• สิงคโปร์ทดลองบิลแบบ Tokenised และกฎหมาย Stablecoin

    สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัล โดยธนาคารกลางประกาศทดลองใช้ "tokenised bills" และเตรียมออกกฎหมายควบคุม stablecoin เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินใหม่ แนวคิดนี้คือการนำเทคโนโลยี blockchain มาช่วยให้ธุรกรรมการเงินมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น

    สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ไม่ได้มองแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ยังพยายามสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งนักลงทุนและประชาชนมั่นใจว่าการใช้ stablecoin จะไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในบางประเทศ การเคลื่อนไหวนี้อาจทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการเงินดิจิทัล

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการนำ stablecoin มาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริงยังมีความเสี่ยง เช่นความผันผวนของค่าเงินดิจิทัล และการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง

    สิงคโปร์ทดลองใช้ tokenised bills และเตรียมออกกฎหมาย stablecoin
    เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัล

    สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในภูมิภาค
    การสร้างกรอบกฎหมายชัดเจนช่วยดึงดูดนักลงทุน

    ความเสี่ยงจากการใช้ stablecoin ในระบบเศรษฐกิจจริง
    อาจเกิดความผันผวนและการโจมตีทางไซเบอร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/singapore-to-trial-tokenised-bills-bring-in-stablecoin-laws-central-bank-chief-says
    💰 สิงคโปร์ทดลองบิลแบบ Tokenised และกฎหมาย Stablecoin สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัล โดยธนาคารกลางประกาศทดลองใช้ "tokenised bills" และเตรียมออกกฎหมายควบคุม stablecoin เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินใหม่ แนวคิดนี้คือการนำเทคโนโลยี blockchain มาช่วยให้ธุรกรรมการเงินมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ไม่ได้มองแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ยังพยายามสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งนักลงทุนและประชาชนมั่นใจว่าการใช้ stablecoin จะไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในบางประเทศ การเคลื่อนไหวนี้อาจทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการนำ stablecoin มาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริงยังมีความเสี่ยง เช่นความผันผวนของค่าเงินดิจิทัล และการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง ✅ สิงคโปร์ทดลองใช้ tokenised bills และเตรียมออกกฎหมาย stablecoin ➡️ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัล ✅ สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในภูมิภาค ➡️ การสร้างกรอบกฎหมายชัดเจนช่วยดึงดูดนักลงทุน ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ stablecoin ในระบบเศรษฐกิจจริง ⛔ อาจเกิดความผันผวนและการโจมตีทางไซเบอร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/singapore-to-trial-tokenised-bills-bring-in-stablecoin-laws-central-bank-chief-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Singapore to trial tokenised bills, bring in stablecoin laws, central bank chief says
    SINGAPORE (Reuters) -Singapore's central bank will hold trials to issue tokenised MAS bills next year and bring in laws to regulate stablecoins as it presses forward with plans to build a scalable and secure tokenised financial ecosystem, the bank's top official said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • การจากไปของ Yann LeCun จาก Meta และการตั้งสตาร์ทอัพใหม่

    เรื่องนี้เล่าได้เหมือนการเปลี่ยนยุคในโลก AI เลยครับ Yann LeCun นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัล Turing และเป็นผู้บุกเบิกงานวิจัย AI ที่ Meta กำลังจะออกจากบริษัทเพื่อไปตั้งสตาร์ทอัพของตัวเอง โดยเน้นไปที่ “world models” ซึ่งเป็นระบบที่เรียนรู้จากข้อมูลเชิงภาพและพื้นที่ ไม่ใช่แค่ข้อความ จุดนี้ถือว่าน่าสนใจมากเพราะเป็นแนวทางที่ต่างจากการพัฒนา LLM ที่ Meta กำลังทุ่มทุนมหาศาลอยู่

    การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากนักลงทุน หลัง Meta สูญเสียมูลค่าตลาดมหาศาล และ Mark Zuckerberg ก็เร่งปรับทัพด้วยการตั้งทีมใหม่ชื่อ TBD Lab พร้อมดึงคนเก่งจากวงการ AI ด้วยค่าตัวสูงลิ่ว LeCun เองไม่เห็นด้วยกับการพึ่งพา LLM มากเกินไป เขามองว่ามัน “มีประโยชน์แต่จำกัด” และไม่สามารถคิดวางแผนได้เหมือนมนุษย์

    หากมองในภาพใหญ่ การออกจาก Meta ของ LeCun ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนงาน แต่เป็นการเปิดศึกใหม่ในสนาม AI ที่กำลังแข่งขันกันดุเดือดระหว่าง Meta, Google และ OpenAI การตั้งสตาร์ทอัพใหม่ของเขาอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา AI ที่เข้าใจโลกจริงได้ดีกว่าเดิม

    LeCun เตรียมตั้งสตาร์ทอัพใหม่ด้าน “world models”
    เน้นการเรียนรู้จากข้อมูลภาพและพื้นที่ ไม่ใช่ข้อความ

    Meta ปรับทัพ AI หลัง Llama 4 ไม่ประสบความสำเร็จ
    ตั้งทีม TBD Lab พร้อมดึงคนเก่งด้วยค่าตัวสูง

    นักลงทุนกังวลค่าใช้จ่าย AI ของ Meta อาจทะลุ 100 พันล้านดอลลาร์
    ความเสี่ยงต่อมูลค่าบริษัทและแรงกดดันต่อผู้บริหาร

    https://www.nasdaq.com/articles/metas-chief-ai-scientist-yann-lecun-depart-and-launch-ai-start-focused-world-models
    🧠 การจากไปของ Yann LeCun จาก Meta และการตั้งสตาร์ทอัพใหม่ เรื่องนี้เล่าได้เหมือนการเปลี่ยนยุคในโลก AI เลยครับ Yann LeCun นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัล Turing และเป็นผู้บุกเบิกงานวิจัย AI ที่ Meta กำลังจะออกจากบริษัทเพื่อไปตั้งสตาร์ทอัพของตัวเอง โดยเน้นไปที่ “world models” ซึ่งเป็นระบบที่เรียนรู้จากข้อมูลเชิงภาพและพื้นที่ ไม่ใช่แค่ข้อความ จุดนี้ถือว่าน่าสนใจมากเพราะเป็นแนวทางที่ต่างจากการพัฒนา LLM ที่ Meta กำลังทุ่มทุนมหาศาลอยู่ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากนักลงทุน หลัง Meta สูญเสียมูลค่าตลาดมหาศาล และ Mark Zuckerberg ก็เร่งปรับทัพด้วยการตั้งทีมใหม่ชื่อ TBD Lab พร้อมดึงคนเก่งจากวงการ AI ด้วยค่าตัวสูงลิ่ว LeCun เองไม่เห็นด้วยกับการพึ่งพา LLM มากเกินไป เขามองว่ามัน “มีประโยชน์แต่จำกัด” และไม่สามารถคิดวางแผนได้เหมือนมนุษย์ หากมองในภาพใหญ่ การออกจาก Meta ของ LeCun ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนงาน แต่เป็นการเปิดศึกใหม่ในสนาม AI ที่กำลังแข่งขันกันดุเดือดระหว่าง Meta, Google และ OpenAI การตั้งสตาร์ทอัพใหม่ของเขาอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา AI ที่เข้าใจโลกจริงได้ดีกว่าเดิม ✅ LeCun เตรียมตั้งสตาร์ทอัพใหม่ด้าน “world models” ➡️ เน้นการเรียนรู้จากข้อมูลภาพและพื้นที่ ไม่ใช่ข้อความ ✅ Meta ปรับทัพ AI หลัง Llama 4 ไม่ประสบความสำเร็จ ➡️ ตั้งทีม TBD Lab พร้อมดึงคนเก่งด้วยค่าตัวสูง ‼️ นักลงทุนกังวลค่าใช้จ่าย AI ของ Meta อาจทะลุ 100 พันล้านดอลลาร์ ⛔ ความเสี่ยงต่อมูลค่าบริษัทและแรงกดดันต่อผู้บริหาร https://www.nasdaq.com/articles/metas-chief-ai-scientist-yann-lecun-depart-and-launch-ai-start-focused-world-models
    WWW.NASDAQ.COM
    Meta's Chief AI Scientist Yann LeCun To Depart And Launch AI Start-Up Focused On 'World Models'
    (RTTNews) - Meta's (META) chief artificial intelligence scientist, Yann LeCun, plans to leave the company to launch his own AI start-up, marking a major shift inside Meta as CEO Mark Zuckerberg doubles down on "superintelligence" initiatives to compete with OpenAI and Google, acc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Stablecoin เยนเตรียมบุกตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น – ผู้เล่นใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมการเงิน”

    บริษัท JPYC เปิดตัว Stablecoin ที่ผูกกับเงินเยนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ถือเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการออก Stablecoin แบบเต็มรูปแบบในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือการชำระเงินและการลงทุนที่สะดวกและปลอดภัย

    ผู้บริหารของ JPYC ระบุว่า Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต เพราะการถือครองพันธบัตรจะช่วยสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับเหรียญดิจิทัลที่ออกมา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องปรับวิธีการควบคุมตลาดการเงินใหม่ เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญ

    แม้ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมที่นิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต แต่การเปิดตัว Stablecoin เยนถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินสมัยใหม่

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกำกับดูแลคริปโตเข้มงวดที่สุด แต่ก็เปิดรับนวัตกรรมการเงินดิจิทัลมากขึ้น
    หาก Stablecoin เยนถูกนำไปใช้จริงในตลาดพันธบัตร อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ สูญเสียความสามารถในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน

    JPYC เปิดตัว Stablecoin เยนครั้งแรกในญี่ปุ่น
    เปิดตัวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025
    มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการชำระเงินและการลงทุน

    บทบาทในตลาดพันธบัตร
    Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น
    ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ

    ความสำคัญต่อระบบการเงิน
    สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่นิยมเงินสดสู่การเงินดิจิทัล
    อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ ควบคุมนโยบายการเงินได้ยากขึ้น
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน
    การยอมรับจากผู้ใช้ทั่วไปยังไม่แน่นอน เพราะญี่ปุ่นยังนิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/yen-stablecoin-issuer-predicts-growing-presence-in-japan039s-bond-market
    💴 หัวข้อข่าว: “Stablecoin เยนเตรียมบุกตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น – ผู้เล่นใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมการเงิน” บริษัท JPYC เปิดตัว Stablecoin ที่ผูกกับเงินเยนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ถือเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการออก Stablecoin แบบเต็มรูปแบบในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือการชำระเงินและการลงทุนที่สะดวกและปลอดภัย ผู้บริหารของ JPYC ระบุว่า Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต เพราะการถือครองพันธบัตรจะช่วยสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับเหรียญดิจิทัลที่ออกมา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องปรับวิธีการควบคุมตลาดการเงินใหม่ เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญ แม้ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมที่นิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต แต่การเปิดตัว Stablecoin เยนถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินสมัยใหม่ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกำกับดูแลคริปโตเข้มงวดที่สุด แต่ก็เปิดรับนวัตกรรมการเงินดิจิทัลมากขึ้น 🔰 หาก Stablecoin เยนถูกนำไปใช้จริงในตลาดพันธบัตร อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ 🔰 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ สูญเสียความสามารถในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน ✅ JPYC เปิดตัว Stablecoin เยนครั้งแรกในญี่ปุ่น ➡️ เปิดตัวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ➡️ มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการชำระเงินและการลงทุน ✅ บทบาทในตลาดพันธบัตร ➡️ Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ➡️ ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ ✅ ความสำคัญต่อระบบการเงิน ➡️ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่นิยมเงินสดสู่การเงินดิจิทัล ➡️ อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ ควบคุมนโยบายการเงินได้ยากขึ้น ⛔ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน ⛔ การยอมรับจากผู้ใช้ทั่วไปยังไม่แน่นอน เพราะญี่ปุ่นยังนิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/yen-stablecoin-issuer-predicts-growing-presence-in-japan039s-bond-market
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Yen stablecoin issuer predicts growing presence in Japan's bond market
    TOKYO (Reuters) -Stablecoin issuers could become major buyers of Japanese government bonds in several years and influence the central bank's control over monetary policy, the head of Japan's first domestic issuer of yen-pegged stablecoins told Reuters.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “SoFi เปิดตัวบริการคริปโต – คลื่นทองคำดิจิทัลดึงสถาบันการเงินเข้าตลาด”

    เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 SoFi ประกาศเปิดตัวบริการซื้อขายคริปโตสำหรับลูกค้าทั่วไป ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง หลังจากที่กระแสการลงทุนในคริปโตพุ่งสูงขึ้นทั้งจากนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ สถาบันการเงินดั้งเดิมจำนวนมากเริ่มเข้ามาในตลาดคริปโต เพราะกฎระเบียบในหลายประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น ทำให้ความเสี่ยงด้านกฎหมายลดลง และการยอมรับจากผู้ใช้ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    รายงานระบุว่า แรงผลักดันหลักมาจากสองด้าน
    1️⃣ Retail Momentum – นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายมากขึ้น
    2️⃣ Institutional Entry – สถาบันการเงินใหญ่ ๆ เช่นธนาคารและผู้ให้บริการสินเชื่อ เริ่มเปิดบริการคริปโต

    สิ่งนี้ทำให้ตลาดคริปโตมีการซื้อขายคึกคัก และแพลตฟอร์มอย่าง SoFi ได้รับแรงหนุนมหาศาล

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    SoFi เดิมเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ให้บริการสินเชื่อและการลงทุนแบบดิจิทัล การเข้าสู่ตลาดคริปโตจึงเป็นการขยายธุรกิจครั้งใหญ่
    การที่สถาบันการเงินเข้ามาในตลาดคริปโตมากขึ้น อาจช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ก็ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น
    นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า แม้กฎระเบียบจะชัดเจนขึ้น แต่ความผันผวนของคริปโตยังสูงมาก และอาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง

    SoFi เปิดตัวบริการซื้อขายคริปโต
    เข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง
    ตอบรับกระแสการลงทุนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

    แรงผลักดันของตลาดคริปโต
    นักลงทุนรายย่อยเข้ามามากขึ้น
    สถาบันการเงินดั้งเดิมเริ่มเข้าสู่ตลาด

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เพิ่มการแข่งขันระหว่างแพลตฟอร์มการเงิน
    สร้างความน่าเชื่อถือให้ตลาดคริปโตมากขึ้น

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    ความผันผวนของคริปโตยังสูง อาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหนัก
    การเข้ามาของสถาบันการเงินอาจทำให้ตลาดถูกครอบงำโดยผู้เล่นรายใหญ่
    แม้กฎระเบียบชัดเจนขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลในบางประเทศ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/sofi-rolls-out-crypto-trading-as-digital-asset-gold-rush-draws-lenders
    💰 หัวข้อข่าว: “SoFi เปิดตัวบริการคริปโต – คลื่นทองคำดิจิทัลดึงสถาบันการเงินเข้าตลาด” เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 SoFi ประกาศเปิดตัวบริการซื้อขายคริปโตสำหรับลูกค้าทั่วไป ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง หลังจากที่กระแสการลงทุนในคริปโตพุ่งสูงขึ้นทั้งจากนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน สิ่งที่น่าสนใจคือ สถาบันการเงินดั้งเดิมจำนวนมากเริ่มเข้ามาในตลาดคริปโต เพราะกฎระเบียบในหลายประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น ทำให้ความเสี่ยงด้านกฎหมายลดลง และการยอมรับจากผู้ใช้ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานระบุว่า แรงผลักดันหลักมาจากสองด้าน 1️⃣ Retail Momentum – นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายมากขึ้น 2️⃣ Institutional Entry – สถาบันการเงินใหญ่ ๆ เช่นธนาคารและผู้ให้บริการสินเชื่อ เริ่มเปิดบริการคริปโต สิ่งนี้ทำให้ตลาดคริปโตมีการซื้อขายคึกคัก และแพลตฟอร์มอย่าง SoFi ได้รับแรงหนุนมหาศาล 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 📌 SoFi เดิมเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ให้บริการสินเชื่อและการลงทุนแบบดิจิทัล การเข้าสู่ตลาดคริปโตจึงเป็นการขยายธุรกิจครั้งใหญ่ 📌 การที่สถาบันการเงินเข้ามาในตลาดคริปโตมากขึ้น อาจช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ก็ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น 📌 นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า แม้กฎระเบียบจะชัดเจนขึ้น แต่ความผันผวนของคริปโตยังสูงมาก และอาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง ✅ SoFi เปิดตัวบริการซื้อขายคริปโต ➡️ เข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง ➡️ ตอบรับกระแสการลงทุนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ✅ แรงผลักดันของตลาดคริปโต ➡️ นักลงทุนรายย่อยเข้ามามากขึ้น ➡️ สถาบันการเงินดั้งเดิมเริ่มเข้าสู่ตลาด ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เพิ่มการแข่งขันระหว่างแพลตฟอร์มการเงิน ➡️ สร้างความน่าเชื่อถือให้ตลาดคริปโตมากขึ้น ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ ความผันผวนของคริปโตยังสูง อาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหนัก ⛔ การเข้ามาของสถาบันการเงินอาจทำให้ตลาดถูกครอบงำโดยผู้เล่นรายใหญ่ ⛔ แม้กฎระเบียบชัดเจนขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลในบางประเทศ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/sofi-rolls-out-crypto-trading-as-digital-asset-gold-rush-draws-lenders
    WWW.THESTAR.COM.MY
    SoFi rolls out crypto trading as digital asset gold rush draws lenders
    (Reuters) -SoFi on Tuesday announced plans to roll out crypto trading for customers, as the multi-trillion-dollar crypto sector continues to attract traditional financial firms amid clearer regulation and growing adoption.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Bitwise เปิดตัว Solana ETF จุดชนวนศึกคริปโตวอลล์สตรีท”

    วันที่ 28 ตุลาคม 2025 บริษัท Bitwise Asset Management ได้เปิดตัว Solana Staking ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ติดตามราคาสปอตของ Solana — คริปโตอันดับ 6 ของโลก — โดยใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก SEC ที่กำลังปิดทำการอยู่ในขณะนั้น

    การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ Bitwise กลายเป็น ผู้เล่นรายแรก ที่เข้าสู่ตลาด ETF ของ altcoin และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคู่แข่ง เช่น Grayscale, VanEck, Fidelity และ Invesco ที่ต้องรีบปรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ตามมา

    เพียงสัปดาห์แรก กองทุนนี้ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนักวิเคราะห์จาก JPMorgan คาดว่า ETF ประเภท altcoin อาจดึงดูดเงินลงทุนรวมกว่า 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือนแรก โดย Solana อาจได้ส่วนแบ่งถึง 6 พันล้านดอลลาร์

    สิ่งที่ทำให้การแข่งขันดุเดือดคือ “First-Mover Advantage” — ใครเปิดตัวก่อนย่อมได้เปรียบมหาศาล ตัวอย่างเช่น ProShares Bitcoin ETF ที่เปิดตัวก่อนคู่แข่งเพียงไม่กี่วันในปี 2021 แต่ครองตลาดจนถึงปัจจุบัน

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    Solana เป็นบล็อกเชนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ Ethereum
    การเปิดตัว ETF ของ Solana อาจช่วยให้คริปโต altcoin ได้รับการยอมรับในตลาดการเงินดั้งเดิมมากขึ้น
    อย่างไรก็ตาม การใช้กระบวนการที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ อาจสร้างความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในอนาคต หาก SEC เข้ามาตรวจสอบและสั่งระงับ

    Bitwise เปิดตัว Solana ETF สำเร็จ
    ใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ
    ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรก

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    คู่แข่งอย่าง Grayscale, VanEck, Fidelity ต้องรีบปรับกลยุทธ์
    คาดว่า altcoin ETFs อาจดึงดูดเงินลงทุนรวม 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือน

    ความสำคัญของ First-Mover Advantage
    ใครเปิดตัวก่อนจะครองตลาดได้ยาวนาน เช่น ProShares Bitcoin ETF

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    การเปิดตัวโดยไม่รอ SEC อนุมัติ อาจถูกตรวจสอบและระงับภายหลัง
    ตลาด altcoin มีความผันผวนสูง นักลงทุนรายย่อยอาจเสี่ยงขาดทุนหนัก
    การแข่งขันเร่งรีบอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/bitwise-sparks-industry-scramble-with-solana-etf-launch
    🚀 หัวข้อข่าว: “Bitwise เปิดตัว Solana ETF จุดชนวนศึกคริปโตวอลล์สตรีท” วันที่ 28 ตุลาคม 2025 บริษัท Bitwise Asset Management ได้เปิดตัว Solana Staking ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ติดตามราคาสปอตของ Solana — คริปโตอันดับ 6 ของโลก — โดยใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก SEC ที่กำลังปิดทำการอยู่ในขณะนั้น การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ Bitwise กลายเป็น ผู้เล่นรายแรก ที่เข้าสู่ตลาด ETF ของ altcoin และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคู่แข่ง เช่น Grayscale, VanEck, Fidelity และ Invesco ที่ต้องรีบปรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ตามมา เพียงสัปดาห์แรก กองทุนนี้ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนักวิเคราะห์จาก JPMorgan คาดว่า ETF ประเภท altcoin อาจดึงดูดเงินลงทุนรวมกว่า 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือนแรก โดย Solana อาจได้ส่วนแบ่งถึง 6 พันล้านดอลลาร์ สิ่งที่ทำให้การแข่งขันดุเดือดคือ “First-Mover Advantage” — ใครเปิดตัวก่อนย่อมได้เปรียบมหาศาล ตัวอย่างเช่น ProShares Bitcoin ETF ที่เปิดตัวก่อนคู่แข่งเพียงไม่กี่วันในปี 2021 แต่ครองตลาดจนถึงปัจจุบัน 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 Solana เป็นบล็อกเชนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ Ethereum 🔰 การเปิดตัว ETF ของ Solana อาจช่วยให้คริปโต altcoin ได้รับการยอมรับในตลาดการเงินดั้งเดิมมากขึ้น 🔰 อย่างไรก็ตาม การใช้กระบวนการที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ อาจสร้างความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในอนาคต หาก SEC เข้ามาตรวจสอบและสั่งระงับ ✅ Bitwise เปิดตัว Solana ETF สำเร็จ ➡️ ใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ ➡️ ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรก ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ คู่แข่งอย่าง Grayscale, VanEck, Fidelity ต้องรีบปรับกลยุทธ์ ➡️ คาดว่า altcoin ETFs อาจดึงดูดเงินลงทุนรวม 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือน ✅ ความสำคัญของ First-Mover Advantage ➡️ ใครเปิดตัวก่อนจะครองตลาดได้ยาวนาน เช่น ProShares Bitcoin ETF ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ การเปิดตัวโดยไม่รอ SEC อนุมัติ อาจถูกตรวจสอบและระงับภายหลัง ⛔ ตลาด altcoin มีความผันผวนสูง นักลงทุนรายย่อยอาจเสี่ยงขาดทุนหนัก ⛔ การแข่งขันเร่งรีบอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบความเสี่ยงอย่างรอบคอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/bitwise-sparks-industry-scramble-with-solana-etf-launch
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bitwise sparks industry scramble with Solana ETF launch
    (Reuters) -Crypto firm Bitwise Asset Management's successful push to launch the first U.S. spot Solana ETF while the Securities and Exchange Commission was shut down has upended the regulatory playbook and forced competitors to rethink their product plans, said industry executives.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Tokenization – นวัตกรรมการเงินที่มาพร้อมความเสี่ยงใหม่”

    องค์กรกำกับดูแลตลาดทุนระดับโลก IOSCO ออกรายงานล่าสุดชี้ว่า การนำสินทรัพย์จริง เช่น หุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ มาแปลงเป็นโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชน กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2025 โดยเฉพาะในตลาดที่ต้องการเพิ่มสภาพคล่องและเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม รายงานเตือนว่า Tokenization ไม่ได้มีแต่ข้อดี เพราะมันอาจสร้างความเสี่ยงใหม่ เช่น
    ความซับซ้อนของโครงสร้างการถือครอง
    ความไม่ชัดเจนด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแล
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจล้มเหลวหรือถูกโจมตี

    นอกจากนี้ยังมีการถกเถียงในวงการการเงินว่า Tokenization จะช่วยให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นจริงหรือไม่ เพราะแม้จะเพิ่มการเข้าถึง แต่ก็อาจทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยเผชิญความเสี่ยงที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เริ่มทดลองใช้ พันธบัตรที่ถูก Tokenize เพื่อทดสอบการซื้อขายบนบล็อกเชน
    ธนาคารใหญ่ ๆ ในยุโรปกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม Tokenization สำหรับสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ศิลปะและอสังหาริมทรัพย์
    ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า Tokenization อาจเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างโลกการเงินดั้งเดิมกับโลก DeFi แต่ต้องมีการกำกับดูแลที่เข้มงวด

    Tokenization คือการแปลงสินทรัพย์จริงเป็นโทเคนดิจิทัล
    ใช้บล็อกเชนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและการเข้าถึง
    กำลังได้รับความนิยมในตลาดการเงินทั่วโลก

    ข้อดีของ Tokenization
    เปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงสินทรัพย์ที่เคยเข้าถึงยาก
    เพิ่มความโปร่งใสและลดต้นทุนการทำธุรกรรม

    คำเตือนจาก IOSCO
    ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่ยังไม่ชัดเจน
    ความซับซ้อนของโครงสร้างการถือครองโทเคน
    ความเสี่ยงจากแพลตฟอร์มที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/global-securities-watchdog-says-039tokenization039-creates-new-risks
    🌐 หัวข้อข่าว: “Tokenization – นวัตกรรมการเงินที่มาพร้อมความเสี่ยงใหม่” องค์กรกำกับดูแลตลาดทุนระดับโลก IOSCO ออกรายงานล่าสุดชี้ว่า การนำสินทรัพย์จริง เช่น หุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ มาแปลงเป็นโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชน กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2025 โดยเฉพาะในตลาดที่ต้องการเพิ่มสภาพคล่องและเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม รายงานเตือนว่า Tokenization ไม่ได้มีแต่ข้อดี เพราะมันอาจสร้างความเสี่ยงใหม่ เช่น 📌 ความซับซ้อนของโครงสร้างการถือครอง 📌 ความไม่ชัดเจนด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแล 📌 ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจล้มเหลวหรือถูกโจมตี นอกจากนี้ยังมีการถกเถียงในวงการการเงินว่า Tokenization จะช่วยให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นจริงหรือไม่ เพราะแม้จะเพิ่มการเข้าถึง แต่ก็อาจทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยเผชิญความเสี่ยงที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 📌 หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เริ่มทดลองใช้ พันธบัตรที่ถูก Tokenize เพื่อทดสอบการซื้อขายบนบล็อกเชน 📌 ธนาคารใหญ่ ๆ ในยุโรปกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม Tokenization สำหรับสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ศิลปะและอสังหาริมทรัพย์ 📌 ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า Tokenization อาจเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างโลกการเงินดั้งเดิมกับโลก DeFi แต่ต้องมีการกำกับดูแลที่เข้มงวด ✅ Tokenization คือการแปลงสินทรัพย์จริงเป็นโทเคนดิจิทัล ➡️ ใช้บล็อกเชนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและการเข้าถึง ➡️ กำลังได้รับความนิยมในตลาดการเงินทั่วโลก ✅ ข้อดีของ Tokenization ➡️ เปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงสินทรัพย์ที่เคยเข้าถึงยาก ➡️ เพิ่มความโปร่งใสและลดต้นทุนการทำธุรกรรม ‼️ คำเตือนจาก IOSCO ⛔ ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่ยังไม่ชัดเจน ⛔ ความซับซ้อนของโครงสร้างการถือครองโทเคน ⛔ ความเสี่ยงจากแพลตฟอร์มที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/global-securities-watchdog-says-039tokenization039-creates-new-risks
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Global securities watchdog says 'tokenization' creates new risks
    PARIS (Reuters) -Crypto tokens linked to mainstream financial assets could create new risks for investors, the global securities regulator IOSCO said in a report on Tuesday, as the finance industry remains split on the merits of "tokenization".
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลกเทคโนโลยีเปลี่ยนขั้ว: Web Summit 2025 ชี้ “ยุคครองโลกของตะวันตกกำลังจางหาย”

    ที่งาน Web Summit ณ กรุงลิสบอน ปีนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 70,000 คนจากทั่วโลก รวมถึง 2,500 สตาร์ทอัพและ 1,000 นักลงทุน โดยมีประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงอำนาจในโลกเทคโนโลยีจากฝั่งตะวันตกไปสู่ความหลากหลายระดับโลก ทั้งจีน บราซิล โปแลนด์ และประเทศอื่นๆ ที่กำลังแสดงศักยภาพอย่างโดดเด่นในด้าน AI หุ่นยนต์ และการชำระเงินดิจิทัล

    Paddy Cosgrave ผู้ก่อตั้งงานกล่าวว่า “ปีนี้ชัดเจนที่สุดว่าอำนาจเทคโนโลยีของตะวันตกกำลังลดลง” โดยยกตัวอย่างหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ล้ำหน้าที่สุดในงานซึ่งมาจากจีน ไม่ใช่ยุโรปหรืออเมริกา

    Web Summit 2025 ต้อนรับผู้เข้าร่วมกว่า 70,000 คน
    รวมสตาร์ทอัพ 2,500 ราย และนักลงทุน 1,000 ราย
    เป็นเวทีระดับโลกสำหรับการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรม

    จีนแสดงศักยภาพในด้านหุ่นยนต์และ AI
    หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ล้ำหน้าที่สุดในงานมาจากจีน
    บริษัทจีนอย่าง Baidu และ Pony.ai เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับในยุโรป

    บราซิลและโปแลนด์ก็ไม่น้อยหน้า
    ระบบชำระเงินดิจิทัล PIX จากบราซิลได้รับความสนใจ
    โปแลนด์มีจำนวนสตาร์ทอัพเข้าร่วมงานมากเป็นประวัติการณ์

    บริษัทอเมริกันยังคงมีบทบาท
    Amazon Robotics, Boston Dynamics, Uber และ Lyft นำเสนอเทคโนโลยีรถยนต์อัตโนมัติ
    Qualcomm เปิดตัวชิป AI แข่งกับ Nvidia และ AMD

    AI กลายเป็นหัวใจของเทคโนโลยีใหม่
    Lovable จากสวีเดนเปิดตัวระบบ “vibe coding” สร้างแอปผ่านแชตบอทโดยไม่ต้องเขียนโค้ด
    Microsoft และบริษัทชิปต่างๆ ร่วมแสดงเทคโนโลยี AI ขั้นสูง

    เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและกีฬาได้รับความสนใจ
    AI ถูกใช้ในการฝึกซ้อมกีฬาและฟื้นฟูร่างกาย
    Wearables เช่น นาฬิกาและแหวนอัจฉริยะช่วยตรวจจับอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น

    ยุโรปห่วงเรื่องอธิปไตยทางเทคโนโลยี
    EU ส่งตัวแทนเข้าร่วมเพื่อผลักดันทางเลือกที่ไม่พึ่งพา hyperscalers จากอเมริกา
    Roblox เตรียมเปิดตัวระบบยืนยันอายุผู้เล่นเพื่อรับมือกับข้อกำหนดใหม่

    คำเตือน: ความตึงเครียดด้านการค้าและทรัพยากรยังคงเป็นอุปสรรค
    การแข่งขันด้านเทคโนโลยีอาจนำไปสู่ข้อจำกัดการส่งออกและความขัดแย้งระหว่างประเทศ
    การพึ่งพาทรัพยากรหายากในการผลิตชิปและอุปกรณ์อาจสร้างความเสี่ยงในอนาคต

    การเปลี่ยนขั้วอำนาจเทคโนโลยีอาจกระทบต่อบริษัทตะวันตก
    หากไม่ปรับตัว อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
    ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่และสร้างความร่วมมือระดับโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/039western-tech-dominance-fading039-at-lisbon039s-web-summit
    🌍 โลกเทคโนโลยีเปลี่ยนขั้ว: Web Summit 2025 ชี้ “ยุคครองโลกของตะวันตกกำลังจางหาย” ที่งาน Web Summit ณ กรุงลิสบอน ปีนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 70,000 คนจากทั่วโลก รวมถึง 2,500 สตาร์ทอัพและ 1,000 นักลงทุน โดยมีประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงอำนาจในโลกเทคโนโลยีจากฝั่งตะวันตกไปสู่ความหลากหลายระดับโลก ทั้งจีน บราซิล โปแลนด์ และประเทศอื่นๆ ที่กำลังแสดงศักยภาพอย่างโดดเด่นในด้าน AI หุ่นยนต์ และการชำระเงินดิจิทัล Paddy Cosgrave ผู้ก่อตั้งงานกล่าวว่า “ปีนี้ชัดเจนที่สุดว่าอำนาจเทคโนโลยีของตะวันตกกำลังลดลง” โดยยกตัวอย่างหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ล้ำหน้าที่สุดในงานซึ่งมาจากจีน ไม่ใช่ยุโรปหรืออเมริกา ✅ Web Summit 2025 ต้อนรับผู้เข้าร่วมกว่า 70,000 คน ➡️ รวมสตาร์ทอัพ 2,500 ราย และนักลงทุน 1,000 ราย ➡️ เป็นเวทีระดับโลกสำหรับการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรม ✅ จีนแสดงศักยภาพในด้านหุ่นยนต์และ AI ➡️ หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ล้ำหน้าที่สุดในงานมาจากจีน ➡️ บริษัทจีนอย่าง Baidu และ Pony.ai เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับในยุโรป ✅ บราซิลและโปแลนด์ก็ไม่น้อยหน้า ➡️ ระบบชำระเงินดิจิทัล PIX จากบราซิลได้รับความสนใจ ➡️ โปแลนด์มีจำนวนสตาร์ทอัพเข้าร่วมงานมากเป็นประวัติการณ์ ✅ บริษัทอเมริกันยังคงมีบทบาท ➡️ Amazon Robotics, Boston Dynamics, Uber และ Lyft นำเสนอเทคโนโลยีรถยนต์อัตโนมัติ ➡️ Qualcomm เปิดตัวชิป AI แข่งกับ Nvidia และ AMD ✅ AI กลายเป็นหัวใจของเทคโนโลยีใหม่ ➡️ Lovable จากสวีเดนเปิดตัวระบบ “vibe coding” สร้างแอปผ่านแชตบอทโดยไม่ต้องเขียนโค้ด ➡️ Microsoft และบริษัทชิปต่างๆ ร่วมแสดงเทคโนโลยี AI ขั้นสูง ✅ เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและกีฬาได้รับความสนใจ ➡️ AI ถูกใช้ในการฝึกซ้อมกีฬาและฟื้นฟูร่างกาย ➡️ Wearables เช่น นาฬิกาและแหวนอัจฉริยะช่วยตรวจจับอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น ✅ ยุโรปห่วงเรื่องอธิปไตยทางเทคโนโลยี ➡️ EU ส่งตัวแทนเข้าร่วมเพื่อผลักดันทางเลือกที่ไม่พึ่งพา hyperscalers จากอเมริกา ➡️ Roblox เตรียมเปิดตัวระบบยืนยันอายุผู้เล่นเพื่อรับมือกับข้อกำหนดใหม่ ‼️ คำเตือน: ความตึงเครียดด้านการค้าและทรัพยากรยังคงเป็นอุปสรรค ⛔ การแข่งขันด้านเทคโนโลยีอาจนำไปสู่ข้อจำกัดการส่งออกและความขัดแย้งระหว่างประเทศ ⛔ การพึ่งพาทรัพยากรหายากในการผลิตชิปและอุปกรณ์อาจสร้างความเสี่ยงในอนาคต ‼️ การเปลี่ยนขั้วอำนาจเทคโนโลยีอาจกระทบต่อบริษัทตะวันตก ⛔ หากไม่ปรับตัว อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ⛔ ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่และสร้างความร่วมมือระดับโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/039western-tech-dominance-fading039-at-lisbon039s-web-summit
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'Western tech dominance fading' at Lisbon's Web Summit
    The "most advanced humanoid robots in the world" on display are "not European, they're not American. Instead, they are Chinese."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • Klook เตรียมเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ก้าวใหม่ของแพลตฟอร์มท่องเที่ยวจากเอเชีย

    Klook แพลตฟอร์มจองกิจกรรมและบริการท่องเที่ยวชื่อดังจากฮ่องกงที่ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank ได้ยื่นเอกสารขอเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กแล้ว โดยใช้สัญลักษณ์ “KLK” ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจสู่ระดับโลก ท่ามกลางสัญญาณฟื้นตัวของตลาด IPO สหรัฐฯ หลังจากความผันผวนจากสงครามภาษีและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ช่วยกระตุ้นความต้องการลงทุน

    การเข้าตลาดหุ้นครั้งนี้มี Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนในศักยภาพของ Klook ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดท่องเที่ยวดิจิทัล

    Klook ยื่นขอ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
    เตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE)
    ใช้สัญลักษณ์ “KLK” ในการซื้อขายหุ้น

    ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank
    SoftBank เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลักของ Klook
    การสนับสนุนนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเงินทุนในการขยายธุรกิจ

    ตลาด IPO สหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว
    ปัจจัยบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการฟื้นตัวของตลาดหุ้น
    แม้จะมีความล่าช้าจากการปิดทำการของรัฐบาล แต่ความต้องการลงทุนยังคงแข็งแกร่ง

    มีธนาคารชั้นนำเป็นผู้จัดการ IPO
    Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการหลัก
    สะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพของ Klook จากสถาบันการเงินระดับโลก

    คำเตือน: การลงทุนใน IPO มีความเสี่ยง
    ราคาหุ้นอาจผันผวนสูงในช่วงแรกของการเปิดตลาด
    นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัทก่อนตัดสินใจ

    อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังเผชิญความไม่แน่นอน
    ความเสี่ยงจากโรคระบาด การเมือง และเศรษฐกิจโลกยังคงมีผลต่อธุรกิจ
    การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอาจไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/travel-booking-platform-klook-makes-us-ipo-filing-public
    📈 Klook เตรียมเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ก้าวใหม่ของแพลตฟอร์มท่องเที่ยวจากเอเชีย Klook แพลตฟอร์มจองกิจกรรมและบริการท่องเที่ยวชื่อดังจากฮ่องกงที่ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank ได้ยื่นเอกสารขอเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กแล้ว โดยใช้สัญลักษณ์ “KLK” ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจสู่ระดับโลก ท่ามกลางสัญญาณฟื้นตัวของตลาด IPO สหรัฐฯ หลังจากความผันผวนจากสงครามภาษีและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ช่วยกระตุ้นความต้องการลงทุน การเข้าตลาดหุ้นครั้งนี้มี Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนในศักยภาพของ Klook ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดท่องเที่ยวดิจิทัล ✅ Klook ยื่นขอ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ➡️ เตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ➡️ ใช้สัญลักษณ์ “KLK” ในการซื้อขายหุ้น ✅ ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank ➡️ SoftBank เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลักของ Klook ➡️ การสนับสนุนนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเงินทุนในการขยายธุรกิจ ✅ ตลาด IPO สหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว ➡️ ปัจจัยบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการฟื้นตัวของตลาดหุ้น ➡️ แม้จะมีความล่าช้าจากการปิดทำการของรัฐบาล แต่ความต้องการลงทุนยังคงแข็งแกร่ง ✅ มีธนาคารชั้นนำเป็นผู้จัดการ IPO ➡️ Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการหลัก ➡️ สะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพของ Klook จากสถาบันการเงินระดับโลก ‼️ คำเตือน: การลงทุนใน IPO มีความเสี่ยง ⛔ ราคาหุ้นอาจผันผวนสูงในช่วงแรกของการเปิดตลาด ⛔ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัทก่อนตัดสินใจ ‼️ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังเผชิญความไม่แน่นอน ⛔ ความเสี่ยงจากโรคระบาด การเมือง และเศรษฐกิจโลกยังคงมีผลต่อธุรกิจ ⛔ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอาจไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/travel-booking-platform-klook-makes-us-ipo-filing-public
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Travel booking platform Klook makes US IPO filing public
    (Reuters) -SoftBank-backed Klook, an online travel booking platform, filed for an initial public offering in the United States on Monday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛞 Substrate กับคำกล่าวอ้างปฏิวัติวงการชิป: นวัตกรรมหรือแค่ภาพลวงตา?

    สตาร์ทอัพชื่อ Substrate กำลังเป็นที่จับตามองในวงการเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยคำกล่าวอ้างว่าจะใช้เทคโนโลยีใหม่ที่อาศัย “เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์” แทนการใช้ EUV lithography แบบเดิมของ ASML เพื่อผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูกเพียง $10,000 ต่อแผ่นเวเฟอร์ในโรงงานสหรัฐฯ แต่บทวิเคราะห์จาก Fox Chapel Research (FCR) ได้ตั้งคำถามอย่างหนักว่าแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียง “vaporware” ที่ขายฝัน

    เบื้องหลังที่น่าสงสัย
    ผู้ก่อตั้ง James และ Oliver Proud ไม่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    โครงการก่อนหน้าของ James คือ Sense sleep tracker ที่ถูกวิจารณ์ว่าไร้ประโยชน์และคล้ายกับการหลอกลวง
    ที่อยู่บริษัท Substrate ตรงกับบริษัท DC Fusion LLC ที่ไม่มีข้อมูลชัดเจน และดูเหมือนเป็นแค่ตู้ไปรษณีย์

    หลักฐานและภาพที่ไม่สอดคล้อง
    ภาพตัวอย่างจาก Substrate ถูกเปรียบเทียบกับของ ASML แล้วพบว่าเป็นเพียงลวดลายพื้นฐาน ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง
    ห้องแล็บของ Substrate ไม่มีเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปหรือการเร่งอนุภาค
    ข้อมูลบนเว็บไซต์ของ Substrate ถูกวิจารณ์ว่า “คลุมเครือ” และ “ไม่มีเนื้อหา”

    คำกล่าวอ้างของ Substrate
    ใช้เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์แทน EUV lithography
    อ้างว่าสามารถผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูก
    ตั้งเป้าสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ

    การตั้งคำถามจากนักวิเคราะห์
    FCR ชี้ว่าเทคโนโลยีของ Substrate ยังไม่มีหลักฐานรองรับ
    ผู้ก่อตั้งไม่มีประสบการณ์ในวงการ
    ภาพและข้อมูลที่เผยแพร่ไม่สอดคล้องกับคำกล่าวอ้าง

    ความเป็นไปได้ทางเทคนิค
    การใช้รังสีเอกซ์ในการผลิตชิปไม่ใช่แนวคิดใหม่
    มีการทดลองในห้องแล็บหลายแห่ง แต่ยังไม่สามารถผลิตระดับอุตสาหกรรม
    เทคโนโลยีนี้ต้องการความแม่นยำสูงและการลงทุนมหาศาล

    คำเตือนสำหรับนักลงทุนและผู้ติดตามเทคโนโลยี
    คำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานรองรับอาจเป็นการหลอกลวง
    การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์มีความเสี่ยงสูง
    ควรตรวจสอบประวัติผู้ก่อตั้งและความโปร่งใสของบริษัทก่อนตัดสินใจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/substrates-claims-about-revolutionary-asml-beating-chipmaking-technology-scrutinized-analyst-likens-the-venture-to-a-fraud-report-pokes-holes-in-the-startups-technology-messaging-and-leaders
    🛞 Substrate กับคำกล่าวอ้างปฏิวัติวงการชิป: นวัตกรรมหรือแค่ภาพลวงตา? ⚠️🔬 สตาร์ทอัพชื่อ Substrate กำลังเป็นที่จับตามองในวงการเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยคำกล่าวอ้างว่าจะใช้เทคโนโลยีใหม่ที่อาศัย “เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์” แทนการใช้ EUV lithography แบบเดิมของ ASML เพื่อผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูกเพียง $10,000 ต่อแผ่นเวเฟอร์ในโรงงานสหรัฐฯ แต่บทวิเคราะห์จาก Fox Chapel Research (FCR) ได้ตั้งคำถามอย่างหนักว่าแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียง “vaporware” ที่ขายฝัน 🧨 เบื้องหลังที่น่าสงสัย 💠 ผู้ก่อตั้ง James และ Oliver Proud ไม่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ 💠 โครงการก่อนหน้าของ James คือ Sense sleep tracker ที่ถูกวิจารณ์ว่าไร้ประโยชน์และคล้ายกับการหลอกลวง 💠 ที่อยู่บริษัท Substrate ตรงกับบริษัท DC Fusion LLC ที่ไม่มีข้อมูลชัดเจน และดูเหมือนเป็นแค่ตู้ไปรษณีย์ 📷 หลักฐานและภาพที่ไม่สอดคล้อง ❓ ภาพตัวอย่างจาก Substrate ถูกเปรียบเทียบกับของ ASML แล้วพบว่าเป็นเพียงลวดลายพื้นฐาน ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง ❓ ห้องแล็บของ Substrate ไม่มีเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปหรือการเร่งอนุภาค ❓ ข้อมูลบนเว็บไซต์ของ Substrate ถูกวิจารณ์ว่า “คลุมเครือ” และ “ไม่มีเนื้อหา” ✅ คำกล่าวอ้างของ Substrate ➡️ ใช้เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์แทน EUV lithography ➡️ อ้างว่าสามารถผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูก ➡️ ตั้งเป้าสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ ✅ การตั้งคำถามจากนักวิเคราะห์ ➡️ FCR ชี้ว่าเทคโนโลยีของ Substrate ยังไม่มีหลักฐานรองรับ ➡️ ผู้ก่อตั้งไม่มีประสบการณ์ในวงการ ➡️ ภาพและข้อมูลที่เผยแพร่ไม่สอดคล้องกับคำกล่าวอ้าง ✅ ความเป็นไปได้ทางเทคนิค ➡️ การใช้รังสีเอกซ์ในการผลิตชิปไม่ใช่แนวคิดใหม่ ➡️ มีการทดลองในห้องแล็บหลายแห่ง แต่ยังไม่สามารถผลิตระดับอุตสาหกรรม ➡️ เทคโนโลยีนี้ต้องการความแม่นยำสูงและการลงทุนมหาศาล ‼️ คำเตือนสำหรับนักลงทุนและผู้ติดตามเทคโนโลยี ⛔ คำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานรองรับอาจเป็นการหลอกลวง ⛔ การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์มีความเสี่ยงสูง ⛔ ควรตรวจสอบประวัติผู้ก่อตั้งและความโปร่งใสของบริษัทก่อนตัดสินใจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/substrates-claims-about-revolutionary-asml-beating-chipmaking-technology-scrutinized-analyst-likens-the-venture-to-a-fraud-report-pokes-holes-in-the-startups-technology-messaging-and-leaders
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • Rivian มอบแพ็คเกจค่าตอบแทนสุดอลังการให้ CEO สไตล์ Elon Musk มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์

    Rivian ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ประกาศมอบแพ็คเกจค่าตอบแทนใหม่ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี หากบรรลุเป้าหมายด้านผลประกอบการและราคาหุ้นที่กำหนดไว้ โดยรูปแบบของแพ็คเกจนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดีลระดับประวัติศาสตร์ของ Elon Musk กับ Tesla

    Rivian กำลังเดินตามรอย Tesla ด้วยการเสนอค่าตอบแทนแบบ “ผลลัพธ์นำหน้า” ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งจะได้รับหุ้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น รายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นที่ต้องแตะระดับเป้าหมาย โดยดีลนี้มีเงื่อนไขที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าของ Musk เพื่อกระตุ้นการเติบโตของบริษัทในระยะยาว

    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของคณะกรรมการ Rivian ว่า Scaringe คือผู้นำที่สามารถพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด

    แพ็คเกจนี้ยังเป็นสัญญาณว่าโมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการผลักดันผู้บริหารให้สร้างมูลค่าอย่างแท้จริง

    รายละเอียดแพ็คเกจค่าตอบแทนของ Rivian
    มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี
    ขึ้นอยู่กับการบรรลุเป้าหมายด้านกำไรและราคาหุ้น
    เงื่อนไขเข้าถึงง่ายกว่าดีลของ Elon Musk
    สะท้อนความเชื่อมั่นในตัว CEO RJ Scaringe

    แนวโน้มในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    โมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่
    บริษัทเทคโนโลยีเริ่มใช้ค่าตอบแทนที่ผูกกับผลลัพธ์ระยะยาว
    กระตุ้นให้ผู้บริหารสร้างมูลค่าแท้จริงให้กับผู้ถือหุ้น

    คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของแพ็คเกจลักษณะนี้
    หากเป้าหมายไม่บรรลุ ผู้บริหารอาจไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย
    อาจสร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารเน้นผลระยะสั้นมากเกินไป
    นักลงทุนควรติดตามเงื่อนไขอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความคุ้มค่า
    การเปรียบเทียบกับดีลของ Musk อาจไม่เหมาะสมในทุกบริบท

    ดีลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงวิธีคิดใหม่ในการบริหารองค์กรเทคโนโลยีในยุคที่ผลลัพธ์คือทุกสิ่ง.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/ev-maker-rivian-gives-ceo-a-musk-style-pay-package-worth-up-to-46-billion
    💰 Rivian มอบแพ็คเกจค่าตอบแทนสุดอลังการให้ CEO สไตล์ Elon Musk มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ Rivian ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ประกาศมอบแพ็คเกจค่าตอบแทนใหม่ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี หากบรรลุเป้าหมายด้านผลประกอบการและราคาหุ้นที่กำหนดไว้ โดยรูปแบบของแพ็คเกจนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดีลระดับประวัติศาสตร์ของ Elon Musk กับ Tesla Rivian กำลังเดินตามรอย Tesla ด้วยการเสนอค่าตอบแทนแบบ “ผลลัพธ์นำหน้า” ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งจะได้รับหุ้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น รายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นที่ต้องแตะระดับเป้าหมาย โดยดีลนี้มีเงื่อนไขที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าของ Musk เพื่อกระตุ้นการเติบโตของบริษัทในระยะยาว การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของคณะกรรมการ Rivian ว่า Scaringe คือผู้นำที่สามารถพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด แพ็คเกจนี้ยังเป็นสัญญาณว่าโมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการผลักดันผู้บริหารให้สร้างมูลค่าอย่างแท้จริง ✅ รายละเอียดแพ็คเกจค่าตอบแทนของ Rivian ➡️ มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี ➡️ ขึ้นอยู่กับการบรรลุเป้าหมายด้านกำไรและราคาหุ้น ➡️ เงื่อนไขเข้าถึงง่ายกว่าดีลของ Elon Musk ➡️ สะท้อนความเชื่อมั่นในตัว CEO RJ Scaringe ✅ แนวโน้มในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ➡️ โมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีเริ่มใช้ค่าตอบแทนที่ผูกกับผลลัพธ์ระยะยาว ➡️ กระตุ้นให้ผู้บริหารสร้างมูลค่าแท้จริงให้กับผู้ถือหุ้น ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของแพ็คเกจลักษณะนี้ ⛔ หากเป้าหมายไม่บรรลุ ผู้บริหารอาจไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย ⛔ อาจสร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารเน้นผลระยะสั้นมากเกินไป ⛔ นักลงทุนควรติดตามเงื่อนไขอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความคุ้มค่า ⛔ การเปรียบเทียบกับดีลของ Musk อาจไม่เหมาะสมในทุกบริบท ดีลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงวิธีคิดใหม่ในการบริหารองค์กรเทคโนโลยีในยุคที่ผลลัพธ์คือทุกสิ่ง. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/ev-maker-rivian-gives-ceo-a-musk-style-pay-package-worth-up-to-46-billion
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EV maker Rivian gives CEO a Musk-style pay package worth up to $4.6 billion
    (Reuters) -Electric pickup and SUV maker Rivian said on Friday it was giving its CEO a pay plan worth as much as $4.6 billion over the next decade, a deal similar to Tesla's record package for CEO Elon Musk, and linked to new profit targets and lower share price milestones than a previous deal.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta กับรายได้สีเทา: เมื่อโฆษณาหลอกลวงกลายเป็นแหล่งเงินหลัก

    ในรายงานพิเศษจาก Reuters ที่อ้างอิงเอกสารภายในของ Meta (บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram) พบว่า มากถึง 10% ของรายได้โฆษณาทั้งหมดในปี 2024 มาจากโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับ “การหลอกลวง” และ “สินค้าต้องห้าม” เช่น ยาลดน้ำหนักผิดกฎหมาย สินค้าลอกเลียนแบบ และบริการที่เข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค

    แม้ Meta จะมีนโยบายห้ามโฆษณาประเภทนี้อย่างชัดเจน แต่เอกสารภายในกลับเผยว่า บริษัทลังเลที่จะปราบปรามอย่างจริงจัง เพราะโฆษณาเหล่านี้สร้างรายได้มหาศาล โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย

    ที่น่าตกใจคือ ทีมงานภายในของ Meta เองก็รู้ถึงปัญหานี้ดี และเคยเสนอให้เพิ่มมาตรการควบคุม แต่กลับถูกปฏิเสธหรือเพิกเฉย โดยอ้างว่าอาจกระทบรายได้หลักของบริษัท

    รายได้จากโฆษณาหลอกลวงและสินค้าต้องห้าม
    คิดเป็น 10% ของรายได้โฆษณาทั้งหมดในปี 2024
    ครอบคลุมโฆษณายาลดน้ำหนักผิดกฎหมาย สินค้าลอกเลียนแบบ และบริการหลอกลวง

    ตลาดหลักที่ได้รับผลกระทบ
    เวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ
    ผู้ใช้งานในประเทศเหล่านี้มักตกเป็นเหยื่อของโฆษณาหลอกลวง

    ท่าทีของ Meta ต่อปัญหา
    รับรู้ปัญหาภายใน แต่ลังเลที่จะลงมือจัดการ
    กังวลว่าการปราบปรามจะกระทบรายได้

    เอกสารภายในเผยความพยายามของทีมงาน
    มีการเสนอให้เพิ่มระบบตรวจจับและควบคุม
    แต่ถูกปฏิเสธหรือเพิกเฉยจากฝ่ายบริหาร

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Facebook และ Instagram
    ระวังโฆษณาที่ดูน่าสนใจเกินจริง เช่น “ลดน้ำหนักทันใจ” หรือ “ของแบรนด์เนมราคาถูกผิดปกติ”
    อย่าคลิกลิงก์หรือกรอกข้อมูลส่วนตัวในโฆษณาที่ไม่น่าเชื่อถือ
    ใช้เครื่องมือรายงานโฆษณาหลอกลวงเพื่อช่วยลดการแพร่กระจาย

    ความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม
    หาก Meta ไม่จัดการปัญหานี้อย่างจริงจัง อาจถูกหน่วยงานกำกับดูแลลงโทษ
    ความเชื่อมั่นของผู้ใช้งานและนักลงทุนอาจลดลงอย่างรุนแรง
    อาจเปิดช่องให้คู่แข่งที่มีจริยธรรมดีกว่าเข้ามาแทนที่

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาของ Meta แต่สะท้อนถึงความท้าทายของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั่วโลก ที่ต้องเลือกระหว่าง “รายได้” กับ “ความปลอดภัยของผู้ใช้งาน” — และคำถามคือ: เราจะยอมให้ใครควบคุมสิ่งที่เราเห็นบนหน้าจอของเรากันแน่?

    https://sherwood.news/tech/meta-projected-10-of-2024-revenue-came-from-scams-and-banned-goods-reuters/
    💸 Meta กับรายได้สีเทา: เมื่อโฆษณาหลอกลวงกลายเป็นแหล่งเงินหลัก ในรายงานพิเศษจาก Reuters ที่อ้างอิงเอกสารภายในของ Meta (บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram) พบว่า มากถึง 10% ของรายได้โฆษณาทั้งหมดในปี 2024 มาจากโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับ “การหลอกลวง” และ “สินค้าต้องห้าม” เช่น ยาลดน้ำหนักผิดกฎหมาย สินค้าลอกเลียนแบบ และบริการที่เข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค แม้ Meta จะมีนโยบายห้ามโฆษณาประเภทนี้อย่างชัดเจน แต่เอกสารภายในกลับเผยว่า บริษัทลังเลที่จะปราบปรามอย่างจริงจัง เพราะโฆษณาเหล่านี้สร้างรายได้มหาศาล โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย ที่น่าตกใจคือ ทีมงานภายในของ Meta เองก็รู้ถึงปัญหานี้ดี และเคยเสนอให้เพิ่มมาตรการควบคุม แต่กลับถูกปฏิเสธหรือเพิกเฉย โดยอ้างว่าอาจกระทบรายได้หลักของบริษัท ✅ รายได้จากโฆษณาหลอกลวงและสินค้าต้องห้าม ➡️ คิดเป็น 10% ของรายได้โฆษณาทั้งหมดในปี 2024 ➡️ ครอบคลุมโฆษณายาลดน้ำหนักผิดกฎหมาย สินค้าลอกเลียนแบบ และบริการหลอกลวง ✅ ตลาดหลักที่ได้รับผลกระทบ ➡️ เวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ➡️ ผู้ใช้งานในประเทศเหล่านี้มักตกเป็นเหยื่อของโฆษณาหลอกลวง ✅ ท่าทีของ Meta ต่อปัญหา ➡️ รับรู้ปัญหาภายใน แต่ลังเลที่จะลงมือจัดการ ➡️ กังวลว่าการปราบปรามจะกระทบรายได้ ✅ เอกสารภายในเผยความพยายามของทีมงาน ➡️ มีการเสนอให้เพิ่มระบบตรวจจับและควบคุม ➡️ แต่ถูกปฏิเสธหรือเพิกเฉยจากฝ่ายบริหาร ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Facebook และ Instagram ⛔ ระวังโฆษณาที่ดูน่าสนใจเกินจริง เช่น “ลดน้ำหนักทันใจ” หรือ “ของแบรนด์เนมราคาถูกผิดปกติ” ⛔ อย่าคลิกลิงก์หรือกรอกข้อมูลส่วนตัวในโฆษณาที่ไม่น่าเชื่อถือ ⛔ ใช้เครื่องมือรายงานโฆษณาหลอกลวงเพื่อช่วยลดการแพร่กระจาย ‼️ ความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม ⛔ หาก Meta ไม่จัดการปัญหานี้อย่างจริงจัง อาจถูกหน่วยงานกำกับดูแลลงโทษ ⛔ ความเชื่อมั่นของผู้ใช้งานและนักลงทุนอาจลดลงอย่างรุนแรง ⛔ อาจเปิดช่องให้คู่แข่งที่มีจริยธรรมดีกว่าเข้ามาแทนที่ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาของ Meta แต่สะท้อนถึงความท้าทายของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั่วโลก ที่ต้องเลือกระหว่าง “รายได้” กับ “ความปลอดภัยของผู้ใช้งาน” — และคำถามคือ: เราจะยอมให้ใครควบคุมสิ่งที่เราเห็นบนหน้าจอของเรากันแน่? https://sherwood.news/tech/meta-projected-10-of-2024-revenue-came-from-scams-and-banned-goods-reuters/
    SHERWOOD.NEWS
    Meta projected 10% of 2024 revenue came from scams and banned goods, Reuters reports
    The report shows that the company was hesitant to crack down harder on scams, due to the billions in revenue that they were generating for Meta....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ยุโรปร่วมมือทลายแก๊งหลอกลงทุนคริปโต สูญเงินกว่า 689 ล้านดอลลาร์!”

    เรื่องเล่าที่ต้องฟังให้จบ! ในยุคที่เทคโนโลยีล้ำหน้าไปถึงปี 2025 กลับยังมีมิจฉาชีพใช้ช่องทางดิจิทัลหลอกลวงผู้คนอย่างแยบยล ล่าสุดเกิดเหตุการณ์ใหญ่ในยุโรป เมื่อเจ้าหน้าที่จากฝรั่งเศส เบลเยียม ไซปรัส สเปน และเยอรมนี ร่วมมือกันจับกุมขบวนการฉ้อโกงเงินคริปโตมูลค่ากว่า 689 ล้านดอลลาร์สหรัฐ!

    ขบวนการนี้สร้างแพลตฟอร์มลงทุนคริปโตปลอมหลายแห่ง อ้างผลตอบแทนสูงล่อเหยื่อผ่านโซเชียลมีเดียและการโทรเย็น (cold call) เมื่อเหยื่อโอนเงินเข้าไป เงินก็ถูกดูดหายไปทันที และถูกฟอกผ่านเครื่องมือบล็อกเชนต่าง ๆ อย่างแนบเนียน

    การจับกุมเกิดขึ้นในวันที่ 27 และ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา โดย Eurojust หน่วยงานความร่วมมือด้านตุลาการของสหภาพยุโรปเป็นผู้ประสานงานหลัก มีการยึดทรัพย์สินจำนวนมาก ทั้งเงินสด บัญชีธนาคาร คริปโต และนาฬิกาหรู รวมมูลค่าหลายล้านดอลลาร์

    คดีนี้เริ่มต้นจากการร้องเรียนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2023 และเป็นหนึ่งในหลายคดีที่สะท้อนว่าการหลอกลวงในโลกคริปโตยังคงระบาดหนัก แม้จะมีความพยายามออกกฎหมายควบคุมอย่าง MiCA ก็ตาม

    ขบวนการหลอกลงทุนคริปโตถูกจับกุมในยุโรป
    มูลค่าความเสียหายรวมกว่า $689 ล้าน
    จับกุมผู้ต้องหา 9 คนในหลายประเทศ
    ยึดทรัพย์สินรวมหลายล้านดอลลาร์ ทั้งเงินสด คริปโต และนาฬิกาหรู

    วิธีการหลอกลวงของขบวนการ
    สร้างแพลตฟอร์มลงทุนปลอม
    ใช้โซเชียลมีเดียและโทรเย็นล่อเหยื่อ
    เงินที่โอนเข้าไปถูกฟอกผ่านเครื่องมือบล็อกเชน

    การดำเนินการของเจ้าหน้าที่
    เริ่มจากการร้องเรียนในฝรั่งเศสปี 2023
    Eurojust เป็นผู้ประสานงานหลัก
    การจับกุมเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025

    ความพยายามควบคุมตลาดคริปโต
    กฎหมาย MiCA ของสหภาพยุโรปช่วยให้ตรวจสอบแพลตฟอร์มได้
    นักลงทุนสามารถตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มได้รับการรับรองหรือไม่

    ความเสี่ยงจากการลงทุนในคริปโตที่ไม่ตรวจสอบ
    แพลตฟอร์มปลอมมักอ้างผลตอบแทนสูงเกินจริง
    เมื่อโอนเงินแล้วมักไม่สามารถเรียกคืนได้

    การฟอกเงินผ่านบล็อกเชน
    ใช้เครื่องมือดิจิทัลซับซ้อนในการซ่อนเส้นทางเงิน
    ยากต่อการติดตามและตรวจสอบหากไม่มีความร่วมมือระหว่างประเทศ

    การหลอกลวงยังคงระบาดแม้มีเทคโนโลยีล้ำหน้า
    อีเมลฟิชชิ่งและการแอบอ้างยังพบได้บ่อย
    เหยื่อมักถูกล่อด้วยความโลภและความไม่รู้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/crypto-fraud-and-laundering-ring-that-stole-eur600m-usd689m-busted-by-european-authorities-9-arrests-made-across-multiple-countries-perps-face-a-decade-behind-bars-and-huge-fines
    🕵️‍♀️ “ยุโรปร่วมมือทลายแก๊งหลอกลงทุนคริปโต สูญเงินกว่า 689 ล้านดอลลาร์!” เรื่องเล่าที่ต้องฟังให้จบ! ในยุคที่เทคโนโลยีล้ำหน้าไปถึงปี 2025 กลับยังมีมิจฉาชีพใช้ช่องทางดิจิทัลหลอกลวงผู้คนอย่างแยบยล ล่าสุดเกิดเหตุการณ์ใหญ่ในยุโรป เมื่อเจ้าหน้าที่จากฝรั่งเศส เบลเยียม ไซปรัส สเปน และเยอรมนี ร่วมมือกันจับกุมขบวนการฉ้อโกงเงินคริปโตมูลค่ากว่า 689 ล้านดอลลาร์สหรัฐ! ขบวนการนี้สร้างแพลตฟอร์มลงทุนคริปโตปลอมหลายแห่ง อ้างผลตอบแทนสูงล่อเหยื่อผ่านโซเชียลมีเดียและการโทรเย็น (cold call) เมื่อเหยื่อโอนเงินเข้าไป เงินก็ถูกดูดหายไปทันที และถูกฟอกผ่านเครื่องมือบล็อกเชนต่าง ๆ อย่างแนบเนียน การจับกุมเกิดขึ้นในวันที่ 27 และ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา โดย Eurojust หน่วยงานความร่วมมือด้านตุลาการของสหภาพยุโรปเป็นผู้ประสานงานหลัก มีการยึดทรัพย์สินจำนวนมาก ทั้งเงินสด บัญชีธนาคาร คริปโต และนาฬิกาหรู รวมมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ คดีนี้เริ่มต้นจากการร้องเรียนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2023 และเป็นหนึ่งในหลายคดีที่สะท้อนว่าการหลอกลวงในโลกคริปโตยังคงระบาดหนัก แม้จะมีความพยายามออกกฎหมายควบคุมอย่าง MiCA ก็ตาม ✅ ขบวนการหลอกลงทุนคริปโตถูกจับกุมในยุโรป ➡️ มูลค่าความเสียหายรวมกว่า $689 ล้าน ➡️ จับกุมผู้ต้องหา 9 คนในหลายประเทศ ➡️ ยึดทรัพย์สินรวมหลายล้านดอลลาร์ ทั้งเงินสด คริปโต และนาฬิกาหรู ✅ วิธีการหลอกลวงของขบวนการ ➡️ สร้างแพลตฟอร์มลงทุนปลอม ➡️ ใช้โซเชียลมีเดียและโทรเย็นล่อเหยื่อ ➡️ เงินที่โอนเข้าไปถูกฟอกผ่านเครื่องมือบล็อกเชน ✅ การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ➡️ เริ่มจากการร้องเรียนในฝรั่งเศสปี 2023 ➡️ Eurojust เป็นผู้ประสานงานหลัก ➡️ การจับกุมเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 ✅ ความพยายามควบคุมตลาดคริปโต ➡️ กฎหมาย MiCA ของสหภาพยุโรปช่วยให้ตรวจสอบแพลตฟอร์มได้ ➡️ นักลงทุนสามารถตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มได้รับการรับรองหรือไม่ ‼️ ความเสี่ยงจากการลงทุนในคริปโตที่ไม่ตรวจสอบ ⛔ แพลตฟอร์มปลอมมักอ้างผลตอบแทนสูงเกินจริง ⛔ เมื่อโอนเงินแล้วมักไม่สามารถเรียกคืนได้ ‼️ การฟอกเงินผ่านบล็อกเชน ⛔ ใช้เครื่องมือดิจิทัลซับซ้อนในการซ่อนเส้นทางเงิน ⛔ ยากต่อการติดตามและตรวจสอบหากไม่มีความร่วมมือระหว่างประเทศ ‼️ การหลอกลวงยังคงระบาดแม้มีเทคโนโลยีล้ำหน้า ⛔ อีเมลฟิชชิ่งและการแอบอ้างยังพบได้บ่อย ⛔ เหยื่อมักถูกล่อด้วยความโลภและความไม่รู้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/crypto-fraud-and-laundering-ring-that-stole-eur600m-usd689m-busted-by-european-authorities-9-arrests-made-across-multiple-countries-perps-face-a-decade-behind-bars-and-huge-fines
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ OpenAI เลือก “โตเอง” แม้ต้องลงทุนมหาศาล

    ในช่วงที่ความต้องการใช้ AI พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก OpenAI ประกาศแผนลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 8 ปี เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป

    แม้ CFO ของบริษัทจะเคยกล่าวว่าอยากให้รัฐบาลช่วยค้ำประกันการลงทุนในชิป แต่ Altman ออกมายืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้ผู้เสียภาษีต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัท หากบริษัทล้มเหลว ก็ต้องรับผิดชอบเอง

    OpenAI กำลังหาทางสร้างรายได้จากการขาย “AI cloud” หรือบริการให้เช่าโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยตรงแก่บริษัทและบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft และ Google ที่เคยเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์มาก่อน

    จุดยืนของ OpenAI ต่อการสนับสนุนจากรัฐบาล
    Altman ยืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้รัฐบาลค้ำประกันการลงทุนในศูนย์ข้อมูล
    บริษัทเห็นว่าผู้เสียภาษีไม่ควรรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจทางธุรกิจ
    หากล้มเหลว บริษัทต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้รัฐ “ช่วยเหลือเพื่อความล้มเหลว”

    แผนลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน
    OpenAI วางแผนลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปี
    ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิปเพื่อรองรับการเติบโตของ AI
    มีดีลร่วมกับ Nvidia และ AMD รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์

    โมเดลธุรกิจใหม่: AI Cloud
    OpenAI เตรียมเปิดบริการขายกำลังประมวลผล AI โดยตรงให้ลูกค้า
    กลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft Azure และ Google Cloud
    อาจต้องระดมทุนเพิ่มผ่านหุ้นหรือหนี้ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน

    สถานะทางการเงินและการเติบโต
    บริษัทขาดทุนกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด
    คาดว่าจะมีรายได้ต่อปีเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้
    ตั้งเป้ารายได้ระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

    คำเตือนจากนักวิเคราะห์และภาครัฐ
    นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” จากการลงทุนมหาศาล
    รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือหากบริษัทล้มเหลว
    หาก OpenAI แข่งขันกับพันธมิตรเดิม อาจเกิดความขัดแย้งในอุตสาหกรรมคลาวด์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/openai-does-not-039want-government-guarantees039-for-massive-ai-data-center-buildout-ceo-altman-says
    🧠 เมื่อ OpenAI เลือก “โตเอง” แม้ต้องลงทุนมหาศาล ในช่วงที่ความต้องการใช้ AI พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก OpenAI ประกาศแผนลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 8 ปี เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป แม้ CFO ของบริษัทจะเคยกล่าวว่าอยากให้รัฐบาลช่วยค้ำประกันการลงทุนในชิป แต่ Altman ออกมายืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้ผู้เสียภาษีต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัท หากบริษัทล้มเหลว ก็ต้องรับผิดชอบเอง OpenAI กำลังหาทางสร้างรายได้จากการขาย “AI cloud” หรือบริการให้เช่าโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยตรงแก่บริษัทและบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft และ Google ที่เคยเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์มาก่อน ✅ จุดยืนของ OpenAI ต่อการสนับสนุนจากรัฐบาล ➡️ Altman ยืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้รัฐบาลค้ำประกันการลงทุนในศูนย์ข้อมูล ➡️ บริษัทเห็นว่าผู้เสียภาษีไม่ควรรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจทางธุรกิจ ➡️ หากล้มเหลว บริษัทต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้รัฐ “ช่วยเหลือเพื่อความล้มเหลว” ✅ แผนลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ OpenAI วางแผนลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปี ➡️ ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิปเพื่อรองรับการเติบโตของ AI ➡️ มีดีลร่วมกับ Nvidia และ AMD รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ✅ โมเดลธุรกิจใหม่: AI Cloud ➡️ OpenAI เตรียมเปิดบริการขายกำลังประมวลผล AI โดยตรงให้ลูกค้า ➡️ กลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft Azure และ Google Cloud ➡️ อาจต้องระดมทุนเพิ่มผ่านหุ้นหรือหนี้ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน ✅ สถานะทางการเงินและการเติบโต ➡️ บริษัทขาดทุนกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด ➡️ คาดว่าจะมีรายได้ต่อปีเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ ➡️ ตั้งเป้ารายได้ระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ‼️ คำเตือนจากนักวิเคราะห์และภาครัฐ ⛔ นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” จากการลงทุนมหาศาล ⛔ รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือหากบริษัทล้มเหลว ⛔ หาก OpenAI แข่งขันกับพันธมิตรเดิม อาจเกิดความขัดแย้งในอุตสาหกรรมคลาวด์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/openai-does-not-039want-government-guarantees039-for-massive-ai-data-center-buildout-ceo-altman-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OpenAI discussed government loan guarantees for chip plants, not data centers, Altman says
    (Reuters) -OpenAI has spoken with the U.S. government about the possibility of federal loan guarantees to spur construction of chip factories in the U.S., but has not sought U.S. government guarantees for building its data centers, CEO Sam Altman said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘ดึง’ นักลงทุน ‘ดูด’ เม็ดเงินต่างชาติ : [Biz Talk]

    ทีมเศรษฐกิจรัฐบาล 4 เดือน โรดโชว์สิงคโปร์ 7 พ.ย.68 โชว์นโยบายรัฐบาล เพื่อดึงดูดนักลงทุน ชูการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงกฎระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน ยกระดับ Ease Of Doing Business ควบคู่กับการผลักดันคำขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ให้เกิดขึ้นจริง
    ‘ดึง’ นักลงทุน ‘ดูด’ เม็ดเงินต่างชาติ : [Biz Talk] ทีมเศรษฐกิจรัฐบาล 4 เดือน โรดโชว์สิงคโปร์ 7 พ.ย.68 โชว์นโยบายรัฐบาล เพื่อดึงดูดนักลงทุน ชูการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงกฎระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน ยกระดับ Ease Of Doing Business ควบคู่กับการผลักดันคำขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ให้เกิดขึ้นจริง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ตัวช่วยตลาด 06/11/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #นักลงทุน
    ตัวช่วยตลาด 06/11/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #นักลงทุน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • รอเก็บหุ้นปันผลดี 06/11/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #นักลงทุน #หุ้นปันผล
    รอเก็บหุ้นปันผลดี 06/11/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #นักลงทุน #หุ้นปันผล
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • หุ้น MRDIYT ประกันสังคมอาจเจ็บตัว

    ทำเอานักลงทุนใจหายใจคว่ำ เมื่อหุ้น MRDIYT ของบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ สัญชาติมาเลเซีย เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 พ.ย. เป็นวันแรก ปรากฎว่าเปิดการซื้อขายที่ 7.05 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อแบบ IPO ซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.60 บาท หรือประมาณ 18% ก่อนที่ราคาจะขยับในระดับ 8 บาท สูงที่สุด 8.70 บาท ก่อนปิดการซื้อขายที่ราคา 8.60 บาท เท่ากับราคาจองซื้อ มูลค่าการซื้อขาย 4,698.30 ล้านบาท

    MRDIYT ประกอบธุรกิจร้านมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ในไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2559 ปัจจุบันมีสาขา 1,027 แห่ง ใน 77 จังหวัด ระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรก 5,600 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้สินและเงินกู้ยืมที่มีอยู่ของบริษัทฯ รวมถึงเงินกู้ยืมจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย 2,058.40 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขา ลงทุนบริษัทย่อย ซื้อที่ดินสำหรับคลังสินค้าเพิ่มเติม 500 ล้านบาท และใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน 721.30 ถึง 845.40 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่ระดมทุนสูงที่สุดในรอบ 3 ปี

    บทความของ สุนันท์ ศรีจันทรา ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 ตั้งข้อสังเกตว่า หุ้น MRDIYT ได้รับความสนใจสูง เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ขนาดใหญ่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แต่การนำหุ้นจำนวน 655 ล้านหุ้น เสนอขายในราคา 8.60 บาท โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ประมาณ 23 เท่า "ถือว่าเป็นราคาขายที่ไม่ถูกนัก"

    อีกด้านหนึ่ง ยังมีประเด็นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายนำหุ้น 553 ล้านหุ้น จาก 1,230 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 21% ของทุนจดทะเบียน ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล หรือ "นำหุ้นไปจำนำ" และเตรียมขายหุ้นในวันแรกที่หุ้นเข้าซื้อขายอีก 4.07% ในราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายนักลงทุน นอกจากนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังเป็นต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนหุ้นมูลค่าเพิ่มรายใหญ่บางคนจะหลีกเลี่ยง เพราะกลัวความเสี่ยงจากต่างชาติขายหุ้นทิ้ง หรือถ่ายเทเงินกลับบ้าน ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในหุ้นหลายตัว

    สิ่งที่น่าเป็นห่วงนอกเหนือจากหุ้น MRDIYT ต่ำกว่าราคาจองแล้ว พบว่าหนึ่งในผู้ถิอหุ้น คือ สำนักงานประกันสังคม จองซื้อผ่านทาง บลจ.ทาลิส 8,678,100 หุ้น และ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อีก 1,225,400 หุ้น รวมแล้ว 9,903,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 85,170,100 บาท คนที่เจ็บตัวมากที่สุดคือผู้ประกันตนกว่า 24.8 ล้านราย เพราะกลายเป็นการนำเงินของผู้ประกันตนไปซื้อหุ้นที่ไม่รู้อนาคตว่าจะรุ่งหรือร่วง

    #Newskit
    หุ้น MRDIYT ประกันสังคมอาจเจ็บตัว ทำเอานักลงทุนใจหายใจคว่ำ เมื่อหุ้น MRDIYT ของบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ สัญชาติมาเลเซีย เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 พ.ย. เป็นวันแรก ปรากฎว่าเปิดการซื้อขายที่ 7.05 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อแบบ IPO ซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.60 บาท หรือประมาณ 18% ก่อนที่ราคาจะขยับในระดับ 8 บาท สูงที่สุด 8.70 บาท ก่อนปิดการซื้อขายที่ราคา 8.60 บาท เท่ากับราคาจองซื้อ มูลค่าการซื้อขาย 4,698.30 ล้านบาท MRDIYT ประกอบธุรกิจร้านมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ในไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2559 ปัจจุบันมีสาขา 1,027 แห่ง ใน 77 จังหวัด ระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรก 5,600 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้สินและเงินกู้ยืมที่มีอยู่ของบริษัทฯ รวมถึงเงินกู้ยืมจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย 2,058.40 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขา ลงทุนบริษัทย่อย ซื้อที่ดินสำหรับคลังสินค้าเพิ่มเติม 500 ล้านบาท และใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน 721.30 ถึง 845.40 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่ระดมทุนสูงที่สุดในรอบ 3 ปี บทความของ สุนันท์ ศรีจันทรา ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 ตั้งข้อสังเกตว่า หุ้น MRDIYT ได้รับความสนใจสูง เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ขนาดใหญ่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แต่การนำหุ้นจำนวน 655 ล้านหุ้น เสนอขายในราคา 8.60 บาท โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ประมาณ 23 เท่า "ถือว่าเป็นราคาขายที่ไม่ถูกนัก" อีกด้านหนึ่ง ยังมีประเด็นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายนำหุ้น 553 ล้านหุ้น จาก 1,230 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 21% ของทุนจดทะเบียน ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล หรือ "นำหุ้นไปจำนำ" และเตรียมขายหุ้นในวันแรกที่หุ้นเข้าซื้อขายอีก 4.07% ในราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายนักลงทุน นอกจากนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังเป็นต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนหุ้นมูลค่าเพิ่มรายใหญ่บางคนจะหลีกเลี่ยง เพราะกลัวความเสี่ยงจากต่างชาติขายหุ้นทิ้ง หรือถ่ายเทเงินกลับบ้าน ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในหุ้นหลายตัว สิ่งที่น่าเป็นห่วงนอกเหนือจากหุ้น MRDIYT ต่ำกว่าราคาจองแล้ว พบว่าหนึ่งในผู้ถิอหุ้น คือ สำนักงานประกันสังคม จองซื้อผ่านทาง บลจ.ทาลิส 8,678,100 หุ้น และ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อีก 1,225,400 หุ้น รวมแล้ว 9,903,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 85,170,100 บาท คนที่เจ็บตัวมากที่สุดคือผู้ประกันตนกว่า 24.8 ล้านราย เพราะกลายเป็นการนำเงินของผู้ประกันตนไปซื้อหุ้นที่ไม่รู้อนาคตว่าจะรุ่งหรือร่วง #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Michael Burry เดิมพันสวนกระแส AI! ทำนายฟองสบู่แตก พร้อมเงินเดิมพันพันล้านดอลลาร์”
    Michael Burry นักลงทุนชื่อดังจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ผู้เคยทำนายวิกฤตซับไพรม์ได้อย่างแม่นยำ กลับมาอีกครั้งพร้อมเดิมพันครั้งใหญ่กับฟองสบู่ AI ที่กำลังพองโตในตลาดหุ้น โดยบริษัทของเขา Scion Asset Management ได้เปิดเผยว่าได้ซื้อ “Put Options” กับหุ้นของสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการ AI — Nvidia และ Palantir — รวมมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์

    Burry โพสต์ข้อความลึกลับในสไตล์ “Haiku การเงิน” ผ่านบัญชี Twitter/X ของเขา “Cassandra Unchained” ว่า:


    “บางครั้ง เราเห็นฟองสบู่ บางครั้ง เราทำอะไรกับมันได้ บางครั้ง การไม่เล่น คือชัยชนะเดียว”


    การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลของนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนหลายฝ่ายที่เปรียบเทียบฟองสบู่ AI กับฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 โดยมีการลงทุนมหาศาลในบริษัทที่ยังไม่สามารถแสดงรายได้จริงจากเทคโนโลยี AI ได้อย่างชัดเจน

    แม้ Nvidia จะถูกมองว่าเป็น “ผู้ขายพลั่วในยุคขุดทอง AI” เพราะผลิต GPU ที่ทุกบริษัทต้องใช้ แต่ Burry ก็ยังมองว่าความร้อนแรงของตลาดอาจนำไปสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อมีดีลแบบ “วงกลม” ที่บริษัท AI ซื้อขายกันเองเพื่อสร้างมูลค่าเทียม

    Michael Burry เดิมพันสวนกระแส AI
    ซื้อ Put Options กับหุ้น Nvidia และ Palantir
    มูลค่ารวมกว่า 1 พันล้านดอลลาร์

    ฟองสบู่ AI ถูกเปรียบเทียบกับฟองสบู่ดอทคอม
    นักลงทุนหลายฝ่ายเริ่มกังวลกับการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง
    บริษัท AI ลงทุนมหาศาลโดยยังไม่มีโมเดลรายได้ที่ชัดเจน

    Nvidia ถูกมองว่าอาจรอดจากฟองสบู่
    เป็นผู้ผลิต GPU ที่จำเป็นต่อทุกบริษัท AI
    เปรียบเสมือน “ผู้ขายพลั่ว” ในยุคขุดทอง

    ดีลแบบ “วงกลม” เพิ่มความเสี่ยง
    บริษัท AI ซื้อขายกันเองเพื่อสร้างภาพลักษณ์การเติบโต
    เช่นดีลระหว่าง xAI, OpenAI และ AMD ที่มีหุ้นเกี่ยวข้อง

    คำเตือนสำหรับนักลงทุน
    ตลาด AI อาจเข้าสู่ช่วงปรับฐาน หากรายได้ไม่ตามความคาดหวัง
    การลงทุนในหุ้น AI ต้องพิจารณาความเสี่ยงจากการประเมินมูลค่าที่เกินจริง

    คำเตือนจากอดีตวิกฤต
    ฟองสบู่ดอทคอมเคยทำให้บริษัทใหญ่ล้มละลาย
    นักลงทุนรายย่อยอาจได้รับผลกระทบหนัก หากไม่ระวัง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/2008-financial-crisis-prophet-bets-against-the-ai-bubble-with-potential-usd1-billion-payout-michael-burry-reveals-put-options-on-nvidia-and-palantir
    📉🧠 “Michael Burry เดิมพันสวนกระแส AI! ทำนายฟองสบู่แตก พร้อมเงินเดิมพันพันล้านดอลลาร์” Michael Burry นักลงทุนชื่อดังจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ผู้เคยทำนายวิกฤตซับไพรม์ได้อย่างแม่นยำ กลับมาอีกครั้งพร้อมเดิมพันครั้งใหญ่กับฟองสบู่ AI ที่กำลังพองโตในตลาดหุ้น โดยบริษัทของเขา Scion Asset Management ได้เปิดเผยว่าได้ซื้อ “Put Options” กับหุ้นของสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการ AI — Nvidia และ Palantir — รวมมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ Burry โพสต์ข้อความลึกลับในสไตล์ “Haiku การเงิน” ผ่านบัญชี Twitter/X ของเขา “Cassandra Unchained” ว่า: 🔖🔖 “บางครั้ง เราเห็นฟองสบู่ บางครั้ง เราทำอะไรกับมันได้ บางครั้ง การไม่เล่น คือชัยชนะเดียว” 🔖🔖 การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลของนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนหลายฝ่ายที่เปรียบเทียบฟองสบู่ AI กับฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 โดยมีการลงทุนมหาศาลในบริษัทที่ยังไม่สามารถแสดงรายได้จริงจากเทคโนโลยี AI ได้อย่างชัดเจน แม้ Nvidia จะถูกมองว่าเป็น “ผู้ขายพลั่วในยุคขุดทอง AI” เพราะผลิต GPU ที่ทุกบริษัทต้องใช้ แต่ Burry ก็ยังมองว่าความร้อนแรงของตลาดอาจนำไปสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อมีดีลแบบ “วงกลม” ที่บริษัท AI ซื้อขายกันเองเพื่อสร้างมูลค่าเทียม ✅ Michael Burry เดิมพันสวนกระแส AI ➡️ ซื้อ Put Options กับหุ้น Nvidia และ Palantir ➡️ มูลค่ารวมกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ✅ ฟองสบู่ AI ถูกเปรียบเทียบกับฟองสบู่ดอทคอม ➡️ นักลงทุนหลายฝ่ายเริ่มกังวลกับการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง ➡️ บริษัท AI ลงทุนมหาศาลโดยยังไม่มีโมเดลรายได้ที่ชัดเจน ✅ Nvidia ถูกมองว่าอาจรอดจากฟองสบู่ ➡️ เป็นผู้ผลิต GPU ที่จำเป็นต่อทุกบริษัท AI ➡️ เปรียบเสมือน “ผู้ขายพลั่ว” ในยุคขุดทอง ✅ ดีลแบบ “วงกลม” เพิ่มความเสี่ยง ➡️ บริษัท AI ซื้อขายกันเองเพื่อสร้างภาพลักษณ์การเติบโต ➡️ เช่นดีลระหว่าง xAI, OpenAI และ AMD ที่มีหุ้นเกี่ยวข้อง ‼️ คำเตือนสำหรับนักลงทุน ⛔ ตลาด AI อาจเข้าสู่ช่วงปรับฐาน หากรายได้ไม่ตามความคาดหวัง ⛔ การลงทุนในหุ้น AI ต้องพิจารณาความเสี่ยงจากการประเมินมูลค่าที่เกินจริง ‼️ คำเตือนจากอดีตวิกฤต ⛔ ฟองสบู่ดอทคอมเคยทำให้บริษัทใหญ่ล้มละลาย ⛔ นักลงทุนรายย่อยอาจได้รับผลกระทบหนัก หากไม่ระวัง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/2008-financial-crisis-prophet-bets-against-the-ai-bubble-with-potential-usd1-billion-payout-michael-burry-reveals-put-options-on-nvidia-and-palantir
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอวิเคราะห์ทิศทางของ Bitcoin ในอนาคตจากมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมข้อดีและข้อเสียอย่างเป็นกลาง:

    ข้อมองในแง่บวก (Bull Case)

    1. การยอมรับในระดับสถาบัน

    · กองทุนขนาดใหญ่ (BlackRock, Fidelity) เปิดกองทุน Bitcoin ETF
    · บริษัทมหาชนเพิ่ม Bitcoin ในงบดุล (เช่น MicroStrategy, Tesla)
    · ธนาคารกลางหลายประเทศศึกษาสกุลเงินดิจิทัศ (CBDC)

    2. อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น

    · กลไก Halving ลดอุปทานใหม่ทุก 4 ปี
    · มีผู้ใช้งานและนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    · การใช้เป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ (Digital Gold)

    3. นวัตกรรมทางเทคโนโลยี

    · การพัฒนาระบบ Layer 2 (เช่น Lightning Network)
    · การบูรณาการกับ DeFi และ Smart Contract
    · การปรับปรุงความสามารถในการขยายขนาด (Scalability)

    ข้อกังวลในแง่ลบ (Bear Case)

    1. ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ

    · การควบคุมที่เข้มงวดจากรัฐบาลต่างๆ
    · นโยบายการเก็บภาษีที่ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ
    · ความเสี่ยงจากการแบนในบางเขตอำนาจศาล

    2. ความผันผวนสูง

    · ราคายังคงมีความผันผวนในระดับที่เสี่ยง
    · การเก็งกำไรระยะสั้นมีอิทธิพลต่อราคา
    · ความเชื่อมั่นที่อ่อนไหวต่อข่าวลือและทวีต

    3. ความท้าทายทางเทคนิค

    · ปัญหาการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    · ความเร็วในการทำธุรกรรมที่จำกัด
    · ค่า Fee ที่อาจสูงในช่วงความนิยม

    มุมมองโดยรวม

    ผู้มองในแง่บวก เห็นว่า Bitcoin จะเติบโตเป็น:

    · สินทรัพย์ปลอดภัยรูปแบบดิจิทัล
    · ระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน
    · พื้นฐานของระบบการเงินใหม่

    ผู้มองในแง่ลบ กังวลเกี่ยวกับ:

    · ฟองสบู่ทางราคาที่อาจแตก
    · การแข่งขันจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น
    · ความไม่แน่นอนในระยะยาว

    คำแนะนำการลงทุน

    · ลงทุนเพียงส่วนที่ยอมเสียได้
    · ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
    · กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน

    ตลาดคริปโตยังคงมีความไม่แน่นอนสูง การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานการศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
    ขอวิเคราะห์ทิศทางของ Bitcoin ในอนาคตจากมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมข้อดีและข้อเสียอย่างเป็นกลาง: ข้อมองในแง่บวก (Bull Case) 1. การยอมรับในระดับสถาบัน · กองทุนขนาดใหญ่ (BlackRock, Fidelity) เปิดกองทุน Bitcoin ETF · บริษัทมหาชนเพิ่ม Bitcoin ในงบดุล (เช่น MicroStrategy, Tesla) · ธนาคารกลางหลายประเทศศึกษาสกุลเงินดิจิทัศ (CBDC) 2. อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น · กลไก Halving ลดอุปทานใหม่ทุก 4 ปี · มีผู้ใช้งานและนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง · การใช้เป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ (Digital Gold) 3. นวัตกรรมทางเทคโนโลยี · การพัฒนาระบบ Layer 2 (เช่น Lightning Network) · การบูรณาการกับ DeFi และ Smart Contract · การปรับปรุงความสามารถในการขยายขนาด (Scalability) ข้อกังวลในแง่ลบ (Bear Case) 1. ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ · การควบคุมที่เข้มงวดจากรัฐบาลต่างๆ · นโยบายการเก็บภาษีที่ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ · ความเสี่ยงจากการแบนในบางเขตอำนาจศาล 2. ความผันผวนสูง · ราคายังคงมีความผันผวนในระดับที่เสี่ยง · การเก็งกำไรระยะสั้นมีอิทธิพลต่อราคา · ความเชื่อมั่นที่อ่อนไหวต่อข่าวลือและทวีต 3. ความท้าทายทางเทคนิค · ปัญหาการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม · ความเร็วในการทำธุรกรรมที่จำกัด · ค่า Fee ที่อาจสูงในช่วงความนิยม มุมมองโดยรวม ผู้มองในแง่บวก เห็นว่า Bitcoin จะเติบโตเป็น: · สินทรัพย์ปลอดภัยรูปแบบดิจิทัล · ระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน · พื้นฐานของระบบการเงินใหม่ ผู้มองในแง่ลบ กังวลเกี่ยวกับ: · ฟองสบู่ทางราคาที่อาจแตก · การแข่งขันจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น · ความไม่แน่นอนในระยะยาว คำแนะนำการลงทุน · ลงทุนเพียงส่วนที่ยอมเสียได้ · ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด · กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน ตลาดคริปโตยังคงมีความไม่แน่นอนสูง การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานการศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักพัฒนาเกมหวั่น AI แย่งบทบาทสร้างสรรค์ – เทคโนโลยีที่ทั้งช่วยและท้าทายวงการเกม

    AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังในอุตสาหกรรมเกม แต่ก็สร้างความกังวลไม่น้อยในหมู่นักพัฒนาและศิลปิน ว่าจะกลายเป็นผู้แย่งงานแทนที่จะเป็นผู้ช่วย.

    ลองนึกภาพว่าเกมที่คุณเล่นทุกวันนี้ อาจมีฉาก ตัวละคร หรือแม้แต่บทพูดที่สร้างขึ้นโดย AI ทั้งหมด โดยไม่ผ่านมือมนุษย์เลยแม้แต่น้อย นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเกมทั่วโลก

    จากการศึกษาของ Totally Human Media พบว่า เกือบ 20% ของเกมบน Steam ปีนี้ใช้ AI ในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเกมดังอย่าง Call of Duty: Black Ops 6 หรือเกมจำลองชีวิต Inzoi. AI ถูกใช้ในหลายด้าน เช่น การพากย์เสียง การวาดภาพประกอบ หรือแม้แต่ช่วยเขียนโค้ด

    Ethan Hu จาก Meshy.ai เผยว่า การสร้างโมเดล 3D ที่เคยใช้เวลา 2 สัปดาห์และงบประมาณ 1,000 ดอลลาร์ ตอนนี้ใช้เวลาแค่ 1 นาทีและต้นทุนเพียง 2 ดอลลาร์. นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีมพัฒนาเกม

    แต่ไม่ใช่ทุกคนจะต้อนรับ AI ด้วยรอยยิ้ม

    แม้ AI จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการผลิตเกม แต่ก็สร้างความกังวลในหมู่คนทำงาน โดยเฉพาะเรื่อง การลดตำแหน่งงาน และ คุณภาพของงานที่ AI สร้างขึ้น

    นักพัฒนาจากสตูดิโอในฝรั่งเศสเผยว่า โมเดล 3D ที่สร้างโดย AI มักจะ “วุ่นวาย” และต้องใช้เวลาซ่อมแซมเท่ากับการสร้างใหม่. ขณะที่ผู้เล่นเองก็เริ่มจับผิดว่าเกมใดใช้ AI โดยไม่แจ้งล่วงหน้า เช่นกรณีเกม The Alters ที่ถูกวิจารณ์หนักหลังพบข้อความที่สร้างโดย AI โดยไม่ได้ระบุไว้ก่อน

    AI ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเกมอย่างแพร่หลาย
    เกือบ 20% ของเกมบน Steam ปี 2025 ใช้ AI ในการพัฒนา
    ใช้ในงานพากย์เสียง ภาพประกอบ และเขียนโค้ด
    ลดต้นทุนและเวลาในการสร้างโมเดล 3D อย่างมหาศาล

    บริษัทใหญ่เริ่มลงทุนใน AI
    EA ร่วมมือกับ Stability AI
    Microsoft พัฒนาโมเดล AI ชื่อ Muse
    Ubisoft และ Quantic Dream ยังไม่เปิดเผยแนวทาง

    ความกังวลจากนักพัฒนาเกม
    กลัวการลดตำแหน่งงานจากการใช้ AI
    ผลงานที่สร้างโดย AI ยังต้องแก้ไขมาก
    ขาดความโปร่งใสในการแจ้งผู้เล่นว่าใช้ AI

    ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น
    ผู้เล่นอาจไม่พอใจหากพบว่าเกมใช้ AI โดยไม่แจ้ง
    นักลงทุนยังไม่ใช้ AI เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ
    การไม่ใช้ AI อาจทำให้สตูดิโอเสียเปรียบในการแข่งขัน

    AI ในวงการเกมคือดาบสองคม – ทั้งช่วยให้สร้างสรรค์ได้เร็วขึ้น และอาจทำให้มนุษย์ถูกลดบทบาทลง หากคุณเป็นนักเล่นเกมหรือผู้พัฒนาเกม นี่คือช่วงเวลาที่ต้องตั้งคำถามว่า “เรายังควบคุมเกมอยู่ หรือ AI กำลังถือจอยแทนเรา?”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/video-game-creators-fear-ai-could-grab-the-controller
    🎮 นักพัฒนาเกมหวั่น AI แย่งบทบาทสร้างสรรค์ – เทคโนโลยีที่ทั้งช่วยและท้าทายวงการเกม AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังในอุตสาหกรรมเกม แต่ก็สร้างความกังวลไม่น้อยในหมู่นักพัฒนาและศิลปิน ว่าจะกลายเป็นผู้แย่งงานแทนที่จะเป็นผู้ช่วย. ลองนึกภาพว่าเกมที่คุณเล่นทุกวันนี้ อาจมีฉาก ตัวละคร หรือแม้แต่บทพูดที่สร้างขึ้นโดย AI ทั้งหมด โดยไม่ผ่านมือมนุษย์เลยแม้แต่น้อย นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเกมทั่วโลก จากการศึกษาของ Totally Human Media พบว่า เกือบ 20% ของเกมบน Steam ปีนี้ใช้ AI ในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเกมดังอย่าง Call of Duty: Black Ops 6 หรือเกมจำลองชีวิต Inzoi. AI ถูกใช้ในหลายด้าน เช่น การพากย์เสียง การวาดภาพประกอบ หรือแม้แต่ช่วยเขียนโค้ด Ethan Hu จาก Meshy.ai เผยว่า การสร้างโมเดล 3D ที่เคยใช้เวลา 2 สัปดาห์และงบประมาณ 1,000 ดอลลาร์ ตอนนี้ใช้เวลาแค่ 1 นาทีและต้นทุนเพียง 2 ดอลลาร์. นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีมพัฒนาเกม 😨 แต่ไม่ใช่ทุกคนจะต้อนรับ AI ด้วยรอยยิ้ม แม้ AI จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการผลิตเกม แต่ก็สร้างความกังวลในหมู่คนทำงาน โดยเฉพาะเรื่อง การลดตำแหน่งงาน และ คุณภาพของงานที่ AI สร้างขึ้น นักพัฒนาจากสตูดิโอในฝรั่งเศสเผยว่า โมเดล 3D ที่สร้างโดย AI มักจะ “วุ่นวาย” และต้องใช้เวลาซ่อมแซมเท่ากับการสร้างใหม่. ขณะที่ผู้เล่นเองก็เริ่มจับผิดว่าเกมใดใช้ AI โดยไม่แจ้งล่วงหน้า เช่นกรณีเกม The Alters ที่ถูกวิจารณ์หนักหลังพบข้อความที่สร้างโดย AI โดยไม่ได้ระบุไว้ก่อน ✅ AI ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเกมอย่างแพร่หลาย ➡️ เกือบ 20% ของเกมบน Steam ปี 2025 ใช้ AI ในการพัฒนา ➡️ ใช้ในงานพากย์เสียง ภาพประกอบ และเขียนโค้ด ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการสร้างโมเดล 3D อย่างมหาศาล ✅ บริษัทใหญ่เริ่มลงทุนใน AI ➡️ EA ร่วมมือกับ Stability AI ➡️ Microsoft พัฒนาโมเดล AI ชื่อ Muse ➡️ Ubisoft และ Quantic Dream ยังไม่เปิดเผยแนวทาง ‼️ ความกังวลจากนักพัฒนาเกม ⛔ กลัวการลดตำแหน่งงานจากการใช้ AI ⛔ ผลงานที่สร้างโดย AI ยังต้องแก้ไขมาก ⛔ ขาดความโปร่งใสในการแจ้งผู้เล่นว่าใช้ AI ‼️ ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น ⛔ ผู้เล่นอาจไม่พอใจหากพบว่าเกมใช้ AI โดยไม่แจ้ง ⛔ นักลงทุนยังไม่ใช้ AI เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ⛔ การไม่ใช้ AI อาจทำให้สตูดิโอเสียเปรียบในการแข่งขัน AI ในวงการเกมคือดาบสองคม – ทั้งช่วยให้สร้างสรรค์ได้เร็วขึ้น และอาจทำให้มนุษย์ถูกลดบทบาทลง หากคุณเป็นนักเล่นเกมหรือผู้พัฒนาเกม นี่คือช่วงเวลาที่ต้องตั้งคำถามว่า “เรายังควบคุมเกมอยู่ หรือ AI กำลังถือจอยแทนเรา?” 🎮✨ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/video-game-creators-fear-ai-could-grab-the-controller
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Video game creators fear AI could grab the controller
    Generative artificial intelligence models capable of dreaming up ultra-realistic characters and virtual universes could make for cheaper, better video games in future, but the emerging technology has artists and developers on edge.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้านค้ารับเงินนักท่องเที่ยวจีน สแกนพร้อมเพย์ได้แล้ว

    ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายสินค้าและบริการ ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนเป็นประจำควรรู้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศการเปิดให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดน (Cross-border Payment) ผ่าน QR Code ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ ไปเมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา นำร่อง 6 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. และจะมีธนาคารเข้าร่วมให้บริการเพิ่มเติมอีกในระยะต่อไป

    โดยร้านค้าที่มี QR Code ซึ่งธนาคารจัดพิมพ์ให้ หรือแอปพลิเคชันรับเงินผ่าน QR Code สำหรับร้านค้า และเครื่องรูดบัตร EDC ที่รองรับ Thai QR Payment สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวจีน โดยสแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชัน Alipay, WeChat Pay และธนาคารจีนที่มี UnionPay ไปยัง Thai QR Payment โดยตรงเพื่อชำระเป็นเงินหยวน ก่อนที่จะแปลงอัตราแลกเปลี่ยนอัตโนมัติ และร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท โดยไม่ต้องสมัครและสร้าง QR Code ของ Alipay หรือ WeChat Pay แยกต่างหากอีกต่อไป

    มีรายงานว่า ธนาคารกรุงไทยจะทำหน้าที่เป็นธนาคารรับชำระดุล (Settlement Bank) ในการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่าง เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ (NITMX) ผู้ให้บริการระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) กับ แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล ผู้ให้บริการ Alipay จากจีน

    ประโยชน์ของบริการ Cross-border Payment ระหว่างไทยและจีน ช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนประเทศไทย ซึ่งในปี 2567 มีผู้มาเยือนเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยจำนวนกว่า 6.7 ล้านคน รวมทั้งนักลงทุนชาวจีน และชาวจีนที่อาศัยอยู่ระยะยาวในไทย สามารถใช้จ่ายในประเทศไทย โดยไม่จำเป็นต้องแลกเงินหรือเปิดบัญชีธนาคารในไทย ครอบคลุมหลากหลายกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งรับประทานอาหาร ช้อปปิ้ง และท่องเที่ยว ที่ผ่านมาลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง และลาว สามารถสแกนจ่ายในไทยได้แล้วก่อนหน้านี้

    อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีร้านค้าขนาดเล็กจำนวนมาก ยังคงใช้ Promptpay QR Code สำหรับรับเงินโอนเฉพาะบุคคลจากโมบายแบงกิ้งเป็นหลัก ไม่รองรับบริการ Cross-border Payment ทำให้ไม่สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ ซึ่งที่ผ่านมามีธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ต่างๆ รณรงค์ให้ร้านค้าสามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน เช่น อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รองรับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย

    #Newskit
    ร้านค้ารับเงินนักท่องเที่ยวจีน สแกนพร้อมเพย์ได้แล้ว ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายสินค้าและบริการ ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนเป็นประจำควรรู้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศการเปิดให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดน (Cross-border Payment) ผ่าน QR Code ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ ไปเมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา นำร่อง 6 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. และจะมีธนาคารเข้าร่วมให้บริการเพิ่มเติมอีกในระยะต่อไป โดยร้านค้าที่มี QR Code ซึ่งธนาคารจัดพิมพ์ให้ หรือแอปพลิเคชันรับเงินผ่าน QR Code สำหรับร้านค้า และเครื่องรูดบัตร EDC ที่รองรับ Thai QR Payment สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวจีน โดยสแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชัน Alipay, WeChat Pay และธนาคารจีนที่มี UnionPay ไปยัง Thai QR Payment โดยตรงเพื่อชำระเป็นเงินหยวน ก่อนที่จะแปลงอัตราแลกเปลี่ยนอัตโนมัติ และร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท โดยไม่ต้องสมัครและสร้าง QR Code ของ Alipay หรือ WeChat Pay แยกต่างหากอีกต่อไป มีรายงานว่า ธนาคารกรุงไทยจะทำหน้าที่เป็นธนาคารรับชำระดุล (Settlement Bank) ในการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่าง เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ (NITMX) ผู้ให้บริการระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) กับ แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล ผู้ให้บริการ Alipay จากจีน ประโยชน์ของบริการ Cross-border Payment ระหว่างไทยและจีน ช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนประเทศไทย ซึ่งในปี 2567 มีผู้มาเยือนเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยจำนวนกว่า 6.7 ล้านคน รวมทั้งนักลงทุนชาวจีน และชาวจีนที่อาศัยอยู่ระยะยาวในไทย สามารถใช้จ่ายในประเทศไทย โดยไม่จำเป็นต้องแลกเงินหรือเปิดบัญชีธนาคารในไทย ครอบคลุมหลากหลายกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งรับประทานอาหาร ช้อปปิ้ง และท่องเที่ยว ที่ผ่านมาลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง และลาว สามารถสแกนจ่ายในไทยได้แล้วก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีร้านค้าขนาดเล็กจำนวนมาก ยังคงใช้ Promptpay QR Code สำหรับรับเงินโอนเฉพาะบุคคลจากโมบายแบงกิ้งเป็นหลัก ไม่รองรับบริการ Cross-border Payment ทำให้ไม่สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ ซึ่งที่ผ่านมามีธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ต่างๆ รณรงค์ให้ร้านค้าสามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน เช่น อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รองรับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศึก AI สะเทือนวงการ: Elon Musk กล่าวหา Sam Altman “ขโมยองค์กรไม่แสวงกำไร”

    เรื่องราวดราม่าระหว่างสองผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการ AI กลับมาเดือดอีกครั้ง เมื่อ Elon Musk โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X กล่าวหาว่า Sam Altman “ขโมยองค์กรไม่แสวงกำไร” หลังจากเกิดข้อพิพาทเรื่องการคืนเงินมัดจำ $50,000 สำหรับการจอง Tesla Roadster รุ่นใหม่ที่ล่าช้ามาหลายปี

    Altman ยกเลิกการจองและขอเงินคืน แต่พบว่าอีเมลสำหรับติดต่อไม่สามารถใช้งานได้ ขณะที่ Musk ตอบกลับอย่างเผ็ดร้อนว่าเงินคืนให้ภายใน 24 ชั่วโมง และกล่าวหาว่า Altman “มีนิสัยชอบบิดเบือน” พร้อมเสริมว่าเขา “ขโมย OpenAI” ซึ่งเดิมเป็นองค์กรไม่แสวงกำไรที่ Musk ร่วมก่อตั้งในปี 2015 ก่อนจะถอนตัวในปี 2018 เพราะไม่เห็นด้วยกับทิศทางเชิงพาณิชย์ขององค์กร

    ดราม่านี้สะท้อนความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ระหว่าง Musk กับ Altman ที่ยืดเยื้อมาหลายปี โดยเฉพาะเมื่อ OpenAI เปลี่ยนโครงสร้างเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์ และกลายเป็นผู้นำด้าน AI ด้วย ChatGPT ขณะที่ Musk ก็เปิดตัว xAI เพื่อแข่งขันโดยตรง และสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาโมเดลของตัวเอง

    เกร็ดน่ารู้จากวงการ AI:
    OpenAI Foundation ยังคงเป็นองค์กรไม่แสวงกำไร แต่ควบคุม OpenAI PBC ซึ่งเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์
    Microsoft เข้ามาสนับสนุน OpenAI ทั้งด้านเงินทุนและโครงสร้าง เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างอิสระ
    xAI ของ Musk พัฒนาโมเดล Grok และมีแผนสร้าง GPU เองในอนาคต

    จุดเริ่มต้นของดราม่า
    Altman ยกเลิกจอง Tesla Roadster และขอคืนเงินมัดจำ
    Musk ตอบกลับว่าเงินคืนแล้ว และกล่าวหาว่า “ขโมยองค์กรไม่แสวงกำไร”

    ความขัดแย้งระหว่าง Musk และ Altman
    Musk ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015 และถอนตัวในปี 2018
    ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยน OpenAI เป็นบริษัทเชิงพาณิชย์

    โครงสร้างของ OpenAI ในปัจจุบัน
    OpenAI Foundation ควบคุม OpenAI PBC ซึ่งเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์
    ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft เพื่อเพิ่มความคล่องตัว

    การแข่งขันระหว่าง xAI และ OpenAI
    xAI พัฒนาโมเดล Grok และสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่
    Musk วางแผนผลิต GPU เองเพื่อแข่งขันในตลาด AI

    ความเสี่ยงจากความขัดแย้งในวงการ AI
    อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้ใช้งาน
    การแข่งขันเชิงอุดมการณ์อาจเบี่ยงเบนจากเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ

    ความไม่ชัดเจนของโครงสร้างองค์กร AI
    การผสมระหว่างไม่แสวงกำไรกับเชิงพาณิชย์อาจสร้างความสับสน
    อาจเกิดข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสและเจตนารมณ์ขององค์กร

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การคืนเงินจองรถ แต่เป็นการเปิดฉาก “สงครามอุดมการณ์” ระหว่างสองผู้นำที่กำลังขับเคลื่อนอนาคตของปัญญาประดิษฐ์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/elon-musk-alleges-sam-altman-stole-a-non-profit-as-ai-bros-spat-over-cancelled-tesla-roadster-order
    🤖 ศึก AI สะเทือนวงการ: Elon Musk กล่าวหา Sam Altman “ขโมยองค์กรไม่แสวงกำไร” เรื่องราวดราม่าระหว่างสองผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการ AI กลับมาเดือดอีกครั้ง เมื่อ Elon Musk โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X กล่าวหาว่า Sam Altman “ขโมยองค์กรไม่แสวงกำไร” หลังจากเกิดข้อพิพาทเรื่องการคืนเงินมัดจำ $50,000 สำหรับการจอง Tesla Roadster รุ่นใหม่ที่ล่าช้ามาหลายปี Altman ยกเลิกการจองและขอเงินคืน แต่พบว่าอีเมลสำหรับติดต่อไม่สามารถใช้งานได้ ขณะที่ Musk ตอบกลับอย่างเผ็ดร้อนว่าเงินคืนให้ภายใน 24 ชั่วโมง และกล่าวหาว่า Altman “มีนิสัยชอบบิดเบือน” พร้อมเสริมว่าเขา “ขโมย OpenAI” ซึ่งเดิมเป็นองค์กรไม่แสวงกำไรที่ Musk ร่วมก่อตั้งในปี 2015 ก่อนจะถอนตัวในปี 2018 เพราะไม่เห็นด้วยกับทิศทางเชิงพาณิชย์ขององค์กร ดราม่านี้สะท้อนความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ระหว่าง Musk กับ Altman ที่ยืดเยื้อมาหลายปี โดยเฉพาะเมื่อ OpenAI เปลี่ยนโครงสร้างเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์ และกลายเป็นผู้นำด้าน AI ด้วย ChatGPT ขณะที่ Musk ก็เปิดตัว xAI เพื่อแข่งขันโดยตรง และสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาโมเดลของตัวเอง 💡 เกร็ดน่ารู้จากวงการ AI: 📍 OpenAI Foundation ยังคงเป็นองค์กรไม่แสวงกำไร แต่ควบคุม OpenAI PBC ซึ่งเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์ 📍 Microsoft เข้ามาสนับสนุน OpenAI ทั้งด้านเงินทุนและโครงสร้าง เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างอิสระ 📍 xAI ของ Musk พัฒนาโมเดล Grok และมีแผนสร้าง GPU เองในอนาคต ✅ จุดเริ่มต้นของดราม่า ➡️ Altman ยกเลิกจอง Tesla Roadster และขอคืนเงินมัดจำ ➡️ Musk ตอบกลับว่าเงินคืนแล้ว และกล่าวหาว่า “ขโมยองค์กรไม่แสวงกำไร” ✅ ความขัดแย้งระหว่าง Musk และ Altman ➡️ Musk ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015 และถอนตัวในปี 2018 ➡️ ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยน OpenAI เป็นบริษัทเชิงพาณิชย์ ✅ โครงสร้างของ OpenAI ในปัจจุบัน ➡️ OpenAI Foundation ควบคุม OpenAI PBC ซึ่งเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์ ➡️ ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft เพื่อเพิ่มความคล่องตัว ✅ การแข่งขันระหว่าง xAI และ OpenAI ➡️ xAI พัฒนาโมเดล Grok และสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ➡️ Musk วางแผนผลิต GPU เองเพื่อแข่งขันในตลาด AI ‼️ ความเสี่ยงจากความขัดแย้งในวงการ AI ⛔ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้ใช้งาน ⛔ การแข่งขันเชิงอุดมการณ์อาจเบี่ยงเบนจากเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ ‼️ ความไม่ชัดเจนของโครงสร้างองค์กร AI ⛔ การผสมระหว่างไม่แสวงกำไรกับเชิงพาณิชย์อาจสร้างความสับสน ⛔ อาจเกิดข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสและเจตนารมณ์ขององค์กร เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การคืนเงินจองรถ แต่เป็นการเปิดฉาก “สงครามอุดมการณ์” ระหว่างสองผู้นำที่กำลังขับเคลื่อนอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ 🌐🔥 https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/elon-musk-alleges-sam-altman-stole-a-non-profit-as-ai-bros-spat-over-cancelled-tesla-roadster-order
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## ทองคำ และ แรงซื้อหลัก จากทั่วโลก ##
    ..
    ..
    ธนาคารกลางทั่วโลกกลับมาซื้อทอง! Q3 ซื้อรวม 220 ตัน หลังจากชะลอการซื้อตลอดครึ่งปีแรกของ 2025
    .
    ตามรายงานจาก World Gold Council (WGC) มีการซื้อทองคำรวม 220 ตัน ในช่วงเดือนกรกฎาคม–กันยายน เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อนหน้า
    .
    โดยผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดคือ ธนาคารกลางคาซัคสถาน ขณะที่ บราซิล กลับมาซื้อทองคำอีกครั้งในรอบกว่า 4 ปี
    .
    นั่นแปลว่า ธนาคารกลางทั่วโลกยังมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะในภาวะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า และ เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง
    .
    นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, เงินเฟ้อที่ยังสูง และนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลง ล้วนกระตุ้นให้หลายประเทศ “กระจายความเสี่ยงออกจากดอลลาร์”
    .
    ตัวเลขสำคัญจากรายงาน WGC
    .
    การซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ถึง ก.ย. 2025): 634 ตัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของ 3 ปีก่อนหน้า แต่ยัง สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนปี 2022 (ก่อนรัสเซียบุกยูเครน) โดยคาดการณ์ทั้งปี 2025: 750–900 ตัน
    .
    ทั้งนี้ ราว 66% ของดีมานด์ทองคำในไตรมาสล่าสุดยังไม่ได้รายงานอย่างเป็นทางการ — แปลว่าอาจมี “ผู้ซื้อรายใหญ่ที่ไม่เปิดเผยชื่อ”
    .
    แนวโน้มในตลาดทองคำ:
    ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 50% ในปีนี้ไปแล้ว
    .
    การซื้อขายทองคำผ่านกองทุน ETF ที่อ้างอิงทอง (Gold ETFs) ทำสถิติใหม่ มีกระแสเงินไหลเข้ากว่า $26 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลกใน Q3
    .
    ความต้องการทองคำจากนักลงทุนทั่วไปเพิ่มขึ้น 13% QoQ เพราะกลัวตกขบวนในรอบขาขึ้น
    .
    แต่ด้านหนึ่ง
    .
    ความต้องการทองรูปพรรณลดลง ในแง่ “ปริมาณ” เหลือต่ำสุดตั้งแต่ปี 2020 เพราะราคาสูงเกินเอื้อม แม้ “มูลค่าการใช้จ่าย” จะเพิ่มขึ้น 13% YoY เป็น $41 พันล้านดอลลาร์
    ....
    ....
    สรุปสั้น ๆ
    .
    ธนาคารกลางกลับมาซื้อทองคำอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งใน Q3 แม้ราคาทองจะสูงเป็นประวัติการณ์ แต่พวกเขายังมองทองคำเป็น “เกราะป้องกันความเสี่ยง”
    .
    ปี 2025 อาจเห็นการซื้อมากถึง 900 ตันทั่วโลก — เป็นสัญญาณชัดว่าโลกกำลัง “ถือทองมากกว่าดอลลาร์”
    ## ทองคำ และ แรงซื้อหลัก จากทั่วโลก ## .. .. ธนาคารกลางทั่วโลกกลับมาซื้อทอง! Q3 ซื้อรวม 220 ตัน หลังจากชะลอการซื้อตลอดครึ่งปีแรกของ 2025 . ตามรายงานจาก World Gold Council (WGC) มีการซื้อทองคำรวม 220 ตัน ในช่วงเดือนกรกฎาคม–กันยายน เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อนหน้า . โดยผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดคือ ธนาคารกลางคาซัคสถาน ขณะที่ บราซิล กลับมาซื้อทองคำอีกครั้งในรอบกว่า 4 ปี . นั่นแปลว่า ธนาคารกลางทั่วโลกยังมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะในภาวะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า และ เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง . นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, เงินเฟ้อที่ยังสูง และนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลง ล้วนกระตุ้นให้หลายประเทศ “กระจายความเสี่ยงออกจากดอลลาร์” . ตัวเลขสำคัญจากรายงาน WGC . การซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ถึง ก.ย. 2025): 634 ตัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของ 3 ปีก่อนหน้า แต่ยัง สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนปี 2022 (ก่อนรัสเซียบุกยูเครน) โดยคาดการณ์ทั้งปี 2025: 750–900 ตัน . ทั้งนี้ ราว 66% ของดีมานด์ทองคำในไตรมาสล่าสุดยังไม่ได้รายงานอย่างเป็นทางการ — แปลว่าอาจมี “ผู้ซื้อรายใหญ่ที่ไม่เปิดเผยชื่อ” . แนวโน้มในตลาดทองคำ: ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 50% ในปีนี้ไปแล้ว . การซื้อขายทองคำผ่านกองทุน ETF ที่อ้างอิงทอง (Gold ETFs) ทำสถิติใหม่ มีกระแสเงินไหลเข้ากว่า $26 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลกใน Q3 . ความต้องการทองคำจากนักลงทุนทั่วไปเพิ่มขึ้น 13% QoQ เพราะกลัวตกขบวนในรอบขาขึ้น . แต่ด้านหนึ่ง . ความต้องการทองรูปพรรณลดลง ในแง่ “ปริมาณ” เหลือต่ำสุดตั้งแต่ปี 2020 เพราะราคาสูงเกินเอื้อม แม้ “มูลค่าการใช้จ่าย” จะเพิ่มขึ้น 13% YoY เป็น $41 พันล้านดอลลาร์ .... .... สรุปสั้น ๆ . ธนาคารกลางกลับมาซื้อทองคำอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งใน Q3 แม้ราคาทองจะสูงเป็นประวัติการณ์ แต่พวกเขายังมองทองคำเป็น “เกราะป้องกันความเสี่ยง” . ปี 2025 อาจเห็นการซื้อมากถึง 900 ตันทั่วโลก — เป็นสัญญาณชัดว่าโลกกำลัง “ถือทองมากกว่าดอลลาร์”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## ทองคำ จะลงเพราะ จีน ยกเลิกสิทธิพิเศษ ภาษีทองคำ...??? ##
    ..
    ..
    นโยบายนี้ อาจทำให้เพิ่มต้นทุน ราคาทองคำใน จีน ขึ้นได้ประมาณ 4-13% สำหรับผู้ซื้อในจีน (หากต้นทุนถูกส่งผ่านเต็มที่)
    .
    และ ผลต่อ อุปสงค์โลก อาจลดลงประมาณ 3% ในระยะกลาง
    .
    ซึ่งถ้าผลลัพธ์นี้เกิดขึ้น ราคาทองโลกอาจถูกกดดันหรือขึ้นช้าลง แต่ไม่ถึงกับทำให้เทรนด์ขาขึ้นหาย เพราะแรงซื้ออื่นยังอยู่
    .
    เหตุผลที่ นโยบายนี้ มีผลกระทบไม่มากจนเกินไป
    .
    เพราะตลาดทองคำโลก ไม่ได้ขึ้นหรือลงจาก จีน เพียงลำพังประเทศเดียว
    .
    ยังมีแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อยทั่วโลก ปัจจัยทางเฝด้านภูมิรัฐศาสตร์ อัตราดอกเบี้ย และ เงินเฟ้อ อีกด้วย
    .
    แม้จีนเป็นผู้บริโภคทองคำที่ใหญ่มาก แต่การบริโภคทองแตกต่างกัน (เครื่องประดับ vs แท่ง/เหรียญ) และ การซื้อเพื่อเก็บรักษามูลค่า (investment) มีความยืดหยุ่นกว่า
    .
    ผู้ผลิต/ผู้ค้าทองอาจปรับกลยุทธ์ เช่น ลดกำไรเล็กน้อยเพื่อรักษายอดขาย ลดต้นทุนอื่น หรือ ชะลอการส่งออก เข้าไทย ฮ่องกง สิงคโปร์แทน เพื่อรักษา margin
    ....
    ....
    สรุป อย่างสั้นที่สุด คือ มีผลกระทบอยู่ แต่ไม่มากมายอะไรนัก...
    ## ทองคำ จะลงเพราะ จีน ยกเลิกสิทธิพิเศษ ภาษีทองคำ...??? ## .. .. นโยบายนี้ อาจทำให้เพิ่มต้นทุน ราคาทองคำใน จีน ขึ้นได้ประมาณ 4-13% สำหรับผู้ซื้อในจีน (หากต้นทุนถูกส่งผ่านเต็มที่) . และ ผลต่อ อุปสงค์โลก อาจลดลงประมาณ 3% ในระยะกลาง . ซึ่งถ้าผลลัพธ์นี้เกิดขึ้น ราคาทองโลกอาจถูกกดดันหรือขึ้นช้าลง แต่ไม่ถึงกับทำให้เทรนด์ขาขึ้นหาย เพราะแรงซื้ออื่นยังอยู่ . เหตุผลที่ นโยบายนี้ มีผลกระทบไม่มากจนเกินไป . เพราะตลาดทองคำโลก ไม่ได้ขึ้นหรือลงจาก จีน เพียงลำพังประเทศเดียว . ยังมีแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อยทั่วโลก ปัจจัยทางเฝด้านภูมิรัฐศาสตร์ อัตราดอกเบี้ย และ เงินเฟ้อ อีกด้วย . แม้จีนเป็นผู้บริโภคทองคำที่ใหญ่มาก แต่การบริโภคทองแตกต่างกัน (เครื่องประดับ vs แท่ง/เหรียญ) และ การซื้อเพื่อเก็บรักษามูลค่า (investment) มีความยืดหยุ่นกว่า . ผู้ผลิต/ผู้ค้าทองอาจปรับกลยุทธ์ เช่น ลดกำไรเล็กน้อยเพื่อรักษายอดขาย ลดต้นทุนอื่น หรือ ชะลอการส่งออก เข้าไทย ฮ่องกง สิงคโปร์แทน เพื่อรักษา margin .... .... สรุป อย่างสั้นที่สุด คือ มีผลกระทบอยู่ แต่ไม่มากมายอะไรนัก...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • สะเทือนวงการคริปโต: จีน-อังกฤษร่วมมือคืน 61,000 Bitcoin ที่ถูกขโมย มูลค่ากว่า $6.7 พันล้าน แต่เหยื่ออาจไม่ได้คืนเต็มจำนวน

    คดีใหญ่สะเทือนโลกคริปโต เมื่อทางการอังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian หรือที่รู้จักในชื่อ Yadi Zhang “ราชินีบิตคอยน์” ผู้หลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 รายผ่านโครงการลงทุนปลอมระหว่างปี 2014–2017 โดยเงินที่ได้ถูกแปลงเป็นคริปโตและอสังหาริมทรัพย์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    หลังจากการจับกุมและยึดกระเป๋าเงินดิจิทัลในปี 2018 ซึ่งตอนนั้น Bitcoin มีมูลค่าเพียง ~$3,300 ต่อเหรียญ มูลค่ารวมของเหรียญที่ยึดได้อยู่ที่ประมาณ $200 ล้าน แต่ในปี 2025 มูลค่าของ Bitcoin พุ่งทะลุ $110,000 ต่อเหรียญ ทำให้ยอดรวมพุ่งขึ้นเป็นกว่า $6.7 พันล้าน!

    แม้จะดูเหมือนข่าวดีสำหรับเหยื่อ แต่การคืนเงินกลับไม่ง่าย เพราะทางการจีนต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวงจริง ไม่ได้ปะปนกับเงินจากอาชญากรรมอื่น และทางการอังกฤษยังมีเสียงแตก บางฝ่ายเสนอให้คืนเฉพาะมูลค่าที่เหยื่อสูญเสีย ไม่ใช่มูลค่าปัจจุบันของ Bitcoin

    นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าอังกฤษอาจเก็บ Bitcoin ไว้บางส่วน ซึ่งอาจสร้างความตึงเครียดทางการทูตกับจีน และนำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อ

    อังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian
    มูลค่าปัจจุบันกว่า $6.7 พันล้าน
    เป็นผลจากการหลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 ราย

    จีน-อังกฤษร่วมมือกันเพื่อคืนเงินให้เหยื่อ
    ต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวง
    ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ติดต่อเหยื่อ

    มูลค่า Bitcoin เพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่าจากปี 2018
    จาก ~$3,300 เป็น ~$110,000 ต่อเหรียญ
    ทำให้ยอดรวมพุ่งจาก $200 ล้านเป็น $6.7 พันล้าน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/chinese-and-british-authorities-work-together-to-determine-how-to-return-61-000-stolen-bitcoins-worth-usd6-7-billion-victims-expected-to-have-hard-time-recouping-losses-despite-seizure
    💰 สะเทือนวงการคริปโต: จีน-อังกฤษร่วมมือคืน 61,000 Bitcoin ที่ถูกขโมย มูลค่ากว่า $6.7 พันล้าน แต่เหยื่ออาจไม่ได้คืนเต็มจำนวน คดีใหญ่สะเทือนโลกคริปโต เมื่อทางการอังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian หรือที่รู้จักในชื่อ Yadi Zhang “ราชินีบิตคอยน์” ผู้หลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 รายผ่านโครงการลงทุนปลอมระหว่างปี 2014–2017 โดยเงินที่ได้ถูกแปลงเป็นคริปโตและอสังหาริมทรัพย์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ หลังจากการจับกุมและยึดกระเป๋าเงินดิจิทัลในปี 2018 ซึ่งตอนนั้น Bitcoin มีมูลค่าเพียง ~$3,300 ต่อเหรียญ มูลค่ารวมของเหรียญที่ยึดได้อยู่ที่ประมาณ $200 ล้าน แต่ในปี 2025 มูลค่าของ Bitcoin พุ่งทะลุ $110,000 ต่อเหรียญ ทำให้ยอดรวมพุ่งขึ้นเป็นกว่า $6.7 พันล้าน! แม้จะดูเหมือนข่าวดีสำหรับเหยื่อ แต่การคืนเงินกลับไม่ง่าย เพราะทางการจีนต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวงจริง ไม่ได้ปะปนกับเงินจากอาชญากรรมอื่น และทางการอังกฤษยังมีเสียงแตก บางฝ่ายเสนอให้คืนเฉพาะมูลค่าที่เหยื่อสูญเสีย ไม่ใช่มูลค่าปัจจุบันของ Bitcoin นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าอังกฤษอาจเก็บ Bitcoin ไว้บางส่วน ซึ่งอาจสร้างความตึงเครียดทางการทูตกับจีน และนำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อ ✅ อังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian ➡️ มูลค่าปัจจุบันกว่า $6.7 พันล้าน ➡️ เป็นผลจากการหลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 ราย ✅ จีน-อังกฤษร่วมมือกันเพื่อคืนเงินให้เหยื่อ ➡️ ต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวง ➡️ ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ติดต่อเหยื่อ ✅ มูลค่า Bitcoin เพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่าจากปี 2018 ➡️ จาก ~$3,300 เป็น ~$110,000 ต่อเหรียญ ➡️ ทำให้ยอดรวมพุ่งจาก $200 ล้านเป็น $6.7 พันล้าน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/chinese-and-british-authorities-work-together-to-determine-how-to-return-61-000-stolen-bitcoins-worth-usd6-7-billion-victims-expected-to-have-hard-time-recouping-losses-despite-seizure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts