• Kirin 9030: สัญลักษณ์ความก้าวหน้าท่ามกลางข้อจำกัด

    Huawei เปิดตัวสมาร์ทโฟน Mate 80 และ Mate X7 ที่ใช้ชิป Kirin 9030 และ Kirin 9030 Pro จุดเด่นคือการใช้ DUV lithography แทน EUV ที่ถูกสหรัฐฯ แบนไม่ให้ส่งออกไปจีน ทำให้ SMIC ต้องพัฒนาเทคนิคใหม่เพื่อบีบประสิทธิภาพออกจากกระบวนการ 7nm เดิม โดย Kirin 9030 ใช้ 8-core ARMv8 CPU ส่วนรุ่น Pro ใช้ 9-core ARMv8 CPU พร้อม GPU Maleoon 935.

    กระบวนการ N+3 และ DTCO
    TechInsights วิเคราะห์ว่า Kirin 9030 ใช้กระบวนการ N+3 ซึ่งเป็นการขยายจาก N+2 (7nm รุ่นที่สอง) แต่ยังไม่เทียบเท่า 5nm ของ TSMC หรือ Samsung จุดสำคัญคือการใช้ multi-patterning ร่วมกับ DTCO เพื่อแก้ปัญหา edge placement error (EPE) และเพิ่มความแม่นยำในการสร้างวงจร แม้จะไม่ได้ปรับปรุงมากในส่วน FEOL (Front-End-of-Line) แต่เน้นไปที่ BEOL (Back-End-of-Line) เพื่อสร้าง interconnect ที่ซับซ้อนมากขึ้น.

    ความเสี่ยงและข้อจำกัด
    แม้จะเป็นความก้าวหน้าที่น่าทึ่ง แต่การใช้ DUV multi-patterning มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากต้องใช้หลายขั้นตอนที่ต้องจัดเรียงอย่างแม่นยำ หากเกิด misalignment เพียงเล็กน้อยอาจทำให้ yield ลดลงอย่างมาก อีกทั้งการพึ่งพา BEOL scaling มากเกินไปอาจไม่สามารถดันประสิทธิภาพได้เทียบเท่ากับ EUV lithography.

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    การเปิดตัว Kirin 9030 แสดงให้เห็นว่า จีนยังคงสามารถแข่งขันในตลาดชิปสมาร์ทโฟนระดับสูง แม้จะถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี EUV จากตะวันตก นี่เป็นการยืนยันว่าการพัฒนาเชิงสถาปัตยกรรมและการใช้เทคนิค DTCO สามารถชดเชยข้อจำกัดด้านเครื่องมือได้บางส่วน และอาจเป็นแนวทางที่จีนใช้ต่อไปในการพัฒนา semiconductors.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คุณสมบัติ Kirin 9030/Pro
    Kirin 9030: 8-core ARMv8 CPU, Maleoon 935 GPU
    Kirin 9030 Pro: 9-core ARMv8 CPU, Maleoon 935 GPU

    กระบวนการผลิต
    ใช้ SMIC N+3 process (DUV multi-patterning)
    อยู่ระหว่าง 7nm และ 5nm
    ใช้ DTCO เพื่อลดข้อผิดพลาดและเพิ่ม yield

    ข้อจำกัดและความเสี่ยง
    BEOL scaling มีความเสี่ยงสูงต่อ yield
    Misalignment ใน multi-patterning อาจทำให้ defect เพิ่มขึ้น
    ยังไม่เทียบเท่า 5nm ของ TSMC/Samsung

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    Huawei แสดงศักยภาพแม้ถูกแบน EUV
    จีนยังคงแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนระดับสูง
    แนวทาง DTCO อาจเป็นกลยุทธ์หลักในอนาคต

    ข้อควรระวัง
    Yield อาจต่ำหาก multi-patterning ไม่แม่นยำ
    ประสิทธิภาพยังไม่เทียบเท่าเทคโนโลยี EUV
    การพึ่งพา BEOL scaling อาจถึงจุดอิ่มตัวเร็ว

    https://wccftech.com/huaweis-kirin-9030-chip-is-testing-the-limits-of-duv-based-multi-patterning-lithography/
    🖥️ Kirin 9030: สัญลักษณ์ความก้าวหน้าท่ามกลางข้อจำกัด Huawei เปิดตัวสมาร์ทโฟน Mate 80 และ Mate X7 ที่ใช้ชิป Kirin 9030 และ Kirin 9030 Pro จุดเด่นคือการใช้ DUV lithography แทน EUV ที่ถูกสหรัฐฯ แบนไม่ให้ส่งออกไปจีน ทำให้ SMIC ต้องพัฒนาเทคนิคใหม่เพื่อบีบประสิทธิภาพออกจากกระบวนการ 7nm เดิม โดย Kirin 9030 ใช้ 8-core ARMv8 CPU ส่วนรุ่น Pro ใช้ 9-core ARMv8 CPU พร้อม GPU Maleoon 935. ⚡ กระบวนการ N+3 และ DTCO TechInsights วิเคราะห์ว่า Kirin 9030 ใช้กระบวนการ N+3 ซึ่งเป็นการขยายจาก N+2 (7nm รุ่นที่สอง) แต่ยังไม่เทียบเท่า 5nm ของ TSMC หรือ Samsung จุดสำคัญคือการใช้ multi-patterning ร่วมกับ DTCO เพื่อแก้ปัญหา edge placement error (EPE) และเพิ่มความแม่นยำในการสร้างวงจร แม้จะไม่ได้ปรับปรุงมากในส่วน FEOL (Front-End-of-Line) แต่เน้นไปที่ BEOL (Back-End-of-Line) เพื่อสร้าง interconnect ที่ซับซ้อนมากขึ้น. 🔒 ความเสี่ยงและข้อจำกัด แม้จะเป็นความก้าวหน้าที่น่าทึ่ง แต่การใช้ DUV multi-patterning มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากต้องใช้หลายขั้นตอนที่ต้องจัดเรียงอย่างแม่นยำ หากเกิด misalignment เพียงเล็กน้อยอาจทำให้ yield ลดลงอย่างมาก อีกทั้งการพึ่งพา BEOL scaling มากเกินไปอาจไม่สามารถดันประสิทธิภาพได้เทียบเท่ากับ EUV lithography. 🌐 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม การเปิดตัว Kirin 9030 แสดงให้เห็นว่า จีนยังคงสามารถแข่งขันในตลาดชิปสมาร์ทโฟนระดับสูง แม้จะถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี EUV จากตะวันตก นี่เป็นการยืนยันว่าการพัฒนาเชิงสถาปัตยกรรมและการใช้เทคนิค DTCO สามารถชดเชยข้อจำกัดด้านเครื่องมือได้บางส่วน และอาจเป็นแนวทางที่จีนใช้ต่อไปในการพัฒนา semiconductors. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คุณสมบัติ Kirin 9030/Pro ➡️ Kirin 9030: 8-core ARMv8 CPU, Maleoon 935 GPU ➡️ Kirin 9030 Pro: 9-core ARMv8 CPU, Maleoon 935 GPU ✅ กระบวนการผลิต ➡️ ใช้ SMIC N+3 process (DUV multi-patterning) ➡️ อยู่ระหว่าง 7nm และ 5nm ➡️ ใช้ DTCO เพื่อลดข้อผิดพลาดและเพิ่ม yield ✅ ข้อจำกัดและความเสี่ยง ➡️ BEOL scaling มีความเสี่ยงสูงต่อ yield ➡️ Misalignment ใน multi-patterning อาจทำให้ defect เพิ่มขึ้น ➡️ ยังไม่เทียบเท่า 5nm ของ TSMC/Samsung ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ Huawei แสดงศักยภาพแม้ถูกแบน EUV ➡️ จีนยังคงแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนระดับสูง ➡️ แนวทาง DTCO อาจเป็นกลยุทธ์หลักในอนาคต ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ Yield อาจต่ำหาก multi-patterning ไม่แม่นยำ ⛔ ประสิทธิภาพยังไม่เทียบเท่าเทคโนโลยี EUV ⛔ การพึ่งพา BEOL scaling อาจถึงจุดอิ่มตัวเร็ว https://wccftech.com/huaweis-kirin-9030-chip-is-testing-the-limits-of-duv-based-multi-patterning-lithography/
    WCCFTECH.COM
    Kirin 9030: How Huawei's New Chip Defies US Sanctions with DUV Tech
    Huawei's latest mobile-focused chip, the Kirin 9030, forms a pristine platform for China's SMIC to showcase its technological prowess.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • ความปรารถนาของ Sapphire ที่จะมีอิสระมากขึ้นในการออกแบบการ์ดจอ

    Edward Crisler ผู้จัดการ PR ของ Sapphire กล่าวในพอดแคสต์กับ Hardware Unboxed ว่า เขาอยากให้บริษัทมีอิสระในการออกแบบการ์ดจอมากกว่านี้ ปัจจุบัน AMD และ Nvidia กำหนดข้อจำกัดด้าน power delivery, memory capacity และ voltage control ทำให้ทุกการ์ดจากผู้ผลิตต่าง ๆ มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ความแตกต่างจึงเหลือเพียง ดีไซน์ของชุดระบายความร้อนและบริการหลังการขาย.

    ข้อจำกัดที่ทำให้ Toxic หายไป
    Crisler ระบุว่า การ์ดจอซีรีส์ Toxic ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของ Sapphire ไม่สามารถออกมาได้ทุกเจนเนอเรชัน เนื่องจากข้อจำกัดด้านการโอเวอร์คล็อกและพลังงานที่ AMD กำหนดไว้ Toxic เคยเป็นสัญลักษณ์ของการ์ดที่แรงที่สุด แต่ในยุคปัจจุบัน headroom สำหรับการปรับแต่งถูกลดลง จนไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้มากเหมือนเดิม.

    ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
    เขายังกล่าวถึงการใช้ 12VHPWR connector ใน RX 9070 XT Nitro+ ที่มีปัญหาเพียง 3 เคส ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการใช้ อะแดปเตอร์ 16-pin ที่ผิดพลาด ไม่ใช่ตัวการ์ดหรือ PSU ของ Sapphire เอง นี่สะท้อนว่าบริษัทให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือและการออกแบบที่ปลอดภัย.

    มุมมองต่อการตลาดและข้อมูล
    Crisler ตั้งข้อสังเกตว่า Steam Hardware Survey ไม่ได้สะท้อนตลาดจริงทั้งหมด เพราะมีเพียง 1/12 ของผู้ใช้ที่ถูกสุ่มให้ตอบ เขาเชื่อว่า AMD อาจมีส่วนแบ่งตลาดเกมจริงสูงถึง 40% ซึ่งมากกว่าตัวเลขที่มักถูกเผยแพร่.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อจำกัดจาก AMD/Nvidia
    จำกัดการโอเวอร์คล็อก, power delivery และ memory capacity
    ทำให้การ์ดจากทุกแบรนด์มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน

    ผลกระทบต่อ Toxic Series
    ไม่สามารถออกทุกเจนเนอเรชัน
    Headroom สำหรับการปรับแต่งลดลง

    ความน่าเชื่อถือของ Sapphire
    ปัญหา 12VHPWR connector เกิดจากอะแดปเตอร์ ไม่ใช่ตัวการ์ด
    Sapphire ยืนยันความปลอดภัยของการออกแบบ

    มุมมองต่อข้อมูลตลาด
    Steam Survey อาจไม่แม่นยำ
    AMD อาจมีส่วนแบ่งตลาดเกมจริงสูงถึง 40%

    ข้อควรระวัง
    การจำกัดอิสระของ AIB partners อาจทำให้ตลาดขาดนวัตกรรม
    Toxic series อาจไม่กลับมาเต็มรูปแบบหากข้อจำกัดยังคงอยู่
    การตีความข้อมูลตลาดผิดพลาดอาจทำให้บริษัทวางกลยุทธ์คลาดเคลื่อน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/sapphire-pr-manager-wishes-amd-and-nvidia-would-let-partners-run-wild-with-design-wants-freedom-to-bring-back-toxic-line-more-often
    🎨 ความปรารถนาของ Sapphire ที่จะมีอิสระมากขึ้นในการออกแบบการ์ดจอ Edward Crisler ผู้จัดการ PR ของ Sapphire กล่าวในพอดแคสต์กับ Hardware Unboxed ว่า เขาอยากให้บริษัทมีอิสระในการออกแบบการ์ดจอมากกว่านี้ ปัจจุบัน AMD และ Nvidia กำหนดข้อจำกัดด้าน power delivery, memory capacity และ voltage control ทำให้ทุกการ์ดจากผู้ผลิตต่าง ๆ มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ความแตกต่างจึงเหลือเพียง ดีไซน์ของชุดระบายความร้อนและบริการหลังการขาย. ⚡ ข้อจำกัดที่ทำให้ Toxic หายไป Crisler ระบุว่า การ์ดจอซีรีส์ Toxic ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของ Sapphire ไม่สามารถออกมาได้ทุกเจนเนอเรชัน เนื่องจากข้อจำกัดด้านการโอเวอร์คล็อกและพลังงานที่ AMD กำหนดไว้ Toxic เคยเป็นสัญลักษณ์ของการ์ดที่แรงที่สุด แต่ในยุคปัจจุบัน headroom สำหรับการปรับแต่งถูกลดลง จนไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้มากเหมือนเดิม. 🔒 ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ เขายังกล่าวถึงการใช้ 12VHPWR connector ใน RX 9070 XT Nitro+ ที่มีปัญหาเพียง 3 เคส ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการใช้ อะแดปเตอร์ 16-pin ที่ผิดพลาด ไม่ใช่ตัวการ์ดหรือ PSU ของ Sapphire เอง นี่สะท้อนว่าบริษัทให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือและการออกแบบที่ปลอดภัย. 🌐 มุมมองต่อการตลาดและข้อมูล Crisler ตั้งข้อสังเกตว่า Steam Hardware Survey ไม่ได้สะท้อนตลาดจริงทั้งหมด เพราะมีเพียง 1/12 ของผู้ใช้ที่ถูกสุ่มให้ตอบ เขาเชื่อว่า AMD อาจมีส่วนแบ่งตลาดเกมจริงสูงถึง 40% ซึ่งมากกว่าตัวเลขที่มักถูกเผยแพร่. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อจำกัดจาก AMD/Nvidia ➡️ จำกัดการโอเวอร์คล็อก, power delivery และ memory capacity ➡️ ทำให้การ์ดจากทุกแบรนด์มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ✅ ผลกระทบต่อ Toxic Series ➡️ ไม่สามารถออกทุกเจนเนอเรชัน ➡️ Headroom สำหรับการปรับแต่งลดลง ✅ ความน่าเชื่อถือของ Sapphire ➡️ ปัญหา 12VHPWR connector เกิดจากอะแดปเตอร์ ไม่ใช่ตัวการ์ด ➡️ Sapphire ยืนยันความปลอดภัยของการออกแบบ ✅ มุมมองต่อข้อมูลตลาด ➡️ Steam Survey อาจไม่แม่นยำ ➡️ AMD อาจมีส่วนแบ่งตลาดเกมจริงสูงถึง 40% ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การจำกัดอิสระของ AIB partners อาจทำให้ตลาดขาดนวัตกรรม ⛔ Toxic series อาจไม่กลับมาเต็มรูปแบบหากข้อจำกัดยังคงอยู่ ⛔ การตีความข้อมูลตลาดผิดพลาดอาจทำให้บริษัทวางกลยุทธ์คลาดเคลื่อน https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/sapphire-pr-manager-wishes-amd-and-nvidia-would-let-partners-run-wild-with-design-wants-freedom-to-bring-back-toxic-line-more-often
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • ExtrudeX: เครื่องรีไซเคิลฟิลาเมนต์สำหรับบ้าน

    ExtrudeX ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาขยะพลาสติกจากงานพิมพ์ 3 มิติที่มักเกิดจาก supports, failed prints และเศษเหลือใช้ โดยผู้ใช้สามารถสร้างเครื่องนี้เองจากไฟล์ STL ที่ทีมงาน Creative3DP แจกให้ พร้อมซื้ออุปกรณ์เสริมเช่น มอเตอร์, ตัวควบคุมอุณหภูมิ และพัดลม ในราคาประมาณ 180–250 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าถูกกว่าการซื้อเครื่องรีไซเคิลเชิงพาณิชย์หลายเท่า.

    วิธีการทำงาน
    เครื่อง ExtrudeX มี hopper สำหรับใส่เม็ดพลาสติก (pellets) ที่ผสมจากพลาสติกใหม่ 60% และเศษรีไซเคิล 40% จากนั้นเม็ดจะถูกทำให้ร้อนและดันออกทางหัวฉีด ก่อนจะถูก puller ดึงออกเป็นเส้นฟิลาเมนต์ต่อเนื่อง มีพัดลมช่วยทำให้เส้นเย็นตัวเร็วและแข็งแรงขึ้น ผู้ใช้สามารถติดตั้ง gauge meter เพื่อตรวจสอบเส้นผ่านศูนย์กลางของฟิลาเมนต์แบบเรียลไทม์ได้.

    จุดเด่นและความเป็นมิตรต่อผู้ใช้
    เครื่องนี้ถูกออกแบบให้ พกพาได้ มีหูหิ้วสำหรับเคลื่อนย้าย และมีคู่มือการประกอบพร้อมวิดีโอสอนการใช้งาน ExtrudeX ไม่ได้ขายเป็นเครื่องสำเร็จ แต่ขายเป็น blueprint และไฟล์ STL ผ่าน Kickstarter โดยราคาเริ่มต้นที่ 49 ดอลลาร์สำหรับผู้สนับสนุนทั่วไป และ 109 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่ต้องการสิทธิ์เชิงพาณิชย์.

    ผลกระทบต่อวงการ 3D Printing
    แม้ ExtrudeX จะยังไม่สามารถรีไซเคิลได้ 100% แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดขยะพลาสติกในงานพิมพ์ 3 มิติ และช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทดลองสร้างฟิลาเมนต์เองได้ที่บ้าน ถือเป็นการผสมผสานระหว่าง Maker Culture และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คุณสมบัติของ ExtrudeX
    สร้างได้เองจากไฟล์ STL และฮาร์ดแวร์ราคาประหยัด
    ใช้เม็ดพลาสติกผสม 60% ใหม่ + 40% รีไซเคิล
    มีระบบ puller และพัดลมช่วยให้เส้นฟิลาเมนต์แข็งแรง

    การทำงานและการใช้งาน
    Hopper ใส่เม็ดพลาสติก → barrel ทำให้ร้อน → nozzle ดันออก
    Puller ดึงเส้นต่อเนื่องและ gauge meter ตรวจสอบขนาด
    พกพาได้ มีหูหิ้วและคู่มือการประกอบ

    Kickstarter Campaign
    ราคาเริ่มต้น 49 ดอลลาร์สำหรับ blueprint
    109 ดอลลาร์สำหรับสิทธิ์เชิงพาณิชย์
    มีการสนับสนุนแบบ one-on-one และวิดีโอสอน

    ผลกระทบต่อวงการ
    ลดขยะพลาสติกจากงานพิมพ์ 3 มิติ
    เปิดโอกาสให้ Maker สร้างฟิลาเมนต์เองที่บ้าน
    เป็นแนวทางใหม่ในการรีไซเคิลที่เข้าถึงง่าย

    ข้อควรระวัง
    ไม่สามารถรีไซเคิลได้ 100% (ต้องผสมพลาสติกใหม่)
    คุณภาพฟิลาเมนต์อาจยังไม่เสถียรเท่าเชิงพาณิชย์
    ต้องบดเศษพลาสติกให้เป็นเม็ดก่อนใช้งาน

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/the-extrudex-machine-wants-to-turn-your-3d-printing-waste-into-reusable-filament-all-at-home-this-kickstarter-project-is-itself-3d-printable-with-minimal-hardware-costs
    ♻️ ExtrudeX: เครื่องรีไซเคิลฟิลาเมนต์สำหรับบ้าน ExtrudeX ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาขยะพลาสติกจากงานพิมพ์ 3 มิติที่มักเกิดจาก supports, failed prints และเศษเหลือใช้ โดยผู้ใช้สามารถสร้างเครื่องนี้เองจากไฟล์ STL ที่ทีมงาน Creative3DP แจกให้ พร้อมซื้ออุปกรณ์เสริมเช่น มอเตอร์, ตัวควบคุมอุณหภูมิ และพัดลม ในราคาประมาณ 180–250 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าถูกกว่าการซื้อเครื่องรีไซเคิลเชิงพาณิชย์หลายเท่า. ⚙️ วิธีการทำงาน เครื่อง ExtrudeX มี hopper สำหรับใส่เม็ดพลาสติก (pellets) ที่ผสมจากพลาสติกใหม่ 60% และเศษรีไซเคิล 40% จากนั้นเม็ดจะถูกทำให้ร้อนและดันออกทางหัวฉีด ก่อนจะถูก puller ดึงออกเป็นเส้นฟิลาเมนต์ต่อเนื่อง มีพัดลมช่วยทำให้เส้นเย็นตัวเร็วและแข็งแรงขึ้น ผู้ใช้สามารถติดตั้ง gauge meter เพื่อตรวจสอบเส้นผ่านศูนย์กลางของฟิลาเมนต์แบบเรียลไทม์ได้. 💡 จุดเด่นและความเป็นมิตรต่อผู้ใช้ เครื่องนี้ถูกออกแบบให้ พกพาได้ มีหูหิ้วสำหรับเคลื่อนย้าย และมีคู่มือการประกอบพร้อมวิดีโอสอนการใช้งาน ExtrudeX ไม่ได้ขายเป็นเครื่องสำเร็จ แต่ขายเป็น blueprint และไฟล์ STL ผ่าน Kickstarter โดยราคาเริ่มต้นที่ 49 ดอลลาร์สำหรับผู้สนับสนุนทั่วไป และ 109 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่ต้องการสิทธิ์เชิงพาณิชย์. 🌍 ผลกระทบต่อวงการ 3D Printing แม้ ExtrudeX จะยังไม่สามารถรีไซเคิลได้ 100% แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดขยะพลาสติกในงานพิมพ์ 3 มิติ และช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทดลองสร้างฟิลาเมนต์เองได้ที่บ้าน ถือเป็นการผสมผสานระหว่าง Maker Culture และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คุณสมบัติของ ExtrudeX ➡️ สร้างได้เองจากไฟล์ STL และฮาร์ดแวร์ราคาประหยัด ➡️ ใช้เม็ดพลาสติกผสม 60% ใหม่ + 40% รีไซเคิล ➡️ มีระบบ puller และพัดลมช่วยให้เส้นฟิลาเมนต์แข็งแรง ✅ การทำงานและการใช้งาน ➡️ Hopper ใส่เม็ดพลาสติก → barrel ทำให้ร้อน → nozzle ดันออก ➡️ Puller ดึงเส้นต่อเนื่องและ gauge meter ตรวจสอบขนาด ➡️ พกพาได้ มีหูหิ้วและคู่มือการประกอบ ✅ Kickstarter Campaign ➡️ ราคาเริ่มต้น 49 ดอลลาร์สำหรับ blueprint ➡️ 109 ดอลลาร์สำหรับสิทธิ์เชิงพาณิชย์ ➡️ มีการสนับสนุนแบบ one-on-one และวิดีโอสอน ✅ ผลกระทบต่อวงการ ➡️ ลดขยะพลาสติกจากงานพิมพ์ 3 มิติ ➡️ เปิดโอกาสให้ Maker สร้างฟิลาเมนต์เองที่บ้าน ➡️ เป็นแนวทางใหม่ในการรีไซเคิลที่เข้าถึงง่าย ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ไม่สามารถรีไซเคิลได้ 100% (ต้องผสมพลาสติกใหม่) ⛔ คุณภาพฟิลาเมนต์อาจยังไม่เสถียรเท่าเชิงพาณิชย์ ⛔ ต้องบดเศษพลาสติกให้เป็นเม็ดก่อนใช้งาน https://www.tomshardware.com/3d-printing/the-extrudex-machine-wants-to-turn-your-3d-printing-waste-into-reusable-filament-all-at-home-this-kickstarter-project-is-itself-3d-printable-with-minimal-hardware-costs
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • LG บังคับติดตั้ง Copilot บน Smart TV

    ผู้ใช้ LG Smart TV รายงานว่า หลังการอัปเดต webOS รุ่นใหม่ มีการเพิ่มแอป Microsoft Copilot บนหน้าจอหลักโดยไม่ถามความเห็น และไม่สามารถถอนการติดตั้งได้เหมือนแอปทั่วไป เช่น Netflix หรือ YouTube การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกแชร์บน Reddit และได้รับความสนใจอย่างมาก โดยโพสต์หนึ่งมีคนโหวตกว่า 35,000 ครั้ง.

    กลยุทธ์ “AI TV” ของ LG
    LG เคยประกาศที่งาน CES 2025 ว่าจะผนวก Copilot เข้ากับ webOS เพื่อเสริมประสบการณ์ AI Search และการแนะนำคอนเทนต์ ปัจจุบัน Copilot ที่ปรากฏบนทีวีทำงานเหมือน shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ มากกว่าจะเป็นแอปเนทีฟเต็มรูปแบบตามที่เคยโฆษณาไว้.

    ปัญหาที่ผู้ใช้กังวล
    สิ่งที่สร้างความไม่พอใจคือการที่ผู้ใช้ ไม่มีสิทธิ์เลือก LG ระบุว่าแอปบางตัวที่ติดตั้งมากับระบบไม่สามารถลบได้ แต่เพียงซ่อนเท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าถูกบังคับใช้ฟีเจอร์ที่ไม่ต้องการ และเพิ่มความกังวลเรื่อง การเก็บข้อมูลและโฆษณา บน Smart TV.

    แนวโน้มในตลาด Smart TV
    ไม่ใช่แค่ LG ที่ทำเช่นนี้ บางรุ่นของ Samsung ก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบออกได้เช่นกัน สะท้อนถึงแนวโน้มที่ผู้ผลิตทีวีพยายามผลักดันบริการ AI และโฆษณาเข้าสู่บ้านผู้บริโภค แม้จะไม่ได้รับการร้องขอโดยตรง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สิ่งที่เกิดขึ้น
    LG อัปเดต webOS แล้วเพิ่ม Microsoft Copilot โดยอัตโนมัติ
    แอปถูกปักหมุดบนหน้าจอหลักและไม่สามารถถอนการติดตั้งได้

    กลยุทธ์ของ LG
    Copilot เป็นส่วนหนึ่งของแผน “AI TV”
    ใช้เป็น shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    ผู้ใช้ไม่สามารถลบ Copilot ได้
    ทำให้เกิดความไม่พอใจและวิจารณ์ในชุมชนออนไลน์
    เพิ่มความกังวลเรื่องข้อมูลและโฆษณา

    แนวโน้มในตลาด
    Samsung บางรุ่นก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบได้
    สะท้อนการผลักดันบริการ AI โดยผู้ผลิตทีวี

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมการติดตั้งแอปได้เต็มที่
    การบังคับใช้ฟีเจอร์อาจกระทบความเป็นส่วนตัว
    ทางเลือกเดียวคือการตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อเลี่ยงการใช้งาน Copilot

    https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-providers/lg-tv-update-adds-non-removable-microsoft-copilot-app-to-webos
    📺 LG บังคับติดตั้ง Copilot บน Smart TV ผู้ใช้ LG Smart TV รายงานว่า หลังการอัปเดต webOS รุ่นใหม่ มีการเพิ่มแอป Microsoft Copilot บนหน้าจอหลักโดยไม่ถามความเห็น และไม่สามารถถอนการติดตั้งได้เหมือนแอปทั่วไป เช่น Netflix หรือ YouTube การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกแชร์บน Reddit และได้รับความสนใจอย่างมาก โดยโพสต์หนึ่งมีคนโหวตกว่า 35,000 ครั้ง. 🤖 กลยุทธ์ “AI TV” ของ LG LG เคยประกาศที่งาน CES 2025 ว่าจะผนวก Copilot เข้ากับ webOS เพื่อเสริมประสบการณ์ AI Search และการแนะนำคอนเทนต์ ปัจจุบัน Copilot ที่ปรากฏบนทีวีทำงานเหมือน shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ มากกว่าจะเป็นแอปเนทีฟเต็มรูปแบบตามที่เคยโฆษณาไว้. ⚠️ ปัญหาที่ผู้ใช้กังวล สิ่งที่สร้างความไม่พอใจคือการที่ผู้ใช้ ไม่มีสิทธิ์เลือก LG ระบุว่าแอปบางตัวที่ติดตั้งมากับระบบไม่สามารถลบได้ แต่เพียงซ่อนเท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าถูกบังคับใช้ฟีเจอร์ที่ไม่ต้องการ และเพิ่มความกังวลเรื่อง การเก็บข้อมูลและโฆษณา บน Smart TV. 🌐 แนวโน้มในตลาด Smart TV ไม่ใช่แค่ LG ที่ทำเช่นนี้ บางรุ่นของ Samsung ก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบออกได้เช่นกัน สะท้อนถึงแนวโน้มที่ผู้ผลิตทีวีพยายามผลักดันบริการ AI และโฆษณาเข้าสู่บ้านผู้บริโภค แม้จะไม่ได้รับการร้องขอโดยตรง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สิ่งที่เกิดขึ้น ➡️ LG อัปเดต webOS แล้วเพิ่ม Microsoft Copilot โดยอัตโนมัติ ➡️ แอปถูกปักหมุดบนหน้าจอหลักและไม่สามารถถอนการติดตั้งได้ ✅ กลยุทธ์ของ LG ➡️ Copilot เป็นส่วนหนึ่งของแผน “AI TV” ➡️ ใช้เป็น shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้ไม่สามารถลบ Copilot ได้ ➡️ ทำให้เกิดความไม่พอใจและวิจารณ์ในชุมชนออนไลน์ ➡️ เพิ่มความกังวลเรื่องข้อมูลและโฆษณา ✅ แนวโน้มในตลาด ➡️ Samsung บางรุ่นก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบได้ ➡️ สะท้อนการผลักดันบริการ AI โดยผู้ผลิตทีวี ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมการติดตั้งแอปได้เต็มที่ ⛔ การบังคับใช้ฟีเจอร์อาจกระทบความเป็นส่วนตัว ⛔ ทางเลือกเดียวคือการตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อเลี่ยงการใช้งาน Copilot https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-providers/lg-tv-update-adds-non-removable-microsoft-copilot-app-to-webos
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • ตลาดมืด SIM การ์ดกับการสร้างบอท

    งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เผยว่า มีตลาดมืดขนาดใหญ่สำหรับ SIM การ์ดทั้งจริงและเสมือน ที่ถูกใช้เพื่อสร้างและยืนยันบัญชีปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, TikTok และ Amazon บริการเหล่านี้ทำให้กองทัพบอทสามารถปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้ง่ายขึ้น และถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มยอดไลก์ ผู้ติดตาม และการแชร์ให้ดูเหมือนมีความนิยมจริง

    ราคาของการซื้อ “ความนิยมปลอม”
    การวิจัยพบว่าราคาในการยืนยันบัญชีปลอมแตกต่างกันตามแพลตฟอร์มและประเทศต้นทางของ SIM เช่น
    WhatsApp เฉลี่ย 1.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อการยืนยัน
    Telegram เฉลี่ย 0.89 ดอลลาร์สหรัฐ
    Facebook และ Shopify ถูกกว่ามาก เพียง 0.08 ดอลลาร์สหรัฐ
    TikTok และ LinkedIn ประมาณ 0.11 ดอลลาร์สหรัฐ
    Amazon เฉลี่ย 0.12 ดอลลาร์สหรัฐ

    ราคายังขึ้นลงตามเหตุการณ์ทางการเมือง เช่น ก่อนการเลือกตั้งระดับชาติ ราคายืนยันบัญชีบน WhatsApp และ Telegram จะพุ่งขึ้นกว่า 12–15% เพราะมีการใช้บอทเพื่อสร้างกระแสและโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

    ผลกระทบต่อสังคมและการเมือง
    กองทัพบอทเหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้แค่เพื่อการตลาด แต่ยังถูกนำไปใช้ใน แคมเปญทางการเมืองและการสร้างกระแสสังคม โดยการโพสต์เนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ เช่น “rage bait” เพื่อดึงดูดการโต้เถียงและเพิ่มการมีส่วนร่วมปลอมๆ สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าใจผิดว่าประเด็นดังกล่าวได้รับความนิยมจริง ทั้งที่เป็นการจัดฉากโดยกลุ่มที่มีผลประโยชน์

    ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา
    นักวิจัยเสนอให้มีการควบคุมการซื้อ SIM จำนวนมาก (SIM farms) ซึ่งสามารถเก็บ SIM ได้หลายร้อยใบในเครื่องเดียวเพื่อสร้างบัญชีปลอมจำนวนมหาศาล รวมถึงการบังคับให้แพลตฟอร์มเปิดเผยประเทศต้นทางของ SIM ที่ใช้ในการยืนยันบัญชี เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดการใช้บอทในทางที่ผิด

    สรุปสาระสำคัญ
    ตลาดมืด SIM การ์ด
    ใช้สร้างและยืนยันบัญชีปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์
    ทำให้กองทัพบอทปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้ง่าย

    ราคาการยืนยันบัญชีปลอม
    WhatsApp เฉลี่ย 1.02 ดอลลาร์
    Telegram เฉลี่ย 0.89 ดอลลาร์
    Facebook/Shopify เพียง 0.08 ดอลลาร์
    TikTok/LinkedIn ประมาณ 0.11 ดอลลาร์
    Amazon เฉลี่ย 0.12 ดอลลาร์

    ผลกระทบต่อสังคมและการเมือง
    ใช้บอทสร้างกระแสปลอม เพิ่มยอดไลก์และผู้ติดตาม
    ใช้กระตุ้นอารมณ์และโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

    ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา
    ควบคุมการซื้อ SIM จำนวนมาก (SIM farms)
    บังคับให้แพลตฟอร์มเปิดเผยประเทศต้นทางของ SIM

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/how-much-does-an-army-of-bots-cost-how-likes-and-clout-are-bought
    📱 ตลาดมืด SIM การ์ดกับการสร้างบอท งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เผยว่า มีตลาดมืดขนาดใหญ่สำหรับ SIM การ์ดทั้งจริงและเสมือน ที่ถูกใช้เพื่อสร้างและยืนยันบัญชีปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, TikTok และ Amazon บริการเหล่านี้ทำให้กองทัพบอทสามารถปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้ง่ายขึ้น และถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มยอดไลก์ ผู้ติดตาม และการแชร์ให้ดูเหมือนมีความนิยมจริง 💸 ราคาของการซื้อ “ความนิยมปลอม” การวิจัยพบว่าราคาในการยืนยันบัญชีปลอมแตกต่างกันตามแพลตฟอร์มและประเทศต้นทางของ SIM เช่น 💠 WhatsApp เฉลี่ย 1.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อการยืนยัน 💠 Telegram เฉลี่ย 0.89 ดอลลาร์สหรัฐ 💠 Facebook และ Shopify ถูกกว่ามาก เพียง 0.08 ดอลลาร์สหรัฐ 💠 TikTok และ LinkedIn ประมาณ 0.11 ดอลลาร์สหรัฐ 💠 Amazon เฉลี่ย 0.12 ดอลลาร์สหรัฐ ราคายังขึ้นลงตามเหตุการณ์ทางการเมือง เช่น ก่อนการเลือกตั้งระดับชาติ ราคายืนยันบัญชีบน WhatsApp และ Telegram จะพุ่งขึ้นกว่า 12–15% เพราะมีการใช้บอทเพื่อสร้างกระแสและโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ⚠️ ผลกระทบต่อสังคมและการเมือง กองทัพบอทเหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้แค่เพื่อการตลาด แต่ยังถูกนำไปใช้ใน แคมเปญทางการเมืองและการสร้างกระแสสังคม โดยการโพสต์เนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ เช่น “rage bait” เพื่อดึงดูดการโต้เถียงและเพิ่มการมีส่วนร่วมปลอมๆ สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าใจผิดว่าประเด็นดังกล่าวได้รับความนิยมจริง ทั้งที่เป็นการจัดฉากโดยกลุ่มที่มีผลประโยชน์ 🛡️ ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา นักวิจัยเสนอให้มีการควบคุมการซื้อ SIM จำนวนมาก (SIM farms) ซึ่งสามารถเก็บ SIM ได้หลายร้อยใบในเครื่องเดียวเพื่อสร้างบัญชีปลอมจำนวนมหาศาล รวมถึงการบังคับให้แพลตฟอร์มเปิดเผยประเทศต้นทางของ SIM ที่ใช้ในการยืนยันบัญชี เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดการใช้บอทในทางที่ผิด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ตลาดมืด SIM การ์ด ➡️ ใช้สร้างและยืนยันบัญชีปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ➡️ ทำให้กองทัพบอทปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้ง่าย ✅ ราคาการยืนยันบัญชีปลอม ➡️ WhatsApp เฉลี่ย 1.02 ดอลลาร์ ➡️ Telegram เฉลี่ย 0.89 ดอลลาร์ ➡️ Facebook/Shopify เพียง 0.08 ดอลลาร์ ➡️ TikTok/LinkedIn ประมาณ 0.11 ดอลลาร์ ➡️ Amazon เฉลี่ย 0.12 ดอลลาร์ ‼️ ผลกระทบต่อสังคมและการเมือง ⛔ ใช้บอทสร้างกระแสปลอม เพิ่มยอดไลก์และผู้ติดตาม ⛔ ใช้กระตุ้นอารมณ์และโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ‼️ ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา ⛔ ควบคุมการซื้อ SIM จำนวนมาก (SIM farms) ⛔ บังคับให้แพลตฟอร์มเปิดเผยประเทศต้นทางของ SIM https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/how-much-does-an-army-of-bots-cost-how-likes-and-clout-are-bought
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How much does an army of bots cost? How likes and clout are bought
    Research has shown how SIM cards from the grey market are powering bot armies that fill social media with fake likes and comments to manipulate users and deliberately steer trends. A dollar gets you a dozen fake and 'verified' Facebook accounts posting on your behalf.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • การเขียนที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็น AI

    Marcus Olang’ เล่าว่าเขาเคยได้รับคำวิจารณ์ว่างานเขียนของเขา “เหมือน ChatGPT” และถูกขอให้ปรับให้มี “ความเป็นมนุษย์มากขึ้น” ทั้งที่จริงแล้วสไตล์การเขียนนั้นเป็นผลจากการฝึกฝนในระบบการศึกษาเคนยา ที่เน้นความเป็นทางการและโครงสร้างที่ชัดเจน เขาชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ถูกตีความว่าเป็น “ลายเซ็นของ AI” แท้จริงแล้วคือผลผลิตจากการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในห้องเรียนเคนยา

    รากฐานจากระบบการศึกษาและมรดกอาณานิคม
    เขาอธิบายว่าในโรงเรียนเคนยา การสอบเขียนเรียงความเป็นเหมือนพิธีกรรมสำคัญ นักเรียนถูกฝึกให้ใช้คำศัพท์ที่หลากหลาย โครงสร้างประโยคที่ซับซ้อน และการเชื่อมโยงที่เป็นระบบ สิ่งเหล่านี้สืบทอดมาจากการเรียนภาษาอังกฤษแบบ “Queen’s English” ที่ได้รับจากยุคอาณานิคมอังกฤษ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงความมีการศึกษาและสถานะทางสังคม

    ความขัดแย้งกับเครื่องตรวจจับ AI
    Marcus ชี้ให้เห็นว่าเครื่องตรวจจับ AI มักใช้เกณฑ์ “perplexity” และ “burstiness” เพื่อตัดสินว่างานเขียนเป็นของมนุษย์หรือไม่ แต่ระบบการศึกษาเคนยากลับสอนให้นักเรียนเขียนอย่างมีตรรกะและคงเส้นคงวา ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่เครื่องตรวจจับมองว่าเป็น “มนุษย์” ผลคือ งานเขียนของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาอังกฤษโดยกำเนิด มักถูกตีความผิดว่าเป็นงานของ AI

    มุมมองต่อความเป็นมนุษย์ในงานเขียน
    เขาสรุปว่า การเขียนของเขาไม่ใช่ผลผลิตจากเครื่องจักร แต่เป็นผลจากประวัติศาสตร์ การศึกษา และความพยายามของมนุษย์ หากโลกยังใช้มาตรฐานที่แคบในการตัดสินว่าอะไรคือ “มนุษย์” ก็จะเป็นการกีดกันนักเขียนจากภูมิภาคอื่นที่มีรูปแบบการเขียนแตกต่างออกไป

    สรุปสาระสำคัญ
    ประสบการณ์ของ Marcus Olang’
    งานเขียนถูกเข้าใจผิดว่าเป็น AI เพราะมีโครงสร้างเป็นทางการและสมบูรณ์แบบ

    ระบบการศึกษาเคนยา
    เน้นการใช้คำศัพท์หลากหลายและโครงสร้างเรียงความที่เข้มงวด
    สืบทอดจากภาษาอังกฤษยุคอาณานิคม

    ปัญหาจากเครื่องตรวจจับ AI
    ใช้เกณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการเขียนของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา
    เสี่ยงต่อการตีความผิดและลดคุณค่าของงานเขียนมนุษย์

    ข้อคิดสำคัญ
    งานเขียนที่ถูกมองว่า “เหมือน AI” อาจสะท้อนถึงวัฒนธรรมและการศึกษา
    ความเป็นมนุษย์ในงานเขียนควรถูกมองอย่างหลากหลาย ไม่ใช่จำกัดแค่สไตล์เดียว

    https://marcusolang.substack.com/p/im-kenyan-i-dont-write-like-chatgpt
    ✍️ การเขียนที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็น AI Marcus Olang’ เล่าว่าเขาเคยได้รับคำวิจารณ์ว่างานเขียนของเขา “เหมือน ChatGPT” และถูกขอให้ปรับให้มี “ความเป็นมนุษย์มากขึ้น” ทั้งที่จริงแล้วสไตล์การเขียนนั้นเป็นผลจากการฝึกฝนในระบบการศึกษาเคนยา ที่เน้นความเป็นทางการและโครงสร้างที่ชัดเจน เขาชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ถูกตีความว่าเป็น “ลายเซ็นของ AI” แท้จริงแล้วคือผลผลิตจากการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในห้องเรียนเคนยา 📚 รากฐานจากระบบการศึกษาและมรดกอาณานิคม เขาอธิบายว่าในโรงเรียนเคนยา การสอบเขียนเรียงความเป็นเหมือนพิธีกรรมสำคัญ นักเรียนถูกฝึกให้ใช้คำศัพท์ที่หลากหลาย โครงสร้างประโยคที่ซับซ้อน และการเชื่อมโยงที่เป็นระบบ สิ่งเหล่านี้สืบทอดมาจากการเรียนภาษาอังกฤษแบบ “Queen’s English” ที่ได้รับจากยุคอาณานิคมอังกฤษ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงความมีการศึกษาและสถานะทางสังคม 🤖 ความขัดแย้งกับเครื่องตรวจจับ AI Marcus ชี้ให้เห็นว่าเครื่องตรวจจับ AI มักใช้เกณฑ์ “perplexity” และ “burstiness” เพื่อตัดสินว่างานเขียนเป็นของมนุษย์หรือไม่ แต่ระบบการศึกษาเคนยากลับสอนให้นักเรียนเขียนอย่างมีตรรกะและคงเส้นคงวา ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่เครื่องตรวจจับมองว่าเป็น “มนุษย์” ผลคือ งานเขียนของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาอังกฤษโดยกำเนิด มักถูกตีความผิดว่าเป็นงานของ AI 🌍 มุมมองต่อความเป็นมนุษย์ในงานเขียน เขาสรุปว่า การเขียนของเขาไม่ใช่ผลผลิตจากเครื่องจักร แต่เป็นผลจากประวัติศาสตร์ การศึกษา และความพยายามของมนุษย์ หากโลกยังใช้มาตรฐานที่แคบในการตัดสินว่าอะไรคือ “มนุษย์” ก็จะเป็นการกีดกันนักเขียนจากภูมิภาคอื่นที่มีรูปแบบการเขียนแตกต่างออกไป 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ประสบการณ์ของ Marcus Olang’ ➡️ งานเขียนถูกเข้าใจผิดว่าเป็น AI เพราะมีโครงสร้างเป็นทางการและสมบูรณ์แบบ ✅ ระบบการศึกษาเคนยา ➡️ เน้นการใช้คำศัพท์หลากหลายและโครงสร้างเรียงความที่เข้มงวด ➡️ สืบทอดจากภาษาอังกฤษยุคอาณานิคม ‼️ ปัญหาจากเครื่องตรวจจับ AI ⛔ ใช้เกณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการเขียนของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา ⛔ เสี่ยงต่อการตีความผิดและลดคุณค่าของงานเขียนมนุษย์ ✅ ข้อคิดสำคัญ ➡️ งานเขียนที่ถูกมองว่า “เหมือน AI” อาจสะท้อนถึงวัฒนธรรมและการศึกษา ➡️ ความเป็นมนุษย์ในงานเขียนควรถูกมองอย่างหลากหลาย ไม่ใช่จำกัดแค่สไตล์เดียว https://marcusolang.substack.com/p/im-kenyan-i-dont-write-like-chatgpt
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • วิกฤติสุขภาพในภาคเกษตรสหรัฐฯ

    มีรายงานว่าเกษตรกรหลายพันคนในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับโรคพาร์กินสัน และพวกเขาเชื่อว่าสาเหตุหลักมาจากการสัมผัสกับ สารกำจัดวัชพืช Paraquat ซึ่งถูกใช้แพร่หลายในไร่นามานานหลายสิบปี แม้จะมีการควบคุมการใช้งาน แต่สารนี้ยังคงถูกนำมาใช้ในหลายพื้นที่ เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดวัชพืชที่ดื้อยา

    ความเชื่อมโยงระหว่าง Paraquat และโรคพาร์กินสัน
    งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า Paraquat อาจมีความสัมพันธ์กับการเสื่อมของระบบประสาท โดยเฉพาะการทำลายเซลล์สมองที่ผลิต โดพามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว การเสื่อมของเซลล์เหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของโรคพาร์กินสัน แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นเอกฉันท์ แต่หลักฐานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดการฟ้องร้องและการเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้สารนี้

    การฟ้องร้องและผลกระทบทางกฎหมาย
    เกษตรกรจำนวนมากได้ยื่นฟ้องบริษัทผู้ผลิตสารเคมี โดยอ้างว่า Paraquat เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาป่วยพาร์กินสัน คดีเหล่านี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมการเกษตร หากศาลตัดสินว่ามีความเชื่อมโยงจริง บริษัทเคมีอาจต้องรับผิดชอบค่าเสียหายมหาศาล และอาจถูกบังคับให้ยุติการผลิตหรือจำกัดการใช้สารนี้อย่างเข้มงวด

    ทางเลือกและมาตรการป้องกัน
    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เกษตรกรหันมาใช้วิธีการจัดการวัชพืชที่ปลอดภัยกว่า เช่น การใช้สารชีวภาพหรือการจัดการเชิงกลแทนสารเคมี นอกจากนี้ยังควรมีการตรวจสุขภาพประจำปีสำหรับผู้ที่ทำงานในพื้นที่ที่มีการใช้สารกำจัดวัชพืช เพื่อเฝ้าระวังอาการของโรคพาร์กินสันตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบปัญหาสุขภาพในเกษตรกรสหรัฐฯ
    หลายพันคนป่วยพาร์กินสัน เชื่อว่าเกิดจากการสัมผัส Paraquat

    หลักฐานทางวิทยาศาสตร์
    Paraquat อาจทำลายเซลล์สมองที่ผลิตโดพามีน
    มีงานวิจัยที่ชี้ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน

    การฟ้องร้องทางกฎหมาย
    เกษตรกรยื่นฟ้องบริษัทผู้ผลิตสารเคมี
    อาจนำไปสู่การจำกัดหรือยุติการใช้ Paraquat

    คำเตือนด้านสุขภาพและความปลอดภัย
    การใช้ Paraquat อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสัน
    เกษตรกรควรตรวจสุขภาพประจำปีและหันไปใช้วิธีจัดการวัชพืชที่ปลอดภัยกว่า

    https://www.mlive.com/news/2025/12/thousands-of-us-farmers-have-parkinsons-they-blame-a-deadly-pesticide.html
    🌾 วิกฤติสุขภาพในภาคเกษตรสหรัฐฯ มีรายงานว่าเกษตรกรหลายพันคนในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับโรคพาร์กินสัน และพวกเขาเชื่อว่าสาเหตุหลักมาจากการสัมผัสกับ สารกำจัดวัชพืช Paraquat ซึ่งถูกใช้แพร่หลายในไร่นามานานหลายสิบปี แม้จะมีการควบคุมการใช้งาน แต่สารนี้ยังคงถูกนำมาใช้ในหลายพื้นที่ เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดวัชพืชที่ดื้อยา 🧪 ความเชื่อมโยงระหว่าง Paraquat และโรคพาร์กินสัน งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า Paraquat อาจมีความสัมพันธ์กับการเสื่อมของระบบประสาท โดยเฉพาะการทำลายเซลล์สมองที่ผลิต โดพามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว การเสื่อมของเซลล์เหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของโรคพาร์กินสัน แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นเอกฉันท์ แต่หลักฐานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดการฟ้องร้องและการเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้สารนี้ ⚖️ การฟ้องร้องและผลกระทบทางกฎหมาย เกษตรกรจำนวนมากได้ยื่นฟ้องบริษัทผู้ผลิตสารเคมี โดยอ้างว่า Paraquat เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาป่วยพาร์กินสัน คดีเหล่านี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมการเกษตร หากศาลตัดสินว่ามีความเชื่อมโยงจริง บริษัทเคมีอาจต้องรับผิดชอบค่าเสียหายมหาศาล และอาจถูกบังคับให้ยุติการผลิตหรือจำกัดการใช้สารนี้อย่างเข้มงวด 🛡️ ทางเลือกและมาตรการป้องกัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เกษตรกรหันมาใช้วิธีการจัดการวัชพืชที่ปลอดภัยกว่า เช่น การใช้สารชีวภาพหรือการจัดการเชิงกลแทนสารเคมี นอกจากนี้ยังควรมีการตรวจสุขภาพประจำปีสำหรับผู้ที่ทำงานในพื้นที่ที่มีการใช้สารกำจัดวัชพืช เพื่อเฝ้าระวังอาการของโรคพาร์กินสันตั้งแต่ระยะเริ่มต้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบปัญหาสุขภาพในเกษตรกรสหรัฐฯ ➡️ หลายพันคนป่วยพาร์กินสัน เชื่อว่าเกิดจากการสัมผัส Paraquat ✅ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ➡️ Paraquat อาจทำลายเซลล์สมองที่ผลิตโดพามีน ➡️ มีงานวิจัยที่ชี้ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน ✅ การฟ้องร้องทางกฎหมาย ➡️ เกษตรกรยื่นฟ้องบริษัทผู้ผลิตสารเคมี ➡️ อาจนำไปสู่การจำกัดหรือยุติการใช้ Paraquat ‼️ คำเตือนด้านสุขภาพและความปลอดภัย ⛔ การใช้ Paraquat อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสัน ⛔ เกษตรกรควรตรวจสุขภาพประจำปีและหันไปใช้วิธีจัดการวัชพืชที่ปลอดภัยกว่า https://www.mlive.com/news/2025/12/thousands-of-us-farmers-have-parkinsons-they-blame-a-deadly-pesticide.html
    WWW.MLIVE.COM
    Thousands of U.S. farmers have Parkinson’s. They blame a deadly pesticide.
    Paraquat is banned in more than 70 countries, but still legal in the United States. Now, a growing number of U.S. farmers are blaming the toxic pesticide for their Parkinson's disease in a large lawsuit.
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • เทคโนโลยีไร้สายในรถ: ความสะดวกที่มาพร้อมข้อจำกัด

    Wireless CarPlay กำลังเป็นที่นิยมในรถยนต์รุ่นใหม่ เพราะช่วยให้ผู้ใช้ เชื่อมต่อ iPhone กับระบบ Infotainment โดยไม่ต้องใช้สาย Lightning เพียงเปิดเครื่องยนต์ โทรศัพท์จะเชื่อมต่ออัตโนมัติทันที ทำให้การใช้งานแอปนำทาง การโทร และการฟังเพลงสะดวกขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ห้องโดยสารดูเรียบร้อย ไม่มีสายระโยงระยางให้รำคาญสายตา

    นอกจากความสะดวกแล้ว Wireless CarPlay ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยเล็กน้อย เพราะลดสิ่งรบกวนสายตาและมือขณะขับรถ ผู้ใช้สามารถเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าโดยไม่ต้องหยิบจับบ่อยๆ ซึ่งถือเป็นข้อดีที่หลายคนชื่นชอบ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งรีบที่ต้องการการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว

    อย่างไรก็ตาม Wireless CarPlay ก็มีข้อเสียที่ไม่ควรมองข้าม การเชื่อมต่อขึ้นอยู่กับสัญญาณ Wi-Fi หรือ Bluetooth หากสัญญาณไม่เสถียรอาจเกิดอาการหน่วง เสียงกระตุก หรือการหลุดการเชื่อมต่อ ซึ่งสร้างความหงุดหงิดให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางไปพื้นที่ห่างไกลที่อินเทอร์เน็ตไม่แรงพอ

    อีกปัญหาสำคัญคือ การใช้พลังงานแบตเตอรี่สูงกว่าการเชื่อมต่อแบบสาย เนื่องจากโทรศัพท์ต้องทำงานผ่าน Wi-Fi และ Bluetooth ตลอดเวลา ทำให้แบตหมดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดด้านการรองรับ เพราะไม่ใช่รถทุกคันที่ติดตั้ง Wireless CarPlay มาให้ แม้จะมีอุปกรณ์เสริมเช่น Wireless Adapter แต่ก็อาจเจอปัญหาประสิทธิภาพไม่เสถียร

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อดีของ Wireless CarPlay
    เชื่อมต่ออัตโนมัติทันทีเมื่อสตาร์ทรถ
    ลดความยุ่งเหยิงของสาย ทำให้ห้องโดยสารดูเรียบร้อย
    เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัย ลดการหยิบจับโทรศัพท์

    ข้อเสียของ Wireless CarPlay
    ขึ้นอยู่กับสัญญาณ Wi-Fi/Bluetooth อาจเกิดการหน่วงหรือหลุดการเชื่อมต่อ
    ใช้พลังงานแบตเตอรี่มากกว่าแบบสาย
    รถบางรุ่นไม่รองรับ ต้องใช้อุปกรณ์เสริมที่อาจไม่เสถียร

    https://www.slashgear.com/2050302/pros-cons-using-wireless-carplay/
    🚗 เทคโนโลยีไร้สายในรถ: ความสะดวกที่มาพร้อมข้อจำกัด Wireless CarPlay กำลังเป็นที่นิยมในรถยนต์รุ่นใหม่ เพราะช่วยให้ผู้ใช้ เชื่อมต่อ iPhone กับระบบ Infotainment โดยไม่ต้องใช้สาย Lightning เพียงเปิดเครื่องยนต์ โทรศัพท์จะเชื่อมต่ออัตโนมัติทันที ทำให้การใช้งานแอปนำทาง การโทร และการฟังเพลงสะดวกขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ห้องโดยสารดูเรียบร้อย ไม่มีสายระโยงระยางให้รำคาญสายตา นอกจากความสะดวกแล้ว Wireless CarPlay ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยเล็กน้อย เพราะลดสิ่งรบกวนสายตาและมือขณะขับรถ ผู้ใช้สามารถเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าโดยไม่ต้องหยิบจับบ่อยๆ ซึ่งถือเป็นข้อดีที่หลายคนชื่นชอบ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งรีบที่ต้องการการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม Wireless CarPlay ก็มีข้อเสียที่ไม่ควรมองข้าม การเชื่อมต่อขึ้นอยู่กับสัญญาณ Wi-Fi หรือ Bluetooth หากสัญญาณไม่เสถียรอาจเกิดอาการหน่วง เสียงกระตุก หรือการหลุดการเชื่อมต่อ ซึ่งสร้างความหงุดหงิดให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางไปพื้นที่ห่างไกลที่อินเทอร์เน็ตไม่แรงพอ อีกปัญหาสำคัญคือ การใช้พลังงานแบตเตอรี่สูงกว่าการเชื่อมต่อแบบสาย เนื่องจากโทรศัพท์ต้องทำงานผ่าน Wi-Fi และ Bluetooth ตลอดเวลา ทำให้แบตหมดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดด้านการรองรับ เพราะไม่ใช่รถทุกคันที่ติดตั้ง Wireless CarPlay มาให้ แม้จะมีอุปกรณ์เสริมเช่น Wireless Adapter แต่ก็อาจเจอปัญหาประสิทธิภาพไม่เสถียร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อดีของ Wireless CarPlay ➡️ เชื่อมต่ออัตโนมัติทันทีเมื่อสตาร์ทรถ ➡️ ลดความยุ่งเหยิงของสาย ทำให้ห้องโดยสารดูเรียบร้อย ➡️ เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัย ลดการหยิบจับโทรศัพท์ ‼️ ข้อเสียของ Wireless CarPlay ⛔ ขึ้นอยู่กับสัญญาณ Wi-Fi/Bluetooth อาจเกิดการหน่วงหรือหลุดการเชื่อมต่อ ⛔ ใช้พลังงานแบตเตอรี่มากกว่าแบบสาย ⛔ รถบางรุ่นไม่รองรับ ต้องใช้อุปกรณ์เสริมที่อาจไม่เสถียร https://www.slashgear.com/2050302/pros-cons-using-wireless-carplay/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Pros And Cons Of Using Wireless CarPlay - SlashGear
    Wireless CarPlay is safer, more convenient, and helps keep your car interior tidy. However, it's prone to lag and is killer on your iPhone's battery.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • 7 โครงการที่ถูก Ubuntu ยกเลิก แต่เราก็ยังคิดถึงมันอยู่

    Ubuntu One: ความฝันคลาวด์ที่ไม่ยั่งยืน
    Ubuntu เคยเปิดตัว Ubuntu One เพื่อเป็นบริการคลาวด์เก็บไฟล์และซิงก์ข้อมูล คล้ายกับ iCloud ของ Apple โดยให้พื้นที่ฟรี 5GB และสามารถซื้อเพิ่มได้ รวมถึงมีบริการซื้อเพลงผ่าน Ubuntu One Music Store แต่สุดท้ายถูกยกเลิกในปี 2014 เพราะไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งที่ให้พื้นที่ฟรีมากกว่า และ Canonical ต้องการโฟกัสไปที่การพัฒนาแพลตฟอร์มอื่น

    Convergence และ Ubuntu Edge: ความพยายามสู่สมาร์ทโฟน
    Canonical เคยมีความฝันที่จะทำให้ Ubuntu รันได้ทั้งบน PC, Tablet และ Smartphone ผ่านแนวคิด Convergence และเปิดตัวโครงการ Ubuntu Edge สมาร์ทโฟนที่ใช้ Ubuntu โดยระดมทุนผ่าน crowdfunding ได้กว่า 12 ล้านดอลลาร์ แต่ไม่ถึงเป้าหมาย 32 ล้าน ทำให้โครงการต้องปิดตัวไป อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ยังคงถูกนำไปใช้ในเทคโนโลยีอย่าง Samsung DeX ในปัจจุบัน

    Ubuntu Unity และ Mir: การทดลองที่ไม่รอด
    Ubuntu เคยพัฒนา Unity Desktop Environment และ Mir Display Server เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ผู้ใช้จำนวนมากไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลง และสุดท้าย Canonical ต้องยกเลิก Unity ในปี 2017 และกลับมาใช้ GNOME ที่ปรับแต่งใหม่ ส่วน Mir ก็ถูกลดบทบาทไปใช้กับ IoT แทน ไม่ได้ถูกใช้ในเดสก์ท็อปอีกต่อไป

    Wubi และ Ubuntu Make: เครื่องมือที่ถูกลืม
    Wubi Installer เคยทำให้ผู้ใช้ Windows สามารถติดตั้ง Ubuntu ได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องแก้ไขพาร์ทิชัน แต่ถูกยกเลิกเพราะมีปัญหาความเข้ากันได้
    Ubuntu Make เป็น CLI สำหรับติดตั้งเครื่องมือพัฒนา เช่น Atom หรือ VS Code แต่ถูกแทนที่ด้วย Snap ที่ใช้ง่ายกว่าและปลอดภัยกว่า

    สรุปประเด็นสำคัญ
    โครงการที่ถูกยกเลิก
    Ubuntu One (Cloud + Music Store)
    Ubuntu Edge และ Convergence (สมาร์ทโฟน Ubuntu)
    Unity Desktop และ Mir Display Server
    Wubi Installer และ Ubuntu Make

    เหตุผลหลักที่ล้มเหลว
    แข่งขันไม่ได้กับคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่า
    ขาดเงินทุนและการสนับสนุนจากผู้ใช้
    ผู้ใช้ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหญ่
    เทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้และนักพัฒนา
    การพัฒนาโครงการใหม่โดยไม่ประเมินตลาด อาจทำให้สูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์
    การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ฟังเสียงผู้ใช้ อาจนำไปสู่การต่อต้านและความล้มเหลว

    https://itsfoss.com/projects-ditched-by-ubuntu/
    🏗️ 7 โครงการที่ถูก Ubuntu ยกเลิก แต่เราก็ยังคิดถึงมันอยู่ 🗂️ Ubuntu One: ความฝันคลาวด์ที่ไม่ยั่งยืน Ubuntu เคยเปิดตัว Ubuntu One เพื่อเป็นบริการคลาวด์เก็บไฟล์และซิงก์ข้อมูล คล้ายกับ iCloud ของ Apple โดยให้พื้นที่ฟรี 5GB และสามารถซื้อเพิ่มได้ รวมถึงมีบริการซื้อเพลงผ่าน Ubuntu One Music Store แต่สุดท้ายถูกยกเลิกในปี 2014 เพราะไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งที่ให้พื้นที่ฟรีมากกว่า และ Canonical ต้องการโฟกัสไปที่การพัฒนาแพลตฟอร์มอื่น 📱 Convergence และ Ubuntu Edge: ความพยายามสู่สมาร์ทโฟน Canonical เคยมีความฝันที่จะทำให้ Ubuntu รันได้ทั้งบน PC, Tablet และ Smartphone ผ่านแนวคิด Convergence และเปิดตัวโครงการ Ubuntu Edge สมาร์ทโฟนที่ใช้ Ubuntu โดยระดมทุนผ่าน crowdfunding ได้กว่า 12 ล้านดอลลาร์ แต่ไม่ถึงเป้าหมาย 32 ล้าน ทำให้โครงการต้องปิดตัวไป อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ยังคงถูกนำไปใช้ในเทคโนโลยีอย่าง Samsung DeX ในปัจจุบัน 🖥️ Ubuntu Unity และ Mir: การทดลองที่ไม่รอด Ubuntu เคยพัฒนา Unity Desktop Environment และ Mir Display Server เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ผู้ใช้จำนวนมากไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลง และสุดท้าย Canonical ต้องยกเลิก Unity ในปี 2017 และกลับมาใช้ GNOME ที่ปรับแต่งใหม่ ส่วน Mir ก็ถูกลดบทบาทไปใช้กับ IoT แทน ไม่ได้ถูกใช้ในเดสก์ท็อปอีกต่อไป 💿 Wubi และ Ubuntu Make: เครื่องมือที่ถูกลืม 💠 Wubi Installer เคยทำให้ผู้ใช้ Windows สามารถติดตั้ง Ubuntu ได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องแก้ไขพาร์ทิชัน แต่ถูกยกเลิกเพราะมีปัญหาความเข้ากันได้ 💠 Ubuntu Make เป็น CLI สำหรับติดตั้งเครื่องมือพัฒนา เช่น Atom หรือ VS Code แต่ถูกแทนที่ด้วย Snap ที่ใช้ง่ายกว่าและปลอดภัยกว่า 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ โครงการที่ถูกยกเลิก ➡️ Ubuntu One (Cloud + Music Store) ➡️ Ubuntu Edge และ Convergence (สมาร์ทโฟน Ubuntu) ➡️ Unity Desktop และ Mir Display Server ➡️ Wubi Installer และ Ubuntu Make ✅ เหตุผลหลักที่ล้มเหลว ➡️ แข่งขันไม่ได้กับคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่า ➡️ ขาดเงินทุนและการสนับสนุนจากผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ➡️ เทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้และนักพัฒนา ⛔ การพัฒนาโครงการใหม่โดยไม่ประเมินตลาด อาจทำให้สูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ ⛔ การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ฟังเสียงผู้ใช้ อาจนำไปสู่การต่อต้านและความล้มเหลว https://itsfoss.com/projects-ditched-by-ubuntu/
    ITSFOSS.COM
    7 Projects Killed by Ubuntu (But I Still Miss Them)
    Over the span of the past 15 years, Ubuntu started several projects. Not all of them are active today. And yet, they live in our memory.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • เครื่องมือใหม่ SnapScope ตรวจสอบ Snap Packages

    Snap packages เป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันในชุมชน Linux มานาน ทั้งเรื่องการเปิดโปรแกรมช้า การพึ่งพา Snap Store ที่เป็น proprietary และการที่ dependency ไม่ได้รับการอัปเดตทันเวลา ล่าสุด Alan Pope นักพัฒนาในชุมชน Ubuntu ได้สร้างเครื่องมือชื่อ SnapScope เพื่อแก้ปัญหาด้านความปลอดภัย โดยสามารถสแกนแพ็กเกจ Snap เพื่อหาช่องโหว่ที่มีการบันทึกไว้ในฐานข้อมูล CVE

    วิธีการทำงานของ SnapScope
    ผู้ใช้เพียงแค่ใส่ชื่อแพ็กเกจหรือ publisher ลงในช่องค้นหา SnapScope จะสแกนและแสดงผลช่องโหว่ที่พบ พร้อมแบ่งระดับความรุนแรงเป็น KEV, CRITICAL, HIGH, MEDIUM และ LOW ข้อมูลเหล่านี้ดึงมาจาก Grype ซึ่งเป็น open-source scanner สำหรับ container และ filesystem โดยปัจจุบันรองรับเฉพาะแพ็กเกจ x86_64 แต่มีแผนจะขยายไปยังแพลตฟอร์มอื่นในอนาคต

    ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
    หน้าแรกของ SnapScope ยังมีกราฟแสดงแพ็กเกจที่ถูกสแกนล่าสุด และแพ็กเกจที่มีจำนวนช่องโหว่มากที่สุด ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถติดตามแนวโน้มความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น เครื่องมือนี้ถูกสร้างขึ้นในงาน Chainguard’s Vibelympics ซึ่งเป็นการแข่งขันที่นักพัฒนาสร้างโปรเจกต์สร้างสรรค์เพื่อการกุศล

    ใครควรใช้ SnapScope
    ผู้ดูแลระบบ (Sys Admins): ใช้ตรวจสอบ Snap ที่ติดตั้งในองค์กร
    นักพัฒนา: ตรวจสอบแพ็กเกจที่ดูแลว่ามี CVE ใดต้องแก้ไข
    ผู้ใช้ทั่วไปที่ใส่ใจความปลอดภัย: ตรวจสอบก่อนติดตั้ง Snap ใหม่ ๆ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    SnapScope คือเครื่องมือสแกน Snap
    ตรวจสอบช่องโหว่จากฐานข้อมูล CVE
    แสดงผลตามระดับความรุนแรง

    ฟีเจอร์หลัก
    รองรับ x86_64 packages
    ใช้ข้อมูลจาก Grype scanner
    มีกราฟแสดงแพ็กเกจที่เสี่ยงสูงสุด

    กลุ่มผู้ใช้เป้าหมาย
    Sys Admins ที่ต้อง audit ระบบ
    นักพัฒนาที่ดูแล Snap packages
    ผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความมั่นใจ

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    Snap ที่มี dependency ไม่อัปเดตอาจเสี่ยงต่อการโจมตี
    หากไม่ตรวจสอบก่อนติดตั้ง อาจนำช่องโหว่เข้าสู่ระบบโดยไม่รู้ตัว

    https://itsfoss.com/news/check-snap-packages-vulnerabilities/
    🔍 เครื่องมือใหม่ SnapScope ตรวจสอบ Snap Packages Snap packages เป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันในชุมชน Linux มานาน ทั้งเรื่องการเปิดโปรแกรมช้า การพึ่งพา Snap Store ที่เป็น proprietary และการที่ dependency ไม่ได้รับการอัปเดตทันเวลา ล่าสุด Alan Pope นักพัฒนาในชุมชน Ubuntu ได้สร้างเครื่องมือชื่อ SnapScope เพื่อแก้ปัญหาด้านความปลอดภัย โดยสามารถสแกนแพ็กเกจ Snap เพื่อหาช่องโหว่ที่มีการบันทึกไว้ในฐานข้อมูล CVE ⚙️ วิธีการทำงานของ SnapScope ผู้ใช้เพียงแค่ใส่ชื่อแพ็กเกจหรือ publisher ลงในช่องค้นหา SnapScope จะสแกนและแสดงผลช่องโหว่ที่พบ พร้อมแบ่งระดับความรุนแรงเป็น KEV, CRITICAL, HIGH, MEDIUM และ LOW ข้อมูลเหล่านี้ดึงมาจาก Grype ซึ่งเป็น open-source scanner สำหรับ container และ filesystem โดยปัจจุบันรองรับเฉพาะแพ็กเกจ x86_64 แต่มีแผนจะขยายไปยังแพลตฟอร์มอื่นในอนาคต 📊 ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ หน้าแรกของ SnapScope ยังมีกราฟแสดงแพ็กเกจที่ถูกสแกนล่าสุด และแพ็กเกจที่มีจำนวนช่องโหว่มากที่สุด ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถติดตามแนวโน้มความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น เครื่องมือนี้ถูกสร้างขึ้นในงาน Chainguard’s Vibelympics ซึ่งเป็นการแข่งขันที่นักพัฒนาสร้างโปรเจกต์สร้างสรรค์เพื่อการกุศล 🌐 ใครควรใช้ SnapScope ผู้ดูแลระบบ (Sys Admins): ใช้ตรวจสอบ Snap ที่ติดตั้งในองค์กร นักพัฒนา: ตรวจสอบแพ็กเกจที่ดูแลว่ามี CVE ใดต้องแก้ไข ผู้ใช้ทั่วไปที่ใส่ใจความปลอดภัย: ตรวจสอบก่อนติดตั้ง Snap ใหม่ ๆ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ SnapScope คือเครื่องมือสแกน Snap ➡️ ตรวจสอบช่องโหว่จากฐานข้อมูล CVE ➡️ แสดงผลตามระดับความรุนแรง ✅ ฟีเจอร์หลัก ➡️ รองรับ x86_64 packages ➡️ ใช้ข้อมูลจาก Grype scanner ➡️ มีกราฟแสดงแพ็กเกจที่เสี่ยงสูงสุด ✅ กลุ่มผู้ใช้เป้าหมาย ➡️ Sys Admins ที่ต้อง audit ระบบ ➡️ นักพัฒนาที่ดูแล Snap packages ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความมั่นใจ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ Snap ที่มี dependency ไม่อัปเดตอาจเสี่ยงต่อการโจมตี ⛔ หากไม่ตรวจสอบก่อนติดตั้ง อาจนำช่องโหว่เข้าสู่ระบบโดยไม่รู้ตัว https://itsfoss.com/news/check-snap-packages-vulnerabilities/
    ITSFOSS.COM
    Check Your Snap Packages for Vulnerabilities With This Vibe-Coded Tool
    Snapscope makes it easy to scan any Snap package for security issues.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ macOS LPE กลับมาอีกครั้ง
    นักวิจัยด้านความปลอดภัย Csaba Fitzl พบว่าช่องโหว่ Local Privilege Escalation (LPE) ใน macOS ที่เคยถูกพูดถึงตั้งแต่ปี 2018 ได้กลับมาอีกครั้งในปี 2025 โดยใช้วิธีใหม่ผ่านโฟลเดอร์ .localized ซึ่งเป็นฟีเจอร์ของระบบไฟล์ macOS ที่ใช้จัดการชื่อแอปพลิเคชันซ้ำกัน ช่องโหว่นี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถหลอกตัวติดตั้งแอปพลิเคชันให้วางไฟล์ผิดตำแหน่ง และเปิดทางให้รันโค้ดในสิทธิ์ root ได้

    วิธีการโจมตี
    ขั้นตอนการโจมตีมีลักษณะดังนี้:
    ผู้โจมตีสร้างแอปปลอมชื่อเดียวกับแอปจริงในโฟลเดอร์ /Applications
    เมื่อผู้ใช้ติดตั้งแอปจริง macOS จะไม่เขียนทับ แต่ย้ายไปไว้ในโฟลเดอร์ /Applications/App.localized/
    ตัวติดตั้งยังคงเชื่อว่าแอปอยู่ในตำแหน่งเดิม และลงทะเบียน LaunchDaemon ชี้ไปที่แอปปลอม
    แอปปลอมที่ผู้โจมตีสร้างจึงถูกเรียกใช้งานด้วยสิทธิ์ root

    สถานการณ์และผลกระทบ
    แม้ Apple เคยแก้ไขช่องโหว่เดิมใน macOS Sonoma และมีการออก CVE ใหม่ (CVE-2025-24099) แต่การใช้ .localized ทำให้ยังสามารถโจมตีได้อีกครั้ง ช่องโหว่นี้กระทบโดยตรงต่อ third-party installers ที่ต้องใช้สิทธิ์สูงในการติดตั้งเครื่องมือหรือ daemon หากผู้ใช้หรือองค์กรไม่ตรวจสอบเส้นทางการติดตั้งอย่างละเอียด อาจถูกยึดเครื่องได้ทันที

    มุมมองจากวงการไซเบอร์
    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ปัญหานี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของระบบไฟล์ macOS และการที่ Apple ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างครอบคลุม การโจมตีลักษณะนี้ง่ายต่อการนำไปใช้จริง เพียงแค่หลอกให้ผู้ใช้ติดตั้งแอปที่มีชื่อซ้ำกับแอปปลอม จึงเป็นภัยคุกคามที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ที่ค้นพบ
    ใช้โฟลเดอร์ .localized เพื่อหลอกตำแหน่งติดตั้ง
    ทำให้โค้ดปลอมรันในสิทธิ์ root

    วิธีการโจมตี
    สร้างแอปปลอมชื่อเดียวกับแอปจริง
    ตัวติดตั้งลงทะเบียน LaunchDaemon ชี้ไปที่แอปปลอม

    ผลกระทบ
    กระทบ third-party installers ที่ต้องใช้สิทธิ์สูง
    เสี่ยงต่อการถูกยึดเครื่องและขโมยข้อมูล

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    Apple ยังไม่แก้ไขได้อย่างครอบคลุม แม้มี CVE ใหม่
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบเส้นทางติดตั้งและหลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

    https://securityonline.info/macos-lpe-flaw-resurfaces-localized-directory-exploited-to-hijack-installers-and-gain-root-access/
    🖥️ ช่องโหว่ macOS LPE กลับมาอีกครั้ง นักวิจัยด้านความปลอดภัย Csaba Fitzl พบว่าช่องโหว่ Local Privilege Escalation (LPE) ใน macOS ที่เคยถูกพูดถึงตั้งแต่ปี 2018 ได้กลับมาอีกครั้งในปี 2025 โดยใช้วิธีใหม่ผ่านโฟลเดอร์ .localized ซึ่งเป็นฟีเจอร์ของระบบไฟล์ macOS ที่ใช้จัดการชื่อแอปพลิเคชันซ้ำกัน ช่องโหว่นี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถหลอกตัวติดตั้งแอปพลิเคชันให้วางไฟล์ผิดตำแหน่ง และเปิดทางให้รันโค้ดในสิทธิ์ root ได้ ⚡ วิธีการโจมตี ขั้นตอนการโจมตีมีลักษณะดังนี้: 💠 ผู้โจมตีสร้างแอปปลอมชื่อเดียวกับแอปจริงในโฟลเดอร์ /Applications 💠 เมื่อผู้ใช้ติดตั้งแอปจริง macOS จะไม่เขียนทับ แต่ย้ายไปไว้ในโฟลเดอร์ /Applications/App.localized/ 💠 ตัวติดตั้งยังคงเชื่อว่าแอปอยู่ในตำแหน่งเดิม และลงทะเบียน LaunchDaemon ชี้ไปที่แอปปลอม 💠 แอปปลอมที่ผู้โจมตีสร้างจึงถูกเรียกใช้งานด้วยสิทธิ์ root 🔒 สถานการณ์และผลกระทบ แม้ Apple เคยแก้ไขช่องโหว่เดิมใน macOS Sonoma และมีการออก CVE ใหม่ (CVE-2025-24099) แต่การใช้ .localized ทำให้ยังสามารถโจมตีได้อีกครั้ง ช่องโหว่นี้กระทบโดยตรงต่อ third-party installers ที่ต้องใช้สิทธิ์สูงในการติดตั้งเครื่องมือหรือ daemon หากผู้ใช้หรือองค์กรไม่ตรวจสอบเส้นทางการติดตั้งอย่างละเอียด อาจถูกยึดเครื่องได้ทันที 🌍 มุมมองจากวงการไซเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ปัญหานี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของระบบไฟล์ macOS และการที่ Apple ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างครอบคลุม การโจมตีลักษณะนี้ง่ายต่อการนำไปใช้จริง เพียงแค่หลอกให้ผู้ใช้ติดตั้งแอปที่มีชื่อซ้ำกับแอปปลอม จึงเป็นภัยคุกคามที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่ค้นพบ ➡️ ใช้โฟลเดอร์ .localized เพื่อหลอกตำแหน่งติดตั้ง ➡️ ทำให้โค้ดปลอมรันในสิทธิ์ root ✅ วิธีการโจมตี ➡️ สร้างแอปปลอมชื่อเดียวกับแอปจริง ➡️ ตัวติดตั้งลงทะเบียน LaunchDaemon ชี้ไปที่แอปปลอม ✅ ผลกระทบ ➡️ กระทบ third-party installers ที่ต้องใช้สิทธิ์สูง ➡️ เสี่ยงต่อการถูกยึดเครื่องและขโมยข้อมูล ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ Apple ยังไม่แก้ไขได้อย่างครอบคลุม แม้มี CVE ใหม่ ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบเส้นทางติดตั้งและหลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ https://securityonline.info/macos-lpe-flaw-resurfaces-localized-directory-exploited-to-hijack-installers-and-gain-root-access/
    SECURITYONLINE.INFO
    macOS LPE Flaw Resurfaces: .localized Directory Exploited to Hijack Installers and Gain Root Access
    A macOS LPE flaw resurfaces after 7 years, allowing unprivileged users to hijack third-party installers and gain root access. The exploit leverages the hidden .localized directory to confuse the installation path.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • สะพานเกอร์นีย์ ปีนัง เข้าสู่เกาะเทียมอันดามัน

    อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. นายโจว คอน เยียว (Chow Kon Yeow) มุขมนตรีรัฐปีนัง เป็นประธานในพิธีเปิดสะพานเกอร์นีย์ (Gurney Bridge) เชื่อมระหว่างเกาะปีนัง บริเวณวงเวียนเกอร์นีย์ ไดร์ฟ (Gurney Drive) กับอันดามันไอส์แลนด์ (Andaman Island) โครงการอสังหาริมทรัพย์บนเกาะเทียมที่ผ่านการถมทะเล ของบริษัทอีสเทิร์น แอนด์ โอเรียนทัล (E&O) เป็นสะพานขนาด 8 ช่องจราจร ความยาว 1.2 กิโลเมตร พร้อมทางเดินเท้ากว้าง 4 เมตร มูลค่าโครงการ 350 ล้านริงกิต (2,700 ล้านบาท)

    นอกจากเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คริมชายฝั่งของอ่าวเกอร์นีย์แล้ว ยังช่วยย่นเวลาเดินทางเข้าโครงการฯ จากเดิมต้องเข้าจากถนนใหญ่ (ถนนตันจง โตคง) บริเวณห้างโลตัส ตันจงปีนัง ได้เพิ่มอีกหนึ่งช่องทางไปออกย่านเกอร์นีย์ไดร์ฟ บริเวณศูนย์การค้าเกอร์นีย์พลาซ่าได้ทันที ซึ่งนายก๊ก ตั๊ก เชียง (Kok Tuck Cheong) กรรมการผู้จัดการของ E&O ตั้งใจว่าจะสร้างเมืองที่เข้าถึงได้ภายใน 15 นาที เชื่อมต่อถึงกัน และมุ่งเน้นอนาคต นับจากนี้จะพัฒนาโครงการบนเกาะ ทั้งที่อยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในระยะต่อไป ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐบาล

    นายก๊กยังกล่าวกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น บูเลทิน มูเทียรา (Buletin Mutiara) ระบุว่า โครงการนี้เริ่มต้นในปี 2533 ที่รัฐบาลมอบสิทธิ์สัมปทานในการถมทะเลทั้งหมด 960 เอเคอร์ โดยพื้นที่แรก สเตรตส์คีย์ (Straits Quay) แล้วเสร็จมาหลายปี ตามมาด้วยเฟส 2A เปิดตัวห้องชุดไปแล้ว 3,700 ยูนิต กำลังขายแก่ผู้สนใจ รวมถึงที่ดินเปล่าที่หันหน้าไปทางสเตรตส์คีย์ด้วย ส่วนเฟส 2B ยังอยู่ระหว่างปรับปรุงพื้นที่ รวมทั้งหมด 506 เอเคอร์ พื้นที่ถมทะเลบางส่วนจะถูกส่งมอบให้แก่รัฐตามข้อตกลงการพัฒนาพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีถนนด้านข้างโครงการคอนโดมิเนียมซิตี้ออฟดรีม (COD) ที่มีแผนจะสร้างสะพานไปยังถนนเกอร์นีย์ในอนาคต

    อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวปีนังอีกส่วนหนึ่งวิจารณ์ว่า โครงการนี้จะก่อให้เกิดการจราจรติดขัด ซึ่งมุขมนตรีรัฐปีนังยืนยันว่า กำลังให้ความสำคัญกับการจัดการจราจรอย่างมีความรับผิดชอบ ย้ำว่าสะพานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อกับเกาะอันดามัน บรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด ถึงกระนั้น เนื่องจากย่านเกอร์นีย์ไดร์ฟเป็นย่านศูนย์การค้า ทั้งเกอร์นีย์พลาซา เกอร์นีย์พารากอนมอลล์ แหล่งรวมสตรีทฟู้ด (Gurney Drive Hawker Center) และคอนโดมิเนียมจำนวนมาก รถติดทุกวันไม่เว้นวันหยุด ชาวปีนังจึงยังคงกังวลถึงปัญหาการจราจร จากโครงการมิกซ์ยูสมูลค่า 6 หมื่นล้านริงกิต (462,000 ล้านบาท) กันต่อไป

    #Newskit
    สะพานเกอร์นีย์ ปีนัง เข้าสู่เกาะเทียมอันดามัน อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. นายโจว คอน เยียว (Chow Kon Yeow) มุขมนตรีรัฐปีนัง เป็นประธานในพิธีเปิดสะพานเกอร์นีย์ (Gurney Bridge) เชื่อมระหว่างเกาะปีนัง บริเวณวงเวียนเกอร์นีย์ ไดร์ฟ (Gurney Drive) กับอันดามันไอส์แลนด์ (Andaman Island) โครงการอสังหาริมทรัพย์บนเกาะเทียมที่ผ่านการถมทะเล ของบริษัทอีสเทิร์น แอนด์ โอเรียนทัล (E&O) เป็นสะพานขนาด 8 ช่องจราจร ความยาว 1.2 กิโลเมตร พร้อมทางเดินเท้ากว้าง 4 เมตร มูลค่าโครงการ 350 ล้านริงกิต (2,700 ล้านบาท) นอกจากเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คริมชายฝั่งของอ่าวเกอร์นีย์แล้ว ยังช่วยย่นเวลาเดินทางเข้าโครงการฯ จากเดิมต้องเข้าจากถนนใหญ่ (ถนนตันจง โตคง) บริเวณห้างโลตัส ตันจงปีนัง ได้เพิ่มอีกหนึ่งช่องทางไปออกย่านเกอร์นีย์ไดร์ฟ บริเวณศูนย์การค้าเกอร์นีย์พลาซ่าได้ทันที ซึ่งนายก๊ก ตั๊ก เชียง (Kok Tuck Cheong) กรรมการผู้จัดการของ E&O ตั้งใจว่าจะสร้างเมืองที่เข้าถึงได้ภายใน 15 นาที เชื่อมต่อถึงกัน และมุ่งเน้นอนาคต นับจากนี้จะพัฒนาโครงการบนเกาะ ทั้งที่อยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในระยะต่อไป ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐบาล นายก๊กยังกล่าวกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น บูเลทิน มูเทียรา (Buletin Mutiara) ระบุว่า โครงการนี้เริ่มต้นในปี 2533 ที่รัฐบาลมอบสิทธิ์สัมปทานในการถมทะเลทั้งหมด 960 เอเคอร์ โดยพื้นที่แรก สเตรตส์คีย์ (Straits Quay) แล้วเสร็จมาหลายปี ตามมาด้วยเฟส 2A เปิดตัวห้องชุดไปแล้ว 3,700 ยูนิต กำลังขายแก่ผู้สนใจ รวมถึงที่ดินเปล่าที่หันหน้าไปทางสเตรตส์คีย์ด้วย ส่วนเฟส 2B ยังอยู่ระหว่างปรับปรุงพื้นที่ รวมทั้งหมด 506 เอเคอร์ พื้นที่ถมทะเลบางส่วนจะถูกส่งมอบให้แก่รัฐตามข้อตกลงการพัฒนาพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีถนนด้านข้างโครงการคอนโดมิเนียมซิตี้ออฟดรีม (COD) ที่มีแผนจะสร้างสะพานไปยังถนนเกอร์นีย์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวปีนังอีกส่วนหนึ่งวิจารณ์ว่า โครงการนี้จะก่อให้เกิดการจราจรติดขัด ซึ่งมุขมนตรีรัฐปีนังยืนยันว่า กำลังให้ความสำคัญกับการจัดการจราจรอย่างมีความรับผิดชอบ ย้ำว่าสะพานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อกับเกาะอันดามัน บรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด ถึงกระนั้น เนื่องจากย่านเกอร์นีย์ไดร์ฟเป็นย่านศูนย์การค้า ทั้งเกอร์นีย์พลาซา เกอร์นีย์พารากอนมอลล์ แหล่งรวมสตรีทฟู้ด (Gurney Drive Hawker Center) และคอนโดมิเนียมจำนวนมาก รถติดทุกวันไม่เว้นวันหยุด ชาวปีนังจึงยังคงกังวลถึงปัญหาการจราจร จากโครงการมิกซ์ยูสมูลค่า 6 หมื่นล้านริงกิต (462,000 ล้านบาท) กันต่อไป #Newskit
    1 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251215 #TechRadar

    iPadOS 26.2: อัปเดตใหม่ที่ทำให้การทำงานหลายแอปง่ายขึ้น
    Apple ปล่อย iPadOS 26.2 ให้ผู้ใช้ทั่วโลกแล้ว จุดเด่นคือการปรับปรุงระบบ multitasking ที่เคยถูกถอดออกไปในเวอร์ชันก่อน ตอนนี้กลับมาอีกครั้ง คุณสามารถลากไอคอนแอปจาก Dock หรือ Spotlight ไปเปิดในโหมด Split View หรือ Slide Over ได้สะดวกขึ้น ทำให้การทำงานหลายแอปบนหน้าจอเดียวเป็นเรื่องง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การปรับแต่ง Liquid Glass บนหน้าล็อกสกรีน, ระบบแจ้งเตือนเร่งด่วนใน Reminders, การรองรับตารางใน Freeform, การสร้าง chapter ด้วย AI ใน Podcasts และเนื้อเพลงแบบออฟไลน์ใน Apple Music รวมถึงการปรับปรุงการค้นหาเกมใน Apple Games และดีไซน์ใหม่ใน Apple News เรียกได้ว่าเป็นการอัปเดตที่ยกระดับประสบการณ์ใช้งาน iPad ให้ครบเครื่องมากขึ้น
    https://www.techradar.com/tablets/ipad/ipados-26-2-is-rolling-out-now-and-it-makes-multitasking-much-easier-heres-whats-new

    Biwin Mini SSD: สตอเรจจิ๋วที่เร็วแรง แต่อนาคตยังไม่แน่ชัด
    Biwin เปิดตัว Mini SSD รุ่น CL100 ที่มีขนาดเล็กมากเพียง 15 x 17 x 1.4 มม. น้ำหนักแค่ 1 กรัม แต่ให้ความเร็วอ่านสูงสุด 3700MB/s และเขียน 3400MB/s พร้อมความทนทานกันน้ำ กันฝุ่น และกันตกจากความสูง 3 เมตร ใช้ถอดเปลี่ยนแบบถาด SIM ทำให้สะดวกต่อการใช้งานในอุปกรณ์พกพา นอกจากนี้ยังมี RD510 Enclosure ที่แปลง Mini SSD ให้เป็นฮาร์ดดิสก์พกพาแบบ USB4 ความเร็วสูง จุดแข็งคือเล็ก ทน และเร็ว แต่ปัญหาคือยังไม่มีผู้ผลิตรายอื่นเข้ามาร่วมมาตรฐานนี้ ทำให้อนาคตของ Mini SSD อาจซ้ำรอยกับฟอร์แมตเฉพาะที่เคยหายไปในอดีต หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลายบริษัท
    https://www.techradar.com/pro/is-this-the-next-minidisc-exciting-mini-ssd-format-could-suffer-fate-of-sonys-data-format-if-it-doesnt-get-further-backing

    AMD FSR Redstone: เทคโนโลยีอัปสเกลใหม่ที่ยังทำให้หลายคนงง
    AMD เปิดตัว FSR Redstone ที่รวม 4 เทคโนโลยี ได้แก่ FSR Upscaling, Frame Generation, Ray Regeneration และ Radiance Caching แต่การสื่อสารกลับทำให้ผู้ใช้สับสน เพราะบางฟีเจอร์เป็นของเดิมที่เปลี่ยนชื่อ บางฟีเจอร์ยังไม่พร้อมใช้งานจริง เช่น Radiance Caching ที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง จุดที่น่าสนใจคือ Frame Generation แบบใหม่ใช้ AI สร้างเฟรมเสริม ทำให้ภาพลื่นขึ้นและคุณภาพดีขึ้น แต่ทั้งหมดนี้รองรับเฉพาะการ์ดจอ RDNA 4 เท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รุ่นเก่าอดใช้ แม้จะลงทุนซื้อการ์ดจอราคาแพงไปแล้ว การเปิดตัวครั้งนี้จึงถูกมองว่าขาดความชัดเจน แต่ก็ยังเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ AMD ไล่ทันคู่แข่งอย่าง Nvidia
    https://www.techradar.com/computing/gpu/confused-about-amds-fsr-redstone-update-youre-not-alone-heres-what-it-all-means-for-pc-gamers

    Affinity & Canva: ปฏิวัติวงการด้วยซอฟต์แวร์ดีไซน์ฟรี
    Ash Hewson ซีอีโอของ Affinity ประกาศว่าแพลตฟอร์มดีไซน์ระดับโปรจะเปิดให้ใช้ฟรีทั้งหมด โดยร่วมมือกับ Canva เพื่อผลักดันแนวคิดว่า “ความคิดสร้างสรรค์ไม่ควรถูกจำกัดด้วยราคา” การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในวงการที่เคยถูกครอบงำด้วยซอฟต์แวร์แบบสมัครสมาชิกแพง ๆ Affinity รุ่นใหม่รวมเครื่องมือเวกเตอร์ การแต่งภาพ และการจัดเลย์เอาต์ไว้ในที่เดียว ทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำโดยไม่ลดทอนคุณภาพ จุดยืนคือไม่มีการซ่อนเงื่อนไข ไม่มีการเก็บข้อมูลลับ และไม่มีการบังคับใช้ AI ที่ไม่โปร่งใส นี่คือการยืนยันว่าซอฟต์แวร์ดีไซน์สามารถเป็น “สาธารณประโยชน์” ที่ทุกคนเข้าถึงได้ฟรีตลอดไป
    https://www.techradar.com/pro/software-services/affinity-ceo-reveals-why-canva-and-affinity-made-pro-design-software-free-and-what-that-means-for-creativity

    Amadeus: ซีรีส์ใหม่ที่เล่า rivalry ของ Mozart และ Salieri
    Sky เปิดตัวซีรีส์ Amadeus ที่หยิบเรื่องราวการแข่งขันและความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่าง Mozart และ Salieri มาถ่ายทอดใหม่ในรูปแบบดราม่าเข้มข้น ซีรีส์นี้ผสมผสานความบันเทิงและความดราม่าได้อย่างลงตัว แม้บางตอนจะมีจังหวะช้าลง แต่การแสดงของ Will Sharpe และ Paul Bettany ถูกยกให้เป็นผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตการแสดงของพวกเขา จุดเด่นคือการตีความใหม่ที่ไม่ซ้ำกับเวอร์ชันภาพยนตร์ปี 1984 และยังเพิ่มมิติใหม่ด้วยการเล่าเรื่องการสร้างบทละครของ Peter Shaffer เอง ซีรีส์นี้ไม่เพียงแต่เล่าความขัดแย้ง แต่ยังสะท้อนพลังของดนตรีคลาสสิกที่ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้ชมยุคใหม่
    https://www.techradar.com/streaming/entertainment/amadeus-review-sky

    Toshiba เดินหน้าสู่ยุค HDD ความจุ 55TB
    Toshiba กำลังวางแผนพัฒนา HDD ที่มีความจุสูงถึง 55TB ภายในปี 2030 โดยเริ่มจากรุ่น 40TB ที่จะเปิดตัวในปี 2026–2027 ความก้าวหน้าครั้งนี้เกิดจากการเพิ่มจำนวนแผ่นจาน (platters) และการใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง MAMR และ HAMR ซึ่งช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลได้หนาแน่นขึ้นกว่าเดิม เส้นทางนี้สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจาก HDD รุ่น 10TB ในปี 2017 มาจนถึง 24TB ในปัจจุบัน และกำลังจะก้าวไปสู่ระดับที่ใหญ่ที่สุดในตลาด การเปลี่ยนจากแผ่นอลูมิเนียมเป็นแก้วก็ช่วยให้ทนทานและบางลง ทำให้สามารถซ้อนแผ่นได้มากขึ้น ถือเป็นการปูทางสู่ยุคใหม่ของการจัดเก็บข้อมูลขนาดมหึมา
    https://www.techradar.com/pro/toshiba-wants-to-launch-a-55tb-hard-drive-by-2030-40tb-model-set-to-appear-in-2026-new-slides-show

    Android 17 เตรียมเพิ่ม Motion Cues ลดอาการเมารถ
    Google กำลังพัฒนา Motion Cues ฟีเจอร์ใหม่ใน Android 17 ที่ช่วยลดอาการเวียนหัวหรือเมารถเวลามองหน้าจอมือถือระหว่างการเดินทาง ฟีเจอร์นี้จะสร้างจุดเคลื่อนไหวบนหน้าจอให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวจริงของโทรศัพท์ ทำให้สมองไม่สับสนระหว่างภาพที่เห็นกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แนวคิดนี้คล้ายกับ Vehicle Motion Cues ที่ Apple เปิดตัวใน iOS 18 แต่การนำมาใช้ใน Android ต้องปรับระบบความปลอดภัยเพื่อให้สามารถแสดงผลทับบนหน้าจอได้เต็มรูปแบบ หากการทดสอบผ่านไปด้วยดี เราอาจได้เห็น Motion Cues เปิดตัวพร้อม Android 17 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
    https://www.techradar.com/phones/android/android-17-could-finally-introduce-motion-cues-to-combat-motion-sickness-matching-the-same-feature-in-ios

    AI โจมตี SaaS ผ่านการปลอมแปลงตัวตน
    ภัยคุกคามใหม่ในโลกไซเบอร์ไม่ได้เริ่มจากมัลแวร์อีกต่อไป แต่เริ่มจาก “ตัวตน” ที่ถูกขโมยหรือสร้างขึ้นมาอย่างแนบเนียนด้วย AI แฮกเกอร์ใช้เทคโนโลยีสร้างอีเมลปลอมที่เหมือนจริง สร้างภาพถ่ายหรือบุคคลเสมือนเพื่อหลอกลวง และแม้กระทั่งใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลบัญชีที่ถูกขโมยเพื่อหาบัญชีที่มีสิทธิ์เข้าถึงสูงสุด เมื่อได้ตัวตนที่น่าเชื่อถือแล้ว พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระบบ SaaS ได้โดยตรงโดยไม่ถูกตรวจจับ นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้ “ตัวตน” กลายเป็นแนวรบหลักของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI
    https://www.techradar.com/pro/inside-the-ai-powered-assault-on-saas-why-identity-is-the-weakest-link

    สมาร์ทโฟนปี 2026 ที่จะทำให้คุณตื่นเต้นอีกครั้ง
    แม้หลายคนจะรู้สึกเบื่อกับสมาร์ทโฟนที่ดูคล้ายกันไปหมด แต่ปี 2026 จะมีรุ่นใหม่ที่น่าสนใจ เช่น Xiaomi 17 Pro Max ที่มีหน้าจอด้านหลังและแบตเตอรี่ใหญ่ถึง 7,500mAh, Samsung Galaxy Z TriFold ที่พับได้สามตอนกลายเป็นแท็บเล็ต 10 นิ้ว, iPhone Fold ที่คาดว่าจะเปิดตัวพร้อม iPhone 18 และอาจเป็นรุ่นแรกที่ไม่มีรอยพับให้เห็น รวมถึง OnePlus 16 ที่สืบต่อความแรงจากรุ่นก่อน และ Ayaneo Pocket Play ที่รวมมือถือกับเครื่องเล่นเกมพกพาในเครื่องเดียว ทั้งหมดนี้คือการกลับมาของความตื่นเต้นในโลกสมาร์ทโฟน
    https://www.techradar.com/phones/bored-with-smartphones-these-5-upcoming-flagships-could-change-your-mind-in-2026

    รีวิว Ring Outdoor Cam Pro กล้องรักษาความปลอดภัย 4K
    Ring เปิดตัว Outdoor Cam Pro กล้องรักษาความปลอดภัยที่มาพร้อมความละเอียด 4K และซูมได้ถึง 10 เท่า ทำให้ภาพคมชัดกว่ารุ่นก่อนมาก กล้องนี้ต้องใช้ไฟบ้านเท่านั้น แต่ข้อดีคือสามารถบันทึกวิดีโอ 24/7 ได้เต็มรูปแบบ หากสมัครแพ็กเกจ Premium ที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ฟีเจอร์เด่นคือ Smart Video Search ที่ใช้ AI ค้นหาภาพจากคำ เช่น “คนใส่เสื้อสีแดง” และยังมีเสียงไซเรน 85dB รวมถึงระบบเสียงสองทางเพื่อสื่อสารกับผู้ที่อยู่หน้ากล้อง แม้ราคาจะสูงและต้องพึ่งพาการสมัครสมาชิก แต่คุณภาพของภาพและความสามารถขั้นสูงทำให้มันเป็นตัวเลือกที่จริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง
    ​​​​​​​ https://www.techradar.com/home/home-security/ring-outdoor-cam-pro-review
    📌📡🟡 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟡📡📌 #รวมข่าวIT #20251215 #TechRadar 📱 iPadOS 26.2: อัปเดตใหม่ที่ทำให้การทำงานหลายแอปง่ายขึ้น Apple ปล่อย iPadOS 26.2 ให้ผู้ใช้ทั่วโลกแล้ว จุดเด่นคือการปรับปรุงระบบ multitasking ที่เคยถูกถอดออกไปในเวอร์ชันก่อน ตอนนี้กลับมาอีกครั้ง คุณสามารถลากไอคอนแอปจาก Dock หรือ Spotlight ไปเปิดในโหมด Split View หรือ Slide Over ได้สะดวกขึ้น ทำให้การทำงานหลายแอปบนหน้าจอเดียวเป็นเรื่องง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การปรับแต่ง Liquid Glass บนหน้าล็อกสกรีน, ระบบแจ้งเตือนเร่งด่วนใน Reminders, การรองรับตารางใน Freeform, การสร้าง chapter ด้วย AI ใน Podcasts และเนื้อเพลงแบบออฟไลน์ใน Apple Music รวมถึงการปรับปรุงการค้นหาเกมใน Apple Games และดีไซน์ใหม่ใน Apple News เรียกได้ว่าเป็นการอัปเดตที่ยกระดับประสบการณ์ใช้งาน iPad ให้ครบเครื่องมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/tablets/ipad/ipados-26-2-is-rolling-out-now-and-it-makes-multitasking-much-easier-heres-whats-new 💾 Biwin Mini SSD: สตอเรจจิ๋วที่เร็วแรง แต่อนาคตยังไม่แน่ชัด Biwin เปิดตัว Mini SSD รุ่น CL100 ที่มีขนาดเล็กมากเพียง 15 x 17 x 1.4 มม. น้ำหนักแค่ 1 กรัม แต่ให้ความเร็วอ่านสูงสุด 3700MB/s และเขียน 3400MB/s พร้อมความทนทานกันน้ำ กันฝุ่น และกันตกจากความสูง 3 เมตร ใช้ถอดเปลี่ยนแบบถาด SIM ทำให้สะดวกต่อการใช้งานในอุปกรณ์พกพา นอกจากนี้ยังมี RD510 Enclosure ที่แปลง Mini SSD ให้เป็นฮาร์ดดิสก์พกพาแบบ USB4 ความเร็วสูง จุดแข็งคือเล็ก ทน และเร็ว แต่ปัญหาคือยังไม่มีผู้ผลิตรายอื่นเข้ามาร่วมมาตรฐานนี้ ทำให้อนาคตของ Mini SSD อาจซ้ำรอยกับฟอร์แมตเฉพาะที่เคยหายไปในอดีต หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลายบริษัท 🔗 https://www.techradar.com/pro/is-this-the-next-minidisc-exciting-mini-ssd-format-could-suffer-fate-of-sonys-data-format-if-it-doesnt-get-further-backing 🎮 AMD FSR Redstone: เทคโนโลยีอัปสเกลใหม่ที่ยังทำให้หลายคนงง AMD เปิดตัว FSR Redstone ที่รวม 4 เทคโนโลยี ได้แก่ FSR Upscaling, Frame Generation, Ray Regeneration และ Radiance Caching แต่การสื่อสารกลับทำให้ผู้ใช้สับสน เพราะบางฟีเจอร์เป็นของเดิมที่เปลี่ยนชื่อ บางฟีเจอร์ยังไม่พร้อมใช้งานจริง เช่น Radiance Caching ที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง จุดที่น่าสนใจคือ Frame Generation แบบใหม่ใช้ AI สร้างเฟรมเสริม ทำให้ภาพลื่นขึ้นและคุณภาพดีขึ้น แต่ทั้งหมดนี้รองรับเฉพาะการ์ดจอ RDNA 4 เท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รุ่นเก่าอดใช้ แม้จะลงทุนซื้อการ์ดจอราคาแพงไปแล้ว การเปิดตัวครั้งนี้จึงถูกมองว่าขาดความชัดเจน แต่ก็ยังเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ AMD ไล่ทันคู่แข่งอย่าง Nvidia 🔗 https://www.techradar.com/computing/gpu/confused-about-amds-fsr-redstone-update-youre-not-alone-heres-what-it-all-means-for-pc-gamers 🎨 Affinity & Canva: ปฏิวัติวงการด้วยซอฟต์แวร์ดีไซน์ฟรี Ash Hewson ซีอีโอของ Affinity ประกาศว่าแพลตฟอร์มดีไซน์ระดับโปรจะเปิดให้ใช้ฟรีทั้งหมด โดยร่วมมือกับ Canva เพื่อผลักดันแนวคิดว่า “ความคิดสร้างสรรค์ไม่ควรถูกจำกัดด้วยราคา” การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในวงการที่เคยถูกครอบงำด้วยซอฟต์แวร์แบบสมัครสมาชิกแพง ๆ Affinity รุ่นใหม่รวมเครื่องมือเวกเตอร์ การแต่งภาพ และการจัดเลย์เอาต์ไว้ในที่เดียว ทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำโดยไม่ลดทอนคุณภาพ จุดยืนคือไม่มีการซ่อนเงื่อนไข ไม่มีการเก็บข้อมูลลับ และไม่มีการบังคับใช้ AI ที่ไม่โปร่งใส นี่คือการยืนยันว่าซอฟต์แวร์ดีไซน์สามารถเป็น “สาธารณประโยชน์” ที่ทุกคนเข้าถึงได้ฟรีตลอดไป 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/affinity-ceo-reveals-why-canva-and-affinity-made-pro-design-software-free-and-what-that-means-for-creativity 🎼 Amadeus: ซีรีส์ใหม่ที่เล่า rivalry ของ Mozart และ Salieri Sky เปิดตัวซีรีส์ Amadeus ที่หยิบเรื่องราวการแข่งขันและความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่าง Mozart และ Salieri มาถ่ายทอดใหม่ในรูปแบบดราม่าเข้มข้น ซีรีส์นี้ผสมผสานความบันเทิงและความดราม่าได้อย่างลงตัว แม้บางตอนจะมีจังหวะช้าลง แต่การแสดงของ Will Sharpe และ Paul Bettany ถูกยกให้เป็นผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตการแสดงของพวกเขา จุดเด่นคือการตีความใหม่ที่ไม่ซ้ำกับเวอร์ชันภาพยนตร์ปี 1984 และยังเพิ่มมิติใหม่ด้วยการเล่าเรื่องการสร้างบทละครของ Peter Shaffer เอง ซีรีส์นี้ไม่เพียงแต่เล่าความขัดแย้ง แต่ยังสะท้อนพลังของดนตรีคลาสสิกที่ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้ชมยุคใหม่ 🔗 https://www.techradar.com/streaming/entertainment/amadeus-review-sky 🖥️ Toshiba เดินหน้าสู่ยุค HDD ความจุ 55TB Toshiba กำลังวางแผนพัฒนา HDD ที่มีความจุสูงถึง 55TB ภายในปี 2030 โดยเริ่มจากรุ่น 40TB ที่จะเปิดตัวในปี 2026–2027 ความก้าวหน้าครั้งนี้เกิดจากการเพิ่มจำนวนแผ่นจาน (platters) และการใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง MAMR และ HAMR ซึ่งช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลได้หนาแน่นขึ้นกว่าเดิม เส้นทางนี้สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจาก HDD รุ่น 10TB ในปี 2017 มาจนถึง 24TB ในปัจจุบัน และกำลังจะก้าวไปสู่ระดับที่ใหญ่ที่สุดในตลาด การเปลี่ยนจากแผ่นอลูมิเนียมเป็นแก้วก็ช่วยให้ทนทานและบางลง ทำให้สามารถซ้อนแผ่นได้มากขึ้น ถือเป็นการปูทางสู่ยุคใหม่ของการจัดเก็บข้อมูลขนาดมหึมา 🔗 https://www.techradar.com/pro/toshiba-wants-to-launch-a-55tb-hard-drive-by-2030-40tb-model-set-to-appear-in-2026-new-slides-show 📱 Android 17 เตรียมเพิ่ม Motion Cues ลดอาการเมารถ Google กำลังพัฒนา Motion Cues ฟีเจอร์ใหม่ใน Android 17 ที่ช่วยลดอาการเวียนหัวหรือเมารถเวลามองหน้าจอมือถือระหว่างการเดินทาง ฟีเจอร์นี้จะสร้างจุดเคลื่อนไหวบนหน้าจอให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวจริงของโทรศัพท์ ทำให้สมองไม่สับสนระหว่างภาพที่เห็นกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แนวคิดนี้คล้ายกับ Vehicle Motion Cues ที่ Apple เปิดตัวใน iOS 18 แต่การนำมาใช้ใน Android ต้องปรับระบบความปลอดภัยเพื่อให้สามารถแสดงผลทับบนหน้าจอได้เต็มรูปแบบ หากการทดสอบผ่านไปด้วยดี เราอาจได้เห็น Motion Cues เปิดตัวพร้อม Android 17 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า 🔗 https://www.techradar.com/phones/android/android-17-could-finally-introduce-motion-cues-to-combat-motion-sickness-matching-the-same-feature-in-ios 🔒 AI โจมตี SaaS ผ่านการปลอมแปลงตัวตน ภัยคุกคามใหม่ในโลกไซเบอร์ไม่ได้เริ่มจากมัลแวร์อีกต่อไป แต่เริ่มจาก “ตัวตน” ที่ถูกขโมยหรือสร้างขึ้นมาอย่างแนบเนียนด้วย AI แฮกเกอร์ใช้เทคโนโลยีสร้างอีเมลปลอมที่เหมือนจริง สร้างภาพถ่ายหรือบุคคลเสมือนเพื่อหลอกลวง และแม้กระทั่งใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลบัญชีที่ถูกขโมยเพื่อหาบัญชีที่มีสิทธิ์เข้าถึงสูงสุด เมื่อได้ตัวตนที่น่าเชื่อถือแล้ว พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระบบ SaaS ได้โดยตรงโดยไม่ถูกตรวจจับ นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้ “ตัวตน” กลายเป็นแนวรบหลักของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI 🔗 https://www.techradar.com/pro/inside-the-ai-powered-assault-on-saas-why-identity-is-the-weakest-link 📲 สมาร์ทโฟนปี 2026 ที่จะทำให้คุณตื่นเต้นอีกครั้ง แม้หลายคนจะรู้สึกเบื่อกับสมาร์ทโฟนที่ดูคล้ายกันไปหมด แต่ปี 2026 จะมีรุ่นใหม่ที่น่าสนใจ เช่น Xiaomi 17 Pro Max ที่มีหน้าจอด้านหลังและแบตเตอรี่ใหญ่ถึง 7,500mAh, Samsung Galaxy Z TriFold ที่พับได้สามตอนกลายเป็นแท็บเล็ต 10 นิ้ว, iPhone Fold ที่คาดว่าจะเปิดตัวพร้อม iPhone 18 และอาจเป็นรุ่นแรกที่ไม่มีรอยพับให้เห็น รวมถึง OnePlus 16 ที่สืบต่อความแรงจากรุ่นก่อน และ Ayaneo Pocket Play ที่รวมมือถือกับเครื่องเล่นเกมพกพาในเครื่องเดียว ทั้งหมดนี้คือการกลับมาของความตื่นเต้นในโลกสมาร์ทโฟน 🔗 https://www.techradar.com/phones/bored-with-smartphones-these-5-upcoming-flagships-could-change-your-mind-in-2026 🏡 รีวิว Ring Outdoor Cam Pro กล้องรักษาความปลอดภัย 4K Ring เปิดตัว Outdoor Cam Pro กล้องรักษาความปลอดภัยที่มาพร้อมความละเอียด 4K และซูมได้ถึง 10 เท่า ทำให้ภาพคมชัดกว่ารุ่นก่อนมาก กล้องนี้ต้องใช้ไฟบ้านเท่านั้น แต่ข้อดีคือสามารถบันทึกวิดีโอ 24/7 ได้เต็มรูปแบบ หากสมัครแพ็กเกจ Premium ที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ฟีเจอร์เด่นคือ Smart Video Search ที่ใช้ AI ค้นหาภาพจากคำ เช่น “คนใส่เสื้อสีแดง” และยังมีเสียงไซเรน 85dB รวมถึงระบบเสียงสองทางเพื่อสื่อสารกับผู้ที่อยู่หน้ากล้อง แม้ราคาจะสูงและต้องพึ่งพาการสมัครสมาชิก แต่คุณภาพของภาพและความสามารถขั้นสูงทำให้มันเป็นตัวเลือกที่จริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง ​​​​​​​🔗 https://www.techradar.com/home/home-security/ring-outdoor-cam-pro-review
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.45

    ข้อพิพาทชายแดนอันเป็นความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกระหว่างรัฐอธิปไตยอย่างน้อยสองรัฐเกี่ยวกับการกำหนดเส้นเขตแดน การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดน หรือการควบคุมพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงนั้น ถือเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาในมิติทางกฎหมาย ข้อพิพาทเหล่านี้มักไม่ได้มีสาเหตุเพียงเพราะความคลุมเครือทางภูมิศาสตร์หรือความแตกต่างทางชาติพันธุ์เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลพวงโดยตรงจากความไม่ชัดเจนหรือการตีความที่แตกต่างกันของเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศ อันได้แก่ สนธิสัญญาเก่าแก่ ข้อตกลงเขตแดน หรือแม้กระทั่งหลักการทางกฎหมายจารีตประเพณี การวิเคราะห์เชิงกฎหมายถือเป็นหัวใจสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งเหล่านี้ เนื่องจากการกำหนดเขตแดนระหว่างประเทศนั้นเป็นเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งผูกพันอยู่กับหลักการพื้นฐานเรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน (Territorial Sovereignty) และหลักการความศักดิ์สิทธิ์ของเขตแดน (Principle of Utis Possidetis Juris) กล่าวคือเมื่อมีการกำหนดเขตแดนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เขตแดนนั้นย่อมได้รับการยอมรับและไม่สามารถถูกละเมิดได้โดยง่าย หลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสนธิสัญญาถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพิจารณาข้อพิพาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนธิสัญญาและพิธีสารที่เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดนในอดีต ซึ่งบางครั้งอาจขาดความชัดเจนทางเทคนิค หรือถูกเขียนขึ้นในบริบททางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากปัจจุบัน ทำให้เกิดช่องว่างในการตีความตามหลักกฎหมายปัจจุบัน นอกจากนี้ บทบาทของแผนที่ที่มีการอ้างอิงถึงในสนธิสัญญา แต่มีความแตกต่างหรือขัดแย้งกันเอง ก็นับเป็นแหล่งที่มาของปัญหาทางกฎหมายที่ต้องมีการวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์และเจตจำนงร่วมของคู่สัญญาในขณะทำสนธิสัญญา นอกเหนือจากสนธิสัญญาแล้ว การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนยังเกี่ยวข้องกับการใช้หลักการเข้าถือครองดินแดน (Acquisition of Territory) ซึ่งรวมถึงการเข้าถือครองอย่างสันติและต่อเนื่อง (Effective Occupation) ในบางพื้นที่ที่ยังไม่มีการกำหนดเขตแดนที่ชัดเจน การแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยของรัฐ (Effectivités) อย่างเป็นทางการและต่อเนื่อง เช่น การบริหารราชการ การเก็บภาษี การบังคับใช้กฎหมาย หรือการดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่พิพาท จึงอาจถูกนำมาเป็นหลักฐานสำคัญในการสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ทางกฎหมาย การตัดสินใจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือคณะอนุญาโตตุลาการในคดีพิพาทชายแดนในอดีต ได้สร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่สำคัญหลายประการ ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพิจารณาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักฐานทางภูมิศาสตร์ และความสมเหตุสมผลในการใช้ชีวิตของประชากรในพื้นที่เป็นองค์ประกอบเสริมในการตีความเครื่องมือทางกฎหมาย การแก้ไขข้อพิพาทชายแดนจึงเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการประยุกต์ใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัดและเป็นกลาง โดยเริ่มต้นจากการเจรจาทางการทูต การใช้กระบวนการไกล่เกลี่ย หรือการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อหาข้อยุติที่อยู่บนพื้นฐานของความชอบด้วยกฎหมายและความเป็นธรรม

    ในทางปฏิบัติ ข้อพิพาทชายแดนเป็นมากกว่าเรื่องของการตีความเส้นบนแผนที่ แต่เป็นประเด็นที่ผูกโยงกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของชาติอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า เช่น แหล่งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือการเข้าถึงเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญ ผลประโยชน์เหล่านี้มักเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ข้อพิพาททวีความรุนแรงขึ้นและซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม หลักกฎหมายระหว่างประเทศจึงต้องเข้ามามีบทบาทในการสร้างกรอบการแก้ไขปัญหาที่ไม่ใช่เพียงการกำหนดเส้นเขตแดน แต่ต้องรวมถึงการจัดการทรัพยากรข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมผ่านข้อตกลงความร่วมมือ หรือการจัดตั้งเขตพัฒนาร่วม (Joint Development Zone) ซึ่งเป็นการแยกการจัดการผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจออกจากการอ้างสิทธิ์เหนืออำนาจอธิปไตย เพื่อลดความตึงเครียดและส่งเสริมสันติภาพในระยะยาว ข้อพิพาทเขตแดนจึงมีความท้าทายในทางกฎหมายที่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญในการตีความเอกสารทางกฎหมายและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีความซับซ้อนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่การตีความตามตัวอักษรของสนธิสัญญาอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมหรือขัดแย้งกับหลักการเข้าถือครองดินแดนที่มีมายาวนาน ดังนั้น การตัดสินใจทางกฎหมายจึงมักจะต้องพิจารณาหลักความเท่าเทียม (Equity) และความเป็นธรรมในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการประยุกต์ใช้กฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่ายและนำไปสู่ความมั่นคงในภูมิภาค

    โดยสรุปแล้ว ข้อพิพาทชายแดนเป็นปรากฏการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ถูกควบคุมและกำหนดทิศทางโดยกฎหมายระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความขัดแย้งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการปะทะกันทางทหารหรือทางการเมืองเท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้ทางกฎหมายที่มุ่งเน้นการพิสูจน์ความชอบธรรมของการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนบนพื้นฐานของสนธิสัญญา หลักกฎหมายจารีตประเพณี และการแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยอย่างมีประสิทธิภาพ การแก้ไขอย่างสันติและยั่งยืนจึงต้องยึดมั่นในหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ โดยการนำเครื่องมือทางกฎหมายมาใช้ในการตีความเอกสารที่คลุมเครือ การพิจารณาหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน และการใช้กลไกการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาทางการทูต หรือการพึ่งพาอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดความชัดเจนทางกฎหมายที่นำไปสู่การเคารพซึ่งกันและกันในอำนาจอธิปไตยเหนือพรมแดน และเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมั่นคงในประชาคมโลก
    บทความกฎหมาย EP.45 ข้อพิพาทชายแดนอันเป็นความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกระหว่างรัฐอธิปไตยอย่างน้อยสองรัฐเกี่ยวกับการกำหนดเส้นเขตแดน การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดน หรือการควบคุมพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงนั้น ถือเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาในมิติทางกฎหมาย ข้อพิพาทเหล่านี้มักไม่ได้มีสาเหตุเพียงเพราะความคลุมเครือทางภูมิศาสตร์หรือความแตกต่างทางชาติพันธุ์เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลพวงโดยตรงจากความไม่ชัดเจนหรือการตีความที่แตกต่างกันของเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศ อันได้แก่ สนธิสัญญาเก่าแก่ ข้อตกลงเขตแดน หรือแม้กระทั่งหลักการทางกฎหมายจารีตประเพณี การวิเคราะห์เชิงกฎหมายถือเป็นหัวใจสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งเหล่านี้ เนื่องจากการกำหนดเขตแดนระหว่างประเทศนั้นเป็นเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งผูกพันอยู่กับหลักการพื้นฐานเรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน (Territorial Sovereignty) และหลักการความศักดิ์สิทธิ์ของเขตแดน (Principle of Utis Possidetis Juris) กล่าวคือเมื่อมีการกำหนดเขตแดนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เขตแดนนั้นย่อมได้รับการยอมรับและไม่สามารถถูกละเมิดได้โดยง่าย หลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสนธิสัญญาถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพิจารณาข้อพิพาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนธิสัญญาและพิธีสารที่เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดนในอดีต ซึ่งบางครั้งอาจขาดความชัดเจนทางเทคนิค หรือถูกเขียนขึ้นในบริบททางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากปัจจุบัน ทำให้เกิดช่องว่างในการตีความตามหลักกฎหมายปัจจุบัน นอกจากนี้ บทบาทของแผนที่ที่มีการอ้างอิงถึงในสนธิสัญญา แต่มีความแตกต่างหรือขัดแย้งกันเอง ก็นับเป็นแหล่งที่มาของปัญหาทางกฎหมายที่ต้องมีการวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์และเจตจำนงร่วมของคู่สัญญาในขณะทำสนธิสัญญา นอกเหนือจากสนธิสัญญาแล้ว การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนยังเกี่ยวข้องกับการใช้หลักการเข้าถือครองดินแดน (Acquisition of Territory) ซึ่งรวมถึงการเข้าถือครองอย่างสันติและต่อเนื่อง (Effective Occupation) ในบางพื้นที่ที่ยังไม่มีการกำหนดเขตแดนที่ชัดเจน การแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยของรัฐ (Effectivités) อย่างเป็นทางการและต่อเนื่อง เช่น การบริหารราชการ การเก็บภาษี การบังคับใช้กฎหมาย หรือการดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่พิพาท จึงอาจถูกนำมาเป็นหลักฐานสำคัญในการสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ทางกฎหมาย การตัดสินใจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือคณะอนุญาโตตุลาการในคดีพิพาทชายแดนในอดีต ได้สร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่สำคัญหลายประการ ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพิจารณาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักฐานทางภูมิศาสตร์ และความสมเหตุสมผลในการใช้ชีวิตของประชากรในพื้นที่เป็นองค์ประกอบเสริมในการตีความเครื่องมือทางกฎหมาย การแก้ไขข้อพิพาทชายแดนจึงเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการประยุกต์ใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัดและเป็นกลาง โดยเริ่มต้นจากการเจรจาทางการทูต การใช้กระบวนการไกล่เกลี่ย หรือการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อหาข้อยุติที่อยู่บนพื้นฐานของความชอบด้วยกฎหมายและความเป็นธรรม ในทางปฏิบัติ ข้อพิพาทชายแดนเป็นมากกว่าเรื่องของการตีความเส้นบนแผนที่ แต่เป็นประเด็นที่ผูกโยงกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของชาติอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า เช่น แหล่งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือการเข้าถึงเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญ ผลประโยชน์เหล่านี้มักเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ข้อพิพาททวีความรุนแรงขึ้นและซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม หลักกฎหมายระหว่างประเทศจึงต้องเข้ามามีบทบาทในการสร้างกรอบการแก้ไขปัญหาที่ไม่ใช่เพียงการกำหนดเส้นเขตแดน แต่ต้องรวมถึงการจัดการทรัพยากรข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมผ่านข้อตกลงความร่วมมือ หรือการจัดตั้งเขตพัฒนาร่วม (Joint Development Zone) ซึ่งเป็นการแยกการจัดการผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจออกจากการอ้างสิทธิ์เหนืออำนาจอธิปไตย เพื่อลดความตึงเครียดและส่งเสริมสันติภาพในระยะยาว ข้อพิพาทเขตแดนจึงมีความท้าทายในทางกฎหมายที่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญในการตีความเอกสารทางกฎหมายและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีความซับซ้อนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่การตีความตามตัวอักษรของสนธิสัญญาอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมหรือขัดแย้งกับหลักการเข้าถือครองดินแดนที่มีมายาวนาน ดังนั้น การตัดสินใจทางกฎหมายจึงมักจะต้องพิจารณาหลักความเท่าเทียม (Equity) และความเป็นธรรมในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการประยุกต์ใช้กฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่ายและนำไปสู่ความมั่นคงในภูมิภาค โดยสรุปแล้ว ข้อพิพาทชายแดนเป็นปรากฏการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ถูกควบคุมและกำหนดทิศทางโดยกฎหมายระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความขัดแย้งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการปะทะกันทางทหารหรือทางการเมืองเท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้ทางกฎหมายที่มุ่งเน้นการพิสูจน์ความชอบธรรมของการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนบนพื้นฐานของสนธิสัญญา หลักกฎหมายจารีตประเพณี และการแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยอย่างมีประสิทธิภาพ การแก้ไขอย่างสันติและยั่งยืนจึงต้องยึดมั่นในหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ โดยการนำเครื่องมือทางกฎหมายมาใช้ในการตีความเอกสารที่คลุมเครือ การพิจารณาหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน และการใช้กลไกการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาทางการทูต หรือการพึ่งพาอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดความชัดเจนทางกฎหมายที่นำไปสู่การเคารพซึ่งกันและกันในอำนาจอธิปไตยเหนือพรมแดน และเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมั่นคงในประชาคมโลก
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • สมองมนุษย์ยังเหนือกว่า AI ด้วย "เลโก้ทางปัญญา"

    งานวิจัยจาก Princeton University เผยว่าแม้ AI จะทำงานได้เก่งในงานเฉพาะ แต่สมองมนุษย์ยังมีความสามารถที่เหนือกว่าในการ โอนย้ายทักษะจากงานหนึ่งไปสู่อีกงานหนึ่ง ผ่านสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “cognitive Legos” หรือบล็อกทางปัญญาที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่และประกอบเข้าด้วยกันเพื่อสร้างการแก้ปัญหาใหม่ ๆ

    การทดลองกับลิง Rhesus
    ทีมวิจัยใช้ลิง Rhesus macaques ในการทดลอง โดยให้พวกมันแยกแยะรูปทรงและสีบนหน้าจอ พร้อมตอบสนองด้วยการมองไปในทิศทางที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันมีการสแกนสมองเพื่อดูรูปแบบการทำงาน พบว่าเซลล์ประสาทในสมองสามารถจัดกลุ่มเป็นบล็อกที่ใช้ซ้ำได้ในหลายงาน ซึ่งต่างจาก AI ที่มักเกิดปัญหา catastrophic forgetting คือเมื่อเรียนงานใหม่แล้วลืมงานเก่า

    ความยืดหยุ่นของสมอง
    นักวิจัยอธิบายว่า สมองสามารถ “ปิด” บล็อกที่ไม่จำเป็นในขณะทำงาน และ “เปิด” บล็อกที่เกี่ยวข้องได้ตามสถานการณ์ คล้ายกับการเรียกใช้ฟังก์ชันในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สิ่งนี้ทำให้มนุษย์สามารถปรับตัวกับงานใหม่ ๆ ได้รวดเร็ว โดยอาศัยความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นจุดที่ AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้เต็มที่

    ความหมายต่ออนาคต
    การค้นพบนี้ไม่เพียงช่วยให้เข้าใจความยืดหยุ่นของสมองมนุษย์ แต่ยังอาจนำไปใช้ในการพัฒนา AI ที่สามารถเรียนรู้หลายงานโดยไม่ลืมงานเดิม รวมถึงการรักษาโรคทางระบบประสาทและจิตเวชที่เกี่ยวข้องกับการขาดความสามารถในการปรับใช้ทักษะในบริบทใหม่ ๆ

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบจากงานวิจัย
    สมองมนุษย์ใช้ “cognitive Legos” เพื่อโอนย้ายทักษะ
    สามารถปรับตัวกับงานใหม่ได้ดีกว่า AI

    การทดลอง
    ใช้ลิง Rhesus macaques ในการทดสอบ
    พบการจัดกลุ่มเซลล์สมองเป็นบล็อกที่ใช้ซ้ำได้

    ความหมาย
    อธิบายความยืดหยุ่นของสมองมนุษย์
    ช่วยพัฒนา AI และการรักษาโรคทางสมอง

    ข้อจำกัด
    AI ยังมีปัญหา catastrophic forgetting
    ต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประยุกต์ใช้กับมนุษย์และการแพทย์

    https://www.sciencealert.com/our-brains-can-still-outsmart-ai-using-one-clever-trick
    🧠 สมองมนุษย์ยังเหนือกว่า AI ด้วย "เลโก้ทางปัญญา" งานวิจัยจาก Princeton University เผยว่าแม้ AI จะทำงานได้เก่งในงานเฉพาะ แต่สมองมนุษย์ยังมีความสามารถที่เหนือกว่าในการ โอนย้ายทักษะจากงานหนึ่งไปสู่อีกงานหนึ่ง ผ่านสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “cognitive Legos” หรือบล็อกทางปัญญาที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่และประกอบเข้าด้วยกันเพื่อสร้างการแก้ปัญหาใหม่ ๆ 🔬 การทดลองกับลิง Rhesus ทีมวิจัยใช้ลิง Rhesus macaques ในการทดลอง โดยให้พวกมันแยกแยะรูปทรงและสีบนหน้าจอ พร้อมตอบสนองด้วยการมองไปในทิศทางที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันมีการสแกนสมองเพื่อดูรูปแบบการทำงาน พบว่าเซลล์ประสาทในสมองสามารถจัดกลุ่มเป็นบล็อกที่ใช้ซ้ำได้ในหลายงาน ซึ่งต่างจาก AI ที่มักเกิดปัญหา catastrophic forgetting คือเมื่อเรียนงานใหม่แล้วลืมงานเก่า 🛠️ ความยืดหยุ่นของสมอง นักวิจัยอธิบายว่า สมองสามารถ “ปิด” บล็อกที่ไม่จำเป็นในขณะทำงาน และ “เปิด” บล็อกที่เกี่ยวข้องได้ตามสถานการณ์ คล้ายกับการเรียกใช้ฟังก์ชันในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สิ่งนี้ทำให้มนุษย์สามารถปรับตัวกับงานใหม่ ๆ ได้รวดเร็ว โดยอาศัยความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นจุดที่ AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้เต็มที่ 🌍 ความหมายต่ออนาคต การค้นพบนี้ไม่เพียงช่วยให้เข้าใจความยืดหยุ่นของสมองมนุษย์ แต่ยังอาจนำไปใช้ในการพัฒนา AI ที่สามารถเรียนรู้หลายงานโดยไม่ลืมงานเดิม รวมถึงการรักษาโรคทางระบบประสาทและจิตเวชที่เกี่ยวข้องกับการขาดความสามารถในการปรับใช้ทักษะในบริบทใหม่ ๆ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบจากงานวิจัย ➡️ สมองมนุษย์ใช้ “cognitive Legos” เพื่อโอนย้ายทักษะ ➡️ สามารถปรับตัวกับงานใหม่ได้ดีกว่า AI ✅ การทดลอง ➡️ ใช้ลิง Rhesus macaques ในการทดสอบ ➡️ พบการจัดกลุ่มเซลล์สมองเป็นบล็อกที่ใช้ซ้ำได้ ✅ ความหมาย ➡️ อธิบายความยืดหยุ่นของสมองมนุษย์ ➡️ ช่วยพัฒนา AI และการรักษาโรคทางสมอง ‼️ ข้อจำกัด ⛔ AI ยังมีปัญหา catastrophic forgetting ⛔ ต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประยุกต์ใช้กับมนุษย์และการแพทย์ https://www.sciencealert.com/our-brains-can-still-outsmart-ai-using-one-clever-trick
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Our Brains Can Still Outsmart AI Using One Clever Trick
    Despite the rapid advances in artificial intelligence in recent years, the humble human brain still has the edge over computers in its ability to transfer skills and learn across tasks.
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • ดีเอ็นเอจากเส้นผม Beethoven เผยความลับ 200 ปีต่อมา

    นักวิจัยจาก Max Planck Institute for Evolutionary Anthropology และมหาวิทยาลัย Cambridge ได้ทำการวิเคราะห์เส้นผมที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นของ Ludwig van Beethoven เพื่อหาสาเหตุการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตของเขา ผลการศึกษาล่าสุดเผยให้เห็นข้อมูลใหม่ที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับสุขภาพและประวัติครอบครัวของคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่

    สุขภาพและโรคที่พบ
    ทีมวิจัยพบหลักฐานการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงด้านพันธุกรรมและการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Beethoven เสียชีวิตด้วยโรคตับในวัยเพียง 56 ปี นอกจากนี้ยังพบความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคตับและปัญหาทางเดินอาหาร แต่ไม่พบสาเหตุชัดเจนของการสูญเสียการได้ยินที่ทำให้เขากลายเป็นคนหูหนวก

    การค้นพบด้านสายเลือด
    การเปรียบเทียบโครโมโซม Y จากเส้นผมกับลูกหลานสายตรงของครอบครัว Beethoven พบความไม่ตรงกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมี “การเกิดนอกสายสมรส” (extrapair paternity) ในช่วงหลายรุ่นก่อนหน้า นี่เป็นข้อมูลที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน และอาจเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติครอบครัวของเขา

    ความหมายต่อประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์
    การศึกษานี้ไม่เพียงช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับสุขภาพของ Beethoven แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้ DNA โบราณในการทำความเข้าใจบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ การค้นพบดังกล่าวยังสะท้อนถึงความซับซ้อนของโรคทางพันธุกรรมและการติดเชื้อที่อาจส่งผลต่อชีวิตและผลงานของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่

    สรุปสาระสำคัญ
    สุขภาพของ Beethoven
    พบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
    มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคตับและทางเดินอาหาร

    การค้นพบใหม่
    ไม่พบสาเหตุชัดเจนของการสูญเสียการได้ยิน
    พบความไม่ตรงกันในโครโมโซม Y ของสายครอบครัว

    ความหมายต่อวิทยาศาสตร์
    ใช้ DNA โบราณไขปริศนาทางประวัติศาสตร์
    เปิดมุมมองใหม่ต่อชีวิตและผลงานของ Beethoven

    ข้อควรระวัง
    การตีความข้อมูลพันธุกรรมยังไม่สามารถยืนยันสาเหตุการเสียชีวิตได้ 100%
    ความลับด้านสายเลือดอาจสร้างข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์

    https://www.sciencealert.com/dna-from-beethovens-hair-reveals-a-surprise-200-years-later
    🎼 ดีเอ็นเอจากเส้นผม Beethoven เผยความลับ 200 ปีต่อมา นักวิจัยจาก Max Planck Institute for Evolutionary Anthropology และมหาวิทยาลัย Cambridge ได้ทำการวิเคราะห์เส้นผมที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นของ Ludwig van Beethoven เพื่อหาสาเหตุการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตของเขา ผลการศึกษาล่าสุดเผยให้เห็นข้อมูลใหม่ที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับสุขภาพและประวัติครอบครัวของคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ 🧬 สุขภาพและโรคที่พบ ทีมวิจัยพบหลักฐานการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงด้านพันธุกรรมและการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Beethoven เสียชีวิตด้วยโรคตับในวัยเพียง 56 ปี นอกจากนี้ยังพบความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคตับและปัญหาทางเดินอาหาร แต่ไม่พบสาเหตุชัดเจนของการสูญเสียการได้ยินที่ทำให้เขากลายเป็นคนหูหนวก 🧩 การค้นพบด้านสายเลือด การเปรียบเทียบโครโมโซม Y จากเส้นผมกับลูกหลานสายตรงของครอบครัว Beethoven พบความไม่ตรงกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมี “การเกิดนอกสายสมรส” (extrapair paternity) ในช่วงหลายรุ่นก่อนหน้า นี่เป็นข้อมูลที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน และอาจเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติครอบครัวของเขา ⚠️ ความหมายต่อประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ การศึกษานี้ไม่เพียงช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับสุขภาพของ Beethoven แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้ DNA โบราณในการทำความเข้าใจบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ การค้นพบดังกล่าวยังสะท้อนถึงความซับซ้อนของโรคทางพันธุกรรมและการติดเชื้อที่อาจส่งผลต่อชีวิตและผลงานของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สุขภาพของ Beethoven ➡️ พบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ➡️ มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคตับและทางเดินอาหาร ✅ การค้นพบใหม่ ➡️ ไม่พบสาเหตุชัดเจนของการสูญเสียการได้ยิน ➡️ พบความไม่ตรงกันในโครโมโซม Y ของสายครอบครัว ✅ ความหมายต่อวิทยาศาสตร์ ➡️ ใช้ DNA โบราณไขปริศนาทางประวัติศาสตร์ ➡️ เปิดมุมมองใหม่ต่อชีวิตและผลงานของ Beethoven ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การตีความข้อมูลพันธุกรรมยังไม่สามารถยืนยันสาเหตุการเสียชีวิตได้ 100% ⛔ ความลับด้านสายเลือดอาจสร้างข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ https://www.sciencealert.com/dna-from-beethovens-hair-reveals-a-surprise-200-years-later
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    DNA From Beethoven's Hair Reveals a Surprise 200 Years Later
    On a stormy Monday in March, 1827, the German composer Ludwig van Beethoven passed away after a protracted illness.
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • Apple Smart Glasses กับชิปใหม่ที่ไม่ใช่ iPhone

    รายงานล่าสุดเผยว่า Apple Smart Glasses รุ่นแรกอาจใช้ชิปที่ไม่ใช่ตระกูล iPhone A-series เพื่อแก้ปัญหาแบตเตอรี่ที่เป็นข้อจำกัดใหญ่ที่สุดของอุปกรณ์สวมใส่ประเภทนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า Apple จะเลือกใช้ ชิปจาก Apple Watch (SiP – System-in-Package) ที่มีความประหยัดพลังงานสูง

    ปัญหาแบตเตอรี่และแนวทางแก้ไข
    อุปกรณ์สวมใส่เช่นแว่นตาอัจฉริยะจำเป็นต้องมีน้ำหนักเบา ทำให้ไม่สามารถใส่แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ได้ หากใช้ชิป iPhone ที่กินพลังงานสูง แบตเตอรี่จะหมดภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ชิป S10 จาก Apple Watch Ultra 3 สามารถทำงานได้ยาวนานถึง 42 ชั่วโมง และถึง 72 ชั่วโมงในโหมดประหยัดพลังงาน จึงถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับ Smart Glasses

    ฟีเจอร์ที่คาดว่าจะมี
    แม้จะไม่ใช้ชิป iPhone แต่ Smart Glasses จะยังคงรองรับฟีเจอร์หลัก เช่น การเชื่อมต่อกับ iPhone หรือ Mac, การสั่งงาน Siri, การประมวลผล AI เบื้องต้น และการทำงานร่วมกับกล้องหลายตัวเพื่อแสดงภาพหรือข้อมูลเสริม โดยรุ่นแรกอาจยังไม่มีจอแสดงผลในตัว แต่จะทำงานผ่านการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นแทน

    แผนการเปิดตัว
    มีรายงานว่า Apple Smart Glasses รุ่นแรกจะเปิดตัวในปี 2026 และรุ่นที่สองในปี 2027 ซึ่งอาจรองรับการทำงานสองระบบปฏิบัติการขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ Apple พยายามสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาด AR/VR ที่ยังแข่งขันกันอย่างดุเดือด

    สรุปสาระสำคัญ
    การเลือกใช้ชิป
    ใช้ชิป Apple Watch SiP (S10) แทน A-series
    ประหยัดพลังงานมากกว่าและเหมาะกับแบตเตอรี่เล็ก

    ปัญหาที่แก้ไข
    ลดการใช้พลังงานเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่
    ทำให้อุปกรณ์เบาและใช้งานได้นานขึ้น

    ฟีเจอร์ที่คาดว่าจะมี
    รองรับ Siri และ AI เบื้องต้น
    เชื่อมต่อกับ iPhone/Mac และกล้องหลายตัว

    ข้อจำกัดและความท้าทาย
    รุ่นแรกอาจไม่มีจอแสดงผลในตัว
    ต้องรอการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อใช้งานเต็มรูปแบบ

    https://wccftech.com/apple-smart-glasses-to-use-non-iphone-chipset-to-possibly-overcome-battery-life-issues/
    👓 Apple Smart Glasses กับชิปใหม่ที่ไม่ใช่ iPhone รายงานล่าสุดเผยว่า Apple Smart Glasses รุ่นแรกอาจใช้ชิปที่ไม่ใช่ตระกูล iPhone A-series เพื่อแก้ปัญหาแบตเตอรี่ที่เป็นข้อจำกัดใหญ่ที่สุดของอุปกรณ์สวมใส่ประเภทนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า Apple จะเลือกใช้ ชิปจาก Apple Watch (SiP – System-in-Package) ที่มีความประหยัดพลังงานสูง 🔋 ปัญหาแบตเตอรี่และแนวทางแก้ไข อุปกรณ์สวมใส่เช่นแว่นตาอัจฉริยะจำเป็นต้องมีน้ำหนักเบา ทำให้ไม่สามารถใส่แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ได้ หากใช้ชิป iPhone ที่กินพลังงานสูง แบตเตอรี่จะหมดภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ชิป S10 จาก Apple Watch Ultra 3 สามารถทำงานได้ยาวนานถึง 42 ชั่วโมง และถึง 72 ชั่วโมงในโหมดประหยัดพลังงาน จึงถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับ Smart Glasses 🛠️ ฟีเจอร์ที่คาดว่าจะมี แม้จะไม่ใช้ชิป iPhone แต่ Smart Glasses จะยังคงรองรับฟีเจอร์หลัก เช่น การเชื่อมต่อกับ iPhone หรือ Mac, การสั่งงาน Siri, การประมวลผล AI เบื้องต้น และการทำงานร่วมกับกล้องหลายตัวเพื่อแสดงภาพหรือข้อมูลเสริม โดยรุ่นแรกอาจยังไม่มีจอแสดงผลในตัว แต่จะทำงานผ่านการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นแทน 🚀 แผนการเปิดตัว มีรายงานว่า Apple Smart Glasses รุ่นแรกจะเปิดตัวในปี 2026 และรุ่นที่สองในปี 2027 ซึ่งอาจรองรับการทำงานสองระบบปฏิบัติการขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ Apple พยายามสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาด AR/VR ที่ยังแข่งขันกันอย่างดุเดือด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเลือกใช้ชิป ➡️ ใช้ชิป Apple Watch SiP (S10) แทน A-series ➡️ ประหยัดพลังงานมากกว่าและเหมาะกับแบตเตอรี่เล็ก ✅ ปัญหาที่แก้ไข ➡️ ลดการใช้พลังงานเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ ➡️ ทำให้อุปกรณ์เบาและใช้งานได้นานขึ้น ✅ ฟีเจอร์ที่คาดว่าจะมี ➡️ รองรับ Siri และ AI เบื้องต้น ➡️ เชื่อมต่อกับ iPhone/Mac และกล้องหลายตัว ‼️ ข้อจำกัดและความท้าทาย ⛔ รุ่นแรกอาจไม่มีจอแสดงผลในตัว ⛔ ต้องรอการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อใช้งานเต็มรูปแบบ https://wccftech.com/apple-smart-glasses-to-use-non-iphone-chipset-to-possibly-overcome-battery-life-issues/
    WCCFTECH.COM
    Apple’s Smart Glasses Could Overcome Its Battery Problem While Still Retaining Top-Notch Features And Functionality Using A Non-iPhone Chipset
    The first pair of smart glasses from Apple could feature a non-iPhone chipset to address the battery life problems while also sporting a ton of functionality
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • นักพัฒนาปลดล็อกเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะจาก Cloud

    Steffen นักพัฒนาชาวสวีเดน-เยอรมัน ได้สร้างเฟิร์มแวร์ใหม่สำหรับ Xiaomi Mi Smart Antibacterial Humidifier ที่ใช้ชิป ESP8266/ESP32 ทำให้เครื่องสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับ Cloud ของ Xiaomi อีกต่อไป การปรับแต่งนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมเครื่องผ่าน Home Assistant ได้โดยตรงในระบบ Local ซึ่งเป็นการเพิ่มความเป็นส่วนตัวและความยืดหยุ่นในการใช้งาน

    วิธีการแฮ็กและติดตั้งเฟิร์มแวร์
    ขั้นตอนเริ่มจากการถอดเครื่องเพื่อเข้าถึงโมดูล Wi-Fi ภายใน จากนั้นทำการบัดกรีสายเข้ากับพอร์ต UART ของชิป ESP8266 และแฟลชเฟิร์มแวร์ใหม่ด้วยเครื่องมือเช่น esptool.py หรือ ESPHome เมื่อเสร็จสิ้น เครื่องจะสามารถสื่อสารผ่าน MQTT และเชื่อมต่อกับ Home Assistant ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    ประโยชน์และผลกระทบ
    การปลดล็อกนี้ช่วยให้ผู้ใช้หลีกเลี่ยงปัญหา vendor lock-in และการส่งข้อมูลส่วนตัวไปยัง Cloud ของบริษัท อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่อง ไม่ต้องกังวลว่าบริการ Cloud จะถูกปิดในอนาคต นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการทำงาน เช่น ตั้งค่าความชื้น, ปิดเสียง, ปิดไฟ LED หรือเชื่อมต่อกับระบบอัตโนมัติอื่น ๆ ได้อย่างอิสระ

    ข้อควรระวัง
    แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่การแฟลชเฟิร์มแวร์ใหม่ก็มีความเสี่ยง เช่น การสูญเสียการรับประกัน, ความเสี่ยงจากการบัดกรีผิดพลาด, หรือการไม่สามารถกู้คืนเฟิร์มแวร์เดิมได้ หากไม่ได้ทำการสำรองไว้ก่อน ผู้ใช้จึงควรมีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์และการเขียนโปรแกรมเบื้องต้นก่อนลงมือ

    สรุปสาระสำคัญ
    การปลดล็อก Xiaomi Smart Humidifier
    ใช้เฟิร์มแวร์ ESPHome บนชิป ESP8266
    ทำงานร่วมกับ Home Assistant แบบ Local

    ประโยชน์ที่ได้รับ
    เพิ่มความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องส่งข้อมูลไป Cloud
    หลีกเลี่ยง planned obsolescence และยืดอายุการใช้งาน

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    การแฟลชเฟิร์มแวร์อาจทำให้หมดประกัน
    หากไม่สำรองเฟิร์มแวร์เดิม อาจไม่สามารถกู้คืนได้

    https://www.tomshardware.com/maker-stem/microcontrollers-projects/dev-hacks-xiaomis-smart-humidifier-to-free-it-from-the-cloud-now-works-with-home-assistant-locally-custom-firmware-allows-the-product-to-evade-planned-obsolescence
    💡 นักพัฒนาปลดล็อกเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะจาก Cloud Steffen นักพัฒนาชาวสวีเดน-เยอรมัน ได้สร้างเฟิร์มแวร์ใหม่สำหรับ Xiaomi Mi Smart Antibacterial Humidifier ที่ใช้ชิป ESP8266/ESP32 ทำให้เครื่องสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับ Cloud ของ Xiaomi อีกต่อไป การปรับแต่งนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมเครื่องผ่าน Home Assistant ได้โดยตรงในระบบ Local ซึ่งเป็นการเพิ่มความเป็นส่วนตัวและความยืดหยุ่นในการใช้งาน 🔧 วิธีการแฮ็กและติดตั้งเฟิร์มแวร์ ขั้นตอนเริ่มจากการถอดเครื่องเพื่อเข้าถึงโมดูล Wi-Fi ภายใน จากนั้นทำการบัดกรีสายเข้ากับพอร์ต UART ของชิป ESP8266 และแฟลชเฟิร์มแวร์ใหม่ด้วยเครื่องมือเช่น esptool.py หรือ ESPHome เมื่อเสร็จสิ้น เครื่องจะสามารถสื่อสารผ่าน MQTT และเชื่อมต่อกับ Home Assistant ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ภายนอก 🛡️ ประโยชน์และผลกระทบ การปลดล็อกนี้ช่วยให้ผู้ใช้หลีกเลี่ยงปัญหา vendor lock-in และการส่งข้อมูลส่วนตัวไปยัง Cloud ของบริษัท อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่อง ไม่ต้องกังวลว่าบริการ Cloud จะถูกปิดในอนาคต นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการทำงาน เช่น ตั้งค่าความชื้น, ปิดเสียง, ปิดไฟ LED หรือเชื่อมต่อกับระบบอัตโนมัติอื่น ๆ ได้อย่างอิสระ ⚠️ ข้อควรระวัง แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่การแฟลชเฟิร์มแวร์ใหม่ก็มีความเสี่ยง เช่น การสูญเสียการรับประกัน, ความเสี่ยงจากการบัดกรีผิดพลาด, หรือการไม่สามารถกู้คืนเฟิร์มแวร์เดิมได้ หากไม่ได้ทำการสำรองไว้ก่อน ผู้ใช้จึงควรมีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์และการเขียนโปรแกรมเบื้องต้นก่อนลงมือ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การปลดล็อก Xiaomi Smart Humidifier ➡️ ใช้เฟิร์มแวร์ ESPHome บนชิป ESP8266 ➡️ ทำงานร่วมกับ Home Assistant แบบ Local ✅ ประโยชน์ที่ได้รับ ➡️ เพิ่มความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องส่งข้อมูลไป Cloud ➡️ หลีกเลี่ยง planned obsolescence และยืดอายุการใช้งาน ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ การแฟลชเฟิร์มแวร์อาจทำให้หมดประกัน ⛔ หากไม่สำรองเฟิร์มแวร์เดิม อาจไม่สามารถกู้คืนได้ https://www.tomshardware.com/maker-stem/microcontrollers-projects/dev-hacks-xiaomis-smart-humidifier-to-free-it-from-the-cloud-now-works-with-home-assistant-locally-custom-firmware-allows-the-product-to-evade-planned-obsolescence
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • จากเสื่อจริงสู่สนามเสมือน – VR Taekwondo กำลังเติบโตในมาเลเซีย

    ในงานสาธิตที่มหาวิทยาลัย APU กรุงกัวลาลัมเปอร์ นักกีฬา taekwondo ใช้ VR headset, motion sensors และ joysticks เพื่อแข่งขันกันในสนามเสมือนจริง โดยระบบจะคำนวณคะแนนจากการเตะที่แม่นยำและรวดเร็ว ทำให้ผู้เล่นสามารถฝึกและแข่งขันโดยไม่ต้องเสี่ยงบาดเจ็บจากการปะทะจริง

    การแข่งขันและการยอมรับ
    Master Tony Lee ผู้ฝึกสอนทีมชาติมาเลเซียเผยว่า VR Taekwondo เริ่มได้รับความนิยมในสโมสรท้องถิ่นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และมีนักกีฬามาเลเซียติดอันดับ 4 ในการแข่งขัน World Taekwondo Virtual Championships ที่สิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีการจัด การแข่งขันระดับมหาวิทยาลัย ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 19 ทีม โดยนักกีฬามาเลเซียสามารถคว้าเหรียญทองในประเภท Young Adult

    เทคโนโลยีและการฝึกซ้อม
    ระบบ VR Taekwondo ใช้ซอฟต์แวร์ VTKD ที่พัฒนาโดย World Taekwondo และบริษัท Refract Technologies จากสิงคโปร์ อุปกรณ์ประกอบด้วย node ติดตามการเคลื่อนไหว 5 จุดบนร่างกาย และต้องใช้ WiFi 6 เพื่อให้การเล่นราบรื่น ผู้ฝึกสอนย้ำว่าการแข่งขัน VR ไม่ได้แทนที่การฝึกจริง แต่ช่วยเสริมด้านความแม่นยำ, stamina และการวิเคราะห์ฟอร์มของนักกีฬา

    อนาคตของ VR Taekwondo
    สมาคม Taekwondo Malaysia และกระทรวงเยาวชนและกีฬาเตรียมส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน VR ระดับนานาชาติในปี 2026 ที่เกาหลีใต้ แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องค่าอุปกรณ์ที่สูง (ประมาณ RM15,000–30,000 ต่อชุด) แต่ผู้ฝึกสอนเชื่อว่า VR จะเป็น เครื่องมือเสริมการฝึกซ้อม และช่วยดึงดูดเยาวชนรุ่นใหม่เข้าสู่กีฬา taekwondo

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การเกิดขึ้นของ VR Taekwondo
    ใช้ VR headset และ motion sensors แทนการปะทะจริง
    ลดความเสี่ยงบาดเจ็บและเปิดโอกาสให้เด็กเข้าร่วมมากขึ้น

    การแข่งขันและความสำเร็จ
    นักกีฬามาเลเซียติดอันดับ 4 ใน World Taekwondo Virtual Championships
    การแข่งขันระดับมหาวิทยาลัยมีผู้เข้าร่วม 19 ทีม

    เทคโนโลยีที่ใช้
    ซอฟต์แวร์ VTKD พัฒนาโดย World Taekwondo และ Refract Technologies
    ใช้ node 5 จุดและ WiFi 6 เพื่อความแม่นยำ

    อนาคตและการสนับสนุน
    Taekwondo Malaysia และกระทรวงเยาวชนเตรียมส่งนักกีฬาไปแข่งที่เกาหลีใต้ปี 2026
    ค่าอุปกรณ์สูง แต่ช่วยเสริมการฝึกและดึงดูดเยาวชน

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ค่าอุปกรณ์สูง RM15,000–30,000 อาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึง
    VR ไม่สามารถแทนที่การฝึกจริงด้านการสัมผัสและแรงปะทะ
    ปัญหาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอาจทำให้การแข่งขันสะดุด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/15/from-traditional-mats-to-virtual-arenas-the-rise-of-vr-taekwondo-in-malaysia
    🥋 จากเสื่อจริงสู่สนามเสมือน – VR Taekwondo กำลังเติบโตในมาเลเซีย ในงานสาธิตที่มหาวิทยาลัย APU กรุงกัวลาลัมเปอร์ นักกีฬา taekwondo ใช้ VR headset, motion sensors และ joysticks เพื่อแข่งขันกันในสนามเสมือนจริง โดยระบบจะคำนวณคะแนนจากการเตะที่แม่นยำและรวดเร็ว ทำให้ผู้เล่นสามารถฝึกและแข่งขันโดยไม่ต้องเสี่ยงบาดเจ็บจากการปะทะจริง 🎮 การแข่งขันและการยอมรับ Master Tony Lee ผู้ฝึกสอนทีมชาติมาเลเซียเผยว่า VR Taekwondo เริ่มได้รับความนิยมในสโมสรท้องถิ่นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และมีนักกีฬามาเลเซียติดอันดับ 4 ในการแข่งขัน World Taekwondo Virtual Championships ที่สิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีการจัด การแข่งขันระดับมหาวิทยาลัย ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 19 ทีม โดยนักกีฬามาเลเซียสามารถคว้าเหรียญทองในประเภท Young Adult ⚡ เทคโนโลยีและการฝึกซ้อม ระบบ VR Taekwondo ใช้ซอฟต์แวร์ VTKD ที่พัฒนาโดย World Taekwondo และบริษัท Refract Technologies จากสิงคโปร์ อุปกรณ์ประกอบด้วย node ติดตามการเคลื่อนไหว 5 จุดบนร่างกาย และต้องใช้ WiFi 6 เพื่อให้การเล่นราบรื่น ผู้ฝึกสอนย้ำว่าการแข่งขัน VR ไม่ได้แทนที่การฝึกจริง แต่ช่วยเสริมด้านความแม่นยำ, stamina และการวิเคราะห์ฟอร์มของนักกีฬา 🚀 อนาคตของ VR Taekwondo สมาคม Taekwondo Malaysia และกระทรวงเยาวชนและกีฬาเตรียมส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน VR ระดับนานาชาติในปี 2026 ที่เกาหลีใต้ แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องค่าอุปกรณ์ที่สูง (ประมาณ RM15,000–30,000 ต่อชุด) แต่ผู้ฝึกสอนเชื่อว่า VR จะเป็น เครื่องมือเสริมการฝึกซ้อม และช่วยดึงดูดเยาวชนรุ่นใหม่เข้าสู่กีฬา taekwondo 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การเกิดขึ้นของ VR Taekwondo ➡️ ใช้ VR headset และ motion sensors แทนการปะทะจริง ➡️ ลดความเสี่ยงบาดเจ็บและเปิดโอกาสให้เด็กเข้าร่วมมากขึ้น ✅ การแข่งขันและความสำเร็จ ➡️ นักกีฬามาเลเซียติดอันดับ 4 ใน World Taekwondo Virtual Championships ➡️ การแข่งขันระดับมหาวิทยาลัยมีผู้เข้าร่วม 19 ทีม ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ ซอฟต์แวร์ VTKD พัฒนาโดย World Taekwondo และ Refract Technologies ➡️ ใช้ node 5 จุดและ WiFi 6 เพื่อความแม่นยำ ✅ อนาคตและการสนับสนุน ➡️ Taekwondo Malaysia และกระทรวงเยาวชนเตรียมส่งนักกีฬาไปแข่งที่เกาหลีใต้ปี 2026 ➡️ ค่าอุปกรณ์สูง แต่ช่วยเสริมการฝึกและดึงดูดเยาวชน ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ค่าอุปกรณ์สูง RM15,000–30,000 อาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึง ⛔ VR ไม่สามารถแทนที่การฝึกจริงด้านการสัมผัสและแรงปะทะ ⛔ ปัญหาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอาจทำให้การแข่งขันสะดุด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/15/from-traditional-mats-to-virtual-arenas-the-rise-of-vr-taekwondo-in-malaysia
    WWW.THESTAR.COM.MY
    From traditional mats to virtual arenas: The rise of VR taekwondo in Malaysia
    Malaysia's taekwondo scene is going virtual, with opponents sparring in the digital realm using VR headsets.
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • Microsoft แนะ 11 วิธีเร่งความเร็ว Windows

    Microsoft เผยแนวทางแก้ไขสำหรับผู้ใช้ที่พบว่าเครื่อง Windows ทำงานช้าลง โดยมีทั้งการปรับตั้งค่าซอฟต์แวร์และการจัดการฮาร์ดแวร์ วิธีการเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสอบอัปเดต, การสแกนไวรัส, การลบไฟล์ชั่วคราว ไปจนถึงการปิดแอปที่รันพื้นหลังโดยไม่จำเป็น จุดสำคัญคือการจัดการทรัพยากรให้เหมาะสม เพื่อให้เครื่องกลับมาทำงานได้เร็วขึ้น

    เทคนิคการปรับแต่งระบบ
    หนึ่งในคำแนะนำคือ ตรวจสอบ Startup Apps ผ่าน Task Manager เพื่อปิดโปรแกรมที่ไม่จำเป็นต้องเปิดพร้อมระบบ นอกจากนี้ยังมีการ ลด Visual Effects โดยเลือกโหมด “Adjust for best performance” เพื่อให้เครื่องใช้ทรัพยากรน้อยลง อีกทั้งยังสามารถ ตั้งค่า Power Mode เป็น Best performance หากใช้เครื่องแบบเสียบไฟตลอดเวลา เพื่อให้ได้ความเร็วสูงสุด

    การจัดการพื้นที่และทรัพยากร
    Microsoft แนะนำให้ ลบไฟล์ชั่วคราวและโปรแกรมที่ไม่ใช้แล้ว ผ่าน Storage Sense และ Disk Cleanup รวมถึงการ ตรวจสอบโปรเซสที่กินทรัพยากรสูง แล้ว End task ได้ทันทีใน Task Manager อีกทั้งยังมีการ Defragment และ Optimize Drives เพื่อให้การอ่านเขียนข้อมูลเร็วขึ้น และการปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นเพื่อไม่ให้เครื่องทำงานหนักเกินไป

    ทางเลือกเพิ่มเติม: รีสตาร์ทหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์
    หากวิธีทั้งหมดไม่ช่วยมากนัก Microsoft แนะนำให้ รีสตาร์ทเครื่อง เพื่อเคลียร์โปรเซสที่ค้างอยู่ และหากยังช้าอยู่ อาจพิจารณา อัปเกรดฮาร์ดแวร์ เช่น เปลี่ยนไปใช้ SSD หรือเพิ่ม RAM ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้เครื่องเร็วขึ้นอย่างเห็นผลโดยไม่ต้องซื้อคอมใหม่

    สรุปเป็นหัวข้อ
    วิธีแก้ปัญหา Windows ช้า
    ตรวจสอบและติดตั้ง Windows Update
    สแกนไวรัสด้วย Microsoft Defender หรือโปรแกรมอื่น
    ลบไฟล์ชั่วคราวด้วย Storage Sense และ Disk Cleanup
    ถอนการติดตั้งแอปที่ไม่จำเป็น และปิด Background apps
    ปิด Startup apps ที่ไม่จำเป็นใน Task Manager
    ตรวจสอบโปรเซสที่กิน CPU/Memory แล้ว End task
    ลด Visual Effects เพื่อประหยัดทรัพยากร
    ตั้งค่า Power Mode เป็น Best performance
    Defragment และ Optimize Drives
    ปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น
    ปิดแอปและแท็บเบราว์เซอร์ที่ไม่ใช้

    ทางเลือกเพิ่มเติม
    รีสตาร์ทเครื่องเพื่อเคลียร์โปรเซส
    อัปเกรดฮาร์ดแวร์ เช่น SSD หรือ RAM

    คำเตือน
    การปิดแอปหรือโปรเซสผิดอาจทำให้ระบบไม่เสถียร
    การปรับ Power Mode เป็น Best performance อาจทำให้แบตหมดเร็วขึ้น
    การ Defragment ไม่เหมาะกับ SSD เพราะอาจลดอายุการใช้งาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/14/windows-running-slow-microsofts-11-quick-fixes-to-speed-up-your-pc
    ⚡ Microsoft แนะ 11 วิธีเร่งความเร็ว Windows Microsoft เผยแนวทางแก้ไขสำหรับผู้ใช้ที่พบว่าเครื่อง Windows ทำงานช้าลง โดยมีทั้งการปรับตั้งค่าซอฟต์แวร์และการจัดการฮาร์ดแวร์ วิธีการเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสอบอัปเดต, การสแกนไวรัส, การลบไฟล์ชั่วคราว ไปจนถึงการปิดแอปที่รันพื้นหลังโดยไม่จำเป็น จุดสำคัญคือการจัดการทรัพยากรให้เหมาะสม เพื่อให้เครื่องกลับมาทำงานได้เร็วขึ้น 🖥️ เทคนิคการปรับแต่งระบบ หนึ่งในคำแนะนำคือ ตรวจสอบ Startup Apps ผ่าน Task Manager เพื่อปิดโปรแกรมที่ไม่จำเป็นต้องเปิดพร้อมระบบ นอกจากนี้ยังมีการ ลด Visual Effects โดยเลือกโหมด “Adjust for best performance” เพื่อให้เครื่องใช้ทรัพยากรน้อยลง อีกทั้งยังสามารถ ตั้งค่า Power Mode เป็น Best performance หากใช้เครื่องแบบเสียบไฟตลอดเวลา เพื่อให้ได้ความเร็วสูงสุด 🔧 การจัดการพื้นที่และทรัพยากร Microsoft แนะนำให้ ลบไฟล์ชั่วคราวและโปรแกรมที่ไม่ใช้แล้ว ผ่าน Storage Sense และ Disk Cleanup รวมถึงการ ตรวจสอบโปรเซสที่กินทรัพยากรสูง แล้ว End task ได้ทันทีใน Task Manager อีกทั้งยังมีการ Defragment และ Optimize Drives เพื่อให้การอ่านเขียนข้อมูลเร็วขึ้น และการปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นเพื่อไม่ให้เครื่องทำงานหนักเกินไป 🚀 ทางเลือกเพิ่มเติม: รีสตาร์ทหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์ หากวิธีทั้งหมดไม่ช่วยมากนัก Microsoft แนะนำให้ รีสตาร์ทเครื่อง เพื่อเคลียร์โปรเซสที่ค้างอยู่ และหากยังช้าอยู่ อาจพิจารณา อัปเกรดฮาร์ดแวร์ เช่น เปลี่ยนไปใช้ SSD หรือเพิ่ม RAM ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้เครื่องเร็วขึ้นอย่างเห็นผลโดยไม่ต้องซื้อคอมใหม่ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ วิธีแก้ปัญหา Windows ช้า ➡️ ตรวจสอบและติดตั้ง Windows Update ➡️ สแกนไวรัสด้วย Microsoft Defender หรือโปรแกรมอื่น ➡️ ลบไฟล์ชั่วคราวด้วย Storage Sense และ Disk Cleanup ➡️ ถอนการติดตั้งแอปที่ไม่จำเป็น และปิด Background apps ➡️ ปิด Startup apps ที่ไม่จำเป็นใน Task Manager ➡️ ตรวจสอบโปรเซสที่กิน CPU/Memory แล้ว End task ➡️ ลด Visual Effects เพื่อประหยัดทรัพยากร ➡️ ตั้งค่า Power Mode เป็น Best performance ➡️ Defragment และ Optimize Drives ➡️ ปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น ➡️ ปิดแอปและแท็บเบราว์เซอร์ที่ไม่ใช้ ✅ ทางเลือกเพิ่มเติม ➡️ รีสตาร์ทเครื่องเพื่อเคลียร์โปรเซส ➡️ อัปเกรดฮาร์ดแวร์ เช่น SSD หรือ RAM ‼️ คำเตือน ⛔ การปิดแอปหรือโปรเซสผิดอาจทำให้ระบบไม่เสถียร ⛔ การปรับ Power Mode เป็น Best performance อาจทำให้แบตหมดเร็วขึ้น ⛔ การ Defragment ไม่เหมาะกับ SSD เพราะอาจลดอายุการใช้งาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/14/windows-running-slow-microsofts-11-quick-fixes-to-speed-up-your-pc
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Windows running slow? Microsoft's 11 quick fixes to speed up your PC
    If Windows is feeling sluggish, there can be many reasons, from your computer's storage being almost full to too many programs starting with the operating system.
    0 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
  • ข่าว: VPN หลายเจ้าโฆษณาเกินจริง ตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ตรงกับความจริง

    การศึกษาล่าสุดจาก IPinfo วิเคราะห์ VPN 20 ราย พบว่า 17 รายมีการ mismatch ระหว่างประเทศที่โฆษณากับประเทศที่ทราฟฟิกออกจริง โดยบางเจ้าอ้างว่ามีเซิร์ฟเวอร์กว่า 100 ประเทศ แต่แท้จริงแล้วใช้เพียงไม่กี่ศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ และยุโรป การตรวจสอบกว่า 150,000 IP พบว่ามีถึง 38 ประเทศที่เป็น “virtual-only” คือมีชื่ออยู่ในรายการ แต่ไม่เคยมีการเชื่อมต่อจริงเลย

    Virtual Location: ภาพลวงตาของการเชื่อมต่อ
    ตัวอย่างเช่น VPN ที่ให้ผู้ใช้เลือก “Bahamas” หรือ “Somalia” แต่การวัด latency และ routing แสดงว่าทราฟฟิกจริงออกจากสหรัฐฯ หรือยุโรป การตั้งค่าเช่นนี้ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าตัวเองอยู่ในประเทศที่เลือก ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่ การพึ่งพาเพียงข้อมูล self-declared ของผู้ให้บริการยิ่งทำให้ฐานข้อมูล IP อื่น ๆ ติดตามผิดพลาดไปด้วย

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจาก VPN
    นอกจากปัญหาการโฆษณาเกินจริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า VPN ยังมีช่องโหว่หลายประการ เช่น การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle หากเซิร์ฟเวอร์ถูกเจาะ, การรั่วไหลของข้อมูล (IP/DNS leaks), การใช้โปรโตคอลเข้ารหัสที่อ่อนแอ, หรือแม้แต่การเจอผู้ให้บริการ VPN ที่แฝงมัลแวร์และขายข้อมูลผู้ใช้ต่อไป ความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้การเลือก VPN ที่น่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญมาก

    บทเรียนสำหรับผู้ใช้
    รายงานนี้ไม่ใช่การบอกว่า VPN ทั้งหมด “ไม่ดี” แต่ชี้ให้เห็นว่า ผู้ใช้ควรตรวจสอบความโปร่งใสของผู้ให้บริการ เช่น การระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ใดเป็น virtual, มีการทดสอบ latency จริงหรือไม่ และมีนโยบายไม่เก็บ log ที่ชัดเจนหรือเปล่า การใช้ VPN ที่มีมาตรฐานเข้ารหัสแข็งแรงและมีชื่อเสียงด้านความโปร่งใส จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ผลการศึกษา VPN
    17 จาก 20 ผู้ให้บริการมีตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ตรงกับที่โฆษณา
    พบ 38 ประเทศที่เป็น “virtual-only” ไม่มีเซิร์ฟเวอร์จริง

    ตัวอย่าง Virtual Location
    Bahamas ที่แท้จริงเชื่อมต่อจากสหรัฐฯ
    Somalia ที่แท้จริงเชื่อมต่อจากฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร

    ผู้ให้บริการที่ตรวจสอบแล้วตรงจริง
    Mullvad, IVPN และ Windscribe ไม่มี mismatch

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    Man-in-the-Middle Attack หากเซิร์ฟเวอร์ถูกเจาะ
    การรั่วไหลของข้อมูล (IP/DNS leaks)
    VPN ปลอมที่แฝงมัลแวร์และขายข้อมูลผู้ใช้
    โปรโตคอลเข้ารหัสที่อ่อนแอ ทำให้ถูกเจาะได้ง่าย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    อย่าเลือก VPN เพียงเพราะจำนวนประเทศที่โฆษณา
    ตรวจสอบนโยบายความโปร่งใสและการไม่เก็บ log ก่อนใช้งาน

    https://ipinfo.io/blog/vpn-location-mismatch-report
    🌐 ข่าว: VPN หลายเจ้าโฆษณาเกินจริง ตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ตรงกับความจริง การศึกษาล่าสุดจาก IPinfo วิเคราะห์ VPN 20 ราย พบว่า 17 รายมีการ mismatch ระหว่างประเทศที่โฆษณากับประเทศที่ทราฟฟิกออกจริง โดยบางเจ้าอ้างว่ามีเซิร์ฟเวอร์กว่า 100 ประเทศ แต่แท้จริงแล้วใช้เพียงไม่กี่ศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ และยุโรป การตรวจสอบกว่า 150,000 IP พบว่ามีถึง 38 ประเทศที่เป็น “virtual-only” คือมีชื่ออยู่ในรายการ แต่ไม่เคยมีการเชื่อมต่อจริงเลย 🔍 Virtual Location: ภาพลวงตาของการเชื่อมต่อ ตัวอย่างเช่น VPN ที่ให้ผู้ใช้เลือก “Bahamas” หรือ “Somalia” แต่การวัด latency และ routing แสดงว่าทราฟฟิกจริงออกจากสหรัฐฯ หรือยุโรป การตั้งค่าเช่นนี้ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าตัวเองอยู่ในประเทศที่เลือก ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่ การพึ่งพาเพียงข้อมูล self-declared ของผู้ให้บริการยิ่งทำให้ฐานข้อมูล IP อื่น ๆ ติดตามผิดพลาดไปด้วย ⚠️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจาก VPN นอกจากปัญหาการโฆษณาเกินจริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า VPN ยังมีช่องโหว่หลายประการ เช่น การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle หากเซิร์ฟเวอร์ถูกเจาะ, การรั่วไหลของข้อมูล (IP/DNS leaks), การใช้โปรโตคอลเข้ารหัสที่อ่อนแอ, หรือแม้แต่การเจอผู้ให้บริการ VPN ที่แฝงมัลแวร์และขายข้อมูลผู้ใช้ต่อไป ความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้การเลือก VPN ที่น่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญมาก 🛡️ บทเรียนสำหรับผู้ใช้ รายงานนี้ไม่ใช่การบอกว่า VPN ทั้งหมด “ไม่ดี” แต่ชี้ให้เห็นว่า ผู้ใช้ควรตรวจสอบความโปร่งใสของผู้ให้บริการ เช่น การระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ใดเป็น virtual, มีการทดสอบ latency จริงหรือไม่ และมีนโยบายไม่เก็บ log ที่ชัดเจนหรือเปล่า การใช้ VPN ที่มีมาตรฐานเข้ารหัสแข็งแรงและมีชื่อเสียงด้านความโปร่งใส จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ผลการศึกษา VPN ➡️ 17 จาก 20 ผู้ให้บริการมีตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ตรงกับที่โฆษณา ➡️ พบ 38 ประเทศที่เป็น “virtual-only” ไม่มีเซิร์ฟเวอร์จริง ✅ ตัวอย่าง Virtual Location ➡️ Bahamas ที่แท้จริงเชื่อมต่อจากสหรัฐฯ ➡️ Somalia ที่แท้จริงเชื่อมต่อจากฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ✅ ผู้ให้บริการที่ตรวจสอบแล้วตรงจริง ➡️ Mullvad, IVPN และ Windscribe ไม่มี mismatch ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ Man-in-the-Middle Attack หากเซิร์ฟเวอร์ถูกเจาะ ⛔ การรั่วไหลของข้อมูล (IP/DNS leaks) ⛔ VPN ปลอมที่แฝงมัลแวร์และขายข้อมูลผู้ใช้ ⛔ โปรโตคอลเข้ารหัสที่อ่อนแอ ทำให้ถูกเจาะได้ง่าย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ อย่าเลือก VPN เพียงเพราะจำนวนประเทศที่โฆษณา ⛔ ตรวจสอบนโยบายความโปร่งใสและการไม่เก็บ log ก่อนใช้งาน https://ipinfo.io/blog/vpn-location-mismatch-report
    IPINFO.IO
    Should You Trust Your VPN Location?
    17 out of 20 popular VPNs exit traffic from different countries than they claim. Dig into what that means and why it matters in our VPN report.
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • Microservices ไม่ใช่คำตอบเสมอไป

    บทความนี้จาก Twilio พูดถึงการเปลี่ยนแปลงแนวคิดจาก Microservices ไปสู่สถาปัตยกรรมที่เรียบง่ายขึ้น เน้นการลดความซับซ้อนและการจัดการที่ง่ายกว่า โดยชี้ให้เห็นว่าการใช้ microservices ไม่ได้เหมาะสมกับทุกกรณี และบางครั้งอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์

    บทความอธิบายว่าแม้ microservices จะได้รับความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่การนำไปใช้โดยไม่พิจารณาให้เหมาะสมกับบริบท อาจทำให้ระบบซับซ้อนเกินไป ทั้งในด้านการจัดการ การสื่อสารระหว่างบริการ และการบำรุงรักษา ทีมพัฒนาหลายแห่งพบว่าการแยกบริการออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการดูแล

    ปัญหาที่เกิดจาก Microservices
    หนึ่งในปัญหาหลักคือการ overhead ของการสื่อสารระหว่างบริการ ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง นอกจากนี้ยังมีความท้าทายในการทำ observability และ debugging เนื่องจากระบบถูกแยกออกเป็นหลายส่วน การ deploy และการจัดการเวอร์ชันก็ซับซ้อนขึ้น ทำให้ทีมต้องใช้เวลาและเครื่องมือมากขึ้นในการควบคุม

    ทางเลือกใหม่: Monolith ที่ปรับปรุงแล้ว
    บทความเสนอว่าในหลายกรณี การใช้ monolith ที่ออกแบบดี อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการและการ deploy ระบบ การรวมโค้ดไว้ในที่เดียวทำให้การตรวจสอบและการแก้ไขง่ายขึ้น อีกทั้งยังลดค่าใช้จ่ายในการดูแลโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนเกินจำเป็น

    บทเรียนสำหรับนักพัฒนา
    สิ่งสำคัญคือการเลือกสถาปัตยกรรมให้เหมาะสมกับขนาดทีมและความต้องการของระบบ ไม่ใช่การตามกระแสเทคโนโลยี Microservices อาจเหมาะกับองค์กรใหญ่ที่มีทีมแยกชัดเจน แต่สำหรับทีมเล็กหรือโปรเจกต์ที่ไม่ซับซ้อน การใช้ monolith ที่ปรับปรุงแล้วอาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Microservices ไม่ได้เหมาะกับทุกระบบ
    อาจสร้างความซับซ้อนในการจัดการและบำรุงรักษา
    มี overhead ในการสื่อสารระหว่างบริการ

    ปัญหาที่พบจากการใช้ Microservices
    Observability และ debugging ยากขึ้น
    การ deploy และจัดการเวอร์ชันซับซ้อน

    ทางเลือกใหม่
    Monolith ที่ออกแบบดีสามารถลดความซับซ้อน
    ง่ายต่อการตรวจสอบและแก้ไข

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนา
    อย่าเลือกสถาปัตยกรรมเพียงเพราะเป็นกระแส
    หากทีมเล็กหรือระบบไม่ซับซ้อน Microservices อาจเป็นภาระมากกว่าประโยชน์

    https://www.twilio.com/en-us/blog/developers/best-practices/goodbye-microservices
    🏗️ Microservices ไม่ใช่คำตอบเสมอไป บทความนี้จาก Twilio พูดถึงการเปลี่ยนแปลงแนวคิดจาก Microservices ไปสู่สถาปัตยกรรมที่เรียบง่ายขึ้น เน้นการลดความซับซ้อนและการจัดการที่ง่ายกว่า โดยชี้ให้เห็นว่าการใช้ microservices ไม่ได้เหมาะสมกับทุกกรณี และบางครั้งอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์ บทความอธิบายว่าแม้ microservices จะได้รับความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่การนำไปใช้โดยไม่พิจารณาให้เหมาะสมกับบริบท อาจทำให้ระบบซับซ้อนเกินไป ทั้งในด้านการจัดการ การสื่อสารระหว่างบริการ และการบำรุงรักษา ทีมพัฒนาหลายแห่งพบว่าการแยกบริการออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการดูแล ⚙️ ปัญหาที่เกิดจาก Microservices หนึ่งในปัญหาหลักคือการ overhead ของการสื่อสารระหว่างบริการ ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง นอกจากนี้ยังมีความท้าทายในการทำ observability และ debugging เนื่องจากระบบถูกแยกออกเป็นหลายส่วน การ deploy และการจัดการเวอร์ชันก็ซับซ้อนขึ้น ทำให้ทีมต้องใช้เวลาและเครื่องมือมากขึ้นในการควบคุม 🌐 ทางเลือกใหม่: Monolith ที่ปรับปรุงแล้ว บทความเสนอว่าในหลายกรณี การใช้ monolith ที่ออกแบบดี อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการและการ deploy ระบบ การรวมโค้ดไว้ในที่เดียวทำให้การตรวจสอบและการแก้ไขง่ายขึ้น อีกทั้งยังลดค่าใช้จ่ายในการดูแลโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนเกินจำเป็น 🔮 บทเรียนสำหรับนักพัฒนา สิ่งสำคัญคือการเลือกสถาปัตยกรรมให้เหมาะสมกับขนาดทีมและความต้องการของระบบ ไม่ใช่การตามกระแสเทคโนโลยี Microservices อาจเหมาะกับองค์กรใหญ่ที่มีทีมแยกชัดเจน แต่สำหรับทีมเล็กหรือโปรเจกต์ที่ไม่ซับซ้อน การใช้ monolith ที่ปรับปรุงแล้วอาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Microservices ไม่ได้เหมาะกับทุกระบบ ➡️ อาจสร้างความซับซ้อนในการจัดการและบำรุงรักษา ➡️ มี overhead ในการสื่อสารระหว่างบริการ ✅ ปัญหาที่พบจากการใช้ Microservices ➡️ Observability และ debugging ยากขึ้น ➡️ การ deploy และจัดการเวอร์ชันซับซ้อน ✅ ทางเลือกใหม่ ➡️ Monolith ที่ออกแบบดีสามารถลดความซับซ้อน ➡️ ง่ายต่อการตรวจสอบและแก้ไข ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนา ⛔ อย่าเลือกสถาปัตยกรรมเพียงเพราะเป็นกระแส ⛔ หากทีมเล็กหรือระบบไม่ซับซ้อน Microservices อาจเป็นภาระมากกว่าประโยชน์ https://www.twilio.com/en-us/blog/developers/best-practices/goodbye-microservices
    WWW.TWILIO.COM
    Goodbye Microservices
    Discover Twilio’s shift to a single powerful service! Learn cloud communication trends, customer success stories, and how to build scalable apps. Join now!
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.19 Release Candidate (RC1)

    Linus Torvalds ได้ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.19 RC1 เพื่อให้ชุมชนผู้พัฒนาและผู้ใช้ได้ทดสอบกันก่อนที่จะออกเวอร์ชันเสถียร ตัว RC1 นี้ถือเป็นก้าวแรกของการพัฒนา kernel รุ่นใหม่ ที่จะมาพร้อมกับการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพ ความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ และการแก้ไขบั๊กที่สะสมมาจากรุ่นก่อนหน้า

    ฟีเจอร์และการปรับปรุงที่น่าสนใจ
    แม้รายละเอียดเชิงลึกยังอยู่ในขั้นทดสอบ แต่ kernel รุ่นใหม่นี้มีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น:
    การรองรับ ฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ทั้ง CPU และ GPU
    การปรับปรุง ระบบไฟล์และการจัดการหน่วยความจำ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    การแก้ไขบั๊กและเพิ่มความเสถียรในการทำงานกับระบบที่ใช้ Linux ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เซิร์ฟเวอร์, IoT และอุปกรณ์พกพา

    ผลกระทบต่อผู้ใช้งานและนักพัฒนา
    สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป การเปิดตัว RC1 หมายถึงการเริ่มต้นของการทดสอบที่อาจยังมีบั๊กอยู่ แต่สำหรับนักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ นี่คือโอกาสในการตรวจสอบความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์กับ kernel รุ่นใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการอัปเดตเวอร์ชันเสถียรในอนาคต

    กำหนดการออกตัวเต็ม
    ตามแผนการพัฒนา Linux Kernel ปกติ ตัวเต็มของ Linux Kernel 6.19 คาดว่าจะออกในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2026 หากไม่มีปัญหาหนักระหว่างการทดสอบ RC ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก kernel 6.18 ที่เพิ่งออกไปไม่นาน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Linux Kernel 6.19 RC1 เปิดตัวแล้ว
    เป็นเวอร์ชันทดสอบแรกของซีรีส์ใหม่
    เปิดให้ชุมชนช่วยทดสอบและรายงานบั๊ก

    ฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุง
    รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่
    ปรับปรุงระบบไฟล์และการจัดการหน่วยความจำ

    ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
    ผู้ใช้ทั่วไปควรรอเวอร์ชันเสถียร
    นักพัฒนาควรเริ่มทดสอบความเข้ากันได้

    กำหนดการออกตัวเต็ม
    คาดว่าจะออกต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2026

    คำเตือนด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพ
    RC1 ยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในระบบ production
    อาจมีบั๊กที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

    https://9to5linux.com/linus-torvalds-announces-first-linux-kernel-6-19-release-candidate
    🐧 Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.19 Release Candidate (RC1) Linus Torvalds ได้ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.19 RC1 เพื่อให้ชุมชนผู้พัฒนาและผู้ใช้ได้ทดสอบกันก่อนที่จะออกเวอร์ชันเสถียร ตัว RC1 นี้ถือเป็นก้าวแรกของการพัฒนา kernel รุ่นใหม่ ที่จะมาพร้อมกับการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพ ความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ และการแก้ไขบั๊กที่สะสมมาจากรุ่นก่อนหน้า ⚙️ ฟีเจอร์และการปรับปรุงที่น่าสนใจ แม้รายละเอียดเชิงลึกยังอยู่ในขั้นทดสอบ แต่ kernel รุ่นใหม่นี้มีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น: 💠 การรองรับ ฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ทั้ง CPU และ GPU 💠 การปรับปรุง ระบบไฟล์และการจัดการหน่วยความจำ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 💠 การแก้ไขบั๊กและเพิ่มความเสถียรในการทำงานกับระบบที่ใช้ Linux ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เซิร์ฟเวอร์, IoT และอุปกรณ์พกพา 🌐 ผลกระทบต่อผู้ใช้งานและนักพัฒนา สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป การเปิดตัว RC1 หมายถึงการเริ่มต้นของการทดสอบที่อาจยังมีบั๊กอยู่ แต่สำหรับนักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ นี่คือโอกาสในการตรวจสอบความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์กับ kernel รุ่นใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการอัปเดตเวอร์ชันเสถียรในอนาคต 🔮 กำหนดการออกตัวเต็ม ตามแผนการพัฒนา Linux Kernel ปกติ ตัวเต็มของ Linux Kernel 6.19 คาดว่าจะออกในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2026 หากไม่มีปัญหาหนักระหว่างการทดสอบ RC ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก kernel 6.18 ที่เพิ่งออกไปไม่นาน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Linux Kernel 6.19 RC1 เปิดตัวแล้ว ➡️ เป็นเวอร์ชันทดสอบแรกของซีรีส์ใหม่ ➡️ เปิดให้ชุมชนช่วยทดสอบและรายงานบั๊ก ✅ ฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุง ➡️ รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ➡️ ปรับปรุงระบบไฟล์และการจัดการหน่วยความจำ ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปควรรอเวอร์ชันเสถียร ➡️ นักพัฒนาควรเริ่มทดสอบความเข้ากันได้ ✅ กำหนดการออกตัวเต็ม ➡️ คาดว่าจะออกต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2026 ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพ ⛔ RC1 ยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในระบบ production ⛔ อาจมีบั๊กที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข https://9to5linux.com/linus-torvalds-announces-first-linux-kernel-6-19-release-candidate
    9TO5LINUX.COM
    Linus Torvalds Announces First Linux Kernel 6.19 Release Candidate - 9to5Linux
    Linus Torvalds announced the general availability of the first Release Candidate of the upcoming Linux 6.19 kernel series for public testing.
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ RasMan: เสี่ยงต่อการยกระดับสิทธิ์

    นักวิจัยจาก 0patch พบว่ามีช่องโหว่ในบริการ RasMan ของ Windows ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดการการเชื่อมต่อ Remote Access โดยปัญหานี้ถูกค้นพบระหว่างการวิเคราะห์ช่องโหว่เดิม (CVE-2025-59230) ที่ Microsoft เพิ่งแก้ไขไป แต่กลับพบว่า exploit ที่ใช้โจมตีมี “อาวุธลับ” คือช่องโหว่ใหม่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้ผู้โจมตีสามารถทำให้บริการ RasMan crash ได้แม้จะไม่มีสิทธิ์ระดับสูง

    กลไกการโจมตี
    ช่องโหว่เดิม (CVE-2025-59230) อาศัยการหลอกให้บริการ privileged เชื่อมต่อไปยัง endpoint ที่ผู้โจมตีควบคุม แต่ปัญหาคือ RasMan มักจะเริ่มทำงานอัตโนมัติทันทีเมื่อ Windows เปิดเครื่อง ทำให้การโจมตีทำได้ยาก เพื่อแก้ปัญหานี้ exploit จึงใช้ช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถ บังคับให้ RasMan crash ได้ตามต้องการ โดยเกิดจากการจัดการ linked list ที่ผิดพลาด เมื่อ pointer กลายเป็น NULL โปรแกรมยังคงอ่านต่อไปจนเกิด memory access violation และ crash

    ผลกระทบต่อระบบ
    หากผู้โจมตีสามารถทำให้ RasMan crash และหยุดทำงานได้ จะเปิดโอกาสให้ exploit เดิมทำงานต่อเนื่องจนสามารถยกระดับสิทธิ์เป็น Local System ได้ ซึ่งหมายถึงการเข้าถึงและควบคุมเครื่องในระดับสูงสุด ผลกระทบคือ:
    การเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระบบ
    การติดตั้งมัลแวร์หรือ backdoor
    การใช้เครื่องเป็นฐานโจมตีเครือข่ายอื่น

    การแก้ไขและคำแนะนำ
    แม้ Microsoft ยังไม่ได้ออกแพตช์อย่างเป็นทางการ แต่ 0patch ได้ปล่อย micropatch เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยเพิ่มการตรวจสอบ pointer ที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการ crash ผู้ใช้ Windows 7, Windows 10, Windows 11 และ Server 2008 R2 ควรรีบติดตั้ง micropatch หรือรอการอัปเดตจาก Microsoft เพื่อความปลอดภัย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ RasMan ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
    ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถบังคับให้บริการ crash ได้
    ใช้ร่วมกับ CVE-2025-59230 เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น Local System

    ผลกระทบ
    เสี่ยงต่อการยึดครองเครื่องเต็มรูปแบบ
    อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายอื่น

    การแก้ไข
    0patch ปล่อย micropatch แก้ไขแล้ว
    Microsoft คาดว่าจะออกแพตช์ในอนาคต

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    หากยังไม่ได้ติดตั้ง micropatch หรืออัปเดต มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี
    ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบ log และระบบ monitoring เพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติ

    https://securityonline.info/unpatched-windows-rasman-flaw-allows-unprivileged-crash-enabling-local-system-privilege-escalation-exploit/
    🖥️ ช่องโหว่ RasMan: เสี่ยงต่อการยกระดับสิทธิ์ นักวิจัยจาก 0patch พบว่ามีช่องโหว่ในบริการ RasMan ของ Windows ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดการการเชื่อมต่อ Remote Access โดยปัญหานี้ถูกค้นพบระหว่างการวิเคราะห์ช่องโหว่เดิม (CVE-2025-59230) ที่ Microsoft เพิ่งแก้ไขไป แต่กลับพบว่า exploit ที่ใช้โจมตีมี “อาวุธลับ” คือช่องโหว่ใหม่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้ผู้โจมตีสามารถทำให้บริการ RasMan crash ได้แม้จะไม่มีสิทธิ์ระดับสูง ⚙️ กลไกการโจมตี ช่องโหว่เดิม (CVE-2025-59230) อาศัยการหลอกให้บริการ privileged เชื่อมต่อไปยัง endpoint ที่ผู้โจมตีควบคุม แต่ปัญหาคือ RasMan มักจะเริ่มทำงานอัตโนมัติทันทีเมื่อ Windows เปิดเครื่อง ทำให้การโจมตีทำได้ยาก เพื่อแก้ปัญหานี้ exploit จึงใช้ช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถ บังคับให้ RasMan crash ได้ตามต้องการ โดยเกิดจากการจัดการ linked list ที่ผิดพลาด เมื่อ pointer กลายเป็น NULL โปรแกรมยังคงอ่านต่อไปจนเกิด memory access violation และ crash 🌐 ผลกระทบต่อระบบ หากผู้โจมตีสามารถทำให้ RasMan crash และหยุดทำงานได้ จะเปิดโอกาสให้ exploit เดิมทำงานต่อเนื่องจนสามารถยกระดับสิทธิ์เป็น Local System ได้ ซึ่งหมายถึงการเข้าถึงและควบคุมเครื่องในระดับสูงสุด ผลกระทบคือ: 💠 การเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระบบ 💠 การติดตั้งมัลแวร์หรือ backdoor 💠 การใช้เครื่องเป็นฐานโจมตีเครือข่ายอื่น 🔒 การแก้ไขและคำแนะนำ แม้ Microsoft ยังไม่ได้ออกแพตช์อย่างเป็นทางการ แต่ 0patch ได้ปล่อย micropatch เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยเพิ่มการตรวจสอบ pointer ที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการ crash ผู้ใช้ Windows 7, Windows 10, Windows 11 และ Server 2008 R2 ควรรีบติดตั้ง micropatch หรือรอการอัปเดตจาก Microsoft เพื่อความปลอดภัย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ RasMan ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ➡️ ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถบังคับให้บริการ crash ได้ ➡️ ใช้ร่วมกับ CVE-2025-59230 เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น Local System ✅ ผลกระทบ ➡️ เสี่ยงต่อการยึดครองเครื่องเต็มรูปแบบ ➡️ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายอื่น ✅ การแก้ไข ➡️ 0patch ปล่อย micropatch แก้ไขแล้ว ➡️ Microsoft คาดว่าจะออกแพตช์ในอนาคต ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ หากยังไม่ได้ติดตั้ง micropatch หรืออัปเดต มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี ⛔ ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบ log และระบบ monitoring เพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติ https://securityonline.info/unpatched-windows-rasman-flaw-allows-unprivileged-crash-enabling-local-system-privilege-escalation-exploit/
    SECURITYONLINE.INFO
    Unpatched Windows RasMan Flaw Allows Unprivileged Crash, Enabling Local System Privilege Escalation Exploit
    0patch found an unpatched flaw in Windows RasMan that allows any user to crash the service on demand. This unprivileged crash is the necessary step to exploit the CVE-2025-59230 LPE flaw. Micropatch is available.
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ใหม่ใน pgAdmin: RCE ผ่าน Database Restore

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบช่องโหว่ CVE-2025-13780 ใน pgAdmin ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการ PostgreSQL ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรงสูง (CVSS 9.1) เนื่องจากสามารถทำให้เกิด Remote Code Execution (RCE) ได้ โดยอาศัยการโจมตีผ่านไฟล์ SQL dump ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบของระบบ

    กลไกการโจมตี
    ปัญหาเกิดจากการ mismatch ระหว่างฟังก์ชันกรองคำสั่ง (has_meta_commands()) และการทำงานของ psql utility โดยฟังก์ชันกรองใช้ regex ตรวจสอบไฟล์ SQL dump แต่ไม่สามารถจัดการกับ UTF-8 BOM (Byte Order Mark) ได้อย่างถูกต้อง ผู้โจมตีสามารถสร้างไฟล์ SQL dump ที่เริ่มต้นด้วย BOM และซ่อนคำสั่งอันตราย เช่น \! (ซึ่งใช้รันคำสั่ง shell) ทำให้ pgAdmin เข้าใจผิดว่าไฟล์ปลอดภัย แต่เมื่อส่งต่อให้ psql utility มันจะลบ BOM และรันคำสั่งอันตรายทันที

    ผลกระทบต่อระบบ
    หากการโจมตีสำเร็จ ผู้โจมตีสามารถ:
    เข้าถึงและยึดครองเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ
    ขโมยหรือลบข้อมูลฐานข้อมูล
    ใช้เซิร์ฟเวอร์เป็นฐานในการโจมตีระบบอื่นในเครือข่าย

    ช่องโหว่นี้กระทบกับ pgAdmin เวอร์ชัน ≤ 9.10 โดยเฉพาะระบบที่รันใน server mode ซึ่งมีการ restore ฐานข้อมูลบ่อยครั้ง

    แนวทางแก้ไข
    ทีมพัฒนา pgAdmin ได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 9.11 โดยเพิ่มการตรวจสอบ BOM และปรับปรุงการกรองคำสั่งอันตราย ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดตทันที และตรวจสอบ log ของระบบเพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงการโจมตี

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-13780 ใน pgAdmin
    เกิดจากการ bypass filter ด้วย UTF-8 BOM
    ทำให้คำสั่ง shell ที่ซ่อนอยู่ถูก execute โดย psql

    ผลกระทบ
    เสี่ยงต่อการยึดครองเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ
    ข้อมูลฐานข้อมูลอาจถูกขโมยหรือลบ

    การแก้ไข
    อัปเดต pgAdmin เป็นเวอร์ชัน 9.11
    ตรวจสอบ log และระบบ monitoring เพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติ

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    หากยังใช้เวอร์ชัน ≤ 9.10 มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี
    การ restore ฐานข้อมูลจากไฟล์ที่ไม่เชื่อถือได้อาจเปิดช่องให้เกิด RCE

    https://securityonline.info/critical-pgadmin-rce-cve-2025-13780-flaw-bypasses-fix-allowing-server-takeover-via-malicious-database-restore/
    🖥️ ช่องโหว่ใหม่ใน pgAdmin: RCE ผ่าน Database Restore นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบช่องโหว่ CVE-2025-13780 ใน pgAdmin ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการ PostgreSQL ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรงสูง (CVSS 9.1) เนื่องจากสามารถทำให้เกิด Remote Code Execution (RCE) ได้ โดยอาศัยการโจมตีผ่านไฟล์ SQL dump ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบของระบบ ⚙️ กลไกการโจมตี ปัญหาเกิดจากการ mismatch ระหว่างฟังก์ชันกรองคำสั่ง (has_meta_commands()) และการทำงานของ psql utility โดยฟังก์ชันกรองใช้ regex ตรวจสอบไฟล์ SQL dump แต่ไม่สามารถจัดการกับ UTF-8 BOM (Byte Order Mark) ได้อย่างถูกต้อง ผู้โจมตีสามารถสร้างไฟล์ SQL dump ที่เริ่มต้นด้วย BOM และซ่อนคำสั่งอันตราย เช่น \! (ซึ่งใช้รันคำสั่ง shell) ทำให้ pgAdmin เข้าใจผิดว่าไฟล์ปลอดภัย แต่เมื่อส่งต่อให้ psql utility มันจะลบ BOM และรันคำสั่งอันตรายทันที 🌐 ผลกระทบต่อระบบ หากการโจมตีสำเร็จ ผู้โจมตีสามารถ: 🌀 เข้าถึงและยึดครองเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ 🌀 ขโมยหรือลบข้อมูลฐานข้อมูล 🌀 ใช้เซิร์ฟเวอร์เป็นฐานในการโจมตีระบบอื่นในเครือข่าย ช่องโหว่นี้กระทบกับ pgAdmin เวอร์ชัน ≤ 9.10 โดยเฉพาะระบบที่รันใน server mode ซึ่งมีการ restore ฐานข้อมูลบ่อยครั้ง 🔒 แนวทางแก้ไข ทีมพัฒนา pgAdmin ได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 9.11 โดยเพิ่มการตรวจสอบ BOM และปรับปรุงการกรองคำสั่งอันตราย ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดตทันที และตรวจสอบ log ของระบบเพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงการโจมตี 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-13780 ใน pgAdmin ➡️ เกิดจากการ bypass filter ด้วย UTF-8 BOM ➡️ ทำให้คำสั่ง shell ที่ซ่อนอยู่ถูก execute โดย psql ✅ ผลกระทบ ➡️ เสี่ยงต่อการยึดครองเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ ➡️ ข้อมูลฐานข้อมูลอาจถูกขโมยหรือลบ ✅ การแก้ไข ➡️ อัปเดต pgAdmin เป็นเวอร์ชัน 9.11 ➡️ ตรวจสอบ log และระบบ monitoring เพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ หากยังใช้เวอร์ชัน ≤ 9.10 มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี ⛔ การ restore ฐานข้อมูลจากไฟล์ที่ไม่เชื่อถือได้อาจเปิดช่องให้เกิด RCE https://securityonline.info/critical-pgadmin-rce-cve-2025-13780-flaw-bypasses-fix-allowing-server-takeover-via-malicious-database-restore/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical pgAdmin RCE (CVE-2025-13780) Flaw Bypasses Fix, Allowing Server Takeover Via Malicious Database Restore
    A critical RCE flaw (CVSS 9.1) in pgAdmin bypasses security via a UTF-8 BOM parsing mismatch. It allows attackers to execute root commands during a database restore operation. Update immediately.
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
More Results