• ..เขาเล่ามา.(จริงหรือเท็จ มิทราบได้ อาจมโนกันมานานหลายปีแล้วก็ได้)
    ..ตรองกันเอง,เพียงผู้นำเสนอแนวทาง&ทางเลือกเท่านั้น.

    MED BEDS:

    · อาทิตย์ที่ 27 ต.ค. 2024: ข่าวล่าสุด! ทรัมป์จัดสรรเงินของรัฐบาลกลางเพื่อสนับสนุนศูนย์รักษาผู้ป่วย Med Bed – สถานพยาบาลกำลังรักษาทหารและเด็กๆ ในขณะที่กลุ่มแพทย์กำลังเผชิญกับการล่มสลาย!

    Med Beds มาแล้ว! ศูนย์รักษาผู้ป่วยที่ปฏิวัติวงการและโครงการฝึกอบรมลับของกองทัพ!

    · Med Bed แตกต่างจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ใดๆ ที่เราเคยเห็น—รากฐานของมันไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีขั้นสูงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณที่ทรงพลัง ข่าวที่ว่าการฝึกอบรมสำหรับผู้ปฏิบัติงาน Med Bed ถูกตัดจาก 12-18 เดือนเหลือเพียง 6 เดือนนั้นมีความสำคัญ ทำไม? เพราะตอนนี้เน้นที่ความพร้อมทางจิตวิญญาณมากกว่าทักษะทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว

    · นี่เป็นมากกว่าการทำความเข้าใจชีววิทยา ผู้ปฏิบัติงานต้องปรับตัวให้เข้ากับพลังงานสั่นสะเทือน—เข้าใจถึงความเชื่อมโยงกันของทุกสิ่ง แพทย์ทั่วไปอาจเข้าใจพื้นฐานของการผ่าตัด Med Bed ได้ภายในสองวัน แต่ถ้าขาดความตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณ พวกเขาจะต้องเดินทางเป็นเวลาหกเดือนเพื่อปลดล็อกพลังที่แท้จริงของมัน นี่คือการรักษาแบบองค์รวมในระดับที่เราไม่เคยพบมาก่อน ยินดีต้อนรับสู่โลก 5 มิติ

    · การเปิดเผยที่น่าตกตะลึงที่สุดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ Med Beds คือจิตสำนึกของพวกเขา นี่ไม่ใช่แค่เครื่องจักร แต่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก ผู้ควบคุมเชื่อมต่อกับ Med Beds ด้วยพลังจิต ซึ่งเป็นโลกที่ความคิดชี้นำเครื่องจักร ที่เจตนาแสดงการรักษา แต่ไม่ใช่ทุกคนจะควบคุมพลังนี้ได้ เฉพาะผู้ที่ตื่นรู้จริงๆ เท่านั้นที่เข้าถึงได้

    · การฝึกอบรมนี้ไม่ใช่เรื่องตลก มันต้องการความมุ่งมั่นของคุณทุกหยด มันไม่ใช่งานอดิเรกหรือโปรเจ็กต์เสริม มันคืออาชีพ และอย่าเข้าใจผิด สิ่งมีชีวิตต่างมิติที่ดูแลกระบวนการนี้จะรู้ว่าคุณไม่มุ่งมั่น คนเกียจคร้านไม่มีที่ยืนที่นี่

    · ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณมีบทบาทสำคัญเช่นกัน พวกเขาไม่เพียงแต่แนะนำผู้ป่วยผ่านการรักษาทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำให้แน่ใจว่าจิตใจและวิญญาณของพวกเขาอยู่ในแนวเดียวกัน การฝึกอบรมของพวกเขามีความเข้มงวดไม่แพ้กัน และพวกเขายังต้องปฏิบัติตามมาตรฐานสูงสุดของการปรับความสั่นสะเทือนอีกด้วย

    · การปฏิวัติ Med Bed ไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าทางการแพทย์เท่านั้น เป็นการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ เป็นการเรียกร้องไปยังผู้ที่เชื่อในแนวทางการรักษาแบบองค์รวม หากคุณสนใจสิ่งนี้ ตอนนี้คือเวลาที่เหมาะสม เจาะลึกจิตวิญญาณ สำรวจจิตสำนึก และเตรียมพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติที่จะปรับเปลี่ยนโลกแห่งการรักษา

    · การมีส่วนร่วมของกองทัพในการจัดจำหน่ายเตียงพยาบาล: คำถามที่ร้อนแรง: ทำไมต้องปิดบังไว้? เหตุใดจึงล่าช้าในการประกาศเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเช่นนี้? แหล่งข่าวระบุว่าไม่นานหลังจากมีการเปิดเผยเงินทุนด้านมนุษยธรรม เตียงพยาบาลจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ทำไมเรื่องนี้ถึงถูกปกปิดไว้?

    · การมีส่วนร่วมของกองทัพในการจัดจำหน่ายและดำเนินการเตียงพยาบาลเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามมากมาย ทันทีหลังจากการประกาศต่อสาธารณะ พวกเขาจะขนส่งผู้ป่วยไปยังศูนย์เหล่านี้ แต่ทำไมต้องเป็นกองทัพ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์? แล้วลำดับชั้นของการรักษาล่ะ—กลุ่มแรกและกลุ่มถัดไป?

    · รายงานระบุว่ากลุ่มแรกจะเป็นกลุ่มที่ใกล้จะตาย: ผู้ป่วยในสถานพยาบาลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยชีวิต และผู้ป่วยวิกฤต กลุ่ม NEXT จะรักษาผู้ป่วยที่มีอาการร้ายแรงแต่ไม่ถึงขั้นคุกคามชีวิตในทันที แต่ทำไมถึงจัดอยู่ในประเภทนั้น ทำไมบางคนถึงบอกว่าหลายคนจะปฏิเสธการรักษา

    · คำตอบอาจทำให้คุณตกใจ หลายคนเชื่อว่า Med Bed เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวาระที่ยิ่งใหญ่กว่า ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว มีข่าวลือเกี่ยวกับกิจกรรมคล้ายลัทธิและแม้แต่การโคลนนิ่งที่เกี่ยวข้องกับศูนย์เหล่านี้ เป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก?

    · แต่ขออย่าละเลยศักยภาพที่นี่ ลองนึกถึงสภาพแวดล้อมในการรักษาที่ไม่หนาวเย็นและปลอดเชื้อ แต่เต็มไปด้วยความงามตามธรรมชาติ—ต้นไม้ ลำธาร และสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย ศูนย์ Med Bed เหล่านี้มุ่งหวังที่จะทำมากกว่าการรักษา พวกเขามุ่งหวังที่จะยกระดับจิตสำนึกของมนุษย์ ผลักดันให้ผู้คนรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองและไปสู่สภาวะที่สูงขึ้น

    · อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขอยู่ว่า หากต้องการเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมนุษยธรรม Med Bed คุณต้องมีเจตนาที่แท้จริง ในระหว่างการนัดหมายที่ศูนย์ไถ่บาป การสั่นสะเทือนของคุณจะถูกอ่าน นี่เป็นเพียงพิธีการหรือเป็นการทดสอบจิตวิญญาณของคุณ?

    ..เขาเล่ามา.(จริงหรือเท็จ มิทราบได้ อาจมโนกันมานานหลายปีแล้วก็ได้) ..ตรองกันเอง,เพียงผู้นำเสนอแนวทาง&ทางเลือกเท่านั้น. MED BEDS: · อาทิตย์ที่ 27 ต.ค. 2024: ข่าวล่าสุด! ทรัมป์จัดสรรเงินของรัฐบาลกลางเพื่อสนับสนุนศูนย์รักษาผู้ป่วย Med Bed – สถานพยาบาลกำลังรักษาทหารและเด็กๆ ในขณะที่กลุ่มแพทย์กำลังเผชิญกับการล่มสลาย! Med Beds มาแล้ว! ศูนย์รักษาผู้ป่วยที่ปฏิวัติวงการและโครงการฝึกอบรมลับของกองทัพ! · Med Bed แตกต่างจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ใดๆ ที่เราเคยเห็น—รากฐานของมันไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีขั้นสูงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณที่ทรงพลัง ข่าวที่ว่าการฝึกอบรมสำหรับผู้ปฏิบัติงาน Med Bed ถูกตัดจาก 12-18 เดือนเหลือเพียง 6 เดือนนั้นมีความสำคัญ ทำไม? เพราะตอนนี้เน้นที่ความพร้อมทางจิตวิญญาณมากกว่าทักษะทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว · นี่เป็นมากกว่าการทำความเข้าใจชีววิทยา ผู้ปฏิบัติงานต้องปรับตัวให้เข้ากับพลังงานสั่นสะเทือน—เข้าใจถึงความเชื่อมโยงกันของทุกสิ่ง แพทย์ทั่วไปอาจเข้าใจพื้นฐานของการผ่าตัด Med Bed ได้ภายในสองวัน แต่ถ้าขาดความตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณ พวกเขาจะต้องเดินทางเป็นเวลาหกเดือนเพื่อปลดล็อกพลังที่แท้จริงของมัน นี่คือการรักษาแบบองค์รวมในระดับที่เราไม่เคยพบมาก่อน ยินดีต้อนรับสู่โลก 5 มิติ · การเปิดเผยที่น่าตกตะลึงที่สุดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ Med Beds คือจิตสำนึกของพวกเขา นี่ไม่ใช่แค่เครื่องจักร แต่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก ผู้ควบคุมเชื่อมต่อกับ Med Beds ด้วยพลังจิต ซึ่งเป็นโลกที่ความคิดชี้นำเครื่องจักร ที่เจตนาแสดงการรักษา แต่ไม่ใช่ทุกคนจะควบคุมพลังนี้ได้ เฉพาะผู้ที่ตื่นรู้จริงๆ เท่านั้นที่เข้าถึงได้ · การฝึกอบรมนี้ไม่ใช่เรื่องตลก มันต้องการความมุ่งมั่นของคุณทุกหยด มันไม่ใช่งานอดิเรกหรือโปรเจ็กต์เสริม มันคืออาชีพ และอย่าเข้าใจผิด สิ่งมีชีวิตต่างมิติที่ดูแลกระบวนการนี้จะรู้ว่าคุณไม่มุ่งมั่น คนเกียจคร้านไม่มีที่ยืนที่นี่ · ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณมีบทบาทสำคัญเช่นกัน พวกเขาไม่เพียงแต่แนะนำผู้ป่วยผ่านการรักษาทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำให้แน่ใจว่าจิตใจและวิญญาณของพวกเขาอยู่ในแนวเดียวกัน การฝึกอบรมของพวกเขามีความเข้มงวดไม่แพ้กัน และพวกเขายังต้องปฏิบัติตามมาตรฐานสูงสุดของการปรับความสั่นสะเทือนอีกด้วย · การปฏิวัติ Med Bed ไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าทางการแพทย์เท่านั้น เป็นการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ เป็นการเรียกร้องไปยังผู้ที่เชื่อในแนวทางการรักษาแบบองค์รวม หากคุณสนใจสิ่งนี้ ตอนนี้คือเวลาที่เหมาะสม เจาะลึกจิตวิญญาณ สำรวจจิตสำนึก และเตรียมพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติที่จะปรับเปลี่ยนโลกแห่งการรักษา · การมีส่วนร่วมของกองทัพในการจัดจำหน่ายเตียงพยาบาล: คำถามที่ร้อนแรง: ทำไมต้องปิดบังไว้? เหตุใดจึงล่าช้าในการประกาศเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเช่นนี้? แหล่งข่าวระบุว่าไม่นานหลังจากมีการเปิดเผยเงินทุนด้านมนุษยธรรม เตียงพยาบาลจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ทำไมเรื่องนี้ถึงถูกปกปิดไว้? · การมีส่วนร่วมของกองทัพในการจัดจำหน่ายและดำเนินการเตียงพยาบาลเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามมากมาย ทันทีหลังจากการประกาศต่อสาธารณะ พวกเขาจะขนส่งผู้ป่วยไปยังศูนย์เหล่านี้ แต่ทำไมต้องเป็นกองทัพ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์? แล้วลำดับชั้นของการรักษาล่ะ—กลุ่มแรกและกลุ่มถัดไป? · รายงานระบุว่ากลุ่มแรกจะเป็นกลุ่มที่ใกล้จะตาย: ผู้ป่วยในสถานพยาบาลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยชีวิต และผู้ป่วยวิกฤต กลุ่ม NEXT จะรักษาผู้ป่วยที่มีอาการร้ายแรงแต่ไม่ถึงขั้นคุกคามชีวิตในทันที แต่ทำไมถึงจัดอยู่ในประเภทนั้น ทำไมบางคนถึงบอกว่าหลายคนจะปฏิเสธการรักษา · คำตอบอาจทำให้คุณตกใจ หลายคนเชื่อว่า Med Bed เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวาระที่ยิ่งใหญ่กว่า ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว มีข่าวลือเกี่ยวกับกิจกรรมคล้ายลัทธิและแม้แต่การโคลนนิ่งที่เกี่ยวข้องกับศูนย์เหล่านี้ เป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก? · แต่ขออย่าละเลยศักยภาพที่นี่ ลองนึกถึงสภาพแวดล้อมในการรักษาที่ไม่หนาวเย็นและปลอดเชื้อ แต่เต็มไปด้วยความงามตามธรรมชาติ—ต้นไม้ ลำธาร และสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย ศูนย์ Med Bed เหล่านี้มุ่งหวังที่จะทำมากกว่าการรักษา พวกเขามุ่งหวังที่จะยกระดับจิตสำนึกของมนุษย์ ผลักดันให้ผู้คนรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองและไปสู่สภาวะที่สูงขึ้น · อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขอยู่ว่า หากต้องการเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมนุษยธรรม Med Bed คุณต้องมีเจตนาที่แท้จริง ในระหว่างการนัดหมายที่ศูนย์ไถ่บาป การสั่นสะเทือนของคุณจะถูกอ่าน นี่เป็นเพียงพิธีการหรือเป็นการทดสอบจิตวิญญาณของคุณ?
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ของว่างที่เฝ้ารอกับคำขออย่างสุดท้าย

    ความหมายของการมีชีวิตคืออะไร หนังสือเล่มนี้จะเป็นเล่มหนึ่งที่พาคุณไปเที่ยวชมและร่วมเรียนรู้ไปกับการแสวงหาความสำคัญของการอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ของใครอีกหลายคนในสภาวะที่ร่างกายกำลังอ่อนแอ ด้วยโรคร้ายกัดกินจนใกล้วาระสุดท้าย ก่อนลมหายใจจะดับลง

    สนพ.piccolo พิมพ์ครั้งแรกในญี่ปุ่นปี 2019
    ฉบับแปลไทย เม.ย.2567
    โอกาวะ อิโตะ เขียน
    ธนพล ศักดิ์สมุทรานันท์ แปล
    223 หน้า 285 บาท

    ตลอดทั้งเล่มเต็มไปด้วยความอบอวลของความรักระหว่างมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์ด้วยกัน รวมไปถึงมนุษย์ที่มีต่อสัตว์และสัตว์เองก็แสดงตอบต่อด้วยความซื่อตรง

    เนื้อหากล่าวถึงหญิงสาวคนหนึ่งนามว่า อูมิโนะ ชิสุกุ ซึ่งมีวัย 33 ปี ชีวิตที่ผ่านมาของเธออ่อนโยนต่อคนรอบข้างมาโดยตลอดตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะพ่อบุญธรรมที่รับเลี้ยงเธอซึ่งสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เล็ก แม้จะไม่ใช่บุพการีที่ให้กำเนิด แต่มอบความรักดูแลเอาใจใส่อย่างดี ทว่าวันหนึ่งเมื่อเธอพบว่าตนมีโรคร้ายเกาะกิน แม้นจะพยายามรักษา ต่อสู้ด้วยตนเองหลังแยกมาอยู่คนเดียว แต่สุดท้ายบั้นปลายชีวิต ต้องทำใจยอมรับความจริงว่ามีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นาน ไม่อยากให้พ่อต้องเดือดร้อนและเศร้าใจเพราะทราบความจริง จึงเลือกที่จะไม่บอกแล้วตระเตรียมแผนล่วงหน้าสำหรับรับมือกับความตายที่กำลังย่างกรายมาถึง ด้วยการตัดสินใจเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ที่สถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่เกาะเลมอนซึ่งรายล้อมด้วยทะเลเงียบสงบและงดงาม เต็มไปด้วยธรรมชาติและอากาศอันสดชื่นบริสุทธิ์ มีไร่องุ่น กับท้องฟ้าสีครามและท้องทะเลสีน้ำเงินที่เธอชอบและใฝ่ฝัน เป็นสถานที่เธอเลือกเพราะคิดว่าเหมาะสมตรงกับรสนิยมความชอบของตนมากที่สุด

    ชื่อของสถานที่ดังกล่าวคือบ้านพักสิงโต เปรียบได้กับดินแดนสุขาวดีที่มีเทวดานางฟ้าคอยให้การต้อนรับดูแลด้วยหัวใจ โดยเฉพาะเจ้าของสถานที่สาวซึ่งมีนามว่ามาดอนน่า เป็นหญิงมหัศจรรย์ที่มีน้ำใจงาม มีความเชี่ยวชาญในด้านการดูแลทั้งทางด้านร่างกายที่เจ็บไข้ของผู้ป่วย และเยียวยาด้านจิตใจไปพร้อมกัน

    ณ สถานที่แห่งนี้เอง ในบ้านพักบนเกาะห่างไกล ที่ซึ่งชิสุกุไม่เคยคาดฝันว่าจะได้พบกับความรักอีกครั้ง กับชายหนุ่มน่ารัก สุภาพและวัยใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังอดตะลึงไปกับห้องพักส่วนตัวที่แสนสบายท่ามกลางบรรยากาศราวสรวงสวรรค์ เธอได้เรียนรู้ว่าไม่ใช่เฉพาะตัวเองเท่านั้นที่ประสบกับภาวะทุกข์โศกจากโรคภัยที่กำลังจะพรากลมหายใจอันหวงแหนให้หลุดลอยไป แต่ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายคนทั้งชายหญิง วัยเด็กหรือแม้กระทั่งวัยสูงอายุ แต่ละคนล้วนมีอาการทรมานที่ไม่น้อยไปกว่าเธอ บางคนเป็นมากกว่าด้วย

    ชิสุกุได้สัมผัสกับมิตรภาพและวิญญาณภายในของเพื่อนต่างวัย ที่ตอนแรกเธอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่คบคุ้นด้วย ยังมีเจ้าสุนัขแสนรู้น่ารักเพศเมียอีกตัวหนึ่งเล่า ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยชุบชูหัวใจอันอ่อนล้าของหญิงสาว ให้ยอมเปิดใจและคลายวงล้อมของป้อมปราการที่ขังตัวเองจากทุกคนลงได้ หมาตัวนี้มีชื่อว่า รกกะ เจ้าของเดิมเคยมาพำนักอยู่ที่บ้านสิงโตเมื่อนานมาแล้ว และหลังจากเธอคนนั้นจากไป ทุกคนก้ช่วยกันดูแลรกกะต่อมา

    จนกระทั่ง รกกะ ได้พบกับชิสุกุ ทั้งคู่ถูกชะตากันตั้งแต่วันแรกที่ได้พบ หลังจากนั้นก็อยู่ด้วยกันตลอด รกกะเป็นเสมือนตู้ยาเคลื่อนที่ซึ่งช่วยให้ชิสุกุต่อสู้กับความเจ็บปวดโดยยังสามารถปรากฏรอยยิ้มอยู่ได้

    สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มาพักที่นี่ทุกคนต่างเฝ้ารอที่จะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ นั่นคือการได้มีกิจกรรมกินของว่างร่วมกันในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เพียงหนึ่งครั้งในรอบเจ็ดวัน โดยทุกคนมีสิทธิเท่ากันคนละ1เสียง ที่สามารถเขียนใส่กระดาษเพื่อบอกเล่าถึงขนมที่ตนชื่นชอบและอยากกินมากที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย แล้วคำขอเหล่านั้นจะถูกจับฉลากขึ้นมาหนึ่งใบ คำขอของใครก็ตามที่โชคดี แม่ครัวจะแกะสูตรแล้วทำออกมาให้เหมือนหรือใกล้เคียงที่สุด เพื่อจะเสิร์ฟให้กับทุกคนได้ชิมกัน

    อย่างไรก็ตาม วันที่ต้องจากลาย่อมบ่ายหน้ามาถึงเพื่อนแต่ละคน ในห้วงเวลาเช่นนั้น ทั้งเขาหรือเธอรวมทั้งชิสุกุเอง มีวิธีรับมือระหว่างเผชิญหน้ากับความเสื่อมสลายของสังขาร ที่ค่อย ๆ ทรุดโทรมและดับสิ้นไปทีละน้อยอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผู้อ่านจะได้ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกันกับตัวละครในเรื่อง

    ถ้าคุณเคยประทับใจมาแล้วกับ ร้านเครื่องเขียนนั้นใต้ต้นสึบากิ นี่คืออีกเล่มหนึ่งที่น่าลองหามาอ่านครับ โดยเฉพาะคนที่กำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยอยู่ หรือแม้ผู้ดูแลคนป่วยเอง แต่ถึงแม้จะไม่ได้ป่วยเลย แต่การได้ทำความเข้าใจกับเรื่องราวเหล่านี้ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้เขียนบรรยายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เปิดเผยเรื่องราวทีละน้อย แล้วไต่ระดับไปอย่างช้า ๆ อารมณ์ของเรื่องไม่ใช่จะมีแต่เปลี่ยวเหงา โศกเศร้า ทดท้อ เจ็บแค้น และสิ้นหวังเพียงเท่านั้น แต่ยังมีความเบิกบานหรรษา อิ่มเอม อบอุ่น เปี่ยมหวัง ให้อภัย สงบสุข คละเคล้าจนกลายเป็นส่วนผสมที่น่าศึกษา มีความละมุนละไมไปพร้อม ๆ กับการได้เห็นถึงความจริงอันเป็นสัจธรรมของชีวิต

    เพราะความเจ็บป่วยนั้นเกิดมีได้กับคนทุกคน แต่มีไม่กี่คนเท่านัั้นจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างดี และจัดวางภาระทุกอย่างให้อยู่ถูกที่ถูกทาง ในขณะที่เตรียมพร้อมจะปล่อยวางร่างกายนี้ ซึ่งตนหวงแหนประหนึ่งคือสมบัติของเราจริง ๆ ยามเมื่อเวลานั้นมาถึง

    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #ผู้ป่วยระยะสุดท้าย
    #เตรียมตัวตาย
    #การดูแลผู้ป่วย
    #หนังสือดี
    #ของว่างที่เฝ้ารอกับคำขออย่างสุดท้าย ความหมายของการมีชีวิตคืออะไร หนังสือเล่มนี้จะเป็นเล่มหนึ่งที่พาคุณไปเที่ยวชมและร่วมเรียนรู้ไปกับการแสวงหาความสำคัญของการอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ของใครอีกหลายคนในสภาวะที่ร่างกายกำลังอ่อนแอ ด้วยโรคร้ายกัดกินจนใกล้วาระสุดท้าย ก่อนลมหายใจจะดับลง สนพ.piccolo พิมพ์ครั้งแรกในญี่ปุ่นปี 2019 ฉบับแปลไทย เม.ย.2567 โอกาวะ อิโตะ เขียน ธนพล ศักดิ์สมุทรานันท์ แปล 223 หน้า 285 บาท ตลอดทั้งเล่มเต็มไปด้วยความอบอวลของความรักระหว่างมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์ด้วยกัน รวมไปถึงมนุษย์ที่มีต่อสัตว์และสัตว์เองก็แสดงตอบต่อด้วยความซื่อตรง เนื้อหากล่าวถึงหญิงสาวคนหนึ่งนามว่า อูมิโนะ ชิสุกุ ซึ่งมีวัย 33 ปี ชีวิตที่ผ่านมาของเธออ่อนโยนต่อคนรอบข้างมาโดยตลอดตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะพ่อบุญธรรมที่รับเลี้ยงเธอซึ่งสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เล็ก แม้จะไม่ใช่บุพการีที่ให้กำเนิด แต่มอบความรักดูแลเอาใจใส่อย่างดี ทว่าวันหนึ่งเมื่อเธอพบว่าตนมีโรคร้ายเกาะกิน แม้นจะพยายามรักษา ต่อสู้ด้วยตนเองหลังแยกมาอยู่คนเดียว แต่สุดท้ายบั้นปลายชีวิต ต้องทำใจยอมรับความจริงว่ามีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นาน ไม่อยากให้พ่อต้องเดือดร้อนและเศร้าใจเพราะทราบความจริง จึงเลือกที่จะไม่บอกแล้วตระเตรียมแผนล่วงหน้าสำหรับรับมือกับความตายที่กำลังย่างกรายมาถึง ด้วยการตัดสินใจเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ที่สถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่เกาะเลมอนซึ่งรายล้อมด้วยทะเลเงียบสงบและงดงาม เต็มไปด้วยธรรมชาติและอากาศอันสดชื่นบริสุทธิ์ มีไร่องุ่น กับท้องฟ้าสีครามและท้องทะเลสีน้ำเงินที่เธอชอบและใฝ่ฝัน เป็นสถานที่เธอเลือกเพราะคิดว่าเหมาะสมตรงกับรสนิยมความชอบของตนมากที่สุด ชื่อของสถานที่ดังกล่าวคือบ้านพักสิงโต เปรียบได้กับดินแดนสุขาวดีที่มีเทวดานางฟ้าคอยให้การต้อนรับดูแลด้วยหัวใจ โดยเฉพาะเจ้าของสถานที่สาวซึ่งมีนามว่ามาดอนน่า เป็นหญิงมหัศจรรย์ที่มีน้ำใจงาม มีความเชี่ยวชาญในด้านการดูแลทั้งทางด้านร่างกายที่เจ็บไข้ของผู้ป่วย และเยียวยาด้านจิตใจไปพร้อมกัน ณ สถานที่แห่งนี้เอง ในบ้านพักบนเกาะห่างไกล ที่ซึ่งชิสุกุไม่เคยคาดฝันว่าจะได้พบกับความรักอีกครั้ง กับชายหนุ่มน่ารัก สุภาพและวัยใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังอดตะลึงไปกับห้องพักส่วนตัวที่แสนสบายท่ามกลางบรรยากาศราวสรวงสวรรค์ เธอได้เรียนรู้ว่าไม่ใช่เฉพาะตัวเองเท่านั้นที่ประสบกับภาวะทุกข์โศกจากโรคภัยที่กำลังจะพรากลมหายใจอันหวงแหนให้หลุดลอยไป แต่ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายคนทั้งชายหญิง วัยเด็กหรือแม้กระทั่งวัยสูงอายุ แต่ละคนล้วนมีอาการทรมานที่ไม่น้อยไปกว่าเธอ บางคนเป็นมากกว่าด้วย ชิสุกุได้สัมผัสกับมิตรภาพและวิญญาณภายในของเพื่อนต่างวัย ที่ตอนแรกเธอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่คบคุ้นด้วย ยังมีเจ้าสุนัขแสนรู้น่ารักเพศเมียอีกตัวหนึ่งเล่า ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยชุบชูหัวใจอันอ่อนล้าของหญิงสาว ให้ยอมเปิดใจและคลายวงล้อมของป้อมปราการที่ขังตัวเองจากทุกคนลงได้ หมาตัวนี้มีชื่อว่า รกกะ เจ้าของเดิมเคยมาพำนักอยู่ที่บ้านสิงโตเมื่อนานมาแล้ว และหลังจากเธอคนนั้นจากไป ทุกคนก้ช่วยกันดูแลรกกะต่อมา จนกระทั่ง รกกะ ได้พบกับชิสุกุ ทั้งคู่ถูกชะตากันตั้งแต่วันแรกที่ได้พบ หลังจากนั้นก็อยู่ด้วยกันตลอด รกกะเป็นเสมือนตู้ยาเคลื่อนที่ซึ่งช่วยให้ชิสุกุต่อสู้กับความเจ็บปวดโดยยังสามารถปรากฏรอยยิ้มอยู่ได้ สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มาพักที่นี่ทุกคนต่างเฝ้ารอที่จะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ นั่นคือการได้มีกิจกรรมกินของว่างร่วมกันในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เพียงหนึ่งครั้งในรอบเจ็ดวัน โดยทุกคนมีสิทธิเท่ากันคนละ1เสียง ที่สามารถเขียนใส่กระดาษเพื่อบอกเล่าถึงขนมที่ตนชื่นชอบและอยากกินมากที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย แล้วคำขอเหล่านั้นจะถูกจับฉลากขึ้นมาหนึ่งใบ คำขอของใครก็ตามที่โชคดี แม่ครัวจะแกะสูตรแล้วทำออกมาให้เหมือนหรือใกล้เคียงที่สุด เพื่อจะเสิร์ฟให้กับทุกคนได้ชิมกัน อย่างไรก็ตาม วันที่ต้องจากลาย่อมบ่ายหน้ามาถึงเพื่อนแต่ละคน ในห้วงเวลาเช่นนั้น ทั้งเขาหรือเธอรวมทั้งชิสุกุเอง มีวิธีรับมือระหว่างเผชิญหน้ากับความเสื่อมสลายของสังขาร ที่ค่อย ๆ ทรุดโทรมและดับสิ้นไปทีละน้อยอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผู้อ่านจะได้ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกันกับตัวละครในเรื่อง ถ้าคุณเคยประทับใจมาแล้วกับ ร้านเครื่องเขียนนั้นใต้ต้นสึบากิ นี่คืออีกเล่มหนึ่งที่น่าลองหามาอ่านครับ โดยเฉพาะคนที่กำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยอยู่ หรือแม้ผู้ดูแลคนป่วยเอง แต่ถึงแม้จะไม่ได้ป่วยเลย แต่การได้ทำความเข้าใจกับเรื่องราวเหล่านี้ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้เขียนบรรยายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เปิดเผยเรื่องราวทีละน้อย แล้วไต่ระดับไปอย่างช้า ๆ อารมณ์ของเรื่องไม่ใช่จะมีแต่เปลี่ยวเหงา โศกเศร้า ทดท้อ เจ็บแค้น และสิ้นหวังเพียงเท่านั้น แต่ยังมีความเบิกบานหรรษา อิ่มเอม อบอุ่น เปี่ยมหวัง ให้อภัย สงบสุข คละเคล้าจนกลายเป็นส่วนผสมที่น่าศึกษา มีความละมุนละไมไปพร้อม ๆ กับการได้เห็นถึงความจริงอันเป็นสัจธรรมของชีวิต เพราะความเจ็บป่วยนั้นเกิดมีได้กับคนทุกคน แต่มีไม่กี่คนเท่านัั้นจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างดี และจัดวางภาระทุกอย่างให้อยู่ถูกที่ถูกทาง ในขณะที่เตรียมพร้อมจะปล่อยวางร่างกายนี้ ซึ่งตนหวงแหนประหนึ่งคือสมบัติของเราจริง ๆ ยามเมื่อเวลานั้นมาถึง #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #ผู้ป่วยระยะสุดท้าย #เตรียมตัวตาย #การดูแลผู้ป่วย #หนังสือดี
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว

  • สิ้นแล้ว ! William Calley อาชญากรสงครามเวียดนามที่สังหารชาวบ้านหมีลายผู้บริสุทธิ์นับร้อย

    1 สิงหาคม 2567-รายงานข่าววอชิงตันโพสต์ระบุว่า อดีตร้อยโทวิลเลียม แคลลีย์ (William Calley)อาชญากรทุ่งสังหารหมู่บ้านหมีลายของเวียดนามโหดเสียชีวิตแล้ว

    นายทหารชั้นผู้น้อยที่กลายเป็นคนเดียวที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ที่หมู่บ้านหมีลาย เมื่อปี 2511 ซึ่งทหารสหรัฐสังหารชาวเวียดนามใต้ทั้งชาย หญิง และเด็กนับร้อยคนที่ไม่มีอาวุธ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การทหารของอเมริกา เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในเมืองเกนส์วิลล์ รัฐฟลอริดา ขณะมีอายุได้ 80 ปี

    หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้รับสำเนาใบมรณบัตรของเขาจากกรมอนามัยของรัฐฟลอริดาในเขตอาลาชัว

    ลอว์ส แคลลีย์ ลูกชายของเขาปฏิเสธให้ข้อมูลเพิ่มเติมและสื่อพยายามติดต่อครอบครัวของนายแคลลีย์แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

    หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้รับแจ้งถึงการเสียชีวิตครั้งนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีการรายงาน โดยแซ็กคารี วูดเวิร์ด ซึ่งจบจากคณะนิติศาสตร์ฮาร์วาร์ด กล่าวว่าสังเกตเห็นการเสียชีวิตของนายแคลลีย์ขณะกำลังดูประกาศสาธารณะ แม้ว่าครั้งหนึ่ง อดีตร้อยโทวิลเลียม แคลลีย์ (William Calley )เคยเป็นนายทหารที่ฉาวโฉ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการประพฤติมิชอบของทหารในสงครามที่หลายคนมองว่าผิดศีลธรรมและไม่มีทางเอาชนะได้ แต่คุณคาลลีย์กลับใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นที่รู้จักมานานหลายทศวรรษ โดยปฏิเสธไม่ให้ให้สัมภาษณ์ขณะที่ทำงานเป็นช่างอัญมณีในโคลัมบัส รัฐจอร์เจีย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากฐานทัพทหาร ซึ่งเขาถูกศาลทหารตัดสินลงโทษในปี 2514

    โดยวอชิงตันโพสต์ทิ้งท้ายน่าฉงนเกี่ยวกับใบมรณบัตรของเขาว่า“ น่าสนใจคือ ใบมรณบัตรของเขามีรายละเอียดที่ทราบเกี่ยวกับชีวิตของเขาตรงกัน ซึ่งรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับวันเกิด อาชีพ ชื่อ และชื่อเล่น แต่กลับมีการละเว้นข้อมูลที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในบรรทัดที่ถามว่าเขาเคยรับราชการในกองทัพสหรัฐฯ หรือไม่ คำตอบที่ได้รับคือ “ไม่”

    ความตายของอาชญากรสงคราม อดีตร้อยโทวิลเลียม แคลลีย์ (William Calley) ทำให้ Seymour Hersh นักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ เขียนบทความขนาดยาว เรื่อง Tracking down Lieutenant Calley ผ่านสื่อ Substackเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 เกี่ยวกับบทเรียนจากทุ่งสังหารหมีลายไว้อย่างน่าติดตาม

    https://open.substack.com/pub/seymourhersh/p/tracking-down-lieutenant-calley?r=2lpwba&utm_medium=ios

    #Thaitimes

    สิ้นแล้ว ! William Calley อาชญากรสงครามเวียดนามที่สังหารชาวบ้านหมีลายผู้บริสุทธิ์นับร้อย 1 สิงหาคม 2567-รายงานข่าววอชิงตันโพสต์ระบุว่า อดีตร้อยโทวิลเลียม แคลลีย์ (William Calley)อาชญากรทุ่งสังหารหมู่บ้านหมีลายของเวียดนามโหดเสียชีวิตแล้ว นายทหารชั้นผู้น้อยที่กลายเป็นคนเดียวที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ที่หมู่บ้านหมีลาย เมื่อปี 2511 ซึ่งทหารสหรัฐสังหารชาวเวียดนามใต้ทั้งชาย หญิง และเด็กนับร้อยคนที่ไม่มีอาวุธ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การทหารของอเมริกา เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในเมืองเกนส์วิลล์ รัฐฟลอริดา ขณะมีอายุได้ 80 ปี หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้รับสำเนาใบมรณบัตรของเขาจากกรมอนามัยของรัฐฟลอริดาในเขตอาลาชัว ลอว์ส แคลลีย์ ลูกชายของเขาปฏิเสธให้ข้อมูลเพิ่มเติมและสื่อพยายามติดต่อครอบครัวของนายแคลลีย์แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้รับแจ้งถึงการเสียชีวิตครั้งนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีการรายงาน โดยแซ็กคารี วูดเวิร์ด ซึ่งจบจากคณะนิติศาสตร์ฮาร์วาร์ด กล่าวว่าสังเกตเห็นการเสียชีวิตของนายแคลลีย์ขณะกำลังดูประกาศสาธารณะ แม้ว่าครั้งหนึ่ง อดีตร้อยโทวิลเลียม แคลลีย์ (William Calley )เคยเป็นนายทหารที่ฉาวโฉ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการประพฤติมิชอบของทหารในสงครามที่หลายคนมองว่าผิดศีลธรรมและไม่มีทางเอาชนะได้ แต่คุณคาลลีย์กลับใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นที่รู้จักมานานหลายทศวรรษ โดยปฏิเสธไม่ให้ให้สัมภาษณ์ขณะที่ทำงานเป็นช่างอัญมณีในโคลัมบัส รัฐจอร์เจีย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากฐานทัพทหาร ซึ่งเขาถูกศาลทหารตัดสินลงโทษในปี 2514 โดยวอชิงตันโพสต์ทิ้งท้ายน่าฉงนเกี่ยวกับใบมรณบัตรของเขาว่า“ น่าสนใจคือ ใบมรณบัตรของเขามีรายละเอียดที่ทราบเกี่ยวกับชีวิตของเขาตรงกัน ซึ่งรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับวันเกิด อาชีพ ชื่อ และชื่อเล่น แต่กลับมีการละเว้นข้อมูลที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในบรรทัดที่ถามว่าเขาเคยรับราชการในกองทัพสหรัฐฯ หรือไม่ คำตอบที่ได้รับคือ “ไม่” ความตายของอาชญากรสงคราม อดีตร้อยโทวิลเลียม แคลลีย์ (William Calley) ทำให้ Seymour Hersh นักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ เขียนบทความขนาดยาว เรื่อง Tracking down Lieutenant Calley ผ่านสื่อ Substackเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 เกี่ยวกับบทเรียนจากทุ่งสังหารหมีลายไว้อย่างน่าติดตาม https://open.substack.com/pub/seymourhersh/p/tracking-down-lieutenant-calley?r=2lpwba&utm_medium=ios #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 512 มุมมอง 0 รีวิว