• ☯️☆#เปิดสอบถาม☆☯️💥💥
    ㊙️☆พระสมเด็จ☆บ้านช่างศิลป์☆
    🉑️☆ขอนำเสนอพระเครื่อง Premium✨️
    ㊗️☆#พระปิดตามหาลาภ✨️หลวงพ่อคูณรุ่น คูณ ลาภ ปี17💥 #พระอายุกว่า 51ปี✨️🇹🇭
    💥พระดีพุทธคุณสูงโดดเด่นมากในเรื่อง
    ✨️โภคทรัพย์
    ✨️ค้าขายธุรกิจเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยมั่งมีเงินทอง
    ✨️โชคลาภ
    💥️สุดยอดมวลสารเก่าของวัดระฆัง วัดบวรฯ หลวงปู่โต๊ะฯลฯและยังมีมวลสารวิเศษอีกมาก✨
    💥หลวงพ่อคูณท่านตั้งใจสร้างพระชุดนี้เป็นอย่างมาก ท่านตำผงมวลสารด้วยตัวเอง และระหว่างบดตำมวลสาร ท่านได้ตั้งจิตบริกรรมคาถาตลอดเวลา
    💥พระปิดตาเนื้อผงพุทธคุณ รุ่น คูณ ลาภ ปี17✨️เป็นสุดยอดมวลสารของท่านที่สร้างเอง ผสมกับสุดยอดมวลสารอื่นๆที่ใช้ในการสร้างได้แก่💥
    ✨️ผงพระสมเด็จวัดระฆัง
    ✨️ผงเสากุฎิของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) วัดระฆัง
    ✨️ผงสมเด็จพระสังฆราช(ป๋า) วัดโพธิ์
    ✨️ผงสมเด็จพระญาณสังวร
    ✨️ผงสมเด็จจิตรลดา วัดบวรนิเวศ
    ✨️ผงไตรมาสหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
    ✨️ผงหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    ✨️ผงหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ✨️ผงหลวงพ่อโสธร
    ✨️ผงพระสมเด็จปิลันทน์
    ✨️ผงพระสมเด็จบึงพระยาสุเรนทร์
    ✨️ผงพระวัดสามปลื้ม
    ✨️ผงพระบาง
    ✨️ผงสมเด็จพระสังฆราช (แพ), ✨️ผงพระกำแพงสรรค์
    ✨️ผงนางพญางิ้วดำ
    ✨️ผงใบเงินใบทองทำน้ำพุทธมนต์ในพิธีพุทธาภิเษกของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ, ลูกอมหลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก, ลูกอมหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่
    ✨️เกศาหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ และว่าน 108
    💥เห็นมวลสารทั้งหมดแล้วขนลุกเลยครับ☆✨️หลวงพ่อคูณปลุกเสกเดี่ยวที่วัดสระแก้ว จ.นครราชสีมา ในช่วงกลางคืนของวันที่ 29 มิ.ย.2517 โดยดับไฟเสกตั้งแต่ 5 ทุ่ม จนกระทั่ง ตี 2 เศษ✨️มีผู้เห็นแสงสว่างจ้าติดต่อกันถึง 5 ครั้งจากในกุฎิที่ทำพิธี💥🙏🙏🙏
    ✨️เป็นสุดยอด️️พระปิดตาที่ใช้แทนหลวงพ่อแก้ว หลวงปู่เอี่ยมที่มีราคาหลักหลายสิบล้านร้อยล้านได้เช่นกัน✨️รุ่นนี้สร้างน้อย ตอนนี้เริ่มหายากต้องรีบเก็บมาบูชานะครับ🙏💥
    ☯️ #พระดีมีพุทธศิลป์ #พระแท้มีพุทธคุณ💥🈯️

    ㊙️☆เปิด1,490🪙🪙
    #มีบริการเก็บ💰ปลายทาง+เพิ่ม 60 ครับ☆🇹🇭

    🉑️แอดไลน์ขอรูปและรายละเอียดเพิ่มได้เลยครับ⚛️

    🔰ไอดี sixty75🙏🇹🇭☯️

    ㊗️ #ฝากเพจที่1 Amulet FineArt พระสมเด็จบ้านช่างศิลป์✨️
    #เพจที่2 พระสมเด็จบ้านช่างศิลป์✨️️ ด้วยครับ🙏🙏☯️
    ☯️☆#เปิดสอบถาม☆☯️💥💥 ㊙️☆พระสมเด็จ☆บ้านช่างศิลป์☆ 🉑️☆ขอนำเสนอพระเครื่อง Premium✨️ ㊗️☆#พระปิดตามหาลาภ✨️หลวงพ่อคูณรุ่น คูณ ลาภ ปี17💥 #พระอายุกว่า 51ปี✨️🇹🇭 💥พระดีพุทธคุณสูงโดดเด่นมากในเรื่อง ✨️โภคทรัพย์ ✨️ค้าขายธุรกิจเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยมั่งมีเงินทอง ✨️โชคลาภ 💥️สุดยอดมวลสารเก่าของวัดระฆัง วัดบวรฯ หลวงปู่โต๊ะฯลฯและยังมีมวลสารวิเศษอีกมาก✨ 💥หลวงพ่อคูณท่านตั้งใจสร้างพระชุดนี้เป็นอย่างมาก ท่านตำผงมวลสารด้วยตัวเอง และระหว่างบดตำมวลสาร ท่านได้ตั้งจิตบริกรรมคาถาตลอดเวลา 💥พระปิดตาเนื้อผงพุทธคุณ รุ่น คูณ ลาภ ปี17✨️เป็นสุดยอดมวลสารของท่านที่สร้างเอง ผสมกับสุดยอดมวลสารอื่นๆที่ใช้ในการสร้างได้แก่💥 ✨️ผงพระสมเด็จวัดระฆัง ✨️ผงเสากุฎิของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) วัดระฆัง ✨️ผงสมเด็จพระสังฆราช(ป๋า) วัดโพธิ์ ✨️ผงสมเด็จพระญาณสังวร ✨️ผงสมเด็จจิตรลดา วัดบวรนิเวศ ✨️ผงไตรมาสหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ✨️ผงหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ✨️ผงหลวงพ่อวัดปากน้ำ ✨️ผงหลวงพ่อโสธร ✨️ผงพระสมเด็จปิลันทน์ ✨️ผงพระสมเด็จบึงพระยาสุเรนทร์ ✨️ผงพระวัดสามปลื้ม ✨️ผงพระบาง ✨️ผงสมเด็จพระสังฆราช (แพ), ✨️ผงพระกำแพงสรรค์ ✨️ผงนางพญางิ้วดำ ✨️ผงใบเงินใบทองทำน้ำพุทธมนต์ในพิธีพุทธาภิเษกของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ, ลูกอมหลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก, ลูกอมหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ✨️เกศาหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ และว่าน 108 💥เห็นมวลสารทั้งหมดแล้วขนลุกเลยครับ☆✨️หลวงพ่อคูณปลุกเสกเดี่ยวที่วัดสระแก้ว จ.นครราชสีมา ในช่วงกลางคืนของวันที่ 29 มิ.ย.2517 โดยดับไฟเสกตั้งแต่ 5 ทุ่ม จนกระทั่ง ตี 2 เศษ✨️มีผู้เห็นแสงสว่างจ้าติดต่อกันถึง 5 ครั้งจากในกุฎิที่ทำพิธี💥🙏🙏🙏 ✨️เป็นสุดยอด️️พระปิดตาที่ใช้แทนหลวงพ่อแก้ว หลวงปู่เอี่ยมที่มีราคาหลักหลายสิบล้านร้อยล้านได้เช่นกัน✨️รุ่นนี้สร้างน้อย ตอนนี้เริ่มหายากต้องรีบเก็บมาบูชานะครับ🙏💥 ☯️ #พระดีมีพุทธศิลป์ #พระแท้มีพุทธคุณ💥🈯️ ㊙️☆เปิด1,490🪙🪙 #มีบริการเก็บ💰ปลายทาง+เพิ่ม 60 ครับ☆🇹🇭 🉑️แอดไลน์ขอรูปและรายละเอียดเพิ่มได้เลยครับ⚛️ 🔰ไอดี sixty75🙏🇹🇭☯️ ㊗️ #ฝากเพจที่1 Amulet FineArt พระสมเด็จบ้านช่างศิลป์✨️ #เพจที่2 พระสมเด็จบ้านช่างศิลป์✨️️ ด้วยครับ🙏🙏☯️
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • นางหัสดี หรือป้าลี อายุ 56 ปี อดีตสมาชิก อบต.บ้านม่วง ต.นาคูณ อ.นาหว้า จ.นครพนม ตัดสินใจเปิดโปงชีวิตสุดทรมานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หลังต้องเผชิญฝันร้ายจากลูกชายฝาแฝดวัย 23 ปีติดยาบ้าอย่างหนัก จนต้องใช้เหล็กดัดสร้างห้องขังตัวเองไว้ในบ้าน ป้องกันตัวจากลูกชายที่คลุ้มคลั่งขู่ทำร้ายและขู่เอาเงินไปซื้อยาทุกวัน วันละหลายครั้ง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000024014
    นางหัสดี หรือป้าลี อายุ 56 ปี อดีตสมาชิก อบต.บ้านม่วง ต.นาคูณ อ.นาหว้า จ.นครพนม ตัดสินใจเปิดโปงชีวิตสุดทรมานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หลังต้องเผชิญฝันร้ายจากลูกชายฝาแฝดวัย 23 ปีติดยาบ้าอย่างหนัก จนต้องใช้เหล็กดัดสร้างห้องขังตัวเองไว้ในบ้าน ป้องกันตัวจากลูกชายที่คลุ้มคลั่งขู่ทำร้ายและขู่เอาเงินไปซื้อยาทุกวัน วันละหลายครั้ง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000024014
    Sad
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • “โจอี้ ภูวศิษฐ์” เผยไม่ได้เป็นคนคลั่งรัก แต่เป็นคนน่ารักให้แฟน “เจน เนลินญาน์” บอกชิลๆ ใส่เสื้อยืดเก่าๆ กางเกงยีนส์ออกเดต ไม่ซีเรียสหากใครจะมองดูสบายเกิน ขอแค่เป็นคนน่ารัก เป็นคนเมตตาต่อคนในสังคมก็พอแล้ว

    เปิดตัวคบหาดูใจกับนางเอกเอ็มวีของตัวเองมาได้พักใหญ่แล้วสำหรับ “โจอี้ ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ” และ “เจน เนลินญาน์ อภินารานิธิวงศ์” นางเอกเอ็มวีเพลงฮิต “นะหน้าทอง” ทำหลายคนมองโจอี้เปลี่ยนไป เพราะดูโจอี้เป็นคนคลั่งรักเอามากๆ ซึ่ง โจอี้ เผยเรื่องนี้ว่า…

    “ผมไม่เคยปิดเลย ผมรู้สึกว่าใช้ชีวิตประจำวัน การมีแฟนมีคู่เป็นธรรมชาติของวัยรุ่น หลังๆ ก็ลงโซเชียลเหมือนวัยรุ่น เราไม่ได้บอกว่าเรามีแฟนหรือไม่มีแฟน ก็เห็นเดินตามตลาดจูงมือกัน ก็นั่นแหละแฟนผม หรือผมโพสต์รูปลงก็เป็นแฟน ผมว่าเป็นธรรมดาปกติของชีวิตวัยหนุ่มของผม ผมไม่ได้เป็นคนโรแมนติกเลย เป็นคนน่ารักให้เขา แบบที่เห็นนี่แหละครับ เขาชอบผมครับ เราจีบกันและกันนั่นแหละ”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023874

    #MGROnline #โจอี้ภูวศิษฐ์ #เจนเนลินญาน์
    “โจอี้ ภูวศิษฐ์” เผยไม่ได้เป็นคนคลั่งรัก แต่เป็นคนน่ารักให้แฟน “เจน เนลินญาน์” บอกชิลๆ ใส่เสื้อยืดเก่าๆ กางเกงยีนส์ออกเดต ไม่ซีเรียสหากใครจะมองดูสบายเกิน ขอแค่เป็นคนน่ารัก เป็นคนเมตตาต่อคนในสังคมก็พอแล้ว • เปิดตัวคบหาดูใจกับนางเอกเอ็มวีของตัวเองมาได้พักใหญ่แล้วสำหรับ “โจอี้ ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ” และ “เจน เนลินญาน์ อภินารานิธิวงศ์” นางเอกเอ็มวีเพลงฮิต “นะหน้าทอง” ทำหลายคนมองโจอี้เปลี่ยนไป เพราะดูโจอี้เป็นคนคลั่งรักเอามากๆ ซึ่ง โจอี้ เผยเรื่องนี้ว่า… • “ผมไม่เคยปิดเลย ผมรู้สึกว่าใช้ชีวิตประจำวัน การมีแฟนมีคู่เป็นธรรมชาติของวัยรุ่น หลังๆ ก็ลงโซเชียลเหมือนวัยรุ่น เราไม่ได้บอกว่าเรามีแฟนหรือไม่มีแฟน ก็เห็นเดินตามตลาดจูงมือกัน ก็นั่นแหละแฟนผม หรือผมโพสต์รูปลงก็เป็นแฟน ผมว่าเป็นธรรมดาปกติของชีวิตวัยหนุ่มของผม ผมไม่ได้เป็นคนโรแมนติกเลย เป็นคนน่ารักให้เขา แบบที่เห็นนี่แหละครับ เขาชอบผมครับ เราจีบกันและกันนั่นแหละ” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023874 • #MGROnline #โจอี้ภูวศิษฐ์ #เจนเนลินญาน์
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews

  • “จรยุทธ” ร่อนคำขอโทษ กรณีสูบบุหรี่ไฟฟ้าในอาคารรัฐสภา ทำประชาชนไม่สบายใจ ยันพร้อมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ สร้างบรรทัดฐานที่ดี บอกเข้าใจ-ซาบซึ้งทุกความเห็นที่คาดหวัง

    วันนี้ (12 มี.ค.) นายจรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ถึงกรณีสูบบุหรี่ไฟฟ้าในอาคารรัฐสภา ว่า จากกระแสข่าวที่มีการเผยแพร่ออกมา ผมทราบดีว่าทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความกังวลและมีข้อสงสัย ผมจึงอยากขอโทษจากใจจริงที่ทำให้พี่น้องประชาชนไม่สบายใจ ผมเข้าใจถึงความคาดหวังที่พี่น้องประชาชนมีต่อตัวผมในฐานะผู้แทนและผมเองก็ซาบซึ้งกับทุกความคิดเห็นที่ส่งมา

    ผมให้ความสำคัญกับบทบาทหน้าที่ของตัวเองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ในขณะเดียวกัน ผมพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบจากทางรัฐสภา เพื่อเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ดีของการเป็นผู้แทนราษฎร

    สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณทุกเสียงสะท้อนจากพี่น้องประชาชน และขอยืนยันว่า ผมยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023904

    #MGROnline #พรรคประชาชน #สูบบุหรี่ไฟฟ้า #อาคารรัฐสภา
    “จรยุทธ” ร่อนคำขอโทษ กรณีสูบบุหรี่ไฟฟ้าในอาคารรัฐสภา ทำประชาชนไม่สบายใจ ยันพร้อมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ สร้างบรรทัดฐานที่ดี บอกเข้าใจ-ซาบซึ้งทุกความเห็นที่คาดหวัง • วันนี้ (12 มี.ค.) นายจรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ถึงกรณีสูบบุหรี่ไฟฟ้าในอาคารรัฐสภา ว่า จากกระแสข่าวที่มีการเผยแพร่ออกมา ผมทราบดีว่าทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความกังวลและมีข้อสงสัย ผมจึงอยากขอโทษจากใจจริงที่ทำให้พี่น้องประชาชนไม่สบายใจ ผมเข้าใจถึงความคาดหวังที่พี่น้องประชาชนมีต่อตัวผมในฐานะผู้แทนและผมเองก็ซาบซึ้งกับทุกความคิดเห็นที่ส่งมา • ผมให้ความสำคัญกับบทบาทหน้าที่ของตัวเองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ในขณะเดียวกัน ผมพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบจากทางรัฐสภา เพื่อเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ดีของการเป็นผู้แทนราษฎร • สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณทุกเสียงสะท้อนจากพี่น้องประชาชน และขอยืนยันว่า ผมยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023904 • #MGROnline #พรรคประชาชน #สูบบุหรี่ไฟฟ้า #อาคารรัฐสภา
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • พันตำรวจโท "หัวโจก!" จัดฉากอุบัติเหตุ ฆาตกรรมอำพราง ชนซ้ำ 3 คัน 22 กรมธรรม์ หวังเงินประกัน 14 ล้าน 💰🚗

    เจาะลึกคดีสะเทือนขวัญ! พันตำรวจโทผู้บงการใหญ่ จัดฉากอุบัติเหตุชนซ้ำ 3 คัน สะสม 22 กรมธรรม์ หวังเงินประกัน 14 ล้านบาท เรื่องจริงที่ซับซ้อนกว่าที่คิด!

    🔥 เปิดโปงแผนฆาตกรรมอำพราง! พันตำรวจโท หัวโจก จัดฉากอุบัติเหตุหวังเงินประกัน 14 ล้าน 🚨

    🚓 คดีสะเทือนวงการ! วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 วงการประกันภัยต้องสะเทือน เมื่อบริษัทประกันภัยหลากหลายแห่ง รวมตัวกันเดินทางไปยัง ภ.จว.สกลนคร เพื่อร้องขอให้ตรวจสอบอุบัติเหตุรถชนซ้ำถึง 3 คัน เมื่อกลางดึกวันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งทำให้นายวิเชียร จิตเย็น อายุ 32 ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ความผิดปกติที่ปรากฏ ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า นี่อาจไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา แต่เป็น "ฆาตกรรมอำพราง" ที่มีการวางแผนอย่างแยบยล!

    ประเด็นร้อน คือมีการทำประกันภัยรถยนต์ถึง 22 กรมธรรม์ คาดว่าจะได้รับเงินประกันรวมสูงถึง 14 ล้านบาท! แต่ที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าคือ การพบว่าเบื้องหลังขบวนการนี้ มีชื่อของ "พันตำรวจโท" เข้ามาเกี่ยวข้อง ในฐานะหัวหน้าแก๊ง! 😱

    🤔 คดีฆาตกรรมอำพราง หรือ อุบัติเหตุธรรมดา? เหตุการณ์ในคืนสยองขวัญ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 21.10 น. ตำรวจโรงพักวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ได้รับแจ้งเหตุรถชน บริเวณถนนระหว่างบ้านนาบัว-เจริญศิลป์ กม.ที่ 15 ตำบลธาตุ พบผู้เสียชีวิตคาที่คือนายวิเชียร จิตเย็น จากข้อมูลเบื้องต้น เหมือนจะเป็นอุบัติเหตุ แต่ความจริง กลับซับซ้อนเกินกว่าจะจินตนาการ! 😨

    3 คัน 22 กรมธรรม์... แค่บังเอิญจริงหรือ?
    - รถคันแรก ปิกอัพอีซูซุ ดีแมกซ์ 4 ประตู สีขาว หมายเลขทะเบียน กพ 2576 สกลนคร ทำประกัน พ.ร.บ. ภาคบังคับ 12 กรมธรรม์
    - รถคันที่สอง ปิกอัพอีซูซุ ดีแมกซ์ สีขาว หมายเลขทะเบียน บษ 1720 กาฬสินธุ์ ทำประกัน พ.ร.บ. ภาคบังคับ 5 กรมธรรม์
    - รถคันที่สาม ปิกอัพอีซูซุ ดีแมกซ์ 4 ประตู สีขาว หมายเลขทะเบียน ผผ 2872 อุดรธานี ทำประกัน พ.ร.บ. ภาคบังคับ 5 กรมธรรม์

    รวมทั้งสิ้น 22 กรมธรรม์!!! คิดเป็นวงเงินประกันกว่า 14 ล้านบาท 💸

    การทำประกันหลายฉบับในเวลาสั้น ๆ ทำให้บริษัทประกันภัยต่างสงสัยว่า คดีนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา แต่เป็นแผนฆาตกรรมอำพราง ที่ถูกจัดฉากขึ้นอย่างแนบเนียน

    🕵️‍♀️ ปมเบื้องหลัง และพี่สาวผู้ตายกับเบาะแสชิ้นสำคัญ คำพูดที่กลายเป็นชนวนโศกนาฏกรรม นางสาวบัวเรียน อายุ 33 ปี พี่สาวของผู้ตายเผยว่า ก่อนหน้านี้เคยระบายความในใจว่า อยากให้นายวิเชียร “ไปตายเสียที่ไหนก็ได้” เพราะทนพฤติกรรมไม่ไหว แต่คำพูดนั้นกลับถูกนายสกล ญาติคนสนิท นำไปตีความและจัดการ “สั่งสอน” ในแบบของตัวเอง...

    นายสกล... คนใกล้ตัวที่กลายเป็นฆาตกรเลือดเย็น หลังจากที่นายสกลรับปากว่า จะพานายวิเชียรไปสั่งสอน กลับกลายเป็น การวางแผนฆาตกรรมอำพรางที่ซับซ้อน ร่วมกับนายตำรวจระดับสูงยศ "พันตำรวจโท"และพรรคพวก 😨

    🔪 เผยแผนจัดฉากอุบัติเหตุสุดโหด! การเดินทางที่เต็มไปด้วยกับดัก
    - จุดเริ่มต้น โรงบรรจุน้ำอ่อนสุระทุม
    - จุดรับเหยื่อ บ้านสุวรรณคีรี
    - จุดตัดผมและซื้อเสื้อผ้า อ.เจริญศิลป์
    - จุดดื่มสุรา ร้านบัวชมพู

    ทุกอย่างดูปกติ... แต่แท้จริงแล้วคือ แผนหลอกล่อเหยื่อให้ติดกับ!

    ฉากจบที่กิโลเมตรที่ 15... ถนนสายบ้านนาบัว-เจริญศิลป์ กับความตายที่ถูกจัดฉาก นายวิเชียรซึ่งอยู่ในอากาศเมามายอย่างหนัก ครองสติตัวเองไม่ได้ ถูกหลอกให้ลงจากหลังกระบะรถ ลากร่างนอนคว่ำหน้ากลางถนนลาดยาง ก่อนจะถูกขับรถเหยียบทับซ้ำ! จากนั้นก็พากันขับรถกลับไปจอด ที่โรงน้ำเพื่ออำพรางความผิด...😡

    🕴️ พันตำรวจโท... หัวโจกผู้บงการเบื้องหลัง! บทบาทของนายตำรวจในคดีนี้ ในระหว่างการวางแผน มีรถตราโล่ในราชการตำรว จจอดหลบอยู่ในลานริมถนน ใกล้ที่กเกิดเหตุ และมีนายตำรวจระดับสารวัตรสอบสวน โรงพักที่เกิดเหตุ แต่งเครื่องแบบพันตำรวจโทเต็มยศ ยืนอยู่หน้ารถโล่ แม้ว่าตำรวจนายนี้จะไม่ได้ลงมือโดยตรง แต่การมีตัวตนในเหตุการณ์ สะท้อนถึงการพัวพันคดี อย่างไม่อาจปฏิเสธได้

    ตำรวจสืบสวนเชื่อว่า พันตำรวจโทนายนี้คือ "หัวโจกตัวจริง!" เป็นคนวางแผน ประสานงาน และกำกับการฆาตกรรมอำพรางในครั้งนี้ อย่างแยบยล 👮‍♂️

    4 ผู้ต้องหา ถูกจับกุมและเปิดโปงความจริง! 👊
    1. นายสมศักดิ์ หรือแอะ โวเบ้า อายุ 56 ปี
    2. นายพีรพัฒน์ หรือป้อม รักกุศล อายุ 30 ปี
    3. นายสกล สอนแก้ว อายุ 38 ปี
    4. นายพรชนก หรือเก่ง อ่อนสุระทุม อายุ 41 ปี

    ทุกคนถูกแจ้งข้อหา "ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน"!

    🚔 บทสรุป: เรื่องจริงที่ยังไม่จบ! ตำรวจยังเดินหน้าสืบสวน เพื่อรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม และขยายผลไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพันตำรวจโทผู้บงการใหญ่ ที่กำลังตกเป็นเป้าหมายหลัก ในการดำเนินคดีครั้งนี้!

    คดีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงินประกัน 14 ล้านบาท... แต่เป็นบทเรียนสำคัญ ที่เตือนให้สังคมเห็นถึง อันตรายของความโลภ และอิทธิพลที่แอบแฝง อยู่ในเงามืดของกฎหมาย

    คดีนี้เป็นเป็นการจัดฉากอุบัติเหตุ ที่มีแผนวางไว้ล่วงหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเรียกเงินประกันภัย จาก 22 กรมธรรม์ รวมวงเงิน 14 ล้านบาท

    ผู้บงการหลักในคดีนี้ คือนายตำรวจยศพันตำรวจโท ที่ถูกระบุว่าเป็นหัวโจกใหญ่ ที่มีบทบาทสำคัญในขบวนการนี้

    นายวิเชียรถูกเลือกเป็นเหยื่อ เพราะพฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับในครอบครัว และคำพูดของพี่สาว ที่ถูกตีความผิด ทำให้ถูกวางแผนฆ่าทิ้ง เพื่อหวังเงินประกัน

    จากข้อมูลที่ได้รับ มีการตกลงชดใช้เงินให้พี่สาวผู้ตายจำนวน 150,000 บาท เพื่อปิดปาก แต่ความจริงก็ถูกเปิดเผยในภายหลัง

    บริษัทประกันภัยตรวจพบความผิดปกติ ในการทำประกันภัยจำนวนมาก จึงได้ร้องเรียน และร่วมมือกับตำรวจ ในการเปิดโปงคดีนี้

    มีแนวโน้มสูง! ที่จะมีผู้ต้องหารายอื่นถูกจับเพิ่มอีก เนื่องจากการสืบสวนพบว่า มีขบวนการที่กว้างขวาง และอาจมีเจ้าหน้าที่รัฐคนอื่นเกี่ยวข้องด้วย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121544 มี.ค. 2568

    🔖 #ฆาตกรรมอำพราง #จัดฉากอุบัติเหตุ #โกงประกัน #พันตำรวจโท #คดีดังสกลนคร #รถชนซ้ำ #14ล้านประกัน #ข่าวเด่นวันนี้ #คดีอาชญากรรม #เปิดโปงขบวนการ
    พันตำรวจโท "หัวโจก!" จัดฉากอุบัติเหตุ ฆาตกรรมอำพราง ชนซ้ำ 3 คัน 22 กรมธรรม์ หวังเงินประกัน 14 ล้าน 💰🚗 เจาะลึกคดีสะเทือนขวัญ! พันตำรวจโทผู้บงการใหญ่ จัดฉากอุบัติเหตุชนซ้ำ 3 คัน สะสม 22 กรมธรรม์ หวังเงินประกัน 14 ล้านบาท เรื่องจริงที่ซับซ้อนกว่าที่คิด! 🔥 เปิดโปงแผนฆาตกรรมอำพราง! พันตำรวจโท หัวโจก จัดฉากอุบัติเหตุหวังเงินประกัน 14 ล้าน 🚨 🚓 คดีสะเทือนวงการ! วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 วงการประกันภัยต้องสะเทือน เมื่อบริษัทประกันภัยหลากหลายแห่ง รวมตัวกันเดินทางไปยัง ภ.จว.สกลนคร เพื่อร้องขอให้ตรวจสอบอุบัติเหตุรถชนซ้ำถึง 3 คัน เมื่อกลางดึกวันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งทำให้นายวิเชียร จิตเย็น อายุ 32 ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ความผิดปกติที่ปรากฏ ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า นี่อาจไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา แต่เป็น "ฆาตกรรมอำพราง" ที่มีการวางแผนอย่างแยบยล! ประเด็นร้อน คือมีการทำประกันภัยรถยนต์ถึง 22 กรมธรรม์ คาดว่าจะได้รับเงินประกันรวมสูงถึง 14 ล้านบาท! แต่ที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าคือ การพบว่าเบื้องหลังขบวนการนี้ มีชื่อของ "พันตำรวจโท" เข้ามาเกี่ยวข้อง ในฐานะหัวหน้าแก๊ง! 😱 🤔 คดีฆาตกรรมอำพราง หรือ อุบัติเหตุธรรมดา? เหตุการณ์ในคืนสยองขวัญ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 21.10 น. ตำรวจโรงพักวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ได้รับแจ้งเหตุรถชน บริเวณถนนระหว่างบ้านนาบัว-เจริญศิลป์ กม.ที่ 15 ตำบลธาตุ พบผู้เสียชีวิตคาที่คือนายวิเชียร จิตเย็น จากข้อมูลเบื้องต้น เหมือนจะเป็นอุบัติเหตุ แต่ความจริง กลับซับซ้อนเกินกว่าจะจินตนาการ! 😨 3 คัน 22 กรมธรรม์... แค่บังเอิญจริงหรือ? - รถคันแรก ปิกอัพอีซูซุ ดีแมกซ์ 4 ประตู สีขาว หมายเลขทะเบียน กพ 2576 สกลนคร ทำประกัน พ.ร.บ. ภาคบังคับ 12 กรมธรรม์ - รถคันที่สอง ปิกอัพอีซูซุ ดีแมกซ์ สีขาว หมายเลขทะเบียน บษ 1720 กาฬสินธุ์ ทำประกัน พ.ร.บ. ภาคบังคับ 5 กรมธรรม์ - รถคันที่สาม ปิกอัพอีซูซุ ดีแมกซ์ 4 ประตู สีขาว หมายเลขทะเบียน ผผ 2872 อุดรธานี ทำประกัน พ.ร.บ. ภาคบังคับ 5 กรมธรรม์ รวมทั้งสิ้น 22 กรมธรรม์!!! คิดเป็นวงเงินประกันกว่า 14 ล้านบาท 💸 การทำประกันหลายฉบับในเวลาสั้น ๆ ทำให้บริษัทประกันภัยต่างสงสัยว่า คดีนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา แต่เป็นแผนฆาตกรรมอำพราง ที่ถูกจัดฉากขึ้นอย่างแนบเนียน 🕵️‍♀️ ปมเบื้องหลัง และพี่สาวผู้ตายกับเบาะแสชิ้นสำคัญ คำพูดที่กลายเป็นชนวนโศกนาฏกรรม นางสาวบัวเรียน อายุ 33 ปี พี่สาวของผู้ตายเผยว่า ก่อนหน้านี้เคยระบายความในใจว่า อยากให้นายวิเชียร “ไปตายเสียที่ไหนก็ได้” เพราะทนพฤติกรรมไม่ไหว แต่คำพูดนั้นกลับถูกนายสกล ญาติคนสนิท นำไปตีความและจัดการ “สั่งสอน” ในแบบของตัวเอง... นายสกล... คนใกล้ตัวที่กลายเป็นฆาตกรเลือดเย็น หลังจากที่นายสกลรับปากว่า จะพานายวิเชียรไปสั่งสอน กลับกลายเป็น การวางแผนฆาตกรรมอำพรางที่ซับซ้อน ร่วมกับนายตำรวจระดับสูงยศ "พันตำรวจโท"และพรรคพวก 😨 🔪 เผยแผนจัดฉากอุบัติเหตุสุดโหด! การเดินทางที่เต็มไปด้วยกับดัก - จุดเริ่มต้น โรงบรรจุน้ำอ่อนสุระทุม - จุดรับเหยื่อ บ้านสุวรรณคีรี - จุดตัดผมและซื้อเสื้อผ้า อ.เจริญศิลป์ - จุดดื่มสุรา ร้านบัวชมพู ทุกอย่างดูปกติ... แต่แท้จริงแล้วคือ แผนหลอกล่อเหยื่อให้ติดกับ! ฉากจบที่กิโลเมตรที่ 15... ถนนสายบ้านนาบัว-เจริญศิลป์ กับความตายที่ถูกจัดฉาก นายวิเชียรซึ่งอยู่ในอากาศเมามายอย่างหนัก ครองสติตัวเองไม่ได้ ถูกหลอกให้ลงจากหลังกระบะรถ ลากร่างนอนคว่ำหน้ากลางถนนลาดยาง ก่อนจะถูกขับรถเหยียบทับซ้ำ! จากนั้นก็พากันขับรถกลับไปจอด ที่โรงน้ำเพื่ออำพรางความผิด...😡 🕴️ พันตำรวจโท... หัวโจกผู้บงการเบื้องหลัง! บทบาทของนายตำรวจในคดีนี้ ในระหว่างการวางแผน มีรถตราโล่ในราชการตำรว จจอดหลบอยู่ในลานริมถนน ใกล้ที่กเกิดเหตุ และมีนายตำรวจระดับสารวัตรสอบสวน โรงพักที่เกิดเหตุ แต่งเครื่องแบบพันตำรวจโทเต็มยศ ยืนอยู่หน้ารถโล่ แม้ว่าตำรวจนายนี้จะไม่ได้ลงมือโดยตรง แต่การมีตัวตนในเหตุการณ์ สะท้อนถึงการพัวพันคดี อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ตำรวจสืบสวนเชื่อว่า พันตำรวจโทนายนี้คือ "หัวโจกตัวจริง!" เป็นคนวางแผน ประสานงาน และกำกับการฆาตกรรมอำพรางในครั้งนี้ อย่างแยบยล 👮‍♂️ 4 ผู้ต้องหา ถูกจับกุมและเปิดโปงความจริง! 👊 1. นายสมศักดิ์ หรือแอะ โวเบ้า อายุ 56 ปี 2. นายพีรพัฒน์ หรือป้อม รักกุศล อายุ 30 ปี 3. นายสกล สอนแก้ว อายุ 38 ปี 4. นายพรชนก หรือเก่ง อ่อนสุระทุม อายุ 41 ปี ทุกคนถูกแจ้งข้อหา "ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน"! 🚔 บทสรุป: เรื่องจริงที่ยังไม่จบ! ตำรวจยังเดินหน้าสืบสวน เพื่อรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม และขยายผลไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพันตำรวจโทผู้บงการใหญ่ ที่กำลังตกเป็นเป้าหมายหลัก ในการดำเนินคดีครั้งนี้! คดีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงินประกัน 14 ล้านบาท... แต่เป็นบทเรียนสำคัญ ที่เตือนให้สังคมเห็นถึง อันตรายของความโลภ และอิทธิพลที่แอบแฝง อยู่ในเงามืดของกฎหมาย คดีนี้เป็นเป็นการจัดฉากอุบัติเหตุ ที่มีแผนวางไว้ล่วงหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเรียกเงินประกันภัย จาก 22 กรมธรรม์ รวมวงเงิน 14 ล้านบาท ผู้บงการหลักในคดีนี้ คือนายตำรวจยศพันตำรวจโท ที่ถูกระบุว่าเป็นหัวโจกใหญ่ ที่มีบทบาทสำคัญในขบวนการนี้ นายวิเชียรถูกเลือกเป็นเหยื่อ เพราะพฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับในครอบครัว และคำพูดของพี่สาว ที่ถูกตีความผิด ทำให้ถูกวางแผนฆ่าทิ้ง เพื่อหวังเงินประกัน จากข้อมูลที่ได้รับ มีการตกลงชดใช้เงินให้พี่สาวผู้ตายจำนวน 150,000 บาท เพื่อปิดปาก แต่ความจริงก็ถูกเปิดเผยในภายหลัง บริษัทประกันภัยตรวจพบความผิดปกติ ในการทำประกันภัยจำนวนมาก จึงได้ร้องเรียน และร่วมมือกับตำรวจ ในการเปิดโปงคดีนี้ มีแนวโน้มสูง! ที่จะมีผู้ต้องหารายอื่นถูกจับเพิ่มอีก เนื่องจากการสืบสวนพบว่า มีขบวนการที่กว้างขวาง และอาจมีเจ้าหน้าที่รัฐคนอื่นเกี่ยวข้องด้วย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121544 มี.ค. 2568 🔖 #ฆาตกรรมอำพราง #จัดฉากอุบัติเหตุ #โกงประกัน #พันตำรวจโท #คดีดังสกลนคร #รถชนซ้ำ #14ล้านประกัน #ข่าวเด่นวันนี้ #คดีอาชญากรรม #เปิดโปงขบวนการ
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • “สุทิน” เย้ย “ปชน.” มีข้อมูลแค่ “ทักษิณ” หรือไม่จึงหาทางลงให้ตัวเอง สอนไม่ต้องพูดชื่อคนก็รู้
    https://www.thai-tai.tv/news/17613/
    “สุทิน” เย้ย “ปชน.” มีข้อมูลแค่ “ทักษิณ” หรือไม่จึงหาทางลงให้ตัวเอง สอนไม่ต้องพูดชื่อคนก็รู้ https://www.thai-tai.tv/news/17613/
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • 15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ

    🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️

    🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต

    👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓

    หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น

    จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน

    ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔

    🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿

    🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา

    🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊

    🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃

    จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ

    💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫

    ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️

    ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ
    หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง

    ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์

    🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย"

    ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า…

    - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง?
    - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา?
    - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย?

    🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน

    🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่”

    🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น"

    🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568

    #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์

    15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ 🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️ 🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต 👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓 หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔 🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿 🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา 🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊ 🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃 จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ 💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫 ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️ ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์ 🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย" ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า… - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง? - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา? - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย? 🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน 🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่” 🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น" 🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568 #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • 12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • บทความนี้พูดถึงการก้าวเข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและผู้ที่มีความเข้าใจในธุรกิจ โดยมีสองเส้นทางหลักที่ผู้คนสามารถเลือกเดินได้ ได้แก่ การสร้าง AI หรือการนำ AI มาช่วยสร้างธุรกิจของตัวเอง

    ในแง่ของการทำงานด้านเทคนิค ผู้เชี่ยวชาญด้าน IT สามารถใช้เครื่องมืออย่าง GitHub Copilot หรือ DALL-E เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และควรพัฒนาทักษะในการกำหนดคำสั่ง (prompt engineering) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงสุดจาก AI ในขณะที่สำหรับผู้ที่อยู่ในสายงานธุรกิจ จำเป็นต้องเข้าใจการทำงานของ AI และวิธีการปรับใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการของอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ

    ที่น่าสนใจคือการผสมผสานระหว่างความรู้ด้านเทคโนโลยีกับความเข้าใจในธุรกิจ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน องค์กรต่าง ๆ กำลังมองหาคนที่มีความสามารถทั้งสองด้านเพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโต

    มีข้อแนะนำสำหรับผู้เชี่ยวชาญในสองสายงานดังนี้:
    1) สำหรับสายเทคนิค: เรียนรู้พื้นฐานของ AI ฝึกฝนทักษะการเขียนคำสั่ง และทดลองใช้เครื่องมือใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
    2) สำหรับสายธุรกิจ: ศึกษาการประยุกต์ใช้ AI ในอุตสาหกรรมของตัวเอง เข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งาน และเรียนรู้วิธีการทำให้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองโดดเด่นในตลาด

    เป็นที่ชัดเจนว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่สร้างความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพทางอาชีพและธุรกิจในยุคใหม่ที่กำลังมาถึง

    https://www.zdnet.com/article/want-to-win-in-the-age-of-ai-you-can-either-build-it-or-build-your-business-with-it/
    บทความนี้พูดถึงการก้าวเข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและผู้ที่มีความเข้าใจในธุรกิจ โดยมีสองเส้นทางหลักที่ผู้คนสามารถเลือกเดินได้ ได้แก่ การสร้าง AI หรือการนำ AI มาช่วยสร้างธุรกิจของตัวเอง ในแง่ของการทำงานด้านเทคนิค ผู้เชี่ยวชาญด้าน IT สามารถใช้เครื่องมืออย่าง GitHub Copilot หรือ DALL-E เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และควรพัฒนาทักษะในการกำหนดคำสั่ง (prompt engineering) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงสุดจาก AI ในขณะที่สำหรับผู้ที่อยู่ในสายงานธุรกิจ จำเป็นต้องเข้าใจการทำงานของ AI และวิธีการปรับใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการของอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ ที่น่าสนใจคือการผสมผสานระหว่างความรู้ด้านเทคโนโลยีกับความเข้าใจในธุรกิจ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน องค์กรต่าง ๆ กำลังมองหาคนที่มีความสามารถทั้งสองด้านเพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโต มีข้อแนะนำสำหรับผู้เชี่ยวชาญในสองสายงานดังนี้: 1) สำหรับสายเทคนิค: เรียนรู้พื้นฐานของ AI ฝึกฝนทักษะการเขียนคำสั่ง และทดลองใช้เครื่องมือใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง 2) สำหรับสายธุรกิจ: ศึกษาการประยุกต์ใช้ AI ในอุตสาหกรรมของตัวเอง เข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งาน และเรียนรู้วิธีการทำให้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองโดดเด่นในตลาด เป็นที่ชัดเจนว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่สร้างความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพทางอาชีพและธุรกิจในยุคใหม่ที่กำลังมาถึง https://www.zdnet.com/article/want-to-win-in-the-age-of-ai-you-can-either-build-it-or-build-your-business-with-it/
    WWW.ZDNET.COM
    Want to win in the age of AI? You can either build it or build your business with it
    In-depth knowledge of generative AI is in high demand - and the need for technical chops and business savvy is converging
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโลกการทำงานที่เกิดจากการใช้ AI ในรูปแบบของตัวแทน (AI agents) ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้ช่วยธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นระบบที่สามารถดำเนินการด้วยการวิเคราะห์และตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องได้รับคำสั่งอย่างละเอียดจากมนุษย์ในทุกขั้นตอน

    ตัวอย่างที่ชัดเจนของความแตกต่างระหว่างผู้ช่วย AI และตัวแทน AI คือ หากเราขอให้ AI ผู้ช่วยช่วยจองร้านอาหาร มันอาจจองร้านอาหารให้และส่งคำเชิญให้กับแขกได้ แต่ตัวแทน AI จะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ตรวจสอบตารางเวลาของคุณ ประเมินเวลาที่ใช้ในการเดินทาง และจองร้านอาหารที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ แม้ร้านแรกจะไม่ว่างก็ตาม

    ประโยชน์ที่สำคัญของการใช้ AI agents ในธุรกิจคือการช่วยลดภาระงานที่ต้องทำซ้ำซาก เช่น งานเอกสารหรือการดำเนินการภายในองค์กร ทำให้พนักงานสามารถใช้เวลาไปกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือการแก้ไขปัญหาได้มากขึ้น และนอกจากนี้ AI agents ยังช่วยเชื่อมโยงเครื่องมือต่าง ๆ ภายในองค์กรให้ทำงานสอดประสานกันอย่างราบรื่น

    อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการใช้งาน AI agents โดยเฉพาะในเรื่องของผลกระทบต่อการจ้างงาน การเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ และความเสี่ยงที่จะเกิดความลำเอียงของ AI แต่ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การกำหนดบทบาทของ AI อย่างเหมาะสม เช่น ให้มันเป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุน มากกว่าจะตัดสินใจแทนมนุษย์

    สิ่งที่ธุรกิจควรทำตอนนี้คือการเริ่มต้นเรียนรู้และปรับตัว เพราะ AI กำลังเปลี่ยนแปลงการทำงานอย่างรวดเร็ว การเพิ่มพูนทักษะและการใช้ AI อย่างชาญฉลาดจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในยุคใหม่นี้

    https://www.zdnet.com/article/ai-agents-arent-just-assistants-how-theyre-changing-the-future-of-work-today/
    การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโลกการทำงานที่เกิดจากการใช้ AI ในรูปแบบของตัวแทน (AI agents) ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้ช่วยธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นระบบที่สามารถดำเนินการด้วยการวิเคราะห์และตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องได้รับคำสั่งอย่างละเอียดจากมนุษย์ในทุกขั้นตอน ตัวอย่างที่ชัดเจนของความแตกต่างระหว่างผู้ช่วย AI และตัวแทน AI คือ หากเราขอให้ AI ผู้ช่วยช่วยจองร้านอาหาร มันอาจจองร้านอาหารให้และส่งคำเชิญให้กับแขกได้ แต่ตัวแทน AI จะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ตรวจสอบตารางเวลาของคุณ ประเมินเวลาที่ใช้ในการเดินทาง และจองร้านอาหารที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ แม้ร้านแรกจะไม่ว่างก็ตาม ประโยชน์ที่สำคัญของการใช้ AI agents ในธุรกิจคือการช่วยลดภาระงานที่ต้องทำซ้ำซาก เช่น งานเอกสารหรือการดำเนินการภายในองค์กร ทำให้พนักงานสามารถใช้เวลาไปกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือการแก้ไขปัญหาได้มากขึ้น และนอกจากนี้ AI agents ยังช่วยเชื่อมโยงเครื่องมือต่าง ๆ ภายในองค์กรให้ทำงานสอดประสานกันอย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการใช้งาน AI agents โดยเฉพาะในเรื่องของผลกระทบต่อการจ้างงาน การเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ และความเสี่ยงที่จะเกิดความลำเอียงของ AI แต่ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การกำหนดบทบาทของ AI อย่างเหมาะสม เช่น ให้มันเป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุน มากกว่าจะตัดสินใจแทนมนุษย์ สิ่งที่ธุรกิจควรทำตอนนี้คือการเริ่มต้นเรียนรู้และปรับตัว เพราะ AI กำลังเปลี่ยนแปลงการทำงานอย่างรวดเร็ว การเพิ่มพูนทักษะและการใช้ AI อย่างชาญฉลาดจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในยุคใหม่นี้ https://www.zdnet.com/article/ai-agents-arent-just-assistants-how-theyre-changing-the-future-of-work-today/
    WWW.ZDNET.COM
    AI agents aren't just assistants: How they're changing the future of work today
    We're officially in the era of AI agents. Here's how they're different from assistants, and how they're affecting workplace dynamics.
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • Tue. Mar. 11, 2025

    เอาละ ต้องรีบเคาะแจกเงินคลิปโตที่ท่านพ่อสะสมมานานเสียที ครั้งเมื่อสมัยลุงโจ ไบเดน คือยุคมืดของคลิปโต โครงการดิจิตอลวอลเลทก็เกิดขึ้น ต้องรีบกู้เงินสด มาถ่ายเปลี่ยนเงินดิจิตอลออกไปให้หมด แต่คนไม่ยอม เลยต้องกู้เอาเงินสดมาแจกไปก่อน

    เหมือนโชคเข้าข้างท่านพ่อแท้ๆ พอยุคพี่อิลอน ทรัมป์ สกุลเงินคลิปโตก็กลับสู่ขาขึ้นอีกครั้ง ขึ้นแบบทลุฟ้าซะด้วย ก็เลยกู้เงินมาแจกเล่นอีกรอบ

    แต่เพราะด้วยน้ำพักน้ำแรงของพี่อิลอน ทรัมป์ ที่นำพาตลาดหุ้น และตลาดคลิปโตดิ่งพสุธาในเวลาอันรวดเร็วและเรื้อรัง ด้วยว่าทั้งสองตลาดนี้ไม่ปลื้มความไม่แน่นอน และยังไม่คุ้นชินกับความไม่แน่นอน และไม่แน่ใจในผู้นำตัวเอง

    การแจกเงินคนไทยตาดำๆเป็นสกุลเงินดิจิตอลจึงต้องกลับมาซีเรียสจริงจังอีกครั้ง แจกคนแก่เดี๋ยวโดนโวยวายงอแงอีก แจกคนวัยกลางๆเดี๋ยวโดนจับไต๋ได้อีก งั้นแจกเด็กน้อยก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวใช้ ai ประโคมในสื่อ แนวๆอายุน้อยร้อยล้านด้วยคลิปโตเยอะๆ เด็กน้อยทั้งหลายก็อ้าปากรองับเหยื่อตัวสั่นแล้ว

    เอาเงินสดมาแลก เอาคลิปโตปล่อยออกไปได้หมด ถ้าได้ก้อนนี้ จะยุบสภาหรือล้มรัฐบาล บ้านฉันก็มีเศษตังไว้หว่านซื้อเสียงรอบหน้าพร้อมแล้วจ้า
    บ๊ะ ช่วยกันหากินเก่งจริงๆครอบครัวนี้
    #ลูกเคาะพ่อแจกคลิปโตแล้วกวาดเงินสด
    Tue. Mar. 11, 2025 เอาละ ต้องรีบเคาะแจกเงินคลิปโตที่ท่านพ่อสะสมมานานเสียที ครั้งเมื่อสมัยลุงโจ ไบเดน คือยุคมืดของคลิปโต โครงการดิจิตอลวอลเลทก็เกิดขึ้น ต้องรีบกู้เงินสด มาถ่ายเปลี่ยนเงินดิจิตอลออกไปให้หมด แต่คนไม่ยอม เลยต้องกู้เอาเงินสดมาแจกไปก่อน เหมือนโชคเข้าข้างท่านพ่อแท้ๆ พอยุคพี่อิลอน ทรัมป์ สกุลเงินคลิปโตก็กลับสู่ขาขึ้นอีกครั้ง ขึ้นแบบทลุฟ้าซะด้วย ก็เลยกู้เงินมาแจกเล่นอีกรอบ แต่เพราะด้วยน้ำพักน้ำแรงของพี่อิลอน ทรัมป์ ที่นำพาตลาดหุ้น และตลาดคลิปโตดิ่งพสุธาในเวลาอันรวดเร็วและเรื้อรัง ด้วยว่าทั้งสองตลาดนี้ไม่ปลื้มความไม่แน่นอน และยังไม่คุ้นชินกับความไม่แน่นอน และไม่แน่ใจในผู้นำตัวเอง การแจกเงินคนไทยตาดำๆเป็นสกุลเงินดิจิตอลจึงต้องกลับมาซีเรียสจริงจังอีกครั้ง แจกคนแก่เดี๋ยวโดนโวยวายงอแงอีก แจกคนวัยกลางๆเดี๋ยวโดนจับไต๋ได้อีก งั้นแจกเด็กน้อยก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวใช้ ai ประโคมในสื่อ แนวๆอายุน้อยร้อยล้านด้วยคลิปโตเยอะๆ เด็กน้อยทั้งหลายก็อ้าปากรองับเหยื่อตัวสั่นแล้ว เอาเงินสดมาแลก เอาคลิปโตปล่อยออกไปได้หมด ถ้าได้ก้อนนี้ จะยุบสภาหรือล้มรัฐบาล บ้านฉันก็มีเศษตังไว้หว่านซื้อเสียงรอบหน้าพร้อมแล้วจ้า บ๊ะ ช่วยกันหากินเก่งจริงๆครอบครัวนี้ #ลูกเคาะพ่อแจกคลิปโตแล้วกวาดเงินสด
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • #เลวซ้ำซาก #โกง #ทุจริต #เห็นแก่ประโยชน์ #ตัวเอง #นายทุน #นักการเมือง
    #เลวซ้ำซาก #โกง #ทุจริต #เห็นแก่ประโยชน์ #ตัวเอง #นายทุน #นักการเมือง
    ปูด ลูกนักการเมืองเบอร์ใหญ่ “ส” เป็นเจ้าของตึก SKYY9 Centre หลัง “เด็ก ปชน.” กัดไม่ปล่อย จี้ถาม สปสช.ทุ่ม 7 พันล้าน ซื้อ แต่ราคาประเมินจริงแค่ 3 พันล้าน เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่

    วันนี้ (11 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน และ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ออกมาตั้งคำถามถึงการลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 ด้วยราคา 7 พันล้านบาท แต่มูลค่าจริงเพียง 3 พันล้านบาท ในปี 2565 ของกองทุนประกันสังคม (สปสช.) นั้น เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่ เพราะถือเป็นการจงใจลงทุนผิดพลาด พร้อมระบุว่า

    “ใครเป็นเจ้าของ เป็นของนักการเมืองพรรคไหน เกี่ยวข้องกับพรรคที่อยู่ในป่าหรือไม่ น่าสงสัย เพราะท่านอดีต รมว.แรงงาน ก็อยู่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อยากให้ทุกท่านได้ลองหาข้อมูลดู ตึกนี้ปรับปรุงเสร็จปี 2565 ก็พร้อมขายให้กองทุน สปส.เลย”

    แหล่งข่าวระดับสูง เปิดเผยว่า ชื่อผู้ที่ครอบครองกรรมสิทธิ์ของอาคาร SKYY9 Centre ก่อนที่จะมีการขายให้กับกองทุนประกันสังคม ในสมัยที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คือ บุตรชายของนักการเมือง “ส” ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาล และเป็นบุคคลในตำนานคนหนึ่ง เพราะแว่วว่า เป็นคนๆ เดียวกับที่เคยตกเป็นข่าวดัง ”รัฐมนตรีเบี้ยวไม่จ่ายค่าตัวหญิงบริการ” นั่นเอง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023472

    #MGROnline #SKYY9Centre #กองทุนประกันสังคม #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการไทย มักแก้ไขปัญหาแบบเหมาๆ ไม่แยก คนอยู่มาก่อน คนบุกรุก และนายทุน อีกทั้ง มักเอื้อผลประโยชน์ให้คนรวย เพราะตัวเองได้ผลประโยชน์ด้วย จริงไหม?
    https://www.youtube.com/live/leaJ-hXjGf8
    เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการไทย มักแก้ไขปัญหาแบบเหมาๆ ไม่แยก คนอยู่มาก่อน คนบุกรุก และนายทุน อีกทั้ง มักเอื้อผลประโยชน์ให้คนรวย เพราะตัวเองได้ผลประโยชน์ด้วย จริงไหม? https://www.youtube.com/live/leaJ-hXjGf8
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • "ฉัตรวรรษ" เตรียมขนทัพ 30 สว.บุก ป.ป.ช.ยื่นสอบ "ทวี-ยุทธนา" ขาดจริยธรรม จงใจกลั่นแกล้ง บอกใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ถาม DSI มีหลักฐานฮั้ว สว.ทำไมไม่ส่งให้ กกต. ถูกอำนาจอะไรครอบงำ จ่อเชิญมาแจงกมธ.องค์กรอิสระฯเร็วๆ นี้

    วันนี้(11 มี.ค.) พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. กล่าวถึงกรณี 30 สว.จะเดินทางยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เพื่อเอาผิด พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ว่า ในฐานะเป็นผู้ยื่นญัตติเรื่องนี้ตนก็จะไปเอง ทั้งนี้หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับคดีฮั้วสว.ข้อหาฟอกเงินเป็นคดีพิเศษ ก็มีประเด็นเกิดขึ้นมาอีกว่าการดำเนินการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

    “ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎหมาย แต่เป็นคนละเรื่องกับจริยธรรม ซึ่งเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา การที่พยายามจะเอาเรื่องเข้าบอร์ด และสุดท้ายมีการเลื่อนพิจารณา แสดงว่าขณะนั้นมีการรวบรวมพยานหลักฐานได้ทุกอย่างแล้ว”

    พล.ต.ต.ฉัตรวรรษกล่าวว่าอำนาจหน้าที่ของอธิบดีดีเอสไอ ก็สามารถรวบรวมหลักฐานที่มีอยู่แล้ว และส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้ โดยไม่ต้องทำเอง แต่ดีเอสไอพยายามที่จะเก็บไว้ทำอะไร และไปกล่าวหาว่า กกต.ล่าช้า ตัวเองได้รับเรื่องร้องเรียนมาตั้งแต่กันยายน ตุลาคม รวบรวมพยานหลักฐานได้เป็นหมื่นเป็นแสน ถามว่าทำไมไม่ส่งกกต. ถูกอำนาจอะไรครอบงำอยู่ถึงไม่ส่ง กกต. พอเข้าบอร์ดแล้วบอร์ดไม่รับแสดงว่าความผิดยังไม่สำเร็จ แสดงว่าขาดจริยธรรมจงใจกลั่นแกล้ง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023343

    #MGROnline #DSI #ฉัตรวรรษ
    "ฉัตรวรรษ" เตรียมขนทัพ 30 สว.บุก ป.ป.ช.ยื่นสอบ "ทวี-ยุทธนา" ขาดจริยธรรม จงใจกลั่นแกล้ง บอกใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ถาม DSI มีหลักฐานฮั้ว สว.ทำไมไม่ส่งให้ กกต. ถูกอำนาจอะไรครอบงำ จ่อเชิญมาแจงกมธ.องค์กรอิสระฯเร็วๆ นี้ • วันนี้(11 มี.ค.) พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. กล่าวถึงกรณี 30 สว.จะเดินทางยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เพื่อเอาผิด พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ว่า ในฐานะเป็นผู้ยื่นญัตติเรื่องนี้ตนก็จะไปเอง ทั้งนี้หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับคดีฮั้วสว.ข้อหาฟอกเงินเป็นคดีพิเศษ ก็มีประเด็นเกิดขึ้นมาอีกว่าการดำเนินการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ • “ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎหมาย แต่เป็นคนละเรื่องกับจริยธรรม ซึ่งเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา การที่พยายามจะเอาเรื่องเข้าบอร์ด และสุดท้ายมีการเลื่อนพิจารณา แสดงว่าขณะนั้นมีการรวบรวมพยานหลักฐานได้ทุกอย่างแล้ว” • พล.ต.ต.ฉัตรวรรษกล่าวว่าอำนาจหน้าที่ของอธิบดีดีเอสไอ ก็สามารถรวบรวมหลักฐานที่มีอยู่แล้ว และส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้ โดยไม่ต้องทำเอง แต่ดีเอสไอพยายามที่จะเก็บไว้ทำอะไร และไปกล่าวหาว่า กกต.ล่าช้า ตัวเองได้รับเรื่องร้องเรียนมาตั้งแต่กันยายน ตุลาคม รวบรวมพยานหลักฐานได้เป็นหมื่นเป็นแสน ถามว่าทำไมไม่ส่งกกต. ถูกอำนาจอะไรครอบงำอยู่ถึงไม่ส่ง กกต. พอเข้าบอร์ดแล้วบอร์ดไม่รับแสดงว่าความผิดยังไม่สำเร็จ แสดงว่าขาดจริยธรรมจงใจกลั่นแกล้ง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023343 • #MGROnline #DSI #ฉัตรวรรษ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • นิทาน "เจ้าชายอะลาดิน-เจ้าหญิงอินฟลู" ยังไม่จบ หลังคู่กรณีโผล่เปิดหน้าแฉ "ฉลามจัส" เป็นคนเข้าหาก่อน ขอทุกอย่าง ผิดก็ตามง้อ แถมบอกคบ "มิกซ์ เฉลิมศรี" แค่คอนเทนต์ ย้อนดูประวัติพบเจ้าตัวเคยมีเรื่องกับ "ไบร์ท วชิรวิชญ์"

    กรณีสังคมออนไลน์มีการแชร์นิทานเจ้าชายอะลาดินกับเจ้าหญิงอินฟลูถูกแฟนเก่าออกมาทวงหนี้หลักล้าน ก่อน "ดุลยวัต แก้วศรียงค์" หรือ "ฉลามจัส" นักว่ายน้ำดีกรีทีมชาติจะออกมาเผยข้อมูลอีกมุมโดยบอกว่าถูกคู่กรณีเป็นคนเสนอให้ทุกอย่างกับตัวเองแถมตามตื๊อไม่เลิก

    ขณะที่แฟนสาวยูทูบเบอร์ "มิกซ์ เฉลิมศรี" หรือ "วันเฉลิม จำเนียรพล" ก็เผยว่ารู้เรื่องนี้มาตลอดเพราะแฟนหนุ่มนักว่ายน้ำเล่าให้ฟังทั้งหมด

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023351

    #MGROnline #เจ้าชายอะลาดิน #เจ้าหญิงอินฟลู #แฟนเก่า
    นิทาน "เจ้าชายอะลาดิน-เจ้าหญิงอินฟลู" ยังไม่จบ หลังคู่กรณีโผล่เปิดหน้าแฉ "ฉลามจัส" เป็นคนเข้าหาก่อน ขอทุกอย่าง ผิดก็ตามง้อ แถมบอกคบ "มิกซ์ เฉลิมศรี" แค่คอนเทนต์ ย้อนดูประวัติพบเจ้าตัวเคยมีเรื่องกับ "ไบร์ท วชิรวิชญ์" • กรณีสังคมออนไลน์มีการแชร์นิทานเจ้าชายอะลาดินกับเจ้าหญิงอินฟลูถูกแฟนเก่าออกมาทวงหนี้หลักล้าน ก่อน "ดุลยวัต แก้วศรียงค์" หรือ "ฉลามจัส" นักว่ายน้ำดีกรีทีมชาติจะออกมาเผยข้อมูลอีกมุมโดยบอกว่าถูกคู่กรณีเป็นคนเสนอให้ทุกอย่างกับตัวเองแถมตามตื๊อไม่เลิก • ขณะที่แฟนสาวยูทูบเบอร์ "มิกซ์ เฉลิมศรี" หรือ "วันเฉลิม จำเนียรพล" ก็เผยว่ารู้เรื่องนี้มาตลอดเพราะแฟนหนุ่มนักว่ายน้ำเล่าให้ฟังทั้งหมด • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023351 • #MGROnline #เจ้าชายอะลาดิน #เจ้าหญิงอินฟลู #แฟนเก่า
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • ทนายเดรัฐฉาน ปลอบใจตัวเองด้วยการเตือนแฟนคลับอย่าทำผิดจนต้องติดคุก ที่แท้ตัวมันเองแหละที่หวาดผวาการไปนอนซังเต
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    ทนายเดรัฐฉาน ปลอบใจตัวเองด้วยการเตือนแฟนคลับอย่าทำผิดจนต้องติดคุก ที่แท้ตัวมันเองแหละที่หวาดผวาการไปนอนซังเต #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Haha
    2
    0 Comments 1 Shares 176 Views 0 Reviews
  • ความก้าวหน้าใหม่ใน Google Calendar กับการรวมเทคโนโลยี AI ของ Google Gemini เข้ามาใช้งาน โดย Gemini จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการตารางเวลาผ่านคำสั่งภาษาธรรมชาติได้ เช่น การถามว่า "การประชุมครั้งต่อไปกับผู้จัดการคือเมื่อไหร่?" หรือ การเพิ่มกิจกรรมใหม่เพียงแค่พูดว่า "เพิ่มนัดหมายกับหมอฟันตอนบ่ายสองวันศุกร์" ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาหรือพิมพ์ข้อมูลแบบเดิม

    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ Gemini ใน Google Calendar ยังอยู่ในขั้นทดลองผ่าน Google Workspace Labs ซึ่งผู้ใช้ต้องสมัครเพื่อทดสอบฟีเจอร์ และจะมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ยังไม่รองรับการเชิญคนเข้าร่วมงานอัตโนมัติ และใช้งานได้เฉพาะในเว็บเบราว์เซอร์เท่านั้น

    ฟีเจอร์เด่นคือความสะดวกในการจัดการตารางอย่างรวดเร็ว แต่ในแง่ความน่าเชื่อถือยังต้องตรวจสอบข้อมูลด้วยตัวเองอยู่เสมอ เนื่องจาก AI อาจทำผิดพลาดได้ เช่น การแปลความหมายผิดจากคำสั่งเล็กน้อย

    ในมุมมองเพิ่มเติม การนำ AI มาช่วยจัดการเวลานั้นสะท้อนถึงแนวโน้มของเทคโนโลยีที่ผสานความสามารถของมนุษย์และเครื่องจักร เพื่อทำให้ชีวิตประจำวันสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณคิดว่าฟีเจอร์นี้จะช่วยลดภาระในชีวิตประจำวันของคุณได้แค่ไหน?

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/gemini-is-coming-to-google-calendar-heres-how-it-will-work-and-how-to-try-it-now
    ความก้าวหน้าใหม่ใน Google Calendar กับการรวมเทคโนโลยี AI ของ Google Gemini เข้ามาใช้งาน โดย Gemini จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการตารางเวลาผ่านคำสั่งภาษาธรรมชาติได้ เช่น การถามว่า "การประชุมครั้งต่อไปกับผู้จัดการคือเมื่อไหร่?" หรือ การเพิ่มกิจกรรมใหม่เพียงแค่พูดว่า "เพิ่มนัดหมายกับหมอฟันตอนบ่ายสองวันศุกร์" ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาหรือพิมพ์ข้อมูลแบบเดิม อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ Gemini ใน Google Calendar ยังอยู่ในขั้นทดลองผ่าน Google Workspace Labs ซึ่งผู้ใช้ต้องสมัครเพื่อทดสอบฟีเจอร์ และจะมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ยังไม่รองรับการเชิญคนเข้าร่วมงานอัตโนมัติ และใช้งานได้เฉพาะในเว็บเบราว์เซอร์เท่านั้น ฟีเจอร์เด่นคือความสะดวกในการจัดการตารางอย่างรวดเร็ว แต่ในแง่ความน่าเชื่อถือยังต้องตรวจสอบข้อมูลด้วยตัวเองอยู่เสมอ เนื่องจาก AI อาจทำผิดพลาดได้ เช่น การแปลความหมายผิดจากคำสั่งเล็กน้อย ในมุมมองเพิ่มเติม การนำ AI มาช่วยจัดการเวลานั้นสะท้อนถึงแนวโน้มของเทคโนโลยีที่ผสานความสามารถของมนุษย์และเครื่องจักร เพื่อทำให้ชีวิตประจำวันสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณคิดว่าฟีเจอร์นี้จะช่วยลดภาระในชีวิตประจำวันของคุณได้แค่ไหน? https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/gemini-is-coming-to-google-calendar-heres-how-it-will-work-and-how-to-try-it-now
    0 Comments 0 Shares 80 Views 0 Reviews
  • เมื่อสองวันก่อน อยู่ดีๆ ยูทูปก็โผล่คลิปสั้นจากเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> มาให้ดูจน Storyฯ น้ำตาร่วงเผาะ วันนี้เลยเอามาแบ่งปันเผื่อว่าเพื่อนเพจจะ ‘อิน’ ตามไปด้วย

    เป็นฉากที่หรูอี้เอ่ยกับเฉียนหลงฮ่องเต้ว่า “ทรงทราบถึงวลี ‘หลันอินซวี่กั่ว’ หรือไม่เพคะ? วลีนี้... ตอนหม่อมฉันเรียนเมื่อยังเด็กได้แต่รู้สึกเสียใจเสียดาย แต่วันนี้หม่อมฉันเข้าใจแล้ว... บุปผาผลิบานแล้วโรยร่วงตามเวลาของมัน...” (หมายเหตุ ถอดบทสนทนามาจากในละคร แต่ Storyฯ แปลเองจ้า) เป็นประโยคที่สร้างความเจ็บปวดให้กับเฉียนหลงในภายหลังไม่น้อย

    ทั้ง ‘หลันอินซวี่กั่ว’ และ “บุปผาผลิบานแล้วโรยร่วงตามเวลาของมัน” ล้วนเป็นประโยคเด็ดที่มีมาแต่วรรณกรรมโบราณ และมีเรื่องราวให้เล่าถึง แต่อาจต้องแบ่งคุยเป็นสองตอน

    วันนี้คุยกันเรื่องวลี ‘หลันอินซวี่กั่ว’ (兰因絮果) ซึ่งเป็นสุภาษิตจีน บางทีสลับตำแหน่งเป็น ‘ซวี่กั่วหลันอิน’ ก็ได้ ความหมายของมันเป็นดังที่ในละครมีอธิบายไว้ว่า หมายถึงชีวิตคู่ที่เริ่มต้นสวยงามแต่จบลงอย่างขมขื่น เป็นวลีที่แปลยาก เพราะ ‘หลัน’ อาจแปลว่าดอกกล้วยไม้ (หลันฮวา) หรือดอกแม็กโนเลีย (อวี้หลันหรือมู่หลัน) และ ‘ซวี่’ แปลว่าปุยฝ้ายหรือดอกของต้นหลิ่วเรียกว่า ‘หลิ่วซวี่’ ส่วน ‘อิน’ นั้นแปลว่าต้นตอหรือสาเหตุ และ ‘กั่ว’ คือผล ดังนั้น วลีนี้แปลตรงตัวไม่ได้เพราะมันเป็นวลีเชิงอุปมาอุปไมย เลยขอเล่าความเป็นมาของมันก่อน เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

    ที่มาของการเรียกชีวิตคู่ที่หวานชื่นว่า ‘หลันอิน’ นั้น เป็นเรื่องราวในยุคสมัยชุนชิวของเจิ้งเหวินกง เจ้าผู้ปกครองแคว้นเจิ้งและอนุภรรยานามว่าเยี่ยนจี๋ นางผู้นี้มาจากเมืองเล็กๆ และเป็นอนุภรรยาที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเจิ้งเหวินกง แต่ต่อมานางฝันว่ามีเทพธิดานำดอกหลันฮวามามอบให้และบอกว่าดอกไม้นี้จะทำให้นางได้รับความรักจากเจิ้งเหวินกงและจะได้บุตรที่โดดเด่นมาเป็นผู้สืบทอดแผ่นดินต่อไป ครั้นวันถัดไปนางได้พบกับเจิ้งเหวินกงโดยบังเอิญก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้เจิ้งเหวินกงฟัง ก่อเกิดเป็นความสนใจในตัวนาง จนต่อมานางได้เป็นที่โปรดปรานมากมายของเจิ้งเหวินกง และภายหลังคลอดบุตรชายนามว่า ‘หลัน’ เรื่องนี้จึงเป็นการเล่าขานกันต่อในแง่ที่ว่าเป็นความรักที่งอกงามอันมีสาเหตุมาจากดอกหลันฮวาหรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘หลันอิน’ นั่นเอง และ ‘หลันอิน’ ถูกนำมาใช้ในบทประพันธ์ไม่น้อยเพื่อเรียกการครองคู่ที่เกิดขึ้นจากความรักอันสุกงอม

    มีเรื่องเล่าต่อมาว่า เจิ้งเหวินกงมีอนุภรรยามากมาย ความโปรดปรานในตัวเยี่ยนจี๋ลดเลือนไปตามกาลเวลา อีกทั้งเขาเป็นคนอำมหิต เพื่อรักษาอำนาจของตัวเองถึงกับฆ่าลูกชายไปสองคน ส่วนเจิ้งหลันนั้นถูกขับออกจากแคว้น แต่ต่อมาได้กลับมาครองแคว้นเจิ้งในที่สุด เป็นที่รู้จักกันในนามเจิ้งมู่กง ภายใต้การปกครองของเจิ้งมู่กงและลูกชายของเขา แคว้นเจิ้งกลายเป็นหนึ่งในแคว้นที่เข้มแข็งที่สุดของยุคสมัยนั้น

    ส่วนคำว่า ‘ซวี่’ นั้น ว่ากันว่าแรกเริ่มมาจากบทกวีของหลานสาวของเซี่ยไท่ฟู่ (ไท่ฟู่คือตำแหน่งราชครู) ในสมัยราชวงศ์จิ้น ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นสตรีที่เชี่ยวชาญด้านอักษร นางเปรียบเปรยหิมะขาวที่โปรยปรายด้วยวลีที่ว่า ‘ดุจดอกหลิ่วเริงระบำในสายลม’ (未若柳絮因风起) (ขอเรียกว่าดอก แต่จริงๆ เป็นเมล็ดของต้นหลิ่ว)

    ต่อมา ‘ซวี่กั่ว’ และ ‘หลันอินซวี่กั่ว’ ปรากฏขึ้นในบทประพันธ์ยุคสมัยชิง เป็นส่วนหนึ่งของวลีที่ว่า ‘หลันอินซวี่กั่ว เซี่ยนเยี่ยสุยเซิน’ (兰因絮果, 现业谁深) Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงประโยคนี้ว่า ‘รักแรกผลิบานงดงามดุจหลันฮวา สุดท้ายมลายหายดุจดอกหลิ่วพลิ้วสลาย ผู้ใดเล่าจะกล่าวได้ว่า สลักลึกลงบนใจผู้ใดมากกว่ากัน’

    ‘หลันอินซวี่กั่ว’ ในเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> จึงเป็นการสรุปเรื่องราวความรักของเฉียนหลงและหรูอี้ได้อย่างชัดเจนด้วยอักษรเพียงสี่ตัว

    เพื่อให้อินกับประโยคนี้ ขอเชิญเพื่อนเพจหลับตาและนึกภาพดอกไม้ผลิบานพร้อมกับรอยยิ้มสุขสดชื่นให้แก่กันของหรูอี้และเฉียนหลงในละคร แล้วตัดมาเป็นภาพปุยสีขาวๆ ที่ถูกสายลมพัดแตกไปพร้อมๆ กับภาพของหรูอี้ที่สิ้นลมอย่างสงบข้างๆ กระถางต้นเหมยที่แห้งกรอบ...

    “คัท!” อาทิตย์หน้ามาคุยกันต่อกับประโยคถัดไปที่ว่า ‘บุปผาผลิบานแล้วโรยร่วงตามเวลาของมัน’ ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://okapi.books.com.tw/article/11422
    https://ent.tom.com/201807/1011240093.html
    https://www.sohu.com/a/230867588_100149137
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.xiumu.cn/ts/2018/0824/4278239.html
    https://www.163.com/dy/article/G0GD3GUH0537ML11.html
    https://baike.baidu.com/item/未若柳絮因风起/8776864

    #หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์ #หลันอินซวี่กั่ว #เจิ้งเหวินกง #เยี่ยนจี๋
    เมื่อสองวันก่อน อยู่ดีๆ ยูทูปก็โผล่คลิปสั้นจากเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> มาให้ดูจน Storyฯ น้ำตาร่วงเผาะ วันนี้เลยเอามาแบ่งปันเผื่อว่าเพื่อนเพจจะ ‘อิน’ ตามไปด้วย เป็นฉากที่หรูอี้เอ่ยกับเฉียนหลงฮ่องเต้ว่า “ทรงทราบถึงวลี ‘หลันอินซวี่กั่ว’ หรือไม่เพคะ? วลีนี้... ตอนหม่อมฉันเรียนเมื่อยังเด็กได้แต่รู้สึกเสียใจเสียดาย แต่วันนี้หม่อมฉันเข้าใจแล้ว... บุปผาผลิบานแล้วโรยร่วงตามเวลาของมัน...” (หมายเหตุ ถอดบทสนทนามาจากในละคร แต่ Storyฯ แปลเองจ้า) เป็นประโยคที่สร้างความเจ็บปวดให้กับเฉียนหลงในภายหลังไม่น้อย ทั้ง ‘หลันอินซวี่กั่ว’ และ “บุปผาผลิบานแล้วโรยร่วงตามเวลาของมัน” ล้วนเป็นประโยคเด็ดที่มีมาแต่วรรณกรรมโบราณ และมีเรื่องราวให้เล่าถึง แต่อาจต้องแบ่งคุยเป็นสองตอน วันนี้คุยกันเรื่องวลี ‘หลันอินซวี่กั่ว’ (兰因絮果) ซึ่งเป็นสุภาษิตจีน บางทีสลับตำแหน่งเป็น ‘ซวี่กั่วหลันอิน’ ก็ได้ ความหมายของมันเป็นดังที่ในละครมีอธิบายไว้ว่า หมายถึงชีวิตคู่ที่เริ่มต้นสวยงามแต่จบลงอย่างขมขื่น เป็นวลีที่แปลยาก เพราะ ‘หลัน’ อาจแปลว่าดอกกล้วยไม้ (หลันฮวา) หรือดอกแม็กโนเลีย (อวี้หลันหรือมู่หลัน) และ ‘ซวี่’ แปลว่าปุยฝ้ายหรือดอกของต้นหลิ่วเรียกว่า ‘หลิ่วซวี่’ ส่วน ‘อิน’ นั้นแปลว่าต้นตอหรือสาเหตุ และ ‘กั่ว’ คือผล ดังนั้น วลีนี้แปลตรงตัวไม่ได้เพราะมันเป็นวลีเชิงอุปมาอุปไมย เลยขอเล่าความเป็นมาของมันก่อน เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ที่มาของการเรียกชีวิตคู่ที่หวานชื่นว่า ‘หลันอิน’ นั้น เป็นเรื่องราวในยุคสมัยชุนชิวของเจิ้งเหวินกง เจ้าผู้ปกครองแคว้นเจิ้งและอนุภรรยานามว่าเยี่ยนจี๋ นางผู้นี้มาจากเมืองเล็กๆ และเป็นอนุภรรยาที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเจิ้งเหวินกง แต่ต่อมานางฝันว่ามีเทพธิดานำดอกหลันฮวามามอบให้และบอกว่าดอกไม้นี้จะทำให้นางได้รับความรักจากเจิ้งเหวินกงและจะได้บุตรที่โดดเด่นมาเป็นผู้สืบทอดแผ่นดินต่อไป ครั้นวันถัดไปนางได้พบกับเจิ้งเหวินกงโดยบังเอิญก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้เจิ้งเหวินกงฟัง ก่อเกิดเป็นความสนใจในตัวนาง จนต่อมานางได้เป็นที่โปรดปรานมากมายของเจิ้งเหวินกง และภายหลังคลอดบุตรชายนามว่า ‘หลัน’ เรื่องนี้จึงเป็นการเล่าขานกันต่อในแง่ที่ว่าเป็นความรักที่งอกงามอันมีสาเหตุมาจากดอกหลันฮวาหรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘หลันอิน’ นั่นเอง และ ‘หลันอิน’ ถูกนำมาใช้ในบทประพันธ์ไม่น้อยเพื่อเรียกการครองคู่ที่เกิดขึ้นจากความรักอันสุกงอม มีเรื่องเล่าต่อมาว่า เจิ้งเหวินกงมีอนุภรรยามากมาย ความโปรดปรานในตัวเยี่ยนจี๋ลดเลือนไปตามกาลเวลา อีกทั้งเขาเป็นคนอำมหิต เพื่อรักษาอำนาจของตัวเองถึงกับฆ่าลูกชายไปสองคน ส่วนเจิ้งหลันนั้นถูกขับออกจากแคว้น แต่ต่อมาได้กลับมาครองแคว้นเจิ้งในที่สุด เป็นที่รู้จักกันในนามเจิ้งมู่กง ภายใต้การปกครองของเจิ้งมู่กงและลูกชายของเขา แคว้นเจิ้งกลายเป็นหนึ่งในแคว้นที่เข้มแข็งที่สุดของยุคสมัยนั้น ส่วนคำว่า ‘ซวี่’ นั้น ว่ากันว่าแรกเริ่มมาจากบทกวีของหลานสาวของเซี่ยไท่ฟู่ (ไท่ฟู่คือตำแหน่งราชครู) ในสมัยราชวงศ์จิ้น ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นสตรีที่เชี่ยวชาญด้านอักษร นางเปรียบเปรยหิมะขาวที่โปรยปรายด้วยวลีที่ว่า ‘ดุจดอกหลิ่วเริงระบำในสายลม’ (未若柳絮因风起) (ขอเรียกว่าดอก แต่จริงๆ เป็นเมล็ดของต้นหลิ่ว) ต่อมา ‘ซวี่กั่ว’ และ ‘หลันอินซวี่กั่ว’ ปรากฏขึ้นในบทประพันธ์ยุคสมัยชิง เป็นส่วนหนึ่งของวลีที่ว่า ‘หลันอินซวี่กั่ว เซี่ยนเยี่ยสุยเซิน’ (兰因絮果, 现业谁深) Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงประโยคนี้ว่า ‘รักแรกผลิบานงดงามดุจหลันฮวา สุดท้ายมลายหายดุจดอกหลิ่วพลิ้วสลาย ผู้ใดเล่าจะกล่าวได้ว่า สลักลึกลงบนใจผู้ใดมากกว่ากัน’ ‘หลันอินซวี่กั่ว’ ในเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> จึงเป็นการสรุปเรื่องราวความรักของเฉียนหลงและหรูอี้ได้อย่างชัดเจนด้วยอักษรเพียงสี่ตัว เพื่อให้อินกับประโยคนี้ ขอเชิญเพื่อนเพจหลับตาและนึกภาพดอกไม้ผลิบานพร้อมกับรอยยิ้มสุขสดชื่นให้แก่กันของหรูอี้และเฉียนหลงในละคร แล้วตัดมาเป็นภาพปุยสีขาวๆ ที่ถูกสายลมพัดแตกไปพร้อมๆ กับภาพของหรูอี้ที่สิ้นลมอย่างสงบข้างๆ กระถางต้นเหมยที่แห้งกรอบ... “คัท!” อาทิตย์หน้ามาคุยกันต่อกับประโยคถัดไปที่ว่า ‘บุปผาผลิบานแล้วโรยร่วงตามเวลาของมัน’ ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://okapi.books.com.tw/article/11422 https://ent.tom.com/201807/1011240093.html https://www.sohu.com/a/230867588_100149137 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.xiumu.cn/ts/2018/0824/4278239.html https://www.163.com/dy/article/G0GD3GUH0537ML11.html https://baike.baidu.com/item/未若柳絮因风起/8776864 #หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์ #หลันอินซวี่กั่ว #เจิ้งเหวินกง #เยี่ยนจี๋
    OKAPI.BOOKS.COM.TW
    個人意見:演出深情演得最好也最落力的,往往都是渣男──《如懿傳》教會我的事
    《如懿傳》講的就是婚姻。該宮鬥的情節雖一樣不少,但心機只是這部小說的點綴,真正著力的...
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • ทหารหน่วยรบพิเศษรัสเซียมุดสายท่อส่งก๊าซเป็นระยะทาง 15 กิโลเมตร แล้วโผล่ออกมาตีตลบหลังกองทหารยูเครนที่บุกเข้าไปยึดพื้นที่ในแคว้นคูร์สก์ของแดนหมีขาวมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน มอสโกอ้างด้วยว่าสามารถยึดพื้นที่ใหม่ๆ เพิ่มเติมในการรุกขับไล่ชิงดินแดนคืนและโอบล้อมข้าศึกที่แคว้นประชิดชายแดนยูเครนแห่งนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเข้าครองหมู่บ้านในแคว้นซูมีของยูเครนได้เป็นครั้งแรกนับจากปี 2022 อีกด้วย
    .
    กองทหารยูเครนบุกข้ามแดนเข้าสู่แคว้นคูร์สก์ของรัสเซียเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ถือเป็นเหตุการณ์ทหารต่างชาติโจมตีเข้าสู่แดนหมีขาวครั้งใหญ่ที่สุดนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และภายในไม่กี่วันก็สามารถยึดดินแดนได้ถึง 1,000 ตารางเมตร ซึ่งรวมถึงซุดซาที่เป็นเมืองยุทธศาสตร์ใกล้ชายแดน รวมทั้งจับเชลยศึกรัสเซียได้หลายร้อยคน
    .
    เคียฟหมายมั่นใช้ความสำเร็จคราวนี้เป็นหมากต่อรองหากมีการเจรจาสันติภาพเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งมุ่งสร้างแรงบีบคั้นให้รัสเซียถอนทหารออกจากแนวรบในยูเครนตะวันออก กลับมาป้องกันดินแดนของตัวเอง
    .
    ทว่า หลายเดือนนับจากนั้น ทหารยูเครนในคูร์สก์ตกอยู่ในสภาพทั้งเหนื่อยล้าและบาดเจ็บล้มตาย จากการถูกโจมตีอย่างไม่ลดละจากกองทหารมากกว่า 50,000 นายที่ส่วนหนึ่งเป็นทหารเกาหลีเหนือ เวลานี้ทหารยูเครนหลายหมื่นคนยังกำลังอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกปิดล้อม ทั้งนี้เมื่อดูจากแผนที่ของสมรภูมิซึ่งมาจากพวกแหล่งข่าวโอเพ่นซอร์ส รายงานข่าวของเอพีระบุ
    .
    ขณะที่รอยเตอร์รายงานเช่นกันว่า จนถึงช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัสเซียสามารถยึดพื้นที่ในแคว้นคูร์สก์คืนไปได้อย่างน้อย 800 ตารางกิโลเมตร และระยะไม่กี่วันมานี้ได้เปิดฉากโจมตีจากหลายทิศทางพร้อมกันเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงเสบียงอาวุธ ตลอดจนเส้นทางที่ยูเครนอาจใช้ในการล่าถอย
    .
    สำหรับเหตุการณ์การโจมตีระทึกใจล่าสุด เอพีรายงานโดยอ้าง ยูริ โปโดลยากา บล็อกเกอร์สที่เกิดในยูเครนแต่เป็นฝ่ายสนับสนุนเครมลิน โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเทเลแกรมเมื่อคืนวันเสาร์ (8 มี.ค.) ระบุว่า กองทหารหน่วยรบพิเศษของรัสเซีย ได้เดินกันเป็นระยะทางราว 15 กิโลเมตรภายในสายท่อส่งก๊าซ ซึ่งมอสโกเคยใช้ส่งก๊าซธรรมชาติไปให้แก่ยุโรปจนกระทั่งมีอันยุติลงเมื่อไม่นานมานี้ ทหารรัสเซียเหล่านี้บางส่วนอยู่ภายในท่อส่งก๊าซซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.4 เมตรนี้เป็นเวลาหลายวัน ก่อนที่จะโผล่ออกมาโจมตีหน่วยทหารยูเครนจากทางด้านหลัง ในบริเวณใกล้ๆ เมืองซุดซา
    .
    เอพีอ้างบล็อกเกอร์สงครามอีกคนที่ใช้นามแฝงว่า ทู เมเจอร์ส ระบุว่า ขณะนี้มีการสู้รบดุเดือดเพื่อแย่งชิงซุดซา และกองกำลังรัสเซียสามารถบุกเข้าเมืองผ่านทางท่อส่งก๊าซ นอกจากนั้น ช่องรายการของเทเลแกรมหลายช่องมีการเผยแพร่ภาพหน่วยรบพิเศษรัสเซียซึ่งสวมหน้ากากป้องกันก๊าซ เคลื่อนที่ไปตามสิ่งที่ดูเหมือนเป็นด้านในของท่อขนาดใหญ่
    .
    ทางด้านกรมเสนาธิการใหญ่กองทัพยูเครนแถลงยืนยันเมื่อค่ำวันเสาร์ แต่ระบุว่า พวกกลุ่มก่อวินาศกรรมและรุกโจมตีของรัสเซียใช้ท่อส่งก๊าซเป็นเส้นทางเดินทางเพื่อเข้ายึดพื้นที่ด้านนอกของซุดซา ทว่า ยูเครนตรวจพบทันเวลาและโจมตีด้วยจรวดและปืนใหญ่จนสามารถปิดกั้นและทำลายทหารเหล่านั้น และย้ำว่า รัสเซียสูญเสียหนักมากในซุดซา
    .
    เอพีรายงานว่า ยังมีบล็อกเกอร์สงครามของรัสเซียคนที่ 3 ที่กล่าวว่า ตัวเขาเป็นทหารและใช้รหัส “13” ในการสื่อสารทางวิทยุ เล่าเรื่องว่า กองกำลังฝ่ายเข้าโจมตีขาดการสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุง จึงโจมตีไม่สำเร็จ โดยบล็อกเกอร์ผู้นี้อ้างว่า ฝ่ายเข้าโจมตี 2 ถึง 3 กลุ่มที่อยู่ด้านหลัง ขาดแคลนทั้งอาหาร น้ำ เครื่องกระสุน การสื่อสาร อุปกรณ์ชาร์จไฟ เพาเวอร์แบงก์ อีกทั้งไม่อาจติดต่อกับกองกำลังหลัก ตลอดจนไม่สามารถอพยพทหารที่บาดเจ็บได้ ซึ่งถือเป็นหายนะอย่างแท้จริง
    .
    อย่างไรก็ดี เอพีเตือนว่า ตนเองไม่สามารถตรวจสอบยืนยันข้อมูลเหล่านี้ได้
    .
    ขณะที่สำนักข่าวเอเอฟพีที่รายงานเรื่องรัสเซียเคลื่อนพลผ่านท่อส่งก๊าซเข้าโจมตีซุดซาเช่นกัน อ้างพวกบล็อกเกอร์ฝ่ายรัสเซียระบุว่า การโจมตีคราวนี้ประสบความสำเร็จ กองทหารนี้บรรลุวัตถุประสงค์ของพวกเขา และการสู้รบยังคงดำเนินอยู่ที่ซุดซา
    .
    สำหรับทางการรัสเซียเองนั้น ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการโจมตีโดยมุดสายท่อส่งก๊าซนี้ แต่ต่อมาในวันอาทิตย์ (9 ) กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่า กองทหารรัสเซียสามารถยึดหมู่บ้าน 4 แห่งทางเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของซุดซาได้ โดยหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากใจกลางเมืองราว 12 กิโลเมตร หลังจากก่อนหน้านั้นเข้ายึดหมู่บ้านคืนได้ 3 แห่งใกล้เมืองซุดซาเมื่อวันเสาร์ ขณะที่ฝ่ายยูเครนไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกล่าวอ้างเหล่านี้
    .
    วันเดียวกันนั้น กระทรวงกลาโหมรัสเซียยังประกาศว่า สามารถยึดโนเวนกี ซึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กแห่งหนึ่งในแคว้นซูมีของยูเครนที่อยู่ห่างจากคูร์สก์เพียง 1 กิโลเมตร และทำให้เข้าใกล้เส้นทางขนส่งกำลังบำรุงหลักของยูเครนมากขึ้น ทั้งนี้รัสเซียเคยยึดครองหลายส่วนของแคว้นซูมีได้ในตอนเริ่มต้นการรุกรานเมื่อปี 2022 แต่หลังจากต้องถอยกลับไปแล้วก็ไม่เคยยึดพื้นที่ใดๆ ในแคว้นนี้ได้อีกเลยจนกระทั่งมาถึงตอนนี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023254
    ..............
    Sondhi X
    ทหารหน่วยรบพิเศษรัสเซียมุดสายท่อส่งก๊าซเป็นระยะทาง 15 กิโลเมตร แล้วโผล่ออกมาตีตลบหลังกองทหารยูเครนที่บุกเข้าไปยึดพื้นที่ในแคว้นคูร์สก์ของแดนหมีขาวมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน มอสโกอ้างด้วยว่าสามารถยึดพื้นที่ใหม่ๆ เพิ่มเติมในการรุกขับไล่ชิงดินแดนคืนและโอบล้อมข้าศึกที่แคว้นประชิดชายแดนยูเครนแห่งนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเข้าครองหมู่บ้านในแคว้นซูมีของยูเครนได้เป็นครั้งแรกนับจากปี 2022 อีกด้วย . กองทหารยูเครนบุกข้ามแดนเข้าสู่แคว้นคูร์สก์ของรัสเซียเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ถือเป็นเหตุการณ์ทหารต่างชาติโจมตีเข้าสู่แดนหมีขาวครั้งใหญ่ที่สุดนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และภายในไม่กี่วันก็สามารถยึดดินแดนได้ถึง 1,000 ตารางเมตร ซึ่งรวมถึงซุดซาที่เป็นเมืองยุทธศาสตร์ใกล้ชายแดน รวมทั้งจับเชลยศึกรัสเซียได้หลายร้อยคน . เคียฟหมายมั่นใช้ความสำเร็จคราวนี้เป็นหมากต่อรองหากมีการเจรจาสันติภาพเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งมุ่งสร้างแรงบีบคั้นให้รัสเซียถอนทหารออกจากแนวรบในยูเครนตะวันออก กลับมาป้องกันดินแดนของตัวเอง . ทว่า หลายเดือนนับจากนั้น ทหารยูเครนในคูร์สก์ตกอยู่ในสภาพทั้งเหนื่อยล้าและบาดเจ็บล้มตาย จากการถูกโจมตีอย่างไม่ลดละจากกองทหารมากกว่า 50,000 นายที่ส่วนหนึ่งเป็นทหารเกาหลีเหนือ เวลานี้ทหารยูเครนหลายหมื่นคนยังกำลังอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกปิดล้อม ทั้งนี้เมื่อดูจากแผนที่ของสมรภูมิซึ่งมาจากพวกแหล่งข่าวโอเพ่นซอร์ส รายงานข่าวของเอพีระบุ . ขณะที่รอยเตอร์รายงานเช่นกันว่า จนถึงช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัสเซียสามารถยึดพื้นที่ในแคว้นคูร์สก์คืนไปได้อย่างน้อย 800 ตารางกิโลเมตร และระยะไม่กี่วันมานี้ได้เปิดฉากโจมตีจากหลายทิศทางพร้อมกันเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงเสบียงอาวุธ ตลอดจนเส้นทางที่ยูเครนอาจใช้ในการล่าถอย . สำหรับเหตุการณ์การโจมตีระทึกใจล่าสุด เอพีรายงานโดยอ้าง ยูริ โปโดลยากา บล็อกเกอร์สที่เกิดในยูเครนแต่เป็นฝ่ายสนับสนุนเครมลิน โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเทเลแกรมเมื่อคืนวันเสาร์ (8 มี.ค.) ระบุว่า กองทหารหน่วยรบพิเศษของรัสเซีย ได้เดินกันเป็นระยะทางราว 15 กิโลเมตรภายในสายท่อส่งก๊าซ ซึ่งมอสโกเคยใช้ส่งก๊าซธรรมชาติไปให้แก่ยุโรปจนกระทั่งมีอันยุติลงเมื่อไม่นานมานี้ ทหารรัสเซียเหล่านี้บางส่วนอยู่ภายในท่อส่งก๊าซซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.4 เมตรนี้เป็นเวลาหลายวัน ก่อนที่จะโผล่ออกมาโจมตีหน่วยทหารยูเครนจากทางด้านหลัง ในบริเวณใกล้ๆ เมืองซุดซา . เอพีอ้างบล็อกเกอร์สงครามอีกคนที่ใช้นามแฝงว่า ทู เมเจอร์ส ระบุว่า ขณะนี้มีการสู้รบดุเดือดเพื่อแย่งชิงซุดซา และกองกำลังรัสเซียสามารถบุกเข้าเมืองผ่านทางท่อส่งก๊าซ นอกจากนั้น ช่องรายการของเทเลแกรมหลายช่องมีการเผยแพร่ภาพหน่วยรบพิเศษรัสเซียซึ่งสวมหน้ากากป้องกันก๊าซ เคลื่อนที่ไปตามสิ่งที่ดูเหมือนเป็นด้านในของท่อขนาดใหญ่ . ทางด้านกรมเสนาธิการใหญ่กองทัพยูเครนแถลงยืนยันเมื่อค่ำวันเสาร์ แต่ระบุว่า พวกกลุ่มก่อวินาศกรรมและรุกโจมตีของรัสเซียใช้ท่อส่งก๊าซเป็นเส้นทางเดินทางเพื่อเข้ายึดพื้นที่ด้านนอกของซุดซา ทว่า ยูเครนตรวจพบทันเวลาและโจมตีด้วยจรวดและปืนใหญ่จนสามารถปิดกั้นและทำลายทหารเหล่านั้น และย้ำว่า รัสเซียสูญเสียหนักมากในซุดซา . เอพีรายงานว่า ยังมีบล็อกเกอร์สงครามของรัสเซียคนที่ 3 ที่กล่าวว่า ตัวเขาเป็นทหารและใช้รหัส “13” ในการสื่อสารทางวิทยุ เล่าเรื่องว่า กองกำลังฝ่ายเข้าโจมตีขาดการสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุง จึงโจมตีไม่สำเร็จ โดยบล็อกเกอร์ผู้นี้อ้างว่า ฝ่ายเข้าโจมตี 2 ถึง 3 กลุ่มที่อยู่ด้านหลัง ขาดแคลนทั้งอาหาร น้ำ เครื่องกระสุน การสื่อสาร อุปกรณ์ชาร์จไฟ เพาเวอร์แบงก์ อีกทั้งไม่อาจติดต่อกับกองกำลังหลัก ตลอดจนไม่สามารถอพยพทหารที่บาดเจ็บได้ ซึ่งถือเป็นหายนะอย่างแท้จริง . อย่างไรก็ดี เอพีเตือนว่า ตนเองไม่สามารถตรวจสอบยืนยันข้อมูลเหล่านี้ได้ . ขณะที่สำนักข่าวเอเอฟพีที่รายงานเรื่องรัสเซียเคลื่อนพลผ่านท่อส่งก๊าซเข้าโจมตีซุดซาเช่นกัน อ้างพวกบล็อกเกอร์ฝ่ายรัสเซียระบุว่า การโจมตีคราวนี้ประสบความสำเร็จ กองทหารนี้บรรลุวัตถุประสงค์ของพวกเขา และการสู้รบยังคงดำเนินอยู่ที่ซุดซา . สำหรับทางการรัสเซียเองนั้น ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการโจมตีโดยมุดสายท่อส่งก๊าซนี้ แต่ต่อมาในวันอาทิตย์ (9 ) กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่า กองทหารรัสเซียสามารถยึดหมู่บ้าน 4 แห่งทางเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของซุดซาได้ โดยหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากใจกลางเมืองราว 12 กิโลเมตร หลังจากก่อนหน้านั้นเข้ายึดหมู่บ้านคืนได้ 3 แห่งใกล้เมืองซุดซาเมื่อวันเสาร์ ขณะที่ฝ่ายยูเครนไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกล่าวอ้างเหล่านี้ . วันเดียวกันนั้น กระทรวงกลาโหมรัสเซียยังประกาศว่า สามารถยึดโนเวนกี ซึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กแห่งหนึ่งในแคว้นซูมีของยูเครนที่อยู่ห่างจากคูร์สก์เพียง 1 กิโลเมตร และทำให้เข้าใกล้เส้นทางขนส่งกำลังบำรุงหลักของยูเครนมากขึ้น ทั้งนี้รัสเซียเคยยึดครองหลายส่วนของแคว้นซูมีได้ในตอนเริ่มต้นการรุกรานเมื่อปี 2022 แต่หลังจากต้องถอยกลับไปแล้วก็ไม่เคยยึดพื้นที่ใดๆ ในแคว้นนี้ได้อีกเลยจนกระทั่งมาถึงตอนนี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023254 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    7
    0 Comments 0 Shares 793 Views 0 Reviews
  • 📌 เข้าใจ "สังขารขันธ์" ผ่านความชอบ-ความชัง

    (อ้างอิงจากหนังสือ "7 เดือนบรรลุธรรม" โดยดังตฤณ)


    ---

    🔍 1️⃣ ความชอบ-ความชัง คืออะไรในแง่พุทธศาสนา?

    สังขารขันธ์ หมายถึง กระบวนการปรุงแต่งของจิต
    ซึ่งแสดงออกผ่าน "ปฏิกิริยา" ที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว

    📌 ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายที่สุดในชีวิตประจำวัน คือ
    ✅ "ความชอบ" → สิ่งที่ถูกใจ ทำให้เกิดความอยากได้
    ✅ "ความชัง" → สิ่งที่ไม่ถูกใจ ทำให้เกิดความอยากผลักไส

    💡 ทำไมสิ่งนี้สำคัญ?
    เพราะมันเป็น ตัวแปรหลักที่กำหนดทุกข์ของเรา
    ยิ่งชอบมาก → ยิ่งยึดมาก → ทุกข์มาก
    ยิ่งชังมาก → ยิ่งผลักไสมาก → ทุกข์มาก


    ---

    🔍 2️⃣ ทำไมเราหนีความชอบ-ความชังไม่ได้?

    🌀 "หลีกเร้นจากโลก" ก็ไม่ช่วยให้พ้นจากสังขารขันธ์

    ต่อให้หลบเข้าป่า

    หรือหนีโลกไปอยู่ที่ไหน
    🚨 จิตก็ยังชอบ-ชังในสิ่งที่เข้ามากระทบเสมอ


    ✅ วิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่การหลีกหนี
    แต่คือ "เฝ้าดู" และ "เข้าใจ" ว่ามันเกิดขึ้น-ดับไป


    ---

    🔍 3️⃣ การสังเกตความชอบ-ความชัง นำไปสู่การรู้แจ้งได้อย่างไร?

    🔎 หากเราตั้งสติสังเกตบ่อยๆ
    เราจะเริ่มเห็น "กลไกภายในจิต" ว่า

    1️⃣ ชอบหรือชังเกิดขึ้นได้อย่างไร
    2️⃣ เกิดขึ้นแล้วนำไปสู่อะไรต่อ? (เช่น ทำให้ใจร้อน หงุดหงิด อยากเอาชนะ ฯลฯ)
    3️⃣ มันมีวาระ "เกิด" และ "ดับ" อยู่ตลอด

    🌿 เมื่อเห็นชัดว่าความชอบ-ชังเป็นของชั่วคราว
    → ใจจะไม่ไหลตาม
    → จะ "วางเฉย" ได้ง่ายขึ้น
    → ความทะยานอยาก (ตัณหา) ลดลง
    → ทุกข์ก็น้อยลงเองตามธรรมชาติ


    ---

    ✅ สรุป : ทางพ้นทุกข์อยู่ที่ไหน?

    🔹 ไม่ต้องพยายามห้ามชอบ-ชัง → เพราะมันเป็นธรรมชาติของจิต
    🔹 ให้เฝ้าดูการเกิด-ดับของมัน → ด้วยสติที่แจ่มชัด
    🔹 เมื่อเห็นจริงว่า "มันมาแล้วไปเอง" → ใจก็คลายความยึดมั่น

    🌿 เมื่อเห็นแจ้ง ความทุกข์ก็ลดลงเอง!
    เพราะเรารู้ว่า "ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นแล้วไม่ดับ"

    📌 วิธีเริ่มต้นง่ายๆ
    ✅ สังเกตตัวเองทุกวันว่าอะไรทำให้เราชอบ-ชัง
    ✅ ลองดูว่าใจเปลี่ยนแปลงไวแค่ไหน
    ✅ เห็นว่าความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้คงอยู่ตลอด

    ✨ นี่คือก้าวแรกของ "สติปัฏฐาน" และการเข้าใจธรรมะจากชีวิตจริง! ✨

    📌 เข้าใจ "สังขารขันธ์" ผ่านความชอบ-ความชัง (อ้างอิงจากหนังสือ "7 เดือนบรรลุธรรม" โดยดังตฤณ) --- 🔍 1️⃣ ความชอบ-ความชัง คืออะไรในแง่พุทธศาสนา? สังขารขันธ์ หมายถึง กระบวนการปรุงแต่งของจิต ซึ่งแสดงออกผ่าน "ปฏิกิริยา" ที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว 📌 ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายที่สุดในชีวิตประจำวัน คือ ✅ "ความชอบ" → สิ่งที่ถูกใจ ทำให้เกิดความอยากได้ ✅ "ความชัง" → สิ่งที่ไม่ถูกใจ ทำให้เกิดความอยากผลักไส 💡 ทำไมสิ่งนี้สำคัญ? เพราะมันเป็น ตัวแปรหลักที่กำหนดทุกข์ของเรา ยิ่งชอบมาก → ยิ่งยึดมาก → ทุกข์มาก ยิ่งชังมาก → ยิ่งผลักไสมาก → ทุกข์มาก --- 🔍 2️⃣ ทำไมเราหนีความชอบ-ความชังไม่ได้? 🌀 "หลีกเร้นจากโลก" ก็ไม่ช่วยให้พ้นจากสังขารขันธ์ ต่อให้หลบเข้าป่า หรือหนีโลกไปอยู่ที่ไหน 🚨 จิตก็ยังชอบ-ชังในสิ่งที่เข้ามากระทบเสมอ ✅ วิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่การหลีกหนี แต่คือ "เฝ้าดู" และ "เข้าใจ" ว่ามันเกิดขึ้น-ดับไป --- 🔍 3️⃣ การสังเกตความชอบ-ความชัง นำไปสู่การรู้แจ้งได้อย่างไร? 🔎 หากเราตั้งสติสังเกตบ่อยๆ เราจะเริ่มเห็น "กลไกภายในจิต" ว่า 1️⃣ ชอบหรือชังเกิดขึ้นได้อย่างไร 2️⃣ เกิดขึ้นแล้วนำไปสู่อะไรต่อ? (เช่น ทำให้ใจร้อน หงุดหงิด อยากเอาชนะ ฯลฯ) 3️⃣ มันมีวาระ "เกิด" และ "ดับ" อยู่ตลอด 🌿 เมื่อเห็นชัดว่าความชอบ-ชังเป็นของชั่วคราว → ใจจะไม่ไหลตาม → จะ "วางเฉย" ได้ง่ายขึ้น → ความทะยานอยาก (ตัณหา) ลดลง → ทุกข์ก็น้อยลงเองตามธรรมชาติ --- ✅ สรุป : ทางพ้นทุกข์อยู่ที่ไหน? 🔹 ไม่ต้องพยายามห้ามชอบ-ชัง → เพราะมันเป็นธรรมชาติของจิต 🔹 ให้เฝ้าดูการเกิด-ดับของมัน → ด้วยสติที่แจ่มชัด 🔹 เมื่อเห็นจริงว่า "มันมาแล้วไปเอง" → ใจก็คลายความยึดมั่น 🌿 เมื่อเห็นแจ้ง ความทุกข์ก็ลดลงเอง! เพราะเรารู้ว่า "ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นแล้วไม่ดับ" 📌 วิธีเริ่มต้นง่ายๆ ✅ สังเกตตัวเองทุกวันว่าอะไรทำให้เราชอบ-ชัง ✅ ลองดูว่าใจเปลี่ยนแปลงไวแค่ไหน ✅ เห็นว่าความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้คงอยู่ตลอด ✨ นี่คือก้าวแรกของ "สติปัฏฐาน" และการเข้าใจธรรมะจากชีวิตจริง! ✨
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
  • ## ท่าทีที่น่ากังวล ของ สส. ผู้ทรงเกียรติ ##
    ..
    ..
    นายคนนี้ คือ สส. พรรคสีสัม ใครเลือกมา ได้โปรด ติดตามผลงานของท่านด้วย...!!!
    .
    นายคนนี้คือ นาย รอมฎอน ปันจอร์ สส. ที่อยู่ทางภาคใต้ ของ พรรคประชาชน
    .
    ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เกิดเหตุความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเหตุก่อขึ้นโดย กลุ่มก่อการร้ายภาคใต้...
    .
    สส. พรรคสีส้ม รายนี้ ไม่เคยตำหนิผู้ก่อการร้าย ที่ใช้ความรุนแรงเลย...
    .
    อย่างเดียวที่เขาพูดคือ ตำหนิ รัฐไทย ว่า เจ้าหน้าที่ไทยมีปัญหา กดขี่ ข่มขู่ ไม่จริงใจในการแสวงหาสันติภาพ...!!!
    .
    ให้ยกเลิก กฎอัยการศึก ให้ยกเลิก ศอ.บต.
    .
    จริงหรือไม่ หลายครั้ง สส.ท่านนี้ ไปงานสัมนา มากกว่า 1 ครั้ง และ พูด ชวัดเชวียน ไปมา ในทำนอง ประกาศอิสรภาพ เอกราช ประชามติ ปกครองตัวเอง
    .
    โดยครั้งหนึ่ง งานเสวนาที่ท่านเป็นแขกรับเชิญ ท่าน อาจะเป็น นกรู้ หรือ อย่างไรก็ไม่ทราบ ท่านไม่มา...
    .
    แต่ในงานนั้นมีการ "จัดการจำลอง" การ "ทำประชามติ แบ่งแยกดินแดน" ให้ รัฐปาตานี ปกครองตัวเอง (ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของรัฐทางภาคใต้)
    .
    ซึ่ง รัฐปาตานี นี้นักประวัติศาสตร์หลายท่านกล่าวว่า จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงกลุ่มคนผลักดันขึ้นมาเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
    .
    ถึงขั้น คนอีกกลุ่ม เอาไปทำบอร์ดเกม เนื้อหาระบุว่า รัฐไทยกระทำการเหี้ยมโหด โหดร้ายทารุณ ต่อ ชาวปาตานี
    .
    ปาตานี ในที่นี้ พวกเขาไม่ได้หมายถึง จังหวัดปัตตานี นะครับ เขาหมายรวม ครอบคลุม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอ ของ จังหวัดสงขลา ในปัจจุบัน รวมทั้งตอนเหนือของมาเลเซียในบางยุคสมัย ด้วย (นี่คือชุดข้อมูลของพวกเขา)
    .
    ซึ่งหลายครั้ง คุณ พวกคุณ คณะก้าวหน้า ธนาธร ช่อ ปิยะบุตร รวมไปถึง นักการเมืองอีกพรรคหนึ่ง เวลาไปเสวนา ก็จะพูดไปในทำนองนี้ รัฐไทยกดขี่ สร้างความเจ็บปวดให้ ใช่หรือไม่...???
    .
    คลิป มันมีนะครับ สมัยนี้เขาเรียก Digital Footprint พวกคุณหนีความจริงไม่พ้นหรอก
    .
    พวกเราประชาชนตาดำๆ ตัวจริงเสียงจริง ที่ไม่ใช่พรรคการเมือง ต้องช่วยกัน สอดส่องพฤติกรรม ของ สส. ที่พวกคุณเลือกเข้ามาด้วยนะครับ ว่าพวกเขาทำอะไรบ้าง...???
    .
    ลึกๆแล้วพวกเขาคิดอะไร ต้องการอะไรกันแน่...???
    .
    ผมอาจจะผิดก็ได้ แต่ผมไม่สบายใจกับท่าที ของ สส. ผู้ทรงเกียรติหลายท่าน รวมไปถึง อดีต สส.เอย NGO เอย มานานพอสมควรแล้วครับ
    .
    แล้วจริงหรือไม่ ที่พรรคก้าวไกล เคยเสนอแก้รัฐนูญ นอกจากหมวด 2 ที่เกี่ยวกับ สถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว...
    .
    พรรคก้าวไกล ยังเคยเสนอแก้รัฐนูญ หมวด 1 อีกด้วย
    .
    หากผมจำไม่ผิด รัฐธรรมนูญ หมวด 1 ระบุว่า
    .
    มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
    .
    มาตรา ๒ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
    .
    มาตรา ๓ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
    .
    ผมถาม ใน 3 มาตรานี้ พวกคุณต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อไหน...???
    .
    ผมจำชื่อไม่ได้ แต่มีอาจารย์คนหนึ่งเคยพูดว่า เรื่อง "มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้" ไว้ว่า...
    .
    "มันต้องแบ่งได้"
    .
    ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของอาจารย์ท่านนั้นคนเดียวก็ได้...
    .
    แต่ผมเห็น หลายๆท่าน หลายๆกระบวนการ บอกตามตรงในฐานะ "พลเมืองไทย" ผมกังวลต่อท่าทีของหลายๆท่านมากนะครับ...
    .
    สงสารตัวเอง สงสารลูกหลาน...
    .
    และ ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า คนที่ยังไม่รู้พฤติกรรมแปลกๆพวกนี้ ยังมีอีกเยอะครับ...
    ## ท่าทีที่น่ากังวล ของ สส. ผู้ทรงเกียรติ ## .. .. นายคนนี้ คือ สส. พรรคสีสัม ใครเลือกมา ได้โปรด ติดตามผลงานของท่านด้วย...!!! . นายคนนี้คือ นาย รอมฎอน ปันจอร์ สส. ที่อยู่ทางภาคใต้ ของ พรรคประชาชน . ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เกิดเหตุความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเหตุก่อขึ้นโดย กลุ่มก่อการร้ายภาคใต้... . สส. พรรคสีส้ม รายนี้ ไม่เคยตำหนิผู้ก่อการร้าย ที่ใช้ความรุนแรงเลย... . อย่างเดียวที่เขาพูดคือ ตำหนิ รัฐไทย ว่า เจ้าหน้าที่ไทยมีปัญหา กดขี่ ข่มขู่ ไม่จริงใจในการแสวงหาสันติภาพ...!!! . ให้ยกเลิก กฎอัยการศึก ให้ยกเลิก ศอ.บต. . จริงหรือไม่ หลายครั้ง สส.ท่านนี้ ไปงานสัมนา มากกว่า 1 ครั้ง และ พูด ชวัดเชวียน ไปมา ในทำนอง ประกาศอิสรภาพ เอกราช ประชามติ ปกครองตัวเอง . โดยครั้งหนึ่ง งานเสวนาที่ท่านเป็นแขกรับเชิญ ท่าน อาจะเป็น นกรู้ หรือ อย่างไรก็ไม่ทราบ ท่านไม่มา... . แต่ในงานนั้นมีการ "จัดการจำลอง" การ "ทำประชามติ แบ่งแยกดินแดน" ให้ รัฐปาตานี ปกครองตัวเอง (ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของรัฐทางภาคใต้) . ซึ่ง รัฐปาตานี นี้นักประวัติศาสตร์หลายท่านกล่าวว่า จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงกลุ่มคนผลักดันขึ้นมาเพื่อประโยชน์ทางการเมือง . ถึงขั้น คนอีกกลุ่ม เอาไปทำบอร์ดเกม เนื้อหาระบุว่า รัฐไทยกระทำการเหี้ยมโหด โหดร้ายทารุณ ต่อ ชาวปาตานี . ปาตานี ในที่นี้ พวกเขาไม่ได้หมายถึง จังหวัดปัตตานี นะครับ เขาหมายรวม ครอบคลุม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอ ของ จังหวัดสงขลา ในปัจจุบัน รวมทั้งตอนเหนือของมาเลเซียในบางยุคสมัย ด้วย (นี่คือชุดข้อมูลของพวกเขา) . ซึ่งหลายครั้ง คุณ พวกคุณ คณะก้าวหน้า ธนาธร ช่อ ปิยะบุตร รวมไปถึง นักการเมืองอีกพรรคหนึ่ง เวลาไปเสวนา ก็จะพูดไปในทำนองนี้ รัฐไทยกดขี่ สร้างความเจ็บปวดให้ ใช่หรือไม่...??? . คลิป มันมีนะครับ สมัยนี้เขาเรียก Digital Footprint พวกคุณหนีความจริงไม่พ้นหรอก . พวกเราประชาชนตาดำๆ ตัวจริงเสียงจริง ที่ไม่ใช่พรรคการเมือง ต้องช่วยกัน สอดส่องพฤติกรรม ของ สส. ที่พวกคุณเลือกเข้ามาด้วยนะครับ ว่าพวกเขาทำอะไรบ้าง...??? . ลึกๆแล้วพวกเขาคิดอะไร ต้องการอะไรกันแน่...??? . ผมอาจจะผิดก็ได้ แต่ผมไม่สบายใจกับท่าที ของ สส. ผู้ทรงเกียรติหลายท่าน รวมไปถึง อดีต สส.เอย NGO เอย มานานพอสมควรแล้วครับ . แล้วจริงหรือไม่ ที่พรรคก้าวไกล เคยเสนอแก้รัฐนูญ นอกจากหมวด 2 ที่เกี่ยวกับ สถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว... . พรรคก้าวไกล ยังเคยเสนอแก้รัฐนูญ หมวด 1 อีกด้วย . หากผมจำไม่ผิด รัฐธรรมนูญ หมวด 1 ระบุว่า . มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ . มาตรา ๒ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข . มาตรา ๓ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ . ผมถาม ใน 3 มาตรานี้ พวกคุณต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อไหน...??? . ผมจำชื่อไม่ได้ แต่มีอาจารย์คนหนึ่งเคยพูดว่า เรื่อง "มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้" ไว้ว่า... . "มันต้องแบ่งได้" . ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของอาจารย์ท่านนั้นคนเดียวก็ได้... . แต่ผมเห็น หลายๆท่าน หลายๆกระบวนการ บอกตามตรงในฐานะ "พลเมืองไทย" ผมกังวลต่อท่าทีของหลายๆท่านมากนะครับ... . สงสารตัวเอง สงสารลูกหลาน... . และ ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า คนที่ยังไม่รู้พฤติกรรมแปลกๆพวกนี้ ยังมีอีกเยอะครับ...
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • หลังจากที่ “ปุ้ย Lกฮ.” ศรีสกล สมทรง เลิกรากับลูกทุ่งสาว “ลำไย ไหทองคำ”สุพรรณษา เวชกามา ปิดฉากรัก 9 ปี โดยฝ่ายลำไย มีเรื่องราวอีนุงตุงนัง พัวพันกับแดนเซอร์ ล่าสุดวันนี้ (10 มี.ค.) ปุ้ยได้ออกมาเผยเรื่องราวบทเรียนของตัวเองบางส่วน ในรายการ คุยแซ่บshow ช่องวัน 31 ซึ่งถือว่าเป็นรายการแรก พร้อมลั่นตนเองไม่ได้รู้สึกเสียอะไรไป

    “สภาพจิตใจตอนนี้ปกติดีครับ ถามว่าเครียดถึงขั้นร้องไห้บ้างไหม ไม่หรอกครับ เพราะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถ้าเราจัดการความรู้สึกตัวเองได้ก็ไม่น่ามีปัญหาครับ ส่วนที่ผ่านมาได้ ผมคิดว่ามันเป็นธรรมดาของธรรมชาติแหละครับ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผมหรือใครก็แล้วแต่ ก็มีปัญหากันทุกคน อยู่ที่เราจะวางยังไง วางได้เร็วก็จะทุกข์ไม่นาน แต่ถ้าวางได้ช้าก็จะทุกข์กันนานๆ

    เทคนิคคือวางให้เร็ว ทุกข์ได้แต่อย่าไปยึดติดอะไร เดี๋ยวพอหมดเรื่องนี้ ชีวิตคนเราผมก็ต้องทุกข์ใหม่อีก ทุกข์ต่อไปอีกเรื่อยๆ ครับ ส่วนสิ่งที่โพสต์เรื่องปัญหาเล็กหรือใหญ่ ก็แค่ความรู้สึกหนึ่ง อยากให้กำลังใจคนอื่นกลับบ้าง เพราะคนอื่นให้กำลังใจผมเยอะแล้ว ที่ผมโพสต์ก็อยากจะให้กำลังใจคนอื่นว่าไม่ว่าเรามีปัญหายังไง ทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา อยู่ที่ความคิดเรา การที่เราหยุดที่ตัวเองจะไม่เหนื่อย ถ้าเราไปหยุดคนอื่นมันหยุดยาก หยุดที่เรา (จบที่เราเบาที่สุด?) ครับ”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023060

    #MGROnline #ลำไยไหทองคำ #ปุ้ยLกฮ.
    หลังจากที่ “ปุ้ย Lกฮ.” ศรีสกล สมทรง เลิกรากับลูกทุ่งสาว “ลำไย ไหทองคำ”สุพรรณษา เวชกามา ปิดฉากรัก 9 ปี โดยฝ่ายลำไย มีเรื่องราวอีนุงตุงนัง พัวพันกับแดนเซอร์ ล่าสุดวันนี้ (10 มี.ค.) ปุ้ยได้ออกมาเผยเรื่องราวบทเรียนของตัวเองบางส่วน ในรายการ คุยแซ่บshow ช่องวัน 31 ซึ่งถือว่าเป็นรายการแรก พร้อมลั่นตนเองไม่ได้รู้สึกเสียอะไรไป • “สภาพจิตใจตอนนี้ปกติดีครับ ถามว่าเครียดถึงขั้นร้องไห้บ้างไหม ไม่หรอกครับ เพราะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถ้าเราจัดการความรู้สึกตัวเองได้ก็ไม่น่ามีปัญหาครับ ส่วนที่ผ่านมาได้ ผมคิดว่ามันเป็นธรรมดาของธรรมชาติแหละครับ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผมหรือใครก็แล้วแต่ ก็มีปัญหากันทุกคน อยู่ที่เราจะวางยังไง วางได้เร็วก็จะทุกข์ไม่นาน แต่ถ้าวางได้ช้าก็จะทุกข์กันนานๆ • เทคนิคคือวางให้เร็ว ทุกข์ได้แต่อย่าไปยึดติดอะไร เดี๋ยวพอหมดเรื่องนี้ ชีวิตคนเราผมก็ต้องทุกข์ใหม่อีก ทุกข์ต่อไปอีกเรื่อยๆ ครับ ส่วนสิ่งที่โพสต์เรื่องปัญหาเล็กหรือใหญ่ ก็แค่ความรู้สึกหนึ่ง อยากให้กำลังใจคนอื่นกลับบ้าง เพราะคนอื่นให้กำลังใจผมเยอะแล้ว ที่ผมโพสต์ก็อยากจะให้กำลังใจคนอื่นว่าไม่ว่าเรามีปัญหายังไง ทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา อยู่ที่ความคิดเรา การที่เราหยุดที่ตัวเองจะไม่เหนื่อย ถ้าเราไปหยุดคนอื่นมันหยุดยาก หยุดที่เรา (จบที่เราเบาที่สุด?) ครับ” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023060 • #MGROnline #ลำไยไหทองคำ #ปุ้ยLกฮ.
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • เรื่องราวของนายโจว หมอดูจากหนานชง มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ที่เคยทำนายดวงชะตาตัวเอง ว่าจะเสียชีวิตตอนวัย 50 และสุดท้ายเขาก็เสียชีวิตจริงๆ

    “ในช่วงวัยเลข 5 ผมจะพบกับหายนะที่รุนแรงถึงขั้นคอขาดบาดตาย”

    โดยในเดือน พ.ค.2017 ก่อนจะถึงวันเกิดครบ 60 ปี นายโจวก็เกิดป่วยหนักและเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล

    แม้ว่าแพทย์จะพยายามรักษาและยื้อชีวิตเขา แต่สุดท้ายนายโจวก็เสียชีวิต โดยจากการสอบสวนพบว่านายโจวเสียชีวิตจาก "พาราควอต" สารเคมีกำจัดวัชพืช ที่มีพิษร้ายแรง ออกฤทธิ์เร็วและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หลายประเทศทั่วโลกจึงแบนการใช้พาราควอต

    ภายหลังครอบครัวของนายโจวได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ เพราะสงสัยว่า นายโจวอาจถูกฆาตกรรม เนื่องจากลูกสาวของเขาพบสารพิษปนอยู่ในยาแก้ไอของนายโจว

    หลังจากการสืบสวน เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวข้องกับผู้หญิงแซ่จิง โดยในปี 2011 แม่ของจิงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เธอได้ขอความช่วยเหลือจากนายโจว โดยหวังว่าเขาจะสามารถช่วยเหลือแม่ของเธอได้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000021499

    #MGROnline #พาราควอต
    เรื่องราวของนายโจว หมอดูจากหนานชง มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ที่เคยทำนายดวงชะตาตัวเอง ว่าจะเสียชีวิตตอนวัย 50 และสุดท้ายเขาก็เสียชีวิตจริงๆ • “ในช่วงวัยเลข 5 ผมจะพบกับหายนะที่รุนแรงถึงขั้นคอขาดบาดตาย” • โดยในเดือน พ.ค.2017 ก่อนจะถึงวันเกิดครบ 60 ปี นายโจวก็เกิดป่วยหนักและเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล • แม้ว่าแพทย์จะพยายามรักษาและยื้อชีวิตเขา แต่สุดท้ายนายโจวก็เสียชีวิต โดยจากการสอบสวนพบว่านายโจวเสียชีวิตจาก "พาราควอต" สารเคมีกำจัดวัชพืช ที่มีพิษร้ายแรง ออกฤทธิ์เร็วและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หลายประเทศทั่วโลกจึงแบนการใช้พาราควอต • ภายหลังครอบครัวของนายโจวได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ เพราะสงสัยว่า นายโจวอาจถูกฆาตกรรม เนื่องจากลูกสาวของเขาพบสารพิษปนอยู่ในยาแก้ไอของนายโจว • หลังจากการสืบสวน เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวข้องกับผู้หญิงแซ่จิง โดยในปี 2011 แม่ของจิงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เธอได้ขอความช่วยเหลือจากนายโจว โดยหวังว่าเขาจะสามารถช่วยเหลือแม่ของเธอได้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000021499 • #MGROnline #พาราควอต
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • Mon. Mar. 10, 2025

    เช้านี้เราดูคลิปใน youtube ที่ลงไว้เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน เป็นคลิปที่ Trump Voters ออกมาเสียใจที่เลือก Trump เข้ามา...แต่เราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะมันอาจเป็นการแสดงของคนเกลียด Trump หรือเกลียดนักการเมืองทุกคนแบบเราก็ได้ เพราะดูการพูดจา กิริยามารยาท และการแต่งตัว อาจจะไม่ใช่สาวกของ Trump ตัวจริงเสียงจริงนะ อันนี้ความคิดเราเอง สิ่งที่เราเห็นกันทุกวันนี้ มันเชื่อยากขึ้นไปทุกที

    แล้วเราก็ดูภาพนี้...
    แล้วก็ลองหาจุดเหมือนระหว่าง 2 ภาพนี้😆

    - คนซ้ายในทั้งสองภาพ ฉลาดคดโกงมากๆเหมือนกัน
    - คนขวาในทั้งสองภาพ สมองกลวงมากๆเหมือนกัน
    - คนขวาในทั้งสองภาพ หลังขึ้นรับตำแหน่ง ทั้งสองจะปั่นหุ้นบ้าง ปั่น Crypto บ้างในเดือนแรกๆ และจะเกิด free fall หลังจากนั้นเรื้อรังยาวนานเหมือนกัน
    - ทั้งสี่คนในภาพ รวยล้นฟ้า และคนแก่ทั้งสองในภาพใช้เงินและตำแหน่งลบล้างความผิดเหมือนกัน
    - ทั้งสี่คนในภาพ มีท่อน้ำเลี้ยงคือนายทุน ข้าราชการใหญ่ๆ และคนในเครื่องแบบ และได้คะแนนเสียง vote ส่วนใหญ่มาจากคนรากหญ้าเหมือนกัน
    - คนขวาในทั้งสองภาพ มีบุคลิก no สน no care กร่าง และหลงระเริงในอำนาจหลังจากได้ตำแหน่งเหมือนกัน
    - คนที่โชคร้ายที่สุดส่วนใหญ่คือ คะแนนเสียง vote ส่วนใหญ่ และประชาชนทั่วไปทั้งประเทศเหมือนกัน
    - ทั้งสองทีม ไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเหมือนกัน

    และก็หาจุดแตกต่าง (ที่ไม่อยู่ในภาพ) ระหว่าง 2 ภาพนี้😆

    - ทีมซ้ายเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านเพราะผลประโยชน์ และเปิดประตูให้ต่างชาติ เดินเข้ามาปล้นทางทำกิน และฆ่าคนในประเทศตัวเองทั้งเป็นตรงๆ
    ส่วนทีมขวาปิดประตูและไม่เป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน และฆ่าคนในประเทศตัวเองทั้งเป็นทางอ้อม
    - ประชากรในประเทศซ้าย (66 ล้านคน) ความรู้สึกช้ามาก กว่าจะรู้สึกตัวว่าถูกขายฝัน และตั้งแต่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นมา ผ่านมา 19 เดือนจนถึงทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ หวาดกลัวเพราะไร้การศึกษา ไร้ที่ยึดเหนี่ยว ไร้ผู้นำและข้อมูลที่ดี และจมดิ่งด้วยหนี้สินเกินกว่าจะลุกขึ้นสู้ และก็ถูกมัดมือชกๆๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจ
    ในขณะที่ประชาชนในประเทศขวา (340 ล้านคน) แม้รู้ตัวว่าถูกขายฝัน ตั้งแต่เดือนที่สามของการเปลี่ยนผู้นำ แต่ถึงจะรู้ตัวเร็วกว่า แต่ความเสียหายนั้นมากมายมหาศาลและบาดลึกกว่ามากหลายเท่า

    ต้องขอโทษเพื่อนๆที่รักชอบพี่ Trump นะคะ แต่เอาเป็นว่าเดี๋ยวมารอดูกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แล้วจะรู้ว่าการมอบอำนาจให้เด็ก 5 ขวบที่สติวิปลาสดูแลประเทศใหญ่ๆ จะเป็นอย่างไร เราอยู่ NY ช่วง Covid19 มาแล้ว ช่วงที่คนตายวันละ 900 กว่าศพ (ที่เจอ) ช่วงที่บริษัทยายังคิดเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสไม่ออก ช่วงที่พี่ Trump แกพูดออกสื่อแบบไม่อายทุกวันด้วยตรรกะที่ป่วยหนักมาก ผ่านไป 4 ปี เราว่าคนเราที่อายุเท่านั้นแล้ว ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทันก่อนลาโลกแล้ว เพราะฉะนั้น อย่าตื่นเต้นว่าเขาจะขมขู่ประเทศใดๆเลยค่ะ เขาเป็นคนเขลา ขี้ขลาด มักมากในกาม และรักตัวกลัวตายค่ะ รอดูปลาหมอปากแจ๋วและพรรคพวกเขาจมน้ำตายดีกว่า
    ส่วนพี่ทักกี้ ไม่ต้องเป็นห่วงแกนะคะ เพราะพี่ทักกี้แกไม่ขึ้นอยู่กับความผันผวนของพี่ Trump เลยค่ะ แก focus กับการสร้างโครงการปอกลอกประชาชนในประเทศเล็กๆ เก็บเล็กผสมน้อยให้วงศ์ตระกูลไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าต้องมีโครงการอะไรสำเร็จเลยก็ได้จ้า

    เราขอสรุปความคิดเห็นของเรานะคะว่า
    ทุกประเทศในโลกใบนี้จะมีกลุ่มการเมืองแค่ 2 ฝ่าย
    ฝ่ายนึง ประกอบด้วย นักการเมืองทุกพรรค (รวมฝ่ายค้านด้วย) ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายทุน และมาเฟียท้องถิ่น ผู้ใช้เงินและอำนาจผลัดกันมาขับเคลื่อนเงินทองเข้ากระเป๋าพรรคพวกและครอบครัวตนเองให้ได้มากและนานที่สุด
    .....
    อีกฝ่ายนึง ประกอบไปด้วยประชากรของประเทศนั้นๆ ผู้ดิ้นรนต่อสู้ใช้แรงกายแรงใจทั้งชีวิตเพื่อปากท้องของครอบครัว และปากท้องของประเทศชาติ
    #คนจนผู้ยิ่งใหญ่มีให้เห็นดาษดื่นในทุกวัน
    Mon. Mar. 10, 2025 เช้านี้เราดูคลิปใน youtube ที่ลงไว้เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน เป็นคลิปที่ Trump Voters ออกมาเสียใจที่เลือก Trump เข้ามา...แต่เราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะมันอาจเป็นการแสดงของคนเกลียด Trump หรือเกลียดนักการเมืองทุกคนแบบเราก็ได้ เพราะดูการพูดจา กิริยามารยาท และการแต่งตัว อาจจะไม่ใช่สาวกของ Trump ตัวจริงเสียงจริงนะ อันนี้ความคิดเราเอง สิ่งที่เราเห็นกันทุกวันนี้ มันเชื่อยากขึ้นไปทุกที แล้วเราก็ดูภาพนี้... แล้วก็ลองหาจุดเหมือนระหว่าง 2 ภาพนี้😆 - คนซ้ายในทั้งสองภาพ ฉลาดคดโกงมากๆเหมือนกัน - คนขวาในทั้งสองภาพ สมองกลวงมากๆเหมือนกัน - คนขวาในทั้งสองภาพ หลังขึ้นรับตำแหน่ง ทั้งสองจะปั่นหุ้นบ้าง ปั่น Crypto บ้างในเดือนแรกๆ และจะเกิด free fall หลังจากนั้นเรื้อรังยาวนานเหมือนกัน - ทั้งสี่คนในภาพ รวยล้นฟ้า และคนแก่ทั้งสองในภาพใช้เงินและตำแหน่งลบล้างความผิดเหมือนกัน - ทั้งสี่คนในภาพ มีท่อน้ำเลี้ยงคือนายทุน ข้าราชการใหญ่ๆ และคนในเครื่องแบบ และได้คะแนนเสียง vote ส่วนใหญ่มาจากคนรากหญ้าเหมือนกัน - คนขวาในทั้งสองภาพ มีบุคลิก no สน no care กร่าง และหลงระเริงในอำนาจหลังจากได้ตำแหน่งเหมือนกัน - คนที่โชคร้ายที่สุดส่วนใหญ่คือ คะแนนเสียง vote ส่วนใหญ่ และประชาชนทั่วไปทั้งประเทศเหมือนกัน - ทั้งสองทีม ไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเหมือนกัน และก็หาจุดแตกต่าง (ที่ไม่อยู่ในภาพ) ระหว่าง 2 ภาพนี้😆 - ทีมซ้ายเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านเพราะผลประโยชน์ และเปิดประตูให้ต่างชาติ เดินเข้ามาปล้นทางทำกิน และฆ่าคนในประเทศตัวเองทั้งเป็นตรงๆ ส่วนทีมขวาปิดประตูและไม่เป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน และฆ่าคนในประเทศตัวเองทั้งเป็นทางอ้อม - ประชากรในประเทศซ้าย (66 ล้านคน) ความรู้สึกช้ามาก กว่าจะรู้สึกตัวว่าถูกขายฝัน และตั้งแต่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นมา ผ่านมา 19 เดือนจนถึงทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ หวาดกลัวเพราะไร้การศึกษา ไร้ที่ยึดเหนี่ยว ไร้ผู้นำและข้อมูลที่ดี และจมดิ่งด้วยหนี้สินเกินกว่าจะลุกขึ้นสู้ และก็ถูกมัดมือชกๆๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจ ในขณะที่ประชาชนในประเทศขวา (340 ล้านคน) แม้รู้ตัวว่าถูกขายฝัน ตั้งแต่เดือนที่สามของการเปลี่ยนผู้นำ แต่ถึงจะรู้ตัวเร็วกว่า แต่ความเสียหายนั้นมากมายมหาศาลและบาดลึกกว่ามากหลายเท่า ต้องขอโทษเพื่อนๆที่รักชอบพี่ Trump นะคะ แต่เอาเป็นว่าเดี๋ยวมารอดูกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แล้วจะรู้ว่าการมอบอำนาจให้เด็ก 5 ขวบที่สติวิปลาสดูแลประเทศใหญ่ๆ จะเป็นอย่างไร เราอยู่ NY ช่วง Covid19 มาแล้ว ช่วงที่คนตายวันละ 900 กว่าศพ (ที่เจอ) ช่วงที่บริษัทยายังคิดเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสไม่ออก ช่วงที่พี่ Trump แกพูดออกสื่อแบบไม่อายทุกวันด้วยตรรกะที่ป่วยหนักมาก ผ่านไป 4 ปี เราว่าคนเราที่อายุเท่านั้นแล้ว ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทันก่อนลาโลกแล้ว เพราะฉะนั้น อย่าตื่นเต้นว่าเขาจะขมขู่ประเทศใดๆเลยค่ะ เขาเป็นคนเขลา ขี้ขลาด มักมากในกาม และรักตัวกลัวตายค่ะ รอดูปลาหมอปากแจ๋วและพรรคพวกเขาจมน้ำตายดีกว่า ส่วนพี่ทักกี้ ไม่ต้องเป็นห่วงแกนะคะ เพราะพี่ทักกี้แกไม่ขึ้นอยู่กับความผันผวนของพี่ Trump เลยค่ะ แก focus กับการสร้างโครงการปอกลอกประชาชนในประเทศเล็กๆ เก็บเล็กผสมน้อยให้วงศ์ตระกูลไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าต้องมีโครงการอะไรสำเร็จเลยก็ได้จ้า เราขอสรุปความคิดเห็นของเรานะคะว่า ทุกประเทศในโลกใบนี้จะมีกลุ่มการเมืองแค่ 2 ฝ่าย ฝ่ายนึง ประกอบด้วย นักการเมืองทุกพรรค (รวมฝ่ายค้านด้วย) ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายทุน และมาเฟียท้องถิ่น ผู้ใช้เงินและอำนาจผลัดกันมาขับเคลื่อนเงินทองเข้ากระเป๋าพรรคพวกและครอบครัวตนเองให้ได้มากและนานที่สุด ..... อีกฝ่ายนึง ประกอบไปด้วยประชากรของประเทศนั้นๆ ผู้ดิ้นรนต่อสู้ใช้แรงกายแรงใจทั้งชีวิตเพื่อปากท้องของครอบครัว และปากท้องของประเทศชาติ #คนจนผู้ยิ่งใหญ่มีให้เห็นดาษดื่นในทุกวัน
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • ปิดตำนาน เริงสวาทสีกา คาดาดฟ้า เรือเดินสมุทร “ยันตระ” เสียชีวิตที่อเมริกา หลังปลอมพาสปอร์ต หนีคดีจนหมดอายุความ 🚢⚖️

    🔵 อวสานตำนานพระชื่อดัง กับชีวิตที่กลับกลายเป็นประวัติศาสตร์สังคมไทย เมื่อเอ่ยถึงชื่อ "ยันตระ อมโร" หรือนายวินัย ละอองสุวรรณ เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยต้องรู้จัก ไม่ใช่เพียงเพราะเคยเป็น พระภิกษุชื่อดัง ผู้มีผู้ศรัทธามากมาย ทั้งในไทยและต่างประเทศ หากแต่เพราะชีวิตของยันตระ เต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า ฉาวโฉ่ และคดีความที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ไทย ในยุคหนึ่ง โดยเฉพาะกรณี อาบัติปาราชิก จากข้อกล่าวหาล่วงละเมิดสีกา รวมถึงภาพลักษณ์ ที่แวดล้อมไปด้วยความศรัทธา และความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งยังคงตามหลอกหลอน จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในต่างแดน ✨

    🔵 จากลูกชาวบ้าน สู่พระนักปฏิบัติชื่อดัง นายวินัย ละอองสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2494 ที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ก่อนอุปสมบท ได้ใช้ชีวิตเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปี ได้รับการยกย่องว่าเป็น นักปฏิบัติธรรมผู้ทรงภูมิ ทำให้มีผู้คนเลื่อมใสมากมาย

    ต่อมาในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในธรรมยุติกนิกาย ที่วัดรัตนาราม จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมตั้งนามให้ตัวเองว่า "ยันตระ อมโรภิกขุ" แปลว่า ผู้ไกลจากกิเลส ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มานาน ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักพรตฤาษี 🧘‍♂️

    "วัดสุญญตาราม" อาณาจักรแห่งความว่าง หลังจากนั้น พระยันตระได้รับการนิมนต์ ไปเผยแผ่ธรรมในหลายประเทศ มีการจัดตั้ง "สำนักวัดสุญญตาราม" ทั้งในไทยและต่างแดนหลายแห่ง เช่น
    ✅ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี
    ✅ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน ออสเตรเลีย
    ✅ วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

    บทสวดและคำสอน แนวกรรมฐานของพระยันตระ ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ไปในวงกว้าง หลายคนมองว่ายันตระเป็นพระที่มีความรู้ในพระไตรปิฎก และการปฏิบัติที่เข้มขลัง ✨

    🔵 คดีอื้อฉาว ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของพระยันตระ ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องเพศสัมพันธ์ และพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในปี พ.ศ. 2537 วงการสงฆ์สะเทือน เมื่อสีกากลุ่มหนึ่ง ยื่นคำร้องต่อสมเด็จพระสังฆราช และอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวหาพระยันตระว่า มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ กับสีกาหลายคน โดยมีพยานหลักฐานสนับสนุนมากมาย 📂

    ข้อกล่าวหาที่โด่งดัง
    🚢 เหตุการณ์บนเรือเดินสมุทร กล่าวหาว่า ยันตระมีเพศสัมพันธ์กับสีกา บนดาดฟ้าเรือ ระหว่างเดินทางจากสวีเดนไปฟินแลนด์

    🏡 กุฏิริมน้ำในออสเตรเลีย กล่าวหาว่า ยันตระมีพฤติกรรมจับต้องกายสตรี ด้วยความกำหนัด

    🚐 เหตุการณ์ในรถตู้ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย มีหลักฐานว่า ยันตระเข้าไปหาสีกาในรถตู้ และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม

    📞 บทสนทนาทางโทรศัพท์ พร่ำพูดถึงความรัก และมีหลักฐานเทปเสียง

    👧 ข้อกล่าวหาการมีบุตรสาว นางจันทิมา มายะรังษี นำเด็กหญิงที่อ้างว่า เป็นบุตรสาวของยันตระ มาแสดงตัว พร้อมภาพถ่ายที่แสดงถึงความสัมพันธ์ ฉันท์สามีภรรยา

    💳 หลักฐานบัตรเครดิต รายการใช้จ่ายในสถานบริการทางเพศ ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

    🔵 มติของมหาเถรสมาคม หลังการสืบสวนสอบสวน และตรวจสอบพยานหลักฐาน มหาเถรสมาคมมีมติให้ "พระยันตระ อมโรภิกขุ" ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ โดยปริยาย ❌

    แต่แทนที่จะยอมรับคำตัดสิน ยันตระกลับประกาศไม่ยอมรับมติ และอ้างว่ายังเป็นพระภิกษุอยู่ โดยเปลี่ยนจีวรเป็นสีเขียว จนได้รับฉายาใหม่จากสื่อว่า

    🦎 "จิ้งเขียว"
    🦹‍♂️ "สมียันดะ"
    🧘‍♂️ "ยันดะ"

    🔵 ปลอมพาสปอร์ต หนีคดีข้ามโลก เมื่อพ้นจากสมณเพศ ยันตระได้ทำพาสปอร์ตปลอม หลบหนีออกจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง

    📜 ตลอด 20 ปี ยันตระใช้ชีวิตที่วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย

    ⏳ ระยะเวลาผ่านไป คดีต่าง ๆ หมดอายุความ ทำให้ยันตระาสามารถกลับประเทศไทยได้อีกครั้ง

    🔵 กลับมาเยือนเมืองไทย
    🗓️ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ยันตระเดินทางกลับประเทศไทยอีกครั้ง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีลูกศิษย์รอต้อนรับจำนวนมาก

    🏠 ยันตระได้พบปะกับลูกศิษย์ตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงเดินทางไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระเขี้ยวแก้ว ที่ท้องสนามหลวง

    📍 จากนั้นได้กลับไปยังบ้านเกิดที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อกราบอดีตพระอุปัชฌาย์

    บั้นปลายที่แคลิฟอร์เนีย สุดท้ายแล้ว ยันตระกลับไปยังวัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย และเสียชีวิตในวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568 สิริรวมอายุ 73 ปี 51 พรรษา 🕊️

    🔵 เสียงสะท้อนจากสังคม และศรัทธาที่ไม่เสื่อมคลาย แม้จะมีข้อกล่าวหาฉาวโฉ่ แต่ก็ยังมีศิษยานุศิษย์ที่ศรัทธาในคำสอน และการปฏิบัติธรรม องพระยันตระ

    🧎‍♂️ หลายคนยังคงกราบไหว้และนับถือ 👉 แต่ในโลกโซเชียลมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหมาะสมหรือไม่ที่พระรูปอื่นๆ ยังคงกราบไหว้บุคคลที่ถูกถอดจากสมณเพศ 💬

    🔵 สรุปเรื่องราวชีวิต "ยันตระ อมโร"
    1️⃣ จากนักพรตสู่พระภิกษุผู้ยิ่งใหญ่
    2️⃣ คำสอนและแนวปฏิบัติที่มีผู้ศรัทธาทั่วโลก
    3️⃣ คดีอื้อฉาวที่ทำลายชื่อเสียงและนำไปสู่การถอดถอน
    4️⃣ การหลบหนีและใช้ชีวิตในฐานะผู้ลี้ภัย
    5️⃣ การกลับบ้านเกิดหลังคดีหมดอายุความ
    6️⃣ จบบั้นปลายชีวิตในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

    🔵 ชีวิตของ "ยันตระ อมโร" เปรียบเหมือนนิยาย ที่มีทั้งช่วงรุ่งเรืองและตกต่ำ ด้วยพฤติกรรมและการกระทำ ที่นำไปสู่ข้อกล่าวหาหนัก แต่ก็ยังคงมีคนศรัทธาไม่เสื่อมคลาย 💔✨

    👉 เรื่องราวของยันตระ จึงเป็นบทเรียนสำหรับสังคมไทย ในเรื่องศรัทธา ปัญญา และความรับผิดชอบต่อการกระทำ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 101152 มี.ค. 2568

    🔵 #ยันตระอมโร #ข่าวดราม่า #ประวัติพระดัง #วัดสุญญตาราม #สีกาคาดาดฟ้า #ข่าวไทยวันนี้ #เรื่องเล่าพระดัง #ข่าวพระดัง #ยันตระเสียชีวิต #ข่าวด่วนไทย
    ปิดตำนาน เริงสวาทสีกา คาดาดฟ้า เรือเดินสมุทร “ยันตระ” เสียชีวิตที่อเมริกา หลังปลอมพาสปอร์ต หนีคดีจนหมดอายุความ 🚢⚖️ 🔵 อวสานตำนานพระชื่อดัง กับชีวิตที่กลับกลายเป็นประวัติศาสตร์สังคมไทย เมื่อเอ่ยถึงชื่อ "ยันตระ อมโร" หรือนายวินัย ละอองสุวรรณ เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยต้องรู้จัก ไม่ใช่เพียงเพราะเคยเป็น พระภิกษุชื่อดัง ผู้มีผู้ศรัทธามากมาย ทั้งในไทยและต่างประเทศ หากแต่เพราะชีวิตของยันตระ เต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า ฉาวโฉ่ และคดีความที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ไทย ในยุคหนึ่ง โดยเฉพาะกรณี อาบัติปาราชิก จากข้อกล่าวหาล่วงละเมิดสีกา รวมถึงภาพลักษณ์ ที่แวดล้อมไปด้วยความศรัทธา และความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งยังคงตามหลอกหลอน จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในต่างแดน ✨ 🔵 จากลูกชาวบ้าน สู่พระนักปฏิบัติชื่อดัง นายวินัย ละอองสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2494 ที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ก่อนอุปสมบท ได้ใช้ชีวิตเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปี ได้รับการยกย่องว่าเป็น นักปฏิบัติธรรมผู้ทรงภูมิ ทำให้มีผู้คนเลื่อมใสมากมาย ต่อมาในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในธรรมยุติกนิกาย ที่วัดรัตนาราม จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมตั้งนามให้ตัวเองว่า "ยันตระ อมโรภิกขุ" แปลว่า ผู้ไกลจากกิเลส ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มานาน ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักพรตฤาษี 🧘‍♂️ "วัดสุญญตาราม" อาณาจักรแห่งความว่าง หลังจากนั้น พระยันตระได้รับการนิมนต์ ไปเผยแผ่ธรรมในหลายประเทศ มีการจัดตั้ง "สำนักวัดสุญญตาราม" ทั้งในไทยและต่างแดนหลายแห่ง เช่น ✅ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี ✅ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน ออสเตรเลีย ✅ วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา บทสวดและคำสอน แนวกรรมฐานของพระยันตระ ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ไปในวงกว้าง หลายคนมองว่ายันตระเป็นพระที่มีความรู้ในพระไตรปิฎก และการปฏิบัติที่เข้มขลัง ✨ 🔵 คดีอื้อฉาว ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของพระยันตระ ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องเพศสัมพันธ์ และพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในปี พ.ศ. 2537 วงการสงฆ์สะเทือน เมื่อสีกากลุ่มหนึ่ง ยื่นคำร้องต่อสมเด็จพระสังฆราช และอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวหาพระยันตระว่า มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ กับสีกาหลายคน โดยมีพยานหลักฐานสนับสนุนมากมาย 📂 ข้อกล่าวหาที่โด่งดัง 🚢 เหตุการณ์บนเรือเดินสมุทร กล่าวหาว่า ยันตระมีเพศสัมพันธ์กับสีกา บนดาดฟ้าเรือ ระหว่างเดินทางจากสวีเดนไปฟินแลนด์ 🏡 กุฏิริมน้ำในออสเตรเลีย กล่าวหาว่า ยันตระมีพฤติกรรมจับต้องกายสตรี ด้วยความกำหนัด 🚐 เหตุการณ์ในรถตู้ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย มีหลักฐานว่า ยันตระเข้าไปหาสีกาในรถตู้ และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม 📞 บทสนทนาทางโทรศัพท์ พร่ำพูดถึงความรัก และมีหลักฐานเทปเสียง 👧 ข้อกล่าวหาการมีบุตรสาว นางจันทิมา มายะรังษี นำเด็กหญิงที่อ้างว่า เป็นบุตรสาวของยันตระ มาแสดงตัว พร้อมภาพถ่ายที่แสดงถึงความสัมพันธ์ ฉันท์สามีภรรยา 💳 หลักฐานบัตรเครดิต รายการใช้จ่ายในสถานบริการทางเพศ ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 🔵 มติของมหาเถรสมาคม หลังการสืบสวนสอบสวน และตรวจสอบพยานหลักฐาน มหาเถรสมาคมมีมติให้ "พระยันตระ อมโรภิกขุ" ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ โดยปริยาย ❌ แต่แทนที่จะยอมรับคำตัดสิน ยันตระกลับประกาศไม่ยอมรับมติ และอ้างว่ายังเป็นพระภิกษุอยู่ โดยเปลี่ยนจีวรเป็นสีเขียว จนได้รับฉายาใหม่จากสื่อว่า 🦎 "จิ้งเขียว" 🦹‍♂️ "สมียันดะ" 🧘‍♂️ "ยันดะ" 🔵 ปลอมพาสปอร์ต หนีคดีข้ามโลก เมื่อพ้นจากสมณเพศ ยันตระได้ทำพาสปอร์ตปลอม หลบหนีออกจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง 📜 ตลอด 20 ปี ยันตระใช้ชีวิตที่วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย ⏳ ระยะเวลาผ่านไป คดีต่าง ๆ หมดอายุความ ทำให้ยันตระาสามารถกลับประเทศไทยได้อีกครั้ง 🔵 กลับมาเยือนเมืองไทย 🗓️ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ยันตระเดินทางกลับประเทศไทยอีกครั้ง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีลูกศิษย์รอต้อนรับจำนวนมาก 🏠 ยันตระได้พบปะกับลูกศิษย์ตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงเดินทางไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระเขี้ยวแก้ว ที่ท้องสนามหลวง 📍 จากนั้นได้กลับไปยังบ้านเกิดที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อกราบอดีตพระอุปัชฌาย์ บั้นปลายที่แคลิฟอร์เนีย สุดท้ายแล้ว ยันตระกลับไปยังวัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย และเสียชีวิตในวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568 สิริรวมอายุ 73 ปี 51 พรรษา 🕊️ 🔵 เสียงสะท้อนจากสังคม และศรัทธาที่ไม่เสื่อมคลาย แม้จะมีข้อกล่าวหาฉาวโฉ่ แต่ก็ยังมีศิษยานุศิษย์ที่ศรัทธาในคำสอน และการปฏิบัติธรรม องพระยันตระ 🧎‍♂️ หลายคนยังคงกราบไหว้และนับถือ 👉 แต่ในโลกโซเชียลมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหมาะสมหรือไม่ที่พระรูปอื่นๆ ยังคงกราบไหว้บุคคลที่ถูกถอดจากสมณเพศ 💬 🔵 สรุปเรื่องราวชีวิต "ยันตระ อมโร" 1️⃣ จากนักพรตสู่พระภิกษุผู้ยิ่งใหญ่ 2️⃣ คำสอนและแนวปฏิบัติที่มีผู้ศรัทธาทั่วโลก 3️⃣ คดีอื้อฉาวที่ทำลายชื่อเสียงและนำไปสู่การถอดถอน 4️⃣ การหลบหนีและใช้ชีวิตในฐานะผู้ลี้ภัย 5️⃣ การกลับบ้านเกิดหลังคดีหมดอายุความ 6️⃣ จบบั้นปลายชีวิตในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 🔵 ชีวิตของ "ยันตระ อมโร" เปรียบเหมือนนิยาย ที่มีทั้งช่วงรุ่งเรืองและตกต่ำ ด้วยพฤติกรรมและการกระทำ ที่นำไปสู่ข้อกล่าวหาหนัก แต่ก็ยังคงมีคนศรัทธาไม่เสื่อมคลาย 💔✨ 👉 เรื่องราวของยันตระ จึงเป็นบทเรียนสำหรับสังคมไทย ในเรื่องศรัทธา ปัญญา และความรับผิดชอบต่อการกระทำ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 101152 มี.ค. 2568 🔵 #ยันตระอมโร #ข่าวดราม่า #ประวัติพระดัง #วัดสุญญตาราม #สีกาคาดาดฟ้า #ข่าวไทยวันนี้ #เรื่องเล่าพระดัง #ข่าวพระดัง #ยันตระเสียชีวิต #ข่าวด่วนไทย
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
More Results