• Linux 2026: 9 เทรนด์ใหญ่ที่จะเปลี่ยนโลกเดสก์ท็อปโอเพ่นซอร์ส

    ปี 2025 เป็นปีที่เดสก์ท็อป Linux เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้ง Rust ที่เริ่มเข้ามาในเคอร์เนล, AI ที่เริ่มฝังในแอป, และการเปลี่ยนผ่านจาก X11 ไปสู่ Wayland อย่างจริงจัง บทความจาก It’s FOSS มองไปข้างหน้าและคาดการณ์ว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่ Linux เดสก์ท็อป “เปลี่ยนหน้า” ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี

    หนึ่งในเทรนด์สำคัญคือ Local AI ที่จะถูกฝังในแอปมากขึ้น ตั้งแต่ Calibre, ONLYOFFICE ไปจนถึง Kdenlive โดยใช้ LLM แบบรันบนเครื่อง เช่น Ollama หรือ LM Studio ทำให้ผู้ใช้สามารถสรุปเอกสาร ค้นไฟล์ หรือจัดการข้อมูลส่วนตัวได้โดยไม่ต้องส่งข้อมูลขึ้นคลาวด์ นี่คือการเปลี่ยน Linux ให้เป็น “AI workstation ส่วนตัว” อย่างแท้จริง

    ด้านระบบกราฟิก Wayland จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ หลัง Ubuntu, Fedora และ KDE Plasma ต่างประกาศเดินหน้าเต็มตัวในปี 2025 ทำให้ปี 2026 จะเป็นปีที่ Xorg ถูกลดบทบาทอย่างชัดเจน แม้จะยังต้องพึ่ง XWayland สำหรับแอปเก่า แต่ทิศทางโดยรวมชัดเจนว่า Linux เดสก์ท็อปกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ที่ลื่นไหลและปลอดภัยกว่าเดิม

    นอกจากนี้ยังมีเทรนด์สำคัญอื่นๆ เช่น การเติบโตของ RISC‑V ในฮาร์ดแวร์ผู้ใช้ทั่วไป, GNOME ที่เดินหน้าปรับแอปดีฟอลต์ให้ทันสมัย, ดิสโทรแบบ Immutable ที่เริ่มกลายเป็นตัวเลือกหลัก, Hyprland ที่ยังคงครองใจสายแต่งเดสก์ท็อป และแนวโน้มรัฐบาลยุโรปที่หันมาใช้โอเพ่นซอร์สมากขึ้นเพื่อความมั่นคงและลดการพึ่งพาบริษัทต่างชาติ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เทรนด์ Linux 2026 ที่โดดเด่นที่สุด
    Local AI ในแอป Linux เพิ่มขึ้น เช่น Calibre, ONLYOFFICE, Kdenlive
    Wayland กลายเป็นมาตรฐาน หลังดิสโทรใหญ่ทยอยเลิก Xorg
    Linux Gaming โตต่อเนื่อง จาก Proton, Wine, Rust‑based NVIDIA driver และ Steam Machine
    RISC‑V เข้าสู่ตลาดผู้ใช้ทั่วไป เช่น Framework Mainboard และอุปกรณ์พกพาใหม่ๆ
    GNOME เปลี่ยนแอปดีฟอลต์หลายตัว ไปสู่ GTK4 + libadwaita
    Immutable Distros มาแรง เช่น Fedora Atomic, openSUSE MicroOS, Nitrux
    Hyprland ยังคงเติบโต และถูกดิสโทรหลายตัวเพิ่มเป็นตัวเลือกหลัก
    Rustification เพิ่มขึ้น ทั้งในเคอร์เนลและเครื่องมือระบบ เช่น sudo, coreutils
    รัฐบาลยุโรปหันมาใช้โอเพ่นซอร์ส เช่น เดนมาร์ก, เยอรมนี, แคนาดา

    ความเสี่ยงและข้อควรระวังในเทรนด์เหล่านี้
    แอปเก่าที่ไม่รองรับ Wayland อาจมีปัญหาในช่วงเปลี่ยนผ่าน
    Hyprland ยังต้องจัดการไฟล์คอนฟิกจำนวนมาก แม้จะดีขึ้นแล้วก็ตาม
    Rustification อาจทำให้เกิด fragmentation หากโครงการต่างๆ รีไรต์โดยไม่ประสานกัน
    Immutable Distros ต้องการการเรียนรู้ใหม่สำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    https://itsfoss.com/news/linux-future-prediction-2026/
    🐧🔮 Linux 2026: 9 เทรนด์ใหญ่ที่จะเปลี่ยนโลกเดสก์ท็อปโอเพ่นซอร์ส ปี 2025 เป็นปีที่เดสก์ท็อป Linux เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้ง Rust ที่เริ่มเข้ามาในเคอร์เนล, AI ที่เริ่มฝังในแอป, และการเปลี่ยนผ่านจาก X11 ไปสู่ Wayland อย่างจริงจัง บทความจาก It’s FOSS มองไปข้างหน้าและคาดการณ์ว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่ Linux เดสก์ท็อป “เปลี่ยนหน้า” ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี หนึ่งในเทรนด์สำคัญคือ Local AI ที่จะถูกฝังในแอปมากขึ้น ตั้งแต่ Calibre, ONLYOFFICE ไปจนถึง Kdenlive โดยใช้ LLM แบบรันบนเครื่อง เช่น Ollama หรือ LM Studio ทำให้ผู้ใช้สามารถสรุปเอกสาร ค้นไฟล์ หรือจัดการข้อมูลส่วนตัวได้โดยไม่ต้องส่งข้อมูลขึ้นคลาวด์ นี่คือการเปลี่ยน Linux ให้เป็น “AI workstation ส่วนตัว” อย่างแท้จริง ด้านระบบกราฟิก Wayland จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ หลัง Ubuntu, Fedora และ KDE Plasma ต่างประกาศเดินหน้าเต็มตัวในปี 2025 ทำให้ปี 2026 จะเป็นปีที่ Xorg ถูกลดบทบาทอย่างชัดเจน แม้จะยังต้องพึ่ง XWayland สำหรับแอปเก่า แต่ทิศทางโดยรวมชัดเจนว่า Linux เดสก์ท็อปกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ที่ลื่นไหลและปลอดภัยกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีเทรนด์สำคัญอื่นๆ เช่น การเติบโตของ RISC‑V ในฮาร์ดแวร์ผู้ใช้ทั่วไป, GNOME ที่เดินหน้าปรับแอปดีฟอลต์ให้ทันสมัย, ดิสโทรแบบ Immutable ที่เริ่มกลายเป็นตัวเลือกหลัก, Hyprland ที่ยังคงครองใจสายแต่งเดสก์ท็อป และแนวโน้มรัฐบาลยุโรปที่หันมาใช้โอเพ่นซอร์สมากขึ้นเพื่อความมั่นคงและลดการพึ่งพาบริษัทต่างชาติ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เทรนด์ Linux 2026 ที่โดดเด่นที่สุด ➡️ Local AI ในแอป Linux เพิ่มขึ้น เช่น Calibre, ONLYOFFICE, Kdenlive ➡️ Wayland กลายเป็นมาตรฐาน หลังดิสโทรใหญ่ทยอยเลิก Xorg ➡️ Linux Gaming โตต่อเนื่อง จาก Proton, Wine, Rust‑based NVIDIA driver และ Steam Machine ➡️ RISC‑V เข้าสู่ตลาดผู้ใช้ทั่วไป เช่น Framework Mainboard และอุปกรณ์พกพาใหม่ๆ ➡️ GNOME เปลี่ยนแอปดีฟอลต์หลายตัว ไปสู่ GTK4 + libadwaita ➡️ Immutable Distros มาแรง เช่น Fedora Atomic, openSUSE MicroOS, Nitrux ➡️ Hyprland ยังคงเติบโต และถูกดิสโทรหลายตัวเพิ่มเป็นตัวเลือกหลัก ➡️ Rustification เพิ่มขึ้น ทั้งในเคอร์เนลและเครื่องมือระบบ เช่น sudo, coreutils ➡️ รัฐบาลยุโรปหันมาใช้โอเพ่นซอร์ส เช่น เดนมาร์ก, เยอรมนี, แคนาดา ‼️ ความเสี่ยงและข้อควรระวังในเทรนด์เหล่านี้ ⛔ แอปเก่าที่ไม่รองรับ Wayland อาจมีปัญหาในช่วงเปลี่ยนผ่าน ⛔ Hyprland ยังต้องจัดการไฟล์คอนฟิกจำนวนมาก แม้จะดีขึ้นแล้วก็ตาม ⛔ Rustification อาจทำให้เกิด fragmentation หากโครงการต่างๆ รีไรต์โดยไม่ประสานกัน ⛔ Immutable Distros ต้องการการเรียนรู้ใหม่สำหรับผู้ใช้ทั่วไป https://itsfoss.com/news/linux-future-prediction-2026/
    ITSFOSS.COM
    Here's Our Prediction for the Future of Desktop Linux in 2026
    Our take on the trends that will shape desktop Linux and open source in the year ahead.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • Operation Sentinel: Interpol ผนึก 19 ชาติแอฟริกา จับ 574 ผู้ต้องสงสัย — ถอดรหัสแรนซัมแวร์ 6 ตัว ปิดลิงก์มุ่งร้ายกว่า 6,000 รายการ

    ปฏิบัติการขนาดใหญ่ของ Interpol ภายใต้ชื่อ Operation Sentinel ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม – 27 พฤศจิกายน สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยด้านอาชญากรรมไซเบอร์ได้มากถึง 574 รายใน 19 ประเทศทั่วแอฟริกา พร้อมทั้งปิดลิงก์อันตรายกว่า 6,000 รายการ และกู้คืนเงินได้ราว 3 ล้านดอลลาร์ จากการถอดรหัสแรนซัมแวร์ 6 สายพันธุ์ที่ใช้โจมตีองค์กรในภูมิภาคนี้

    ภัยคุกคามหลักที่พบในปฏิบัติการครั้งนี้คือ Business Email Compromise (BEC), การกรรโชกดิจิทัล และแรนซัมแวร์ ซึ่งสร้างความเสียหายรวมกว่า 21 ล้านดอลลาร์ หนึ่งในคดีใหญ่เกิดขึ้นในเซเนกัล เมื่อแฮกเกอร์เข้าควบคุมระบบอีเมลของบริษัทพลังงานรายใหญ่และพยายามสั่งโอนเงิน 7.9 ล้านดอลลาร์ แต่ถูกเจ้าหน้าที่อายัดบัญชีปลายทางได้ทันเวลา

    ในกานา เจ้าหน้าที่สามารถวิเคราะห์มัลแวร์ขั้นสูงจนสร้าง เครื่องมือถอดรหัสเอง ช่วยกู้ข้อมูลได้เกือบ 30TB จากทั้งหมด 100TB ที่ถูกเข้ารหัส พร้อมระบุสายพันธุ์แรนซัมแวร์ที่ใช้โจมตีได้สำเร็จ นี่สะท้อนให้เห็นว่าศูนย์ปฏิบัติการไซเบอร์ในแอฟริกากำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและเริ่มมีความสามารถด้าน Forensics ที่ทัดเทียมประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้น

    Interpol ระบุว่าการโจมตีไซเบอร์ในแอฟริกากำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยกว่า 30% ของอาชญากรรมที่รายงานในแอฟริกาตะวันตกและตะวันออกเป็นอาชญากรรมไซเบอร์ และสองในสามของประเทศสมาชิกระบุว่าอาชญากรรมไซเบอร์มีสัดส่วนระดับ “กลางถึงสูง” ของคดีทั้งหมด ปฏิบัติการ Sentinel จึงเป็นสัญญาณว่าภูมิภาคนี้กำลังก้าวสู่ยุคที่ต้องรับมือภัยไซเบอร์อย่างจริงจังและเป็นระบบมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ผลลัพธ์สำคัญจาก Operation Sentinel
    จับกุมผู้ต้องสงสัย 574 รายใน 19 ประเทศแอฟริกา
    ปิดลิงก์อันตรายกว่า 6,000 รายการ และกู้คืนเงิน 3 ล้านดอลลาร์
    ถอดรหัสแรนซัมแวร์ได้ 6 สายพันธุ์ ช่วยกู้ข้อมูลจำนวนมาก
    คดีใหญ่ในเซเนกัล: ป้องกันการโอนเงินผิดกฎหมาย 7.9 ล้านดอลลาร์ ได้ทันเวลา

    ความเสี่ยงและสัญญาณเตือนจากข้อมูลในข่าว
    BEC ยังคงเป็นภัยอันดับหนึ่ง ในหลายประเทศแอฟริกา
    แรนซัมแวร์ยังคงโจมตีสถาบันการเงินและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างต่อเนื่อง
    อาชญากรรมไซเบอร์คิดเป็น 30% ของคดีทั้งหมด ในบางภูมิภาคของแอฟริกา
    เครือข่ายอาชญากรมีความร่วมมือข้ามประเทศมากขึ้น ทำให้ตรวจจับยากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/interpol-led-cybercrime-crackdown-results-in-574-arrests-in-19-african-nations-decrypts-six-ransomware-variants-operation-sentinel-disrupts-rings-that-caused-usd21-million-in-losses-recovers-usd3-million
    🛡️🌍 Operation Sentinel: Interpol ผนึก 19 ชาติแอฟริกา จับ 574 ผู้ต้องสงสัย — ถอดรหัสแรนซัมแวร์ 6 ตัว ปิดลิงก์มุ่งร้ายกว่า 6,000 รายการ ปฏิบัติการขนาดใหญ่ของ Interpol ภายใต้ชื่อ Operation Sentinel ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม – 27 พฤศจิกายน สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยด้านอาชญากรรมไซเบอร์ได้มากถึง 574 รายใน 19 ประเทศทั่วแอฟริกา พร้อมทั้งปิดลิงก์อันตรายกว่า 6,000 รายการ และกู้คืนเงินได้ราว 3 ล้านดอลลาร์ จากการถอดรหัสแรนซัมแวร์ 6 สายพันธุ์ที่ใช้โจมตีองค์กรในภูมิภาคนี้ ภัยคุกคามหลักที่พบในปฏิบัติการครั้งนี้คือ Business Email Compromise (BEC), การกรรโชกดิจิทัล และแรนซัมแวร์ ซึ่งสร้างความเสียหายรวมกว่า 21 ล้านดอลลาร์ หนึ่งในคดีใหญ่เกิดขึ้นในเซเนกัล เมื่อแฮกเกอร์เข้าควบคุมระบบอีเมลของบริษัทพลังงานรายใหญ่และพยายามสั่งโอนเงิน 7.9 ล้านดอลลาร์ แต่ถูกเจ้าหน้าที่อายัดบัญชีปลายทางได้ทันเวลา ในกานา เจ้าหน้าที่สามารถวิเคราะห์มัลแวร์ขั้นสูงจนสร้าง เครื่องมือถอดรหัสเอง ช่วยกู้ข้อมูลได้เกือบ 30TB จากทั้งหมด 100TB ที่ถูกเข้ารหัส พร้อมระบุสายพันธุ์แรนซัมแวร์ที่ใช้โจมตีได้สำเร็จ นี่สะท้อนให้เห็นว่าศูนย์ปฏิบัติการไซเบอร์ในแอฟริกากำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและเริ่มมีความสามารถด้าน Forensics ที่ทัดเทียมประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้น Interpol ระบุว่าการโจมตีไซเบอร์ในแอฟริกากำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยกว่า 30% ของอาชญากรรมที่รายงานในแอฟริกาตะวันตกและตะวันออกเป็นอาชญากรรมไซเบอร์ และสองในสามของประเทศสมาชิกระบุว่าอาชญากรรมไซเบอร์มีสัดส่วนระดับ “กลางถึงสูง” ของคดีทั้งหมด ปฏิบัติการ Sentinel จึงเป็นสัญญาณว่าภูมิภาคนี้กำลังก้าวสู่ยุคที่ต้องรับมือภัยไซเบอร์อย่างจริงจังและเป็นระบบมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ผลลัพธ์สำคัญจาก Operation Sentinel ➡️ จับกุมผู้ต้องสงสัย 574 รายใน 19 ประเทศแอฟริกา ➡️ ปิดลิงก์อันตรายกว่า 6,000 รายการ และกู้คืนเงิน 3 ล้านดอลลาร์ ➡️ ถอดรหัสแรนซัมแวร์ได้ 6 สายพันธุ์ ช่วยกู้ข้อมูลจำนวนมาก ➡️ คดีใหญ่ในเซเนกัล: ป้องกันการโอนเงินผิดกฎหมาย 7.9 ล้านดอลลาร์ ได้ทันเวลา ‼️ ความเสี่ยงและสัญญาณเตือนจากข้อมูลในข่าว ⛔ BEC ยังคงเป็นภัยอันดับหนึ่ง ในหลายประเทศแอฟริกา ⛔ แรนซัมแวร์ยังคงโจมตีสถาบันการเงินและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างต่อเนื่อง ⛔ อาชญากรรมไซเบอร์คิดเป็น 30% ของคดีทั้งหมด ในบางภูมิภาคของแอฟริกา ⛔ เครือข่ายอาชญากรมีความร่วมมือข้ามประเทศมากขึ้น ทำให้ตรวจจับยากขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/interpol-led-cybercrime-crackdown-results-in-574-arrests-in-19-african-nations-decrypts-six-ransomware-variants-operation-sentinel-disrupts-rings-that-caused-usd21-million-in-losses-recovers-usd3-million
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลทั่วโลกใช้ “ปิดอินเทอร์เน็ต” เป็นอาวุธใหม่ — และกำลังเกิดบ่อยขึ้นอย่างน่ากลัว

    บทความของ Bruce Schneier ชี้ให้เห็นแนวโน้มที่น่ากังวล: รัฐบาลจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ใช้อินเทอร์เน็ตชัตดาวน์เป็นเครื่องมือควบคุมประชาชน ไม่ว่าจะเพื่อหยุดการประท้วง ปิดปากสื่อ หรือแม้แต่ควบคุมผลสอบของนักเรียนในบางประเทศ เหตุการณ์ล่าสุด เช่น อัฟกานิสถาน แทนซาเนีย แคเมอรูน ปากีสถาน และไนจีเรีย ต่างเผชิญการปิดอินเทอร์เน็ตระดับภูมิภาคหรือทั้งประเทศ โดยหลายครั้งไม่มีคำอธิบายใด ๆ จากรัฐบาลเลย

    Schneier ระบุว่าการปิดอินเทอร์เน็ตไม่ใช่แค่ “ความไม่สะดวก” แต่เป็นการปิดระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของสังคม — ตั้งแต่การสื่อสารฉุกเฉิน การเงิน การบิน ไปจนถึงความปลอดภัยของประชาชนในเขตสงคราม เช่น กาซา หรือยูเครน ที่เคยถูกตัดสัญญาณโดยเจตนาเพื่อทำให้ประชาชนไร้ความสามารถในการขอความช่วยเหลือหรือเผยแพร่หลักฐานการละเมิดสิทธิ

    ข้อมูลจาก Access Now ระบุว่า ปี 2024 มีการปิดอินเทอร์เน็ต 296 ครั้งใน 54 ประเทศ และปี 2025 ก็มีอย่างน้อย 244 ครั้งแล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนว่าการปิดอินเทอร์เน็ตกำลังกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ของรัฐบาลอำนาจนิยม

    ปัญหานี้รุนแรงขึ้นเพราะโครงสร้างอินเทอร์เน็ตในหลายประเทศ “รวมศูนย์” มากเกินไป เช่น มีผู้ให้บริการมือถือรายเดียว หรือมีสายเคเบิลเชื่อมต่อโลกภายนอกเพียง 1–2 เส้น ทำให้รัฐบาลสามารถสั่งปิดได้ง่ายเพียงออกคำสั่งเดียว ต่างจากประเทศที่มีโครงสร้างกระจายตัว เช่น สหรัฐฯ ที่การปิดอินเทอร์เน็ตทั้งประเทศแทบเป็นไปไม่ได้

    Schneier เตือนว่าการปิดอินเทอร์เน็ตคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเป็นสัญญาณของการถอยหลังทางประชาธิปไตยทั่วโลก แม้จะมีความพยายามจากองค์กรระหว่างประเทศในการกดดัน แต่รัฐบาลหลายแห่งกลับ “เรียนรู้จากกันและกัน” ทำให้แนวโน้มนี้ยิ่งแพร่กระจาย

    สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ
    การปิดอินเทอร์เน็ตกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    296 ครั้งในปี 2024
    244 ครั้งในปี 2025 (ยังไม่จบปี)

    เหตุผลที่รัฐบาลใช้ชัตดาวน์
    ปิดกั้นการประท้วง
    ควบคุมการเลือกตั้ง
    ปิดปากสื่อ
    ควบคุมข้อมูลในเขตสงคราม
    แม้แต่ “กันโกงข้อสอบ”

    ผลกระทบรุนแรงกว่าที่คิด
    ระบบฉุกเฉินล่ม
    การเงินหยุดชะงัก
    เที่ยวบินถูกยกเลิก
    ประชาชนในเขตสงครามไม่สามารถขอความช่วยเหลือ

    ประเทศที่ทำบ่อยที่สุด
    อินเดีย (855 ครั้ง)
    เมียนมา
    ปากีสถาน
    อิหร่าน

    ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง
    โครงสร้างอินเทอร์เน็ตแบบรวมศูนย์ทำให้ปิดได้ง่าย
    บริษัทเทคบางแห่ง “ร่วมมือ” กับรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์
    การปิดอินเทอร์เน็ตกำลังกลายเป็นอาวุธทางการเมือง

    https://www.schneier.com/blog/archives/2025/12/deliberate-internet-shutdowns.html
    🌐⚠️ รัฐบาลทั่วโลกใช้ “ปิดอินเทอร์เน็ต” เป็นอาวุธใหม่ — และกำลังเกิดบ่อยขึ้นอย่างน่ากลัว บทความของ Bruce Schneier ชี้ให้เห็นแนวโน้มที่น่ากังวล: รัฐบาลจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ใช้อินเทอร์เน็ตชัตดาวน์เป็นเครื่องมือควบคุมประชาชน ไม่ว่าจะเพื่อหยุดการประท้วง ปิดปากสื่อ หรือแม้แต่ควบคุมผลสอบของนักเรียนในบางประเทศ เหตุการณ์ล่าสุด เช่น อัฟกานิสถาน แทนซาเนีย แคเมอรูน ปากีสถาน และไนจีเรีย ต่างเผชิญการปิดอินเทอร์เน็ตระดับภูมิภาคหรือทั้งประเทศ โดยหลายครั้งไม่มีคำอธิบายใด ๆ จากรัฐบาลเลย Schneier ระบุว่าการปิดอินเทอร์เน็ตไม่ใช่แค่ “ความไม่สะดวก” แต่เป็นการปิดระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของสังคม — ตั้งแต่การสื่อสารฉุกเฉิน การเงิน การบิน ไปจนถึงความปลอดภัยของประชาชนในเขตสงคราม เช่น กาซา หรือยูเครน ที่เคยถูกตัดสัญญาณโดยเจตนาเพื่อทำให้ประชาชนไร้ความสามารถในการขอความช่วยเหลือหรือเผยแพร่หลักฐานการละเมิดสิทธิ ข้อมูลจาก Access Now ระบุว่า ปี 2024 มีการปิดอินเทอร์เน็ต 296 ครั้งใน 54 ประเทศ และปี 2025 ก็มีอย่างน้อย 244 ครั้งแล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนว่าการปิดอินเทอร์เน็ตกำลังกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ของรัฐบาลอำนาจนิยม ปัญหานี้รุนแรงขึ้นเพราะโครงสร้างอินเทอร์เน็ตในหลายประเทศ “รวมศูนย์” มากเกินไป เช่น มีผู้ให้บริการมือถือรายเดียว หรือมีสายเคเบิลเชื่อมต่อโลกภายนอกเพียง 1–2 เส้น ทำให้รัฐบาลสามารถสั่งปิดได้ง่ายเพียงออกคำสั่งเดียว ต่างจากประเทศที่มีโครงสร้างกระจายตัว เช่น สหรัฐฯ ที่การปิดอินเทอร์เน็ตทั้งประเทศแทบเป็นไปไม่ได้ Schneier เตือนว่าการปิดอินเทอร์เน็ตคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเป็นสัญญาณของการถอยหลังทางประชาธิปไตยทั่วโลก แม้จะมีความพยายามจากองค์กรระหว่างประเทศในการกดดัน แต่รัฐบาลหลายแห่งกลับ “เรียนรู้จากกันและกัน” ทำให้แนวโน้มนี้ยิ่งแพร่กระจาย 📌 สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ ✅ การปิดอินเทอร์เน็ตกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ 296 ครั้งในปี 2024 ➡️ 244 ครั้งในปี 2025 (ยังไม่จบปี) ✅ เหตุผลที่รัฐบาลใช้ชัตดาวน์ ➡️ ปิดกั้นการประท้วง ➡️ ควบคุมการเลือกตั้ง ➡️ ปิดปากสื่อ ➡️ ควบคุมข้อมูลในเขตสงคราม ➡️ แม้แต่ “กันโกงข้อสอบ” ✅ ผลกระทบรุนแรงกว่าที่คิด ➡️ ระบบฉุกเฉินล่ม ➡️ การเงินหยุดชะงัก ➡️ เที่ยวบินถูกยกเลิก ➡️ ประชาชนในเขตสงครามไม่สามารถขอความช่วยเหลือ ✅ ประเทศที่ทำบ่อยที่สุด ➡️ อินเดีย (855 ครั้ง) ➡️ เมียนมา ➡️ ปากีสถาน ➡️ อิหร่าน ‼️ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ➡️ โครงสร้างอินเทอร์เน็ตแบบรวมศูนย์ทำให้ปิดได้ง่าย ➡️ บริษัทเทคบางแห่ง “ร่วมมือ” กับรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์ ➡️ การปิดอินเทอร์เน็ตกำลังกลายเป็นอาวุธทางการเมือง https://www.schneier.com/blog/archives/2025/12/deliberate-internet-shutdowns.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • แบตเตอรี่ CO₂: เทคโนโลยีกักเก็บพลังงานยุคใหม่ที่กำลังเติบโตทั่วโลก

    เทคโนโลยี “CO₂ Battery” ของบริษัท Energy Dome จากอิตาลีกำลังกลายเป็นหนึ่งในนวัตกรรมด้านพลังงานที่น่าจับตาที่สุดในโลก โดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบปิดเพื่อกักเก็บพลังงานหมุนเวียนในช่วงที่มีไฟฟ้าเหลือ และปล่อยกลับสู่ระบบในช่วงที่ความต้องการสูง โรงงานต้นแบบขนาด 20 MW ในเกาะซาร์ดิเนียเริ่มเดินเครื่องในปี 2025 และจะมีการสร้างโรงงานลักษณะเดียวกันในอินเดีย สหรัฐฯ และศูนย์ข้อมูลของ Google ทั่วโลกในปี 2026

    จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือความสามารถในการกักเก็บพลังงานยาวนานกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป ซึ่งมักเก็บได้เพียง 4–8 ชั่วโมง ในขณะที่ CO₂ Battery สามารถให้พลังงานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงขึ้นไป และขยายขนาดได้ง่ายโดยไม่เพิ่มต้นทุนมากนัก นอกจากนี้ยังไม่ต้องใช้แร่หายาก ไม่ต้องพึ่งภูมิประเทศเฉพาะแบบโรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับ และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าลิเธียมไอออนถึงสามเท่า ทำให้หลายประเทศและบริษัทพลังงานเริ่มสนใจลงทุนอย่างจริงจัง

    Google เป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยต้องการใช้ CO₂ Battery เพื่อให้ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกสามารถใช้พลังงานสะอาดได้ตลอด 24 ชั่วโมง แม้ในช่วงที่ไม่มีลมหรือแสงแดด ความสามารถในการสร้างโรงงานได้ภายในเวลาไม่ถึงสองปี และติดตั้งได้แทบทุกพื้นที่ ทำให้เทคโนโลยีนี้เหมาะกับการขยายตัวในระดับโลกอย่างมาก

    แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อกังวล เช่น การใช้พื้นที่มากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และความเสี่ยงหากโดมถูกเจาะจน CO₂ รั่วออกมา อย่างไรก็ตาม ปริมาณ CO₂ ที่รั่วจะเทียบเท่าการบินข้ามมหาสมุทรเพียงไม่กี่เที่ยว และยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับการปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วไป ทำให้หลายฝ่ายมองว่าความเสี่ยงนี้ “คุ้มค่า” เมื่อเทียบกับประโยชน์ด้านพลังงานสะอาดในระยะยาว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    CO₂ Battery คืออะไร และทำงานอย่างไร
    ใช้ CO₂ ในระบบปิดเพื่อกักเก็บพลังงาน
    อัด–ระบาย CO₂ เพื่อหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า

    ข้อดีเหนือแบตเตอรี่แบบเดิม
    เก็บพลังงานได้นานกว่า 8–10 ชั่วโมง
    ไม่ใช้แร่หายาก และอายุการใช้งานยาวกว่า 3 เท่า
    ขยายขนาดได้ง่าย ต้นทุนลดลงเมื่อเพิ่มความจุ

    การขยายตัวทั่วโลก
    อินเดีย สหรัฐฯ และ Google เตรียมสร้างโรงงานในปี 2026
    ใช้พื้นที่เพียง 5 เฮกตาร์ และสร้างเสร็จเร็ว

    ข้อควรระวังและความเสี่ยง
    ใช้พื้นที่มากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน
    หากโดมรั่ว CO₂ จะกระจายตัว ต้องเว้นระยะความปลอดภัย
    โครงสร้างโดมอาจถูกต่อต้านในบางพื้นที่ (NIMBY)

    https://spectrum.ieee.org/co2-battery-energy-storage
    🌍⚡ แบตเตอรี่ CO₂: เทคโนโลยีกักเก็บพลังงานยุคใหม่ที่กำลังเติบโตทั่วโลก เทคโนโลยี “CO₂ Battery” ของบริษัท Energy Dome จากอิตาลีกำลังกลายเป็นหนึ่งในนวัตกรรมด้านพลังงานที่น่าจับตาที่สุดในโลก โดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบปิดเพื่อกักเก็บพลังงานหมุนเวียนในช่วงที่มีไฟฟ้าเหลือ และปล่อยกลับสู่ระบบในช่วงที่ความต้องการสูง โรงงานต้นแบบขนาด 20 MW ในเกาะซาร์ดิเนียเริ่มเดินเครื่องในปี 2025 และจะมีการสร้างโรงงานลักษณะเดียวกันในอินเดีย สหรัฐฯ และศูนย์ข้อมูลของ Google ทั่วโลกในปี 2026 จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือความสามารถในการกักเก็บพลังงานยาวนานกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป ซึ่งมักเก็บได้เพียง 4–8 ชั่วโมง ในขณะที่ CO₂ Battery สามารถให้พลังงานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงขึ้นไป และขยายขนาดได้ง่ายโดยไม่เพิ่มต้นทุนมากนัก นอกจากนี้ยังไม่ต้องใช้แร่หายาก ไม่ต้องพึ่งภูมิประเทศเฉพาะแบบโรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับ และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าลิเธียมไอออนถึงสามเท่า ทำให้หลายประเทศและบริษัทพลังงานเริ่มสนใจลงทุนอย่างจริงจัง Google เป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยต้องการใช้ CO₂ Battery เพื่อให้ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกสามารถใช้พลังงานสะอาดได้ตลอด 24 ชั่วโมง แม้ในช่วงที่ไม่มีลมหรือแสงแดด ความสามารถในการสร้างโรงงานได้ภายในเวลาไม่ถึงสองปี และติดตั้งได้แทบทุกพื้นที่ ทำให้เทคโนโลยีนี้เหมาะกับการขยายตัวในระดับโลกอย่างมาก แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อกังวล เช่น การใช้พื้นที่มากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และความเสี่ยงหากโดมถูกเจาะจน CO₂ รั่วออกมา อย่างไรก็ตาม ปริมาณ CO₂ ที่รั่วจะเทียบเท่าการบินข้ามมหาสมุทรเพียงไม่กี่เที่ยว และยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับการปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วไป ทำให้หลายฝ่ายมองว่าความเสี่ยงนี้ “คุ้มค่า” เมื่อเทียบกับประโยชน์ด้านพลังงานสะอาดในระยะยาว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ CO₂ Battery คืออะไร และทำงานอย่างไร ➡️ ใช้ CO₂ ในระบบปิดเพื่อกักเก็บพลังงาน ➡️ อัด–ระบาย CO₂ เพื่อหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า ✅ ข้อดีเหนือแบตเตอรี่แบบเดิม ➡️ เก็บพลังงานได้นานกว่า 8–10 ชั่วโมง ➡️ ไม่ใช้แร่หายาก และอายุการใช้งานยาวกว่า 3 เท่า ➡️ ขยายขนาดได้ง่าย ต้นทุนลดลงเมื่อเพิ่มความจุ ✅ การขยายตัวทั่วโลก ➡️ อินเดีย สหรัฐฯ และ Google เตรียมสร้างโรงงานในปี 2026 ➡️ ใช้พื้นที่เพียง 5 เฮกตาร์ และสร้างเสร็จเร็ว ‼️ ข้อควรระวังและความเสี่ยง ⛔ ใช้พื้นที่มากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ⛔ หากโดมรั่ว CO₂ จะกระจายตัว ต้องเว้นระยะความปลอดภัย ⛔ โครงสร้างโดมอาจถูกต่อต้านในบางพื้นที่ (NIMBY) https://spectrum.ieee.org/co2-battery-energy-storage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณไม่ได้หมดไฟ… คุณกำลัง “ขาดความหมายในชีวิต” อยู่ต่างหาก

    บทความของ Neil Thanedar เปิดด้วยแนวคิดจาก Viktor Frankl และ Nietzsche ว่า “ความหมาย” คือเชื้อเพลิงที่แท้จริงของมนุษย์ ไม่ใช่ความสะดวกสบายหรือความสำเร็จภายนอก เขาอธิบายว่าคนจำนวนมากในยุคนี้ไม่ได้หมดไฟเพราะทำงานหนักเกินไป แต่เพราะทำงานที่ “ไม่สำคัญพอ” ต่อหัวใจของตัวเอง แม้จะมีบ้านดี ๆ รายได้ดี และชีวิตที่ดูสมบูรณ์แบบ แต่กลับรู้สึกว่างเปล่า เหมือนกำลังใช้ชีวิตของคนอื่นแทนชีวิตของตัวเอง

    Thanedar ชี้ว่าความรู้สึก “ติดอยู่ในความธรรมดา” เกิดจากการที่เราเลิกฟังเสียงในใจตั้งแต่วัยเด็ก—เสียงที่เคยบอกว่าเราอยากเป็นอะไร อยากสร้างอะไร อยากเปลี่ยนโลกแบบไหน แต่เมื่อโตขึ้น เราถูกสังคม ความกลัว และความคาดหวังทำให้เสียงนั้นเงียบลง เขาเล่าว่าตัวเองเคยอยากเป็นประธานาธิบดี นักบินอวกาศ และผู้รักษาประตูฮอกกี้ ก่อนจะถูกล้อจนเลิกฝันไปหลายปี

    เมื่อเขากลับมาฟังเสียงนั้นอีกครั้ง เขาพบว่าความหมายสูงสุดของเขาคือ “ช่วยคนอื่นค้นหาความหมายของตัวเอง” และ “เป็นตัวอย่างของการไล่ตามความยิ่งใหญ่” นั่นทำให้เขาเปลี่ยนเส้นทางจากธุรกิจห้องแล็บสู่การทำงานด้านการเมืองและการสร้างโครงการ Positive Politics ที่เขาเชื่อว่าจะสร้างผลกระทบระดับระบบได้จริง

    ท้ายที่สุด เขาย้ำว่าทั้งวัฒนธรรม “ทำงานหนัก 100 ชั่วโมง” และวัฒนธรรม “ทำงานให้น้อยที่สุด” ต่างก็พลาดประเด็นสำคัญ เพราะคำตอบไม่ได้อยู่ที่จำนวนชั่วโมงทำงาน แต่อยู่ที่ว่า “งานนั้นมีความหมายกับคุณแค่ไหน” ถ้าคุณทำงานที่ใช่ คุณจะรู้สึกหิว—หิวที่จะสร้าง หิวที่จะเติบโต หิวที่จะทำสิ่งสำคัญ ไม่ใช่หมดไฟ แต่เป็นการกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คุณไม่ได้หมดไฟ แต่กำลังขาดความหมาย
    ความเหนื่อยล้าหลายอย่างคือ “existential vacuum” ตามแนวคิดของ Viktor Frankl
    ชีวิตที่สะดวกสบายแต่ไร้ความหมายทำให้รู้สึกติดอยู่ในความธรรมดา

    เสียงในใจวัยเด็กคือเบาะแสของความหมาย
    ความฝันวัยเด็กสะท้อนตัวตนที่แท้จริง
    สังคมและความกลัวทำให้เสียงนี้เงียบลงเมื่อโตขึ้น

    ความหมายสูงสุดคือการไล่ตามศักยภาพของตัวเอง
    Thanedar เปลี่ยนเส้นทางจากธุรกิจสู่การเมืองเพื่อทำงานที่มีผลกระทบมากกว่า
    เขาเชื่อว่าความหมายคือการสร้าง “meta solutions” ที่สร้างผลลัพธ์ต่อเนื่อง

    สิ่งที่ต้องระวัง
    การไล่ตามความสะดวกสบายมากเกินไปทำให้สับสนระหว่าง “สบาย” กับ “เติมเต็ม”
    การทำงานที่ไม่สำคัญต่อหัวใจจะทำให้รู้สึกหมดไฟแม้จะไม่เหนื่อย
    การไม่ฟังเสียงในใจนานเกินไปทำให้หลงทางในเส้นทางอาชีพและชีวิต

    https://neilthanedar.com/youre-not-burnt-out-youre-existentially-starving/
    🌟 คุณไม่ได้หมดไฟ… คุณกำลัง “ขาดความหมายในชีวิต” อยู่ต่างหาก บทความของ Neil Thanedar เปิดด้วยแนวคิดจาก Viktor Frankl และ Nietzsche ว่า “ความหมาย” คือเชื้อเพลิงที่แท้จริงของมนุษย์ ไม่ใช่ความสะดวกสบายหรือความสำเร็จภายนอก เขาอธิบายว่าคนจำนวนมากในยุคนี้ไม่ได้หมดไฟเพราะทำงานหนักเกินไป แต่เพราะทำงานที่ “ไม่สำคัญพอ” ต่อหัวใจของตัวเอง แม้จะมีบ้านดี ๆ รายได้ดี และชีวิตที่ดูสมบูรณ์แบบ แต่กลับรู้สึกว่างเปล่า เหมือนกำลังใช้ชีวิตของคนอื่นแทนชีวิตของตัวเอง Thanedar ชี้ว่าความรู้สึก “ติดอยู่ในความธรรมดา” เกิดจากการที่เราเลิกฟังเสียงในใจตั้งแต่วัยเด็ก—เสียงที่เคยบอกว่าเราอยากเป็นอะไร อยากสร้างอะไร อยากเปลี่ยนโลกแบบไหน แต่เมื่อโตขึ้น เราถูกสังคม ความกลัว และความคาดหวังทำให้เสียงนั้นเงียบลง เขาเล่าว่าตัวเองเคยอยากเป็นประธานาธิบดี นักบินอวกาศ และผู้รักษาประตูฮอกกี้ ก่อนจะถูกล้อจนเลิกฝันไปหลายปี เมื่อเขากลับมาฟังเสียงนั้นอีกครั้ง เขาพบว่าความหมายสูงสุดของเขาคือ “ช่วยคนอื่นค้นหาความหมายของตัวเอง” และ “เป็นตัวอย่างของการไล่ตามความยิ่งใหญ่” นั่นทำให้เขาเปลี่ยนเส้นทางจากธุรกิจห้องแล็บสู่การทำงานด้านการเมืองและการสร้างโครงการ Positive Politics ที่เขาเชื่อว่าจะสร้างผลกระทบระดับระบบได้จริง ท้ายที่สุด เขาย้ำว่าทั้งวัฒนธรรม “ทำงานหนัก 100 ชั่วโมง” และวัฒนธรรม “ทำงานให้น้อยที่สุด” ต่างก็พลาดประเด็นสำคัญ เพราะคำตอบไม่ได้อยู่ที่จำนวนชั่วโมงทำงาน แต่อยู่ที่ว่า “งานนั้นมีความหมายกับคุณแค่ไหน” ถ้าคุณทำงานที่ใช่ คุณจะรู้สึกหิว—หิวที่จะสร้าง หิวที่จะเติบโต หิวที่จะทำสิ่งสำคัญ ไม่ใช่หมดไฟ แต่เป็นการกลับมามีชีวิตอีกครั้ง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คุณไม่ได้หมดไฟ แต่กำลังขาดความหมาย ➡️ ความเหนื่อยล้าหลายอย่างคือ “existential vacuum” ตามแนวคิดของ Viktor Frankl ➡️ ชีวิตที่สะดวกสบายแต่ไร้ความหมายทำให้รู้สึกติดอยู่ในความธรรมดา ✅ เสียงในใจวัยเด็กคือเบาะแสของความหมาย ➡️ ความฝันวัยเด็กสะท้อนตัวตนที่แท้จริง ➡️ สังคมและความกลัวทำให้เสียงนี้เงียบลงเมื่อโตขึ้น ✅ ความหมายสูงสุดคือการไล่ตามศักยภาพของตัวเอง ➡️ Thanedar เปลี่ยนเส้นทางจากธุรกิจสู่การเมืองเพื่อทำงานที่มีผลกระทบมากกว่า ➡️ เขาเชื่อว่าความหมายคือการสร้าง “meta solutions” ที่สร้างผลลัพธ์ต่อเนื่อง ‼️ สิ่งที่ต้องระวัง ⛔ การไล่ตามความสะดวกสบายมากเกินไปทำให้สับสนระหว่าง “สบาย” กับ “เติมเต็ม” ⛔ การทำงานที่ไม่สำคัญต่อหัวใจจะทำให้รู้สึกหมดไฟแม้จะไม่เหนื่อย ⛔ การไม่ฟังเสียงในใจนานเกินไปทำให้หลงทางในเส้นทางอาชีพและชีวิต https://neilthanedar.com/youre-not-burnt-out-youre-existentially-starving/
    NEILTHANEDAR.COM
    You're Not Burnt Out. You're Existentially Starving. - Neil Thanedar
    “Those who have a ‘Why’ to live, can bear with almost any ‘How’.” ― Viktor Frankl quoting Friedrich Nietzsche, Man’s Search for Meaning Let me guess: Viktor Frankl calls this feeling the “existential vacuum” in his famous book Man’s Search for Meaning. Frankl was a psychologist who survived the Holocaust, and in this book heContinue reading
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิตาลีสั่งปรับ Apple เกือบ €100 ล้าน เหตุ ATT สร้างภาระเกินจำเป็นต่อผู้พัฒนาและตลาดโฆษณา

    หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันของอิตาลี (AGCM) ได้สั่งปรับ Apple เป็นเงิน €98.6 ล้าน จากการบังคับใช้กฎ App Tracking Transparency (ATT) ที่ถูกมองว่า “สร้างภาระเกินสมควร” ต่อผู้พัฒนาแอปและผู้ลงโฆษณา แม้ ATT จะถูกนำเสนอในฐานะฟีเจอร์เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แต่หน่วยงานกำกับมองว่ากฎนี้ทำให้ Apple ได้เปรียบในตลาดโฆษณาอย่างไม่เป็นธรรม เพราะผู้พัฒนาภายนอกถูกจำกัดการติดตามผู้ใช้ ในขณะที่ Apple ยังสามารถเก็บข้อมูลบางส่วนผ่านระบบของตัวเองได้

    การสอบสวนชี้ว่า ATT ทำให้ผู้พัฒนาต้องเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งในด้านการปรับปรุงระบบ การขอความยินยอม และการสูญเสียรายได้จากโฆษณาที่แม่นยำลดลง ขณะเดียวกัน Apple กลับสามารถใช้ข้อมูลภายในระบบของตนเพื่อเสริมความได้เปรียบในตลาดบริการโฆษณา เช่น Apple Search Ads ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วหลังการเปิดตัว ATT จนหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความเป็นธรรมของกฎนี้

    แม้ Apple จะยืนยันว่า ATT ถูกออกแบบเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แต่หลายประเทศในยุโรป—including ฝรั่งเศสและเยอรมนี—ก็เริ่มจับตาพฤติกรรมของบริษัทอย่างใกล้ชิด โดยมองว่าการควบคุมข้อมูลผู้ใช้ในระดับแพลตฟอร์มอาจกลายเป็น “อำนาจผูกขาดรูปแบบใหม่” ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของนักพัฒนาและผู้ลงโฆษณาในวงกว้าง

    การปรับครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของเงิน แต่เป็นสัญญาณว่าหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรปกำลังเริ่มตั้งคำถามต่อโมเดลธุรกิจของ Apple ที่อาศัยความเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มเพื่อกำหนดกฎที่อาจเอื้อประโยชน์ให้ตนเองมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การตรวจสอบเพิ่มเติมในระดับสหภาพยุโรปในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    อิตาลีสั่งปรับ Apple €98.6 ล้าน
    เหตุผล: ATT สร้างภาระเกินจำเป็นต่อผู้พัฒนา
    มองว่า Apple ได้เปรียบในตลาดโฆษณาอย่างไม่เป็นธรรม

    ผลกระทบต่อผู้พัฒนาและตลาดโฆษณา
    ต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการขอความยินยอมและปรับระบบ
    รายได้โฆษณาลดลงเพราะการติดตามผู้ใช้ทำได้ยากขึ้น

    Apple ยืนยันว่า ATT คือการปกป้องความเป็นส่วนตัว
    แต่หลายประเทศในยุโรปเริ่มตั้งคำถามถึงความโปร่งใส
    Apple Search Ads เติบโตผิดปกติหลัง ATT เปิดตัว

    ความเสี่ยงและประเด็นที่ต้องจับตา
    ความเป็นไปได้ที่จะถูกตรวจสอบเพิ่มเติมในระดับ EU
    ความกังวลว่าแพลตฟอร์มอาจใช้อำนาจควบคุมข้อมูลเพื่อผูกขาด
    ผู้พัฒนาอาจเผชิญต้นทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    https://wccftech.com/apples-app-tracking-transparency-att-rules-invite-another-hefty-fine-this-time-from-italy/
    📱💸 อิตาลีสั่งปรับ Apple เกือบ €100 ล้าน เหตุ ATT สร้างภาระเกินจำเป็นต่อผู้พัฒนาและตลาดโฆษณา หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันของอิตาลี (AGCM) ได้สั่งปรับ Apple เป็นเงิน €98.6 ล้าน จากการบังคับใช้กฎ App Tracking Transparency (ATT) ที่ถูกมองว่า “สร้างภาระเกินสมควร” ต่อผู้พัฒนาแอปและผู้ลงโฆษณา แม้ ATT จะถูกนำเสนอในฐานะฟีเจอร์เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แต่หน่วยงานกำกับมองว่ากฎนี้ทำให้ Apple ได้เปรียบในตลาดโฆษณาอย่างไม่เป็นธรรม เพราะผู้พัฒนาภายนอกถูกจำกัดการติดตามผู้ใช้ ในขณะที่ Apple ยังสามารถเก็บข้อมูลบางส่วนผ่านระบบของตัวเองได้ การสอบสวนชี้ว่า ATT ทำให้ผู้พัฒนาต้องเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งในด้านการปรับปรุงระบบ การขอความยินยอม และการสูญเสียรายได้จากโฆษณาที่แม่นยำลดลง ขณะเดียวกัน Apple กลับสามารถใช้ข้อมูลภายในระบบของตนเพื่อเสริมความได้เปรียบในตลาดบริการโฆษณา เช่น Apple Search Ads ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วหลังการเปิดตัว ATT จนหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความเป็นธรรมของกฎนี้ แม้ Apple จะยืนยันว่า ATT ถูกออกแบบเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แต่หลายประเทศในยุโรป—including ฝรั่งเศสและเยอรมนี—ก็เริ่มจับตาพฤติกรรมของบริษัทอย่างใกล้ชิด โดยมองว่าการควบคุมข้อมูลผู้ใช้ในระดับแพลตฟอร์มอาจกลายเป็น “อำนาจผูกขาดรูปแบบใหม่” ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของนักพัฒนาและผู้ลงโฆษณาในวงกว้าง การปรับครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของเงิน แต่เป็นสัญญาณว่าหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรปกำลังเริ่มตั้งคำถามต่อโมเดลธุรกิจของ Apple ที่อาศัยความเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มเพื่อกำหนดกฎที่อาจเอื้อประโยชน์ให้ตนเองมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การตรวจสอบเพิ่มเติมในระดับสหภาพยุโรปในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ อิตาลีสั่งปรับ Apple €98.6 ล้าน ➡️ เหตุผล: ATT สร้างภาระเกินจำเป็นต่อผู้พัฒนา ➡️ มองว่า Apple ได้เปรียบในตลาดโฆษณาอย่างไม่เป็นธรรม ✅ ผลกระทบต่อผู้พัฒนาและตลาดโฆษณา ➡️ ต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการขอความยินยอมและปรับระบบ ➡️ รายได้โฆษณาลดลงเพราะการติดตามผู้ใช้ทำได้ยากขึ้น ✅ Apple ยืนยันว่า ATT คือการปกป้องความเป็นส่วนตัว ➡️ แต่หลายประเทศในยุโรปเริ่มตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ➡️ Apple Search Ads เติบโตผิดปกติหลัง ATT เปิดตัว ‼️ ความเสี่ยงและประเด็นที่ต้องจับตา ⛔ ความเป็นไปได้ที่จะถูกตรวจสอบเพิ่มเติมในระดับ EU ⛔ ความกังวลว่าแพลตฟอร์มอาจใช้อำนาจควบคุมข้อมูลเพื่อผูกขาด ⛔ ผู้พัฒนาอาจเผชิญต้นทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง https://wccftech.com/apples-app-tracking-transparency-att-rules-invite-another-hefty-fine-this-time-from-italy/
    WCCFTECH.COM
    Apple Hit With Another Massive Fine From Italy Over Its Privacy Features
    Hardly a week goes by when Apple is not subject to a new antitrust scrutiny or penalty in one jurisdiction or the other.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • Queen Of The World (2025/129)

    หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 2018 ซึ่งในขณะนั้นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2(ต่อไปจะเขียนว่า ควีนฯ) ยังมีชีวิตอยู่ (พระองค์ท่านสวรรคตเมื่อวันที่ 8/9/2022)

    เมื่ออ่านจบเล่มแล้ว ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าชื่อหนังสือ Queen Of The World ค่อนข้างจะสื่อความหมายได้ตรงตามความต้องการของผู้เขียนเลย

    ถ้าหากต้องการอ่านชีวประวัติของควีนฯ เกิดที่ไหน นิสัยเป็นแบบไหน การเรียน ความรัก ฯลฯ ไม่สามารถหาอ่านได้ในเล่มนี้แน่นอน แต่เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ โดยเน้นเฉพาะการไปเยือนประเทศต่างๆ ทั้งในเครือจักรภพและประเทศอื่นๆ รวมไปถึงการรับรองแขกบ้านแขกเมือง เรื่องนี้ผู้เขียนเน้นย้ำเลยว่านี่คือ “Solf Power” ของประเทศอังกฤษ

    แน่นอนว่าด้วยการที่ควีนฯ ทรงดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดมาตั้งแต่อายุ 26ปี จึงได้มีการไปเยี่ยมเยียนประเทศรอบโลก ได้ผ่านช่วงเวลาที่หนักหนามาตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งที่อังกฤษเกือบล้มลายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชาของอังกฤษในขณะนั้นและเป็นพระบิดาของควีนฯ สิ้นพระชนม์ด้วยความคิดมากและเสียพระทัย ควีนฯจึงต้องมารับตำแหน่งประมุขสูงสุดทั้งๆที่อายุเพียง26ปี แต่งงานได้ไม่นาน และมีลูกอายุน้อย

    หลังจากครองราชย์ได้ไม่นาน ควีนฯยังต้องประสบพบเจอกับปัญหาแต่ขอแยกเป็นอิสระของประเทศที่อยู่ในเครือจักรภพ ซึ่งเป็นปัญหาคล้ายกับโดมิโนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องๆไปเรื่อยๆ จนทั่งเข้าสู่ภาวะเป็นเป็นการพึ่งพาอาศัยกัน ประเทศที่สร้างความกังวลกับควีนฯ ได้แก่สองประเทศใหญ่คือ อินเดีย และประเทศแอฟริกาใต้

    ในเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆกับควีนฯ ก็น่าสนใจไม่น้อย ทั้งประเทศอเมริกา ประเทศในทวีปแอฟริกา รวมไปถึงจีนและรัสเซีย ซึ่งควีนฯได้ไปเสด็จเยือนมาทั้งหมดแล้ว มีอีกเรื่องที่น่าใจมากๆคือ เรื่องของเรือยอร์ชพระที่นั่งบริทานเนียของควีนฯ เรือบริทาเนียใช้ในการเดินทางเยือนประเทศต่างๆ นอกจากนั้นยังเป็นที่พักส่วนพระองค์ขณะไปเยือนต่างประเทศ เป็นภัตรคารรับรองประมุขของประเทศนั้นๆ และยังเป็นสถานที่เจรจาทางการเมืองอีกด้วย เรือบริทาเนียก็เปรียบเสมือนประเทศราชของควีนฯเคลื่อนที่ได้

    ท้ายเล่มผู้เขียนเพิ่มเติมเรื่องราวของพระกรณียกิจของ พระสวามีดยุคฟิลิป , เจ้าฟ้าชายชาลส์(กษัตริย์ชาลส์ที่ 3) , เจ้าหญิงไดอานา , เจ้าหญิงแอนน์ , เจ้าชายแอนดรู , เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด รวมไปถึงรุ่นหลานของควีนฯ คือเจ้าชายวิลลียมและเจ้าชายแฮรี่อีกด้วย

    #QueenOfTheWorld #รีวิวหนังสือ
    Queen Of The World (2025/129) หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 2018 ซึ่งในขณะนั้นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2(ต่อไปจะเขียนว่า ควีนฯ) ยังมีชีวิตอยู่ (พระองค์ท่านสวรรคตเมื่อวันที่ 8/9/2022) เมื่ออ่านจบเล่มแล้ว ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าชื่อหนังสือ Queen Of The World ค่อนข้างจะสื่อความหมายได้ตรงตามความต้องการของผู้เขียนเลย ถ้าหากต้องการอ่านชีวประวัติของควีนฯ เกิดที่ไหน นิสัยเป็นแบบไหน การเรียน ความรัก ฯลฯ ไม่สามารถหาอ่านได้ในเล่มนี้แน่นอน แต่เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ โดยเน้นเฉพาะการไปเยือนประเทศต่างๆ ทั้งในเครือจักรภพและประเทศอื่นๆ รวมไปถึงการรับรองแขกบ้านแขกเมือง เรื่องนี้ผู้เขียนเน้นย้ำเลยว่านี่คือ “Solf Power” ของประเทศอังกฤษ แน่นอนว่าด้วยการที่ควีนฯ ทรงดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดมาตั้งแต่อายุ 26ปี จึงได้มีการไปเยี่ยมเยียนประเทศรอบโลก ได้ผ่านช่วงเวลาที่หนักหนามาตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งที่อังกฤษเกือบล้มลายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชาของอังกฤษในขณะนั้นและเป็นพระบิดาของควีนฯ สิ้นพระชนม์ด้วยความคิดมากและเสียพระทัย ควีนฯจึงต้องมารับตำแหน่งประมุขสูงสุดทั้งๆที่อายุเพียง26ปี แต่งงานได้ไม่นาน และมีลูกอายุน้อย หลังจากครองราชย์ได้ไม่นาน ควีนฯยังต้องประสบพบเจอกับปัญหาแต่ขอแยกเป็นอิสระของประเทศที่อยู่ในเครือจักรภพ ซึ่งเป็นปัญหาคล้ายกับโดมิโนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องๆไปเรื่อยๆ จนทั่งเข้าสู่ภาวะเป็นเป็นการพึ่งพาอาศัยกัน ประเทศที่สร้างความกังวลกับควีนฯ ได้แก่สองประเทศใหญ่คือ อินเดีย และประเทศแอฟริกาใต้ ในเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆกับควีนฯ ก็น่าสนใจไม่น้อย ทั้งประเทศอเมริกา ประเทศในทวีปแอฟริกา รวมไปถึงจีนและรัสเซีย ซึ่งควีนฯได้ไปเสด็จเยือนมาทั้งหมดแล้ว มีอีกเรื่องที่น่าใจมากๆคือ เรื่องของเรือยอร์ชพระที่นั่งบริทานเนียของควีนฯ เรือบริทาเนียใช้ในการเดินทางเยือนประเทศต่างๆ นอกจากนั้นยังเป็นที่พักส่วนพระองค์ขณะไปเยือนต่างประเทศ เป็นภัตรคารรับรองประมุขของประเทศนั้นๆ และยังเป็นสถานที่เจรจาทางการเมืองอีกด้วย เรือบริทาเนียก็เปรียบเสมือนประเทศราชของควีนฯเคลื่อนที่ได้ ท้ายเล่มผู้เขียนเพิ่มเติมเรื่องราวของพระกรณียกิจของ พระสวามีดยุคฟิลิป , เจ้าฟ้าชายชาลส์(กษัตริย์ชาลส์ที่ 3) , เจ้าหญิงไดอานา , เจ้าหญิงแอนน์ , เจ้าชายแอนดรู , เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด รวมไปถึงรุ่นหลานของควีนฯ คือเจ้าชายวิลลียมและเจ้าชายแฮรี่อีกด้วย #QueenOfTheWorld #รีวิวหนังสือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251222 #securityonline

    Dify Side-Door Exposure: ช่องโหว่เปิดคอนฟิกระบบ LLM ให้คนแปลกหน้าเห็น
    ช่องโหว่ CVE‑2025‑63387 ใน Dify เวอร์ชัน 1.9.1 เปิดให้ผู้ไม่ผ่านการยืนยันตัวตนเข้าถึง endpoint /console/api/system-features ได้โดยตรง ทำให้ข้อมูลคอนฟิกภายในของระบบ LLM ถูกเปิดเผยแบบไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นในการวางแผนโจมตีต่อเนื่อง แม้จะเป็นเพียงการรั่วไหลข้อมูล แต่ก็ถือเป็นความเสี่ยงระดับสูงสำหรับทีมที่กำลังนำ LLM ไปใช้งานจริงในสภาพแวดล้อมโปรดักชัน
    https://securityonline.info/ais-exposed-side-door-dify-flaw-cve-2025-63387-leaks-system-configs-to-anonymous-users

    BlueDelta’s Silent Shift: GRU ใช้บริการฟรีอย่าง ngrok และ Mocky ลอบขโมยอีเมลยูเครน
    กลุ่ม BlueDelta (APT28) ของรัสเซียปรับยุทธวิธีใหม่โดยใช้บริการฟรี เช่น Mocky, DNS EXIT และ ngrok เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานชั่วคราวสำหรับขโมยบัญชี UKR.NET ผ่าน PDF ล่อเหยื่อและหน้าเว็บปลอมที่ดักทั้งรหัสผ่านและ 2FA แบบเรียลไทม์ พร้อมเทคนิคข้ามหน้าเตือนของ ngrok ด้วย header พิเศษ ทำให้การโจมตีแนบเนียนและตรวจจับยากขึ้น
    https://securityonline.info/the-grus-silent-shift-how-bluedelta-hijacks-ukrainian-webmail-using-ngrok-and-mocky

    Caminho to Compromise: BlindEagle ใช้อีเมลภายในรัฐโคลอมเบียโจมตีแบบเนียนกริบ
    BlindEagle (APT‑C‑36) ใช้บัญชีอีเมลภายในหน่วยงานรัฐโคลอมเบียที่ถูกยึดไปแล้ว ส่งฟิชชิงแนบ SVG เพื่อนำเหยื่อไปยังเว็บปลอมของศาลแรงงาน ก่อนเรียกใช้ JavaScript + PowerShell แบบ fileless และดาวน์โหลดภาพที่ซ่อนโค้ดผ่าน steganography เพื่อติดตั้ง Caminho downloader ซึ่งเชื่อมโยงตลาดมืดบราซิล และสุดท้ายดึง DCRAT ลงเครื่อง
    https://securityonline.info/caminho-to-compromise-blindeagle-hackers-hijack-government-emails-in-colombia

    DOCSWAP 2.0: Kimsuky ใช้ QR Code แพร่มัลแวร์มือถือเวอร์ชันใหม่
    Kimsuky กลุ่มแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือเปิดตัว DOCSWAP รุ่นอัปเกรดที่แพร่ผ่าน QR code และ smishing เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปปลอมบน Android ตัวมัลแวร์ใช้ native decryption และ decoy behavior ใหม่เพื่อหลบการวิเคราะห์ ก่อนปลดล็อก RAT ที่สามารถขโมยไฟล์ ควบคุมเครื่อง และส่งข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์ พร้อมหลักฐานเชื่อมโยง DPRK ผ่านข้อความ “Million OK!!!” บนโครงสร้างพื้นฐาน
    https://securityonline.info/north-koreas-kimsuky-upgrades-docswap-malware-to-hijack-smartphones-via-qr-codes

    Shadows of the North: แผนที่โครงสร้างไซเบอร์ DPRK ที่เชื่อมโยงทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน
    รายงานร่วมของ Hunt.io และ Acronis เปิดโปงโครงสร้างพื้นฐานไซเบอร์ของเกาหลีเหนือที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างแน่นหนา โดยพบว่า Lazarus, Kimsuky และ Bluenoroff แม้จะมีภารกิจต่างกัน แต่กลับใช้เซิร์ฟเวอร์ เครื่องมือ และโครงสร้างเครือข่ายร่วมกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ staging servers, credential-harvesting nodes ไปจนถึง FRP tunneling และโครงสร้างที่ผูกกับใบรับรอง SSL เดียวกัน เผยให้เห็น ecosystem ที่ทำงานแบบ “รวมศูนย์” เพื่อการจารกรรม การขโมยเงิน และปฏิบัติการทำลายล้างในระดับรัฐ
    https://securityonline.info/shadows-of-the-north-unmasking-the-sprawling-cyber-infrastructure-of-the-dprk

    ResidentBat: สปายแวร์ KGB ที่ติดตั้งผ่านการยึดมือถือจริง ไม่ต้องพึ่ง zero‑click
    การสืบสวนโดย RESIDENT.NGO และ RSF พบว่า KGB เบลารุสใช้สปายแวร์ชื่อ ResidentBat ที่ติดตั้งด้วยการยึดโทรศัพท์จากนักข่าวและนักกิจกรรมระหว่างการสอบสวน ก่อนบังคับให้ปลดล็อกเครื่องเพื่อดู PIN จากนั้นเจ้าหน้าที่นำเครื่องออกไปติดตั้งแอปที่ขอสิทธิ์สูงถึง 38 รายการ รวมถึงการใช้ Accessibility Service เพื่ออ่านข้อความจากแอปเข้ารหัสอย่าง Signal และ Telegram ทำให้มือถือกลายเป็นอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบที่สามารถบันทึกหน้าจอ คีย์บอร์ด และข้อมูลส่วนตัวทั้งหมด
    https://securityonline.info/the-kgbs-all-seeing-eye-how-residentbat-spyware-turns-seized-phones-into-total-surveillance-tools

    AuraStealer: มัลแวร์ที่หลอกให้เหยื่อ “แฮ็กตัวเอง” ผ่านคลิป TikTok
    AuraStealer มัลแวร์แบบ MaaS ที่กำลังระบาด ใช้กลยุทธ์ “Scam‑Yourself” โดยหลอกเหยื่อผ่านคลิป TikTok ที่สอนปลดล็อกซอฟต์แวร์เถื่อน เมื่อเหยื่อตามขั้นตอนและรันคำสั่ง PowerShell เอง มัลแวร์จะถูกดาวน์โหลดและรันทันที ตัวมันใช้เทคนิคป้องกันการวิเคราะห์ขั้นสูง เช่น indirect control flow และ exception‑driven API hashing พร้อมความสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์กว่า 110 ตัวและวอลเล็ตคริปโตจำนวนมาก แม้บางฟีเจอร์ยังทำงานไม่เสถียร แต่ความเสี่ยงยังสูงมาก
    https://securityonline.info/tiktoks-scam-yourself-trap-how-aurastealer-malware-tricks-users-into-hacking-their-own-pcs

    ClickFix Trap: หน้าตรวจสอบมนุษย์ปลอมที่นำไปสู่ Qilin Ransomware
    แคมเปญ ClickFix ใช้หน้า “ยืนยันว่าเป็นมนุษย์” ปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลด batch file ที่ติดตั้ง NetSupport RAT จากนั้นผู้โจมตีใช้ RAT เพื่อดึง StealC V2 ลงเครื่อง ก่อนใช้ข้อมูลที่ขโมยได้เจาะ VPN ขององค์กรและปล่อย Qilin ransomware ซึ่งเป็นหนึ่งใน RaaS ที่ทำเหยื่อมากที่สุดในช่วงปี 2024–2025 โซ่การโจมตีนี้เริ่มจากสคริปต์บนเว็บที่ถูกแฮ็กและจบลงด้วยการเข้ารหัสระบบทั้งองค์กร
    https://securityonline.info/clickfix-trap-fake-human-verification-leads-to-qilin-ransomware-infection

    Cellik Android RAT: มัลแวร์ที่แฝงตัวในแอป Google Play อย่างแนบเนียน
    Cellik เป็น Android RAT แบบบริการเช่า ที่ให้ผู้โจมตีเลือกแอปจาก Google Play แล้ว “ฉีด” payload ลงไปผ่านระบบ APK Builder ทำให้แอปที่ดูปกติกลายเป็นเครื่องมือสอดแนมเต็มรูปแบบ มันรองรับการสตรีมหน้าจอแบบเรียลไทม์ ควบคุมเครื่องจากระยะไกล เปิดกล้อง/ไมค์ และใช้ hidden browser เพื่อทำธุรกรรมหรือขโมยข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่เห็นอะไรบนหน้าจอ ถือเป็นการยกระดับภัยคุกคามมือถือให้เข้าถึงได้แม้กับอาชญากรทักษะต่ำ
    https://securityonline.info/the-silent-hijacker-new-cellik-android-rat-turns-legitimate-google-play-apps-into-surveillance-tools

    110 Milliseconds of Truth: Amazon ใช้ “ดีเลย์คีย์บอร์ด” เปิดโปงสายลับเกาหลีเหนือ
    Amazon เปิดเผยปฏิบัติการสกัดแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือที่ปลอมตัวเป็นพนักงานรีโมต โดยใช้ “laptop farms” ในสหรัฐฯ เพื่อสมัครงานและแทรกซึมองค์กร ความผิดปกติถูกจับได้จากค่า latency การพิมพ์ที่สูงถึง 110 มิลลิวินาที ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการควบคุมเครื่องจากต่างประเทศ พร้อมสัญญาณอื่นอย่างภาษาอังกฤษที่ไม่เป็นธรรมชาติ เหตุการณ์นี้สะท้อนการเปลี่ยนยุทธวิธีของ DPRK ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ เพื่อหลบการตรวจจับ และ Amazon ระบุว่าพยายามโจมตีเพิ่มขึ้นกว่า 27% ต่อไตรมาส
    https://securityonline.info/110-milliseconds-of-truth-how-amazon-used-lag-to-catch-a-north-korean-spy

    Dify’s Exposed Side Door: ช่องโหว่เปิดให้คนแปลกหน้าดูค่าคอนฟิกระบบ AI ได้
    แพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส Dify รุ่น 1.9.1 ถูกพบช่องโหว่ CVE-2025-63387 ที่ปล่อยให้ผู้ใช้ไม่ต้องล็อกอินก็เข้าถึง endpoint /console/api/system-features ได้ ทำให้ข้อมูลคอนฟิกภายในหลุดออกสู่สาธารณะ ซึ่งอาจถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นของการโจมตีขั้นต่อไป ช่องโหว่นี้จัดเป็นระดับ High และเป็นตัวอย่างของความเสี่ยงเมื่อระบบ LLM ถูกนำไปใช้จริงโดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ที่เข้มงวด
    https://securityonline.info/ais-exposed-side-door-dify-flaw-cve-2025-63387-leaks-system-configs-to-anonymous-users

    BlueDelta’s Silent Shift: GRU ใช้ ngrok + Mocky ลอบขโมยอีเมลชาวยูเครน
    กลุ่ม BlueDelta (APT28) ของรัสเซียปรับยุทธวิธีใหม่ ใช้บริการฟรีอย่าง Mocky, DNS EXIT และ ngrok เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานชั่วคราวสำหรับขโมยบัญชี UKR.NET โดยแนบลิงก์ใน PDF เพื่อหลบระบบสแกนอีเมล ก่อนพาเหยื่อเข้าสู่เว็บปลอมที่ดักทั้งรหัสผ่านและ 2FA แบบเรียลไทม์ พร้อมเทคนิคข้ามหน้าเตือนของ ngrok ผ่าน header พิเศษ แสดงให้เห็นการปรับตัวของ GRU หลังถูกกวาดล้างโครงสร้างพื้นฐานในปี 2024
    https://securityonline.info/the-grus-silent-shift-how-bluedelta-hijacks-ukrainian-webmail-using-ngrok-and-mocky

    “Caminho” to Compromise: BlindEagle ใช้อีเมลภายในรัฐโคลอมเบียโจมตีแบบเนียนกริบ
    BlindEagle (APT-C-36) ใช้บัญชีอีเมลภายในหน่วยงานรัฐโคลอมเบียที่ถูกยึดไปแล้ว ส่งฟิชชิงที่แนบ SVG เพื่อนำเหยื่อไปยังเว็บปลอมของศาลแรงงาน ก่อนเรียกใช้ JavaScript + PowerShell แบบ fileless และดาวน์โหลดภาพที่ซ่อนโค้ดผ่าน steganography เพื่อติดตั้ง Caminho downloader ซึ่งเชื่อมโยงกับตลาดมืดบราซิล และสุดท้ายดึง DCRAT ลงเครื่อง เหตุการณ์นี้สะท้อนการยกระดับความซับซ้อนของกลุ่มในภูมิภาคละตินอเมริกา
    https://securityonline.info/caminho-to-compromise-blindeagle-hackers-hijack-government-emails-in-colombia

    Kimsuky DOCSWAP 2.0: มัลแวร์มือถือเวอร์ชันใหม่ติดผ่าน QR Code
    Kimsuky กลุ่มแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือเปิดตัว DOCSWAP รุ่นอัปเกรดที่แพร่ผ่าน QR code และ smishing เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปปลอมบนมือถือ Android ตัวมัลแวร์ใช้ native decryption และ decoy behavior ใหม่เพื่อหลบการวิเคราะห์ ก่อนปลดล็อก RAT ที่สามารถขโมยไฟล์ ควบคุมเครื่อง และส่งข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์ โดยมีหลักฐานเชื่อมโยงกับ DPRK ผ่านข้อความ “Million OK!!!” และคอมเมนต์ภาษาเกาหลีบนโครงสร้างพื้นฐาน
    https://securityonline.info/north-koreas-kimsuky-upgrades-docswap-malware-to-hijack-smartphones-via-qr-codes

    Exim’s Poisoned Record: แพตช์ที่พลาดเปิดช่อง SQL Injection สู่ Heap Overflow ระดับวิกฤต
    รายงานใหม่เผยว่า Exim 4.99 ยังมีช่องโหว่ลึกที่ไม่ได้รับการแก้ไขจากแพตช์ก่อนหน้า ทำให้ SQL injection ผ่านระบบ ratelimit สามารถนำไปสู่ heap overflow ขนาดใหญ่ถึง 1.5MB ซึ่งอาจเปิดทางสู่ RCE แม้ยังไม่ยืนยันเต็มรูปแบบ ช่องโหว่นี้เกิดจากการ sanitize คีย์ฐานข้อมูลไม่ครบถ้วนและการอ่านค่า bloom_size โดยไม่ตรวจสอบ ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถวาง “ระเบิดเวลา” ในฐานข้อมูลและทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มหรือถูกควบคุมได้ในบางเงื่อนไข
    https://securityonline.info/exims-poisoned-record-how-a-failed-patch-and-sql-injection-lead-to-critical-heap-overflows

    HPE OneView RCE: ช่องโหว่ CVSS 10.0 เปิดประตูให้รันคำสั่งโดยไม่ต้องล็อกอิน
    ช่องโหว่ร้ายแรงใน HPE OneView (CVE-2025-37164) เปิดให้ผู้โจมตีเรียกใช้ API ลับ /rest/id-pools/executeCommand ที่ตั้งค่าเป็น NO_AUTH ทำให้สามารถส่งคำสั่งระบบผ่าน Runtime.exec ได้ทันที นักวิจัยพบว่าเฉพาะบางเวอร์ชัน—โดยเฉพาะ OneView for VMs 6.x และ OneView for Synergy—ได้รับผลกระทบเต็มรูปแบบ และมี PoC พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ผู้ดูแลต้องเร่งอัปเดตหรือใช้ hotfix โดยด่วน
    https://securityonline.info/poc-available-unauthenticated-hpe-oneview-rce-cvss-10-0-exploits-hidden-id-pools-api

    Meta พลิกทิศ: หยุดพาร์ตเนอร์ VR เพื่อทุ่มทรัพยากรสู่แว่น AI
    Meta ตัดสินใจ “พัก” โครงการเปิด Horizon OS ให้ผู้ผลิตรายอื่น เช่น ASUS และ Lenovo หลังพบว่าทิศทางตลาด VR ยังไม่ชัดเจน ขณะที่แว่นอัจฉริยะอย่าง Ray-Ban Meta กลับเติบโตแรง บริษัทจึงหันไปโฟกัสฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของตัวเอง โดยเฉพาะสาย AI glasses และโปรเจกต์ Orion ซึ่งอาจเป็นเส้นทางสู่การใช้งานจริงในวงกว้างมากกว่า VR แบบเดิม
    https://securityonline.info/vr-vision-shift-meta-pauses-third-party-partnerships-to-pivot-toward-ai-smart-glasses

    Kimwolf Botnet: กองทัพ IoT 1.8 ล้านเครื่องที่ยิงทราฟฟิกแซง Google
    บอตเน็ต Kimwolf ที่โจมตีอุปกรณ์ Android TV และกล่องรับสัญญาณกว่า 1.8 ล้านเครื่องทั่วโลก ถูกพบว่าส่งคำสั่ง DDoS มากถึง 1.7 พันล้านครั้งในช่วงไม่กี่วัน ทำให้โดเมน C2 ของมันขึ้นอันดับหนึ่งบน Cloudflare DNS แซง Google ชั่วคราว มัลแวร์นี้ไม่เพียงยิง DDoS แต่ยังมี reverse shell และ proxy forwarding ทำให้ผู้โจมตีใช้เป็นฐานปฏิบัติการขยายผลได้อย่างกว้างขวาง
    https://securityonline.info/the-wolf-among-tvs-1-8-million-strong-kimwolf-botnet-surpasses-google-traffic-to-rule-the-iot

    Windows Server 2025 ปลดล็อก NVMe Native I/O เร็วขึ้น 70% ลดโหลด CPU เกือบครึ่ง
    Microsoft เปิดใช้ Native NVMe I/O ใน Windows Server 2025 ซึ่งตัดชั้นแปลคำสั่ง SCSI/SATA ออก ทำให้ IOPS เพิ่มขึ้นสูงสุด 70% และลด CPU load ได้ถึง 45% ในงาน I/O หนัก โดยเฉพาะฐานข้อมูลและงาน AI แม้ผลลัพธ์ในชุมชนยังหลากหลาย แต่การออกแบบ pipeline ใหม่ทั้งหมดบ่งชี้ว่าระบบที่ใช้ SSD PCIe 5.0 จะได้ประโยชน์สูงสุด
    https://securityonline.info/the-end-of-scsi-windows-server-2025-unlocks-70-faster-storage-with-native-nvme-i-o

    The $100M Stalker: เครือข่าย Nefilim ล่ม—แก๊ง Big Game Hunting สารภาพผิด
    คดีใหญ่ของกลุ่มแรนซัมแวร์ Nefilim เดินหน้าเข้าสู่ตอนสำคัญเมื่อ Artem Stryzhak แฮ็กเกอร์ชาวยูเครนยอมรับสารภาพว่ามีส่วนร่วมในปฏิบัติการโจมตีองค์กรรายได้เกิน 100–200 ล้านดอลลาร์ โดยใช้โมเดลแบ่งกำไรและระบบ “panel” ในการจัดการเหยื่อ พร้อมใช้กลยุทธ์ double extortion ขโมยข้อมูลก่อนล็อกไฟล์ ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ยังล่าตัวหัวโจกอีกคนพร้อมตั้งค่าหัว 11 ล้านดอลลาร์ สะท้อนความซับซ้อนและความระแวงภายในโลกอาชญากรรมไซเบอร์ที่กำลังถูกบีบเข้ามาเรื่อย ๆ
    https://securityonline.info/the-100m-stalker-nefilim-ransomware-affiliate-pleads-guilty-as-doj-hunts-fugitive-leader

    Microsoft ปิดฉาก Telephone Activation—เข้าสู่ยุคยืนยันสิทธิ์ผ่านเว็บเต็มรูปแบบ
    ไมโครซอฟท์ยุติระบบโทรศัพท์สำหรับการ Activate Windows/Office ที่เคยเป็นทางเลือกสำคัญในสภาพแวดล้อมออฟไลน์ โดยผู้ใช้ถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังพอร์ทัลออนไลน์แทน แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการคำนวณ Activation ID แบบออฟไลน์ถูกยกเลิกจริงหรือเพียงย้ายไปอยู่บนเว็บ แต่การเปลี่ยนผ่านนี้อาจกระทบองค์กรที่ต้องการระบบ Activate แบบไม่พึ่งอินเทอร์เน็ต และสะท้อนทิศทางใหม่ที่เน้นการควบคุมผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น
    https://securityonline.info/hang-up-the-phone-microsoft-retires-telephone-activation-for-an-online-portal

    OpenAI เปิดสไลเดอร์ปรับ “อารมณ์” ChatGPT—ยุติภาพลักษณ์หุ่นยนต์
    OpenAI ปรับประสบการณ์ใช้งาน ChatGPT ครั้งใหญ่ด้วยตัวเลือกปรับโทนเสียง อารมณ์ การใช้หัวข้อ/ลิสต์ และจำนวนอีโมจิ เพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้มองว่า GPT-5 เย็นชาเกินไปหรือบางครั้งก็ประจบเกินเหตุ การเปิดให้ผู้ใช้ควบคุมบุคลิกของโมเดลเองสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากโมเดลกลางสู่ประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม
    https://securityonline.info/the-end-of-robotic-ai-openai-unlocks-sliders-to-control-chatgpts-warmth-and-tone

    n8n เจอช่องโหว่ CVSS 10.0—Expression Injection พาไปสู่ยึดเซิร์ฟเวอร์เต็มตัว
    แพลตฟอร์ม workflow automation ยอดนิยม n8n เผชิญช่องโหว่ร้ายแรงระดับ 10.0 ที่เปิดทางให้ผู้ใช้ที่ล็อกอินได้สามารถฉีดโค้ดผ่านระบบ Expression Evaluation และหลุดออกจาก sandbox ไปสั่งคำสั่งระดับระบบปฏิบัติการ ส่งผลให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูล แก้ไข workflow หรือยึดเครื่องแม่ข่ายได้ทันที ผู้ดูแลระบบถูกเร่งให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 1.122.0 โดยด่วน
    https://securityonline.info/n8n-under-fire-critical-cvss-10-0-rce-vulnerability-grants-total-server-access

    Device Code Phishing: แฮ็กเกอร์ใช้ฟีเจอร์จริงของ Microsoft 365 เพื่อยึดบัญชี
    แคมเปญโจมตีรูปแบบใหม่ใช้ “Device Code” ซึ่งเป็นฟีเจอร์จริงของ Microsoft OAuth 2.0 หลอกให้เหยื่อกรอกรหัสบนเว็บ Microsoft ที่ถูกต้อง ทำให้แอปของผู้โจมตีได้รับสิทธิ์เข้าถึงบัญชีโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน วิธีนี้หลบการตรวจสอบ URL ปลอมได้อย่างแนบเนียน และถูกใช้โดยทั้งกลุ่มรัฐหนุนและอาชญากรไซเบอร์เพื่อยึดบัญชีองค์กรในวงกว้าง
    ​​​​​​​ https://securityonline.info/hackers-abuse-device-codes-to-bypass-security-and-seize-microsoft-365-accounts
    📌🔐🟡 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟡🔐📌 #รวมข่าวIT #20251222 #securityonline 🧩 Dify Side-Door Exposure: ช่องโหว่เปิดคอนฟิกระบบ LLM ให้คนแปลกหน้าเห็น ช่องโหว่ CVE‑2025‑63387 ใน Dify เวอร์ชัน 1.9.1 เปิดให้ผู้ไม่ผ่านการยืนยันตัวตนเข้าถึง endpoint /console/api/system-features ได้โดยตรง ทำให้ข้อมูลคอนฟิกภายในของระบบ LLM ถูกเปิดเผยแบบไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นในการวางแผนโจมตีต่อเนื่อง แม้จะเป็นเพียงการรั่วไหลข้อมูล แต่ก็ถือเป็นความเสี่ยงระดับสูงสำหรับทีมที่กำลังนำ LLM ไปใช้งานจริงในสภาพแวดล้อมโปรดักชัน 🔗 https://securityonline.info/ais-exposed-side-door-dify-flaw-cve-2025-63387-leaks-system-configs-to-anonymous-users 🎯 BlueDelta’s Silent Shift: GRU ใช้บริการฟรีอย่าง ngrok และ Mocky ลอบขโมยอีเมลยูเครน กลุ่ม BlueDelta (APT28) ของรัสเซียปรับยุทธวิธีใหม่โดยใช้บริการฟรี เช่น Mocky, DNS EXIT และ ngrok เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานชั่วคราวสำหรับขโมยบัญชี UKR.NET ผ่าน PDF ล่อเหยื่อและหน้าเว็บปลอมที่ดักทั้งรหัสผ่านและ 2FA แบบเรียลไทม์ พร้อมเทคนิคข้ามหน้าเตือนของ ngrok ด้วย header พิเศษ ทำให้การโจมตีแนบเนียนและตรวจจับยากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/the-grus-silent-shift-how-bluedelta-hijacks-ukrainian-webmail-using-ngrok-and-mocky 📨 Caminho to Compromise: BlindEagle ใช้อีเมลภายในรัฐโคลอมเบียโจมตีแบบเนียนกริบ BlindEagle (APT‑C‑36) ใช้บัญชีอีเมลภายในหน่วยงานรัฐโคลอมเบียที่ถูกยึดไปแล้ว ส่งฟิชชิงแนบ SVG เพื่อนำเหยื่อไปยังเว็บปลอมของศาลแรงงาน ก่อนเรียกใช้ JavaScript + PowerShell แบบ fileless และดาวน์โหลดภาพที่ซ่อนโค้ดผ่าน steganography เพื่อติดตั้ง Caminho downloader ซึ่งเชื่อมโยงตลาดมืดบราซิล และสุดท้ายดึง DCRAT ลงเครื่อง 🔗 https://securityonline.info/caminho-to-compromise-blindeagle-hackers-hijack-government-emails-in-colombia 📱 DOCSWAP 2.0: Kimsuky ใช้ QR Code แพร่มัลแวร์มือถือเวอร์ชันใหม่ Kimsuky กลุ่มแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือเปิดตัว DOCSWAP รุ่นอัปเกรดที่แพร่ผ่าน QR code และ smishing เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปปลอมบน Android ตัวมัลแวร์ใช้ native decryption และ decoy behavior ใหม่เพื่อหลบการวิเคราะห์ ก่อนปลดล็อก RAT ที่สามารถขโมยไฟล์ ควบคุมเครื่อง และส่งข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์ พร้อมหลักฐานเชื่อมโยง DPRK ผ่านข้อความ “Million OK!!!” บนโครงสร้างพื้นฐาน 🔗 https://securityonline.info/north-koreas-kimsuky-upgrades-docswap-malware-to-hijack-smartphones-via-qr-codes 🕶️ Shadows of the North: แผนที่โครงสร้างไซเบอร์ DPRK ที่เชื่อมโยงทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน รายงานร่วมของ Hunt.io และ Acronis เปิดโปงโครงสร้างพื้นฐานไซเบอร์ของเกาหลีเหนือที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างแน่นหนา โดยพบว่า Lazarus, Kimsuky และ Bluenoroff แม้จะมีภารกิจต่างกัน แต่กลับใช้เซิร์ฟเวอร์ เครื่องมือ และโครงสร้างเครือข่ายร่วมกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ staging servers, credential-harvesting nodes ไปจนถึง FRP tunneling และโครงสร้างที่ผูกกับใบรับรอง SSL เดียวกัน เผยให้เห็น ecosystem ที่ทำงานแบบ “รวมศูนย์” เพื่อการจารกรรม การขโมยเงิน และปฏิบัติการทำลายล้างในระดับรัฐ 🔗 https://securityonline.info/shadows-of-the-north-unmasking-the-sprawling-cyber-infrastructure-of-the-dprk 📱 ResidentBat: สปายแวร์ KGB ที่ติดตั้งผ่านการยึดมือถือจริง ไม่ต้องพึ่ง zero‑click การสืบสวนโดย RESIDENT.NGO และ RSF พบว่า KGB เบลารุสใช้สปายแวร์ชื่อ ResidentBat ที่ติดตั้งด้วยการยึดโทรศัพท์จากนักข่าวและนักกิจกรรมระหว่างการสอบสวน ก่อนบังคับให้ปลดล็อกเครื่องเพื่อดู PIN จากนั้นเจ้าหน้าที่นำเครื่องออกไปติดตั้งแอปที่ขอสิทธิ์สูงถึง 38 รายการ รวมถึงการใช้ Accessibility Service เพื่ออ่านข้อความจากแอปเข้ารหัสอย่าง Signal และ Telegram ทำให้มือถือกลายเป็นอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบที่สามารถบันทึกหน้าจอ คีย์บอร์ด และข้อมูลส่วนตัวทั้งหมด 🔗 https://securityonline.info/the-kgbs-all-seeing-eye-how-residentbat-spyware-turns-seized-phones-into-total-surveillance-tools 🎭 AuraStealer: มัลแวร์ที่หลอกให้เหยื่อ “แฮ็กตัวเอง” ผ่านคลิป TikTok AuraStealer มัลแวร์แบบ MaaS ที่กำลังระบาด ใช้กลยุทธ์ “Scam‑Yourself” โดยหลอกเหยื่อผ่านคลิป TikTok ที่สอนปลดล็อกซอฟต์แวร์เถื่อน เมื่อเหยื่อตามขั้นตอนและรันคำสั่ง PowerShell เอง มัลแวร์จะถูกดาวน์โหลดและรันทันที ตัวมันใช้เทคนิคป้องกันการวิเคราะห์ขั้นสูง เช่น indirect control flow และ exception‑driven API hashing พร้อมความสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์กว่า 110 ตัวและวอลเล็ตคริปโตจำนวนมาก แม้บางฟีเจอร์ยังทำงานไม่เสถียร แต่ความเสี่ยงยังสูงมาก 🔗 https://securityonline.info/tiktoks-scam-yourself-trap-how-aurastealer-malware-tricks-users-into-hacking-their-own-pcs 🧪 ClickFix Trap: หน้าตรวจสอบมนุษย์ปลอมที่นำไปสู่ Qilin Ransomware แคมเปญ ClickFix ใช้หน้า “ยืนยันว่าเป็นมนุษย์” ปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลด batch file ที่ติดตั้ง NetSupport RAT จากนั้นผู้โจมตีใช้ RAT เพื่อดึง StealC V2 ลงเครื่อง ก่อนใช้ข้อมูลที่ขโมยได้เจาะ VPN ขององค์กรและปล่อย Qilin ransomware ซึ่งเป็นหนึ่งใน RaaS ที่ทำเหยื่อมากที่สุดในช่วงปี 2024–2025 โซ่การโจมตีนี้เริ่มจากสคริปต์บนเว็บที่ถูกแฮ็กและจบลงด้วยการเข้ารหัสระบบทั้งองค์กร 🔗 https://securityonline.info/clickfix-trap-fake-human-verification-leads-to-qilin-ransomware-infection 🐾 Cellik Android RAT: มัลแวร์ที่แฝงตัวในแอป Google Play อย่างแนบเนียน Cellik เป็น Android RAT แบบบริการเช่า ที่ให้ผู้โจมตีเลือกแอปจาก Google Play แล้ว “ฉีด” payload ลงไปผ่านระบบ APK Builder ทำให้แอปที่ดูปกติกลายเป็นเครื่องมือสอดแนมเต็มรูปแบบ มันรองรับการสตรีมหน้าจอแบบเรียลไทม์ ควบคุมเครื่องจากระยะไกล เปิดกล้อง/ไมค์ และใช้ hidden browser เพื่อทำธุรกรรมหรือขโมยข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่เห็นอะไรบนหน้าจอ ถือเป็นการยกระดับภัยคุกคามมือถือให้เข้าถึงได้แม้กับอาชญากรทักษะต่ำ 🔗 https://securityonline.info/the-silent-hijacker-new-cellik-android-rat-turns-legitimate-google-play-apps-into-surveillance-tools 🕵️‍♀️ 110 Milliseconds of Truth: Amazon ใช้ “ดีเลย์คีย์บอร์ด” เปิดโปงสายลับเกาหลีเหนือ Amazon เปิดเผยปฏิบัติการสกัดแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือที่ปลอมตัวเป็นพนักงานรีโมต โดยใช้ “laptop farms” ในสหรัฐฯ เพื่อสมัครงานและแทรกซึมองค์กร ความผิดปกติถูกจับได้จากค่า latency การพิมพ์ที่สูงถึง 110 มิลลิวินาที ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการควบคุมเครื่องจากต่างประเทศ พร้อมสัญญาณอื่นอย่างภาษาอังกฤษที่ไม่เป็นธรรมชาติ เหตุการณ์นี้สะท้อนการเปลี่ยนยุทธวิธีของ DPRK ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ เพื่อหลบการตรวจจับ และ Amazon ระบุว่าพยายามโจมตีเพิ่มขึ้นกว่า 27% ต่อไตรมาส 🔗 https://securityonline.info/110-milliseconds-of-truth-how-amazon-used-lag-to-catch-a-north-korean-spy 🧩 Dify’s Exposed Side Door: ช่องโหว่เปิดให้คนแปลกหน้าดูค่าคอนฟิกระบบ AI ได้ แพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส Dify รุ่น 1.9.1 ถูกพบช่องโหว่ CVE-2025-63387 ที่ปล่อยให้ผู้ใช้ไม่ต้องล็อกอินก็เข้าถึง endpoint /console/api/system-features ได้ ทำให้ข้อมูลคอนฟิกภายในหลุดออกสู่สาธารณะ ซึ่งอาจถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นของการโจมตีขั้นต่อไป ช่องโหว่นี้จัดเป็นระดับ High และเป็นตัวอย่างของความเสี่ยงเมื่อระบบ LLM ถูกนำไปใช้จริงโดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ที่เข้มงวด 🔗 https://securityonline.info/ais-exposed-side-door-dify-flaw-cve-2025-63387-leaks-system-configs-to-anonymous-users 🎯 BlueDelta’s Silent Shift: GRU ใช้ ngrok + Mocky ลอบขโมยอีเมลชาวยูเครน กลุ่ม BlueDelta (APT28) ของรัสเซียปรับยุทธวิธีใหม่ ใช้บริการฟรีอย่าง Mocky, DNS EXIT และ ngrok เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานชั่วคราวสำหรับขโมยบัญชี UKR.NET โดยแนบลิงก์ใน PDF เพื่อหลบระบบสแกนอีเมล ก่อนพาเหยื่อเข้าสู่เว็บปลอมที่ดักทั้งรหัสผ่านและ 2FA แบบเรียลไทม์ พร้อมเทคนิคข้ามหน้าเตือนของ ngrok ผ่าน header พิเศษ แสดงให้เห็นการปรับตัวของ GRU หลังถูกกวาดล้างโครงสร้างพื้นฐานในปี 2024 🔗 https://securityonline.info/the-grus-silent-shift-how-bluedelta-hijacks-ukrainian-webmail-using-ngrok-and-mocky 📨 “Caminho” to Compromise: BlindEagle ใช้อีเมลภายในรัฐโคลอมเบียโจมตีแบบเนียนกริบ BlindEagle (APT-C-36) ใช้บัญชีอีเมลภายในหน่วยงานรัฐโคลอมเบียที่ถูกยึดไปแล้ว ส่งฟิชชิงที่แนบ SVG เพื่อนำเหยื่อไปยังเว็บปลอมของศาลแรงงาน ก่อนเรียกใช้ JavaScript + PowerShell แบบ fileless และดาวน์โหลดภาพที่ซ่อนโค้ดผ่าน steganography เพื่อติดตั้ง Caminho downloader ซึ่งเชื่อมโยงกับตลาดมืดบราซิล และสุดท้ายดึง DCRAT ลงเครื่อง เหตุการณ์นี้สะท้อนการยกระดับความซับซ้อนของกลุ่มในภูมิภาคละตินอเมริกา 🔗 https://securityonline.info/caminho-to-compromise-blindeagle-hackers-hijack-government-emails-in-colombia 📱 Kimsuky DOCSWAP 2.0: มัลแวร์มือถือเวอร์ชันใหม่ติดผ่าน QR Code Kimsuky กลุ่มแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือเปิดตัว DOCSWAP รุ่นอัปเกรดที่แพร่ผ่าน QR code และ smishing เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปปลอมบนมือถือ Android ตัวมัลแวร์ใช้ native decryption และ decoy behavior ใหม่เพื่อหลบการวิเคราะห์ ก่อนปลดล็อก RAT ที่สามารถขโมยไฟล์ ควบคุมเครื่อง และส่งข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์ โดยมีหลักฐานเชื่อมโยงกับ DPRK ผ่านข้อความ “Million OK!!!” และคอมเมนต์ภาษาเกาหลีบนโครงสร้างพื้นฐาน 🔗 https://securityonline.info/north-koreas-kimsuky-upgrades-docswap-malware-to-hijack-smartphones-via-qr-codes 📡 Exim’s Poisoned Record: แพตช์ที่พลาดเปิดช่อง SQL Injection สู่ Heap Overflow ระดับวิกฤต รายงานใหม่เผยว่า Exim 4.99 ยังมีช่องโหว่ลึกที่ไม่ได้รับการแก้ไขจากแพตช์ก่อนหน้า ทำให้ SQL injection ผ่านระบบ ratelimit สามารถนำไปสู่ heap overflow ขนาดใหญ่ถึง 1.5MB ซึ่งอาจเปิดทางสู่ RCE แม้ยังไม่ยืนยันเต็มรูปแบบ ช่องโหว่นี้เกิดจากการ sanitize คีย์ฐานข้อมูลไม่ครบถ้วนและการอ่านค่า bloom_size โดยไม่ตรวจสอบ ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถวาง “ระเบิดเวลา” ในฐานข้อมูลและทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มหรือถูกควบคุมได้ในบางเงื่อนไข 🔗 https://securityonline.info/exims-poisoned-record-how-a-failed-patch-and-sql-injection-lead-to-critical-heap-overflows 🖥️ HPE OneView RCE: ช่องโหว่ CVSS 10.0 เปิดประตูให้รันคำสั่งโดยไม่ต้องล็อกอิน ช่องโหว่ร้ายแรงใน HPE OneView (CVE-2025-37164) เปิดให้ผู้โจมตีเรียกใช้ API ลับ /rest/id-pools/executeCommand ที่ตั้งค่าเป็น NO_AUTH ทำให้สามารถส่งคำสั่งระบบผ่าน Runtime.exec ได้ทันที นักวิจัยพบว่าเฉพาะบางเวอร์ชัน—โดยเฉพาะ OneView for VMs 6.x และ OneView for Synergy—ได้รับผลกระทบเต็มรูปแบบ และมี PoC พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ผู้ดูแลต้องเร่งอัปเดตหรือใช้ hotfix โดยด่วน 🔗 https://securityonline.info/poc-available-unauthenticated-hpe-oneview-rce-cvss-10-0-exploits-hidden-id-pools-api 🕶️ Meta พลิกทิศ: หยุดพาร์ตเนอร์ VR เพื่อทุ่มทรัพยากรสู่แว่น AI Meta ตัดสินใจ “พัก” โครงการเปิด Horizon OS ให้ผู้ผลิตรายอื่น เช่น ASUS และ Lenovo หลังพบว่าทิศทางตลาด VR ยังไม่ชัดเจน ขณะที่แว่นอัจฉริยะอย่าง Ray-Ban Meta กลับเติบโตแรง บริษัทจึงหันไปโฟกัสฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของตัวเอง โดยเฉพาะสาย AI glasses และโปรเจกต์ Orion ซึ่งอาจเป็นเส้นทางสู่การใช้งานจริงในวงกว้างมากกว่า VR แบบเดิม 🔗 https://securityonline.info/vr-vision-shift-meta-pauses-third-party-partnerships-to-pivot-toward-ai-smart-glasses 🐺 Kimwolf Botnet: กองทัพ IoT 1.8 ล้านเครื่องที่ยิงทราฟฟิกแซง Google บอตเน็ต Kimwolf ที่โจมตีอุปกรณ์ Android TV และกล่องรับสัญญาณกว่า 1.8 ล้านเครื่องทั่วโลก ถูกพบว่าส่งคำสั่ง DDoS มากถึง 1.7 พันล้านครั้งในช่วงไม่กี่วัน ทำให้โดเมน C2 ของมันขึ้นอันดับหนึ่งบน Cloudflare DNS แซง Google ชั่วคราว มัลแวร์นี้ไม่เพียงยิง DDoS แต่ยังมี reverse shell และ proxy forwarding ทำให้ผู้โจมตีใช้เป็นฐานปฏิบัติการขยายผลได้อย่างกว้างขวาง 🔗 https://securityonline.info/the-wolf-among-tvs-1-8-million-strong-kimwolf-botnet-surpasses-google-traffic-to-rule-the-iot ⚡ Windows Server 2025 ปลดล็อก NVMe Native I/O เร็วขึ้น 70% ลดโหลด CPU เกือบครึ่ง Microsoft เปิดใช้ Native NVMe I/O ใน Windows Server 2025 ซึ่งตัดชั้นแปลคำสั่ง SCSI/SATA ออก ทำให้ IOPS เพิ่มขึ้นสูงสุด 70% และลด CPU load ได้ถึง 45% ในงาน I/O หนัก โดยเฉพาะฐานข้อมูลและงาน AI แม้ผลลัพธ์ในชุมชนยังหลากหลาย แต่การออกแบบ pipeline ใหม่ทั้งหมดบ่งชี้ว่าระบบที่ใช้ SSD PCIe 5.0 จะได้ประโยชน์สูงสุด 🔗 https://securityonline.info/the-end-of-scsi-windows-server-2025-unlocks-70-faster-storage-with-native-nvme-i-o 🕵️‍♂️ The $100M Stalker: เครือข่าย Nefilim ล่ม—แก๊ง Big Game Hunting สารภาพผิด คดีใหญ่ของกลุ่มแรนซัมแวร์ Nefilim เดินหน้าเข้าสู่ตอนสำคัญเมื่อ Artem Stryzhak แฮ็กเกอร์ชาวยูเครนยอมรับสารภาพว่ามีส่วนร่วมในปฏิบัติการโจมตีองค์กรรายได้เกิน 100–200 ล้านดอลลาร์ โดยใช้โมเดลแบ่งกำไรและระบบ “panel” ในการจัดการเหยื่อ พร้อมใช้กลยุทธ์ double extortion ขโมยข้อมูลก่อนล็อกไฟล์ ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ยังล่าตัวหัวโจกอีกคนพร้อมตั้งค่าหัว 11 ล้านดอลลาร์ สะท้อนความซับซ้อนและความระแวงภายในโลกอาชญากรรมไซเบอร์ที่กำลังถูกบีบเข้ามาเรื่อย ๆ 🔗 https://securityonline.info/the-100m-stalker-nefilim-ransomware-affiliate-pleads-guilty-as-doj-hunts-fugitive-leader ☎️ Microsoft ปิดฉาก Telephone Activation—เข้าสู่ยุคยืนยันสิทธิ์ผ่านเว็บเต็มรูปแบบ ไมโครซอฟท์ยุติระบบโทรศัพท์สำหรับการ Activate Windows/Office ที่เคยเป็นทางเลือกสำคัญในสภาพแวดล้อมออฟไลน์ โดยผู้ใช้ถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังพอร์ทัลออนไลน์แทน แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการคำนวณ Activation ID แบบออฟไลน์ถูกยกเลิกจริงหรือเพียงย้ายไปอยู่บนเว็บ แต่การเปลี่ยนผ่านนี้อาจกระทบองค์กรที่ต้องการระบบ Activate แบบไม่พึ่งอินเทอร์เน็ต และสะท้อนทิศทางใหม่ที่เน้นการควบคุมผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/hang-up-the-phone-microsoft-retires-telephone-activation-for-an-online-portal 🤖 OpenAI เปิดสไลเดอร์ปรับ “อารมณ์” ChatGPT—ยุติภาพลักษณ์หุ่นยนต์ OpenAI ปรับประสบการณ์ใช้งาน ChatGPT ครั้งใหญ่ด้วยตัวเลือกปรับโทนเสียง อารมณ์ การใช้หัวข้อ/ลิสต์ และจำนวนอีโมจิ เพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้มองว่า GPT-5 เย็นชาเกินไปหรือบางครั้งก็ประจบเกินเหตุ การเปิดให้ผู้ใช้ควบคุมบุคลิกของโมเดลเองสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากโมเดลกลางสู่ประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม 🔗 https://securityonline.info/the-end-of-robotic-ai-openai-unlocks-sliders-to-control-chatgpts-warmth-and-tone ⚠️ n8n เจอช่องโหว่ CVSS 10.0—Expression Injection พาไปสู่ยึดเซิร์ฟเวอร์เต็มตัว แพลตฟอร์ม workflow automation ยอดนิยม n8n เผชิญช่องโหว่ร้ายแรงระดับ 10.0 ที่เปิดทางให้ผู้ใช้ที่ล็อกอินได้สามารถฉีดโค้ดผ่านระบบ Expression Evaluation และหลุดออกจาก sandbox ไปสั่งคำสั่งระดับระบบปฏิบัติการ ส่งผลให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูล แก้ไข workflow หรือยึดเครื่องแม่ข่ายได้ทันที ผู้ดูแลระบบถูกเร่งให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 1.122.0 โดยด่วน 🔗 https://securityonline.info/n8n-under-fire-critical-cvss-10-0-rce-vulnerability-grants-total-server-access 🔐 Device Code Phishing: แฮ็กเกอร์ใช้ฟีเจอร์จริงของ Microsoft 365 เพื่อยึดบัญชี แคมเปญโจมตีรูปแบบใหม่ใช้ “Device Code” ซึ่งเป็นฟีเจอร์จริงของ Microsoft OAuth 2.0 หลอกให้เหยื่อกรอกรหัสบนเว็บ Microsoft ที่ถูกต้อง ทำให้แอปของผู้โจมตีได้รับสิทธิ์เข้าถึงบัญชีโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน วิธีนี้หลบการตรวจสอบ URL ปลอมได้อย่างแนบเนียน และถูกใช้โดยทั้งกลุ่มรัฐหนุนและอาชญากรไซเบอร์เพื่อยึดบัญชีองค์กรในวงกว้าง ​​​​​​​🔗 https://securityonline.info/hackers-abuse-device-codes-to-bypass-security-and-seize-microsoft-365-accounts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • สั่ง DDR5 แต่ได้ DDR4 ซ่อนใต้ฮีตสเปรดเดอร์ — สัญญาณเตือนใหม่ของ “supply‑chain fraud” ในยุคแรมแพง

    ราคาของ DDR5 ที่พุ่งสูงและสินค้าขาดตลาดทำให้การหลอกลวงในตลาดฮาร์ดแวร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งในยุโรปพบว่าแรม DDR5 ที่สั่งจาก Amazon (ขายและจัดส่งโดย Amazon เอง) ถูกสลับไส้ในเป็น DDR4 โดยมีการนำฮีตสเปรดเดอร์ของ DDR5 มาครอบทับเพื่อให้ดูเหมือนของแท้ เมื่อเขาพยายามเสียบลงเมนบอร์ด ร่องบน PCB กลับไม่ตรงกัน ทำให้รู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ

    ที่น่าตกใจคือสินค้าชิ้นนี้ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นของมือสองหรือ open‑box แต่เป็นของใหม่ทั้งหมด ซึ่งบ่งชี้ว่าการสลับสินค้าอาจเกิดขึ้น “ภายในซัพพลายเชนของ Amazon เอง” ไม่ใช่จากผู้ขายภายนอก ผู้ใช้รายนี้โชคดีที่ได้รับเงินคืนเต็มจำนวน และยังได้คืนมากกว่าที่จ่ายไป เนื่องจากราคาปัจจุบันสูงขึ้นกว่าเดิมราว £100

    เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้มีผู้ซื้อในสเปนที่ได้ DDR2 ใส่ตุ้มน้ำหนักปลอมเป็น DDR5 และอีกคนที่สั่งแรมโน้ตบุ๊กแล้วถูกขโมยของในพัสดุ เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนปัญหาใหญ่ของตลาดฮาร์ดแวร์ที่กำลังเผชิญ “return fraud” และ “component swapping” มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาสูงและขาดตลาดอย่าง DDR5

    Tom’s Hardware จึงเตือนผู้ใช้ให้ “ถ่ายวิดีโอทุกครั้งที่แกะกล่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์” เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากเกิดปัญหา เพราะแม้จะซื้อจากผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดในโลก ก็ยังมีความเสี่ยงจากการสลับสินค้าในขั้นตอนโลจิสติกส์ที่ผู้ซื้อไม่สามารถมองเห็นได้เลย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    พบการสลับ DDR5 เป็น DDR4 ภายใต้ฮีตสเปรดเดอร์
    ผู้ซื้อสังเกตว่าฮีตสเปรดเดอร์หลวมและร่อง PCB ไม่ตรง
    เป็นการปลอมแปลงที่ทำให้ดูเหมือนของใหม่สมบูรณ์

    สินค้าถูกขายและจัดส่งโดย Amazon เอง
    ไม่ใช่สินค้ามือสองหรือ open‑box
    บ่งชี้ว่าการสลับอาจเกิดในซัพพลายเชนของ Amazon

    มีเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นหลายครั้ง
    เคยมีผู้ได้ DDR2 ใส่ตุ้มน้ำหนักปลอมเป็น DDR5
    มีเคสพัสดุถูกขโมยหรือสลับของในระหว่างขนส่ง

    ความเสี่ยงจากการหลอกลวงในตลาดฮาร์ดแวร์
    ราคาสูงและสินค้าขาดตลาดทำให้ DDR5 เป็นเป้าหมายหลัก
    การสลับสินค้าในซัพพลายเชนเป็นภัยที่ผู้ซื้อควบคุมไม่ได้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/unlucky-amazon-shopper-orders-ddr5-memory-but-gets-ddr4-hidden-under-the-heatspreader-ram-sold-as-new-was-a-switcharoo
    🧨 สั่ง DDR5 แต่ได้ DDR4 ซ่อนใต้ฮีตสเปรดเดอร์ — สัญญาณเตือนใหม่ของ “supply‑chain fraud” ในยุคแรมแพง ราคาของ DDR5 ที่พุ่งสูงและสินค้าขาดตลาดทำให้การหลอกลวงในตลาดฮาร์ดแวร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งในยุโรปพบว่าแรม DDR5 ที่สั่งจาก Amazon (ขายและจัดส่งโดย Amazon เอง) ถูกสลับไส้ในเป็น DDR4 โดยมีการนำฮีตสเปรดเดอร์ของ DDR5 มาครอบทับเพื่อให้ดูเหมือนของแท้ เมื่อเขาพยายามเสียบลงเมนบอร์ด ร่องบน PCB กลับไม่ตรงกัน ทำให้รู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ที่น่าตกใจคือสินค้าชิ้นนี้ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นของมือสองหรือ open‑box แต่เป็นของใหม่ทั้งหมด ซึ่งบ่งชี้ว่าการสลับสินค้าอาจเกิดขึ้น “ภายในซัพพลายเชนของ Amazon เอง” ไม่ใช่จากผู้ขายภายนอก ผู้ใช้รายนี้โชคดีที่ได้รับเงินคืนเต็มจำนวน และยังได้คืนมากกว่าที่จ่ายไป เนื่องจากราคาปัจจุบันสูงขึ้นกว่าเดิมราว £100 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้มีผู้ซื้อในสเปนที่ได้ DDR2 ใส่ตุ้มน้ำหนักปลอมเป็น DDR5 และอีกคนที่สั่งแรมโน้ตบุ๊กแล้วถูกขโมยของในพัสดุ เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนปัญหาใหญ่ของตลาดฮาร์ดแวร์ที่กำลังเผชิญ “return fraud” และ “component swapping” มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาสูงและขาดตลาดอย่าง DDR5 Tom’s Hardware จึงเตือนผู้ใช้ให้ “ถ่ายวิดีโอทุกครั้งที่แกะกล่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์” เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากเกิดปัญหา เพราะแม้จะซื้อจากผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดในโลก ก็ยังมีความเสี่ยงจากการสลับสินค้าในขั้นตอนโลจิสติกส์ที่ผู้ซื้อไม่สามารถมองเห็นได้เลย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ พบการสลับ DDR5 เป็น DDR4 ภายใต้ฮีตสเปรดเดอร์ ➡️ ผู้ซื้อสังเกตว่าฮีตสเปรดเดอร์หลวมและร่อง PCB ไม่ตรง ➡️ เป็นการปลอมแปลงที่ทำให้ดูเหมือนของใหม่สมบูรณ์ ✅ สินค้าถูกขายและจัดส่งโดย Amazon เอง ➡️ ไม่ใช่สินค้ามือสองหรือ open‑box ➡️ บ่งชี้ว่าการสลับอาจเกิดในซัพพลายเชนของ Amazon ✅ มีเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นหลายครั้ง ➡️ เคยมีผู้ได้ DDR2 ใส่ตุ้มน้ำหนักปลอมเป็น DDR5 ➡️ มีเคสพัสดุถูกขโมยหรือสลับของในระหว่างขนส่ง ‼️ ความเสี่ยงจากการหลอกลวงในตลาดฮาร์ดแวร์ ⛔ ราคาสูงและสินค้าขาดตลาดทำให้ DDR5 เป็นเป้าหมายหลัก ⛔ การสลับสินค้าในซัพพลายเชนเป็นภัยที่ผู้ซื้อควบคุมไม่ได้ https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/unlucky-amazon-shopper-orders-ddr5-memory-but-gets-ddr4-hidden-under-the-heatspreader-ram-sold-as-new-was-a-switcharoo
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • Biren เปิดตัว IPO ในฮ่องกง — มังกรตัวใหม่ในศึกชิงบัลลังก์ AI GPU จาก Nvidia

    Biren Intelligent Technology ผู้ผลิต GPU ชั้นนำของจีนเริ่มกระบวนการ bookbuilding สำหรับการเข้าตลาดหุ้นฮ่องกง โดยตั้งเป้าระดมทุนสูงสุดถึง 4.85 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ผลิต GPU จากจีนแผ่นดินใหญ่เข้าจดทะเบียนในฮ่องกง และสะท้อนความเร่งรีบของบริษัทจีนที่ต้องการเงินทุนเพื่อเร่งพัฒนา AI accelerators ท่ามกลางความต้องการมหาศาลจากตลาดโลก

    การเข้าตลาดของ Biren เกิดขึ้นในช่วงที่สตาร์ทอัพ GPU จีนกำลังได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดย Moore Threads และ MetaX ต่างสร้างสถิติราคาหุ้นพุ่งขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ในวันแรกของการซื้อขาย ทำให้ทั้งสามบริษัท รวมถึง Enflame ถูกเรียกว่า “สี่มังกรน้อย” ของวงการ GPU จีน ซึ่งต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือท้าทายความเป็นเจ้าตลาดของ Nvidia ในตลาด AI accelerator

    แม้ Biren จะเริ่มมีรายได้จากโซลูชันคอมพิวติ้งอัจฉริยะตั้งแต่ปี 2023 แต่บริษัทก็ยังขาดทุนอย่างหนัก โดยขาดทุนเกือบ 9 พันล้านหยวนในครึ่งแรกของปี 2025 จากการลงทุนด้าน R&D และซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Biren ยังได้รับผลกระทบจากการถูกสหรัฐฯ ใส่ใน Entity List ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศได้ยากขึ้น และต้องหันมาพึ่งซัพพลายเชนภายในประเทศมากขึ้น

    การเข้าตลาดครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การระดมทุน แต่เป็นการประกาศจุดยืนของจีนในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก โดย Biren, MiniMax, Zhipu และบริษัท AI อื่นๆ ต่างเร่งเข้าตลาดเพื่อเสริมทุนและเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง ในขณะที่การแข่งขันด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ AI ภายในจีนกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Biren เปิดตัว IPO มูลค่าสูงสุด 624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    เป็นผู้ผลิต GPU จีนรายแรกที่เข้าตลาดฮ่องกง
    เสนอขายหุ้น 247.7 ล้านหุ้น ราคา 17–19.60 ดอลลาร์ฮ่องกง

    กระแส “สี่มังกรน้อย” ของวงการ GPU จีนกำลังมาแรง
    Moore Threads และ MetaX ทำราคาหุ้นพุ่งหลายร้อยเปอร์เซ็นต์
    ทั้งหมดมีเป้าหมายท้าทาย Nvidia ในตลาด AI accelerator

    Biren มีรายได้เพิ่มขึ้นแต่ยังขาดทุนหนัก
    รายได้ปี 2023 อยู่ที่ 336.8 ล้านหยวน
    ขาดทุนครึ่งแรกปี 2025 เกือบ 9 พันล้านหยวนจากการลงทุน R&D

    ความเสี่ยงจากข้อจำกัดทางการเมืองและซัพพลายเชน
    ถูกสหรัฐฯ ใส่ใน Entity List ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศยากขึ้น
    ต้องพึ่งซัพพลายเชนภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งยังไม่สมบูรณ์

    การแข่งขันในตลาด AI จีนกำลังรุนแรงขึ้น
    MiniMax และ Zhipu ก็เตรียมเข้าตลาดเช่นกัน
    บริษัทต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ให้ตามหลังคู่แข่งทั้งในและนอกประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/biren-kicks-off-hong-kong-ipo
    🐉 Biren เปิดตัว IPO ในฮ่องกง — มังกรตัวใหม่ในศึกชิงบัลลังก์ AI GPU จาก Nvidia Biren Intelligent Technology ผู้ผลิต GPU ชั้นนำของจีนเริ่มกระบวนการ bookbuilding สำหรับการเข้าตลาดหุ้นฮ่องกง โดยตั้งเป้าระดมทุนสูงสุดถึง 4.85 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ผลิต GPU จากจีนแผ่นดินใหญ่เข้าจดทะเบียนในฮ่องกง และสะท้อนความเร่งรีบของบริษัทจีนที่ต้องการเงินทุนเพื่อเร่งพัฒนา AI accelerators ท่ามกลางความต้องการมหาศาลจากตลาดโลก การเข้าตลาดของ Biren เกิดขึ้นในช่วงที่สตาร์ทอัพ GPU จีนกำลังได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดย Moore Threads และ MetaX ต่างสร้างสถิติราคาหุ้นพุ่งขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ในวันแรกของการซื้อขาย ทำให้ทั้งสามบริษัท รวมถึง Enflame ถูกเรียกว่า “สี่มังกรน้อย” ของวงการ GPU จีน ซึ่งต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือท้าทายความเป็นเจ้าตลาดของ Nvidia ในตลาด AI accelerator แม้ Biren จะเริ่มมีรายได้จากโซลูชันคอมพิวติ้งอัจฉริยะตั้งแต่ปี 2023 แต่บริษัทก็ยังขาดทุนอย่างหนัก โดยขาดทุนเกือบ 9 พันล้านหยวนในครึ่งแรกของปี 2025 จากการลงทุนด้าน R&D และซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Biren ยังได้รับผลกระทบจากการถูกสหรัฐฯ ใส่ใน Entity List ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศได้ยากขึ้น และต้องหันมาพึ่งซัพพลายเชนภายในประเทศมากขึ้น การเข้าตลาดครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การระดมทุน แต่เป็นการประกาศจุดยืนของจีนในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก โดย Biren, MiniMax, Zhipu และบริษัท AI อื่นๆ ต่างเร่งเข้าตลาดเพื่อเสริมทุนและเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง ในขณะที่การแข่งขันด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ AI ภายในจีนกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Biren เปิดตัว IPO มูลค่าสูงสุด 624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ➡️ เป็นผู้ผลิต GPU จีนรายแรกที่เข้าตลาดฮ่องกง ➡️ เสนอขายหุ้น 247.7 ล้านหุ้น ราคา 17–19.60 ดอลลาร์ฮ่องกง ✅ กระแส “สี่มังกรน้อย” ของวงการ GPU จีนกำลังมาแรง ➡️ Moore Threads และ MetaX ทำราคาหุ้นพุ่งหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ➡️ ทั้งหมดมีเป้าหมายท้าทาย Nvidia ในตลาด AI accelerator ✅ Biren มีรายได้เพิ่มขึ้นแต่ยังขาดทุนหนัก ➡️ รายได้ปี 2023 อยู่ที่ 336.8 ล้านหยวน ➡️ ขาดทุนครึ่งแรกปี 2025 เกือบ 9 พันล้านหยวนจากการลงทุน R&D ‼️ ความเสี่ยงจากข้อจำกัดทางการเมืองและซัพพลายเชน ⛔ ถูกสหรัฐฯ ใส่ใน Entity List ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศยากขึ้น ⛔ ต้องพึ่งซัพพลายเชนภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งยังไม่สมบูรณ์ ‼️ การแข่งขันในตลาด AI จีนกำลังรุนแรงขึ้น ⛔ MiniMax และ Zhipu ก็เตรียมเข้าตลาดเช่นกัน ⛔ บริษัทต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ให้ตามหลังคู่แข่งทั้งในและนอกประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/biren-kicks-off-hong-kong-ipo
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China's premier GPU maker Biren kicks off Hong Kong IPO — GPU startups vying for Nvidia's crown race to fund AI chip development
    Shanghai-based Biren is targeting up to US$624 million in what would be the first Hong Kong listing by a mainland GPU developer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • GnuCash 5.14 อัปเดตใหญ่: เพิ่มการรองรับ US Bonds และยกระดับระบบดึงข้อมูลการเงิน

    GnuCash 5.14 มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญอย่างการรองรับ US Bonds ผ่านโมดูล Finance::Quote ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถดึงราคาของพันธบัตรสหรัฐฯ ประเภท E, EE และ I ได้โดยตรงจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ การเพิ่มความสามารถนี้สะท้อนทิศทางของ GnuCash ที่ต้องการเป็นเครื่องมือบัญชีส่วนบุคคลและธุรกิจขนาดเล็กที่ตอบโจทย์การลงทุนยุคใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ใช้ที่ต้องการติดตามสินทรัพย์หลากหลายประเภทในพอร์ตเดียว

    การอัปเดตครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามต่อเนื่องในการทำให้ GnuCash รองรับสินทรัพย์ทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เติบโตในปี 2025 เมื่อผู้ใช้ทั่วไปเริ่มลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น ทั้งเพื่อกระจายความเสี่ยงและเพื่อรับผลตอบแทนที่มั่นคงกว่าในสภาวะเศรษฐกิจผันผวน การรองรับ US Bonds จึงเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ GnuCash แข่งขันกับซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ได้ดีขึ้น

    นอกจากนี้ การอัปเดตยังคงเน้นความเสถียรและการแก้ไขบั๊กในหลายส่วน ซึ่งเป็นจุดแข็งของโครงการโอเพ่นซอร์สที่มีชุมชนผู้ใช้และผู้พัฒนาขนาดใหญ่ การพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้ GnuCash ยังคงเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์บัญชีฟรีที่ได้รับความนิยมสูงสุดบน Linux, Windows และ macOS โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความโปร่งใสและความสามารถในการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังอย่างละเอียด

    ในภาพรวม GnuCash 5.14 เป็นอัปเดตที่แม้จะดูเล็ก แต่มีผลต่อผู้ใช้ที่ลงทุนในตราสารหนี้อย่างชัดเจน และยังเป็นสัญญาณว่าทีมพัฒนากำลังผลักดันให้ซอฟต์แวร์รองรับสินทรัพย์ทางการเงินที่หลากหลายขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ทันกับความต้องการของผู้ใช้ยุคใหม่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน GnuCash 5.14
    รองรับ US Bonds (E, EE, I) ผ่าน Finance::Quote
    ดึงข้อมูลราคาพันธบัตรได้โดยตรงจากแหล่งข้อมูลออนไลน์

    ทิศทางการพัฒนา
    เน้นรองรับสินทรัพย์การเงินที่ซับซ้อนมากขึ้น
    ปรับปรุงเสถียรภาพและแก้ไขบั๊กอย่างต่อเนื่อง

    ประเด็นที่ผู้ใช้ควรระวัง
    การดึงข้อมูล Finance::Quote อาจขึ้นกับความพร้อมของแหล่งข้อมูลภายนอก
    ผู้ใช้ที่ไม่อัปเดตโมดูล Perl อาจพบปัญหาการดึงข้อมูล

    คำแนะนำสำหรับผู้ใช้
    อัปเดต GnuCash และ Finance::Quote ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลพันธบัตรก่อนบันทึกในบัญชี

    https://9to5linux.com/gnucash-5-14-open-source-accounting-software-adds-support-for-us-bonds
    💵 GnuCash 5.14 อัปเดตใหญ่: เพิ่มการรองรับ US Bonds และยกระดับระบบดึงข้อมูลการเงิน GnuCash 5.14 มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญอย่างการรองรับ US Bonds ผ่านโมดูล Finance::Quote ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถดึงราคาของพันธบัตรสหรัฐฯ ประเภท E, EE และ I ได้โดยตรงจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ การเพิ่มความสามารถนี้สะท้อนทิศทางของ GnuCash ที่ต้องการเป็นเครื่องมือบัญชีส่วนบุคคลและธุรกิจขนาดเล็กที่ตอบโจทย์การลงทุนยุคใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ใช้ที่ต้องการติดตามสินทรัพย์หลากหลายประเภทในพอร์ตเดียว การอัปเดตครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามต่อเนื่องในการทำให้ GnuCash รองรับสินทรัพย์ทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เติบโตในปี 2025 เมื่อผู้ใช้ทั่วไปเริ่มลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น ทั้งเพื่อกระจายความเสี่ยงและเพื่อรับผลตอบแทนที่มั่นคงกว่าในสภาวะเศรษฐกิจผันผวน การรองรับ US Bonds จึงเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ GnuCash แข่งขันกับซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ การอัปเดตยังคงเน้นความเสถียรและการแก้ไขบั๊กในหลายส่วน ซึ่งเป็นจุดแข็งของโครงการโอเพ่นซอร์สที่มีชุมชนผู้ใช้และผู้พัฒนาขนาดใหญ่ การพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้ GnuCash ยังคงเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์บัญชีฟรีที่ได้รับความนิยมสูงสุดบน Linux, Windows และ macOS โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความโปร่งใสและความสามารถในการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังอย่างละเอียด ในภาพรวม GnuCash 5.14 เป็นอัปเดตที่แม้จะดูเล็ก แต่มีผลต่อผู้ใช้ที่ลงทุนในตราสารหนี้อย่างชัดเจน และยังเป็นสัญญาณว่าทีมพัฒนากำลังผลักดันให้ซอฟต์แวร์รองรับสินทรัพย์ทางการเงินที่หลากหลายขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ทันกับความต้องการของผู้ใช้ยุคใหม่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน GnuCash 5.14 ➡️ รองรับ US Bonds (E, EE, I) ผ่าน Finance::Quote ➡️ ดึงข้อมูลราคาพันธบัตรได้โดยตรงจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ ✅ ทิศทางการพัฒนา ➡️ เน้นรองรับสินทรัพย์การเงินที่ซับซ้อนมากขึ้น ➡️ ปรับปรุงเสถียรภาพและแก้ไขบั๊กอย่างต่อเนื่อง ‼️ ประเด็นที่ผู้ใช้ควรระวัง ⛔ การดึงข้อมูล Finance::Quote อาจขึ้นกับความพร้อมของแหล่งข้อมูลภายนอก ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่อัปเดตโมดูล Perl อาจพบปัญหาการดึงข้อมูล ‼️ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ ⛔ อัปเดต GnuCash และ Finance::Quote ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ⛔ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลพันธบัตรก่อนบันทึกในบัญชี https://9to5linux.com/gnucash-5-14-open-source-accounting-software-adds-support-for-us-bonds
    9TO5LINUX.COM
    GnuCash 5.14 Open-Source Accounting Software Adds Support for US Bonds - 9to5Linux
    GnuCash 5.14 open-source, free, and cross-platform accounting software is now available for download with various improvements and bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • MPV 0.41 มาแล้ว: ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของวิดีโอเพลเยอร์สายโอเพ่นซอร์สบน Wayland

    MPV 0.41 เปิดตัวพร้อมการปรับปรุงสำคัญด้าน Wayland ซึ่งเป็นหัวใจของเดสก์ท็อป Linux ยุคใหม่ การอัปเดตครั้งนี้ช่วยให้การเรนเดอร์ภาพลื่นไหลขึ้น ลด input latency และแก้ปัญหาการจัดการหน้าต่างที่เคยเป็นข้อจำกัดในเวอร์ชันก่อนหน้า การพัฒนา Wayland ecosystem ที่เร็วขึ้นในปี 2025 ทำให้โปรเจกต์อย่าง MPV ต้องเร่งตามให้ทัน และเวอร์ชันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้เดสก์ท็อปสมัยใหม่ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

    อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือการรองรับ Ambient Light Sensor (ALS) ผ่าน sysfs ซึ่งช่วยให้ MPV ปรับความสว่างของวิดีโอตามสภาพแสงรอบตัวได้อัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้เคยพบในอุปกรณ์พกพาและระบบปฏิบัติการเชิงพาณิชย์ แต่กำลังเริ่มถูกนำมาใช้ใน Linux Desktop มากขึ้น โดยเฉพาะในแล็ปท็อปรุ่นใหม่ที่รองรับเซนเซอร์แบบมาตรฐาน ACPI และ ALS

    การอัปเดตครั้งนี้ยังสอดคล้องกับทิศทางของ MPV ที่เน้นการรองรับเทคโนโลยีภาพสมัยใหม่ เช่น HDR, tone‑mapping และ GPU scaling ซึ่งเริ่มถูกผลักดันอย่างจริงจังตั้งแต่เวอร์ชัน 0.39–0.40 การพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้ MPV กลายเป็นหนึ่งในวิดีโอเพลเยอร์ที่นักรีวิวสาย Linux ยกให้เป็น “มาตรฐานทองคำ” สำหรับงานดูหนังคุณภาพสูงบนระบบโอเพ่นซอร์ส

    ในภาพรวม MPV 0.41 ไม่ได้เป็นเพียงอัปเดตเล็ก ๆ แต่เป็นการยืนยันว่าโปรเจกต์ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคง และพร้อมรองรับอนาคตของ Linux Desktop ที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ Wayland เต็มรูปแบบ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเข้ากันได้ และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่มากขึ้น

    ไฮไลต์ของ MPV 0.41
    ปรับปรุง Wayland ให้เสถียรและตอบสนองเร็วขึ้น
    รองรับ Ambient Light Sensor ผ่าน sysfs ALS

    ทิศทางการพัฒนา
    สอดคล้องกับการผลักดัน Wayland ใน Linux Desktop
    เดินหน้ารองรับ HDR และ GPU scaling อย่างต่อเนื่อง

    ประเด็นที่ผู้ใช้ควรระวัง
    ฟีเจอร์ ALS อาจใช้ไม่ได้ในฮาร์ดแวร์รุ่นเก่า
    การเปลี่ยนผ่านสู่ Wayland อาจทำให้ปลั๊กอินหรือสคริปต์บางตัวต้องปรับตาม

    คำแนะนำสำหรับผู้ใช้
    อัปเดตไดรเวอร์ GPU ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่
    ตรวจสอบการตั้งค่า Wayland หากพบปัญหา input หรือการเรนเดอร์

    https://9to5linux.com/mpv-0-41-open-source-video-player-released-with-improved-wayland-support
    🎬 MPV 0.41 มาแล้ว: ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของวิดีโอเพลเยอร์สายโอเพ่นซอร์สบน Wayland MPV 0.41 เปิดตัวพร้อมการปรับปรุงสำคัญด้าน Wayland ซึ่งเป็นหัวใจของเดสก์ท็อป Linux ยุคใหม่ การอัปเดตครั้งนี้ช่วยให้การเรนเดอร์ภาพลื่นไหลขึ้น ลด input latency และแก้ปัญหาการจัดการหน้าต่างที่เคยเป็นข้อจำกัดในเวอร์ชันก่อนหน้า การพัฒนา Wayland ecosystem ที่เร็วขึ้นในปี 2025 ทำให้โปรเจกต์อย่าง MPV ต้องเร่งตามให้ทัน และเวอร์ชันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้เดสก์ท็อปสมัยใหม่ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือการรองรับ Ambient Light Sensor (ALS) ผ่าน sysfs ซึ่งช่วยให้ MPV ปรับความสว่างของวิดีโอตามสภาพแสงรอบตัวได้อัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้เคยพบในอุปกรณ์พกพาและระบบปฏิบัติการเชิงพาณิชย์ แต่กำลังเริ่มถูกนำมาใช้ใน Linux Desktop มากขึ้น โดยเฉพาะในแล็ปท็อปรุ่นใหม่ที่รองรับเซนเซอร์แบบมาตรฐาน ACPI และ ALS การอัปเดตครั้งนี้ยังสอดคล้องกับทิศทางของ MPV ที่เน้นการรองรับเทคโนโลยีภาพสมัยใหม่ เช่น HDR, tone‑mapping และ GPU scaling ซึ่งเริ่มถูกผลักดันอย่างจริงจังตั้งแต่เวอร์ชัน 0.39–0.40 การพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้ MPV กลายเป็นหนึ่งในวิดีโอเพลเยอร์ที่นักรีวิวสาย Linux ยกให้เป็น “มาตรฐานทองคำ” สำหรับงานดูหนังคุณภาพสูงบนระบบโอเพ่นซอร์ส ในภาพรวม MPV 0.41 ไม่ได้เป็นเพียงอัปเดตเล็ก ๆ แต่เป็นการยืนยันว่าโปรเจกต์ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคง และพร้อมรองรับอนาคตของ Linux Desktop ที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ Wayland เต็มรูปแบบ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเข้ากันได้ และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่มากขึ้น ✅ ไฮไลต์ของ MPV 0.41 ➡️ ปรับปรุง Wayland ให้เสถียรและตอบสนองเร็วขึ้น ➡️ รองรับ Ambient Light Sensor ผ่าน sysfs ALS ✅ ทิศทางการพัฒนา ➡️ สอดคล้องกับการผลักดัน Wayland ใน Linux Desktop ➡️ เดินหน้ารองรับ HDR และ GPU scaling อย่างต่อเนื่อง ‼️ ประเด็นที่ผู้ใช้ควรระวัง ⛔ ฟีเจอร์ ALS อาจใช้ไม่ได้ในฮาร์ดแวร์รุ่นเก่า ⛔ การเปลี่ยนผ่านสู่ Wayland อาจทำให้ปลั๊กอินหรือสคริปต์บางตัวต้องปรับตาม ‼️ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ ⛔ อัปเดตไดรเวอร์ GPU ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่ ⛔ ตรวจสอบการตั้งค่า Wayland หากพบปัญหา input หรือการเรนเดอร์ https://9to5linux.com/mpv-0-41-open-source-video-player-released-with-improved-wayland-support
    9TO5LINUX.COM
    MPV 0.41 Open-Source Video Player Released with Improved Wayland Support - 9to5Linux
    MPV 0.41 open-source media player is now available for download with improved Wayland support and ambient light support on Linux.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • Linux Gaming พุ่งแรงรับปลายปี: 13 เกมเด่นใน Steam Winter Sale ที่คอ Linux ไม่ควรพลาด

    Steam Winter Sale ปี 2025 กลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของวงการเกมบน Linux เพราะจำนวนเกมที่รองรับ Proton และ Steam Deck เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ใช้ Linux สามารถเข้าถึงเกมระดับ AAA ได้มากกว่ายุคก่อนหลายเท่า รายชื่อเกมที่ถูกคัดมาบนหน้าเว็บนี้สะท้อนภาพรวมของ ecosystem ที่โตขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่เกมอินดี้ราคาประหยัดไปจนถึงเกมฟอร์มยักษ์ที่เคยเป็นไปไม่ได้สำหรับ Linux เมื่อหลายปีก่อน

    สิ่งที่โดดเด่นคือเกมหลากหลายแนว ทั้ง RPG, Survival Horror, Extraction Shooter, Sandbox และ Adventure ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับสถานะ Verified บน Steam Deck แสดงให้เห็นว่าการปรับแต่ง compatibility layer อย่าง Proton ทำงานได้ดีขึ้นมาก นอกจากนี้ เกมอย่าง Dying Light, The Last of Us Part I และ Metal Gear Solid Δ ยังเป็นตัวอย่างของเกมที่แม้ไม่รองรับ Linux แบบ native แต่ก็เล่นได้ดีผ่าน Proton ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องเลือกเกมตามระบบปฏิบัติการอีกต่อไปเหมือนในอดีต

    อีกเทรนด์ที่น่าสนใจคือเกมอินดี้คุณภาพสูง เช่น Tiny Glade, R.E.P.O., และ Escape From Duckov ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในชุมชน Linux เพราะราคาเข้าถึงง่ายและรองรับ Steam Deck ได้ดี การเติบโตของเกมอินดี้สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมที่เปิดกว้างขึ้นสำหรับนักพัฒนาเล็ก ๆ ที่ไม่ต้องพึ่ง engine หรือระบบ DRM ที่ผูกกับ Windows แบบเดิม ๆ

    ท้ายที่สุด รายการนี้ยังชี้ให้เห็นว่าผู้ใช้ Linux มีตัวเลือกมากขึ้นกว่าเดิมมาก ทั้งเกม native และเกมที่เล่นผ่าน Proton โดยมีส่วนลดแรงในช่วง Winter Sale ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการขยายคลังเกมของผู้ใช้ Linux โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใช้ Steam Deck หรือเครื่อง Linux แบบ custom build

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เทรนด์ Linux Gaming ปี 2025
    Proton และ Steam Deck ทำให้เกม AAA เล่นได้ง่ายขึ้น
    เกมอินดี้คุณภาพสูงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

    เกมเด่นที่ลดราคาแรง
    The Last of Us Part I, Dying Light, Expedition 33 ลดสูงสุดถึง 50–85%
    เกม native Linux เช่น Tiny Glade และ Dying Light (ภาคแรก) ทำงานได้ดีมาก

    ประเด็นที่ผู้ใช้ควรระวัง
    เกมบางเกมยังเป็น “Unsupported” บน Steam Deck เช่น Mafia: The Old Country และ MGS Δ
    ประสบการณ์การเล่นอาจขึ้นกับเวอร์ชัน Proton และสเปกเครื่อง

    คำแนะนำก่อนซื้อ
    ตรวจสอบ ProtonDB ก่อนซื้อเกม AAA
    อัปเดต SteamOS/Proton ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อความเสถียร

    https://itsfoss.com/news/linux-games-steam-winter-sale-2025/
    🎮 Linux Gaming พุ่งแรงรับปลายปี: 13 เกมเด่นใน Steam Winter Sale ที่คอ Linux ไม่ควรพลาด Steam Winter Sale ปี 2025 กลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของวงการเกมบน Linux เพราะจำนวนเกมที่รองรับ Proton และ Steam Deck เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ใช้ Linux สามารถเข้าถึงเกมระดับ AAA ได้มากกว่ายุคก่อนหลายเท่า รายชื่อเกมที่ถูกคัดมาบนหน้าเว็บนี้สะท้อนภาพรวมของ ecosystem ที่โตขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่เกมอินดี้ราคาประหยัดไปจนถึงเกมฟอร์มยักษ์ที่เคยเป็นไปไม่ได้สำหรับ Linux เมื่อหลายปีก่อน สิ่งที่โดดเด่นคือเกมหลากหลายแนว ทั้ง RPG, Survival Horror, Extraction Shooter, Sandbox และ Adventure ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับสถานะ Verified บน Steam Deck แสดงให้เห็นว่าการปรับแต่ง compatibility layer อย่าง Proton ทำงานได้ดีขึ้นมาก นอกจากนี้ เกมอย่าง Dying Light, The Last of Us Part I และ Metal Gear Solid Δ ยังเป็นตัวอย่างของเกมที่แม้ไม่รองรับ Linux แบบ native แต่ก็เล่นได้ดีผ่าน Proton ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องเลือกเกมตามระบบปฏิบัติการอีกต่อไปเหมือนในอดีต อีกเทรนด์ที่น่าสนใจคือเกมอินดี้คุณภาพสูง เช่น Tiny Glade, R.E.P.O., และ Escape From Duckov ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในชุมชน Linux เพราะราคาเข้าถึงง่ายและรองรับ Steam Deck ได้ดี การเติบโตของเกมอินดี้สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมที่เปิดกว้างขึ้นสำหรับนักพัฒนาเล็ก ๆ ที่ไม่ต้องพึ่ง engine หรือระบบ DRM ที่ผูกกับ Windows แบบเดิม ๆ ท้ายที่สุด รายการนี้ยังชี้ให้เห็นว่าผู้ใช้ Linux มีตัวเลือกมากขึ้นกว่าเดิมมาก ทั้งเกม native และเกมที่เล่นผ่าน Proton โดยมีส่วนลดแรงในช่วง Winter Sale ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการขยายคลังเกมของผู้ใช้ Linux โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใช้ Steam Deck หรือเครื่อง Linux แบบ custom build 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เทรนด์ Linux Gaming ปี 2025 ➡️ Proton และ Steam Deck ทำให้เกม AAA เล่นได้ง่ายขึ้น ➡️ เกมอินดี้คุณภาพสูงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ✅ เกมเด่นที่ลดราคาแรง ➡️ The Last of Us Part I, Dying Light, Expedition 33 ลดสูงสุดถึง 50–85% ➡️ เกม native Linux เช่น Tiny Glade และ Dying Light (ภาคแรก) ทำงานได้ดีมาก ‼️ ประเด็นที่ผู้ใช้ควรระวัง ⛔ เกมบางเกมยังเป็น “Unsupported” บน Steam Deck เช่น Mafia: The Old Country และ MGS Δ ⛔ ประสบการณ์การเล่นอาจขึ้นกับเวอร์ชัน Proton และสเปกเครื่อง ‼️ คำแนะนำก่อนซื้อ ⛔ ตรวจสอบ ProtonDB ก่อนซื้อเกม AAA ⛔ อัปเดต SteamOS/Proton ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อความเสถียร https://itsfoss.com/news/linux-games-steam-winter-sale-2025/
    ITSFOSS.COM
    13 Awesome Games Linux Users Can Grab in Steam Winter Sale 🎮 (Ends 5 January)
    End 2025 on a winning note by grabbing some fun games for your Linux gaming rig!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • Exim ระส่ำอีกครั้ง: ช่องโหว่ SQL Injection ลุกลามสู่ Heap Overflow ระดับวิกฤต

    ช่องโหว่ใหม่ที่ถูกเปิดเผยใน Exim 4.99 ทำให้โลกความปลอดภัยไซเบอร์ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เมื่อ Andrew Fasano จาก NIST ระบุว่าการอุดช่องโหว่เดิม (CVE-2025-26794) นั้น “ปิดไม่สนิท” จนกลายเป็นประตูบานใหญ่ให้แฮ็กเกอร์สามารถโจมตีลึกกว่าเดิมได้ ช่องโหว่นี้เริ่มจากการฉีดคำสั่ง SQL ผ่านฟิลด์ที่ควรจะถูก sanitize แต่กลับถูกละเลยในฟังก์ชัน xtextencode() ส่งผลให้ฐานข้อมูล SQLite ภายใน Exim ถูกควบคุมได้จากภายนอกอย่างไม่ตั้งใจ

    ความร้ายแรงไม่ได้หยุดแค่ SQL Injection เพราะ Fasano พบว่าช่องโหว่นี้สามารถเชื่อมโยงไปสู่ Heap Buffer Overflow ผ่านฟิลด์ bloom_size ที่ระบบอ่านโดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง เมื่อผู้โจมตีใส่ค่าขนาดผิดปกติ ระบบจะเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำ ทำให้เกิด memory corruption สูงสุดกว่า 1.5MB ซึ่งอาจนำไปสู่การยึดเครื่องได้ แม้ ASLR จะช่วยลดโอกาส RCE แต่ Fasano ยืนยันว่า “มีความเป็นไปได้” หากมีการพัฒนา exploit ต่อเนื่อง

    การโจมตีนี้เกิดขึ้นได้เฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ Exim ถูกคอมไพล์ด้วย USE_SQLITE=yes และใช้ ratelimit ACL ที่อิงข้อมูลจากผู้โจมตี เช่น sender_address ซึ่งเป็นการตั้งค่าที่พบได้ในองค์กรจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะระบบอีเมลที่ปรับแต่งเองหรือใช้ config เก่าไม่เคย audit ความปลอดภัย นอกจากนี้ เทรนด์การโจมตี MTA ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2025 จากกลุ่ม APT ที่มองหา entry point ราคาถูกแต่ทรงพลัง เช่นเดียวกับกรณี Postfix และ Sendmail ที่เพิ่งถูกตรวจพบช่องโหว่คล้ายกันในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดต Exim ทันที พร้อมตรวจสอบ config ที่ใช้ SQLite และ ratelimit ACL อย่างละเอียด รวมถึงพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ parameterized queries เพื่อลดความเสี่ยง SQL Injection แบบถาวร นี่เป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าระบบอีเมลแบบ self-hosted ยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญขององค์กร หากไม่มีการดูแลเชิงรุกและตรวจสอบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ SQL Injection ใน Exim 4.99
    เกิดจากการ sanitize ข้อมูลไม่สมบูรณ์ในฟังก์ชัน xtextencode()
    สามารถฉีดคำสั่ง SQL ผ่าน sender_address ได้

    ช่องโหว่ลุกลามสู่ Heap Buffer Overflow
    bloom_size ถูกอ่านโดยไม่มีการตรวจสอบ
    memory overflow สูงสุดกว่า 1.5MB

    เงื่อนไขที่ทำให้ระบบเสี่ยง
    Exim ถูกคอมไพล์ด้วย USE_SQLITE=yes
    ใช้ ratelimit ACL ที่อิงข้อมูลจากผู้โจมตี

    ความเสี่ยงระดับองค์กร
    อาจนำไปสู่ Remote Code Execution หาก exploit พัฒนาเพิ่ม
    ระบบอีเมล self-hosted ที่ไม่ได้อัปเดตมีความเสี่ยงสูงมาก

    คำแนะนำเร่งด่วน
    อัปเดต Exim ทันที
    ตรวจสอบ config ที่ใช้ SQLite และ ratelimit ACL

    https://securityonline.info/exims-poisoned-record-how-a-failed-patch-and-sql-injection-lead-to-critical-heap-overflows/
    🛡️ Exim ระส่ำอีกครั้ง: ช่องโหว่ SQL Injection ลุกลามสู่ Heap Overflow ระดับวิกฤต ช่องโหว่ใหม่ที่ถูกเปิดเผยใน Exim 4.99 ทำให้โลกความปลอดภัยไซเบอร์ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เมื่อ Andrew Fasano จาก NIST ระบุว่าการอุดช่องโหว่เดิม (CVE-2025-26794) นั้น “ปิดไม่สนิท” จนกลายเป็นประตูบานใหญ่ให้แฮ็กเกอร์สามารถโจมตีลึกกว่าเดิมได้ ช่องโหว่นี้เริ่มจากการฉีดคำสั่ง SQL ผ่านฟิลด์ที่ควรจะถูก sanitize แต่กลับถูกละเลยในฟังก์ชัน xtextencode() ส่งผลให้ฐานข้อมูล SQLite ภายใน Exim ถูกควบคุมได้จากภายนอกอย่างไม่ตั้งใจ ความร้ายแรงไม่ได้หยุดแค่ SQL Injection เพราะ Fasano พบว่าช่องโหว่นี้สามารถเชื่อมโยงไปสู่ Heap Buffer Overflow ผ่านฟิลด์ bloom_size ที่ระบบอ่านโดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง เมื่อผู้โจมตีใส่ค่าขนาดผิดปกติ ระบบจะเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำ ทำให้เกิด memory corruption สูงสุดกว่า 1.5MB ซึ่งอาจนำไปสู่การยึดเครื่องได้ แม้ ASLR จะช่วยลดโอกาส RCE แต่ Fasano ยืนยันว่า “มีความเป็นไปได้” หากมีการพัฒนา exploit ต่อเนื่อง การโจมตีนี้เกิดขึ้นได้เฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ Exim ถูกคอมไพล์ด้วย USE_SQLITE=yes และใช้ ratelimit ACL ที่อิงข้อมูลจากผู้โจมตี เช่น sender_address ซึ่งเป็นการตั้งค่าที่พบได้ในองค์กรจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะระบบอีเมลที่ปรับแต่งเองหรือใช้ config เก่าไม่เคย audit ความปลอดภัย นอกจากนี้ เทรนด์การโจมตี MTA ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2025 จากกลุ่ม APT ที่มองหา entry point ราคาถูกแต่ทรงพลัง เช่นเดียวกับกรณี Postfix และ Sendmail ที่เพิ่งถูกตรวจพบช่องโหว่คล้ายกันในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดต Exim ทันที พร้อมตรวจสอบ config ที่ใช้ SQLite และ ratelimit ACL อย่างละเอียด รวมถึงพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ parameterized queries เพื่อลดความเสี่ยง SQL Injection แบบถาวร นี่เป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าระบบอีเมลแบบ self-hosted ยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญขององค์กร หากไม่มีการดูแลเชิงรุกและตรวจสอบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ SQL Injection ใน Exim 4.99 ➡️ เกิดจากการ sanitize ข้อมูลไม่สมบูรณ์ในฟังก์ชัน xtextencode() ➡️ สามารถฉีดคำสั่ง SQL ผ่าน sender_address ได้ ✅ ช่องโหว่ลุกลามสู่ Heap Buffer Overflow ➡️ bloom_size ถูกอ่านโดยไม่มีการตรวจสอบ ➡️ memory overflow สูงสุดกว่า 1.5MB ✅ เงื่อนไขที่ทำให้ระบบเสี่ยง ➡️ Exim ถูกคอมไพล์ด้วย USE_SQLITE=yes ➡️ ใช้ ratelimit ACL ที่อิงข้อมูลจากผู้โจมตี ‼️ ความเสี่ยงระดับองค์กร ⛔ อาจนำไปสู่ Remote Code Execution หาก exploit พัฒนาเพิ่ม ⛔ ระบบอีเมล self-hosted ที่ไม่ได้อัปเดตมีความเสี่ยงสูงมาก ‼️ คำแนะนำเร่งด่วน ⛔ อัปเดต Exim ทันที ⛔ ตรวจสอบ config ที่ใช้ SQLite และ ratelimit ACL https://securityonline.info/exims-poisoned-record-how-a-failed-patch-and-sql-injection-lead-to-critical-heap-overflows/
    SECURITYONLINE.INFO
    Exim’s Poisoned Record: How a Failed Patch and SQL Injection Lead to Critical Heap Overflows
    NIST warns of a critical Exim 4.99 flaw. A failed SQLi patch allows attackers to poison SQLite records and trigger a 1.5MB heap buffer overflow.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.48

    อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และถ่ายโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการทำลายทุ่นระเบิด หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในนามอนุสัญญาออตตาวา ถือเป็นหลักหมุดหมายสำคัญในทางกฎหมายระหว่างประเทศที่เปลี่ยนผ่านจากการควบคุมอาวุธแบบดั้งเดิมไปสู่การคุ้มครองสิทธิทางมนุษยธรรมอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีแก่นแท้ทางกฎหมายที่มุ่งเน้นการยุติความเสียหายที่มิอาจเลือกปฏิบัติได้ระหว่างพลเรือนและคู่สงคราม ซึ่งสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศในเรื่องความจำเป็นทางการทหารและการแบ่งแยกกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน พันธกรณีหลักภายใต้อนุสัญญานี้กำหนดให้รัฐภาคีต้องยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น พร้อมทั้งมีหน้าที่ตามกฎหมายในการทำลายคลังแสงทุ่นระเบิดในครอบครองภายในระยะเวลาที่กำหนด และที่สำคัญที่สุดคือภาระหน้าที่ตามมาตราที่ห้าในการสำรวจและกวาดล้างพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดให้เสร็จสิ้นเพื่อคืนพื้นที่ปลอดภัยให้แก่ประชาชน ในบริบทของพื้นที่ชายแดนไทยและกัมพูชาซึ่งเคยเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในอดีต การปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการทำลายอาวุธ แต่คือการแสดงเจตจำนงทางกฎหมายที่ต้องการเยียวยาผลกระทบจากสงครามอย่างเป็นรูปธรรม โดยการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหารและนักทำลายล้างวัตถุระเบิดในการตรวจค้นและกวาดล้างทุ่นระเบิดถือเป็นภารกิจที่มีฐานอำนาจรองรับจากกฎหมายเพื่อสร้างความมั่นคงในมิติใหม่ที่ไม่ใช่การสะสมอาวุธแต่คือการสร้างความปลอดภัยให้แก่พลเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตามแนวชายแดนเพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตและประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างปกติตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล นอกจากนี้อนุสัญญายังเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างประเทศและการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งเป็นมิติทางกฎหมายที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และการสร้างความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐภาคีในการกำจัดภัยคุกคามที่ตกค้างจากความขัดแย้งในอดีตให้หมดสิ้นไปจากพื้นที่ทับซ้อนและแนวพรมแดนอย่างถาวร

    บทสรุปความสำเร็จของอนุสัญญาออตตาวาจึงมิได้วัดเพียงจำนวนทุ่นระเบิดที่ถูกขุดขึ้นมาทำลายลงไปเท่านั้น แต่คือการสร้างบรรทัดฐานทางจริยธรรมที่กลายเป็นกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งได้รับการยอมรับจากรัฐส่วนใหญ่ทั่วโลกในการปฏิเสธการใช้อาวุธที่มีลักษณะโหดร้ายและส่งผลกระทบต่อเนื่องยาวนานเกินกว่าความจำเป็นทางการทหาร การรักษาความร่วมมือระหว่างประเทศในการกวาดล้างทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทยและกัมพูชาโดยกำลังพลทหารที่มีความเชี่ยวชาญคือการตอกย้ำว่ากฎหมายสามารถเปลี่ยนสนามรบในอดีตให้กลายเป็นพื้นที่แห่งการพัฒนาและสันติภาพได้ และเป็นการยืนยันว่าสิทธิในชีวิตและความปลอดภัยของมนุษย์ย่อมอยู่เหนือยุทธศาสตร์ทางการทหารใดๆ ทั้งสิ้น การก้าวไปสู่โลกที่ไร้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจึงเป็นพันธกิจทางกฎหมายและมนุษยธรรมที่สำคัญยิ่งซึ่งมวลมนุษยชาติจะต้องร่วมกันรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของอนุสัญญาฉบับนี้ไว้เพื่อส่งต่อพื้นดินที่ปลอดภัยให้แก่คนรุ่นหลังสืบไป
    บทความกฎหมาย EP.48 อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และถ่ายโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการทำลายทุ่นระเบิด หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในนามอนุสัญญาออตตาวา ถือเป็นหลักหมุดหมายสำคัญในทางกฎหมายระหว่างประเทศที่เปลี่ยนผ่านจากการควบคุมอาวุธแบบดั้งเดิมไปสู่การคุ้มครองสิทธิทางมนุษยธรรมอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีแก่นแท้ทางกฎหมายที่มุ่งเน้นการยุติความเสียหายที่มิอาจเลือกปฏิบัติได้ระหว่างพลเรือนและคู่สงคราม ซึ่งสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศในเรื่องความจำเป็นทางการทหารและการแบ่งแยกกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน พันธกรณีหลักภายใต้อนุสัญญานี้กำหนดให้รัฐภาคีต้องยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น พร้อมทั้งมีหน้าที่ตามกฎหมายในการทำลายคลังแสงทุ่นระเบิดในครอบครองภายในระยะเวลาที่กำหนด และที่สำคัญที่สุดคือภาระหน้าที่ตามมาตราที่ห้าในการสำรวจและกวาดล้างพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดให้เสร็จสิ้นเพื่อคืนพื้นที่ปลอดภัยให้แก่ประชาชน ในบริบทของพื้นที่ชายแดนไทยและกัมพูชาซึ่งเคยเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในอดีต การปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการทำลายอาวุธ แต่คือการแสดงเจตจำนงทางกฎหมายที่ต้องการเยียวยาผลกระทบจากสงครามอย่างเป็นรูปธรรม โดยการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหารและนักทำลายล้างวัตถุระเบิดในการตรวจค้นและกวาดล้างทุ่นระเบิดถือเป็นภารกิจที่มีฐานอำนาจรองรับจากกฎหมายเพื่อสร้างความมั่นคงในมิติใหม่ที่ไม่ใช่การสะสมอาวุธแต่คือการสร้างความปลอดภัยให้แก่พลเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตามแนวชายแดนเพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตและประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างปกติตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล นอกจากนี้อนุสัญญายังเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างประเทศและการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งเป็นมิติทางกฎหมายที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และการสร้างความรับผิดชอบร่วมกันของรัฐภาคีในการกำจัดภัยคุกคามที่ตกค้างจากความขัดแย้งในอดีตให้หมดสิ้นไปจากพื้นที่ทับซ้อนและแนวพรมแดนอย่างถาวร บทสรุปความสำเร็จของอนุสัญญาออตตาวาจึงมิได้วัดเพียงจำนวนทุ่นระเบิดที่ถูกขุดขึ้นมาทำลายลงไปเท่านั้น แต่คือการสร้างบรรทัดฐานทางจริยธรรมที่กลายเป็นกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งได้รับการยอมรับจากรัฐส่วนใหญ่ทั่วโลกในการปฏิเสธการใช้อาวุธที่มีลักษณะโหดร้ายและส่งผลกระทบต่อเนื่องยาวนานเกินกว่าความจำเป็นทางการทหาร การรักษาความร่วมมือระหว่างประเทศในการกวาดล้างทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทยและกัมพูชาโดยกำลังพลทหารที่มีความเชี่ยวชาญคือการตอกย้ำว่ากฎหมายสามารถเปลี่ยนสนามรบในอดีตให้กลายเป็นพื้นที่แห่งการพัฒนาและสันติภาพได้ และเป็นการยืนยันว่าสิทธิในชีวิตและความปลอดภัยของมนุษย์ย่อมอยู่เหนือยุทธศาสตร์ทางการทหารใดๆ ทั้งสิ้น การก้าวไปสู่โลกที่ไร้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจึงเป็นพันธกิจทางกฎหมายและมนุษยธรรมที่สำคัญยิ่งซึ่งมวลมนุษยชาติจะต้องร่วมกันรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของอนุสัญญาฉบับนี้ไว้เพื่อส่งต่อพื้นดินที่ปลอดภัยให้แก่คนรุ่นหลังสืบไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป็นอีกครั้งที่อเมริกา พยายามเข้ามาแทรกแซงยุติการสู้รบรอบ 2 ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตามคราวนี้ วอชิงตัน ได้ส่งเสียงเพิ่มเติมเข้ามา เรียกร้องให้ทั้ง 2 ประเทศ ถอนอาวุธหนักและหยุดวางทุ่นระเบิด ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของไทยมาช้านาน ตั้งแต่ก่อนการปะทะรอบ 2 และปฏิบัติตามปฏิญญาสันติภาพกัวลาลัมเปอร์เต็มรูปแบบ
    .
    "เรายินดีที่พวกผู้นำอาเซียน กำลังมารวมตัวกันในสัปดาห์นี้ เพื่อสนับสนุนกัมพูชาและไทย ยึดถือพันธสัญญาของพวกเขาอย่างเต็มที่ เพื่อยุติความขัดแย้ง" ทอมมี พิกกอตต์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯกล่าว
    .
    เสียงเรียกร้องครั้งใหม่นี้ มีขึ้นก่อนหน้าการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งจะมีขึ้นในวันจันทร์(22ธ.ค.) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
    .
    นายสีหศักดิ์​พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เน้นย้ำก่อนออกเดินทางไปยังกัวลาลัมเปอร์ ว่าการประชุมของอาเซียนในครั้งนี้ จะเป็นเวทีที่ประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงประเทศอื่น ๆ ไม่สามารถใช้ในการกดดันไทยได้ เนื่องจากไทยมีจุดยืน ท่าที และแนวปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนหลักการสากล ความชอบธรรม ข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ โดยไทยมิได้เป็นผู้ริเริ่มการปะทะในครั้งนี้ และเงื่อนไขของไทยในการยุติความขัดแย้งมีความชัดเจนมาโดยตลอด
    .
    กระทรวงการต่างประเทศของไทยเน้นย้ำจุดยืน 2 ข้อ ก็คือ 1 กัมพูชาต้องเป็นฝ่ายประกาศหยุดยิงก่อน 2.การหยุดยิงจะต้องเกิดขึ้นจริง อย่างต่อเนื่องและมีการสังเกตการณ์ และ3.ฝ่ายกัมพูชาต้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดกับฝ่ายไทยอย่างจริงจัง
    .
    เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุรัฐบาลอเมริกา คาดหวังว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้งภายในต้นสัปดาห์หน้า เพื่อยุติการสู้รบระลอกล่าสุดระหว่างไทยและกัมพูชา
    .
    ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้อ้างความสำเร็จในการผลักดันให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิงก่อนหน้านี้ และจัดให้ข้อพิพาทไทย-กัมพูชาอยู่ในรายชื่อสงครามที่เขาอ้างว่า "ได้รับการแก้ไขแล้ว"
    .
    "ทั้งสองฝ่ายได้ให้คำมั่นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรและลงนามแล้ว" รูบิโอ กล่าว "ปัจจุบันคำมั่นสัญญาเหล่านั้นไม่ได้รับการปฏิบัติตาม เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกันและกัน ดังนั้น ภารกิจในตอนนี้คือการนำพวกเขากลับมาเจรจากันอีกครั้ง"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000123011

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    เป็นอีกครั้งที่อเมริกา พยายามเข้ามาแทรกแซงยุติการสู้รบรอบ 2 ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตามคราวนี้ วอชิงตัน ได้ส่งเสียงเพิ่มเติมเข้ามา เรียกร้องให้ทั้ง 2 ประเทศ ถอนอาวุธหนักและหยุดวางทุ่นระเบิด ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของไทยมาช้านาน ตั้งแต่ก่อนการปะทะรอบ 2 และปฏิบัติตามปฏิญญาสันติภาพกัวลาลัมเปอร์เต็มรูปแบบ . "เรายินดีที่พวกผู้นำอาเซียน กำลังมารวมตัวกันในสัปดาห์นี้ เพื่อสนับสนุนกัมพูชาและไทย ยึดถือพันธสัญญาของพวกเขาอย่างเต็มที่ เพื่อยุติความขัดแย้ง" ทอมมี พิกกอตต์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯกล่าว . เสียงเรียกร้องครั้งใหม่นี้ มีขึ้นก่อนหน้าการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งจะมีขึ้นในวันจันทร์(22ธ.ค.) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย . นายสีหศักดิ์​พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เน้นย้ำก่อนออกเดินทางไปยังกัวลาลัมเปอร์ ว่าการประชุมของอาเซียนในครั้งนี้ จะเป็นเวทีที่ประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงประเทศอื่น ๆ ไม่สามารถใช้ในการกดดันไทยได้ เนื่องจากไทยมีจุดยืน ท่าที และแนวปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนหลักการสากล ความชอบธรรม ข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ โดยไทยมิได้เป็นผู้ริเริ่มการปะทะในครั้งนี้ และเงื่อนไขของไทยในการยุติความขัดแย้งมีความชัดเจนมาโดยตลอด . กระทรวงการต่างประเทศของไทยเน้นย้ำจุดยืน 2 ข้อ ก็คือ 1 กัมพูชาต้องเป็นฝ่ายประกาศหยุดยิงก่อน 2.การหยุดยิงจะต้องเกิดขึ้นจริง อย่างต่อเนื่องและมีการสังเกตการณ์ และ3.ฝ่ายกัมพูชาต้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดกับฝ่ายไทยอย่างจริงจัง . เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุรัฐบาลอเมริกา คาดหวังว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้งภายในต้นสัปดาห์หน้า เพื่อยุติการสู้รบระลอกล่าสุดระหว่างไทยและกัมพูชา . ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้อ้างความสำเร็จในการผลักดันให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิงก่อนหน้านี้ และจัดให้ข้อพิพาทไทย-กัมพูชาอยู่ในรายชื่อสงครามที่เขาอ้างว่า "ได้รับการแก้ไขแล้ว" . "ทั้งสองฝ่ายได้ให้คำมั่นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรและลงนามแล้ว" รูบิโอ กล่าว "ปัจจุบันคำมั่นสัญญาเหล่านั้นไม่ได้รับการปฏิบัติตาม เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกันและกัน ดังนั้น ภารกิจในตอนนี้คือการนำพวกเขากลับมาเจรจากันอีกครั้ง" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000123011 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวบ้านชุมชนต้นม่วง ต.ปงป่าหวาย อ.เด่นชัย จ.แพร่ ผวาหนัก หลังพบผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจเพิ่มต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ หลายรายมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก เวียนศีรษะ บางรายมีเลือดปนเสมหะ และถูกแพทย์แนะนำให้ย้ายออกจากพื้นที่
    .
    ชาวบ้านระบุว่า ปัญหาเกิดขึ้นหลังมีโรงงานแปรรูปไม้ผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลตั้งอยู่ใกล้ชุมชน ล่าสุดพบผู้ป่วยมีใบรับรองแพทย์แล้วกว่า 20 ราย หลายครอบครัวจำใจอพยพออกจากบ้าน ไปอาศัยอยู่ในที่ดินญาติ ขณะที่ผู้สูงอายุและผู้พิการจำนวนหนึ่งยังต้องทนอยู่กับอาการป่วยภายในหมู่บ้าน
    .
    แกนนำชาวบ้านเรียกร้องให้สาธารณสุขจังหวัดแพร่ เร่งเข้าตรวจสอบและสอบสวนสาเหตุของการเจ็บป่วย หวั่นสถานการณ์ลุกลามรุนแรง หากปล่อยไว้โดยไม่มีมาตรการแก้ไข อาจเกิดการสูญเสียในอนาคต
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122863
    .
    #News1live #News1 #เด่นชัย #แพร่ #โรงงานชีวมวล #ผลกระทบชุมชน #สิ่งแวดล้อม #สุขภาพประชาชน
    ชาวบ้านชุมชนต้นม่วง ต.ปงป่าหวาย อ.เด่นชัย จ.แพร่ ผวาหนัก หลังพบผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจเพิ่มต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ หลายรายมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก เวียนศีรษะ บางรายมีเลือดปนเสมหะ และถูกแพทย์แนะนำให้ย้ายออกจากพื้นที่ . ชาวบ้านระบุว่า ปัญหาเกิดขึ้นหลังมีโรงงานแปรรูปไม้ผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลตั้งอยู่ใกล้ชุมชน ล่าสุดพบผู้ป่วยมีใบรับรองแพทย์แล้วกว่า 20 ราย หลายครอบครัวจำใจอพยพออกจากบ้าน ไปอาศัยอยู่ในที่ดินญาติ ขณะที่ผู้สูงอายุและผู้พิการจำนวนหนึ่งยังต้องทนอยู่กับอาการป่วยภายในหมู่บ้าน . แกนนำชาวบ้านเรียกร้องให้สาธารณสุขจังหวัดแพร่ เร่งเข้าตรวจสอบและสอบสวนสาเหตุของการเจ็บป่วย หวั่นสถานการณ์ลุกลามรุนแรง หากปล่อยไว้โดยไม่มีมาตรการแก้ไข อาจเกิดการสูญเสียในอนาคต . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122863 . #News1live #News1 #เด่นชัย #แพร่ #โรงงานชีวมวล #ผลกระทบชุมชน #สิ่งแวดล้อม #สุขภาพประชาชน
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤตหน่วยความจำโลกดันราคา PC ปี 2026 พุ่งสูงสุด 8% — ผู้ผลิตบางรายถึงขั้นขายเครื่อง “ไม่มี RAM”

    รายงานล่าสุดจาก IDC ชี้ว่าอุตสาหกรรมพีซีกำลังเข้าสู่ช่วง “พายุราคา” ครั้งใหญ่ในปี 2026 เนื่องจากวิกฤตหน่วยความจำ NAND และ DRAM ที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตหลายรายเริ่มปรับราคาพีซีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2025 และมีแนวโน้มว่าราคาจะพุ่งสูงสุดถึง 8% ในปีหน้า ซึ่งเป็นผลจากการขาดแคลนชิปหน่วยความจำที่ถูกดูดไปใช้ในศูนย์ข้อมูล AI อย่างมหาศาล

    บริษัทใหญ่ทั้ง Dell และ Lenovo ต่างประกาศขึ้นราคาพีซีสูงสุดถึง 15% ขณะที่ผู้ผลิตบางรายเริ่มใช้วิธีสุดขั้ว เช่น การขายพีซีแบบ “ไม่มี RAM” เพื่อให้ลูกค้าหาซื้อแรมเอง เนื่องจากต้นทุนสูงจนไม่สามารถใส่มาในเครื่องได้โดยไม่ขาดทุน นอกจากนี้ Framework ยังหยุดขาย RAM แบบแยกชิ้นเพื่อป้องกันการกว้านซื้อไปปั่นราคา ซึ่งสะท้อนถึงความตึงตัวของตลาดหน่วยความจำในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    สาเหตุหลักของวิกฤตนี้มาจากการที่ผู้ผลิตชิปเลือกทุ่มกำลังผลิตไปที่ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI รุ่นใหม่ ทำให้ DRAM และ NAND สำหรับผู้บริโภคถูกลดลำดับความสำคัญลงอย่างหนัก แม้ผู้ผลิตจะสามารถสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มกำลังผลิตได้ แต่ต้องใช้เงินลงทุนระดับหลายพันล้านดอลลาร์และใช้เวลาหลายปี ซึ่งไม่สอดคล้องกับความไม่แน่นอนของตลาด AI ที่อาจเกิดฟองสบู่ได้ทุกเมื่อ

    IDC เตือนว่าผู้บริโภคควรเตรียมรับมือกับราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ RAM และ SSD ที่อาจขึ้นราคาอีกตลอดปี 2026 ผู้เชี่ยวชาญบางรายแนะนำว่าหากจำเป็นต้องอัปเกรด ควรทำเร็วกว่าเดิม แต่ถ้าระบบยังใช้งานได้ดี อาจรอให้ตลาดกลับมาสมดุล ซึ่งอาจใช้เวลาตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 10 ปี ขึ้นอยู่กับว่าความต้องการด้าน AI จะชะลอตัวลงเมื่อใด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    IDC คาดราคา PC ปี 2026 เพิ่มขึ้น 4–8%
    เกิดจากวิกฤต DRAM และ NAND ทั่วโลก
    ตลาดพีซีอาจหดตัวสูงสุดถึง 8.9%

    ผู้ผลิตเริ่มขึ้นราคาหนัก
    Dell และ Lenovo ปรับขึ้นสูงสุด 15%
    บางรายขายพีซี “ไม่มี RAM” ให้ลูกค้าหามาใส่เอง

    HBM แย่งกำลังผลิตจาก DRAM/NAND
    ผู้ผลิตทุ่มกำลังผลิตให้ชิป AI เพราะกำไรสูงกว่า
    โรงงานใหม่ใช้เงินมหาศาลและใช้เวลาหลายปี

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนผู้บริโภค
    ถ้าจำเป็นต้องอัปเกรด ควรทำเร็ว
    ถ้าระบบยังดี อาจรอจนตลาดนิ่ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/idc-expects-average-pc-prices-to-jump-by-up-to-8-percent-in-2026-due-to-crushing-memory-shortages-some-vendors-already-selling-pre-builts-without-ram
    💥 วิกฤตหน่วยความจำโลกดันราคา PC ปี 2026 พุ่งสูงสุด 8% — ผู้ผลิตบางรายถึงขั้นขายเครื่อง “ไม่มี RAM” รายงานล่าสุดจาก IDC ชี้ว่าอุตสาหกรรมพีซีกำลังเข้าสู่ช่วง “พายุราคา” ครั้งใหญ่ในปี 2026 เนื่องจากวิกฤตหน่วยความจำ NAND และ DRAM ที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตหลายรายเริ่มปรับราคาพีซีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2025 และมีแนวโน้มว่าราคาจะพุ่งสูงสุดถึง 8% ในปีหน้า ซึ่งเป็นผลจากการขาดแคลนชิปหน่วยความจำที่ถูกดูดไปใช้ในศูนย์ข้อมูล AI อย่างมหาศาล บริษัทใหญ่ทั้ง Dell และ Lenovo ต่างประกาศขึ้นราคาพีซีสูงสุดถึง 15% ขณะที่ผู้ผลิตบางรายเริ่มใช้วิธีสุดขั้ว เช่น การขายพีซีแบบ “ไม่มี RAM” เพื่อให้ลูกค้าหาซื้อแรมเอง เนื่องจากต้นทุนสูงจนไม่สามารถใส่มาในเครื่องได้โดยไม่ขาดทุน นอกจากนี้ Framework ยังหยุดขาย RAM แบบแยกชิ้นเพื่อป้องกันการกว้านซื้อไปปั่นราคา ซึ่งสะท้อนถึงความตึงตัวของตลาดหน่วยความจำในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สาเหตุหลักของวิกฤตนี้มาจากการที่ผู้ผลิตชิปเลือกทุ่มกำลังผลิตไปที่ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI รุ่นใหม่ ทำให้ DRAM และ NAND สำหรับผู้บริโภคถูกลดลำดับความสำคัญลงอย่างหนัก แม้ผู้ผลิตจะสามารถสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มกำลังผลิตได้ แต่ต้องใช้เงินลงทุนระดับหลายพันล้านดอลลาร์และใช้เวลาหลายปี ซึ่งไม่สอดคล้องกับความไม่แน่นอนของตลาด AI ที่อาจเกิดฟองสบู่ได้ทุกเมื่อ IDC เตือนว่าผู้บริโภคควรเตรียมรับมือกับราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ RAM และ SSD ที่อาจขึ้นราคาอีกตลอดปี 2026 ผู้เชี่ยวชาญบางรายแนะนำว่าหากจำเป็นต้องอัปเกรด ควรทำเร็วกว่าเดิม แต่ถ้าระบบยังใช้งานได้ดี อาจรอให้ตลาดกลับมาสมดุล ซึ่งอาจใช้เวลาตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 10 ปี ขึ้นอยู่กับว่าความต้องการด้าน AI จะชะลอตัวลงเมื่อใด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ IDC คาดราคา PC ปี 2026 เพิ่มขึ้น 4–8% ➡️ เกิดจากวิกฤต DRAM และ NAND ทั่วโลก ➡️ ตลาดพีซีอาจหดตัวสูงสุดถึง 8.9% ✅ ผู้ผลิตเริ่มขึ้นราคาหนัก ➡️ Dell และ Lenovo ปรับขึ้นสูงสุด 15% ➡️ บางรายขายพีซี “ไม่มี RAM” ให้ลูกค้าหามาใส่เอง ✅ HBM แย่งกำลังผลิตจาก DRAM/NAND ➡️ ผู้ผลิตทุ่มกำลังผลิตให้ชิป AI เพราะกำไรสูงกว่า ➡️ โรงงานใหม่ใช้เงินมหาศาลและใช้เวลาหลายปี ✅ ผู้เชี่ยวชาญเตือนผู้บริโภค ➡️ ถ้าจำเป็นต้องอัปเกรด ควรทำเร็ว ➡️ ถ้าระบบยังดี อาจรอจนตลาดนิ่ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/idc-expects-average-pc-prices-to-jump-by-up-to-8-percent-in-2026-due-to-crushing-memory-shortages-some-vendors-already-selling-pre-builts-without-ram
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tencent ใช้ “ช่องโหว่การเช่าเซิร์ฟเวอร์” เพื่อเข้าถึงชิป NVIDIA Blackwell B200 แม้ถูกสหรัฐแบน

    รายงานจาก Wccftech ระบุว่า Tencent สามารถเข้าถึงชิป NVIDIA Blackwell B200 ซึ่งเป็นหนึ่งในชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดของ NVIDIA แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ โดยอาศัย “ช่องโหว่การเช่า (rental loophole)” ผ่านผู้ให้บริการคลาวด์นอกจีนที่ยังสามารถซื้อและให้เช่าเซิร์ฟเวอร์ที่มีชิปต้องห้ามได้

    แม้สหรัฐจะห้ามไม่ให้ NVIDIA ส่งออกชิประดับสูง เช่น H100, H200, B100 และ B200 ไปยังจีนโดยตรง แต่กฎไม่ได้ห้ามบริษัทจีนจากการ เช่า เซิร์ฟเวอร์ที่มีชิปเหล่านี้จากผู้ให้บริการในต่างประเทศ นี่คือช่องว่างที่ Tencent ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่

    รายงานชี้ว่า Tencent ได้เข้าถึง B200 ผ่านผู้ให้บริการคลาวด์ในสิงคโปร์และยุโรป ซึ่งยังสามารถซื้อชิป Blackwell ได้ตามปกติ และให้บริการเช่า GPU cluster แบบ remote access ทำให้ Tencent สามารถฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องนำฮาร์ดแวร์เข้าประเทศจีนโดยตรง

    นี่เป็นตัวอย่างล่าสุดของ “AI export control cat‑and‑mouse game” ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เมื่อบริษัทจีนใช้วิธีเช่า GPU cluster ในต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ ขณะที่สหรัฐพยายามปิดช่องโหว่เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สิ่งที่เกิดขึ้น
    Tencent เข้าถึงชิป NVIDIA Blackwell B200 ผ่านการเช่าเซิร์ฟเวอร์ในต่างประเทศ
    แม้สหรัฐแบนการส่งออก แต่กฎไม่ได้ห้ามการ “เช่า” GPU cluster
    ผู้ให้บริการคลาวด์ในสิงคโปร์และยุโรปยังสามารถซื้อและให้เช่า B200 ได้

    ทำไมช่องโหว่นี้ถึงเกิดขึ้น
    Export control ของสหรัฐเน้น “การส่งออกฮาร์ดแวร์” ไม่ใช่ “การเข้าถึงระยะไกล”
    บริษัทจีนสามารถใช้บริการคลาวด์นอกประเทศได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
    NVIDIA ไม่สามารถควบคุมการใช้งานชิปหลังจากขายให้ผู้ให้บริการคลาวด์แล้ว

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    บริษัทจีนยังสามารถฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้แม้ถูกแบน
    ผู้ให้บริการคลาวด์นอกจีนได้ประโยชน์จากดีมานด์ GPU ที่สูงขึ้น
    สหรัฐอาจต้องออกกฎใหม่เพื่อปิดช่องโหว่นี้

    บริบทเชิงภูมิรัฐศาสตร์
    การแข่งขัน AI ระหว่างสหรัฐ–จีนกำลังย้ายจาก “ฮาร์ดแวร์” ไปสู่ “การควบคุมการเข้าถึง”
    ช่องโหว่การเช่าอาจกลายเป็นประเด็นถกเถียงระดับนโยบายในปี 2026
    NVIDIA อยู่ในตำแหน่งลำบาก เพราะต้องขายชิปให้ได้ แต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎสหรัฐ

    https://wccftech.com/china-tencent-gains-access-to-nvidia-blackwell-ai-chips-by-leveraging-the-rental-loophole/
    🧩 Tencent ใช้ “ช่องโหว่การเช่าเซิร์ฟเวอร์” เพื่อเข้าถึงชิป NVIDIA Blackwell B200 แม้ถูกสหรัฐแบน รายงานจาก Wccftech ระบุว่า Tencent สามารถเข้าถึงชิป NVIDIA Blackwell B200 ซึ่งเป็นหนึ่งในชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดของ NVIDIA แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ โดยอาศัย “ช่องโหว่การเช่า (rental loophole)” ผ่านผู้ให้บริการคลาวด์นอกจีนที่ยังสามารถซื้อและให้เช่าเซิร์ฟเวอร์ที่มีชิปต้องห้ามได้ แม้สหรัฐจะห้ามไม่ให้ NVIDIA ส่งออกชิประดับสูง เช่น H100, H200, B100 และ B200 ไปยังจีนโดยตรง แต่กฎไม่ได้ห้ามบริษัทจีนจากการ เช่า เซิร์ฟเวอร์ที่มีชิปเหล่านี้จากผู้ให้บริการในต่างประเทศ นี่คือช่องว่างที่ Tencent ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ รายงานชี้ว่า Tencent ได้เข้าถึง B200 ผ่านผู้ให้บริการคลาวด์ในสิงคโปร์และยุโรป ซึ่งยังสามารถซื้อชิป Blackwell ได้ตามปกติ และให้บริการเช่า GPU cluster แบบ remote access ทำให้ Tencent สามารถฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องนำฮาร์ดแวร์เข้าประเทศจีนโดยตรง นี่เป็นตัวอย่างล่าสุดของ “AI export control cat‑and‑mouse game” ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เมื่อบริษัทจีนใช้วิธีเช่า GPU cluster ในต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ ขณะที่สหรัฐพยายามปิดช่องโหว่เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สิ่งที่เกิดขึ้น ➡️ Tencent เข้าถึงชิป NVIDIA Blackwell B200 ผ่านการเช่าเซิร์ฟเวอร์ในต่างประเทศ ➡️ แม้สหรัฐแบนการส่งออก แต่กฎไม่ได้ห้ามการ “เช่า” GPU cluster ➡️ ผู้ให้บริการคลาวด์ในสิงคโปร์และยุโรปยังสามารถซื้อและให้เช่า B200 ได้ ✅ ทำไมช่องโหว่นี้ถึงเกิดขึ้น ➡️ Export control ของสหรัฐเน้น “การส่งออกฮาร์ดแวร์” ไม่ใช่ “การเข้าถึงระยะไกล” ➡️ บริษัทจีนสามารถใช้บริการคลาวด์นอกประเทศได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ➡️ NVIDIA ไม่สามารถควบคุมการใช้งานชิปหลังจากขายให้ผู้ให้บริการคลาวด์แล้ว ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ บริษัทจีนยังสามารถฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้แม้ถูกแบน ➡️ ผู้ให้บริการคลาวด์นอกจีนได้ประโยชน์จากดีมานด์ GPU ที่สูงขึ้น ➡️ สหรัฐอาจต้องออกกฎใหม่เพื่อปิดช่องโหว่นี้ ✅ บริบทเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ➡️ การแข่งขัน AI ระหว่างสหรัฐ–จีนกำลังย้ายจาก “ฮาร์ดแวร์” ไปสู่ “การควบคุมการเข้าถึง” ➡️ ช่องโหว่การเช่าอาจกลายเป็นประเด็นถกเถียงระดับนโยบายในปี 2026 ➡️ NVIDIA อยู่ในตำแหน่งลำบาก เพราะต้องขายชิปให้ได้ แต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎสหรัฐ https://wccftech.com/china-tencent-gains-access-to-nvidia-blackwell-ai-chips-by-leveraging-the-rental-loophole/
    WCCFTECH.COM
    China's Tencent Gains Access to the "Banned" NVIDIA's Blackwell B200 AI Chips by Leveraging the Rental Loophole in U.S. Export Controls
    While Blackwell is banned from being exported to China, domestic AI giants have found their workarounds to access NVIDIA's latest technology.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • Garage: วัตถุดิบใหม่ของ Distributed Object Storage ที่ออกแบบมาให้ “รอด” แม้ไม่มีดาต้าเซ็นเตอร์

    Garage คือ object storage แบบ S3‑compatible ที่ถูกออกแบบด้วยแนวคิดตรงข้ามกับคลาวด์ยักษ์ใหญ่—แทนที่จะต้องการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับ hyperscale มันถูกสร้างมาเพื่อ ทำงานได้แม้บนเครื่องมือเก่า เครือข่ายไม่เสถียร และโครงสร้างพื้นฐานที่กระจัดกระจาย จุดเด่นคือความสามารถในการ replicate ข้อมูลแบบ 3‑zone redundancy โดยไม่ต้องมี backbone เฉพาะทาง ทำให้เหมาะกับองค์กรขนาดเล็ก, ชุมชน, edge cluster, หรือแม้แต่ผู้ใช้ที่ต้องการ self‑host storage ที่ทนทานจริงๆ

    หัวใจของ Garage คือการออกแบบให้ lightweight, self‑contained และ operator‑friendly ทีมพัฒนาเป็น sysadmin มาก่อน จึงให้ความสำคัญกับการ deploy ง่าย, debug ง่าย และไม่ต้องพึ่ง dependency ภายนอก ตัวซอฟต์แวร์เป็น binary เดียวที่รันได้บน Linux ทุกดิสโทร และรองรับทั้ง x86_64, ARMv7 และ ARMv8 ทำให้สามารถสร้างคลัสเตอร์จากเครื่องมือมือสองหรือฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่แล้วได้ทันที

    ในเชิงสถาปัตยกรรม Garage ยืนอยู่บนไหล่ของงานวิจัยระดับโลก เช่น Dynamo, CRDT และ Maglev load balancing ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถทนต่อ network partition, latency สูง, และ disk failure ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือการนำแนวคิดของ distributed system ระดับ hyperscale มาปรับให้ใช้งานได้ในระดับ “ทุกคนเข้าถึงได้” โดยไม่ต้องมีงบประมาณระดับองค์กรใหญ่

    Garage ยังได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการยุโรปหลายรอบ เช่น NGI POINTER, NLnet และ NGI0 ซึ่งสะท้อนว่า ecosystem ด้าน open infrastructure กำลังเติบโต และมีความต้องการระบบเก็บข้อมูลที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ผูกขาดกับผู้ให้บริการรายใหญ่ หาก Garage เติบโตต่อเนื่อง มันอาจกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของ decentralized cloud ในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    จุดเด่นของ Garage
    ออกแบบให้ทำงานได้แม้ไม่มีดาต้าเซ็นเตอร์หรือ backbone เฉพาะทาง
    binary เดียว ไม่มี dependency ติดตั้งง่ายบน Linux ทุกดิสโทร
    รองรับฮาร์ดแวร์หลากหลาย รวมถึงเครื่องมือมือสอง

    ความสามารถด้านความทนทาน
    replicate ข้อมูล 3 โซนเพื่อความทนทานสูง
    ทนต่อ network failure, latency, disk failure และ human error
    ใช้แนวคิดจาก Dynamo, CRDT และ Maglev load balancing

    ความต้องการระบบที่ต่ำ
    CPU x86_64 หรือ ARM รุ่นเก่าได้
    RAM เพียง 1 GB
    network latency ≤ 200 ms และ bandwidth ≥ 50 Mbps

    ความเข้ากันได้และการใช้งาน
    รองรับ Amazon S3 API ใช้กับแอปที่รองรับ S3 ได้ทันที
    เหมาะกับ hosting, media storage, backup และ edge cluster

    การสนับสนุนจากโครงการยุโรป
    ได้ทุนจาก NGI POINTER, NLnet, NGI0 Entrust และ NGI0 Commons หลายรอบ
    สะท้อนความสำคัญของ open infrastructure ต่อ ecosystem ยุโรป

    ประเด็นที่ต้องระวัง
    ต้องออกแบบ topology ให้ดีเพื่อให้ redundancy ทำงานเต็มประสิทธิภาพ
    ไม่เหมาะกับ workload ที่ต้องการ throughput ระดับ hyperscale
    ผู้ใช้ต้องมีความเข้าใจพื้นฐานด้าน distributed storage

    https://garagehq.deuxfleurs.fr/
    🏗️ Garage: วัตถุดิบใหม่ของ Distributed Object Storage ที่ออกแบบมาให้ “รอด” แม้ไม่มีดาต้าเซ็นเตอร์ Garage คือ object storage แบบ S3‑compatible ที่ถูกออกแบบด้วยแนวคิดตรงข้ามกับคลาวด์ยักษ์ใหญ่—แทนที่จะต้องการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับ hyperscale มันถูกสร้างมาเพื่อ ทำงานได้แม้บนเครื่องมือเก่า เครือข่ายไม่เสถียร และโครงสร้างพื้นฐานที่กระจัดกระจาย จุดเด่นคือความสามารถในการ replicate ข้อมูลแบบ 3‑zone redundancy โดยไม่ต้องมี backbone เฉพาะทาง ทำให้เหมาะกับองค์กรขนาดเล็ก, ชุมชน, edge cluster, หรือแม้แต่ผู้ใช้ที่ต้องการ self‑host storage ที่ทนทานจริงๆ หัวใจของ Garage คือการออกแบบให้ lightweight, self‑contained และ operator‑friendly ทีมพัฒนาเป็น sysadmin มาก่อน จึงให้ความสำคัญกับการ deploy ง่าย, debug ง่าย และไม่ต้องพึ่ง dependency ภายนอก ตัวซอฟต์แวร์เป็น binary เดียวที่รันได้บน Linux ทุกดิสโทร และรองรับทั้ง x86_64, ARMv7 และ ARMv8 ทำให้สามารถสร้างคลัสเตอร์จากเครื่องมือมือสองหรือฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่แล้วได้ทันที ในเชิงสถาปัตยกรรม Garage ยืนอยู่บนไหล่ของงานวิจัยระดับโลก เช่น Dynamo, CRDT และ Maglev load balancing ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถทนต่อ network partition, latency สูง, และ disk failure ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือการนำแนวคิดของ distributed system ระดับ hyperscale มาปรับให้ใช้งานได้ในระดับ “ทุกคนเข้าถึงได้” โดยไม่ต้องมีงบประมาณระดับองค์กรใหญ่ Garage ยังได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการยุโรปหลายรอบ เช่น NGI POINTER, NLnet และ NGI0 ซึ่งสะท้อนว่า ecosystem ด้าน open infrastructure กำลังเติบโต และมีความต้องการระบบเก็บข้อมูลที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ผูกขาดกับผู้ให้บริการรายใหญ่ หาก Garage เติบโตต่อเนื่อง มันอาจกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของ decentralized cloud ในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ จุดเด่นของ Garage ➡️ ออกแบบให้ทำงานได้แม้ไม่มีดาต้าเซ็นเตอร์หรือ backbone เฉพาะทาง ➡️ binary เดียว ไม่มี dependency ติดตั้งง่ายบน Linux ทุกดิสโทร ➡️ รองรับฮาร์ดแวร์หลากหลาย รวมถึงเครื่องมือมือสอง ✅ ความสามารถด้านความทนทาน ➡️ replicate ข้อมูล 3 โซนเพื่อความทนทานสูง ➡️ ทนต่อ network failure, latency, disk failure และ human error ➡️ ใช้แนวคิดจาก Dynamo, CRDT และ Maglev load balancing ✅ ความต้องการระบบที่ต่ำ ➡️ CPU x86_64 หรือ ARM รุ่นเก่าได้ ➡️ RAM เพียง 1 GB ➡️ network latency ≤ 200 ms และ bandwidth ≥ 50 Mbps ✅ ความเข้ากันได้และการใช้งาน ➡️ รองรับ Amazon S3 API ใช้กับแอปที่รองรับ S3 ได้ทันที ➡️ เหมาะกับ hosting, media storage, backup และ edge cluster ✅ การสนับสนุนจากโครงการยุโรป ➡️ ได้ทุนจาก NGI POINTER, NLnet, NGI0 Entrust และ NGI0 Commons หลายรอบ ➡️ สะท้อนความสำคัญของ open infrastructure ต่อ ecosystem ยุโรป ‼️ ประเด็นที่ต้องระวัง ⛔ ต้องออกแบบ topology ให้ดีเพื่อให้ redundancy ทำงานเต็มประสิทธิภาพ ⛔ ไม่เหมาะกับ workload ที่ต้องการ throughput ระดับ hyperscale ⛔ ผู้ใช้ต้องมีความเข้าใจพื้นฐานด้าน distributed storage https://garagehq.deuxfleurs.fr/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • Darktable 5.4: อัปเดตใหม่ เพิ่มการรองรับกล้องรุ่นล่าสุดและยกระดับเวิร์กโฟลว์ RAW

    Darktable 5.4 มาพร้อมการอัปเดตสำคัญที่เน้นการรองรับกล้องรุ่นใหม่จาก Canon หลายรุ่น ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ช่างภาพที่ต้องการเวิร์กโฟลว์ RAW ที่เสถียรและแม่นยำมากขึ้นบน Linux การเพิ่มการรองรับกล้องใหม่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำไฟล์ RAW จากกล้องระดับโปรเข้ามาแก้ไขได้ทันทีโดยไม่ต้องรอแพตช์เสริมเหมือนในอดีต ทำให้ Darktable ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ช่างภาพสาย Linux ไว้ใจมากที่สุด

    แม้เนื้อหาในหน้าเว็บจะเน้นไปที่การรองรับกล้องใหม่ แต่ในภาพรวม Darktable 5.4 ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของซอฟต์แวร์แต่งภาพโอเพ่นซอร์สที่พยายามไล่ตามความเร็วของวงการกล้องที่ออกโมเดลใหม่แทบทุกปี การอัปเดตแบบต่อเนื่องนี้ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และยังทำให้ Darktable เป็นตัวเลือกที่แข็งแรงขึ้นเมื่อเทียบกับ Lightroom หรือ Capture One ในมุมของความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ล่าสุด

    ในมุมของ ecosystem การที่ Darktable รองรับกล้องใหม่ได้เร็วขึ้นเป็นผลจากการร่วมมือของชุมชนผู้พัฒนาและผู้ใช้ที่ช่วยส่งตัวอย่างไฟล์ RAW เพื่อให้ทีมงานปรับปรุงโมดูล demosaic และ color profile ได้แม่นยำขึ้น นี่คือพลังของโอเพ่นซอร์สที่ทำให้ซอฟต์แวร์เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องรอค่ายกล้องปล่อย SDK อย่างเป็นทางการ

    สุดท้าย การอัปเดตครั้งนี้ยังเป็นสัญญาณว่าซอฟต์แวร์แต่งภาพบน Linux กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้ใช้ต้องการเครื่องมือที่ทั้งฟรี ทรงพลัง และรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่อย่างรวดเร็ว ซึ่ง Darktable 5.4 ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามันยังคงเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่ตอบโจทย์สายถ่ายภาพได้ดีที่สุดในโลกโอเพ่นซอร์ส

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ไฮไลต์จาก Darktable 5.4
    เพิ่มการรองรับกล้อง Canon EOS R1, R5 Mark II, PowerShot D10, S100V และ S2 IS
    ปรับปรุงความเข้ากันได้ของไฟล์ RAW สำหรับกล้องรุ่นใหม่
    ยกระดับเวิร์กโฟลว์สำหรับช่างภาพที่ใช้ Linux

    ความสำคัญต่อผู้ใช้
    ผู้ใช้สามารถนำไฟล์ RAW จากกล้องใหม่มาใช้งานได้ทันที
    ลดความจำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์ proprietary บนระบบอื่น
    ทำให้ Darktable เป็นตัวเลือกที่มั่นคงสำหรับงานถ่ายภาพระดับโปร

    บริบทจากโลกโอเพ่นซอร์ส
    การอัปเดตเร็วขึ้นเกิดจากความร่วมมือของชุมชน
    การรองรับกล้องใหม่ช่วยให้ Darktable แข่งขันกับ Lightroom ได้ดีขึ้น
    Ecosystem ของซอฟต์แวร์แต่งภาพบน Linux แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

    สิ่งที่ต้องระวัง
    การรองรับกล้องใหม่อาจยังไม่สมบูรณ์ในบางกรณี ต้องรอการปรับปรุงเพิ่มเติม
    ผู้ใช้บางรายอาจพบความคลาดเคลื่อนของ color profile ในช่วงแรก
    ฟีเจอร์ใหม่อาจยังไม่รองรับปลั๊กอินบางตัว

    https://9to5linux.com/darktable-5-4-open-source-raw-image-editor-improves-camera-support
    📸 Darktable 5.4: อัปเดตใหม่ เพิ่มการรองรับกล้องรุ่นล่าสุดและยกระดับเวิร์กโฟลว์ RAW Darktable 5.4 มาพร้อมการอัปเดตสำคัญที่เน้นการรองรับกล้องรุ่นใหม่จาก Canon หลายรุ่น ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ช่างภาพที่ต้องการเวิร์กโฟลว์ RAW ที่เสถียรและแม่นยำมากขึ้นบน Linux การเพิ่มการรองรับกล้องใหม่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำไฟล์ RAW จากกล้องระดับโปรเข้ามาแก้ไขได้ทันทีโดยไม่ต้องรอแพตช์เสริมเหมือนในอดีต ทำให้ Darktable ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ช่างภาพสาย Linux ไว้ใจมากที่สุด แม้เนื้อหาในหน้าเว็บจะเน้นไปที่การรองรับกล้องใหม่ แต่ในภาพรวม Darktable 5.4 ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของซอฟต์แวร์แต่งภาพโอเพ่นซอร์สที่พยายามไล่ตามความเร็วของวงการกล้องที่ออกโมเดลใหม่แทบทุกปี การอัปเดตแบบต่อเนื่องนี้ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และยังทำให้ Darktable เป็นตัวเลือกที่แข็งแรงขึ้นเมื่อเทียบกับ Lightroom หรือ Capture One ในมุมของความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ล่าสุด ในมุมของ ecosystem การที่ Darktable รองรับกล้องใหม่ได้เร็วขึ้นเป็นผลจากการร่วมมือของชุมชนผู้พัฒนาและผู้ใช้ที่ช่วยส่งตัวอย่างไฟล์ RAW เพื่อให้ทีมงานปรับปรุงโมดูล demosaic และ color profile ได้แม่นยำขึ้น นี่คือพลังของโอเพ่นซอร์สที่ทำให้ซอฟต์แวร์เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องรอค่ายกล้องปล่อย SDK อย่างเป็นทางการ สุดท้าย การอัปเดตครั้งนี้ยังเป็นสัญญาณว่าซอฟต์แวร์แต่งภาพบน Linux กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้ใช้ต้องการเครื่องมือที่ทั้งฟรี ทรงพลัง และรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่อย่างรวดเร็ว ซึ่ง Darktable 5.4 ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามันยังคงเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่ตอบโจทย์สายถ่ายภาพได้ดีที่สุดในโลกโอเพ่นซอร์ส 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ไฮไลต์จาก Darktable 5.4 ➡️ เพิ่มการรองรับกล้อง Canon EOS R1, R5 Mark II, PowerShot D10, S100V และ S2 IS ➡️ ปรับปรุงความเข้ากันได้ของไฟล์ RAW สำหรับกล้องรุ่นใหม่ ➡️ ยกระดับเวิร์กโฟลว์สำหรับช่างภาพที่ใช้ Linux ✅ ความสำคัญต่อผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้สามารถนำไฟล์ RAW จากกล้องใหม่มาใช้งานได้ทันที ➡️ ลดความจำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์ proprietary บนระบบอื่น ➡️ ทำให้ Darktable เป็นตัวเลือกที่มั่นคงสำหรับงานถ่ายภาพระดับโปร ✅ บริบทจากโลกโอเพ่นซอร์ส ➡️ การอัปเดตเร็วขึ้นเกิดจากความร่วมมือของชุมชน ➡️ การรองรับกล้องใหม่ช่วยให้ Darktable แข่งขันกับ Lightroom ได้ดีขึ้น ➡️ Ecosystem ของซอฟต์แวร์แต่งภาพบน Linux แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ‼️ สิ่งที่ต้องระวัง ⛔ การรองรับกล้องใหม่อาจยังไม่สมบูรณ์ในบางกรณี ต้องรอการปรับปรุงเพิ่มเติม ⛔ ผู้ใช้บางรายอาจพบความคลาดเคลื่อนของ color profile ในช่วงแรก ⛔ ฟีเจอร์ใหม่อาจยังไม่รองรับปลั๊กอินบางตัว https://9to5linux.com/darktable-5-4-open-source-raw-image-editor-improves-camera-support
    9TO5LINUX.COM
    Darktable 5.4 Open-Source RAW Image Editor Improves Camera Support - 9to5Linux
    Darktable 5.4 open-source RAW image editor is now available for download with support for new cameras, new noise profiles, and bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • PkgForge: ก้าวใหม่ของแอปพกพาบน Linux ที่ไม่ผูกติดดิสโทร

    PkgForge ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ Linux เจอมานานหลายปี—แอปที่ “รันได้บนบางดิสโทร แต่พังบนอีกดิสโทรหนึ่ง” แม้จะมี Flatpak, Snap และ AppImage อยู่แล้ว แต่แต่ละแบบก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ต้องมี daemon, runtime หรือระบบรองรับเฉพาะทางก่อนจึงจะรันได้ PkgForge จึงเสนอแนวคิดใหม่: ทำให้แอปพกพาได้จริงโดยลดการพึ่งพา dependency ของระบบให้มากที่สุด และจัดการผ่าน ecosystem ที่มีความเป็นระเบียบและตรวจสอบได้มากกว่า

    หัวใจสำคัญของ PkgForge คือ Soar ตัวจัดการแพ็กเกจที่ทำงานคู่กับดิสโทรของผู้ใช้ ไม่ได้มาแทนที่ apt หรือ dnf แต่ทำหน้าที่เป็น “เลเยอร์พกพา” ที่ติดตั้งแอปจาก repository แบบ curated พร้อม build logs และ checksum ที่ตรวจสอบได้ จุดนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากสคริปต์ติดตั้งแบบสุ่มที่ผู้ใช้ Linux มักเจอเมื่อดาวน์โหลดแอปจากเว็บต่างๆ

    นอกจากนี้ PkgForge ยังมีองค์ประกอบเสริม เช่น SoarPkgs, BinCache, และ PkgCache ซึ่งรองรับตั้งแต่ static binaries ไปจนถึง portable desktop apps โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบเดียว เช่น AppImage, AppBundle, FlatImage, RunImage หรือแม้แต่ GameImage สำหรับเกมที่มี asset จำนวนมาก แนวคิดนี้สะท้อนเทรนด์ใหม่ของโอเพ่นซอร์สที่เน้น “ความยืดหยุ่นเหนือรูปแบบ” เพื่อให้ผู้ใช้เลือกสิ่งที่เหมาะกับงานมากที่สุด

    แม้ PkgForge ยังไม่ได้ถูกใช้เป็นช่องทางหลักของแอปใหญ่ๆ แต่ชุมชนเริ่มขยับตัว เช่นโครงการ AnyLinux AppImage ที่ทำให้ AppImage รันได้แม้ไม่มี FUSE หรือ user namespace ซึ่งช่วยลดปัญหาคลาสสิกของ AppImage ลงอย่างมาก หากโครงการเติบโตต่อเนื่อง มันอาจกลายเป็นรากฐานสำคัญของอนาคตแอปพกพาบน Linux ที่แท้จริง—ไม่ใช่แค่ในเชิงเทคนิค แต่ในเชิง ecosystem ด้วย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    แนวคิดหลักของ PkgForge
    มุ่งสร้างแอปพกพาที่รันได้บนทุกดิสโทรโดยลด dependency ให้มากที่สุด
    ไม่ใช่รูปแบบแพ็กเกจใหม่ แต่เป็น ecosystem ที่จัดการ portable apps อย่างเป็นระบบ
    เน้นความโปร่งใส เช่น build logs และ checksum verification

    บทบาทของ Soar
    ทำงานคู่กับ package manager ของดิสโทร ไม่ได้มาแทนที่
    จัดการติดตั้ง อัปเดต ลบ และรันแอปแบบพกพา
    รองรับการย้ายระบบหรือใช้งานบน USB ได้ง่ายขึ้น

    ประเภทแพ็กเกจที่รองรับ
    AppImage, AppBundle, Archive, FlatImage, GameImage, RunImage
    Static binaries สำหรับ CLI tools
    เลือกใช้รูปแบบที่เหมาะกับซอฟต์แวร์แต่ละตัว ไม่บังคับรูปแบบเดียว

    ความเคลื่อนไหวในชุมชน
    AnyLinux AppImage ทำให้ AppImage ใช้งานได้กว้างขึ้น
    มีแอปยอดนิยมหลายตัวเริ่มรองรับผ่าน Soar เช่น OBS Studio, Ghostty, Cromite
    แนวโน้ม portable ecosystem เริ่มชัดเจนขึ้นในโลก Linux

    ข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องระวัง
    ยังไม่ใช่ช่องทางหลักของนักพัฒนาแอปส่วนใหญ่
    ผู้ใช้ต้องเข้าใจว่าบางรูปแบบยังต้องพึ่งฟีเจอร์ของระบบ เช่น FUSE หรือ user namespace
    การจัดการแบบ manual (ถ้าไม่ใช้ Soar) อาจเพิ่มภาระเรื่องอัปเดตและ integration

    https://itsfoss.com/pkgforge/
    🧰 PkgForge: ก้าวใหม่ของแอปพกพาบน Linux ที่ไม่ผูกติดดิสโทร PkgForge ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ Linux เจอมานานหลายปี—แอปที่ “รันได้บนบางดิสโทร แต่พังบนอีกดิสโทรหนึ่ง” แม้จะมี Flatpak, Snap และ AppImage อยู่แล้ว แต่แต่ละแบบก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ต้องมี daemon, runtime หรือระบบรองรับเฉพาะทางก่อนจึงจะรันได้ PkgForge จึงเสนอแนวคิดใหม่: ทำให้แอปพกพาได้จริงโดยลดการพึ่งพา dependency ของระบบให้มากที่สุด และจัดการผ่าน ecosystem ที่มีความเป็นระเบียบและตรวจสอบได้มากกว่า หัวใจสำคัญของ PkgForge คือ Soar ตัวจัดการแพ็กเกจที่ทำงานคู่กับดิสโทรของผู้ใช้ ไม่ได้มาแทนที่ apt หรือ dnf แต่ทำหน้าที่เป็น “เลเยอร์พกพา” ที่ติดตั้งแอปจาก repository แบบ curated พร้อม build logs และ checksum ที่ตรวจสอบได้ จุดนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากสคริปต์ติดตั้งแบบสุ่มที่ผู้ใช้ Linux มักเจอเมื่อดาวน์โหลดแอปจากเว็บต่างๆ นอกจากนี้ PkgForge ยังมีองค์ประกอบเสริม เช่น SoarPkgs, BinCache, และ PkgCache ซึ่งรองรับตั้งแต่ static binaries ไปจนถึง portable desktop apps โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบเดียว เช่น AppImage, AppBundle, FlatImage, RunImage หรือแม้แต่ GameImage สำหรับเกมที่มี asset จำนวนมาก แนวคิดนี้สะท้อนเทรนด์ใหม่ของโอเพ่นซอร์สที่เน้น “ความยืดหยุ่นเหนือรูปแบบ” เพื่อให้ผู้ใช้เลือกสิ่งที่เหมาะกับงานมากที่สุด แม้ PkgForge ยังไม่ได้ถูกใช้เป็นช่องทางหลักของแอปใหญ่ๆ แต่ชุมชนเริ่มขยับตัว เช่นโครงการ AnyLinux AppImage ที่ทำให้ AppImage รันได้แม้ไม่มี FUSE หรือ user namespace ซึ่งช่วยลดปัญหาคลาสสิกของ AppImage ลงอย่างมาก หากโครงการเติบโตต่อเนื่อง มันอาจกลายเป็นรากฐานสำคัญของอนาคตแอปพกพาบน Linux ที่แท้จริง—ไม่ใช่แค่ในเชิงเทคนิค แต่ในเชิง ecosystem ด้วย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ แนวคิดหลักของ PkgForge ➡️ มุ่งสร้างแอปพกพาที่รันได้บนทุกดิสโทรโดยลด dependency ให้มากที่สุด ➡️ ไม่ใช่รูปแบบแพ็กเกจใหม่ แต่เป็น ecosystem ที่จัดการ portable apps อย่างเป็นระบบ ➡️ เน้นความโปร่งใส เช่น build logs และ checksum verification ✅ บทบาทของ Soar ➡️ ทำงานคู่กับ package manager ของดิสโทร ไม่ได้มาแทนที่ ➡️ จัดการติดตั้ง อัปเดต ลบ และรันแอปแบบพกพา ➡️ รองรับการย้ายระบบหรือใช้งานบน USB ได้ง่ายขึ้น ✅ ประเภทแพ็กเกจที่รองรับ ➡️ AppImage, AppBundle, Archive, FlatImage, GameImage, RunImage ➡️ Static binaries สำหรับ CLI tools ➡️ เลือกใช้รูปแบบที่เหมาะกับซอฟต์แวร์แต่ละตัว ไม่บังคับรูปแบบเดียว ✅ ความเคลื่อนไหวในชุมชน ➡️ AnyLinux AppImage ทำให้ AppImage ใช้งานได้กว้างขึ้น ➡️ มีแอปยอดนิยมหลายตัวเริ่มรองรับผ่าน Soar เช่น OBS Studio, Ghostty, Cromite ➡️ แนวโน้ม portable ecosystem เริ่มชัดเจนขึ้นในโลก Linux ‼️ ข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องระวัง ⛔ ยังไม่ใช่ช่องทางหลักของนักพัฒนาแอปส่วนใหญ่ ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าใจว่าบางรูปแบบยังต้องพึ่งฟีเจอร์ของระบบ เช่น FUSE หรือ user namespace ⛔ การจัดการแบบ manual (ถ้าไม่ใช้ Soar) อาจเพิ่มภาระเรื่องอัปเดตและ integration https://itsfoss.com/pkgforge/
    ITSFOSS.COM
    Linux Apps Without Distro Lock-In? Explore This Lesser Known Snap and Flatpak Alternative
    Meet PkgForge: A Distro-Independent Portable Apps 'Foundry' for Linux Users
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • พลโท บุญสิน พาดกลาง ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก และอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้แทน ผบ.ทบ. ลงพื้นที่ตรวจสภาพพื้นที่บริเวณปราสาทตาควาย และเนิน 350 อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ หลังทหารไทยสามารถควบคุมพื้นที่ได้ตามเป้าหมาย
    .
    การลงพื้นที่ครั้งนี้มีขึ้นเพื่อประเมินสภาพพื้นที่จริง หลังถูกใช้เป็นฐานที่มั่นในการสู้รบ พร้อมตรวจสอบความเรียบร้อยด้านความมั่นคง และติดตามผลการปฏิบัติการของกำลังพลในแนวหน้า
    .
    ในโอกาสนี้ พลโท บุญสิน ได้เชิดชูเกียรติและให้กำลังใจทหารกล้าที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง จนสามารถผลักดันฝ่ายตรงข้ามและยึดคืนพื้นที่ได้สำเร็จ พร้อมย้ำว่าความเสียสละของกำลังพลทุกนายจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การปกป้องอธิปไตยของชาติ
    .
    พลโท บุญสิน ยืนยันว่ากองทัพไทยจะดูแลและยืนเคียงข้างกำลังพลทุกคนอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศอย่างต่อเนื่อง
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122735
    .
    #News1live #News1 #กองทัพบก #ปราสาทตาควาย #เนิน350 #อธิปไตยไทย
    พลโท บุญสิน พาดกลาง ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก และอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้แทน ผบ.ทบ. ลงพื้นที่ตรวจสภาพพื้นที่บริเวณปราสาทตาควาย และเนิน 350 อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ หลังทหารไทยสามารถควบคุมพื้นที่ได้ตามเป้าหมาย . การลงพื้นที่ครั้งนี้มีขึ้นเพื่อประเมินสภาพพื้นที่จริง หลังถูกใช้เป็นฐานที่มั่นในการสู้รบ พร้อมตรวจสอบความเรียบร้อยด้านความมั่นคง และติดตามผลการปฏิบัติการของกำลังพลในแนวหน้า . ในโอกาสนี้ พลโท บุญสิน ได้เชิดชูเกียรติและให้กำลังใจทหารกล้าที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง จนสามารถผลักดันฝ่ายตรงข้ามและยึดคืนพื้นที่ได้สำเร็จ พร้อมย้ำว่าความเสียสละของกำลังพลทุกนายจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การปกป้องอธิปไตยของชาติ . พลโท บุญสิน ยืนยันว่ากองทัพไทยจะดูแลและยืนเคียงข้างกำลังพลทุกคนอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศอย่างต่อเนื่อง . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122735 . #News1live #News1 #กองทัพบก #ปราสาทตาควาย #เนิน350 #อธิปไตยไทย
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 430 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกิดเหตุเรือนำนักท่องเที่ยวล่มกลางแม่น้ำโขง บริเวณหน้าถ้ำติ่ง ตรงข้ามบ้านปากอู ใกล้เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว หลังเรือช้าที่ล่องมาจากเมืองปากแบ่ง ชนแก่งหินกลางลำน้ำ ส่งผลให้เรือค่อย ๆ จมลง
    .
    เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม เวลาประมาณ 15.40 น. บนเรือลำดังกล่าวมีนักท่องเที่ยวชาวยุโรปราว 120 คน รวมถึงผู้โดยสารชาวลาว โดยหลังเกิดเหตุมีเรือและชาวบ้านเข้าช่วยเหลือ สามารถอพยพนักท่องเที่ยวขึ้นฝั่งได้เกือบทั้งหมด
    .
    อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าผู้โดยสารชาวลาวเพศหญิง 1 ราย พร้อมบุตรสาวอายุ 3 ปี และ 1 ปี สูญหายไปในกระแสน้ำ เจ้าหน้าที่กู้ภัยและหน่วยประดาน้ำจากกาชาดแขวงหลวงพระบางได้เร่งค้นหาต่อเนื่อง แต่จนถึงช่วงเย็นของวันที่ 19 ธันวาคม ยังไม่พบผู้สูญหายทั้ง 3 คน
    .
    การล่องเรือท่องเที่ยวในแม่น้ำโขงถือเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะเส้นทางจากเมืองปากแบ่งและเมืองห้วยซายมายังหลวงพระบาง
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122601
    .
    #News1live #News1 #หลวงพระบาง #แม่น้ำโขง #เรือล่ม #ข่าวต่างประเทศ #อุบัติเหตุ
    เกิดเหตุเรือนำนักท่องเที่ยวล่มกลางแม่น้ำโขง บริเวณหน้าถ้ำติ่ง ตรงข้ามบ้านปากอู ใกล้เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว หลังเรือช้าที่ล่องมาจากเมืองปากแบ่ง ชนแก่งหินกลางลำน้ำ ส่งผลให้เรือค่อย ๆ จมลง . เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม เวลาประมาณ 15.40 น. บนเรือลำดังกล่าวมีนักท่องเที่ยวชาวยุโรปราว 120 คน รวมถึงผู้โดยสารชาวลาว โดยหลังเกิดเหตุมีเรือและชาวบ้านเข้าช่วยเหลือ สามารถอพยพนักท่องเที่ยวขึ้นฝั่งได้เกือบทั้งหมด . อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าผู้โดยสารชาวลาวเพศหญิง 1 ราย พร้อมบุตรสาวอายุ 3 ปี และ 1 ปี สูญหายไปในกระแสน้ำ เจ้าหน้าที่กู้ภัยและหน่วยประดาน้ำจากกาชาดแขวงหลวงพระบางได้เร่งค้นหาต่อเนื่อง แต่จนถึงช่วงเย็นของวันที่ 19 ธันวาคม ยังไม่พบผู้สูญหายทั้ง 3 คน . การล่องเรือท่องเที่ยวในแม่น้ำโขงถือเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะเส้นทางจากเมืองปากแบ่งและเมืองห้วยซายมายังหลวงพระบาง . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122601 . #News1live #News1 #หลวงพระบาง #แม่น้ำโขง #เรือล่ม #ข่าวต่างประเทศ #อุบัติเหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพไทยส่งสัญญาณไปยังชนชั้นนำของกัมพูชา ยืนยันจะเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารอย่างต่อเนื่อง และจะไม่ยุติการโจมตีจนกว่าฝ่ายกัมพูชาจะยอมรับเงื่อนไขทั้ง 3 ประการที่รัฐบาลไทยเสนอ เพื่อเปิดทางสู่การหยุดยิงและการเจรจาสันติภาพ
    .
    พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ แถลงที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย–กัมพูชา ระบุว่า การปฏิบัติการทางทหารของไทยตั้งแต่เริ่มต้น มุ่งเป้าเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น โดยกรณีที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นการโจมตีพื้นที่พลเรือนหรือสถานศึกษา เป็นข้อมูลบิดเบือนที่ไม่เป็นความจริง
    .
    โฆษกกองทัพอากาศยืนยันว่า เป้าหมายบางแห่ง เช่น กาสิโนร้าง ถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการทางทหารของฝ่ายกัมพูชา จึงจำเป็นต้องเข้าทำลายซ้ำ ขณะเดียวกันยังได้โจมตีสะพานโอจิก จังหวัดอุดรมีชัย ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพลและยุทโธปกรณ์ไปยังพื้นที่ปราสาทตาควายและเนิน 350 เพื่อริดรอนขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายตรงข้าม
    .
    การโจมตีดังกล่าวใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูง มุ่งตัดเส้นทางสำหรับยานพาหนะทางทหาร โดยยังคงเปิดให้ประชาชนสามารถเดินเท้าหรือใช้รถจักรยานยนต์ข้ามได้ และหากตรวจพบว่ากัมพูชายังพยายามใช้เส้นทางดังกล่าวในการส่งกำลังบำรุง กองทัพไทยจะดำเนินการโจมตีซ้ำทันที
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122728
    .
    #News1live #News1 #กองทัพไทย #สถานการณ์ชายแดน #เนิน350 #ปราสาทตาควาย #ความมั่นคง
    กองทัพไทยส่งสัญญาณไปยังชนชั้นนำของกัมพูชา ยืนยันจะเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารอย่างต่อเนื่อง และจะไม่ยุติการโจมตีจนกว่าฝ่ายกัมพูชาจะยอมรับเงื่อนไขทั้ง 3 ประการที่รัฐบาลไทยเสนอ เพื่อเปิดทางสู่การหยุดยิงและการเจรจาสันติภาพ . พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ แถลงที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย–กัมพูชา ระบุว่า การปฏิบัติการทางทหารของไทยตั้งแต่เริ่มต้น มุ่งเป้าเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น โดยกรณีที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นการโจมตีพื้นที่พลเรือนหรือสถานศึกษา เป็นข้อมูลบิดเบือนที่ไม่เป็นความจริง . โฆษกกองทัพอากาศยืนยันว่า เป้าหมายบางแห่ง เช่น กาสิโนร้าง ถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการทางทหารของฝ่ายกัมพูชา จึงจำเป็นต้องเข้าทำลายซ้ำ ขณะเดียวกันยังได้โจมตีสะพานโอจิก จังหวัดอุดรมีชัย ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพลและยุทโธปกรณ์ไปยังพื้นที่ปราสาทตาควายและเนิน 350 เพื่อริดรอนขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายตรงข้าม . การโจมตีดังกล่าวใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูง มุ่งตัดเส้นทางสำหรับยานพาหนะทางทหาร โดยยังคงเปิดให้ประชาชนสามารถเดินเท้าหรือใช้รถจักรยานยนต์ข้ามได้ และหากตรวจพบว่ากัมพูชายังพยายามใช้เส้นทางดังกล่าวในการส่งกำลังบำรุง กองทัพไทยจะดำเนินการโจมตีซ้ำทันที . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122728 . #News1live #News1 #กองทัพไทย #สถานการณ์ชายแดน #เนิน350 #ปราสาทตาควาย #ความมั่นคง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 429 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts