• “SD Card ไม่อ่านบน Android? วิธีแก้แบบง่าย ๆ ที่คุณทำได้เอง พร้อมทางเลือกซ่อมระบบแบบไม่ล้างข้อมูล”

    หลายคนใช้ SD Card เพื่อเก็บภาพ วิดีโอ และไฟล์สำคัญในมือถือ Android แต่เมื่อวันหนึ่งมือถือกลับไม่สามารถอ่านการ์ดได้ ความเครียดก็มาเยือนทันที บทความนี้จึงรวบรวมวิธีแก้ปัญหา “Android ไม่อ่าน SD Card” ทั้งแบบพื้นฐานและแบบใช้เครื่องมือซ่อมระบบ โดยไม่ต้องล้างข้อมูลหรือฟอร์แมตการ์ดให้เสี่ยงสูญเสียไฟล์

    สาเหตุที่มือถือไม่อ่าน SD Card มีหลายอย่าง เช่น การ์ดมีฝุ่นหรือเสียหายทางกายภาพ, การใส่การ์ดไม่แน่น, ฟอร์แมตไม่รองรับ, หรือการถอดการ์ดแบบไม่ปลอดภัย รวมถึงแอปบางตัวที่อาจทำให้การ์ดเสียหายได้

    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่:
    รีสตาร์ทเครื่องเพื่อเคลียร์ข้อผิดพลาดชั่วคราว
    ถอดการ์ดแล้วใส่ใหม่ให้แน่น
    ทดสอบการ์ดกับอุปกรณ์อื่นเพื่อดูว่าเป็นปัญหาที่การ์ดหรือมือถือ
    ล้างหน้าสัมผัสของการ์ดเบา ๆ เพื่อให้เชื่อมต่อได้ดีขึ้น

    หากวิธีพื้นฐานไม่ช่วย แนะนำให้ใช้เครื่องมือซ่อมระบบ Android เช่น Dr.Fone – System Repair (Android) ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้มากกว่า 150 รูปแบบ เช่น ค้างโลโก้, boot loop, แอปเด้ง โดยใช้ “Standard Mode” ที่ไม่ลบข้อมูล และสามารถดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ที่ถูกต้องให้อัตโนมัติ

    Dr.Fone รองรับมือถือ Android ตั้งแต่เวอร์ชัน 2.1 ขึ้นไป รวมถึงรุ่นใหม่ ๆ ของ Samsung และแบรนด์อื่น ๆ ทั้งแบบปลดล็อกและจากผู้ให้บริการ เช่น AT&T, Verizon, Vodafone

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    สาเหตุที่ Android ไม่อ่าน SD Card ได้แก่ ฝุ่น, ใส่ไม่แน่น, ฟอร์แมตไม่รองรับ, การ์ดเสีย
    การถอดการ์ดแบบไม่ปลอดภัยหรือแอปบางตัวอาจทำให้การ์ดเสียหาย
    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ รีสตาร์ท, ถอดใส่ใหม่, ทดสอบกับอุปกรณ์อื่น, ล้างหน้าสัมผัส
    Dr.Fone – System Repair (Android) เป็นเครื่องมือซ่อมระบบที่ไม่ลบข้อมูล
    รองรับ Android OS ตั้งแต่ 2.1 ขึ้นไป และมือถือกว่า 1,000 รุ่น
    ใช้ “Standard Mode” เพื่อรักษาข้อมูลไว้
    ดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ให้อัตโนมัติ ไม่ต้องหาไฟล์เอง
    แก้ปัญหาอื่น ๆ ได้ เช่น boot loop, แอปเด้ง, Google Play ใช้งานไม่ได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SD Card ที่ฟอร์แมตเป็น exFAT หรือ NTFS อาจไม่รองรับบนมือถือบางรุ่น
    การ์ดปลอมที่มีความจุไม่ตรงจริงอาจทำให้ระบบไม่สามารถอ่านได้
    การใช้แอปจัดการไฟล์ที่ไม่ปลอดภัยอาจทำให้การ์ดเสียหาย
    การ์ดบางรุ่นต้องการพลังงานคงที่ หากแบตเตอรี่เสื่อมอาจทำให้ไม่อ่าน
    การใช้ Recovery Software เช่น Recoverit หรือ EaseUS ช่วยกู้ข้อมูลจากการ์ดที่เสียได้

    https://hackread.com/android-not-reading-sd-card-heres-how-to-fix-it/
    📱 “SD Card ไม่อ่านบน Android? วิธีแก้แบบง่าย ๆ ที่คุณทำได้เอง พร้อมทางเลือกซ่อมระบบแบบไม่ล้างข้อมูล” หลายคนใช้ SD Card เพื่อเก็บภาพ วิดีโอ และไฟล์สำคัญในมือถือ Android แต่เมื่อวันหนึ่งมือถือกลับไม่สามารถอ่านการ์ดได้ ความเครียดก็มาเยือนทันที บทความนี้จึงรวบรวมวิธีแก้ปัญหา “Android ไม่อ่าน SD Card” ทั้งแบบพื้นฐานและแบบใช้เครื่องมือซ่อมระบบ โดยไม่ต้องล้างข้อมูลหรือฟอร์แมตการ์ดให้เสี่ยงสูญเสียไฟล์ สาเหตุที่มือถือไม่อ่าน SD Card มีหลายอย่าง เช่น การ์ดมีฝุ่นหรือเสียหายทางกายภาพ, การใส่การ์ดไม่แน่น, ฟอร์แมตไม่รองรับ, หรือการถอดการ์ดแบบไม่ปลอดภัย รวมถึงแอปบางตัวที่อาจทำให้การ์ดเสียหายได้ วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่: 🔰 รีสตาร์ทเครื่องเพื่อเคลียร์ข้อผิดพลาดชั่วคราว 🔰 ถอดการ์ดแล้วใส่ใหม่ให้แน่น 🔰 ทดสอบการ์ดกับอุปกรณ์อื่นเพื่อดูว่าเป็นปัญหาที่การ์ดหรือมือถือ 🔰 ล้างหน้าสัมผัสของการ์ดเบา ๆ เพื่อให้เชื่อมต่อได้ดีขึ้น หากวิธีพื้นฐานไม่ช่วย แนะนำให้ใช้เครื่องมือซ่อมระบบ Android เช่น Dr.Fone – System Repair (Android) ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้มากกว่า 150 รูปแบบ เช่น ค้างโลโก้, boot loop, แอปเด้ง โดยใช้ “Standard Mode” ที่ไม่ลบข้อมูล และสามารถดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ที่ถูกต้องให้อัตโนมัติ Dr.Fone รองรับมือถือ Android ตั้งแต่เวอร์ชัน 2.1 ขึ้นไป รวมถึงรุ่นใหม่ ๆ ของ Samsung และแบรนด์อื่น ๆ ทั้งแบบปลดล็อกและจากผู้ให้บริการ เช่น AT&T, Verizon, Vodafone ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ สาเหตุที่ Android ไม่อ่าน SD Card ได้แก่ ฝุ่น, ใส่ไม่แน่น, ฟอร์แมตไม่รองรับ, การ์ดเสีย ➡️ การถอดการ์ดแบบไม่ปลอดภัยหรือแอปบางตัวอาจทำให้การ์ดเสียหาย ➡️ วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ รีสตาร์ท, ถอดใส่ใหม่, ทดสอบกับอุปกรณ์อื่น, ล้างหน้าสัมผัส ➡️ Dr.Fone – System Repair (Android) เป็นเครื่องมือซ่อมระบบที่ไม่ลบข้อมูล ➡️ รองรับ Android OS ตั้งแต่ 2.1 ขึ้นไป และมือถือกว่า 1,000 รุ่น ➡️ ใช้ “Standard Mode” เพื่อรักษาข้อมูลไว้ ➡️ ดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ให้อัตโนมัติ ไม่ต้องหาไฟล์เอง ➡️ แก้ปัญหาอื่น ๆ ได้ เช่น boot loop, แอปเด้ง, Google Play ใช้งานไม่ได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SD Card ที่ฟอร์แมตเป็น exFAT หรือ NTFS อาจไม่รองรับบนมือถือบางรุ่น ➡️ การ์ดปลอมที่มีความจุไม่ตรงจริงอาจทำให้ระบบไม่สามารถอ่านได้ ➡️ การใช้แอปจัดการไฟล์ที่ไม่ปลอดภัยอาจทำให้การ์ดเสียหาย ➡️ การ์ดบางรุ่นต้องการพลังงานคงที่ หากแบตเตอรี่เสื่อมอาจทำให้ไม่อ่าน ➡️ การใช้ Recovery Software เช่น Recoverit หรือ EaseUS ช่วยกู้ข้อมูลจากการ์ดที่เสียได้ https://hackread.com/android-not-reading-sd-card-heres-how-to-fix-it/
    HACKREAD.COM
    Android Not Reading SD Card? Here’s How to Fix it
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • ทองคำมีในเกือบทุกๆวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันมือถือคือตย.ที่ดี.

    https://youtube.com/shorts/kNiFzqt7eKk?si=EEDvZKB_yGCMlw-o
    ทองคำมีในเกือบทุกๆวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันมือถือคือตย.ที่ดี. https://youtube.com/shorts/kNiFzqt7eKk?si=EEDvZKB_yGCMlw-o
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • “Xbox อาจเลิกผลิตคอนโซล — เปลี่ยนทิศสู่แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์เต็มตัวในยุค Cloud Gaming”

    ข่าวลือที่กำลังร้อนแรงในวงการเกมคือ Microsoft อาจตัดสินใจ “เลิกผลิตคอนโซล Xbox รุ่นใหม่” และเปลี่ยนทิศทางไปสู่การเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เต็มรูปแบบ คล้ายกับที่ SEGA เคยทำในอดีต โดยเน้นการเผยแพร่เกมบนทุกแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น PlayStation, Switch, PC หรือมือถือ

    แหล่งข่าวจาก SneakersSO ซึ่งเคยปล่อยข้อมูลแม่นยำเกี่ยวกับ Xbox มาก่อน ระบุว่าแผนการผลิตคอนโซลรุ่นถัดไปที่เดิมจะเริ่มในปี 2026 เพื่อเปิดตัวในปี 2027 ตอนนี้ “ไม่แน่นอนแล้ว” เพราะ Microsoft กำลังพิจารณาแนวทางใหม่ที่เน้น Cloud Gaming และ IP ที่ทำกำไรสูง เช่น Call of Duty, Minecraft, Candy Crush และ Forza Horizon

    เป้าหมายคือการเปลี่ยน Game Pass ให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึง xCloud โดยไม่จำกัดเฉพาะฮาร์ดแวร์ Xbox อีกต่อไป และอาจมีการเปิดให้เล่นเกม Xbox บนอุปกรณ์ใดก็ได้ที่มี marketplace และผู้ใช้พร้อมจ่ายเงิน

    อย่างไรก็ตาม Microsoft เคยให้คำมั่นว่าจะมีคอนโซลรุ่นใหม่ที่ “ก้าวกระโดดทางเทคนิคมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา” และเพิ่งเซ็นสัญญาร่วมมือกับ AMD เพื่อพัฒนาชิปสำหรับอุปกรณ์รุ่นถัดไป ทั้งคอนโซล, เครื่องพกพา และระบบ Cloud ซึ่งทำให้ข่าวลือนี้ขัดแย้งกับทิศทางที่ประกาศไว้ก่อนหน้า

    หาก Microsoft ตัดสินใจเลิกผลิตคอนโซลจริง อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ลงทุนในระบบ Xbox มานาน โดยเฉพาะเรื่อง backward compatibility และคลังเกมที่สะสมไว้หลายรุ่น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มีข่าวลือว่า Microsoft อาจเลิกผลิตคอนโซล Xbox รุ่นถัดไป
    แหล่งข่าว SneakersSO ระบุว่าแผนการผลิตในปี 2026 ถูก “แขวนไว้”
    Microsoft อาจเปลี่ยนทิศทางไปสู่การเผยแพร่ซอฟต์แวร์บนทุกแพลตฟอร์ม
    เน้น IP ที่ทำกำไรสูง เช่น CoD, Minecraft, Candy Crush, Forza Horizon
    เปลี่ยน Game Pass ให้เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึง xCloud
    Microsoft เคยให้คำมั่นว่าจะมีคอนโซลรุ่นใหม่ที่ก้าวกระโดดทางเทคนิค
    เพิ่งเซ็นสัญญาร่วมกับ AMD เพื่อพัฒนาชิปสำหรับอุปกรณ์รุ่นถัดไป
    หากเลิกผลิตคอนโซลจริง อาจกระทบผู้ใช้ที่สะสมเกมไว้หลายรุ่น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Microsoft และ AMD ประกาศความร่วมมือหลายปีในการพัฒนาชิปสำหรับ Xbox รุ่นใหม่
    Xbox Series X|S มียอดขายลดลงต่อเนื่อง แม้ Game Pass จะเติบโต
    Cloud Gaming ของ Microsoft มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ
    SEGA เคยเลิกผลิตคอนโซลหลังยุค Dreamcast และเปลี่ยนเป็นผู้เผยแพร่เกม
    Xbox Play Anywhere และการรองรับเกมข้ามแพลตฟอร์มเป็นแนวทางที่ Microsoft ผลักดัน

    https://wccftech.com/xbox-might-go-full-third-party-leaving-hardware-for-good-rumor/
    🎮 “Xbox อาจเลิกผลิตคอนโซล — เปลี่ยนทิศสู่แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์เต็มตัวในยุค Cloud Gaming” ข่าวลือที่กำลังร้อนแรงในวงการเกมคือ Microsoft อาจตัดสินใจ “เลิกผลิตคอนโซล Xbox รุ่นใหม่” และเปลี่ยนทิศทางไปสู่การเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เต็มรูปแบบ คล้ายกับที่ SEGA เคยทำในอดีต โดยเน้นการเผยแพร่เกมบนทุกแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น PlayStation, Switch, PC หรือมือถือ แหล่งข่าวจาก SneakersSO ซึ่งเคยปล่อยข้อมูลแม่นยำเกี่ยวกับ Xbox มาก่อน ระบุว่าแผนการผลิตคอนโซลรุ่นถัดไปที่เดิมจะเริ่มในปี 2026 เพื่อเปิดตัวในปี 2027 ตอนนี้ “ไม่แน่นอนแล้ว” เพราะ Microsoft กำลังพิจารณาแนวทางใหม่ที่เน้น Cloud Gaming และ IP ที่ทำกำไรสูง เช่น Call of Duty, Minecraft, Candy Crush และ Forza Horizon เป้าหมายคือการเปลี่ยน Game Pass ให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึง xCloud โดยไม่จำกัดเฉพาะฮาร์ดแวร์ Xbox อีกต่อไป และอาจมีการเปิดให้เล่นเกม Xbox บนอุปกรณ์ใดก็ได้ที่มี marketplace และผู้ใช้พร้อมจ่ายเงิน อย่างไรก็ตาม Microsoft เคยให้คำมั่นว่าจะมีคอนโซลรุ่นใหม่ที่ “ก้าวกระโดดทางเทคนิคมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา” และเพิ่งเซ็นสัญญาร่วมมือกับ AMD เพื่อพัฒนาชิปสำหรับอุปกรณ์รุ่นถัดไป ทั้งคอนโซล, เครื่องพกพา และระบบ Cloud ซึ่งทำให้ข่าวลือนี้ขัดแย้งกับทิศทางที่ประกาศไว้ก่อนหน้า หาก Microsoft ตัดสินใจเลิกผลิตคอนโซลจริง อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ลงทุนในระบบ Xbox มานาน โดยเฉพาะเรื่อง backward compatibility และคลังเกมที่สะสมไว้หลายรุ่น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มีข่าวลือว่า Microsoft อาจเลิกผลิตคอนโซล Xbox รุ่นถัดไป ➡️ แหล่งข่าว SneakersSO ระบุว่าแผนการผลิตในปี 2026 ถูก “แขวนไว้” ➡️ Microsoft อาจเปลี่ยนทิศทางไปสู่การเผยแพร่ซอฟต์แวร์บนทุกแพลตฟอร์ม ➡️ เน้น IP ที่ทำกำไรสูง เช่น CoD, Minecraft, Candy Crush, Forza Horizon ➡️ เปลี่ยน Game Pass ให้เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึง xCloud ➡️ Microsoft เคยให้คำมั่นว่าจะมีคอนโซลรุ่นใหม่ที่ก้าวกระโดดทางเทคนิค ➡️ เพิ่งเซ็นสัญญาร่วมกับ AMD เพื่อพัฒนาชิปสำหรับอุปกรณ์รุ่นถัดไป ➡️ หากเลิกผลิตคอนโซลจริง อาจกระทบผู้ใช้ที่สะสมเกมไว้หลายรุ่น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Microsoft และ AMD ประกาศความร่วมมือหลายปีในการพัฒนาชิปสำหรับ Xbox รุ่นใหม่ ➡️ Xbox Series X|S มียอดขายลดลงต่อเนื่อง แม้ Game Pass จะเติบโต ➡️ Cloud Gaming ของ Microsoft มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ ➡️ SEGA เคยเลิกผลิตคอนโซลหลังยุค Dreamcast และเปลี่ยนเป็นผู้เผยแพร่เกม ➡️ Xbox Play Anywhere และการรองรับเกมข้ามแพลตฟอร์มเป็นแนวทางที่ Microsoft ผลักดัน https://wccftech.com/xbox-might-go-full-third-party-leaving-hardware-for-good-rumor/
    WCCFTECH.COM
    Xbox Might Be Going Full Third Party and Leaving Hardware for Good - Rumor
    According to a new rumor, Microsoft might be stopping its plans for a new Xbox consoles and opting to go full third-party like SEGA instead.
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • “Microsoft เตรียมเปิดบริการ Xbox Cloud Gaming แบบฟรี — เล่นได้ไม่ต้องสมัคร แต่ต้องดูโฆษณาก่อนเข้าเกม”

    หลังจากปล่อยให้ลือกันมาหลายปี ในที่สุด Microsoft ก็เตรียมเปิดตัวบริการ Xbox Cloud Gaming แบบฟรีที่ไม่ต้องสมัคร Game Pass โดยจะมีการจำกัดเวลาเล่นและแทรกโฆษณาก่อนเริ่มเกม โดยแหล่งข่าวจาก The Verge ระบุว่าบริษัทกำลังทดสอบระบบนี้ภายในกับพนักงาน และเตรียมเปิด public beta ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    ผู้ใช้ในแพลตฟอร์มฟรีจะสามารถเล่นเกมที่ตนเองเป็นเจ้าของ, เกมจากโปรแกรม Free Play Days (ทดลองเล่นฟรีช่วงสุดสัปดาห์), และ Xbox Retro Classics ได้ โดยก่อนเข้าเกมจะต้องดูโฆษณาความยาวประมาณ 2 นาที และแต่ละ session จะเล่นได้เพียง 1 ชั่วโมง จำกัดสูงสุด 5 ชั่วโมงต่อเดือน

    แม้จะเป็นบริการฟรี แต่มีผู้ใช้ Game Pass Ultimate รายหนึ่งโพสต์บน X (Twitter) ว่าเขาเจอโฆษณา Dior Men Spring 2025 ระหว่างโหลดเกม Gears of War: Reloaded ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมาก เพราะ Game Pass Ultimate เป็นแพ็กเกจระดับสูงที่เพิ่งขึ้นราคาถึง 50% ในบางประเทศ

    ในด้านคุณภาพการสตรีม ผู้ใช้ Game Pass Ultimate จะได้ความละเอียดสูงสุด 1440p ที่ 30 Mbps หรือ 1080p ที่ 20 Mbps ขณะที่ผู้ใช้ Essential และ Premium ได้ 1080p ที่ 12 Mbps ส่วนแพลตฟอร์มฟรียังไม่มีข้อมูลเรื่องความละเอียดหรือ bitrate ที่แน่นอน

    บริการ Xbox Cloud Gaming แบบฟรีจะเปิดให้ใช้งานบน PC, มือถือ, คอนโซล Xbox และเว็บเบราว์เซอร์ โดยยังไม่ระบุว่าจะเปิดให้ใช้ในประเทศใดบ้าง และเงื่อนไขต่าง ๆ อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเปิดตัวจริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft เตรียมเปิด Xbox Cloud Gaming แบบฟรีโดยไม่ต้องสมัคร Game Pass
    ผู้ใช้ต้องดูโฆษณาความยาว 2 นาที ก่อนเข้าเล่นเกมแต่ละครั้ง
    จำกัดการเล่นไว้ที่ 1 ชั่วโมงต่อ session และสูงสุด 5 ชั่วโมงต่อเดือน
    เกมที่เล่นได้รวมถึงเกมที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของ, Free Play Days และ Xbox Retro Classics
    มีผู้ใช้ Game Pass Ultimate รายงานว่าเจอโฆษณาระหว่างโหลดเกม
    Game Pass Ultimate ได้ความละเอียดสูงสุด 1440p ที่ 30 Mbps
    Essential และ Premium ได้ 1080p ที่ 12 Mbps
    บริการฟรีจะเปิดให้ใช้บน PC, มือถือ, Xbox และเว็บเบราว์เซอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nvidia GeForce Now มีบริการฟรีแบบจำกัดเวลาและแสดงโฆษณาเช่นกัน
    Microsoft เคยพูดถึงแนวคิด Cloud Gaming ฟรีตั้งแต่ปี 2022
    การเพิ่มโฆษณาในบริการเกมเป็นแนวทางที่ Netflix และ YouTube ใช้มาก่อน
    การสตรีมเกมผ่าน Cloud ช่วยลดความจำเป็นในการซื้อฮาร์ดแวร์ราคาแพง
    Xbox Cloud Gaming เพิ่งออกจากสถานะ beta อย่างเป็นทางการในปี 2025

    https://www.tomshardware.com/video-games/cloud-gaming/microsoft-reportedly-mulls-ad-infested-free-xbox-cloud-gaming-plan-game-pass-ultimate-subscriber-allegedly-catches-ad-during-game-loading
    🎮 “Microsoft เตรียมเปิดบริการ Xbox Cloud Gaming แบบฟรี — เล่นได้ไม่ต้องสมัคร แต่ต้องดูโฆษณาก่อนเข้าเกม” หลังจากปล่อยให้ลือกันมาหลายปี ในที่สุด Microsoft ก็เตรียมเปิดตัวบริการ Xbox Cloud Gaming แบบฟรีที่ไม่ต้องสมัคร Game Pass โดยจะมีการจำกัดเวลาเล่นและแทรกโฆษณาก่อนเริ่มเกม โดยแหล่งข่าวจาก The Verge ระบุว่าบริษัทกำลังทดสอบระบบนี้ภายในกับพนักงาน และเตรียมเปิด public beta ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ผู้ใช้ในแพลตฟอร์มฟรีจะสามารถเล่นเกมที่ตนเองเป็นเจ้าของ, เกมจากโปรแกรม Free Play Days (ทดลองเล่นฟรีช่วงสุดสัปดาห์), และ Xbox Retro Classics ได้ โดยก่อนเข้าเกมจะต้องดูโฆษณาความยาวประมาณ 2 นาที และแต่ละ session จะเล่นได้เพียง 1 ชั่วโมง จำกัดสูงสุด 5 ชั่วโมงต่อเดือน แม้จะเป็นบริการฟรี แต่มีผู้ใช้ Game Pass Ultimate รายหนึ่งโพสต์บน X (Twitter) ว่าเขาเจอโฆษณา Dior Men Spring 2025 ระหว่างโหลดเกม Gears of War: Reloaded ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมาก เพราะ Game Pass Ultimate เป็นแพ็กเกจระดับสูงที่เพิ่งขึ้นราคาถึง 50% ในบางประเทศ ในด้านคุณภาพการสตรีม ผู้ใช้ Game Pass Ultimate จะได้ความละเอียดสูงสุด 1440p ที่ 30 Mbps หรือ 1080p ที่ 20 Mbps ขณะที่ผู้ใช้ Essential และ Premium ได้ 1080p ที่ 12 Mbps ส่วนแพลตฟอร์มฟรียังไม่มีข้อมูลเรื่องความละเอียดหรือ bitrate ที่แน่นอน บริการ Xbox Cloud Gaming แบบฟรีจะเปิดให้ใช้งานบน PC, มือถือ, คอนโซล Xbox และเว็บเบราว์เซอร์ โดยยังไม่ระบุว่าจะเปิดให้ใช้ในประเทศใดบ้าง และเงื่อนไขต่าง ๆ อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเปิดตัวจริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft เตรียมเปิด Xbox Cloud Gaming แบบฟรีโดยไม่ต้องสมัคร Game Pass ➡️ ผู้ใช้ต้องดูโฆษณาความยาว 2 นาที ก่อนเข้าเล่นเกมแต่ละครั้ง ➡️ จำกัดการเล่นไว้ที่ 1 ชั่วโมงต่อ session และสูงสุด 5 ชั่วโมงต่อเดือน ➡️ เกมที่เล่นได้รวมถึงเกมที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของ, Free Play Days และ Xbox Retro Classics ➡️ มีผู้ใช้ Game Pass Ultimate รายงานว่าเจอโฆษณาระหว่างโหลดเกม ➡️ Game Pass Ultimate ได้ความละเอียดสูงสุด 1440p ที่ 30 Mbps ➡️ Essential และ Premium ได้ 1080p ที่ 12 Mbps ➡️ บริการฟรีจะเปิดให้ใช้บน PC, มือถือ, Xbox และเว็บเบราว์เซอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nvidia GeForce Now มีบริการฟรีแบบจำกัดเวลาและแสดงโฆษณาเช่นกัน ➡️ Microsoft เคยพูดถึงแนวคิด Cloud Gaming ฟรีตั้งแต่ปี 2022 ➡️ การเพิ่มโฆษณาในบริการเกมเป็นแนวทางที่ Netflix และ YouTube ใช้มาก่อน ➡️ การสตรีมเกมผ่าน Cloud ช่วยลดความจำเป็นในการซื้อฮาร์ดแวร์ราคาแพง ➡️ Xbox Cloud Gaming เพิ่งออกจากสถานะ beta อย่างเป็นทางการในปี 2025 https://www.tomshardware.com/video-games/cloud-gaming/microsoft-reportedly-mulls-ad-infested-free-xbox-cloud-gaming-plan-game-pass-ultimate-subscriber-allegedly-catches-ad-during-game-loading
    0 Comments 0 Shares 106 Views 0 Reviews
  • “Gboard Dial Edition — คีย์บอร์ดหมุนสุดแหวกจาก Google Japan ที่เปิดให้ทุกคนสร้างเองได้”

    ทุกวันที่ 1 ตุลาคม Google Japan จะเปิดตัวคีย์บอร์ดต้นแบบสุดแหวกแนวเพื่อโชว์ความคิดสร้างสรรค์ของทีม Gboard ที่ปกติเน้นพัฒนาแอปคีย์บอร์ดบนมือถือ ปีนี้พวกเขาเปิดตัว “Gboard Dial Edition” — คีย์บอร์ดที่ไม่มีปุ่ม แต่ใช้การหมุนแบบโทรศัพท์บ้านยุคโบราณแทน

    Gboard Dial Edition ใช้หลักการหมุนวงแหวนเพื่อเลือกตัวอักษร โดยมีวงแหวนหลักสำหรับ QWERTY และวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน เช่น Enter, ตัวเลข และปุ่มลูกศร การหมุนแต่ละครั้งจะมีเสียง “วืด” แบบกลไกที่ให้ความรู้สึกย้อนยุคและผ่อนคลาย ซึ่งทีมงานเชื่อว่าจะช่วยลดความเครียดจากการพิมพ์และลดโอกาสพิมพ์ผิด

    ดีไซน์นี้ยังมีการแบ่งวงแหวนเป็น 3 ชั้นซ้อนกัน เพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความเร็วในการพิมพ์แบบขนาน โดยผู้ใช้สามารถหมุนหลายวงแหวนพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันหลากหลาย เพื่อให้เข้ากับการตกแต่งบ้าน

    แม้จะไม่วางขายจริง แต่ Google Japan ได้เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ทั้งไฟล์ 3D สำหรับพิมพ์, แผงวงจร PCB, เฟิร์มแวร์ และคู่มือประกอบ โดยใช้ Raspberry Pi Pico เป็นสมองหลักของระบบ พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์ควบคุมการหมุน

    Gboard Dial Edition เป็นหนึ่งในซีรีส์คีย์บอร์ดต้นแบบที่ Google Japan เคยทำ เช่น คีย์บอร์ดช้อนงอ, คีย์บอร์ดรหัสมอร์ส, และคีย์บอร์ดแถบวัดแนวแกน X ซึ่งทั้งหมดเน้นการทดลองแนวคิดใหม่ ๆ มากกว่าการผลิตเพื่อขายจริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gboard Dial Edition เป็นคีย์บอร์ดต้นแบบจาก Google Japan ที่ใช้การหมุนแทนการกดปุ่ม
    วงแหวนหลักใช้สำหรับ QWERTY และมีวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน
    เสียงกลไกขณะหมุนช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและลดโอกาสพิมพ์ผิด
    วงแหวนแบ่งเป็น 3 ชั้นเพื่อเพิ่มความเร็วและลดขนาด
    มีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันให้เข้ากับบ้าน
    เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ภายใต้ Apache License 2.0
    ใช้ Raspberry Pi Pico เป็นหน่วยประมวลผล พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์
    เป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมประจำปีของทีม Gboard ในการโชว์ไอเดียใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rotary dial เคยใช้ในโทรศัพท์บ้านยุค 1950–1980 ก่อนถูกแทนที่ด้วยปุ่มกด
    Raspberry Pi Pico เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ราคาประหยัดที่นิยมใช้ในงาน DIY
    การใช้ photo sensor และ stepper motor ช่วยให้การหมุนแม่นยำและตอบสนองเร็ว
    คีย์บอร์ดต้นแบบของ Google Japan ไม่เคยวางขายจริง แต่เปิดให้ผู้ใช้สร้างเอง
    การออกแบบแบบ modular ช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ตามความต้องการ

    https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/crazy-google-japan-keyboard-design-switches-keys-for-dials-the-gboard-dial-edition-shows-why-the-software-team-isnt-allowed-to-design-hardware
    🎛️ “Gboard Dial Edition — คีย์บอร์ดหมุนสุดแหวกจาก Google Japan ที่เปิดให้ทุกคนสร้างเองได้” ทุกวันที่ 1 ตุลาคม Google Japan จะเปิดตัวคีย์บอร์ดต้นแบบสุดแหวกแนวเพื่อโชว์ความคิดสร้างสรรค์ของทีม Gboard ที่ปกติเน้นพัฒนาแอปคีย์บอร์ดบนมือถือ ปีนี้พวกเขาเปิดตัว “Gboard Dial Edition” — คีย์บอร์ดที่ไม่มีปุ่ม แต่ใช้การหมุนแบบโทรศัพท์บ้านยุคโบราณแทน Gboard Dial Edition ใช้หลักการหมุนวงแหวนเพื่อเลือกตัวอักษร โดยมีวงแหวนหลักสำหรับ QWERTY และวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน เช่น Enter, ตัวเลข และปุ่มลูกศร การหมุนแต่ละครั้งจะมีเสียง “วืด” แบบกลไกที่ให้ความรู้สึกย้อนยุคและผ่อนคลาย ซึ่งทีมงานเชื่อว่าจะช่วยลดความเครียดจากการพิมพ์และลดโอกาสพิมพ์ผิด ดีไซน์นี้ยังมีการแบ่งวงแหวนเป็น 3 ชั้นซ้อนกัน เพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความเร็วในการพิมพ์แบบขนาน โดยผู้ใช้สามารถหมุนหลายวงแหวนพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันหลากหลาย เพื่อให้เข้ากับการตกแต่งบ้าน แม้จะไม่วางขายจริง แต่ Google Japan ได้เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ทั้งไฟล์ 3D สำหรับพิมพ์, แผงวงจร PCB, เฟิร์มแวร์ และคู่มือประกอบ โดยใช้ Raspberry Pi Pico เป็นสมองหลักของระบบ พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์ควบคุมการหมุน Gboard Dial Edition เป็นหนึ่งในซีรีส์คีย์บอร์ดต้นแบบที่ Google Japan เคยทำ เช่น คีย์บอร์ดช้อนงอ, คีย์บอร์ดรหัสมอร์ส, และคีย์บอร์ดแถบวัดแนวแกน X ซึ่งทั้งหมดเน้นการทดลองแนวคิดใหม่ ๆ มากกว่าการผลิตเพื่อขายจริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gboard Dial Edition เป็นคีย์บอร์ดต้นแบบจาก Google Japan ที่ใช้การหมุนแทนการกดปุ่ม ➡️ วงแหวนหลักใช้สำหรับ QWERTY และมีวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน ➡️ เสียงกลไกขณะหมุนช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและลดโอกาสพิมพ์ผิด ➡️ วงแหวนแบ่งเป็น 3 ชั้นเพื่อเพิ่มความเร็วและลดขนาด ➡️ มีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันให้เข้ากับบ้าน ➡️ เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ภายใต้ Apache License 2.0 ➡️ ใช้ Raspberry Pi Pico เป็นหน่วยประมวลผล พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมประจำปีของทีม Gboard ในการโชว์ไอเดียใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rotary dial เคยใช้ในโทรศัพท์บ้านยุค 1950–1980 ก่อนถูกแทนที่ด้วยปุ่มกด ➡️ Raspberry Pi Pico เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ราคาประหยัดที่นิยมใช้ในงาน DIY ➡️ การใช้ photo sensor และ stepper motor ช่วยให้การหมุนแม่นยำและตอบสนองเร็ว ➡️ คีย์บอร์ดต้นแบบของ Google Japan ไม่เคยวางขายจริง แต่เปิดให้ผู้ใช้สร้างเอง ➡️ การออกแบบแบบ modular ช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ตามความต้องการ https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/crazy-google-japan-keyboard-design-switches-keys-for-dials-the-gboard-dial-edition-shows-why-the-software-team-isnt-allowed-to-design-hardware
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • “แปรงสีฟันไฟฟ้าอาจทำให้คุณถูก TSA เรียกตรวจ — เมื่อแบตเตอรี่กลายเป็นภัยบนเครื่องบิน”

    หลายคนอาจไม่เคยนึกถึงว่าแปรงสีฟันไฟฟ้าจะกลายเป็นปัญหาในการเดินทางทางอากาศ แต่ล่าสุด TSA และ FAA ได้ออกคำเตือนถึงผู้โดยสารว่าอุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่ลิเธียม เช่น แปรงสีฟันไฟฟ้า อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยบนเครื่องบิน โดยเฉพาะเมื่อเก็บไว้ในกระเป๋าโหลดใต้เครื่อง

    แบตเตอรี่ลิเธียมมีความเสี่ยงจากปรากฏการณ์ “thermal runaway” ซึ่งเป็นปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้เกิดความร้อนสูงจนลุกไหม้ได้ และในสภาพแวดล้อมที่มีแรงดันอากาศสูงอย่างห้องเก็บสัมภาระใต้เครื่อง การควบคุมไฟไหม้แทบเป็นไปไม่ได้เลย

    แม้ผู้โดยสารจะยังสามารถนำแปรงสีฟันไฟฟ้าใส่ไว้ในกระเป๋าโหลดได้ แต่ต้องปิดเครื่องให้สนิทและจัดเก็บอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการเปิดใช้งานโดยไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม TSA แนะนำให้เก็บไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องจะปลอดภัยกว่า เพราะหากเกิดเหตุ Flight crew จะสามารถสังเกตและรับมือได้ทันที

    นอกจากนี้ TSA ยังเตือนว่าอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม เช่น โทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป กล้อง สมาร์ทวอทช์ และ e-reader ก็ควรเก็บไว้ในกระเป๋าถือเช่นกัน และห้ามนำแบตเตอรี่สำรองหรือแบตเตอรี่ที่ยังไม่ได้ติดตั้งใส่ในกระเป๋าโหลดโดยเด็ดขาด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    TSA และ FAA เตือนว่าแปรงสีฟันไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมมีความเสี่ยงไฟไหม้
    ปรากฏการณ์ thermal runaway อาจทำให้แบตเตอรี่ลุกไหม้โดยไม่คาดคิด
    แนะนำให้เก็บแปรงสีฟันไฟฟ้าไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องเพื่อความปลอดภัย
    หากต้องโหลดใต้เครื่อง ต้องปิดเครื่องและจัดเก็บให้ปลอดภัย
    อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น โทรศัพท์ แล็ปท็อป กล้อง และสมาร์ทวอทช์ ก็ควรอยู่ในกระเป๋าถือ
    ห้ามนำแบตเตอรี่สำรองหรือแบตเตอรี่ที่ยังไม่ได้ติดตั้งใส่ในกระเป๋าโหลด
    TSA เคยแบนอุปกรณ์จัดแต่งทรงผมแบบไร้สายที่ใช้แก๊สหรือบิวเทนจากการโหลดใต้เครื่อง
    หากไม่แน่ใจ ควรสอบถามเจ้าหน้าที่ TSA ก่อนเดินทาง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แปรงสีฟันไฟฟ้าสมัยใหม่มักใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเหมือนกับสมาร์ทโฟน
    thermal runaway เกิดจากการลัดวงจรหรือความร้อนสะสมในแบตเตอรี่
    FAA มีข้อกำหนดชัดเจนเกี่ยวกับการขนส่งอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม
    แบตเตอรี่ลิเธียมมีพลังงานสูงในขนาดเล็ก จึงมีความเสี่ยงหากเกิดความเสียหาย
    การเก็บอุปกรณ์ไว้ในกระเป๋าถือช่วยให้ลูกเรือสามารถตรวจสอบและรับมือได้ทันที

    https://www.slashgear.com/1986302/avoid-bringing-electric-toothbrush-through-tsa/
    🧳 “แปรงสีฟันไฟฟ้าอาจทำให้คุณถูก TSA เรียกตรวจ — เมื่อแบตเตอรี่กลายเป็นภัยบนเครื่องบิน” หลายคนอาจไม่เคยนึกถึงว่าแปรงสีฟันไฟฟ้าจะกลายเป็นปัญหาในการเดินทางทางอากาศ แต่ล่าสุด TSA และ FAA ได้ออกคำเตือนถึงผู้โดยสารว่าอุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่ลิเธียม เช่น แปรงสีฟันไฟฟ้า อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยบนเครื่องบิน โดยเฉพาะเมื่อเก็บไว้ในกระเป๋าโหลดใต้เครื่อง แบตเตอรี่ลิเธียมมีความเสี่ยงจากปรากฏการณ์ “thermal runaway” ซึ่งเป็นปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้เกิดความร้อนสูงจนลุกไหม้ได้ และในสภาพแวดล้อมที่มีแรงดันอากาศสูงอย่างห้องเก็บสัมภาระใต้เครื่อง การควบคุมไฟไหม้แทบเป็นไปไม่ได้เลย แม้ผู้โดยสารจะยังสามารถนำแปรงสีฟันไฟฟ้าใส่ไว้ในกระเป๋าโหลดได้ แต่ต้องปิดเครื่องให้สนิทและจัดเก็บอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการเปิดใช้งานโดยไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม TSA แนะนำให้เก็บไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องจะปลอดภัยกว่า เพราะหากเกิดเหตุ Flight crew จะสามารถสังเกตและรับมือได้ทันที นอกจากนี้ TSA ยังเตือนว่าอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม เช่น โทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป กล้อง สมาร์ทวอทช์ และ e-reader ก็ควรเก็บไว้ในกระเป๋าถือเช่นกัน และห้ามนำแบตเตอรี่สำรองหรือแบตเตอรี่ที่ยังไม่ได้ติดตั้งใส่ในกระเป๋าโหลดโดยเด็ดขาด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ TSA และ FAA เตือนว่าแปรงสีฟันไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมมีความเสี่ยงไฟไหม้ ➡️ ปรากฏการณ์ thermal runaway อาจทำให้แบตเตอรี่ลุกไหม้โดยไม่คาดคิด ➡️ แนะนำให้เก็บแปรงสีฟันไฟฟ้าไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องเพื่อความปลอดภัย ➡️ หากต้องโหลดใต้เครื่อง ต้องปิดเครื่องและจัดเก็บให้ปลอดภัย ➡️ อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น โทรศัพท์ แล็ปท็อป กล้อง และสมาร์ทวอทช์ ก็ควรอยู่ในกระเป๋าถือ ➡️ ห้ามนำแบตเตอรี่สำรองหรือแบตเตอรี่ที่ยังไม่ได้ติดตั้งใส่ในกระเป๋าโหลด ➡️ TSA เคยแบนอุปกรณ์จัดแต่งทรงผมแบบไร้สายที่ใช้แก๊สหรือบิวเทนจากการโหลดใต้เครื่อง ➡️ หากไม่แน่ใจ ควรสอบถามเจ้าหน้าที่ TSA ก่อนเดินทาง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แปรงสีฟันไฟฟ้าสมัยใหม่มักใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเหมือนกับสมาร์ทโฟน ➡️ thermal runaway เกิดจากการลัดวงจรหรือความร้อนสะสมในแบตเตอรี่ ➡️ FAA มีข้อกำหนดชัดเจนเกี่ยวกับการขนส่งอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม ➡️ แบตเตอรี่ลิเธียมมีพลังงานสูงในขนาดเล็ก จึงมีความเสี่ยงหากเกิดความเสียหาย ➡️ การเก็บอุปกรณ์ไว้ในกระเป๋าถือช่วยให้ลูกเรือสามารถตรวจสอบและรับมือได้ทันที https://www.slashgear.com/1986302/avoid-bringing-electric-toothbrush-through-tsa/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    You May Want To Avoid Bringing Your Electric Toothbrush Through TSA (Here's Why) - SlashGear
    The caution comes down to the inherent and well-documented fire risk of lithium-ion and lithium-metal batteries, which some electric toothbrushes use.
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • “Open Printer — เครื่องพิมพ์หมึกแบบเปิดที่ไม่ล็อกตลับ ไม่ล็อกผู้ใช้ และไม่ล็อกอนาคต”

    ในโลกที่เครื่องพิมพ์กลายเป็นอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ต้อง “เชื่อฟัง” มากกว่าจะ “ควบคุม” Startup จากปารีสชื่อ Open Tools ได้เปิดตัว Open Printer — เครื่องพิมพ์หมึกแบบใหม่ที่ยึดหลักโอเพ่นซอร์สอย่างแท้จริง ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และสิทธิ์ของผู้ใช้

    Open Printer ถูกออกแบบมาให้ซ่อมง่าย ดัดแปลงได้ และไม่ล็อกผู้ใช้กับตลับหมึกของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง โดยใช้ตลับ HP 63 (หรือ HP 302 ในยุโรป) ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมที่มีทั้งของแท้และของรีฟิลจากผู้ผลิตอิสระ ที่สำคัญคือไม่มีระบบ DRM หรือชิปตรวจสอบตลับหมึก ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ตลับจากแหล่งใดก็ได้โดยไม่ถูกบล็อก

    ตัวเครื่องยังรองรับการพิมพ์บนกระดาษม้วนขนาด 27 มม. พร้อมใบมีดตัดในตัวสำหรับแปลงเป็นแผ่น A4 หรือพิมพ์งานยาวแบบแบนเนอร์ได้อย่างยืดหยุ่น โดยมีหน้าจอ LCD ขนาดเล็กและปุ่มหมุนสำหรับควบคุมพื้นฐาน พร้อมการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi, Bluetooth และ USB-C ทำให้สามารถสั่งพิมพ์จากมือถือหรือคอมพิวเตอร์ได้โดยไม่ต้องพึ่งสาย

    ภายในใช้ Raspberry Pi Zero W เป็นสมองหลัก ร่วมกับไมโครคอนโทรลเลอร์ STM32 และมีการเปิดเผยไฟล์ออกแบบทางกล, เฟิร์มแวร์ และ BOM ภายใต้ไลเซนส์ Creative Commons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหรือผลิตเองได้ในอนาคต

    Open Printer จะเปิดตัวผ่านแคมเปญระดมทุนบน Crowd Supply โดยยังไม่ระบุราคาและวันวางจำหน่าย แต่แนวคิดนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใช้ที่เบื่อกับการถูกบังคับให้ซื้อหมึกแพงหรือเปลี่ยนเครื่องเมื่อหมดอายุซอฟต์แวร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Open Printer เป็นเครื่องพิมพ์หมึกแบบโอเพ่นซอร์สจากบริษัท Open Tools
    ใช้ตลับ HP 63 หรือ HP 302 โดยไม่มีระบบ DRM ล็อกตลับ
    รองรับกระดาษม้วนขนาด 27 มม. พร้อมใบมีดตัดในตัว
    มีหน้าจอ LCD และปุ่มหมุนสำหรับควบคุมพื้นฐาน
    เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi, Bluetooth, USB-C และ USB-A
    ใช้ Raspberry Pi Zero W และ STM32 เป็นหน่วยประมวลผล
    เปิดเผยไฟล์ออกแบบและเฟิร์มแวร์ภายใต้ไลเซนส์ Creative Commons
    เตรียมเปิดตัวผ่าน Crowd Supply โดยยังไม่ระบุราคา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HP เป็นหนึ่งในบริษัทที่ใช้ DRM ล็อกตลับหมึกอย่างเข้มงวด
    ระบบ “razor-blade model” คือการขายเครื่องราคาถูกแต่บังคับซื้อหมึกแพง
    เครื่องพิมพ์ทั่วไปมักมีอายุการใช้งานจำกัดตามซอฟต์แวร์ที่บริษัทควบคุม
    การใช้ Raspberry Pi ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งระบบได้อย่างอิสระ
    การเปิดเผย BOM และไฟล์ออกแบบช่วยให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถสร้างเครื่องพิมพ์เองได้

    https://www.notebookcheck.net/Open-Printer-is-an-open-source-inkjet-printer-with-DRM-free-ink-and-roll-paper-support.1126929.0.html
    🖨️ “Open Printer — เครื่องพิมพ์หมึกแบบเปิดที่ไม่ล็อกตลับ ไม่ล็อกผู้ใช้ และไม่ล็อกอนาคต” ในโลกที่เครื่องพิมพ์กลายเป็นอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ต้อง “เชื่อฟัง” มากกว่าจะ “ควบคุม” Startup จากปารีสชื่อ Open Tools ได้เปิดตัว Open Printer — เครื่องพิมพ์หมึกแบบใหม่ที่ยึดหลักโอเพ่นซอร์สอย่างแท้จริง ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และสิทธิ์ของผู้ใช้ Open Printer ถูกออกแบบมาให้ซ่อมง่าย ดัดแปลงได้ และไม่ล็อกผู้ใช้กับตลับหมึกของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง โดยใช้ตลับ HP 63 (หรือ HP 302 ในยุโรป) ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมที่มีทั้งของแท้และของรีฟิลจากผู้ผลิตอิสระ ที่สำคัญคือไม่มีระบบ DRM หรือชิปตรวจสอบตลับหมึก ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ตลับจากแหล่งใดก็ได้โดยไม่ถูกบล็อก ตัวเครื่องยังรองรับการพิมพ์บนกระดาษม้วนขนาด 27 มม. พร้อมใบมีดตัดในตัวสำหรับแปลงเป็นแผ่น A4 หรือพิมพ์งานยาวแบบแบนเนอร์ได้อย่างยืดหยุ่น โดยมีหน้าจอ LCD ขนาดเล็กและปุ่มหมุนสำหรับควบคุมพื้นฐาน พร้อมการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi, Bluetooth และ USB-C ทำให้สามารถสั่งพิมพ์จากมือถือหรือคอมพิวเตอร์ได้โดยไม่ต้องพึ่งสาย ภายในใช้ Raspberry Pi Zero W เป็นสมองหลัก ร่วมกับไมโครคอนโทรลเลอร์ STM32 และมีการเปิดเผยไฟล์ออกแบบทางกล, เฟิร์มแวร์ และ BOM ภายใต้ไลเซนส์ Creative Commons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหรือผลิตเองได้ในอนาคต Open Printer จะเปิดตัวผ่านแคมเปญระดมทุนบน Crowd Supply โดยยังไม่ระบุราคาและวันวางจำหน่าย แต่แนวคิดนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใช้ที่เบื่อกับการถูกบังคับให้ซื้อหมึกแพงหรือเปลี่ยนเครื่องเมื่อหมดอายุซอฟต์แวร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Open Printer เป็นเครื่องพิมพ์หมึกแบบโอเพ่นซอร์สจากบริษัท Open Tools ➡️ ใช้ตลับ HP 63 หรือ HP 302 โดยไม่มีระบบ DRM ล็อกตลับ ➡️ รองรับกระดาษม้วนขนาด 27 มม. พร้อมใบมีดตัดในตัว ➡️ มีหน้าจอ LCD และปุ่มหมุนสำหรับควบคุมพื้นฐาน ➡️ เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi, Bluetooth, USB-C และ USB-A ➡️ ใช้ Raspberry Pi Zero W และ STM32 เป็นหน่วยประมวลผล ➡️ เปิดเผยไฟล์ออกแบบและเฟิร์มแวร์ภายใต้ไลเซนส์ Creative Commons ➡️ เตรียมเปิดตัวผ่าน Crowd Supply โดยยังไม่ระบุราคา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HP เป็นหนึ่งในบริษัทที่ใช้ DRM ล็อกตลับหมึกอย่างเข้มงวด ➡️ ระบบ “razor-blade model” คือการขายเครื่องราคาถูกแต่บังคับซื้อหมึกแพง ➡️ เครื่องพิมพ์ทั่วไปมักมีอายุการใช้งานจำกัดตามซอฟต์แวร์ที่บริษัทควบคุม ➡️ การใช้ Raspberry Pi ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งระบบได้อย่างอิสระ ➡️ การเปิดเผย BOM และไฟล์ออกแบบช่วยให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถสร้างเครื่องพิมพ์เองได้ https://www.notebookcheck.net/Open-Printer-is-an-open-source-inkjet-printer-with-DRM-free-ink-and-roll-paper-support.1126929.0.html
    WWW.NOTEBOOKCHECK.NET
    Open Printer is an open source inkjet printer with DRM-free ink and roll paper support
    The Open Printer features a modular and highly repairable design, and while it uses the popular HP 63 cartridges, it lacks DRM blocks that lock out third-party cartridges. It also allows printing on paper rolls, so you can either use the in-built cutter to make A4 sheets, or print longer items like banners. The Open Printer will be launched via a crowdfunding campaign soon.
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • “FOSS ไม่ใช่แค่ฟรี — แต่คือการลงทุนระยะยาวของนักสร้างสรรค์ที่กล้าท้าทายความสะดวก”

    เมื่อพูดถึงซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (FOSS) หลายคนมักนึกถึงคำว่า “ฟรี” ในแง่ของราคา แต่สำหรับนักเขียน นักถ่ายภาพ หรือผู้สร้างสรรค์ที่ใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการทำงานจริง คำว่า “ฟรี” กลับมีความหมายที่ลึกกว่านั้นมาก

    บทความจาก It's FOSS โดย Theena Kumaragurunathan นักเขียนและผู้กำกับภาพยนตร์ ได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัวในการเปลี่ยนจาก Microsoft Word ไปสู่โลกของ Git, Vim, NeoVim และ Emacs ซึ่งแม้จะต้องแลกมาด้วยเวลาและความพยายามในการเรียนรู้ แต่ผลลัพธ์คือระบบการทำงานที่เขาสร้างขึ้นเอง — เร็วขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น และไม่ขึ้นอยู่กับบริษัทใด

    เขาเล่าว่าเริ่มต้นจากการใช้ Git เพื่อควบคุมเวอร์ชันของงานเขียน ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ plain text และ Vim ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็น NeoVim และสุดท้ายคือ Emacs ที่เขาใช้เขียนบทภาพยนตร์บนมือถือ Android ด้วยซ้ำ

    Theena ยังสร้างเครื่องมือของตัวเองชื่อว่า OVIWrite ซึ่งเป็น Integrated Writing Environment (IWE) ที่ใช้ NeoVim เป็นแกนหลัก โดยออกแบบให้รองรับ Markdown, LaTeX และ Fountain สำหรับงานเขียนทุกประเภท ตั้งแต่นวนิยายไปจนถึงบทภาพยนตร์

    แม้จะมีเพื่อนนักเขียนที่ยังยึดติดกับ Obsidian เพราะความสะดวกและอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย แต่ Theena ยืนยันว่าการควบคุมเครื่องมือได้เองคืออิสรภาพที่แท้จริง แม้จะต้องแลกมาด้วยการเป็น “ฝ่ายซัพพอร์ตของตัวเอง” และการอ่านเอกสารที่เข้าใจยาก

    เขาสรุปว่า FOSS ไม่ใช่แค่การประหยัดเงิน — แต่มันคือการสร้างระบบที่ยั่งยืน ไม่ขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงของบริษัท ไม่ต้องกลัวการขึ้นราคา หรือการปรับฟีเจอร์ที่ไม่ต้องการ และที่สำคัญที่สุดคือ “คุณได้สร้างสิ่งใหม่ระหว่างทาง”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    FOSS ฟรีในแง่ของราคา แต่ไม่ฟรีในแง่ของความพยายาม
    Theena เปลี่ยนจาก Word ไปใช้ Git, Vim, NeoVim และ Emacs
    เขาสร้าง OVIWrite — เครื่องมือเขียนที่ใช้ NeoVim เป็นแกนหลัก
    OVIWrite รองรับ Markdown, LaTeX และ Fountain สำหรับงานเขียนหลากหลาย
    เขาใช้ Emacs เขียนบทภาพยนตร์บนมือถือ Android ได้
    เพื่อนนักเขียนบางคนยังใช้ Obsidian เพราะความสะดวก
    Theena ยืนยันว่าอิสรภาพในการควบคุมเครื่องมือคือสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด
    FOSS ช่วยให้ไม่ต้องขึ้นกับ roadmap หรือ subscription ของบริษัท

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OVIWrite ใช้ LazyVim และ Lua ในการสร้างระบบเขียนแบบ modular
    Obsidian เป็นเครื่องมือ note-taking ที่นิยม แต่เป็น closed-source
    Emacs มี ecosystem สำหรับงานเขียนที่ครบถ้วน เช่น org-mode และ LaTeX integration
    Git ช่วยให้ควบคุมเวอร์ชันของงานเขียนได้อย่างละเอียด
    นักเขียนหลายคนเริ่มหันมาใช้ plain text เพื่อความยืดหยุ่นและความปลอดภัยในระยะยาว

    https://news.itsfoss.com/open-source-beyond-free/
    🧠 “FOSS ไม่ใช่แค่ฟรี — แต่คือการลงทุนระยะยาวของนักสร้างสรรค์ที่กล้าท้าทายความสะดวก” เมื่อพูดถึงซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (FOSS) หลายคนมักนึกถึงคำว่า “ฟรี” ในแง่ของราคา แต่สำหรับนักเขียน นักถ่ายภาพ หรือผู้สร้างสรรค์ที่ใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการทำงานจริง คำว่า “ฟรี” กลับมีความหมายที่ลึกกว่านั้นมาก บทความจาก It's FOSS โดย Theena Kumaragurunathan นักเขียนและผู้กำกับภาพยนตร์ ได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัวในการเปลี่ยนจาก Microsoft Word ไปสู่โลกของ Git, Vim, NeoVim และ Emacs ซึ่งแม้จะต้องแลกมาด้วยเวลาและความพยายามในการเรียนรู้ แต่ผลลัพธ์คือระบบการทำงานที่เขาสร้างขึ้นเอง — เร็วขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น และไม่ขึ้นอยู่กับบริษัทใด เขาเล่าว่าเริ่มต้นจากการใช้ Git เพื่อควบคุมเวอร์ชันของงานเขียน ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ plain text และ Vim ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็น NeoVim และสุดท้ายคือ Emacs ที่เขาใช้เขียนบทภาพยนตร์บนมือถือ Android ด้วยซ้ำ Theena ยังสร้างเครื่องมือของตัวเองชื่อว่า OVIWrite ซึ่งเป็น Integrated Writing Environment (IWE) ที่ใช้ NeoVim เป็นแกนหลัก โดยออกแบบให้รองรับ Markdown, LaTeX และ Fountain สำหรับงานเขียนทุกประเภท ตั้งแต่นวนิยายไปจนถึงบทภาพยนตร์ แม้จะมีเพื่อนนักเขียนที่ยังยึดติดกับ Obsidian เพราะความสะดวกและอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย แต่ Theena ยืนยันว่าการควบคุมเครื่องมือได้เองคืออิสรภาพที่แท้จริง แม้จะต้องแลกมาด้วยการเป็น “ฝ่ายซัพพอร์ตของตัวเอง” และการอ่านเอกสารที่เข้าใจยาก เขาสรุปว่า FOSS ไม่ใช่แค่การประหยัดเงิน — แต่มันคือการสร้างระบบที่ยั่งยืน ไม่ขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงของบริษัท ไม่ต้องกลัวการขึ้นราคา หรือการปรับฟีเจอร์ที่ไม่ต้องการ และที่สำคัญที่สุดคือ “คุณได้สร้างสิ่งใหม่ระหว่างทาง” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ FOSS ฟรีในแง่ของราคา แต่ไม่ฟรีในแง่ของความพยายาม ➡️ Theena เปลี่ยนจาก Word ไปใช้ Git, Vim, NeoVim และ Emacs ➡️ เขาสร้าง OVIWrite — เครื่องมือเขียนที่ใช้ NeoVim เป็นแกนหลัก ➡️ OVIWrite รองรับ Markdown, LaTeX และ Fountain สำหรับงานเขียนหลากหลาย ➡️ เขาใช้ Emacs เขียนบทภาพยนตร์บนมือถือ Android ได้ ➡️ เพื่อนนักเขียนบางคนยังใช้ Obsidian เพราะความสะดวก ➡️ Theena ยืนยันว่าอิสรภาพในการควบคุมเครื่องมือคือสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด ➡️ FOSS ช่วยให้ไม่ต้องขึ้นกับ roadmap หรือ subscription ของบริษัท ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OVIWrite ใช้ LazyVim และ Lua ในการสร้างระบบเขียนแบบ modular ➡️ Obsidian เป็นเครื่องมือ note-taking ที่นิยม แต่เป็น closed-source ➡️ Emacs มี ecosystem สำหรับงานเขียนที่ครบถ้วน เช่น org-mode และ LaTeX integration ➡️ Git ช่วยให้ควบคุมเวอร์ชันของงานเขียนได้อย่างละเอียด ➡️ นักเขียนหลายคนเริ่มหันมาใช้ plain text เพื่อความยืดหยุ่นและความปลอดภัยในระยะยาว https://news.itsfoss.com/open-source-beyond-free/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Beyond Free: The Value Proposition of Open Source for Creatives
    FOSS is free as in cost, but not free as in effort. The loss of convenience is real, especially at the start. But for creatives who are willing to invest, the long-term rewards—flexibility, control, and a workflow built to last—are more than worth the price.
    0 Comments 0 Shares 80 Views 0 Reviews
  • “หลุดแอป OneDrive ใหม่บน Windows 11 — สวยขึ้น ฉลาดขึ้น แต่ผู้ใช้บางส่วนตั้งคำถามว่า ‘จำเป็นแค่ไหน?’”

    Microsoft กำลังพัฒนาแอป OneDrive ใหม่สำหรับ Windows 11 ซึ่งหลุดออกมาจากเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทเอง โดยแอปนี้มีดีไซน์ใหม่ที่ดูสะอาดตา ทันสมัย และเน้นการใช้งานด้านภาพถ่ายเป็นหลัก เริ่มต้นด้วยหน้าจอแสดงภาพถ่ายแบบ “Moments” ที่รวมภาพจากอดีตในวันเดียวกัน พร้อมฟีเจอร์ Gallery, Albums และ People ที่ช่วยจัดการภาพได้ง่ายขึ้น

    แม้จะเป็นแอปแบบ web-based แต่รายงานจาก Windows Central ระบุว่าแอปนี้ทำงานลื่นไหล ไม่เหมือน Outlook เวอร์ชันใหม่ที่เป็นเว็บแอปแต่มีปัญหาด้านประสิทธิภาพ

    สิ่งที่น่าสนใจคือแอปนี้มีฟีเจอร์ใหม่ที่ยังไม่ปรากฏใน OneDrive เวอร์ชันเว็บ เช่น แถบเมนูลอยที่ปรากฏเมื่อเลือกภาพ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้แชร์ภาพ เพิ่มลงอัลบั้ม หรือจัดการได้ทันที โดยไม่ต้องเลื่อนกลับไปยังเมนูหลัก

    อย่างไรก็ตาม หลายคนตั้งคำถามว่าแอปนี้มีความจำเป็นแค่ไหน เพราะปัจจุบันผู้ใช้สามารถเข้าถึง OneDrive ผ่าน File Explorer หรือแอป Photos ได้อยู่แล้ว แม้จะไม่สวยงามเท่า แต่ก็ใช้งานได้ครบถ้วน

    คาดว่า Microsoft จะเปิดตัวแอปนี้อย่างเป็นทางการในงาน OneDrive Digital Event วันที่ 8 ตุลาคม ซึ่งมีการพูดถึง “ความก้าวหน้าด้าน AI” ของ OneDrive อย่างชัดเจน อาจหมายถึงการฝังฟีเจอร์ Copilot เพื่อช่วยสรุปเอกสารหรือจัดการไฟล์ด้วย AI โดยไม่ต้องเปิดไฟล์เลย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft กำลังพัฒนาแอป OneDrive ใหม่สำหรับ Windows 11 โดยหลุดจากเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท
    แอปมีดีไซน์ใหม่ที่เน้นภาพถ่าย เช่น Moments, Gallery, Albums และ People
    มีแถบเมนูลอยใหม่ที่ช่วยจัดการภาพได้ทันทีเมื่อเลือก
    แอปเป็นแบบ web-based แต่ทำงานลื่นไหล ไม่เหมือน Outlook ใหม่ที่มีปัญหา
    Gallery view ใหม่มีตัวเลือก layout เช่น River, Waterfall และ Square
    คาดว่าจะเปิดตัวในงาน OneDrive Digital Event วันที่ 8 ตุลาคม
    มีการพูดถึงการฝังฟีเจอร์ AI เช่น Copilot เพื่อช่วยจัดการไฟล์และเอกสาร
    แอปนี้อาจมาในรูปแบบอัปเดตซอฟต์แวร์สำหรับผู้ใช้ Windows 11 ปัจจุบัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Copilot เป็น AI ผู้ช่วยของ Microsoft ที่สามารถสรุปเอกสาร ตอบคำถาม และจัดการไฟล์ได้
    OneDrive ปัจจุบันสามารถเข้าถึงผ่าน File Explorer, Photos และเว็บไซต์
    Moments เป็นฟีเจอร์ที่มีอยู่ในแอปมือถือของ OneDrive ซึ่งแสดงภาพจากอดีตในวันเดียวกัน
    การรวมภาพและไฟล์ไว้ในแอปเดียวช่วยลดการสลับแอปและเพิ่ม productivity
    การใช้ web app ช่วยให้ Microsoft อัปเดตฟีเจอร์ได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งระบบปฏิบัติการ

    https://www.techradar.com/computing/windows/will-microsoft-never-learn-leaked-onedrive-app-sparks-fears-of-more-pointless-bloat-in-windows-11
    🗂️ “หลุดแอป OneDrive ใหม่บน Windows 11 — สวยขึ้น ฉลาดขึ้น แต่ผู้ใช้บางส่วนตั้งคำถามว่า ‘จำเป็นแค่ไหน?’” Microsoft กำลังพัฒนาแอป OneDrive ใหม่สำหรับ Windows 11 ซึ่งหลุดออกมาจากเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทเอง โดยแอปนี้มีดีไซน์ใหม่ที่ดูสะอาดตา ทันสมัย และเน้นการใช้งานด้านภาพถ่ายเป็นหลัก เริ่มต้นด้วยหน้าจอแสดงภาพถ่ายแบบ “Moments” ที่รวมภาพจากอดีตในวันเดียวกัน พร้อมฟีเจอร์ Gallery, Albums และ People ที่ช่วยจัดการภาพได้ง่ายขึ้น แม้จะเป็นแอปแบบ web-based แต่รายงานจาก Windows Central ระบุว่าแอปนี้ทำงานลื่นไหล ไม่เหมือน Outlook เวอร์ชันใหม่ที่เป็นเว็บแอปแต่มีปัญหาด้านประสิทธิภาพ สิ่งที่น่าสนใจคือแอปนี้มีฟีเจอร์ใหม่ที่ยังไม่ปรากฏใน OneDrive เวอร์ชันเว็บ เช่น แถบเมนูลอยที่ปรากฏเมื่อเลือกภาพ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้แชร์ภาพ เพิ่มลงอัลบั้ม หรือจัดการได้ทันที โดยไม่ต้องเลื่อนกลับไปยังเมนูหลัก อย่างไรก็ตาม หลายคนตั้งคำถามว่าแอปนี้มีความจำเป็นแค่ไหน เพราะปัจจุบันผู้ใช้สามารถเข้าถึง OneDrive ผ่าน File Explorer หรือแอป Photos ได้อยู่แล้ว แม้จะไม่สวยงามเท่า แต่ก็ใช้งานได้ครบถ้วน คาดว่า Microsoft จะเปิดตัวแอปนี้อย่างเป็นทางการในงาน OneDrive Digital Event วันที่ 8 ตุลาคม ซึ่งมีการพูดถึง “ความก้าวหน้าด้าน AI” ของ OneDrive อย่างชัดเจน อาจหมายถึงการฝังฟีเจอร์ Copilot เพื่อช่วยสรุปเอกสารหรือจัดการไฟล์ด้วย AI โดยไม่ต้องเปิดไฟล์เลย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft กำลังพัฒนาแอป OneDrive ใหม่สำหรับ Windows 11 โดยหลุดจากเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท ➡️ แอปมีดีไซน์ใหม่ที่เน้นภาพถ่าย เช่น Moments, Gallery, Albums และ People ➡️ มีแถบเมนูลอยใหม่ที่ช่วยจัดการภาพได้ทันทีเมื่อเลือก ➡️ แอปเป็นแบบ web-based แต่ทำงานลื่นไหล ไม่เหมือน Outlook ใหม่ที่มีปัญหา ➡️ Gallery view ใหม่มีตัวเลือก layout เช่น River, Waterfall และ Square ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในงาน OneDrive Digital Event วันที่ 8 ตุลาคม ➡️ มีการพูดถึงการฝังฟีเจอร์ AI เช่น Copilot เพื่อช่วยจัดการไฟล์และเอกสาร ➡️ แอปนี้อาจมาในรูปแบบอัปเดตซอฟต์แวร์สำหรับผู้ใช้ Windows 11 ปัจจุบัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Copilot เป็น AI ผู้ช่วยของ Microsoft ที่สามารถสรุปเอกสาร ตอบคำถาม และจัดการไฟล์ได้ ➡️ OneDrive ปัจจุบันสามารถเข้าถึงผ่าน File Explorer, Photos และเว็บไซต์ ➡️ Moments เป็นฟีเจอร์ที่มีอยู่ในแอปมือถือของ OneDrive ซึ่งแสดงภาพจากอดีตในวันเดียวกัน ➡️ การรวมภาพและไฟล์ไว้ในแอปเดียวช่วยลดการสลับแอปและเพิ่ม productivity ➡️ การใช้ web app ช่วยให้ Microsoft อัปเดตฟีเจอร์ได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งระบบปฏิบัติการ https://www.techradar.com/computing/windows/will-microsoft-never-learn-leaked-onedrive-app-sparks-fears-of-more-pointless-bloat-in-windows-11
    WWW.TECHRADAR.COM
    Microsoft's new OneDrive app is leaked - will it be a useful addition to Windows 11, or just pointless bloat?
    The new OneDrive app looks slick, sure, but there are questions about the purpose of this potential addition to the OS
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • “SpaceX เตรียมปล่อยดาวเทียม Starlink กลุ่มใหม่ — พร้อมทดสอบ Starship ครั้งที่ 5 เพื่อภารกิจสู่ดวงจันทร์และดาวอังคาร”

    หลังจากเพิ่งปล่อยดาวเทียม Starlink ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน SpaceX ก็ไม่รอช้า เตรียมภารกิจใหม่ในวันที่ 3 ตุลาคม 2025 โดยจะปล่อยจรวด Falcon 9 จากฐานยิง SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base รัฐแคลิฟอร์เนีย เวลา 6:00 น. PDT (13:00 UTC) ภารกิจนี้มีชื่อว่า Starlink Group 11-39 ซึ่งจะนำดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวงเข้าสู่วงโคจรระดับต่ำที่ความสูงประมาณ 595 กิโลเมตร

    แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ของกลุ่มนี้ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิภาพและขยายพื้นที่ครอบคลุมของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Starlink ที่ปัจจุบันมีดาวเทียมทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวงทั่วโลก

    หลังจากปล่อยดาวเทียมแล้ว บูสเตอร์ขั้นแรกของ Falcon 9 จะพยายามลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura

    นอกจากภารกิจ Starlink แล้ว SpaceX ยังเตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 ในวันที่ 13 ตุลาคม 2025 จากฐาน Starbase ในรัฐเท็กซัส โดยจรวด Starship ถือเป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก และเป็นหัวใจของแผนการพามนุษย์กลับไปดวงจันทร์และเดินทางสู่ดาวอังคารในอนาคต

    การทดสอบครั้งก่อนในเดือนสิงหาคมประสบความสำเร็จ ขณะที่การทดสอบในเดือนมิถุนายนจบลงด้วยการระเบิด แต่ Elon Musk ยืนยันว่าจะเร่งรอบการทดสอบให้เร็วขึ้น หลังได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    ผู้สนใจสามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV หรือบัญชี @SpaceX บนแพลตฟอร์ม X โดยการถ่ายทอดจะเริ่มประมาณ 5 นาทีก่อนปล่อยจรวด และสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Satellite Tracker, SkySafari หรือ Stellarium เพื่อติดตามตำแหน่งของดาวเทียม Starlink ได้แบบเรียลไทม์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SpaceX เตรียมปล่อยจรวด Falcon 9 ภารกิจ Starlink Group 11-39 วันที่ 3 ตุลาคม 2025
    ปล่อยจากฐาน SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base เวลา 6:00 น. PDT
    บรรทุกดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวง เข้าสู่วงโคจรต่ำที่ 595 กม.
    เป็นการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39
    ปัจจุบันมีดาวเทียม Starlink ทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวง
    บูสเตอร์ขั้นแรกจะลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ในมหาสมุทรแปซิฟิก
    อาจเกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura
    SpaceX เตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 วันที่ 13 ตุลาคม 2025 ที่ Starbase, Texas
    Starship เป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ใช้สำหรับภารกิจดวงจันทร์และดาวอังคาร
    การถ่ายทอดสดสามารถดูได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV และบัญชี @SpaceX

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Starlink V2 Mini มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกล
    เรือโดรน “Of Course I Still Love You” เป็นหนึ่งในระบบลงจอดอัตโนมัติของ SpaceX
    Starship มีความสูงกว่า 120 เมตร และสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่า 100 ตัน
    การทดสอบ Starship เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนภารกิจ Artemis ของ NASA
    การติดตามดาวเทียม Starlink สามารถทำได้ผ่านแอปมือถือและเว็บไซต์เฉพาะทาง

    https://www.slashgear.com/1984666/how-to-see-when-and-where-next-spacex-launch-is/
    🚀 “SpaceX เตรียมปล่อยดาวเทียม Starlink กลุ่มใหม่ — พร้อมทดสอบ Starship ครั้งที่ 5 เพื่อภารกิจสู่ดวงจันทร์และดาวอังคาร” หลังจากเพิ่งปล่อยดาวเทียม Starlink ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน SpaceX ก็ไม่รอช้า เตรียมภารกิจใหม่ในวันที่ 3 ตุลาคม 2025 โดยจะปล่อยจรวด Falcon 9 จากฐานยิง SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base รัฐแคลิฟอร์เนีย เวลา 6:00 น. PDT (13:00 UTC) ภารกิจนี้มีชื่อว่า Starlink Group 11-39 ซึ่งจะนำดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวงเข้าสู่วงโคจรระดับต่ำที่ความสูงประมาณ 595 กิโลเมตร แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ของกลุ่มนี้ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิภาพและขยายพื้นที่ครอบคลุมของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Starlink ที่ปัจจุบันมีดาวเทียมทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวงทั่วโลก หลังจากปล่อยดาวเทียมแล้ว บูสเตอร์ขั้นแรกของ Falcon 9 จะพยายามลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura นอกจากภารกิจ Starlink แล้ว SpaceX ยังเตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 ในวันที่ 13 ตุลาคม 2025 จากฐาน Starbase ในรัฐเท็กซัส โดยจรวด Starship ถือเป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก และเป็นหัวใจของแผนการพามนุษย์กลับไปดวงจันทร์และเดินทางสู่ดาวอังคารในอนาคต การทดสอบครั้งก่อนในเดือนสิงหาคมประสบความสำเร็จ ขณะที่การทดสอบในเดือนมิถุนายนจบลงด้วยการระเบิด แต่ Elon Musk ยืนยันว่าจะเร่งรอบการทดสอบให้เร็วขึ้น หลังได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ผู้สนใจสามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV หรือบัญชี @SpaceX บนแพลตฟอร์ม X โดยการถ่ายทอดจะเริ่มประมาณ 5 นาทีก่อนปล่อยจรวด และสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Satellite Tracker, SkySafari หรือ Stellarium เพื่อติดตามตำแหน่งของดาวเทียม Starlink ได้แบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SpaceX เตรียมปล่อยจรวด Falcon 9 ภารกิจ Starlink Group 11-39 วันที่ 3 ตุลาคม 2025 ➡️ ปล่อยจากฐาน SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base เวลา 6:00 น. PDT ➡️ บรรทุกดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวง เข้าสู่วงโคจรต่ำที่ 595 กม. ➡️ เป็นการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ➡️ ปัจจุบันมีดาวเทียม Starlink ทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวง ➡️ บูสเตอร์ขั้นแรกจะลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ในมหาสมุทรแปซิฟิก ➡️ อาจเกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura ➡️ SpaceX เตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 วันที่ 13 ตุลาคม 2025 ที่ Starbase, Texas ➡️ Starship เป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ใช้สำหรับภารกิจดวงจันทร์และดาวอังคาร ➡️ การถ่ายทอดสดสามารถดูได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV และบัญชี @SpaceX ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Starlink V2 Mini มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกล ➡️ เรือโดรน “Of Course I Still Love You” เป็นหนึ่งในระบบลงจอดอัตโนมัติของ SpaceX ➡️ Starship มีความสูงกว่า 120 เมตร และสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่า 100 ตัน ➡️ การทดสอบ Starship เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนภารกิจ Artemis ของ NASA ➡️ การติดตามดาวเทียม Starlink สามารถทำได้ผ่านแอปมือถือและเว็บไซต์เฉพาะทาง https://www.slashgear.com/1984666/how-to-see-when-and-where-next-spacex-launch-is/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Interested In Seeing The Next SpaceX Launch? Here's What We Know About When And Where It Is - SlashGear
    SpaceX’s next Falcon 9 launch is scheduled for Oct. 3, 2025, from Vandenberg SFB in California, carrying 28 Starlink V2 Mini satellites.
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • “RSS กลับมาอีกครั้งในปี 2025 — เมื่อผู้ใช้เบื่ออัลกอริทึมและโหยหาการควบคุมเนื้อหาด้วยตัวเอง”

    ในยุคที่โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยอัลกอริทึมที่คัดกรองเนื้อหาแทนผู้ใช้ เสียงเรียกร้องให้กลับไปใช้ระบบที่ “ผู้ใช้ควบคุมเอง” กำลังดังขึ้นอีกครั้ง และ RSS (Really Simple Syndication) ก็กลับมาเป็นพระเอกที่หลายคนลืมไป

    บทความจาก Tom Burkert ชี้ให้เห็นว่า RSS ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเก่า แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานของเว็บที่ดี” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามเนื้อหาจากแหล่งที่ตนเลือกได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านการคัดกรองของแพลตฟอร์มกลาง ไม่ว่าจะเป็นบล็อก ข่าว หรือพอดแคสต์ — ถ้ามี RSS feed ก็สามารถรวมมาอ่านในที่เดียวได้ทันที

    Burkert เน้นย้ำว่า RSS คือการ “ควบคุมการรับรู้” ที่แท้จริง เพราะผู้ใช้เลือกเองว่าจะติดตามใคร ไม่ใช่ให้แพลตฟอร์มเลือกให้ และยังปลอดภัยจากการติดตามพฤติกรรมหรือโฆษณาแบบเจาะจง เพราะ RSS ไม่ต้องใช้บัญชี ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีการแทรกโฆษณา

    ในขณะที่หลายเว็บไซต์เลิกให้บริการ RSS feed ด้วยเหตุผลด้านการตลาดและการควบคุม traffic ก็มีเครื่องมือใหม่อย่าง RSS.app ที่ช่วยสร้าง feed จากเว็บไซต์ที่ไม่มี RSS ได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถกลับมารวบรวมเนื้อหาได้อย่างอิสระอีกครั้ง

    การกลับมาของ RSS ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของ “เว็บแบบกระจายศูนย์” ที่ไม่พึ่งพาแพลตฟอร์มใหญ่ และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของการรับรู้ของตัวเองอย่างแท้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    RSS เป็นระบบติดตามเนื้อหาที่ผู้ใช้ควบคุมเองได้โดยไม่ผ่านอัลกอริทึม
    ผู้ใช้สามารถรวมเนื้อหาจากหลายแหล่งไว้ในที่เดียว เช่น ข่าว บล็อก พอดแคสต์
    RSS ไม่ต้องใช้บัญชี ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีโฆษณาเจาะจง
    Tom Burkert ยกย่อง RSS ว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของเว็บที่ดี”
    RSS.app ช่วยสร้าง feed จากเว็บไซต์ที่ไม่มี RSS ได้
    การใช้ RSS สะท้อนแนวโน้มของเว็บแบบกระจายศูนย์ที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของการรับรู้
    RSS ช่วยลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มกลางและเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการติดตามเนื้อหา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RSS เริ่มต้นในยุค 90s และเคยเป็นเทคโนโลยีหลักในการติดตามเนื้อหาเว็บ
    การลดลงของ RSS เกิดจากการเติบโตของโซเชียลมีเดียและแอปมือถือ
    OPML คือไฟล์ที่ใช้รวม feed หลายรายการไว้ในที่เดียว
    Feed reader เช่น Feedly, Inoreader, NetNewsWire ยังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้เฉพาะ
    การกลับมาใช้ RSS ช่วยเพิ่ม productivity และลดการเสพเนื้อหาที่ไม่จำเป็น

    https://blog.burkert.me/posts/in_praise_of_syndication/
    📡 “RSS กลับมาอีกครั้งในปี 2025 — เมื่อผู้ใช้เบื่ออัลกอริทึมและโหยหาการควบคุมเนื้อหาด้วยตัวเอง” ในยุคที่โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยอัลกอริทึมที่คัดกรองเนื้อหาแทนผู้ใช้ เสียงเรียกร้องให้กลับไปใช้ระบบที่ “ผู้ใช้ควบคุมเอง” กำลังดังขึ้นอีกครั้ง และ RSS (Really Simple Syndication) ก็กลับมาเป็นพระเอกที่หลายคนลืมไป บทความจาก Tom Burkert ชี้ให้เห็นว่า RSS ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเก่า แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานของเว็บที่ดี” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามเนื้อหาจากแหล่งที่ตนเลือกได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านการคัดกรองของแพลตฟอร์มกลาง ไม่ว่าจะเป็นบล็อก ข่าว หรือพอดแคสต์ — ถ้ามี RSS feed ก็สามารถรวมมาอ่านในที่เดียวได้ทันที Burkert เน้นย้ำว่า RSS คือการ “ควบคุมการรับรู้” ที่แท้จริง เพราะผู้ใช้เลือกเองว่าจะติดตามใคร ไม่ใช่ให้แพลตฟอร์มเลือกให้ และยังปลอดภัยจากการติดตามพฤติกรรมหรือโฆษณาแบบเจาะจง เพราะ RSS ไม่ต้องใช้บัญชี ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีการแทรกโฆษณา ในขณะที่หลายเว็บไซต์เลิกให้บริการ RSS feed ด้วยเหตุผลด้านการตลาดและการควบคุม traffic ก็มีเครื่องมือใหม่อย่าง RSS.app ที่ช่วยสร้าง feed จากเว็บไซต์ที่ไม่มี RSS ได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถกลับมารวบรวมเนื้อหาได้อย่างอิสระอีกครั้ง การกลับมาของ RSS ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของ “เว็บแบบกระจายศูนย์” ที่ไม่พึ่งพาแพลตฟอร์มใหญ่ และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของการรับรู้ของตัวเองอย่างแท้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ RSS เป็นระบบติดตามเนื้อหาที่ผู้ใช้ควบคุมเองได้โดยไม่ผ่านอัลกอริทึม ➡️ ผู้ใช้สามารถรวมเนื้อหาจากหลายแหล่งไว้ในที่เดียว เช่น ข่าว บล็อก พอดแคสต์ ➡️ RSS ไม่ต้องใช้บัญชี ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีโฆษณาเจาะจง ➡️ Tom Burkert ยกย่อง RSS ว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของเว็บที่ดี” ➡️ RSS.app ช่วยสร้าง feed จากเว็บไซต์ที่ไม่มี RSS ได้ ➡️ การใช้ RSS สะท้อนแนวโน้มของเว็บแบบกระจายศูนย์ที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของการรับรู้ ➡️ RSS ช่วยลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มกลางและเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการติดตามเนื้อหา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RSS เริ่มต้นในยุค 90s และเคยเป็นเทคโนโลยีหลักในการติดตามเนื้อหาเว็บ ➡️ การลดลงของ RSS เกิดจากการเติบโตของโซเชียลมีเดียและแอปมือถือ ➡️ OPML คือไฟล์ที่ใช้รวม feed หลายรายการไว้ในที่เดียว ➡️ Feed reader เช่น Feedly, Inoreader, NetNewsWire ยังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้เฉพาะ ➡️ การกลับมาใช้ RSS ช่วยเพิ่ม productivity และลดการเสพเนื้อหาที่ไม่จำเป็น https://blog.burkert.me/posts/in_praise_of_syndication/
    BLOG.BURKERT.ME
    In Praise of RSS and Controlled Feeds of Information
    The way we consume content on the internet is increasingly driven by walled-garden platforms and black-box feed algorithms. This shift is making our media diets miserable. Ironically, a solution to the problem predates algorithmic feeds, social media and other forms of informational junk food. It is called RSS (Really Simple Syndication) and it is beautiful. What the hell is RSS? RSS is just a format that defines how websites can publish updates (articles, posts, episodes, and so on) in a standard feed that you can subscribe to using an RSS reader (or aggregator). Don’t worry if this sounds extremely uninteresting to you; there aren’t many people that get excited about format specifications; the beauty of RSS is in its simplicity. Any content management system or blog platform supports RSS out of the box, and often enables it by default. As a result, a large portion of the content on the internet is available to you in feeds that you can tap into. But this time, you’re in full control of what you’re receiving, and the feeds are purely reverse chronological bliss. Coincidentally, you might already be using RSS without even knowing, because the whole podcasting world runs on RSS.
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • “วิวัฒนาการของ iPhone Unlockers — จาก Jailbreak สู่เครื่องมือปลดล็อกแบบปลอดภัยด้วย Dr.Fone”

    ตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2007 ผู้ใช้จำนวนมากต่างพยายามหาวิธี “ปลดล็อก” อุปกรณ์เพื่อให้ใช้งานได้อิสระมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแอปนอก App Store หรือเปลี่ยนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ในยุคแรก การปลดล็อกมักต้องพึ่งพา “Jailbreak” ซึ่งแม้จะให้เสรีภาพ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง เช่น เครื่องไม่เสถียร แบตหมดเร็ว หรือแม้แต่การโดนมัลแวร์

    ต่อมาเกิดการปลดล็อกแบบ SIM Unlock เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเครือข่ายได้ โดยมีทั้งวิธีขอปลดล็อกจากผู้ให้บริการอย่างถูกต้องตามสัญญา และวิธีใช้ชิปปลอมที่แอบเปลี่ยนการทำงานของ SIM ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็เสี่ยงต่อการใช้งานไม่เสถียร หรือถูกนำไปใช้ในตลาดมืด

    Apple เองก็เริ่มเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อกได้อย่างถูกต้อง เช่น การใช้ iCloud ลบข้อมูลผ่าน “Find My iPhone”, การ Restore ผ่าน iTunes หรือ Finder และการเข้า Recovery Mode เพื่อรีเซ็ตเครื่อง ซึ่งแม้จะปลอดภัย แต่ก็ต้องใช้ Apple ID เดิม และมักทำให้ข้อมูลหายทั้งหมด

    เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple แข็งแกร่งขึ้น ผู้ใช้ที่ลืมรหัสผ่าน หรือซื้อเครื่องมือสองที่ล็อกอยู่ ก็เริ่มหันไปใช้เครื่องมือจากผู้พัฒนาภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ซึ่งออกแบบมาให้ปลดล็อกได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ และรองรับการปลดล็อกหลายรูปแบบ เช่น Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และแม้แต่ SIM Lock

    Dr.Fone ยังรองรับ iOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 7 ถึง 26 รวมถึง iPhone 17 series และสามารถทำงานผ่าน Recovery Mode หรือ DFU Mode โดยมีขั้นตอนที่ชัดเจนและปลอดภัย พร้อมคำแนะนำให้ผู้ใช้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มกระบวนการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    การปลดล็อก iPhone เริ่มจาก Jailbreak ซึ่งเสี่ยงต่อความไม่เสถียรและมัลแวร์
    SIM Unlock มีทั้งแบบขอจากผู้ให้บริการและใช้ชิปปลอม ซึ่งมีข้อจำกัด
    Apple มีวิธีปลดล็อกอย่างเป็นทางการ เช่น iCloud, iTunes/Finder และ Recovery Mode
    เครื่องมือจากภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ช่วยปลดล็อกได้หลายรูปแบบ
    Dr.Fone รองรับ iOS 7–26 และ iPhone 17 series
    สามารถปลดล็อก Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และ SIM Lock
    ใช้ Recovery Mode หรือ DFU Mode เพื่อเริ่มกระบวนการปลดล็อก
    มีคำแนะนำให้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มใช้งานเพื่อความปลอดภัย
    การปลดล็อกผ่าน Dr.Fone เป็นวิธีที่ถูกกฎหมายและไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Jailbreaking คือการปรับแต่งระบบ iOS เพื่อให้เข้าถึงฟีเจอร์ที่ถูกจำกัด
    SIM Unlock ช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครือข่ายได้โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่
    Recovery Mode และ DFU Mode เป็นโหมดพิเศษที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา iOS
    Dr.Fone เป็นผลิตภัณฑ์จาก Wondershare ที่มีเครื่องมือจัดการข้อมูล iOS ครบวงจร
    การปลดล็อกที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องไม่เกี่ยวข้องกับเครื่องที่ถูกขโมยหรือ IMEI ที่ถูกบล็อก

    https://securityonline.info/the-evolution-of-iphone-unlockers-from-jailbreaks-to-secure-recovery-tools/
    📱 “วิวัฒนาการของ iPhone Unlockers — จาก Jailbreak สู่เครื่องมือปลดล็อกแบบปลอดภัยด้วย Dr.Fone” ตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2007 ผู้ใช้จำนวนมากต่างพยายามหาวิธี “ปลดล็อก” อุปกรณ์เพื่อให้ใช้งานได้อิสระมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแอปนอก App Store หรือเปลี่ยนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ในยุคแรก การปลดล็อกมักต้องพึ่งพา “Jailbreak” ซึ่งแม้จะให้เสรีภาพ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง เช่น เครื่องไม่เสถียร แบตหมดเร็ว หรือแม้แต่การโดนมัลแวร์ ต่อมาเกิดการปลดล็อกแบบ SIM Unlock เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเครือข่ายได้ โดยมีทั้งวิธีขอปลดล็อกจากผู้ให้บริการอย่างถูกต้องตามสัญญา และวิธีใช้ชิปปลอมที่แอบเปลี่ยนการทำงานของ SIM ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็เสี่ยงต่อการใช้งานไม่เสถียร หรือถูกนำไปใช้ในตลาดมืด Apple เองก็เริ่มเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อกได้อย่างถูกต้อง เช่น การใช้ iCloud ลบข้อมูลผ่าน “Find My iPhone”, การ Restore ผ่าน iTunes หรือ Finder และการเข้า Recovery Mode เพื่อรีเซ็ตเครื่อง ซึ่งแม้จะปลอดภัย แต่ก็ต้องใช้ Apple ID เดิม และมักทำให้ข้อมูลหายทั้งหมด เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple แข็งแกร่งขึ้น ผู้ใช้ที่ลืมรหัสผ่าน หรือซื้อเครื่องมือสองที่ล็อกอยู่ ก็เริ่มหันไปใช้เครื่องมือจากผู้พัฒนาภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ซึ่งออกแบบมาให้ปลดล็อกได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ และรองรับการปลดล็อกหลายรูปแบบ เช่น Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และแม้แต่ SIM Lock Dr.Fone ยังรองรับ iOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 7 ถึง 26 รวมถึง iPhone 17 series และสามารถทำงานผ่าน Recovery Mode หรือ DFU Mode โดยมีขั้นตอนที่ชัดเจนและปลอดภัย พร้อมคำแนะนำให้ผู้ใช้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มกระบวนการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ การปลดล็อก iPhone เริ่มจาก Jailbreak ซึ่งเสี่ยงต่อความไม่เสถียรและมัลแวร์ ➡️ SIM Unlock มีทั้งแบบขอจากผู้ให้บริการและใช้ชิปปลอม ซึ่งมีข้อจำกัด ➡️ Apple มีวิธีปลดล็อกอย่างเป็นทางการ เช่น iCloud, iTunes/Finder และ Recovery Mode ➡️ เครื่องมือจากภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ช่วยปลดล็อกได้หลายรูปแบบ ➡️ Dr.Fone รองรับ iOS 7–26 และ iPhone 17 series ➡️ สามารถปลดล็อก Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และ SIM Lock ➡️ ใช้ Recovery Mode หรือ DFU Mode เพื่อเริ่มกระบวนการปลดล็อก ➡️ มีคำแนะนำให้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มใช้งานเพื่อความปลอดภัย ➡️ การปลดล็อกผ่าน Dr.Fone เป็นวิธีที่ถูกกฎหมายและไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Jailbreaking คือการปรับแต่งระบบ iOS เพื่อให้เข้าถึงฟีเจอร์ที่ถูกจำกัด ➡️ SIM Unlock ช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครือข่ายได้โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ ➡️ Recovery Mode และ DFU Mode เป็นโหมดพิเศษที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา iOS ➡️ Dr.Fone เป็นผลิตภัณฑ์จาก Wondershare ที่มีเครื่องมือจัดการข้อมูล iOS ครบวงจร ➡️ การปลดล็อกที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องไม่เกี่ยวข้องกับเครื่องที่ถูกขโมยหรือ IMEI ที่ถูกบล็อก https://securityonline.info/the-evolution-of-iphone-unlockers-from-jailbreaks-to-secure-recovery-tools/
    SECURITYONLINE.INFO
    The Evolution of iPhone Unlockers: From Jailbreaks to Secure Recovery Tools
    Looking for the best iPhone unlocker? Learn how iPhone unlocking evolved from jailbreak hacks to secure recovery tools like Dr.Fone. Read this guide for a safe and easy unlocking process.
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • “5 สุดยอดแกดเจ็ตแห่งปี 2025 — บางชิ้นไม่ใหม่ แต่ ‘สมบูรณ์แบบ’ จนต้องยกนิ้วให้”

    ปี 2025 เป็นปีที่เทคโนโลยีไม่ได้แค่ “ใหม่” แต่หลายแบรนด์เลือกที่จะ “ปรับปรุงของเดิมให้ดีที่สุด” และผลลัพธ์คือแกดเจ็ตที่ทั้งคุ้นเคยและน่าทึ่ง SlashGear ได้คัดเลือก 5 แกดเจ็ตที่โดดเด่นที่สุดแห่งปี ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องนวัตกรรม แต่คือการออกแบบที่เข้าใจผู้ใช้จริง ๆ

    เริ่มจาก Nintendo Switch 2 ที่แม้จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากรุ่นแรก แต่กลับขายได้ถึง 6 ล้านเครื่องภายในไม่กี่เดือน เพราะมันแก้ปัญหาเดิมได้หมด — เล่นเกม AAA ได้ลื่นขึ้น, Joy-Con แน่นขึ้นและใช้เป็นเมาส์ได้, แม้จะยังมี Joy-Con drift และต้องซื้อ microSD Express เพิ่ม แต่ก็ถือว่า “สมบูรณ์แบบในสิ่งที่มันเป็น”

    ต่อมา iPhone Air ที่บางเฉียบจนหลายคนคิดว่าเป็นแค่โชว์ดีไซน์ แต่กลับทนทานเกินคาด — ทดสอบแรงกดถึง 215 ปอนด์ถึงจะแตก และรอดจากการตก 200 ฟุตได้แบบหน้าจอไม่พัง แม้จะมีข้อเสียเรื่องกล้องเดียว, ลำโพงเดียว, USB ช้า และ GPU อ่อน แต่ก็เป็นต้นแบบของมือถือยุคใหม่ที่เบาและใช้งานได้นาน

    Sony WH-1000XM6 คือการแก้ไขข้อผิดพลาดจากรุ่น XM5 — กลับมาใช้ดีไซน์พับได้, ปรับคุณภาพเสียงและไมค์ให้ดีขึ้น, เพิ่มปุ่มที่ใช้งานง่ายขึ้น และเปลี่ยนเคสให้ใช้แม่เหล็กแทนซิป แม้แบตยังอยู่ที่ 30 ชั่วโมงเหมือนเดิม แต่คุณภาพโดยรวมถือว่า “พร้อมใช้งานยาว ๆ อีก 10 ปี”

    Legion Go S (SteamOS Edition) คือเครื่องเกมพกพาที่ไม่ใช้ Windows แต่ใช้ SteamOS โดยตรง — ทำให้เล่นเกมลื่นกว่า, ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และเป็นครั้งแรกที่แบรนด์ใหญ่อย่าง Lenovo ส่งเครื่อง Linux ออกสู่ตลาดโดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของวงการ handheld gaming

    สุดท้าย 8BitDo Ultimate 2 Wireless Controller ที่แม้จะเป็นรุ่นอัปเกรดเล็ก ๆ แต่กลับใส่ฟีเจอร์มาเต็ม — ปุ่มเสริม, trigger lock, dock ชาร์จแบบ low-latency, joystick แบบ TMR และ Hall-effect ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน ใช้ได้กับทุกแพลตฟอร์ม และราคาลดเหลือเพียง $30 ในบางช่วง

    https://www.slashgear.com/1982586/coolest-gadgets-released-2025/
    🧩 “5 สุดยอดแกดเจ็ตแห่งปี 2025 — บางชิ้นไม่ใหม่ แต่ ‘สมบูรณ์แบบ’ จนต้องยกนิ้วให้” ปี 2025 เป็นปีที่เทคโนโลยีไม่ได้แค่ “ใหม่” แต่หลายแบรนด์เลือกที่จะ “ปรับปรุงของเดิมให้ดีที่สุด” และผลลัพธ์คือแกดเจ็ตที่ทั้งคุ้นเคยและน่าทึ่ง SlashGear ได้คัดเลือก 5 แกดเจ็ตที่โดดเด่นที่สุดแห่งปี ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องนวัตกรรม แต่คือการออกแบบที่เข้าใจผู้ใช้จริง ๆ 🔰 เริ่มจาก Nintendo Switch 2 ที่แม้จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากรุ่นแรก แต่กลับขายได้ถึง 6 ล้านเครื่องภายในไม่กี่เดือน เพราะมันแก้ปัญหาเดิมได้หมด — เล่นเกม AAA ได้ลื่นขึ้น, Joy-Con แน่นขึ้นและใช้เป็นเมาส์ได้, แม้จะยังมี Joy-Con drift และต้องซื้อ microSD Express เพิ่ม แต่ก็ถือว่า “สมบูรณ์แบบในสิ่งที่มันเป็น” 🔰 ต่อมา iPhone Air ที่บางเฉียบจนหลายคนคิดว่าเป็นแค่โชว์ดีไซน์ แต่กลับทนทานเกินคาด — ทดสอบแรงกดถึง 215 ปอนด์ถึงจะแตก และรอดจากการตก 200 ฟุตได้แบบหน้าจอไม่พัง แม้จะมีข้อเสียเรื่องกล้องเดียว, ลำโพงเดียว, USB ช้า และ GPU อ่อน แต่ก็เป็นต้นแบบของมือถือยุคใหม่ที่เบาและใช้งานได้นาน 🔰 Sony WH-1000XM6 คือการแก้ไขข้อผิดพลาดจากรุ่น XM5 — กลับมาใช้ดีไซน์พับได้, ปรับคุณภาพเสียงและไมค์ให้ดีขึ้น, เพิ่มปุ่มที่ใช้งานง่ายขึ้น และเปลี่ยนเคสให้ใช้แม่เหล็กแทนซิป แม้แบตยังอยู่ที่ 30 ชั่วโมงเหมือนเดิม แต่คุณภาพโดยรวมถือว่า “พร้อมใช้งานยาว ๆ อีก 10 ปี” 🔰 Legion Go S (SteamOS Edition) คือเครื่องเกมพกพาที่ไม่ใช้ Windows แต่ใช้ SteamOS โดยตรง — ทำให้เล่นเกมลื่นกว่า, ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และเป็นครั้งแรกที่แบรนด์ใหญ่อย่าง Lenovo ส่งเครื่อง Linux ออกสู่ตลาดโดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของวงการ handheld gaming 🔰 สุดท้าย 8BitDo Ultimate 2 Wireless Controller ที่แม้จะเป็นรุ่นอัปเกรดเล็ก ๆ แต่กลับใส่ฟีเจอร์มาเต็ม — ปุ่มเสริม, trigger lock, dock ชาร์จแบบ low-latency, joystick แบบ TMR และ Hall-effect ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน ใช้ได้กับทุกแพลตฟอร์ม และราคาลดเหลือเพียง $30 ในบางช่วง https://www.slashgear.com/1982586/coolest-gadgets-released-2025/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Of The Coolest Gadgets Released In 2025 - SlashGear
    A look at five standout gadgets released in 2025, from powerful handhelds to next-gen audio and ultra-thin phones that push design limits.
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์ — เพราะมันอาจไม่ใช่แค่ชาร์จแบต แต่เปิดประตูให้ภัยไซเบอร์”

    หลายคนอาจคิดว่าพอร์ต USB บนโทรศัพท์มือถือมีไว้แค่ชาร์จแบตหรือโอนข้อมูล แต่ในความเป็นจริง มันคือจุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งของอุปกรณ์ — ทั้งในแง่พลังงาน การสื่อสารข้อมูล และความปลอดภัยของระบบ หากเสียบอุปกรณ์ผิดประเภทเข้าไป อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ชิ้นส่วนภายในพัง หรือที่ร้ายที่สุดคือข้อมูลส่วนตัวถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว

    บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์” พร้อมเหตุผลที่ฟังแล้วอาจทำให้คุณเปลี่ยนพฤติกรรมทันที:

    1️⃣ สายชาร์จปลอม หรือไม่ได้รับการรับรอง — สายราคาถูกอาจไม่มีระบบป้องกันไฟกระชากหรือการควบคุมแรงดันไฟฟ้าอย่างเหมาะสม บางสายยังมีชิปซ่อนอยู่เพื่อดักข้อมูลหรือฝังมัลแวร์ เช่น “O.MG Cable” ที่เคยถูกใช้ในการแฮกอุปกรณ์โดยตรง

    2️⃣ สถานีชาร์จสาธารณะ — ที่สนามบินหรือห้างสรรพสินค้าอาจมีพอร์ต USB ให้เสียบชาร์จฟรี แต่หลายแห่งถูกแฮกเกอร์ดัดแปลงให้เป็นเครื่องมือโจมตีแบบ “Juice Jacking” ซึ่งสามารถติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผ่านสาย USB ได้ทันที

    3️⃣ แฟลชไดรฟ์หรืออุปกรณ์ USB ที่ไม่รู้แหล่งที่มา — อุปกรณ์เหล่านี้อาจมีมัลแวร์ หรือแม้แต่ “USB Killer” ที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อทำลายวงจรภายในโทรศัพท์

    4️⃣ ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก — แม้จะสามารถเชื่อมต่อได้ แต่ฮาร์ดไดรฟ์บางรุ่นใช้พลังงานมากเกินกว่าที่โทรศัพท์จะรองรับ ทำให้เกิดความร้อนสูงและอาจทำให้พอร์ต USB เสียหาย

    5️⃣ หัวชาร์จที่มีวัตต์สูงเกินไป — การใช้หัวชาร์จที่ไม่ตรงกับสเปกของโทรศัพท์อาจทำให้เกิดความร้อนสูงเกินไป หรือทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วโดยไม่รู้ตัว

    https://www.slashgear.com/1982162/gadgets-to-never-plug-into-phone-usb-ports/
    🔌 “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์ — เพราะมันอาจไม่ใช่แค่ชาร์จแบต แต่เปิดประตูให้ภัยไซเบอร์” หลายคนอาจคิดว่าพอร์ต USB บนโทรศัพท์มือถือมีไว้แค่ชาร์จแบตหรือโอนข้อมูล แต่ในความเป็นจริง มันคือจุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งของอุปกรณ์ — ทั้งในแง่พลังงาน การสื่อสารข้อมูล และความปลอดภัยของระบบ หากเสียบอุปกรณ์ผิดประเภทเข้าไป อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ชิ้นส่วนภายในพัง หรือที่ร้ายที่สุดคือข้อมูลส่วนตัวถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์” พร้อมเหตุผลที่ฟังแล้วอาจทำให้คุณเปลี่ยนพฤติกรรมทันที: 1️⃣ สายชาร์จปลอม หรือไม่ได้รับการรับรอง — สายราคาถูกอาจไม่มีระบบป้องกันไฟกระชากหรือการควบคุมแรงดันไฟฟ้าอย่างเหมาะสม บางสายยังมีชิปซ่อนอยู่เพื่อดักข้อมูลหรือฝังมัลแวร์ เช่น “O.MG Cable” ที่เคยถูกใช้ในการแฮกอุปกรณ์โดยตรง 2️⃣ สถานีชาร์จสาธารณะ — ที่สนามบินหรือห้างสรรพสินค้าอาจมีพอร์ต USB ให้เสียบชาร์จฟรี แต่หลายแห่งถูกแฮกเกอร์ดัดแปลงให้เป็นเครื่องมือโจมตีแบบ “Juice Jacking” ซึ่งสามารถติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผ่านสาย USB ได้ทันที 3️⃣ แฟลชไดรฟ์หรืออุปกรณ์ USB ที่ไม่รู้แหล่งที่มา — อุปกรณ์เหล่านี้อาจมีมัลแวร์ หรือแม้แต่ “USB Killer” ที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อทำลายวงจรภายในโทรศัพท์ 4️⃣ ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก — แม้จะสามารถเชื่อมต่อได้ แต่ฮาร์ดไดรฟ์บางรุ่นใช้พลังงานมากเกินกว่าที่โทรศัพท์จะรองรับ ทำให้เกิดความร้อนสูงและอาจทำให้พอร์ต USB เสียหาย 5️⃣ หัวชาร์จที่มีวัตต์สูงเกินไป — การใช้หัวชาร์จที่ไม่ตรงกับสเปกของโทรศัพท์อาจทำให้เกิดความร้อนสูงเกินไป หรือทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วโดยไม่รู้ตัว https://www.slashgear.com/1982162/gadgets-to-never-plug-into-phone-usb-ports/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Things You Should Never Plug Into Your Phone's USB Ports (And Why) - SlashGear
    Your smartphone's USB port means it's compatible with a wide range of USB-powered accessories, but you'll want to avoid connecting it to just anything.
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • “Immich v2.0.0 เปิดตัวเวอร์ชัน Stable อย่างเป็นทางการ — เสถียรขึ้น เร็วขึ้น พร้อมฟีเจอร์ใหม่และแผนบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส”

    Immich คือซอฟต์แวร์แบบ self-hosted สำหรับจัดการรูปภาพและวิดีโอ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการ Cloud จากผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Google Photos หรือ iCloud

    หลังจากใช้เวลากว่า 1,337 วันในการพัฒนา ล่าสุดทีมงาน Immich ได้ประกาศเปิดตัวเวอร์ชัน v2.0.0 อย่างเป็นทางการในฐานะ “Stable Release” ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญของโครงการนี้

    การประกาศครั้งนี้มาพร้อมกับการยืนยันว่า Immich ได้แก้ไขปัญหาทางเทคนิคจำนวนมาก และเข้าสู่สถานะที่พร้อมใช้งานในระดับองค์กร โดยจะเน้นการรักษาความเข้ากันได้ระหว่างเวอร์ชัน และลดภาระในการอัปเดตในอนาคต พร้อมทั้งนำระบบ semantic versioning มาใช้เพื่อให้การจัดการเวอร์ชันมีความชัดเจน

    เพื่อเฉลิมฉลอง ทีมงานได้เปิดตัว Immich ในรูปแบบแผ่น DVD ที่สามารถบูตระบบได้ทันที พร้อมภาพตัวอย่างจากทีมงาน และวางจำหน่ายผ่านร้าน merch ที่มีดีไซน์ย้อนยุคให้เลือกซื้อ

    ในแผนงานอนาคต Immich เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ auto-stacking, ปรับปรุงการแชร์, การจัดการกลุ่ม, และระบบ ownership รวมถึงการพัฒนาให้เว็บและแอปมือถือมีฟีเจอร์เท่าเทียมกัน นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส end-to-end ที่สามารถสำรองข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกได้ พร้อมฟีเจอร์ “buddy backup” สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยเพิ่มขึ้น

    ทีมงานยังเน้นว่าจะไม่มีการล็อกฟีเจอร์ไว้หลัง paywall แต่จะมีบริการเสริมแบบสมัครใจเพื่อสนับสนุนโครงการ และจะเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างโปร่งใส โดยเปิดให้ชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็นก่อนนำไปใช้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Immich v2.0.0 เปิดตัวเป็นเวอร์ชัน Stable อย่างเป็นทางการ
    ใช้ระบบ semantic versioning เพื่อจัดการเวอร์ชันแบบ MAJOR.MINOR.PATCH
    รองรับการทำงานร่วมกันระหว่างแอปมือถือ v2.x.x กับเซิร์ฟเวอร์ v2.x.x ทุกเวอร์ชัน
    แก้ไขปัญหาทางเทคนิคจำนวนมาก และลบแบนเนอร์คำเตือนออกจากเว็บไซต์
    เปิดตัวแผ่น DVD ที่สามารถบูต Immich ได้ พร้อมภาพตัวอย่างจากทีมงาน
    ร้าน merch มีสินค้าดีไซน์ย้อนยุคให้เลือกซื้อ
    แผนงานอนาคตรวมถึง auto-stacking, การแชร์, การจัดการกลุ่ม และ ownership
    เตรียมเปิดบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส end-to-end และ buddy backup
    ไม่มีการล็อกฟีเจอร์ไว้หลัง paywall แต่มีบริการเสริมแบบสมัครใจ
    จะเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างโปร่งใส โดยเปิดให้ชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Immich เป็นหนึ่งในโครงการ open-source ที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่ม self-hosted media
    Semantic versioning ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถวางแผนการอัปเดตได้ง่ายขึ้น
    ระบบ buddy backup เป็นแนวคิดที่ใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล
    การใช้ DVD บูตระบบเป็นการสร้างความทรงจำแบบ retro และลดความซับซ้อนในการติดตั้ง
    การเก็บข้อมูลการใช้งานแบบโปร่งใสช่วยลดความกังวลเรื่อง privacy ในชุมชน open-source

    https://github.com/immich-app/immich/discussions/22546
    📸 “Immich v2.0.0 เปิดตัวเวอร์ชัน Stable อย่างเป็นทางการ — เสถียรขึ้น เร็วขึ้น พร้อมฟีเจอร์ใหม่และแผนบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส” Immich คือซอฟต์แวร์แบบ self-hosted สำหรับจัดการรูปภาพและวิดีโอ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการ Cloud จากผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Google Photos หรือ iCloud หลังจากใช้เวลากว่า 1,337 วันในการพัฒนา ล่าสุดทีมงาน Immich ได้ประกาศเปิดตัวเวอร์ชัน v2.0.0 อย่างเป็นทางการในฐานะ “Stable Release” ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญของโครงการนี้ การประกาศครั้งนี้มาพร้อมกับการยืนยันว่า Immich ได้แก้ไขปัญหาทางเทคนิคจำนวนมาก และเข้าสู่สถานะที่พร้อมใช้งานในระดับองค์กร โดยจะเน้นการรักษาความเข้ากันได้ระหว่างเวอร์ชัน และลดภาระในการอัปเดตในอนาคต พร้อมทั้งนำระบบ semantic versioning มาใช้เพื่อให้การจัดการเวอร์ชันมีความชัดเจน เพื่อเฉลิมฉลอง ทีมงานได้เปิดตัว Immich ในรูปแบบแผ่น DVD ที่สามารถบูตระบบได้ทันที พร้อมภาพตัวอย่างจากทีมงาน และวางจำหน่ายผ่านร้าน merch ที่มีดีไซน์ย้อนยุคให้เลือกซื้อ ในแผนงานอนาคต Immich เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ auto-stacking, ปรับปรุงการแชร์, การจัดการกลุ่ม, และระบบ ownership รวมถึงการพัฒนาให้เว็บและแอปมือถือมีฟีเจอร์เท่าเทียมกัน นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส end-to-end ที่สามารถสำรองข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกได้ พร้อมฟีเจอร์ “buddy backup” สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ทีมงานยังเน้นว่าจะไม่มีการล็อกฟีเจอร์ไว้หลัง paywall แต่จะมีบริการเสริมแบบสมัครใจเพื่อสนับสนุนโครงการ และจะเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างโปร่งใส โดยเปิดให้ชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็นก่อนนำไปใช้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Immich v2.0.0 เปิดตัวเป็นเวอร์ชัน Stable อย่างเป็นทางการ ➡️ ใช้ระบบ semantic versioning เพื่อจัดการเวอร์ชันแบบ MAJOR.MINOR.PATCH ➡️ รองรับการทำงานร่วมกันระหว่างแอปมือถือ v2.x.x กับเซิร์ฟเวอร์ v2.x.x ทุกเวอร์ชัน ➡️ แก้ไขปัญหาทางเทคนิคจำนวนมาก และลบแบนเนอร์คำเตือนออกจากเว็บไซต์ ➡️ เปิดตัวแผ่น DVD ที่สามารถบูต Immich ได้ พร้อมภาพตัวอย่างจากทีมงาน ➡️ ร้าน merch มีสินค้าดีไซน์ย้อนยุคให้เลือกซื้อ ➡️ แผนงานอนาคตรวมถึง auto-stacking, การแชร์, การจัดการกลุ่ม และ ownership ➡️ เตรียมเปิดบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส end-to-end และ buddy backup ➡️ ไม่มีการล็อกฟีเจอร์ไว้หลัง paywall แต่มีบริการเสริมแบบสมัครใจ ➡️ จะเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างโปร่งใส โดยเปิดให้ชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Immich เป็นหนึ่งในโครงการ open-source ที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่ม self-hosted media ➡️ Semantic versioning ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถวางแผนการอัปเดตได้ง่ายขึ้น ➡️ ระบบ buddy backup เป็นแนวคิดที่ใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ การใช้ DVD บูตระบบเป็นการสร้างความทรงจำแบบ retro และลดความซับซ้อนในการติดตั้ง ➡️ การเก็บข้อมูลการใช้งานแบบโปร่งใสช่วยลดความกังวลเรื่อง privacy ในชุมชน open-source https://github.com/immich-app/immich/discussions/22546
    GITHUB.COM
    v2.0.0 - Stable Release of Immich · immich-app/immich · Discussion #22546
    v2.0.0 - Stable Release of Immich Watch the video Welcome Hello everyone, After: ~1,337 days, 271 releases, 78,000 stars on GitHub, 1,558 contributors, 31,500 members on Discord, 36,000 members on ...
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • “ซื้อ iPhone รีเฟอร์บจาก Temu — ได้ของดีเกินคาด แต่ความเสี่ยงยังไม่หายไป”

    YouTuber ชื่อดังด้านซ่อมมือถือ “Phone Repair Guru” ได้ทดลองซื้อ iPhone 14 Pro แบบรีเฟอร์บ (refurbished) จาก Temu จำนวน 2 เครื่อง เพื่อพิสูจน์ว่าโทรศัพท์ที่ขายในแพลตฟอร์มจีนราคาประหยัดนี้ “คุ้มจริงหรือแค่หลอก” โดยเขาได้ทำการแกะกล่อง ตรวจสอบสภาพภายนอก และรื้อเครื่องเพื่อดูชิ้นส่วนภายในอย่างละเอียด

    ผลลัพธ์น่าประหลาดใจ: ทั้งสองเครื่องอยู่ในสภาพ “แทบสมบูรณ์” ไม่มีร่องรอยการซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ภายใน แม้จะมีฟิล์มกันรอยติดมา ซึ่งบางครั้งใช้เพื่อปกปิดรอยขีดข่วน แต่เมื่อแกะออกพบว่าเครื่องหนึ่งมีรอยเล็กน้อย ส่วนอีกเครื่องดูใหม่มาก

    เขายังตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ พบว่าอยู่ที่ 80% และ 83% ซึ่งยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติตามมาตรฐานของ Apple และเมื่อรันระบบ Diagnostics ก็ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ทำงานได้ดี

    เมื่อรื้อเครื่อง เขาพบว่า seal กันน้ำยังไม่ถูกแกะ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว หมายถึงไม่เคยโดนน้ำมาก่อน ชิ้นส่วนภายในทั้งหมดเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการเปลี่ยนหรือดัดแปลงใด ๆ

    อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าแม้เครื่องที่ได้จะดี แต่ราคาที่จ่ายคือ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง (ประมาณ 615 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าราคามือสองทั่วไปถึงสองเท่า และ Temu ยังมีชื่อเสียงด้านการขายสินค้าปลอม โดยเขาแสดงภาพโฆษณา iPhone ปลอมที่พบในแอป Temu เพื่อเตือนผู้ชมว่า “โชคดีครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนกัน”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    YouTuber Phone Repair Guru ซื้อ iPhone 14 Pro รีเฟอร์บจาก Temu จำนวน 2 เครื่อง
    เครื่องทั้งสองอยู่ในสภาพดีมาก ไม่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนภายใน
    ฟิล์มกันรอยอาจใช้เพื่อปกปิดรอย แต่เมื่อแกะออกพบว่ารอยมีน้อยมาก
    สุขภาพแบตเตอรี่อยู่ที่ 80% และ 83% ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ระบบ Diagnostics ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์
    seal กันน้ำยังอยู่ครบ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว
    ชิ้นส่วนภายในเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการซ่อมหรือเปลี่ยน
    ราคาอยู่ที่ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง สูงกว่าราคามือสองทั่วไป
    ผู้ขายที่เขาเลือกได้รับคำชมว่าเชื่อถือได้

    https://www.slashgear.com/1981156/man-bought-temu-refurbished-iphone-here-is-what-he-found/
    📱 “ซื้อ iPhone รีเฟอร์บจาก Temu — ได้ของดีเกินคาด แต่ความเสี่ยงยังไม่หายไป” YouTuber ชื่อดังด้านซ่อมมือถือ “Phone Repair Guru” ได้ทดลองซื้อ iPhone 14 Pro แบบรีเฟอร์บ (refurbished) จาก Temu จำนวน 2 เครื่อง เพื่อพิสูจน์ว่าโทรศัพท์ที่ขายในแพลตฟอร์มจีนราคาประหยัดนี้ “คุ้มจริงหรือแค่หลอก” โดยเขาได้ทำการแกะกล่อง ตรวจสอบสภาพภายนอก และรื้อเครื่องเพื่อดูชิ้นส่วนภายในอย่างละเอียด ผลลัพธ์น่าประหลาดใจ: ทั้งสองเครื่องอยู่ในสภาพ “แทบสมบูรณ์” ไม่มีร่องรอยการซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ภายใน แม้จะมีฟิล์มกันรอยติดมา ซึ่งบางครั้งใช้เพื่อปกปิดรอยขีดข่วน แต่เมื่อแกะออกพบว่าเครื่องหนึ่งมีรอยเล็กน้อย ส่วนอีกเครื่องดูใหม่มาก เขายังตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ พบว่าอยู่ที่ 80% และ 83% ซึ่งยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติตามมาตรฐานของ Apple และเมื่อรันระบบ Diagnostics ก็ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ทำงานได้ดี เมื่อรื้อเครื่อง เขาพบว่า seal กันน้ำยังไม่ถูกแกะ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว หมายถึงไม่เคยโดนน้ำมาก่อน ชิ้นส่วนภายในทั้งหมดเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการเปลี่ยนหรือดัดแปลงใด ๆ อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าแม้เครื่องที่ได้จะดี แต่ราคาที่จ่ายคือ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง (ประมาณ 615 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าราคามือสองทั่วไปถึงสองเท่า และ Temu ยังมีชื่อเสียงด้านการขายสินค้าปลอม โดยเขาแสดงภาพโฆษณา iPhone ปลอมที่พบในแอป Temu เพื่อเตือนผู้ชมว่า “โชคดีครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนกัน” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ YouTuber Phone Repair Guru ซื้อ iPhone 14 Pro รีเฟอร์บจาก Temu จำนวน 2 เครื่อง ➡️ เครื่องทั้งสองอยู่ในสภาพดีมาก ไม่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนภายใน ➡️ ฟิล์มกันรอยอาจใช้เพื่อปกปิดรอย แต่เมื่อแกะออกพบว่ารอยมีน้อยมาก ➡️ สุขภาพแบตเตอรี่อยู่ที่ 80% และ 83% ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ➡️ ระบบ Diagnostics ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์ ➡️ seal กันน้ำยังอยู่ครบ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว ➡️ ชิ้นส่วนภายในเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการซ่อมหรือเปลี่ยน ➡️ ราคาอยู่ที่ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง สูงกว่าราคามือสองทั่วไป ➡️ ผู้ขายที่เขาเลือกได้รับคำชมว่าเชื่อถือได้ https://www.slashgear.com/1981156/man-bought-temu-refurbished-iphone-here-is-what-he-found/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    A Man Bought Two Refurbished iPhones From Temu - Here's What He Found When He Opened Them - SlashGear
    A teardown of two refurbished iPhone 14 Pros from Temu revealed pristine OEM parts but raised questions about pricing and platform risks.
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • เอาจริงๆนะ ประเทศสมาชิกอาเชียนเรากากและกระจอกมาก,ไม่ร่วมมือกันจริงจังในการกำจัดเดอะแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้ เน็ตดาวเทียมวงโคจรต่ำแบบstarlinkเองด้วยอาจร่วมเป็นเครื่องมือก่อเกิดแก๊งสแกมเมอร์นี้,ประเทศสมาชิกอาเชียนไร้ศักยภาพร่วมมือกัน ช่วยกันอย่างจริงจัง,เช่นมีในพม่า 9ประเทศอาเชียนต้องลงพื้นที่ทุกๆตารางนิ้วช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมของแก๊งสแกมเมอร์ในพม่านี้ ลงสแกนตรวจค้นร่วมกันจริงจัง เครื่องบิน,ขับไล่,ฮ.ก็มีก็ร่วมกันสามัคคีกันสิ สร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนในชาติอาเชียนตน, แบบเขมรอีก ชาติสมาชิกส่งทหารตำรวจอาเชียนเข้าตรวจค้นเสรีเลยในอาคารตึกต่างๆที่ต้องสงสัยเพื่อช่วยเหลือเหยื่อเหล่านั้นซึ่งอาจมาสาระทิศจากทั่วทุกมุมโลก,นี้คือความอ่อนแอชัดเจน กลัวกันได้ดิบได้ดี ไม่ช่วยเหลือกันกำจัดภัยร้ายในพื้นที่อาเชียนตน,ระดับชาติเอเชียก็ด้วย,ต้องอิสระเสรีเข้าปฏิบัติการในพื้นที่ประเทศพม่า เขมร ชาติที่ต้องสงสัยได้หมด,อะไรไม่ดีต้องรีบช่วยกันกำจัดออกจากเอเชีย ออกจากอาเชียน,แก๊งคอลเซ็นเตอร์มันรวมสาระพัดอาชญากรรมในชื่อนี้ ทั้งฟอกเงิน ค้ามนุษย์ ค้าแรงงาน ค้ากาม หมดประโยชน์ชำแหละร่างกายเหยื่อค้าอวัยวะต่ออีก บางร่างแบบเด็กๆทรมานเอาอะดริโนโครมขายแก่พวกฮอลลีวูดอีกเป็นต้น, ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธ สาระพัพชั่วเลว แฮ็กข้อมูลทั่วโลก ทำลายระบบทั่วโลกมันทำได้หมด,โทษประหารจึงเหมาะสมแก่พวกมันทุกๆคน มันทรมานเหยื่อทั้งหมดแน่นอนที่จับตัวมา หลอกลวงมาจากทั่วโลก,มันจึงไม่ใช่เรื่องของชาติใครชาติมัน แผ่นดินใครแผ่นดินมัน ประเทศใครประเทศมัน ภูมิภาคใครภูมิภาคมัน เพราะเหยื่อเหล่านี้คือมนุษย์โลก ประชาชนโลกจากชาติใดชาติหนึ่งทั่วโลกเรานี้,เรา..ต้องสามัคคีกันช่วยเหลือเขาเหล่านี้ทั้งหมดออกมา.และกำจัดสังหารไล่ล่าเดอะแก๊งเดอะคนพวกนี้ให้หมดทุกๆตัวคนด้วย มันอาจไม่ใช่มนุษย์ด้วยเพียงใส่ชุดมนุษย์แค่นั้น.,นี้คือสงครามช่วยมนุษยชาติโลกก็ไม่ผิด.

    ..เขมรเป้าหมายคือช่วยเหลือเหยื่อมากมายบนตึกอาคารมากมายในเขมรนี้โดยมีรัฐบาลเผด็จการหัวหน้าโจรตัวจริงแบบฮุนเซนฮุนมาเนตและตระกูลฮุนคุ้มครองพวกเถื่อนๆนี้จริง,ฮุนเซนต้องถูกเด็ดหัว,จีน อเมริกา ฝรั่งเศส รัสเชีย ต้องเด็ดหัวฮุนเซนและกำจัดตระกูลฮุนทั้งหมดทันที,เขมรคือประเทศที่เป็นภัยร้ายแรงต่อมนุษย์บนโลกนี้ พร้อมถูกชาติเขมรทำอาชญากรรมเขาทุกๆเมื่อ,ผลงานชั่วเลวของเขมรปรากฎชัดเจนแล้ว,ถ้ามหาอำนาจโลก องค์กรสากลโลกยังไม่เด็ดหัวฮุนเซน ก็ปิดตัวลงเถอะ เสียของ ไร้น้ำยาดูแลความสงบสุขจริงแก่ชาวโลกและอาจเป็นภัยร้ายแรงร่วมกับชาติเขมรลักษณะนี้ด้วยหรือคนสันดานเดียวกันกับเขมรนั้นเอง.

    ..ในโซนเขตอาเชียนหรือเขตเอเชียเรา ทุกๆประเทศต้องร่วมกันลงพื้นที่จับกุมแก๊งสแกมเมอร์นี้จริงจังพร้อมประหารชีวิตจริงๆด้วย,อย่าเก็บไว้เพราะพวกนี้ฆ่าสังหารเหยื่อ ทรมานเหยื่อสาระพัดแล้วร่วมกันแน่นอน,ต้องตายสถานเดียว.

    ..เอเชียและอาเชียนเราจะปลอดภัยทันที,พวกนี้ใช้เน็ตใช้มือถือหมดล่ะ,พวกกิจการเน็ตกิจการมือถือคือผู้ร่วมก่ออาชญากรรมนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อมแน่นอน.,ต้นเหตุต้นเรื่อง ตรวจจับ เริ่มจับกุมตั้งแต่พวกนี้ได้เลยเพราะพวกมันทำกันเป็นทีม วางคนของมันได้หมด บริษัทมือถือบริษัทเน็ตอาจคือบริษัทมันเองนั้นล่ะที่ซื้อกิจการไว้แล้วด้วยตังสกปกรกเถื่อนๆของพวกมันที่ฟอกเงินกระจายอยู่ทั่วโลก.

    https://youtube.com/watch?v=ubH13Yb0aZo&si=RX1EPuyAsOXRFHIP
    เอาจริงๆนะ ประเทศสมาชิกอาเชียนเรากากและกระจอกมาก,ไม่ร่วมมือกันจริงจังในการกำจัดเดอะแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้ เน็ตดาวเทียมวงโคจรต่ำแบบstarlinkเองด้วยอาจร่วมเป็นเครื่องมือก่อเกิดแก๊งสแกมเมอร์นี้,ประเทศสมาชิกอาเชียนไร้ศักยภาพร่วมมือกัน ช่วยกันอย่างจริงจัง,เช่นมีในพม่า 9ประเทศอาเชียนต้องลงพื้นที่ทุกๆตารางนิ้วช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมของแก๊งสแกมเมอร์ในพม่านี้ ลงสแกนตรวจค้นร่วมกันจริงจัง เครื่องบิน,ขับไล่,ฮ.ก็มีก็ร่วมกันสามัคคีกันสิ สร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนในชาติอาเชียนตน, แบบเขมรอีก ชาติสมาชิกส่งทหารตำรวจอาเชียนเข้าตรวจค้นเสรีเลยในอาคารตึกต่างๆที่ต้องสงสัยเพื่อช่วยเหลือเหยื่อเหล่านั้นซึ่งอาจมาสาระทิศจากทั่วทุกมุมโลก,นี้คือความอ่อนแอชัดเจน กลัวกันได้ดิบได้ดี ไม่ช่วยเหลือกันกำจัดภัยร้ายในพื้นที่อาเชียนตน,ระดับชาติเอเชียก็ด้วย,ต้องอิสระเสรีเข้าปฏิบัติการในพื้นที่ประเทศพม่า เขมร ชาติที่ต้องสงสัยได้หมด,อะไรไม่ดีต้องรีบช่วยกันกำจัดออกจากเอเชีย ออกจากอาเชียน,แก๊งคอลเซ็นเตอร์มันรวมสาระพัดอาชญากรรมในชื่อนี้ ทั้งฟอกเงิน ค้ามนุษย์ ค้าแรงงาน ค้ากาม หมดประโยชน์ชำแหละร่างกายเหยื่อค้าอวัยวะต่ออีก บางร่างแบบเด็กๆทรมานเอาอะดริโนโครมขายแก่พวกฮอลลีวูดอีกเป็นต้น, ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธ สาระพัพชั่วเลว แฮ็กข้อมูลทั่วโลก ทำลายระบบทั่วโลกมันทำได้หมด,โทษประหารจึงเหมาะสมแก่พวกมันทุกๆคน มันทรมานเหยื่อทั้งหมดแน่นอนที่จับตัวมา หลอกลวงมาจากทั่วโลก,มันจึงไม่ใช่เรื่องของชาติใครชาติมัน แผ่นดินใครแผ่นดินมัน ประเทศใครประเทศมัน ภูมิภาคใครภูมิภาคมัน เพราะเหยื่อเหล่านี้คือมนุษย์โลก ประชาชนโลกจากชาติใดชาติหนึ่งทั่วโลกเรานี้,เรา..ต้องสามัคคีกันช่วยเหลือเขาเหล่านี้ทั้งหมดออกมา.และกำจัดสังหารไล่ล่าเดอะแก๊งเดอะคนพวกนี้ให้หมดทุกๆตัวคนด้วย มันอาจไม่ใช่มนุษย์ด้วยเพียงใส่ชุดมนุษย์แค่นั้น.,นี้คือสงครามช่วยมนุษยชาติโลกก็ไม่ผิด. ..เขมรเป้าหมายคือช่วยเหลือเหยื่อมากมายบนตึกอาคารมากมายในเขมรนี้โดยมีรัฐบาลเผด็จการหัวหน้าโจรตัวจริงแบบฮุนเซนฮุนมาเนตและตระกูลฮุนคุ้มครองพวกเถื่อนๆนี้จริง,ฮุนเซนต้องถูกเด็ดหัว,จีน อเมริกา ฝรั่งเศส รัสเชีย ต้องเด็ดหัวฮุนเซนและกำจัดตระกูลฮุนทั้งหมดทันที,เขมรคือประเทศที่เป็นภัยร้ายแรงต่อมนุษย์บนโลกนี้ พร้อมถูกชาติเขมรทำอาชญากรรมเขาทุกๆเมื่อ,ผลงานชั่วเลวของเขมรปรากฎชัดเจนแล้ว,ถ้ามหาอำนาจโลก องค์กรสากลโลกยังไม่เด็ดหัวฮุนเซน ก็ปิดตัวลงเถอะ เสียของ ไร้น้ำยาดูแลความสงบสุขจริงแก่ชาวโลกและอาจเป็นภัยร้ายแรงร่วมกับชาติเขมรลักษณะนี้ด้วยหรือคนสันดานเดียวกันกับเขมรนั้นเอง. ..ในโซนเขตอาเชียนหรือเขตเอเชียเรา ทุกๆประเทศต้องร่วมกันลงพื้นที่จับกุมแก๊งสแกมเมอร์นี้จริงจังพร้อมประหารชีวิตจริงๆด้วย,อย่าเก็บไว้เพราะพวกนี้ฆ่าสังหารเหยื่อ ทรมานเหยื่อสาระพัดแล้วร่วมกันแน่นอน,ต้องตายสถานเดียว. ..เอเชียและอาเชียนเราจะปลอดภัยทันที,พวกนี้ใช้เน็ตใช้มือถือหมดล่ะ,พวกกิจการเน็ตกิจการมือถือคือผู้ร่วมก่ออาชญากรรมนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อมแน่นอน.,ต้นเหตุต้นเรื่อง ตรวจจับ เริ่มจับกุมตั้งแต่พวกนี้ได้เลยเพราะพวกมันทำกันเป็นทีม วางคนของมันได้หมด บริษัทมือถือบริษัทเน็ตอาจคือบริษัทมันเองนั้นล่ะที่ซื้อกิจการไว้แล้วด้วยตังสกปกรกเถื่อนๆของพวกมันที่ฟอกเงินกระจายอยู่ทั่วโลก. https://youtube.com/watch?v=ubH13Yb0aZo&si=RX1EPuyAsOXRFHIP
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • “Ubuntu Touch 24.04 LTS มาแล้ว! มือถือโอเพ่นซอร์สยกระดับความปลอดภัยและความลื่นไหล พร้อมรองรับอุปกรณ์หลากหลาย”

    หลังจากรอคอยกันมานาน UBports Foundation ได้ปล่อยอัปเดตใหญ่ของระบบปฏิบัติการมือถือ Ubuntu Touch เวอร์ชัน 24.04-1.0 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ระบบนี้อิงจาก Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat) โดยการเปลี่ยนฐานระบบนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเบื้องหลัง แต่เป็นการเปิดประตูสู่ฟีเจอร์ใหม่ ความปลอดภัยที่ดีขึ้น และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ทันสมัยมากขึ้น

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือระบบ “การเข้ารหัสข้อมูลส่วนตัว” แบบ experimental ที่ใช้รหัสผ่านของผู้ใช้ในการเปิดข้อมูลทุกครั้งที่บูตเครื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระดับที่มือถือโอเพ่นซอร์สไม่เคยมีมาก่อน

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้าน UI และ UX หลายจุด เช่น การเปลี่ยนธีมของแอปแบบสด (live-switching), การตั้งค่าการหมุนหน้าจอแบบ 1 ครั้ง, การแชร์อินเทอร์เน็ตผ่าน USB, การแสดง MAC address ใน Bluetooth, และการย้ายแอประหว่าง workspace ด้วยคีย์ลัด Ctrl+Alt+Shift

    แอป Contacts ถูกปรับให้ไม่กระพริบขณะโหลด avatar, ส่วน System Settings ก็มีการเปลี่ยนชื่อหน้า About เป็น System Information พร้อมฟีเจอร์ซ่อน IMEI เพื่อความเป็นส่วนตัว และแสดงข้อมูลเครือข่ายเพิ่มเติมในหน้า Wi-Fi

    อัปเดตนี้รองรับอุปกรณ์หลากหลาย ตั้งแต่ Fairphone, Pixel, OnePlus, Xiaomi ไปจนถึง Rabbit R1 และ Volla Tablet โดยผู้ใช้ที่อยู่ในช่อง Stable จะได้รับอัปเดตผ่านหน้าจอ Updates ในแอป System Settings ซึ่งจะทยอยปล่อยให้ครบทุกเครื่องในช่วงสัปดาห์นี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ubuntu Touch 24.04-1.0 เป็นเวอร์ชันแรกที่อิงจาก Ubuntu 24.04 LTS
    เพิ่มฟีเจอร์เข้ารหัสข้อมูลส่วนตัวแบบ experimental โดยใช้รหัสผ่านของผู้ใช้
    รองรับการเปลี่ยนธีมแบบสด (live-switching) และปรับธีมผ่าน System Settings
    ปรับ UI ของแอป Phone ให้เหมาะกับหน้าจอใหญ่
    เพิ่มโหมด USB สำหรับแชร์อินเทอร์เน็ต และแสดง MAC address ใน Bluetooth
    เพิ่มปุ่มหมุนหน้าจอแบบ 1 ครั้ง และสแกน Bluetooth ใหม่แบบ manual
    ตั้งเสียงเตือนปฏิทินได้, เลือกแสดงสัปดาห์/กิจกรรม/นาฬิกาในเมนูเวลา
    ย้ายแอประหว่าง workspace ด้วย Ctrl+Alt+Shift+ลูกศร
    หน้า About เปลี่ยนชื่อเป็น System Information พร้อมฟีเจอร์ซ่อน IMEI
    แอป Contacts ไม่กระพริบขณะโหลด avatar และปรับ Workspace สำหรับ convergence
    ปิด auto-capitalization, auto-correction และ auto-punctuation บนคีย์บอร์ดโดยค่าเริ่มต้น
    รองรับอุปกรณ์หลากหลาย เช่น Pixel 3a, OnePlus 6, Xiaomi Redmi Note 9, Rabbit R1 ฯลฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ubuntu Touch เป็นระบบมือถือโอเพ่นซอร์สที่เน้นความเป็นส่วนตัวและไม่มีการติดตามผู้ใช้
    Lomiri คือ desktop environment ที่ใช้ใน Ubuntu Touch ซึ่งรองรับการใช้งานแบบ convergence
    UBports Foundation เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ดูแลการพัฒนา Ubuntu Touch
    การอัปเดตจาก Ubuntu 20.04 เป็น 24.04 ช่วยให้ระบบรองรับซอฟต์แวร์ใหม่ เช่น Qt 5.15
    ระบบ installer ของ UBports ช่วยให้ติดตั้ง Ubuntu Touch ได้ง่ายบนอุปกรณ์ที่รองรับ

    https://9to5linux.com/ubuntu-touch-mobile-linux-os-is-now-finally-based-on-ubuntu-24-04-lts
    📱 “Ubuntu Touch 24.04 LTS มาแล้ว! มือถือโอเพ่นซอร์สยกระดับความปลอดภัยและความลื่นไหล พร้อมรองรับอุปกรณ์หลากหลาย” หลังจากรอคอยกันมานาน UBports Foundation ได้ปล่อยอัปเดตใหญ่ของระบบปฏิบัติการมือถือ Ubuntu Touch เวอร์ชัน 24.04-1.0 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ระบบนี้อิงจาก Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat) โดยการเปลี่ยนฐานระบบนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเบื้องหลัง แต่เป็นการเปิดประตูสู่ฟีเจอร์ใหม่ ความปลอดภัยที่ดีขึ้น และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ทันสมัยมากขึ้น หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือระบบ “การเข้ารหัสข้อมูลส่วนตัว” แบบ experimental ที่ใช้รหัสผ่านของผู้ใช้ในการเปิดข้อมูลทุกครั้งที่บูตเครื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระดับที่มือถือโอเพ่นซอร์สไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้าน UI และ UX หลายจุด เช่น การเปลี่ยนธีมของแอปแบบสด (live-switching), การตั้งค่าการหมุนหน้าจอแบบ 1 ครั้ง, การแชร์อินเทอร์เน็ตผ่าน USB, การแสดง MAC address ใน Bluetooth, และการย้ายแอประหว่าง workspace ด้วยคีย์ลัด Ctrl+Alt+Shift แอป Contacts ถูกปรับให้ไม่กระพริบขณะโหลด avatar, ส่วน System Settings ก็มีการเปลี่ยนชื่อหน้า About เป็น System Information พร้อมฟีเจอร์ซ่อน IMEI เพื่อความเป็นส่วนตัว และแสดงข้อมูลเครือข่ายเพิ่มเติมในหน้า Wi-Fi อัปเดตนี้รองรับอุปกรณ์หลากหลาย ตั้งแต่ Fairphone, Pixel, OnePlus, Xiaomi ไปจนถึง Rabbit R1 และ Volla Tablet โดยผู้ใช้ที่อยู่ในช่อง Stable จะได้รับอัปเดตผ่านหน้าจอ Updates ในแอป System Settings ซึ่งจะทยอยปล่อยให้ครบทุกเครื่องในช่วงสัปดาห์นี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ubuntu Touch 24.04-1.0 เป็นเวอร์ชันแรกที่อิงจาก Ubuntu 24.04 LTS ➡️ เพิ่มฟีเจอร์เข้ารหัสข้อมูลส่วนตัวแบบ experimental โดยใช้รหัสผ่านของผู้ใช้ ➡️ รองรับการเปลี่ยนธีมแบบสด (live-switching) และปรับธีมผ่าน System Settings ➡️ ปรับ UI ของแอป Phone ให้เหมาะกับหน้าจอใหญ่ ➡️ เพิ่มโหมด USB สำหรับแชร์อินเทอร์เน็ต และแสดง MAC address ใน Bluetooth ➡️ เพิ่มปุ่มหมุนหน้าจอแบบ 1 ครั้ง และสแกน Bluetooth ใหม่แบบ manual ➡️ ตั้งเสียงเตือนปฏิทินได้, เลือกแสดงสัปดาห์/กิจกรรม/นาฬิกาในเมนูเวลา ➡️ ย้ายแอประหว่าง workspace ด้วย Ctrl+Alt+Shift+ลูกศร ➡️ หน้า About เปลี่ยนชื่อเป็น System Information พร้อมฟีเจอร์ซ่อน IMEI ➡️ แอป Contacts ไม่กระพริบขณะโหลด avatar และปรับ Workspace สำหรับ convergence ➡️ ปิด auto-capitalization, auto-correction และ auto-punctuation บนคีย์บอร์ดโดยค่าเริ่มต้น ➡️ รองรับอุปกรณ์หลากหลาย เช่น Pixel 3a, OnePlus 6, Xiaomi Redmi Note 9, Rabbit R1 ฯลฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ubuntu Touch เป็นระบบมือถือโอเพ่นซอร์สที่เน้นความเป็นส่วนตัวและไม่มีการติดตามผู้ใช้ ➡️ Lomiri คือ desktop environment ที่ใช้ใน Ubuntu Touch ซึ่งรองรับการใช้งานแบบ convergence ➡️ UBports Foundation เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ดูแลการพัฒนา Ubuntu Touch ➡️ การอัปเดตจาก Ubuntu 20.04 เป็น 24.04 ช่วยให้ระบบรองรับซอฟต์แวร์ใหม่ เช่น Qt 5.15 ➡️ ระบบ installer ของ UBports ช่วยให้ติดตั้ง Ubuntu Touch ได้ง่ายบนอุปกรณ์ที่รองรับ https://9to5linux.com/ubuntu-touch-mobile-linux-os-is-now-finally-based-on-ubuntu-24-04-lts
    9TO5LINUX.COM
    Ubuntu Touch Mobile Linux OS Is Now Finally Based on Ubuntu 24.04 LTS - 9to5Linux
    Ubuntu Touch 24.04 1.0 is now rolling out to all supported devices based on Ubuntu 24.04 LTS with new features and improvements.
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • “Google เปลี่ยนโลโก้ ‘G’ เป็นแบบไล่เฉดสี — สัญลักษณ์ใหม่ของยุค AI ที่ไม่ใช่แค่เรื่องดีไซน์”

    หลังจากใช้โลโก้ตัวอักษร “G” แบบสี่สีแยกกันมาตั้งแต่ปี 2015 Google ได้ประกาศรีเฟรชโลโก้ครั้งใหญ่ในเดือนกันยายน 2025 โดยเปลี่ยนเป็นเวอร์ชันใหม่ที่ใช้การไล่เฉดสี (gradient) ระหว่างสีแดง เหลือง เขียว และน้ำเงิน ซึ่งยังคงเป็นสีประจำแบรนด์ แต่ถูกนำเสนอในรูปแบบที่ทันสมัยและมีชีวิตชีวามากขึ้น

    การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม — Google ระบุว่าโลโก้ใหม่นี้เป็น “สัญลักษณ์ของยุค AI” ที่บริษัทกำลังเข้าสู่เต็มตัว โดยเฉพาะหลังจากเปิดตัว Gemini AI ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์หลักของ Google ที่ถูกฝังอยู่ในบริการต่าง ๆ เช่น Search, Workspace, Chrome และ Android

    โลโก้แบบไล่เฉดสีนี้เริ่มปรากฏใน Google Search ตั้งแต่ต้นปี และขยายไปยังแอปอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึง favicon บนเว็บไซต์และไอคอนในมือถือ โดย Google ยืนยันว่าโลโก้ใหม่นี้จะกลายเป็นสัญลักษณ์หลักของทั้งแบรนด์และองค์กร

    นอกจากความสดใสของสีที่ไหลลื่นต่อกัน โลโก้ใหม่นี้ยังถูกออกแบบให้ดูดีในขนาดเล็ก เช่น บนแอปมือถือหรือ favicon ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้จดจำได้ง่ายขึ้น และสื่อถึงความลื่นไหลของประสบการณ์ใช้งานที่ขับเคลื่อนด้วย AI

    แม้โลโก้ “G” จะถูกเปลี่ยน แต่โลโก้คำว่า “Google” แบบเต็มยังคงเดิม เพื่อรักษาความคุ้นเคยของผู้ใช้ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Google เปลี่ยนโลโก้ “G” จากแบบสี่สีแยกเป็นแบบไล่เฉดสี (gradient)
    โลโก้ใหม่ใช้สีแดง เหลือง เขียว น้ำเงิน แบบไหลลื่นต่อกัน
    เป็นการรีเฟรชครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี นับจากการออกแบบโลโก้ปี 2015
    โลโก้ใหม่นี้เป็นสัญลักษณ์ของยุค AI ที่ Google กำลังเข้าสู่
    เริ่มใช้ใน Google Search และขยายไปยัง Android, Chrome, Gemini และ Workspace
    โลโก้แบบใหม่ดูดีในขนาดเล็ก เช่น favicon และไอคอนมือถือ
    โลโก้คำว่า “Google” แบบเต็มยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้แบรนด์มีความสอดคล้องและทันสมัยมากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โลโก้ใหม่ปรากฏครั้งแรกใน Google Search บน iOS และ Pixel ก่อนขยายไป Android
    Gemini AI ใช้ดีไซน์แบบ “Gemini spark” ที่สอดคล้องกับโลโก้ G แบบใหม่
    การใช้ gradient ช่วยลดขอบแข็งของสี ทำให้โลโก้กลมกลืนกับแอปอื่น ๆ
    การออกแบบโลโก้ให้เหมาะกับขนาดเล็กช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์ในยุคมือถือ
    การเปลี่ยนโลโก้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “AI-first” ของ Google

    https://securityonline.info/google-refreshes-its-g-logo-with-a-gradient-signaling-a-new-era-focused-on-ai/
    🎨 “Google เปลี่ยนโลโก้ ‘G’ เป็นแบบไล่เฉดสี — สัญลักษณ์ใหม่ของยุค AI ที่ไม่ใช่แค่เรื่องดีไซน์” หลังจากใช้โลโก้ตัวอักษร “G” แบบสี่สีแยกกันมาตั้งแต่ปี 2015 Google ได้ประกาศรีเฟรชโลโก้ครั้งใหญ่ในเดือนกันยายน 2025 โดยเปลี่ยนเป็นเวอร์ชันใหม่ที่ใช้การไล่เฉดสี (gradient) ระหว่างสีแดง เหลือง เขียว และน้ำเงิน ซึ่งยังคงเป็นสีประจำแบรนด์ แต่ถูกนำเสนอในรูปแบบที่ทันสมัยและมีชีวิตชีวามากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม — Google ระบุว่าโลโก้ใหม่นี้เป็น “สัญลักษณ์ของยุค AI” ที่บริษัทกำลังเข้าสู่เต็มตัว โดยเฉพาะหลังจากเปิดตัว Gemini AI ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์หลักของ Google ที่ถูกฝังอยู่ในบริการต่าง ๆ เช่น Search, Workspace, Chrome และ Android โลโก้แบบไล่เฉดสีนี้เริ่มปรากฏใน Google Search ตั้งแต่ต้นปี และขยายไปยังแอปอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึง favicon บนเว็บไซต์และไอคอนในมือถือ โดย Google ยืนยันว่าโลโก้ใหม่นี้จะกลายเป็นสัญลักษณ์หลักของทั้งแบรนด์และองค์กร นอกจากความสดใสของสีที่ไหลลื่นต่อกัน โลโก้ใหม่นี้ยังถูกออกแบบให้ดูดีในขนาดเล็ก เช่น บนแอปมือถือหรือ favicon ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้จดจำได้ง่ายขึ้น และสื่อถึงความลื่นไหลของประสบการณ์ใช้งานที่ขับเคลื่อนด้วย AI แม้โลโก้ “G” จะถูกเปลี่ยน แต่โลโก้คำว่า “Google” แบบเต็มยังคงเดิม เพื่อรักษาความคุ้นเคยของผู้ใช้ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Google เปลี่ยนโลโก้ “G” จากแบบสี่สีแยกเป็นแบบไล่เฉดสี (gradient) ➡️ โลโก้ใหม่ใช้สีแดง เหลือง เขียว น้ำเงิน แบบไหลลื่นต่อกัน ➡️ เป็นการรีเฟรชครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี นับจากการออกแบบโลโก้ปี 2015 ➡️ โลโก้ใหม่นี้เป็นสัญลักษณ์ของยุค AI ที่ Google กำลังเข้าสู่ ➡️ เริ่มใช้ใน Google Search และขยายไปยัง Android, Chrome, Gemini และ Workspace ➡️ โลโก้แบบใหม่ดูดีในขนาดเล็ก เช่น favicon และไอคอนมือถือ ➡️ โลโก้คำว่า “Google” แบบเต็มยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้แบรนด์มีความสอดคล้องและทันสมัยมากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โลโก้ใหม่ปรากฏครั้งแรกใน Google Search บน iOS และ Pixel ก่อนขยายไป Android ➡️ Gemini AI ใช้ดีไซน์แบบ “Gemini spark” ที่สอดคล้องกับโลโก้ G แบบใหม่ ➡️ การใช้ gradient ช่วยลดขอบแข็งของสี ทำให้โลโก้กลมกลืนกับแอปอื่น ๆ ➡️ การออกแบบโลโก้ให้เหมาะกับขนาดเล็กช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์ในยุคมือถือ ➡️ การเปลี่ยนโลโก้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “AI-first” ของ Google https://securityonline.info/google-refreshes-its-g-logo-with-a-gradient-signaling-a-new-era-focused-on-ai/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google Refreshes its "G" Logo with a Gradient, Signaling a New Era Focused on AI
    Google is updating its iconic 'G' logo with a brighter, gradient-enhanced design. The change is a subtle but powerful signal of the company's transition to an AI-first future.
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • “Klopatra: มัลแวร์ Android สุดแสบจากตุรกี ใช้ VNC ลับและโค้ดซ่อนระดับพาณิชย์ เจาะบัญชีธนาคารยุโรปขณะเหยื่อหลับ”

    Cleafy ทีมวิเคราะห์ภัยคุกคามจากอิตาลีได้เปิดเผยมัลแวร์ Android ตัวใหม่ชื่อ “Klopatra” ซึ่งเป็น Remote Access Trojan (RAT) ที่มีความซับซ้อนสูงและไม่เกี่ยวข้องกับมัลแวร์ตระกูลเดิมใด ๆ โดย Klopatra ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีผู้ใช้ธนาคารในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี ซึ่งมีอุปกรณ์ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 เครื่อง

    Klopatra เริ่มต้นด้วยการหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดแอป IPTV ปลอมชื่อ “Mobdro Pro IP TV + VPN” ซึ่งขอสิทธิ์ REQUEST_INSTALL_PACKAGES เพื่อให้สามารถติดตั้งแอปอื่นได้ เมื่อเหยื่ออนุญาต ตัว dropper จะติดตั้ง payload หลักของ Klopatra แบบเงียบ ๆ และเริ่มควบคุมอุปกรณ์ทันที

    มัลแวร์นี้ใช้ Accessibility Services เพื่อเข้าถึงหน้าจอ, บันทึกการพิมพ์, และควบคุมอุปกรณ์แบบไร้ร่องรอย โดยมีฟีเจอร์เด่นคือ Hidden VNC ที่ทำให้หน้าจอของเหยื่อกลายเป็นสีดำเหมือนปิดเครื่อง ขณะที่ผู้โจมตีสามารถเปิดแอปธนาคารและโอนเงินได้โดยไม่ถูกสังเกต

    Klopatra ยังใช้เทคนิค overlay attack โดยแสดงหน้าจอ login ปลอมที่เหมือนจริง เมื่อเหยื่อกรอกข้อมูล ระบบจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีทันที

    สิ่งที่ทำให้ Klopatra อันตรายยิ่งขึ้นคือการใช้ Virbox ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือป้องกันโค้ดระดับพาณิชย์ที่ใช้ในซอฟต์แวร์ถูกลิขสิทธิ์ ทำให้การวิเคราะห์และตรวจจับทำได้ยากมาก โดยโค้ดหลักถูกย้ายไปอยู่ใน native layer พร้อมกลไก anti-debugging และตรวจจับ emulator

    จากการวิเคราะห์ภาษาในโค้ดและเซิร์ฟเวอร์ควบคุม พบว่าผู้พัฒนา Klopatra เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตุรกี โดยมีการใช้คำว่า “etiket” และ “bot_notu” ในระบบหลังบ้าน รวมถึงข้อความหยาบคายที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิดจากการโจรกรรมที่ล้มเหลว

    มีการระบุ botnet หลัก 2 กลุ่ม ได้แก่

    สเปน: ควบคุมผ่าน adsservices[.]uk

    อิตาลี: ควบคุมผ่าน adsservice2[.]org และมีเซิร์ฟเวอร์ทดสอบชื่อ guncel-tv-player-lnat[.]com

    Klopatra ถูกติดตามแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีนาคม 2025 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดย Cleafy เตือนว่า นี่คือสัญญาณของการ “ยกระดับอาชญากรรมไซเบอร์บนมือถือ” ที่ใช้เทคโนโลยีระดับองค์กรเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและเพิ่มกำไรสูงสุด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Klopatra เป็น Android RAT ที่ใช้ Hidden VNC และ overlay attack เพื่อขโมยข้อมูลธนาคาร
    เริ่มต้นด้วย dropper ปลอมชื่อ Mobdro Pro IP TV + VPN ที่ขอสิทธิ์ติดตั้งแอป
    ใช้ Accessibility Services เพื่อควบคุมอุปกรณ์แบบสมบูรณ์
    Hidden VNC ทำให้หน้าจอเหยื่อกลายเป็นสีดำ ขณะผู้โจมตีควบคุมอุปกรณ์
    Overlay attack แสดงหน้าจอ login ปลอมเพื่อขโมยข้อมูลธนาคาร
    ใช้ Virbox เพื่อป้องกันโค้ด ทำให้ตรวจจับและวิเคราะห์ได้ยาก
    โค้ดหลักถูกย้ายไป native layer พร้อมกลไก anti-debugging และ integrity check
    ผู้พัฒนาเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตุรกี โดยมีคำในระบบหลังบ้านเป็นภาษาตุรกี
    มี botnet 2 กลุ่มในสเปนและอิตาลี และเซิร์ฟเวอร์ทดสอบอีก 1 แห่ง
    ติดตามแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีนาคม 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Virbox เป็นเครื่องมือป้องกันโค้ดที่ใช้ในซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ เช่น เกมหรือแอปองค์กร
    Hidden VNC เคยถูกใช้ในมัลแวร์ระดับองค์กร เช่น APT เพื่อควบคุมอุปกรณ์แบบลับ
    Accessibility Services เป็นช่องโหว่ที่มัลแวร์ Android ใช้บ่อยที่สุดในช่วงหลัง
    Overlay attack ถูกใช้ในมัลแวร์ธนาคารหลายตัว เช่น BRATA และ Octo
    การใช้ native code ทำให้มัลแวร์หลบเลี่ยงการตรวจจับจาก antivirus ได้ดีขึ้น

    https://securityonline.info/klopatra-new-android-rat-uses-hidden-vnc-and-commercial-obfuscation-to-hijack-european-banking-accounts/
    📱 “Klopatra: มัลแวร์ Android สุดแสบจากตุรกี ใช้ VNC ลับและโค้ดซ่อนระดับพาณิชย์ เจาะบัญชีธนาคารยุโรปขณะเหยื่อหลับ” Cleafy ทีมวิเคราะห์ภัยคุกคามจากอิตาลีได้เปิดเผยมัลแวร์ Android ตัวใหม่ชื่อ “Klopatra” ซึ่งเป็น Remote Access Trojan (RAT) ที่มีความซับซ้อนสูงและไม่เกี่ยวข้องกับมัลแวร์ตระกูลเดิมใด ๆ โดย Klopatra ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีผู้ใช้ธนาคารในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี ซึ่งมีอุปกรณ์ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 เครื่อง Klopatra เริ่มต้นด้วยการหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดแอป IPTV ปลอมชื่อ “Mobdro Pro IP TV + VPN” ซึ่งขอสิทธิ์ REQUEST_INSTALL_PACKAGES เพื่อให้สามารถติดตั้งแอปอื่นได้ เมื่อเหยื่ออนุญาต ตัว dropper จะติดตั้ง payload หลักของ Klopatra แบบเงียบ ๆ และเริ่มควบคุมอุปกรณ์ทันที มัลแวร์นี้ใช้ Accessibility Services เพื่อเข้าถึงหน้าจอ, บันทึกการพิมพ์, และควบคุมอุปกรณ์แบบไร้ร่องรอย โดยมีฟีเจอร์เด่นคือ Hidden VNC ที่ทำให้หน้าจอของเหยื่อกลายเป็นสีดำเหมือนปิดเครื่อง ขณะที่ผู้โจมตีสามารถเปิดแอปธนาคารและโอนเงินได้โดยไม่ถูกสังเกต Klopatra ยังใช้เทคนิค overlay attack โดยแสดงหน้าจอ login ปลอมที่เหมือนจริง เมื่อเหยื่อกรอกข้อมูล ระบบจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีทันที สิ่งที่ทำให้ Klopatra อันตรายยิ่งขึ้นคือการใช้ Virbox ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือป้องกันโค้ดระดับพาณิชย์ที่ใช้ในซอฟต์แวร์ถูกลิขสิทธิ์ ทำให้การวิเคราะห์และตรวจจับทำได้ยากมาก โดยโค้ดหลักถูกย้ายไปอยู่ใน native layer พร้อมกลไก anti-debugging และตรวจจับ emulator จากการวิเคราะห์ภาษาในโค้ดและเซิร์ฟเวอร์ควบคุม พบว่าผู้พัฒนา Klopatra เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตุรกี โดยมีการใช้คำว่า “etiket” และ “bot_notu” ในระบบหลังบ้าน รวมถึงข้อความหยาบคายที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิดจากการโจรกรรมที่ล้มเหลว มีการระบุ botnet หลัก 2 กลุ่ม ได้แก่ 🌍 สเปน: ควบคุมผ่าน adsservices[.]uk 🌍 อิตาลี: ควบคุมผ่าน adsservice2[.]org และมีเซิร์ฟเวอร์ทดสอบชื่อ guncel-tv-player-lnat[.]com Klopatra ถูกติดตามแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีนาคม 2025 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดย Cleafy เตือนว่า นี่คือสัญญาณของการ “ยกระดับอาชญากรรมไซเบอร์บนมือถือ” ที่ใช้เทคโนโลยีระดับองค์กรเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและเพิ่มกำไรสูงสุด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Klopatra เป็น Android RAT ที่ใช้ Hidden VNC และ overlay attack เพื่อขโมยข้อมูลธนาคาร ➡️ เริ่มต้นด้วย dropper ปลอมชื่อ Mobdro Pro IP TV + VPN ที่ขอสิทธิ์ติดตั้งแอป ➡️ ใช้ Accessibility Services เพื่อควบคุมอุปกรณ์แบบสมบูรณ์ ➡️ Hidden VNC ทำให้หน้าจอเหยื่อกลายเป็นสีดำ ขณะผู้โจมตีควบคุมอุปกรณ์ ➡️ Overlay attack แสดงหน้าจอ login ปลอมเพื่อขโมยข้อมูลธนาคาร ➡️ ใช้ Virbox เพื่อป้องกันโค้ด ทำให้ตรวจจับและวิเคราะห์ได้ยาก ➡️ โค้ดหลักถูกย้ายไป native layer พร้อมกลไก anti-debugging และ integrity check ➡️ ผู้พัฒนาเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตุรกี โดยมีคำในระบบหลังบ้านเป็นภาษาตุรกี ➡️ มี botnet 2 กลุ่มในสเปนและอิตาลี และเซิร์ฟเวอร์ทดสอบอีก 1 แห่ง ➡️ ติดตามแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีนาคม 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Virbox เป็นเครื่องมือป้องกันโค้ดที่ใช้ในซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ เช่น เกมหรือแอปองค์กร ➡️ Hidden VNC เคยถูกใช้ในมัลแวร์ระดับองค์กร เช่น APT เพื่อควบคุมอุปกรณ์แบบลับ ➡️ Accessibility Services เป็นช่องโหว่ที่มัลแวร์ Android ใช้บ่อยที่สุดในช่วงหลัง ➡️ Overlay attack ถูกใช้ในมัลแวร์ธนาคารหลายตัว เช่น BRATA และ Octo ➡️ การใช้ native code ทำให้มัลแวร์หลบเลี่ยงการตรวจจับจาก antivirus ได้ดีขึ้น https://securityonline.info/klopatra-new-android-rat-uses-hidden-vnc-and-commercial-obfuscation-to-hijack-european-banking-accounts/
    SECURITYONLINE.INFO
    Klopatra: New Android RAT Uses Hidden VNC and Commercial Obfuscation to Hijack European Banking Accounts
    Cleafy uncovers Klopatra, a new Android RAT using commercial Virbox obfuscation and native code to target banks in Spain/Italy, allowing invisible remote device control.Export to Sheets
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • “Hohem iSteady V3 Ultra: กิมบอล AI ที่เปลี่ยนมือถือธรรมดาให้กลายเป็นกล้องระดับโปร — เล็ก เบา ฉลาด และพร้อมลุยทุกสถานการณ์”

    ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็นครีเอเตอร์ได้ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว Hohem iSteady V3 Ultra ได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างระหว่าง “ความธรรมดา” กับ “ความมืออาชีพ” ด้วยกิมบอลขนาดเล็กที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ระดับสูง ตั้งแต่ระบบกันสั่น 3 แกน ไปจนถึง AI ที่ติดตามวัตถุได้โดยไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชันใด ๆ

    Andy Zahn จาก SlashGear ได้ทดสอบกิมบอลรุ่นนี้ในทริปแบกเป้กลางป่า และพบว่ามันไม่เพียงแค่ทนทานต่อฝุ่นและอากาศหนาวจัด แต่ยังให้ภาพวิดีโอที่นิ่งและสวยงามแม้จะเดินบนเส้นทางขรุขระ ด้วยดีไซน์ที่พับเก็บได้และน้ำหนักเบา เขาสามารถพกพาไว้ในกระเป๋าข้างของเป้ หรือแม้แต่ในกระเป๋ากางเกงตัวใหญ่ได้เลย

    จุดเด่นที่ทำให้ iSteady V3 Ultra แตกต่างคือ “รีโมทอัจฉริยะ” ที่มีหน้าจอสัมผัสขนาด 1.22 นิ้ว พร้อมระบบติดตามวัตถุแบบ AI ที่สามารถควบคุมผ่านท่าทางมือ และแสดงภาพสดจากกล้องโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับมือถือโดยตรง นอกจากนี้ยังมีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงานถึง 5 แบบ เช่น Pan Follow, POV, และ Sport Mode

    ที่สำคัญคือแอป Hohem Joy ไม่บังคับให้ผู้ใช้ลงทะเบียนหรือสร้างบัญชี — แค่ติดตั้ง เชื่อมต่อ แล้วใช้งานได้ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคที่ทุกอุปกรณ์มักบังคับให้ล็อกอินก่อนใช้งาน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Hohem iSteady V3 Ultra เป็นกิมบอลกันสั่น 3 แกนสำหรับสมาร์ตโฟน
    ดีไซน์แข็งแรง พับเก็บได้ และพกพาง่ายแม้ในกระเป๋ากางเกง
    รองรับมือถือขนาดใหญ่ เช่น Galaxy S22 Ultra พร้อมเคส
    มีรีโมทอัจฉริยะพร้อมหน้าจอสัมผัส 1.22 นิ้ว และระบบติดตาม AI
    ระบบติดตามทำงานโดยไม่ต้องพึ่งแอป และควบคุมผ่านท่าทางมือ
    มีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงาน 5 แบบ
    แอป Hohem Joy ใช้งานง่าย ไม่บังคับให้ลงทะเบียน
    รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ hyperlapse, timelapse และ panorama
    น้ำหนักประมาณ 430 กรัม รองรับมือถือไม่เกิน 400 กรัม
    วางจำหน่ายใน Best Buy ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบกันสั่น iSteady 9.0 ช่วยลดการสั่นไหวได้แม้ในสภาพแวดล้อมหนัก
    รีโมทมีระยะควบคุมสูงสุด 10 เมตร พร้อมแบตเตอรี่ 140 mAh
    โหมด “Scenario” มีพรีเซ็ตสำหรับการถ่ายแบบอัตโนมัติ เช่น หมุนกล้อง, พาโนรามา
    AI tracker สามารถติดตามวัตถุได้หลากหลาย เช่น คน, สัตว์, ต้นไม้
    หน้าจอรีโมทสามารถเปลี่ยนวัตถุที่ติดตามได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดถ่าย

    https://www.slashgear.com/sponsored/1957027/say-goodbye-shaky-videos-tested-hohems-isteady-v3-ultra-gimbal/
    🎬 “Hohem iSteady V3 Ultra: กิมบอล AI ที่เปลี่ยนมือถือธรรมดาให้กลายเป็นกล้องระดับโปร — เล็ก เบา ฉลาด และพร้อมลุยทุกสถานการณ์” ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็นครีเอเตอร์ได้ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว Hohem iSteady V3 Ultra ได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างระหว่าง “ความธรรมดา” กับ “ความมืออาชีพ” ด้วยกิมบอลขนาดเล็กที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ระดับสูง ตั้งแต่ระบบกันสั่น 3 แกน ไปจนถึง AI ที่ติดตามวัตถุได้โดยไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชันใด ๆ Andy Zahn จาก SlashGear ได้ทดสอบกิมบอลรุ่นนี้ในทริปแบกเป้กลางป่า และพบว่ามันไม่เพียงแค่ทนทานต่อฝุ่นและอากาศหนาวจัด แต่ยังให้ภาพวิดีโอที่นิ่งและสวยงามแม้จะเดินบนเส้นทางขรุขระ ด้วยดีไซน์ที่พับเก็บได้และน้ำหนักเบา เขาสามารถพกพาไว้ในกระเป๋าข้างของเป้ หรือแม้แต่ในกระเป๋ากางเกงตัวใหญ่ได้เลย จุดเด่นที่ทำให้ iSteady V3 Ultra แตกต่างคือ “รีโมทอัจฉริยะ” ที่มีหน้าจอสัมผัสขนาด 1.22 นิ้ว พร้อมระบบติดตามวัตถุแบบ AI ที่สามารถควบคุมผ่านท่าทางมือ และแสดงภาพสดจากกล้องโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับมือถือโดยตรง นอกจากนี้ยังมีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงานถึง 5 แบบ เช่น Pan Follow, POV, และ Sport Mode ที่สำคัญคือแอป Hohem Joy ไม่บังคับให้ผู้ใช้ลงทะเบียนหรือสร้างบัญชี — แค่ติดตั้ง เชื่อมต่อ แล้วใช้งานได้ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคที่ทุกอุปกรณ์มักบังคับให้ล็อกอินก่อนใช้งาน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Hohem iSteady V3 Ultra เป็นกิมบอลกันสั่น 3 แกนสำหรับสมาร์ตโฟน ➡️ ดีไซน์แข็งแรง พับเก็บได้ และพกพาง่ายแม้ในกระเป๋ากางเกง ➡️ รองรับมือถือขนาดใหญ่ เช่น Galaxy S22 Ultra พร้อมเคส ➡️ มีรีโมทอัจฉริยะพร้อมหน้าจอสัมผัส 1.22 นิ้ว และระบบติดตาม AI ➡️ ระบบติดตามทำงานโดยไม่ต้องพึ่งแอป และควบคุมผ่านท่าทางมือ ➡️ มีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงาน 5 แบบ ➡️ แอป Hohem Joy ใช้งานง่าย ไม่บังคับให้ลงทะเบียน ➡️ รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ hyperlapse, timelapse และ panorama ➡️ น้ำหนักประมาณ 430 กรัม รองรับมือถือไม่เกิน 400 กรัม ➡️ วางจำหน่ายใน Best Buy ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบกันสั่น iSteady 9.0 ช่วยลดการสั่นไหวได้แม้ในสภาพแวดล้อมหนัก ➡️ รีโมทมีระยะควบคุมสูงสุด 10 เมตร พร้อมแบตเตอรี่ 140 mAh ➡️ โหมด “Scenario” มีพรีเซ็ตสำหรับการถ่ายแบบอัตโนมัติ เช่น หมุนกล้อง, พาโนรามา ➡️ AI tracker สามารถติดตามวัตถุได้หลากหลาย เช่น คน, สัตว์, ต้นไม้ ➡️ หน้าจอรีโมทสามารถเปลี่ยนวัตถุที่ติดตามได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดถ่าย https://www.slashgear.com/sponsored/1957027/say-goodbye-shaky-videos-tested-hohems-isteady-v3-ultra-gimbal/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Say Goodbye To Shaky Videos: We Tested Hohem's iSteady V3 Ultra Gimbal - SlashGear
    The Hohem iSteady V3 Ultra Gimbal is made to hold your phone while you capture video with a collection of advanced features, from AI to infinite pan tracking.
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • Samsung กำลังเตรียมปล่อยอัปเดต One UI 8.5 ซึ่งเป็นเวอร์ชันต่อยอดจาก One UI 8 ที่ใช้พื้นฐาน Android 16 โดยมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจหลุดออกมาหลายรายการ โดยเฉพาะในแอปกล้องที่ดูเหมือนจะได้รับการยกระดับครั้งใหญ่ทั้งในด้านความสร้างสรรค์และความเป็นมืออาชีพ

    ฟีเจอร์แรกคือการเพิ่ม LUT (Look-Up Table) สำหรับวิดีโอแบบ LOG ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนโทนภาพได้ทันที เช่น Blockbuster, Thriller หรือ Initiatique โดยไม่ต้องใช้แอปตัดต่อภายนอก เหมาะสำหรับสายครีเอเตอร์ที่ต้องการ mood แบบภาพยนตร์

    อีกฟีเจอร์ที่น่าตื่นเต้นคือการรองรับการถ่ายภาพและวิดีโอแบบ 3D, VR และ spatial media ซึ่งอาจเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ AR/VR ของ Samsung ที่กำลังพัฒนาอยู่ โดยไม่ต้องใช้แอปเสริมหรือกล้องพิเศษ

    นอกจากนี้ยังมีการค้นพบระบบ Advanced Professional Video (APV) ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงและแปลงเป็น HEVC ได้ทันทีในแอป Gallery ซึ่งเป็นการยกระดับการถ่ายทำระดับโปรให้มาอยู่ในมือถือ

    ด้านการเชื่อมต่อ One UI 8.5 จะเพิ่มระบบ Intelligent Link Assessment และ Intelligent Network Switch ที่ใช้ AI ในการตัดสินใจว่าจะเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือ Cellular โดยพิจารณาจากความเร็ว ความปลอดภัย และประวัติการเชื่อมต่อของผู้ใช้ ทำให้ไม่ต้องสลับเน็ตเองอีกต่อไป

    แม้ยังไม่มีการประกาศวันปล่อยอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่า One UI 8.5 จะเปิดตัวพร้อม Galaxy S26 ในเดือนมกราคม 2026

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    One UI 8.5 จะเพิ่ม LUT สำหรับวิดีโอแบบ LOG เช่น Blockbuster, Thriller
    รองรับการถ่ายภาพและวิดีโอแบบ 3D, VR และ spatial media
    เพิ่มระบบ APV (Advanced Professional Video) สำหรับการถ่ายวิดีโอคุณภาพสูง
    สามารถแปลงวิดีโอ APV เป็น HEVC ได้ในแอป Gallery
    เพิ่มระบบ Intelligent Link Assessment และ Intelligent Network Switch
    ใช้ AI ในการเลือกเครือข่ายที่เหมาะสมระหว่าง Wi-Fi และ Cellular
    คาดว่า One UI 8.5 จะเปิดตัวพร้อม Galaxy S26 ในเดือนมกราคม 2026
    ฟีเจอร์กล้องใหม่อาจใช้ร่วมกับอุปกรณ์ AR/VR ของ Samsung ที่กำลังพัฒนา

    https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/good-news-for-samsung-galaxy-owners-one-ui-8-5-could-bring-these-3-big-upgrades
    Samsung กำลังเตรียมปล่อยอัปเดต One UI 8.5 ซึ่งเป็นเวอร์ชันต่อยอดจาก One UI 8 ที่ใช้พื้นฐาน Android 16 โดยมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจหลุดออกมาหลายรายการ โดยเฉพาะในแอปกล้องที่ดูเหมือนจะได้รับการยกระดับครั้งใหญ่ทั้งในด้านความสร้างสรรค์และความเป็นมืออาชีพ ฟีเจอร์แรกคือการเพิ่ม LUT (Look-Up Table) สำหรับวิดีโอแบบ LOG ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนโทนภาพได้ทันที เช่น Blockbuster, Thriller หรือ Initiatique โดยไม่ต้องใช้แอปตัดต่อภายนอก เหมาะสำหรับสายครีเอเตอร์ที่ต้องการ mood แบบภาพยนตร์ อีกฟีเจอร์ที่น่าตื่นเต้นคือการรองรับการถ่ายภาพและวิดีโอแบบ 3D, VR และ spatial media ซึ่งอาจเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ AR/VR ของ Samsung ที่กำลังพัฒนาอยู่ โดยไม่ต้องใช้แอปเสริมหรือกล้องพิเศษ นอกจากนี้ยังมีการค้นพบระบบ Advanced Professional Video (APV) ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงและแปลงเป็น HEVC ได้ทันทีในแอป Gallery ซึ่งเป็นการยกระดับการถ่ายทำระดับโปรให้มาอยู่ในมือถือ ด้านการเชื่อมต่อ One UI 8.5 จะเพิ่มระบบ Intelligent Link Assessment และ Intelligent Network Switch ที่ใช้ AI ในการตัดสินใจว่าจะเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือ Cellular โดยพิจารณาจากความเร็ว ความปลอดภัย และประวัติการเชื่อมต่อของผู้ใช้ ทำให้ไม่ต้องสลับเน็ตเองอีกต่อไป แม้ยังไม่มีการประกาศวันปล่อยอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่า One UI 8.5 จะเปิดตัวพร้อม Galaxy S26 ในเดือนมกราคม 2026 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ One UI 8.5 จะเพิ่ม LUT สำหรับวิดีโอแบบ LOG เช่น Blockbuster, Thriller ➡️ รองรับการถ่ายภาพและวิดีโอแบบ 3D, VR และ spatial media ➡️ เพิ่มระบบ APV (Advanced Professional Video) สำหรับการถ่ายวิดีโอคุณภาพสูง ➡️ สามารถแปลงวิดีโอ APV เป็น HEVC ได้ในแอป Gallery ➡️ เพิ่มระบบ Intelligent Link Assessment และ Intelligent Network Switch ➡️ ใช้ AI ในการเลือกเครือข่ายที่เหมาะสมระหว่าง Wi-Fi และ Cellular ➡️ คาดว่า One UI 8.5 จะเปิดตัวพร้อม Galaxy S26 ในเดือนมกราคม 2026 ➡️ ฟีเจอร์กล้องใหม่อาจใช้ร่วมกับอุปกรณ์ AR/VR ของ Samsung ที่กำลังพัฒนา https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/good-news-for-samsung-galaxy-owners-one-ui-8-5-could-bring-these-3-big-upgrades
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • “Snapdragon Guardian: ระบบจัดการพีซีผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์ — ควบคุมได้แม้เครื่องดับ อินเทล vPro ต้องมีหนาว”

    Qualcomm เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ในชื่อ “Snapdragon Guardian” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการและรักษาความปลอดภัยสำหรับพีซีที่ออกแบบมาเพื่อเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Intel vPro โดยความโดดเด่นของ Guardian คือความสามารถในการควบคุมอุปกรณ์ได้แม้ในขณะที่เครื่องปิดอยู่ ไม่เชื่อมต่อ Wi-Fi หรือแม้แต่บูตไม่ขึ้น — ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ด้วยการฝังโมเด็ม 4G, 5G และ Wi-Fi 7 ไว้ในตัวชิปโดยตรง2

    Guardian จะเปิดตัวพร้อมกับ Snapdragon X2 Elite และ X2 Elite Extreme ซึ่งเป็นชิปโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นการประมวลผล AI และการเชื่อมต่อแบบ always-on โดยระบบนี้ผสานฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และบริการคลาวด์เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถติดตาม, อัปเดต, ล็อก หรือแม้แต่ล้างข้อมูลในเครื่องได้จากระยะไกลผ่านแดชบอร์ดบนเว็บหรือแอปมือถือ2

    นอกจากการจัดการอุปกรณ์ในองค์กร Guardian ยังเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการระบบป้องกันการโจรกรรมหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยสามารถตั้ง geofencing, ติดตามตำแหน่ง และดำเนินการแก้ไขจากระยะไกลได้ทันที

    อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเข้าถึงอุปกรณ์แม้ในขณะปิดเครื่องก็ทำให้เกิดคำถามด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุมว่า “ใคร” ควรมีสิทธิ์เข้าถึง และ “เมื่อไร” ควรอนุญาตให้ใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Snapdragon Guardian เป็นแพลตฟอร์มจัดการพีซีที่ทำงานได้แม้เครื่องปิดหรือไม่เชื่อมต่อ Wi-Fi
    ใช้โมเด็ม 4G, 5G และ Wi-Fi 7 ฝังในตัวชิปเพื่อเชื่อมต่อแบบ always-on
    ผสานฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และคลาวด์เพื่อจัดการอุปกรณ์แบบ out-of-band
    รองรับการติดตาม, ล็อก, ล้างข้อมูล และอัปเดตจากระยะไกล
    ใช้งานผ่านแดชบอร์ดบนเว็บและแอปมือถือ
    รองรับ geofencing และการติดตามตำแหน่งแบบเรียลไทม์
    ใช้งานได้ทั้งในองค์กรขนาดใหญ่, SMB และผู้ใช้ทั่วไป
    เปิดตัวพร้อมกับ Snapdragon X2 Elite และ Extreme ในปี 2026
    Qualcomm ระบุว่า Guardian เข้ากันได้กับระบบจัดการ IT ที่มีอยู่แล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Intel vPro ใช้การจัดการแบบ out-of-band ผ่าน LAN แต่ไม่รองรับ cellular
    อุปกรณ์ที่มี Guardian สามารถจัดการได้แม้ถูกขโมยหรืออยู่ต่างประเทศ
    92% ของการโจมตี ransomware เริ่มจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการจัดการ
    Qualcomm กำลังขยายตลาดจากมือถือไปสู่พีซี, รถยนต์ และอุปกรณ์ IoT
    Guardian อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการจัดการ endpoint ในยุค AI

    https://www.techradar.com/pro/security/qualcomm-has-a-rival-to-intels-popular-vpro-platform-management-system-called-guardian-and-it-can-even-work-without-wi-fi-but-i-dont-know-whether-it-is-such-a-good-thing
    📡 “Snapdragon Guardian: ระบบจัดการพีซีผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์ — ควบคุมได้แม้เครื่องดับ อินเทล vPro ต้องมีหนาว” Qualcomm เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ในชื่อ “Snapdragon Guardian” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการและรักษาความปลอดภัยสำหรับพีซีที่ออกแบบมาเพื่อเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Intel vPro โดยความโดดเด่นของ Guardian คือความสามารถในการควบคุมอุปกรณ์ได้แม้ในขณะที่เครื่องปิดอยู่ ไม่เชื่อมต่อ Wi-Fi หรือแม้แต่บูตไม่ขึ้น — ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ด้วยการฝังโมเด็ม 4G, 5G และ Wi-Fi 7 ไว้ในตัวชิปโดยตรง2 Guardian จะเปิดตัวพร้อมกับ Snapdragon X2 Elite และ X2 Elite Extreme ซึ่งเป็นชิปโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นการประมวลผล AI และการเชื่อมต่อแบบ always-on โดยระบบนี้ผสานฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และบริการคลาวด์เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถติดตาม, อัปเดต, ล็อก หรือแม้แต่ล้างข้อมูลในเครื่องได้จากระยะไกลผ่านแดชบอร์ดบนเว็บหรือแอปมือถือ2 นอกจากการจัดการอุปกรณ์ในองค์กร Guardian ยังเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการระบบป้องกันการโจรกรรมหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยสามารถตั้ง geofencing, ติดตามตำแหน่ง และดำเนินการแก้ไขจากระยะไกลได้ทันที อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเข้าถึงอุปกรณ์แม้ในขณะปิดเครื่องก็ทำให้เกิดคำถามด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุมว่า “ใคร” ควรมีสิทธิ์เข้าถึง และ “เมื่อไร” ควรอนุญาตให้ใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Snapdragon Guardian เป็นแพลตฟอร์มจัดการพีซีที่ทำงานได้แม้เครื่องปิดหรือไม่เชื่อมต่อ Wi-Fi ➡️ ใช้โมเด็ม 4G, 5G และ Wi-Fi 7 ฝังในตัวชิปเพื่อเชื่อมต่อแบบ always-on ➡️ ผสานฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และคลาวด์เพื่อจัดการอุปกรณ์แบบ out-of-band ➡️ รองรับการติดตาม, ล็อก, ล้างข้อมูล และอัปเดตจากระยะไกล ➡️ ใช้งานผ่านแดชบอร์ดบนเว็บและแอปมือถือ ➡️ รองรับ geofencing และการติดตามตำแหน่งแบบเรียลไทม์ ➡️ ใช้งานได้ทั้งในองค์กรขนาดใหญ่, SMB และผู้ใช้ทั่วไป ➡️ เปิดตัวพร้อมกับ Snapdragon X2 Elite และ Extreme ในปี 2026 ➡️ Qualcomm ระบุว่า Guardian เข้ากันได้กับระบบจัดการ IT ที่มีอยู่แล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Intel vPro ใช้การจัดการแบบ out-of-band ผ่าน LAN แต่ไม่รองรับ cellular ➡️ อุปกรณ์ที่มี Guardian สามารถจัดการได้แม้ถูกขโมยหรืออยู่ต่างประเทศ ➡️ 92% ของการโจมตี ransomware เริ่มจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการจัดการ ➡️ Qualcomm กำลังขยายตลาดจากมือถือไปสู่พีซี, รถยนต์ และอุปกรณ์ IoT ➡️ Guardian อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการจัดการ endpoint ในยุค AI https://www.techradar.com/pro/security/qualcomm-has-a-rival-to-intels-popular-vpro-platform-management-system-called-guardian-and-it-can-even-work-without-wi-fi-but-i-dont-know-whether-it-is-such-a-good-thing
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 Reviews
  • “RidePods: เกมแข่งมอเตอร์ไซค์ที่ควบคุมด้วย AirPods — เมื่อศีรษะกลายเป็นจอยสติ๊กแห่งอนาคต”

    โลกของเกมมือถือกำลังเปลี่ยนไป เมื่อ RidePods – Race with Head กลายเป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็นอุปกรณ์ควบคุมการเล่นผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ โดยผู้เล่นสามารถบังคับมอเตอร์ไซค์ในเกมด้วยการเอียงหัวซ้ายขวาเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก เรียกได้ว่า “หัวของคุณคือ Wiimote” ที่แท้จริง

    เกมนี้พัฒนาโดย Ali Tanis ซึ่งค้นพบว่าเซ็นเซอร์ที่ใช้ในฟีเจอร์ spatial audio ของ AirPods สามารถนำมาใช้เป็น motion controller ได้ หลังจาก reverse-engineer ระบบดังกล่าว เขาก็สร้างเกมแข่งรถที่ควบคุมด้วยศีรษะขึ้นมา และ Apple ก็อนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ

    RidePods รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ซึ่งมีเซ็นเซอร์ spatial audio ที่จำเป็นต่อการควบคุมเกม หากใช้หูฟังรุ่นอื่น เกมอาจไม่ทำงานตามที่ตั้งใจไว้ โดยตัวเกมมีระบบการเล่นแบบ arcade ที่เน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุดในแต่ละรอบ

    นอกจากความแปลกใหม่ในการควบคุมแล้ว RidePods ยังเปิดประตูให้กับนักพัฒนาในการใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ เช่นเดียวกับกรณีที่นักพัฒนาเคยใช้เซ็นเซอร์ LidAngleSensor ใน MacBook เพื่อสร้างแอปจำลองเสียงประตูเปิด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    RidePods เป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็น motion controller ผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ
    พัฒนาโดย Ali Tanis ด้วยการ reverse-engineer ระบบ spatial audio ของ Apple
    ผู้เล่นควบคุมมอเตอร์ไซค์ด้วยการเอียงหัวเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก
    รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ที่มีเซ็นเซอร์ spatial audio
    เกมได้รับการอนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ
    ระบบการเล่นเน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุด
    เปิดโอกาสให้นักพัฒนาใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างแอปใหม่
    RidePods มีการออกแบบให้เล่นได้รวดเร็ว เหมาะกับการเล่นแบบ casual หรือแข่งขัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple เตรียมเพิ่ม gesture control และ sleep detection ให้กับ AirPods รุ่นใหม่ใน iOS 26
    การควบคุมด้วยศีรษะเริ่มถูกนำมาใช้ในฟีเจอร์อื่น เช่น การรับ/ปฏิเสธสายโทรศัพท์
    Motion control ผ่านหูฟังอาจนำไปใช้ในแอปอื่น เช่น เกม VR หรือแอปออกกำลังกาย
    การใช้เซ็นเซอร์ spatial audio ช่วยให้การควบคุมแม่นยำและตอบสนองเร็ว
    RidePods อาจเป็นต้นแบบของเกมที่ใช้ wearable เป็นอุปกรณ์ควบคุมหลักในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/worlds-first-airpods-controlled-game-uses-reverse-engineered-spatial-audio-hardware-for-motion-control-undocumented-apple-sensor-enables-ridepods-race-with-head-motorbike-racing-game
    🎮 “RidePods: เกมแข่งมอเตอร์ไซค์ที่ควบคุมด้วย AirPods — เมื่อศีรษะกลายเป็นจอยสติ๊กแห่งอนาคต” โลกของเกมมือถือกำลังเปลี่ยนไป เมื่อ RidePods – Race with Head กลายเป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็นอุปกรณ์ควบคุมการเล่นผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ โดยผู้เล่นสามารถบังคับมอเตอร์ไซค์ในเกมด้วยการเอียงหัวซ้ายขวาเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก เรียกได้ว่า “หัวของคุณคือ Wiimote” ที่แท้จริง เกมนี้พัฒนาโดย Ali Tanis ซึ่งค้นพบว่าเซ็นเซอร์ที่ใช้ในฟีเจอร์ spatial audio ของ AirPods สามารถนำมาใช้เป็น motion controller ได้ หลังจาก reverse-engineer ระบบดังกล่าว เขาก็สร้างเกมแข่งรถที่ควบคุมด้วยศีรษะขึ้นมา และ Apple ก็อนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ RidePods รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ซึ่งมีเซ็นเซอร์ spatial audio ที่จำเป็นต่อการควบคุมเกม หากใช้หูฟังรุ่นอื่น เกมอาจไม่ทำงานตามที่ตั้งใจไว้ โดยตัวเกมมีระบบการเล่นแบบ arcade ที่เน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุดในแต่ละรอบ นอกจากความแปลกใหม่ในการควบคุมแล้ว RidePods ยังเปิดประตูให้กับนักพัฒนาในการใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ เช่นเดียวกับกรณีที่นักพัฒนาเคยใช้เซ็นเซอร์ LidAngleSensor ใน MacBook เพื่อสร้างแอปจำลองเสียงประตูเปิด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ RidePods เป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็น motion controller ผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ ➡️ พัฒนาโดย Ali Tanis ด้วยการ reverse-engineer ระบบ spatial audio ของ Apple ➡️ ผู้เล่นควบคุมมอเตอร์ไซค์ด้วยการเอียงหัวเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก ➡️ รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ที่มีเซ็นเซอร์ spatial audio ➡️ เกมได้รับการอนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ ➡️ ระบบการเล่นเน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุด ➡️ เปิดโอกาสให้นักพัฒนาใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างแอปใหม่ ➡️ RidePods มีการออกแบบให้เล่นได้รวดเร็ว เหมาะกับการเล่นแบบ casual หรือแข่งขัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple เตรียมเพิ่ม gesture control และ sleep detection ให้กับ AirPods รุ่นใหม่ใน iOS 26 ➡️ การควบคุมด้วยศีรษะเริ่มถูกนำมาใช้ในฟีเจอร์อื่น เช่น การรับ/ปฏิเสธสายโทรศัพท์ ➡️ Motion control ผ่านหูฟังอาจนำไปใช้ในแอปอื่น เช่น เกม VR หรือแอปออกกำลังกาย ➡️ การใช้เซ็นเซอร์ spatial audio ช่วยให้การควบคุมแม่นยำและตอบสนองเร็ว ➡️ RidePods อาจเป็นต้นแบบของเกมที่ใช้ wearable เป็นอุปกรณ์ควบคุมหลักในอนาคต https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/worlds-first-airpods-controlled-game-uses-reverse-engineered-spatial-audio-hardware-for-motion-control-undocumented-apple-sensor-enables-ridepods-race-with-head-motorbike-racing-game
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • “USB-C บนแท็บเล็ต Android: พอร์ตเล็กที่เปลี่ยนแท็บเล็ตธรรมดาให้กลายเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์”

    หลายคนอาจมองว่า USB-C บนแท็บเล็ต Android มีไว้แค่ชาร์จแบตหรือถ่ายโอนไฟล์ แต่ในความเป็นจริง พอร์ตเล็ก ๆ นี้สามารถเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ ทั้งด้านเกม การทำงาน เสียง และการสร้างคอนเทนต์ โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรซับซ้อน

    เริ่มจากสายเกมเมอร์ — เพียงเสียบจอยเกมผ่าน USB-C ก็สามารถเล่นเกมมือถือหรือเกมสตรีมจาก PC ได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็นจอย PS4, PS5, Xbox หรือจอยทั่วไปก็รองรับแทบทั้งหมด และบางรุ่นยังสามารถติดตั้งแบบ handheld ได้เหมือน Nintendo Switch

    สำหรับสายทำงาน USB-C สามารถเชื่อมต่อกับ dock หรือ hub เพื่อเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นเครื่องทำงานเต็มรูปแบบ เช่น ต่อจอเสริม, เมาส์, คีย์บอร์ด, LAN และแม้แต่หูฟังแบบสาย โดยเฉพาะ Samsung Galaxy Tab ที่รองรับโหมด DeX ซึ่งเปลี่ยนอินเทอร์เฟซให้เหมือนเดสก์ท็อป

    ด้านประสิทธิภาพ USB-C ยังสามารถจ่ายไฟให้กับพัดลมระบายความร้อนภายนอก ซึ่งช่วยลดการ throttle ของ CPU และเพิ่มเฟรมเรตในการเล่นเกมหรือทำงานหนัก ๆ ได้จริง โดยการติดตั้งพัดลมให้ตรงจุดที่ CPU อยู่จะช่วยให้ได้ผลดีที่สุด

    สายเสียงก็ไม่แพ้กัน — USB-C รองรับการเชื่อมต่อกับ DAC, audio interface และ MIDI keyboard ได้อย่างง่ายดาย ทำให้แท็บเล็ตกลายเป็นสตูดิโอพกพาได้ทันที แม้จะต้องระวังเรื่องการกินแบตที่เพิ่มขึ้นเมื่อใช้อุปกรณ์เสียงระดับมืออาชีพ

    สุดท้าย สำหรับสายคอนเทนต์ USB-C ยังสามารถเชื่อมต่อไมโครโฟนไร้สายแบบ clip-on เพื่อใช้ในการถ่ายวิดีโอหรือประชุมออนไลน์ได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องพึ่งไมค์ใหญ่หรืออุปกรณ์เสริมราคาแพง

    USB-C บนแท็บเล็ต Android รองรับการเชื่อมต่อจอยเกมหลากหลายรุ่น
    สามารถใช้แท็บเล็ตเป็นหน้าจอที่สองผ่านแอป spacedesk
    รองรับการเชื่อมต่อกับ dock/hub เพื่อใช้งานแท็บเล็ตแบบเดสก์ท็อป
    Samsung Galaxy Tab รองรับโหมด DeX สำหรับการทำงานเต็มรูปแบบ
    USB-C สามารถจ่ายไฟให้พัดลมระบายความร้อนภายนอกได้
    พัดลมช่วยลดการ throttle และเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม
    รองรับการเชื่อมต่อกับ DAC, audio interface และ MIDI keyboard
    สามารถใช้ไมโครโฟนไร้สายผ่าน USB-C สำหรับการสร้างคอนเทนต์
    แท็บเล็ตสามารถเชื่อมต่อกับจอ, เมาส์, คีย์บอร์ด และ LAN ผ่าน hub

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    USB-C รองรับการส่งข้อมูล, พลังงาน และสัญญาณภาพในสายเดียว
    แท็บเล็ต Android รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและรองรับการใช้งานระดับมืออาชีพ
    พัดลมระบายความร้อนแบบติดหลังช่วยให้แท็บเล็ตทำงานต่อเนื่องได้นานขึ้น
    DAC ช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงให้ชัดเจนและละเอียดขึ้นสำหรับนักฟังเพลง
    ไมโครโฟนไร้สายแบบ clip-on เป็นที่นิยมในวงการ TikTok และ YouTube

    https://www.slashgear.com/1974688/uses-for-android-tablet-usb-c-port/
    🔌 “USB-C บนแท็บเล็ต Android: พอร์ตเล็กที่เปลี่ยนแท็บเล็ตธรรมดาให้กลายเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์” หลายคนอาจมองว่า USB-C บนแท็บเล็ต Android มีไว้แค่ชาร์จแบตหรือถ่ายโอนไฟล์ แต่ในความเป็นจริง พอร์ตเล็ก ๆ นี้สามารถเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ ทั้งด้านเกม การทำงาน เสียง และการสร้างคอนเทนต์ โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรซับซ้อน เริ่มจากสายเกมเมอร์ — เพียงเสียบจอยเกมผ่าน USB-C ก็สามารถเล่นเกมมือถือหรือเกมสตรีมจาก PC ได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็นจอย PS4, PS5, Xbox หรือจอยทั่วไปก็รองรับแทบทั้งหมด และบางรุ่นยังสามารถติดตั้งแบบ handheld ได้เหมือน Nintendo Switch สำหรับสายทำงาน USB-C สามารถเชื่อมต่อกับ dock หรือ hub เพื่อเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นเครื่องทำงานเต็มรูปแบบ เช่น ต่อจอเสริม, เมาส์, คีย์บอร์ด, LAN และแม้แต่หูฟังแบบสาย โดยเฉพาะ Samsung Galaxy Tab ที่รองรับโหมด DeX ซึ่งเปลี่ยนอินเทอร์เฟซให้เหมือนเดสก์ท็อป ด้านประสิทธิภาพ USB-C ยังสามารถจ่ายไฟให้กับพัดลมระบายความร้อนภายนอก ซึ่งช่วยลดการ throttle ของ CPU และเพิ่มเฟรมเรตในการเล่นเกมหรือทำงานหนัก ๆ ได้จริง โดยการติดตั้งพัดลมให้ตรงจุดที่ CPU อยู่จะช่วยให้ได้ผลดีที่สุด สายเสียงก็ไม่แพ้กัน — USB-C รองรับการเชื่อมต่อกับ DAC, audio interface และ MIDI keyboard ได้อย่างง่ายดาย ทำให้แท็บเล็ตกลายเป็นสตูดิโอพกพาได้ทันที แม้จะต้องระวังเรื่องการกินแบตที่เพิ่มขึ้นเมื่อใช้อุปกรณ์เสียงระดับมืออาชีพ สุดท้าย สำหรับสายคอนเทนต์ USB-C ยังสามารถเชื่อมต่อไมโครโฟนไร้สายแบบ clip-on เพื่อใช้ในการถ่ายวิดีโอหรือประชุมออนไลน์ได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องพึ่งไมค์ใหญ่หรืออุปกรณ์เสริมราคาแพง ➡️ USB-C บนแท็บเล็ต Android รองรับการเชื่อมต่อจอยเกมหลากหลายรุ่น ➡️ สามารถใช้แท็บเล็ตเป็นหน้าจอที่สองผ่านแอป spacedesk ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับ dock/hub เพื่อใช้งานแท็บเล็ตแบบเดสก์ท็อป ➡️ Samsung Galaxy Tab รองรับโหมด DeX สำหรับการทำงานเต็มรูปแบบ ➡️ USB-C สามารถจ่ายไฟให้พัดลมระบายความร้อนภายนอกได้ ➡️ พัดลมช่วยลดการ throttle และเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับ DAC, audio interface และ MIDI keyboard ➡️ สามารถใช้ไมโครโฟนไร้สายผ่าน USB-C สำหรับการสร้างคอนเทนต์ ➡️ แท็บเล็ตสามารถเชื่อมต่อกับจอ, เมาส์, คีย์บอร์ด และ LAN ผ่าน hub ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ USB-C รองรับการส่งข้อมูล, พลังงาน และสัญญาณภาพในสายเดียว ➡️ แท็บเล็ต Android รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและรองรับการใช้งานระดับมืออาชีพ ➡️ พัดลมระบายความร้อนแบบติดหลังช่วยให้แท็บเล็ตทำงานต่อเนื่องได้นานขึ้น ➡️ DAC ช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงให้ชัดเจนและละเอียดขึ้นสำหรับนักฟังเพลง ➡️ ไมโครโฟนไร้สายแบบ clip-on เป็นที่นิยมในวงการ TikTok และ YouTube https://www.slashgear.com/1974688/uses-for-android-tablet-usb-c-port/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Uses For Your Android Tablet's USB-C Port - SlashGear
    There are a number of unexpected ways to take advantage of your Android tablet's USB-C port.
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
More Results