• ทำธุรกิจต้องไว! เครื่องบดถ้วยรุ่น 500 กรัม BONNY ตัวเดียวจบทุกงาน!
    การทำผงวัตถุดิบแห้งให้ได้คุณภาพไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป! เครื่องบดถ้วยรุ่น 500 กรัม BONNY ช่วยให้การทำงานของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว
    - ทรงพลัง: กำลังไฟ 1,400W บดได้ละเอียดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพร เมล็ดกาแฟ หรือธัญพืช
    - รวดเร็ว: ความเร็ว 25,000 รอบ/นาที ประหยัดเวลาทำงาน เพิ่มกำลังการผลิต
    - คุ้มค่า: ความจุ 500g เหมาะสำหรับงานหลากหลาย ตอบโจทย์ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง
    ลงทุนครั้งเดียว แต่คุ้มค่าเกินราคาแน่นอน!
    ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชท Facebook: m.me/yonghahheng
    LINE Business ID: @588okjbj (มี @ ข้างหน้า) หรือ https://lin.ee/HV4lSKp
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-318-9098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    E-mail: sales@yoryonghahheng.com และ yonghahheng@gmail.com
    เวลาเปิดทำการ:
    จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น.
    เสาร์: 8.00 - 16.00 น.
    #เลือกคุณภาพ #เลือกBONNY #เครื่องบดสมุนไพร #บดแห้ง #เครื่องบดยา #ผงสมุนไพร #เครื่องบดอาหารแห้ง #เครื่องบดความเร็วสูง #ธุรกิจขนาดเล็ก #อุปกรณ์ทำอาหาร #สมุนไพร #เครื่องเทศ #เครื่องบดละเอียด #เครื่องบดอเนกประสงค์ #เครื่องบดพริก #เครื่องบดกาแฟ #เครื่องบดธัญพืช #เครื่องบดสมุนไพรผง #เครื่องบดสแตนเลส #เครื่องบดไฟฟ้า #เครื่องบดเมล็ดพืช #เครื่องบดวัตถุดิบ #เครื่องบดเครื่องเทศ #บดผง #อุปกรณ์ทำครัว #เครื่องบด #เครื่องบดอาหาร #ของแห้ง
    ทำธุรกิจต้องไว! 🚀 เครื่องบดถ้วยรุ่น 500 กรัม BONNY ตัวเดียวจบทุกงาน! การทำผงวัตถุดิบแห้งให้ได้คุณภาพไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป! เครื่องบดถ้วยรุ่น 500 กรัม BONNY ช่วยให้การทำงานของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว 💨 - ทรงพลัง: กำลังไฟ 1,400W บดได้ละเอียดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพร เมล็ดกาแฟ หรือธัญพืช 🌾 - รวดเร็ว: ความเร็ว 25,000 รอบ/นาที ประหยัดเวลาทำงาน เพิ่มกำลังการผลิต 📈 - คุ้มค่า: ความจุ 500g เหมาะสำหรับงานหลากหลาย ตอบโจทย์ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง 👍 ลงทุนครั้งเดียว แต่คุ้มค่าเกินราคาแน่นอน! ✨ ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 📍 แชท Facebook: m.me/yonghahheng 💬 LINE Business ID: @588okjbj (มี @ ข้างหน้า) หรือ https://lin.ee/HV4lSKp 📱 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-318-9098 📞 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com 💻 E-mail: sales@yoryonghahheng.com และ yonghahheng@gmail.com 📧 เวลาเปิดทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น. เสาร์: 8.00 - 16.00 น. #เลือกคุณภาพ #เลือกBONNY #เครื่องบดสมุนไพร #บดแห้ง #เครื่องบดยา #ผงสมุนไพร #เครื่องบดอาหารแห้ง #เครื่องบดความเร็วสูง #ธุรกิจขนาดเล็ก #อุปกรณ์ทำอาหาร #สมุนไพร #เครื่องเทศ #เครื่องบดละเอียด #เครื่องบดอเนกประสงค์ #เครื่องบดพริก #เครื่องบดกาแฟ #เครื่องบดธัญพืช #เครื่องบดสมุนไพรผง #เครื่องบดสแตนเลส #เครื่องบดไฟฟ้า #เครื่องบดเมล็ดพืช #เครื่องบดวัตถุดิบ #เครื่องบดเครื่องเทศ #บดผง #อุปกรณ์ทำครัว #เครื่องบด #เครื่องบดอาหาร #ของแห้ง
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก AI Search: เมื่อ Hostinger แซง AWS และ GoDaddy ส่วน Wix ครองใจคนสร้างเว็บแบบง่ายที่สุด

    ข้อมูลล่าสุดจาก Similarweb และ Google Trends เผยว่า Hostinger มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้งในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่า AWS ถึง 3 เท่า และแซง GoDaddy อย่างชัดเจน แม้จะเป็นแบรนด์เล็กกว่าในแง่โครงสร้างพื้นฐาน แต่ Hostinger กลับกลายเป็น “ชื่อที่ AI แนะนำ” บ่อยที่สุดเมื่อผู้ใช้ถามหาเว็บโฮสติ้ง

    สิ่งที่ผลักดัน Hostinger คือการผสานบริการโฮสติ้งเข้ากับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบ AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วหลังจากเข้าซื้อ Zyro โดยเน้นความง่าย ราคาถูก และการใช้งานที่ไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก

    ในขณะเดียวกัน Wix ยังคงครองตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มผู้สร้างเว็บไซต์ โดยมีการโต้ตอบมากกว่า 450,000 ครั้งใน AI search ซึ่งมากกว่า Squarespace ถึง 5 เท่า และเหนือกว่า Weebly อย่างชัดเจน จุดแข็งของ Wix คือระบบ drag-and-drop, เทมเพลตมากกว่า 900 แบบ, และระบบ design automation ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้างเว็บไซต์ได้ในไม่กี่นาที

    แม้ตัวเลขการปรากฏใน AI search จะไม่เท่ากับยอดขายหรือรายได้โดยตรง แต่ก็สะท้อนถึง “mindshare” หรือการรับรู้แบรนด์ในยุคที่ผู้ใช้พึ่งพา AI ในการค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ

    Hostinger ครองอันดับสูงสุดใน AI search
    มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้ง
    แซง AWS (ต่ำกว่า 500,000 ครั้ง) และ GoDaddy อย่างชัดเจน
    ได้รับการเชื่อมโยงกับบริการ AI website builder อย่างต่อเนื่อง

    Wix ยังคงเป็นผู้นำด้านการสร้างเว็บไซต์
    มีการโต้ตอบใน AI search มากกว่า 450,000 ครั้ง
    ใช้ระบบ drag-and-drop, automation, และ e-commerce tools
    เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความง่าย

    การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้ใช้
    AI search กลายเป็นช่องทางหลักในการค้นหาบริการดิจิทัล
    ความถี่ในการปรากฏใน AI search เริ่มกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ
    ผู้ใช้ให้ความสำคัญกับความง่ายและความเร็วมากกว่าความลึกทางเทคนิค

    การแข่งขันในตลาดสร้างเว็บไซต์
    Squarespace และ Weebly ยังอยู่ในอันดับรอง แต่มีการโต้ตอบน้อยกว่า Wix
    Hostinger เริ่มแย่งพื้นที่จากผู้เล่นเก่าในกลุ่ม website builder
    การรวม hosting + AI builder กลายเป็นแนวโน้มใหม่ของตลาด

    https://www.techradar.com/pro/hostinger-is-the-top-performing-web-hosting-firm-in-ai-search-while-wix-takes-top-trumps-for-website-builders
    🎙️ เรื่องเล่าจาก AI Search: เมื่อ Hostinger แซง AWS และ GoDaddy ส่วน Wix ครองใจคนสร้างเว็บแบบง่ายที่สุด ข้อมูลล่าสุดจาก Similarweb และ Google Trends เผยว่า Hostinger มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้งในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่า AWS ถึง 3 เท่า และแซง GoDaddy อย่างชัดเจน แม้จะเป็นแบรนด์เล็กกว่าในแง่โครงสร้างพื้นฐาน แต่ Hostinger กลับกลายเป็น “ชื่อที่ AI แนะนำ” บ่อยที่สุดเมื่อผู้ใช้ถามหาเว็บโฮสติ้ง สิ่งที่ผลักดัน Hostinger คือการผสานบริการโฮสติ้งเข้ากับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบ AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วหลังจากเข้าซื้อ Zyro โดยเน้นความง่าย ราคาถูก และการใช้งานที่ไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก ในขณะเดียวกัน Wix ยังคงครองตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มผู้สร้างเว็บไซต์ โดยมีการโต้ตอบมากกว่า 450,000 ครั้งใน AI search ซึ่งมากกว่า Squarespace ถึง 5 เท่า และเหนือกว่า Weebly อย่างชัดเจน จุดแข็งของ Wix คือระบบ drag-and-drop, เทมเพลตมากกว่า 900 แบบ, และระบบ design automation ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้างเว็บไซต์ได้ในไม่กี่นาที แม้ตัวเลขการปรากฏใน AI search จะไม่เท่ากับยอดขายหรือรายได้โดยตรง แต่ก็สะท้อนถึง “mindshare” หรือการรับรู้แบรนด์ในยุคที่ผู้ใช้พึ่งพา AI ในการค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ ✅ Hostinger ครองอันดับสูงสุดใน AI search ➡️ มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้ง ➡️ แซง AWS (ต่ำกว่า 500,000 ครั้ง) และ GoDaddy อย่างชัดเจน ➡️ ได้รับการเชื่อมโยงกับบริการ AI website builder อย่างต่อเนื่อง ✅ Wix ยังคงเป็นผู้นำด้านการสร้างเว็บไซต์ ➡️ มีการโต้ตอบใน AI search มากกว่า 450,000 ครั้ง ➡️ ใช้ระบบ drag-and-drop, automation, และ e-commerce tools ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความง่าย ✅ การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้ใช้ ➡️ AI search กลายเป็นช่องทางหลักในการค้นหาบริการดิจิทัล ➡️ ความถี่ในการปรากฏใน AI search เริ่มกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ ➡️ ผู้ใช้ให้ความสำคัญกับความง่ายและความเร็วมากกว่าความลึกทางเทคนิค ✅ การแข่งขันในตลาดสร้างเว็บไซต์ ➡️ Squarespace และ Weebly ยังอยู่ในอันดับรอง แต่มีการโต้ตอบน้อยกว่า Wix ➡️ Hostinger เริ่มแย่งพื้นที่จากผู้เล่นเก่าในกลุ่ม website builder ➡️ การรวม hosting + AI builder กลายเป็นแนวโน้มใหม่ของตลาด https://www.techradar.com/pro/hostinger-is-the-top-performing-web-hosting-firm-in-ai-search-while-wix-takes-top-trumps-for-website-builders
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • ลุงเองก็ไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ !!

    เรื่องเล่าจาก Synology: จาก NAS ที่เคยรัก สู่ระบบที่บังคับให้รักแบบมีเงื่อนไข

    ผู้ใช้ Synology หลายคน รวมถึงนักเขียนจาก LowEndBox ที่เคยหลงรักความเงียบ ประหยัดพลังงาน และความเสถียรของ NAS รุ่น DS920, DS418 และ DS1522 กำลังรู้สึกผิดหวังอย่างหนัก เพราะ Synology ได้เปลี่ยนนโยบายหลายอย่างที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า “ถูกบังคับ” มากกว่าการได้รับอิสระ

    เริ่มจากข้อจำกัดด้าน Samba ที่หลายคนคิดว่าเป็นแค่การตั้งค่าใน smb.conf แต่จริง ๆ แล้ว Synology ใช้ wrapper พิเศษที่จำกัดจำนวนการเชื่อมต่อแบบ concurrent โดยไม่เปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง

    ที่หนักกว่านั้นคือการเปลี่ยนนโยบายด้านฮาร์ดดิสก์: Synology ประกาศว่า NAS รุ่นใหม่ในปี 2025 จะ “ไม่ยอมรับ” ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ใช่ของ Synology หรือไม่ได้รับการรับรอง แม้จะเป็น WD Black ที่มีคุณภาพสูงและรับประกัน 5 ปี ก็อาจถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้งานเลย

    นโยบายนี้เริ่มจากรุ่น enterprise และ rack-mounted แต่ตอนนี้ขยายมาถึงรุ่น Plus ที่เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้หลายคนเริ่มหันไปมองทางเลือกอื่น เช่น TrueNAS, Unraid, Buffalo หรือแม้แต่ Raspberry Pi ที่ให้ความยืดหยุ่นมากกว่า

    การจำกัดการเชื่อมต่อ Samba
    Synology ใช้ wrapper พิเศษรอบ daemon เพื่อจำกัด concurrent connections
    ไม่สามารถปรับแต่งจำนวน connection ได้จาก smb.conf โดยตรง

    นโยบายฮาร์ดดิสก์แบบผูกขาด
    NAS รุ่นใหม่ในปี 2025 จะรองรับเฉพาะฮาร์ดดิสก์ของ Synology หรือที่ได้รับการรับรอง
    ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ผ่านการรับรองจะไม่สามารถสร้าง storage pool ได้
    ฟีเจอร์บางอย่างจะถูกปิด เช่น deduplication, lifespan analysis, และ firmware update อัตโนมัติ
    รุ่น Plus ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ DS925+, DS1825+ และรุ่นใหม่อื่น ๆ
    รุ่นก่อนปี 2025 เช่น DS1522+ ยังไม่ถูกบังคับใช้

    เหตุผลที่ Synology ให้ไว้
    เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพในการใช้งานระยะยาว
    ลดปัญหาการสนับสนุนจากการใช้ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่เข้ากัน
    เพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุนการดูแลระบบ

    ทางเลือกอื่นที่ผู้ใช้กำลังพิจารณา
    TrueNAS และ Unraid ที่ให้ความยืดหยุ่นในการเลือกฮาร์ดแวร์
    UGREEN DXP 6800 Pro ที่รองรับ Unraid/Proxmox และมีสเปกแรงในราคาคุ้มค่า
    Raspberry Pi + USB HDD สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบเล็ก ประหยัดพลังงาน

    https://lowendbox.com/blog/they-used-to-be-good-but-now-theyve-turned-to-evil-the-synology-end-game/
    ลุงเองก็ไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ !! 🎙️ เรื่องเล่าจาก Synology: จาก NAS ที่เคยรัก สู่ระบบที่บังคับให้รักแบบมีเงื่อนไข ผู้ใช้ Synology หลายคน รวมถึงนักเขียนจาก LowEndBox ที่เคยหลงรักความเงียบ ประหยัดพลังงาน และความเสถียรของ NAS รุ่น DS920, DS418 และ DS1522 กำลังรู้สึกผิดหวังอย่างหนัก เพราะ Synology ได้เปลี่ยนนโยบายหลายอย่างที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า “ถูกบังคับ” มากกว่าการได้รับอิสระ เริ่มจากข้อจำกัดด้าน Samba ที่หลายคนคิดว่าเป็นแค่การตั้งค่าใน smb.conf แต่จริง ๆ แล้ว Synology ใช้ wrapper พิเศษที่จำกัดจำนวนการเชื่อมต่อแบบ concurrent โดยไม่เปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง ที่หนักกว่านั้นคือการเปลี่ยนนโยบายด้านฮาร์ดดิสก์: Synology ประกาศว่า NAS รุ่นใหม่ในปี 2025 จะ “ไม่ยอมรับ” ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ใช่ของ Synology หรือไม่ได้รับการรับรอง แม้จะเป็น WD Black ที่มีคุณภาพสูงและรับประกัน 5 ปี ก็อาจถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้งานเลย นโยบายนี้เริ่มจากรุ่น enterprise และ rack-mounted แต่ตอนนี้ขยายมาถึงรุ่น Plus ที่เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้หลายคนเริ่มหันไปมองทางเลือกอื่น เช่น TrueNAS, Unraid, Buffalo หรือแม้แต่ Raspberry Pi ที่ให้ความยืดหยุ่นมากกว่า ✅ การจำกัดการเชื่อมต่อ Samba ➡️ Synology ใช้ wrapper พิเศษรอบ daemon เพื่อจำกัด concurrent connections ➡️ ไม่สามารถปรับแต่งจำนวน connection ได้จาก smb.conf โดยตรง ✅ นโยบายฮาร์ดดิสก์แบบผูกขาด ➡️ NAS รุ่นใหม่ในปี 2025 จะรองรับเฉพาะฮาร์ดดิสก์ของ Synology หรือที่ได้รับการรับรอง ➡️ ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ผ่านการรับรองจะไม่สามารถสร้าง storage pool ได้ ➡️ ฟีเจอร์บางอย่างจะถูกปิด เช่น deduplication, lifespan analysis, และ firmware update อัตโนมัติ ➡️ รุ่น Plus ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ DS925+, DS1825+ และรุ่นใหม่อื่น ๆ ➡️ รุ่นก่อนปี 2025 เช่น DS1522+ ยังไม่ถูกบังคับใช้ ✅ เหตุผลที่ Synology ให้ไว้ ➡️ เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพในการใช้งานระยะยาว ➡️ ลดปัญหาการสนับสนุนจากการใช้ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่เข้ากัน ➡️ เพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุนการดูแลระบบ ✅ ทางเลือกอื่นที่ผู้ใช้กำลังพิจารณา ➡️ TrueNAS และ Unraid ที่ให้ความยืดหยุ่นในการเลือกฮาร์ดแวร์ ➡️ UGREEN DXP 6800 Pro ที่รองรับ Unraid/Proxmox และมีสเปกแรงในราคาคุ้มค่า ➡️ Raspberry Pi + USB HDD สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบเล็ก ประหยัดพลังงาน https://lowendbox.com/blog/they-used-to-be-good-but-now-theyve-turned-to-evil-the-synology-end-game/
    LOWENDBOX.COM
    They Used to Be Good, But Now They've Turned to Evil: The Synology End Game
    Find the best cheap server hosting and the best cheap vps hosting, where you only pay a few dollars a month, exclusively on LowEndBox
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI : คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส

    เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต

    เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout และการซื้อขายออนไลน์ เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า

    เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม

    ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน

    ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร

    ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI

    เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป

    1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป

    2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา

    3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer

    เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ

    สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI 🤖: 📚 คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี 🙎‍♂️ ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง🤞 การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก🌏 รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส 🌞 เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" ⁉️ มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย 🙏 ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย 👴 ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ📉 ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต 🔮 เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout 🏧 และการซื้อขายออนไลน์ 🌐 เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot 🤖 และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ 🚗 และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น 🧑‍⚕️ แพทย์ 👩‍🔬นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ 👩‍🏫 ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา 🧘 การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม 💪 ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน 💷💶💵 ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง 📊 ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร 🧍‍♂️ ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด 🏫 มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th 🌐 ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane 🕸️ นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป 1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ 👩‍💻 เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป 2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ 👨‍🏭 ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา 3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก 🏓 โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ 🗝️ สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 366 Views 0 Reviews
  • GodRAT – มัลแวร์ที่แฝงตัวในภาพ ส่งผ่าน Skype เพื่อเจาะระบบธุรกิจ

    ในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Kaspersky ได้ค้นพบมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า “GodRAT” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ผ่านแอป Skype เพื่อเจาะระบบของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMBs) ในตะวันออกกลางและเอเชีย

    GodRAT ถูกซ่อนไว้ในไฟล์ภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน โดยใช้เทคนิค “steganography” เพื่อฝัง shellcode ที่เมื่อเปิดใช้งาน จะดาวน์โหลดมัลแวร์จากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี

    เมื่อมัลแวร์เข้าสู่ระบบ มันจะเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น ระบบปฏิบัติการ ชื่อโฮสต์ รายชื่อโปรแกรมป้องกันไวรัส และบัญชีผู้ใช้ จากนั้นสามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น ตัวขโมยรหัสผ่าน หรือโปรแกรมสำรวจไฟล์ และในบางกรณี ยังมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างถาวร

    นักวิจัยเชื่อว่า GodRAT เป็นวิวัฒนาการของมัลแวร์ AwesomePuppet ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ Winnti (APT41) โดยมีโค้ดคล้ายกับ Gh0st RAT ซึ่งเป็นมัลแวร์เก่าที่ถูกใช้มานานกว่า 15 ปี

    แม้ว่า Skype จะไม่ใช่ช่องทางหลักในการทำงานอีกต่อไป แต่การใช้แอปที่ไม่ปลอดภัยยังคงเป็นช่องโหว่สำคัญที่องค์กรต้องระวัง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Kaspersky พบมัลแวร์ใหม่ชื่อ GodRAT ถูกส่งผ่าน Skype ในรูปแบบไฟล์ screensaver
    ใช้เทคนิค steganography ซ่อน shellcode ในภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน
    เมื่อเปิดไฟล์ มัลแวร์จะดาวน์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี
    GodRAT เก็บข้อมูลระบบ เช่น OS, hostname, antivirus, และบัญชีผู้ใช้
    สามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น FileManager และ password stealer
    บางกรณีมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง
    เหยื่อส่วนใหญ่คือ SMBs ใน UAE, ฮ่องกง, จอร์แดน และเลบานอน
    GodRAT เป็นวิวัฒนาการจาก AwesomePuppet และมีโค้ดคล้าย Gh0st RAT
    การโจมตีสิ้นสุดการใช้ Skype ในเดือนมีนาคม 2025 และเปลี่ยนไปใช้ช่องทางอื่น
    Source code ของ GodRAT ถูกพบใน VirusTotal ตั้งแต่กรกฎาคม 2024

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gh0st RAT เป็นมัลแวร์ที่มีต้นกำเนิดจากจีน และถูกใช้โดยกลุ่ม APT มานาน
    Steganography เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการซ่อนมัลแวร์ในไฟล์ภาพหรือเสียง
    AsyncRAT เป็นเครื่องมือควบคุมระยะไกลที่สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมระบบ
    การใช้ Skype ในองค์กรลดลง แต่ยังมีบางธุรกิจที่ใช้เป็นช่องทางสื่อสาร
    การโจมตีลักษณะนี้มักเน้นเป้าหมายที่ไม่มีระบบป้องกันระดับสูง

    https://www.techradar.com/pro/security/still-use-skype-at-work-bad-news-hackers-are-targeting-it-with-dangerous-malware
    🎙️ GodRAT – มัลแวร์ที่แฝงตัวในภาพ ส่งผ่าน Skype เพื่อเจาะระบบธุรกิจ ในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Kaspersky ได้ค้นพบมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า “GodRAT” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ผ่านแอป Skype เพื่อเจาะระบบของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMBs) ในตะวันออกกลางและเอเชีย GodRAT ถูกซ่อนไว้ในไฟล์ภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน โดยใช้เทคนิค “steganography” เพื่อฝัง shellcode ที่เมื่อเปิดใช้งาน จะดาวน์โหลดมัลแวร์จากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี เมื่อมัลแวร์เข้าสู่ระบบ มันจะเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น ระบบปฏิบัติการ ชื่อโฮสต์ รายชื่อโปรแกรมป้องกันไวรัส และบัญชีผู้ใช้ จากนั้นสามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น ตัวขโมยรหัสผ่าน หรือโปรแกรมสำรวจไฟล์ และในบางกรณี ยังมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างถาวร นักวิจัยเชื่อว่า GodRAT เป็นวิวัฒนาการของมัลแวร์ AwesomePuppet ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ Winnti (APT41) โดยมีโค้ดคล้ายกับ Gh0st RAT ซึ่งเป็นมัลแวร์เก่าที่ถูกใช้มานานกว่า 15 ปี แม้ว่า Skype จะไม่ใช่ช่องทางหลักในการทำงานอีกต่อไป แต่การใช้แอปที่ไม่ปลอดภัยยังคงเป็นช่องโหว่สำคัญที่องค์กรต้องระวัง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Kaspersky พบมัลแวร์ใหม่ชื่อ GodRAT ถูกส่งผ่าน Skype ในรูปแบบไฟล์ screensaver ➡️ ใช้เทคนิค steganography ซ่อน shellcode ในภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน ➡️ เมื่อเปิดไฟล์ มัลแวร์จะดาวน์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี ➡️ GodRAT เก็บข้อมูลระบบ เช่น OS, hostname, antivirus, และบัญชีผู้ใช้ ➡️ สามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น FileManager และ password stealer ➡️ บางกรณีมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง ➡️ เหยื่อส่วนใหญ่คือ SMBs ใน UAE, ฮ่องกง, จอร์แดน และเลบานอน ➡️ GodRAT เป็นวิวัฒนาการจาก AwesomePuppet และมีโค้ดคล้าย Gh0st RAT ➡️ การโจมตีสิ้นสุดการใช้ Skype ในเดือนมีนาคม 2025 และเปลี่ยนไปใช้ช่องทางอื่น ➡️ Source code ของ GodRAT ถูกพบใน VirusTotal ตั้งแต่กรกฎาคม 2024 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gh0st RAT เป็นมัลแวร์ที่มีต้นกำเนิดจากจีน และถูกใช้โดยกลุ่ม APT มานาน ➡️ Steganography เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการซ่อนมัลแวร์ในไฟล์ภาพหรือเสียง ➡️ AsyncRAT เป็นเครื่องมือควบคุมระยะไกลที่สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมระบบ ➡️ การใช้ Skype ในองค์กรลดลง แต่ยังมีบางธุรกิจที่ใช้เป็นช่องทางสื่อสาร ➡️ การโจมตีลักษณะนี้มักเน้นเป้าหมายที่ไม่มีระบบป้องกันระดับสูง https://www.techradar.com/pro/security/still-use-skype-at-work-bad-news-hackers-are-targeting-it-with-dangerous-malware
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
  • Wix vs Weebly: สร้างเว็บไซต์ง่าย ๆ แต่เลือกผิดอาจเสียโอกาสทางธุรกิจ

    ในยุคที่ใคร ๆ ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด แพลตฟอร์มอย่าง Wix และ Weebly จึงกลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับผู้เริ่มต้นและธุรกิจขนาดเล็ก แต่ความแตกต่างของสองแพลตฟอร์มนี้มีผลต่อการเติบโตในระยะยาวอย่างมาก

    Wix โดดเด่นด้วยเครื่องมือ AI ที่ช่วยสร้างเว็บไซต์ในไม่กี่นาที มีเทมเพลตให้เลือกกว่า 2,000 แบบ และระบบแก้ไขแบบ drag-and-drop ที่ยืดหยุ่นสูง เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมดีไซน์อย่างเต็มที่

    Weebly เน้นความเรียบง่าย ราคาถูก และมีแผนฟรีที่ให้ฟีเจอร์ e-commerce โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ซึ่งหาได้ยากในตลาด แต่ข้อเสียคือระบบไม่ค่อยได้รับการอัปเดต และเทมเพลตมีให้เลือกน้อยกว่า 60 แบบ

    Wix เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเติบโต มีระบบ SEO ขั้นสูง แอปเสริมกว่า 800 รายการ และการสนับสนุนลูกค้าที่ครอบคลุม ส่วน Weebly เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่ต้องการเว็บไซต์เร็ว ๆ โดยไม่ต้องปรับแต่งมาก

    จุดเด่นของ Wix
    มีเทมเพลตกว่า 2,000 แบบ พร้อมระบบแก้ไขที่ยืดหยุ่น
    ใช้ AI สร้างเว็บไซต์ได้ภายใน 60 วินาที
    มีแอปเสริมกว่า 800 รายการ และระบบ SEO ขั้นสูง
    รองรับการแก้ไขบนมือถือ และมีระบบป้องกันด้วยรหัสผ่าน

    จุดเด่นของ Weebly
    มีแผนฟรีที่รองรับ e-commerce โดยไม่ต้องจ่ายเงิน
    ระบบแก้ไขแบบ drag-and-drop ที่ใช้งานง่าย
    เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่ไม่ต้องการปรับแต่งมาก
    มีระบบวิเคราะห์ยอดขายจากการเชื่อมต่อกับ Square

    การเปรียบเทียบด้านราคา
    Wix เริ่มต้นที่ $17/เดือน และสูงสุดถึง $152/เดือน
    Weebly เริ่มต้นที่ $0 และสูงสุดที่ $29/เดือน
    Wix ให้ฟีเจอร์มากกว่า แต่ราคาสูงกว่า
    Weebly เหมาะกับผู้ใช้งานที่เน้นความคุ้มค่าและประหยัด

    ความเหมาะสมกับผู้ใช้งาน
    Wix เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเติบโตและปรับแต่งได้เต็มที่
    Weebly เหมาะกับร้านเล็กหรือเว็บไซต์ส่วนตัวที่ไม่ซับซ้อน
    Wix เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมดีไซน์และฟีเจอร์
    Weebly เหมาะกับผู้ที่ต้องการความง่ายและเร็วในการเริ่มต้น

    https://www.techradar.com/news/wix-vs-weebly
    🧠 Wix vs Weebly: สร้างเว็บไซต์ง่าย ๆ แต่เลือกผิดอาจเสียโอกาสทางธุรกิจ ในยุคที่ใคร ๆ ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด แพลตฟอร์มอย่าง Wix และ Weebly จึงกลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับผู้เริ่มต้นและธุรกิจขนาดเล็ก แต่ความแตกต่างของสองแพลตฟอร์มนี้มีผลต่อการเติบโตในระยะยาวอย่างมาก Wix โดดเด่นด้วยเครื่องมือ AI ที่ช่วยสร้างเว็บไซต์ในไม่กี่นาที มีเทมเพลตให้เลือกกว่า 2,000 แบบ และระบบแก้ไขแบบ drag-and-drop ที่ยืดหยุ่นสูง เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมดีไซน์อย่างเต็มที่ Weebly เน้นความเรียบง่าย ราคาถูก และมีแผนฟรีที่ให้ฟีเจอร์ e-commerce โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ซึ่งหาได้ยากในตลาด แต่ข้อเสียคือระบบไม่ค่อยได้รับการอัปเดต และเทมเพลตมีให้เลือกน้อยกว่า 60 แบบ Wix เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเติบโต มีระบบ SEO ขั้นสูง แอปเสริมกว่า 800 รายการ และการสนับสนุนลูกค้าที่ครอบคลุม ส่วน Weebly เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่ต้องการเว็บไซต์เร็ว ๆ โดยไม่ต้องปรับแต่งมาก ✅ จุดเด่นของ Wix ➡️ มีเทมเพลตกว่า 2,000 แบบ พร้อมระบบแก้ไขที่ยืดหยุ่น ➡️ ใช้ AI สร้างเว็บไซต์ได้ภายใน 60 วินาที ➡️ มีแอปเสริมกว่า 800 รายการ และระบบ SEO ขั้นสูง ➡️ รองรับการแก้ไขบนมือถือ และมีระบบป้องกันด้วยรหัสผ่าน ✅ จุดเด่นของ Weebly ➡️ มีแผนฟรีที่รองรับ e-commerce โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ➡️ ระบบแก้ไขแบบ drag-and-drop ที่ใช้งานง่าย ➡️ เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่ไม่ต้องการปรับแต่งมาก ➡️ มีระบบวิเคราะห์ยอดขายจากการเชื่อมต่อกับ Square ✅ การเปรียบเทียบด้านราคา ➡️ Wix เริ่มต้นที่ $17/เดือน และสูงสุดถึง $152/เดือน ➡️ Weebly เริ่มต้นที่ $0 และสูงสุดที่ $29/เดือน ➡️ Wix ให้ฟีเจอร์มากกว่า แต่ราคาสูงกว่า ➡️ Weebly เหมาะกับผู้ใช้งานที่เน้นความคุ้มค่าและประหยัด ✅ ความเหมาะสมกับผู้ใช้งาน ➡️ Wix เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเติบโตและปรับแต่งได้เต็มที่ ➡️ Weebly เหมาะกับร้านเล็กหรือเว็บไซต์ส่วนตัวที่ไม่ซับซ้อน ➡️ Wix เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมดีไซน์และฟีเจอร์ ➡️ Weebly เหมาะกับผู้ที่ต้องการความง่ายและเร็วในการเริ่มต้น https://www.techradar.com/news/wix-vs-weebly
    WWW.TECHRADAR.COM
    Wix vs Weebly: How these top website builders compare
    Top website builders go head-to-head on price and performance
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันโครงสร้างพื้นฐานโลก: เมื่อดีล HPE–Juniper กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ

    เดิมทีการควบรวมกิจการระหว่าง HPE กับ Juniper ถูกมองว่าเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอบริการ edge-to-cloud แต่เบื้องหลังกลับมีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาวที่มองว่า Huawei กำลังกลายเป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก

    Huawei เสนอระบบเครือข่ายครบวงจรที่รวมฮาร์ดแวร์ คลาวด์ และ AI ในราคาถูกกว่าคู่แข่งตะวันตก ทำให้หลายประเทศกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจีนมากขึ้น ซึ่งอาจลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในการควบคุมข้อมูลและความมั่นคงไซเบอร์

    ด้วยเหตุนี้ HPE–Juniper จึงถูกผลักดันให้กลายเป็น “ทางเลือกของโลกเสรี” โดยผสานจุดแข็งของ Juniper ด้าน routing และ Mist AI เข้ากับ GreenLake และโครงสร้างพื้นฐานของ HPE เพื่อสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายที่ครบวงจรแบบเดียวกับ Huawei

    แม้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) จะมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ดีลผ่านหลังจากถูกกดดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาว โดยมีเจ้าหน้าที่ DOJ บางคนถูกปลดจากตำแหน่งระหว่างกระบวนการอนุมัติ

    HPE ได้รับอนุมัติให้ควบรวมกิจการกับ Juniper Networks มูลค่า $14B
    ประกาศดีลตั้งแต่ ม.ค. 2024 และปิดดีลใน ก.ค. 2025
    สร้างหน่วยธุรกิจใหม่ “HPE Networking” โดยรวมแบรนด์ Aruba และ Juniper

    ดีลนี้มีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และทำเนียบขาว
    มองว่า Huawei เป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์
    ต้องการสร้างทางเลือกให้พันธมิตรที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจีน

    HPE–Juniper จะสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายครบวงจรแบบ AI-native
    ผสาน Mist AI, routing, cloud และ edge infrastructure
    เป้าหมายคือตลาดที่มีข้อมูลอ่อนไหว เช่น ภาครัฐและพันธมิตรสหรัฐฯ

    DOJ เคยมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายยอมให้ดีลผ่าน
    เจ้าหน้าที่ DOJ 2 คนที่คัดค้านถูกปลดออก
    แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงชาติมีอิทธิพลเหนือกฎการแข่งขัน

    HPE ต้องเปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วนของ Mist AI ตามเงื่อนไข DOJ
    เฉพาะโมเดล AI ด้านการตรวจจับและวิเคราะห์เครือข่าย
    ไม่รวมระบบปฏิบัติการหรือข้อมูลลูกค้า

    HPE ต้องขายธุรกิจ Aruba Instant On สำหรับ SMB ตามเงื่อนไข DOJ
    เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่แยกจาก Aruba Central
    ไม่กระทบต่อธุรกิจหลักของ HPE

    การควบรวมอาจลดการแข่งขันในตลาดเครือข่ายองค์กร
    อาจทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลง
    ส่งผลต่อราคาหรือนวัตกรรมในระยะยาว

    การแทรกแซงจากรัฐบาลอาจบั่นทอนความเป็นอิสระของหน่วยงานกำกับดูแล
    เจ้าหน้าที่ DOJ ที่คัดค้านถูกปลดออกจากตำแหน่ง
    สะท้อนแนวโน้มที่ “ยุทธศาสตร์ชาติ” มาก่อน “กฎตลาด”

    การพึ่งพา Mist AI อาจสร้างความเสี่ยงด้านการผูกขาดข้อมูลเครือข่าย
    แม้เปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วน แต่ข้อมูลหลักยังอยู่กับ HPE
    การวิเคราะห์เครือข่ายอาจถูกควบคุมโดยผู้เล่นรายเดียว

    การแข่งขันกับ Huawei อาจนำไปสู่สงครามเทคโนโลยีที่ยืดเยื้อ
    ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกบีบให้เลือกข้าง
    สร้างความตึงเครียดในภูมิภาค เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/hpe-gets-approval-for-usd14b-acquisition-of-juniper-to-defend-ai-networking-edge-against-chinas-huawei-white-house-stepped-in-after-agencies-flagged-national-security-concerns
    🧠 เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันโครงสร้างพื้นฐานโลก: เมื่อดีล HPE–Juniper กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ เดิมทีการควบรวมกิจการระหว่าง HPE กับ Juniper ถูกมองว่าเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอบริการ edge-to-cloud แต่เบื้องหลังกลับมีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาวที่มองว่า Huawei กำลังกลายเป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก Huawei เสนอระบบเครือข่ายครบวงจรที่รวมฮาร์ดแวร์ คลาวด์ และ AI ในราคาถูกกว่าคู่แข่งตะวันตก ทำให้หลายประเทศกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจีนมากขึ้น ซึ่งอาจลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในการควบคุมข้อมูลและความมั่นคงไซเบอร์ ด้วยเหตุนี้ HPE–Juniper จึงถูกผลักดันให้กลายเป็น “ทางเลือกของโลกเสรี” โดยผสานจุดแข็งของ Juniper ด้าน routing และ Mist AI เข้ากับ GreenLake และโครงสร้างพื้นฐานของ HPE เพื่อสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายที่ครบวงจรแบบเดียวกับ Huawei แม้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) จะมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ดีลผ่านหลังจากถูกกดดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาว โดยมีเจ้าหน้าที่ DOJ บางคนถูกปลดจากตำแหน่งระหว่างกระบวนการอนุมัติ ✅ HPE ได้รับอนุมัติให้ควบรวมกิจการกับ Juniper Networks มูลค่า $14B ➡️ ประกาศดีลตั้งแต่ ม.ค. 2024 และปิดดีลใน ก.ค. 2025 ➡️ สร้างหน่วยธุรกิจใหม่ “HPE Networking” โดยรวมแบรนด์ Aruba และ Juniper ✅ ดีลนี้มีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และทำเนียบขาว ➡️ มองว่า Huawei เป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ ต้องการสร้างทางเลือกให้พันธมิตรที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจีน ✅ HPE–Juniper จะสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายครบวงจรแบบ AI-native ➡️ ผสาน Mist AI, routing, cloud และ edge infrastructure ➡️ เป้าหมายคือตลาดที่มีข้อมูลอ่อนไหว เช่น ภาครัฐและพันธมิตรสหรัฐฯ ✅ DOJ เคยมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายยอมให้ดีลผ่าน ➡️ เจ้าหน้าที่ DOJ 2 คนที่คัดค้านถูกปลดออก ➡️ แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงชาติมีอิทธิพลเหนือกฎการแข่งขัน ✅ HPE ต้องเปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วนของ Mist AI ตามเงื่อนไข DOJ ➡️ เฉพาะโมเดล AI ด้านการตรวจจับและวิเคราะห์เครือข่าย ➡️ ไม่รวมระบบปฏิบัติการหรือข้อมูลลูกค้า ✅ HPE ต้องขายธุรกิจ Aruba Instant On สำหรับ SMB ตามเงื่อนไข DOJ ➡️ เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่แยกจาก Aruba Central ➡️ ไม่กระทบต่อธุรกิจหลักของ HPE ‼️ การควบรวมอาจลดการแข่งขันในตลาดเครือข่ายองค์กร ⛔ อาจทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลง ⛔ ส่งผลต่อราคาหรือนวัตกรรมในระยะยาว ‼️ การแทรกแซงจากรัฐบาลอาจบั่นทอนความเป็นอิสระของหน่วยงานกำกับดูแล ⛔ เจ้าหน้าที่ DOJ ที่คัดค้านถูกปลดออกจากตำแหน่ง ⛔ สะท้อนแนวโน้มที่ “ยุทธศาสตร์ชาติ” มาก่อน “กฎตลาด” ‼️ การพึ่งพา Mist AI อาจสร้างความเสี่ยงด้านการผูกขาดข้อมูลเครือข่าย ⛔ แม้เปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วน แต่ข้อมูลหลักยังอยู่กับ HPE ⛔ การวิเคราะห์เครือข่ายอาจถูกควบคุมโดยผู้เล่นรายเดียว ‼️ การแข่งขันกับ Huawei อาจนำไปสู่สงครามเทคโนโลยีที่ยืดเยื้อ ⛔ ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกบีบให้เลือกข้าง ⛔ สร้างความตึงเครียดในภูมิภาค เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/hpe-gets-approval-for-usd14b-acquisition-of-juniper-to-defend-ai-networking-edge-against-chinas-huawei-white-house-stepped-in-after-agencies-flagged-national-security-concerns
    0 Comments 0 Shares 395 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากรหัสลับในเฟิร์มแวร์: เมื่อ Wi-Fi ธุรกิจกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์เข้าระบบ

    ช่องโหว่หลักคือ CVE-2025-37103 ซึ่งมีคะแนนความรุนแรงถึง 9.8/10 (ระดับวิกฤต) โดยเกิดจากการที่มีบัญชีแอดมินแบบ hardcoded อยู่ในเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ — ใครก็ตามที่รู้รหัสนี้สามารถ:
    - เข้าสู่ระบบในฐานะแอดมิน
    - เปลี่ยนการตั้งค่า
    - ติดตั้งมัลแวร์
    - ควบคุมอุปกรณ์และเครือข่ายที่เชื่อมต่อ

    ช่องโหว่นี้ไม่มีวิธีแก้ชั่วคราว (no workaround) นอกจากการติดตั้งแพตช์ล่าสุดเท่านั้น

    นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่รองอีกตัวคือ CVE-2025-37102 ซึ่งเป็นช่องโหว่ command injection ที่เปิดให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถรันคำสั่งบนระบบปฏิบัติการได้โดยตรง — มีคะแนนความรุนแรง 7.2/10 (ระดับสูง)

    HPE พบช่องโหว่ร้ายแรงใน Aruba Instant On Access Points และออกแพตช์แล้ว
    ช่องโหว่หลักคือ CVE-2025-37103 ที่มีรหัสแอดมินแบบ hardcoded ในเฟิร์มแวร์

    ช่องโหว่นี้เปิดให้แฮกเกอร์เข้าถึงอุปกรณ์ในฐานะแอดมินโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    สามารถเปลี่ยนการตั้งค่า, ติดตั้งมัลแวร์ และควบคุมเครือข่ายได้

    ช่องโหว่รองคือ CVE-2025-37102 เป็น command injection สำหรับผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง
    สามารถรันคำสั่งบนระบบปฏิบัติการได้โดยตรง

    Aruba Instant On เป็นอุปกรณ์ Wi-Fi สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่เน้นความง่ายและความปลอดภัย
    แต่ช่องโหว่นี้ทำให้ความปลอดภัยถูกลดลงอย่างมาก

    ช่องโหว่ทั้งสองไม่มีวิธีแก้ชั่วคราว ต้องติดตั้งแพตช์เท่านั้น
    HPE แนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    ช่องโหว่แบบ hardcoded credential มักเกิดจากการตั้งค่าชั่วคราวในช่วงพัฒนา
    หากทีม DevSecOps ไม่ลบออกก่อนปล่อยผลิตภัณฑ์ จะกลายเป็นช่องโหว่ถาวร

    ช่องโหว่ CVE-2025-37103 มีความรุนแรงระดับวิกฤตและสามารถถูกใช้โจมตีจากระยะไกล
    หากไม่อัปเดตแพตช์ อุปกรณ์อาจถูกควบคุมโดยแฮกเกอร์ทันที

    ไม่มีวิธีแก้ชั่วคราวสำหรับช่องโหว่ทั้งสอง
    การป้องกันต้องอาศัยการติดตั้งแพตช์เท่านั้น

    ช่องโหว่ command injection อาจถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่อื่นเพื่อเจาะระบบลึกขึ้น
    โดยเฉพาะในระบบที่มีผู้ใช้หลายระดับสิทธิ์

    การมีรหัสแอดมินแบบ hardcoded เป็นความผิดพลาดด้านความปลอดภัยที่ไม่ควรเกิดขึ้น
    แสดงถึงการขาดการตรวจสอบในกระบวนการพัฒนาและปล่อยผลิตภัณฑ์

    อุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการอัปเดตอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีทั้งเครือข่าย
    โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีทีมรักษาความปลอดภัยเฉพาะทาง

    https://www.techradar.com/pro/security/hpe-warns-hardcoded-passwords-in-aruba-hardware-could-be-a-security-risk
    🎙️ เรื่องเล่าจากรหัสลับในเฟิร์มแวร์: เมื่อ Wi-Fi ธุรกิจกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์เข้าระบบ ช่องโหว่หลักคือ CVE-2025-37103 ซึ่งมีคะแนนความรุนแรงถึง 9.8/10 (ระดับวิกฤต) โดยเกิดจากการที่มีบัญชีแอดมินแบบ hardcoded อยู่ในเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ — ใครก็ตามที่รู้รหัสนี้สามารถ: - เข้าสู่ระบบในฐานะแอดมิน - เปลี่ยนการตั้งค่า - ติดตั้งมัลแวร์ - ควบคุมอุปกรณ์และเครือข่ายที่เชื่อมต่อ ช่องโหว่นี้ไม่มีวิธีแก้ชั่วคราว (no workaround) นอกจากการติดตั้งแพตช์ล่าสุดเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่รองอีกตัวคือ CVE-2025-37102 ซึ่งเป็นช่องโหว่ command injection ที่เปิดให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถรันคำสั่งบนระบบปฏิบัติการได้โดยตรง — มีคะแนนความรุนแรง 7.2/10 (ระดับสูง) ✅ HPE พบช่องโหว่ร้ายแรงใน Aruba Instant On Access Points และออกแพตช์แล้ว ➡️ ช่องโหว่หลักคือ CVE-2025-37103 ที่มีรหัสแอดมินแบบ hardcoded ในเฟิร์มแวร์ ✅ ช่องโหว่นี้เปิดให้แฮกเกอร์เข้าถึงอุปกรณ์ในฐานะแอดมินโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ สามารถเปลี่ยนการตั้งค่า, ติดตั้งมัลแวร์ และควบคุมเครือข่ายได้ ✅ ช่องโหว่รองคือ CVE-2025-37102 เป็น command injection สำหรับผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง ➡️ สามารถรันคำสั่งบนระบบปฏิบัติการได้โดยตรง ✅ Aruba Instant On เป็นอุปกรณ์ Wi-Fi สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่เน้นความง่ายและความปลอดภัย ➡️ แต่ช่องโหว่นี้ทำให้ความปลอดภัยถูกลดลงอย่างมาก ✅ ช่องโหว่ทั้งสองไม่มีวิธีแก้ชั่วคราว ต้องติดตั้งแพตช์เท่านั้น ➡️ HPE แนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ✅ ช่องโหว่แบบ hardcoded credential มักเกิดจากการตั้งค่าชั่วคราวในช่วงพัฒนา ➡️ หากทีม DevSecOps ไม่ลบออกก่อนปล่อยผลิตภัณฑ์ จะกลายเป็นช่องโหว่ถาวร ‼️ ช่องโหว่ CVE-2025-37103 มีความรุนแรงระดับวิกฤตและสามารถถูกใช้โจมตีจากระยะไกล ⛔ หากไม่อัปเดตแพตช์ อุปกรณ์อาจถูกควบคุมโดยแฮกเกอร์ทันที ‼️ ไม่มีวิธีแก้ชั่วคราวสำหรับช่องโหว่ทั้งสอง ⛔ การป้องกันต้องอาศัยการติดตั้งแพตช์เท่านั้น ‼️ ช่องโหว่ command injection อาจถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่อื่นเพื่อเจาะระบบลึกขึ้น ⛔ โดยเฉพาะในระบบที่มีผู้ใช้หลายระดับสิทธิ์ ‼️ การมีรหัสแอดมินแบบ hardcoded เป็นความผิดพลาดด้านความปลอดภัยที่ไม่ควรเกิดขึ้น ⛔ แสดงถึงการขาดการตรวจสอบในกระบวนการพัฒนาและปล่อยผลิตภัณฑ์ ‼️ อุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการอัปเดตอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีทั้งเครือข่าย ⛔ โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีทีมรักษาความปลอดภัยเฉพาะทาง https://www.techradar.com/pro/security/hpe-warns-hardcoded-passwords-in-aruba-hardware-could-be-a-security-risk
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังคลาวด์: เมื่อเซิร์ฟเวอร์เก่ากลับมาเพราะคลาวด์ไม่ตอบโจทย์

    จากผลสำรวจโดย Liquid Web:
    - 42% ของทีม IT ย้าย workload กลับจากคลาวด์มาใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated ภายใน 1 ปี
    - 86% ขององค์กรยังใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated อยู่ แม้จะอยู่ในยุคที่คลาวด์ครองตลาด
    - เหตุผลหลักคือ: ค่าคลาวด์ที่พุ่งสูง, ความไม่แน่นอนของราคา, และการขาดการควบคุม

    ภาคส่วนที่ใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated มากที่สุด:
    - ภาครัฐ: 93%
    - IT: 91%
    - การเงิน: 90%
    - แม้แต่ธุรกิจขนาดเล็กก็ใช้ถึง 68%

    หลายองค์กรเจอ “ค่าใช้จ่ายคลาวด์ที่ไม่คาดคิด” ระหว่าง $5,000–$25,000 และ 32% เชื่อว่า “งบประมาณคลาวด์ถูกใช้ไปกับฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น”

    Ryan MacDonald, CTO ของ Liquid Web กล่าวว่า “การย้ายกลับมาใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated เป็นกลยุทธ์เพื่อควบคุมต้นทุนและสร้างระบบที่มั่นคงในระยะยาว”

    42% ของทีม IT ย้าย workload กลับจากคลาวด์มาใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated ในปีที่ผ่านมา
    เหตุผลหลักคือความต้องการควบคุม, ความปลอดภัย, และต้นทุนที่คาดการณ์ได้

    86% ขององค์กรยังใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated อยู่ แม้จะอยู่ในยุคคลาวด์
    แสดงว่า dedicated ยังมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐาน

    ภาครัฐ, IT, และการเงินเป็นกลุ่มที่ใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated มากที่สุด
    เพราะต้องการ uptime สูงและการปฏิบัติตามข้อกำกับด้านข้อมูล

    55% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือก dedicated เพราะต้องการการปรับแต่งและควบคุมเต็มรูปแบบ
    รวมถึงความปลอดภัยทางกายภาพและประสิทธิภาพของเครือข่าย

    32% เชื่อว่างบประมาณคลาวด์ถูกใช้ไปกับฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น
    เช่นการจ่ายค่าความจุหรือฟังก์ชันที่ไม่เคยถูกใช้งานจริง

    45% คาดว่าเซิร์ฟเวอร์ dedicated จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นภายในปี 2030
    53% มองว่าเป็น “สิ่งจำเป็น” ในโครงสร้างพื้นฐานองค์กร

    https://www.techradar.com/pro/in-the-shadow-of-ai-has-cloud-peaked-a-survey-shows-that-more-businesses-are-moving-away-from-cloud-computing-to-dedicated-servers
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังคลาวด์: เมื่อเซิร์ฟเวอร์เก่ากลับมาเพราะคลาวด์ไม่ตอบโจทย์ จากผลสำรวจโดย Liquid Web: - 42% ของทีม IT ย้าย workload กลับจากคลาวด์มาใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated ภายใน 1 ปี - 86% ขององค์กรยังใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated อยู่ แม้จะอยู่ในยุคที่คลาวด์ครองตลาด - เหตุผลหลักคือ: ค่าคลาวด์ที่พุ่งสูง, ความไม่แน่นอนของราคา, และการขาดการควบคุม ภาคส่วนที่ใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated มากที่สุด: - ภาครัฐ: 93% - IT: 91% - การเงิน: 90% - แม้แต่ธุรกิจขนาดเล็กก็ใช้ถึง 68% หลายองค์กรเจอ “ค่าใช้จ่ายคลาวด์ที่ไม่คาดคิด” ระหว่าง $5,000–$25,000 และ 32% เชื่อว่า “งบประมาณคลาวด์ถูกใช้ไปกับฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น” Ryan MacDonald, CTO ของ Liquid Web กล่าวว่า “การย้ายกลับมาใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated เป็นกลยุทธ์เพื่อควบคุมต้นทุนและสร้างระบบที่มั่นคงในระยะยาว” ✅ 42% ของทีม IT ย้าย workload กลับจากคลาวด์มาใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated ในปีที่ผ่านมา ➡️ เหตุผลหลักคือความต้องการควบคุม, ความปลอดภัย, และต้นทุนที่คาดการณ์ได้ ✅ 86% ขององค์กรยังใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated อยู่ แม้จะอยู่ในยุคคลาวด์ ➡️ แสดงว่า dedicated ยังมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐาน ✅ ภาครัฐ, IT, และการเงินเป็นกลุ่มที่ใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated มากที่สุด ➡️ เพราะต้องการ uptime สูงและการปฏิบัติตามข้อกำกับด้านข้อมูล ✅ 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือก dedicated เพราะต้องการการปรับแต่งและควบคุมเต็มรูปแบบ ➡️ รวมถึงความปลอดภัยทางกายภาพและประสิทธิภาพของเครือข่าย ✅ 32% เชื่อว่างบประมาณคลาวด์ถูกใช้ไปกับฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น ➡️ เช่นการจ่ายค่าความจุหรือฟังก์ชันที่ไม่เคยถูกใช้งานจริง ✅ 45% คาดว่าเซิร์ฟเวอร์ dedicated จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นภายในปี 2030 ➡️ 53% มองว่าเป็น “สิ่งจำเป็น” ในโครงสร้างพื้นฐานองค์กร https://www.techradar.com/pro/in-the-shadow-of-ai-has-cloud-peaked-a-survey-shows-that-more-businesses-are-moving-away-from-cloud-computing-to-dedicated-servers
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • หลายคนรู้จัก Mailchimp ในฐานะ “เครื่องมือส่งอีเมลเป็นกลุ่ม” แต่ใครจะคิดว่า…ตอนนี้มันเริ่ม “กลายร่าง” ไปเป็น CRM เต็มตัวสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMB) แล้ว โดยไม่ต้องเปลี่ยนชื่อหรือหน้าตา

    ในงาน FWD: London 2025 ล่าสุด Mailchimp (ภายใต้บริษัทแม่ Intuit) เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่มากมายที่ชี้ชัดว่า “กำลังจะเป็นแพลตฟอร์มด้านลูกค้าครบวงจร” เช่น:

    - ดึง leads เข้าจาก TikTok, Meta, LinkedIn, Google และ Snapchat ได้ตรง ๆ
    - เชื่อมโยงแคมเปญโฆษณาเข้า automation flow ได้เลย
    - มี Metrics Visualizer ใหม่ แสดงข้อมูลกว่า 40 ประเภทในอีเมล+SMS
    - เพิ่ม Pop-up template กว่า 100 แบบ

    พูดง่าย ๆ คือ จากที่เคยแค่ส่งจดหมายข่าว ตอนนี้ Mailchimp เริ่ม “ดูแลตั้งแต่หาลูกค้า → สื่อสาร → ปิดการขาย → ดูพฤติกรรม” แล้ว

    Ken Chestnut จาก Intuit บอกว่า Mailchimp กำลังกลายเป็น “สะพาน” ที่เชื่อมการโฆษณากับ CRM ให้กลมกลืน ทั้งหา lead, ส่งข้อความอัตโนมัติ, วิเคราะห์พฤติกรรม และส่งเสริมความภักดีของลูกค้า

    แต่ในมุมหนึ่งก็ยังดูเหมือน “ของแปะเพิ่ม” มากกว่าจะเป็น CRM สมบูรณ์แบบแบบ HubSpot หรือ Salesforce เพราะยังขาดความเป็น unified system และยังต้องพึ่ง plugin หรือ integration พอสมควร

    Mailchimp อัปเดตไปแล้วกว่า 2,000 รายการในช่วงปีที่ผ่านมา  
    • มุ่งเป้าให้กลายเป็นแพลตฟอร์ม CRM สำหรับ SMB  
    • เน้น workflow automation และการใช้ข้อมูลลูกค้า

    เพิ่มการเชื่อมต่อ lead จากหลายแพลตฟอร์ม (TikTok, Meta, Google, ฯลฯ)  
    • นำ lead เข้าสู่ระบบอัตโนมัติทันที  
    • ลดขั้นตอน manual และเสริม personalisation

    มี Metrics Visualizer ใหม่  
    • วิเคราะห์ email/SMS campaign ได้ละเอียดกว่าเดิม  
    • ผู้ใช้สามารถสร้าง custom report จากตัวแปรกว่า 40 แบบ

    เพิ่ม pop-up template กว่า 100 แบบ  
    • ช่วยให้เก็บ leads หรือเสนอโปรโมชั่นได้ง่ายขึ้น

    Mailchimp พยายามจะเป็น “สะพาน” เชื่อม ad → automation → loyalty  
    • มีการผสานระหว่างแคมเปญโฆษณาและ CRM เข้าใกล้ real-time marketing

    ฟีเจอร์บางอย่างยังดูเหมือน "ต่อเติม" มากกว่าระบบ CRM ที่ออกแบบมาจากศูนย์  
    • อาจเกิดปัญหาเรื่องความลื่นไหลและการตั้งค่าที่ซับซ้อน

    ผู้ใช้ใหม่อาจยังต้องใช้เวลาเรียนรู้วิธีเชื่อมโยงทุกระบบเข้าหากัน  
    • แม้ระบบจะง่ายขึ้น แต่หลายฟีเจอร์ต้องอาศัยความเข้าใจทางเทคนิค

    การวิเคราะห์แบบ cross-channel ต้องใช้ข้อมูลที่ครบถ้วนและตั้งค่าถูกต้อง  
    • ไม่เช่นนั้นผลวิเคราะห์อาจนำไปใช้ผิดหรือให้ insight ไม่แม่นยำ

    ยังไม่มีฟีเจอร์ core CRM หลายอย่าง เช่น การจัดการ sales pipeline แบบเต็มรูปแบบ  
    • อาจยังไม่ตอบโจทย์ทีมขายที่ต้องการระบบติดตามดีลละเอียด

    https://www.techradar.com/pro/intuits-mailchimp-is-gradually-growing-into-a-fully-fledged-crm-suite-for-smb-thanks-to-a-raft-of-new-additions-and-i-cant-wait-to-try-them
    หลายคนรู้จัก Mailchimp ในฐานะ “เครื่องมือส่งอีเมลเป็นกลุ่ม” แต่ใครจะคิดว่า…ตอนนี้มันเริ่ม “กลายร่าง” ไปเป็น CRM เต็มตัวสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMB) แล้ว โดยไม่ต้องเปลี่ยนชื่อหรือหน้าตา ในงาน FWD: London 2025 ล่าสุด Mailchimp (ภายใต้บริษัทแม่ Intuit) เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่มากมายที่ชี้ชัดว่า “กำลังจะเป็นแพลตฟอร์มด้านลูกค้าครบวงจร” เช่น: - ดึง leads เข้าจาก TikTok, Meta, LinkedIn, Google และ Snapchat ได้ตรง ๆ - เชื่อมโยงแคมเปญโฆษณาเข้า automation flow ได้เลย - มี Metrics Visualizer ใหม่ แสดงข้อมูลกว่า 40 ประเภทในอีเมล+SMS - เพิ่ม Pop-up template กว่า 100 แบบ พูดง่าย ๆ คือ จากที่เคยแค่ส่งจดหมายข่าว ตอนนี้ Mailchimp เริ่ม “ดูแลตั้งแต่หาลูกค้า → สื่อสาร → ปิดการขาย → ดูพฤติกรรม” แล้ว Ken Chestnut จาก Intuit บอกว่า Mailchimp กำลังกลายเป็น “สะพาน” ที่เชื่อมการโฆษณากับ CRM ให้กลมกลืน ทั้งหา lead, ส่งข้อความอัตโนมัติ, วิเคราะห์พฤติกรรม และส่งเสริมความภักดีของลูกค้า แต่ในมุมหนึ่งก็ยังดูเหมือน “ของแปะเพิ่ม” มากกว่าจะเป็น CRM สมบูรณ์แบบแบบ HubSpot หรือ Salesforce เพราะยังขาดความเป็น unified system และยังต้องพึ่ง plugin หรือ integration พอสมควร ✅ Mailchimp อัปเดตไปแล้วกว่า 2,000 รายการในช่วงปีที่ผ่านมา   • มุ่งเป้าให้กลายเป็นแพลตฟอร์ม CRM สำหรับ SMB   • เน้น workflow automation และการใช้ข้อมูลลูกค้า ✅ เพิ่มการเชื่อมต่อ lead จากหลายแพลตฟอร์ม (TikTok, Meta, Google, ฯลฯ)   • นำ lead เข้าสู่ระบบอัตโนมัติทันที   • ลดขั้นตอน manual และเสริม personalisation ✅ มี Metrics Visualizer ใหม่   • วิเคราะห์ email/SMS campaign ได้ละเอียดกว่าเดิม   • ผู้ใช้สามารถสร้าง custom report จากตัวแปรกว่า 40 แบบ ✅ เพิ่ม pop-up template กว่า 100 แบบ   • ช่วยให้เก็บ leads หรือเสนอโปรโมชั่นได้ง่ายขึ้น ✅ Mailchimp พยายามจะเป็น “สะพาน” เชื่อม ad → automation → loyalty   • มีการผสานระหว่างแคมเปญโฆษณาและ CRM เข้าใกล้ real-time marketing ‼️ ฟีเจอร์บางอย่างยังดูเหมือน "ต่อเติม" มากกว่าระบบ CRM ที่ออกแบบมาจากศูนย์   • อาจเกิดปัญหาเรื่องความลื่นไหลและการตั้งค่าที่ซับซ้อน ‼️ ผู้ใช้ใหม่อาจยังต้องใช้เวลาเรียนรู้วิธีเชื่อมโยงทุกระบบเข้าหากัน   • แม้ระบบจะง่ายขึ้น แต่หลายฟีเจอร์ต้องอาศัยความเข้าใจทางเทคนิค ‼️ การวิเคราะห์แบบ cross-channel ต้องใช้ข้อมูลที่ครบถ้วนและตั้งค่าถูกต้อง   • ไม่เช่นนั้นผลวิเคราะห์อาจนำไปใช้ผิดหรือให้ insight ไม่แม่นยำ ‼️ ยังไม่มีฟีเจอร์ core CRM หลายอย่าง เช่น การจัดการ sales pipeline แบบเต็มรูปแบบ   • อาจยังไม่ตอบโจทย์ทีมขายที่ต้องการระบบติดตามดีลละเอียด https://www.techradar.com/pro/intuits-mailchimp-is-gradually-growing-into-a-fully-fledged-crm-suite-for-smb-thanks-to-a-raft-of-new-additions-and-i-cant-wait-to-try-them
    0 Comments 0 Shares 461 Views 0 Reviews
  • ประเทศไทย กับทางเลือก ด้านเทคโนโลยี CPU Processor - RISC-V หรือ ARM

    ความสำคัญของ CPU RISC-V ในปัจจุบัน
    RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมชุดคำสั่ง (Instruction Set Architecture - ISA) แบบ RISC ที่เป็นโอเพนซอร์ส ภายใต้ใบอนุญาต BSD ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถนำไปพัฒนา ปรับแต่ง หรือผลิตได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์หรือค่าธรรมเนียม (Royalty Fee) ความสำคัญในปัจจุบันมีดังนี้:

    ลดต้นทุนการพัฒนา: ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพ
    ความยืดหยุ่นสูง: ผู้พัฒนาสามารถปรับแต่งชุดคำสั่งให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะทางได้
    การสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ: บริษัทใหญ่ เช่น Google, Alibaba, Qualcomm และ Intel ได้ให้ความสนใจและนำ RISC-V ไปใช้งานในผลิตภัณฑ์ของตน
    การใช้งานที่หลากหลาย: ปัจจุบัน RISC-V ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์ IoT ระบบฝังตัว และการประมวลผลขั้นสูง

    แนวโน้มการพัฒนาและใช้งานในอนาคต
    RISC-V มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าจะมีการส่งมอบ RISC-V cores ถึง 80 พันล้านอันภายในปี 2025 แนวโน้มที่น่าสนใจมีดังนี้:
    การขยายสู่หลากหลายอุตสาหกรรม:
    IoT: ด้วยความประหยัดพลังงานและขนาดเล็ก
    ยานยนต์: ใช้ในระบบควบคุมและเซ็นเซอร์
    AI และคลาวด์: การพัฒนาชิปประสิทธิภาพสูง เช่น SiFive P870
    อุปกรณ์พกพา: เช่น แล็ปท็อปและแท็บเล็ต
    การพัฒนาประสิทธิภาพ: มีการออกแบบ RISC-V cores ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแข่งขันกับสถาปัตยกรรมอื่น เช่น ARM และ x86
    การสนับสนุนจากชุมชนและรัฐบาล: หลายประเทศเริ่มลงทุนใน RISC-V เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ

    โอกาสของธุรกิจไทยในการพัฒนา ขาย หรือใช้งาน RISC-V ในอนาคต
    ธุรกิจไทยมีโอกาสที่น่าสนใจในการใช้ประโยชน์จาก RISC-V ดังนี้:
    การพัฒนาฮาร์ดแวร์: สามารถออกแบบและผลิต CPU/MCU โดยไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ และปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะ เช่น IoT หรือยานยนต์
    การแข่งขันในตลาดโลก: สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ RISC-V เพื่อส่งออกไปยังตลาดสากล
    การพัฒนาซอฟต์แวร์: สร้างแอปพลิเคชันและระบบที่รองรับ RISC-V
    ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน: หากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ธุรกิจไทยสามารถกลายเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนได้

    รัฐบาลไทยควรซื้อ ARM License หรือทุ่มกับ RISC-V
    การตัดสินใจของรัฐบาลไทยขึ้นอยู่กับเป้าหมายและทรัพยากรที่มีอยู่ โดยสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้:

    การซื้อ ARM License
    ข้อดี:
    มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก
    เอกชนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้ากันได้กับ ARM ได้ทันที
    เหมาะสำหรับการเข้าสู่ตลาดระยะสั้น

    ข้อเสีย:
    ค่าใช้จ่ายสูงทั้งในส่วนของไลเซนส์และ Royalty Fee
    ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งอาจขัดกับนโยบายพึ่งพาตนเอง

    การทุ่มกับ RISC-V
    ข้อดี:
    ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ช่วยลดต้นทุน
    สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของไทย
    ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ
    มีโอกาสเติบโตในระยะยาวและเป็นผู้นำในภูมิภาค

    ข้อเสีย:
    Ecosystem ยังไม่สมบูรณ์เท่า ARM อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนา
    มีความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่

    ข้อเสนอแนะ
    ระยะสั้น : การซื้อ ARM License อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อให้เอกชนไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้ทันที คล้ายกับที่มาเลเซียทำ
    ระยะยาว: รัฐบาลควรลงทุนใน RISC-V ควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างฐานเทคโนโลยีของตัวเอง ลดการพึ่งพาต่างชาติ และใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นและต้นทุนต่ำของ RISC-V
    แนวทางผสมผสาน: สนับสนุนทั้ง ARM และ RISC-V โดยให้เอกชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม พร้อมทั้งส่งเสริมการวิจัย RISC-V ในสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรม

    บทสรุป
    RISC-V มีความสำคัญในปัจจุบันจากความเป็นโอเพนซอร์สและการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ แนวโน้มในอนาคตแสดงถึงการเติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรม ธุรกิจไทยมีโอกาสในการพัฒนาและแข่งขันในตลาดโลกด้วย RISC-V ส่วนรัฐบาลไทยควรพิจารณาทั้ง ARM และ RISC-V โดยเน้น RISC-V ในระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนและพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    ประเทศไทย กับทางเลือก ด้านเทคโนโลยี CPU Processor - RISC-V หรือ ARM ⁉️ 💡 ความสำคัญของ CPU RISC-V ในปัจจุบัน RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมชุดคำสั่ง (Instruction Set Architecture - ISA) แบบ RISC ที่เป็นโอเพนซอร์ส ภายใต้ใบอนุญาต BSD ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถนำไปพัฒนา ปรับแต่ง หรือผลิตได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์หรือค่าธรรมเนียม (Royalty Fee) ความสำคัญในปัจจุบันมีดังนี้: ✅ ลดต้นทุนการพัฒนา: ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพ ✅ ความยืดหยุ่นสูง: ผู้พัฒนาสามารถปรับแต่งชุดคำสั่งให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะทางได้ ✅ การสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ: บริษัทใหญ่ เช่น Google, Alibaba, Qualcomm และ Intel ได้ให้ความสนใจและนำ RISC-V ไปใช้งานในผลิตภัณฑ์ของตน ✅ การใช้งานที่หลากหลาย: ปัจจุบัน RISC-V ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์ IoT ระบบฝังตัว และการประมวลผลขั้นสูง 💡 แนวโน้มการพัฒนาและใช้งานในอนาคต RISC-V มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าจะมีการส่งมอบ RISC-V cores ถึง 80 พันล้านอันภายในปี 2025 แนวโน้มที่น่าสนใจมีดังนี้: ✅ การขยายสู่หลากหลายอุตสาหกรรม: 👉 IoT: ด้วยความประหยัดพลังงานและขนาดเล็ก 👉 ยานยนต์: ใช้ในระบบควบคุมและเซ็นเซอร์ 👉 AI และคลาวด์: การพัฒนาชิปประสิทธิภาพสูง เช่น SiFive P870 👉 อุปกรณ์พกพา: เช่น แล็ปท็อปและแท็บเล็ต ✅การพัฒนาประสิทธิภาพ: มีการออกแบบ RISC-V cores ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแข่งขันกับสถาปัตยกรรมอื่น เช่น ARM และ x86 ✅ การสนับสนุนจากชุมชนและรัฐบาล: หลายประเทศเริ่มลงทุนใน RISC-V เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ 💡 โอกาสของธุรกิจไทยในการพัฒนา ขาย หรือใช้งาน RISC-V ในอนาคต ธุรกิจไทยมีโอกาสที่น่าสนใจในการใช้ประโยชน์จาก RISC-V ดังนี้: ✅ การพัฒนาฮาร์ดแวร์: สามารถออกแบบและผลิต CPU/MCU โดยไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ และปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะ เช่น IoT หรือยานยนต์ ✅ การแข่งขันในตลาดโลก: สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ RISC-V เพื่อส่งออกไปยังตลาดสากล ✅ การพัฒนาซอฟต์แวร์: สร้างแอปพลิเคชันและระบบที่รองรับ RISC-V ✅ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน: หากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ธุรกิจไทยสามารถกลายเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนได้ 💡 รัฐบาลไทยควรซื้อ ARM License หรือทุ่มกับ RISC-V การตัดสินใจของรัฐบาลไทยขึ้นอยู่กับเป้าหมายและทรัพยากรที่มีอยู่ โดยสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้: 🛍️ การซื้อ ARM License ✅ ข้อดี: 👉 มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก 👉 เอกชนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้ากันได้กับ ARM ได้ทันที 👉 เหมาะสำหรับการเข้าสู่ตลาดระยะสั้น ❌ ข้อเสีย: 👉 ค่าใช้จ่ายสูงทั้งในส่วนของไลเซนส์และ Royalty Fee 👉 ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งอาจขัดกับนโยบายพึ่งพาตนเอง 🛍️ การทุ่มกับ RISC-V ✅ ข้อดี: 👉 ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ช่วยลดต้นทุน 👉 สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของไทย 👉 ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ 👉 มีโอกาสเติบโตในระยะยาวและเป็นผู้นำในภูมิภาค ❌ ข้อเสีย: 👉 Ecosystem ยังไม่สมบูรณ์เท่า ARM อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนา 👉 มีความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ 💡 ข้อเสนอแนะ ⏲️ระยะสั้น : การซื้อ ARM License อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อให้เอกชนไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้ทันที คล้ายกับที่มาเลเซียทำ ⏲️ ระยะยาว: รัฐบาลควรลงทุนใน RISC-V ควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างฐานเทคโนโลยีของตัวเอง ลดการพึ่งพาต่างชาติ และใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นและต้นทุนต่ำของ RISC-V ⏲️ แนวทางผสมผสาน: สนับสนุนทั้ง ARM และ RISC-V โดยให้เอกชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม พร้อมทั้งส่งเสริมการวิจัย RISC-V ในสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรม 💡 บทสรุป RISC-V มีความสำคัญในปัจจุบันจากความเป็นโอเพนซอร์สและการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ แนวโน้มในอนาคตแสดงถึงการเติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรม ธุรกิจไทยมีโอกาสในการพัฒนาและแข่งขันในตลาดโลกด้วย RISC-V ส่วนรัฐบาลไทยควรพิจารณาทั้ง ARM และ RISC-V โดยเน้น RISC-V ในระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนและพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี #ลุงเขียนหลานอ่าน
    1 Comments 0 Shares 392 Views 0 Reviews
  • AMD เปิดตัว EPYC 4005-Series: ขยายตลาด Zen 5 สู่ธุรกิจขนาดเล็ก

    AMD ได้เปิดตัว EPYC 4005-Series ซึ่งเป็น ซีพียู Zen 5 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ระดับเริ่มต้น โดยออกแบบมาเพื่อ ธุรกิจขนาดเล็ก, การใช้งาน Edge Computing และผู้ให้บริการโฮสติ้ง ซีพียูรุ่นใหม่นี้ใช้ ซ็อกเก็ต AM5 และมี สูงสุด 16 คอร์ 32 เธรด

    EPYC 4005-Series ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และรองรับ Windows Server 2025
    - ออกแบบมาเพื่อ ธุรกิจขนาดเล็กและเซิร์ฟเวอร์แบบ Uniprocessor

    มีสูงสุด 16 คอร์ 32 เธรด พร้อมแคช L3 สูงสุด 128MB
    - รุ่น EPYC 4585PX มี 3D V-Cache ขนาด 64MB

    รองรับหน่วยความจำ DDR5-5600 สูงสุด 192GB พร้อม ECC
    - ใช้ dual-channel memory controller

    มีค่า TDP ตั้งแต่ 65W ถึง 170W ขึ้นอยู่กับรุ่น
    - รุ่น EPYC 4545P มีค่า TDP ต่ำสุดที่ 65W

    รองรับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น TrustZone, Secure Boot และ TPM 2.0
    - มี การเข้ารหัสหน่วยความจำเพื่อป้องกันการโจมตี

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/zen-5-comes-to-small-businesses-amd-unveils-epyc-4005-series-processors
    AMD เปิดตัว EPYC 4005-Series: ขยายตลาด Zen 5 สู่ธุรกิจขนาดเล็ก AMD ได้เปิดตัว EPYC 4005-Series ซึ่งเป็น ซีพียู Zen 5 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ระดับเริ่มต้น โดยออกแบบมาเพื่อ ธุรกิจขนาดเล็ก, การใช้งาน Edge Computing และผู้ให้บริการโฮสติ้ง ซีพียูรุ่นใหม่นี้ใช้ ซ็อกเก็ต AM5 และมี สูงสุด 16 คอร์ 32 เธรด ✅ EPYC 4005-Series ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และรองรับ Windows Server 2025 - ออกแบบมาเพื่อ ธุรกิจขนาดเล็กและเซิร์ฟเวอร์แบบ Uniprocessor ✅ มีสูงสุด 16 คอร์ 32 เธรด พร้อมแคช L3 สูงสุด 128MB - รุ่น EPYC 4585PX มี 3D V-Cache ขนาด 64MB ✅ รองรับหน่วยความจำ DDR5-5600 สูงสุด 192GB พร้อม ECC - ใช้ dual-channel memory controller ✅ มีค่า TDP ตั้งแต่ 65W ถึง 170W ขึ้นอยู่กับรุ่น - รุ่น EPYC 4545P มีค่า TDP ต่ำสุดที่ 65W ✅ รองรับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น TrustZone, Secure Boot และ TPM 2.0 - มี การเข้ารหัสหน่วยความจำเพื่อป้องกันการโจมตี https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/zen-5-comes-to-small-businesses-amd-unveils-epyc-4005-series-processors
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • ธุรกิจออนไลน์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับ ปัญหาการฉ้อโกงผ่านการเรียกเงินคืน (Chargeback Fraud) ซึ่งคาดว่าจะทำให้ สูญเสียรายได้กว่า 15 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 โดย Mastercard เตือนว่าหากไม่มีมาตรการแก้ไข จำนวนการเรียกเงินคืนอาจเพิ่มขึ้นเป็น 324 ล้านครั้งภายในปี 2028

    Chargeback Fraud เกิดขึ้นเมื่อ ลูกค้าปฏิเสธธุรกรรมที่ถูกต้อง ผ่านแอปธนาคาร โดยอ้างว่าไม่ได้ทำรายการนั้น ทั้งที่จริงแล้วเป็นการซื้อสินค้าหรือบริการที่ถูกต้อง ส่งผลให้ ผู้ขายต้องคืนเงินโดยไม่มีทางโต้แย้ง

    ธุรกิจทั่วโลกสูญเสียรายได้กว่า 15 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025
    - Mastercard เตือนว่าหากไม่มีมาตรการแก้ไข จำนวนการเรียกเงินคืนอาจเพิ่มขึ้นเป็น 324 ล้านครั้งภายในปี 2028

    Chargeback Fraud คืออะไร?
    - ลูกค้าปฏิเสธธุรกรรมที่ถูกต้องผ่านแอปธนาคาร
    - ผู้ขายต้องคืนเงินโดยไม่มีทางโต้แย้ง

    ผลกระทบต่อธุรกิจออนไลน์
    - ธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) ไม่สามารถรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้
    - บางบริษัทต้องเลือก แบกรับความสูญเสียหรือเพิ่มงบประมาณด้านความปลอดภัยไซเบอร์

    แนวทางแก้ไขที่ Mastercard แนะนำ
    - ใช้ AI และระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัย
    - เพิ่ม ความชัดเจนของใบเสร็จดิจิทัล เพื่อช่วยให้ผู้ขายสามารถโต้แย้งการเรียกเงินคืนได้

    https://www.techradar.com/pro/businesses-globally-set-to-lose-usd15-billion-in-2025-because-of-fraudulent-chargebacks-says-mastercard-heres-how-it-impacts-you-me-and-everyone
    ธุรกิจออนไลน์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับ ปัญหาการฉ้อโกงผ่านการเรียกเงินคืน (Chargeback Fraud) ซึ่งคาดว่าจะทำให้ สูญเสียรายได้กว่า 15 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 โดย Mastercard เตือนว่าหากไม่มีมาตรการแก้ไข จำนวนการเรียกเงินคืนอาจเพิ่มขึ้นเป็น 324 ล้านครั้งภายในปี 2028 Chargeback Fraud เกิดขึ้นเมื่อ ลูกค้าปฏิเสธธุรกรรมที่ถูกต้อง ผ่านแอปธนาคาร โดยอ้างว่าไม่ได้ทำรายการนั้น ทั้งที่จริงแล้วเป็นการซื้อสินค้าหรือบริการที่ถูกต้อง ส่งผลให้ ผู้ขายต้องคืนเงินโดยไม่มีทางโต้แย้ง ✅ ธุรกิจทั่วโลกสูญเสียรายได้กว่า 15 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 - Mastercard เตือนว่าหากไม่มีมาตรการแก้ไข จำนวนการเรียกเงินคืนอาจเพิ่มขึ้นเป็น 324 ล้านครั้งภายในปี 2028 ✅ Chargeback Fraud คืออะไร? - ลูกค้าปฏิเสธธุรกรรมที่ถูกต้องผ่านแอปธนาคาร - ผู้ขายต้องคืนเงินโดยไม่มีทางโต้แย้ง ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจออนไลน์ - ธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) ไม่สามารถรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ - บางบริษัทต้องเลือก แบกรับความสูญเสียหรือเพิ่มงบประมาณด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ✅ แนวทางแก้ไขที่ Mastercard แนะนำ - ใช้ AI และระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัย - เพิ่ม ความชัดเจนของใบเสร็จดิจิทัล เพื่อช่วยให้ผู้ขายสามารถโต้แย้งการเรียกเงินคืนได้ https://www.techradar.com/pro/businesses-globally-set-to-lose-usd15-billion-in-2025-because-of-fraudulent-chargebacks-says-mastercard-heres-how-it-impacts-you-me-and-everyone
    0 Comments 0 Shares 373 Views 0 Reviews
  • Microsoft ได้ดำเนินการ บล็อกวิธีการข้ามข้อกำหนดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและบัญชี Microsoft ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการติดตั้ง Windows 11 ซึ่งทำให้ผู้ใช้จำนวนมากไม่พอใจ

    ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่ง BYPASSNRO เพื่อข้ามข้อกำหนดดังกล่าว แต่ Microsoft ได้เริ่มทดสอบการลบคำสั่งนี้ออกจากกระบวนการติดตั้ง Windows 11 อย่างไรก็ตาม มีการค้นพบวิธีการข้ามใหม่ รวมถึงวิธีการที่เป็นทางการจาก Microsoft และเครื่องมือ Rufus ยังคงสามารถใช้ได้

    ผู้ใช้จำนวนมากใน Neowin และ Feedback Hub ของ Microsoft ได้แสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยบางคนตั้งคำถามเกี่ยวกับกรณีที่คอมพิวเตอร์ไม่มีอินเทอร์เน็ตเลย หรือสถานการณ์ที่อินเทอร์เน็ตขัดข้องในระหว่างการติดตั้ง

    นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ที่อาจเกิดขึ้น หากผู้ใช้ต้องซื้อ Windows 11 Enterprise SKU เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกำหนดดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นภาระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

    Microsoft บล็อกวิธีการข้ามข้อกำหนดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและบัญชี Microsoft
    - คำสั่ง BYPASSNRO ถูกลบออกจากกระบวนการติดตั้ง Windows 11
    - มีการค้นพบวิธีการข้ามใหม่ รวมถึงวิธีการที่เป็นทางการจาก Microsoft

    ปฏิกิริยาจากผู้ใช้
    - ผู้ใช้จำนวนมากแสดงความไม่พอใจใน Neowin และ Feedback Hub
    - มีข้อกังวลเกี่ยวกับกรณีที่คอมพิวเตอร์ไม่มีอินเทอร์เน็ตเลย

    ผลกระทบต่อธุรกิจขนาดเล็ก
    - อาจต้องซื้อ Windows 11 Enterprise SKU เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกำหนด
    - ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอาจเป็นภาระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

    การตอบสนองของ Microsoft
    - ยังไม่มีการตอบกลับอย่างเป็นทางการจาก Microsoft เกี่ยวกับเรื่องนี้

    https://www.neowin.net/news/microsoft-blocks-the-most-popular-windows-11-bypass-for-internet-msa-making-users-angry/
    Microsoft ได้ดำเนินการ บล็อกวิธีการข้ามข้อกำหนดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและบัญชี Microsoft ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการติดตั้ง Windows 11 ซึ่งทำให้ผู้ใช้จำนวนมากไม่พอใจ ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่ง BYPASSNRO เพื่อข้ามข้อกำหนดดังกล่าว แต่ Microsoft ได้เริ่มทดสอบการลบคำสั่งนี้ออกจากกระบวนการติดตั้ง Windows 11 อย่างไรก็ตาม มีการค้นพบวิธีการข้ามใหม่ รวมถึงวิธีการที่เป็นทางการจาก Microsoft และเครื่องมือ Rufus ยังคงสามารถใช้ได้ ผู้ใช้จำนวนมากใน Neowin และ Feedback Hub ของ Microsoft ได้แสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยบางคนตั้งคำถามเกี่ยวกับกรณีที่คอมพิวเตอร์ไม่มีอินเทอร์เน็ตเลย หรือสถานการณ์ที่อินเทอร์เน็ตขัดข้องในระหว่างการติดตั้ง นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ที่อาจเกิดขึ้น หากผู้ใช้ต้องซื้อ Windows 11 Enterprise SKU เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกำหนดดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นภาระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ✅ Microsoft บล็อกวิธีการข้ามข้อกำหนดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและบัญชี Microsoft - คำสั่ง BYPASSNRO ถูกลบออกจากกระบวนการติดตั้ง Windows 11 - มีการค้นพบวิธีการข้ามใหม่ รวมถึงวิธีการที่เป็นทางการจาก Microsoft ✅ ปฏิกิริยาจากผู้ใช้ - ผู้ใช้จำนวนมากแสดงความไม่พอใจใน Neowin และ Feedback Hub - มีข้อกังวลเกี่ยวกับกรณีที่คอมพิวเตอร์ไม่มีอินเทอร์เน็ตเลย ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจขนาดเล็ก - อาจต้องซื้อ Windows 11 Enterprise SKU เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกำหนด - ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอาจเป็นภาระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ✅ การตอบสนองของ Microsoft - ยังไม่มีการตอบกลับอย่างเป็นทางการจาก Microsoft เกี่ยวกับเรื่องนี้ https://www.neowin.net/news/microsoft-blocks-the-most-popular-windows-11-bypass-for-internet-msa-making-users-angry/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft blocks the most popular Windows 11 bypass for internet, MSA, making users angry
    Microsoft recently removed one of the most popular methods for bypassing Windows 11 requirements of internet connectivity and Microsoft Account. Users are quite annoyed.
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึงความสำคัญของ หมายเลขโทรศัพท์เสมือน (Virtual Phone Number) สำหรับธุรกิจขนาดเล็กในปี 2025 โดยเน้นถึงประโยชน์ที่ช่วยเพิ่มความเป็นมืออาชีพ ความคล่องตัว และประสิทธิภาพในการจัดการการสื่อสาร

    หมายเลขโทรศัพท์เสมือนช่วยให้ธุรกิจสามารถรับสาย ส่งข้อความ และจัดการข้อความเสียงผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บอินเทอร์เฟซ โดยไม่ต้องใช้ระบบโทรศัพท์แบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถแยกหมายเลขส่วนตัวออกจากหมายเลขธุรกิจได้

    ในปี 2025 มีผู้ให้บริการหมายเลขโทรศัพท์เสมือนหลายรายที่เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เช่น OpenPhone, Google Voice, Grasshopper, RingCentral และ Nextiva โดยแต่ละรายมีจุดเด่นและราคาที่แตกต่างกัน

    ประโยชน์ของหมายเลขโทรศัพท์เสมือน
    - เพิ่มความเป็นมืออาชีพด้วยการตั้งค่าทักทายและเมนูการโทร
    - รองรับการทำงานจากทุกที่ผ่านสมาร์ทโฟน แล็ปท็อป หรือแท็บเล็ต
    - ขยายธุรกิจได้ง่ายโดยเพิ่มหมายเลขหรือสมาชิกทีม

    ผู้ให้บริการที่แนะนำในปี 2025
    - OpenPhone: เหมาะสำหรับทีมระยะไกลและการส่งข้อความ ($19/เดือน)
    - Google Voice: เหมาะสำหรับผู้ประกอบการเดี่ยว (ฟรี/$10/เดือน)
    - Grasshopper: เหมาะสำหรับธุรกิจแบบดั้งเดิม ($31/เดือน)
    - RingCentral: รองรับ VoIP และการทำงานร่วมกัน ($30/เดือน)
    - Nextiva: เน้นการบริการลูกค้าและการสนับสนุน ($25.95/เดือน)

    ฟีเจอร์ที่ควรพิจารณา
    - การส่งข้อความ (SMS/MMS)
    - การสนับสนุนผู้ใช้หลายคน
    - การรวมเข้ากับเครื่องมือ CRM หรือ Slack

    https://computercity.com/internet/best-virtual-phone-number-for-small-business-2025
    บทความนี้กล่าวถึงความสำคัญของ หมายเลขโทรศัพท์เสมือน (Virtual Phone Number) สำหรับธุรกิจขนาดเล็กในปี 2025 โดยเน้นถึงประโยชน์ที่ช่วยเพิ่มความเป็นมืออาชีพ ความคล่องตัว และประสิทธิภาพในการจัดการการสื่อสาร หมายเลขโทรศัพท์เสมือนช่วยให้ธุรกิจสามารถรับสาย ส่งข้อความ และจัดการข้อความเสียงผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บอินเทอร์เฟซ โดยไม่ต้องใช้ระบบโทรศัพท์แบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถแยกหมายเลขส่วนตัวออกจากหมายเลขธุรกิจได้ ในปี 2025 มีผู้ให้บริการหมายเลขโทรศัพท์เสมือนหลายรายที่เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เช่น OpenPhone, Google Voice, Grasshopper, RingCentral และ Nextiva โดยแต่ละรายมีจุดเด่นและราคาที่แตกต่างกัน ✅ ประโยชน์ของหมายเลขโทรศัพท์เสมือน - เพิ่มความเป็นมืออาชีพด้วยการตั้งค่าทักทายและเมนูการโทร - รองรับการทำงานจากทุกที่ผ่านสมาร์ทโฟน แล็ปท็อป หรือแท็บเล็ต - ขยายธุรกิจได้ง่ายโดยเพิ่มหมายเลขหรือสมาชิกทีม ✅ ผู้ให้บริการที่แนะนำในปี 2025 - OpenPhone: เหมาะสำหรับทีมระยะไกลและการส่งข้อความ ($19/เดือน) - Google Voice: เหมาะสำหรับผู้ประกอบการเดี่ยว (ฟรี/$10/เดือน) - Grasshopper: เหมาะสำหรับธุรกิจแบบดั้งเดิม ($31/เดือน) - RingCentral: รองรับ VoIP และการทำงานร่วมกัน ($30/เดือน) - Nextiva: เน้นการบริการลูกค้าและการสนับสนุน ($25.95/เดือน) ✅ ฟีเจอร์ที่ควรพิจารณา - การส่งข้อความ (SMS/MMS) - การสนับสนุนผู้ใช้หลายคน - การรวมเข้ากับเครื่องมือ CRM หรือ Slack https://computercity.com/internet/best-virtual-phone-number-for-small-business-2025
    COMPUTERCITY.COM
    Best Virtual Phone Number for Small Business (2025)
    In today’s competitive market, small businesses need every edge they can get—and communication is one of the most important. A virtual phone number gives your
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
  • Google ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับโครงการนำร่อง AI Works ซึ่งเริ่มต้นในสหราชอาณาจักรเมื่อปีที่ผ่านมา โดยรายงานนี้เน้นถึงผลกระทบของการใช้ AI ต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคคลในหลากหลายภาคส่วน พบว่า AI สามารถช่วยประหยัดเวลาได้ถึง 122 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมที่ 100 ชั่วโมงต่อปี

    โครงการนี้ร่วมมือกับสหภาพแรงงาน ธุรกิจขนาดเล็ก และครูจากโรงเรียนกว่า 12 แห่งในสหราชอาณาจักร เพื่อทดลองวิธีการฝึกอบรมต่างๆ โดยพบว่าการฝึกอบรมเพียงไม่กี่ชั่วโมงสามารถเพิ่มการใช้งาน AI ในชีวิตประจำวันได้ถึงสองเท่า และการใช้งานยังคงสูงต่อเนื่องแม้หลังจากการฝึกอบรมผ่านไปหลายเดือน

    อย่างไรก็ตาม รายงานยังชี้ให้เห็นถึงอุปสรรค เช่น ผู้ใช้งานต้องการ "การอนุญาตให้ใช้คำสั่ง" เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้ AI เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นธรรม นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปีและผู้ที่มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจต่ำมีแนวโน้มที่จะไม่เคยใช้ AI ในการทำงาน

    ผลกระทบของ AI ต่อประสิทธิภาพการทำงาน
    - AI สามารถช่วยประหยัดเวลาได้ถึง 122 ชั่วโมงต่อปี
    - การฝึกอบรมเพียงไม่กี่ชั่วโมงสามารถเพิ่มการใช้งาน AI ในชีวิตประจำวันได้ถึงสองเท่า

    การทดลองและผลลัพธ์
    - การใช้งาน AI ยังคงสูงต่อเนื่องแม้หลังจากการฝึกอบรมผ่านไปหลายเดือน
    - กลุ่มผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปีมีการใช้งาน AI เพิ่มขึ้นจาก 17% เป็น 56% ในการใช้งานรายสัปดาห์

    อุปสรรคและความท้าทาย
    - ผู้ใช้งานต้องการ "การอนุญาตให้ใช้คำสั่ง" เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้ AI เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
    - กลุ่มผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปีและผู้ที่มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจต่ำมีแนวโน้มที่จะไม่เคยใช้ AI

    เป้าหมายของ Google
    - Google คาดการณ์ว่า AI-powered innovation ในสหราชอาณาจักรสามารถนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจถึง £400 พันล้านภายในปี 2030

    https://www.neowin.net/news/google-says-ai-can-help-boost-productivity-by-122-hours-per-year/
    Google ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับโครงการนำร่อง AI Works ซึ่งเริ่มต้นในสหราชอาณาจักรเมื่อปีที่ผ่านมา โดยรายงานนี้เน้นถึงผลกระทบของการใช้ AI ต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคคลในหลากหลายภาคส่วน พบว่า AI สามารถช่วยประหยัดเวลาได้ถึง 122 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมที่ 100 ชั่วโมงต่อปี โครงการนี้ร่วมมือกับสหภาพแรงงาน ธุรกิจขนาดเล็ก และครูจากโรงเรียนกว่า 12 แห่งในสหราชอาณาจักร เพื่อทดลองวิธีการฝึกอบรมต่างๆ โดยพบว่าการฝึกอบรมเพียงไม่กี่ชั่วโมงสามารถเพิ่มการใช้งาน AI ในชีวิตประจำวันได้ถึงสองเท่า และการใช้งานยังคงสูงต่อเนื่องแม้หลังจากการฝึกอบรมผ่านไปหลายเดือน อย่างไรก็ตาม รายงานยังชี้ให้เห็นถึงอุปสรรค เช่น ผู้ใช้งานต้องการ "การอนุญาตให้ใช้คำสั่ง" เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้ AI เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นธรรม นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปีและผู้ที่มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจต่ำมีแนวโน้มที่จะไม่เคยใช้ AI ในการทำงาน ✅ ผลกระทบของ AI ต่อประสิทธิภาพการทำงาน - AI สามารถช่วยประหยัดเวลาได้ถึง 122 ชั่วโมงต่อปี - การฝึกอบรมเพียงไม่กี่ชั่วโมงสามารถเพิ่มการใช้งาน AI ในชีวิตประจำวันได้ถึงสองเท่า ✅ การทดลองและผลลัพธ์ - การใช้งาน AI ยังคงสูงต่อเนื่องแม้หลังจากการฝึกอบรมผ่านไปหลายเดือน - กลุ่มผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปีมีการใช้งาน AI เพิ่มขึ้นจาก 17% เป็น 56% ในการใช้งานรายสัปดาห์ ✅ อุปสรรคและความท้าทาย - ผู้ใช้งานต้องการ "การอนุญาตให้ใช้คำสั่ง" เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้ AI เป็นสิ่งที่ถูกต้อง - กลุ่มผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปีและผู้ที่มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจต่ำมีแนวโน้มที่จะไม่เคยใช้ AI ✅ เป้าหมายของ Google - Google คาดการณ์ว่า AI-powered innovation ในสหราชอาณาจักรสามารถนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจถึง £400 พันล้านภายในปี 2030 https://www.neowin.net/news/google-says-ai-can-help-boost-productivity-by-122-hours-per-year/
    WWW.NEOWIN.NET
    Google says AI can help boost productivity by 122 hours per year
    Google's AI Works report highlights how AI can boost worker productivity, and its adoption gap can be reduced.
    0 Comments 0 Shares 288 Views 0 Reviews
  • Anker ได้เปิดตัว UV Printer E1 ภายใต้แบรนด์ eufyMake ซึ่งเป็น เครื่องพิมพ์ UV แบบ 3D สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ที่สามารถพิมพ์ลงบนพื้นผิวหลากหลายประเภท เช่น ไม้, โลหะ, อะคริลิก, หนัง, แก้ว, หิน และเซรามิก

    UV Printer E1 สามารถพิมพ์ลงบนพื้นผิวที่หลากหลาย
    - ใช้ UV light เพื่อทำให้หมึกแห้งอย่างรวดเร็ว
    - สามารถพิมพ์ลงบน ถ้วย, กระเบื้อง, กระดาษ, ผ้าใบ และวัสดุอื่นๆ

    รองรับการพิมพ์แบบ 3D และเครื่องมือแก้ไขภาพด้วย AI
    - สามารถสร้าง พื้นผิวแบบ 3D และใช้ AI ในการแก้ไขภาพ
    - รองรับการพิมพ์แบบ Direct-to-Film (DTF) ซึ่งช่วยให้สามารถถ่ายโอนภาพไปยังพื้นผิวที่หลากหลาย

    ขนาดกะทัดรัดและเหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - เครื่องพิมพ์นี้มีขนาดเล็กกว่ารุ่นอุตสาหกรรมถึง 90%
    - เหมาะสำหรับ ธุรกิจขนาดเล็ก, นักออกแบบ และผู้ใช้ทั่วไป

    การเปิดตัวและราคา
    - เปิดตัวผ่าน Kickstarter ในเดือนเมษายน 2025
    - ราคาเริ่มต้นที่ $1,499 พร้อมเงินมัดจำ $50
    - การจัดส่งเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2025 ไปยัง สหรัฐฯ, แคนาดา, ยุโรป, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และสิงคโปร์

    https://www.techspot.com/news/107560-world-first-personal-3d-texturing-uv-printer-paints.html
    Anker ได้เปิดตัว UV Printer E1 ภายใต้แบรนด์ eufyMake ซึ่งเป็น เครื่องพิมพ์ UV แบบ 3D สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ที่สามารถพิมพ์ลงบนพื้นผิวหลากหลายประเภท เช่น ไม้, โลหะ, อะคริลิก, หนัง, แก้ว, หิน และเซรามิก ✅ UV Printer E1 สามารถพิมพ์ลงบนพื้นผิวที่หลากหลาย - ใช้ UV light เพื่อทำให้หมึกแห้งอย่างรวดเร็ว - สามารถพิมพ์ลงบน ถ้วย, กระเบื้อง, กระดาษ, ผ้าใบ และวัสดุอื่นๆ ✅ รองรับการพิมพ์แบบ 3D และเครื่องมือแก้ไขภาพด้วย AI - สามารถสร้าง พื้นผิวแบบ 3D และใช้ AI ในการแก้ไขภาพ - รองรับการพิมพ์แบบ Direct-to-Film (DTF) ซึ่งช่วยให้สามารถถ่ายโอนภาพไปยังพื้นผิวที่หลากหลาย ✅ ขนาดกะทัดรัดและเหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - เครื่องพิมพ์นี้มีขนาดเล็กกว่ารุ่นอุตสาหกรรมถึง 90% - เหมาะสำหรับ ธุรกิจขนาดเล็ก, นักออกแบบ และผู้ใช้ทั่วไป ✅ การเปิดตัวและราคา - เปิดตัวผ่าน Kickstarter ในเดือนเมษายน 2025 - ราคาเริ่มต้นที่ $1,499 พร้อมเงินมัดจำ $50 - การจัดส่งเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2025 ไปยัง สหรัฐฯ, แคนาดา, ยุโรป, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และสิงคโปร์ https://www.techspot.com/news/107560-world-first-personal-3d-texturing-uv-printer-paints.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The world's first personal 3D texturing UV printer paints on almost any surface
    The UV Printer E1 from Anker's eufyMake brand allows non-business customers to print detailed color designs onto cups, tiles, paper, canvas, and numerous other materials. It supports...
    0 Comments 0 Shares 533 Views 0 Reviews
  • AI Site Builder ของ WordPress เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การสร้างเว็บไซต์เป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว แม้จะมีข้อจำกัดในปัจจุบัน แต่เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการสร้างเว็บไซต์ในอนาคต

    การทำงานของ AI Site Builder:
    - ผู้ใช้งานสามารถเริ่มต้นด้วยการอธิบายเว็บไซต์ที่ต้องการ เช่น เว็บไซต์ส่วนตัว ธุรกิจขนาดเล็ก หรือบล็อก
    - AI จะสร้างเว็บไซต์ต้นแบบที่มีเนื้อหา รูปภาพ การจัดวาง และสีสันที่เหมาะสมตามคำอธิบาย

    การปรับแต่งเพิ่มเติม:
    - หากผลลัพธ์แรกไม่ตรงใจ ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งเว็บไซต์เพิ่มเติมผ่านการสนทนากับ AI
    - เว็บไซต์ที่สร้างขึ้นสามารถเผยแพร่บน WordPress.com ได้ทันที

    การทดลองใช้งานฟรี:
    - ผู้ใช้งานสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี โดยมีข้อจำกัดที่ 30 คำสั่งก่อนที่จะต้องเลือกแผนการโฮสต์

    ความสามารถในอนาคต:
    - WordPress วางแผนที่จะเพิ่มฟังก์ชันที่ซับซ้อน เช่น การรองรับอีคอมเมิร์ซและการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม

    ความแตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่น:
    - AI Site Builder ของ WordPress เน้นการสร้างเว็บไซต์ที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน มากกว่าการใช้เทมเพลตแบบทั่วไป


    https://www.techspot.com/news/107495-wordpresscom-launches-ai-site-builder-fast-easy-creation.html
    AI Site Builder ของ WordPress เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การสร้างเว็บไซต์เป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว แม้จะมีข้อจำกัดในปัจจุบัน แต่เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการสร้างเว็บไซต์ในอนาคต ✅ การทำงานของ AI Site Builder: - ผู้ใช้งานสามารถเริ่มต้นด้วยการอธิบายเว็บไซต์ที่ต้องการ เช่น เว็บไซต์ส่วนตัว ธุรกิจขนาดเล็ก หรือบล็อก - AI จะสร้างเว็บไซต์ต้นแบบที่มีเนื้อหา รูปภาพ การจัดวาง และสีสันที่เหมาะสมตามคำอธิบาย ✅ การปรับแต่งเพิ่มเติม: - หากผลลัพธ์แรกไม่ตรงใจ ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งเว็บไซต์เพิ่มเติมผ่านการสนทนากับ AI - เว็บไซต์ที่สร้างขึ้นสามารถเผยแพร่บน WordPress.com ได้ทันที ✅ การทดลองใช้งานฟรี: - ผู้ใช้งานสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี โดยมีข้อจำกัดที่ 30 คำสั่งก่อนที่จะต้องเลือกแผนการโฮสต์ ✅ ความสามารถในอนาคต: - WordPress วางแผนที่จะเพิ่มฟังก์ชันที่ซับซ้อน เช่น การรองรับอีคอมเมิร์ซและการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม ✅ ความแตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่น: - AI Site Builder ของ WordPress เน้นการสร้างเว็บไซต์ที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน มากกว่าการใช้เทมเพลตแบบทั่วไป https://www.techspot.com/news/107495-wordpresscom-launches-ai-site-builder-fast-easy-creation.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    WordPress launches AI website builder for fast, easy creation
    The feature, dubbed the WordPress AI Site Builder, offers a chat interface similar to ChatGPT, except your prompts help design the website. You start by describing the...
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • ในตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มือสองแห่ง นิวเดลี ประเทศอินเดีย ช่างเทคนิคกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้กับแนวโน้ม "planned obsolescence" หรือการทำให้อุปกรณ์หมดอายุเร็วเกินควร ด้วยการสร้าง แล็ปท็อปราคา 100 ดอลลาร์ หรือที่เรียกว่า "Franken-laptops" อุปกรณ์เหล่านี้เกิดจากการรวบรวมและดัดแปลงชิ้นส่วนจากแล็ปท็อปเก่าและเสีย

    ประหยัดต้นทุนและเข้าถึงได้ง่าย:
    - แล็ปท็อปเหล่านี้มีราคาประมาณ 10,000 รูปี (110 ดอลลาร์) ซึ่งต่ำกว่าราคาของแล็ปท็อปใหม่ในตลาดที่อยู่ราว 50,000 รูปี (600 ดอลลาร์)
    - ช่วยให้นักเรียน คนทำงานฟรีแลนซ์ และธุรกิจขนาดเล็ก สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีในราคาที่จ่ายไหว

    ที่มาของชิ้นส่วน:
    - ส่วนประกอบมาจากตลาด e-waste ขนาดใหญ่ในอินเดีย เช่น Seelampur ซึ่งช่างซ่อมสามารถหาชิ้นส่วนที่ใช้งานได้ เช่น RAM, เมนบอร์ด และแบตเตอรี่

    เรื่องราวน่าประทับใจ:
    - ตัวอย่างหนึ่งคือนักศึกษาวิศวกรรมที่เกือบไม่สามารถจบการศึกษาได้ เนื่องจากไม่มีแล็ปท็อป แต่ได้รับการช่วยเหลือด้วย "Franken-laptop" ที่สร้างขึ้นจากชิ้นส่วนเหลือใช้

    == ปัญหาที่ต้องเผชิญ ==
    - บริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีใช้วิธีการ proprietary designs เช่น สกรูเฉพาะทางและซอฟต์แวร์ล็อก เพื่อกีดกันการซ่อมแซม DIY
    - ช่างซ่อมท้องถิ่นไม่สามารถเข้าถึงชิ้นส่วนจากผู้ผลิต OEM ได้โดยถูกกฎหมาย

    https://www.techspot.com/news/107477-india-repair-shops-fighting-planned-obsolescence-creating-100.html
    ในตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มือสองแห่ง นิวเดลี ประเทศอินเดีย ช่างเทคนิคกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้กับแนวโน้ม "planned obsolescence" หรือการทำให้อุปกรณ์หมดอายุเร็วเกินควร ด้วยการสร้าง แล็ปท็อปราคา 100 ดอลลาร์ หรือที่เรียกว่า "Franken-laptops" อุปกรณ์เหล่านี้เกิดจากการรวบรวมและดัดแปลงชิ้นส่วนจากแล็ปท็อปเก่าและเสีย ✅ ประหยัดต้นทุนและเข้าถึงได้ง่าย: - แล็ปท็อปเหล่านี้มีราคาประมาณ 10,000 รูปี (110 ดอลลาร์) ซึ่งต่ำกว่าราคาของแล็ปท็อปใหม่ในตลาดที่อยู่ราว 50,000 รูปี (600 ดอลลาร์) - ช่วยให้นักเรียน คนทำงานฟรีแลนซ์ และธุรกิจขนาดเล็ก สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีในราคาที่จ่ายไหว ✅ ที่มาของชิ้นส่วน: - ส่วนประกอบมาจากตลาด e-waste ขนาดใหญ่ในอินเดีย เช่น Seelampur ซึ่งช่างซ่อมสามารถหาชิ้นส่วนที่ใช้งานได้ เช่น RAM, เมนบอร์ด และแบตเตอรี่ ✅ เรื่องราวน่าประทับใจ: - ตัวอย่างหนึ่งคือนักศึกษาวิศวกรรมที่เกือบไม่สามารถจบการศึกษาได้ เนื่องจากไม่มีแล็ปท็อป แต่ได้รับการช่วยเหลือด้วย "Franken-laptop" ที่สร้างขึ้นจากชิ้นส่วนเหลือใช้ == ปัญหาที่ต้องเผชิญ == - บริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีใช้วิธีการ proprietary designs เช่น สกรูเฉพาะทางและซอฟต์แวร์ล็อก เพื่อกีดกันการซ่อมแซม DIY - ช่างซ่อมท้องถิ่นไม่สามารถเข้าถึงชิ้นส่วนจากผู้ผลิต OEM ได้โดยถูกกฎหมาย https://www.techspot.com/news/107477-india-repair-shops-fighting-planned-obsolescence-creating-100.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Repair shops in India are fighting planned obsolescence by creating $100 laptops
    Delhi's Nehru Place is one of the largest commercial centres in the city, and though its significance as a financial centre has declined in recent years, it's...
    0 Comments 0 Shares 480 Views 0 Reviews
  • หลายองค์กรยังคงใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอ เช่น “123456” และ “password” ทำให้แฮกเกอร์สามารถเจาะระบบได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที รายงานจาก NordPass พบว่า เยอรมนี, สหรัฐฯ และจีนเป็นประเทศที่เผชิญกับการละเมิดรหัสผ่านมากที่สุด นอกจากนี้ ผู้ใช้บางรายใช้ชื่อและอีเมลเป็นรหัสผ่าน ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแฮกมากขึ้น ธุรกิจควร บังคับใช้มาตรการความปลอดภัย เช่น ตัวจัดการรหัสผ่านและการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์

    รหัสผ่านยอดนิยมยังคงเป็นรหัสที่เดาง่าย
    - ในองค์กรขนาดใหญ่ รหัสที่ถูกใช้มากที่สุดคือ “123456789” (378,182 ครั้ง) ตามด้วย “123456” (356,341 ครั้ง) และ “12345678” (145,688 ครั้ง)
    - ธุรกิจขนาดเล็กและกลางก็ไม่น่ากังวลน้อยไปกว่า โดย “123456” ถูกใช้รวมกันถึง 852,861 ครั้ง

    เยอรมนีเป็นประเทศที่มีการละเมิดรหัสผ่านมากที่สุด
    - พบ 582,067 กรณีการละเมิด ตามด้วย สหรัฐฯ (502,435) และจีน (448,375)

    หลายคนใช้ชื่อและอีเมลเป็นรหัสผ่าน—ทำให้เสี่ยงถูกเจาะระบบง่ายขึ้น
    - NordPass พบว่า ผู้ใช้จำนวนมากใช้ชื่อของตนเองหรืออีเมลเป็นรหัสผ่าน ซึ่งทำให้แฮกเกอร์สามารถโจมตีบัญชีได้ง่ายขึ้น
    - หนึ่งในรหัสผ่านที่พบบ่อยที่สุดคือ “TimeLord12” (30,447 ครั้ง) ซึ่งเชื่อว่าอาจมาจาก แฟนซีรีส์ Doctor Who

    ธุรกิจควรบังคับใช้มาตรการสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่งขึ้น
    - บังคับใช้นโยบายรหัสผ่านที่ปลอดภัย เพื่อลดการใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอ
    - ใช้ตัวจัดการรหัสผ่าน เพื่อสร้างและจัดเก็บรหัสที่ซับซ้อน
    - เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) เพื่อเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัย

    https://www.techradar.com/pro/security/businesses-still-havent-stopped-using-weak-passwords-and-its-getting-super-risky
    หลายองค์กรยังคงใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอ เช่น “123456” และ “password” ทำให้แฮกเกอร์สามารถเจาะระบบได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที รายงานจาก NordPass พบว่า เยอรมนี, สหรัฐฯ และจีนเป็นประเทศที่เผชิญกับการละเมิดรหัสผ่านมากที่สุด นอกจากนี้ ผู้ใช้บางรายใช้ชื่อและอีเมลเป็นรหัสผ่าน ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแฮกมากขึ้น ธุรกิจควร บังคับใช้มาตรการความปลอดภัย เช่น ตัวจัดการรหัสผ่านและการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ ✅ รหัสผ่านยอดนิยมยังคงเป็นรหัสที่เดาง่าย - ในองค์กรขนาดใหญ่ รหัสที่ถูกใช้มากที่สุดคือ “123456789” (378,182 ครั้ง) ตามด้วย “123456” (356,341 ครั้ง) และ “12345678” (145,688 ครั้ง) - ธุรกิจขนาดเล็กและกลางก็ไม่น่ากังวลน้อยไปกว่า โดย “123456” ถูกใช้รวมกันถึง 852,861 ครั้ง ✅ เยอรมนีเป็นประเทศที่มีการละเมิดรหัสผ่านมากที่สุด - พบ 582,067 กรณีการละเมิด ตามด้วย สหรัฐฯ (502,435) และจีน (448,375) ✅ หลายคนใช้ชื่อและอีเมลเป็นรหัสผ่าน—ทำให้เสี่ยงถูกเจาะระบบง่ายขึ้น - NordPass พบว่า ผู้ใช้จำนวนมากใช้ชื่อของตนเองหรืออีเมลเป็นรหัสผ่าน ซึ่งทำให้แฮกเกอร์สามารถโจมตีบัญชีได้ง่ายขึ้น - หนึ่งในรหัสผ่านที่พบบ่อยที่สุดคือ “TimeLord12” (30,447 ครั้ง) ซึ่งเชื่อว่าอาจมาจาก แฟนซีรีส์ Doctor Who ✅ ธุรกิจควรบังคับใช้มาตรการสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่งขึ้น - บังคับใช้นโยบายรหัสผ่านที่ปลอดภัย เพื่อลดการใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอ - ใช้ตัวจัดการรหัสผ่าน เพื่อสร้างและจัดเก็บรหัสที่ซับซ้อน - เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) เพื่อเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัย https://www.techradar.com/pro/security/businesses-still-havent-stopped-using-weak-passwords-and-its-getting-super-risky
    0 Comments 0 Shares 449 Views 0 Reviews
  • Newfold Digital ที่เป็นเจ้าของโฮสต์เว็บไซต์ดัง ๆ อย่าง Bluehost และ HostGator ได้ตัดสินใจย้ายระบบไปใช้ Oracle Cloud เพื่อยกระดับบริการ นี่เป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ เพราะ Oracle Cloud เองก็เพิ่งเปิดตัวเทคโนโลยี AI Cluster ที่ทันสมัยมาก ขณะเดียวกัน Newfold Digital ก็มีชื่อเสียงในฐานะผู้ให้บริการที่ช่วยสนับสนุนเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะสร้างโอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ ให้กับวงการเว็บโฮสติ้ง

    การย้ายระบบของ Newfold Digital:
    - Newfold Digital ดูแลแบรนด์ชั้นนำ เช่น Bluehost และ HostGator ซึ่งให้บริการกับเว็บไซต์นับล้านทั่วโลก โดย Bluehost ยังได้รับการแนะนำโดย WordPress.org
    - การย้ายไปยัง Oracle Cloud อาจมีผลกระทบต่อเว็บไซต์ที่ใช้บริการเหล่านี้ในเชิงประสิทธิภาพและต้นทุน

    ความสำคัญของ Oracle Cloud:
    - Oracle มีการพัฒนา 64,000-GPU Nvidia Cluster เพื่อรองรับงานด้าน AI ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำหลายแห่งในด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เช่น CrowdStrike และ Palo Alto
    - ความสามารถในการให้บริการฐานข้อมูลของ Oracle ครอบคลุมหลากหลายแพลตฟอร์ม ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดคลาวด์

    ข้อมูลเกี่ยวกับ Newfold Digital:
    - บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2021 โดยเกิดจากการรวมตัวของ Endurance Web Presence และ Web.com Group
    - ให้บริการหลากหลาย ทั้งจดโดเมน โฮสติ้ง การสร้างเว็บไซต์ อีคอมเมิร์ซ และการตลาดดิจิทัล

    https://www.techradar.com/pro/bluehost-owner-is-moving-to-oracle-cloud-so-could-thousands-of-websites-be-about-to-migrate
    Newfold Digital ที่เป็นเจ้าของโฮสต์เว็บไซต์ดัง ๆ อย่าง Bluehost และ HostGator ได้ตัดสินใจย้ายระบบไปใช้ Oracle Cloud เพื่อยกระดับบริการ นี่เป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ เพราะ Oracle Cloud เองก็เพิ่งเปิดตัวเทคโนโลยี AI Cluster ที่ทันสมัยมาก ขณะเดียวกัน Newfold Digital ก็มีชื่อเสียงในฐานะผู้ให้บริการที่ช่วยสนับสนุนเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะสร้างโอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ ให้กับวงการเว็บโฮสติ้ง การย้ายระบบของ Newfold Digital: - Newfold Digital ดูแลแบรนด์ชั้นนำ เช่น Bluehost และ HostGator ซึ่งให้บริการกับเว็บไซต์นับล้านทั่วโลก โดย Bluehost ยังได้รับการแนะนำโดย WordPress.org - การย้ายไปยัง Oracle Cloud อาจมีผลกระทบต่อเว็บไซต์ที่ใช้บริการเหล่านี้ในเชิงประสิทธิภาพและต้นทุน ความสำคัญของ Oracle Cloud: - Oracle มีการพัฒนา 64,000-GPU Nvidia Cluster เพื่อรองรับงานด้าน AI ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำหลายแห่งในด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เช่น CrowdStrike และ Palo Alto - ความสามารถในการให้บริการฐานข้อมูลของ Oracle ครอบคลุมหลากหลายแพลตฟอร์ม ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดคลาวด์ ข้อมูลเกี่ยวกับ Newfold Digital: - บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2021 โดยเกิดจากการรวมตัวของ Endurance Web Presence และ Web.com Group - ให้บริการหลากหลาย ทั้งจดโดเมน โฮสติ้ง การสร้างเว็บไซต์ อีคอมเมิร์ซ และการตลาดดิจิทัล https://www.techradar.com/pro/bluehost-owner-is-moving-to-oracle-cloud-so-could-thousands-of-websites-be-about-to-migrate
    0 Comments 0 Shares 329 Views 0 Reviews
  • Microsoft ได้ประกาศว่าจะหยุดสนับสนุน Microsoft Publisher ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันในชุด Microsoft Office ที่ออกแบบมาสำหรับงานด้านการออกแบบสิ่งพิมพ์ เช่น โบรชัวร์ ปฏิทิน หรือนามบัตร โดยจะยุติการใช้งานในเดือนตุลาคมปี 2026 นี่หมายความว่าเวอร์ชันต่าง ๆ ของ Publisher ตั้งแต่ปี 2007 จนถึง 2021 รวมถึง Publisher สำหรับ Microsoft 365 จะไม่ได้รับการอัปเดตความปลอดภัยหรือคุณสมบัติใหม่อีกต่อไป

    Publisher นั้นเป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้ใช้งานที่ไม่ได้เป็นนักออกแบบมืออาชีพ เช่น โรงเรียน องค์กรไม่แสวงหากำไร และธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งชื่นชอบความง่ายดายของเครื่องมือที่ใช้ลากวาง (drag-and-drop) และเทมเพลตสำเร็จรูปที่หลากหลาย แต่ Microsoft มองว่าผู้ใช้งานสามารถหันไปใช้แอปพลิเคชันอื่นในชุด Office อย่าง Word หรือ PowerPoint แทนได้ แม้จะไม่สามารถรองรับงานบางประเภทได้เต็มประสิทธิภาพก็ตาม

    Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้งานแปลงไฟล์ .pub ที่สร้างใน Publisher เป็น PDF หรือ Word (DOCX) หากยังต้องการแก้ไขเพิ่มเติมในอนาคต การแปลงไฟล์นี้สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการเลือกที่ “File” > “Save As” และเลือกฟอร์แมตที่ต้องการ นอกจากนี้ Microsoft ยังแนะนำให้ผู้ใช้งานที่มีไฟล์จำนวนมากใช้มาโครเพื่อช่วยในกระบวนการนี้

    สำหรับผู้ที่ต้องการซอฟต์แวร์ที่มีความสามารถสูงขึ้น Microsoft แนะนำให้ลองใช้แอปพลิเคชันออกแบบจากบุคคลที่สาม เช่น:
    - Canva (แบบสมัครสมาชิก)
    - Adobe InDesign (แบบสมัครสมาชิก)
    - Affinity Publisher (จ่ายครั้งเดียว)

    สำหรับผู้ใช้งานที่มี Publisher เวอร์ชัน “Perpetual” ซึ่งไม่ต้องพึ่ง Microsoft 365 ยังคงสามารถใช้งานต่อได้แม้หลังปี 2026 แต่ต้องยอมรับว่าจะไม่มีการสนับสนุนด้านความปลอดภัยหรือฟีเจอร์ใหม่อีกต่อไป

    https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-shares-guidance-on-upcoming-publisher-deprecation/
    Microsoft ได้ประกาศว่าจะหยุดสนับสนุน Microsoft Publisher ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันในชุด Microsoft Office ที่ออกแบบมาสำหรับงานด้านการออกแบบสิ่งพิมพ์ เช่น โบรชัวร์ ปฏิทิน หรือนามบัตร โดยจะยุติการใช้งานในเดือนตุลาคมปี 2026 นี่หมายความว่าเวอร์ชันต่าง ๆ ของ Publisher ตั้งแต่ปี 2007 จนถึง 2021 รวมถึง Publisher สำหรับ Microsoft 365 จะไม่ได้รับการอัปเดตความปลอดภัยหรือคุณสมบัติใหม่อีกต่อไป Publisher นั้นเป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้ใช้งานที่ไม่ได้เป็นนักออกแบบมืออาชีพ เช่น โรงเรียน องค์กรไม่แสวงหากำไร และธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งชื่นชอบความง่ายดายของเครื่องมือที่ใช้ลากวาง (drag-and-drop) และเทมเพลตสำเร็จรูปที่หลากหลาย แต่ Microsoft มองว่าผู้ใช้งานสามารถหันไปใช้แอปพลิเคชันอื่นในชุด Office อย่าง Word หรือ PowerPoint แทนได้ แม้จะไม่สามารถรองรับงานบางประเภทได้เต็มประสิทธิภาพก็ตาม Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้งานแปลงไฟล์ .pub ที่สร้างใน Publisher เป็น PDF หรือ Word (DOCX) หากยังต้องการแก้ไขเพิ่มเติมในอนาคต การแปลงไฟล์นี้สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการเลือกที่ “File” > “Save As” และเลือกฟอร์แมตที่ต้องการ นอกจากนี้ Microsoft ยังแนะนำให้ผู้ใช้งานที่มีไฟล์จำนวนมากใช้มาโครเพื่อช่วยในกระบวนการนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการซอฟต์แวร์ที่มีความสามารถสูงขึ้น Microsoft แนะนำให้ลองใช้แอปพลิเคชันออกแบบจากบุคคลที่สาม เช่น: - Canva (แบบสมัครสมาชิก) - Adobe InDesign (แบบสมัครสมาชิก) - Affinity Publisher (จ่ายครั้งเดียว) สำหรับผู้ใช้งานที่มี Publisher เวอร์ชัน “Perpetual” ซึ่งไม่ต้องพึ่ง Microsoft 365 ยังคงสามารถใช้งานต่อได้แม้หลังปี 2026 แต่ต้องยอมรับว่าจะไม่มีการสนับสนุนด้านความปลอดภัยหรือฟีเจอร์ใหม่อีกต่อไป https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-shares-guidance-on-upcoming-publisher-deprecation/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Microsoft shares guidance on upcoming Publisher deprecation
    Microsoft has published guidance for users of Microsoft Publisher as it will no longer be supported after October 2026 and removed from Microsoft 365.
    0 Comments 0 Shares 463 Views 0 Reviews
  • ลุงอยากเห็นอาคารในประเทศไทยควรทำบ้างครับ

    มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ "แบตเตอรี่ความเย็น" ที่ถูกนำมาใช้ในอาคารต่าง ๆ เพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้าและควบคุมอุณหภูมิในช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง (peak hours) โดยทั่วไปแล้ว อาคารพาณิชย์ที่มีความต้องการควบคุมอุณหภูมิจะใช้ระบบเครื่องทำความเย็นที่ทำงานในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าต่ำ จากนั้นจะนำความเย็นจากน้ำแข็งที่เก็บไว้มาใช้ในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง

    เมื่อค่าไฟฟ้าต่ำจะมีการแช่แข็งน้ำในถังขนาดใหญ่เพื่อเก็บความเย็นไว้ และเมื่อค่าไฟฟ้าสูงขึ้นในช่วงกลางวัน เครื่องทำความเย็นจะหยุดทำงาน และนำน้ำแข็งที่เก็บไว้มาใช้ในการทำความเย็นให้น้ำที่ไหลผ่านอาคาร วิธีนี้ทำให้สามารถปรับช่วงเวลาการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับค่าไฟฟ้าที่ถูกที่สุด ช่วยลดค่าไฟฟ้าลงได้มากมาย

    Allison Mahvi ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมเครื่องกลที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซินแมดิสัน กล่าวว่า ในทางทฤษฎีเราสามารถแช่แข็งและละลายวัตถุได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับระบบนี้จะมีเพียงแค่ส่วนประกอบที่ต้องเปลี่ยนตามเวลาเช่น เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน วาล์ว และปั๊มน้ำ ซึ่งสามารถใช้งานได้นานหลายทศวรรษก่อนที่จะต้องเปลี่ยน

    การใช้แบตเตอรี่ความเย็นนี้ถูกนำมาใช้ในอาคารพาณิชย์ที่มีพื้นที่เพียงพอในการเก็บน้ำแข็งขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น ระบบในตึกธนาคารแห่งหนึ่งในนิวยอร์คซิตี้มีถังน้ำแข็งจำนวน 100 ถัง แต่ในอนาคตการออกแบบที่เล็กลงอาจทำให้สามารถนำไปใช้ในธุรกิจขนาดเล็กหรือแม้แต่บ้านเรือนได้

    นอกจากนี้ การใช้แบตเตอรี่ความเย็นยังมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีราคาแพงและเสื่อมสภาพตามเวลา น้ำเป็นทรัพยากรที่มีอยู่มากและราคาถูก ซึ่งทำให้วิธีนี้เป็นวิธีที่มีความเป็นไปได้และมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมการใช้พลังงาน

    https://www.techspot.com/news/106995-ice-batteries-helping-buildings-beat-heat-save-money.html
    ลุงอยากเห็นอาคารในประเทศไทยควรทำบ้างครับ มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ "แบตเตอรี่ความเย็น" ที่ถูกนำมาใช้ในอาคารต่าง ๆ เพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้าและควบคุมอุณหภูมิในช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง (peak hours) โดยทั่วไปแล้ว อาคารพาณิชย์ที่มีความต้องการควบคุมอุณหภูมิจะใช้ระบบเครื่องทำความเย็นที่ทำงานในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าต่ำ จากนั้นจะนำความเย็นจากน้ำแข็งที่เก็บไว้มาใช้ในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง เมื่อค่าไฟฟ้าต่ำจะมีการแช่แข็งน้ำในถังขนาดใหญ่เพื่อเก็บความเย็นไว้ และเมื่อค่าไฟฟ้าสูงขึ้นในช่วงกลางวัน เครื่องทำความเย็นจะหยุดทำงาน และนำน้ำแข็งที่เก็บไว้มาใช้ในการทำความเย็นให้น้ำที่ไหลผ่านอาคาร วิธีนี้ทำให้สามารถปรับช่วงเวลาการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับค่าไฟฟ้าที่ถูกที่สุด ช่วยลดค่าไฟฟ้าลงได้มากมาย Allison Mahvi ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมเครื่องกลที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซินแมดิสัน กล่าวว่า ในทางทฤษฎีเราสามารถแช่แข็งและละลายวัตถุได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับระบบนี้จะมีเพียงแค่ส่วนประกอบที่ต้องเปลี่ยนตามเวลาเช่น เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน วาล์ว และปั๊มน้ำ ซึ่งสามารถใช้งานได้นานหลายทศวรรษก่อนที่จะต้องเปลี่ยน การใช้แบตเตอรี่ความเย็นนี้ถูกนำมาใช้ในอาคารพาณิชย์ที่มีพื้นที่เพียงพอในการเก็บน้ำแข็งขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น ระบบในตึกธนาคารแห่งหนึ่งในนิวยอร์คซิตี้มีถังน้ำแข็งจำนวน 100 ถัง แต่ในอนาคตการออกแบบที่เล็กลงอาจทำให้สามารถนำไปใช้ในธุรกิจขนาดเล็กหรือแม้แต่บ้านเรือนได้ นอกจากนี้ การใช้แบตเตอรี่ความเย็นยังมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีราคาแพงและเสื่อมสภาพตามเวลา น้ำเป็นทรัพยากรที่มีอยู่มากและราคาถูก ซึ่งทำให้วิธีนี้เป็นวิธีที่มีความเป็นไปได้และมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมการใช้พลังงาน https://www.techspot.com/news/106995-ice-batteries-helping-buildings-beat-heat-save-money.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Ice batteries are helping buildings beat the heat and save money
    When electricity costs are low, vats of water are frozen to make ice. As energy costs rise during the day, chillers are powered down and the ice...
    0 Comments 0 Shares 459 Views 0 Reviews
  • แน่นอน! นี่คือข้อดีและข้อเสียของคาสิโน

    ข้อดีของคาสิโน

    1. สร้างรายได้และเศรษฐกิจ – คาสิโนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่โดยการสร้างงานและดึงดูดนักท่องเที่ยว


    2. แหล่งบันเทิงและสันทนาการ – เป็นสถานที่ที่ให้ความสนุกสนานและความตื่นเต้นแก่ผู้เล่น


    3. สร้างรายได้จากภาษี – คาสิโนสามารถเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐผ่านภาษีการพนัน


    4. โอกาสชนะเงินรางวัลใหญ่ – ผู้เล่นมีโอกาสได้รับเงินจำนวนมากจากเกมบางประเภท เช่น สล็อต หรือโป๊กเกอร์


    5. ดึงดูดนักท่องเที่ยว – คาสิโนสามารถเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ส่งเสริมธุรกิจอื่นๆ ในพื้นที่ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้า



    ข้อเสียของคาสิโน

    1. ปัญหาการติดการพนัน – การเล่นคาสิโนอาจทำให้บางคนติดการพนันจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน


    2. ความเสี่ยงทางการเงิน – คาสิโนออกแบบมาให้บ้าน (คาสิโน) มีความได้เปรียบในระยะยาว ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เสียเงิน


    3. อาชญากรรมและการฟอกเงิน – คาสิโนอาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพใช้ฟอกเงินหรือทำธุรกรรมผิดกฎหมาย


    4. ผลกระทบต่อครอบครัวและสังคม – การเล่นพนันมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาครอบครัว หนี้สิน หรือปัญหาสังคมอื่นๆ


    5. อาจกระทบธุรกิจในท้องถิ่น – ในบางกรณี คาสิโนอาจทำให้ธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบ เนื่องจากเงินหมุนเวียนไปที่คาสิโนแทน



    คาสิโนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับมุมมองและการบริหารจัดการของแต่ละประเทศหรือนโยบายของรัฐในเรื่องการพนัน

    แน่นอน! นี่คือข้อดีและข้อเสียของคาสิโน ข้อดีของคาสิโน 1. สร้างรายได้และเศรษฐกิจ – คาสิโนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่โดยการสร้างงานและดึงดูดนักท่องเที่ยว 2. แหล่งบันเทิงและสันทนาการ – เป็นสถานที่ที่ให้ความสนุกสนานและความตื่นเต้นแก่ผู้เล่น 3. สร้างรายได้จากภาษี – คาสิโนสามารถเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐผ่านภาษีการพนัน 4. โอกาสชนะเงินรางวัลใหญ่ – ผู้เล่นมีโอกาสได้รับเงินจำนวนมากจากเกมบางประเภท เช่น สล็อต หรือโป๊กเกอร์ 5. ดึงดูดนักท่องเที่ยว – คาสิโนสามารถเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ส่งเสริมธุรกิจอื่นๆ ในพื้นที่ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้า ข้อเสียของคาสิโน 1. ปัญหาการติดการพนัน – การเล่นคาสิโนอาจทำให้บางคนติดการพนันจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน 2. ความเสี่ยงทางการเงิน – คาสิโนออกแบบมาให้บ้าน (คาสิโน) มีความได้เปรียบในระยะยาว ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เสียเงิน 3. อาชญากรรมและการฟอกเงิน – คาสิโนอาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพใช้ฟอกเงินหรือทำธุรกรรมผิดกฎหมาย 4. ผลกระทบต่อครอบครัวและสังคม – การเล่นพนันมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาครอบครัว หนี้สิน หรือปัญหาสังคมอื่นๆ 5. อาจกระทบธุรกิจในท้องถิ่น – ในบางกรณี คาสิโนอาจทำให้ธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบ เนื่องจากเงินหมุนเวียนไปที่คาสิโนแทน คาสิโนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับมุมมองและการบริหารจัดการของแต่ละประเทศหรือนโยบายของรัฐในเรื่องการพนัน
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 801 Views 0 Reviews
  • 10 เทคนิควางแผนการเงินเพื่อชีวิตวัยเกษียณสำหรับ Generation X
    1. กำหนดเป้าหมายเกษียณ – คำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องการและระยะเวลาการออม

    2. สร้างกองทุนฉุกเฉิน – มีเงินสำรอง 6-12 เดือนเผื่อค่าใช้จ่ายไม่คาดคิด

    3. ออมเงินอย่างสม่ำเสมอ – กันเงินเก็บทุกเดือน สร้างนิสัยออมก่อนใช้

    4. ลงทุนเพื่ออนาคต – กระจายความเสี่ยงในหุ้น กองทุน อสังหาริมทรัพย์

    5. ลดหนี้สินก่อนเกษียณ – จัดการหนี้ให้หมดเร็ว ลดภาระดอกเบี้ย

    6. วางแผนประกันสุขภาพ – เลือกประกันคุ้มครองระยะยาวลดภาระค่ารักษาพยาบาล

    7. ศึกษาสิทธิ์ประกันสังคม – ตรวจสอบเงินบำนาญและสวัสดิการที่ได้รับ

    8. หารายได้เสริม – ลงทุนหรือทำธุรกิจขนาดเล็กสร้างรายได้ต่อเนื่อง

    9. ควบคุมค่าใช้จ่าย – ตัดรายจ่ายฟุ่มเฟือย บริหารเงินให้มีประสิทธิภาพ

    10. วางแผนมรดก – จัดการพินัยกรรมเพื่อป้องกันปัญหาทรัพย์สินในอนาคต

    เตรียมตัวดี มีเงินใช้ เกษียณอย่างมั่นคง!

    📌10 เทคนิควางแผนการเงินเพื่อชีวิตวัยเกษียณสำหรับ Generation X 1. กำหนดเป้าหมายเกษียณ – คำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องการและระยะเวลาการออม 2. สร้างกองทุนฉุกเฉิน – มีเงินสำรอง 6-12 เดือนเผื่อค่าใช้จ่ายไม่คาดคิด 3. ออมเงินอย่างสม่ำเสมอ – กันเงินเก็บทุกเดือน สร้างนิสัยออมก่อนใช้ 4. ลงทุนเพื่ออนาคต – กระจายความเสี่ยงในหุ้น กองทุน อสังหาริมทรัพย์ 5. ลดหนี้สินก่อนเกษียณ – จัดการหนี้ให้หมดเร็ว ลดภาระดอกเบี้ย 6. วางแผนประกันสุขภาพ – เลือกประกันคุ้มครองระยะยาวลดภาระค่ารักษาพยาบาล 7. ศึกษาสิทธิ์ประกันสังคม – ตรวจสอบเงินบำนาญและสวัสดิการที่ได้รับ 8. หารายได้เสริม – ลงทุนหรือทำธุรกิจขนาดเล็กสร้างรายได้ต่อเนื่อง 9. ควบคุมค่าใช้จ่าย – ตัดรายจ่ายฟุ่มเฟือย บริหารเงินให้มีประสิทธิภาพ 10. วางแผนมรดก – จัดการพินัยกรรมเพื่อป้องกันปัญหาทรัพย์สินในอนาคต เตรียมตัวดี มีเงินใช้ เกษียณอย่างมั่นคง!
    0 Comments 0 Shares 812 Views 0 Reviews
More Results