• เป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนาและบทบาทของฌานในการบรรลุมรรคผล

    ---

    1. เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา:

    > การหลุดพ้นจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง (อรหัตผล)

    มิใช่เพียงศีล สมาธิ ญาณ หรือชื่อเสียง

    แต่คือ "การไม่กลับมากำเริบของกิเลสอีก"

    ---

    2. ผู้บรรลุมรรคผลรู้ได้อย่างไรว่าได้จริง?

    รู้จาก "การสิ้นไปของความยินดีในรูปนาม"

    เปรียบเหมือนตาลยอดด้วน งอกใหม่ไม่ได้อีก

    คือ "รู้ด้วยใจ" ว่าจิตหลุดพ้นแล้วอย่างถาวร

    ---

    3. ฌานมีไว้เพื่ออะไร?

    ฌาน + ปัญญา = ใกล้นิพพาน

    เพียงฌานอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้เพื่อพิจารณากายใจว่า ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา

    ---

    4. จำเป็นไหมต้องได้ฌานก่อนถึงมรรคผล?

    ไม่จำเป็นในบางกรณี

    เช่น ท่านอนาถบิณฑิก นางวิสาขา ได้โสดาภะผลจากการฟังธรรม

    แต่ต้องมีทุนบุญและปัญญาเก่ามาก

    จิตรวมเป็นหนึ่งเพียงชั่วฟังธรรมได้

    ---

    5. สำหรับคนทั่วไป การมีฌานคือทางลัด

    ฌานช่วยให้จิตรวม สงบ ห่างจากกิเลส

    ทำให้เห็นกายใจชัดขึ้น

    ง่ายต่อการพิจารณาเพื่อบรรลุธรรม

    ---

    Essence สั้น ๆ:

    ฌานเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่เป้าหมายสุดท้ายคือการ "สิ้นกิเลส" ไม่ใช่การมีฌานเอง
    ผู้บรรลุธรรมคือผู้ที่ ‘ไม่มีทางกลับไปยึดติดในรูปนามได้อีก’
    เป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนาและบทบาทของฌานในการบรรลุมรรคผล --- 1. เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา: > การหลุดพ้นจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง (อรหัตผล) มิใช่เพียงศีล สมาธิ ญาณ หรือชื่อเสียง แต่คือ "การไม่กลับมากำเริบของกิเลสอีก" --- 2. ผู้บรรลุมรรคผลรู้ได้อย่างไรว่าได้จริง? รู้จาก "การสิ้นไปของความยินดีในรูปนาม" เปรียบเหมือนตาลยอดด้วน งอกใหม่ไม่ได้อีก คือ "รู้ด้วยใจ" ว่าจิตหลุดพ้นแล้วอย่างถาวร --- 3. ฌานมีไว้เพื่ออะไร? ฌาน + ปัญญา = ใกล้นิพพาน เพียงฌานอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้เพื่อพิจารณากายใจว่า ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา --- 4. จำเป็นไหมต้องได้ฌานก่อนถึงมรรคผล? ไม่จำเป็นในบางกรณี เช่น ท่านอนาถบิณฑิก นางวิสาขา ได้โสดาภะผลจากการฟังธรรม แต่ต้องมีทุนบุญและปัญญาเก่ามาก จิตรวมเป็นหนึ่งเพียงชั่วฟังธรรมได้ --- 5. สำหรับคนทั่วไป การมีฌานคือทางลัด ฌานช่วยให้จิตรวม สงบ ห่างจากกิเลส ทำให้เห็นกายใจชัดขึ้น ง่ายต่อการพิจารณาเพื่อบรรลุธรรม --- Essence สั้น ๆ: ฌานเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่เป้าหมายสุดท้ายคือการ "สิ้นกิเลส" ไม่ใช่การมีฌานเอง ผู้บรรลุธรรมคือผู้ที่ ‘ไม่มีทางกลับไปยึดติดในรูปนามได้อีก’
    0 Comments 0 Shares 317 Views 0 Reviews
  • ลดพุงด้วยท่านอน
    ท่าละ 25 ครั้ง / 4 เซ็ต
    ลดพุงด้วยท่านอน ท่าละ 25 ครั้ง / 4 เซ็ต
    0 Comments 0 Shares 330 Views 4 0 Reviews
  • 16/2/68

    คนญี่ปุ่นนิยมใส่ถุงเท้าก่อนเข้านอน ทั้ง 4 ฤดู

    หมอณี่ปุ่นวิจัยแล้วพบว่าการใส่ถุงเท้านอน

    1.ช่วยให้เท้าอบอุ่นทำให้เลือดไหลเวียนในร่างกายดีขึ้น

    2.ช่วยให้หลับง่ายขึ้นกว่าคนที่ไม่สวมถุงเท้านอน

    จากการวิจัยของหมออเมริกาก็พบว่า อาสาสมัครสองกลุ่มใส่กับไมใส่ถุงเท้านอน ผลปรากฏว่า กลุ่มใส่ถุงเท้านอนหลับได้ง่ายกว่ากลุ่มไม่ใส่ถุงเท้า

    3.การใส่ถุงเท้านอนยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคไข้เจ็บได้ ดีจากการหลับลึก

    ด้วยการสวมถุงเท้านอนส าเหตุนี้เองคนญี่ปุ่นจึงมีคนอายุยืนมากที่สุดในโลก คนที่อายุมากกว่า 100ปี มี86,000คน จากประชากร 120 ล้านคน อายุยืนเฉลี่ย 83 ปี นอนวันละ 8ชม. ฉะนั้นจึงแนะนำให้ใส่ถุงเท้านอนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
    16/2/68 คนญี่ปุ่นนิยมใส่ถุงเท้าก่อนเข้านอน ทั้ง 4 ฤดู หมอณี่ปุ่นวิจัยแล้วพบว่าการใส่ถุงเท้านอน 1.ช่วยให้เท้าอบอุ่นทำให้เลือดไหลเวียนในร่างกายดีขึ้น 2.ช่วยให้หลับง่ายขึ้นกว่าคนที่ไม่สวมถุงเท้านอน จากการวิจัยของหมออเมริกาก็พบว่า อาสาสมัครสองกลุ่มใส่กับไมใส่ถุงเท้านอน ผลปรากฏว่า กลุ่มใส่ถุงเท้านอนหลับได้ง่ายกว่ากลุ่มไม่ใส่ถุงเท้า 3.การใส่ถุงเท้านอนยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคไข้เจ็บได้ ดีจากการหลับลึก ด้วยการสวมถุงเท้านอนส าเหตุนี้เองคนญี่ปุ่นจึงมีคนอายุยืนมากที่สุดในโลก คนที่อายุมากกว่า 100ปี มี86,000คน จากประชากร 120 ล้านคน อายุยืนเฉลี่ย 83 ปี นอนวันละ 8ชม. ฉะนั้นจึงแนะนำให้ใส่ถุงเท้านอนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
    0 Comments 0 Shares 350 Views 0 Reviews
  • ดร.สุรเกียรติ์ยิ่งก่อข้อสงสัยรูป 1-2 มีเอกสารวิชาการเขียนโดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เกี่ยวกับ MOU44 เผยแพร่ในปี 2554 จุลสารความมั่นคงศึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ มีข้อมูลสำคัญที่ผมไม่รู้มาก่อนแต่ข้อมูลใหม่เหล่านี้ ยิ่งก่อข้อสงสัยในเจตนารมณ์ที่รัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณไปจัดทำ MOU44 🫡 ข้อสงสัยที่หนึ่ง กัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดจริงหรือ?รูป 3-6 คือพระราชกฤษฎีกาของกัมพูชา ผมเข้าใจมาตลอดว่า กัมพูชาขีดเส้นพาดผ่านเกาะกูด แต่ในเอกสารหน้า 6-9 ดร.สุรเกียรติ์วิเคราะห์ว่ากัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดแผนที่รูป 6 ขยายไปเป็นรูป 7 ท่านเขียนว่าเส้นของกัมพูชาลากจากจุด A บนชายฝั่งมาจนถึงชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วไปเริ่มเส้นต่อไปจากชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันตก ประกอบกับท่านเห็นว่า ในแผนที่มีการระบุชื่อเกาะกูดว่า Koh Kut (Siam) ซึ่งท่านอนุมาน'เป็นการบ่งบอกว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย' ท่านจึงตีความว่า "ดังนั้น กัมพูชาไม่เคยอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด" ผมโต้แย้ง:- ในรูป 3 พระราชกฤษฎีกา กัมพูชาระบุตั้งใจลากเส้นโดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส คศ 1907 เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากในสนธิสัญญาฯ มีข้อความ "ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด" ดังนั้น ถึงแม้ในรูป 7 ท่านตีความว่ากัมพูชาแสดงเจตนาไม่ต้องการให้เส้นผ่านเกาะกูด แต่อาจเป็นการตีความเข้าข้างตัวเอง ข้อสงสัย:- ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้แน่นอนว่า วันหน้ากัมพูชาจะไม่อ้างว่าไทยรับรู้ใน MOU44 แล้วว่า โดยสภาพความเป็นจริง เส้นนี้ย่อมมีเจตนาผ่านเกาะกูด เพราะ (ก) พระราชกฤษฎีกามีการอ้างอิงตำแหน่งแห่งหนที่ตั้งอยู่เฉพาะบนเกาะกูด และ(ข) ตรรกแห่งการตีเส้นเขตไหล่ทวีปที่ขาดแหว่งเป็นเส้นประ ไม่อยู่ในข้อใดในอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป มีแต่เส้นต่อเนื่องทั้งนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สอง กัมพูชายอมรับว่าเกาะกูดเป็นอธิปไตยของไทยจริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35-36 ท่านเขียนว่า "ถึงแม้ว่าบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดของการเจรจามีผลผูกพันทั้งสองประเทศเกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลกัมพูชาในปัจจุบันได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด" และ"ภายหลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจแล้วนั้น ฝ่ายไทยก็ได้มอบหมายให้ผู้เขียนพยายามที่จะเจรจาในระดับรัฐมตรีเพื่อไม่ไม่ให้เส้นเขตแดนล้อมรอบเกาะกูดถูกกำหนดเป็นรูปตัว "U" ซึ่งผู้เขียนจำได้ว่าเคยหารือกับนาย ซก อาน รัฐมนตรีอาวุโสของกัมพูชา (ตำแหน่งในขณะนั้น) ว่าเหตุใดเส้นเขตแดนจึงมีโค้งเป็นเบ้าขนมครก เหตุใดจึงไม่เป็นเส้นตรง ซึ่งหมายความว่าจากหลักเขตแดนที่ 73 นั้น เส้นเขตทางทะเลควรจะลากจากลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นเส้นตรง และต้องไม่ลากผ่านเกาะกูด มิใช่ลากเส้นมาถึงเกาะกูดแล้ว จึงเกิดส่วนเว้าหลบอ้อมเกาะกูดไป ซึ่งในแง่ของไทยแล้วการลากเส้นเขตแดนเป็นเส้นตรงโดยไม่ผ่านกึ่งกลางของเกาะกูดจะมีผลทำให้อธิปไตยของเกาะกูดมีความชัดเจนมากขึ้น และทำให้อาณาเขตรวมของพื้นที่ทับช้อนทางทะเลมีขนาดเล็กลง ดังรูป 10 (เป็นเส้นประที่ลูกศรขี้ซึ่งแสดงอยู่ในรูป 8 )ซึ่งในเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการที่ฝ่ายกัมพูชาจะขอความเห็นชอบจากผู้นำสูงสุดของกัมพูชา แต่ผู้เขียนได้พ้นหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมทางเทคนิคไปเสียก่อน" ผมโต้แย้ง:- กัมพูชาไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด เพราะ(ก) ไม่มีข้อความเช่นนั้นแม้แต่คำเดียวปรากฏใน MOU44 กลับเป็นการตีความของท่านฝ่ายเดียว(ข) ถ้ากัมพูชายอมรับเช่นนั้นจริง เส้นจะต้องไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด แต่จะต้องเอียงลงตะวันตกเฉียงใต้ ดังที่ท่านเองก็ยอมรับในบทความ ข้อสงสัย:- ในขณะที่ลงนามใน MOU44 ท่านทราบหรือไม่ว่า เส้นที่ถูกต้องคือไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด? ถ้าทราบ ท่านไปลงนามทำไม?🫡 ข้อสงสัยที่สาม:- ฝ่ายไทยควรพอใจแผนผังแนบท้าย MOU44 จริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35 ท่านเขียนว่า"ดังนั้น แผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจนี้จึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยพอใจเพราะแสดงถึงความคืบหน้าในการเจรจาจุดเริ่มต้นของการลงเส้นเขตทางทะเลจากหลักเขตแดนทางบกที่ตรงกับจุดยืนของไทย และเส้นที่ลากนั้นได้ยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด และยังยอมรับอธิบไตยของไทยเหนือทะเลอาณาเขตรอบๆ" ผมโต้แย้ง:- ไม่มีเหตุผลใดที่ไทยควรจะพอใจกับการแสดงแผนที่ซึ่งเป็นแผนผังแนบท้าย MOU44 เพราะแสดงเส้นของสองประเทศที่ไม่เท่าเทียมกัน คือเส้นของไทยประกาศตามอนุสัญญาเจนีวา ในขณะที่เส้นของกัมพูชาไม่เป็นเช่นนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สี่:- ท่านรู้ว่า MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้น หรือไม่?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"(5) บันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้ลงนามโดยผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงมีสถานะเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969" ผมโต้แย้ง:- ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะท่านในฐานะผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลไทย ไปลงนามในสนธิสัญญา ..ทั้งที่มิได้มีการทูลเกล้าฯ และมีได้มีการนำเสนอรัฐสภาเสียก่อน เป็นการกระทำเกินอำนาจ ultra vires จึงไม่ผูกพันรัฐบาลไทย และทำให้ MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้นผมเห็นว่าไม่มีเอกสารหลักฐานชิ้นไหน ที่มีความสำคัญเท่าชิ้นนี้อีกแล้ว🫡 ข้อสงสัยที่ห้า:- ทำไมท่านไม่แจ้งรัฐบาลว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ ผิด?ในเอกสารหน้า 11-12 ท่านวิเคราะห์ว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ เข้าข้างตัวเองว่าเป็นการแบ่งเขตทางทะเล แต่เจตนารมณ์เป็นเพียงเพื่อกำหนดเส้นแบ่งเขตทางบก ซึ่งตรงกับของผม ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นของกัมพูชาไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ท่านควรจะแจ้งให้รัฐบาลของท่านนายกทักษิณทราบ และกต.น่าจะแจ้งให้รัฐบาลต่างๆ ทราบ 🫡 ข้อสงสัยที่หก:- ท่านรู้หรือไม่ว่าเส้นของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป?ข้อ 6 ในอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ไม่ได้อนุญาตการลากเส้นที่อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์ดังเช่นกรณีขอทะเลอาณาเขต แต่กัมพูชากลับไปอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เป็นสิทธิทางประวัติศาสตร์ ทั้งที่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ และขัดกับอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปอย่างสิ้นเชิง ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป ทำไมท่านไม่โต้แย้งกัมพูชาเป็นลายลักษณ์อักษร?🫡 ข้อสงสัยที่เจ็ด:- ทำไมท่านไม่ดำเนินการตามขั้นตอนของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"ภายหลังจากที่ผู้เขียนได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ก็ได้รับทราบถึงผลการเจรจาร่วมกันในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2543 และได้มีความเห็นตรงกันว่าควรมีการเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลกัมพูชาเนื่องจากเป็นประเทศเดียวที่ไทยยังไม่เคยเจรจาอย่างจริงจังเพื่อแสวงพาผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งๆ ที่ได้มีการเจรจากับรัฐบาลมาเลเซียและเวียดนามจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้น จึงได้มีการเริ่มเปิดการเจรจากับกัมพูชาเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาเขตพื้นที่ที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับช้อนกัน และการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย จนสามารถกำหนดแนวทางการเจรจาและการดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของทั้งสองประเทศที่เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2544 และนำไปสู่การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ" ผมโต้แย้ง:- ประชาชนมีข้อสงสัยดังนี้(ก) ในลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เริ่มต้นจากการเจรจาเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จึงจะได้อาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับทั้งสองฝ่าย เป็นขั้นตอน ใช้ม้าลากรถแต่ลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา เริ่มต้นจากการกำหนดอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมขึ้นมาเอง เป็นการรีบร้อนลัดขั้นตอน ใช้รถลากม้า(ข) การเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซีย ใช้เวลาหลายปี ท่านใช้เวลาเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาเพียงสองสามเดือนส่อเจตนาชัดเจนว่าให้ความสำคัญลำดับหนึ่งแก่การแสวงหาประโยชน์ปิโตรเลียม จนมีความเสี่ยงเรื่องเขตแดนเกิดขึ้นการเร่งรีบเช่นนี้ ทำให้ประชาชนกังวลว่า มีวาระซ่อนเร้นแฝงอยู่ในการเจรจาหรือไม่ ผมขอย้ำว่า เขียนบทความนี้ด้วยความเคารพ และหวังจะให้ประโยชน์แก่รัฐมนตรีพรรคร่วมอย่างเต็มที่เป็นสำคัญวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ดร.สุรเกียรติ์ยิ่งก่อข้อสงสัยรูป 1-2 มีเอกสารวิชาการเขียนโดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เกี่ยวกับ MOU44 เผยแพร่ในปี 2554 จุลสารความมั่นคงศึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ มีข้อมูลสำคัญที่ผมไม่รู้มาก่อนแต่ข้อมูลใหม่เหล่านี้ ยิ่งก่อข้อสงสัยในเจตนารมณ์ที่รัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณไปจัดทำ MOU44 🫡 ข้อสงสัยที่หนึ่ง กัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดจริงหรือ?รูป 3-6 คือพระราชกฤษฎีกาของกัมพูชา ผมเข้าใจมาตลอดว่า กัมพูชาขีดเส้นพาดผ่านเกาะกูด แต่ในเอกสารหน้า 6-9 ดร.สุรเกียรติ์วิเคราะห์ว่ากัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดแผนที่รูป 6 ขยายไปเป็นรูป 7 ท่านเขียนว่าเส้นของกัมพูชาลากจากจุด A บนชายฝั่งมาจนถึงชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วไปเริ่มเส้นต่อไปจากชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันตก ประกอบกับท่านเห็นว่า ในแผนที่มีการระบุชื่อเกาะกูดว่า Koh Kut (Siam) ซึ่งท่านอนุมาน'เป็นการบ่งบอกว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย' ท่านจึงตีความว่า "ดังนั้น กัมพูชาไม่เคยอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด"🧐 ผมโต้แย้ง:- ในรูป 3 พระราชกฤษฎีกา กัมพูชาระบุตั้งใจลากเส้นโดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส คศ 1907 เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากในสนธิสัญญาฯ มีข้อความ "ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด" ดังนั้น ถึงแม้ในรูป 7 ท่านตีความว่ากัมพูชาแสดงเจตนาไม่ต้องการให้เส้นผ่านเกาะกูด แต่อาจเป็นการตีความเข้าข้างตัวเอง🥶 ข้อสงสัย:- ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้แน่นอนว่า วันหน้ากัมพูชาจะไม่อ้างว่าไทยรับรู้ใน MOU44 แล้วว่า โดยสภาพความเป็นจริง เส้นนี้ย่อมมีเจตนาผ่านเกาะกูด เพราะ (ก) พระราชกฤษฎีกามีการอ้างอิงตำแหน่งแห่งหนที่ตั้งอยู่เฉพาะบนเกาะกูด และ(ข) ตรรกแห่งการตีเส้นเขตไหล่ทวีปที่ขาดแหว่งเป็นเส้นประ ไม่อยู่ในข้อใดในอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป มีแต่เส้นต่อเนื่องทั้งนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สอง กัมพูชายอมรับว่าเกาะกูดเป็นอธิปไตยของไทยจริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35-36 ท่านเขียนว่า "ถึงแม้ว่าบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดของการเจรจามีผลผูกพันทั้งสองประเทศเกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลกัมพูชาในปัจจุบันได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด" และ"ภายหลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจแล้วนั้น ฝ่ายไทยก็ได้มอบหมายให้ผู้เขียนพยายามที่จะเจรจาในระดับรัฐมตรีเพื่อไม่ไม่ให้เส้นเขตแดนล้อมรอบเกาะกูดถูกกำหนดเป็นรูปตัว "U" ซึ่งผู้เขียนจำได้ว่าเคยหารือกับนาย ซก อาน รัฐมนตรีอาวุโสของกัมพูชา (ตำแหน่งในขณะนั้น) ว่าเหตุใดเส้นเขตแดนจึงมีโค้งเป็นเบ้าขนมครก เหตุใดจึงไม่เป็นเส้นตรง ซึ่งหมายความว่าจากหลักเขตแดนที่ 73 นั้น เส้นเขตทางทะเลควรจะลากจากลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นเส้นตรง และต้องไม่ลากผ่านเกาะกูด มิใช่ลากเส้นมาถึงเกาะกูดแล้ว จึงเกิดส่วนเว้าหลบอ้อมเกาะกูดไป ซึ่งในแง่ของไทยแล้วการลากเส้นเขตแดนเป็นเส้นตรงโดยไม่ผ่านกึ่งกลางของเกาะกูดจะมีผลทำให้อธิปไตยของเกาะกูดมีความชัดเจนมากขึ้น และทำให้อาณาเขตรวมของพื้นที่ทับช้อนทางทะเลมีขนาดเล็กลง ดังรูป 10 (เป็นเส้นประที่ลูกศรขี้ซึ่งแสดงอยู่ในรูป 8 )ซึ่งในเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการที่ฝ่ายกัมพูชาจะขอความเห็นชอบจากผู้นำสูงสุดของกัมพูชา แต่ผู้เขียนได้พ้นหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมทางเทคนิคไปเสียก่อน"🧐 ผมโต้แย้ง:- กัมพูชาไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด เพราะ(ก) ไม่มีข้อความเช่นนั้นแม้แต่คำเดียวปรากฏใน MOU44 กลับเป็นการตีความของท่านฝ่ายเดียว(ข) ถ้ากัมพูชายอมรับเช่นนั้นจริง เส้นจะต้องไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด แต่จะต้องเอียงลงตะวันตกเฉียงใต้ ดังที่ท่านเองก็ยอมรับในบทความ🥶 ข้อสงสัย:- ในขณะที่ลงนามใน MOU44 ท่านทราบหรือไม่ว่า เส้นที่ถูกต้องคือไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด? ถ้าทราบ ท่านไปลงนามทำไม?🫡 ข้อสงสัยที่สาม:- ฝ่ายไทยควรพอใจแผนผังแนบท้าย MOU44 จริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35 ท่านเขียนว่า"ดังนั้น แผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจนี้จึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยพอใจเพราะแสดงถึงความคืบหน้าในการเจรจาจุดเริ่มต้นของการลงเส้นเขตทางทะเลจากหลักเขตแดนทางบกที่ตรงกับจุดยืนของไทย และเส้นที่ลากนั้นได้ยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด และยังยอมรับอธิบไตยของไทยเหนือทะเลอาณาเขตรอบๆ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ไม่มีเหตุผลใดที่ไทยควรจะพอใจกับการแสดงแผนที่ซึ่งเป็นแผนผังแนบท้าย MOU44 เพราะแสดงเส้นของสองประเทศที่ไม่เท่าเทียมกัน คือเส้นของไทยประกาศตามอนุสัญญาเจนีวา ในขณะที่เส้นของกัมพูชาไม่เป็นเช่นนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สี่:- ท่านรู้ว่า MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้น หรือไม่?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"(5) บันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้ลงนามโดยผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงมีสถานะเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969"🧐 ผมโต้แย้ง:- ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะท่านในฐานะผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลไทย ไปลงนามในสนธิสัญญา ..ทั้งที่มิได้มีการทูลเกล้าฯ และมีได้มีการนำเสนอรัฐสภาเสียก่อน เป็นการกระทำเกินอำนาจ ultra vires จึงไม่ผูกพันรัฐบาลไทย และทำให้ MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้นผมเห็นว่าไม่มีเอกสารหลักฐานชิ้นไหน ที่มีความสำคัญเท่าชิ้นนี้อีกแล้ว🫡 ข้อสงสัยที่ห้า:- ทำไมท่านไม่แจ้งรัฐบาลว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ ผิด?ในเอกสารหน้า 11-12 ท่านวิเคราะห์ว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ เข้าข้างตัวเองว่าเป็นการแบ่งเขตทางทะเล แต่เจตนารมณ์เป็นเพียงเพื่อกำหนดเส้นแบ่งเขตทางบก ซึ่งตรงกับของผม 🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นของกัมพูชาไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ท่านควรจะแจ้งให้รัฐบาลของท่านนายกทักษิณทราบ และกต.น่าจะแจ้งให้รัฐบาลต่างๆ ทราบ 🫡 ข้อสงสัยที่หก:- ท่านรู้หรือไม่ว่าเส้นของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป?ข้อ 6 ในอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ไม่ได้อนุญาตการลากเส้นที่อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์ดังเช่นกรณีขอทะเลอาณาเขต แต่กัมพูชากลับไปอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เป็นสิทธิทางประวัติศาสตร์ ทั้งที่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ และขัดกับอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปอย่างสิ้นเชิง🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป ทำไมท่านไม่โต้แย้งกัมพูชาเป็นลายลักษณ์อักษร?🫡 ข้อสงสัยที่เจ็ด:- ทำไมท่านไม่ดำเนินการตามขั้นตอนของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"ภายหลังจากที่ผู้เขียนได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ก็ได้รับทราบถึงผลการเจรจาร่วมกันในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2543 และได้มีความเห็นตรงกันว่าควรมีการเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลกัมพูชาเนื่องจากเป็นประเทศเดียวที่ไทยยังไม่เคยเจรจาอย่างจริงจังเพื่อแสวงพาผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งๆ ที่ได้มีการเจรจากับรัฐบาลมาเลเซียและเวียดนามจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้น จึงได้มีการเริ่มเปิดการเจรจากับกัมพูชาเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาเขตพื้นที่ที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับช้อนกัน และการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย จนสามารถกำหนดแนวทางการเจรจาและการดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของทั้งสองประเทศที่เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2544 และนำไปสู่การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ประชาชนมีข้อสงสัยดังนี้(ก) ในลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เริ่มต้นจากการเจรจาเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จึงจะได้อาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับทั้งสองฝ่าย เป็นขั้นตอน ใช้ม้าลากรถแต่ลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา เริ่มต้นจากการกำหนดอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมขึ้นมาเอง เป็นการรีบร้อนลัดขั้นตอน ใช้รถลากม้า(ข) การเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซีย ใช้เวลาหลายปี ท่านใช้เวลาเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาเพียงสองสามเดือนส่อเจตนาชัดเจนว่าให้ความสำคัญลำดับหนึ่งแก่การแสวงหาประโยชน์ปิโตรเลียม จนมีความเสี่ยงเรื่องเขตแดนเกิดขึ้นการเร่งรีบเช่นนี้ ทำให้ประชาชนกังวลว่า มีวาระซ่อนเร้นแฝงอยู่ในการเจรจาหรือไม่🧐 ผมขอย้ำว่า เขียนบทความนี้ด้วยความเคารพ และหวังจะให้ประโยชน์แก่รัฐมนตรีพรรคร่วมอย่างเต็มที่เป็นสำคัญวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 1410 Views 0 Reviews
  • 11/10/67

    ความทรงจำของฉัน
    ( ตอนที่ 2 )
    " ตะล่ะแม่ "

    ปี พ.ศ. 2510...คืนหนึ่ง ที่ ร.พ. แม่สอด จว.ตาก

    ฉัน เป็นแพทย์เวร ถูกปลุก ประมาณ ตี 2 ด้วยเจ้าหน้าที่เวรชาย ยืนเรียกฉัน อยู่หน้าบ้านพักแพทย์ ว่า
    มีผู้หญิงจะคลอดลูก..

    ฉัน ไปที่ห้องคลอด ซึ่งเป็นห้องไม้สัก อยู่ท้ายเรือนผู้ป่วยหญิง ไม่มี Air Condition มีแต่ประตูหน้าต่างที่มีบ้านบังตากันไว้ เท่านั้น...

    ในห้องคลอด มีผู้หญิงนอนปวดท้องคลอด และ พยาบาล ยืนอยู่ข้างๆ
    ฉัน คอยดูอยู่สักพีกหนึ่ง เห็นหัวเด็ก เริ่มโผล่ออกมา พอให้เห็นผมบนหัว นิดหน่อย
    ฉัน จึงเริ่มทำคลอดไปตามปกติ เพราะเป็น Normal Labor
    เด็กออกมา เป็นเพศหญิง
    ฉัน ตัดสายสะดือ แล้วส่งเด็ก ให้พยาบาลดูแลต่อไป
    ฉันรอ รกที่จะลอกออกตามมา แต่เอะใจว่า ทำไมท้องแม่ยังไม่ยุบ
    จึงเอามือคลำดู...
    อ้าว.!..มีเด็กอีกหนึงคน..โชคดึจังมี ลูกแฝด

    แฝดผู้น้อง จะออก ท่าก้น ( เป็นธรรมชาติ ที่เด็กแฝดสอง จะนอนกลับหัวกลับหาง ในมดลูกแม่ เพื่อใช้พื้นที่อยู่ด้วยกันได้ )

    ดังนั้น แฝดคนที่ 2 จะออก ท่าก้น
    กว่าเด็กคนที่ 2 จะเคลื่อนตัวลงมาถึงปากช่องคลอด ต้องใข้เวลาพอสมควร..จึงต้อง รอ รอ...

    ฉัน นั่งรอ..แล้วเพิ่งนึกได้ ว่า มีผู้หญิงสาวสวยคนหนี่ง นั่งอยู่หน้าห้องคลอด
    จึงถามพยาบาล ว่า เธอคือใคร
    พยาบาล ตอบว่า เป็น น้องสาว ของผู้มาคลอด
    ฉัน จึงให้พยาบาล ไปเชิญเธอเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนพี่สาว ในห้องคลอด ( มาถึงตอนนี้ คงไม่มีใครเชื่อว่า ฉันให้ไปเชิญเข้ามาทำไม..ฮา )

    ระหว่างนั่งรอ ได้รู้ประวัตืของผู้มาคลอดบุตร เป็น มอญ..สามี เป็นพะม่า อพยพทั้ครอบครัว มาอยู่ทีแม่สอด หลายปีแล้ว..
    มิน่าล่ะ น้องสาวจึงสวยระดับนางงาม..เธอพูดไทยไม่ได้ พูดถาษาอังกฤษ ก็ไม่ได้
    ฉัน จึงได้แต่นั่งมอง เพลินตา เพลินใจ เท่านั้นเอง..

    ไม่นานเกินรอ..เท้าน้อยๆของเด็ก โผล่แผลมๆมาให้เห็น

    การทำคลอด เด็กท่าก้น เริ่มต้น ณ.บัดนั้น

    ฉัน ตั้งจิตสงบ นึกถึงครูบาอาจารย์ ที่สอนฉันมา ใหัค่อยๆทำไปทีละขั้นตอน
    ...ค่อยๆดึงขาเด็กออกทั้ง 2 ข้าง
    ...จับเด็กให้อยู่ในท่าตะแคงข้าง ค่อยๆดึงตัวเด็กลงล่าง เพื่อใหัตะโพกบนออก..แล้วก็ยกตัวเด็กขึ้นสูง เพื่อใหัตะโพกล่างออก
    ...พลิกตัวเด็ก กลับมาท่านอนคว่ำ แล้วค่อยๆดึงเด็กออกมา จนถึงบริเวณรักแร้
    ...ใช้มือล้วงแขนเด็กออกมาทั้ง 2 ข้าง ( ต้องระวัง เด็กแขนหักได้ )
    ... พลิกตัวเด็กกลับมาในท่าตะแคง เพื่อเอาใหล่บนออก และ ตามด้วยใหล่ล่างออกมา เหลือแต่หัว
    ...พลิกตัวเด็กนอนคว่ำอยู่บนแขนขวา ค่อยๆสอดนิ้วเข้าไปในปากเด็ก เพื่อดึงหน้าเด็กให้ก้มลงเล็กน้อย..ในเวลาเดียวกัน ใชัมือซ้ายช่วยปรับมุมที่ ท้ายทอยเด็ก แล้วค่อยๆดึงเด็กออกมา
    Happy New Born
    เป็นเพศหญิง ฉันตัดสายสะดือ แล้วส่งให้พยาบาลดูแลต่อ
    เมื่อ รก ลองออกมาหมด มดลูกหดตัวดี ฉันก๊สำรวจ รก พบว่า มี 1 รก และ 2 สายสะดือ
    นั่นคือ แฝดเหมือน ( Identical Twins )

    เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงกลับไปนอน

    หนึ่งเดือนผ่านไป พ่อและแม่ เด็กแฝดมาหา ขอให้ฉันตั้งชื่อลูกสาวแฝด เพื่อเป็นศิริมงคล

    ฉัน ตั้งชื่อ
    คนแรก ชื่อ จันทรา
    คนน้อง ชื่อ กุสุมา

    พ่อและแม่เด็ก พูดไทยไม่ได้ ถามฉันเป็นภาษาอังกฤษ ถึงความหมายของชื่อ
    ฉัน อธิบายว่า เป็นชื่อของเจ้าหญิงแสนสวยพะม่า ในนิยายชื่อ ผู้ชนะสิบทิศ ของไทย
    จันทรา คือ เจ้าหญิงเมือง ตองอู
    กุสุมา คือ เจ้าหญิงเมือง แปร
    พ่อแลแม่เด็ก ไม่เข้าใจ แต่ก็พอใจชื่อที่ฉันตั้งให้

    ระหว่างที่ฉันอยู่ ร.พ.แม่สอด ถ้าเด็กแฝดไม่สะบาย พี่เลี้ยงเด็ก จะพามาหาฉันทุกครั้ง
    วันหนึ่ง พี่เลี้ยงเด็กแฝด พูดกับฉันว่า " หนู รู้แล้วว่าทำไมคุณหมอ ตั้งชื่อน้อง ว่า จันทรา กุสุมา "
    ฉันถามว่า " รู้ได้อย่างไร "
    พี่เลี้ยงเด็กแฝดตอบว่า " เมื่อคืน หนูไปดูหนังเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ที่โรงหนังแม่สอด ).....( ฮา )

    อีก 12 ปี ต่อมา หลังจากฉันย้ายจาก ร.พ.แม่สอด แล้ว ฉันไปแมสอดอีกครั้ง ได้ถามหา เด็กแฝดคู่นั้น
    พ่อและแม่เด็ก พามาหา
    ฉันดีใจ ที่ได้เห็นเด็กแข็งแรง และเริ่มมีแววสวย
    จึงเรียกเด็ก 2 คน มาหาชิดตัวเพื่อจะถ่ายรูป
    เด็กทั้ง 2 คน ชะงัก ไม่กล้าเข้ามาหา
    จนกระทั่งพ่อเด็ก ส่งภาษาพะม่า กับเด็กทั้งสอง
    เด็ก 2 คน จึงเดินยิ้มเข้ามาหา ยืนซ้ายขวาฉัน ถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระลึก

    จันทรา-กสุมา เรียนที่ แม่สอด และมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ โรงเรียน เซนต์ฟรัง ซิลซาเวียร์ คอนแวนด์
    หลังจากนั้น ก็ไม่ทราบข่าวคราว
    ได้พบกันอีก เมื่อ ฉันไปกับ วปรอ.355 ที่แม่สอด
    ทั้งสองคน เป็นเจ้าของร้านพลอย ใหญ่โตในตลาดแม่สอด ร้านชื่อ จันทรา
    ต่อมา ก็พบกันอีก ที่แม่สอด ในฐานะประธานแต่งงานให้ จันทรา
    กูสุมา แต่งงานในเวลาต่อมา

    และพบครั้งสุดท้าย ที่ กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข ในขณะที่ฉัน เป็น อธิบดี
    จบบัดนี้ พ.ศ.2564 ยังไม่เคยพบแฝดคู่นี้อีกเลย...

    ก่อนจบ ขอย้อนกลับไปตอนที่ จันทรา-กุสุมา อยู่โรงเรียน เซนต์ฟรัง เป็นเวลาเดียวกันที่ฉันอยู่ โรงพยาบาลราชวิถึ
    ตะละแม่จันทรา และ ตะละแม่กุสุมา มาหาฉัน ที่ โรงพยาบาลราชวิถึ ในชุดนักเรียน เซนต์ฟรัง
    ทั้งสอง ดูค่อนข้างสวย แจ่มใส..เราได้พูดคุยถามทุกข์สุขกัน..

    มีคำถามหนึ่ง ที่ฉันถาม จันทรา-กุสุมาว่า
    " ชื่อที่ตั้งให้ มีปัญหาหรือไม่ ในวันเวลาที่ผ่านมา "

    ทั้งสองคน ตอบว่า " มีค่ะ ใครๆชอบถามบ่อยๆว่า เจด็จ อยู่ไหน "

    ฉันถามกลับไปว่า " แล้ว จเด็จ อยู่ไหนล่ะ "

    สิ่งไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น
    ตะละแม่ทั้งสอง ยกมือขึ้นพรัอมกัน ชี้มาที่ฉัน และพูดพร้อมกัน ว่า " จเด็จ อยู่นี่ไง ".....ฮา ฮาฮา


    11/10/67 ความทรงจำของฉัน ( ตอนที่ 2 ) " ตะล่ะแม่ " ปี พ.ศ. 2510...คืนหนึ่ง ที่ ร.พ. แม่สอด จว.ตาก ฉัน เป็นแพทย์เวร ถูกปลุก ประมาณ ตี 2 ด้วยเจ้าหน้าที่เวรชาย ยืนเรียกฉัน อยู่หน้าบ้านพักแพทย์ ว่า มีผู้หญิงจะคลอดลูก.. ฉัน ไปที่ห้องคลอด ซึ่งเป็นห้องไม้สัก อยู่ท้ายเรือนผู้ป่วยหญิง ไม่มี Air Condition มีแต่ประตูหน้าต่างที่มีบ้านบังตากันไว้ เท่านั้น... ในห้องคลอด มีผู้หญิงนอนปวดท้องคลอด และ พยาบาล ยืนอยู่ข้างๆ ฉัน คอยดูอยู่สักพีกหนึ่ง เห็นหัวเด็ก เริ่มโผล่ออกมา พอให้เห็นผมบนหัว นิดหน่อย ฉัน จึงเริ่มทำคลอดไปตามปกติ เพราะเป็น Normal Labor เด็กออกมา เป็นเพศหญิง ฉัน ตัดสายสะดือ แล้วส่งเด็ก ให้พยาบาลดูแลต่อไป ฉันรอ รกที่จะลอกออกตามมา แต่เอะใจว่า ทำไมท้องแม่ยังไม่ยุบ จึงเอามือคลำดู... อ้าว.!..มีเด็กอีกหนึงคน..โชคดึจังมี ลูกแฝด แฝดผู้น้อง จะออก ท่าก้น ( เป็นธรรมชาติ ที่เด็กแฝดสอง จะนอนกลับหัวกลับหาง ในมดลูกแม่ เพื่อใช้พื้นที่อยู่ด้วยกันได้ ) ดังนั้น แฝดคนที่ 2 จะออก ท่าก้น กว่าเด็กคนที่ 2 จะเคลื่อนตัวลงมาถึงปากช่องคลอด ต้องใข้เวลาพอสมควร..จึงต้อง รอ รอ... ฉัน นั่งรอ..แล้วเพิ่งนึกได้ ว่า มีผู้หญิงสาวสวยคนหนี่ง นั่งอยู่หน้าห้องคลอด จึงถามพยาบาล ว่า เธอคือใคร พยาบาล ตอบว่า เป็น น้องสาว ของผู้มาคลอด ฉัน จึงให้พยาบาล ไปเชิญเธอเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนพี่สาว ในห้องคลอด ( มาถึงตอนนี้ คงไม่มีใครเชื่อว่า ฉันให้ไปเชิญเข้ามาทำไม..ฮา ) ระหว่างนั่งรอ ได้รู้ประวัตืของผู้มาคลอดบุตร เป็น มอญ..สามี เป็นพะม่า อพยพทั้ครอบครัว มาอยู่ทีแม่สอด หลายปีแล้ว.. มิน่าล่ะ น้องสาวจึงสวยระดับนางงาม..เธอพูดไทยไม่ได้ พูดถาษาอังกฤษ ก็ไม่ได้ ฉัน จึงได้แต่นั่งมอง เพลินตา เพลินใจ เท่านั้นเอง.. ไม่นานเกินรอ..เท้าน้อยๆของเด็ก โผล่แผลมๆมาให้เห็น การทำคลอด เด็กท่าก้น เริ่มต้น ณ.บัดนั้น ฉัน ตั้งจิตสงบ นึกถึงครูบาอาจารย์ ที่สอนฉันมา ใหัค่อยๆทำไปทีละขั้นตอน ...ค่อยๆดึงขาเด็กออกทั้ง 2 ข้าง ...จับเด็กให้อยู่ในท่าตะแคงข้าง ค่อยๆดึงตัวเด็กลงล่าง เพื่อใหัตะโพกบนออก..แล้วก็ยกตัวเด็กขึ้นสูง เพื่อใหัตะโพกล่างออก ...พลิกตัวเด็ก กลับมาท่านอนคว่ำ แล้วค่อยๆดึงเด็กออกมา จนถึงบริเวณรักแร้ ...ใช้มือล้วงแขนเด็กออกมาทั้ง 2 ข้าง ( ต้องระวัง เด็กแขนหักได้ ) ... พลิกตัวเด็กกลับมาในท่าตะแคง เพื่อเอาใหล่บนออก และ ตามด้วยใหล่ล่างออกมา เหลือแต่หัว ...พลิกตัวเด็กนอนคว่ำอยู่บนแขนขวา ค่อยๆสอดนิ้วเข้าไปในปากเด็ก เพื่อดึงหน้าเด็กให้ก้มลงเล็กน้อย..ในเวลาเดียวกัน ใชัมือซ้ายช่วยปรับมุมที่ ท้ายทอยเด็ก แล้วค่อยๆดึงเด็กออกมา Happy New Born เป็นเพศหญิง ฉันตัดสายสะดือ แล้วส่งให้พยาบาลดูแลต่อ เมื่อ รก ลองออกมาหมด มดลูกหดตัวดี ฉันก๊สำรวจ รก พบว่า มี 1 รก และ 2 สายสะดือ นั่นคือ แฝดเหมือน ( Identical Twins ) เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงกลับไปนอน หนึ่งเดือนผ่านไป พ่อและแม่ เด็กแฝดมาหา ขอให้ฉันตั้งชื่อลูกสาวแฝด เพื่อเป็นศิริมงคล ฉัน ตั้งชื่อ คนแรก ชื่อ จันทรา คนน้อง ชื่อ กุสุมา พ่อและแม่เด็ก พูดไทยไม่ได้ ถามฉันเป็นภาษาอังกฤษ ถึงความหมายของชื่อ ฉัน อธิบายว่า เป็นชื่อของเจ้าหญิงแสนสวยพะม่า ในนิยายชื่อ ผู้ชนะสิบทิศ ของไทย จันทรา คือ เจ้าหญิงเมือง ตองอู กุสุมา คือ เจ้าหญิงเมือง แปร พ่อแลแม่เด็ก ไม่เข้าใจ แต่ก็พอใจชื่อที่ฉันตั้งให้ ระหว่างที่ฉันอยู่ ร.พ.แม่สอด ถ้าเด็กแฝดไม่สะบาย พี่เลี้ยงเด็ก จะพามาหาฉันทุกครั้ง วันหนึ่ง พี่เลี้ยงเด็กแฝด พูดกับฉันว่า " หนู รู้แล้วว่าทำไมคุณหมอ ตั้งชื่อน้อง ว่า จันทรา กุสุมา " ฉันถามว่า " รู้ได้อย่างไร " พี่เลี้ยงเด็กแฝดตอบว่า " เมื่อคืน หนูไปดูหนังเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ที่โรงหนังแม่สอด ).....( ฮา ) อีก 12 ปี ต่อมา หลังจากฉันย้ายจาก ร.พ.แม่สอด แล้ว ฉันไปแมสอดอีกครั้ง ได้ถามหา เด็กแฝดคู่นั้น พ่อและแม่เด็ก พามาหา ฉันดีใจ ที่ได้เห็นเด็กแข็งแรง และเริ่มมีแววสวย จึงเรียกเด็ก 2 คน มาหาชิดตัวเพื่อจะถ่ายรูป เด็กทั้ง 2 คน ชะงัก ไม่กล้าเข้ามาหา จนกระทั่งพ่อเด็ก ส่งภาษาพะม่า กับเด็กทั้งสอง เด็ก 2 คน จึงเดินยิ้มเข้ามาหา ยืนซ้ายขวาฉัน ถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระลึก จันทรา-กสุมา เรียนที่ แม่สอด และมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ โรงเรียน เซนต์ฟรัง ซิลซาเวียร์ คอนแวนด์ หลังจากนั้น ก็ไม่ทราบข่าวคราว ได้พบกันอีก เมื่อ ฉันไปกับ วปรอ.355 ที่แม่สอด ทั้งสองคน เป็นเจ้าของร้านพลอย ใหญ่โตในตลาดแม่สอด ร้านชื่อ จันทรา ต่อมา ก็พบกันอีก ที่แม่สอด ในฐานะประธานแต่งงานให้ จันทรา กูสุมา แต่งงานในเวลาต่อมา และพบครั้งสุดท้าย ที่ กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข ในขณะที่ฉัน เป็น อธิบดี จบบัดนี้ พ.ศ.2564 ยังไม่เคยพบแฝดคู่นี้อีกเลย... ก่อนจบ ขอย้อนกลับไปตอนที่ จันทรา-กุสุมา อยู่โรงเรียน เซนต์ฟรัง เป็นเวลาเดียวกันที่ฉันอยู่ โรงพยาบาลราชวิถึ ตะละแม่จันทรา และ ตะละแม่กุสุมา มาหาฉัน ที่ โรงพยาบาลราชวิถึ ในชุดนักเรียน เซนต์ฟรัง ทั้งสอง ดูค่อนข้างสวย แจ่มใส..เราได้พูดคุยถามทุกข์สุขกัน.. มีคำถามหนึ่ง ที่ฉันถาม จันทรา-กุสุมาว่า " ชื่อที่ตั้งให้ มีปัญหาหรือไม่ ในวันเวลาที่ผ่านมา " ทั้งสองคน ตอบว่า " มีค่ะ ใครๆชอบถามบ่อยๆว่า เจด็จ อยู่ไหน " ฉันถามกลับไปว่า " แล้ว จเด็จ อยู่ไหนล่ะ " สิ่งไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น ตะละแม่ทั้งสอง ยกมือขึ้นพรัอมกัน ชี้มาที่ฉัน และพูดพร้อมกัน ว่า " จเด็จ อยู่นี่ไง ".....ฮา ฮาฮา
    0 Comments 0 Shares 702 Views 0 Reviews
  • ท่านอนน้องเสือ555#แมวเคยจร
    ท่านอนน้องเสือ555#แมวเคยจร
    Wow
    1
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • #ท่านอน สำคัญนะ
    https://youtube.com/shorts/C1qN9Uk5uFw
    #ท่านอน สำคัญนะ https://youtube.com/shorts/C1qN9Uk5uFw
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 294 Views 0 Reviews