• TerraMaster เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ F2-425 Plus และ F4-425 Plus: แรง เร็ว พร้อม AI ในบ้านคุณ

    TerraMaster ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเครือข่าย (NAS) ได้เปิดตัวสองรุ่นใหม่ล่าสุดคือ F2-425 Plus และ F4-425 Plus ที่มาพร้อมกับขุมพลัง Intel N150 และดีไซน์ hybrid storage ที่ผสาน SSD M.2 กับ HDD ในเครื่องเดียว เหมาะสำหรับทั้งผู้ใช้ตามบ้านและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบสำรองข้อมูลระดับองค์กรและการสตรีมมีเดียที่ลื่นไหล

    ทั้งสองรุ่นใช้โปรเซสเซอร์ Intel N150 แบบ quad-core ความเร็วสูงสุด 3.6 GHz พร้อมพอร์ต 5GbE สองช่องที่ให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงถึง 1010 MB/s และมีสล็อต M.2 ถึง 3 ช่อง รองรับ SSD ขนาดสูงสุด 8 TB ต่อช่อง

    F2-425 Plus มาพร้อมดีไซน์ 3+2 bay (3 M.2 + 2 HDD) และ RAM DDR5 ขนาด 8 GB รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ตามบ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็ก ส่วน F4-425 Plus ขยายขีดความสามารถด้วยดีไซน์ 3+4 bay, RAM 16 GB และรองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุดถึง 144 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ระดับ power user และครีเอเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    ทั้งสองรุ่นใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6 พร้อมฟีเจอร์ AI photo management ที่สามารถจดจำใบหน้า สัตว์เลี้ยง และฉากต่างๆ ได้ รวมถึงระบบสำรองข้อมูล BBS ที่ให้ความปลอดภัยระดับองค์กร

    สเปกหลักของ F2-425 Plus และ F4-425 Plus
    ใช้ Intel N150 quad-core (สูงสุด 3.6 GHz)
    มีพอร์ต 5GbE สองช่อง ความเร็วสูงสุด 1010 MB/s
    มีสล็อต M.2 จำนวน 3 ช่อง รองรับ SSD สูงสุด 8 TB ต่อช่อง

    ความแตกต่างระหว่างสองรุ่น
    F2-425 Plus: 3+2 bay, RAM 8 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB
    F4-425 Plus: 3+4 bay, RAM 16 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 144 TB

    ฟีเจอร์เด่น
    ใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6
    มีระบบ AI photo management สำหรับจดจำใบหน้าและสัตว์เลี้ยง
    ระบบสำรองข้อมูล BBS ระดับองค์กร
    รองรับการถอดเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์แบบ hot-swap
    รองรับการถอดรหัสวิดีโอ 4K และ 8K

    การเชื่อมต่อและพอร์ต
    USB 3.2 Gen 2 จำนวน 2 ช่อง (10 Gbps)
    HDMI 2.0 รองรับ 4K @ 60 Hz
    น้ำหนัก: F2-425 Plus – 2.2 กก. | F4-425 Plus – 2.9 กก.

    โปรโมชั่นเปิดตัว
    ลดราคา 15% ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2025
    รับประกันทั่วโลก 2 ปี พร้อมบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ
    วางจำหน่ายผ่านร้านค้า TerraMaster, Amazon และ AliExpress

    https://news.itsfoss.com/terramaster-f4-425-plus-launch/
    🗄️ TerraMaster เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ F2-425 Plus และ F4-425 Plus: แรง เร็ว พร้อม AI ในบ้านคุณ TerraMaster ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเครือข่าย (NAS) ได้เปิดตัวสองรุ่นใหม่ล่าสุดคือ F2-425 Plus และ F4-425 Plus ที่มาพร้อมกับขุมพลัง Intel N150 และดีไซน์ hybrid storage ที่ผสาน SSD M.2 กับ HDD ในเครื่องเดียว เหมาะสำหรับทั้งผู้ใช้ตามบ้านและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบสำรองข้อมูลระดับองค์กรและการสตรีมมีเดียที่ลื่นไหล ทั้งสองรุ่นใช้โปรเซสเซอร์ Intel N150 แบบ quad-core ความเร็วสูงสุด 3.6 GHz พร้อมพอร์ต 5GbE สองช่องที่ให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงถึง 1010 MB/s และมีสล็อต M.2 ถึง 3 ช่อง รองรับ SSD ขนาดสูงสุด 8 TB ต่อช่อง F2-425 Plus มาพร้อมดีไซน์ 3+2 bay (3 M.2 + 2 HDD) และ RAM DDR5 ขนาด 8 GB รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ตามบ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็ก ส่วน F4-425 Plus ขยายขีดความสามารถด้วยดีไซน์ 3+4 bay, RAM 16 GB และรองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุดถึง 144 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ระดับ power user และครีเอเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ทั้งสองรุ่นใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6 พร้อมฟีเจอร์ AI photo management ที่สามารถจดจำใบหน้า สัตว์เลี้ยง และฉากต่างๆ ได้ รวมถึงระบบสำรองข้อมูล BBS ที่ให้ความปลอดภัยระดับองค์กร ✅ สเปกหลักของ F2-425 Plus และ F4-425 Plus ➡️ ใช้ Intel N150 quad-core (สูงสุด 3.6 GHz) ➡️ มีพอร์ต 5GbE สองช่อง ความเร็วสูงสุด 1010 MB/s ➡️ มีสล็อต M.2 จำนวน 3 ช่อง รองรับ SSD สูงสุด 8 TB ต่อช่อง ✅ ความแตกต่างระหว่างสองรุ่น ➡️ F2-425 Plus: 3+2 bay, RAM 8 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB ➡️ F4-425 Plus: 3+4 bay, RAM 16 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 144 TB ✅ ฟีเจอร์เด่น ➡️ ใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6 ➡️ มีระบบ AI photo management สำหรับจดจำใบหน้าและสัตว์เลี้ยง ➡️ ระบบสำรองข้อมูล BBS ระดับองค์กร ➡️ รองรับการถอดเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์แบบ hot-swap ➡️ รองรับการถอดรหัสวิดีโอ 4K และ 8K ✅ การเชื่อมต่อและพอร์ต ➡️ USB 3.2 Gen 2 จำนวน 2 ช่อง (10 Gbps) ➡️ HDMI 2.0 รองรับ 4K @ 60 Hz ➡️ น้ำหนัก: F2-425 Plus – 2.2 กก. | F4-425 Plus – 2.9 กก. ✅ โปรโมชั่นเปิดตัว ➡️ ลดราคา 15% ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ➡️ รับประกันทั่วโลก 2 ปี พร้อมบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ ➡️ วางจำหน่ายผ่านร้านค้า TerraMaster, Amazon และ AliExpress https://news.itsfoss.com/terramaster-f4-425-plus-launch/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    TerraMaster Launches F2-425 Plus and F4-425 Plus NAS with Intel N150 and Triple M.2 Slots
    New hybrid NAS series brings enterprise-grade backup and media streaming to home users and small businesses.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026 — ปิดตำนานเครื่องมือออกแบบยุค 90” — เมื่อแอปสร้างใบปลิวและจดหมายข่าวที่เคยอยู่ในทุกบ้านกำลังจะอำลาอย่างถาวร

    Microsoft ประกาศว่าจะยุติการสนับสนุนแอป Publisher อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2026 ซึ่งตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021 โดยหลังจากวันนั้น Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365 และไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีกต่อไปในเวอร์ชันใหม่

    Publisher เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถออกแบบสิ่งพิมพ์ เช่น ใบปลิว, โบรชัวร์, จดหมายข่าว โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมระดับมืออาชีพอย่าง QuarkXPress หรือ Adobe InDesign ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และการใช้งานง่าย ทำให้ Publisher กลายเป็นเครื่องมือยอดนิยมในโรงเรียน, ธุรกิจขนาดเล็ก และผู้ใช้ตามบ้าน

    แม้จะไม่เคยครองใจนักออกแบบมืออาชีพ แต่ Publisher ก็มีบทบาทสำคัญในการ “ประชาธิปไตยด้านการออกแบบ” โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างสื่อสิ่งพิมพ์ได้ด้วยตัวเอง

    หลังจากการยุติการสนับสนุน Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู และหากต้องการแก้ไข ให้เปิด PDF ใน Word — แม้ว่าการจัดวางอาจเพี้ยน โดยเฉพาะไฟล์ที่มีกราฟิกจำนวนมาก

    สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทางเลือกใหม่ Microsoft แนะนำให้ใช้ Word, PowerPoint หรือแอป Designer แทน ส่วนทางเลือกจากภายนอกก็มีเช่น:

    Canva — ใช้งานง่าย มีเทมเพลตหลากหลาย แต่ฟีเจอร์เต็มต้องสมัครสมาชิก
    LibreOffice Draw — ฟรีและโอเพ่นซอร์ส รองรับไฟล์ .pub ได้พอสมควร
    Affinity Publisher 2 — ซื้อครั้งเดียว ไม่มีรายเดือน เหมาะกับผู้ใช้จริงจัง

    Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026
    ตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021

    Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365
    ไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีก

    Publisher เปิดตัวในปี 1991 และรวมอยู่ใน Office ตั้งแต่เวอร์ชัน 97
    เคยเป็นเครื่องมือออกแบบยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    Microsoft แนะนำให้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู
    และเปิด PDF ใน Word หากต้องการแก้ไข

    ทางเลือกใหม่จาก Microsoft ได้แก่ Word, PowerPoint และ Designer
    ใช้แทน Publisher สำหรับงานออกแบบทั่วไป

    ทางเลือกจากภายนอก ได้แก่ Canva, LibreOffice Draw, Affinity Publisher 2
    มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินตามระดับความสามารถ

    https://www.slashgear.com/2001386/microsoft-ending-publisher-in-october-2026/
    📄 “Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026 — ปิดตำนานเครื่องมือออกแบบยุค 90” — เมื่อแอปสร้างใบปลิวและจดหมายข่าวที่เคยอยู่ในทุกบ้านกำลังจะอำลาอย่างถาวร Microsoft ประกาศว่าจะยุติการสนับสนุนแอป Publisher อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2026 ซึ่งตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021 โดยหลังจากวันนั้น Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365 และไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีกต่อไปในเวอร์ชันใหม่ Publisher เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถออกแบบสิ่งพิมพ์ เช่น ใบปลิว, โบรชัวร์, จดหมายข่าว โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมระดับมืออาชีพอย่าง QuarkXPress หรือ Adobe InDesign ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และการใช้งานง่าย ทำให้ Publisher กลายเป็นเครื่องมือยอดนิยมในโรงเรียน, ธุรกิจขนาดเล็ก และผู้ใช้ตามบ้าน แม้จะไม่เคยครองใจนักออกแบบมืออาชีพ แต่ Publisher ก็มีบทบาทสำคัญในการ “ประชาธิปไตยด้านการออกแบบ” โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างสื่อสิ่งพิมพ์ได้ด้วยตัวเอง หลังจากการยุติการสนับสนุน Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู และหากต้องการแก้ไข ให้เปิด PDF ใน Word — แม้ว่าการจัดวางอาจเพี้ยน โดยเฉพาะไฟล์ที่มีกราฟิกจำนวนมาก สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทางเลือกใหม่ Microsoft แนะนำให้ใช้ Word, PowerPoint หรือแอป Designer แทน ส่วนทางเลือกจากภายนอกก็มีเช่น: 📐 Canva — ใช้งานง่าย มีเทมเพลตหลากหลาย แต่ฟีเจอร์เต็มต้องสมัครสมาชิก 📐 LibreOffice Draw — ฟรีและโอเพ่นซอร์ส รองรับไฟล์ .pub ได้พอสมควร 📐 Affinity Publisher 2 — ซื้อครั้งเดียว ไม่มีรายเดือน เหมาะกับผู้ใช้จริงจัง ✅ Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026 ➡️ ตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021 ✅ Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365 ➡️ ไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีก ✅ Publisher เปิดตัวในปี 1991 และรวมอยู่ใน Office ตั้งแต่เวอร์ชัน 97 ➡️ เคยเป็นเครื่องมือออกแบบยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ✅ Microsoft แนะนำให้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู ➡️ และเปิด PDF ใน Word หากต้องการแก้ไข ✅ ทางเลือกใหม่จาก Microsoft ได้แก่ Word, PowerPoint และ Designer ➡️ ใช้แทน Publisher สำหรับงานออกแบบทั่วไป ✅ ทางเลือกจากภายนอก ได้แก่ Canva, LibreOffice Draw, Affinity Publisher 2 ➡️ มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินตามระดับความสามารถ https://www.slashgear.com/2001386/microsoft-ending-publisher-in-october-2026/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Microsoft Will Be Ending Support For This Popular Software In October 2026 - SlashGear
    Microsoft Publisher will reach end-of-support in October 2026 -- Microsoft will drop updates and remove it from Microsoft 365 apps.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พบ 131 Chrome Extensions ใช้ WhatsApp Web ส่งสแปม — เบื้องหลังคือเครือข่ายรีเซลเลอร์ในบราซิล” — เมื่อการตลาดอัตโนมัติกลายเป็นช่องทางสแปม และ Chrome Web Store ถูกใช้เป็นเครื่องมือ

    รายงานจาก Socket เผยการดำเนินการสแปมขนาดใหญ่ที่ใช้ Chrome Extensions เป็นเครื่องมือ โดยพบว่า 131 ส่วนขยายบน Chrome Web Store ถูกออกแบบมาเพื่อฝัง JavaScript เข้าไปใน WhatsApp Web เพื่อส่งข้อความอัตโนมัติแบบละเมิดนโยบาย

    แม้จะไม่ใช่มัลแวร์แบบคลาสสิก แต่ Socket ระบุว่า “เป็นสแปมแวร์ที่มีความเสี่ยงสูง” เพราะสามารถหลบเลี่ยงระบบตรวจจับของ WhatsApp ได้ และมีผู้ใช้งานรวมกันกว่า 20,000 ราย

    ที่น่าตกใจคือ ส่วนขยายทั้งหมดนี้มีโค้ดและโครงสร้างเหมือนกัน ต่างกันแค่ชื่อ โลโก้ และหน้าเว็บ — สะท้อนว่าเป็นการรีแบรนด์จากเครื่องมือเดียวกัน โดยมีผู้พัฒนาเพียง 2 รายที่ควบคุมทั้งหมด ได้แก่ suporte@grupoopt.com.br และ kaio.feitosa@grupoopt.com.br

    แบรนด์หลักที่ใช้คือ “WL Extensão” ซึ่งปรากฏใน 83 จาก 131 รายการ ส่วนที่เหลือใช้ชื่ออื่น เช่น YouSeller, Botflow, Organize-C และ performancemais

    Socket ระบุว่าโมเดลนี้คล้าย “แฟรนไชส์” โดยบริษัท DBX Tecnologia เปิดให้ธุรกิจขนาดเล็กในบราซิลซื้อสิทธิ์รีแบรนด์ในราคา R$12,000 (~$2,180) พร้อมสัญญาว่าจะได้กำไร 30–70% และรายได้ต่อเดือน R$30,000–R$84,000 (~$5,450–$15,270)

    เว็บไซต์เช่น zapvende.com และ lobovendedor.com.br ใช้การมีอยู่ใน Chrome Web Store เป็น “หลักฐานความปลอดภัย” เพื่อขายเครื่องมือให้ธุรกิจ โดยไม่เปิดเผยว่าข้อมูลผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ DBX

    Socket เตือนว่าเครื่องมือเหล่านี้ละเมิดนโยบายของ Chrome และ WhatsApp อย่างชัดเจน เพราะส่งข้อความโดยไม่มีการ opt-in จากผู้รับ และไม่เปิดเผยการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    พบ 131 Chrome Extensions ที่ฝังโค้ดสแปมใน WhatsApp Web
    ใช้ JavaScript เพื่อส่งข้อความอัตโนมัติ

    มีผู้ใช้งานรวมกันกว่า 20,000 ราย
    Socket ยืนยันจาก telemetry และจำนวนดาวน์โหลด

    ส่วนขยายทั้งหมดมีโค้ดเหมือนกัน ต่างกันแค่ชื่อและโลโก้
    เป็นการรีแบรนด์จากเครื่องมือเดียวกัน

    ผู้พัฒนาเพียง 2 รายควบคุมทั้งหมด
    suporte@grupoopt.com.br และ kaio.feitosa@grupoopt.com.br

    DBX Tecnologia เปิดขายสิทธิ์รีแบรนด์ในราคา R$12,000
    พร้อมสัญญารายได้สูงถึง R$84,000 ต่อเดือน

    เว็บไซต์ขายเครื่องมือใช้ Chrome Web Store เป็นหลักฐานความปลอดภัย
    เช่น zapvende.com และ lobovendedor.com.br

    เครื่องมือเหล่านี้ละเมิดนโยบายของ Chrome และ WhatsApp
    เพราะไม่มีการ opt-in และไม่เปิดเผยการส่งข้อมูล

    ธุรกิจขนาดเล็กอาจถูกหลอกให้ซื้อเครื่องมือที่ละเมิดนโยบาย
    เสี่ยงต่อการถูกแบนจาก WhatsApp และ Chrome

    ผู้ใช้ที่ติดตั้งส่วนขยายอาจไม่รู้ว่าข้อมูลถูกส่งออก
    เสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัว

    การใช้ Chrome Web Store เป็นเครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือ
    อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปหลงเชื่อว่าเครื่องมือปลอดภัย

    การส่งข้อความโดยไม่มี opt-in อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายในหลายประเทศ
    เช่น GDPR หรือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

    https://securityonline.info/131-chrome-extensions-found-abusing-whatsapp-web-for-spam-automation-in-massive-reseller-scheme/
    📣 “พบ 131 Chrome Extensions ใช้ WhatsApp Web ส่งสแปม — เบื้องหลังคือเครือข่ายรีเซลเลอร์ในบราซิล” — เมื่อการตลาดอัตโนมัติกลายเป็นช่องทางสแปม และ Chrome Web Store ถูกใช้เป็นเครื่องมือ รายงานจาก Socket เผยการดำเนินการสแปมขนาดใหญ่ที่ใช้ Chrome Extensions เป็นเครื่องมือ โดยพบว่า 131 ส่วนขยายบน Chrome Web Store ถูกออกแบบมาเพื่อฝัง JavaScript เข้าไปใน WhatsApp Web เพื่อส่งข้อความอัตโนมัติแบบละเมิดนโยบาย แม้จะไม่ใช่มัลแวร์แบบคลาสสิก แต่ Socket ระบุว่า “เป็นสแปมแวร์ที่มีความเสี่ยงสูง” เพราะสามารถหลบเลี่ยงระบบตรวจจับของ WhatsApp ได้ และมีผู้ใช้งานรวมกันกว่า 20,000 ราย ที่น่าตกใจคือ ส่วนขยายทั้งหมดนี้มีโค้ดและโครงสร้างเหมือนกัน ต่างกันแค่ชื่อ โลโก้ และหน้าเว็บ — สะท้อนว่าเป็นการรีแบรนด์จากเครื่องมือเดียวกัน โดยมีผู้พัฒนาเพียง 2 รายที่ควบคุมทั้งหมด ได้แก่ suporte@grupoopt.com.br และ kaio.feitosa@grupoopt.com.br แบรนด์หลักที่ใช้คือ “WL Extensão” ซึ่งปรากฏใน 83 จาก 131 รายการ ส่วนที่เหลือใช้ชื่ออื่น เช่น YouSeller, Botflow, Organize-C และ performancemais Socket ระบุว่าโมเดลนี้คล้าย “แฟรนไชส์” โดยบริษัท DBX Tecnologia เปิดให้ธุรกิจขนาดเล็กในบราซิลซื้อสิทธิ์รีแบรนด์ในราคา R$12,000 (~$2,180) พร้อมสัญญาว่าจะได้กำไร 30–70% และรายได้ต่อเดือน R$30,000–R$84,000 (~$5,450–$15,270) เว็บไซต์เช่น zapvende.com และ lobovendedor.com.br ใช้การมีอยู่ใน Chrome Web Store เป็น “หลักฐานความปลอดภัย” เพื่อขายเครื่องมือให้ธุรกิจ โดยไม่เปิดเผยว่าข้อมูลผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ DBX Socket เตือนว่าเครื่องมือเหล่านี้ละเมิดนโยบายของ Chrome และ WhatsApp อย่างชัดเจน เพราะส่งข้อความโดยไม่มีการ opt-in จากผู้รับ และไม่เปิดเผยการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ✅ พบ 131 Chrome Extensions ที่ฝังโค้ดสแปมใน WhatsApp Web ➡️ ใช้ JavaScript เพื่อส่งข้อความอัตโนมัติ ✅ มีผู้ใช้งานรวมกันกว่า 20,000 ราย ➡️ Socket ยืนยันจาก telemetry และจำนวนดาวน์โหลด ✅ ส่วนขยายทั้งหมดมีโค้ดเหมือนกัน ต่างกันแค่ชื่อและโลโก้ ➡️ เป็นการรีแบรนด์จากเครื่องมือเดียวกัน ✅ ผู้พัฒนาเพียง 2 รายควบคุมทั้งหมด ➡️ suporte@grupoopt.com.br และ kaio.feitosa@grupoopt.com.br ✅ DBX Tecnologia เปิดขายสิทธิ์รีแบรนด์ในราคา R$12,000 ➡️ พร้อมสัญญารายได้สูงถึง R$84,000 ต่อเดือน ✅ เว็บไซต์ขายเครื่องมือใช้ Chrome Web Store เป็นหลักฐานความปลอดภัย ➡️ เช่น zapvende.com และ lobovendedor.com.br ✅ เครื่องมือเหล่านี้ละเมิดนโยบายของ Chrome และ WhatsApp ➡️ เพราะไม่มีการ opt-in และไม่เปิดเผยการส่งข้อมูล ‼️ ธุรกิจขนาดเล็กอาจถูกหลอกให้ซื้อเครื่องมือที่ละเมิดนโยบาย ⛔ เสี่ยงต่อการถูกแบนจาก WhatsApp และ Chrome ‼️ ผู้ใช้ที่ติดตั้งส่วนขยายอาจไม่รู้ว่าข้อมูลถูกส่งออก ⛔ เสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัว ‼️ การใช้ Chrome Web Store เป็นเครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือ ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปหลงเชื่อว่าเครื่องมือปลอดภัย ‼️ การส่งข้อความโดยไม่มี opt-in อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายในหลายประเทศ ⛔ เช่น GDPR หรือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล https://securityonline.info/131-chrome-extensions-found-abusing-whatsapp-web-for-spam-automation-in-massive-reseller-scheme/
    SECURITYONLINE.INFO
    131 Chrome Extensions Found Abusing WhatsApp Web for Spam Automation in Massive Reseller Scheme
    A spamware network of 131 cloned Chrome extensions (YouSeller, Botflow) is abusing WhatsApp Web for automated messaging. The DBX Tecnologia reseller scheme affects 20K+ users.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • “D-Link เปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่นใหม่” — จัดการเครือข่ายองค์กรได้ง่ายขึ้นด้วยระบบควบคุมแบบรวมศูนย์

    D-Link ประกาศเปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่นใหม่ ได้แก่ DNH-1000, DNH-3000 และ DNC-5000 ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรทุกขนาดบริหารจัดการเครือข่ายแบบรวมศูนย์ ทั้งแบบมีสายและไร้สาย โดยสามารถควบคุมอุปกรณ์ได้ตั้งแต่ระดับ edge ไปจนถึง core switch

    จุดเด่นของ Nuclias คือการลดความซับซ้อนของการดูแลระบบ IT โดยให้ real-time dashboard, การแจ้งเตือนอัตโนมัติ, การวิเคราะห์ทราฟฟิก และการควบคุมสิทธิ์ผู้ดูแลระบบแบบ tiered access

    แต่ละรุ่นมีความสามารถต่างกัน:

    🛜 DNH-1000 รองรับอุปกรณ์สูงสุด 500 ชิ้น เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก โรงเรียน หรือร้านค้า
    🛜 DNH-3000 รองรับสูงสุด 1,500 ชิ้น เหมาะกับสำนักงานใหญ่ มหาวิทยาลัย หรือห้างสรรพสินค้า
    🛜 DNC-5000 เป็น software-based controller รองรับสูงสุด 2,000 ชิ้น เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขา

    ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตในไต้หวัน และมีจำหน่ายผ่านตัวแทนทั่วโลก พร้อมบริการให้คำปรึกษาและสาธิตการใช้งาน

    ข้อมูลในข่าว
    D-Link เปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่น DNH-1000, DNH-3000 และ DNC-5000
    รองรับการจัดการอุปกรณ์เครือข่ายแบบรวมศูนย์ ทั้งแบบมีสายและไร้สาย
    มี real-time dashboard, การแจ้งเตือนอัตโนมัติ และการวิเคราะห์ทราฟฟิก
    รองรับ tiered admin access เพื่อควบคุมสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ
    DNH-1000 รองรับอุปกรณ์สูงสุด 500 ชิ้น เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก
    DNH-3000 รองรับสูงสุด 1,500 ชิ้น เหมาะกับองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่
    DNC-5000 เป็น software-based controller รองรับสูงสุด 2,000 ชิ้น
    ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตในไต้หวัน
    มีจำหน่ายผ่านตัวแทนทั่วโลก พร้อมบริการให้คำปรึกษาและสาธิต

    https://www.techpowerup.com/341962/d-link-unveils-nuclias-network-controllers-for-businesses
    🌐 “D-Link เปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่นใหม่” — จัดการเครือข่ายองค์กรได้ง่ายขึ้นด้วยระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ D-Link ประกาศเปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่นใหม่ ได้แก่ DNH-1000, DNH-3000 และ DNC-5000 ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรทุกขนาดบริหารจัดการเครือข่ายแบบรวมศูนย์ ทั้งแบบมีสายและไร้สาย โดยสามารถควบคุมอุปกรณ์ได้ตั้งแต่ระดับ edge ไปจนถึง core switch จุดเด่นของ Nuclias คือการลดความซับซ้อนของการดูแลระบบ IT โดยให้ real-time dashboard, การแจ้งเตือนอัตโนมัติ, การวิเคราะห์ทราฟฟิก และการควบคุมสิทธิ์ผู้ดูแลระบบแบบ tiered access แต่ละรุ่นมีความสามารถต่างกัน: 🛜 DNH-1000 รองรับอุปกรณ์สูงสุด 500 ชิ้น เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก โรงเรียน หรือร้านค้า 🛜 DNH-3000 รองรับสูงสุด 1,500 ชิ้น เหมาะกับสำนักงานใหญ่ มหาวิทยาลัย หรือห้างสรรพสินค้า 🛜 DNC-5000 เป็น software-based controller รองรับสูงสุด 2,000 ชิ้น เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขา ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตในไต้หวัน และมีจำหน่ายผ่านตัวแทนทั่วโลก พร้อมบริการให้คำปรึกษาและสาธิตการใช้งาน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ D-Link เปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่น DNH-1000, DNH-3000 และ DNC-5000 ➡️ รองรับการจัดการอุปกรณ์เครือข่ายแบบรวมศูนย์ ทั้งแบบมีสายและไร้สาย ➡️ มี real-time dashboard, การแจ้งเตือนอัตโนมัติ และการวิเคราะห์ทราฟฟิก ➡️ รองรับ tiered admin access เพื่อควบคุมสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ ➡️ DNH-1000 รองรับอุปกรณ์สูงสุด 500 ชิ้น เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ➡️ DNH-3000 รองรับสูงสุด 1,500 ชิ้น เหมาะกับองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่ ➡️ DNC-5000 เป็น software-based controller รองรับสูงสุด 2,000 ชิ้น ➡️ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตในไต้หวัน ➡️ มีจำหน่ายผ่านตัวแทนทั่วโลก พร้อมบริการให้คำปรึกษาและสาธิต https://www.techpowerup.com/341962/d-link-unveils-nuclias-network-controllers-for-businesses
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    D-Link Unveils Nuclias Network Controllers for Businesses
    D-Link Corporation (TWSE: 2332), one of the global leaders in networking solutions, today announced the launch of its next-generation Nuclias Network Controllers—DNH-1000, DNH-3000, and DNC-5000. Engineered for businesses of all sizes, these controllers offer centralized management, real-time visibi...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nano Banana จาก Google Gemini แซงหน้า ChatGPT” — สร้างภาพสมจริงจากข้อความและภาพต้นฉบับได้แม่นยำกว่า

    ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2022 ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในฐานะเครื่องมือ AI อเนกประสงค์ โดยเฉพาะความสามารถในการสร้างภาพจากข้อความ ซึ่งช่วยผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กในการออกแบบโลโก้หรือภาพประกอบโดยไม่ต้องมีทักษะด้านกราฟิก

    แต่ล่าสุด Google Gemini ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Nano Banana” ซึ่งกลายเป็นขวัญใจผู้ใช้ในโลกออนไลน์ ด้วยความสามารถในการสร้างภาพที่สมจริงและแม่นยำกว่า ChatGPT โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบภาพที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบางส่วน เช่น เปลี่ยนชุดของบุคคลในภาพ

    Nano Banana สามารถ:
    สร้างภาพจากข้อความ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ
    แก้ไขภาพที่อัปโหลด เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง หรือรวมภาพหลายภาพเข้าด้วยกัน
    รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพไว้ได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทางของบุคคล
    รองรับคำสั่งแก้ไขแบบละเอียด เช่น “ทำให้ผู้หญิงในภาพหัวเราะ” หรือ “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด”

    YouTubers อย่าง Corey McClain และ Brock Mesarich ได้ทดสอบ Nano Banana เทียบกับ ChatGPT โดยใช้ prompt เดียวกัน พบว่า Nano Banana เร็วกว่าและแม่นยำกว่าในการเปลี่ยนชุดของบุคคล โดยยังคงใบหน้าเดิมไว้ ขณะที่ ChatGPT กลับสร้างภาพของคนใหม่แทน

    ข้อมูลในข่าว
    Nano Banana เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Google Gemini สำหรับสร้างภาพจากข้อความและภาพต้นฉบับ
    เปิดตัวช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025
    รองรับการแก้ไขภาพ เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง รวมภาพหลายภาพ
    รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทาง
    รองรับ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ
    สามารถใช้คำสั่งแก้ไขภาพ เช่น “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด” หรือ “ทำให้คนในภาพหัวเราะ”
    YouTubers พบว่า Nano Banana เร็วและแม่นยำกว่า ChatGPT ในการเปลี่ยนชุดของบุคคล ChatGPT อาจเปลี่ยนภาพทั้งใบหน้าแทนที่จะเปลี่ยนแค่ชุด
    Nano Banana รองรับหลายสไตล์ภาพ รวมถึง photorealistic และ ultra-realistic
    ใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์หรือแอป Google Gemini บน iOS และ Android
    รองรับการอัปโหลดภาพสูงสุด 10 รูปต่อ prompt

    https://www.slashgear.com/1995313/google-gemini-beats-chatgpt-nano-banana/
    🍌 “Nano Banana จาก Google Gemini แซงหน้า ChatGPT” — สร้างภาพสมจริงจากข้อความและภาพต้นฉบับได้แม่นยำกว่า ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2022 ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในฐานะเครื่องมือ AI อเนกประสงค์ โดยเฉพาะความสามารถในการสร้างภาพจากข้อความ ซึ่งช่วยผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กในการออกแบบโลโก้หรือภาพประกอบโดยไม่ต้องมีทักษะด้านกราฟิก แต่ล่าสุด Google Gemini ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Nano Banana” ซึ่งกลายเป็นขวัญใจผู้ใช้ในโลกออนไลน์ ด้วยความสามารถในการสร้างภาพที่สมจริงและแม่นยำกว่า ChatGPT โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบภาพที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบางส่วน เช่น เปลี่ยนชุดของบุคคลในภาพ Nano Banana สามารถ: 🖼️ สร้างภาพจากข้อความ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ 🖼️ แก้ไขภาพที่อัปโหลด เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง หรือรวมภาพหลายภาพเข้าด้วยกัน 🖼️ รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพไว้ได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทางของบุคคล 🖼️ รองรับคำสั่งแก้ไขแบบละเอียด เช่น “ทำให้ผู้หญิงในภาพหัวเราะ” หรือ “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด” YouTubers อย่าง Corey McClain และ Brock Mesarich ได้ทดสอบ Nano Banana เทียบกับ ChatGPT โดยใช้ prompt เดียวกัน พบว่า Nano Banana เร็วกว่าและแม่นยำกว่าในการเปลี่ยนชุดของบุคคล โดยยังคงใบหน้าเดิมไว้ ขณะที่ ChatGPT กลับสร้างภาพของคนใหม่แทน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Nano Banana เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Google Gemini สำหรับสร้างภาพจากข้อความและภาพต้นฉบับ ➡️ เปิดตัวช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ รองรับการแก้ไขภาพ เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง รวมภาพหลายภาพ ➡️ รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทาง ➡️ รองรับ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ ➡️ สามารถใช้คำสั่งแก้ไขภาพ เช่น “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด” หรือ “ทำให้คนในภาพหัวเราะ” ➡️ YouTubers พบว่า Nano Banana เร็วและแม่นยำกว่า ChatGPT ในการเปลี่ยนชุดของบุคคล ➡️ ChatGPT อาจเปลี่ยนภาพทั้งใบหน้าแทนที่จะเปลี่ยนแค่ชุด ➡️ Nano Banana รองรับหลายสไตล์ภาพ รวมถึง photorealistic และ ultra-realistic ➡️ ใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์หรือแอป Google Gemini บน iOS และ Android ➡️ รองรับการอัปโหลดภาพสูงสุด 10 รูปต่อ prompt https://www.slashgear.com/1995313/google-gemini-beats-chatgpt-nano-banana/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Gemini Just Dethroned ChatGPT Thanks To This New Fan-Favorite Feature - SlashGear
    Google Gemini recently released its new image generating tool, Nano Banana. Reviewers are saying it produces far more realistic images than ChatGPT.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Bluehost เปิดตัวบริการโฮสติ้งใหม่ ลดเวลาโหลดเว็บเพื่ออันดับที่ดีขึ้นบน Google” — โครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความเร็ว

    Bluehost ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งชื่อดังเปิดตัวบริการใหม่ที่เน้น “Ultra-Low Latency” หรือความหน่วงต่ำเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นและมีโอกาสอันดับดีขึ้นบน Google โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยและธุรกิจขนาดกลาง

    บริการใหม่นี้มาพร้อมการขยายศูนย์ข้อมูลไปยัง 7 เมืองหลักทั่วโลก ได้แก่ Frankfurt, Mumbai, São Paulo, Paris, Sydney, London และ Madrid ซึ่งช่วยให้เซิร์ฟเวอร์อยู่ใกล้ผู้ใช้งานมากขึ้น ลดเวลาโหลดหน้าเว็บและเพิ่มความเสถียร

    Bluehost อ้างว่าโครงสร้างพื้นฐานใหม่นี้สามารถลด latency ได้ถึง 120 มิลลิวินาที และเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บได้ 2–3 เท่าจากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปและเอเชีย

    ผลการทดสอบภายในยังพบว่าเว็บไซต์ที่ใช้ WordPress บนเซิร์ฟเวอร์ของ Bluehost โหลดเร็วกว่าเว็บคู่แข่งถึง 3.8 เท่า ซึ่งอาจส่งผลต่ออัตราการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และการแปลงยอดขาย

    Bluehost ยังอ้างอิงงานวิจัย “Milliseconds Make Millions” โดย Deloitte และ Google ที่พบว่า การปรับความเร็วเพียง 0.1 วินาทีสามารถเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายและลด bounce rate ได้อย่างมีนัยสำคัญ

    แม้ความเร็วจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการจัดอันดับของ Google แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นที่สำคัญ เช่น คุณภาพเนื้อหา ความเข้ากันได้กับมือถือ และการเข้าถึงสำหรับผู้พิการ

    บริการใหม่นี้ยังมาพร้อมระบบ failover และ replication เฉพาะภูมิภาค เพื่อให้ uptime สูงถึง 99.99% และรองรับการกู้คืนจากภัยพิบัติ

    ข้อมูลในข่าว
    Bluehost เปิดตัวบริการโฮสติ้งแบบ Ultra-Low Latency
    ขยายศูนย์ข้อมูลไปยัง 7 เมืองหลักทั่วโลก
    ลด latency ได้ถึง 120 มิลลิวินาที
    เพิ่มความเร็วโหลดหน้าเว็บ 2–3 เท่าจากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
    WordPress บน Bluehost โหลดเร็วกว่าเว็บคู่แข่งถึง 3.8 เท่า
    อ้างอิงงานวิจัย “Milliseconds Make Millions” โดย Deloitte และ Google
    ความเร็วช่วยเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายและลด bounce rate
    Google แนะนำให้โหลดเนื้อหาหลักภายใน 2.5 วินาที และตอบสนองภายใน 200 มิลลิวินาที
    ระบบใหม่มี failover และ replication เฉพาะภูมิภาค
    รับประกัน uptime สูงถึง 99.99% และรองรับ disaster recovery

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    ความเร็วเว็บไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการจัดอันดับบน Google
    หากเนื้อหาไม่ดีหรือไม่เหมาะกับมือถือ อันดับก็อาจไม่ดีขึ้น
    การใช้บริการโฮสติ้งระดับสูงอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
    การย้ายเว็บไปยังเซิร์ฟเวอร์ใหม่อาจต้องปรับแต่งระบบและโครงสร้างเว็บ
    การรับประกัน uptime ไม่ได้หมายถึงไม่มี downtime เลย

    https://www.techradar.com/pro/bluehost-debuts-ultra-low-latency-web-hosting-to-help-sites-rank-better-on-google
    🌐 “Bluehost เปิดตัวบริการโฮสติ้งใหม่ ลดเวลาโหลดเว็บเพื่ออันดับที่ดีขึ้นบน Google” — โครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความเร็ว Bluehost ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งชื่อดังเปิดตัวบริการใหม่ที่เน้น “Ultra-Low Latency” หรือความหน่วงต่ำเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นและมีโอกาสอันดับดีขึ้นบน Google โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยและธุรกิจขนาดกลาง บริการใหม่นี้มาพร้อมการขยายศูนย์ข้อมูลไปยัง 7 เมืองหลักทั่วโลก ได้แก่ Frankfurt, Mumbai, São Paulo, Paris, Sydney, London และ Madrid ซึ่งช่วยให้เซิร์ฟเวอร์อยู่ใกล้ผู้ใช้งานมากขึ้น ลดเวลาโหลดหน้าเว็บและเพิ่มความเสถียร Bluehost อ้างว่าโครงสร้างพื้นฐานใหม่นี้สามารถลด latency ได้ถึง 120 มิลลิวินาที และเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บได้ 2–3 เท่าจากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปและเอเชีย ผลการทดสอบภายในยังพบว่าเว็บไซต์ที่ใช้ WordPress บนเซิร์ฟเวอร์ของ Bluehost โหลดเร็วกว่าเว็บคู่แข่งถึง 3.8 เท่า ซึ่งอาจส่งผลต่ออัตราการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และการแปลงยอดขาย Bluehost ยังอ้างอิงงานวิจัย “Milliseconds Make Millions” โดย Deloitte และ Google ที่พบว่า การปรับความเร็วเพียง 0.1 วินาทีสามารถเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายและลด bounce rate ได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้ความเร็วจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการจัดอันดับของ Google แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นที่สำคัญ เช่น คุณภาพเนื้อหา ความเข้ากันได้กับมือถือ และการเข้าถึงสำหรับผู้พิการ บริการใหม่นี้ยังมาพร้อมระบบ failover และ replication เฉพาะภูมิภาค เพื่อให้ uptime สูงถึง 99.99% และรองรับการกู้คืนจากภัยพิบัติ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Bluehost เปิดตัวบริการโฮสติ้งแบบ Ultra-Low Latency ➡️ ขยายศูนย์ข้อมูลไปยัง 7 เมืองหลักทั่วโลก ➡️ ลด latency ได้ถึง 120 มิลลิวินาที ➡️ เพิ่มความเร็วโหลดหน้าเว็บ 2–3 เท่าจากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ➡️ WordPress บน Bluehost โหลดเร็วกว่าเว็บคู่แข่งถึง 3.8 เท่า ➡️ อ้างอิงงานวิจัย “Milliseconds Make Millions” โดย Deloitte และ Google ➡️ ความเร็วช่วยเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายและลด bounce rate ➡️ Google แนะนำให้โหลดเนื้อหาหลักภายใน 2.5 วินาที และตอบสนองภายใน 200 มิลลิวินาที ➡️ ระบบใหม่มี failover และ replication เฉพาะภูมิภาค ➡️ รับประกัน uptime สูงถึง 99.99% และรองรับ disaster recovery ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ ความเร็วเว็บไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการจัดอันดับบน Google ⛔ หากเนื้อหาไม่ดีหรือไม่เหมาะกับมือถือ อันดับก็อาจไม่ดีขึ้น ⛔ การใช้บริการโฮสติ้งระดับสูงอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ⛔ การย้ายเว็บไปยังเซิร์ฟเวอร์ใหม่อาจต้องปรับแต่งระบบและโครงสร้างเว็บ ⛔ การรับประกัน uptime ไม่ได้หมายถึงไม่มี downtime เลย https://www.techradar.com/pro/bluehost-debuts-ultra-low-latency-web-hosting-to-help-sites-rank-better-on-google
    WWW.TECHRADAR.COM
    Bluehost expands global reach to bring faster hosting to users
    Bluehost says new web hosting speed could change how fast your site ranks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Square เสริมพลังธุรกิจด้วย AI และ Bitcoin — รับออเดอร์ด้วยเสียง วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า และชำระเงินด้วยคริปโตแบบไร้ค่าธรรมเนียม”

    Square แพลตฟอร์มการชำระเงินสำหรับร้านค้าของ Block เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ผสาน AI และคริปโตเข้ากับระบบหน้าร้านอย่างลึกซึ้ง โดยมุ่งเป้าไปที่ธุรกิจขนาดเล็กและร้านอาหารที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดภาระด้านการจัดการ

    ฟีเจอร์เด่นคือระบบสั่งอาหารด้วยเสียงผ่าน AI ซึ่งสามารถรับสายลูกค้า ตอบคำถามเมนู และส่งออเดอร์ตรงไปยังครัวหรือระบบ POS ได้ทันที ตัวอย่างเช่น ลูกค้าสามารถพูดว่า “ขอเมนูพิเศษวันนี้” หรือ “ทำให้เผ็ดแต่ไม่ใส่นม” แล้วระบบจะจัดการให้โดยอัตโนมัติ เหมาะกับร้านแบบ cloud kitchen หรือร้านที่เน้นเดลิเวอรี

    Square ยังเพิ่มความสามารถให้กับผู้ช่วย AI โดยเชื่อมโยงข้อมูลท้องถิ่น เช่น สภาพอากาศ กิจกรรมในพื้นที่ รีวิว และข่าวสาร เพื่อช่วยร้านค้าในการวางแผนพนักงาน สต็อกสินค้า และเมนูให้เหมาะกับสถานการณ์ พร้อมระบบบันทึกบทสนทนาและการวิเคราะห์ย้อนหลังเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ในอนาคต

    ผู้ใช้งานสามารถปักหมุดข้อมูลเชิงลึกที่ AI สร้างขึ้นไว้บนแดชบอร์ด และดูผ่านแอปมือถือได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาขุดรายงานแบบเดิม

    อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าจับตามองคือการรองรับการชำระเงินด้วย Bitcoin โดยไม่มีค่าธรรมเนียมจนถึงสิ้นปี 2026 ผ่านระบบ POS ของ Square และสามารถซื้อ ขาย ถือ หรือถอน Bitcoin ได้จากแดชบอร์ดโดยตรง โดยตั้งแต่ปี 2027 จะมีค่าธรรมเนียม 1% ต่อรายการ

    Square ยังเปิดตัวกระเป๋าเงิน Bitcoin แบบครบวงจร และให้ร้านค้าเลือกแปลงรายได้รายวันเป็น Bitcoin ได้สูงสุดถึง 50% ซึ่งถือเป็นการขยายแนวคิด “Bitcoin เป็นเงินประจำวัน” ที่ Jack Dorsey ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Square เปิดตัวระบบสั่งอาหารด้วยเสียงผ่าน AI สำหรับร้านอาหาร
    ระบบสามารถรับสาย ตอบคำถาม และส่งออเดอร์ไปยังครัวหรือ POS ได้ทันที
    ผู้ช่วย AI เชื่อมโยงข้อมูลท้องถิ่น เช่น สภาพอากาศ กิจกรรม และรีวิว
    เพิ่มฟีเจอร์บันทึกบทสนทนาและวิเคราะห์ย้อนหลัง
    ผู้ใช้สามารถปักหมุดข้อมูล AI บนแดชบอร์ดและดูผ่านแอปมือถือ
    รองรับการชำระเงินด้วย Bitcoin โดยไม่มีค่าธรรมเนียมจนถึงปี 2026
    ตั้งแต่ปี 2027 จะมีค่าธรรมเนียม 1% ต่อรายการ Bitcoin
    ร้านค้าสามารถซื้อ ขาย ถือ หรือถอน Bitcoin จากแดชบอร์ด Square ได้
    ร้านค้าสามารถแปลงรายได้รายวันเป็น Bitcoin ได้สูงสุด 50%

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบ voice AI ช่วยลดภาระพนักงานและเพิ่มความเร็วในการรับออเดอร์
    การเชื่อมโยงข้อมูลท้องถิ่นช่วยให้ร้านค้าปรับตัวตามบริบทได้ดีขึ้น
    Bitcoin ถูกใช้มากขึ้นในธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ
    Lightning Network ช่วยให้การชำระเงินด้วย Bitcoin เร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ
    Square และ Cash App เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงฝั่งผู้ขายและผู้ซื้อเข้าด้วยกัน

    https://www.techradar.com/pro/square-is-letting-business-owners-get-more-ai-insight-into-their-neighborhoods-and-even-accept-bitcoin
    🛍️ “Square เสริมพลังธุรกิจด้วย AI และ Bitcoin — รับออเดอร์ด้วยเสียง วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า และชำระเงินด้วยคริปโตแบบไร้ค่าธรรมเนียม” Square แพลตฟอร์มการชำระเงินสำหรับร้านค้าของ Block เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ผสาน AI และคริปโตเข้ากับระบบหน้าร้านอย่างลึกซึ้ง โดยมุ่งเป้าไปที่ธุรกิจขนาดเล็กและร้านอาหารที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดภาระด้านการจัดการ ฟีเจอร์เด่นคือระบบสั่งอาหารด้วยเสียงผ่าน AI ซึ่งสามารถรับสายลูกค้า ตอบคำถามเมนู และส่งออเดอร์ตรงไปยังครัวหรือระบบ POS ได้ทันที ตัวอย่างเช่น ลูกค้าสามารถพูดว่า “ขอเมนูพิเศษวันนี้” หรือ “ทำให้เผ็ดแต่ไม่ใส่นม” แล้วระบบจะจัดการให้โดยอัตโนมัติ เหมาะกับร้านแบบ cloud kitchen หรือร้านที่เน้นเดลิเวอรี Square ยังเพิ่มความสามารถให้กับผู้ช่วย AI โดยเชื่อมโยงข้อมูลท้องถิ่น เช่น สภาพอากาศ กิจกรรมในพื้นที่ รีวิว และข่าวสาร เพื่อช่วยร้านค้าในการวางแผนพนักงาน สต็อกสินค้า และเมนูให้เหมาะกับสถานการณ์ พร้อมระบบบันทึกบทสนทนาและการวิเคราะห์ย้อนหลังเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ในอนาคต ผู้ใช้งานสามารถปักหมุดข้อมูลเชิงลึกที่ AI สร้างขึ้นไว้บนแดชบอร์ด และดูผ่านแอปมือถือได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาขุดรายงานแบบเดิม อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าจับตามองคือการรองรับการชำระเงินด้วย Bitcoin โดยไม่มีค่าธรรมเนียมจนถึงสิ้นปี 2026 ผ่านระบบ POS ของ Square และสามารถซื้อ ขาย ถือ หรือถอน Bitcoin ได้จากแดชบอร์ดโดยตรง โดยตั้งแต่ปี 2027 จะมีค่าธรรมเนียม 1% ต่อรายการ Square ยังเปิดตัวกระเป๋าเงิน Bitcoin แบบครบวงจร และให้ร้านค้าเลือกแปลงรายได้รายวันเป็น Bitcoin ได้สูงสุดถึง 50% ซึ่งถือเป็นการขยายแนวคิด “Bitcoin เป็นเงินประจำวัน” ที่ Jack Dorsey ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Square เปิดตัวระบบสั่งอาหารด้วยเสียงผ่าน AI สำหรับร้านอาหาร ➡️ ระบบสามารถรับสาย ตอบคำถาม และส่งออเดอร์ไปยังครัวหรือ POS ได้ทันที ➡️ ผู้ช่วย AI เชื่อมโยงข้อมูลท้องถิ่น เช่น สภาพอากาศ กิจกรรม และรีวิว ➡️ เพิ่มฟีเจอร์บันทึกบทสนทนาและวิเคราะห์ย้อนหลัง ➡️ ผู้ใช้สามารถปักหมุดข้อมูล AI บนแดชบอร์ดและดูผ่านแอปมือถือ ➡️ รองรับการชำระเงินด้วย Bitcoin โดยไม่มีค่าธรรมเนียมจนถึงปี 2026 ➡️ ตั้งแต่ปี 2027 จะมีค่าธรรมเนียม 1% ต่อรายการ Bitcoin ➡️ ร้านค้าสามารถซื้อ ขาย ถือ หรือถอน Bitcoin จากแดชบอร์ด Square ได้ ➡️ ร้านค้าสามารถแปลงรายได้รายวันเป็น Bitcoin ได้สูงสุด 50% ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบ voice AI ช่วยลดภาระพนักงานและเพิ่มความเร็วในการรับออเดอร์ ➡️ การเชื่อมโยงข้อมูลท้องถิ่นช่วยให้ร้านค้าปรับตัวตามบริบทได้ดีขึ้น ➡️ Bitcoin ถูกใช้มากขึ้นในธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ➡️ Lightning Network ช่วยให้การชำระเงินด้วย Bitcoin เร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ ➡️ Square และ Cash App เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงฝั่งผู้ขายและผู้ซื้อเข้าด้วยกัน https://www.techradar.com/pro/square-is-letting-business-owners-get-more-ai-insight-into-their-neighborhoods-and-even-accept-bitcoin
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SMEs ในยุโรปเร่งใช้ AI แต่ขาดเครื่องมือดิจิทัลพื้นฐาน — เสี่ยงเสียเปรียบในยุคแข่งขันสูง”

    ผลการศึกษาล่าสุดจาก Qonto และ Appinio เผยให้เห็นภาพน่ากังวลของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) ในยุโรป ที่กำลังเร่งนำ AI มาใช้ในองค์กรอย่างแพร่หลาย แต่กลับละเลยการวางรากฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็น เช่น ระบบบัญชีดิจิทัล การประชุมออนไลน์ การจัดการเอกสาร หรือการวิเคราะห์ข้อมูล

    จากการสำรวจผู้บริหารระดับสูงกว่า 1,600 รายในฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปน พบว่า 46% ของ SMEs ใช้เครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT เป็นประจำทุกวัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลพื้นฐาน ซึ่งสร้าง “ความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง” ที่อาจทำให้ SMEs เสียเปรียบเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ที่ลงทุนในระบบดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง

    เยอรมนีเป็นประเทศที่มีความพร้อมสูงที่สุด โดย 76% ของธุรกิจรู้สึกว่าตนเองพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ขณะที่ฝรั่งเศสมีเกือบครึ่งหนึ่งของธุรกิจที่รู้สึกว่าไม่พร้อมเลย

    การเร่งใช้ AI โดยไม่มีระบบพื้นฐานรองรับ อาจนำไปสู่การลดต้นทุนแบบฉับพลัน เช่น การลดพนักงานโดยไม่ปรับโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสม ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโดยรวม

    Qonto แนะนำว่า SMEs ควรสร้าง “รากฐานดิจิทัลที่แข็งแรง” ก่อนนำ AI มาใช้เต็มรูปแบบ เพื่อให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในระยะยาว โดยเสนอแนวทางเฉพาะสำหรับแต่ละประเทศ เช่น ลดภาระกฎระเบียบในเยอรมนี แก้ปัญหาทักษะในสเปน และปรับทัศนคติในฝรั่งเศส

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SMEs ในยุโรปเร่งใช้ AI โดยเฉพาะ ChatGPT แต่ขาดเครื่องมือดิจิทัลพื้นฐาน
    46% ของ SMEs ใช้ AI ทุกวัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ใช้ระบบบัญชีหรือการประชุมออนไลน์
    เยอรมนีมีความพร้อมสูงสุด (76%) ขณะที่ฝรั่งเศสมีเกือบครึ่งที่ไม่พร้อม
    การใช้ AI เพื่อลดต้นทุนอาจนำไปสู่การลดพนักงานแบบไม่ยั่งยืน
    Qonto แนะนำให้สร้างรากฐานดิจิทัลก่อนนำ AI มาใช้เต็มรูปแบบ
    เสนอแนวทางเฉพาะประเทศ เช่น ลดกฎระเบียบในเยอรมนี แก้ทักษะในสเปน ปรับวัฒนธรรมในฝรั่งเศส
    SMEs เป็น “กระดูกสันหลัง” ของเศรษฐกิจยุโรป แต่กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้ AI โดยไม่มีระบบพื้นฐาน อาจทำให้ข้อมูลไม่ถูกจัดเก็บหรือวิเคราะห์อย่างมีประสิทธิภาพ
    Digital Innovation Hubs ของ EU กำลังช่วย SMEs พัฒนาทักษะและระบบดิจิทัล
    การประชุมออนไลน์และการจัดการเอกสารดิจิทัลช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัว
    การวางระบบบัญชีดิจิทัลช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจสอบและวางแผนการเงินได้แม่นยำ
    การใช้ AI อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่ม productivity และลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/08/european-small-businesses-rush-into-ai-without-basic-digital-tools-study-shows
    📊 “SMEs ในยุโรปเร่งใช้ AI แต่ขาดเครื่องมือดิจิทัลพื้นฐาน — เสี่ยงเสียเปรียบในยุคแข่งขันสูง” ผลการศึกษาล่าสุดจาก Qonto และ Appinio เผยให้เห็นภาพน่ากังวลของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) ในยุโรป ที่กำลังเร่งนำ AI มาใช้ในองค์กรอย่างแพร่หลาย แต่กลับละเลยการวางรากฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็น เช่น ระบบบัญชีดิจิทัล การประชุมออนไลน์ การจัดการเอกสาร หรือการวิเคราะห์ข้อมูล จากการสำรวจผู้บริหารระดับสูงกว่า 1,600 รายในฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปน พบว่า 46% ของ SMEs ใช้เครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT เป็นประจำทุกวัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลพื้นฐาน ซึ่งสร้าง “ความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง” ที่อาจทำให้ SMEs เสียเปรียบเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ที่ลงทุนในระบบดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เยอรมนีเป็นประเทศที่มีความพร้อมสูงที่สุด โดย 76% ของธุรกิจรู้สึกว่าตนเองพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ขณะที่ฝรั่งเศสมีเกือบครึ่งหนึ่งของธุรกิจที่รู้สึกว่าไม่พร้อมเลย การเร่งใช้ AI โดยไม่มีระบบพื้นฐานรองรับ อาจนำไปสู่การลดต้นทุนแบบฉับพลัน เช่น การลดพนักงานโดยไม่ปรับโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสม ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโดยรวม Qonto แนะนำว่า SMEs ควรสร้าง “รากฐานดิจิทัลที่แข็งแรง” ก่อนนำ AI มาใช้เต็มรูปแบบ เพื่อให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในระยะยาว โดยเสนอแนวทางเฉพาะสำหรับแต่ละประเทศ เช่น ลดภาระกฎระเบียบในเยอรมนี แก้ปัญหาทักษะในสเปน และปรับทัศนคติในฝรั่งเศส ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SMEs ในยุโรปเร่งใช้ AI โดยเฉพาะ ChatGPT แต่ขาดเครื่องมือดิจิทัลพื้นฐาน ➡️ 46% ของ SMEs ใช้ AI ทุกวัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ใช้ระบบบัญชีหรือการประชุมออนไลน์ ➡️ เยอรมนีมีความพร้อมสูงสุด (76%) ขณะที่ฝรั่งเศสมีเกือบครึ่งที่ไม่พร้อม ➡️ การใช้ AI เพื่อลดต้นทุนอาจนำไปสู่การลดพนักงานแบบไม่ยั่งยืน ➡️ Qonto แนะนำให้สร้างรากฐานดิจิทัลก่อนนำ AI มาใช้เต็มรูปแบบ ➡️ เสนอแนวทางเฉพาะประเทศ เช่น ลดกฎระเบียบในเยอรมนี แก้ทักษะในสเปน ปรับวัฒนธรรมในฝรั่งเศส ➡️ SMEs เป็น “กระดูกสันหลัง” ของเศรษฐกิจยุโรป แต่กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้ AI โดยไม่มีระบบพื้นฐาน อาจทำให้ข้อมูลไม่ถูกจัดเก็บหรือวิเคราะห์อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ Digital Innovation Hubs ของ EU กำลังช่วย SMEs พัฒนาทักษะและระบบดิจิทัล ➡️ การประชุมออนไลน์และการจัดการเอกสารดิจิทัลช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัว ➡️ การวางระบบบัญชีดิจิทัลช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจสอบและวางแผนการเงินได้แม่นยำ ➡️ การใช้ AI อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่ม productivity และลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/08/european-small-businesses-rush-into-ai-without-basic-digital-tools-study-shows
    WWW.THESTAR.COM.MY
    European small businesses rush into AI without basic digital tools, study shows
    (Reuters) -Most European small and mid-sized enterprises are prioritizing artificial intelligence systems over basic digital tools across their businesses, losing ground to bigger firms investing in core digital systems, a study published on Wednesday showed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nexcess รวมเข้ากับ Liquid Web อย่างสมบูรณ์ — ยกระดับบริการโฮสติ้ง WordPress และ Magento ภายใต้แบรนด์เดียว”

    หลังจากถูกซื้อกิจการในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 และดำเนินการในฐานะแบรนด์ลูกมานานกว่า 1 ปีครึ่ง ล่าสุด Nexcess ได้รวมเข้ากับ Liquid Web อย่างสมบูรณ์แล้ว โดยลูกค้าเดิมที่เคยใช้งานผ่าน nexcess.com จะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังเว็บไซต์หลักของ Liquid Web และสามารถเข้าสู่ระบบได้ผ่าน my.nexcess.net ตามปกติ

    Nexcess เคยเป็นบริษัทโฮสติ้งอิสระมากว่า 20 ปี โดยมีชื่อเสียงด้านการให้บริการ Managed Hosting สำหรับ WordPress, WooCommerce และ Magento ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมในสาย eCommerce และคอนเทนต์

    การรวมแบรนด์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ของ Liquid Web ที่ต้องการยกระดับบริการโฮสติ้งให้ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงระดับองค์กร โดยเน้นความปลอดภัย ความเร็ว และการสนับสนุนทางเทคนิคที่เหนือกว่า

    Liquid Web ได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยเพิ่มบริการ VPS ที่รองรับ GPU สำหรับงาน AI, ระบบจัดการหลายระดับ และโฮสติ้ง WordPress แบบแชร์ที่มีประสิทธิภาพสูง

    โฆษกของ Liquid Web ระบุว่า “การรวมแบรนด์จะช่วยให้ลูกค้าได้รับคุณค่ามากขึ้นจากบริการ Nexcess ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน eCommerce ผสานกับแพลตฟอร์มโฮสติ้งที่แข็งแกร่งของ Liquid Web”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nexcess รวมเข้ากับ Liquid Web อย่างสมบูรณ์ในเดือนตุลาคม 2025
    ลูกค้าเดิมจะถูกเปลี่ยนเส้นทางจาก nexcess.com ไปยังเว็บไซต์ Liquid Web
    สามารถเข้าสู่ระบบผ่าน my.nexcess.net ได้ตามปกติ
    Nexcess เคยเป็นบริษัทโฮสติ้งอิสระมากว่า 20 ปี
    ให้บริการ Managed Hosting สำหรับ WordPress, WooCommerce และ Magento
    Liquid Web ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
    เพิ่มบริการ VPS ที่รองรับ GPU สำหรับงาน AI และโฮสติ้ง WordPress แบบแชร์
    การรวมแบรนด์ช่วยเพิ่มคุณค่าและประสิทธิภาพในการให้บริการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nexcess ก่อตั้งในปี 2000 และมีลูกค้าทั่วโลกในกว่า 150 ประเทศ
    Liquid Web มีประสบการณ์รวมกว่า 50 ปีในอุตสาหกรรมโฮสติ้ง
    Magento เป็นแพลตฟอร์ม eCommerce ที่ใช้โดยแบรนด์ใหญ่ เช่น HP และ Nike
    VPS ที่รองรับ GPU เหมาะสำหรับงาน AI, machine learning และการเรนเดอร์ภาพ
    การรวมแบรนด์ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนา

    https://www.techradar.com/pro/website-hosting/nexcess-is-fully-absorbed-into-liquid-web
    🔗 “Nexcess รวมเข้ากับ Liquid Web อย่างสมบูรณ์ — ยกระดับบริการโฮสติ้ง WordPress และ Magento ภายใต้แบรนด์เดียว” หลังจากถูกซื้อกิจการในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 และดำเนินการในฐานะแบรนด์ลูกมานานกว่า 1 ปีครึ่ง ล่าสุด Nexcess ได้รวมเข้ากับ Liquid Web อย่างสมบูรณ์แล้ว โดยลูกค้าเดิมที่เคยใช้งานผ่าน nexcess.com จะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังเว็บไซต์หลักของ Liquid Web และสามารถเข้าสู่ระบบได้ผ่าน my.nexcess.net ตามปกติ Nexcess เคยเป็นบริษัทโฮสติ้งอิสระมากว่า 20 ปี โดยมีชื่อเสียงด้านการให้บริการ Managed Hosting สำหรับ WordPress, WooCommerce และ Magento ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมในสาย eCommerce และคอนเทนต์ การรวมแบรนด์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ของ Liquid Web ที่ต้องการยกระดับบริการโฮสติ้งให้ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงระดับองค์กร โดยเน้นความปลอดภัย ความเร็ว และการสนับสนุนทางเทคนิคที่เหนือกว่า Liquid Web ได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยเพิ่มบริการ VPS ที่รองรับ GPU สำหรับงาน AI, ระบบจัดการหลายระดับ และโฮสติ้ง WordPress แบบแชร์ที่มีประสิทธิภาพสูง โฆษกของ Liquid Web ระบุว่า “การรวมแบรนด์จะช่วยให้ลูกค้าได้รับคุณค่ามากขึ้นจากบริการ Nexcess ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน eCommerce ผสานกับแพลตฟอร์มโฮสติ้งที่แข็งแกร่งของ Liquid Web” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nexcess รวมเข้ากับ Liquid Web อย่างสมบูรณ์ในเดือนตุลาคม 2025 ➡️ ลูกค้าเดิมจะถูกเปลี่ยนเส้นทางจาก nexcess.com ไปยังเว็บไซต์ Liquid Web ➡️ สามารถเข้าสู่ระบบผ่าน my.nexcess.net ได้ตามปกติ ➡️ Nexcess เคยเป็นบริษัทโฮสติ้งอิสระมากว่า 20 ปี ➡️ ให้บริการ Managed Hosting สำหรับ WordPress, WooCommerce และ Magento ➡️ Liquid Web ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ➡️ เพิ่มบริการ VPS ที่รองรับ GPU สำหรับงาน AI และโฮสติ้ง WordPress แบบแชร์ ➡️ การรวมแบรนด์ช่วยเพิ่มคุณค่าและประสิทธิภาพในการให้บริการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nexcess ก่อตั้งในปี 2000 และมีลูกค้าทั่วโลกในกว่า 150 ประเทศ ➡️ Liquid Web มีประสบการณ์รวมกว่า 50 ปีในอุตสาหกรรมโฮสติ้ง ➡️ Magento เป็นแพลตฟอร์ม eCommerce ที่ใช้โดยแบรนด์ใหญ่ เช่น HP และ Nike ➡️ VPS ที่รองรับ GPU เหมาะสำหรับงาน AI, machine learning และการเรนเดอร์ภาพ ➡️ การรวมแบรนด์ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนา https://www.techradar.com/pro/website-hosting/nexcess-is-fully-absorbed-into-liquid-web
    WWW.TECHRADAR.COM
    Nexcess is fully absorbed into Liquid Web
    Nexcess is fully absorbed by web hosting brand Liquid Web
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • “DrayTek เตือนช่องโหว่ร้ายแรงในเราเตอร์ Vigor — เสี่ยงถูกแฮกผ่าน WebUI หากไม่อัปเดตเฟิร์มแวร์”

    DrayTek ผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายชื่อดังจากไต้หวัน ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ความปลอดภัยร้ายแรงในเราเตอร์รุ่น Vigor ซึ่งนิยมใช้ในธุรกิจขนาดเล็กและระดับ prosumer โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-10547 และเกิดจาก “ค่าตัวแปรที่ไม่ได้ถูกกำหนดค่าเริ่มต้น” ในเฟิร์มแวร์ DrayOS ที่ใช้ในอุปกรณ์เหล่านี้

    ช่องโหว่นี้สามารถถูกโจมตีได้ผ่าน WebUI (Web User Interface) โดยผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถส่งคำสั่ง HTTP หรือ HTTPS ที่ถูกปรับแต่งมาเฉพาะเพื่อทำให้เกิดการเสียหายของหน่วยความจำ หรือแม้แต่การรันโค้ดจากระยะไกล (Remote Code Execution - RCE) ซึ่งอาจนำไปสู่การควบคุมอุปกรณ์ทั้งหมด

    แม้ DrayTek จะระบุว่าช่องโหว่นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อเปิดใช้งาน WebUI หรือ SSL VPN จากภายนอก และมีการตั้งค่า ACL ที่ผิดพลาด แต่ก็เตือนว่าผู้โจมตีที่อยู่ในเครือข่ายภายในก็สามารถใช้ช่องโหว่นี้ได้เช่นกัน หาก WebUI ยังเปิดใช้งานอยู่

    นักวิจัย Pierre-Yves Maes จาก ChapsVision ผู้ค้นพบช่องโหว่นี้ อธิบายว่าเป็นการใช้ค่าตัวแปรที่ไม่ได้กำหนดค่าใน stack ซึ่งสามารถนำไปสู่การเรียกใช้ฟังก์ชัน free() บนหน่วยความจำที่ไม่ได้รับอนุญาต — เทคนิคที่เรียกว่า “arbitrary free” ซึ่งสามารถนำไปสู่การรันโค้ดแปลกปลอมได้

    DrayTek ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตเฟิร์มแวร์ทันที โดยเฉพาะผู้ที่เปิดใช้งาน WebUI หรือ VPN จากภายนอก ทั้งนี้ยังไม่มีรายงานว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีจริงในขณะนี้ แต่ด้วยความนิยมของ Vigor ในกลุ่ม SMB และ prosumer ทำให้มีความเสี่ยงสูงหากไม่รีบดำเนินการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-10547 เกิดจากค่าตัวแปรที่ไม่ได้กำหนดค่าในเฟิร์มแวร์ DrayOS
    ส่งผลให้เกิด memory corruption, system crash และอาจนำไปสู่ remote code execution
    ช่องโหว่ถูกค้นพบโดย Pierre-Yves Maes จาก ChapsVision
    การโจมตีสามารถทำได้ผ่าน WebUI ด้วยคำสั่ง HTTP/HTTPS ที่ปรับแต่ง
    ส่งผลเฉพาะเมื่อเปิด WebUI หรือ SSL VPN จากภายนอก และ ACL ตั้งค่าผิด
    ผู้โจมตีในเครือข่ายภายในก็สามารถใช้ช่องโหว่นี้ได้ หาก WebUI ยังเปิดอยู่
    DrayTek ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้อัปเดตเฟิร์มแวร์ทันที
    Vigor เป็นเราเตอร์ที่นิยมในกลุ่ม SMB และ prosumer ทำให้มีความเสี่ยงสูง
    ยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่ควรดำเนินการเชิงป้องกัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Remote Code Execution (RCE) เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด เพราะเปิดทางให้ควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล
    ACL (Access Control List) คือระบบควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง ซึ่งหากตั้งค่าผิดอาจเปิดช่องให้โจมตีได้
    WebUI เป็นอินเทอร์เฟซที่ใช้จัดการเราเตอร์ผ่านเว็บเบราว์เซอร์
    การโจมตีผ่าน WebUI มักใช้ในแคมเปญ botnet หรือการขโมยข้อมูล
    SMB มักไม่มีระบบตรวจสอบความปลอดภัยที่เข้มงวด ทำให้ตกเป็นเป้าหมายบ่อย

    https://www.techradar.com/pro/security/draytek-warns-vigor-routers-may-have-serious-security-flaws-heres-what-we-know
    🔐 “DrayTek เตือนช่องโหว่ร้ายแรงในเราเตอร์ Vigor — เสี่ยงถูกแฮกผ่าน WebUI หากไม่อัปเดตเฟิร์มแวร์” DrayTek ผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายชื่อดังจากไต้หวัน ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ความปลอดภัยร้ายแรงในเราเตอร์รุ่น Vigor ซึ่งนิยมใช้ในธุรกิจขนาดเล็กและระดับ prosumer โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-10547 และเกิดจาก “ค่าตัวแปรที่ไม่ได้ถูกกำหนดค่าเริ่มต้น” ในเฟิร์มแวร์ DrayOS ที่ใช้ในอุปกรณ์เหล่านี้ ช่องโหว่นี้สามารถถูกโจมตีได้ผ่าน WebUI (Web User Interface) โดยผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถส่งคำสั่ง HTTP หรือ HTTPS ที่ถูกปรับแต่งมาเฉพาะเพื่อทำให้เกิดการเสียหายของหน่วยความจำ หรือแม้แต่การรันโค้ดจากระยะไกล (Remote Code Execution - RCE) ซึ่งอาจนำไปสู่การควบคุมอุปกรณ์ทั้งหมด แม้ DrayTek จะระบุว่าช่องโหว่นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อเปิดใช้งาน WebUI หรือ SSL VPN จากภายนอก และมีการตั้งค่า ACL ที่ผิดพลาด แต่ก็เตือนว่าผู้โจมตีที่อยู่ในเครือข่ายภายในก็สามารถใช้ช่องโหว่นี้ได้เช่นกัน หาก WebUI ยังเปิดใช้งานอยู่ นักวิจัย Pierre-Yves Maes จาก ChapsVision ผู้ค้นพบช่องโหว่นี้ อธิบายว่าเป็นการใช้ค่าตัวแปรที่ไม่ได้กำหนดค่าใน stack ซึ่งสามารถนำไปสู่การเรียกใช้ฟังก์ชัน free() บนหน่วยความจำที่ไม่ได้รับอนุญาต — เทคนิคที่เรียกว่า “arbitrary free” ซึ่งสามารถนำไปสู่การรันโค้ดแปลกปลอมได้ DrayTek ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตเฟิร์มแวร์ทันที โดยเฉพาะผู้ที่เปิดใช้งาน WebUI หรือ VPN จากภายนอก ทั้งนี้ยังไม่มีรายงานว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีจริงในขณะนี้ แต่ด้วยความนิยมของ Vigor ในกลุ่ม SMB และ prosumer ทำให้มีความเสี่ยงสูงหากไม่รีบดำเนินการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-10547 เกิดจากค่าตัวแปรที่ไม่ได้กำหนดค่าในเฟิร์มแวร์ DrayOS ➡️ ส่งผลให้เกิด memory corruption, system crash และอาจนำไปสู่ remote code execution ➡️ ช่องโหว่ถูกค้นพบโดย Pierre-Yves Maes จาก ChapsVision ➡️ การโจมตีสามารถทำได้ผ่าน WebUI ด้วยคำสั่ง HTTP/HTTPS ที่ปรับแต่ง ➡️ ส่งผลเฉพาะเมื่อเปิด WebUI หรือ SSL VPN จากภายนอก และ ACL ตั้งค่าผิด ➡️ ผู้โจมตีในเครือข่ายภายในก็สามารถใช้ช่องโหว่นี้ได้ หาก WebUI ยังเปิดอยู่ ➡️ DrayTek ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้อัปเดตเฟิร์มแวร์ทันที ➡️ Vigor เป็นเราเตอร์ที่นิยมในกลุ่ม SMB และ prosumer ทำให้มีความเสี่ยงสูง ➡️ ยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่ควรดำเนินการเชิงป้องกัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Remote Code Execution (RCE) เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด เพราะเปิดทางให้ควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล ➡️ ACL (Access Control List) คือระบบควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง ซึ่งหากตั้งค่าผิดอาจเปิดช่องให้โจมตีได้ ➡️ WebUI เป็นอินเทอร์เฟซที่ใช้จัดการเราเตอร์ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ➡️ การโจมตีผ่าน WebUI มักใช้ในแคมเปญ botnet หรือการขโมยข้อมูล ➡️ SMB มักไม่มีระบบตรวจสอบความปลอดภัยที่เข้มงวด ทำให้ตกเป็นเป้าหมายบ่อย https://www.techradar.com/pro/security/draytek-warns-vigor-routers-may-have-serious-security-flaws-heres-what-we-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Com Laude ซื้อกิจการ Markmonitor มูลค่า $450 ล้าน — Newfold Digital หันไปโฟกัส Bluehost และ Network Solutions เต็มตัว”

    ในโลกของการจัดการโดเมนองค์กรที่มักถูกมองข้าม แต่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของแบรนด์ออนไลน์ ล่าสุดเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ Com Laude บริษัทจากลอนดอนที่เชี่ยวชาญด้านบริการโดเมนสำหรับองค์กร ได้เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital ด้วยมูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์

    Markmonitor ซึ่งมีฐานอยู่ที่เมือง Boise ให้บริการจัดการโดเมนแก่ลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ โดยเน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัยของทรัพย์สินดิจิทัล การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ Com Laude ขยายขอบเขตการให้บริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือใหม่ที่ใช้ AI เพื่อเสริมความสามารถในการปกป้องแบรนด์ออนไลน์

    ด้าน Newfold Digital ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เว็บโฮสติ้งชื่อดังอย่าง Bluehost และ Network Solutions ได้ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรไปยังธุรกิจหลัก โดยเฉพาะการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการสร้างตัวตนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และโดเมน โดยใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI

    การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของตลาดที่กำลังเปลี่ยนจากการให้บริการแบบเฉพาะกลุ่ม ไปสู่การขยายฐานลูกค้าในระดับ mass-market ซึ่งแม้จะมีการแข่งขันสูงจากผู้ให้บริการฟรีและราคาถูก แต่ Newfold เชื่อว่าการโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions จะช่วยเร่งการเติบโตและสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้มากขึ้นในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Com Laude เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital มูลค่า $450 ล้าน
    Markmonitor มีลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ เน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัย
    การควบรวมจะช่วยให้ Com Laude ขยายบริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือ AI ใหม่
    Newfold Digital ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions
    Bluehost ให้บริการแก่ผู้ใช้ WordPress กว่า 5 ล้านราย
    Network Solutions เป็นผู้นำด้านโดเมนและการสร้างตัวตนออนไลน์สำหรับ SMB
    Newfold เน้นการใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อรองรับลูกค้ารายย่อย
    การขายครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ปรับโครงสร้างธุรกิจของ Newfold

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Com Laude เป็นผู้ให้บริการโดเมนองค์กรที่มีชื่อเสียงด้านบริการแบบ “white glove”
    Markmonitor เคยเป็นผู้นำในตลาด corporate registrar และมีบทบาทสำคัญในการปกป้องแบรนด์ระดับโลก
    ตลาด domain registrar สำหรับองค์กรมีมูลค่าสูงแต่ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
    การใช้ AI ในการจัดการโดเมนช่วยตรวจจับการละเมิดแบรนด์และการโจมตีแบบฟิชชิ่งได้ดีขึ้น
    การควบรวมกิจการในตลาดนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือแบบครบวงจรสำหรับองค์กร

    https://www.techradar.com/pro/bluehost-owner-offloads-business-domain-registrar-markmonitor-to-focus-on-its-web-hosting-segment-and-its-seven-million-customers
    🌐 “Com Laude ซื้อกิจการ Markmonitor มูลค่า $450 ล้าน — Newfold Digital หันไปโฟกัส Bluehost และ Network Solutions เต็มตัว” ในโลกของการจัดการโดเมนองค์กรที่มักถูกมองข้าม แต่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของแบรนด์ออนไลน์ ล่าสุดเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ Com Laude บริษัทจากลอนดอนที่เชี่ยวชาญด้านบริการโดเมนสำหรับองค์กร ได้เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital ด้วยมูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์ Markmonitor ซึ่งมีฐานอยู่ที่เมือง Boise ให้บริการจัดการโดเมนแก่ลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ โดยเน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัยของทรัพย์สินดิจิทัล การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ Com Laude ขยายขอบเขตการให้บริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือใหม่ที่ใช้ AI เพื่อเสริมความสามารถในการปกป้องแบรนด์ออนไลน์ ด้าน Newfold Digital ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เว็บโฮสติ้งชื่อดังอย่าง Bluehost และ Network Solutions ได้ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรไปยังธุรกิจหลัก โดยเฉพาะการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการสร้างตัวตนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และโดเมน โดยใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของตลาดที่กำลังเปลี่ยนจากการให้บริการแบบเฉพาะกลุ่ม ไปสู่การขยายฐานลูกค้าในระดับ mass-market ซึ่งแม้จะมีการแข่งขันสูงจากผู้ให้บริการฟรีและราคาถูก แต่ Newfold เชื่อว่าการโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions จะช่วยเร่งการเติบโตและสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้มากขึ้นในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Com Laude เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital มูลค่า $450 ล้าน ➡️ Markmonitor มีลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ เน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัย ➡️ การควบรวมจะช่วยให้ Com Laude ขยายบริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือ AI ใหม่ ➡️ Newfold Digital ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions ➡️ Bluehost ให้บริการแก่ผู้ใช้ WordPress กว่า 5 ล้านราย ➡️ Network Solutions เป็นผู้นำด้านโดเมนและการสร้างตัวตนออนไลน์สำหรับ SMB ➡️ Newfold เน้นการใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อรองรับลูกค้ารายย่อย ➡️ การขายครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ปรับโครงสร้างธุรกิจของ Newfold ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Com Laude เป็นผู้ให้บริการโดเมนองค์กรที่มีชื่อเสียงด้านบริการแบบ “white glove” ➡️ Markmonitor เคยเป็นผู้นำในตลาด corporate registrar และมีบทบาทสำคัญในการปกป้องแบรนด์ระดับโลก ➡️ ตลาด domain registrar สำหรับองค์กรมีมูลค่าสูงแต่ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ➡️ การใช้ AI ในการจัดการโดเมนช่วยตรวจจับการละเมิดแบรนด์และการโจมตีแบบฟิชชิ่งได้ดีขึ้น ➡️ การควบรวมกิจการในตลาดนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือแบบครบวงจรสำหรับองค์กร https://www.techradar.com/pro/bluehost-owner-offloads-business-domain-registrar-markmonitor-to-focus-on-its-web-hosting-segment-and-its-seven-million-customers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Excel ครบรอบ 40 ปี — จากเครื่องมือบัญชีสู่เวทีแข่งขันระดับโลก แต่ Google Sheets กำลังเบียดขึ้นแท่น”

    Microsoft Excel เพิ่งครบรอบ 40 ปีอย่างเงียบ ๆ แม้จะเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์ที่เปลี่ยนโลกการทำงานอย่างมหาศาล ตั้งแต่การจัดการบัญชีไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลระดับองค์กร Excel เริ่มต้นในปี 1985 บน Macintosh ด้วยอินเทอร์เฟซแบบกราฟิก ซึ่งถือว่าแหวกแนวจากคู่แข่งที่ยังใช้แบบข้อความอยู่ในยุคนั้น ก่อนจะถูกพอร์ตมาสู่ Windows และกลายเป็นผู้นำตลาดอย่างรวดเร็วในยุค 90 โดยเฉพาะหลังจากแซงหน้า Lotus 1-2-3 และ Quattro Pro

    ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา Excel ได้เพิ่มฟีเจอร์มากมาย เช่น VBA สำหรับเขียนฟังก์ชันเอง, Pivot Table, แผนภูมิ 3D และ Ribbon Interface ที่เปลี่ยนวิธีการใช้งานไปโดยสิ้นเชิง ล่าสุด Excel ยังได้เสริมพลังด้วย AI ผ่าน Copilot และ Agent Mode ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างตารางหรือวิเคราะห์ข้อมูลผ่านคำสั่งธรรมดาได้ทันที

    แต่ในยุคที่การทำงานย้ายเข้าสู่ระบบคลาวด์ Google Sheets กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด ด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์, ใช้งานฟรี, และเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใด ๆ ทำให้กลุ่มผู้ใช้รุ่นใหม่ โดยเฉพาะในโรงเรียนและธุรกิจขนาดเล็ก หันมาใช้ Google Sheets เป็นหลัก

    แม้ Excel จะยังครองใจองค์กรขนาดใหญ่และงานที่ต้องการความซับซ้อนสูง แต่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคออนไลน์และการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์กำลังท้าทายตำแหน่งผู้นำของ Excel อย่างจริงจัง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Excel ครบรอบ 40 ปี โดยเริ่มต้นบน Macintosh ในปี 1985
    แซงหน้า Lotus 1-2-3 และ Quattro Pro จนกลายเป็นผู้นำตลาดในยุค 90
    เพิ่มฟีเจอร์สำคัญ เช่น VBA, Pivot Table, Ribbon Interface
    ล่าสุดมี AI Copilot และ Agent Mode ที่ช่วยสร้างตารางผ่านคำสั่งธรรมดา
    Excel ถูกใช้ในงานหลากหลาย ตั้งแต่บัญชีไปจนถึงงานศิลปะและเกม
    มีการแข่งขัน Excel World Championship ที่จัดในลาสเวกัส
    Google Sheets กลายเป็นคู่แข่งสำคัญ ด้วยระบบคลาวด์และการทำงานร่วมกัน
    Excel บนเว็บพยายามตอบโต้ด้วยฟีเจอร์คล้าย Google Sheets

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    VisiCalc คือโปรแกรม spreadsheet ตัวแรกในปี 1979 บน Apple II
    VBA (Visual Basic for Applications) เป็นภาษาสคริปต์ที่ใช้ใน Excel ตั้งแต่ยุค 90
    Google Sheets ใช้ Google Apps Script ซึ่งคล้ายกับ VBA สำหรับงานอัตโนมัติ
    Excel มีความสามารถในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ได้ดีกว่า Sheets
    Google Sheets เหมาะกับงานที่ต้องการความร่วมมือและการเข้าถึงจากหลายอุปกรณ์

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-excel-turned-40-and-almost-nobody-noticed-worlds-most-popular-spreadsheet-now-faces-tough-competition-from-google-sheets-after-crushing-lotus-1-2-3-and-borland-quattro-pro
    📊 “Excel ครบรอบ 40 ปี — จากเครื่องมือบัญชีสู่เวทีแข่งขันระดับโลก แต่ Google Sheets กำลังเบียดขึ้นแท่น” Microsoft Excel เพิ่งครบรอบ 40 ปีอย่างเงียบ ๆ แม้จะเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์ที่เปลี่ยนโลกการทำงานอย่างมหาศาล ตั้งแต่การจัดการบัญชีไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลระดับองค์กร Excel เริ่มต้นในปี 1985 บน Macintosh ด้วยอินเทอร์เฟซแบบกราฟิก ซึ่งถือว่าแหวกแนวจากคู่แข่งที่ยังใช้แบบข้อความอยู่ในยุคนั้น ก่อนจะถูกพอร์ตมาสู่ Windows และกลายเป็นผู้นำตลาดอย่างรวดเร็วในยุค 90 โดยเฉพาะหลังจากแซงหน้า Lotus 1-2-3 และ Quattro Pro ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา Excel ได้เพิ่มฟีเจอร์มากมาย เช่น VBA สำหรับเขียนฟังก์ชันเอง, Pivot Table, แผนภูมิ 3D และ Ribbon Interface ที่เปลี่ยนวิธีการใช้งานไปโดยสิ้นเชิง ล่าสุด Excel ยังได้เสริมพลังด้วย AI ผ่าน Copilot และ Agent Mode ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างตารางหรือวิเคราะห์ข้อมูลผ่านคำสั่งธรรมดาได้ทันที แต่ในยุคที่การทำงานย้ายเข้าสู่ระบบคลาวด์ Google Sheets กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด ด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์, ใช้งานฟรี, และเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใด ๆ ทำให้กลุ่มผู้ใช้รุ่นใหม่ โดยเฉพาะในโรงเรียนและธุรกิจขนาดเล็ก หันมาใช้ Google Sheets เป็นหลัก แม้ Excel จะยังครองใจองค์กรขนาดใหญ่และงานที่ต้องการความซับซ้อนสูง แต่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคออนไลน์และการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์กำลังท้าทายตำแหน่งผู้นำของ Excel อย่างจริงจัง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Excel ครบรอบ 40 ปี โดยเริ่มต้นบน Macintosh ในปี 1985 ➡️ แซงหน้า Lotus 1-2-3 และ Quattro Pro จนกลายเป็นผู้นำตลาดในยุค 90 ➡️ เพิ่มฟีเจอร์สำคัญ เช่น VBA, Pivot Table, Ribbon Interface ➡️ ล่าสุดมี AI Copilot และ Agent Mode ที่ช่วยสร้างตารางผ่านคำสั่งธรรมดา ➡️ Excel ถูกใช้ในงานหลากหลาย ตั้งแต่บัญชีไปจนถึงงานศิลปะและเกม ➡️ มีการแข่งขัน Excel World Championship ที่จัดในลาสเวกัส ➡️ Google Sheets กลายเป็นคู่แข่งสำคัญ ด้วยระบบคลาวด์และการทำงานร่วมกัน ➡️ Excel บนเว็บพยายามตอบโต้ด้วยฟีเจอร์คล้าย Google Sheets ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ VisiCalc คือโปรแกรม spreadsheet ตัวแรกในปี 1979 บน Apple II ➡️ VBA (Visual Basic for Applications) เป็นภาษาสคริปต์ที่ใช้ใน Excel ตั้งแต่ยุค 90 ➡️ Google Sheets ใช้ Google Apps Script ซึ่งคล้ายกับ VBA สำหรับงานอัตโนมัติ ➡️ Excel มีความสามารถในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ได้ดีกว่า Sheets ➡️ Google Sheets เหมาะกับงานที่ต้องการความร่วมมือและการเข้าถึงจากหลายอุปกรณ์ https://www.techradar.com/pro/microsoft-excel-turned-40-and-almost-nobody-noticed-worlds-most-popular-spreadsheet-now-faces-tough-competition-from-google-sheets-after-crushing-lotus-1-2-3-and-borland-quattro-pro
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • “400 ล้านเครื่องกำลังถูกทิ้ง — ธุรกิจทั่วโลกร้องขอให้ Microsoft ยืดอายุ Windows 10 ฟรี เพื่อหยุดหายนะขยะอิเล็กทรอนิกส์”

    ใกล้ถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มแสดงความกังวลอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจซ่อมคอมพิวเตอร์, ห้องสมุด, โรงเรียน, นักการเมืองท้องถิ่น และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 500 แห่ง ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึง Microsoft เพื่อขอให้ขยายการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 ออกไปอีก

    เหตุผลหลักคือมีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องทั่วโลกที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ เช่น TPM 2.0 หรือ CPU รุ่นเก่า ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง “ซื้อเครื่องใหม่” หรือ “ใช้งานระบบที่ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย” ซึ่งทั้งสองทางเลือกมีต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    องค์กร PIRG (Public Interest Research Group) ซึ่งเป็นผู้จัดแคมเปญนี้ ระบุว่า การหยุดสนับสนุน Windows 10 จะทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ และยังเปิดช่องให้แฮกเกอร์โจมตีระบบที่ไม่ได้รับการอัปเดต โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็ก โรงพยาบาล และหน่วยงานราชการที่ยังใช้ Windows 10 เป็นหลัก

    แม้ Microsoft จะเสนอทางเลือกให้ซื้อการสนับสนุนต่อในราคาประมาณ $30 ต่อปี หรือมีโปรแกรมราคาพิเศษสำหรับโรงเรียนในยุโรป แต่กลุ่มผู้เรียกร้องมองว่า “การคิดเงินเพื่อความปลอดภัยพื้นฐาน” เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล และขัดกับพันธกิจด้านความยั่งยืนของ Microsoft เอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    มีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้
    กลุ่ม PIRG และองค์กรกว่า 500 แห่งร่วมลงนามเรียกร้องให้ Microsoft ขยายการสนับสนุนฟรี
    การหยุดสนับสนุนจะสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์
    Microsoft เสนอการสนับสนุนแบบเสียเงินเริ่มต้นที่ $30 ต่อปี
    โรงเรียนในยุโรปได้รับสิทธิ์สนับสนุนฟรีเพิ่มอีก 1 ปี
    Windows 10 ยังมีส่วนแบ่งตลาดถึง 40.5% ณ เดือนกันยายน 2025
    ผู้ใช้งานหลายกลุ่มยังไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 ได้เพราะข้อจำกัดฮาร์ดแวร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Windows 11 ต้องการ TPM 2.0 และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องไม่สามารถอัปเกรดได้
    Microsoft เคยสนับสนุน Windows XP นานถึง 13 ปี ก่อนจะหยุดในปี 2014
    การอัปเดตความปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกัน ransomware และมัลแวร์
    การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการในองค์กรขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก
    Linux ถูกเสนอเป็นทางเลือกสำหรับเครื่องที่ไม่สามารถใช้ Windows 11 ได้

    https://www.techradar.com/pro/hundreds-of-businesses-beg-microsoft-not-to-kill-off-free-windows-10-updates
    🖥️ “400 ล้านเครื่องกำลังถูกทิ้ง — ธุรกิจทั่วโลกร้องขอให้ Microsoft ยืดอายุ Windows 10 ฟรี เพื่อหยุดหายนะขยะอิเล็กทรอนิกส์” ใกล้ถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มแสดงความกังวลอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจซ่อมคอมพิวเตอร์, ห้องสมุด, โรงเรียน, นักการเมืองท้องถิ่น และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 500 แห่ง ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึง Microsoft เพื่อขอให้ขยายการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 ออกไปอีก เหตุผลหลักคือมีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องทั่วโลกที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ เช่น TPM 2.0 หรือ CPU รุ่นเก่า ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง “ซื้อเครื่องใหม่” หรือ “ใช้งานระบบที่ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย” ซึ่งทั้งสองทางเลือกมีต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อความปลอดภัย องค์กร PIRG (Public Interest Research Group) ซึ่งเป็นผู้จัดแคมเปญนี้ ระบุว่า การหยุดสนับสนุน Windows 10 จะทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ และยังเปิดช่องให้แฮกเกอร์โจมตีระบบที่ไม่ได้รับการอัปเดต โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็ก โรงพยาบาล และหน่วยงานราชการที่ยังใช้ Windows 10 เป็นหลัก แม้ Microsoft จะเสนอทางเลือกให้ซื้อการสนับสนุนต่อในราคาประมาณ $30 ต่อปี หรือมีโปรแกรมราคาพิเศษสำหรับโรงเรียนในยุโรป แต่กลุ่มผู้เรียกร้องมองว่า “การคิดเงินเพื่อความปลอดภัยพื้นฐาน” เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล และขัดกับพันธกิจด้านความยั่งยืนของ Microsoft เอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ➡️ มีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ ➡️ กลุ่ม PIRG และองค์กรกว่า 500 แห่งร่วมลงนามเรียกร้องให้ Microsoft ขยายการสนับสนุนฟรี ➡️ การหยุดสนับสนุนจะสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ ➡️ Microsoft เสนอการสนับสนุนแบบเสียเงินเริ่มต้นที่ $30 ต่อปี ➡️ โรงเรียนในยุโรปได้รับสิทธิ์สนับสนุนฟรีเพิ่มอีก 1 ปี ➡️ Windows 10 ยังมีส่วนแบ่งตลาดถึง 40.5% ณ เดือนกันยายน 2025 ➡️ ผู้ใช้งานหลายกลุ่มยังไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 ได้เพราะข้อจำกัดฮาร์ดแวร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Windows 11 ต้องการ TPM 2.0 และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องไม่สามารถอัปเกรดได้ ➡️ Microsoft เคยสนับสนุน Windows XP นานถึง 13 ปี ก่อนจะหยุดในปี 2014 ➡️ การอัปเดตความปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกัน ransomware และมัลแวร์ ➡️ การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการในองค์กรขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก ➡️ Linux ถูกเสนอเป็นทางเลือกสำหรับเครื่องที่ไม่สามารถใช้ Windows 11 ได้ https://www.techradar.com/pro/hundreds-of-businesses-beg-microsoft-not-to-kill-off-free-windows-10-updates
    WWW.TECHRADAR.COM
    Hundreds of businesses beg Microsoft not to kill off free Windows 10 updates
    533 signatories ask Microsoft to reconsider Windows 10’s EOL
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Sheets ไม่ใช่แค่เครื่องมือชั่วคราว — แต่คือวิธีคิดที่ช่วยธุรกิจเล็กอยู่รอดในโลกที่เปลี่ยนเร็ว”

    บทความจาก Maybe-Ray เล่าประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่เพิ่งเข้าสู่โลกการทำงานได้ 9 เดือน และพบว่าความหวังในการสร้างเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อช่วยธุรกิจเล็กที่เขาทำงานด้วยนั้น “หายไปอย่างรวดเร็ว” เพราะความเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรเกิดขึ้นทุก 2 เดือนตามไอเดียใหม่ของเจ้านาย ทำให้โปรเจกต์ที่ลงทุนเวลาและแรงไปมาก กลับถูกใช้งานจริงเพียงไม่กี่ครั้ง

    ตัวอย่างที่เขายกมา เช่น การใช้เวลา 2 เดือนสร้าง admin panel เพื่อจัดการข้อมูลพัสดุ ซึ่งสุดท้ายถูกใช้งานแค่ 2 ครั้ง แล้วเปลี่ยนมาใช้ Google Sheets แทน หรือการสร้างระบบคำนวณภาษีสำหรับลูกค้าในซิมบับเวที่ซับซ้อนมาก แต่สุดท้ายก็ใช้แค่ตารางจากคู่แข่งแล้วใส่ลงใน Google Sheets

    เขายังเล่าถึงการเสียเวลาไปกับการหาระบบ CRM ที่เหมาะสม แต่สุดท้ายกลับพบว่า Google Sheets มี template CRM อยู่แล้ว และใช้งานได้ง่ายกว่าที่คิด

    บทเรียนสำคัญคือ: ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนเร็วและไม่รู้ขอบเขตของปัญหาชัดเจน การเริ่มต้นด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด เช่น Google Sheets คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะช่วยให้ทีมเข้าใจปัญหาได้เร็ว และสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันทีเมื่อรู้ว่าต้องการอะไรจริง ๆ

    แม้ผู้เขียนจะยอมรับว่า Google Sheets ไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง และมีข้อจำกัดในองค์กรขนาดใหญ่ แต่สำหรับธุรกิจเล็กที่ยังไม่รู้ว่าต้องการอะไร การเริ่มต้นด้วยสิ่งง่าย ๆ คือการประหยัดเวลาและแรงงานที่ดีที่สุด

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    ผู้เขียนใช้ Google Sheets เป็นเครื่องมือหลักในการแก้ปัญหาในธุรกิจเล็ก
    สร้าง admin panel ใช้เวลา 2 เดือน แต่ถูกใช้งานแค่ 2 ครั้ง ก่อนเปลี่ยนมาใช้ Google Sheets
    ระบบคำนวณภาษีถูกแทนที่ด้วยตารางจากคู่แข่งใน Google Sheets
    ใช้เวลาหลายสัปดาห์หา CRM แต่สุดท้ายพบว่า Google Sheets มี template CRM อยู่แล้ว
    การเริ่มต้นด้วยวิธีง่ายที่สุดช่วยให้เข้าใจปัญหาได้เร็ว และปรับเปลี่ยนได้ทันที
    Google Sheets เหมาะกับสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ขอบเขตของปัญหา
    ผู้เขียนต้องการช่วยให้คนไม่เสียเวลาไปกับการสร้างสิ่งที่ไม่มีใครใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Google Sheets เป็นเครื่องมือที่เข้าถึงง่าย ใช้ฟรี และมีความยืดหยุ่นสูงสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
    งานวิจัยพบว่า 88% ของ spreadsheet มีข้อผิดพลาด ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ
    Custom dashboard เหมาะกับองค์กรที่มีข้อมูลจำนวนมากและต้องการการวิเคราะห์แบบ real-time1
    Google Sheets เหมาะกับการทดลองไอเดียและการทำงานแบบ agile ที่ต้องปรับเปลี่ยนบ่อย
    สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ การใช้ spreadsheet อาจกลายเป็นคอขวดของข้อมูล หากไม่มีระบบจัดการที่ดี

    https://mayberay.bearblog.dev/why-i-only-use-google-sheets/
    📊 “Google Sheets ไม่ใช่แค่เครื่องมือชั่วคราว — แต่คือวิธีคิดที่ช่วยธุรกิจเล็กอยู่รอดในโลกที่เปลี่ยนเร็ว” บทความจาก Maybe-Ray เล่าประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่เพิ่งเข้าสู่โลกการทำงานได้ 9 เดือน และพบว่าความหวังในการสร้างเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อช่วยธุรกิจเล็กที่เขาทำงานด้วยนั้น “หายไปอย่างรวดเร็ว” เพราะความเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรเกิดขึ้นทุก 2 เดือนตามไอเดียใหม่ของเจ้านาย ทำให้โปรเจกต์ที่ลงทุนเวลาและแรงไปมาก กลับถูกใช้งานจริงเพียงไม่กี่ครั้ง ตัวอย่างที่เขายกมา เช่น การใช้เวลา 2 เดือนสร้าง admin panel เพื่อจัดการข้อมูลพัสดุ ซึ่งสุดท้ายถูกใช้งานแค่ 2 ครั้ง แล้วเปลี่ยนมาใช้ Google Sheets แทน หรือการสร้างระบบคำนวณภาษีสำหรับลูกค้าในซิมบับเวที่ซับซ้อนมาก แต่สุดท้ายก็ใช้แค่ตารางจากคู่แข่งแล้วใส่ลงใน Google Sheets เขายังเล่าถึงการเสียเวลาไปกับการหาระบบ CRM ที่เหมาะสม แต่สุดท้ายกลับพบว่า Google Sheets มี template CRM อยู่แล้ว และใช้งานได้ง่ายกว่าที่คิด บทเรียนสำคัญคือ: ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนเร็วและไม่รู้ขอบเขตของปัญหาชัดเจน การเริ่มต้นด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด เช่น Google Sheets คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะช่วยให้ทีมเข้าใจปัญหาได้เร็ว และสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันทีเมื่อรู้ว่าต้องการอะไรจริง ๆ แม้ผู้เขียนจะยอมรับว่า Google Sheets ไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง และมีข้อจำกัดในองค์กรขนาดใหญ่ แต่สำหรับธุรกิจเล็กที่ยังไม่รู้ว่าต้องการอะไร การเริ่มต้นด้วยสิ่งง่าย ๆ คือการประหยัดเวลาและแรงงานที่ดีที่สุด ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ ผู้เขียนใช้ Google Sheets เป็นเครื่องมือหลักในการแก้ปัญหาในธุรกิจเล็ก ➡️ สร้าง admin panel ใช้เวลา 2 เดือน แต่ถูกใช้งานแค่ 2 ครั้ง ก่อนเปลี่ยนมาใช้ Google Sheets ➡️ ระบบคำนวณภาษีถูกแทนที่ด้วยตารางจากคู่แข่งใน Google Sheets ➡️ ใช้เวลาหลายสัปดาห์หา CRM แต่สุดท้ายพบว่า Google Sheets มี template CRM อยู่แล้ว ➡️ การเริ่มต้นด้วยวิธีง่ายที่สุดช่วยให้เข้าใจปัญหาได้เร็ว และปรับเปลี่ยนได้ทันที ➡️ Google Sheets เหมาะกับสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ขอบเขตของปัญหา ➡️ ผู้เขียนต้องการช่วยให้คนไม่เสียเวลาไปกับการสร้างสิ่งที่ไม่มีใครใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Google Sheets เป็นเครื่องมือที่เข้าถึงง่าย ใช้ฟรี และมีความยืดหยุ่นสูงสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ➡️ งานวิจัยพบว่า 88% ของ spreadsheet มีข้อผิดพลาด ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ ➡️ Custom dashboard เหมาะกับองค์กรที่มีข้อมูลจำนวนมากและต้องการการวิเคราะห์แบบ real-time1 ➡️ Google Sheets เหมาะกับการทดลองไอเดียและการทำงานแบบ agile ที่ต้องปรับเปลี่ยนบ่อย ➡️ สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ การใช้ spreadsheet อาจกลายเป็นคอขวดของข้อมูล หากไม่มีระบบจัดการที่ดี https://mayberay.bearblog.dev/why-i-only-use-google-sheets/
    MAYBERAY.BEARBLOG.DEV
    Why I only use Google sheets
    To cut things short, always use the easiest solution to solve a particular problem and once that solution does not work for the business anymore reassess wha...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เตรียมตัวก่อนโดนขึ้นราคา — โดเมนกว่า 200 ส่วนขยายปรับราคาครั้งใหญ่ 6 ตุลาคมนี้!”

    เจ้าของโดเมนต้องจับตาให้ดี เพราะตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2025 เป็นต้นไป ราคาการจดทะเบียน โอน และต่ออายุโดเมนกว่า 231 ส่วนขยายจะปรับขึ้นพร้อมกัน โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของ Identity Digital ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการ registry รายใหญ่ของโลก

    การปรับราคาครั้งนี้ส่งผลต่อโดเมนยอดนิยมหลายตัว เช่น .LIVE, .LIFE, .WORLD, .TODAY, .EMAIL, .MEDIA, .BIO, .IRISH, .BET และ .NETWORK โดยบางตัวมีราคาต่ออายุเพิ่มขึ้นเกือบ $10 ต่อปี เช่น .BIO ที่ขึ้นไปถึง $84.98 ต่อปี และ .MEDIA ที่แตะ $58.98 ต่อปี

    Namecheap ซึ่งเป็นหนึ่งใน registrar รายใหญ่ ได้แจ้งลูกค้าล่วงหน้าผ่านอีเมล พร้อมแนะนำให้รีบต่ออายุหรือจดทะเบียนล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยสามารถต่ออายุล่วงหน้าได้สูงสุดถึง 10 ปี

    แม้จะดูขัดกับตรรกะว่าราคาควรลดลงเมื่อความต้องการลดลง แต่หลายฝ่ายมองว่า การขึ้นราคาครั้งนี้อาจเป็นกลยุทธ์เพื่อเพิ่มรายได้จากลูกค้าเดิมในช่วงที่ยอดจดทะเบียนใหม่ชะลอตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Identity Digital เตรียมปรับราคาสำหรับโดเมนกว่า 231 ส่วนขยายในวันที่ 6 ตุลาคม 2025
    การปรับราคาครอบคลุมทั้งการจดทะเบียน โอน และต่ออายุ
    โดเมนยอดนิยมที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ .LIVE, .LIFE, .WORLD, .EMAIL, .MEDIA, .BIO ฯลฯ
    ราคาต่ออายุของ .BIO เพิ่มขึ้นเป็น $84.98 ต่อปี และ .MEDIA เป็น $58.98 ต่อปี
    Namecheap แจ้งลูกค้าให้รีบต่ออายุล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
    สามารถต่ออายุโดเมนล่วงหน้าได้สูงสุดถึง 10 ปี
    การขึ้นราคาครั้งนี้อาจเป็นผลจากยอดจดทะเบียนใหม่ที่ลดลง
    การปรับราคาครั้งนี้เป็นแนวโน้มต่อเนื่อง หลังจาก .XYZ ก็เพิ่งขึ้นราคาไปก่อนหน้านี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Identity Digital เป็น registry ที่ดูแล TLD มากกว่า 200 รายการ รวมถึงโดเมนเฉพาะทาง
    ราคาที่ registrar เสนอให้ลูกค้า มักขึ้นอยู่กับราคาขายส่งจาก registry
    การต่ออายุล่วงหน้าเป็นวิธีที่นิยมใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นราคาในอนาคต
    โดเมนเฉพาะทาง เช่น .BIO หรือ .MEDIA มักมีราคาสูงกว่าโดเมนทั่วไป
    การเปลี่ยนแปลงราคาโดเมนส่งผลต่อธุรกิจขนาดเล็กที่มีหลายโดเมนในพอร์ต

    https://securityonline.info/heads-up-domain-owners-price-hikes-for-over-200-extensions-start-october-6/
    🌐 “เตรียมตัวก่อนโดนขึ้นราคา — โดเมนกว่า 200 ส่วนขยายปรับราคาครั้งใหญ่ 6 ตุลาคมนี้!” เจ้าของโดเมนต้องจับตาให้ดี เพราะตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2025 เป็นต้นไป ราคาการจดทะเบียน โอน และต่ออายุโดเมนกว่า 231 ส่วนขยายจะปรับขึ้นพร้อมกัน โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของ Identity Digital ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการ registry รายใหญ่ของโลก การปรับราคาครั้งนี้ส่งผลต่อโดเมนยอดนิยมหลายตัว เช่น .LIVE, .LIFE, .WORLD, .TODAY, .EMAIL, .MEDIA, .BIO, .IRISH, .BET และ .NETWORK โดยบางตัวมีราคาต่ออายุเพิ่มขึ้นเกือบ $10 ต่อปี เช่น .BIO ที่ขึ้นไปถึง $84.98 ต่อปี และ .MEDIA ที่แตะ $58.98 ต่อปี Namecheap ซึ่งเป็นหนึ่งใน registrar รายใหญ่ ได้แจ้งลูกค้าล่วงหน้าผ่านอีเมล พร้อมแนะนำให้รีบต่ออายุหรือจดทะเบียนล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยสามารถต่ออายุล่วงหน้าได้สูงสุดถึง 10 ปี แม้จะดูขัดกับตรรกะว่าราคาควรลดลงเมื่อความต้องการลดลง แต่หลายฝ่ายมองว่า การขึ้นราคาครั้งนี้อาจเป็นกลยุทธ์เพื่อเพิ่มรายได้จากลูกค้าเดิมในช่วงที่ยอดจดทะเบียนใหม่ชะลอตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Identity Digital เตรียมปรับราคาสำหรับโดเมนกว่า 231 ส่วนขยายในวันที่ 6 ตุลาคม 2025 ➡️ การปรับราคาครอบคลุมทั้งการจดทะเบียน โอน และต่ออายุ ➡️ โดเมนยอดนิยมที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ .LIVE, .LIFE, .WORLD, .EMAIL, .MEDIA, .BIO ฯลฯ ➡️ ราคาต่ออายุของ .BIO เพิ่มขึ้นเป็น $84.98 ต่อปี และ .MEDIA เป็น $58.98 ต่อปี ➡️ Namecheap แจ้งลูกค้าให้รีบต่ออายุล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ➡️ สามารถต่ออายุโดเมนล่วงหน้าได้สูงสุดถึง 10 ปี ➡️ การขึ้นราคาครั้งนี้อาจเป็นผลจากยอดจดทะเบียนใหม่ที่ลดลง ➡️ การปรับราคาครั้งนี้เป็นแนวโน้มต่อเนื่อง หลังจาก .XYZ ก็เพิ่งขึ้นราคาไปก่อนหน้านี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Identity Digital เป็น registry ที่ดูแล TLD มากกว่า 200 รายการ รวมถึงโดเมนเฉพาะทาง ➡️ ราคาที่ registrar เสนอให้ลูกค้า มักขึ้นอยู่กับราคาขายส่งจาก registry ➡️ การต่ออายุล่วงหน้าเป็นวิธีที่นิยมใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นราคาในอนาคต ➡️ โดเมนเฉพาะทาง เช่น .BIO หรือ .MEDIA มักมีราคาสูงกว่าโดเมนทั่วไป ➡️ การเปลี่ยนแปลงราคาโดเมนส่งผลต่อธุรกิจขนาดเล็กที่มีหลายโดเมนในพอร์ต https://securityonline.info/heads-up-domain-owners-price-hikes-for-over-200-extensions-start-october-6/
    SECURITYONLINE.INFO
    Heads Up, Domain Owners: Price Hikes for Over 200 Extensions Start October 6
    Domain registrar NameCheap is raising prices on 231 domains, including .NEWS, .LIVE, and .WORLD, beginning Oct. 6, 2025. Renew now to avoid the price hike.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI ปะทะ AI — Microsoft สกัดมัลแวร์ SVG ที่สร้างโดย LLM ก่อนหลอกขโมยรหัสผ่านองค์กร”

    ในวันที่ AI กลายเป็นทั้งเครื่องมือป้องกันและอาวุธของผู้โจมตี Microsoft ได้เปิดเผยรายละเอียดของแคมเปญฟิชชิ่งที่ใช้โค้ดที่สร้างโดย LLM (Large Language Model) เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับแบบเดิม โดยมัลแวร์ถูกฝังในไฟล์ SVG ที่ปลอมตัวเป็น PDF และใช้เทคนิคการซ่อนข้อมูลที่ซับซ้อนจนแม้แต่นักวิเคราะห์ยังต้องพึ่ง AI เพื่อถอดรหัส

    แคมเปญนี้ถูกตรวจพบเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2025 โดยเริ่มจากบัญชีอีเมลของธุรกิจขนาดเล็กที่ถูกแฮก แล้วส่งอีเมลไปยังเหยื่อผ่านช่องทาง BCC เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ โดยแนบไฟล์ชื่อ “23mb – PDF-6 pages.svg” ซึ่งดูเหมือนเอกสารธุรกิจทั่วไป แต่เมื่อเปิดขึ้นจะพาไปยังหน้า CAPTCHA ปลอม ก่อนนำไปสู่หน้าขโมยรหัสผ่าน

    สิ่งที่ทำให้แคมเปญนี้โดดเด่นคือการใช้โค้ดที่ซับซ้อนเกินกว่าที่มนุษย์จะเขียนเองได้ เช่น การใช้คำศัพท์ธุรกิจอย่าง “revenue,” “operations,” และ “risk” ซ่อนอยู่ในแอตทริบิวต์ของ SVG และถูกแปลงเป็น payload ที่สามารถรันได้ รวมถึงการใช้ CDATA และ XML declaration ที่ถูกต้องแต่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโค้ดที่สร้างโดย AI

    Microsoft Security Copilot ซึ่งเป็นระบบ AI สำหรับวิเคราะห์ภัยคุกคาม ได้ตรวจพบลักษณะของโค้ดที่บ่งชี้ว่าเป็นผลผลิตของ LLM เช่น การตั้งชื่อฟังก์ชันที่ยาวเกินจำเป็น, โครงสร้างโค้ดแบบ modular ที่เกินความจำเป็น, และคอมเมนต์ที่เขียนด้วยภาษาทางธุรกิจอย่างเป็นทางการ

    แม้การโจมตีจะซับซ้อน แต่ Microsoft Defender for Office 365 ก็สามารถสกัดไว้ได้ โดยอาศัยการตรวจจับจากหลายปัจจัย เช่น ชื่อไฟล์ที่ผิดปกติ, การใช้ SVG เป็น payload, และพฤติกรรมการ redirect ที่ไม่ธรรมดา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ AI จะถูกใช้ในฝั่งผู้โจมตี แต่ก็สามารถถูกใช้ในฝั่งป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft ตรวจพบแคมเปญฟิชชิ่งที่ใช้โค้ดที่สร้างโดย LLM ฝังในไฟล์ SVG
    ไฟล์ SVG ปลอมตัวเป็น PDF และ redirect ไปยังหน้า CAPTCHA ปลอมก่อนขโมยรหัสผ่าน
    โค้ดมีลักษณะเฉพาะของ AI เช่น verbose naming, modular structure, และ business-style comments
    ใช้คำศัพท์ธุรกิจซ่อนในแอตทริบิวต์ของ SVG แล้วแปลงเป็น payload
    ใช้ CDATA และ XML declaration อย่างถูกต้องแต่ไม่จำเป็น
    อีเมลถูกส่งจากบัญชีที่ถูกแฮก โดยใช้ BCC เพื่อหลบการตรวจจับ
    Microsoft Defender for Office 365 สกัดการโจมตีได้สำเร็จ
    Security Copilot ใช้ AI วิเคราะห์และระบุว่าโค้ดไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เขียนเอง
    การตรวจจับอาศัยชื่อไฟล์, รูปแบบ SVG, redirect pattern และ session tracking

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SVG ถูกใช้เป็นช่องทางโจมตีมากขึ้น เพราะสามารถฝัง JavaScript และ HTML ได้
    LLM เช่น GPT สามารถสร้างโค้ดที่ซับซ้อนและหลบเลี่ยงการตรวจจับได้
    Security Copilot เป็นระบบ AI ที่ Microsoft พัฒนาเพื่อช่วยวิเคราะห์ภัยคุกคามแบบเรียลไทม์
    การใช้ CAPTCHA ปลอมเป็นเทคนิคที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือก่อนหลอกเหยื่อ
    การโจมตีแบบนี้สะท้อนแนวโน้ม “AI vs. AI” ที่ทั้งสองฝ่ายใช้เทคโนโลยีเดียวกัน

    https://securityonline.info/ai-vs-ai-microsoft-blocks-phishing-attack-using-llm-generated-obfuscated-code/
    🤖 “AI ปะทะ AI — Microsoft สกัดมัลแวร์ SVG ที่สร้างโดย LLM ก่อนหลอกขโมยรหัสผ่านองค์กร” ในวันที่ AI กลายเป็นทั้งเครื่องมือป้องกันและอาวุธของผู้โจมตี Microsoft ได้เปิดเผยรายละเอียดของแคมเปญฟิชชิ่งที่ใช้โค้ดที่สร้างโดย LLM (Large Language Model) เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับแบบเดิม โดยมัลแวร์ถูกฝังในไฟล์ SVG ที่ปลอมตัวเป็น PDF และใช้เทคนิคการซ่อนข้อมูลที่ซับซ้อนจนแม้แต่นักวิเคราะห์ยังต้องพึ่ง AI เพื่อถอดรหัส แคมเปญนี้ถูกตรวจพบเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2025 โดยเริ่มจากบัญชีอีเมลของธุรกิจขนาดเล็กที่ถูกแฮก แล้วส่งอีเมลไปยังเหยื่อผ่านช่องทาง BCC เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ โดยแนบไฟล์ชื่อ “23mb – PDF-6 pages.svg” ซึ่งดูเหมือนเอกสารธุรกิจทั่วไป แต่เมื่อเปิดขึ้นจะพาไปยังหน้า CAPTCHA ปลอม ก่อนนำไปสู่หน้าขโมยรหัสผ่าน สิ่งที่ทำให้แคมเปญนี้โดดเด่นคือการใช้โค้ดที่ซับซ้อนเกินกว่าที่มนุษย์จะเขียนเองได้ เช่น การใช้คำศัพท์ธุรกิจอย่าง “revenue,” “operations,” และ “risk” ซ่อนอยู่ในแอตทริบิวต์ของ SVG และถูกแปลงเป็น payload ที่สามารถรันได้ รวมถึงการใช้ CDATA และ XML declaration ที่ถูกต้องแต่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโค้ดที่สร้างโดย AI Microsoft Security Copilot ซึ่งเป็นระบบ AI สำหรับวิเคราะห์ภัยคุกคาม ได้ตรวจพบลักษณะของโค้ดที่บ่งชี้ว่าเป็นผลผลิตของ LLM เช่น การตั้งชื่อฟังก์ชันที่ยาวเกินจำเป็น, โครงสร้างโค้ดแบบ modular ที่เกินความจำเป็น, และคอมเมนต์ที่เขียนด้วยภาษาทางธุรกิจอย่างเป็นทางการ แม้การโจมตีจะซับซ้อน แต่ Microsoft Defender for Office 365 ก็สามารถสกัดไว้ได้ โดยอาศัยการตรวจจับจากหลายปัจจัย เช่น ชื่อไฟล์ที่ผิดปกติ, การใช้ SVG เป็น payload, และพฤติกรรมการ redirect ที่ไม่ธรรมดา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ AI จะถูกใช้ในฝั่งผู้โจมตี แต่ก็สามารถถูกใช้ในฝั่งป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft ตรวจพบแคมเปญฟิชชิ่งที่ใช้โค้ดที่สร้างโดย LLM ฝังในไฟล์ SVG ➡️ ไฟล์ SVG ปลอมตัวเป็น PDF และ redirect ไปยังหน้า CAPTCHA ปลอมก่อนขโมยรหัสผ่าน ➡️ โค้ดมีลักษณะเฉพาะของ AI เช่น verbose naming, modular structure, และ business-style comments ➡️ ใช้คำศัพท์ธุรกิจซ่อนในแอตทริบิวต์ของ SVG แล้วแปลงเป็น payload ➡️ ใช้ CDATA และ XML declaration อย่างถูกต้องแต่ไม่จำเป็น ➡️ อีเมลถูกส่งจากบัญชีที่ถูกแฮก โดยใช้ BCC เพื่อหลบการตรวจจับ ➡️ Microsoft Defender for Office 365 สกัดการโจมตีได้สำเร็จ ➡️ Security Copilot ใช้ AI วิเคราะห์และระบุว่าโค้ดไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เขียนเอง ➡️ การตรวจจับอาศัยชื่อไฟล์, รูปแบบ SVG, redirect pattern และ session tracking ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SVG ถูกใช้เป็นช่องทางโจมตีมากขึ้น เพราะสามารถฝัง JavaScript และ HTML ได้ ➡️ LLM เช่น GPT สามารถสร้างโค้ดที่ซับซ้อนและหลบเลี่ยงการตรวจจับได้ ➡️ Security Copilot เป็นระบบ AI ที่ Microsoft พัฒนาเพื่อช่วยวิเคราะห์ภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ➡️ การใช้ CAPTCHA ปลอมเป็นเทคนิคที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือก่อนหลอกเหยื่อ ➡️ การโจมตีแบบนี้สะท้อนแนวโน้ม “AI vs. AI” ที่ทั้งสองฝ่ายใช้เทคโนโลยีเดียวกัน https://securityonline.info/ai-vs-ai-microsoft-blocks-phishing-attack-using-llm-generated-obfuscated-code/
    SECURITYONLINE.INFO
    AI vs. AI: Microsoft Blocks Phishing Attack Using LLM-Generated Obfuscated Code
    Microsoft blocked a credential phishing campaign that used AI to generate complex, verbose code in an SVG file to obfuscate its payload and evade defenses.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • SMBs กับการก้าวสู่ยุค AI — โอกาสใหม่ที่มาพร้อมความลังเลและช่องว่างทักษะ

    ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMBs) กำลังหันมาใช้ AI เพื่อแก้ปัญหาการขาดเวลาและทรัพยากรในการเติบโต โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรที่ SMBs คิดเป็น 99% ของธุรกิจทั้งหมด อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความสนใจสูง แต่หลายองค์กรยังลังเลที่จะลงทุนเต็มตัว เนื่องจากขาดทักษะด้านดิจิทัลและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

    จากรายงานของ Amex และ Barclays พบว่า 28% ของผู้นำ SME ไม่สามารถหลุดจากงานประจำเพื่อวางแผนธุรกิจได้ และ 24% รู้สึกว่าไม่มีเวลาพอที่จะขยายกิจการ ทำให้ 43% ของธุรกิจขนาดเล็ก และ 53% ของธุรกิจขนาดกลาง วางแผนจะใช้ AI ภายใน 12 เดือนข้างหน้า โดยคาดหวังว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาทักษะยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ โดย 89% ของธุรกิจในสหราชอาณาจักรต้องการใช้ AI ภายใน 2 ปี แต่ยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี และยังมีความกังวลเรื่องต้นทุน ความปลอดภัยของข้อมูล และความคุ้มค่าการลงทุนในระยะยาว

    หลายองค์กรจึงหันไปลงทุนในด้านการฝึกอบรม (42%) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล (37%) และการวิจัยและพัฒนา (37%) เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ AI อย่างยั่งยืน แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคจากงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า และต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นก็ตาม

    SMBs หันมาใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเติบโต
    43% ของธุรกิจขนาดเล็ก และ 53% ของธุรกิจขนาดกลาง วางแผนใช้ AI ภายใน 12 เดือน
    60% คาดหวังผลประกอบการดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025

    ปัญหาทักษะและต้นทุนยังเป็นอุปสรรคหลัก
    89% ต้องการใช้ AI แต่ยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี
    30% กังวลเรื่องต้นทุน / 25% ไม่มั่นใจใน ROI / 27% ขาดความเชี่ยวชาญ

    ธุรกิจเริ่มลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อม
    42% ลงทุนในการฝึกอบรม / 37% พัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล / 37% ลงทุนใน R&D
    เน้นการใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล, คาดการณ์, ปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า

    AI ช่วยลดภาระงานประจำและเพิ่มเวลาสำหรับการวางแผน
    ช่วยให้ผู้บริหารหลุดจากงานประจำเพื่อโฟกัสการเติบโต
    เพิ่มความสามารถในการตัดสินใจและปรับตัวต่อเศรษฐกิจ

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ใน SMBs
    ขาดแผนการฝึกอบรมที่ชัดเจน อาจทำให้การใช้ AI ไม่เกิดผลลัพธ์
    ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและงบประมาณภาครัฐ อาจชะลอการลงทุน
    หากไม่มีการจัดการข้อมูลที่ดี AI อาจให้ผลลัพธ์ผิดพลาดหรือไม่ปลอดภัย
    การใช้ AI โดยไม่มี oversight อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพนักงาน

    https://www.techradar.com/pro/smbs-are-turning-to-ai-to-solve-their-problems-but-many-are-still-cautious-to-go-all-in
    📰 SMBs กับการก้าวสู่ยุค AI — โอกาสใหม่ที่มาพร้อมความลังเลและช่องว่างทักษะ ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMBs) กำลังหันมาใช้ AI เพื่อแก้ปัญหาการขาดเวลาและทรัพยากรในการเติบโต โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรที่ SMBs คิดเป็น 99% ของธุรกิจทั้งหมด อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความสนใจสูง แต่หลายองค์กรยังลังเลที่จะลงทุนเต็มตัว เนื่องจากขาดทักษะด้านดิจิทัลและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ จากรายงานของ Amex และ Barclays พบว่า 28% ของผู้นำ SME ไม่สามารถหลุดจากงานประจำเพื่อวางแผนธุรกิจได้ และ 24% รู้สึกว่าไม่มีเวลาพอที่จะขยายกิจการ ทำให้ 43% ของธุรกิจขนาดเล็ก และ 53% ของธุรกิจขนาดกลาง วางแผนจะใช้ AI ภายใน 12 เดือนข้างหน้า โดยคาดหวังว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 อย่างไรก็ตาม ปัญหาทักษะยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ โดย 89% ของธุรกิจในสหราชอาณาจักรต้องการใช้ AI ภายใน 2 ปี แต่ยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี และยังมีความกังวลเรื่องต้นทุน ความปลอดภัยของข้อมูล และความคุ้มค่าการลงทุนในระยะยาว หลายองค์กรจึงหันไปลงทุนในด้านการฝึกอบรม (42%) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล (37%) และการวิจัยและพัฒนา (37%) เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ AI อย่างยั่งยืน แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคจากงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า และต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นก็ตาม ✅ SMBs หันมาใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเติบโต ➡️ 43% ของธุรกิจขนาดเล็ก และ 53% ของธุรกิจขนาดกลาง วางแผนใช้ AI ภายใน 12 เดือน ➡️ 60% คาดหวังผลประกอบการดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 ✅ ปัญหาทักษะและต้นทุนยังเป็นอุปสรรคหลัก ➡️ 89% ต้องการใช้ AI แต่ยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี ➡️ 30% กังวลเรื่องต้นทุน / 25% ไม่มั่นใจใน ROI / 27% ขาดความเชี่ยวชาญ ✅ ธุรกิจเริ่มลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อม ➡️ 42% ลงทุนในการฝึกอบรม / 37% พัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล / 37% ลงทุนใน R&D ➡️ เน้นการใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล, คาดการณ์, ปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า ✅ AI ช่วยลดภาระงานประจำและเพิ่มเวลาสำหรับการวางแผน ➡️ ช่วยให้ผู้บริหารหลุดจากงานประจำเพื่อโฟกัสการเติบโต ➡️ เพิ่มความสามารถในการตัดสินใจและปรับตัวต่อเศรษฐกิจ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ใน SMBs ⛔ ขาดแผนการฝึกอบรมที่ชัดเจน อาจทำให้การใช้ AI ไม่เกิดผลลัพธ์ ⛔ ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและงบประมาณภาครัฐ อาจชะลอการลงทุน ⛔ หากไม่มีการจัดการข้อมูลที่ดี AI อาจให้ผลลัพธ์ผิดพลาดหรือไม่ปลอดภัย ⛔ การใช้ AI โดยไม่มี oversight อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพนักงาน https://www.techradar.com/pro/smbs-are-turning-to-ai-to-solve-their-problems-but-many-are-still-cautious-to-go-all-in
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • “xTool P3 เปิดตัวเลเซอร์ CO₂ อัจฉริยะ 80W — ปลดล็อกการผลิตอัตโนมัติสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและนักสร้างสรรค์”

    xTool ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องตัดและแกะสลักด้วยเลเซอร์ ได้เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด “xTool P3” ซึ่งเป็นเครื่องเลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W ที่มาพร้อมระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบและขุมพลัง AI เพื่อยกระดับการผลิตให้กับธุรกิจขนาดเล็ก (SMBs) และนักสร้างสรรค์ทั่วโลก

    P3 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น การตั้งค่าที่ยุ่งยาก ความเร็วในการตัดต่ำ การรองรับวัสดุจำกัด และระบบระบายความร้อนที่ไม่เสถียร โดยรุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น:

    - ระบบ Automated Creation System™ ที่ใช้กล้องคู่ความละเอียดสูงและ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแบบแม่นยำระดับ 0.0079 นิ้ว
    - ระบบ AutoLift Base ที่ปรับความสูงและโฟกัสโดยอัตโนมัติ
    - AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวที่ช่วยจัดการ workflow แบบ end-to-end
    - ความสามารถในการตัดวัสดุหนาถึง 26 มม. ด้วยความเร็วสูงสุด 1200 มม./วินาที

    นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น RA3 Smart Rotary สำหรับงานทรงกระบอก และ Intelligent Conveyor Feeder สำหรับงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง พร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น Active Fire Detection และ SafetyPro Air Purifier

    xTool P3 วางจำหน่ายแล้วในราคาเปิดตัว $6,399 พร้อมส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปีของแบรนด์ ซึ่งลดสูงสุดถึง $1,985

    จุดเด่นของ xTool P3
    เลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W พร้อมเลเซอร์อินฟราเรด 5W สำหรับวัสดุโลหะ
    ระบบ ACS™ ใช้กล้องคู่และ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแม่นยำ
    AutoLift Base ปรับความสูงและโฟกัสโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยมือ
    รองรับวัสดุหนาถึง 26 มม. และพื้นที่ทำงานขนาด 24x59 นิ้ว

    ฟีเจอร์อัจฉริยะและอุปกรณ์เสริม
    AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวช่วยจัดการ workflow แบบอัตโนมัติ
    RA3 Smart Rotary ใช้ LiDAR 360° สร้างโมเดล 3D สำหรับงานทรงกระบอก
    Intelligent Conveyor Feeder ช่วยสร้างงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง
    ระบบความปลอดภัย: Active Fire Detection, SafetyPro Air Purifier, Water Chiller

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    xTool P3 เป็นเครื่องแรกที่ใช้ระบบ “load & leave” — ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน
    ระบบ Auto-Nesting และ Batch Fill ช่วยลดการสูญเสียวัสดุ
    เหมาะสำหรับงานไม้, อะคริลิก, เครื่องประดับ, ของตกแต่งบ้าน และงานโลหะบาง
    มีส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปี ลดสูงสุดถึง $1,985

    https://www.slashgear.com/sponsored/1970184/xtool-p3-co2-laser-automation-small-businesses-makers/
    🔧 “xTool P3 เปิดตัวเลเซอร์ CO₂ อัจฉริยะ 80W — ปลดล็อกการผลิตอัตโนมัติสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและนักสร้างสรรค์” xTool ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องตัดและแกะสลักด้วยเลเซอร์ ได้เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด “xTool P3” ซึ่งเป็นเครื่องเลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W ที่มาพร้อมระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบและขุมพลัง AI เพื่อยกระดับการผลิตให้กับธุรกิจขนาดเล็ก (SMBs) และนักสร้างสรรค์ทั่วโลก P3 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น การตั้งค่าที่ยุ่งยาก ความเร็วในการตัดต่ำ การรองรับวัสดุจำกัด และระบบระบายความร้อนที่ไม่เสถียร โดยรุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น: - ระบบ Automated Creation System™ ที่ใช้กล้องคู่ความละเอียดสูงและ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแบบแม่นยำระดับ 0.0079 นิ้ว - ระบบ AutoLift Base ที่ปรับความสูงและโฟกัสโดยอัตโนมัติ - AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวที่ช่วยจัดการ workflow แบบ end-to-end - ความสามารถในการตัดวัสดุหนาถึง 26 มม. ด้วยความเร็วสูงสุด 1200 มม./วินาที นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น RA3 Smart Rotary สำหรับงานทรงกระบอก และ Intelligent Conveyor Feeder สำหรับงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง พร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น Active Fire Detection และ SafetyPro Air Purifier xTool P3 วางจำหน่ายแล้วในราคาเปิดตัว $6,399 พร้อมส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปีของแบรนด์ ซึ่งลดสูงสุดถึง $1,985 ✅ จุดเด่นของ xTool P3 ➡️ เลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W พร้อมเลเซอร์อินฟราเรด 5W สำหรับวัสดุโลหะ ➡️ ระบบ ACS™ ใช้กล้องคู่และ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแม่นยำ ➡️ AutoLift Base ปรับความสูงและโฟกัสโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยมือ ➡️ รองรับวัสดุหนาถึง 26 มม. และพื้นที่ทำงานขนาด 24x59 นิ้ว ✅ ฟีเจอร์อัจฉริยะและอุปกรณ์เสริม ➡️ AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวช่วยจัดการ workflow แบบอัตโนมัติ ➡️ RA3 Smart Rotary ใช้ LiDAR 360° สร้างโมเดล 3D สำหรับงานทรงกระบอก ➡️ Intelligent Conveyor Feeder ช่วยสร้างงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง ➡️ ระบบความปลอดภัย: Active Fire Detection, SafetyPro Air Purifier, Water Chiller ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ xTool P3 เป็นเครื่องแรกที่ใช้ระบบ “load & leave” — ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน ➡️ ระบบ Auto-Nesting และ Batch Fill ช่วยลดการสูญเสียวัสดุ ➡️ เหมาะสำหรับงานไม้, อะคริลิก, เครื่องประดับ, ของตกแต่งบ้าน และงานโลหะบาง ➡️ มีส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปี ลดสูงสุดถึง $1,985 https://www.slashgear.com/sponsored/1970184/xtool-p3-co2-laser-automation-small-businesses-makers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    xTool P3: Industrial-Grade 80W CO₂ Laser Brings Automation To SMBs And Makers - SlashGear
    Whether you're a small business owner or just a creative with a workshop, a laser machine can upgrade your setup. Find out what makes the xTool P3 so special.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Firewalla อัปเดตใหม่หลอกลูกให้เลิกเล่นมือถือด้วย ‘เน็ตช้า’ — เมื่อการควบคุมพฤติกรรมดิจิทัลไม่ต้องใช้คำสั่ง แต่ใช้ความรู้สึก”

    ในยุคที่เด็ก ๆ ใช้เวลาบนหน้าจอมากกว่าการเล่นกลางแจ้ง Firewalla แอปจัดการเครือข่ายและความปลอดภัยสำหรับครอบครัว ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน 1.66 ที่ชื่อว่า “Disturb” ซึ่งใช้วิธีแปลกใหม่ในการควบคุมพฤติกรรมการใช้งานมือถือของเด็ก ๆ โดยไม่ต้องบล็อกแอปหรือปิดอินเทอร์เน็ต — แต่ใช้การ “หลอกว่าเน็ตช้า” เพื่อให้เด็กเบื่อและเลิกเล่นไปเอง

    ฟีเจอร์นี้จะจำลองอาการอินเทอร์เน็ตช้า เช่น การบัฟเฟอร์ การโหลดช้า หรือดีเลย์ในการใช้งานแอปยอดนิยมอย่าง Snapchat โดยไม่แจ้งให้ผู้ใช้รู้ว่าเป็นการตั้งใจ ทำให้เด็กเข้าใจว่าเป็นปัญหาทางเทคนิค และเลือกที่จะหยุดใช้งานเอง ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจแบบนุ่มนวลมากกว่าการลงโทษ

    นอกจากฟีเจอร์ Disturb แล้ว Firewalla ยังเพิ่มความสามารถด้านความปลอดภัย เช่น “Device Active Protect” ที่ใช้แนวคิด Zero Trust ในการเรียนรู้พฤติกรรมของอุปกรณ์ และบล็อกกิจกรรมที่ผิดปกติโดยอัตโนมัติ รวมถึงการเชื่อมต่อกับระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบเปิดอย่าง Suricata เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับมัลแวร์และการโจมตีเครือข่าย

    สำหรับผู้ใช้งานระดับบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก Firewalla ยังเพิ่มฟีเจอร์ Multi-WAN Data Usage Tracking ที่สามารถติดตามการใช้งานอินเทอร์เน็ตจากหลายสายพร้อมกัน พร้อมระบบแจ้งเตือนและรายงานแบบละเอียด

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Firewalla App 1.66
    “Disturb” จำลองอินเทอร์เน็ตช้าเพื่อเบี่ยงเบนพฤติกรรมเด็กจากการใช้แอป
    ไม่บล็อกแอปโดยตรง แต่สร้างความรู้สึกว่าเน็ตไม่เสถียร
    ใช้กับแอปที่ใช้เวลานาน เช่น Snapchat, TikTok, YouTube
    เป็นวิธีควบคุมแบบนุ่มนวล ไม่ใช่การลงโทษ

    ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม
    “Device Active Protect” ใช้ Zero Trust เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมอุปกรณ์
    บล็อกกิจกรรมที่ผิดปกติโดยไม่ต้องตั้งค่ากฎเอง
    เชื่อมต่อกับ Suricata เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับภัย
    เพิ่มระบบ FireAI วิเคราะห์เหตุการณ์เครือข่ายแบบเรียลไทม์

    ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ระดับบ้านและธุรกิจ
    Multi-WAN Data Usage Tracking ติดตามการใช้งานอินเทอร์เน็ตหลายสาย
    มีระบบแจ้งเตือนเมื่อใช้งานเกินขีดจำกัด
    รายงานการใช้งานแบบละเอียดสำหรับการวางแผนเครือข่าย
    รองรับการใช้งานในบ้านที่มีหลายอุปกรณ์หรือหลายเครือข่าย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Suricata เป็นระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบ open-source ที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่
    Zero Trust เป็นแนวคิดด้านความปลอดภัยที่ไม่เชื่อถืออุปกรณ์ใด ๆ โดยอัตโนมัติ
    Firewalla ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเครือข่ายภายในบ้าน
    ฟีเจอร์ Disturb อาจเป็นต้นแบบของการควบคุมพฤติกรรมเชิงจิตวิทยาในยุคดิจิทัล

    https://www.techradar.com/pro/phone-communications/this-security-app-deliberately-slows-down-internet-speeds-to-encourage-your-kids-to-log-off-their-snapchat-accounts
    📱 “Firewalla อัปเดตใหม่หลอกลูกให้เลิกเล่นมือถือด้วย ‘เน็ตช้า’ — เมื่อการควบคุมพฤติกรรมดิจิทัลไม่ต้องใช้คำสั่ง แต่ใช้ความรู้สึก” ในยุคที่เด็ก ๆ ใช้เวลาบนหน้าจอมากกว่าการเล่นกลางแจ้ง Firewalla แอปจัดการเครือข่ายและความปลอดภัยสำหรับครอบครัว ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน 1.66 ที่ชื่อว่า “Disturb” ซึ่งใช้วิธีแปลกใหม่ในการควบคุมพฤติกรรมการใช้งานมือถือของเด็ก ๆ โดยไม่ต้องบล็อกแอปหรือปิดอินเทอร์เน็ต — แต่ใช้การ “หลอกว่าเน็ตช้า” เพื่อให้เด็กเบื่อและเลิกเล่นไปเอง ฟีเจอร์นี้จะจำลองอาการอินเทอร์เน็ตช้า เช่น การบัฟเฟอร์ การโหลดช้า หรือดีเลย์ในการใช้งานแอปยอดนิยมอย่าง Snapchat โดยไม่แจ้งให้ผู้ใช้รู้ว่าเป็นการตั้งใจ ทำให้เด็กเข้าใจว่าเป็นปัญหาทางเทคนิค และเลือกที่จะหยุดใช้งานเอง ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจแบบนุ่มนวลมากกว่าการลงโทษ นอกจากฟีเจอร์ Disturb แล้ว Firewalla ยังเพิ่มความสามารถด้านความปลอดภัย เช่น “Device Active Protect” ที่ใช้แนวคิด Zero Trust ในการเรียนรู้พฤติกรรมของอุปกรณ์ และบล็อกกิจกรรมที่ผิดปกติโดยอัตโนมัติ รวมถึงการเชื่อมต่อกับระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบเปิดอย่าง Suricata เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับมัลแวร์และการโจมตีเครือข่าย สำหรับผู้ใช้งานระดับบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก Firewalla ยังเพิ่มฟีเจอร์ Multi-WAN Data Usage Tracking ที่สามารถติดตามการใช้งานอินเทอร์เน็ตจากหลายสายพร้อมกัน พร้อมระบบแจ้งเตือนและรายงานแบบละเอียด ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Firewalla App 1.66 ➡️ “Disturb” จำลองอินเทอร์เน็ตช้าเพื่อเบี่ยงเบนพฤติกรรมเด็กจากการใช้แอป ➡️ ไม่บล็อกแอปโดยตรง แต่สร้างความรู้สึกว่าเน็ตไม่เสถียร ➡️ ใช้กับแอปที่ใช้เวลานาน เช่น Snapchat, TikTok, YouTube ➡️ เป็นวิธีควบคุมแบบนุ่มนวล ไม่ใช่การลงโทษ ✅ ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม ➡️ “Device Active Protect” ใช้ Zero Trust เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมอุปกรณ์ ➡️ บล็อกกิจกรรมที่ผิดปกติโดยไม่ต้องตั้งค่ากฎเอง ➡️ เชื่อมต่อกับ Suricata เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับภัย ➡️ เพิ่มระบบ FireAI วิเคราะห์เหตุการณ์เครือข่ายแบบเรียลไทม์ ✅ ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ระดับบ้านและธุรกิจ ➡️ Multi-WAN Data Usage Tracking ติดตามการใช้งานอินเทอร์เน็ตหลายสาย ➡️ มีระบบแจ้งเตือนเมื่อใช้งานเกินขีดจำกัด ➡️ รายงานการใช้งานแบบละเอียดสำหรับการวางแผนเครือข่าย ➡️ รองรับการใช้งานในบ้านที่มีหลายอุปกรณ์หรือหลายเครือข่าย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Suricata เป็นระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบ open-source ที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ Zero Trust เป็นแนวคิดด้านความปลอดภัยที่ไม่เชื่อถืออุปกรณ์ใด ๆ โดยอัตโนมัติ ➡️ Firewalla ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเครือข่ายภายในบ้าน ➡️ ฟีเจอร์ Disturb อาจเป็นต้นแบบของการควบคุมพฤติกรรมเชิงจิตวิทยาในยุคดิจิทัล https://www.techradar.com/pro/phone-communications/this-security-app-deliberately-slows-down-internet-speeds-to-encourage-your-kids-to-log-off-their-snapchat-accounts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำธุรกิจต้องไว! เครื่องบดถ้วยรุ่น 500 กรัม BONNY ตัวเดียวจบทุกงาน!
    การทำผงวัตถุดิบแห้งให้ได้คุณภาพไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป! เครื่องบดถ้วยรุ่น 500 กรัม BONNY ช่วยให้การทำงานของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว
    - ทรงพลัง: กำลังไฟ 1,400W บดได้ละเอียดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพร เมล็ดกาแฟ หรือธัญพืช
    - รวดเร็ว: ความเร็ว 25,000 รอบ/นาที ประหยัดเวลาทำงาน เพิ่มกำลังการผลิต
    - คุ้มค่า: ความจุ 500g เหมาะสำหรับงานหลากหลาย ตอบโจทย์ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง
    ลงทุนครั้งเดียว แต่คุ้มค่าเกินราคาแน่นอน!
    ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชท Facebook: m.me/yonghahheng
    LINE Business ID: @588okjbj (มี @ ข้างหน้า) หรือ https://lin.ee/HV4lSKp
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-318-9098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    E-mail: sales@yoryonghahheng.com และ yonghahheng@gmail.com
    เวลาเปิดทำการ:
    จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น.
    เสาร์: 8.00 - 16.00 น.
    #เลือกคุณภาพ #เลือกBONNY #เครื่องบดสมุนไพร #บดแห้ง #เครื่องบดยา #ผงสมุนไพร #เครื่องบดอาหารแห้ง #เครื่องบดความเร็วสูง #ธุรกิจขนาดเล็ก #อุปกรณ์ทำอาหาร #สมุนไพร #เครื่องเทศ #เครื่องบดละเอียด #เครื่องบดอเนกประสงค์ #เครื่องบดพริก #เครื่องบดกาแฟ #เครื่องบดธัญพืช #เครื่องบดสมุนไพรผง #เครื่องบดสแตนเลส #เครื่องบดไฟฟ้า #เครื่องบดเมล็ดพืช #เครื่องบดวัตถุดิบ #เครื่องบดเครื่องเทศ #บดผง #อุปกรณ์ทำครัว #เครื่องบด #เครื่องบดอาหาร #ของแห้ง
    ทำธุรกิจต้องไว! 🚀 เครื่องบดถ้วยรุ่น 500 กรัม BONNY ตัวเดียวจบทุกงาน! การทำผงวัตถุดิบแห้งให้ได้คุณภาพไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป! เครื่องบดถ้วยรุ่น 500 กรัม BONNY ช่วยให้การทำงานของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว 💨 - ทรงพลัง: กำลังไฟ 1,400W บดได้ละเอียดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพร เมล็ดกาแฟ หรือธัญพืช 🌾 - รวดเร็ว: ความเร็ว 25,000 รอบ/นาที ประหยัดเวลาทำงาน เพิ่มกำลังการผลิต 📈 - คุ้มค่า: ความจุ 500g เหมาะสำหรับงานหลากหลาย ตอบโจทย์ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง 👍 ลงทุนครั้งเดียว แต่คุ้มค่าเกินราคาแน่นอน! ✨ ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 📍 แชท Facebook: m.me/yonghahheng 💬 LINE Business ID: @588okjbj (มี @ ข้างหน้า) หรือ https://lin.ee/HV4lSKp 📱 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-318-9098 📞 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com 💻 E-mail: sales@yoryonghahheng.com และ yonghahheng@gmail.com 📧 เวลาเปิดทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น. เสาร์: 8.00 - 16.00 น. #เลือกคุณภาพ #เลือกBONNY #เครื่องบดสมุนไพร #บดแห้ง #เครื่องบดยา #ผงสมุนไพร #เครื่องบดอาหารแห้ง #เครื่องบดความเร็วสูง #ธุรกิจขนาดเล็ก #อุปกรณ์ทำอาหาร #สมุนไพร #เครื่องเทศ #เครื่องบดละเอียด #เครื่องบดอเนกประสงค์ #เครื่องบดพริก #เครื่องบดกาแฟ #เครื่องบดธัญพืช #เครื่องบดสมุนไพรผง #เครื่องบดสแตนเลส #เครื่องบดไฟฟ้า #เครื่องบดเมล็ดพืช #เครื่องบดวัตถุดิบ #เครื่องบดเครื่องเทศ #บดผง #อุปกรณ์ทำครัว #เครื่องบด #เครื่องบดอาหาร #ของแห้ง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 575 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก AI Search: เมื่อ Hostinger แซง AWS และ GoDaddy ส่วน Wix ครองใจคนสร้างเว็บแบบง่ายที่สุด

    ข้อมูลล่าสุดจาก Similarweb และ Google Trends เผยว่า Hostinger มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้งในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่า AWS ถึง 3 เท่า และแซง GoDaddy อย่างชัดเจน แม้จะเป็นแบรนด์เล็กกว่าในแง่โครงสร้างพื้นฐาน แต่ Hostinger กลับกลายเป็น “ชื่อที่ AI แนะนำ” บ่อยที่สุดเมื่อผู้ใช้ถามหาเว็บโฮสติ้ง

    สิ่งที่ผลักดัน Hostinger คือการผสานบริการโฮสติ้งเข้ากับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบ AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วหลังจากเข้าซื้อ Zyro โดยเน้นความง่าย ราคาถูก และการใช้งานที่ไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก

    ในขณะเดียวกัน Wix ยังคงครองตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มผู้สร้างเว็บไซต์ โดยมีการโต้ตอบมากกว่า 450,000 ครั้งใน AI search ซึ่งมากกว่า Squarespace ถึง 5 เท่า และเหนือกว่า Weebly อย่างชัดเจน จุดแข็งของ Wix คือระบบ drag-and-drop, เทมเพลตมากกว่า 900 แบบ, และระบบ design automation ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้างเว็บไซต์ได้ในไม่กี่นาที

    แม้ตัวเลขการปรากฏใน AI search จะไม่เท่ากับยอดขายหรือรายได้โดยตรง แต่ก็สะท้อนถึง “mindshare” หรือการรับรู้แบรนด์ในยุคที่ผู้ใช้พึ่งพา AI ในการค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ

    Hostinger ครองอันดับสูงสุดใน AI search
    มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้ง
    แซง AWS (ต่ำกว่า 500,000 ครั้ง) และ GoDaddy อย่างชัดเจน
    ได้รับการเชื่อมโยงกับบริการ AI website builder อย่างต่อเนื่อง

    Wix ยังคงเป็นผู้นำด้านการสร้างเว็บไซต์
    มีการโต้ตอบใน AI search มากกว่า 450,000 ครั้ง
    ใช้ระบบ drag-and-drop, automation, และ e-commerce tools
    เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความง่าย

    การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้ใช้
    AI search กลายเป็นช่องทางหลักในการค้นหาบริการดิจิทัล
    ความถี่ในการปรากฏใน AI search เริ่มกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ
    ผู้ใช้ให้ความสำคัญกับความง่ายและความเร็วมากกว่าความลึกทางเทคนิค

    การแข่งขันในตลาดสร้างเว็บไซต์
    Squarespace และ Weebly ยังอยู่ในอันดับรอง แต่มีการโต้ตอบน้อยกว่า Wix
    Hostinger เริ่มแย่งพื้นที่จากผู้เล่นเก่าในกลุ่ม website builder
    การรวม hosting + AI builder กลายเป็นแนวโน้มใหม่ของตลาด

    https://www.techradar.com/pro/hostinger-is-the-top-performing-web-hosting-firm-in-ai-search-while-wix-takes-top-trumps-for-website-builders
    🎙️ เรื่องเล่าจาก AI Search: เมื่อ Hostinger แซง AWS และ GoDaddy ส่วน Wix ครองใจคนสร้างเว็บแบบง่ายที่สุด ข้อมูลล่าสุดจาก Similarweb และ Google Trends เผยว่า Hostinger มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้งในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่า AWS ถึง 3 เท่า และแซง GoDaddy อย่างชัดเจน แม้จะเป็นแบรนด์เล็กกว่าในแง่โครงสร้างพื้นฐาน แต่ Hostinger กลับกลายเป็น “ชื่อที่ AI แนะนำ” บ่อยที่สุดเมื่อผู้ใช้ถามหาเว็บโฮสติ้ง สิ่งที่ผลักดัน Hostinger คือการผสานบริการโฮสติ้งเข้ากับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบ AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วหลังจากเข้าซื้อ Zyro โดยเน้นความง่าย ราคาถูก และการใช้งานที่ไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก ในขณะเดียวกัน Wix ยังคงครองตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มผู้สร้างเว็บไซต์ โดยมีการโต้ตอบมากกว่า 450,000 ครั้งใน AI search ซึ่งมากกว่า Squarespace ถึง 5 เท่า และเหนือกว่า Weebly อย่างชัดเจน จุดแข็งของ Wix คือระบบ drag-and-drop, เทมเพลตมากกว่า 900 แบบ, และระบบ design automation ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้างเว็บไซต์ได้ในไม่กี่นาที แม้ตัวเลขการปรากฏใน AI search จะไม่เท่ากับยอดขายหรือรายได้โดยตรง แต่ก็สะท้อนถึง “mindshare” หรือการรับรู้แบรนด์ในยุคที่ผู้ใช้พึ่งพา AI ในการค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ ✅ Hostinger ครองอันดับสูงสุดใน AI search ➡️ มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้ง ➡️ แซง AWS (ต่ำกว่า 500,000 ครั้ง) และ GoDaddy อย่างชัดเจน ➡️ ได้รับการเชื่อมโยงกับบริการ AI website builder อย่างต่อเนื่อง ✅ Wix ยังคงเป็นผู้นำด้านการสร้างเว็บไซต์ ➡️ มีการโต้ตอบใน AI search มากกว่า 450,000 ครั้ง ➡️ ใช้ระบบ drag-and-drop, automation, และ e-commerce tools ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความง่าย ✅ การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้ใช้ ➡️ AI search กลายเป็นช่องทางหลักในการค้นหาบริการดิจิทัล ➡️ ความถี่ในการปรากฏใน AI search เริ่มกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ ➡️ ผู้ใช้ให้ความสำคัญกับความง่ายและความเร็วมากกว่าความลึกทางเทคนิค ✅ การแข่งขันในตลาดสร้างเว็บไซต์ ➡️ Squarespace และ Weebly ยังอยู่ในอันดับรอง แต่มีการโต้ตอบน้อยกว่า Wix ➡️ Hostinger เริ่มแย่งพื้นที่จากผู้เล่นเก่าในกลุ่ม website builder ➡️ การรวม hosting + AI builder กลายเป็นแนวโน้มใหม่ของตลาด https://www.techradar.com/pro/hostinger-is-the-top-performing-web-hosting-firm-in-ai-search-while-wix-takes-top-trumps-for-website-builders
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงเองก็ไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ !!

    เรื่องเล่าจาก Synology: จาก NAS ที่เคยรัก สู่ระบบที่บังคับให้รักแบบมีเงื่อนไข

    ผู้ใช้ Synology หลายคน รวมถึงนักเขียนจาก LowEndBox ที่เคยหลงรักความเงียบ ประหยัดพลังงาน และความเสถียรของ NAS รุ่น DS920, DS418 และ DS1522 กำลังรู้สึกผิดหวังอย่างหนัก เพราะ Synology ได้เปลี่ยนนโยบายหลายอย่างที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า “ถูกบังคับ” มากกว่าการได้รับอิสระ

    เริ่มจากข้อจำกัดด้าน Samba ที่หลายคนคิดว่าเป็นแค่การตั้งค่าใน smb.conf แต่จริง ๆ แล้ว Synology ใช้ wrapper พิเศษที่จำกัดจำนวนการเชื่อมต่อแบบ concurrent โดยไม่เปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง

    ที่หนักกว่านั้นคือการเปลี่ยนนโยบายด้านฮาร์ดดิสก์: Synology ประกาศว่า NAS รุ่นใหม่ในปี 2025 จะ “ไม่ยอมรับ” ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ใช่ของ Synology หรือไม่ได้รับการรับรอง แม้จะเป็น WD Black ที่มีคุณภาพสูงและรับประกัน 5 ปี ก็อาจถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้งานเลย

    นโยบายนี้เริ่มจากรุ่น enterprise และ rack-mounted แต่ตอนนี้ขยายมาถึงรุ่น Plus ที่เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้หลายคนเริ่มหันไปมองทางเลือกอื่น เช่น TrueNAS, Unraid, Buffalo หรือแม้แต่ Raspberry Pi ที่ให้ความยืดหยุ่นมากกว่า

    การจำกัดการเชื่อมต่อ Samba
    Synology ใช้ wrapper พิเศษรอบ daemon เพื่อจำกัด concurrent connections
    ไม่สามารถปรับแต่งจำนวน connection ได้จาก smb.conf โดยตรง

    นโยบายฮาร์ดดิสก์แบบผูกขาด
    NAS รุ่นใหม่ในปี 2025 จะรองรับเฉพาะฮาร์ดดิสก์ของ Synology หรือที่ได้รับการรับรอง
    ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ผ่านการรับรองจะไม่สามารถสร้าง storage pool ได้
    ฟีเจอร์บางอย่างจะถูกปิด เช่น deduplication, lifespan analysis, และ firmware update อัตโนมัติ
    รุ่น Plus ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ DS925+, DS1825+ และรุ่นใหม่อื่น ๆ
    รุ่นก่อนปี 2025 เช่น DS1522+ ยังไม่ถูกบังคับใช้

    เหตุผลที่ Synology ให้ไว้
    เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพในการใช้งานระยะยาว
    ลดปัญหาการสนับสนุนจากการใช้ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่เข้ากัน
    เพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุนการดูแลระบบ

    ทางเลือกอื่นที่ผู้ใช้กำลังพิจารณา
    TrueNAS และ Unraid ที่ให้ความยืดหยุ่นในการเลือกฮาร์ดแวร์
    UGREEN DXP 6800 Pro ที่รองรับ Unraid/Proxmox และมีสเปกแรงในราคาคุ้มค่า
    Raspberry Pi + USB HDD สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบเล็ก ประหยัดพลังงาน

    https://lowendbox.com/blog/they-used-to-be-good-but-now-theyve-turned-to-evil-the-synology-end-game/
    ลุงเองก็ไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ !! 🎙️ เรื่องเล่าจาก Synology: จาก NAS ที่เคยรัก สู่ระบบที่บังคับให้รักแบบมีเงื่อนไข ผู้ใช้ Synology หลายคน รวมถึงนักเขียนจาก LowEndBox ที่เคยหลงรักความเงียบ ประหยัดพลังงาน และความเสถียรของ NAS รุ่น DS920, DS418 และ DS1522 กำลังรู้สึกผิดหวังอย่างหนัก เพราะ Synology ได้เปลี่ยนนโยบายหลายอย่างที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า “ถูกบังคับ” มากกว่าการได้รับอิสระ เริ่มจากข้อจำกัดด้าน Samba ที่หลายคนคิดว่าเป็นแค่การตั้งค่าใน smb.conf แต่จริง ๆ แล้ว Synology ใช้ wrapper พิเศษที่จำกัดจำนวนการเชื่อมต่อแบบ concurrent โดยไม่เปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง ที่หนักกว่านั้นคือการเปลี่ยนนโยบายด้านฮาร์ดดิสก์: Synology ประกาศว่า NAS รุ่นใหม่ในปี 2025 จะ “ไม่ยอมรับ” ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ใช่ของ Synology หรือไม่ได้รับการรับรอง แม้จะเป็น WD Black ที่มีคุณภาพสูงและรับประกัน 5 ปี ก็อาจถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้งานเลย นโยบายนี้เริ่มจากรุ่น enterprise และ rack-mounted แต่ตอนนี้ขยายมาถึงรุ่น Plus ที่เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้หลายคนเริ่มหันไปมองทางเลือกอื่น เช่น TrueNAS, Unraid, Buffalo หรือแม้แต่ Raspberry Pi ที่ให้ความยืดหยุ่นมากกว่า ✅ การจำกัดการเชื่อมต่อ Samba ➡️ Synology ใช้ wrapper พิเศษรอบ daemon เพื่อจำกัด concurrent connections ➡️ ไม่สามารถปรับแต่งจำนวน connection ได้จาก smb.conf โดยตรง ✅ นโยบายฮาร์ดดิสก์แบบผูกขาด ➡️ NAS รุ่นใหม่ในปี 2025 จะรองรับเฉพาะฮาร์ดดิสก์ของ Synology หรือที่ได้รับการรับรอง ➡️ ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ผ่านการรับรองจะไม่สามารถสร้าง storage pool ได้ ➡️ ฟีเจอร์บางอย่างจะถูกปิด เช่น deduplication, lifespan analysis, และ firmware update อัตโนมัติ ➡️ รุ่น Plus ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ DS925+, DS1825+ และรุ่นใหม่อื่น ๆ ➡️ รุ่นก่อนปี 2025 เช่น DS1522+ ยังไม่ถูกบังคับใช้ ✅ เหตุผลที่ Synology ให้ไว้ ➡️ เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพในการใช้งานระยะยาว ➡️ ลดปัญหาการสนับสนุนจากการใช้ฮาร์ดดิสก์ที่ไม่เข้ากัน ➡️ เพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุนการดูแลระบบ ✅ ทางเลือกอื่นที่ผู้ใช้กำลังพิจารณา ➡️ TrueNAS และ Unraid ที่ให้ความยืดหยุ่นในการเลือกฮาร์ดแวร์ ➡️ UGREEN DXP 6800 Pro ที่รองรับ Unraid/Proxmox และมีสเปกแรงในราคาคุ้มค่า ➡️ Raspberry Pi + USB HDD สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบเล็ก ประหยัดพลังงาน https://lowendbox.com/blog/they-used-to-be-good-but-now-theyve-turned-to-evil-the-synology-end-game/
    LOWENDBOX.COM
    They Used to Be Good, But Now They've Turned to Evil: The Synology End Game
    Find the best cheap server hosting and the best cheap vps hosting, where you only pay a few dollars a month, exclusively on LowEndBox
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI : คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส

    เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต

    เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout และการซื้อขายออนไลน์ เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า

    เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม

    ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน

    ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร

    ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI

    เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป

    1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป

    2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา

    3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer

    เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ

    สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI 🤖: 📚 คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี 🙎‍♂️ ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง🤞 การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก🌏 รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส 🌞 เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" ⁉️ มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย 🙏 ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย 👴 ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ📉 ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต 🔮 เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout 🏧 และการซื้อขายออนไลน์ 🌐 เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot 🤖 และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ 🚗 และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น 🧑‍⚕️ แพทย์ 👩‍🔬นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ 👩‍🏫 ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา 🧘 การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม 💪 ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน 💷💶💵 ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง 📊 ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร 🧍‍♂️ ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด 🏫 มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th 🌐 ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane 🕸️ นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป 1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ 👩‍💻 เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป 2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ 👨‍🏭 ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา 3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก 🏓 โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ 🗝️ สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 738 มุมมอง 0 รีวิว
  • GodRAT – มัลแวร์ที่แฝงตัวในภาพ ส่งผ่าน Skype เพื่อเจาะระบบธุรกิจ

    ในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Kaspersky ได้ค้นพบมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า “GodRAT” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ผ่านแอป Skype เพื่อเจาะระบบของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMBs) ในตะวันออกกลางและเอเชีย

    GodRAT ถูกซ่อนไว้ในไฟล์ภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน โดยใช้เทคนิค “steganography” เพื่อฝัง shellcode ที่เมื่อเปิดใช้งาน จะดาวน์โหลดมัลแวร์จากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี

    เมื่อมัลแวร์เข้าสู่ระบบ มันจะเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น ระบบปฏิบัติการ ชื่อโฮสต์ รายชื่อโปรแกรมป้องกันไวรัส และบัญชีผู้ใช้ จากนั้นสามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น ตัวขโมยรหัสผ่าน หรือโปรแกรมสำรวจไฟล์ และในบางกรณี ยังมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างถาวร

    นักวิจัยเชื่อว่า GodRAT เป็นวิวัฒนาการของมัลแวร์ AwesomePuppet ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ Winnti (APT41) โดยมีโค้ดคล้ายกับ Gh0st RAT ซึ่งเป็นมัลแวร์เก่าที่ถูกใช้มานานกว่า 15 ปี

    แม้ว่า Skype จะไม่ใช่ช่องทางหลักในการทำงานอีกต่อไป แต่การใช้แอปที่ไม่ปลอดภัยยังคงเป็นช่องโหว่สำคัญที่องค์กรต้องระวัง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Kaspersky พบมัลแวร์ใหม่ชื่อ GodRAT ถูกส่งผ่าน Skype ในรูปแบบไฟล์ screensaver
    ใช้เทคนิค steganography ซ่อน shellcode ในภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน
    เมื่อเปิดไฟล์ มัลแวร์จะดาวน์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี
    GodRAT เก็บข้อมูลระบบ เช่น OS, hostname, antivirus, และบัญชีผู้ใช้
    สามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น FileManager และ password stealer
    บางกรณีมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง
    เหยื่อส่วนใหญ่คือ SMBs ใน UAE, ฮ่องกง, จอร์แดน และเลบานอน
    GodRAT เป็นวิวัฒนาการจาก AwesomePuppet และมีโค้ดคล้าย Gh0st RAT
    การโจมตีสิ้นสุดการใช้ Skype ในเดือนมีนาคม 2025 และเปลี่ยนไปใช้ช่องทางอื่น
    Source code ของ GodRAT ถูกพบใน VirusTotal ตั้งแต่กรกฎาคม 2024

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gh0st RAT เป็นมัลแวร์ที่มีต้นกำเนิดจากจีน และถูกใช้โดยกลุ่ม APT มานาน
    Steganography เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการซ่อนมัลแวร์ในไฟล์ภาพหรือเสียง
    AsyncRAT เป็นเครื่องมือควบคุมระยะไกลที่สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมระบบ
    การใช้ Skype ในองค์กรลดลง แต่ยังมีบางธุรกิจที่ใช้เป็นช่องทางสื่อสาร
    การโจมตีลักษณะนี้มักเน้นเป้าหมายที่ไม่มีระบบป้องกันระดับสูง

    https://www.techradar.com/pro/security/still-use-skype-at-work-bad-news-hackers-are-targeting-it-with-dangerous-malware
    🎙️ GodRAT – มัลแวร์ที่แฝงตัวในภาพ ส่งผ่าน Skype เพื่อเจาะระบบธุรกิจ ในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Kaspersky ได้ค้นพบมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า “GodRAT” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ผ่านแอป Skype เพื่อเจาะระบบของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMBs) ในตะวันออกกลางและเอเชีย GodRAT ถูกซ่อนไว้ในไฟล์ภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน โดยใช้เทคนิค “steganography” เพื่อฝัง shellcode ที่เมื่อเปิดใช้งาน จะดาวน์โหลดมัลแวร์จากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี เมื่อมัลแวร์เข้าสู่ระบบ มันจะเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น ระบบปฏิบัติการ ชื่อโฮสต์ รายชื่อโปรแกรมป้องกันไวรัส และบัญชีผู้ใช้ จากนั้นสามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น ตัวขโมยรหัสผ่าน หรือโปรแกรมสำรวจไฟล์ และในบางกรณี ยังมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างถาวร นักวิจัยเชื่อว่า GodRAT เป็นวิวัฒนาการของมัลแวร์ AwesomePuppet ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ Winnti (APT41) โดยมีโค้ดคล้ายกับ Gh0st RAT ซึ่งเป็นมัลแวร์เก่าที่ถูกใช้มานานกว่า 15 ปี แม้ว่า Skype จะไม่ใช่ช่องทางหลักในการทำงานอีกต่อไป แต่การใช้แอปที่ไม่ปลอดภัยยังคงเป็นช่องโหว่สำคัญที่องค์กรต้องระวัง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Kaspersky พบมัลแวร์ใหม่ชื่อ GodRAT ถูกส่งผ่าน Skype ในรูปแบบไฟล์ screensaver ➡️ ใช้เทคนิค steganography ซ่อน shellcode ในภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน ➡️ เมื่อเปิดไฟล์ มัลแวร์จะดาวน์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี ➡️ GodRAT เก็บข้อมูลระบบ เช่น OS, hostname, antivirus, และบัญชีผู้ใช้ ➡️ สามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น FileManager และ password stealer ➡️ บางกรณีมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง ➡️ เหยื่อส่วนใหญ่คือ SMBs ใน UAE, ฮ่องกง, จอร์แดน และเลบานอน ➡️ GodRAT เป็นวิวัฒนาการจาก AwesomePuppet และมีโค้ดคล้าย Gh0st RAT ➡️ การโจมตีสิ้นสุดการใช้ Skype ในเดือนมีนาคม 2025 และเปลี่ยนไปใช้ช่องทางอื่น ➡️ Source code ของ GodRAT ถูกพบใน VirusTotal ตั้งแต่กรกฎาคม 2024 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gh0st RAT เป็นมัลแวร์ที่มีต้นกำเนิดจากจีน และถูกใช้โดยกลุ่ม APT มานาน ➡️ Steganography เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการซ่อนมัลแวร์ในไฟล์ภาพหรือเสียง ➡️ AsyncRAT เป็นเครื่องมือควบคุมระยะไกลที่สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมระบบ ➡️ การใช้ Skype ในองค์กรลดลง แต่ยังมีบางธุรกิจที่ใช้เป็นช่องทางสื่อสาร ➡️ การโจมตีลักษณะนี้มักเน้นเป้าหมายที่ไม่มีระบบป้องกันระดับสูง https://www.techradar.com/pro/security/still-use-skype-at-work-bad-news-hackers-are-targeting-it-with-dangerous-malware
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • Wix vs Weebly: สร้างเว็บไซต์ง่าย ๆ แต่เลือกผิดอาจเสียโอกาสทางธุรกิจ

    ในยุคที่ใคร ๆ ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด แพลตฟอร์มอย่าง Wix และ Weebly จึงกลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับผู้เริ่มต้นและธุรกิจขนาดเล็ก แต่ความแตกต่างของสองแพลตฟอร์มนี้มีผลต่อการเติบโตในระยะยาวอย่างมาก

    Wix โดดเด่นด้วยเครื่องมือ AI ที่ช่วยสร้างเว็บไซต์ในไม่กี่นาที มีเทมเพลตให้เลือกกว่า 2,000 แบบ และระบบแก้ไขแบบ drag-and-drop ที่ยืดหยุ่นสูง เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมดีไซน์อย่างเต็มที่

    Weebly เน้นความเรียบง่าย ราคาถูก และมีแผนฟรีที่ให้ฟีเจอร์ e-commerce โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ซึ่งหาได้ยากในตลาด แต่ข้อเสียคือระบบไม่ค่อยได้รับการอัปเดต และเทมเพลตมีให้เลือกน้อยกว่า 60 แบบ

    Wix เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเติบโต มีระบบ SEO ขั้นสูง แอปเสริมกว่า 800 รายการ และการสนับสนุนลูกค้าที่ครอบคลุม ส่วน Weebly เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่ต้องการเว็บไซต์เร็ว ๆ โดยไม่ต้องปรับแต่งมาก

    จุดเด่นของ Wix
    มีเทมเพลตกว่า 2,000 แบบ พร้อมระบบแก้ไขที่ยืดหยุ่น
    ใช้ AI สร้างเว็บไซต์ได้ภายใน 60 วินาที
    มีแอปเสริมกว่า 800 รายการ และระบบ SEO ขั้นสูง
    รองรับการแก้ไขบนมือถือ และมีระบบป้องกันด้วยรหัสผ่าน

    จุดเด่นของ Weebly
    มีแผนฟรีที่รองรับ e-commerce โดยไม่ต้องจ่ายเงิน
    ระบบแก้ไขแบบ drag-and-drop ที่ใช้งานง่าย
    เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่ไม่ต้องการปรับแต่งมาก
    มีระบบวิเคราะห์ยอดขายจากการเชื่อมต่อกับ Square

    การเปรียบเทียบด้านราคา
    Wix เริ่มต้นที่ $17/เดือน และสูงสุดถึง $152/เดือน
    Weebly เริ่มต้นที่ $0 และสูงสุดที่ $29/เดือน
    Wix ให้ฟีเจอร์มากกว่า แต่ราคาสูงกว่า
    Weebly เหมาะกับผู้ใช้งานที่เน้นความคุ้มค่าและประหยัด

    ความเหมาะสมกับผู้ใช้งาน
    Wix เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเติบโตและปรับแต่งได้เต็มที่
    Weebly เหมาะกับร้านเล็กหรือเว็บไซต์ส่วนตัวที่ไม่ซับซ้อน
    Wix เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมดีไซน์และฟีเจอร์
    Weebly เหมาะกับผู้ที่ต้องการความง่ายและเร็วในการเริ่มต้น

    https://www.techradar.com/news/wix-vs-weebly
    🧠 Wix vs Weebly: สร้างเว็บไซต์ง่าย ๆ แต่เลือกผิดอาจเสียโอกาสทางธุรกิจ ในยุคที่ใคร ๆ ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด แพลตฟอร์มอย่าง Wix และ Weebly จึงกลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับผู้เริ่มต้นและธุรกิจขนาดเล็ก แต่ความแตกต่างของสองแพลตฟอร์มนี้มีผลต่อการเติบโตในระยะยาวอย่างมาก Wix โดดเด่นด้วยเครื่องมือ AI ที่ช่วยสร้างเว็บไซต์ในไม่กี่นาที มีเทมเพลตให้เลือกกว่า 2,000 แบบ และระบบแก้ไขแบบ drag-and-drop ที่ยืดหยุ่นสูง เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมดีไซน์อย่างเต็มที่ Weebly เน้นความเรียบง่าย ราคาถูก และมีแผนฟรีที่ให้ฟีเจอร์ e-commerce โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ซึ่งหาได้ยากในตลาด แต่ข้อเสียคือระบบไม่ค่อยได้รับการอัปเดต และเทมเพลตมีให้เลือกน้อยกว่า 60 แบบ Wix เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเติบโต มีระบบ SEO ขั้นสูง แอปเสริมกว่า 800 รายการ และการสนับสนุนลูกค้าที่ครอบคลุม ส่วน Weebly เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่ต้องการเว็บไซต์เร็ว ๆ โดยไม่ต้องปรับแต่งมาก ✅ จุดเด่นของ Wix ➡️ มีเทมเพลตกว่า 2,000 แบบ พร้อมระบบแก้ไขที่ยืดหยุ่น ➡️ ใช้ AI สร้างเว็บไซต์ได้ภายใน 60 วินาที ➡️ มีแอปเสริมกว่า 800 รายการ และระบบ SEO ขั้นสูง ➡️ รองรับการแก้ไขบนมือถือ และมีระบบป้องกันด้วยรหัสผ่าน ✅ จุดเด่นของ Weebly ➡️ มีแผนฟรีที่รองรับ e-commerce โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ➡️ ระบบแก้ไขแบบ drag-and-drop ที่ใช้งานง่าย ➡️ เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่ไม่ต้องการปรับแต่งมาก ➡️ มีระบบวิเคราะห์ยอดขายจากการเชื่อมต่อกับ Square ✅ การเปรียบเทียบด้านราคา ➡️ Wix เริ่มต้นที่ $17/เดือน และสูงสุดถึง $152/เดือน ➡️ Weebly เริ่มต้นที่ $0 และสูงสุดที่ $29/เดือน ➡️ Wix ให้ฟีเจอร์มากกว่า แต่ราคาสูงกว่า ➡️ Weebly เหมาะกับผู้ใช้งานที่เน้นความคุ้มค่าและประหยัด ✅ ความเหมาะสมกับผู้ใช้งาน ➡️ Wix เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเติบโตและปรับแต่งได้เต็มที่ ➡️ Weebly เหมาะกับร้านเล็กหรือเว็บไซต์ส่วนตัวที่ไม่ซับซ้อน ➡️ Wix เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมดีไซน์และฟีเจอร์ ➡️ Weebly เหมาะกับผู้ที่ต้องการความง่ายและเร็วในการเริ่มต้น https://www.techradar.com/news/wix-vs-weebly
    WWW.TECHRADAR.COM
    Wix vs Weebly: How these top website builders compare
    Top website builders go head-to-head on price and performance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts