะเป็นเลือด เนื้อเยื่อแก้วหูอักเสบ เลือดออกที่หู แท้งบุตร ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ

    เสริมมงคล : ติดตั้งน้ำพุ
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศตะวันออก เดือนนี้ ธุรกิจจะประสบความสำเร็จค้าขายคล่องตัวมีโชคลาภด้านการเงิน งานสำนักงาน การศึกษา งานวิจัย จะมีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะในการเขียนยอดเยี่ยม ฉลาด การศึกษาดี มีเสน่ห์ต่อผู้คนพบเห็นเป็นที่ยอมรับ หากทำผิดกฏปล่อยปละละเลยกฏหมายจะถูกฟ้องร้องฟ้องศาลจนเป็นคดีความให้ต้องเสียชื่อเสียง จะมีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เดินทางท่องเที่ยวควรงดการดื่มเหล้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ทั้งอย่าเที่ยวจนเพลินจนลืมบ้านลืมช่องมีโอกาสจะถูกโจรปล้น ขโมยจะขึ้นบ้านลักทรัพย์สินเงินทองให้สูญหาย รวมทั้งสุขภาพร่างกายมีโอกาสจะเจ็บป่วยเป็นโรคไต เลือดออกในไต ไตมีปัญหา โรคต่อมน้ำตาอุดตัน ความดันโลหิตสูง ปัสสาวะเป็นเลือด เนื้อเยื่อแก้วหูอักเสบ เลือดออกที่หู แท้งบุตร ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เสริมมงคล : ติดตั้งน้ำพุ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • ป้องกัน โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease)

    ฉันมีเชื้อพันธุกรรมจากแม่ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้
    จึงเตรียมหาวิธีป้องกัน หรือ ขะลอให้เกิดช้า+อาการน้อยๆ
    ลูกชายของฉันเป็นแพทย์ทางสมองและไขสันหลัง
    สรุป วิธีป้องกัน ที่ทำได้ ไม่ยาก โดย

    1. อาหารที่ดีต่อสมอง ให้กิน Real Foods จากธรรมชาติแท้ๆ
    เน้น Omega3+AntiOxidants
    หลีกเลี่ยง Processed Foods

    2. ลดความเครียด ความเครียด(เรื้อรัง)ส่งผลต่อการอักเสบของสมอง
    ลดได้โดย ฝึกลมหายใจ การทำสมาธิ พิลาทิส เทคนิคโยคะ/สมาธิแบบง่ายๆ 12 นาที Kirtan Kriya ช่วยเสริมสร้างฟื้นฟูสมองได้ดี และหากิจกรรมผ่อนคลายที่ชอบ.

    3. ออกกำลังร่างกาย และ สมอง ต้องครบทั้ง คาร์ดิโอ+เวทเทรนนิ่ง อย่างน้อย 150 นาที ต่อสัปดาห์ อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ที่ใช้ทั้งความคิด+ความจำ เรียนภาษาใหม่ๆ

    4. สร้างความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจ ยอมรับตัวเอง สร้างความรู้สึกเชิง+ ตั้งเป้าหมายเริ่มจากง่ายๆและทำได้สำเร็จ และ พักผ่อนให้มีความสุขใจ.
    ป้องกัน โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease) ฉันมีเชื้อพันธุกรรมจากแม่ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ จึงเตรียมหาวิธีป้องกัน หรือ ขะลอให้เกิดช้า+อาการน้อยๆ ลูกชายของฉันเป็นแพทย์ทางสมองและไขสันหลัง สรุป วิธีป้องกัน ที่ทำได้ ไม่ยาก โดย 1. อาหารที่ดีต่อสมอง ให้กิน Real Foods จากธรรมชาติแท้ๆ เน้น Omega3+AntiOxidants หลีกเลี่ยง Processed Foods 2. ลดความเครียด ความเครียด(เรื้อรัง)ส่งผลต่อการอักเสบของสมอง ลดได้โดย ฝึกลมหายใจ การทำสมาธิ พิลาทิส เทคนิคโยคะ/สมาธิแบบง่ายๆ 12 นาที Kirtan Kriya ช่วยเสริมสร้างฟื้นฟูสมองได้ดี และหากิจกรรมผ่อนคลายที่ชอบ. 3. ออกกำลังร่างกาย และ สมอง ต้องครบทั้ง คาร์ดิโอ+เวทเทรนนิ่ง อย่างน้อย 150 นาที ต่อสัปดาห์ อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ที่ใช้ทั้งความคิด+ความจำ เรียนภาษาใหม่ๆ 4. สร้างความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจ ยอมรับตัวเอง สร้างความรู้สึกเชิง+ ตั้งเป้าหมายเริ่มจากง่ายๆและทำได้สำเร็จ และ พักผ่อนให้มีความสุขใจ.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานศพเศร้าสลด หนุ่ม 26 คลุ้มคลั่งถูกตำรวจยิงตายใน รพ.สุรินทร์ ขณะเข้ารักษาโรคไส้ติ่งอักเสบ แม่และน้าสาวขอความเป็นธรรม ขอเปิดคลิปวงจรปิด ถามตำรวจทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ รปภ.20 คนทำไมเอาคนป่วยไม่อยู่ และไม่มียุทธวิธีเบาไปหนัก ใช้กระสุนยางหรือต้องใช้ปืนจริงยิงถึง 4 นัด แม่ติดใจ ผช.พยาบาล 2 คนพูดไม่ดี คาดเป็นปมเหตุลูกไม่พอใจ และยาที่หมอให้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000000931

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    งานศพเศร้าสลด หนุ่ม 26 คลุ้มคลั่งถูกตำรวจยิงตายใน รพ.สุรินทร์ ขณะเข้ารักษาโรคไส้ติ่งอักเสบ แม่และน้าสาวขอความเป็นธรรม ขอเปิดคลิปวงจรปิด ถามตำรวจทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ รปภ.20 คนทำไมเอาคนป่วยไม่อยู่ และไม่มียุทธวิธีเบาไปหนัก ใช้กระสุนยางหรือต้องใช้ปืนจริงยิงถึง 4 นัด แม่ติดใจ ผช.พยาบาล 2 คนพูดไม่ดี คาดเป็นปมเหตุลูกไม่พอใจ และยาที่หมอให้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000000931 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1303 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🥥COCONUT OIL 1 ในสารสกัด ในสบู่ MONOI : Extra Rich Oil Soap. น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น (Virgin Coconut Oil) มีกรดลอริก ( Lauric acid ) ยังเป็นแหล่งของวิตามิน E , A อุดมไปด้วยสารที่สำคัญที่ช้วยบำรุงผิว มีสารต้านอนุมูลอิสระ และซ่อมแซมเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ผิวหนังให้กับมีชีวิตชีวา ลดการอักเสบของผิว ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย วิตามิน E จะช่วยบำรุงผิว ให้ผิวลื่นขึ้น ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในชั้นผิวหนังเอาไว้ เติมเต็มความชุ่มชื้นได้อย่างล้ำลึก เพิ่มความกระจ่างใส ทำให้เซลล์ ผิวเต่งตึง ช่วยลดริ้วรอยที่มักเป็นปัญหาที่น่ากังวลใจ ของผู้ที่มีริ้วรอยก่อนวัย.
    🌸ผิวแพ้ง่ายใช้ได้หายห่วง🌸
    ❌ไม่มีสารกันเสีย
    ❌ปราศจากSLS/SLES
    🌸🌸เนื้อสัมผัสขณะอาบน้ำ วิปครีม
    ฟองนม ครีมละเอียด หอมละมุน
    ใบจดแจ้งเลขที่ : 72-1-6700021290
    ขนาด 80g ราคา 220 บ.

    🌸โปรโมชั่น🌸
    🛒สบู่ 1 ก้อน แถม ถุงตาข่ายตีฟอง
    ราคา 199 บ 🚚ค่าส่ง 40 บ
    🥥COCONUT OIL 1 ในสารสกัด ในสบู่ MONOI : Extra Rich Oil Soap. น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น (Virgin Coconut Oil) มีกรดลอริก ( Lauric acid ) ยังเป็นแหล่งของวิตามิน E , A อุดมไปด้วยสารที่สำคัญที่ช้วยบำรุงผิว มีสารต้านอนุมูลอิสระ และซ่อมแซมเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ผิวหนังให้กับมีชีวิตชีวา ลดการอักเสบของผิว ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย วิตามิน E จะช่วยบำรุงผิว ให้ผิวลื่นขึ้น ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในชั้นผิวหนังเอาไว้ เติมเต็มความชุ่มชื้นได้อย่างล้ำลึก เพิ่มความกระจ่างใส ทำให้เซลล์ ผิวเต่งตึง ช่วยลดริ้วรอยที่มักเป็นปัญหาที่น่ากังวลใจ ของผู้ที่มีริ้วรอยก่อนวัย. 🌸ผิวแพ้ง่ายใช้ได้หายห่วง🌸 ❌ไม่มีสารกันเสีย ❌ปราศจากSLS/SLES 🌸🌸เนื้อสัมผัสขณะอาบน้ำ วิปครีม ฟองนม ครีมละเอียด หอมละมุน ใบจดแจ้งเลขที่ : 72-1-6700021290 ขนาด 80g ราคา 220 บ. 🌸โปรโมชั่น🌸 🛒สบู่ 1 ก้อน แถม ถุงตาข่ายตีฟอง ราคา 199 บ 🚚ค่าส่ง 40 บ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่น่าสนใจคือ ขณะที่คนอเมริกันถกเถียงกันถึงวิธีที่จะทำให้ยามีราคาถูกลง จีนกลับถกเถียงถึงปัญหาที่ตรงกันข้าม นั่นก็คือ บางคนกังวลว่ายาของตนจะมีราคาถูกเกินไป

    เนื่องจากจีนได้เปิดตัวระบบจัดซื้อแบบรวมศูนย์ที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า "การจัดซื้อแบบกลุ่มพร้อมปริมาณที่รับประกัน" (国家集中带量采购) เมื่อปี 2018 โดยแทนที่ปล่อยให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งเจรจาราคา รัฐบาลจะรวบรวมความต้องการทั่วทั้งมณฑลหรือทั้งประเทศ กำหนดปริมาณทั้งหมดที่ต้องการ จากนั้นจึงดำเนินการจัดซื้อจำนวนมากจากผู้ผลิตโดยตรง

    ที่สำคัญ นโยบายนี้มุ่งเป้าไปที่ยาที่หมดสิทธิบัตรและยาสามัญเท่านั้น ยาใหม่จะไม่รวมอยู่ในโครงการและจะต้องผ่านช่องทางการเจรจาแยกกัน ซึ่งเรียกว่า "ระบบการเจรจารายการยาประกันสุขภาพแห่งชาติ" (医保目录谈判) แทนที่จะใช้การเสนอราคาแบบแข่งขัน ระบบคู่ขนานนี้เกี่ยวข้องกับการเจรจาแบบตัวต่อตัวระหว่างหน่วยงานประกันและบริษัทเภสัชกรรมสำหรับยาใหม่ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติและมักผลิตโดยผู้ผลิตเพียงรายเดียว กระบวนการนี้รวมถึงการประเมินความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และคุณค่าของนวัตกรรมของยาอย่างละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญก่อนจะเริ่มการเจรจาราคา

    สิ่งนี้จะสร้างระบบสองทาง: ในขณะที่การซื้อจำนวนมากส่งผลให้ราคาของยาสามัญลดลงเนื่องจากการแข่งขัน ระบบการเจรจาแค็ตตาล็อกจะทำให้มั่นใจได้ว่ายาที่สร้างสรรค์ใหม่จะยังคงสามารถตั้งราคาได้ ซึ่งช่วยให้การวิจัยและพัฒนาด้านเภสัชกรรมยั่งยืน

    ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างน่าตกใจ ในรอบการซื้อจำนวนมากล่าสุดที่เพิ่งสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นรอบที่ 10 นับตั้งแต่เริ่มโครงการนี้ มีการเจรจาราคายา 62 รายการ โดยบางรายการลดลงเหลือต่ำกว่า 10% ของต้นทุนเดิม ตัวอย่างเช่น ยาสำหรับมะเร็งเต้านม Palbociclib ซึ่งก่อนหน้านี้มีราคาเม็ดละ 200 หยวน (28 ดอลลาร์) ตอนนี้ขายเพียง 15 หยวน ($2) ในทำนองเดียวกัน ค่าใช้จ่ายประจำปีในการรักษาโรคตับอักเสบบีก็ลดลงจาก 4,000-5,000 หยวน เหลือ 100-200 หยวน (14-28 ดอลลาร์)

    ตั้งแต่ปี 2018 โปรแกรมดังกล่าวครอบคลุมยา 435 รายการ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพได้เกือบ 500,000 ล้านหยวน (70,000 ล้านดอลลาร์) โรงพยาบาลแห่งหนึ่งรายงานว่าประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาต้านมะเร็งได้ 30 ล้านหยวน ปัจจุบันยาบางชนิดมีราคาถูกกว่าน้ำเสียด้วยซ้ำ เช่น แอสไพรินเคลือบเอนเทอริก ซึ่งมักใช้เป็นยาสำหรับโรคหัวใจและหลอดเลือด ปัจจุบันมีราคาต่ำกว่า 0.04 หยวนต่อเม็ด ซึ่งหมายความว่าหากคุณรับประทาน 3 เม็ดต่อวัน คุณจะเสียเงินประมาณ 3.6 หยวนต่อเดือน (น้อยกว่า 0.5 ดอลลาร์)!

    การลดราคาสินค้ามีมากจนทำให้เกิดการถกเถียงในประเทศจีนในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่ายาบางชนิดมีราคาแพงเกินไปหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของยาบางชนิดที่ถูกเกินไปหรือไม่ โดยบางคนกังวลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและการผลิตอย่างยั่งยืนด้วยราคาที่ต่ำเช่นนี้

    แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับระบบการดูแลสุขภาพของอเมริกา ซึ่งราคาของยาที่สูงเป็นปัญหาใหญ่ และโครงการจัดซื้อจำนวนมากในระดับประเทศยังคงไม่มีอยู่ (แม้ว่ารัฐบาลจะจัดซื้อให้กับทหารผ่านศึกและโครงการของรัฐบาลกลางในจำนวนจำกัด) ฉันลองเช็คดูแล้วพบว่าเม็ดยา Palbociclib สำหรับมะเร็งเต้านมที่ตกลงราคาไว้ที่ 2 ดอลลาร์ในจีนมีราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 227 ดอลลาร์ต่อเม็ดในสหรัฐอเมริกา ( pharmacychecker.com/ibrance/ ) แพงกว่าถึง 100 เท่า!

    นี่เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจที่ขัดแย้งกับข้อโต้แย้งที่ว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจะนำไปสู่การไม่มีประสิทธิภาพของตลาด รัฐบาลจีนได้สร้างตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างมีประสิทธิผล โดยการรวมอำนาจซื้อและรับประกันปริมาณ โดยตลาดดังกล่าวจะขจัดต้นทุนการตลาด ลดความไม่แน่นอนของผู้ผลิต และผลักดันให้ราคาลดลงอย่างมาก ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นได้หากไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาล

    นอกจากนี้ยังหักล้างความคิดที่ว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจะทำให้การวิจัยและพัฒนาลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสิ่งที่จีนได้นำมาใช้นั้นเป็นระบบ 2 ช่องทาง คือ ลดราคายาสามัญลงผ่านการซื้อจำนวนมาก ขณะที่รักษาการเจรจาแยกกันสำหรับยาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่รับรองว่าต้นทุนการวิจัยและพัฒนาจะได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสม

    ไม่ได้หมายความว่าระบบของจีนจะสมบูรณ์แบบ ความกังวลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและการผลิตอย่างยั่งยืนในราคาที่ต่ำเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าด้วยการแทรกแซงอย่างชาญฉลาดของรัฐบาล ดูเหมือนว่าจะสามารถบรรลุทั้งความสามารถในการซื้อและนวัตกรรมได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ระบบการดูแลสุขภาพของสหรัฐฯ มองว่าไม่สามารถบรรลุร่วมกันได้
    ที่น่าสนใจคือ ขณะที่คนอเมริกันถกเถียงกันถึงวิธีที่จะทำให้ยามีราคาถูกลง จีนกลับถกเถียงถึงปัญหาที่ตรงกันข้าม นั่นก็คือ บางคนกังวลว่ายาของตนจะมีราคาถูกเกินไป เนื่องจากจีนได้เปิดตัวระบบจัดซื้อแบบรวมศูนย์ที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า "การจัดซื้อแบบกลุ่มพร้อมปริมาณที่รับประกัน" (国家集中带量采购) เมื่อปี 2018 โดยแทนที่ปล่อยให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งเจรจาราคา รัฐบาลจะรวบรวมความต้องการทั่วทั้งมณฑลหรือทั้งประเทศ กำหนดปริมาณทั้งหมดที่ต้องการ จากนั้นจึงดำเนินการจัดซื้อจำนวนมากจากผู้ผลิตโดยตรง ที่สำคัญ นโยบายนี้มุ่งเป้าไปที่ยาที่หมดสิทธิบัตรและยาสามัญเท่านั้น ยาใหม่จะไม่รวมอยู่ในโครงการและจะต้องผ่านช่องทางการเจรจาแยกกัน ซึ่งเรียกว่า "ระบบการเจรจารายการยาประกันสุขภาพแห่งชาติ" (医保目录谈判) แทนที่จะใช้การเสนอราคาแบบแข่งขัน ระบบคู่ขนานนี้เกี่ยวข้องกับการเจรจาแบบตัวต่อตัวระหว่างหน่วยงานประกันและบริษัทเภสัชกรรมสำหรับยาใหม่ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติและมักผลิตโดยผู้ผลิตเพียงรายเดียว กระบวนการนี้รวมถึงการประเมินความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และคุณค่าของนวัตกรรมของยาอย่างละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญก่อนจะเริ่มการเจรจาราคา สิ่งนี้จะสร้างระบบสองทาง: ในขณะที่การซื้อจำนวนมากส่งผลให้ราคาของยาสามัญลดลงเนื่องจากการแข่งขัน ระบบการเจรจาแค็ตตาล็อกจะทำให้มั่นใจได้ว่ายาที่สร้างสรรค์ใหม่จะยังคงสามารถตั้งราคาได้ ซึ่งช่วยให้การวิจัยและพัฒนาด้านเภสัชกรรมยั่งยืน ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างน่าตกใจ ในรอบการซื้อจำนวนมากล่าสุดที่เพิ่งสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นรอบที่ 10 นับตั้งแต่เริ่มโครงการนี้ มีการเจรจาราคายา 62 รายการ โดยบางรายการลดลงเหลือต่ำกว่า 10% ของต้นทุนเดิม ตัวอย่างเช่น ยาสำหรับมะเร็งเต้านม Palbociclib ซึ่งก่อนหน้านี้มีราคาเม็ดละ 200 หยวน (28 ดอลลาร์) ตอนนี้ขายเพียง 15 หยวน ($2) ในทำนองเดียวกัน ค่าใช้จ่ายประจำปีในการรักษาโรคตับอักเสบบีก็ลดลงจาก 4,000-5,000 หยวน เหลือ 100-200 หยวน (14-28 ดอลลาร์) ตั้งแต่ปี 2018 โปรแกรมดังกล่าวครอบคลุมยา 435 รายการ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพได้เกือบ 500,000 ล้านหยวน (70,000 ล้านดอลลาร์) โรงพยาบาลแห่งหนึ่งรายงานว่าประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาต้านมะเร็งได้ 30 ล้านหยวน ปัจจุบันยาบางชนิดมีราคาถูกกว่าน้ำเสียด้วยซ้ำ เช่น แอสไพรินเคลือบเอนเทอริก ซึ่งมักใช้เป็นยาสำหรับโรคหัวใจและหลอดเลือด ปัจจุบันมีราคาต่ำกว่า 0.04 หยวนต่อเม็ด ซึ่งหมายความว่าหากคุณรับประทาน 3 เม็ดต่อวัน คุณจะเสียเงินประมาณ 3.6 หยวนต่อเดือน (น้อยกว่า 0.5 ดอลลาร์)! การลดราคาสินค้ามีมากจนทำให้เกิดการถกเถียงในประเทศจีนในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่ายาบางชนิดมีราคาแพงเกินไปหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของยาบางชนิดที่ถูกเกินไปหรือไม่ โดยบางคนกังวลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและการผลิตอย่างยั่งยืนด้วยราคาที่ต่ำเช่นนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับระบบการดูแลสุขภาพของอเมริกา ซึ่งราคาของยาที่สูงเป็นปัญหาใหญ่ และโครงการจัดซื้อจำนวนมากในระดับประเทศยังคงไม่มีอยู่ (แม้ว่ารัฐบาลจะจัดซื้อให้กับทหารผ่านศึกและโครงการของรัฐบาลกลางในจำนวนจำกัด) ฉันลองเช็คดูแล้วพบว่าเม็ดยา Palbociclib สำหรับมะเร็งเต้านมที่ตกลงราคาไว้ที่ 2 ดอลลาร์ในจีนมีราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 227 ดอลลาร์ต่อเม็ดในสหรัฐอเมริกา ( pharmacychecker.com/ibrance/ ) แพงกว่าถึง 100 เท่า! นี่เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจที่ขัดแย้งกับข้อโต้แย้งที่ว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจะนำไปสู่การไม่มีประสิทธิภาพของตลาด รัฐบาลจีนได้สร้างตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างมีประสิทธิผล โดยการรวมอำนาจซื้อและรับประกันปริมาณ โดยตลาดดังกล่าวจะขจัดต้นทุนการตลาด ลดความไม่แน่นอนของผู้ผลิต และผลักดันให้ราคาลดลงอย่างมาก ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นได้หากไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาล นอกจากนี้ยังหักล้างความคิดที่ว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจะทำให้การวิจัยและพัฒนาลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสิ่งที่จีนได้นำมาใช้นั้นเป็นระบบ 2 ช่องทาง คือ ลดราคายาสามัญลงผ่านการซื้อจำนวนมาก ขณะที่รักษาการเจรจาแยกกันสำหรับยาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่รับรองว่าต้นทุนการวิจัยและพัฒนาจะได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสม ไม่ได้หมายความว่าระบบของจีนจะสมบูรณ์แบบ ความกังวลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและการผลิตอย่างยั่งยืนในราคาที่ต่ำเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าด้วยการแทรกแซงอย่างชาญฉลาดของรัฐบาล ดูเหมือนว่าจะสามารถบรรลุทั้งความสามารถในการซื้อและนวัตกรรมได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ระบบการดูแลสุขภาพของสหรัฐฯ มองว่าไม่สามารถบรรลุร่วมกันได้
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาวะ การอักเสบของหลอดเลือด(Atherosclerosis) คือ ผู้ร้าย(ตัวจริง)ของโรคเส้นเลือดตีบ แตก ตัน ที่ สมอง+หัวใจ ไม่ใช่"คลอเรสตอรอล"

    ปัจจุบัน จึงควรตรวจ

    1. High Sensitivities CRP คือ การตรวจเพื่อบอกถึงค่าความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวตีบ การตรวจ hsCRP เป็นการตรวจหาระดับโปรตีนที่มีชื่อว่า C-reactive Protein (ซี-รีแอคทีฟโปรตีน) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอยู่ในเลือดของเรา แต่ละคนมีระดับ CRP ไม่เท่ากัน หากเซลล์อักเสบอย่างต่อเนื่องระดับ CRP ก็จะสูงตาม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและพัฒนาไปสู่โรคร้ายหลายๆ ชนิดได้ เช่น มะเร็ง การเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง และนำไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจในที่สุด

    2. Homocysteine เป็นกรดอะมิโนที่จะสร้างกรดอะมิโนตัวอื่นโดยอาศัยวิตามิน บี6 บี12และกรดโฟลิก ถ้าขาดวิตามินดังกล่าว Homocysteine จะไม่ถูกเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนตัวอื่น ทำให้มีสาร Homocysteine สูงในเลือดและจะทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการกระตุ้นการอุดตันของลิ่มเลือดตามมา Homocysteine เป็นกรดอะมิโนที่จะสร้างกรดอะมิโนตัวอื่นโดยอาศัยวิตามิน บี6 บี12และกรดโฟลิก ถ้าขาดวิตามินดังกล่าวเป็นสารที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผนังด้านในของหลอดเลือดโดยตรง ดังนั้น ถ้ามี Homocysteine ในเลือดเพิ่มสูงขึ้นเป็นเวลานานติดต่อกัน ผนังด้านในหลอดเลือดจะเริ่มขรุขระและเริ่มมีตะกรันไขมันมาสะสม ในที่สุดก็จะเกิดการอุดตันหรือตีบแคบลง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อหลอดเลือดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอดเลือดที่มีขนาดเล็ก เช่น หลอดเลือดหัวใจ นำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด และหลอดเลือดสมอง ส่งผลให้มีอาการ อัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้เร็วกว่าวัยอันควร
    ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ Homocysteine ในเลือดสูงนี้นอกจากจะเกิดจากการขาดวิตามินบี 6บี 12 และ กรดโฟลิกแล้วยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น กรรมพันธุ์, ร่างกายได้รับ เมทิโอนีน(จากเนื้อสัตว์ ไข่ นม ชีส) มากเกินไป, การขาดการออกกำลังกาย, การเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคไตโรคตับ เบาหวาน มะเร็ง และการได้รับยาบางชนิด เช่น ยากันชัก ยาลดกรด และการได้รับสารกระตุ้น เช่น แอลกอฮอล์ กาแฟ บุหรี่

    เมื่อทำการตรวจเลือดแล้วพบว่ามีระดับสาร Homocysteine สูงในเลือด สามารถลดระดับและป้องกันด้วยการเสริม วิตามิน บี6 บี12 กรดโฟลิก หรือ หากไม่ชอบอาหารเสริม ก็ควรรับประทานจากแหล่งธรรมชาติ สำหรับวิตามินบี 6ได้แก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ปลา ข้าวซ้อมมือ ถั่วเหลือง ถั่วลิสงจมูกข้าว กล้วยหอม ธัญพืช ผักและผลไม้ต่างๆ วิตามินบี 12 พบมากในเนื้อหมู ปลา ชีส นม และผลิตภัณฑ์จากนม ส่วนกรดโฟลิก พบมากในผักสีเขียวทุกชนิด ผลไม้พวกส้ม มะเขือเทศ และอาหารประเภททั่วไป
    ภาวะ การอักเสบของหลอดเลือด(Atherosclerosis) คือ ผู้ร้าย(ตัวจริง)ของโรคเส้นเลือดตีบ แตก ตัน ที่ สมอง+หัวใจ ไม่ใช่"คลอเรสตอรอล" ปัจจุบัน จึงควรตรวจ 1. High Sensitivities CRP คือ การตรวจเพื่อบอกถึงค่าความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวตีบ การตรวจ hsCRP เป็นการตรวจหาระดับโปรตีนที่มีชื่อว่า C-reactive Protein (ซี-รีแอคทีฟโปรตีน) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอยู่ในเลือดของเรา แต่ละคนมีระดับ CRP ไม่เท่ากัน หากเซลล์อักเสบอย่างต่อเนื่องระดับ CRP ก็จะสูงตาม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและพัฒนาไปสู่โรคร้ายหลายๆ ชนิดได้ เช่น มะเร็ง การเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง และนำไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจในที่สุด 2. Homocysteine เป็นกรดอะมิโนที่จะสร้างกรดอะมิโนตัวอื่นโดยอาศัยวิตามิน บี6 บี12และกรดโฟลิก ถ้าขาดวิตามินดังกล่าว Homocysteine จะไม่ถูกเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนตัวอื่น ทำให้มีสาร Homocysteine สูงในเลือดและจะทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการกระตุ้นการอุดตันของลิ่มเลือดตามมา Homocysteine เป็นกรดอะมิโนที่จะสร้างกรดอะมิโนตัวอื่นโดยอาศัยวิตามิน บี6 บี12และกรดโฟลิก ถ้าขาดวิตามินดังกล่าวเป็นสารที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผนังด้านในของหลอดเลือดโดยตรง ดังนั้น ถ้ามี Homocysteine ในเลือดเพิ่มสูงขึ้นเป็นเวลานานติดต่อกัน ผนังด้านในหลอดเลือดจะเริ่มขรุขระและเริ่มมีตะกรันไขมันมาสะสม ในที่สุดก็จะเกิดการอุดตันหรือตีบแคบลง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อหลอดเลือดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอดเลือดที่มีขนาดเล็ก เช่น หลอดเลือดหัวใจ นำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด และหลอดเลือดสมอง ส่งผลให้มีอาการ อัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้เร็วกว่าวัยอันควร ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ Homocysteine ในเลือดสูงนี้นอกจากจะเกิดจากการขาดวิตามินบี 6บี 12 และ กรดโฟลิกแล้วยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น กรรมพันธุ์, ร่างกายได้รับ เมทิโอนีน(จากเนื้อสัตว์ ไข่ นม ชีส) มากเกินไป, การขาดการออกกำลังกาย, การเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคไตโรคตับ เบาหวาน มะเร็ง และการได้รับยาบางชนิด เช่น ยากันชัก ยาลดกรด และการได้รับสารกระตุ้น เช่น แอลกอฮอล์ กาแฟ บุหรี่ เมื่อทำการตรวจเลือดแล้วพบว่ามีระดับสาร Homocysteine สูงในเลือด สามารถลดระดับและป้องกันด้วยการเสริม วิตามิน บี6 บี12 กรดโฟลิก หรือ หากไม่ชอบอาหารเสริม ก็ควรรับประทานจากแหล่งธรรมชาติ สำหรับวิตามินบี 6ได้แก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ปลา ข้าวซ้อมมือ ถั่วเหลือง ถั่วลิสงจมูกข้าว กล้วยหอม ธัญพืช ผักและผลไม้ต่างๆ วิตามินบี 12 พบมากในเนื้อหมู ปลา ชีส นม และผลิตภัณฑ์จากนม ส่วนกรดโฟลิก พบมากในผักสีเขียวทุกชนิด ผลไม้พวกส้ม มะเขือเทศ และอาหารประเภททั่วไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 450 มุมมอง 0 รีวิว
  • พันธุ์เดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน!
    "ทุเรียนจีน" แพ้ "ทุเรียนไทย" กระจุย
    นักวิทย์จีนอึ้ง สารอาหารต่างกันลิบลับ
    .
    วันนี้ (22 ธ.ค.) สื่อเซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ ของฮ่องกงรายงานว่าจากผลการตรวจสอบสารอาหารของทุเรียนที่เพาะปลูกบนเกาะไหหลำ (มณฑลไห่หนาน) ของจีนนั้น พบว่ามีคุณค่าทางอาหารต่ำกว่าทุเรียนพันธุ์เดียวกันที่นำเข้าจากประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมาก
    .
    สำหรับการศึกษานี้เป็นการศึกษาครั้งแรก ๆ ในเรื่องนี้ นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรไหหลำยกตัวอย่างว่า "ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง" ที่ปลูกในประเทศจีนนั้นไม่มีสารเคอร์ซิติน (Quercetin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเลย ในขณะที่ทุเรียนหมอนทองที่ปลูกในไทยอุดมด้วยสารเคอร์ซิตินจำนวนมาก
    .
    นอกจากนี้ ทุเรียนที่ปลูกบนเกาะไหหลำพันธุ์เดียวที่มีสารเคอร์ซิตินอยู่บ้างคือ "ทุเรียนพันธุ์ก้านยาว" แต่สารเคอร์ซิตินที่มีนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าทุเรียนก้านยานที่ปลูกประะเทศไทยถึง 520 เท่า และต่ำกว่าพันธุ์หมอนทองของไทยถึง 540,000 เท่า !
    .
    ในส่วนของกรดแกลลิก (Gallic Acid) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และต้านมะเร็ง นักวิจัยของจีนพบว่า ไม่พบสารดังกล่าวในพันธุ์ก้านยาวที่ปลูกในจีน ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาก่อนหน้านี้ แต่ระดับของกรดแกลลิกในพันธุ์หมอนทองนั้น “ต่ำกว่าระดับที่รายงานไว้ก่อนหน้านี้มาก”
    .
    ในขณะเดียวกัน ผลการศึกษาคุณค่าทางอาหารของ "ทุเรียนไทย" ในปี 2551 พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว "ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง" มีกรดแกลลิกราว 2,072 ไมโครกรัมต่อทุเรียน 100 กรัม ซึ่งสูงกว่าทุเรียนที่ปลูกในจีนซึ่งมีกรดแกลลิกเพียงแค่ 22.85 นาโนกรัม ถึง 906 เท่า
    .
    จาง จิง หัวหน้าคณะนักวิจัยจากสถาบันวิจัยซานย่าหนานฝานแห่งวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การเกษตรไหหลำ (海南大学南繁学院) ให้เหตุผลว่า “ความแตกต่างของสภาพอากาศและปริมาณแร่ธาตุและสารอาหารในดินอาจส่งผลต่อการสะสมสารอาหารในระหว่างกระบวนการเจริญเติบโตของทุเรียน โดยอาจส่งผลให้มีสารบางชนิดในปริมาณที่สูงขึ้น ในขณะที่บางชนิดอาจไม่มีเลย” เธอกล่าว
    .
    ในรายงานที่ตีพิมพ์ลงวารสารภาษาจีน Food and Fermentation Industries (食品与发酵工业) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา นักวิจัยระบุว่าสารต้านอนุมูลอิสระหลักที่พบในทุเรียน 3 ชนิดที่ศึกษา ได้แก่ พันธุ์หมอนทอง ก้านยาว และมูซังคิง ได้แก่ โพรไซยานิดิน บี 1, คาเทชิน และเคอร์ซิติน

    “ผลการศึกษาบ่งชี้ว่าก้านยาวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลองที่แข็งแกร่งที่สุด (จากทั้งสามชนิด)” นักวิจัยจีนระบุ
    .
    ปัจจุบันจีนถือเป็นประเทศผู้นำเข้าทุเรียนมากที่สุดในโลก โดยจีนนำเข้าทุเรียนมากถึง 95% ของทั่วโลก โดยต่อมาในปี 2561 จีนได้ดำเนินการเริ่มปลูกทุเรียนเชิงพาณิชย์ที่เกาะไหหลำ ซึ่งเป็พื้นที่เพียงแห่งเดียวที่มีสภาพอากาศเหมาะสมต่อการปลูกผลไม้เขตร้อนชนิดนี้
    .
    จริง ๆ แล้ว จีนเริ่มมีการเพาะพันธุ์ทุเรียนอย่างจริงจังที่มณฑลไห่หนาน หรือ เกาะไหหลำเมื่อประมาณ 60 กว่าปีที่แล้ว คือในปี 2501 โดยมีการนำต้นกล้าทุเรียนจากประเทศมาเลเซียเข้ามาปลูกบนเกาะ แต่เนื่องจากเทคโนโลยีการปลูก และการคัดเลือกสายพันธุ์ทุเรียนในสมัยนั้นยังมีข้อจำกัด จึงมีต้นทุเรียนเพียงต้นเดียวเท่านั้นที่รอดมาได้ จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้หลังจากใช้ความพยายามมานานกว่า 60 ปี นักวิทยาศาสตร์และเกษตรกรของจีนได้ทำการผสมเกสรเทียม ปรับปรุงพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีการเกษตรในการปลูกทุเรียนจนประสบความสำเร็จ ทุกวันนี้ เกาะไหหลำมีพื้นที่ปลูกทุเรียนมากกว่า 10,000 ไร่ ให้ผลผลิตทุเรียนมากถึง 40,000 ตันต่อปี แต่ว่าก็ยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการนำเข้าทุเรียนของจีนที่คิดเป็นปริมาณมากกว่า 1 ล้าน 4 แสนตันต่อปี
    .
    คลิกฟัง Podcast บูรพาไม่แพ้ Ep.96 : ไหวไหม? ทุเรียน Made in China ท้าแข่งทุเรียนไทย
    >> https://www.youtube.com/watch?v=6khyvzCT5H0
    .
    .
    อ้างอิง :
    • Scientists find key nutrient missing in China-grown durian
    https://www.scmp.com/news/china/science/article/3291480/scientists-find-key-nutrient-missing-china-grown-durian
    • ภาพประกอบจากwww.xinhuathai.com
    พันธุ์เดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน! "ทุเรียนจีน" แพ้ "ทุเรียนไทย" กระจุย นักวิทย์จีนอึ้ง สารอาหารต่างกันลิบลับ . วันนี้ (22 ธ.ค.) สื่อเซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ ของฮ่องกงรายงานว่าจากผลการตรวจสอบสารอาหารของทุเรียนที่เพาะปลูกบนเกาะไหหลำ (มณฑลไห่หนาน) ของจีนนั้น พบว่ามีคุณค่าทางอาหารต่ำกว่าทุเรียนพันธุ์เดียวกันที่นำเข้าจากประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมาก . สำหรับการศึกษานี้เป็นการศึกษาครั้งแรก ๆ ในเรื่องนี้ นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรไหหลำยกตัวอย่างว่า "ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง" ที่ปลูกในประเทศจีนนั้นไม่มีสารเคอร์ซิติน (Quercetin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเลย ในขณะที่ทุเรียนหมอนทองที่ปลูกในไทยอุดมด้วยสารเคอร์ซิตินจำนวนมาก . นอกจากนี้ ทุเรียนที่ปลูกบนเกาะไหหลำพันธุ์เดียวที่มีสารเคอร์ซิตินอยู่บ้างคือ "ทุเรียนพันธุ์ก้านยาว" แต่สารเคอร์ซิตินที่มีนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าทุเรียนก้านยานที่ปลูกประะเทศไทยถึง 520 เท่า และต่ำกว่าพันธุ์หมอนทองของไทยถึง 540,000 เท่า ! . ในส่วนของกรดแกลลิก (Gallic Acid) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และต้านมะเร็ง นักวิจัยของจีนพบว่า ไม่พบสารดังกล่าวในพันธุ์ก้านยาวที่ปลูกในจีน ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาก่อนหน้านี้ แต่ระดับของกรดแกลลิกในพันธุ์หมอนทองนั้น “ต่ำกว่าระดับที่รายงานไว้ก่อนหน้านี้มาก” . ในขณะเดียวกัน ผลการศึกษาคุณค่าทางอาหารของ "ทุเรียนไทย" ในปี 2551 พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว "ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง" มีกรดแกลลิกราว 2,072 ไมโครกรัมต่อทุเรียน 100 กรัม ซึ่งสูงกว่าทุเรียนที่ปลูกในจีนซึ่งมีกรดแกลลิกเพียงแค่ 22.85 นาโนกรัม ถึง 906 เท่า . จาง จิง หัวหน้าคณะนักวิจัยจากสถาบันวิจัยซานย่าหนานฝานแห่งวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การเกษตรไหหลำ (海南大学南繁学院) ให้เหตุผลว่า “ความแตกต่างของสภาพอากาศและปริมาณแร่ธาตุและสารอาหารในดินอาจส่งผลต่อการสะสมสารอาหารในระหว่างกระบวนการเจริญเติบโตของทุเรียน โดยอาจส่งผลให้มีสารบางชนิดในปริมาณที่สูงขึ้น ในขณะที่บางชนิดอาจไม่มีเลย” เธอกล่าว . ในรายงานที่ตีพิมพ์ลงวารสารภาษาจีน Food and Fermentation Industries (食品与发酵工业) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา นักวิจัยระบุว่าสารต้านอนุมูลอิสระหลักที่พบในทุเรียน 3 ชนิดที่ศึกษา ได้แก่ พันธุ์หมอนทอง ก้านยาว และมูซังคิง ได้แก่ โพรไซยานิดิน บี 1, คาเทชิน และเคอร์ซิติน “ผลการศึกษาบ่งชี้ว่าก้านยาวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลองที่แข็งแกร่งที่สุด (จากทั้งสามชนิด)” นักวิจัยจีนระบุ . ปัจจุบันจีนถือเป็นประเทศผู้นำเข้าทุเรียนมากที่สุดในโลก โดยจีนนำเข้าทุเรียนมากถึง 95% ของทั่วโลก โดยต่อมาในปี 2561 จีนได้ดำเนินการเริ่มปลูกทุเรียนเชิงพาณิชย์ที่เกาะไหหลำ ซึ่งเป็พื้นที่เพียงแห่งเดียวที่มีสภาพอากาศเหมาะสมต่อการปลูกผลไม้เขตร้อนชนิดนี้ . จริง ๆ แล้ว จีนเริ่มมีการเพาะพันธุ์ทุเรียนอย่างจริงจังที่มณฑลไห่หนาน หรือ เกาะไหหลำเมื่อประมาณ 60 กว่าปีที่แล้ว คือในปี 2501 โดยมีการนำต้นกล้าทุเรียนจากประเทศมาเลเซียเข้ามาปลูกบนเกาะ แต่เนื่องจากเทคโนโลยีการปลูก และการคัดเลือกสายพันธุ์ทุเรียนในสมัยนั้นยังมีข้อจำกัด จึงมีต้นทุเรียนเพียงต้นเดียวเท่านั้นที่รอดมาได้ จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้หลังจากใช้ความพยายามมานานกว่า 60 ปี นักวิทยาศาสตร์และเกษตรกรของจีนได้ทำการผสมเกสรเทียม ปรับปรุงพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีการเกษตรในการปลูกทุเรียนจนประสบความสำเร็จ ทุกวันนี้ เกาะไหหลำมีพื้นที่ปลูกทุเรียนมากกว่า 10,000 ไร่ ให้ผลผลิตทุเรียนมากถึง 40,000 ตันต่อปี แต่ว่าก็ยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการนำเข้าทุเรียนของจีนที่คิดเป็นปริมาณมากกว่า 1 ล้าน 4 แสนตันต่อปี . คลิกฟัง Podcast บูรพาไม่แพ้ Ep.96 : ไหวไหม? ทุเรียน Made in China ท้าแข่งทุเรียนไทย >> https://www.youtube.com/watch?v=6khyvzCT5H0 . . อ้างอิง : • Scientists find key nutrient missing in China-grown durian https://www.scmp.com/news/china/science/article/3291480/scientists-find-key-nutrient-missing-china-grown-durian • ภาพประกอบจากwww.xinhuathai.com
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 706 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยูเครนวางระเบิดสังหารผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันนิวเคลียร์ของรัสเซียเสียชีวิต

    แถลงการณ์จากคณะกรรมการสอบสวนของสหพันธรัฐรัสเซียเปิดเผยว่า:
    เมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ เกิดเหตุระเบิดที่ถนน Ryazansky Prospekt ในกรุงมอสโก โดยมีอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องซุกซ่อนอยู่ในสกู๊ตเตอร์ ที่จอดอยู่ข้างทางเข้าอาคารที่พักอาศัย และเกิดการระเบิดขึ้นขณะ พล.ท.อิกอร์ คิริลลอฟ(Igor Kirillov) ผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันนิวเคลียร์ ชีวภาพ และเคมี (NBC - Chief of Nuclear, Chemical, and Biological Protection Troops of the Armed Forces of the Russian Federation) พร้อมผู้ช่วย กำลังออกจากที่พัก เป็นเหตุให้ทั้งสองคนเสียชีวิต

    คณะกรรมการสอบสวนรัสเซียได้ทำการเปิดการสอบสวนคดีอาญาที่กระทำต่อเจ้าหน้าที่รัฐ 2 รายแล้ว โดยพนักงานสอบสวน ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างการปฏิบัติงานในจุดที่เกิดเหตุ เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงทุกด้านของอาชญากรรมครั้งนี้
    .
    นายพลคิริลอฟ วัย 54 ปี ของรัสเซียเป็นผู้เปิดโปงกิจกรรมเกี่ยวกับห้องทดลองทางชีวภาพในยูเครนที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ โดยอ้างถึงเอกสารหลักฐานจำนวนมากที่พบในห้องปฏิบัติการของยูเครนระหว่างช่วงเริ่มต้นของปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซีย

    - ในเดือนมีนาคม 2022 คิริลอฟค้นพบเอกสารที่อ้างว่าห้องแล็บชีวภาพที่ได้รับเงินทุนจากกระทรวงกลาโหมในยูเครนกำลังพัฒนาอาวุธชีวภาพโดยใช้ค้างคาวและนก

    - เอกสารเหล่านี้แสดงให้เห็นการทดลองกับประชากรของยูเครน การทดสอบยา และการส่งออกตัวอย่างทางชีวภาพไปยังสหรัฐฯ เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

    - ในเดือนกันยายน 2023 เขาได้กล่าวหาเครือข่ายห้องแล็บชีวภาพของสหรัฐฯ ว่าเป็นภัยคุกคามทางชีวภาพ โดยอ้างถึงห้องแล็บผิดกฎหมายในแคลิฟอร์เนียที่เป็นแหล่งกักเก็บเชื้อโรค เช่น COVID-19, HIV และตับอักเสบ

    - ในเดือนมกราคม 2024 เขาได้กล่าวหาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ รวมถึง Gina Haspel, Alex Azar และ Anthony Fauci ว่าขัดขวางการสืบสวนแหล่งกำเนิดของ COVID-19

    - คิริลอฟกล่าวหาสหรัฐฯ และยูเครนหลายครั้งว่าละเมิดอนุสัญญาอาวุธชีวภาพและสารพิษ (BTWC)

    - คิริลอฟมีหลักฐานว่ายูเครนใช้อาวุธเคมี DM-105 ที่ดัดแปลงให้มีรูปร่างเหมือนระเบิดควันเพื่อใช้ใน Sudzha ภูมิภาค Kursk ของรัสเซีย เมื่อเดือนสิงหาคม 2024

    - เขาเตือนว่าเคียฟอาจจัดฉากในการใช้ “dirty bomb” โดยฝึกบุคลากรให้ผลิตและจุดชนวนอุปกรณ์ดังกล่าวในพื้นที่ที่มีประชากร

    - คิริลอฟอยู่ในรายชื่อบุคคลที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดของยูเครนเนื่องจากมีบทบาทในปฏิบัติการพิเศษทางทหาร
    ยูเครนวางระเบิดสังหารผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันนิวเคลียร์ของรัสเซียเสียชีวิต แถลงการณ์จากคณะกรรมการสอบสวนของสหพันธรัฐรัสเซียเปิดเผยว่า: เมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ เกิดเหตุระเบิดที่ถนน Ryazansky Prospekt ในกรุงมอสโก โดยมีอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องซุกซ่อนอยู่ในสกู๊ตเตอร์ ที่จอดอยู่ข้างทางเข้าอาคารที่พักอาศัย และเกิดการระเบิดขึ้นขณะ พล.ท.อิกอร์ คิริลลอฟ(Igor Kirillov) ผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันนิวเคลียร์ ชีวภาพ และเคมี (NBC - Chief of Nuclear, Chemical, and Biological Protection Troops of the Armed Forces of the Russian Federation) พร้อมผู้ช่วย กำลังออกจากที่พัก เป็นเหตุให้ทั้งสองคนเสียชีวิต คณะกรรมการสอบสวนรัสเซียได้ทำการเปิดการสอบสวนคดีอาญาที่กระทำต่อเจ้าหน้าที่รัฐ 2 รายแล้ว โดยพนักงานสอบสวน ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างการปฏิบัติงานในจุดที่เกิดเหตุ เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงทุกด้านของอาชญากรรมครั้งนี้ . นายพลคิริลอฟ วัย 54 ปี ของรัสเซียเป็นผู้เปิดโปงกิจกรรมเกี่ยวกับห้องทดลองทางชีวภาพในยูเครนที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ โดยอ้างถึงเอกสารหลักฐานจำนวนมากที่พบในห้องปฏิบัติการของยูเครนระหว่างช่วงเริ่มต้นของปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซีย - ในเดือนมีนาคม 2022 คิริลอฟค้นพบเอกสารที่อ้างว่าห้องแล็บชีวภาพที่ได้รับเงินทุนจากกระทรวงกลาโหมในยูเครนกำลังพัฒนาอาวุธชีวภาพโดยใช้ค้างคาวและนก - เอกสารเหล่านี้แสดงให้เห็นการทดลองกับประชากรของยูเครน การทดสอบยา และการส่งออกตัวอย่างทางชีวภาพไปยังสหรัฐฯ เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง - ในเดือนกันยายน 2023 เขาได้กล่าวหาเครือข่ายห้องแล็บชีวภาพของสหรัฐฯ ว่าเป็นภัยคุกคามทางชีวภาพ โดยอ้างถึงห้องแล็บผิดกฎหมายในแคลิฟอร์เนียที่เป็นแหล่งกักเก็บเชื้อโรค เช่น COVID-19, HIV และตับอักเสบ - ในเดือนมกราคม 2024 เขาได้กล่าวหาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ รวมถึง Gina Haspel, Alex Azar และ Anthony Fauci ว่าขัดขวางการสืบสวนแหล่งกำเนิดของ COVID-19 - คิริลอฟกล่าวหาสหรัฐฯ และยูเครนหลายครั้งว่าละเมิดอนุสัญญาอาวุธชีวภาพและสารพิษ (BTWC) - คิริลอฟมีหลักฐานว่ายูเครนใช้อาวุธเคมี DM-105 ที่ดัดแปลงให้มีรูปร่างเหมือนระเบิดควันเพื่อใช้ใน Sudzha ภูมิภาค Kursk ของรัสเซีย เมื่อเดือนสิงหาคม 2024 - เขาเตือนว่าเคียฟอาจจัดฉากในการใช้ “dirty bomb” โดยฝึกบุคลากรให้ผลิตและจุดชนวนอุปกรณ์ดังกล่าวในพื้นที่ที่มีประชากร - คิริลอฟอยู่ในรายชื่อบุคคลที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดของยูเครนเนื่องจากมีบทบาทในปฏิบัติการพิเศษทางทหาร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 376 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดกองปัญหาเรื้อรัง 10 ปี @กบินทร์บุรี ว่าด้วยการลอบทิ้งกากยิปซัม ...“เขาเอาคนในชุมชนมาเป็นยามที่นี่ (โรงงาน) และให้ยามไปบอกชาวบ้านว่าเป็นการก่อสร้างโรงงานปุ๋ย แล้วก็ให้ชาวบ้านมารับปุ๋ยฟรี โดยที่เอาบัตรประชาชนมายื่น” ชาวบ้านรายหนึ่งเล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อน.นั่นคือช่วงประมาณปี พ.ศ. 2557 โรงงานที่พูดถึงเป็นของบริษัท จีเอ็มไบโอเทค จำกัด เป็นโรงงานผลิตสารปรับปรุงดิน ได้เข้าเริ่มดำเนินกิจการที่ ต.หาดนางแก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี .ในขณะนั้นมีการประกาศให้ชาวบ้านในพื้นที่เข้ามาขนกากยิปซัมจากโรงงาน ไปใช้สำหรับทำปุ๋ยในการเกษตร ซึ่งมีผู้หลงเชื่อจำนวนไม่น้อยกระทั่งต่อมาจึงเริ่มมีข้อมูลว่า แท้จริงแล้วทางโรงงานได้ลักลอบนำกองยิปซัมมาทิ้งไว้ที่บริเวณ ม.5 ต.ลาดตะเคียน นั้น แต่เมื่อมีการร้องเรียนจากชาวบ้าน จึงได้มีการบอกให้ชาวบ้านสามารถมารับกากยิปซัมไปได้ โดยให้เหตุผลว่ากากยิปซัมเป็นปุ๋ย สามารถฆ่าเชื้อและแบคทีเรียในดิน.เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีชาวบ้าน ม.5 และพื้นที่ใกล้เคียง จำนวนร่วม 100 คน ที่นำรถไปขนกากยิปซัมจากโรงงานจีเอ็มไบโอเทคฯ เพื่อไปใช้เป็นปุ๋ยในที่ดินของตน ตามที่โรงงานกล่าวอ้าง .“เราเอาไปใส่ที่ไร่มันเรา ไปกระจายออกลำบากมากมันหนัก พอเสร็จปุ๊ปเราปลูกผลผลิต คือปลูกมันเรานี่แหละ มันไม่งาม ต้นมันเราก็เหลือง สุดท้ายก็เน่า” ชาวบ้านถึงเหตุการณ์หลังจากนำกากยิปซัมเข้ามาใช้ทำปุ๋ยในไร่มันปะหลังของตน ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการปุ๋ยจากโรงงานแห่งนี้อีก.แต่กองกากยิปซัมดังกล่าวยังคงกองอยู่ในพื้นที่ยาวนานเป็นเวลาถึง 10 ปีแล้ว โดยมีจำนวนมาก กองสูงเกินกว่ารถสิบล้อ. “เหม็น..!! เวียนหัว แสบคอ ลมพัดแรงๆ เหม็นจนนอนไม่ได้ กลิ่นเหม็นเน่าๆ แสบคันตามผิวหนัง พอเกาก็จะเป็นผื่น” คือคำบรรยายของคนพื้นที่เมื่อถูกถามถึงผลกระทบที่ได้รับตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จากการมีกากยิปซัมจำนวนมหาศาลมากองทิ้งไว้ห่างจากบ้านของตนเพียง 100 – 200 เมตร.ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้นที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากกองยิปซัมที่โรงงานจีเอ็มไบโอเทคฯ ทิ้งไว้ แม้กระทั่งวัวควายที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ยังได้รับผลกระทบด้วย.ชาวบ้านเล่าว่า ในยามที่ฝนตกชะยิปซัมลงไปในพื้นที่ใกล้เคียง วัวควายเดินไปเหยียบถึงกับเล็บเท้าหลุด.จากข้อมูลที่ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศรวบรวมมา พบว่า ยิปซัมอาจแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1) ยิปซัมที่เกิดตามธรรมชาติจากการตกตะกอนของทะเลเก่า 2) ยิปซัมที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการของอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ย กากของเสียจากกระบวนการผลิตกรดมะนาว เป็นต้น .ยิปซัม แม้จะประโยชน์ทางการเกษตร ช่วยแก้ปัญหาดินเค็มได้ แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่มาก การใช้ยิปซัมมากเกินไปในการเกษตรอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของดินและปัญหาสิ่งแวดล้อม อาจทำให้มีค่าความเป็นกรดสูง เกิดสภาวะดินเปรี้ยว ดินไม่เหมาะสมกับการทำการเกษตร.ที่สำคัญคือ ควรต้องมีการตรวจสอบปริมาณการปนเปื้อนของสารอันตรายเช่น ปริมาณโลหะหนักก่อนนำไปใช้.นอกจากนี้ ยิปซัมในรูปแบบผงยังเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ และบุคคลอาจมีอาการแพ้หรือมีความไวทางผิวหนังต่อยิปซัม การสัมผัสทางผิวหนังกับผลิตภัณฑ์ยิปซัมเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบหรือปัญหาผิวหนังอื่นๆ.ยิปซัมมีปริมาณซัลเฟตสูง การรวมของเสียที่มีปริมาณซัลเฟตสูงกับของเสียที่ย่อยสลายได้จะก่อให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่มีพิษสูงและมีกลิ่นเหม็นด้วย เหตุนี้ยิปซัมจึงถูกห้ามไม่ให้นำไปฝังกลบและต้องกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม ตามประการกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว.การกองกากยิปซัมทิ้งไว้นานเป็นเวลา 10 ปี ของบริษัท จีเอ็มไบโอเทค จำกัด เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกระบวนการกำจัดของเสียของกระทรวงอุตสาหกรรม และยังสร้างความเดือดร้อนรำคราญแก่ชาวบ้านละแวกใกล้เคียง การใช้วิธียืมมือชาวบ้านหลอกทิ้งกากอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการเป็นคนผลิตขึ้น เป็นวิธีที่ไร้ความรับผิดชอบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม .อีกแง่หนึ่ง เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านที่เดือดร้อนกลุ่มนี้ เดินทางไปร้องเรียนกับหลายหน่วยงาน เช่น ศูนย์ดำรงธรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี แต่ปัจจุบันยังต้องเผชิญกับความเดือดร้อนจากเรื่องดังกล่าวอยู่ และไม่มีวี่แววจะดีขึ้นเลย......เรื่องและภาพถ่ายโดย เจ้าหน้าที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ
    เปิดกองปัญหาเรื้อรัง 10 ปี @กบินทร์บุรี ว่าด้วยการลอบทิ้งกากยิปซัม ...“เขาเอาคนในชุมชนมาเป็นยามที่นี่ (โรงงาน) และให้ยามไปบอกชาวบ้านว่าเป็นการก่อสร้างโรงงานปุ๋ย แล้วก็ให้ชาวบ้านมารับปุ๋ยฟรี โดยที่เอาบัตรประชาชนมายื่น” ชาวบ้านรายหนึ่งเล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อน.นั่นคือช่วงประมาณปี พ.ศ. 2557 โรงงานที่พูดถึงเป็นของบริษัท จีเอ็มไบโอเทค จำกัด เป็นโรงงานผลิตสารปรับปรุงดิน ได้เข้าเริ่มดำเนินกิจการที่ ต.หาดนางแก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี .ในขณะนั้นมีการประกาศให้ชาวบ้านในพื้นที่เข้ามาขนกากยิปซัมจากโรงงาน ไปใช้สำหรับทำปุ๋ยในการเกษตร ซึ่งมีผู้หลงเชื่อจำนวนไม่น้อยกระทั่งต่อมาจึงเริ่มมีข้อมูลว่า แท้จริงแล้วทางโรงงานได้ลักลอบนำกองยิปซัมมาทิ้งไว้ที่บริเวณ ม.5 ต.ลาดตะเคียน นั้น แต่เมื่อมีการร้องเรียนจากชาวบ้าน จึงได้มีการบอกให้ชาวบ้านสามารถมารับกากยิปซัมไปได้ โดยให้เหตุผลว่ากากยิปซัมเป็นปุ๋ย สามารถฆ่าเชื้อและแบคทีเรียในดิน.เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีชาวบ้าน ม.5 และพื้นที่ใกล้เคียง จำนวนร่วม 100 คน ที่นำรถไปขนกากยิปซัมจากโรงงานจีเอ็มไบโอเทคฯ เพื่อไปใช้เป็นปุ๋ยในที่ดินของตน ตามที่โรงงานกล่าวอ้าง .“เราเอาไปใส่ที่ไร่มันเรา ไปกระจายออกลำบากมากมันหนัก พอเสร็จปุ๊ปเราปลูกผลผลิต คือปลูกมันเรานี่แหละ มันไม่งาม ต้นมันเราก็เหลือง สุดท้ายก็เน่า” ชาวบ้านถึงเหตุการณ์หลังจากนำกากยิปซัมเข้ามาใช้ทำปุ๋ยในไร่มันปะหลังของตน ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการปุ๋ยจากโรงงานแห่งนี้อีก.แต่กองกากยิปซัมดังกล่าวยังคงกองอยู่ในพื้นที่ยาวนานเป็นเวลาถึง 10 ปีแล้ว โดยมีจำนวนมาก กองสูงเกินกว่ารถสิบล้อ. “เหม็น..!! เวียนหัว แสบคอ ลมพัดแรงๆ เหม็นจนนอนไม่ได้ กลิ่นเหม็นเน่าๆ แสบคันตามผิวหนัง พอเกาก็จะเป็นผื่น” คือคำบรรยายของคนพื้นที่เมื่อถูกถามถึงผลกระทบที่ได้รับตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จากการมีกากยิปซัมจำนวนมหาศาลมากองทิ้งไว้ห่างจากบ้านของตนเพียง 100 – 200 เมตร.ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้นที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากกองยิปซัมที่โรงงานจีเอ็มไบโอเทคฯ ทิ้งไว้ แม้กระทั่งวัวควายที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ยังได้รับผลกระทบด้วย.ชาวบ้านเล่าว่า ในยามที่ฝนตกชะยิปซัมลงไปในพื้นที่ใกล้เคียง วัวควายเดินไปเหยียบถึงกับเล็บเท้าหลุด.จากข้อมูลที่ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศรวบรวมมา พบว่า ยิปซัมอาจแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1) ยิปซัมที่เกิดตามธรรมชาติจากการตกตะกอนของทะเลเก่า 2) ยิปซัมที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการของอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ย กากของเสียจากกระบวนการผลิตกรดมะนาว เป็นต้น .ยิปซัม แม้จะประโยชน์ทางการเกษตร ช่วยแก้ปัญหาดินเค็มได้ แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่มาก การใช้ยิปซัมมากเกินไปในการเกษตรอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของดินและปัญหาสิ่งแวดล้อม อาจทำให้มีค่าความเป็นกรดสูง เกิดสภาวะดินเปรี้ยว ดินไม่เหมาะสมกับการทำการเกษตร.ที่สำคัญคือ ควรต้องมีการตรวจสอบปริมาณการปนเปื้อนของสารอันตรายเช่น ปริมาณโลหะหนักก่อนนำไปใช้.นอกจากนี้ ยิปซัมในรูปแบบผงยังเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ และบุคคลอาจมีอาการแพ้หรือมีความไวทางผิวหนังต่อยิปซัม การสัมผัสทางผิวหนังกับผลิตภัณฑ์ยิปซัมเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบหรือปัญหาผิวหนังอื่นๆ.ยิปซัมมีปริมาณซัลเฟตสูง การรวมของเสียที่มีปริมาณซัลเฟตสูงกับของเสียที่ย่อยสลายได้จะก่อให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่มีพิษสูงและมีกลิ่นเหม็นด้วย เหตุนี้ยิปซัมจึงถูกห้ามไม่ให้นำไปฝังกลบและต้องกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม ตามประการกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว.การกองกากยิปซัมทิ้งไว้นานเป็นเวลา 10 ปี ของบริษัท จีเอ็มไบโอเทค จำกัด เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกระบวนการกำจัดของเสียของกระทรวงอุตสาหกรรม และยังสร้างความเดือดร้อนรำคราญแก่ชาวบ้านละแวกใกล้เคียง การใช้วิธียืมมือชาวบ้านหลอกทิ้งกากอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการเป็นคนผลิตขึ้น เป็นวิธีที่ไร้ความรับผิดชอบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม .อีกแง่หนึ่ง เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านที่เดือดร้อนกลุ่มนี้ เดินทางไปร้องเรียนกับหลายหน่วยงาน เช่น ศูนย์ดำรงธรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี แต่ปัจจุบันยังต้องเผชิญกับความเดือดร้อนจากเรื่องดังกล่าวอยู่ และไม่มีวี่แววจะดีขึ้นเลย......เรื่องและภาพถ่ายโดย เจ้าหน้าที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 461 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10/12/67

    แพ้อาหาร

    กุ้ง

    อาการแพ้กุ้งกับสาเหตุที่หลายคนอาจไม่รู้

    อาการแพ้กุ้งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นลมพิษ ผื่นคัน หน้าบวม หรือหายใจติดขัด อาการเหล่านี้เป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองรุนแรงกว่าปกติ

    ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยอาการแพ้มีตั้งแต่ระดับไม่รุนแรงไปจนถึงขั้นเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม อาการแพ้กุ้งอาจบรรเทาและป้องกันได้หลายวิธี
    อย่างที่กล่าวไปว่า อาการแพ้กุ้งเกิดจากภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองมากกว่าปกติ โดยร่างกายมองว่าสารบางอย่างในตัวกุ้งเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงกระตุ้นการหลั่งสารเคมีเพื่อมากำจัดสารชนิดนั้น ซึ่งการต่อสู้กันระหว่างสารและร่างกายจะทำให้เกิดอาการผิดปกติตามมา

    อาการแพ้กุ้งเป็นอย่างไร ?
    โดยทั่วไป อาการแพ้อาหารนั้นเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ โดยอาจเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหารในทันทีหรือเกิดขึ้นหลังรับประทานไปหลายชั่วโมง ซึ่งลักษณะอาการที่เกิดขึ้นอาจแบ่งได้ ดังนี้

    * ผิวหนัง
อาการแพ้ในรูปแบบนี้มักเห็นได้ชัด อย่างลมพิษ ผื่นแดง คัน พบอาการบวม โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก และคอ

    * ระบบทางเดินหายใจ
เนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณคอที่บวมมากขึ้นอาจส่งผลให้หายใจไม่สะดวก รวมถึงสารฮิสตามีนที่หลั่งออกมาจะส่งผลให้มีอาการไอ น้ำมูกไหล คัดจมูก หรือหายใจลำบาก

    * ลำไส้และกระเพาะอาหาร
อาการแพ้อาจส่งผลให้ผู้ป่วยคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว และปวดท้อง

    * ระบบประสาท
อาการแพ้อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน หน้ามืด และเป็นลมได้

    * ภาวะปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง
ปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) เป็นภาวะที่พบได้น้อย แต่เป็นภาวะที่อันตรายจนอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยภาวะนี้จะส่งผลให้หายใจไม่ออก หน้ามืด ชีพจรเต้นเร็ว ความดันเลือดลดต่ำลง ช็อก หมดสติ และเสียชีวิต ดังนั้น หากปรากฏสัญญาณของปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงให้โทรเรียกรถพยาบาลทันที

    แม้ความรุนแรงของอาการแพ้กุ้งอาจขึ้นอยู่ปริมาณที่รับประทาน แต่ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะการได้รับสารก่ออาการแพ้เพียงเล็กน้อยในผู้ที่มีอาการแพ้กุ้งบางรายก็อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงตามมาได้

    เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการแพ้กุ้ง
    เมื่อเกิดอาการผิดปกติภายหลังจากการรับประทานกุ้ง คนส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็นอาการที่เกิดมาจากการแพ้กุ้ง

    ซึ่งแท้จริงแล้วอาจเป็นการแพ้สารในกุ้งโดยตรง หรือแพ้สารที่เกิดจากอาหารที่ใช้เลี้ยงกุ้งก็ได้ ส่วนใหญ่แล้ว อาการแพ้กุ้งของคนไทยมักเกิดจากสารฮีโมไซยานิน (Hemocyanin) ที่อยู่ในกุ้งแม่น้ำหรือกุ้งก้ามกราม สารโปรตีนลิพิดไบน์ดิง (Lipid-binding Protein) และโปรตีนแอลฟาแอกตินิน (Alpha-actinin Protein) ที่อยู่ในกุ้งกุลาดำหรือกุ้งลายเสือ

    โดยสารเหล่านี้เป็นสารที่อยู่ภายในตัวกุ้งโดยตรง แต่ในบางกรณี สารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้อาจมาอาหารที่ใช้เพาะเลี้ยงกุ้ง จึงอาจทำให้บางคนแพ้กุ้งเพียงบางครั้ง เนื่องจากรับประทานกุ้งที่มาจากคนละแหล่งกัน

    หลายคนอาจสงสัยว่าตอนเด็กไม่เคยมีอาการแพ้กุ้งมาก่อน แต่กลับมามีอาการแพ้กุ้งในตอนโต โดยสาเหตุอาจมาจากการสะสมสารก่ออาการแพ้มาตั้งแต่เด็ก จนเมื่อมีการกระตุ้นมากขึ้นจึงส่งผลให้เกิดอาการแพ้ได้

    รวมถึงบางคนที่แพ้กุ้งเพียงบางชนิดก็อาจเกิดจากสารภายในตัวกุ้งที่แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ อย่างกุ้งน้ำจืดและกุ้งน้ำเค็ม ขณะที่บางคนอาจแพ้โปรตีนทีอยู่ในเปลือกของกุ้ง ซึ่งมักจะมีอาการแพ้สัตว์มีกระดองหรือแพ้อาหารทะเลชนิดอื่น อย่างปู หอย หรือปลาหมึกร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม ในบางรายก็สามารถรับประทานอาหารทะเลชนิดอื่นได้ปกติ

    นอกจากนี้ อาการแพ้ที่หลายคนคิดว่าเกิดจากการรับประทานกุ้งยังอาจมาจากสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดอาการคล้ายกันได้ เช่น อาหารเป็นพิษ โรคลำไส้อักเสบ โรคมะเร็งลำไส้ หรือความรู้สึกกลัวอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง เป็นต้น

    อาการแพ้กุ้งรับมือได้
    การรับมือกับอาการแพ้กุ้งหรือการแพ้อาหารที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารชนิดนั้น ๆ เพื่อป้องกันอาการแพ้ จึงควรใส่ใจที่จะอ่านฉลากอาหารก่อนรับประทานทุกครั้ง

    ถ้าหากรับประทานไปแล้วเกิดอาการแพ้ในระดับที่ไม่รุนแรงอาจใช้ยาแก้แพ้เพื่อบรรเทาอาการได้

    สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรง มีอาการเวียนศีรษะ ความดันต่ำ หรือรู้สึกคล้ายจะหมดสติ ควรเรียกรถพยาบาลทันที สำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้รุนแรง แพทย์อาจสั่งจ่ายยา✅อิพิเนฟริน (Epinephrin) ในรูปเข็มฉีดสำหรับรูปไว้ใช้เมื่อเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง โดยหลังจากฉีดควรไปโรงพยาบาลทันที

    นอกจากนี้ ผู้ที่เคยมีประวัติการแพ้กุ้ง อาหารทะเล หรืออาหารอื่น ๆ อย่างรุนแรง ควรอยู่ให้ห่างจากแหล่งที่มีของที่แพ้จำหน่าย อย่างตลาด ร้านอาหารทะเล หรือโรงงาน เนื่องจากการสูดดมสารก่ออาการแพ้ที่ลอยอยู่ในอากาศก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้

    อย่างไรก็ตาม หากหาสาเหตุของการแพ้ไม่ได้ ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจหาสารก่ออาการแพ้ด้วยวิธีทางการแพทย์
    cr:POBPOD





    10/12/67 แพ้อาหาร กุ้ง อาการแพ้กุ้งกับสาเหตุที่หลายคนอาจไม่รู้ อาการแพ้กุ้งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นลมพิษ ผื่นคัน หน้าบวม หรือหายใจติดขัด อาการเหล่านี้เป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองรุนแรงกว่าปกติ ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยอาการแพ้มีตั้งแต่ระดับไม่รุนแรงไปจนถึงขั้นเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม อาการแพ้กุ้งอาจบรรเทาและป้องกันได้หลายวิธี อย่างที่กล่าวไปว่า อาการแพ้กุ้งเกิดจากภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองมากกว่าปกติ โดยร่างกายมองว่าสารบางอย่างในตัวกุ้งเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงกระตุ้นการหลั่งสารเคมีเพื่อมากำจัดสารชนิดนั้น ซึ่งการต่อสู้กันระหว่างสารและร่างกายจะทำให้เกิดอาการผิดปกติตามมา อาการแพ้กุ้งเป็นอย่างไร ? โดยทั่วไป อาการแพ้อาหารนั้นเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ โดยอาจเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหารในทันทีหรือเกิดขึ้นหลังรับประทานไปหลายชั่วโมง ซึ่งลักษณะอาการที่เกิดขึ้นอาจแบ่งได้ ดังนี้ * ผิวหนัง
อาการแพ้ในรูปแบบนี้มักเห็นได้ชัด อย่างลมพิษ ผื่นแดง คัน พบอาการบวม โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก และคอ * ระบบทางเดินหายใจ
เนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณคอที่บวมมากขึ้นอาจส่งผลให้หายใจไม่สะดวก รวมถึงสารฮิสตามีนที่หลั่งออกมาจะส่งผลให้มีอาการไอ น้ำมูกไหล คัดจมูก หรือหายใจลำบาก * ลำไส้และกระเพาะอาหาร
อาการแพ้อาจส่งผลให้ผู้ป่วยคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว และปวดท้อง * ระบบประสาท
อาการแพ้อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน หน้ามืด และเป็นลมได้ * ภาวะปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง
ปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) เป็นภาวะที่พบได้น้อย แต่เป็นภาวะที่อันตรายจนอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยภาวะนี้จะส่งผลให้หายใจไม่ออก หน้ามืด ชีพจรเต้นเร็ว ความดันเลือดลดต่ำลง ช็อก หมดสติ และเสียชีวิต ดังนั้น หากปรากฏสัญญาณของปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงให้โทรเรียกรถพยาบาลทันที แม้ความรุนแรงของอาการแพ้กุ้งอาจขึ้นอยู่ปริมาณที่รับประทาน แต่ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะการได้รับสารก่ออาการแพ้เพียงเล็กน้อยในผู้ที่มีอาการแพ้กุ้งบางรายก็อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงตามมาได้ เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการแพ้กุ้ง เมื่อเกิดอาการผิดปกติภายหลังจากการรับประทานกุ้ง คนส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็นอาการที่เกิดมาจากการแพ้กุ้ง ซึ่งแท้จริงแล้วอาจเป็นการแพ้สารในกุ้งโดยตรง หรือแพ้สารที่เกิดจากอาหารที่ใช้เลี้ยงกุ้งก็ได้ ส่วนใหญ่แล้ว อาการแพ้กุ้งของคนไทยมักเกิดจากสารฮีโมไซยานิน (Hemocyanin) ที่อยู่ในกุ้งแม่น้ำหรือกุ้งก้ามกราม สารโปรตีนลิพิดไบน์ดิง (Lipid-binding Protein) และโปรตีนแอลฟาแอกตินิน (Alpha-actinin Protein) ที่อยู่ในกุ้งกุลาดำหรือกุ้งลายเสือ โดยสารเหล่านี้เป็นสารที่อยู่ภายในตัวกุ้งโดยตรง แต่ในบางกรณี สารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้อาจมาอาหารที่ใช้เพาะเลี้ยงกุ้ง จึงอาจทำให้บางคนแพ้กุ้งเพียงบางครั้ง เนื่องจากรับประทานกุ้งที่มาจากคนละแหล่งกัน หลายคนอาจสงสัยว่าตอนเด็กไม่เคยมีอาการแพ้กุ้งมาก่อน แต่กลับมามีอาการแพ้กุ้งในตอนโต โดยสาเหตุอาจมาจากการสะสมสารก่ออาการแพ้มาตั้งแต่เด็ก จนเมื่อมีการกระตุ้นมากขึ้นจึงส่งผลให้เกิดอาการแพ้ได้ รวมถึงบางคนที่แพ้กุ้งเพียงบางชนิดก็อาจเกิดจากสารภายในตัวกุ้งที่แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ อย่างกุ้งน้ำจืดและกุ้งน้ำเค็ม ขณะที่บางคนอาจแพ้โปรตีนทีอยู่ในเปลือกของกุ้ง ซึ่งมักจะมีอาการแพ้สัตว์มีกระดองหรือแพ้อาหารทะเลชนิดอื่น อย่างปู หอย หรือปลาหมึกร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม ในบางรายก็สามารถรับประทานอาหารทะเลชนิดอื่นได้ปกติ นอกจากนี้ อาการแพ้ที่หลายคนคิดว่าเกิดจากการรับประทานกุ้งยังอาจมาจากสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดอาการคล้ายกันได้ เช่น อาหารเป็นพิษ โรคลำไส้อักเสบ โรคมะเร็งลำไส้ หรือความรู้สึกกลัวอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง เป็นต้น อาการแพ้กุ้งรับมือได้ การรับมือกับอาการแพ้กุ้งหรือการแพ้อาหารที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารชนิดนั้น ๆ เพื่อป้องกันอาการแพ้ จึงควรใส่ใจที่จะอ่านฉลากอาหารก่อนรับประทานทุกครั้ง ถ้าหากรับประทานไปแล้วเกิดอาการแพ้ในระดับที่ไม่รุนแรงอาจใช้ยาแก้แพ้เพื่อบรรเทาอาการได้ สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรง มีอาการเวียนศีรษะ ความดันต่ำ หรือรู้สึกคล้ายจะหมดสติ ควรเรียกรถพยาบาลทันที สำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้รุนแรง แพทย์อาจสั่งจ่ายยา✅อิพิเนฟริน (Epinephrin) ในรูปเข็มฉีดสำหรับรูปไว้ใช้เมื่อเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง โดยหลังจากฉีดควรไปโรงพยาบาลทันที นอกจากนี้ ผู้ที่เคยมีประวัติการแพ้กุ้ง อาหารทะเล หรืออาหารอื่น ๆ อย่างรุนแรง ควรอยู่ให้ห่างจากแหล่งที่มีของที่แพ้จำหน่าย อย่างตลาด ร้านอาหารทะเล หรือโรงงาน เนื่องจากการสูดดมสารก่ออาการแพ้ที่ลอยอยู่ในอากาศก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ อย่างไรก็ตาม หากหาสาเหตุของการแพ้ไม่ได้ ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจหาสารก่ออาการแพ้ด้วยวิธีทางการแพทย์ cr:POBPOD
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 459 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.สุรัตน์ ตันประเวช เปิดภาพเอกซเรย์ “น้องผิง” นักร้องสาวรถแห่ ไม่พบกระดูกกดทับสันหลัง หวั่นสาเหตุการเสียชีวิตอาจไม่ใช่การนวด

    จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่นักร้องสาว "ผิง ชญาดา กีตาร์เรคคอร์ด" เสียชีวิตเนื่องจากไปนวดแล้วหมอนวดบิดที่คอ ได้รับผลกระทบต่อร่างกายถึงขั้นขยับตัวไม่ได้ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

    ล่าสุด วันนี้ (9 ธ.ค.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.สุรัตน์ ตันประเวชโพสต์ข้อความผ่านเพจสาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์ โดยระบุว่า “มีข่าวแจ้งว่า คนไข้ ที่เสียชีวิต อาจไม่ใช่จากการนวดนะครับ เห็นว่า น่าจะมีอักเสบและติดเชื้อ

    x ray ไม่พบมีกระดูกกดสันหลัง* กรณีน้องไปนวดแล้วเสียชีวิต คนกลัวจัด ใจเย็น นะทุกคน ฟังจารย์ก่อน

    1. ปกติ คน train นวด อาชีพ เค้าไม่กดจนกระดูกหักแบบนั้นและไม่นวดคอที่มีเส้นเลือด

    2. จาก x ray กระดูกโดนกด ผิดรูปจริง แสดงว่า โดนกดหรือบิดแรงมากๆๆ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000118090

    #MGROnline #หมอนวด #บิดคอ #อักเสบ #ติดเชื้อ
    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.สุรัตน์ ตันประเวช เปิดภาพเอกซเรย์ “น้องผิง” นักร้องสาวรถแห่ ไม่พบกระดูกกดทับสันหลัง หวั่นสาเหตุการเสียชีวิตอาจไม่ใช่การนวด • จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่นักร้องสาว "ผิง ชญาดา กีตาร์เรคคอร์ด" เสียชีวิตเนื่องจากไปนวดแล้วหมอนวดบิดที่คอ ได้รับผลกระทบต่อร่างกายถึงขั้นขยับตัวไม่ได้ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น • ล่าสุด วันนี้ (9 ธ.ค.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.สุรัตน์ ตันประเวชโพสต์ข้อความผ่านเพจสาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์ โดยระบุว่า “มีข่าวแจ้งว่า คนไข้ ที่เสียชีวิต อาจไม่ใช่จากการนวดนะครับ เห็นว่า น่าจะมีอักเสบและติดเชื้อ • x ray ไม่พบมีกระดูกกดสันหลัง* กรณีน้องไปนวดแล้วเสียชีวิต คนกลัวจัด ใจเย็น นะทุกคน ฟังจารย์ก่อน 1. ปกติ คน train นวด อาชีพ เค้าไม่กดจนกระดูกหักแบบนั้นและไม่นวดคอที่มีเส้นเลือด 2. จาก x ray กระดูกโดนกด ผิดรูปจริง แสดงว่า โดนกดหรือบิดแรงมากๆๆ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000118090 • #MGROnline #หมอนวด #บิดคอ #อักเสบ #ติดเชื้อ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts