• Imagination Technologies เปิดตัว E-Series GPU สำหรับ AI ที่อาจเหนือกว่า NVIDIA ด้านความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน

    อดีตผู้ผลิต GPU ให้ Apple อย่าง Imagination Technologies เผยโฉม E-Series GPU ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และกราฟิก พร้อมชูจุดเด่นด้านการประมวลผลแบบ tile-based, การใช้พลังงานต่ำ และความสามารถในการปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่เหนือกว่า NVIDIA ในบางแง่มุม

    Kristof Beets รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Imagination Technologies เปิดเผยว่า E-Series GPU รุ่นใหม่สามารถประมวลผลได้สูงถึง 200 TOPS สำหรับงาน INT8 และ FP8 ซึ่งเหมาะกับทั้ง edge AI และงาน training/inference ขนาดใหญ่

    สิ่งที่ทำให้ E-Series โดดเด่นคือ:
    Tile-based compute: คล้ายกับ tile-based rendering ในกราฟิก ทำให้ประหยัดพลังงานและลดการใช้หน่วยความจำ
    Burst Processor: สถาปัตยกรรมใหม่ที่ลด pipeline จาก 10 ขั้นตอนเหลือ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณแบบต่อเนื่อง
    Matrix Multiply Acceleration: รองรับการคำนวณแบบ tensor โดยตรงใน GPU
    Subgroup exchange: ALU สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ในระดับฮาร์ดแวร์
    รองรับ Vulkan, OpenCL และ API มาตรฐาน เพื่อให้ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ AI ได้ง่าย

    Imagination ยังเน้นว่า GPU ของตนสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า เพราะเป็นบริษัท IP licensing ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรง ต่างจาก NVIDIA ที่ขายชิปแบบสำเร็จรูปเท่านั้น

    จุดเด่นของ E-Series GPU
    ประมวลผลได้สูงสุด 200 TOPS สำหรับ INT8/FP8
    ใช้ tile-based compute เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน
    Burst Processor ลด pipeline เหลือ 2 ขั้นตอน
    รองรับ matrix multiply และ subgroup exchange ในระดับฮาร์ดแวร์
    รองรับ API มาตรฐาน เช่น Vulkan และ OpenCL

    ความยืดหยุ่นด้านการออกแบบ
    ลูกค้าสามารถปรับแต่งขนาดและฟีเจอร์ของ GPU ได้
    เหมาะกับตลาด edge AI, ยานยนต์, และเซิร์ฟเวอร์
    ไม่จำกัดให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Imagination

    เปรียบเทียบกับ NVIDIA
    NVIDIA มี tensor core ที่แรง แต่ปรับแต่งไม่ได้
    Imagination เน้นความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน
    GPU ของ Imagination อาจเหมาะกับงานเฉพาะทางมากกว่า

    https://wccftech.com/apples-former-gpu-supplier-imagination-tech-shares-ai-gpu-advantages-over-nvidia/
    🚀🧠 Imagination Technologies เปิดตัว E-Series GPU สำหรับ AI ที่อาจเหนือกว่า NVIDIA ด้านความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน อดีตผู้ผลิต GPU ให้ Apple อย่าง Imagination Technologies เผยโฉม E-Series GPU ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และกราฟิก พร้อมชูจุดเด่นด้านการประมวลผลแบบ tile-based, การใช้พลังงานต่ำ และความสามารถในการปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่เหนือกว่า NVIDIA ในบางแง่มุม Kristof Beets รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Imagination Technologies เปิดเผยว่า E-Series GPU รุ่นใหม่สามารถประมวลผลได้สูงถึง 200 TOPS สำหรับงาน INT8 และ FP8 ซึ่งเหมาะกับทั้ง edge AI และงาน training/inference ขนาดใหญ่ สิ่งที่ทำให้ E-Series โดดเด่นคือ: 🎗️ Tile-based compute: คล้ายกับ tile-based rendering ในกราฟิก ทำให้ประหยัดพลังงานและลดการใช้หน่วยความจำ 🎗️ Burst Processor: สถาปัตยกรรมใหม่ที่ลด pipeline จาก 10 ขั้นตอนเหลือ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณแบบต่อเนื่อง 🎗️ Matrix Multiply Acceleration: รองรับการคำนวณแบบ tensor โดยตรงใน GPU 🎗️ Subgroup exchange: ALU สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ในระดับฮาร์ดแวร์ 🎗️ รองรับ Vulkan, OpenCL และ API มาตรฐาน เพื่อให้ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ AI ได้ง่าย Imagination ยังเน้นว่า GPU ของตนสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า เพราะเป็นบริษัท IP licensing ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรง ต่างจาก NVIDIA ที่ขายชิปแบบสำเร็จรูปเท่านั้น ✅ จุดเด่นของ E-Series GPU ➡️ ประมวลผลได้สูงสุด 200 TOPS สำหรับ INT8/FP8 ➡️ ใช้ tile-based compute เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน ➡️ Burst Processor ลด pipeline เหลือ 2 ขั้นตอน ➡️ รองรับ matrix multiply และ subgroup exchange ในระดับฮาร์ดแวร์ ➡️ รองรับ API มาตรฐาน เช่น Vulkan และ OpenCL ✅ ความยืดหยุ่นด้านการออกแบบ ➡️ ลูกค้าสามารถปรับแต่งขนาดและฟีเจอร์ของ GPU ได้ ➡️ เหมาะกับตลาด edge AI, ยานยนต์, และเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ไม่จำกัดให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Imagination ✅ เปรียบเทียบกับ NVIDIA ➡️ NVIDIA มี tensor core ที่แรง แต่ปรับแต่งไม่ได้ ➡️ Imagination เน้นความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน ➡️ GPU ของ Imagination อาจเหมาะกับงานเฉพาะทางมากกว่า https://wccftech.com/apples-former-gpu-supplier-imagination-tech-shares-ai-gpu-advantages-over-nvidia/
    WCCFTECH.COM
    Apple's Former GPU Supplier Imagination Tech Shares AI GPU Advantages Over NVIDIA
    As AI GPUs continue to dominate the technology conversation, we decided to sit down with Kristof Beets, Vice President of Product Management at Imagination Technologies. Imagination Technologies is one of the oldest GPU intellectual property firms in the world and has been known for previously supplying Apple GPUs for the iPhone and iPad. With GPUs being quite close to AI processing needs as well, our discussion with Kristof surrounded how Imagination Technologies' products are suitable for AI computing. He also compared them with NVIDIA's GPUs, and the conversation started off with Kristof giving us a presentation of Imagination's latest E-Series […]
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • Nexperia หยุดส่งออกชิปไปจีน! อุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันชะงัก ผลกระทบลามทั่วโลก

    ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเนเธอร์แลนด์และจีนเรื่องการควบคุมบริษัท Nexperia ส่งผลให้การส่งออกชิปไปจีนถูกระงับทันที ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันอย่าง VW, BMW และ Mercedes ต้องลดกำลังการผลิต ขณะที่ญี่ปุ่นและยุโรปเตรียมรับมือกับวิกฤตชิปครั้งใหม่

    Nexperia ซึ่งเคยเป็นบริษัทลูกของจีน ถูกรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 หลังพบว่าอดีต CEO พยายามใช้เงินบริษัทไปสนับสนุนโรงงานชิปส่วนตัวในจีน โดยมีแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้จำกัดอิทธิพลจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยุโรป

    หลังจากการยึดกิจการ Nexperia ได้หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในเมืองตงกวน ประเทศจีน โดยอ้างว่า “ฝ่ายบริหารท้องถิ่นไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินตามสัญญา” ส่งผลให้สายการผลิตในจีนหยุดชะงักทันที

    ผลกระทบลามไปถึงเยอรมนี เมื่อบริษัท ZF Friedrichshafen AG ซึ่งผลิตระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้กับ VW, BMW, Ford และ Mercedes ต้องลดกะการผลิตลง เพราะขาดชิปจาก Nexperia

    ญี่ปุ่นเองก็เริ่มเตรียมรับมือ โดย Nissan ระบุว่ามีสต็อกชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น ขณะที่ Toyota และผู้ผลิตรายอื่นกำลังพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกันเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

    เหตุการณ์หลักจากข่าว
    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการ Nexperia จากบริษัทแม่จีน
    สหรัฐฯ มีบทบาทในการกดดันให้จำกัดอิทธิพลจีน
    Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในจีน
    อ้างว่าฝ่ายบริหารจีนไม่ชำระเงินตามสัญญา

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์
    ZF Friedrichshafen AG ลดกำลังผลิตในเยอรมนี
    กระทบ VW, BMW, Ford, Mercedes
    Nissan มีชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน
    ญี่ปุ่นพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกัน

    ความสำคัญของ Nexperia
    ผลิตชิปรุ่นเก่าแต่จำเป็นต่อระบบรถยนต์
    แม้ไม่ใช่ชิปล้ำสมัยแบบ TSMC แต่ขาดไม่ได้ในสายการผลิต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/nexperia-conflict-spills-overseas-as-it-halts-exports-to-china-german-automotive-manufacturers-slow-production-due-to-semiconductor-shortages-from-dutch-chipmaker
    🚗💥 Nexperia หยุดส่งออกชิปไปจีน! อุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันชะงัก ผลกระทบลามทั่วโลก ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเนเธอร์แลนด์และจีนเรื่องการควบคุมบริษัท Nexperia ส่งผลให้การส่งออกชิปไปจีนถูกระงับทันที ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันอย่าง VW, BMW และ Mercedes ต้องลดกำลังการผลิต ขณะที่ญี่ปุ่นและยุโรปเตรียมรับมือกับวิกฤตชิปครั้งใหม่ Nexperia ซึ่งเคยเป็นบริษัทลูกของจีน ถูกรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 หลังพบว่าอดีต CEO พยายามใช้เงินบริษัทไปสนับสนุนโรงงานชิปส่วนตัวในจีน โดยมีแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้จำกัดอิทธิพลจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยุโรป หลังจากการยึดกิจการ Nexperia ได้หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในเมืองตงกวน ประเทศจีน โดยอ้างว่า “ฝ่ายบริหารท้องถิ่นไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินตามสัญญา” ส่งผลให้สายการผลิตในจีนหยุดชะงักทันที ผลกระทบลามไปถึงเยอรมนี เมื่อบริษัท ZF Friedrichshafen AG ซึ่งผลิตระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้กับ VW, BMW, Ford และ Mercedes ต้องลดกะการผลิตลง เพราะขาดชิปจาก Nexperia ญี่ปุ่นเองก็เริ่มเตรียมรับมือ โดย Nissan ระบุว่ามีสต็อกชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น ขณะที่ Toyota และผู้ผลิตรายอื่นกำลังพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกันเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต ✅ เหตุการณ์หลักจากข่าว ➡️ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการ Nexperia จากบริษัทแม่จีน ➡️ สหรัฐฯ มีบทบาทในการกดดันให้จำกัดอิทธิพลจีน ➡️ Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในจีน ➡️ อ้างว่าฝ่ายบริหารจีนไม่ชำระเงินตามสัญญา ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ ➡️ ZF Friedrichshafen AG ลดกำลังผลิตในเยอรมนี ➡️ กระทบ VW, BMW, Ford, Mercedes ➡️ Nissan มีชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ➡️ ญี่ปุ่นพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกัน ✅ ความสำคัญของ Nexperia ➡️ ผลิตชิปรุ่นเก่าแต่จำเป็นต่อระบบรถยนต์ ➡️ แม้ไม่ใช่ชิปล้ำสมัยแบบ TSMC แต่ขาดไม่ได้ในสายการผลิต https://www.tomshardware.com/tech-industry/nexperia-conflict-spills-overseas-as-it-halts-exports-to-china-german-automotive-manufacturers-slow-production-due-to-semiconductor-shortages-from-dutch-chipmaker
    0 Comments 0 Shares 43 Views 0 Reviews
  • นายทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่แนวหน้า ได้ออกมาชี้แจงต่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์การรับบริจาคแผ่นเกราะกันกระสุนจากพลเรือน โดยยืนยันว่า กองทัพบกมีแผ่นเกราะที่มีคุณภาพเพียงพอ แต่การบริจาคที่กลายเป็นประเด็นนั้น เป็นแผ่นเกราะระดับ NIJ Level 4 STA ซึ่งเป็นมาตรฐานการป้องกันกระสุนสูงสุดในโลก มูลค่ารวมหลายล้านบาท จากคุณหมอ สัตวแพทย์หญิงท่านหนึ่ง พร้อมเครือข่ายจิตอาสา เจ้าตัวย้ำหนักแน่นถึงเจตนาอันบริสุทธิ์ของผู้บริจาคที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน นอกเสียจากคำว่า อยากให้ทหารทุกคนที่อยู่แนวหน้าชายแดนกลับไปหาครอบครัว พร้อมตั้งคำถามถึงผู้สร้างดราม่าว่า ต้องการอะไรจากการตรวจสอบความช่วยเหลือที่มาจากน้ำใจของประชาชน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104138

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    นายทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่แนวหน้า ได้ออกมาชี้แจงต่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์การรับบริจาคแผ่นเกราะกันกระสุนจากพลเรือน โดยยืนยันว่า กองทัพบกมีแผ่นเกราะที่มีคุณภาพเพียงพอ แต่การบริจาคที่กลายเป็นประเด็นนั้น เป็นแผ่นเกราะระดับ NIJ Level 4 STA ซึ่งเป็นมาตรฐานการป้องกันกระสุนสูงสุดในโลก มูลค่ารวมหลายล้านบาท จากคุณหมอ สัตวแพทย์หญิงท่านหนึ่ง พร้อมเครือข่ายจิตอาสา เจ้าตัวย้ำหนักแน่นถึงเจตนาอันบริสุทธิ์ของผู้บริจาคที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน นอกเสียจากคำว่า อยากให้ทหารทุกคนที่อยู่แนวหน้าชายแดนกลับไปหาครอบครัว พร้อมตั้งคำถามถึงผู้สร้างดราม่าว่า ต้องการอะไรจากการตรวจสอบความช่วยเหลือที่มาจากน้ำใจของประชาชน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104138 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก!

    จีนสร้างศูนย์ข้อมูลใต้ทะเลลึก 35 เมตรนอกชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ ใช้พลังงานลมและน้ำทะเลในการระบายความร้อน ตั้งเป้าเป็นต้นแบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ประหยัดพลังงานและลดการใช้พื้นที่บนบก

    ในยุคที่ข้อมูลคือทุกสิ่ง จีนได้เปิดตัวโครงการที่พลิกโฉมวงการไอที: ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ Lin-gang ทางตอนใต้ของเซี่ยงไฮ้ โครงการนี้มีมูลค่ากว่า 226 ล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 24 เมกะวัตต์ โดยเริ่มต้นแล้วที่ 2.3 เมกะวัตต์

    แนวคิดเบื้องหลังนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: นำเซิร์ฟเวอร์ใส่แคปซูลกันน้ำ วางไว้ใต้ทะเล แล้วปล่อยให้ธรรมชาติช่วยระบายความร้อน ด้วยการใช้พลังงานลมจากทะเลและน้ำทะเลแทนเครื่องทำความเย็นแบบเดิม ทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลบนบก

    โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่ง และมีแผนขยายเป็นเวอร์ชัน 500 เมกะวัตต์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่: การซ่อมแซมหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์ในแคปซูลที่มีแรงดันสูงนั้นทั้งแพงและใช้เวลานาน

    แม้ Microsoft เคยทดลองแนวคิดคล้ายกันในโครงการ Natick แต่ก็ยุติไปเพราะต้นทุนและการบำรุงรักษาไม่คุ้มค่า จีนจึงต้องพิสูจน์ว่าแนวทางนี้จะยั่งยืนได้จริงในเชิงพาณิชย์

    จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก
    ตั้งอยู่ในพื้นที่ Lin-gang ใกล้เซี่ยงไฮ้
    ลึก 35 เมตรใต้ทะเล ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบกันสนิม
    ใช้พลังงานลม 95% และน้ำทะเลในการระบายความร้อน
    PUE ต่ำกว่า 1.15 ดีกว่าค่ามาตรฐานของจีนที่ 1.25

    เป้าหมายและการขยายในอนาคต
    เริ่มต้นที่ 2.3 เมกะวัตต์ ตั้งเป้า 24 เมกะวัตต์
    มีแผนขยายเป็น 500 เมกะวัตต์ในพื้นที่นอกชายฝั่ง

    เทียบกับโครงการ Natick ของ Microsoft
    Natick มีความน่าเชื่อถือสูงถึง 8 เท่า แต่ไม่คุ้มทุน
    ถูกยุติและนำข้อมูลไปใช้ใน Azure

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cnina-deploys-wind-powered-underwater-data-center
    🌊⚡ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก! จีนสร้างศูนย์ข้อมูลใต้ทะเลลึก 35 เมตรนอกชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ ใช้พลังงานลมและน้ำทะเลในการระบายความร้อน ตั้งเป้าเป็นต้นแบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ประหยัดพลังงานและลดการใช้พื้นที่บนบก ในยุคที่ข้อมูลคือทุกสิ่ง จีนได้เปิดตัวโครงการที่พลิกโฉมวงการไอที: ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ Lin-gang ทางตอนใต้ของเซี่ยงไฮ้ โครงการนี้มีมูลค่ากว่า 226 ล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 24 เมกะวัตต์ โดยเริ่มต้นแล้วที่ 2.3 เมกะวัตต์ แนวคิดเบื้องหลังนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: นำเซิร์ฟเวอร์ใส่แคปซูลกันน้ำ วางไว้ใต้ทะเล แล้วปล่อยให้ธรรมชาติช่วยระบายความร้อน ด้วยการใช้พลังงานลมจากทะเลและน้ำทะเลแทนเครื่องทำความเย็นแบบเดิม ทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลบนบก โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่ง และมีแผนขยายเป็นเวอร์ชัน 500 เมกะวัตต์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่: การซ่อมแซมหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์ในแคปซูลที่มีแรงดันสูงนั้นทั้งแพงและใช้เวลานาน แม้ Microsoft เคยทดลองแนวคิดคล้ายกันในโครงการ Natick แต่ก็ยุติไปเพราะต้นทุนและการบำรุงรักษาไม่คุ้มค่า จีนจึงต้องพิสูจน์ว่าแนวทางนี้จะยั่งยืนได้จริงในเชิงพาณิชย์ ✅ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ➡️ ตั้งอยู่ในพื้นที่ Lin-gang ใกล้เซี่ยงไฮ้ ➡️ ลึก 35 เมตรใต้ทะเล ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบกันสนิม ➡️ ใช้พลังงานลม 95% และน้ำทะเลในการระบายความร้อน ➡️ PUE ต่ำกว่า 1.15 ดีกว่าค่ามาตรฐานของจีนที่ 1.25 ✅ เป้าหมายและการขยายในอนาคต ➡️ เริ่มต้นที่ 2.3 เมกะวัตต์ ตั้งเป้า 24 เมกะวัตต์ ➡️ มีแผนขยายเป็น 500 เมกะวัตต์ในพื้นที่นอกชายฝั่ง ✅ เทียบกับโครงการ Natick ของ Microsoft ➡️ Natick มีความน่าเชื่อถือสูงถึง 8 เท่า แต่ไม่คุ้มทุน ➡️ ถูกยุติและนำข้อมูลไปใช้ใน Azure https://www.tomshardware.com/tech-industry/cnina-deploys-wind-powered-underwater-data-center
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่! ห้ามใช้ “อุปกรณ์หลอกระบบขับขี่อัตโนมัติ” — ป้องกันอุบัติเหตุจากการแฮกเทคโนโลยีรถ

    รัฐแคลิฟอร์เนียประกาศใช้กฎหมาย Senate Bill 1313 อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 เพื่อห้ามการใช้ “defeat devices” — อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ในรถยนต์ที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla Autopilot และ Ford BlueCruise

    อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น ถ่วงพวงมาลัยหรือบังกล้องตรวจจับใบหน้า ถูกใช้เพื่อหลอกให้รถคิดว่าผู้ขับขี่ยังมีส่วนร่วมอยู่ ทั้งที่จริงแล้วไม่มีใครจับพวงมาลัยหรือมองถนนเลย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก

    กฎหมายใหม่ไม่เพียงห้ามการใช้งาน แต่ยังครอบคลุมถึงการผลิต โฆษณา และจำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย โดยมีบทลงโทษเป็น “infraction” หรือความผิดเล็กน้อย แต่ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าแคลิฟอร์เนียเอาจริงกับความปลอดภัยบนท้องถนน

    อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็มีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น:
    การใช้เพื่อการซ่อมแซมรถยนต์ตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ผลิต
    การใช้งานที่จำเป็นตามกฎหมาย Americans with Disabilities Act เพื่อช่วยผู้ขับขี่ที่มีความพิการ

    กฎหมายใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย
    ห้ามใช้อุปกรณ์ที่หลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (DMS)
    ครอบคลุมการผลิต จำหน่าย และโฆษณา defeat devices
    ใช้กับรถที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla และ Ford

    ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ถูกห้าม
    ถ่วงพวงมาลัยเพื่อหลอกว่ามีมือจับ
    บังกล้องตรวจจับใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเตือน

    ข้อยกเว้นตามกฎหมาย
    ใช้เพื่อการซ่อมแซมตามมาตรฐานผู้ผลิต
    ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่มีความพิการตาม ADA

    https://www.slashgear.com/2011751/california-self-driving-car-defeat-device-ban/
    🚗 แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่! ห้ามใช้ “อุปกรณ์หลอกระบบขับขี่อัตโนมัติ” — ป้องกันอุบัติเหตุจากการแฮกเทคโนโลยีรถ รัฐแคลิฟอร์เนียประกาศใช้กฎหมาย Senate Bill 1313 อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 เพื่อห้ามการใช้ “defeat devices” — อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ในรถยนต์ที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla Autopilot และ Ford BlueCruise อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น ถ่วงพวงมาลัยหรือบังกล้องตรวจจับใบหน้า ถูกใช้เพื่อหลอกให้รถคิดว่าผู้ขับขี่ยังมีส่วนร่วมอยู่ ทั้งที่จริงแล้วไม่มีใครจับพวงมาลัยหรือมองถนนเลย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก กฎหมายใหม่ไม่เพียงห้ามการใช้งาน แต่ยังครอบคลุมถึงการผลิต โฆษณา และจำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย โดยมีบทลงโทษเป็น “infraction” หรือความผิดเล็กน้อย แต่ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าแคลิฟอร์เนียเอาจริงกับความปลอดภัยบนท้องถนน 📜 อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็มีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น: 💠 การใช้เพื่อการซ่อมแซมรถยนต์ตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ผลิต 💠 การใช้งานที่จำเป็นตามกฎหมาย Americans with Disabilities Act เพื่อช่วยผู้ขับขี่ที่มีความพิการ ✅ กฎหมายใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ➡️ ห้ามใช้อุปกรณ์ที่หลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (DMS) ➡️ ครอบคลุมการผลิต จำหน่าย และโฆษณา defeat devices ➡️ ใช้กับรถที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla และ Ford ✅ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ถูกห้าม ➡️ ถ่วงพวงมาลัยเพื่อหลอกว่ามีมือจับ ➡️ บังกล้องตรวจจับใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเตือน ✅ ข้อยกเว้นตามกฎหมาย ➡️ ใช้เพื่อการซ่อมแซมตามมาตรฐานผู้ผลิต ➡️ ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่มีความพิการตาม ADA https://www.slashgear.com/2011751/california-self-driving-car-defeat-device-ban/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    California Is Cracking Down On People Using Hacks To Create Their Own 'Self-Driving' Cars - SlashGear
    California passed Senate Bill 1313 in September 2025 to ban the use and sale of devices that disable or interfere with cars' driver monitoring systems.
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • Crunchyroll ทำลายคุณภาพซับไตเติลอย่างไม่มีเหตุผล — เมื่อศิลปะการแปลถูกลดทอนเพื่อความสะดวกของแพลตฟอร์มใหญ่

    Crunchyroll เคยเป็นผู้นำด้านคุณภาพซับไตเติลในวงการอนิเมะ ด้วยการใช้เทคนิค typesetting ที่ซับซ้อน เช่น การจัดตำแหน่งข้อความ การใช้ฟอนต์และสีที่หลากหลาย รวมถึงการแปลข้อความบนหน้าจออย่างครบถ้วน แต่ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2025 เป็นต้นมา คุณภาพซับไตเติลกลับตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ในผลงานที่ผลิตโดยทีมงานของ Crunchyroll เอง

    เกิดอะไรขึ้น? Crunchyroll เริ่มลดการใช้ typesetting เพื่อให้ซับไตเติลสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Netflix และ Amazon Prime Video ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้มีข้อจำกัดด้านการแสดงผลซับไตเติล เช่น ห้ามใช้ตำแหน่งซับหลายจุด หรือแสดงข้อความซ้อนกัน แม้ว่าเทคโนโลยี TTML ที่ใช้จะรองรับฟีเจอร์เหล่านี้ก็ตาม

    เบื้องหลังการตัดสินใจ จากข้อมูลภายในที่ไม่เปิดเผยชื่อ พบว่า Crunchyroll เคยมีทีมงานแปลงซับไตเติลคุณภาพสูงให้เข้ากับมาตรฐานต่ำของแพลตฟอร์มอื่น แต่ในที่สุดผู้บริหารตัดสินใจผลิตซับไตเติลแบบต่ำคุณภาพเพียงอย่างเดียว เพื่อความสะดวกในการ sublicensing และลดต้นทุน แม้จะแลกกับประสบการณ์การรับชมที่ด้อยลง

    ประวัติการพัฒนาซับไตเติลของ Crunchyroll
    เริ่มจากการใช้ซับแฟนซับในยุคแรก
    พัฒนา renderer สำหรับ ASS ซับใน Flash และต่อมาใน HTML5 ด้วย WebAssembly
    เคยใช้ libass เพื่อรองรับการ typeset อย่างเต็มรูปแบบ
    แต่ไม่เคยพัฒนาให้รองรับฟอนต์แบบกำหนดเองอย่างจริงจัง

    ผลกระทบต่อผู้ชม
    ข้อความบนหน้าจอไม่ได้รับการแปล
    ซับไตเติลรวมกันที่ด้านบนหรือด้านล่าง ทำให้ดูยาก
    เพลงเปิด/ปิดยังคงไม่แปล แม้จะมีสิทธิ์ในการผลิต

    Crunchyroll เคยเป็นผู้นำด้านคุณภาพซับไตเติล
    ใช้เทคนิค typesetting เช่น การจัดตำแหน่ง ฟอนต์ สี และการแปลข้อความบนหน้าจอ
    พัฒนา renderer สำหรับ ASS ซับใน Flash และ HTML5 ด้วย libass

    การเปลี่ยนแปลงในปี 2025
    ลดการใช้ typesetting เพื่อให้ซับไตเติลใช้งานร่วมกับ Netflix และ Amazon ได้
    ผลิตซับไตเติลแบบ TTML ที่มีคุณภาพต่ำเป็นหลัก
    ทีมงานภายในต้องแปลงซับคุณภาพสูงให้เข้ากับมาตรฐานต่ำ

    ผลกระทบต่อผู้ชม
    ข้อความบนหน้าจอไม่ได้รับการแปลหรือแสดงผลอย่างเหมาะสม
    ซับไตเติลรวมกันที่ด้านบนหรือด้านล่าง ทำให้ดูยาก
    เพลงเปิด/ปิดยังคงไม่แปล แม้จะมีสิทธิ์ในการผลิต

    คำเตือนต่ออนาคตของการแปลอนิเมะ
    หากแพลตฟอร์มใหญ่ยังคงใช้มาตรฐานต่ำ อนิเมะอาจสูญเสียความละเอียดในการเล่าเรื่อง
    การลดคุณภาพซับไตเติลอาจทำให้ผู้ชมรู้สึกห่างเหินจากเนื้อหาต้นฉบับ

    นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ซับแปลผิด” แต่คือการลดทอนศิลปะการแปลที่เคยเป็นหัวใจของการรับชมอนิเมะอย่างแท้จริง

    https://daiz.moe/crunchyroll-is-destroying-its-subtitles-for-no-good-reason/
    🎬 Crunchyroll ทำลายคุณภาพซับไตเติลอย่างไม่มีเหตุผล — เมื่อศิลปะการแปลถูกลดทอนเพื่อความสะดวกของแพลตฟอร์มใหญ่ Crunchyroll เคยเป็นผู้นำด้านคุณภาพซับไตเติลในวงการอนิเมะ ด้วยการใช้เทคนิค typesetting ที่ซับซ้อน เช่น การจัดตำแหน่งข้อความ การใช้ฟอนต์และสีที่หลากหลาย รวมถึงการแปลข้อความบนหน้าจออย่างครบถ้วน แต่ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2025 เป็นต้นมา คุณภาพซับไตเติลกลับตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ในผลงานที่ผลิตโดยทีมงานของ Crunchyroll เอง 📉 เกิดอะไรขึ้น? Crunchyroll เริ่มลดการใช้ typesetting เพื่อให้ซับไตเติลสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Netflix และ Amazon Prime Video ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้มีข้อจำกัดด้านการแสดงผลซับไตเติล เช่น ห้ามใช้ตำแหน่งซับหลายจุด หรือแสดงข้อความซ้อนกัน แม้ว่าเทคโนโลยี TTML ที่ใช้จะรองรับฟีเจอร์เหล่านี้ก็ตาม 👥 เบื้องหลังการตัดสินใจ จากข้อมูลภายในที่ไม่เปิดเผยชื่อ พบว่า Crunchyroll เคยมีทีมงานแปลงซับไตเติลคุณภาพสูงให้เข้ากับมาตรฐานต่ำของแพลตฟอร์มอื่น แต่ในที่สุดผู้บริหารตัดสินใจผลิตซับไตเติลแบบต่ำคุณภาพเพียงอย่างเดียว เพื่อความสะดวกในการ sublicensing และลดต้นทุน แม้จะแลกกับประสบการณ์การรับชมที่ด้อยลง 📜 ประวัติการพัฒนาซับไตเติลของ Crunchyroll 📍 เริ่มจากการใช้ซับแฟนซับในยุคแรก 📍 พัฒนา renderer สำหรับ ASS ซับใน Flash และต่อมาใน HTML5 ด้วย WebAssembly 📍 เคยใช้ libass เพื่อรองรับการ typeset อย่างเต็มรูปแบบ 📍 แต่ไม่เคยพัฒนาให้รองรับฟอนต์แบบกำหนดเองอย่างจริงจัง 📺 ผลกระทบต่อผู้ชม 📍 ข้อความบนหน้าจอไม่ได้รับการแปล 📍 ซับไตเติลรวมกันที่ด้านบนหรือด้านล่าง ทำให้ดูยาก 📍 เพลงเปิด/ปิดยังคงไม่แปล แม้จะมีสิทธิ์ในการผลิต ✅ Crunchyroll เคยเป็นผู้นำด้านคุณภาพซับไตเติล ➡️ ใช้เทคนิค typesetting เช่น การจัดตำแหน่ง ฟอนต์ สี และการแปลข้อความบนหน้าจอ ➡️ พัฒนา renderer สำหรับ ASS ซับใน Flash และ HTML5 ด้วย libass ✅ การเปลี่ยนแปลงในปี 2025 ➡️ ลดการใช้ typesetting เพื่อให้ซับไตเติลใช้งานร่วมกับ Netflix และ Amazon ได้ ➡️ ผลิตซับไตเติลแบบ TTML ที่มีคุณภาพต่ำเป็นหลัก ➡️ ทีมงานภายในต้องแปลงซับคุณภาพสูงให้เข้ากับมาตรฐานต่ำ ‼️ ผลกระทบต่อผู้ชม ⛔ ข้อความบนหน้าจอไม่ได้รับการแปลหรือแสดงผลอย่างเหมาะสม ⛔ ซับไตเติลรวมกันที่ด้านบนหรือด้านล่าง ทำให้ดูยาก ⛔ เพลงเปิด/ปิดยังคงไม่แปล แม้จะมีสิทธิ์ในการผลิต ‼️ คำเตือนต่ออนาคตของการแปลอนิเมะ ⛔ หากแพลตฟอร์มใหญ่ยังคงใช้มาตรฐานต่ำ อนิเมะอาจสูญเสียความละเอียดในการเล่าเรื่อง ⛔ การลดคุณภาพซับไตเติลอาจทำให้ผู้ชมรู้สึกห่างเหินจากเนื้อหาต้นฉบับ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ซับแปลผิด” แต่คือการลดทอนศิลปะการแปลที่เคยเป็นหัวใจของการรับชมอนิเมะอย่างแท้จริง https://daiz.moe/crunchyroll-is-destroying-its-subtitles-for-no-good-reason/
    DAIZ.MOE
    Crunchyroll is destroying its subtitles for no good reason
    With the Fall 2025 anime season, Crunchyroll demonstrates zero respect for anime as a medium as the presentation quality of its subtitles reach an all-time low.
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • Qt Creator 18 เปิดตัว! IDE สุดล้ำพร้อมรองรับ Container และ GitHub Enterprise

    วันนี้มีข่าวดีสำหรับนักพัฒนา! Qt Project ได้ปล่อย Qt Creator 18 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ IDE แบบโอเพ่นซอร์สที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Linux, macOS และ Windows โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะการรองรับ container สำหรับการพัฒนาแบบแยกส่วน และการเชื่อมต่อกับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot

    ลองนึกภาพว่า...คุณเปิดโปรเจกต์ที่มีไฟล์ devcontainer.json อยู่ แล้ว Qt Creator ก็จัดการสร้าง Docker container ให้คุณอัตโนมัติ พร้อมปรับแต่ง environment ให้เหมาะกับการพัฒนาโดยไม่ต้องตั้งค่าเองให้ยุ่งยากเลย! นี่คือก้าวสำคัญของการพัฒนาแบบ container-native ที่กำลังมาแรงในยุค DevOps และ Cloud-native

    นอกจากนี้ Qt Creator 18 ยังปรับปรุงหลายจุดเพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหลขึ้น เช่น:
    เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome
    ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว
    รองรับการใช้ editor แบบ tabbed
    ปรับปรุงระบบ Git ให้แสดงสถานะไฟล์ในมุมมอง File System
    เพิ่มการรองรับ CMake Test Presets และการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Linux แบบอัตโนมัติ

    และที่สำคัญคือการอัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1 เพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่ของภาษา C++ ได้ดีขึ้น

    สาระเพิ่มเติม
    การใช้ container ในการพัฒนาเริ่มเป็นมาตรฐานในองค์กรขนาดใหญ่ เพราะช่วยให้การตั้งค่า environment เป็นเรื่องง่ายและลดปัญหา “มันทำงานบนเครื่องฉันนะ!”
    GitHub Copilot Enterprise ช่วยให้ทีมสามารถใช้ AI เขียนโค้ดได้อย่างปลอดภัยในระบบภายในองค์กร โดยไม่ต้องเปิดเผยโค้ดสู่สาธารณะ

    ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น
    รองรับการสร้าง development container ผ่านไฟล์ devcontainer.json
    เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome
    รองรับ editor แบบ tabbed เพื่อการจัดการโค้ดที่ง่ายขึ้น
    ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว
    รองรับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot

    การปรับปรุงด้าน Git และการจัดการโปรเจกต์
    เพิ่มการแสดงสถานะ version control ในมุมมอง File System
    รองรับ CMake Test Presets
    เพิ่มตัวเลือก auto-connect สำหรับอุปกรณ์ Linux
    ปรับปรุงการจัดการไฟล์ .user ให้แยกเก็บในโฟลเดอร์ .qtcreator/

    การอัปเดตด้านเทคโนโลยี
    อัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1
    ปรับปรุง code model ให้รองรับฟีเจอร์ใหม่ของ C++

    https://9to5linux.com/qt-creator-18-open-source-ide-released-with-experimental-container-support
    🛠️ Qt Creator 18 เปิดตัว! IDE สุดล้ำพร้อมรองรับ Container และ GitHub Enterprise วันนี้มีข่าวดีสำหรับนักพัฒนา! Qt Project ได้ปล่อย Qt Creator 18 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ IDE แบบโอเพ่นซอร์สที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Linux, macOS และ Windows โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะการรองรับ container สำหรับการพัฒนาแบบแยกส่วน และการเชื่อมต่อกับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot ลองนึกภาพว่า...คุณเปิดโปรเจกต์ที่มีไฟล์ devcontainer.json อยู่ แล้ว Qt Creator ก็จัดการสร้าง Docker container ให้คุณอัตโนมัติ พร้อมปรับแต่ง environment ให้เหมาะกับการพัฒนาโดยไม่ต้องตั้งค่าเองให้ยุ่งยากเลย! นี่คือก้าวสำคัญของการพัฒนาแบบ container-native ที่กำลังมาแรงในยุค DevOps และ Cloud-native นอกจากนี้ Qt Creator 18 ยังปรับปรุงหลายจุดเพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหลขึ้น เช่น: 🎗️ เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome 🎗️ ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว 🎗️ รองรับการใช้ editor แบบ tabbed 🎗️ ปรับปรุงระบบ Git ให้แสดงสถานะไฟล์ในมุมมอง File System 🎗️ เพิ่มการรองรับ CMake Test Presets และการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Linux แบบอัตโนมัติ และที่สำคัญคือการอัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1 เพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่ของภาษา C++ ได้ดีขึ้น 💡 สาระเพิ่มเติม 💠 การใช้ container ในการพัฒนาเริ่มเป็นมาตรฐานในองค์กรขนาดใหญ่ เพราะช่วยให้การตั้งค่า environment เป็นเรื่องง่ายและลดปัญหา “มันทำงานบนเครื่องฉันนะ!” 💠 GitHub Copilot Enterprise ช่วยให้ทีมสามารถใช้ AI เขียนโค้ดได้อย่างปลอดภัยในระบบภายในองค์กร โดยไม่ต้องเปิดเผยโค้ดสู่สาธารณะ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น ➡️ รองรับการสร้าง development container ผ่านไฟล์ devcontainer.json ➡️ เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome ➡️ รองรับ editor แบบ tabbed เพื่อการจัดการโค้ดที่ง่ายขึ้น ➡️ ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว ➡️ รองรับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot ✅ การปรับปรุงด้าน Git และการจัดการโปรเจกต์ ➡️ เพิ่มการแสดงสถานะ version control ในมุมมอง File System ➡️ รองรับ CMake Test Presets ➡️ เพิ่มตัวเลือก auto-connect สำหรับอุปกรณ์ Linux ➡️ ปรับปรุงการจัดการไฟล์ .user ให้แยกเก็บในโฟลเดอร์ .qtcreator/ ✅ การอัปเดตด้านเทคโนโลยี ➡️ อัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1 ➡️ ปรับปรุง code model ให้รองรับฟีเจอร์ใหม่ของ C++ https://9to5linux.com/qt-creator-18-open-source-ide-released-with-experimental-container-support
    9TO5LINUX.COM
    Qt Creator 18 Open-Source IDE Released with Experimental Container Support - 9to5Linux
    Qt Creator 18 open-source IDE (Integrated Development Environment) is now available for download with various improvements. Here’s what’s new!
    0 Comments 0 Shares 32 Views 0 Reviews
  • Sora บุกตลาดเอเชีย! แอปสร้างวิดีโอจาก OpenAI พร้อมฟีเจอร์ Cameo สุดฮิตและกฎความปลอดภัยใหม่

    OpenAI เปิดตัว Sora App ในเอเชียอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ Cameo ที่ให้ผู้ใช้ใส่ตัวเองลงในวิดีโอ AI และระบบความปลอดภัยหลายชั้นเพื่อป้องกันเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม

    Sora App คือแอปสร้างวิดีโอด้วย AI จาก OpenAI ที่เปิดตัวครั้งแรกในสหรัฐฯ และแคนาดาเมื่อเดือนกันยายน และตอนนี้ได้ขยายสู่เอเชีย โดยเริ่มที่ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีชุมชนครีเอเตอร์ที่แข็งแกร่ง

    ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปได้ทันทีจาก Apple App Store โดยไม่ต้องใช้โค้ดเชิญ ฟีเจอร์เด่นของ Sora ได้แก่การสร้างวิดีโอจากข้อความ (text-to-video), การรีมิกซ์วิดีโอของผู้ใช้อื่น, ฟีดวิดีโอที่ปรับแต่งได้ และ Cameo — ฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้บันทึกคลิปและเสียงของตัวเองเพื่อให้ AI สร้างวิดีโอที่มีใบหน้าและเสียงของผู้ใช้ในฉากต่างๆ

    OpenAI เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัย โดยใช้ระบบกรองหลายชั้น เช่น การตรวจสอบเฟรมวิดีโอ, คำสั่งข้อความ และเสียง เพื่อป้องกันเนื้อหาลามก, ส่งเสริมการทำร้ายตัวเอง หรือเนื้อหาก่อการร้าย นอกจากนี้ยังมีระบบ watermark แบบ C2PA ที่ฝังในวิดีโอเพื่อระบุว่าเป็นเนื้อหา AI

    ฟีเจอร์ Cameo ยังให้ผู้ใช้ควบคุมสิทธิ์ของตัวเองได้เต็มที่ เช่น ถอนการอนุญาต หรือขอลบวิดีโอที่มีใบหน้าตนเอง แม้จะยังอยู่ในร่างต้นฉบับก็ตาม

    สำหรับผู้ใช้วัยรุ่น Sora มีการจำกัดเวลาการใช้งานรายวัน และเพิ่มการตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้ง พร้อมระบบควบคุมโดยผู้ปกครองผ่าน ChatGPT

    สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน

    Sora App เปิดตัวในเอเชีย
    เริ่มใช้งานในไต้หวัน ไทย และเวียดนาม
    ดาวน์โหลดได้ทันทีจาก Apple App Store โดยไม่ต้องใช้โค้ดเชิญ

    ฟีเจอร์เด่นของ Sora
    สร้างวิดีโอจากข้อความ (text-to-video)
    รีมิกซ์วิดีโอของผู้ใช้อื่น
    ฟีดวิดีโอที่ปรับแต่งได้
    Cameo: ใส่ใบหน้าและเสียงของผู้ใช้ลงในวิดีโอ AI

    ระบบความปลอดภัยของ Sora
    กรองเนื้อหาด้วยการตรวจสอบเฟรม, ข้อความ และเสียง
    ป้องกันเนื้อหาลามก, ส่งเสริมการทำร้ายตัวเอง และก่อการร้าย
    ใช้ watermark แบบ C2PA เพื่อระบุว่าเป็นวิดีโอจาก AI

    การควบคุมสิทธิ์ของผู้ใช้
    ผู้ใช้สามารถถอนการอนุญาต Cameo ได้ทุกเมื่อ
    ขอให้ลบวิดีโอที่มีใบหน้าตนเองได้ แม้ยังไม่เผยแพร่

    การป้องกันสำหรับผู้ใช้วัยรุ่น
    จำกัดเวลาการใช้งานรายวัน
    เพิ่มการตรวจสอบจากมนุษย์
    ผู้ปกครองสามารถควบคุมผ่าน ChatGPT

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
    เทคโนโลยี C2PA (Coalition for Content Provenance and Authenticity) เป็นมาตรฐานใหม่ที่ใช้ระบุแหล่งที่มาของเนื้อหาดิจิทัล
    ฟีเจอร์ Cameo คล้ายกับเทคโนโลยี deepfake แต่มีการควบคุมสิทธิ์และความปลอดภัยมากกว่า
    การเปิดตัวในเอเชียสะท้อนถึงการเติบโตของตลาดครีเอเตอร์ในภูมิภาคนี้อย่างชัดเจน

    https://securityonline.info/openai-launches-sora-app-in-asia-featuring-viral-cameos-and-new-safety-rules/
    📹 Sora บุกตลาดเอเชีย! แอปสร้างวิดีโอจาก OpenAI พร้อมฟีเจอร์ Cameo สุดฮิตและกฎความปลอดภัยใหม่ OpenAI เปิดตัว Sora App ในเอเชียอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ Cameo ที่ให้ผู้ใช้ใส่ตัวเองลงในวิดีโอ AI และระบบความปลอดภัยหลายชั้นเพื่อป้องกันเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม Sora App คือแอปสร้างวิดีโอด้วย AI จาก OpenAI ที่เปิดตัวครั้งแรกในสหรัฐฯ และแคนาดาเมื่อเดือนกันยายน และตอนนี้ได้ขยายสู่เอเชีย โดยเริ่มที่ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีชุมชนครีเอเตอร์ที่แข็งแกร่ง ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปได้ทันทีจาก Apple App Store โดยไม่ต้องใช้โค้ดเชิญ ฟีเจอร์เด่นของ Sora ได้แก่การสร้างวิดีโอจากข้อความ (text-to-video), การรีมิกซ์วิดีโอของผู้ใช้อื่น, ฟีดวิดีโอที่ปรับแต่งได้ และ Cameo — ฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้บันทึกคลิปและเสียงของตัวเองเพื่อให้ AI สร้างวิดีโอที่มีใบหน้าและเสียงของผู้ใช้ในฉากต่างๆ OpenAI เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัย โดยใช้ระบบกรองหลายชั้น เช่น การตรวจสอบเฟรมวิดีโอ, คำสั่งข้อความ และเสียง เพื่อป้องกันเนื้อหาลามก, ส่งเสริมการทำร้ายตัวเอง หรือเนื้อหาก่อการร้าย นอกจากนี้ยังมีระบบ watermark แบบ C2PA ที่ฝังในวิดีโอเพื่อระบุว่าเป็นเนื้อหา AI ฟีเจอร์ Cameo ยังให้ผู้ใช้ควบคุมสิทธิ์ของตัวเองได้เต็มที่ เช่น ถอนการอนุญาต หรือขอลบวิดีโอที่มีใบหน้าตนเอง แม้จะยังอยู่ในร่างต้นฉบับก็ตาม สำหรับผู้ใช้วัยรุ่น Sora มีการจำกัดเวลาการใช้งานรายวัน และเพิ่มการตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้ง พร้อมระบบควบคุมโดยผู้ปกครองผ่าน ChatGPT 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน ✅ Sora App เปิดตัวในเอเชีย ➡️ เริ่มใช้งานในไต้หวัน ไทย และเวียดนาม ➡️ ดาวน์โหลดได้ทันทีจาก Apple App Store โดยไม่ต้องใช้โค้ดเชิญ ✅ ฟีเจอร์เด่นของ Sora ➡️ สร้างวิดีโอจากข้อความ (text-to-video) ➡️ รีมิกซ์วิดีโอของผู้ใช้อื่น ➡️ ฟีดวิดีโอที่ปรับแต่งได้ ➡️ Cameo: ใส่ใบหน้าและเสียงของผู้ใช้ลงในวิดีโอ AI ✅ ระบบความปลอดภัยของ Sora ➡️ กรองเนื้อหาด้วยการตรวจสอบเฟรม, ข้อความ และเสียง ➡️ ป้องกันเนื้อหาลามก, ส่งเสริมการทำร้ายตัวเอง และก่อการร้าย ➡️ ใช้ watermark แบบ C2PA เพื่อระบุว่าเป็นวิดีโอจาก AI ✅ การควบคุมสิทธิ์ของผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้สามารถถอนการอนุญาต Cameo ได้ทุกเมื่อ ➡️ ขอให้ลบวิดีโอที่มีใบหน้าตนเองได้ แม้ยังไม่เผยแพร่ ✅ การป้องกันสำหรับผู้ใช้วัยรุ่น ➡️ จำกัดเวลาการใช้งานรายวัน ➡️ เพิ่มการตรวจสอบจากมนุษย์ ➡️ ผู้ปกครองสามารถควบคุมผ่าน ChatGPT 🌐 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม 💠 เทคโนโลยี C2PA (Coalition for Content Provenance and Authenticity) เป็นมาตรฐานใหม่ที่ใช้ระบุแหล่งที่มาของเนื้อหาดิจิทัล 💠 ฟีเจอร์ Cameo คล้ายกับเทคโนโลยี deepfake แต่มีการควบคุมสิทธิ์และความปลอดภัยมากกว่า 💠 การเปิดตัวในเอเชียสะท้อนถึงการเติบโตของตลาดครีเอเตอร์ในภูมิภาคนี้อย่างชัดเจน https://securityonline.info/openai-launches-sora-app-in-asia-featuring-viral-cameos-and-new-safety-rules/
    SECURITYONLINE.INFO
    OpenAI Launches Sora App in Asia, Featuring Viral ‘Cameos’ and New Safety Rules
    OpenAI expanded the Sora App to Asia, featuring the popular 'Cameos' tool and strict copyright safeguards after calls from the Japanese government.
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • “uv” เครื่องมือเปลี่ยนโลก Python ที่นักพัฒนาไม่ควรพลาด

    ลองจินตนาการว่า...การติดตั้ง Python, จัดการ virtual environment และแก้ dependency conflict ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป! นั่นคือสิ่งที่ “uv” ทำได้ และทำได้ดีมากจนกลายเป็นเครื่องมือที่หลายคนยกให้เป็น “สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับ ecosystem ของ Python ในรอบทศวรรษ”

    Dr. Emily L. Hunt นักดาราศาสตร์และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้เขียนบล็อกเล่าประสบการณ์ตรงว่า “uv” ไม่เพียงแค่เร็วและง่าย แต่ยังปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะเมื่อทำงานร่วมกับทีมที่ใช้ระบบปฏิบัติการต่างกัน

    นอกจากความสามารถพื้นฐานอย่างติดตั้ง Python และแพ็กเกจแล้ว “uv” ยังมีฟีเจอร์เด็ดอย่าง:
    การสร้างโปรเจกต์ใหม่ด้วย uv init
    การซิงค์ environment ด้วย uv sync
    การเพิ่ม dependency ด้วย uv add
    การ pin เวอร์ชัน Python ด้วย uv python pin
    การรันเครื่องมือแบบ one-off ด้วย uvx

    และทั้งหมดนี้เขียนด้วยภาษา Rust ทำให้เร็วและเสถียรอย่างน่าทึ่ง

    นอกเหนือจากเนื้อหาในบล็อก ยังมีข้อมูลเสริมที่น่าสนใจ:
    “uv” เป็นผลงานของ Astral ผู้สร้างเครื่องมือยอดนิยมอย่าง Ruff
    รองรับการทำงานบน GitHub Actions และ production server ได้อย่างดีเยี่ยม
    ใช้ pyproject.toml ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ Python packaging ที่กำลังมาแรงแทน requirements.txt

    https://emily.space/posts/251023-uv
    🐍✨ “uv” เครื่องมือเปลี่ยนโลก Python ที่นักพัฒนาไม่ควรพลาด ลองจินตนาการว่า...การติดตั้ง Python, จัดการ virtual environment และแก้ dependency conflict ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป! นั่นคือสิ่งที่ “uv” ทำได้ และทำได้ดีมากจนกลายเป็นเครื่องมือที่หลายคนยกให้เป็น “สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับ ecosystem ของ Python ในรอบทศวรรษ” Dr. Emily L. Hunt นักดาราศาสตร์และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้เขียนบล็อกเล่าประสบการณ์ตรงว่า “uv” ไม่เพียงแค่เร็วและง่าย แต่ยังปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะเมื่อทำงานร่วมกับทีมที่ใช้ระบบปฏิบัติการต่างกัน นอกจากความสามารถพื้นฐานอย่างติดตั้ง Python และแพ็กเกจแล้ว “uv” ยังมีฟีเจอร์เด็ดอย่าง: 💠 การสร้างโปรเจกต์ใหม่ด้วย uv init 💠 การซิงค์ environment ด้วย uv sync 💠 การเพิ่ม dependency ด้วย uv add 💠 การ pin เวอร์ชัน Python ด้วย uv python pin 💠 การรันเครื่องมือแบบ one-off ด้วย uvx และทั้งหมดนี้เขียนด้วยภาษา Rust ทำให้เร็วและเสถียรอย่างน่าทึ่ง นอกเหนือจากเนื้อหาในบล็อก ยังมีข้อมูลเสริมที่น่าสนใจ: 💠 “uv” เป็นผลงานของ Astral ผู้สร้างเครื่องมือยอดนิยมอย่าง Ruff 💠 รองรับการทำงานบน GitHub Actions และ production server ได้อย่างดีเยี่ยม 💠 ใช้ pyproject.toml ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ Python packaging ที่กำลังมาแรงแทน requirements.txt https://emily.space/posts/251023-uv
    EMILY.SPACE
    uv is the best thing to happen to the Python ecosystem in a decade - Blog - Dr. Emily L. Hunt
    Released in 2024, uv is hands-down the best tool for managing Python installations and dependencies. Here's why.
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • เปลี่ยนงาน "ซอย" ที่น่าเบื่อ ให้เป็นงาน "สร้างสรรค์" ในพริบตา!
    เหนื่อยไหมกับการนั่งซอยขิงทีละเส้น? เสียเวลา เสียพลังงาน แถมขนาดก็ไม่สม่ำเสมอ? ถึงเวลาให้ เครื่องหั่นมันฝรั่งรุ่น YPS-J310-606-Z-S เป็นสุดยอดผู้ช่วยมือโปรในครัวคุณ!

    ไม่ใช่แค่มันฝรั่ง... แต่คือ "เทพแห่งการซอยขิง" ตัวจริง!
    เครื่องนี้ถูกออกแบบมาเพื่อ โรงงาน, ภัตตาคาร, และร้านอาหารขนาดกลาง-ใหญ่ ที่เน้นเรื่องคุณภาพและความรวดเร็ว!

    พลังผลิตระดับอุตสาหกรรม: เร็ว แรง ทันใจ! ด้วยกำลังผลิตสูงถึง 100-300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง (KG/H) เทียบเท่าแรงงานคนหลายสิบคน!

    มอเตอร์แรงเต็มที่: ใช้มอเตอร์ขนาด 1 แรงม้า ใช้ไฟบ้าน 220V ทำงานต่อเนื่องได้สบาย ไม่มีสะดุด

    สเตนเลสแท้ : ตัวเครื่องทำจากสเตนเลสสตีลคุณภาพสูง ทนทานต่อการกัดกร่อน ทำความสะอาดง่าย ถูกสุขอนามัยมาตรฐานโรงงานอาหาร

    ปรับได้ 3 สไตล์: เครื่องเดียวจบ ครบทุกเมนู! สามารถเปลี่ยนใบมีดเพื่อหั่นได้ทั้ง แผ่น, แท่ง, และเส้น ขนาดสม่ำเสมอ!

    ขนาดและน้ำหนัก: ขนาด 468 x 572 x 690 มม. และน้ำหนัก 43 กก.

    หยุดเสียเวลาซอย! เปลี่ยนมา "ลงทุน" กับความเร็วและคุณภาพในครัวคุณ!

    สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม:
    ย. ย่งฮะเฮง (Y. Yonghahheng)

    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    เวลาทำการ:
    จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.)
    เสาร์ (8.00-16.00 น.)
    ช่องทางติดต่อ:
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ สายด่วน 081-3189098
    แชท Inbox: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com

    #เครื่องหั่นขิง #เครื่องซอยขิง #เครื่องหั่นผัก #เครื่องสไลด์ผัก #เครื่องครัวอุตสาหกรรม #เครื่องครัวร้านอาหาร #อุปกรณ์ร้านอาหาร #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ขิงซอย #ขิง #โรงงานอาหาร #โรงงานแปรรูป #ร้านอาหาร #ภัตตาคาร #โรงแรม #ครัวมืออาชีพ #ประหยัดเวลา #เพิ่มประสิทธิภาพ #สเตนเลสสตีล
    📢💥 เปลี่ยนงาน "ซอย" ที่น่าเบื่อ ให้เป็นงาน "สร้างสรรค์" ในพริบตา! 💥📢 เหนื่อยไหมกับการนั่งซอยขิงทีละเส้น? 😭 เสียเวลา เสียพลังงาน แถมขนาดก็ไม่สม่ำเสมอ? ถึงเวลาให้ เครื่องหั่นมันฝรั่งรุ่น YPS-J310-606-Z-S เป็นสุดยอดผู้ช่วยมือโปรในครัวคุณ! 🧑‍🍳🔪 🌶️✨ ไม่ใช่แค่มันฝรั่ง... แต่คือ "เทพแห่งการซอยขิง" ตัวจริง! ✨🌶️ เครื่องนี้ถูกออกแบบมาเพื่อ โรงงาน, ภัตตาคาร, และร้านอาหารขนาดกลาง-ใหญ่ ที่เน้นเรื่องคุณภาพและความรวดเร็ว! ⚡ พลังผลิตระดับอุตสาหกรรม: เร็ว แรง ทันใจ! ด้วยกำลังผลิตสูงถึง 100-300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง (KG/H) เทียบเท่าแรงงานคนหลายสิบคน! ⚙️ มอเตอร์แรงเต็มที่: ใช้มอเตอร์ขนาด 1 แรงม้า ใช้ไฟบ้าน 220V ทำงานต่อเนื่องได้สบาย ไม่มีสะดุด ✨ สเตนเลสแท้ 💯: ตัวเครื่องทำจากสเตนเลสสตีลคุณภาพสูง ทนทานต่อการกัดกร่อน ทำความสะอาดง่าย ถูกสุขอนามัยมาตรฐานโรงงานอาหาร 📏 ปรับได้ 3 สไตล์: เครื่องเดียวจบ ครบทุกเมนู! สามารถเปลี่ยนใบมีดเพื่อหั่นได้ทั้ง แผ่น, แท่ง, และเส้น ขนาดสม่ำเสมอ! 📐 ขนาดและน้ำหนัก: ขนาด 468 x 572 x 690 มม. และน้ำหนัก 43 กก. 👉 หยุดเสียเวลาซอย! เปลี่ยนมา "ลงทุน" กับความเร็วและคุณภาพในครัวคุณ! 📍 สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม: ย. ย่งฮะเฮง (Y. Yonghahheng) ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.) เสาร์ (8.00-16.00 น.) ช่องทางติดต่อ: 📞 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ สายด่วน 081-3189098 💬 แชท Inbox: m.me/yonghahheng 📲 LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 🌐 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com 📧 อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com #เครื่องหั่นขิง #เครื่องซอยขิง #เครื่องหั่นผัก #เครื่องสไลด์ผัก #เครื่องครัวอุตสาหกรรม #เครื่องครัวร้านอาหาร #อุปกรณ์ร้านอาหาร #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ขิงซอย #ขิง #โรงงานอาหาร #โรงงานแปรรูป #ร้านอาหาร #ภัตตาคาร #โรงแรม #ครัวมืออาชีพ #ประหยัดเวลา #เพิ่มประสิทธิภาพ #สเตนเลสสตีล
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 0 Reviews
  • สร้างมาตรฐานแคปหมู! ด้วยพลัง 1.5 แรงม้า!
    ถึงเวลาเลิกเหนื่อยกับการหั่นหนังหมูแบบเดิม ๆ แล้วหันมาใช้เครื่องจักรคุณภาพ! "เครื่องหั่นอาหารแท่งคู่ เบอร์ 3" (FOOD CUTTER) คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้แคปหมูและหมูกระจกของคุณ กรอบ ฟู เท่ากันทุกชิ้น!

    เครื่องนี้ไม่ได้มีดีแค่หั่นได้ แต่มาพร้อมสเปคที่รองรับงานหนัก!

    สเปคเครื่องหั่นเบอร์ 3 ที่มืออาชีพวางใจ:
    รุ่น: YDS-3TF98-3-T-S
    มอเตอร์: 1.5 แรงม้า (พลังแรง ตัดขาดได้ต่อเนื่อง)
    กำลังการผลิต: 200-300 กก./ชม. (รับออร์เดอร์เยอะแค่ไหนก็เอาอยู่)
    กระแสไฟฟ้า: ใช้ไฟบ้าน 220 โวลต์
    วัสดุ: ตัวเครื่องและใบมีดทำจาก สแตนเลส คุณภาพสูง
    ขนาดเครื่อง: 38.5 x 68 x 81 ซม.
    น้ำหนัก 65 กิโลกรัม

    คุณสมบัติเด่น: มีการ์ดกั้นป้องกัน (Safety) และมีล้อเลื่อนสำหรับเคลื่อนย้าย

    เครื่องนี้สำหรับผู้ผลิตแคปหมูโดยเฉพาะ: เน้นการหั่น หนังหมู/เนื้อสัตว์สด (รวมถึงต้มสุก) เท่านั้น! ห้าม! ใช้กับวัตถุดิบที่แช่แข็ง มีกระดูก หรือพืชผักอื่น ๆ

    ลงทุนเพื่อประสิทธิภาพ! ให้ทุกชิ้นส่วนของแคปหมู/หมูกระจกของคุณได้ขนาดมาตรฐาน สร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ได้ทันที!

    สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ:
    ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng)
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA
    เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. เสาร์: 9.00-16.00 น.
    ช่องทางการติดต่อ: โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    แชท Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9

    www.yoryonghahheng.com

    #แคปหมู #หมูกระจก #เครื่องหั่น #เครื่องหั่นหนังหมู #FoodCutter #เครื่องหั่นเบอร์3 #มอเตอร์1จุด5แรงม้า #สแตนเลส304 #กำลังการผลิตสูง #ทำแคปหมูขาย #โรงงานขนาดเล็ก #ธุรกิจอาหาร #แปรรูปเนื้อสัตว์ #SME #สร้างอาชีพ #ลงทุนธุรกิจ #ลดต้นทุนแรงงาน #วัตถุดิบหนังหมู #หนังหมู #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #ยงฮะเฮง #YoryongHahHeng #เครื่องจักร #หั่นเนื้อสด #หมูทอด #แคปหมูติดมัน #แคปหมูไร้มัน #220V #มาตรฐานGMP #เลือกคุณภาพ
    🐷✂️ สร้างมาตรฐานแคปหมู! ด้วยพลัง 1.5 แรงม้า! ✂️🐷 ถึงเวลาเลิกเหนื่อยกับการหั่นหนังหมูแบบเดิม ๆ แล้วหันมาใช้เครื่องจักรคุณภาพ! "เครื่องหั่นอาหารแท่งคู่ เบอร์ 3" (FOOD CUTTER) คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้แคปหมูและหมูกระจกของคุณ กรอบ ฟู เท่ากันทุกชิ้น! เครื่องนี้ไม่ได้มีดีแค่หั่นได้ แต่มาพร้อมสเปคที่รองรับงานหนัก! ✨ สเปคเครื่องหั่นเบอร์ 3 ที่มืออาชีพวางใจ: รุ่น: YDS-3TF98-3-T-S มอเตอร์: 1.5 แรงม้า (พลังแรง ตัดขาดได้ต่อเนื่อง) กำลังการผลิต: 200-300 กก./ชม. (รับออร์เดอร์เยอะแค่ไหนก็เอาอยู่) กระแสไฟฟ้า: ใช้ไฟบ้าน 220 โวลต์ วัสดุ: ตัวเครื่องและใบมีดทำจาก สแตนเลส คุณภาพสูง ขนาดเครื่อง: 38.5 x 68 x 81 ซม. น้ำหนัก 65 กิโลกรัม คุณสมบัติเด่น: มีการ์ดกั้นป้องกัน (Safety) และมีล้อเลื่อนสำหรับเคลื่อนย้าย ⚠️ เครื่องนี้สำหรับผู้ผลิตแคปหมูโดยเฉพาะ: เน้นการหั่น หนังหมู/เนื้อสัตว์สด (รวมถึงต้มสุก) เท่านั้น! ห้าม! ใช้กับวัตถุดิบที่แช่แข็ง มีกระดูก หรือพืชผักอื่น ๆ ลงทุนเพื่อประสิทธิภาพ! ให้ทุกชิ้นส่วนของแคปหมู/หมูกระจกของคุณได้ขนาดมาตรฐาน สร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ได้ทันที! 📍 สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ: ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng) ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330 แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. เสาร์: 9.00-16.00 น. ช่องทางการติดต่อ: โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 แชท Messenger: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 www.yoryonghahheng.com #แคปหมู #หมูกระจก #เครื่องหั่น #เครื่องหั่นหนังหมู #FoodCutter #เครื่องหั่นเบอร์3 #มอเตอร์1จุด5แรงม้า #สแตนเลส304 #กำลังการผลิตสูง #ทำแคปหมูขาย #โรงงานขนาดเล็ก #ธุรกิจอาหาร #แปรรูปเนื้อสัตว์ #SME #สร้างอาชีพ #ลงทุนธุรกิจ #ลดต้นทุนแรงงาน #วัตถุดิบหนังหมู #หนังหมู #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #ยงฮะเฮง #YoryongHahHeng #เครื่องจักร #หั่นเนื้อสด #หมูทอด #แคปหมูติดมัน #แคปหมูไร้มัน #220V #มาตรฐานGMP #เลือกคุณภาพ
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “TSMC นำทีมร้องรัฐบาลไต้หวันเร่งพลังงานสะอาด – โรงงานผลิตชิปเสี่ยงสะดุดเพราะไฟฟ้าไม่พอ”

    ในขณะที่โลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันกลับต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงานอย่างหนัก Taiwan Semiconductor Industry Association (TSIA) ซึ่งนำโดย TSMC ได้ออกแถลงการณ์กดดันรัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหาความไม่มั่นคงด้านไฟฟ้า พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง

    ปัจจุบันโรงงานผลิตชิปในไต้หวันใช้พลังงานหมุนเวียนเพียง 14.1% ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐาน RE100 ที่ตั้งเป้าไว้ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050 หากไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าได้ทันเวลา อุตสาหกรรมอาจต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีเสถียรภาพด้านพลังงานมากกว่า

    ความท้าทายของไต้หวันคือพื้นที่จำกัด ทำให้การสร้างฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมเป็นเรื่องยาก อีกทั้งยังมีปัญหาข้อพิพาทด้านที่ดินและการประสานงานในท้องถิ่น ส่งผลให้โครงการพลังงานสะอาดต้องใช้เวลานานถึง 4 ปีจึงจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งช้าเกินไปสำหรับความต้องการของโรงงานชิปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    TSIA นำโดย TSMC เรียกร้องรัฐบาลไต้หวันให้เร่งแก้ปัญหาพลังงาน
    พลังงานหมุนเวียนในโรงงานชิปอยู่ที่ 14.1% (ปี 2024)
    เป้าหมาย RE100 คือ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050
    หากถึงเป้าหมาย 60% ในปี 2030 อุตสาหกรรมชิปจะใช้ไฟฟ้าถึง 35–40% ของกำลังผลิตทั้งประเทศ

    ความท้าทายด้านพลังงานของไต้หวัน
    พื้นที่จำกัด ไม่เหมาะกับฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมขนาดใหญ่
    โครงการพลังงานสะอาดใช้เวลานานถึง 4 ปีในการเริ่มผลิต
    ปัญหาด้านการประสานงานในท้องถิ่นและข้อพิพาทที่ดิน

    ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    โรงงานผลิตชิปต้องการไฟฟ้าเสถียรและสะอาด
    ความผันผวนของแรงดันไฟฟ้าอาจทำให้เวเฟอร์เสียหายทั้งชุด
    หากไม่มีไฟฟ้าพอ อาจต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tmsc-led-semiconductor-association-begs-taiwan-government-for-clean-green-energy-as-demand-skyrockets-fabs-are-struggling-to-keep-up-with-power-needs
    🌱 หัวข้อข่าว: “TSMC นำทีมร้องรัฐบาลไต้หวันเร่งพลังงานสะอาด – โรงงานผลิตชิปเสี่ยงสะดุดเพราะไฟฟ้าไม่พอ” ในขณะที่โลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันกลับต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงานอย่างหนัก Taiwan Semiconductor Industry Association (TSIA) ซึ่งนำโดย TSMC ได้ออกแถลงการณ์กดดันรัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหาความไม่มั่นคงด้านไฟฟ้า พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง ปัจจุบันโรงงานผลิตชิปในไต้หวันใช้พลังงานหมุนเวียนเพียง 14.1% ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐาน RE100 ที่ตั้งเป้าไว้ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050 หากไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าได้ทันเวลา อุตสาหกรรมอาจต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีเสถียรภาพด้านพลังงานมากกว่า ความท้าทายของไต้หวันคือพื้นที่จำกัด ทำให้การสร้างฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมเป็นเรื่องยาก อีกทั้งยังมีปัญหาข้อพิพาทด้านที่ดินและการประสานงานในท้องถิ่น ส่งผลให้โครงการพลังงานสะอาดต้องใช้เวลานานถึง 4 ปีจึงจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งช้าเกินไปสำหรับความต้องการของโรงงานชิปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ TSIA นำโดย TSMC เรียกร้องรัฐบาลไต้หวันให้เร่งแก้ปัญหาพลังงาน ➡️ พลังงานหมุนเวียนในโรงงานชิปอยู่ที่ 14.1% (ปี 2024) ➡️ เป้าหมาย RE100 คือ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050 ➡️ หากถึงเป้าหมาย 60% ในปี 2030 อุตสาหกรรมชิปจะใช้ไฟฟ้าถึง 35–40% ของกำลังผลิตทั้งประเทศ ✅ ความท้าทายด้านพลังงานของไต้หวัน ➡️ พื้นที่จำกัด ไม่เหมาะกับฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมขนาดใหญ่ ➡️ โครงการพลังงานสะอาดใช้เวลานานถึง 4 ปีในการเริ่มผลิต ➡️ ปัญหาด้านการประสานงานในท้องถิ่นและข้อพิพาทที่ดิน ✅ ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ โรงงานผลิตชิปต้องการไฟฟ้าเสถียรและสะอาด ➡️ ความผันผวนของแรงดันไฟฟ้าอาจทำให้เวเฟอร์เสียหายทั้งชุด ➡️ หากไม่มีไฟฟ้าพอ อาจต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น https://www.tomshardware.com/tech-industry/tmsc-led-semiconductor-association-begs-taiwan-government-for-clean-green-energy-as-demand-skyrockets-fabs-are-struggling-to-keep-up-with-power-needs
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • Washington Post ถูกวิจารณ์หนัก หลังบทบรรณาธิการไม่เปิดเผยความเชื่อมโยงทางการเงินของ Jeff Bezos กับบริษัทที่กล่าวถึง

    บทความจาก NPR เปิดเผยว่า Washington Post ล้มเหลวในการเปิดเผย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่สำคัญในบทบรรณาธิการหลายชิ้น ซึ่งกล่าวถึงบริษัท Blue Origin และ Amazon โดยไม่มีการระบุว่า Jeff Bezos — เจ้าของ Washington Post — เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้งสองบริษัท

    ประเด็นสำคัญจากรายงานของ NPR

    บทบรรณาธิการหลายชิ้นกล่าวถึง Blue Origin และ Amazon โดยไม่มี disclosure
    บทความสนับสนุนการใช้จรวดของ Blue Origin ในโครงการของรัฐบาล
    กล่าวถึง Amazon ในเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐาน

    Jeff Bezos เป็นเจ้าของ Washington Post ผ่านบริษัท Nash Holdings
    ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Amazon และเจ้าของ Blue Origin
    ความเชื่อมโยงนี้ควรถูกเปิดเผยในบทความเพื่อความโปร่งใส

    นักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนชี้ว่าเป็นการละเมิดหลักจริยธรรม
    มาตรฐานของสื่อควรเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจน
    การไม่เปิดเผยอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าเนื้อหานั้นเป็นกลาง

    Washington Post ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาแฝง และกำลังทบทวนนโยบาย
    โฆษกของ Post ระบุว่ากำลังพิจารณาเพิ่ม disclosure ในบทบรรณาธิการในอนาคต
    ยืนยันว่า Bezos ไม่มีอิทธิพลต่อเนื้อหาข่าวหรือบทบรรณาธิการ

    กรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สื่อกำลังถูกจับตามองเรื่องความเป็นกลาง
    โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของสื่อมีผลประโยชน์ในธุรกิจเทคโนโลยีหรือการเมือง
    ผู้อ่านเริ่มเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากสื่อกระแสหลัก

    การไม่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อ
    ผู้อ่านอาจรู้สึกถูกชี้นำโดยไม่รู้ตัว
    ส่งผลต่อความไว้วางใจในระยะยาว

    การเป็นเจ้าของสื่อโดยผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจควรมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน
    เพื่อป้องกันการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางธุรกิจหรือการเมือง
    ควรมีนโยบายเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินในทุกกรณีที่เกี่ยวข้อง

    https://www.npr.org/2025/10/28/nx-s1-5587932/washington-post-editorials-omit-a-key-disclosure-bezos-financial-ties
    📰💼 Washington Post ถูกวิจารณ์หนัก หลังบทบรรณาธิการไม่เปิดเผยความเชื่อมโยงทางการเงินของ Jeff Bezos กับบริษัทที่กล่าวถึง บทความจาก NPR เปิดเผยว่า Washington Post ล้มเหลวในการเปิดเผย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่สำคัญในบทบรรณาธิการหลายชิ้น ซึ่งกล่าวถึงบริษัท Blue Origin และ Amazon โดยไม่มีการระบุว่า Jeff Bezos — เจ้าของ Washington Post — เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้งสองบริษัท ✅ ประเด็นสำคัญจากรายงานของ NPR ✅ บทบรรณาธิการหลายชิ้นกล่าวถึง Blue Origin และ Amazon โดยไม่มี disclosure ➡️ บทความสนับสนุนการใช้จรวดของ Blue Origin ในโครงการของรัฐบาล ➡️ กล่าวถึง Amazon ในเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐาน ✅ Jeff Bezos เป็นเจ้าของ Washington Post ผ่านบริษัท Nash Holdings ➡️ ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Amazon และเจ้าของ Blue Origin ➡️ ความเชื่อมโยงนี้ควรถูกเปิดเผยในบทความเพื่อความโปร่งใส ✅ นักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนชี้ว่าเป็นการละเมิดหลักจริยธรรม ➡️ มาตรฐานของสื่อควรเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจน ➡️ การไม่เปิดเผยอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าเนื้อหานั้นเป็นกลาง ✅ Washington Post ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาแฝง และกำลังทบทวนนโยบาย ➡️ โฆษกของ Post ระบุว่ากำลังพิจารณาเพิ่ม disclosure ในบทบรรณาธิการในอนาคต ➡️ ยืนยันว่า Bezos ไม่มีอิทธิพลต่อเนื้อหาข่าวหรือบทบรรณาธิการ ✅ กรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สื่อกำลังถูกจับตามองเรื่องความเป็นกลาง ➡️ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของสื่อมีผลประโยชน์ในธุรกิจเทคโนโลยีหรือการเมือง ➡️ ผู้อ่านเริ่มเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากสื่อกระแสหลัก ‼️ การไม่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อ ⛔ ผู้อ่านอาจรู้สึกถูกชี้นำโดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลต่อความไว้วางใจในระยะยาว ‼️ การเป็นเจ้าของสื่อโดยผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจควรมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน ⛔ เพื่อป้องกันการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางธุรกิจหรือการเมือง ⛔ ควรมีนโยบายเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินในทุกกรณีที่เกี่ยวข้อง https://www.npr.org/2025/10/28/nx-s1-5587932/washington-post-editorials-omit-a-key-disclosure-bezos-financial-ties
    WWW.NPR.ORG
    'Washington Post' editorials omit a key disclosure: Bezos' financial ties
    Three times in the past two weeks, editorials at the 'Washington Post' failed to disclose that they focused on matters in which owner Jeff Bezos had a material interest.
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • Tenstorrent เปิดตัว Open Chiplet Atlas Ecosystem ปฏิวัติการออกแบบชิปแบบเปิดและเชื่อมต่อได้ทุกค่าย

    Tenstorrent ประกาศเปิดตัว Open Chiplet Atlas Ecosystem (OCA) ในงานที่ซานฟรานซิสโก โดยมีเป้าหมายเพื่อ “เปิดเสรี” การออกแบบชิปแบบ chiplet ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างอิสระ ลดต้นทุน และเร่งนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    แนวคิดหลักของ OCA Ecosystem

    OCA ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มใหม่ แต่เป็น “มาตรฐานเปิด” ที่ครอบคลุมทุกชั้นของการออกแบบ chiplet ตั้งแต่ระดับกายภาพไปจนถึงซอฟต์แวร์ โดยมี 3 เสาหลักสำคัญ:
    Architecture: สถาปัตยกรรมเปิดที่กำหนดมาตรฐานการเชื่อมต่อ chiplet ใน 5 ชั้น ได้แก่ Physical, Transport, Protocol, System และ Software
    Harness: เฟรมเวิร์กแบบโอเพ่นซอร์สที่ช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้าง chiplet ที่เชื่อมต่อได้ทันที โดยไม่ต้องพัฒนา logic ซ้ำ
    Compliance: โปรแกรมตรวจสอบความเข้ากันได้ทั้งก่อนและหลังการผลิต รวมถึง “Golden Chiplet” สำหรับทดสอบ และกิจกรรม “Plugfests” เพื่อทดลองใช้งานร่วมกัน

    จุดเด่นของ OCA Ecosystem
    ลดต้นทุนการพัฒนาและเร่งเวลาออกสู่ตลาด
    รองรับการออกแบบ chiplet แบบ multivendor โดยไม่ติด vendor lock-in
    เหมาะกับผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น AI accelerators, ยานยนต์, และดาต้าเซ็นเตอร์

    ความร่วมมือระดับโลก
    มีพันธมิตรมากกว่า 50 รายจากบริษัทเซมิคอนดักเตอร์และมหาวิทยาลัยชั้นนำ
    ตัวอย่างเช่น LG, Rapidus, Axelera AI, BSC, ITRI, และมหาวิทยาลัยโตเกียว
    สนับสนุนโดยนักวิจัยจาก Oxford, HKUST, UC Riverside และ Shanghai Jiao Tong

    ความเห็นจากผู้นำอุตสาหกรรม
    BOS Semiconductors เน้นความสำคัญของความเข้ากันได้ระยะยาวในอุตสาหกรรมยานยนต์
    BSC ชี้ว่า OCA จะช่วยให้เกิดความหลากหลายในการประมวลผล
    Rapidus มองว่า OCA จะช่วยลดความซับซ้อนในการผลิตและเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือก chiplet จากหลายค่าย

    https://www.techpowerup.com/342293/tenstorrent-announces-open-chiplet-atlas-ecosystem
    🧩🔗 Tenstorrent เปิดตัว Open Chiplet Atlas Ecosystem ปฏิวัติการออกแบบชิปแบบเปิดและเชื่อมต่อได้ทุกค่าย Tenstorrent ประกาศเปิดตัว Open Chiplet Atlas Ecosystem (OCA) ในงานที่ซานฟรานซิสโก โดยมีเป้าหมายเพื่อ “เปิดเสรี” การออกแบบชิปแบบ chiplet ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างอิสระ ลดต้นทุน และเร่งนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ 🧠 แนวคิดหลักของ OCA Ecosystem OCA ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มใหม่ แต่เป็น “มาตรฐานเปิด” ที่ครอบคลุมทุกชั้นของการออกแบบ chiplet ตั้งแต่ระดับกายภาพไปจนถึงซอฟต์แวร์ โดยมี 3 เสาหลักสำคัญ: 💠 Architecture: สถาปัตยกรรมเปิดที่กำหนดมาตรฐานการเชื่อมต่อ chiplet ใน 5 ชั้น ได้แก่ Physical, Transport, Protocol, System และ Software 💠 Harness: เฟรมเวิร์กแบบโอเพ่นซอร์สที่ช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้าง chiplet ที่เชื่อมต่อได้ทันที โดยไม่ต้องพัฒนา logic ซ้ำ 💠 Compliance: โปรแกรมตรวจสอบความเข้ากันได้ทั้งก่อนและหลังการผลิต รวมถึง “Golden Chiplet” สำหรับทดสอบ และกิจกรรม “Plugfests” เพื่อทดลองใช้งานร่วมกัน ✅ จุดเด่นของ OCA Ecosystem ➡️ ลดต้นทุนการพัฒนาและเร่งเวลาออกสู่ตลาด ➡️ รองรับการออกแบบ chiplet แบบ multivendor โดยไม่ติด vendor lock-in ➡️ เหมาะกับผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น AI accelerators, ยานยนต์, และดาต้าเซ็นเตอร์ ✅ ความร่วมมือระดับโลก ➡️ มีพันธมิตรมากกว่า 50 รายจากบริษัทเซมิคอนดักเตอร์และมหาวิทยาลัยชั้นนำ ➡️ ตัวอย่างเช่น LG, Rapidus, Axelera AI, BSC, ITRI, และมหาวิทยาลัยโตเกียว ➡️ สนับสนุนโดยนักวิจัยจาก Oxford, HKUST, UC Riverside และ Shanghai Jiao Tong ✅ ความเห็นจากผู้นำอุตสาหกรรม ➡️ BOS Semiconductors เน้นความสำคัญของความเข้ากันได้ระยะยาวในอุตสาหกรรมยานยนต์ ➡️ BSC ชี้ว่า OCA จะช่วยให้เกิดความหลากหลายในการประมวลผล ➡️ Rapidus มองว่า OCA จะช่วยลดความซับซ้อนในการผลิตและเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือก chiplet จากหลายค่าย https://www.techpowerup.com/342293/tenstorrent-announces-open-chiplet-atlas-ecosystem
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Tenstorrent Announces Open Chiplet Atlas Ecosystem
    Announced at their recent event in San Francisco, the OCA Ecosystem will democratize chip design, lower development costs, and accelerate innovation, enabling heterogeneous chiplets for plug-and-play interoperability. There are now more than 50 partners involved in the ecosystem, from leading semico...
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • SK hynix เปิดตัวกลยุทธ์ AI NAND ยุคใหม่ พร้อม SSD ความจุระดับเพตะไบต์ และความเร็วทะลุ 100 ล้าน IOPS

    ลองจินตนาการว่า AI ไม่ได้แค่ฉลาดขึ้น แต่ยังเร็วขึ้นและจัดการข้อมูลได้มหาศาลแบบที่ฮาร์ดดิสก์ธรรมดาเทียบไม่ติด ล่าสุด SK hynix ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่จากเกาหลีใต้ ได้เปิดตัวกลยุทธ์ใหม่ในงาน Global Summit 2025 ที่จะเปลี่ยนโฉมวงการเก็บข้อมูลสำหรับ AI โดยเฉพาะ

    พวกเขาแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 สายหลัก ได้แก่ AIN D, AIN P และ AIN B ซึ่งแต่ละตัวมีจุดเด่นเฉพาะตัว:

    AIN D (Density): ใช้เทคโนโลยี 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ที่มีความจุระดับ “เพตะไบต์” สำหรับเก็บข้อมูล AI ขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายแทนที่ HDD แบบใกล้เคียงเซิร์ฟเวอร์

    AIN P (Performance): SSD ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ เช่นการค้นหาฐานข้อมูลแบบเวกเตอร์ ด้วยความเร็วสูงถึง 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027

    AIN B (Bandwidth): ใช้เทคโนโลยี High Bandwidth Flash (HBF) ที่ร่วมพัฒนากับ SanDisk เพื่อให้ได้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลางหรือตัวเลขประสิทธิภาพที่ชัดเจน

    นอกจากนั้น SK hynix ยังร่วมมือกับ SanDisk จัดงาน “HBF Night” เพื่อผลักดันการพัฒนา ecosystem ของ NAND สำหรับ AI โดยเฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ที่ผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังปรับตัวเพื่อรองรับการเติบโตของ AI อย่างรวดเร็ว

    และถ้ามองจากภาพรวมของอุตสาหกรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่าเทคโนโลยีเก็บข้อมูลกำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI ไม่ใช่แค่เรื่องของชิปประมวลผลอีกต่อไป แต่รวมถึงการจัดเก็บและส่งข้อมูลที่เร็วและใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา

    กลยุทธ์ใหม่ของ SK hynix สำหรับตลาด AI
    เปิดตัวผลิตภัณฑ์ NAND 3 สาย: AIN D, AIN P, AIN B
    มุ่งเน้นการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การเก็บข้อมูล, การประมวลผล, และการส่งข้อมูลความเร็วสูง

    AIN D: ความจุสูงสุดในตลาด
    ใช้ 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ความจุระดับเพตะไบต์
    ตั้งเป้าแทนที่ nearline HDD สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI

    AIN P: SSD ความเร็วสูงสำหรับ AI inference
    รองรับการประมวลผลแบบละเอียด เช่น vector search
    ความเร็วสูงสุด 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027
    มีข้อจำกัดด้านแบนด์วิดธ์ของ PCIe 6.0 x4 ที่ต้องใช้ x8 หรือ x16 เพื่อให้ถึงเป้าหมาย

    AIN B: เทคโนโลยีใหม่ High Bandwidth Flash
    พัฒนาโดยร่วมมือกับ SanDisk
    เป้าหมายคือให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลาง
    เหมาะสำหรับงาน inference ที่ต้องการ throughput สูงโดยไม่ต้องเพิ่ม accelerator

    ความร่วมมือเพื่อผลักดันมาตรฐานใหม่
    SK hynix และ SanDisk จัดงาน HBF Night เพื่อรวมผู้พัฒนา ecosystem
    สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของตลาด NAND ที่มุ่งสู่ AI โดยเฉพาะ

    ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีที่ต้องจับตา
    PCIe 6.0 x4 ไม่สามารถรองรับ 100 ล้าน IOPS ได้จริง ต้องใช้ x8 หรือ x16
    AIN B ยังไม่มีตัวเลขประสิทธิภาพหรือกำหนดการวางจำหน่ายที่ชัดเจน
    มาตรฐานของ HBF ยังไม่ถูกกำหนด ทำให้การใช้งานยังไม่แพร่หลาย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/sk-hynix-unveils-ai-nand-strategy-including-gargantuan-petabyte-class-qlc-ssds-ultra-fast-hbf-and-100m-iops-ssds-also-in-the-pipeline
    🧠💾 SK hynix เปิดตัวกลยุทธ์ AI NAND ยุคใหม่ พร้อม SSD ความจุระดับเพตะไบต์ และความเร็วทะลุ 100 ล้าน IOPS ลองจินตนาการว่า AI ไม่ได้แค่ฉลาดขึ้น แต่ยังเร็วขึ้นและจัดการข้อมูลได้มหาศาลแบบที่ฮาร์ดดิสก์ธรรมดาเทียบไม่ติด ล่าสุด SK hynix ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่จากเกาหลีใต้ ได้เปิดตัวกลยุทธ์ใหม่ในงาน Global Summit 2025 ที่จะเปลี่ยนโฉมวงการเก็บข้อมูลสำหรับ AI โดยเฉพาะ พวกเขาแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 สายหลัก ได้แก่ AIN D, AIN P และ AIN B ซึ่งแต่ละตัวมีจุดเด่นเฉพาะตัว: 💠 AIN D (Density): ใช้เทคโนโลยี 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ที่มีความจุระดับ “เพตะไบต์” สำหรับเก็บข้อมูล AI ขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายแทนที่ HDD แบบใกล้เคียงเซิร์ฟเวอร์ 💠 AIN P (Performance): SSD ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ เช่นการค้นหาฐานข้อมูลแบบเวกเตอร์ ด้วยความเร็วสูงถึง 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027 💠 AIN B (Bandwidth): ใช้เทคโนโลยี High Bandwidth Flash (HBF) ที่ร่วมพัฒนากับ SanDisk เพื่อให้ได้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลางหรือตัวเลขประสิทธิภาพที่ชัดเจน นอกจากนั้น SK hynix ยังร่วมมือกับ SanDisk จัดงาน “HBF Night” เพื่อผลักดันการพัฒนา ecosystem ของ NAND สำหรับ AI โดยเฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ที่ผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังปรับตัวเพื่อรองรับการเติบโตของ AI อย่างรวดเร็ว และถ้ามองจากภาพรวมของอุตสาหกรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่าเทคโนโลยีเก็บข้อมูลกำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI ไม่ใช่แค่เรื่องของชิปประมวลผลอีกต่อไป แต่รวมถึงการจัดเก็บและส่งข้อมูลที่เร็วและใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา ✅ กลยุทธ์ใหม่ของ SK hynix สำหรับตลาด AI ➡️ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ NAND 3 สาย: AIN D, AIN P, AIN B ➡️ มุ่งเน้นการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การเก็บข้อมูล, การประมวลผล, และการส่งข้อมูลความเร็วสูง ✅ AIN D: ความจุสูงสุดในตลาด ➡️ ใช้ 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ความจุระดับเพตะไบต์ ➡️ ตั้งเป้าแทนที่ nearline HDD สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ✅ AIN P: SSD ความเร็วสูงสำหรับ AI inference ➡️ รองรับการประมวลผลแบบละเอียด เช่น vector search ➡️ ความเร็วสูงสุด 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027 ➡️ มีข้อจำกัดด้านแบนด์วิดธ์ของ PCIe 6.0 x4 ที่ต้องใช้ x8 หรือ x16 เพื่อให้ถึงเป้าหมาย ✅ AIN B: เทคโนโลยีใหม่ High Bandwidth Flash ➡️ พัฒนาโดยร่วมมือกับ SanDisk ➡️ เป้าหมายคือให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลาง ➡️ เหมาะสำหรับงาน inference ที่ต้องการ throughput สูงโดยไม่ต้องเพิ่ม accelerator ✅ ความร่วมมือเพื่อผลักดันมาตรฐานใหม่ ➡️ SK hynix และ SanDisk จัดงาน HBF Night เพื่อรวมผู้พัฒนา ecosystem ➡️ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของตลาด NAND ที่มุ่งสู่ AI โดยเฉพาะ ‼️ ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีที่ต้องจับตา ⛔ PCIe 6.0 x4 ไม่สามารถรองรับ 100 ล้าน IOPS ได้จริง ต้องใช้ x8 หรือ x16 ⛔ AIN B ยังไม่มีตัวเลขประสิทธิภาพหรือกำหนดการวางจำหน่ายที่ชัดเจน ⛔ มาตรฐานของ HBF ยังไม่ถูกกำหนด ทำให้การใช้งานยังไม่แพร่หลาย https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/sk-hynix-unveils-ai-nand-strategy-including-gargantuan-petabyte-class-qlc-ssds-ultra-fast-hbf-and-100m-iops-ssds-also-in-the-pipeline
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.14

    กฎหมายอาญาเป็นเสาหลักสำคัญของความสงบเรียบร้อยในสังคม มันคือชุดของข้อกำหนดที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการกระทำใดบ้างที่ถือเป็นความผิดและเป็นอันตรายต่อส่วนรวม พร้อมทั้งกำหนดบทลงโทษที่สอดคล้องกับความร้ายแรงของพฤติกรรมนั้นๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องปรามมิให้ผู้ใดละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น การบัญญัติกฎหมายอาญาจึงมิใช่เพียงการลงโทษ แต่เป็นการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมและพฤติกรรมที่สังคมยอมรับร่วมกัน การกำหนดความผิดและโทษทัณฑ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมและความห่วงใยในความมั่นคงปลอดภัยของพลเมืองทุกคน เมื่อมีการฝ่าฝืน กฎหมายจะเข้ามาทำหน้าที่ในการเยียวยาความเสียหายและฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือในการปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมของผู้กระทำผิดเพื่อให้เขาสามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างปกติสุข มันคือการรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลกับความมั่นคงของส่วนรวม

    การทำความเข้าใจในเจตนารมณ์ของกฎหมายอาญาจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน เพราะมันคือเกราะป้องกันและเครื่องนำทางชีวิตให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุก ปราศจากความหวาดระแวง กฎหมายมิได้มีไว้เพียงเพื่อลงโทษผู้กระทำผิด แต่ยังมีไว้เพื่อคุ้มครองสุจริตชนและธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม การศึกษาและเคารพกฎหมายอาญาจึงมิใช่เพียงหน้าที่ แต่เป็นสำนึกของการเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อสังคม การรับรู้ว่าการกระทำใดจะนำมาซึ่งความผิดและบทลงโทษ จะช่วยให้แต่ละคนระมัดระวังตนและเลือกที่จะประพฤติตนตามกรอบของกฎหมายและศีลธรรมอันดีงาม โทษทัณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้จึงเป็นเครื่องมือสุดท้ายที่รัฐนำมาใช้เพื่อปกป้องสังคมจากการถูกทำลาย การตระหนักถึงความร้ายแรงของการกระทำที่เป็นความผิดอาญาจะช่วยสร้างจิตสำนึกที่ดีและลดโอกาสของการเกิดอาชญากรรมในทุกระดับ

    ดังนั้น กฎหมายอาญาจึงเป็นมากกว่าตัวอักษรที่สลักไว้ในประมวลกฎหมาย มันคือหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเป็นธรรม เป็นกลไกที่คอยขับเคลื่อนให้สังคมสามารถดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างมีระเบียบและปลอดภัย การเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอาญาจึงเป็นรากฐานของธรรมาภิบาลและความมั่นคงในชีวิต การรับรู้ถึงความผิดและบทลงโทษที่ชัดเจน ทำให้ทุกคนรู้ขอบเขตแห่งการกระทำของตนเอง และส่งเสริมให้สังคมโดยรวมมีความเข้มแข็งและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น ความยุติธรรมที่มาพร้อมกับการลงโทษที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังและพึ่งพาจากกฎหมายอาญาเสมอมา
    บทความกฎหมาย EP.14 กฎหมายอาญาเป็นเสาหลักสำคัญของความสงบเรียบร้อยในสังคม มันคือชุดของข้อกำหนดที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการกระทำใดบ้างที่ถือเป็นความผิดและเป็นอันตรายต่อส่วนรวม พร้อมทั้งกำหนดบทลงโทษที่สอดคล้องกับความร้ายแรงของพฤติกรรมนั้นๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องปรามมิให้ผู้ใดละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น การบัญญัติกฎหมายอาญาจึงมิใช่เพียงการลงโทษ แต่เป็นการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมและพฤติกรรมที่สังคมยอมรับร่วมกัน การกำหนดความผิดและโทษทัณฑ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมและความห่วงใยในความมั่นคงปลอดภัยของพลเมืองทุกคน เมื่อมีการฝ่าฝืน กฎหมายจะเข้ามาทำหน้าที่ในการเยียวยาความเสียหายและฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือในการปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมของผู้กระทำผิดเพื่อให้เขาสามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างปกติสุข มันคือการรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลกับความมั่นคงของส่วนรวม การทำความเข้าใจในเจตนารมณ์ของกฎหมายอาญาจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน เพราะมันคือเกราะป้องกันและเครื่องนำทางชีวิตให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุก ปราศจากความหวาดระแวง กฎหมายมิได้มีไว้เพียงเพื่อลงโทษผู้กระทำผิด แต่ยังมีไว้เพื่อคุ้มครองสุจริตชนและธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม การศึกษาและเคารพกฎหมายอาญาจึงมิใช่เพียงหน้าที่ แต่เป็นสำนึกของการเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อสังคม การรับรู้ว่าการกระทำใดจะนำมาซึ่งความผิดและบทลงโทษ จะช่วยให้แต่ละคนระมัดระวังตนและเลือกที่จะประพฤติตนตามกรอบของกฎหมายและศีลธรรมอันดีงาม โทษทัณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้จึงเป็นเครื่องมือสุดท้ายที่รัฐนำมาใช้เพื่อปกป้องสังคมจากการถูกทำลาย การตระหนักถึงความร้ายแรงของการกระทำที่เป็นความผิดอาญาจะช่วยสร้างจิตสำนึกที่ดีและลดโอกาสของการเกิดอาชญากรรมในทุกระดับ ดังนั้น กฎหมายอาญาจึงเป็นมากกว่าตัวอักษรที่สลักไว้ในประมวลกฎหมาย มันคือหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเป็นธรรม เป็นกลไกที่คอยขับเคลื่อนให้สังคมสามารถดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างมีระเบียบและปลอดภัย การเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอาญาจึงเป็นรากฐานของธรรมาภิบาลและความมั่นคงในชีวิต การรับรู้ถึงความผิดและบทลงโทษที่ชัดเจน ทำให้ทุกคนรู้ขอบเขตแห่งการกระทำของตนเอง และส่งเสริมให้สังคมโดยรวมมีความเข้มแข็งและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น ความยุติธรรมที่มาพร้อมกับการลงโทษที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังและพึ่งพาจากกฎหมายอาญาเสมอมา
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.8

    เอกสารราชการคือหลักฐานที่มีความสำคัญยิ่งในทางการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง หรือการประสานงานกับภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป เอกสารเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงระบบราชการ ทำให้การดำเนินงานต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ถูกต้อง และตรวจสอบได้ตามกฎหมาย ตั้งแต่หนังสือสั่งการ ข้อบังคับ ประกาศ ไปจนถึงรายงานการประชุมทุกฉบับล้วนเป็นกลไกสำคัญที่สะท้อนถึงความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และประสิทธิภาพในการทำงานของภาครัฐ การทำความเข้าใจในความหมายและประเภทของเอกสารราชการจึงเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนของงานราชการดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐาน และสามารถอ้างอิงได้อย่างเป็นทางการ

    ความน่าเชื่อถือและความศักดิ์สิทธิ์ของเอกสารราชการมิได้อยู่ที่กระดาษหรือหมึกที่ใช้ หากแต่อยู่ที่เนื้อหา ข้อกฎหมายที่รองรับ และเจตนาในการนำไปปฏิบัติ ซึ่งต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง เอกสารเหล่านี้จึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างความเข้าใจร่วมกัน บันทึกข้อตกลง สิทธิ และหน้าที่ รวมถึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของประเทศ ทุกการลงนาม ทุกตราประทับ ล้วนมีความหมายและมีผลผูกพันทางกฎหมาย การจัดทำ การเก็บรักษา และการทำลายเอกสารราชการจึงต้องเป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้โดยเคร่งครัด เพื่อป้องกันความผิดพลาด การทุจริต และการสูญหายของข้อมูลสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและการให้บริการประชาชนในวงกว้าง ดังนั้น เจ้าหน้าที่ทุกคนจึงมีหน้าที่ในการดูแลและจัดการเอกสารเหล่านี้ด้วยความรอบคอบและสำนึกในความรับผิดชอบสูงสุด

    โดยสรุปแล้ว เอกสารราชการเป็นมากกว่ากระดาษหรือไฟล์ข้อมูล แต่คือสัญลักษณ์ของอำนาจรัฐ ความน่าเชื่อถือ และเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะให้บรรลุผลสำเร็จ การให้ความสำคัญกับการจัดทำและการบริหารจัดการเอกสารราชการอย่างมีมาตรฐานและเป็นระบบระเบียบ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยยกระดับธรรมาภิบาล สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และเป็นรากฐานที่มั่นคงในการพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป
    บทความกฎหมาย EP.8 เอกสารราชการคือหลักฐานที่มีความสำคัญยิ่งในทางการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง หรือการประสานงานกับภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป เอกสารเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงระบบราชการ ทำให้การดำเนินงานต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ถูกต้อง และตรวจสอบได้ตามกฎหมาย ตั้งแต่หนังสือสั่งการ ข้อบังคับ ประกาศ ไปจนถึงรายงานการประชุมทุกฉบับล้วนเป็นกลไกสำคัญที่สะท้อนถึงความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และประสิทธิภาพในการทำงานของภาครัฐ การทำความเข้าใจในความหมายและประเภทของเอกสารราชการจึงเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนของงานราชการดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐาน และสามารถอ้างอิงได้อย่างเป็นทางการ ความน่าเชื่อถือและความศักดิ์สิทธิ์ของเอกสารราชการมิได้อยู่ที่กระดาษหรือหมึกที่ใช้ หากแต่อยู่ที่เนื้อหา ข้อกฎหมายที่รองรับ และเจตนาในการนำไปปฏิบัติ ซึ่งต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง เอกสารเหล่านี้จึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างความเข้าใจร่วมกัน บันทึกข้อตกลง สิทธิ และหน้าที่ รวมถึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของประเทศ ทุกการลงนาม ทุกตราประทับ ล้วนมีความหมายและมีผลผูกพันทางกฎหมาย การจัดทำ การเก็บรักษา และการทำลายเอกสารราชการจึงต้องเป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้โดยเคร่งครัด เพื่อป้องกันความผิดพลาด การทุจริต และการสูญหายของข้อมูลสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและการให้บริการประชาชนในวงกว้าง ดังนั้น เจ้าหน้าที่ทุกคนจึงมีหน้าที่ในการดูแลและจัดการเอกสารเหล่านี้ด้วยความรอบคอบและสำนึกในความรับผิดชอบสูงสุด โดยสรุปแล้ว เอกสารราชการเป็นมากกว่ากระดาษหรือไฟล์ข้อมูล แต่คือสัญลักษณ์ของอำนาจรัฐ ความน่าเชื่อถือ และเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะให้บรรลุผลสำเร็จ การให้ความสำคัญกับการจัดทำและการบริหารจัดการเอกสารราชการอย่างมีมาตรฐานและเป็นระบบระเบียบ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยยกระดับธรรมาภิบาล สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และเป็นรากฐานที่มั่นคงในการพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • นักวิจัยเยอรมันสร้างพิกเซล OLED ขนาดเล็กที่สุดในโลก — เล็กเพียง 300 นาโนเมตร อาจใช้สร้างจอ 1080p ขนาดแค่ 1 มม.

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Julius-Maximilians-Universität Würzburg ประเทศเยอรมนี พัฒนา OLED พิกเซลขนาดจิ๋วเพียง 300 x 300 นาโนเมตร ซึ่งเล็กกว่าพิกเซลของ micro-OLED ปัจจุบันถึง 10 เท่า และยังให้ความสว่างเทียบเท่าพิกเซล OLED ขนาดปกติ

    ในโลกของอุปกรณ์สวมใส่ เช่น แว่นตา AR/VR หรือสมาร์ตวอทช์ ความต้องการจอแสดงผลที่เล็ก เบา และคมชัดสูงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ นักวิจัยกลุ่มนี้จึงพัฒนา OLED แบบใหม่ที่ใช้ “เสาอากาศทองคำ” (gold antenna) ขนาดนาโนเมตร เพื่อฉีดกระแสไฟและขยายแสงในพื้นที่เล็กมาก

    พิกเซลต้นแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถแสดงแสงสีส้มได้ และมีความสว่างเทียบเท่าพิกเซล OLED ขนาด 5x5 ไมโครเมตร ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานของ micro-OLED ในปัจจุบัน หากนำพิกเซลขนาด 300 นาโนเมตรนี้มาจัดเรียงเป็นจอ 1080p จะได้จอที่มีขนาดเพียง 1 มิลลิเมตรเท่านั้น!

    อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นต้น โดยพิกเซลสามารถทำงานได้เพียง 2 สัปดาห์ก่อนเสื่อมสภาพ นักวิจัยจึงกำลังพัฒนาให้รองรับสี RGB เต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (ปัจจุบันอยู่ที่เพียง 1%)

    พิกเซล OLED ขนาด 300 x 300 นาโนเมตร
    เล็กกว่าพิกเซล micro-OLED ปัจจุบันกว่า 10 เท่า
    ให้ความสว่างเทียบเท่าพิกเซลขนาด 5x5 ไมโครเมตร

    เทคโนโลยีที่ใช้
    เสาอากาศทองคำฉีดกระแสไฟและขยายแสง
    มีฉนวนพิเศษป้องกันการรั่วของทองคำเข้าสู่วัสดุอินทรีย์

    ศักยภาพของเทคโนโลยี
    สร้างจอ 1080p ขนาดเพียง 1 มิลลิเมตร
    เหมาะกับอุปกรณ์สวมใส่ เช่น แว่นตา AR/VR
    ความหนาแน่นของพิกเซลสูงมาก อาจให้ภาพสมจริงระดับใหม่

    ข้อจำกัดปัจจุบัน
    อายุการใช้งานยังสั้น (ประมาณ 2 สัปดาห์)
    ยังแสดงได้เพียงสีส้ม
    ประสิทธิภาพพลังงานต่ำ (1%)

    https://www.tomshardware.com/monitors/researchers-create-worlds-smallest-pixel-measuring-just-300-nanometers-across-could-be-used-to-create-a-1080p-display-measuring-1mm
    🧬 นักวิจัยเยอรมันสร้างพิกเซล OLED ขนาดเล็กที่สุดในโลก — เล็กเพียง 300 นาโนเมตร อาจใช้สร้างจอ 1080p ขนาดแค่ 1 มม. ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Julius-Maximilians-Universität Würzburg ประเทศเยอรมนี พัฒนา OLED พิกเซลขนาดจิ๋วเพียง 300 x 300 นาโนเมตร ซึ่งเล็กกว่าพิกเซลของ micro-OLED ปัจจุบันถึง 10 เท่า และยังให้ความสว่างเทียบเท่าพิกเซล OLED ขนาดปกติ ในโลกของอุปกรณ์สวมใส่ เช่น แว่นตา AR/VR หรือสมาร์ตวอทช์ ความต้องการจอแสดงผลที่เล็ก เบา และคมชัดสูงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ นักวิจัยกลุ่มนี้จึงพัฒนา OLED แบบใหม่ที่ใช้ “เสาอากาศทองคำ” (gold antenna) ขนาดนาโนเมตร เพื่อฉีดกระแสไฟและขยายแสงในพื้นที่เล็กมาก พิกเซลต้นแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถแสดงแสงสีส้มได้ และมีความสว่างเทียบเท่าพิกเซล OLED ขนาด 5x5 ไมโครเมตร ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานของ micro-OLED ในปัจจุบัน หากนำพิกเซลขนาด 300 นาโนเมตรนี้มาจัดเรียงเป็นจอ 1080p จะได้จอที่มีขนาดเพียง 1 มิลลิเมตรเท่านั้น! อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นต้น โดยพิกเซลสามารถทำงานได้เพียง 2 สัปดาห์ก่อนเสื่อมสภาพ นักวิจัยจึงกำลังพัฒนาให้รองรับสี RGB เต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (ปัจจุบันอยู่ที่เพียง 1%) ✅ พิกเซล OLED ขนาด 300 x 300 นาโนเมตร ➡️ เล็กกว่าพิกเซล micro-OLED ปัจจุบันกว่า 10 เท่า ➡️ ให้ความสว่างเทียบเท่าพิกเซลขนาด 5x5 ไมโครเมตร ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ เสาอากาศทองคำฉีดกระแสไฟและขยายแสง ➡️ มีฉนวนพิเศษป้องกันการรั่วของทองคำเข้าสู่วัสดุอินทรีย์ ✅ ศักยภาพของเทคโนโลยี ➡️ สร้างจอ 1080p ขนาดเพียง 1 มิลลิเมตร ➡️ เหมาะกับอุปกรณ์สวมใส่ เช่น แว่นตา AR/VR ➡️ ความหนาแน่นของพิกเซลสูงมาก อาจให้ภาพสมจริงระดับใหม่ ✅ ข้อจำกัดปัจจุบัน ➡️ อายุการใช้งานยังสั้น (ประมาณ 2 สัปดาห์) ➡️ ยังแสดงได้เพียงสีส้ม ➡️ ประสิทธิภาพพลังงานต่ำ (1%) https://www.tomshardware.com/monitors/researchers-create-worlds-smallest-pixel-measuring-just-300-nanometers-across-could-be-used-to-create-a-1080p-display-measuring-1mm
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • บทความนี้ตั้งคำถามถึงเสรีภาพของผู้ใช้ในการควบคุมเครื่องของตัวเองในยุคที่ซอฟต์แวร์ถูกล็อกและควบคุมมากขึ้น

    บทความจาก Hackaday ชื่อ “What Happened to Running What You Wanted on Your Own Machine?” วิจารณ์แนวโน้มที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ของตนเองได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ถูกออกแบบให้จำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้มากขึ้น เช่น การบังคับใช้ Secure Boot, การล็อก BIOS, และการควบคุมสิทธิ์ root

    ประเด็นหลักของบทความ

    การควบคุมของผู้ผลิต: ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รายใหญ่ เช่น Apple, Microsoft และผู้ผลิตชิปบางราย เริ่มออกแบบระบบให้ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้งหรือรันซอฟต์แวร์ที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระ เช่น การบังคับใช้ Secure Boot ที่ไม่สามารถปิดได้ หรือการจำกัดการเข้าถึง bootloader

    การลดเสรีภาพของผู้ใช้: แม้ผู้ใช้จะเป็นเจ้าของเครื่อง แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ เช่น ไม่สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการทางเลือก หรือซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สได้โดยง่าย

    ผลกระทบต่อการศึกษาและนวัตกรรม: การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ทำให้ยากต่อการเรียนรู้ การทดลอง และการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในแวดวงนักพัฒนาและนักวิจัย

    การเรียกร้องให้คืนสิทธิ์: ผู้เขียนเรียกร้องให้ผู้ใช้ตระหนักถึงสิทธิ์ของตนเอง และสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ควบคุมได้อย่างแท้จริง เช่น โครงการโอเพ่นซอร์ส หรืออุปกรณ์ที่สามารถปลดล็อก bootloader ได้

    ข้อคิดจากบทความ

    คุณควรมีสิทธิ์เต็มที่ในการควบคุมเครื่องของคุณเอง
    การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ไม่ควรเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม
    การสนับสนุนโอเพ่นซอร์สและฮาร์ดแวร์ที่เปิดกว้างคือทางออก
    การศึกษาและนวัตกรรมต้องการพื้นที่ที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ระบบที่ปิดตาย

    https://hackaday.com/2025/10/22/what-happened-to-running-what-you-wanted-on-your-own-machine/
    🖥️ บทความนี้ตั้งคำถามถึงเสรีภาพของผู้ใช้ในการควบคุมเครื่องของตัวเองในยุคที่ซอฟต์แวร์ถูกล็อกและควบคุมมากขึ้น บทความจาก Hackaday ชื่อ “What Happened to Running What You Wanted on Your Own Machine?” วิจารณ์แนวโน้มที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ของตนเองได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ถูกออกแบบให้จำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้มากขึ้น เช่น การบังคับใช้ Secure Boot, การล็อก BIOS, และการควบคุมสิทธิ์ root 🔍 ประเด็นหลักของบทความ ⚖️ การควบคุมของผู้ผลิต: ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รายใหญ่ เช่น Apple, Microsoft และผู้ผลิตชิปบางราย เริ่มออกแบบระบบให้ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้งหรือรันซอฟต์แวร์ที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระ เช่น การบังคับใช้ Secure Boot ที่ไม่สามารถปิดได้ หรือการจำกัดการเข้าถึง bootloader ⚖️ การลดเสรีภาพของผู้ใช้: แม้ผู้ใช้จะเป็นเจ้าของเครื่อง แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ เช่น ไม่สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการทางเลือก หรือซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สได้โดยง่าย ⚖️ ผลกระทบต่อการศึกษาและนวัตกรรม: การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ทำให้ยากต่อการเรียนรู้ การทดลอง และการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในแวดวงนักพัฒนาและนักวิจัย ⚖️ การเรียกร้องให้คืนสิทธิ์: ผู้เขียนเรียกร้องให้ผู้ใช้ตระหนักถึงสิทธิ์ของตนเอง และสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ควบคุมได้อย่างแท้จริง เช่น โครงการโอเพ่นซอร์ส หรืออุปกรณ์ที่สามารถปลดล็อก bootloader ได้ 📌 ข้อคิดจากบทความ ✅ คุณควรมีสิทธิ์เต็มที่ในการควบคุมเครื่องของคุณเอง ✅ การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ไม่ควรเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม ✅ การสนับสนุนโอเพ่นซอร์สและฮาร์ดแวร์ที่เปิดกว้างคือทางออก ✅ การศึกษาและนวัตกรรมต้องการพื้นที่ที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ระบบที่ปิดตาย https://hackaday.com/2025/10/22/what-happened-to-running-what-you-wanted-on-your-own-machine/
    HACKADAY.COM
    What Happened To Running What You Wanted On Your Own Machine?
    When the microcomputer first landed in homes some forty years ago, it came with a simple freedom—you could run whatever software you could get your hands on. Floppy disk from a friend? Pop it in. S…
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • 1inch จับมือ Innerworks เสริมเกราะ DeFi ด้วย AI ตรวจจับภัยคุกคามล่วงหน้า

    แพลตฟอร์มการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ชั้นนำอย่าง 1inch ประกาศความร่วมมือกับ Innerworks บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อยกระดับการป้องกันภัยคุกคามในโลกคริปโต โดยใช้เทคโนโลยี AI เชิงคาดการณ์ (predictive AI) และการเจาะระบบเชิงจริยธรรม (RedTeam) เพื่อสร้าง “ระบบภูมิคุ้มกัน” ให้กับระบบนิเวศ DeFi

    ในยุคที่แฮกเกอร์เริ่มใช้ AI เพื่อเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์และโจมตีระบบอย่างแนบเนียน 1inch จึงตัดสินใจร่วมมือกับ Innerworks เพื่อเปลี่ยนแนวทางจาก “ตั้งรับ” เป็น “เชิงรุก” โดยใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมของภัยคุกคามล่วงหน้า และส่งข้อมูลให้ระบบป้องกันของ 1inch แบบอัตโนมัติ

    Innerworks ใช้แพลตฟอร์มที่เรียกว่า “Synthetic Threat Intelligence” ซึ่งรวมเอา AI, การฝึกแบบกระจาย (decentralized training) และการเจาะระบบเชิงจริยธรรม เพื่อเปิดโปง “playbook” ของแฮกเกอร์ก่อนที่พวกเขาจะลงมือจริง

    Sergej Kunz ผู้ร่วมก่อตั้ง 1inch กล่าวว่า “เรากำลังพลิกเกมกับแฮกเกอร์ โดยใช้ AI คาดการณ์การเคลื่อนไหวของพวกเขา และปรับระบบป้องกันให้ทันก่อนที่ภัยจะเกิดขึ้นจริง”

    Oli Quie ซีอีโอของ Innerworks เสริมว่า “แฮกเกอร์ยุคใหม่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่เป็น AI ที่สามารถเจาะระบบได้เกือบทุกแบบ เราจึงต้องสร้างภูมิคุ้มกันแบบรวมหมู่ให้กับโลกคริปโต”

    ความร่วมมือระหว่าง 1inch และ Innerworks
    ใช้ AI เชิงคาดการณ์เพื่อวิเคราะห์และป้องกันภัยคุกคามล่วงหน้า
    ใช้ RedTeam เจาะระบบเชิงจริยธรรมเพื่อเปิดโปงวิธีการของแฮกเกอร์
    ส่งข้อมูลภัยคุกคามเข้าสู่ระบบป้องกันของ 1inch แบบอัตโนมัติ

    จุดเด่นของเทคโนโลยี Innerworks
    แพลตฟอร์ม Synthetic Threat Intelligence
    ผสาน AI, การฝึกแบบกระจาย และการเจาะระบบ
    ป้องกันภัยไซเบอร์โดยไม่ต้องพึ่งการแจ้งเตือนจากผู้ใช้

    เป้าหมายของความร่วมมือ
    สร้าง “ระบบภูมิคุ้มกันรวม” ให้กับระบบนิเวศ DeFi
    ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของวงการคริปโต
    ปรับระบบให้ตอบสนองภัยคุกคามได้แบบเรียลไทม์

    คำเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามในโลก DeFi
    แฮกเกอร์เริ่มใช้ AI เลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์เพื่อหลอกระบบ
    การพึ่งพาการแจ้งเตือนจากผู้ใช้อาจไม่ทันต่อภัยคุกคาม
    ระบบที่ไม่มีการอัปเดตด้านความปลอดภัยอาจตกเป็นเป้าหมายง่ายขึ้น

    https://securityonline.info/1inch-partners-with-innerworks-to-strengthen-defi-security-through-ai-powered-threat-detection/
    🛡️ 1inch จับมือ Innerworks เสริมเกราะ DeFi ด้วย AI ตรวจจับภัยคุกคามล่วงหน้า แพลตฟอร์มการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ชั้นนำอย่าง 1inch ประกาศความร่วมมือกับ Innerworks บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อยกระดับการป้องกันภัยคุกคามในโลกคริปโต โดยใช้เทคโนโลยี AI เชิงคาดการณ์ (predictive AI) และการเจาะระบบเชิงจริยธรรม (RedTeam) เพื่อสร้าง “ระบบภูมิคุ้มกัน” ให้กับระบบนิเวศ DeFi ในยุคที่แฮกเกอร์เริ่มใช้ AI เพื่อเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์และโจมตีระบบอย่างแนบเนียน 1inch จึงตัดสินใจร่วมมือกับ Innerworks เพื่อเปลี่ยนแนวทางจาก “ตั้งรับ” เป็น “เชิงรุก” โดยใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมของภัยคุกคามล่วงหน้า และส่งข้อมูลให้ระบบป้องกันของ 1inch แบบอัตโนมัติ Innerworks ใช้แพลตฟอร์มที่เรียกว่า “Synthetic Threat Intelligence” ซึ่งรวมเอา AI, การฝึกแบบกระจาย (decentralized training) และการเจาะระบบเชิงจริยธรรม เพื่อเปิดโปง “playbook” ของแฮกเกอร์ก่อนที่พวกเขาจะลงมือจริง Sergej Kunz ผู้ร่วมก่อตั้ง 1inch กล่าวว่า “เรากำลังพลิกเกมกับแฮกเกอร์ โดยใช้ AI คาดการณ์การเคลื่อนไหวของพวกเขา และปรับระบบป้องกันให้ทันก่อนที่ภัยจะเกิดขึ้นจริง” Oli Quie ซีอีโอของ Innerworks เสริมว่า “แฮกเกอร์ยุคใหม่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่เป็น AI ที่สามารถเจาะระบบได้เกือบทุกแบบ เราจึงต้องสร้างภูมิคุ้มกันแบบรวมหมู่ให้กับโลกคริปโต” ✅ ความร่วมมือระหว่าง 1inch และ Innerworks ➡️ ใช้ AI เชิงคาดการณ์เพื่อวิเคราะห์และป้องกันภัยคุกคามล่วงหน้า ➡️ ใช้ RedTeam เจาะระบบเชิงจริยธรรมเพื่อเปิดโปงวิธีการของแฮกเกอร์ ➡️ ส่งข้อมูลภัยคุกคามเข้าสู่ระบบป้องกันของ 1inch แบบอัตโนมัติ ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยี Innerworks ➡️ แพลตฟอร์ม Synthetic Threat Intelligence ➡️ ผสาน AI, การฝึกแบบกระจาย และการเจาะระบบ ➡️ ป้องกันภัยไซเบอร์โดยไม่ต้องพึ่งการแจ้งเตือนจากผู้ใช้ ✅ เป้าหมายของความร่วมมือ ➡️ สร้าง “ระบบภูมิคุ้มกันรวม” ให้กับระบบนิเวศ DeFi ➡️ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของวงการคริปโต ➡️ ปรับระบบให้ตอบสนองภัยคุกคามได้แบบเรียลไทม์ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามในโลก DeFi ⛔ แฮกเกอร์เริ่มใช้ AI เลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์เพื่อหลอกระบบ ⛔ การพึ่งพาการแจ้งเตือนจากผู้ใช้อาจไม่ทันต่อภัยคุกคาม ⛔ ระบบที่ไม่มีการอัปเดตด้านความปลอดภัยอาจตกเป็นเป้าหมายง่ายขึ้น https://securityonline.info/1inch-partners-with-innerworks-to-strengthen-defi-security-through-ai-powered-threat-detection/
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • บริการ Virtual CISO กำลังมาแรง แต่เลือกผิดอาจเสี่ยงถูกเจาะระบบ — ผู้เชี่ยวชาญเตือนให้ดูให้ดี ก่อนจ้าง

    บริการ Virtual CISO (Chief Information Security Officer) หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบจ้างภายนอก กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในองค์กรขนาดกลางที่ไม่สามารถจ้าง CISO เต็มเวลาได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากเลือกผิด อาจได้แค่ “ที่ปรึกษาแพงๆ” ที่ไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามได้จริง

    Sergei Beliachkov อดีต CISO ที่เคยดูแลระบบให้กับองค์กรขนาดใหญ่กว่า 7,000 ผู้ใช้ และปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการ Virtual CISO ได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงว่า ทำไมบริการนี้ถึงเติบโต และอะไรคือ “ธงแดง” ที่ควรระวัง

    ความต้องการ Virtual CISO เพิ่มขึ้นเพราะ:

    ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ทั่วโลกกว่า 4.8 ล้านตำแหน่ง
    ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินเอื้อม (มากกว่า $300,000 ต่อปี)
    กฎหมายใหม่ เช่น NIS2 และ DORA บังคับให้องค์กรต้องมีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย

    แต่ปัญหาคือ หลายองค์กรจ้าง Virtual CISO โดยไม่เข้าใจบทบาทที่แท้จริง ทำให้ได้เพียง “ที่ปรึกษา” ที่ไม่สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์หรือรับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง

    Beliachkov แนะนำว่า Virtual CISO ที่ดีต้องมีประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิคและการบริหาร มีแผนการทำงานชัดเจน และสามารถสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เหตุผลที่บริการ Virtual CISO กำลังเติบโต
    ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินไปสำหรับองค์กรขนาดกลาง
    กฎหมายใหม่บังคับให้มีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย
    Virtual CISO ช่วยลดต้นทุนโดยไม่ต้องจ้างพนักงานประจำ

    บทบาทของ Virtual CISO ที่แท้จริง
    วางกลยุทธ์ความปลอดภัยระดับองค์กร
    กำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน
    ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงาน เช่น การตั้งค่าไฟร์วอลล์หรือดูแลระบบ

    โมเดลการให้บริการที่ดีควรมี
    SLA ชัดเจนเรื่องเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ
    ขอบเขตงานที่ระบุชัดเจนว่า “ทำอะไร” และ “ไม่ทำอะไร”
    แผนการส่งมอบความรู้และเอกสารเมื่อสิ้นสุดสัญญา

    คำเตือนในการเลือก Virtual CISO
    ผู้ให้บริการที่ไม่สามารถอธิบายวิธีจัดการความขัดแย้งผลประโยชน์
    ไม่ยอมระบุ SLA หรือเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ
    โฆษณาว่าทำได้เหมือน CISO เต็มเวลาในราคาถูก — เสี่ยงสูง
    ไม่เคยพูดถึงความล้มเหลวหรือบทเรียนจากเหตุการณ์จริง

    https://securityonline.info/why-virtual-ciso-services-are-booming-and-how-to-avoid-hiring-the-wrong-one/
    🛡️ บริการ Virtual CISO กำลังมาแรง แต่เลือกผิดอาจเสี่ยงถูกเจาะระบบ — ผู้เชี่ยวชาญเตือนให้ดูให้ดี ก่อนจ้าง บริการ Virtual CISO (Chief Information Security Officer) หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบจ้างภายนอก กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในองค์กรขนาดกลางที่ไม่สามารถจ้าง CISO เต็มเวลาได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากเลือกผิด อาจได้แค่ “ที่ปรึกษาแพงๆ” ที่ไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามได้จริง Sergei Beliachkov อดีต CISO ที่เคยดูแลระบบให้กับองค์กรขนาดใหญ่กว่า 7,000 ผู้ใช้ และปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการ Virtual CISO ได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงว่า ทำไมบริการนี้ถึงเติบโต และอะไรคือ “ธงแดง” ที่ควรระวัง 📈 ความต้องการ Virtual CISO เพิ่มขึ้นเพราะ: 🎗️ ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ทั่วโลกกว่า 4.8 ล้านตำแหน่ง 🎗️ ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินเอื้อม (มากกว่า $300,000 ต่อปี) 🎗️ กฎหมายใหม่ เช่น NIS2 และ DORA บังคับให้องค์กรต้องมีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย แต่ปัญหาคือ หลายองค์กรจ้าง Virtual CISO โดยไม่เข้าใจบทบาทที่แท้จริง ทำให้ได้เพียง “ที่ปรึกษา” ที่ไม่สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์หรือรับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง Beliachkov แนะนำว่า Virtual CISO ที่ดีต้องมีประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิคและการบริหาร มีแผนการทำงานชัดเจน และสามารถสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ เหตุผลที่บริการ Virtual CISO กำลังเติบโต ➡️ ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินไปสำหรับองค์กรขนาดกลาง ➡️ กฎหมายใหม่บังคับให้มีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย ➡️ Virtual CISO ช่วยลดต้นทุนโดยไม่ต้องจ้างพนักงานประจำ ✅ บทบาทของ Virtual CISO ที่แท้จริง ➡️ วางกลยุทธ์ความปลอดภัยระดับองค์กร ➡️ กำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน ➡️ ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงาน เช่น การตั้งค่าไฟร์วอลล์หรือดูแลระบบ ✅ โมเดลการให้บริการที่ดีควรมี ➡️ SLA ชัดเจนเรื่องเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ ➡️ ขอบเขตงานที่ระบุชัดเจนว่า “ทำอะไร” และ “ไม่ทำอะไร” ➡️ แผนการส่งมอบความรู้และเอกสารเมื่อสิ้นสุดสัญญา ‼️ คำเตือนในการเลือก Virtual CISO ⛔ ผู้ให้บริการที่ไม่สามารถอธิบายวิธีจัดการความขัดแย้งผลประโยชน์ ⛔ ไม่ยอมระบุ SLA หรือเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ ⛔ โฆษณาว่าทำได้เหมือน CISO เต็มเวลาในราคาถูก — เสี่ยงสูง ⛔ ไม่เคยพูดถึงความล้มเหลวหรือบทเรียนจากเหตุการณ์จริง https://securityonline.info/why-virtual-ciso-services-are-booming-and-how-to-avoid-hiring-the-wrong-one/
    SECURITYONLINE.INFO
    Why Virtual CISO Services Are Booming—And How to Avoid Hiring the Wrong One
    Sergei Beliachkov, who managed security for 7,000+ users as a virtual CISO and later launched the service for
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • CXMT ส่งตัวอย่าง HBM3 ให้ Huawei – จีนใกล้ปลดล็อกคอขวดชิป AI

    จีนกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนหน่วยความจำ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI ที่ใช้ในการประมวลผลขนาดใหญ่ เช่นในระบบปัญญาประดิษฐ์และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง

    ที่ผ่านมา Huawei และบริษัทอื่นๆ ต้องพึ่งพาสต็อก HBM ที่มีอยู่ก่อนการควบคุมการส่งออกจากต่างประเทศ แต่ตอนนี้ CXMT ได้พัฒนาตัวอย่าง HBM3 ได้สำเร็จ และส่งให้ Huawei ทดสอบแล้ว ซึ่งถือเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการผลิตในประเทศ

    แม้ CXMT ยังล้าหลังบริษัทระดับโลกอย่าง SK hynix อยู่ประมาณ 3–4 ปี แต่ก็มีความสามารถในการผลิต DRAM เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะผลิตได้ถึง 280,000 แผ่นเวเฟอร์ต่อเดือนภายในปีนี้

    นอกจากนี้ CXMT ยังเริ่มผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป และเตรียมเปิด IPO ในไตรมาสแรกของปี 2026 เพื่อระดมทุนขยายกำลังการผลิต

    CXMT ส่งตัวอย่าง HBM3 ให้ Huawei
    เป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาคอขวดด้านชิป AI
    อาจนำไปสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรมภายในปีนี้

    ความสามารถในการผลิตของ CXMT
    มีสายการผลิต DRAM ที่กำลังขยายตัว
    คาดว่าจะผลิตได้ 230,000–280,000 เวเฟอร์ต่อเดือน
    เริ่มผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไปแล้ว

    ความเคลื่อนไหวของบริษัทหน่วยความจำจีน
    YMTC เริ่มเข้าสู่ธุรกิจ DRAM เพื่อช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศ
    CXMT เตรียมเปิด IPO ในไตรมาสแรกปี 2026

    ความล้าหลังด้านเทคโนโลยี
    CXMT ยังตามหลัง SK hynix ประมาณ 3–4 ปี
    HBM3E จะเข้าสู่จีนในปี 2027 ขณะที่ HBM4 จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่

    https://wccftech.com/china-cxmt-ships-out-pivotal-hbm3-samples-to-huawei/
    🇨🇳 CXMT ส่งตัวอย่าง HBM3 ให้ Huawei – จีนใกล้ปลดล็อกคอขวดชิป AI จีนกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนหน่วยความจำ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI ที่ใช้ในการประมวลผลขนาดใหญ่ เช่นในระบบปัญญาประดิษฐ์และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง ที่ผ่านมา Huawei และบริษัทอื่นๆ ต้องพึ่งพาสต็อก HBM ที่มีอยู่ก่อนการควบคุมการส่งออกจากต่างประเทศ แต่ตอนนี้ CXMT ได้พัฒนาตัวอย่าง HBM3 ได้สำเร็จ และส่งให้ Huawei ทดสอบแล้ว ซึ่งถือเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการผลิตในประเทศ แม้ CXMT ยังล้าหลังบริษัทระดับโลกอย่าง SK hynix อยู่ประมาณ 3–4 ปี แต่ก็มีความสามารถในการผลิต DRAM เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะผลิตได้ถึง 280,000 แผ่นเวเฟอร์ต่อเดือนภายในปีนี้ นอกจากนี้ CXMT ยังเริ่มผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป และเตรียมเปิด IPO ในไตรมาสแรกของปี 2026 เพื่อระดมทุนขยายกำลังการผลิต ✅ CXMT ส่งตัวอย่าง HBM3 ให้ Huawei ➡️ เป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาคอขวดด้านชิป AI ➡️ อาจนำไปสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรมภายในปีนี้ ✅ ความสามารถในการผลิตของ CXMT ➡️ มีสายการผลิต DRAM ที่กำลังขยายตัว ➡️ คาดว่าจะผลิตได้ 230,000–280,000 เวเฟอร์ต่อเดือน ➡️ เริ่มผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไปแล้ว ✅ ความเคลื่อนไหวของบริษัทหน่วยความจำจีน ➡️ YMTC เริ่มเข้าสู่ธุรกิจ DRAM เพื่อช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศ ➡️ CXMT เตรียมเปิด IPO ในไตรมาสแรกปี 2026 ‼️ ความล้าหลังด้านเทคโนโลยี ⛔ CXMT ยังตามหลัง SK hynix ประมาณ 3–4 ปี ⛔ HBM3E จะเข้าสู่จีนในปี 2027 ขณะที่ HBM4 จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ https://wccftech.com/china-cxmt-ships-out-pivotal-hbm3-samples-to-huawei/
    WCCFTECH.COM
    China's CXMT Ships Out HBM3 Samples to Huawei, Potentially Sorting Out a Massive Bottleneck in the Domestic AI Supply Chain
    China's CXMT has reportedly achieved a significant breakthrough by shipping HBM3 samples to domestic AI giants.
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • ประกอบคอมไม่ต้องแพง! 4 อุปกรณ์ที่ซื้อถูกได้ กับ 1 ชิ้นที่ควรลงทุน

    ถ้าคุณกำลังคิดจะประกอบคอมใหม่ ไม่ว่าจะเพื่อเล่นเกม ทำงาน หรือตัดต่อวิดีโอ คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงทุกชิ้น! มีหลายอุปกรณ์ที่สามารถซื้อแบบราคาประหยัดได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพมากนัก

    พัดลมซีพียู (CPU Fan): ไม่ต้องไปถึงระบบน้ำ แค่พัดลมอากาศดีๆ อย่าง Cooler Master Hyper 212 ก็เอาอยู่แล้ว แถมติดตั้งง่าย ราคาประมาณ $30 เท่านั้น

    เคส (Case): ถ้าไม่ได้โชว์เคสบนโต๊ะ ก็ไม่ต้องซื้อแพง เคสอย่าง Cooler Master Q300L ราคาแค่ $40 ก็สวยและใช้งานดี

    แรม (RAM): ตอนนี้ 32GB กลายเป็นมาตรฐานใหม่แล้ว แต่ก็ยังหาซื้อได้ในราคาประมาณ $100 ถ้าเลือกแบรนด์ดีๆ อย่าง Corsair หรือ G.SKILL

    เมนบอร์ด (Motherboard): ถ้าไม่ต้องการฟีเจอร์ล้ำๆ ก็เลือกเมนบอร์ดราคาประหยัดได้ เช่น ASRock B650M-H/M.2+ ราคาแค่ $99 รองรับ DDR5 และ CPU รุ่นใหม่

    แต่มีหนึ่งชิ้นที่ไม่ควรประหยัด นั่นคือ การ์ดจอ (GPU) เพราะเกมสมัยนี้กินสเปคหนักมาก ถ้าอยากเล่นลื่นๆ ต้องลงทุนหน่อย เช่น Intel Arc B580 ที่ราคาไม่แรงแต่ประสิทธิภาพดี หรือ AMD RX 7900 XTX ที่คุ้มค่ากว่า NVIDIA RTX 4080

    พัดลมซีพียู (CPU Fan)
    พัดลมอากาศราคาถูกติดตั้งง่ายและเย็นพอ
    Cooler Master Hyper 212 ราคาเพียง $29.99
    ควรตรวจสอบความสูงก่อนซื้อให้พอดีกับเคส

    เคส (Case)
    เคสราคาประหยัดยังมีดีไซน์สวยและรองรับอุปกรณ์ใหญ่
    Cooler Master Q300L ราคา $39.99
    ข้อเสียคือพอร์ต USB ด้านหน้าอาจน้อย

    แรม (RAM)
    32GB กลายเป็นมาตรฐานใหม่
    DDR5 ราคาประมาณ $80–130
    ควรเลือกแบรนด์ใหญ่และความเร็วสูง

    เมนบอร์ด (Motherboard)
    เมนบอร์ดราคาถูกยังรองรับ CPU และ RAM รุ่นใหม่
    ASRock B650M-H/M.2+ ราคา $99
    ข้อเสียคืออาจไม่มี Wi-Fi หรือ Bluetooth

    การ์ดจอ (GPU)
    ควรลงทุนเพื่อประสิทธิภาพในการเล่นเกม
    เกมใหม่ต้องใช้ GPU แรงเพื่อภาพลื่นและสวย
    Intel Arc B580 เป็นตัวเลือกคุ้มค่า
    AMD RX 7900 XTX ดีกว่า NVIDIA RTX 4080 ในราคาต่อประสิทธิภาพ

    https://www.slashgear.com/2002844/pc-parts-can-buy-cheap-ones-you-should-splurge-on/
    🖥️ ประกอบคอมไม่ต้องแพง! 4 อุปกรณ์ที่ซื้อถูกได้ กับ 1 ชิ้นที่ควรลงทุน ถ้าคุณกำลังคิดจะประกอบคอมใหม่ ไม่ว่าจะเพื่อเล่นเกม ทำงาน หรือตัดต่อวิดีโอ คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงทุกชิ้น! มีหลายอุปกรณ์ที่สามารถซื้อแบบราคาประหยัดได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพมากนัก 🎗️ พัดลมซีพียู (CPU Fan): ไม่ต้องไปถึงระบบน้ำ แค่พัดลมอากาศดีๆ อย่าง Cooler Master Hyper 212 ก็เอาอยู่แล้ว แถมติดตั้งง่าย ราคาประมาณ $30 เท่านั้น 🎗️ เคส (Case): ถ้าไม่ได้โชว์เคสบนโต๊ะ ก็ไม่ต้องซื้อแพง เคสอย่าง Cooler Master Q300L ราคาแค่ $40 ก็สวยและใช้งานดี 🎗️ แรม (RAM): ตอนนี้ 32GB กลายเป็นมาตรฐานใหม่แล้ว แต่ก็ยังหาซื้อได้ในราคาประมาณ $100 ถ้าเลือกแบรนด์ดีๆ อย่าง Corsair หรือ G.SKILL 🎗️ เมนบอร์ด (Motherboard): ถ้าไม่ต้องการฟีเจอร์ล้ำๆ ก็เลือกเมนบอร์ดราคาประหยัดได้ เช่น ASRock B650M-H/M.2+ ราคาแค่ $99 รองรับ DDR5 และ CPU รุ่นใหม่ แต่มีหนึ่งชิ้นที่ไม่ควรประหยัด นั่นคือ การ์ดจอ (GPU) เพราะเกมสมัยนี้กินสเปคหนักมาก ถ้าอยากเล่นลื่นๆ ต้องลงทุนหน่อย เช่น Intel Arc B580 ที่ราคาไม่แรงแต่ประสิทธิภาพดี หรือ AMD RX 7900 XTX ที่คุ้มค่ากว่า NVIDIA RTX 4080 ✅ พัดลมซีพียู (CPU Fan) ➡️ พัดลมอากาศราคาถูกติดตั้งง่ายและเย็นพอ ➡️ Cooler Master Hyper 212 ราคาเพียง $29.99 ➡️ ควรตรวจสอบความสูงก่อนซื้อให้พอดีกับเคส ✅ เคส (Case) ➡️ เคสราคาประหยัดยังมีดีไซน์สวยและรองรับอุปกรณ์ใหญ่ ➡️ Cooler Master Q300L ราคา $39.99 ➡️ ข้อเสียคือพอร์ต USB ด้านหน้าอาจน้อย ✅ แรม (RAM) ➡️ 32GB กลายเป็นมาตรฐานใหม่ ➡️ DDR5 ราคาประมาณ $80–130 ➡️ ควรเลือกแบรนด์ใหญ่และความเร็วสูง ✅ เมนบอร์ด (Motherboard) ➡️ เมนบอร์ดราคาถูกยังรองรับ CPU และ RAM รุ่นใหม่ ➡️ ASRock B650M-H/M.2+ ราคา $99 ➡️ ข้อเสียคืออาจไม่มี Wi-Fi หรือ Bluetooth ‼️ การ์ดจอ (GPU) ⛔ ควรลงทุนเพื่อประสิทธิภาพในการเล่นเกม ⛔ เกมใหม่ต้องใช้ GPU แรงเพื่อภาพลื่นและสวย ⛔ Intel Arc B580 เป็นตัวเลือกคุ้มค่า ⛔ AMD RX 7900 XTX ดีกว่า NVIDIA RTX 4080 ในราคาต่อประสิทธิภาพ https://www.slashgear.com/2002844/pc-parts-can-buy-cheap-ones-you-should-splurge-on/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    4 PC Parts You Can Buy Cheap (And 1 You Should Splurge On) - SlashGear
    Building your own PC is not as hard as you might think, but doing so on the cheap means learning when to save money on parts and when to invest.
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • สัมผัสความละเอียดระดับพรีเมี่ยม! เครื่องบดถ้วย DFT-250: ผู้เชี่ยวชาญด้านผงโกโก้และสมุนไพร 25,000 RPM!

    ยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์สมุนไพรของคุณสู่มาตรฐานใหม่ ด้วย เครื่องบดถ้วยความเร็วสูง รุ่น 250g (DFT-250) ที่ออกแบบมาเพื่อการบดผงละเอียดระดับมืออาชีพโดยเฉพาะ!

    ลืมปัญหาการบดช้าและผงไม่สม่ำเสมอไปได้เลย เครื่องนี้คือคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็วและคุณภาพระดับพรีเมี่ยม:

    พลังบดที่เหนือกว่า:
    • ความละเอียด 50-200 Mesh: บดได้ละเอียดพิเศษ เหมาะสำหรับการเพิ่มคุณภาพโกโก้ (ลดตะกอน) และการเตรียมสมุนไพรบรรจุแคปซูล
    • ความเร็ว 25,000 RPM: บดสมุนไพรแห้ง, ยาจีน, เครื่องเทศแข็ง หรือเมล็ดกาแฟ ให้เป็นผงได้ในไม่กี่วินาที ประหยัดเวลาการผลิตอย่างมหาศาล
    • คงคุณค่าสารอาหาร: การประมวลผลที่รวดเร็ว ช่วยรักษาแก่นแท้และคุณค่าตามธรรมชาติของวัตถุดิบไว้ได้ครบถ้วน
    • กำลังไฟ 900W: มอเตอร์ทรงพลัง โครงสร้างสแตนเลสทนทาน พร้อมสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ในระยะยาว

    ข้อควรทราบสำหรับการบดโกโก้: เครื่องนี้เหมาะสำหรับบด ผงโกโก้ (Cocoa Powder) ที่ผ่านการสกัดไขมันแล้ว เพื่อให้ได้ความละเอียดที่เนียนนุ่มยิ่งขึ้น ไม่ควร ใช้บดเมล็ดโกโก้โดยตรง
    ข้อมูลเครื่องบดถ้วย DFT-250:
    • ความจุ: 250g
    • ความเร็ว: 25,000 r/min
    • น้ำหนัก: 4.2kg
    ________________________________________
    สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ:
    ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng)
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330
    • แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA
    เวลาทำการ:
    • จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น.
    • เสาร์: 9.00-16.00 น.
    ช่องทางการติดต่อ:
    • โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    • แชท Messenger: m.me/yonghahheng
    • LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    • เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    ________________________________________
    #เครื่องบดถ้วย #เครื่องบดสมุนไพร #เครื่องบดผง #เครื่องบดกาแฟ #เครื่องบดพริกไทย #เครื่องโม่แป้ง #ผงละเอียด #ผงโกโก้ #โกโก้ #โฮมเมดโกโก้ #CocoaPowder #ช็อกโกแลต #HerbalGrinder #SpiceGrinder #UltraFineGrind #25000RPM #DFT250 #ย่งฮะเฮง #ผงสมุนไพร #ชาสมุนไพร #สมุนไพรไทย #ยาจีน #บรรจุแคปซูล #โรงงานสมุนไพร
    #ธุรกิจขนาดเล็ก #SMEไทย #สินค้าพรีเมี่ยม #อุปกรณ์ครัว #เครื่องจักรขนาดเล็ก

    สัมผัสความละเอียดระดับพรีเมี่ยม! 🍫 เครื่องบดถ้วย DFT-250: ผู้เชี่ยวชาญด้านผงโกโก้และสมุนไพร 25,000 RPM! ยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์สมุนไพรของคุณสู่มาตรฐานใหม่ ด้วย เครื่องบดถ้วยความเร็วสูง รุ่น 250g (DFT-250) ที่ออกแบบมาเพื่อการบดผงละเอียดระดับมืออาชีพโดยเฉพาะ! ลืมปัญหาการบดช้าและผงไม่สม่ำเสมอไปได้เลย เครื่องนี้คือคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็วและคุณภาพระดับพรีเมี่ยม: ✅ พลังบดที่เหนือกว่า: • ความละเอียด 50-200 Mesh: บดได้ละเอียดพิเศษ เหมาะสำหรับการเพิ่มคุณภาพโกโก้ (ลดตะกอน) และการเตรียมสมุนไพรบรรจุแคปซูล • ความเร็ว 25,000 RPM: บดสมุนไพรแห้ง, ยาจีน, เครื่องเทศแข็ง หรือเมล็ดกาแฟ ให้เป็นผงได้ในไม่กี่วินาที ประหยัดเวลาการผลิตอย่างมหาศาล • คงคุณค่าสารอาหาร: การประมวลผลที่รวดเร็ว ช่วยรักษาแก่นแท้และคุณค่าตามธรรมชาติของวัตถุดิบไว้ได้ครบถ้วน • กำลังไฟ 900W: มอเตอร์ทรงพลัง โครงสร้างสแตนเลสทนทาน พร้อมสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ในระยะยาว ⚠️ ข้อควรทราบสำหรับการบดโกโก้: เครื่องนี้เหมาะสำหรับบด ผงโกโก้ (Cocoa Powder) ที่ผ่านการสกัดไขมันแล้ว เพื่อให้ได้ความละเอียดที่เนียนนุ่มยิ่งขึ้น ไม่ควร ใช้บดเมล็ดโกโก้โดยตรง 💡 ข้อมูลเครื่องบดถ้วย DFT-250: • ความจุ: 250g • ความเร็ว: 25,000 r/min • น้ำหนัก: 4.2kg ________________________________________ 🔥 สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ: 🔥 ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng) ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330 • แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA เวลาทำการ: • จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. • เสาร์: 9.00-16.00 น. ช่องทางการติดต่อ: • โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 • แชท Messenger: m.me/yonghahheng • LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 • เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com ________________________________________ #เครื่องบดถ้วย #เครื่องบดสมุนไพร #เครื่องบดผง #เครื่องบดกาแฟ #เครื่องบดพริกไทย #เครื่องโม่แป้ง #ผงละเอียด #ผงโกโก้ #โกโก้ #โฮมเมดโกโก้ #CocoaPowder #ช็อกโกแลต #HerbalGrinder #SpiceGrinder #UltraFineGrind #25000RPM #DFT250 #ย่งฮะเฮง #ผงสมุนไพร #ชาสมุนไพร #สมุนไพรไทย #ยาจีน #บรรจุแคปซูล #โรงงานสมุนไพร #ธุรกิจขนาดเล็ก #SMEไทย #สินค้าพรีเมี่ยม #อุปกรณ์ครัว #เครื่องจักรขนาดเล็ก
    0 Comments 0 Shares 198 Views 0 Reviews
  • “Ubiquiti อุดช่องโหว่ร้ายแรงใน UniFi Access – API เปิดโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน”

    หากคุณใช้ระบบควบคุมประตูอัจฉริยะ UniFi Access ของ Ubiquiti อาจถึงเวลาตรวจสอบระบบอย่างจริงจัง เพราะมีการค้นพบช่องโหว่ระดับ “วิกฤต” ที่เปิดให้ผู้โจมตีเข้าถึง API การจัดการระบบได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลยแม้แต่น้อย

    ช่องโหว่นี้ได้รับคะแนน CVSS เต็ม 10.0 ซึ่งหมายถึงระดับความรุนแรงสูงสุดในมาตรฐานความปลอดภัยไซเบอร์ โดยผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งผ่าน API เพื่อควบคุมระบบประตู เช่น เปิด-ปิดประตู เปลี่ยนการตั้งค่า หรือแม้แต่เพิ่มผู้ใช้งานใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องมีสิทธิ์แอดมิน

    Ubiquiti ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้งานอัปเดตเฟิร์มแวร์ของ UniFi Access โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากระยะไกล

    ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยด้านความปลอดภัย และมีการแจ้งเตือนผ่านช่องทางสาธารณะ ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวในการโจมตีระบบที่ยังไม่ได้อัปเดตได้ทันที

    ช่องโหว่ใน UniFi Access ของ Ubiquiti
    เปิด API การจัดการโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    ได้รับคะแนน CVSS 10.0 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด

    ความสามารถของผู้โจมตี
    ควบคุมระบบประตูจากระยะไกล
    เปลี่ยนการตั้งค่า เพิ่มผู้ใช้ หรือเปิดประตูได้ทันที
    ไม่ต้องมีสิทธิ์แอดมินหรือบัญชีผู้ใช้ใด ๆ

    การตอบสนองของ Ubiquiti
    ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่แล้ว
    แนะนำให้อัปเดตเฟิร์มแวร์ของ UniFi Access โดยเร็ว

    ความสำคัญของการอัปเดต
    ช่องโหว่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว
    ระบบที่ยังไม่ได้อัปเดตมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี

    https://securityonline.info/ubiquiti-patches-critical-cvss-10-flaw-in-unifi-access-that-exposed-management-api-without-authentication/
    📰 “Ubiquiti อุดช่องโหว่ร้ายแรงใน UniFi Access – API เปิดโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน” หากคุณใช้ระบบควบคุมประตูอัจฉริยะ UniFi Access ของ Ubiquiti อาจถึงเวลาตรวจสอบระบบอย่างจริงจัง เพราะมีการค้นพบช่องโหว่ระดับ “วิกฤต” ที่เปิดให้ผู้โจมตีเข้าถึง API การจัดการระบบได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลยแม้แต่น้อย ช่องโหว่นี้ได้รับคะแนน CVSS เต็ม 10.0 ซึ่งหมายถึงระดับความรุนแรงสูงสุดในมาตรฐานความปลอดภัยไซเบอร์ โดยผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งผ่าน API เพื่อควบคุมระบบประตู เช่น เปิด-ปิดประตู เปลี่ยนการตั้งค่า หรือแม้แต่เพิ่มผู้ใช้งานใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องมีสิทธิ์แอดมิน Ubiquiti ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้งานอัปเดตเฟิร์มแวร์ของ UniFi Access โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากระยะไกล ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยด้านความปลอดภัย และมีการแจ้งเตือนผ่านช่องทางสาธารณะ ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวในการโจมตีระบบที่ยังไม่ได้อัปเดตได้ทันที ✅ ช่องโหว่ใน UniFi Access ของ Ubiquiti ➡️ เปิด API การจัดการโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ ได้รับคะแนน CVSS 10.0 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ✅ ความสามารถของผู้โจมตี ➡️ ควบคุมระบบประตูจากระยะไกล ➡️ เปลี่ยนการตั้งค่า เพิ่มผู้ใช้ หรือเปิดประตูได้ทันที ➡️ ไม่ต้องมีสิทธิ์แอดมินหรือบัญชีผู้ใช้ใด ๆ ✅ การตอบสนองของ Ubiquiti ➡️ ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่แล้ว ➡️ แนะนำให้อัปเดตเฟิร์มแวร์ของ UniFi Access โดยเร็ว ✅ ความสำคัญของการอัปเดต ➡️ ช่องโหว่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว ➡️ ระบบที่ยังไม่ได้อัปเดตมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี https://securityonline.info/ubiquiti-patches-critical-cvss-10-flaw-in-unifi-access-that-exposed-management-api-without-authentication/
    SECURITYONLINE.INFO
    Ubiquiti Patches Critical CVSS 10 Flaw in UniFi Access That Exposed Management API Without Authentication
    Ubiquiti issued an urgent patch for a Critical Auth Bypass flaw in UniFi Access. Attackers with network access can fully take over door management systems.
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
More Results