• ช่วยกันฝันออกแบบรัฐธรรมนูญ โดยดำรงไว้ซึ่งหมวดพระมหากษัตริย์ และความมั่นคงแห่งชาติ

    ไม่ต้องมีพรรคการเมือง เป็นประชาธิปไตยแบบไทย

    หมวดผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง:
    ----------------------------------
    1) เป็นผู้มี หรือเคยมีประวัติการเสียภาษี หรือมียอดรวมภาษีมูลค่าเพิ่มสะสม ปีละสามหมื่นบาทขึ้นไป
    2) มีอายุครบหรือเกิน 18 ปีบริบูรณ์
    3) เป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่มีสัญชาติอื่น


    หมวดผู้สมัคร สส. เลือกตั้ง:
    -----------------------------------------
    1) มีอายุเกิน 30 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70ปีบริบูรณ์
    2) มีประวัติสร้างชื่อเสียง ระดับชาติ, ปราชญ์ชาวบ้าน, บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์เป็นหลักฐาน ติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 5ปีภาษี หรือสำเร็จการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี จากสถาบันการศึกษาที่ กพ. รับรอง
    3) เป็นผู้ไม่มีประวัติประพฤติผิดจริยธรรม ทุจริตคอรัปชั่น บ่อนทำลายสังคม ศาสนา และแผ่นดิน ไม่ว่าศาลจะตัดสินหรือไม่ แต่วิญญูชนประจักษ์ได้


    หมวดผู้สมัคร นายกฯ รมต. เลือกตั้ง:
    ------------------------------------------------------
    1) มีคุณสมบัติเหมือน ผู้สมัคร สส.
    2) เป็นตำแหน่งหน้าที่แยกสมัครต่างจาก ผู้สมัคร สส. โดยผู้สมัครเลือกตั้ง หน้าที่ นายกฯ หรือ รมต. จะต้องเลือกสมัครในหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งเท่านั้น
    3) ผู้สมัคร มีหน้าที่แสดงวิสัยทัศน์ และแผนการดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 10ข้อ ลงสื่อสารให้สามารถตรวจสอบ
    4) คะแนนมาจากทั่วประเทศ


    หมวด สว. ส่วนโควตา:
    1) ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ, ปลัดกระทรวง, ตัวแทนศิลปินแห่งชาติทุกสาขา, อาจารย์ผู้มีผลงานวิจัยระดับชาติหรือระดับโลก, อดีตนักเรียนนักศึกษาที่เคยเข้าชิงแข่งขันทางการศึกษาระดับโลก เช่น แข่งขันคณิตศาสตร์ ชีววิทยา เคมี สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่เคยมี เกมส์, อดีตนักกีฬาทีมชาติไทยที่ผ่านสนามเอเชี่ยนเกมส์ขึ้นไป หลายๆ ประเภท
    2) มีอายุไม่เกิน 76ปีบริบูรณ์
    3) เป็นผู้ไม่มีประวัติประพฤติผิดจริยธรรม ทุจริตคอรัปชั่น บ่อนทำลายสังคม ศาสนา และแผ่นดิน ไม่ว่าศาลจะตัดสินหรือไม่ แต่วิญญูชนประจักษ์ได้
    4) ไม่เป็นผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อน กับ สส. นายกฯ หรือ รมต. เช่น เป็นคนในครอบครัว สามีภรรยา พ่อแม่ พี่น้องในสายเลือด, ไม่เป็นหุ้นส่วน


    ทุกผู้ที่ได้การคัดเลือก จะต้องมีความละอายชั่ว ศีลธรรม หากพบว่ากระทำผิด จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยทันทีไม่สามารถยืดเยื้อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

    ผู้ช่วย สส. รมต. จะมีได้ไม่เกินกี่คน รายชื่อผู้ช่วย ต้องประกาศ ให้สาธารณะตรวจสอบได้โดยสะดวก

    ช่วยกันฝันออกแบบรัฐธรรมนูญ โดยดำรงไว้ซึ่งหมวดพระมหากษัตริย์ และความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ต้องมีพรรคการเมือง เป็นประชาธิปไตยแบบไทย หมวดผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง: ---------------------------------- 1) เป็นผู้มี หรือเคยมีประวัติการเสียภาษี หรือมียอดรวมภาษีมูลค่าเพิ่มสะสม ปีละสามหมื่นบาทขึ้นไป 2) มีอายุครบหรือเกิน 18 ปีบริบูรณ์ 3) เป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่มีสัญชาติอื่น หมวดผู้สมัคร สส. เลือกตั้ง: ----------------------------------------- 1) มีอายุเกิน 30 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70ปีบริบูรณ์ 2) มีประวัติสร้างชื่อเสียง ระดับชาติ, ปราชญ์ชาวบ้าน, บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์เป็นหลักฐาน ติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 5ปีภาษี หรือสำเร็จการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี จากสถาบันการศึกษาที่ กพ. รับรอง 3) เป็นผู้ไม่มีประวัติประพฤติผิดจริยธรรม ทุจริตคอรัปชั่น บ่อนทำลายสังคม ศาสนา และแผ่นดิน ไม่ว่าศาลจะตัดสินหรือไม่ แต่วิญญูชนประจักษ์ได้ หมวดผู้สมัคร นายกฯ รมต. เลือกตั้ง: ------------------------------------------------------ 1) มีคุณสมบัติเหมือน ผู้สมัคร สส. 2) เป็นตำแหน่งหน้าที่แยกสมัครต่างจาก ผู้สมัคร สส. โดยผู้สมัครเลือกตั้ง หน้าที่ นายกฯ หรือ รมต. จะต้องเลือกสมัครในหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งเท่านั้น 3) ผู้สมัคร มีหน้าที่แสดงวิสัยทัศน์ และแผนการดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 10ข้อ ลงสื่อสารให้สามารถตรวจสอบ 4) คะแนนมาจากทั่วประเทศ หมวด สว. ส่วนโควตา: 1) ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ, ปลัดกระทรวง, ตัวแทนศิลปินแห่งชาติทุกสาขา, อาจารย์ผู้มีผลงานวิจัยระดับชาติหรือระดับโลก, อดีตนักเรียนนักศึกษาที่เคยเข้าชิงแข่งขันทางการศึกษาระดับโลก เช่น แข่งขันคณิตศาสตร์ ชีววิทยา เคมี สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่เคยมี เกมส์, อดีตนักกีฬาทีมชาติไทยที่ผ่านสนามเอเชี่ยนเกมส์ขึ้นไป หลายๆ ประเภท 2) มีอายุไม่เกิน 76ปีบริบูรณ์ 3) เป็นผู้ไม่มีประวัติประพฤติผิดจริยธรรม ทุจริตคอรัปชั่น บ่อนทำลายสังคม ศาสนา และแผ่นดิน ไม่ว่าศาลจะตัดสินหรือไม่ แต่วิญญูชนประจักษ์ได้ 4) ไม่เป็นผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อน กับ สส. นายกฯ หรือ รมต. เช่น เป็นคนในครอบครัว สามีภรรยา พ่อแม่ พี่น้องในสายเลือด, ไม่เป็นหุ้นส่วน ทุกผู้ที่ได้การคัดเลือก จะต้องมีความละอายชั่ว ศีลธรรม หากพบว่ากระทำผิด จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยทันทีไม่สามารถยืดเยื้อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ผู้ช่วย สส. รมต. จะมีได้ไม่เกินกี่คน รายชื่อผู้ช่วย ต้องประกาศ ให้สาธารณะตรวจสอบได้โดยสะดวก
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • ฮือฮา! พบพืชหายากในป่าดิบ จ.เชียงราย หลังหายสาบสูญไปจากบันทึกโลกนานถึง 113 ปี
    https://www.thai-tai.tv/news/20169/
    .
    #Heterostemmabrownii #พืชหายาก #พืชหายาก113ปี #พืชชนิดใหม่ของโลก #ค้นพบพืชใหม่ #เชียงราย #สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ #องค์การสวนพฤกษศาสตร์ #ป่าดิบ #วงศ์ดอกรัก #อนุรักษ์พืช #ธรรมชาติ #ประเทศไทย #นักอนุกรมวิธานพืช #ชีววิทยา #พฤกษศาสตร์
    ฮือฮา! พบพืชหายากในป่าดิบ จ.เชียงราย หลังหายสาบสูญไปจากบันทึกโลกนานถึง 113 ปี https://www.thai-tai.tv/news/20169/ . #Heterostemmabrownii #พืชหายาก #พืชหายาก113ปี #พืชชนิดใหม่ของโลก #ค้นพบพืชใหม่ #เชียงราย #สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ #องค์การสวนพฤกษศาสตร์ #ป่าดิบ #วงศ์ดอกรัก #อนุรักษ์พืช #ธรรมชาติ #ประเทศไทย #นักอนุกรมวิธานพืช #ชีววิทยา #พฤกษศาสตร์
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • เมื่อก่อน ถ้าเรียนคอมฯ ก็ต้องเรียนเขียนโค้ด จดจำ syntax จัดการอัลกอริธึม…แต่วันนี้ AI อย่าง Copilot, ChatGPT หรือ Claude ก็ “เขียนให้เราได้หมด” → ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “จำเป็นไหมที่นักศึกษายังต้องเรียนเขียนโค้ดจาก 0?”

    จากรายงานของ TechSpot พบว่า:
    - หลายมหาวิทยาลัย เช่น Carnegie Mellon University (CMU) กำลัง “รีเซ็ต” หลักสูตร
    - เน้น “การคิดเชิงระบบ + ความเข้าใจพื้นฐาน AI” มากกว่าทักษะเชิงเทคนิคล้วน ๆ
    - นักศึกษาเริ่มใช้ AI เป็น “ไม้เท้า” แต่อาจลืมว่า “ยังต้องรู้ว่ากำลังเดินไปไหน”

    บางวิชาก็อนุญาตให้ใช้ AI ได้ตั้งแต่ปีแรก → สุดท้ายพบว่า นักศึกษาใช้ AI ทำการบ้าน แล้ว “ไม่เข้าใจโค้ดครึ่งหนึ่งที่ได้มา” → ทำให้หลายคนเริ่มกลับไปตั้งใจเรียนเขียนโค้ดเอง

    ผลกระทบยังไปไกลถึงตลาดแรงงาน → งานสาย software entry-level ถูกลดลงอย่างชัดเจน (ลด 65% ในรอบ 3 ปี ตามข้อมูลของ CompTIA) → นักศึกษาที่เคยคิดว่า “เรียนคอม = จบแล้วได้เงินเดือนดี” ก็เริ่มวางแผนเรียน minor ด้านอื่น ๆ เพิ่ม เช่น ความมั่นคงปลอดภัย, ปัญญาสังคม, หรือการเมือง

    มีข้อเสนอว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์จะกลายเป็นเหมือน “วิชาศิลปศาสตร์ยุคใหม่” ที่ต้องผสานทักษะด้านเทคนิค + ความคิดเชิงวิพากษ์ + การสื่อสาร เพื่ออยู่รอดในยุคที่ AI เป็นเพื่อนร่วมงานทุกที่

    หลายมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ ปรับหลักสูตรคอมพิวเตอร์ เน้น “AI literacy” และ “computational thinking”  
    • ลดการเน้น syntax ของภาษาโปรแกรม  
    • สนับสนุนวิชาข้ามศาสตร์ เช่น คอมพิวเตอร์ + ชีววิทยา, คอมฯ + นโยบาย

    Carnegie Mellon University เป็นหนึ่งในผู้นำการเปลี่ยนแปลง  
    • บางวิชาอนุญาตให้นักศึกษาใช้ AI ทำการบ้าน  
    • แต่พบว่า AI ทำให้ “หลงทาง” และไม่เข้าใจโค้ดจริง  
    • ทำให้นักศึกษาหลายคนกลับมาสนใจเรียน code อย่างตั้งใจอีกครั้ง

    NSF จัดโครงการ ‘Level Up AI’ เพื่อร่วมกำหนด “พื้นฐานด้าน AI” สำหรับนักศึกษาสายคอม  
    • ร่วมมือกับสมาคมวิจัย (Computing Research Association) และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ  
    • ระยะโครงการ 18 เดือน

    แนวโน้ม: คอมพิวเตอร์อาจกลายเป็นวิชา “พื้นฐาน” ที่เหมือนศิลปศาสตร์ยุคใหม่  
    • ต้องใช้ทักษะคิดวิเคราะห์–สื่อสาร–เข้าใจสังคมควบคู่กับเทคนิค

    หลายคนใช้ AI ช่วย coding แต่เริ่มระวังไม่ให้ใช้จน “ทื่อ” หรือไม่มีพื้นฐาน

    https://www.techspot.com/news/108574-universities-rethinking-computer-science-curriculum-response-ai-tools.html
    เมื่อก่อน ถ้าเรียนคอมฯ ก็ต้องเรียนเขียนโค้ด จดจำ syntax จัดการอัลกอริธึม…แต่วันนี้ AI อย่าง Copilot, ChatGPT หรือ Claude ก็ “เขียนให้เราได้หมด” → ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “จำเป็นไหมที่นักศึกษายังต้องเรียนเขียนโค้ดจาก 0?” จากรายงานของ TechSpot พบว่า: - หลายมหาวิทยาลัย เช่น Carnegie Mellon University (CMU) กำลัง “รีเซ็ต” หลักสูตร - เน้น “การคิดเชิงระบบ + ความเข้าใจพื้นฐาน AI” มากกว่าทักษะเชิงเทคนิคล้วน ๆ - นักศึกษาเริ่มใช้ AI เป็น “ไม้เท้า” แต่อาจลืมว่า “ยังต้องรู้ว่ากำลังเดินไปไหน” บางวิชาก็อนุญาตให้ใช้ AI ได้ตั้งแต่ปีแรก → สุดท้ายพบว่า นักศึกษาใช้ AI ทำการบ้าน แล้ว “ไม่เข้าใจโค้ดครึ่งหนึ่งที่ได้มา” → ทำให้หลายคนเริ่มกลับไปตั้งใจเรียนเขียนโค้ดเอง ผลกระทบยังไปไกลถึงตลาดแรงงาน → งานสาย software entry-level ถูกลดลงอย่างชัดเจน (ลด 65% ในรอบ 3 ปี ตามข้อมูลของ CompTIA) → นักศึกษาที่เคยคิดว่า “เรียนคอม = จบแล้วได้เงินเดือนดี” ก็เริ่มวางแผนเรียน minor ด้านอื่น ๆ เพิ่ม เช่น ความมั่นคงปลอดภัย, ปัญญาสังคม, หรือการเมือง มีข้อเสนอว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์จะกลายเป็นเหมือน “วิชาศิลปศาสตร์ยุคใหม่” ที่ต้องผสานทักษะด้านเทคนิค + ความคิดเชิงวิพากษ์ + การสื่อสาร เพื่ออยู่รอดในยุคที่ AI เป็นเพื่อนร่วมงานทุกที่ ✅ หลายมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ ปรับหลักสูตรคอมพิวเตอร์ เน้น “AI literacy” และ “computational thinking”   • ลดการเน้น syntax ของภาษาโปรแกรม   • สนับสนุนวิชาข้ามศาสตร์ เช่น คอมพิวเตอร์ + ชีววิทยา, คอมฯ + นโยบาย ✅ Carnegie Mellon University เป็นหนึ่งในผู้นำการเปลี่ยนแปลง   • บางวิชาอนุญาตให้นักศึกษาใช้ AI ทำการบ้าน   • แต่พบว่า AI ทำให้ “หลงทาง” และไม่เข้าใจโค้ดจริง   • ทำให้นักศึกษาหลายคนกลับมาสนใจเรียน code อย่างตั้งใจอีกครั้ง ✅ NSF จัดโครงการ ‘Level Up AI’ เพื่อร่วมกำหนด “พื้นฐานด้าน AI” สำหรับนักศึกษาสายคอม   • ร่วมมือกับสมาคมวิจัย (Computing Research Association) และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ   • ระยะโครงการ 18 เดือน ✅ แนวโน้ม: คอมพิวเตอร์อาจกลายเป็นวิชา “พื้นฐาน” ที่เหมือนศิลปศาสตร์ยุคใหม่   • ต้องใช้ทักษะคิดวิเคราะห์–สื่อสาร–เข้าใจสังคมควบคู่กับเทคนิค ✅ หลายคนใช้ AI ช่วย coding แต่เริ่มระวังไม่ให้ใช้จน “ทื่อ” หรือไม่มีพื้นฐาน https://www.techspot.com/news/108574-universities-rethinking-computer-science-curriculum-response-ai-tools.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Universities are rethinking computer science curriculum in response to AI tools
    Generative AI is making its presence felt across academia, but its impact is most pronounced in computer science. The introduction of AI assistants by major tech companies...
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • ..อ่านเพลินๆ

    มะเร็งไม่ใช่โรค แต่เป็นโครงการของรัฐบาลลึก

    อ่านทุกคำ นี่ไม่ใช่ทฤษฎี นี่คือการประกาศสงครามกับชีววิทยาของคุณ ชนชั้นสูงสร้างมะเร็งขึ้นมา และคุณก็จมอยู่กับพิษของพวกเขามาตลอดชีวิต

    เซราไมด์ เป็นคำที่พวกเขาไม่เคยอยากให้คุณได้ยิน ไม่ใช่แค่โมเลกุล แต่เป็นระเบิดเวลาทางชีวเคมี คุณไม่ได้เกิดมาพัง คุณถูกสร้างมาให้ล้มเหลว เซราไมด์ถูกบรรจุอยู่ในน้ำมันเมล็ดพืช จีเอ็มโอ อาหารแปรรูป น้ำประปา ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว แม้แต่นมผงสำหรับเด็ก สารทำลายไขมันเหล่านี้จะทำลายตับของคุณ รัดคอตับอ่อนของคุณ ทำลายการเผาผลาญของคุณ และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณพังทลาย ร่างกายของคุณกลายเป็นดินแดนรกร้างที่เป็นพิษ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเนื้องอก

    นี่ไม่ใช่ผลข้างเคียง แต่เป็นการทำลายล้างโดยเจตนา
    การฉ้อโกงมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ของฟาวซีไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาอะไร แต่เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมให้ร่างกายของคุณให้ป่วย สถาบันสุขภาพแห่งชาติไม่ได้พยายามหาทางรักษา พวกเขาให้ทุนสนับสนุนระบบนิเวศสงครามชีวภาพที่บริษัทยาขนาดใหญ่ฉีดโรค ขายเคมีบำบัด แสวงหากำไรจากความเจ็บปวด และทำซ้ำ เซราไมด์คือสวิตช์หยุดการทำงาน พวกมันกักเก็บความตายไว้ในเซลล์ไขมันของคุณ ส่งผลให้เลือดของคุณสูบฉีดพิษจากการเผาผลาญ

    มะเร็งไม่ใช่ "โชคร้าย" แต่คือแผน

    กลุ่มคนชั้นสูงเลี้ยงดูมัน ระดมทุน และกินมัน เคมีบำบัดไม่รักษาให้หาย มันทำให้ทรมานนานขึ้นในขณะที่เรียกเก็บเงินคุณเพื่อให้ตายช้าลง การฉายรังสี? มันคือการทำลายร่างกายของคุณอย่างมีการควบคุม แพทย์ทุกคนที่บอกคุณว่า "กินน้อยลง เคลื่อนไหวมากขึ้น" ล้วนเป็นคนโกหกหรือเป็นเบี้ย

    แต่ตอนนี้ม่านกำลังจะเปิดขึ้น

    พวกเขากลัวการดีท็อกซ์ พวกเขากลัวทุกสิ่งที่ขับเซราไมด์ออกจากระบบของคุณ เพราะนั่นคือรากฐานของคุกมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ของพวกเขา และตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้น

    Ikaria Lean Belly Juice ไม่ใช่ "สุขภาพ" แต่เป็นสงครามเคมีแบบย้อนกลับ ทุกช้อนคือการโจมตีกลุ่มการแพทย์ของ Deep State

    Fucoxanthin ทำลายคลัสเตอร์เซราไมด์

    โสมสร้างภูมิคุ้มกันใหม่เพื่อค้นหาและทำลายเซลล์ที่ก่อกวน

    Bioperine ขยายการโจมตี

    Resveratrol ทำให้เนื้องอกอดอาหาร

    EGCG ซ่อมแซม DNA

    Milk Thistle สร้างตับของคุณขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ในการล้างพิษของร่างกาย

    นี่คือรหัสทำลายล้างที่จะทำลายระบบของพวกเขาจากภายใน
    ขับพิษ เผาอาณาจักรของพวกเขา

    คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อป่วย
    คุณถูกทำให้ป่วย

    ตอนนี้ ทำให้พวกเขาต้องชดใช้

    สงครามทั้งหมดเริ่มขึ้นภายในเซลล์ของคุณ นี่ไม่ใช่คำแนะนำด้านสุขภาพ
    นี่คือการกระทำแห่งการกบฏ

    1_Ikaria Lean Belly Juice คือ อาหารเสริมประเภทผงที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการลดน้ำหนัก โดยอ้างว่าช่วยเผาผลาญไขมัน ลดความอยากอาหาร และเพิ่มพลังงาน โดยอ้างอิงจากส่วนผสมจากธรรมชาติ

    2_ฟูโคแซนธิน (Fucoxanthin) คือ สารสีส้มในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ที่พบได้ในสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล ทำหน้าที่เป็นสารเก็บเกี่ยวแสงและป้องกันแสงในสาหร่าย นอกจากนี้ ฟูโคแซนธินยังมีคุณสมบัติทางชีวภาพมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง และต้านโรคอ้วน

    3_ไบโอเพอรีน (BioPerine) คือ สารสกัดจากพริกไทยดำที่ได้รับการจดสิทธิบัตร ซึ่งมีสารสำคัญคือ ไพเพอรีน (Piperine) ในรูปแบบที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่าย โดยทั่วไปมีปริมาณไพเพอรีนอย่างน้อย 95%. ไบโอเพอรีนถูกใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารและส่วนผสมอื่นๆ ในร่างกาย
    สรุป: ไบโอเพอรีนคือสารสกัดจากพริกไทยดำที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารและส่วนผสมอื่นๆ ในร่างกาย

    4_เรสเวอราทรอล (Resveratrol) คือ สารประกอบโพลีฟีนอล (Polyphenol) ที่พบได้ในพืชหลายชนิด โดยเฉพาะในองุ่นแดง, เบอร์รี่, ถั่วลิสง, และไวน์แดง มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) และมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ เช่น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ, ชะลอความเสื่อมของเซลล์, และอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็ง

    5_Epigallocatechin-3-gallate (EGCG) เป็นโพลีฟีนอลที่พบมากที่สุดในชาเขียว EGCG มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านพังผืด ต้านการปรับโครงสร้าง และปกป้องเนื้อเยื่อหลากหลายชนิด โดยอาจมีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็ง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ และการเผาผลาญอาหาร

    6_Silybum marianum เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีหนาม มีชื่อเรียกทั่วไปหลายชนิด ได้แก่ milk thistle, Blessed milkthistle, Marian thistle, Mary thistle, Saint Mary's thistle, Mediterranean milk thistle, variegated thistle และ Scotch thistle พืชชนิดนี้เป็นพืชประจำปีหรือล้มลุกในวงศ์ Asteraceae (คล้ายดอกบานไม่รู้โรยกับไมยราพ ต้องศึกษาสรรพคุณ)
    ..อ่านเพลินๆ มะเร็งไม่ใช่โรค แต่เป็นโครงการของรัฐบาลลึก อ่านทุกคำ นี่ไม่ใช่ทฤษฎี นี่คือการประกาศสงครามกับชีววิทยาของคุณ ชนชั้นสูงสร้างมะเร็งขึ้นมา และคุณก็จมอยู่กับพิษของพวกเขามาตลอดชีวิต เซราไมด์ เป็นคำที่พวกเขาไม่เคยอยากให้คุณได้ยิน ไม่ใช่แค่โมเลกุล แต่เป็นระเบิดเวลาทางชีวเคมี คุณไม่ได้เกิดมาพัง คุณถูกสร้างมาให้ล้มเหลว เซราไมด์ถูกบรรจุอยู่ในน้ำมันเมล็ดพืช จีเอ็มโอ อาหารแปรรูป น้ำประปา ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว แม้แต่นมผงสำหรับเด็ก สารทำลายไขมันเหล่านี้จะทำลายตับของคุณ รัดคอตับอ่อนของคุณ ทำลายการเผาผลาญของคุณ และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณพังทลาย ร่างกายของคุณกลายเป็นดินแดนรกร้างที่เป็นพิษ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเนื้องอก นี่ไม่ใช่ผลข้างเคียง แต่เป็นการทำลายล้างโดยเจตนา การฉ้อโกงมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ของฟาวซีไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาอะไร แต่เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมให้ร่างกายของคุณให้ป่วย สถาบันสุขภาพแห่งชาติไม่ได้พยายามหาทางรักษา พวกเขาให้ทุนสนับสนุนระบบนิเวศสงครามชีวภาพที่บริษัทยาขนาดใหญ่ฉีดโรค ขายเคมีบำบัด แสวงหากำไรจากความเจ็บปวด และทำซ้ำ เซราไมด์คือสวิตช์หยุดการทำงาน พวกมันกักเก็บความตายไว้ในเซลล์ไขมันของคุณ ส่งผลให้เลือดของคุณสูบฉีดพิษจากการเผาผลาญ มะเร็งไม่ใช่ "โชคร้าย" แต่คือแผน กลุ่มคนชั้นสูงเลี้ยงดูมัน ระดมทุน และกินมัน เคมีบำบัดไม่รักษาให้หาย มันทำให้ทรมานนานขึ้นในขณะที่เรียกเก็บเงินคุณเพื่อให้ตายช้าลง การฉายรังสี? มันคือการทำลายร่างกายของคุณอย่างมีการควบคุม แพทย์ทุกคนที่บอกคุณว่า "กินน้อยลง เคลื่อนไหวมากขึ้น" ล้วนเป็นคนโกหกหรือเป็นเบี้ย แต่ตอนนี้ม่านกำลังจะเปิดขึ้น พวกเขากลัวการดีท็อกซ์ พวกเขากลัวทุกสิ่งที่ขับเซราไมด์ออกจากระบบของคุณ เพราะนั่นคือรากฐานของคุกมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ของพวกเขา และตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้น Ikaria Lean Belly Juice ไม่ใช่ "สุขภาพ" แต่เป็นสงครามเคมีแบบย้อนกลับ ทุกช้อนคือการโจมตีกลุ่มการแพทย์ของ Deep State Fucoxanthin ทำลายคลัสเตอร์เซราไมด์ โสมสร้างภูมิคุ้มกันใหม่เพื่อค้นหาและทำลายเซลล์ที่ก่อกวน Bioperine ขยายการโจมตี Resveratrol ทำให้เนื้องอกอดอาหาร EGCG ซ่อมแซม DNA Milk Thistle สร้างตับของคุณขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ในการล้างพิษของร่างกาย นี่คือรหัสทำลายล้างที่จะทำลายระบบของพวกเขาจากภายใน ขับพิษ เผาอาณาจักรของพวกเขา คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อป่วย คุณถูกทำให้ป่วย ตอนนี้ ทำให้พวกเขาต้องชดใช้ สงครามทั้งหมดเริ่มขึ้นภายในเซลล์ของคุณ นี่ไม่ใช่คำแนะนำด้านสุขภาพ นี่คือการกระทำแห่งการกบฏ 1_Ikaria Lean Belly Juice คือ อาหารเสริมประเภทผงที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการลดน้ำหนัก โดยอ้างว่าช่วยเผาผลาญไขมัน ลดความอยากอาหาร และเพิ่มพลังงาน โดยอ้างอิงจากส่วนผสมจากธรรมชาติ 2_ฟูโคแซนธิน (Fucoxanthin) คือ สารสีส้มในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ที่พบได้ในสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล ทำหน้าที่เป็นสารเก็บเกี่ยวแสงและป้องกันแสงในสาหร่าย นอกจากนี้ ฟูโคแซนธินยังมีคุณสมบัติทางชีวภาพมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง และต้านโรคอ้วน 3_ไบโอเพอรีน (BioPerine) คือ สารสกัดจากพริกไทยดำที่ได้รับการจดสิทธิบัตร ซึ่งมีสารสำคัญคือ ไพเพอรีน (Piperine) ในรูปแบบที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่าย โดยทั่วไปมีปริมาณไพเพอรีนอย่างน้อย 95%. ไบโอเพอรีนถูกใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารและส่วนผสมอื่นๆ ในร่างกาย สรุป: ไบโอเพอรีนคือสารสกัดจากพริกไทยดำที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารและส่วนผสมอื่นๆ ในร่างกาย 4_เรสเวอราทรอล (Resveratrol) คือ สารประกอบโพลีฟีนอล (Polyphenol) ที่พบได้ในพืชหลายชนิด โดยเฉพาะในองุ่นแดง, เบอร์รี่, ถั่วลิสง, และไวน์แดง มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) และมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ เช่น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ, ชะลอความเสื่อมของเซลล์, และอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็ง 5_Epigallocatechin-3-gallate (EGCG) เป็นโพลีฟีนอลที่พบมากที่สุดในชาเขียว EGCG มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านพังผืด ต้านการปรับโครงสร้าง และปกป้องเนื้อเยื่อหลากหลายชนิด โดยอาจมีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็ง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ และการเผาผลาญอาหาร 6_Silybum marianum เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีหนาม มีชื่อเรียกทั่วไปหลายชนิด ได้แก่ milk thistle, Blessed milkthistle, Marian thistle, Mary thistle, Saint Mary's thistle, Mediterranean milk thistle, variegated thistle และ Scotch thistle พืชชนิดนี้เป็นพืชประจำปีหรือล้มลุกในวงศ์ Asteraceae (คล้ายดอกบานไม่รู้โรยกับไมยราพ ต้องศึกษาสรรพคุณ)
    0 Comments 0 Shares 270 Views 0 Reviews
  • AI กับอนาคตของงาน: มุมมองที่แตกต่าง
    Jensen Huang และ Dario Amodei มีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงาน โดยเฉพาะงานระดับเริ่มต้นในสายงานปกขาว

    มุมมองของ Dario Amodei
    - Amodei เตือนว่า AI อาจทำให้ งานระดับเริ่มต้นในสายงานปกขาวหายไปถึง 50% ในอีก 5 ปีข้างหน้า
    - เขาคาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานอาจเพิ่มขึ้นถึง 20% เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน
    - เขาเสนอให้มี มาตรฐานความโปร่งใสระดับประเทศ เพื่อให้ประชาชนและผู้กำหนดนโยบายเข้าใจความสามารถและความเสี่ยงของ AI

    มุมมองของ Jensen Huang
    - Huang ไม่เห็นด้วยกับคำเตือนของ Amodei และมองว่า AI จะสร้างงานใหม่ เช่น วิศวกรด้าน AI และผู้เชี่ยวชาญด้านการตั้งค่าระบบ
    - เขาเชื่อว่า การเรียนรู้ทักษะด้านโปรแกรมมิ่งจะมีความสำคัญน้อยลง และควรเน้นไปที่ทักษะอื่น เช่น ชีววิทยา การศึกษา การผลิต และเกษตรกรรม
    - Huang เน้นว่า AI ควรพัฒนาอย่างเปิดเผย ไม่ใช่ในลักษณะที่ปิดกั้นโดยบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

    ข้อควรระวัง
    - การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานอาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด ทำให้บางอาชีพหายไปก่อนที่ระบบเศรษฐกิจจะปรับตัวทัน
    - Universal Basic Income (UBI) อาจไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะ Amodei มองว่าเป็นแนวคิดที่ "ดิสโทเปีย" และไม่ใช่โลกที่เราควรตั้งเป้าหมายไว้
    - การพัฒนา AI อย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างผู้ที่สามารถปรับตัวได้กับผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

    ข้อพิพาทระหว่าง Nvidia และ Anthropic
    ความขัดแย้งเกี่ยวกับการควบคุม AI
    - Anthropic สนับสนุน กฎควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี AI ไปยังประเทศต่างๆ เช่น จีน
    - Nvidia โต้แย้งว่า ชิปของบริษัทไม่เคยถูกลักลอบนำเข้าจีน ผ่านวิธีแปลกๆ เช่น ซ่อนในท้องปลาหรือพุงปลอมของหญิงตั้งครรภ์

    ข้อควรระวังเกี่ยวกับการควบคุม AI
    - การควบคุมที่เข้มงวดอาจทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าเทคโนโลยี ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับโลก
    - การพัฒนา AI ในลักษณะที่ปิดกั้นอาจทำให้เกิดการผูกขาด และลดโอกาสในการแข่งขันของบริษัทอื่นๆ
    - ต้องมีการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อให้ AI ถูกพัฒนาอย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ

    แนวโน้มของ AI และตลาดแรงงาน
    โอกาสใหม่ที่เกิดขึ้น
    - AI อาจช่วยให้เกิด อาชีพใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน เช่น นักออกแบบการโต้ตอบกับ AI
    - การใช้ AI ในภาคการศึกษาอาจช่วยให้ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - AI อาจช่วยให้ การผลิตและเกษตรกรรมมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต

    ข้อควรระวังเกี่ยวกับอนาคตของ AI
    - ต้องมีการพัฒนา AI อย่างมีจริยธรรม เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด
    - ต้องมีการเตรียมความพร้อมของแรงงาน เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
    - ต้องมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน เพื่อให้ AI ถูกนำมาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

    https://www.techspot.com/news/108317-jensen-huang-hits-back-anthropic-ceo-warning-ai.html
    🤖 AI กับอนาคตของงาน: มุมมองที่แตกต่าง Jensen Huang และ Dario Amodei มีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงาน โดยเฉพาะงานระดับเริ่มต้นในสายงานปกขาว ✅ มุมมองของ Dario Amodei - Amodei เตือนว่า AI อาจทำให้ งานระดับเริ่มต้นในสายงานปกขาวหายไปถึง 50% ในอีก 5 ปีข้างหน้า - เขาคาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานอาจเพิ่มขึ้นถึง 20% เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน - เขาเสนอให้มี มาตรฐานความโปร่งใสระดับประเทศ เพื่อให้ประชาชนและผู้กำหนดนโยบายเข้าใจความสามารถและความเสี่ยงของ AI ✅ มุมมองของ Jensen Huang - Huang ไม่เห็นด้วยกับคำเตือนของ Amodei และมองว่า AI จะสร้างงานใหม่ เช่น วิศวกรด้าน AI และผู้เชี่ยวชาญด้านการตั้งค่าระบบ - เขาเชื่อว่า การเรียนรู้ทักษะด้านโปรแกรมมิ่งจะมีความสำคัญน้อยลง และควรเน้นไปที่ทักษะอื่น เช่น ชีววิทยา การศึกษา การผลิต และเกษตรกรรม - Huang เน้นว่า AI ควรพัฒนาอย่างเปิดเผย ไม่ใช่ในลักษณะที่ปิดกั้นโดยบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ‼️ ข้อควรระวัง - การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานอาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด ทำให้บางอาชีพหายไปก่อนที่ระบบเศรษฐกิจจะปรับตัวทัน - Universal Basic Income (UBI) อาจไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะ Amodei มองว่าเป็นแนวคิดที่ "ดิสโทเปีย" และไม่ใช่โลกที่เราควรตั้งเป้าหมายไว้ - การพัฒนา AI อย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างผู้ที่สามารถปรับตัวได้กับผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง 🔍 ข้อพิพาทระหว่าง Nvidia และ Anthropic ✅ ความขัดแย้งเกี่ยวกับการควบคุม AI - Anthropic สนับสนุน กฎควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี AI ไปยังประเทศต่างๆ เช่น จีน - Nvidia โต้แย้งว่า ชิปของบริษัทไม่เคยถูกลักลอบนำเข้าจีน ผ่านวิธีแปลกๆ เช่น ซ่อนในท้องปลาหรือพุงปลอมของหญิงตั้งครรภ์ ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับการควบคุม AI - การควบคุมที่เข้มงวดอาจทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าเทคโนโลยี ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับโลก - การพัฒนา AI ในลักษณะที่ปิดกั้นอาจทำให้เกิดการผูกขาด และลดโอกาสในการแข่งขันของบริษัทอื่นๆ - ต้องมีการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อให้ AI ถูกพัฒนาอย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ 🌍 แนวโน้มของ AI และตลาดแรงงาน ✅ โอกาสใหม่ที่เกิดขึ้น - AI อาจช่วยให้เกิด อาชีพใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน เช่น นักออกแบบการโต้ตอบกับ AI - การใช้ AI ในภาคการศึกษาอาจช่วยให้ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น - AI อาจช่วยให้ การผลิตและเกษตรกรรมมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับอนาคตของ AI - ต้องมีการพัฒนา AI อย่างมีจริยธรรม เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด - ต้องมีการเตรียมความพร้อมของแรงงาน เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด - ต้องมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน เพื่อให้ AI ถูกนำมาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม https://www.techspot.com/news/108317-jensen-huang-hits-back-anthropic-ceo-warning-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Jensen Huang hits back at Anthropic CEO's warning that AI will eliminate half of white-collar jobs
    Amodei made his ominous prediction about AI's impact on entry-level, white-collar jobs in May, warning that the eradication of these positions will lead to unemployment spikes of 20%.
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • ฟันของเรามีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ!
    นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยชิคาโก ค้นพบว่า เนื้อเยื่อที่ไวต่อความเย็นในฟันของเรา มีต้นกำเนิดมาจาก เกราะของปลายุคโบราณ ซึ่งใช้ในการรับรู้สภาพแวดล้อมแทนการเคี้ยวอาหาร

    งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Nature ยืนยันว่า เดนทีน (Dentine) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของฟัน ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการเคี้ยวในช่วงแรกของวิวัฒนาการ แต่กลับมีบทบาทในการช่วยให้ปลายุคโบราณ ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำรอบตัว

    นักวิจัยใช้ Synchrotron Scanning ซึ่งเป็นเทคนิคการถ่ายภาพขั้นสูงเพื่อศึกษาฟอสซิลของ Anatolepis heintzi ซึ่งเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด เนื่องจากมีโครงสร้างคล้ายฟัน

    แต่ผลการสแกนพบว่า Anatolepis ไม่ได้มีเดนทีน แต่มี โครงสร้างรับความรู้สึกที่คล้ายกับสัตว์จำพวกกุ้งและปู ซึ่งช่วยให้พวกมันตรวจจับสภาพแวดล้อม

    ข้อมูลจากข่าว
    - นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื้อเยื่อไวต่อความเย็นในฟันมีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ
    - เดนทีนในยุคแรกไม่ได้ใช้ในการเคี้ยว แต่ช่วยให้ปลาตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำ
    - Anatolepis heintzi เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด
    - Synchrotron Scanning เผยว่า Anatolepis ไม่มีเดนทีน แต่มีโครงสร้างรับความรู้สึกคล้ายสัตว์จำพวกกุ้งและปู
    - นักวิจัยพบว่า Eriptychius ซึ่งเป็นปลายุค Ordovician มีเดนทีนในเกราะของมัน

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีหลักฐานใหม่ แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันทฤษฎีวิวัฒนาการของฟัน
    - การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
    - ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อการวิจัยด้านชีววิทยาและทันตกรรมอย่างไร
    - นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันระหว่างทฤษฎี "Inside-Out" และ "Outside-In" เกี่ยวกับวิวัฒนาการของฟัน

    การค้นพบนี้ช่วยให้เราเข้าใจ วิวัฒนาการของฟันในมุมมองใหม่ และอาจนำไปสู่ การพัฒนาเทคโนโลยีทางทันตกรรมที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อแนวคิดทางชีววิทยาในอนาคตอย่างไร

    https://www.neowin.net/news/that-sharp-cold-toothache-you-dread-its-origins-trace-back-to-ancient-unexpected-purpose/
    🦷 ฟันของเรามีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ! นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยชิคาโก ค้นพบว่า เนื้อเยื่อที่ไวต่อความเย็นในฟันของเรา มีต้นกำเนิดมาจาก เกราะของปลายุคโบราณ ซึ่งใช้ในการรับรู้สภาพแวดล้อมแทนการเคี้ยวอาหาร งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Nature ยืนยันว่า เดนทีน (Dentine) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของฟัน ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการเคี้ยวในช่วงแรกของวิวัฒนาการ แต่กลับมีบทบาทในการช่วยให้ปลายุคโบราณ ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำรอบตัว นักวิจัยใช้ Synchrotron Scanning ซึ่งเป็นเทคนิคการถ่ายภาพขั้นสูงเพื่อศึกษาฟอสซิลของ Anatolepis heintzi ซึ่งเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด เนื่องจากมีโครงสร้างคล้ายฟัน แต่ผลการสแกนพบว่า Anatolepis ไม่ได้มีเดนทีน แต่มี โครงสร้างรับความรู้สึกที่คล้ายกับสัตว์จำพวกกุ้งและปู ซึ่งช่วยให้พวกมันตรวจจับสภาพแวดล้อม ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื้อเยื่อไวต่อความเย็นในฟันมีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ - เดนทีนในยุคแรกไม่ได้ใช้ในการเคี้ยว แต่ช่วยให้ปลาตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำ - Anatolepis heintzi เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด - Synchrotron Scanning เผยว่า Anatolepis ไม่มีเดนทีน แต่มีโครงสร้างรับความรู้สึกคล้ายสัตว์จำพวกกุ้งและปู - นักวิจัยพบว่า Eriptychius ซึ่งเป็นปลายุค Ordovician มีเดนทีนในเกราะของมัน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีหลักฐานใหม่ แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันทฤษฎีวิวัฒนาการของฟัน - การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสัตว์มีกระดูกสันหลัง - ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อการวิจัยด้านชีววิทยาและทันตกรรมอย่างไร - นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันระหว่างทฤษฎี "Inside-Out" และ "Outside-In" เกี่ยวกับวิวัฒนาการของฟัน การค้นพบนี้ช่วยให้เราเข้าใจ วิวัฒนาการของฟันในมุมมองใหม่ และอาจนำไปสู่ การพัฒนาเทคโนโลยีทางทันตกรรมที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อแนวคิดทางชีววิทยาในอนาคตอย่างไร https://www.neowin.net/news/that-sharp-cold-toothache-you-dread-its-origins-trace-back-to-ancient-unexpected-purpose/
    WWW.NEOWIN.NET
    That sharp cold toothache you dread? Its origins trace back to ancient, unexpected purpose
    That cold toothache you dread? Its origins trace back to an interesting ancient adaptation, one that served purposes far beyond chewing.
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน
    .
    ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด
    .
    ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ
    .
    หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน
    .
    ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น
    .
    ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้
    .
    ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว
    .
    ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว
    .
    หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน
    .
    ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา
    .
    ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ
    .
    ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น..
    .
    การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์
    .
    Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ
    .
    เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว...
    .
    พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง
    .
    หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น
    .
    ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว
    .
    แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย
    .
    เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected"
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) -
    .
    https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน . ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด . ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ . หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน . ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น . ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้ . ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว . ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว . หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน . ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา . ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ . ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น.. . การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์ . Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ . เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว... . พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง . หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น . ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว . แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย . เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected" . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) - . https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    0 Comments 0 Shares 726 Views 0 Reviews
  • เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น
    .
    ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ
    .
    อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้
    .
    ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน
    .
    [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้]
    .
    เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus)
    .
    นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี
    .
    อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland
    .
    เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่
    .
    ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่
    .
    และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก
    .
    ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย)
    .
    ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด
    .
    คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน?
    .
    บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน
    .
    หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า
    .
    ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน
    .
    เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก
    .
    สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน
    ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้
    .
    คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที
    .
    เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น
    ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี
    ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“
    แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม
    .
    นี่รู้ไหม...
    มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า?
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] -
    .
    เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น . ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ . อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้ . ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน . [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้] . เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus) . นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี . อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland . เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่ . ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่ . และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก . ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย) . ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด . คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน? . บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน . หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า . ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน . เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก . สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้ . คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที . เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“ แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม . นี่รู้ไหม... มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า? . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] - .
    0 Comments 0 Shares 792 Views 0 Reviews
  • **“เหนื่อย…แต่ไม่ไร้ค่า”
    แรงที่เผาผลาญไปวันนี้ คุ้มค่าแค่ไหน?**

    คุณรู้ไหมว่า
    ทุกวันไม่ว่าคุณจะกินอาหารมากแค่ไหน
    สมองคุณจะขอส่วนแบ่งพลังงานจากอาหารไปถึง 20% เสมอ

    ใช่…
    แม้คุณจะไม่ได้ขยับแขนขา
    แม้คุณจะนั่งเฉยๆเพียงแค่ “คิด”
    สมองคุณก็กินพลังงานมากกว่าอวัยวะอื่นทั้งหมด

    เพราะแบบนี้
    แค่คิดมาก…ก็เหนื่อยได้จริง
    ไม่ใช่แค่รู้สึกไปเอง
    แต่คือความจริงระดับชีววิทยา

    ---

    แต่สิ่งที่สำคัญกว่า “คิดมากหรือคิดน้อย” ก็คือ… “คิดไปเพื่ออะไร?”

    ถ้าสมองคุณกำลังทำงานแบบมีเป้าหมาย
    แม้จะเหนื่อย ก็จะรู้ว่าเหนื่อยไปเพื่ออะไร
    รู้สึกคุ้ม แม้จะล้า

    แต่หากคุณใช้พลังสมองไปกับการคิดฟุ้ง
    คิดซ้ำ คิดวน คิดไร้เป้าหมาย
    แรงทั้งหมดที่เผาผลาญออกไป
    จะเหลือไว้เพียง “หมอกในหัว”
    และความรู้สึกเศร้าใจว่า

    > “วันนี้หมดแรงไป…แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย”

    ---

    สิ่งที่มนุษย์ลืมคิดกันคือ… “พลังงานของฉันไม่ได้มาฟรี”

    สัตว์หลายตัวเสียชีวิต
    เพื่อแปรรูปเป็นอาหารให้คุณกิน
    อาหารเหล่านั้นถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน
    พลังงานเหล่านั้นถูกส่งเข้าสู่สมอง
    สมองถูกใช้เพื่อ “นั่งฟุ้งอยู่กับความสงสารตัวเอง”…

    เมื่อคิดได้อย่างนี้
    บางคนที่เคยนั่งเศร้าโดยไม่มีเป้าหมาย
    จะเริ่มเกรงใจ…เกรงใจสิ่งมีชีวิตอื่น
    ที่ต้องตายไปเพื่อป้อนพลังให้เรามาใช้เปล่าๆ

    ---

    คราวหน้า เมื่อรู้สึกเหนื่อย…ให้ลองถามตัวเองว่า

    > “แรงที่ฉันใช้ไปเมื่อครู่นี้ แปรเป็นอะไรดีๆแล้วหรือยัง?”

    หากคำตอบคือ

    > “ได้คิดสิ่งดีๆ ได้เขียนสิ่งดีๆ ได้เข้าใจใครบางคนมากขึ้น”
    คุณจะเริ่มรู้สึกอิ่มใจ คุ้มค่า

    แต่ถ้าคำตอบคือ

    > “เอาไปคิดซ้ำ คิดวน คิดแย่กับตัวเองไม่หยุด”
    ก็แค่รู้ตัว แล้วเปลี่ยนทิศทางความคิดใหม่อีกครั้ง

    ---

    **อย่าให้สมองระดับสูงที่สุดของโลก…

    ถูกใช้ไปกับเรื่องไร้สาระในใจคนเพียงคนเดียว**

    ในทางโลก
    คุณอาจลุกขึ้นมาสร้างสิ่งดีๆ
    ให้เพื่อนมนุษย์ได้เห็นแสงบ้าง

    ในทางธรรม
    คุณอาจเริ่มเจริญสติทีละลมหายใจ
    เพื่อค่อยๆปลดเปลื้องตัวเอง
    จาก “ความเบียดเบียนโดยไม่รู้ตัว”

    > จนกระทั่งวันหนึ่ง
    คุณจะกลายเป็นมนุษย์ที่ “ไม่มีใครต้องตายเพื่อเราอีก”
    เพราะเราไม่ฟุ้ง ไม่ฟุ้งซ่าน
    แต่ใช้ชีวิตอย่างรู้คุณ…และรู้ค่า
    **“เหนื่อย…แต่ไม่ไร้ค่า” แรงที่เผาผลาญไปวันนี้ คุ้มค่าแค่ไหน?** คุณรู้ไหมว่า ทุกวันไม่ว่าคุณจะกินอาหารมากแค่ไหน สมองคุณจะขอส่วนแบ่งพลังงานจากอาหารไปถึง 20% เสมอ ใช่… แม้คุณจะไม่ได้ขยับแขนขา แม้คุณจะนั่งเฉยๆเพียงแค่ “คิด” สมองคุณก็กินพลังงานมากกว่าอวัยวะอื่นทั้งหมด เพราะแบบนี้ แค่คิดมาก…ก็เหนื่อยได้จริง ไม่ใช่แค่รู้สึกไปเอง แต่คือความจริงระดับชีววิทยา --- แต่สิ่งที่สำคัญกว่า “คิดมากหรือคิดน้อย” ก็คือ… “คิดไปเพื่ออะไร?” ถ้าสมองคุณกำลังทำงานแบบมีเป้าหมาย แม้จะเหนื่อย ก็จะรู้ว่าเหนื่อยไปเพื่ออะไร รู้สึกคุ้ม แม้จะล้า แต่หากคุณใช้พลังสมองไปกับการคิดฟุ้ง คิดซ้ำ คิดวน คิดไร้เป้าหมาย แรงทั้งหมดที่เผาผลาญออกไป จะเหลือไว้เพียง “หมอกในหัว” และความรู้สึกเศร้าใจว่า > “วันนี้หมดแรงไป…แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย” --- สิ่งที่มนุษย์ลืมคิดกันคือ… “พลังงานของฉันไม่ได้มาฟรี” สัตว์หลายตัวเสียชีวิต เพื่อแปรรูปเป็นอาหารให้คุณกิน อาหารเหล่านั้นถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน พลังงานเหล่านั้นถูกส่งเข้าสู่สมอง สมองถูกใช้เพื่อ “นั่งฟุ้งอยู่กับความสงสารตัวเอง”… เมื่อคิดได้อย่างนี้ บางคนที่เคยนั่งเศร้าโดยไม่มีเป้าหมาย จะเริ่มเกรงใจ…เกรงใจสิ่งมีชีวิตอื่น ที่ต้องตายไปเพื่อป้อนพลังให้เรามาใช้เปล่าๆ --- คราวหน้า เมื่อรู้สึกเหนื่อย…ให้ลองถามตัวเองว่า > “แรงที่ฉันใช้ไปเมื่อครู่นี้ แปรเป็นอะไรดีๆแล้วหรือยัง?” หากคำตอบคือ > “ได้คิดสิ่งดีๆ ได้เขียนสิ่งดีๆ ได้เข้าใจใครบางคนมากขึ้น” คุณจะเริ่มรู้สึกอิ่มใจ คุ้มค่า แต่ถ้าคำตอบคือ > “เอาไปคิดซ้ำ คิดวน คิดแย่กับตัวเองไม่หยุด” ก็แค่รู้ตัว แล้วเปลี่ยนทิศทางความคิดใหม่อีกครั้ง --- **อย่าให้สมองระดับสูงที่สุดของโลก… ถูกใช้ไปกับเรื่องไร้สาระในใจคนเพียงคนเดียว** ในทางโลก คุณอาจลุกขึ้นมาสร้างสิ่งดีๆ ให้เพื่อนมนุษย์ได้เห็นแสงบ้าง ในทางธรรม คุณอาจเริ่มเจริญสติทีละลมหายใจ เพื่อค่อยๆปลดเปลื้องตัวเอง จาก “ความเบียดเบียนโดยไม่รู้ตัว” > จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณจะกลายเป็นมนุษย์ที่ “ไม่มีใครต้องตายเพื่อเราอีก” เพราะเราไม่ฟุ้ง ไม่ฟุ้งซ่าน แต่ใช้ชีวิตอย่างรู้คุณ…และรู้ค่า
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 309 Views 0 Reviews
  • #ภาควิชาสรีรวิทยา #คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล #มหาวิทยาลัยมหิดล
    ขอแสดงความยินดีกับบุคลากรและนักศึกษาห้องปฏิบัติการอณูชีววิทยา 1 และ 6 และห้องปฏิบัติการย้อมเนื้อเยื่อ 2 ภาควิชาสรีรวิทยา ในโอกาสที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยห้องปฏิบัติการตามมาตรฐาน ESPReL โดยเป็นผลจากการประเมินแบบ peer evaluation ระยะที่ 1 ภายใต้การกำกับของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ผ่านโครงการของศูนย์บริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม (COSHEM) มหาวิทยาลัยมหิดล ในงาน Safety Day ครั้งที่ 9: MU Safety – Preparing for the Unexpected เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568
    #ภาควิชาสรีรวิทยา #คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล #มหาวิทยาลัยมหิดล ขอแสดงความยินดีกับบุคลากรและนักศึกษาห้องปฏิบัติการอณูชีววิทยา 1 และ 6 และห้องปฏิบัติการย้อมเนื้อเยื่อ 2 ภาควิชาสรีรวิทยา ในโอกาสที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยห้องปฏิบัติการตามมาตรฐาน ESPReL โดยเป็นผลจากการประเมินแบบ peer evaluation ระยะที่ 1 ภายใต้การกำกับของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ผ่านโครงการของศูนย์บริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม (COSHEM) มหาวิทยาลัยมหิดล ในงาน Safety Day ครั้งที่ 9: MU Safety – Preparing for the Unexpected เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 364 Views 0 Reviews
  • ..ข่าวเก่าลงปี2023 ขณะนั้นระเบิดใต้ดินอุโมงค์ทิ้งกันแหลกเลยก็เป็นได้หากจริง.
    ..พม่าที่แผ่นดินไหวใต้ดิน มโนเล่นๆว่าคือใต้อุโมงค์รังขนาดใหญ่ของการค้ามนุษย์ระดับโลกหรือแล็บชีวภาพขนาดใหญ่ก็ด้วย อาจจำเป็นต้องโยนเรื่องว่าคือภัยพิบัติทางธรรมชาติ อสูรกายเอย ซอมบี้เอย สัตว์นรกต่างๆในคลาบเนื้อหนังจริงอาจมากมายใต้ประเทศพม่า,เพราะพม่าคือโคตรแหล่งค้ามนุษย์ระดับโลกอีกแห่งนั้นเองในฝ่ายแสงกล่าวว่าไว้หากจริงตามนั้น,กทม.ไทยก็มีอุโมงค์ใหญ่เช่นกันอาจกำลังระเบิดกวาดล้างอยู่เช่นกัน.

    ห้องทดลอง BIOWEAPON ใน DUMB's มีอยู่จริงเช่นเดียวกับการทดลอง ห้องทดลอง BioLab

    ทุกฝ่ายต่างยึดครองอุโมงค์
    และหรือตัดอุโมงค์ใหม่ เมื่อกองกำลังพันธมิตรต่างๆ เข้าต่อสู้กับอุโมงค์ที่แอบแฝงอยู่ภายใต้หน้ากากของปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดและปฏิบัติการต่อต้าน "การค้ามนุษย์" ในที่สุด กองพันต่างๆ จะต้องพบกับสิ่งที่พวกเขาไม่ควรเห็น
    -
    เด็กและข่าวลือเกี่ยวกับเด็กที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นสิ่งหนึ่ง แต่มีการกล่าวกันว่ามีสถานที่อื่นๆ ด้วย เป็นไปได้อย่างยิ่งที่ทีมบุกเข้าไปในห้องทดลองชีวภาพและติดเชื้อโรค จากนั้นพวกเขาต้องปิดผนึกอุโมงค์
    -
    พวกเขาอาจพบสัตว์ประหลาด ไม่ใช่ซอมบี้ในความหมายของ Resident Evil แต่เป็นสัตว์ประหลาดในความหมายของ Resident Evil สัตว์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมบางสิ่ง @ การเสียชีวิตในอุโมงค์เหล่านี้จะเป็นหายนะ ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการเคลียร์ทั้งหมด ทำแผนที่ และเปิดเผยข้อมูล

    สหรัฐฯ BIOLABS - นายพลรัสเซียเปิดเผย PFIZER และสถาบัน Doherty ของออสเตรเลียในยูเครน
    -
    ห้องปฏิบัติการ BIOWEAPON ของสหรัฐฯ ในยูเครน ครอบครัวอาชญากรของไบเดน - SOROS ดำเนินโครงการนิวเคลียร์ในยูเครน

    การระบาดของ DARPA โปรแกรมการลอบสังหาร - DARPA, CRISPR
    --->>>
    https://rumble.com/v2abjei-the-darpa-pandemic-assassination-program-darpa-crispr.html
    -
    BQQQQM - ปูติน: ไวรัสโคโรนาเป็นส่วนหนึ่งของชีววิทยา โครงการอาวุธในยูเครน
    -->>
    https://rumble.com/v1smkke-bqqqqm-putin-coronavirus-was-part-of-the-biological-weapons-program-in-ukra.html

    @DUMBSandUNDERGROUND
    in ALLIANCE with
    @deNAZIficationMilitaryQperationZ

    https://rumble.com/v2ul10q-bioweapon-labs-the-dumbs-are-real-so-are-the-experiments-biolabs.html
    ..ข่าวเก่าลงปี2023 ขณะนั้นระเบิดใต้ดินอุโมงค์ทิ้งกันแหลกเลยก็เป็นได้หากจริง. ..พม่าที่แผ่นดินไหวใต้ดิน มโนเล่นๆว่าคือใต้อุโมงค์รังขนาดใหญ่ของการค้ามนุษย์ระดับโลกหรือแล็บชีวภาพขนาดใหญ่ก็ด้วย อาจจำเป็นต้องโยนเรื่องว่าคือภัยพิบัติทางธรรมชาติ อสูรกายเอย ซอมบี้เอย สัตว์นรกต่างๆในคลาบเนื้อหนังจริงอาจมากมายใต้ประเทศพม่า,เพราะพม่าคือโคตรแหล่งค้ามนุษย์ระดับโลกอีกแห่งนั้นเองในฝ่ายแสงกล่าวว่าไว้หากจริงตามนั้น,กทม.ไทยก็มีอุโมงค์ใหญ่เช่นกันอาจกำลังระเบิดกวาดล้างอยู่เช่นกัน. ☣️ ห้องทดลอง BIOWEAPON ใน DUMB's มีอยู่จริงเช่นเดียวกับการทดลอง 🧪 ห้องทดลอง BioLab ทุกฝ่ายต่างยึดครองอุโมงค์ และหรือตัดอุโมงค์ใหม่ เมื่อกองกำลังพันธมิตรต่างๆ เข้าต่อสู้กับอุโมงค์ที่แอบแฝงอยู่ภายใต้หน้ากากของปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดและปฏิบัติการต่อต้าน "การค้ามนุษย์" ในที่สุด กองพันต่างๆ จะต้องพบกับสิ่งที่พวกเขาไม่ควรเห็น - เด็กและข่าวลือเกี่ยวกับเด็กที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นสิ่งหนึ่ง แต่มีการกล่าวกันว่ามีสถานที่อื่นๆ ด้วย เป็นไปได้อย่างยิ่งที่ทีมบุกเข้าไปในห้องทดลองชีวภาพและติดเชื้อโรค จากนั้นพวกเขาต้องปิดผนึกอุโมงค์ - พวกเขาอาจพบสัตว์ประหลาด ไม่ใช่ซอมบี้ในความหมายของ Resident Evil แต่เป็นสัตว์ประหลาดในความหมายของ Resident Evil สัตว์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมบางสิ่ง @ การเสียชีวิตในอุโมงค์เหล่านี้จะเป็นหายนะ ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการเคลียร์ทั้งหมด ทำแผนที่ และเปิดเผยข้อมูล 🇺🇸 สหรัฐฯ ☣️ BIOLABS - นายพลรัสเซียเปิดเผย PFIZER และสถาบัน Doherty ของออสเตรเลียในยูเครน 🇺🇦☣️ - 🇺🇸 ห้องปฏิบัติการ BIOWEAPON ของสหรัฐฯ ในยูเครน 🇺🇦 ครอบครัวอาชญากรของไบเดน - SOROS ดำเนินโครงการนิวเคลียร์ในยูเครน 🔥 การระบาดของ DARPA 🔥 โปรแกรมการลอบสังหาร - DARPA, CRISPR --->>> https://rumble.com/v2abjei-the-darpa-pandemic-assassination-program-darpa-crispr.html - B💥Q💥Q💥Q💥Q💥M - ปูติน: ไวรัสโคโรนาเป็นส่วนหนึ่งของชีววิทยา โครงการอาวุธในยูเครน -->> https://rumble.com/v1smkke-bqqqqm-putin-coronavirus-was-part-of-the-biological-weapons-program-in-ukra.html @DUMBSandUNDERGROUND in ALLIANCE with @deNAZIficationMilitaryQperationZ https://rumble.com/v2ul10q-bioweapon-labs-the-dumbs-are-real-so-are-the-experiments-biolabs.html
    0 Comments 0 Shares 762 Views 0 Reviews
  • ในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี Peter Diamandis นักวิทยาศาสตร์อนาคตผู้ก่อตั้ง XPRIZE Foundation ได้เผยถึงความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีจะช่วยชะลอ หยุด หรือแม้กระทั่งย้อนเวลากระบวนการชรา โดยอาศัยความก้าวหน้าที่ก่อเกิดจากการรวมตัวของ AI, เซ็นเซอร์, การคำนวณ, และชีววิทยาเซลล์เดียว ซึ่งเขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า "การปฏิวัติสุขภาพช่วงชีวิต" (Healthspan Revolution)

    AI และการวิเคราะห์ข้อมูล
    - AI กำลังขับเคลื่อนความสามารถในการจัดการข้อมูลชีวภาพขนาดมหาศาล เพื่อเปิดเผยความลับของกระบวนการชราผ่านการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง

    การปรับเปลี่ยน Epigenome
    - Diamandis เชื่อมั่นว่า การรีโปรแกรม Epigenome ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการทำงานของยีนในเซลล์ จะสามารถทำให้เซลล์กลับคืนสู่สภาพที่อ่อนเยาว์

    "ความเร็วหลบหนีของอายุยืน" (Longevity Escape Velocity)
    - เขาคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี เราอาจเข้าสู่จุดที่เทคโนโลยีสามารถยืดอายุคนได้มากกว่าหนึ่งปีสำหรับทุกปีที่เราอยู่ ซึ่งหมายความว่ากระบวนการชราจะถูกชะลอจนถึงขั้นหยุดนิ่ง

    มุมมองที่ต้องวิเคราะห์เพิ่ม:
    - แม้ว่าการทำนายของ Diamandis จะน่าตื่นเต้น แต่มีนักวิจารณ์ที่เตือนให้เราระมัดระวัง เนื่องจากคำพูดของนักวิทยาศาสตร์อนาคตบางคนมักมีแนวโน้มที่จะ มองโลกในแง่ดีเกินไป และเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ

    https://www.techspot.com/news/107440-futurist-key-living-longer-making-2030s-ndash-ai.html
    ในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี Peter Diamandis นักวิทยาศาสตร์อนาคตผู้ก่อตั้ง XPRIZE Foundation ได้เผยถึงความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีจะช่วยชะลอ หยุด หรือแม้กระทั่งย้อนเวลากระบวนการชรา โดยอาศัยความก้าวหน้าที่ก่อเกิดจากการรวมตัวของ AI, เซ็นเซอร์, การคำนวณ, และชีววิทยาเซลล์เดียว ซึ่งเขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า "การปฏิวัติสุขภาพช่วงชีวิต" (Healthspan Revolution) ✅ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล - AI กำลังขับเคลื่อนความสามารถในการจัดการข้อมูลชีวภาพขนาดมหาศาล เพื่อเปิดเผยความลับของกระบวนการชราผ่านการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง ✅ การปรับเปลี่ยน Epigenome - Diamandis เชื่อมั่นว่า การรีโปรแกรม Epigenome ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการทำงานของยีนในเซลล์ จะสามารถทำให้เซลล์กลับคืนสู่สภาพที่อ่อนเยาว์ ✅ "ความเร็วหลบหนีของอายุยืน" (Longevity Escape Velocity) - เขาคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี เราอาจเข้าสู่จุดที่เทคโนโลยีสามารถยืดอายุคนได้มากกว่าหนึ่งปีสำหรับทุกปีที่เราอยู่ ซึ่งหมายความว่ากระบวนการชราจะถูกชะลอจนถึงขั้นหยุดนิ่ง ✅ มุมมองที่ต้องวิเคราะห์เพิ่ม: - แม้ว่าการทำนายของ Diamandis จะน่าตื่นเต้น แต่มีนักวิจารณ์ที่เตือนให้เราระมัดระวัง เนื่องจากคำพูดของนักวิทยาศาสตร์อนาคตบางคนมักมีแนวโน้มที่จะ มองโลกในแง่ดีเกินไป และเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ https://www.techspot.com/news/107440-futurist-key-living-longer-making-2030s-ndash-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Futurist says the key to living longer is making it to the 2030s – AI will take it from there
    On a recent Apple Podcast, Diamandis expanded upon a tweet in which he advised people to stay alive until the next decade and not die from "something...
    0 Comments 0 Shares 354 Views 0 Reviews
  • นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา (UCSB) ได้พัฒนาหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สามารถรวมตัวและทำงานร่วมกันในลักษณะที่คล้ายกับของเหลวหรือรูปแบบของแข็ง หุ่นยนต์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสามารถประกอบตัวขึ้นเป็นรูปทรงใหม่ ๆ หรือสร้างเครื่องมือใหม่ ๆ ได้ตามต้องการ

    นักวิจัยที่ UCSB ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ โดยพวกเขาได้พัฒนาและออกแบบหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สามารถทำงานร่วมกันเหมือนกับอาณานิคมของมด หุ่นยนต์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนสถานะจากลักษณะ "ไหล" เหมือนของเหลวไปสู่รูปทรงที่เป็นของแข็งได้โดยการปรับเปลี่ยนการหมุนของหุ่นยนต์ แต่ละหน่วยหุ่นยนต์ถูกติดตั้งแม่เหล็กและเกียร์มอเตอร์แปดตัวที่ชั้นนอกของหุ่นยนต์เพื่อนำมาประกอบเป็นรูปร่างต่าง ๆ

    หุ่นยนต์ขนาดเล็กนี้สามารถจำลองกระบวนการทางชีววิทยาที่สำคัญสามประการ คือแรงระหว่างหน่วย, การแบ่งขั้ว (polarization), และการยึดเกาะ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้หุ่นยนต์สามารถเคลื่อนไหวและประสานงานกันได้เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในร่างกายของมนุษย์

    ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนที่นักวิจัยจะดำเนินการ: พวกเขาวางแผนที่จะทำให้หุ่นยนต์ขนาดเล็กยิ่งขึ้นและเพิ่มจำนวนหน่วยให้มากขึ้น การพัฒนาหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สามารถประกอบกันเป็นรูปทรงใด ๆ ได้ตามต้องการจะทำให้นักวิจัยสามารถควบคุมและสร้างรูปร่างได้อย่างแม่นยำ

    การพัฒนานี้อาจนำไปสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอนาคต เช่น หุ่นยนต์ที่สามารถใช้ในการรักษาพยาบาล การสำรวจอวกาศ หรือการก่อสร้างในสภาพแวดล้อมที่เข้าถึงยาก

    https://www.techspot.com/news/106937-scientists-develop-micro-robots-can-flow-like-fluid.html
    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา (UCSB) ได้พัฒนาหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สามารถรวมตัวและทำงานร่วมกันในลักษณะที่คล้ายกับของเหลวหรือรูปแบบของแข็ง หุ่นยนต์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสามารถประกอบตัวขึ้นเป็นรูปทรงใหม่ ๆ หรือสร้างเครื่องมือใหม่ ๆ ได้ตามต้องการ นักวิจัยที่ UCSB ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ โดยพวกเขาได้พัฒนาและออกแบบหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สามารถทำงานร่วมกันเหมือนกับอาณานิคมของมด หุ่นยนต์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนสถานะจากลักษณะ "ไหล" เหมือนของเหลวไปสู่รูปทรงที่เป็นของแข็งได้โดยการปรับเปลี่ยนการหมุนของหุ่นยนต์ แต่ละหน่วยหุ่นยนต์ถูกติดตั้งแม่เหล็กและเกียร์มอเตอร์แปดตัวที่ชั้นนอกของหุ่นยนต์เพื่อนำมาประกอบเป็นรูปร่างต่าง ๆ หุ่นยนต์ขนาดเล็กนี้สามารถจำลองกระบวนการทางชีววิทยาที่สำคัญสามประการ คือแรงระหว่างหน่วย, การแบ่งขั้ว (polarization), และการยึดเกาะ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้หุ่นยนต์สามารถเคลื่อนไหวและประสานงานกันได้เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในร่างกายของมนุษย์ ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนที่นักวิจัยจะดำเนินการ: พวกเขาวางแผนที่จะทำให้หุ่นยนต์ขนาดเล็กยิ่งขึ้นและเพิ่มจำนวนหน่วยให้มากขึ้น การพัฒนาหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สามารถประกอบกันเป็นรูปทรงใด ๆ ได้ตามต้องการจะทำให้นักวิจัยสามารถควบคุมและสร้างรูปร่างได้อย่างแม่นยำ การพัฒนานี้อาจนำไปสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอนาคต เช่น หุ่นยนต์ที่สามารถใช้ในการรักษาพยาบาล การสำรวจอวกาศ หรือการก่อสร้างในสภาพแวดล้อมที่เข้าถึงยาก https://www.techspot.com/news/106937-scientists-develop-micro-robots-can-flow-like-fluid.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientists develop micro-robots that can flow like a fluid or collectively assemble into solid shapes
    Researchers from the University of California, Santa Barbara (UCSB) designed a "material-like" collective of programmable micro-robots, which can behave like a fluid or bond together to create...
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • กินอาหารให้เป็นยา ในกลไกทางชีววิทยาโมเลกุล
    อาหารรูปแบบ ซีโนไลติก (Senolytic Foods)
    คือ อาหารที่มีสารออกฤทธิ์ช่วยกำจัดเซลล์เสื่อมสภาพ (Senescent Cells) ออกจากร่างกาย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการชะลอความแก่ และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และอัลไซเมอร์
    กินอาหารให้เป็นยา ในกลไกทางชีววิทยาโมเลกุล อาหารรูปแบบ ซีโนไลติก (Senolytic Foods) คือ อาหารที่มีสารออกฤทธิ์ช่วยกำจัดเซลล์เสื่อมสภาพ (Senescent Cells) ออกจากร่างกาย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการชะลอความแก่ และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และอัลไซเมอร์
    0 Comments 0 Shares 423 Views 4 0 Reviews
  • ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Aurora ของ Argonne National Laboratory ได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว ซูเปอร์คอมพิวเตอร์นี้ถูกประกาศครั้งแรกในปี 2015 และเผชิญกับความล่าช้ามากมาย แต่ตอนนี้สามารถให้บริการได้มากกว่า 1 ExaFLOPS สำหรับการจำลองและ 11.6 ExaFLOPS สำหรับการประมวลผลปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง

    Michael Papka ผู้อำนวยการ Argonne Leadership Computing Facility (ALCF) กล่าวว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เปิดตัว Aurora สำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์" และเสริมว่า "ผู้ใช้เริ่มแรกได้แสดงให้เราเห็นถึงศักยภาพอันมหาศาลของ Aurora เรารอคอยที่จะเห็นว่าชุมชนวิทยาศาสตร์จะใช้ระบบนี้ในการเปลี่ยนแปลงการวิจัยของพวกเขาอย่างไร"

    การเปิดตัว Aurora สำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นการยอมรับระบบอย่างเป็นทางการโดย ARNL ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสำหรับเครื่องที่มีปัญหานี้ Aurora ถูกวางแผนไว้สำหรับปี 2018 แต่พลาดเป้าหมายเนื่องจากการตัดสินใจของ Intel ที่จะยกเลิกโปรเซสเซอร์ Xeon Phi หลังจากที่เครื่องถูกออกแบบใหม่ โครงการก็เผชิญกับความล่าช้าเพิ่มเติมเนื่องจากการล่าช้าของเทคโนโลยีการผลิต 7nm ของ Intel ทำให้วันที่เสร็จสมบูรณ์ถูกเลื่อนออกไปเป็นปี 2021 และอีกครั้งในปี 2023

    แม้ว่าอุปกรณ์จะถูกติดตั้งในเดือนมิถุนายน 2023 แต่ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าระบบจะสามารถทำงานได้เต็มที่และบรรลุประสิทธิภาพระดับ exascale ซึ่งในที่สุดก็สำเร็จในเดือนพฤษภาคม 2024 แต่ระบบนี้ยังคงเปิดให้บริการเฉพาะนักวิจัยบางกลุ่มเท่านั้นเป็นเวลานานกว่าครึ่งปี

    Aurora ไม่ใช่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการจำลอง เนื่องจากประสิทธิภาพ FP64 ของมันเพียงแค่เกิน 1 ExaFLOPS แต่เป็นระบบที่ทรงพลังที่สุดสำหรับ AI เนื่องจากสามารถบรรลุ 11.6 ExaFLOPS ตามการทดสอบ HPL-MxP

    Rick Stevens ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการ Argonne กล่าวว่า "เป้าหมายใหญ่ของ Aurora คือการฝึกอบรมโมเดลภาษาขนาดใหญ่สำหรับวิทยาศาสตร์" และเสริมว่า "ด้วยโครงการ AuroraGPT เรากำลังสร้างโมเดลพื้นฐานที่เน้นวิทยาศาสตร์ที่สามารถสกัดความรู้จากหลายโดเมน ตั้งแต่ชีววิทยาถึงเคมี หนึ่งในเป้าหมายของ Aurora คือการช่วยให้นักวิจัยสร้างเครื่องมือ AI ใหม่ที่ช่วยให้พวกเขาก้าวหน้าได้เร็วเท่าที่พวกเขาคิด ไม่ใช่แค่เร็วเท่าที่การคำนวณของพวกเขา"

    โครงการวิจัยแรกๆ ที่ใช้ Aurora รวมถึงการจำลองระบบที่ซับซ้อน เช่น ระบบหมุนเวียนเลือดของมนุษย์ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และการระเบิดของซูเปอร์โนวา ประสิทธิภาพที่ล้นหลามของเครื่องนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการประมวลผลข้อมูลจากศูนย์วิจัยใหญ่ๆ เช่น Argonne's Advanced Photon Source (APS) และ CERN's Large Hadron Collider

    Aurora ประกอบด้วย 166 แร็ค แต่ละแร็คมี 64 เบลด รวมทั้งหมด 10,624 เบลด แต่ละเบลดมีโปรเซสเซอร์ Xeon Max สองตัวพร้อมหน่วยความจำ HBM2E ขนาด 64 GB และ GPU Intel Data Center Max 'Ponte Vecchio' หกตัว ทั้งหมดนี้ถูกทำความเย็นด้วยระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวเฉพาะ

    Aurora มี CPU 21,248 ตัวพร้อมคอร์ x86 ประสิทธิภาพสูงกว่า 1.1 ล้านคอร์ หน่วยความจำ DDR5 ขนาด 19.9 PB และหน่วยความจำ HBM2E ขนาด 1.36 PB ที่เชื่อมต่อกับ CPU นอกจากนี้ยังมี GPU 63,744 ตัวที่ปรับแต่งสำหรับ AI และ HPC พร้อมหน่วยความจำ HBM2E ขนาด 8.16 PB Aurora ใช้โหนด 1,024 โหนดที่มีไดรฟ์โซลิดสเตตสำหรับการจัดเก็บข้อมูล รวมความจุทั้งหมด 220 PB และแบนด์วิดท์ 31 TB/s ระบบนี้ใช้สถาปัตยกรรมซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Shasta ของ HPE พร้อมการเชื่อมต่อ Slingshot

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/aurora-supercomputer-is-now-fully-operational-available-to-researchers
    ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Aurora ของ Argonne National Laboratory ได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว ซูเปอร์คอมพิวเตอร์นี้ถูกประกาศครั้งแรกในปี 2015 และเผชิญกับความล่าช้ามากมาย แต่ตอนนี้สามารถให้บริการได้มากกว่า 1 ExaFLOPS สำหรับการจำลองและ 11.6 ExaFLOPS สำหรับการประมวลผลปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง Michael Papka ผู้อำนวยการ Argonne Leadership Computing Facility (ALCF) กล่าวว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เปิดตัว Aurora สำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์" และเสริมว่า "ผู้ใช้เริ่มแรกได้แสดงให้เราเห็นถึงศักยภาพอันมหาศาลของ Aurora เรารอคอยที่จะเห็นว่าชุมชนวิทยาศาสตร์จะใช้ระบบนี้ในการเปลี่ยนแปลงการวิจัยของพวกเขาอย่างไร" การเปิดตัว Aurora สำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นการยอมรับระบบอย่างเป็นทางการโดย ARNL ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสำหรับเครื่องที่มีปัญหานี้ Aurora ถูกวางแผนไว้สำหรับปี 2018 แต่พลาดเป้าหมายเนื่องจากการตัดสินใจของ Intel ที่จะยกเลิกโปรเซสเซอร์ Xeon Phi หลังจากที่เครื่องถูกออกแบบใหม่ โครงการก็เผชิญกับความล่าช้าเพิ่มเติมเนื่องจากการล่าช้าของเทคโนโลยีการผลิต 7nm ของ Intel ทำให้วันที่เสร็จสมบูรณ์ถูกเลื่อนออกไปเป็นปี 2021 และอีกครั้งในปี 2023 แม้ว่าอุปกรณ์จะถูกติดตั้งในเดือนมิถุนายน 2023 แต่ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าระบบจะสามารถทำงานได้เต็มที่และบรรลุประสิทธิภาพระดับ exascale ซึ่งในที่สุดก็สำเร็จในเดือนพฤษภาคม 2024 แต่ระบบนี้ยังคงเปิดให้บริการเฉพาะนักวิจัยบางกลุ่มเท่านั้นเป็นเวลานานกว่าครึ่งปี Aurora ไม่ใช่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการจำลอง เนื่องจากประสิทธิภาพ FP64 ของมันเพียงแค่เกิน 1 ExaFLOPS แต่เป็นระบบที่ทรงพลังที่สุดสำหรับ AI เนื่องจากสามารถบรรลุ 11.6 ExaFLOPS ตามการทดสอบ HPL-MxP Rick Stevens ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการ Argonne กล่าวว่า "เป้าหมายใหญ่ของ Aurora คือการฝึกอบรมโมเดลภาษาขนาดใหญ่สำหรับวิทยาศาสตร์" และเสริมว่า "ด้วยโครงการ AuroraGPT เรากำลังสร้างโมเดลพื้นฐานที่เน้นวิทยาศาสตร์ที่สามารถสกัดความรู้จากหลายโดเมน ตั้งแต่ชีววิทยาถึงเคมี หนึ่งในเป้าหมายของ Aurora คือการช่วยให้นักวิจัยสร้างเครื่องมือ AI ใหม่ที่ช่วยให้พวกเขาก้าวหน้าได้เร็วเท่าที่พวกเขาคิด ไม่ใช่แค่เร็วเท่าที่การคำนวณของพวกเขา" โครงการวิจัยแรกๆ ที่ใช้ Aurora รวมถึงการจำลองระบบที่ซับซ้อน เช่น ระบบหมุนเวียนเลือดของมนุษย์ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และการระเบิดของซูเปอร์โนวา ประสิทธิภาพที่ล้นหลามของเครื่องนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการประมวลผลข้อมูลจากศูนย์วิจัยใหญ่ๆ เช่น Argonne's Advanced Photon Source (APS) และ CERN's Large Hadron Collider Aurora ประกอบด้วย 166 แร็ค แต่ละแร็คมี 64 เบลด รวมทั้งหมด 10,624 เบลด แต่ละเบลดมีโปรเซสเซอร์ Xeon Max สองตัวพร้อมหน่วยความจำ HBM2E ขนาด 64 GB และ GPU Intel Data Center Max 'Ponte Vecchio' หกตัว ทั้งหมดนี้ถูกทำความเย็นด้วยระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวเฉพาะ Aurora มี CPU 21,248 ตัวพร้อมคอร์ x86 ประสิทธิภาพสูงกว่า 1.1 ล้านคอร์ หน่วยความจำ DDR5 ขนาด 19.9 PB และหน่วยความจำ HBM2E ขนาด 1.36 PB ที่เชื่อมต่อกับ CPU นอกจากนี้ยังมี GPU 63,744 ตัวที่ปรับแต่งสำหรับ AI และ HPC พร้อมหน่วยความจำ HBM2E ขนาด 8.16 PB Aurora ใช้โหนด 1,024 โหนดที่มีไดรฟ์โซลิดสเตตสำหรับการจัดเก็บข้อมูล รวมความจุทั้งหมด 220 PB และแบนด์วิดท์ 31 TB/s ระบบนี้ใช้สถาปัตยกรรมซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Shasta ของ HPE พร้อมการเชื่อมต่อ Slingshot https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/aurora-supercomputer-is-now-fully-operational-available-to-researchers
    0 Comments 0 Shares 666 Views 0 Reviews
  • Dario Amoedi ซีอีโอของ Anthropic ได้กล่าวในงาน World Economic Forum 2025 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า AI อาจช่วยเพิ่มอายุขัยของมนุษย์เป็นสองเท่าในระยะเวลา 5 ถึง 10 ปี เขาเชื่อว่าเทคโนโลยี AI จะสามารถเร่งการพัฒนาในด้านชีววิทยาและการแพทย์ได้อย่างมาก

    Amoedi กล่าวว่าหากเราคิดถึงสิ่งที่มนุษย์อาจทำได้ในด้านชีววิทยาในระยะเวลา 100 ปี การเพิ่มอายุขัยของมนุษย์เป็นสองเท่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เขายังเสริมว่า AI อาจช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายนี้ได้ในระยะเวลาเพียง 5 ถึง 10 ปี

    นอกจากนี้ Amoedi ยังเชื่อว่าในปี 2026 หรือ 2027 เราจะมีระบบ AI ที่สามารถทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ในเกือบทุกด้าน ความเชื่อนี้ไม่ได้เป็นของเขาเพียงคนเดียว ซีอีโอของ Nvidia และ SoftBank ก็มีความเชื่อเช่นเดียวกันว่า AI จะมีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ในอนาคตอันใกล้

    https://www.techspot.com/news/106515-anthropic-ceo-ai-could-double-human-lifespan-within.html
    Dario Amoedi ซีอีโอของ Anthropic ได้กล่าวในงาน World Economic Forum 2025 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า AI อาจช่วยเพิ่มอายุขัยของมนุษย์เป็นสองเท่าในระยะเวลา 5 ถึง 10 ปี เขาเชื่อว่าเทคโนโลยี AI จะสามารถเร่งการพัฒนาในด้านชีววิทยาและการแพทย์ได้อย่างมาก Amoedi กล่าวว่าหากเราคิดถึงสิ่งที่มนุษย์อาจทำได้ในด้านชีววิทยาในระยะเวลา 100 ปี การเพิ่มอายุขัยของมนุษย์เป็นสองเท่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เขายังเสริมว่า AI อาจช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายนี้ได้ในระยะเวลาเพียง 5 ถึง 10 ปี นอกจากนี้ Amoedi ยังเชื่อว่าในปี 2026 หรือ 2027 เราจะมีระบบ AI ที่สามารถทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ในเกือบทุกด้าน ความเชื่อนี้ไม่ได้เป็นของเขาเพียงคนเดียว ซีอีโอของ Nvidia และ SoftBank ก็มีความเชื่อเช่นเดียวกันว่า AI จะมีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ในอนาคตอันใกล้ https://www.techspot.com/news/106515-anthropic-ceo-ai-could-double-human-lifespan-within.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Anthropic CEO says AI could double human lifespan within a decade
    Speaking during a panel titled "Technology in the World" at the 2025 World Economic Forum in Davos, Switzerland, Anthropic's Dario Amoedi said, "If you think about what...
    0 Comments 0 Shares 140 Views 0 Reviews
  • โรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวาเกีย เปิดเผยว่ามีแผนปรับแก้รัฐธรรมนูญของประเทศ สำหรับยอมรับอย่างเป็นทางการเพียงแค่ 2 เพศ ได้แก่ "ชายและหญิง" พร้อมให้คำจำกัดความแนวคิดนี้ว่าเป็นการกลับคืนสู่สามัญสำนึกที่เหมาะสม
    .
    "ผมมาพร้อมกับความคิดริเริ่มที่จะรวมบทบัญญัติหนึ่งเข้าไปในรัฐธรรมนูญ ที่เน้นย้ำว่าสโลวาเกียให้คำนิยามเพียง 2 เพศ ประกอบด้วยเพศชายและเพศหญิง" ฟิโกกล่าว
    .
    นายกรัฐมนตรีรายนี้เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ รับรองเพียง 2 เพศ โยงมันกับบทบัญญัติต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาทิเช่นคำนิยามของการสมรส เขาอ้างว่าการปรับแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ มีความสำคัญสำหรับสโลวาเกีย เพื่อปกป้องอธิปไตยทางจริยธรรมและค่านิยมของประเทศ โดยเฉพะอย่างยิ่งในกรณีที่อาจเกิดความเห็นต่างกันภายในอียู
    .
    นอกจากนี้แล้ว ฟิโก ยังเน้นย้ำว่ามีความจำเป็นต้องทำให้ระบบการศึกษาของสโลวาเกียสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ "ถ้ารัฐธรรมนูญเน้นย้ำว่า การแต่งงานเป็นพันธะพิเศษระหว่างชายกับหญิง เมื่อนั้นก็ไม่ควรสอนอย่างอื่นภายในโรงเรียน" เขากล่าว
    .
    ความเห็นของ ฟิโก มีขึ้นไม่นาน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แถลงนโยบายคล้ายกัน ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม โดยเขาประกาศว่าอเมริกาจะรับรองอย่างเป็นทางการเพียง 2 เพศ ได้แก่เพศชายและเพศหญิง
    .
    หลังจากนั้นในวันเดียวกัน ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหาร 2 ฉบับ ลดทอนสิทธิกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศและยกเลิกโครงการด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) ที่กำหนดขึ้นในสมัยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน
    .
    หนึ่งในคำสั่งมีชื่อว่า "Defending Women from Gender Ideology Extremism and Restoring Biological Truth to the Federal Government" เน้นย้ำ "มีเพียงแค่ 2 เพศ ผู้ชายและผู้หญิง" และ ทรัมป์ ออกคำสั่งถึงหน่วยงานต่างให้ปรับแก้เอกสารอย่างเป็นทางการต่างๆ อย่างเช่นพาสปอร์ตและวีซ่า ตามชีววิทยาเท่านั้น (ยกเลิกตัวเลือก "X" สำหรับเพศทางเลือก)
    .
    ฟิโก ยกย่องจุดยืนของทรัมป์ ว่าใช้นโยบายที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติและสมเหตุสมผล และแนะนำให้อียูควรทำตามอย่างผู้นำสหรัฐฯ "นี่คือการกลับคืนสู่สามัญสำนึก" นายกรัฐมนตรีสโลวาเกียระบุ อ้างถึงข้อเสนอของเขาและนโยบายของทรัมป์ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ให้กรอบเวลาเกี่ยวกับการปรับแก้รัฐธรรมนูญ แต่ส่งสัญญาณว่าแนวคิดดังกล่าวจะได้ข้อสรุปและนำเสนอต่อรัฐสภาเร็วๆนี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008313
    ..............
    Sondhi X
    โรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวาเกีย เปิดเผยว่ามีแผนปรับแก้รัฐธรรมนูญของประเทศ สำหรับยอมรับอย่างเป็นทางการเพียงแค่ 2 เพศ ได้แก่ "ชายและหญิง" พร้อมให้คำจำกัดความแนวคิดนี้ว่าเป็นการกลับคืนสู่สามัญสำนึกที่เหมาะสม . "ผมมาพร้อมกับความคิดริเริ่มที่จะรวมบทบัญญัติหนึ่งเข้าไปในรัฐธรรมนูญ ที่เน้นย้ำว่าสโลวาเกียให้คำนิยามเพียง 2 เพศ ประกอบด้วยเพศชายและเพศหญิง" ฟิโกกล่าว . นายกรัฐมนตรีรายนี้เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ รับรองเพียง 2 เพศ โยงมันกับบทบัญญัติต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาทิเช่นคำนิยามของการสมรส เขาอ้างว่าการปรับแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ มีความสำคัญสำหรับสโลวาเกีย เพื่อปกป้องอธิปไตยทางจริยธรรมและค่านิยมของประเทศ โดยเฉพะอย่างยิ่งในกรณีที่อาจเกิดความเห็นต่างกันภายในอียู . นอกจากนี้แล้ว ฟิโก ยังเน้นย้ำว่ามีความจำเป็นต้องทำให้ระบบการศึกษาของสโลวาเกียสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ "ถ้ารัฐธรรมนูญเน้นย้ำว่า การแต่งงานเป็นพันธะพิเศษระหว่างชายกับหญิง เมื่อนั้นก็ไม่ควรสอนอย่างอื่นภายในโรงเรียน" เขากล่าว . ความเห็นของ ฟิโก มีขึ้นไม่นาน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แถลงนโยบายคล้ายกัน ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม โดยเขาประกาศว่าอเมริกาจะรับรองอย่างเป็นทางการเพียง 2 เพศ ได้แก่เพศชายและเพศหญิง . หลังจากนั้นในวันเดียวกัน ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหาร 2 ฉบับ ลดทอนสิทธิกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศและยกเลิกโครงการด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) ที่กำหนดขึ้นในสมัยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน . หนึ่งในคำสั่งมีชื่อว่า "Defending Women from Gender Ideology Extremism and Restoring Biological Truth to the Federal Government" เน้นย้ำ "มีเพียงแค่ 2 เพศ ผู้ชายและผู้หญิง" และ ทรัมป์ ออกคำสั่งถึงหน่วยงานต่างให้ปรับแก้เอกสารอย่างเป็นทางการต่างๆ อย่างเช่นพาสปอร์ตและวีซ่า ตามชีววิทยาเท่านั้น (ยกเลิกตัวเลือก "X" สำหรับเพศทางเลือก) . ฟิโก ยกย่องจุดยืนของทรัมป์ ว่าใช้นโยบายที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติและสมเหตุสมผล และแนะนำให้อียูควรทำตามอย่างผู้นำสหรัฐฯ "นี่คือการกลับคืนสู่สามัญสำนึก" นายกรัฐมนตรีสโลวาเกียระบุ อ้างถึงข้อเสนอของเขาและนโยบายของทรัมป์ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ให้กรอบเวลาเกี่ยวกับการปรับแก้รัฐธรรมนูญ แต่ส่งสัญญาณว่าแนวคิดดังกล่าวจะได้ข้อสรุปและนำเสนอต่อรัฐสภาเร็วๆนี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008313 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    7
    0 Comments 0 Shares 1888 Views 0 Reviews
  • ห้องปฏิบัติการ AI ของจีนชื่อ DeepSeek มีการใช้งาน GPU รุ่น H100 ของ NVIDIA จำนวน 50,000 ตัว ซึ่งเป็น GPU ที่ใช้ในการฝึกโมเดล AI ที่ทันสมัยที่สุดในโลก

    Alexandr Wang, CEO ของบริษัท AI ชื่อ Scale AI ได้กล่าวว่าโมเดล R1 ของ DeepSeek มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าโมเดล AI ชั้นนำของอเมริกา เช่น OpenAI's o1 และ Meta's Llama

    DeepSeek R1 ได้รับการทดสอบด้วยคำถามที่ยากที่สุดจากวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ชีววิทยา และเคมี และพบว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดหรือเทียบเท่ากับโมเดล AI ชั้นนำของอเมริกา. CEO ของ Scale AI ยังกล่าวถึงการแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน โดยระบุว่าสหรัฐอเมริกายังคงนำหน้าอยู่ แต่โมเดลล่าสุดของ DeepSeek อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้

    นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการควบคุมการส่งออก GPU ของสหรัฐอเมริกาไปยังจีน ซึ่งทำให้ NVIDIA ต้องพัฒนา GPU รุ่น H800 และ A800 เพื่อให้สามารถขายในจีนได้ แต่ก็ถูกห้ามในปี 2023 CEO ของ Scale AI เชื่อว่า DeepSeek มี GPU มากกว่าที่คนทั่วไปคิด แต่การหาชิปเพิ่มเติมอาจเป็นเรื่องยากเนื่องจากการควบคุมการส่งออก

    https://wccftech.com/chinese-ai-lab-deepseek-has-50000-nvidia-h100-ai-gpus-says-ai-ceo/
    ห้องปฏิบัติการ AI ของจีนชื่อ DeepSeek มีการใช้งาน GPU รุ่น H100 ของ NVIDIA จำนวน 50,000 ตัว ซึ่งเป็น GPU ที่ใช้ในการฝึกโมเดล AI ที่ทันสมัยที่สุดในโลก Alexandr Wang, CEO ของบริษัท AI ชื่อ Scale AI ได้กล่าวว่าโมเดล R1 ของ DeepSeek มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าโมเดล AI ชั้นนำของอเมริกา เช่น OpenAI's o1 และ Meta's Llama DeepSeek R1 ได้รับการทดสอบด้วยคำถามที่ยากที่สุดจากวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ชีววิทยา และเคมี และพบว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดหรือเทียบเท่ากับโมเดล AI ชั้นนำของอเมริกา. CEO ของ Scale AI ยังกล่าวถึงการแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน โดยระบุว่าสหรัฐอเมริกายังคงนำหน้าอยู่ แต่โมเดลล่าสุดของ DeepSeek อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการควบคุมการส่งออก GPU ของสหรัฐอเมริกาไปยังจีน ซึ่งทำให้ NVIDIA ต้องพัฒนา GPU รุ่น H800 และ A800 เพื่อให้สามารถขายในจีนได้ แต่ก็ถูกห้ามในปี 2023 CEO ของ Scale AI เชื่อว่า DeepSeek มี GPU มากกว่าที่คนทั่วไปคิด แต่การหาชิปเพิ่มเติมอาจเป็นเรื่องยากเนื่องจากการควบคุมการส่งออก https://wccftech.com/chinese-ai-lab-deepseek-has-50000-nvidia-h100-ai-gpus-says-ai-ceo/
    WCCFTECH.COM
    Chinese AI Lab DeepSeek Has 50,000 NVIDIA H100 AI GPUs, Says AI CEO
    According to Scale AI CEO and founder Alexandr Wang, Chinese AI lab DeepSeek behind the popular R1 model has access to 50,000 NVIDIA H100 GPUs.
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • 21/1/68

    การต่อสายดิน หรือ การต่อลงดินคืออะไร?
    การต่อลงดินเป็นเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อร่างกายเข้ากับพื้นผิวโลกเพื่อให้สามารถถ่ายโอนอิเล็กตรอนจากโลกเข้าสู่ร่างกายได้

    หากต้องการทำความเข้าใจว่าการต่อลงดินทำงานอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจบทบาทของอิเล็กตรอนในร่างกายมนุษย์เสียก่อน ดังนั้น เรามาเริ่มต้นที่ชั้นเรียนชีววิทยากันก่อน อิเล็กตรอนเป็นอนุภาคย่อยของอะตอมที่มีประจุลบ ซึ่งมีอยู่ในสสารทุกชนิด รวมทั้งร่างกายมนุษย์ด้วย อิเล็กตรอนมีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยาทางชีวเคมี การผลิตพลังงาน และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน

    เมื่อร่างกายสัมผัสกับมลพิษในสิ่งแวดล้อม สารพิษ และสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) ร่างกายอาจเกิดภาวะเครียดออกซิเดชัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายไม่สมดุล อนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรซึ่งอาจทำให้เซลล์ โปรตีน และ DNA เสียหายได้ สารต้านอนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่สามารถทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและป้องกันความเสียหายจากออกซิเดชันได้

    พื้นผิวโลกมีประจุลบ ซึ่งหมายความว่ามีอิเล็กตรอนจำนวนมากที่สามารถถ่ายโอนไปยังร่างกายได้โดยการสัมผัสโดยตรงกับพื้นผิวโลกเมื่อร่างกายสัมผัสกับโลก อิเล็กตรอนจะไหลจากโลกเข้าสู่ร่างกาย ทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและลดการอักเสบโดยพื้นฐานแล้ว พลังงานของโลกจะถูกใช้ในการรักษาตามธรรมชาติ

    เมื่อร่างกายถูกตัดขาดจากสนามไฟฟ้าของโลก อาจเกิดภาวะไฟฟ้าไม่สมดุล ซึ่งอาจนำไปสู่อาการอักเสบเรื้อรัง ความเจ็บปวด และระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ การต่อสายดินสามารถช่วยฟื้นฟูสมดุลไฟฟ้าตามธรรมชาติของร่างกาย และปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมให้ดีขึ้น

    วิทยาศาสตร์บอกอะไรเกี่ยวกับการต่อสายดิน
    การเชื่อมต่อกับโลกอาจฟังดูเป็นเรื่องลึกลับ แต่ว่ามันได้ผลจริงหรือไม่ มาดูทางวิทยาศาสตร์กันดีกว่า

    * การนอนหลับที่ดีขึ้น: การศึกษาวิจัยหนึ่งได้คัดเลือกผู้เข้าร่วม 60 คนที่มีปัญหาด้านการนอนหลับและปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ นักวิจัยให้ผู้เข้าร่วมนอนบนเสื่อรองดิน (ที่ต่อสายดินกับพื้นด้วยลวดทองแดง) หรือเสื่อรองนอนแบบหลอกเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในกลุ่มทดลองที่ต่อสายดิน: 
    * 74% มีอาการปวดดีขึ้น (0% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * 78% รายงานว่าความเป็นอยู่โดยทั่วไปดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * 82% มีอาการกล้ามเนื้อตึงและปวดน้อยลง (0% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * 85% ปรับปรุงเวลาในการนอนหลับ (13% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * 93% มีคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * ตื่นมารู้สึกสดชื่น 100% (13% สำหรับควบคุม)


    * ลดอาการปวดและการอักเสบ: การศึกษาวิจัย ขนาดเล็กในปี 2010ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Alternative and Complementary Medicine พบว่าการกราวด์ช่วยลดเครื่องหมายของการอักเสบในร่างกาย ซึ่งรวมถึงโปรตีนซี-รีแอคทีฟ (CRP) ด้วย


    * ความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ (HRV)และระดับความเครียดที่ดีขึ้นการศึกษาแบบปกปิดสองชั้นในปี 2011ได้ให้ผู้เข้าร่วม 27 คนสัมผัสกับการต่อสายดิน ผลลัพธ์บ่งชี้ว่าการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (การพักผ่อน การย่อยอาหาร การซ่อมแซม) เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในกลุ่มที่ได้รับการต่อสายดินเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมหลังจากช่วงเวลา 40 นาที ผู้เขียนเขียนว่า "การต่อสายดินทำให้ค่า HRV ดีขึ้น ซึ่งเกินกว่าการผ่อนคลายแบบธรรมดา"


    * การนอนหลับดีขึ้น ความเจ็บปวด อัตราการเต้นของหัวใจ และเลือดแข็งตัวมากเกินไปบทวิจารณ์ในปี 2012ในวารสารสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขพบว่าการใช้สายดินอาจเป็น "กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการต่อต้านความเครียดเรื้อรัง ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง การอักเสบ ความเจ็บปวด การนอนหลับไม่เพียงพอ อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ เลือดแข็งตัวมากเกินไป และความผิดปกติทางสุขภาพทั่วไปหลายอย่าง รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด"


    * ความเหนื่อยล้าลดลงการทดลองแบบสุ่มควบคุมในปี 2019วัดไบโอมาร์กเกอร์ของนักกายภาพบำบัด 16 คนในการทดลองแบบสุ่มควบคุมแบบปกปิดสองชั้นขณะที่พวกเขาถูกวางอยู่บนพื้นระหว่างทำงานและขณะนอนหลับ พบว่า "นักกายภาพบำบัดมีสมรรถภาพทางกายและพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาการเหนื่อยล้า อารมณ์ซึมเศร้า ความเหนื่อยล้า และความเจ็บปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ถูกวางอยู่บนพื้นเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้ถูกวางอยู่บนพื้น"


    * การฟื้นฟูที่ดีขึ้นหลังการออกกำลังกายในการศึกษาวิจัยในปี 2015กลุ่มบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงจำนวน 32 คนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์และกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์แบบแกล้งทำ หลังจากทำการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงโดยงอเข่าครึ่งข้าง 200 ครั้ง พบว่าระดับครีเอทีนไคเนสแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีระดับของมาร์กเกอร์การอักเสบที่สูงขึ้นในกลุ่มแกล้งทำ กลุ่มที่เน้นการลงกราวด์ยังแสดงให้เห็นระดับเกล็ดเลือดและนิวโทรฟิลที่สูงขึ้นในช่วงไม่กี่วันหลังการออกกำลังกาย การศึกษาวิจัยรายงานว่า "การลงกราวด์ช่วยลดการสูญเสีย CK จากกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ว่ากล้ามเนื้อได้รับความเสียหายน้อยลง"


    * การสมานแผลดีขึ้นบทความ ในวารสาร Journal of Inflammation Research เมื่อปี 2014ได้รายงานเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการลงกราวด์และการปรับปรุงไซโตไคน์ เซลล์เม็ดเลือดขาว และ “โมเลกุลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อการอักเสบ” ผู้เขียนกล่าวต่อไปว่า “การรักษาจะเร็วขึ้นมาก และสัญญาณหลักของการอักเสบจะลดลงหรือถูกกำจัดออกไป โปรไฟล์ของตัวบ่งชี้การอักเสบต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ จะแตกต่างกันมากในบุคคลที่ลงกราวด์”

การต่อสายดินเป็นแนวทางปฏิบัติที่นิยมกันในการแข่งขันตูร์ เดอ ฟรองซ์ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ดูเหมือนจะก้าวหน้ากว่าด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา เสมอ นักปั่นหลายคนมักจะนำการต่อสายดินมาใช้ในชีวิตประจำวัน และนักปั่นที่เกิดบาดแผล รอยถลอก หรือถลอกจากอุบัติเหตุ จะใช้แผ่นต่อสายดินเหนือและใต้บาดแผลเพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น


    * ความดันโลหิตลดลงการศึกษาวิจัยในปี 2018ได้ทำการศึกษากับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวน 10 ราย ซึ่งทำการออกกำลังกายแบบกราวด์เป็นเวลา 10 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าว ผู้เข้าร่วมทั้งหมดมีความดันโลหิตซิสโตลิกลดลง โดยลดลงตั้งแต่ 8.6% ถึง 22.7% และลดลงโดยเฉลี่ย 14.3%

    ภาพด้านล่างซึ่งถ่ายจากการศึกษาในปี 2020 นี้แสดงให้เห็นภาพผลลัพธ์ของการต่อสายดิน ภาพความร้อนแสดงให้เห็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่า โดยถ่ายห่างกันครึ่งชั่วโมง ก่อนและหลังการต่อสายดิน ภาพด้านซ้ายแสดงสีร้อนที่แสดงถึงความเสียหายของเนื้อเยื่อและการอักเสบในบริเวณหัวเข่า ภาพด้านขวาซึ่งถ่ายหลังจากต่อสายดิน แสดงให้เห็นการลดลงของการอักเสบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ด้วยสีที่เย็นกว่า

    การต่อสายดินได้ผลหรือไม่? แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายที่สนับสนุน แต่การศึกษาเหล่านี้ไม่มีการศึกษาใดที่เหมาะสมที่สุด การศึกษาจำนวนมากขาดผู้เข้าร่วมจำนวนมากหรือการทดลองควบคุมแบบสุ่ม จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากเพื่อพิจารณาว่าการต่อสายดินหรือการต่อสายดินได้ผลหรือไม่ แต่สามารถพูดได้อย่างปลอดภัยว่าแทบไม่มีข้อเสียเลย และควรทำการ ทดลอง n=1เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตัวคุณเอง
    วิธีการต่อสายดินหรือกราวด์
    ความสวยงามของการต่อสายดินอยู่ที่ความเรียบง่าย ไม่มีเทคนิคการต่อสายดินหรือโปรโตคอลการต่อสายดินที่เฉพาะเจาะจง คุณเพียงแค่ต้องสัมผัสกับพื้นโลก ซึ่งอาจเป็นการสัมผัสโดยตรงหรือผ่านพื้นผิวที่มีสภาพเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น แผ่นต่อสายดินหรือรองเท้าเฉพาะ
    * เดินเท้าเปล่า การเดินเท้าเปล่าบนพื้นผิวดินตามธรรมชาติ เช่น หญ้า ทราย หรือดิน ถือเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน วิธีนี้ช่วยให้สัมผัสกับพื้นผิวโลกโดยตรง และช่วยให้ร่างกายดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้

    * แผ่นกันดินการใช้แผ่นกันดิน แผ่น หรือแผ่นแปะที่เสียบลงดินเป็นวิธีที่สะดวกในการลงดินภายในอาคาร ถือเป็นแนวทางที่ดีหากคุณไม่สามารถเดินเท้าเปล่านอกบ้านได้อย่างสม่ำเสมอ ฉันยืนบนแผ่นกันดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก ราคาไม่แพง ขณะเขียนหนังสือ ซึ่งมีสายไฟที่ต่อเข้ากับรูที่สามของปลั๊กไฟ 3 ขาแบบมาตรฐานในเต้าเสียบ คุณสามารถเพิ่มขั้นตอนนี้ได้อีกโดยหาแผ่นกันดินที่ใหญ่กว่ามาปูรองนอน

    รองเท้าแตะ Earth Runners

    * รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้าการใช้รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น รองเท้าที่มีแผ่นทองแดง เป็นอีกวิธีหนึ่งในการต่อสายดิน รองเท้าประเภทนี้ช่วยให้สัมผัสพื้นได้โดยตรง ซึ่งเหมาะมากเมื่ออากาศหนาวเย็นหรือเมื่อเดินเท้าเปล่าซึ่งไม่เหมาะสมต่อการเข้าสังคม ฉันจะสวมรองเท้าแตะ Earth Runner เป็นครั้งคราว ซึ่งมีสายทองแดงที่เชื่อมเท้าของคุณกับพื้น

    พื้นผิวที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับการต่อสายดิน
    โดยทั่วไป พื้นผิวธรรมชาติ เช่น ดิน ทราย และหญ้า เหมาะที่สุดสำหรับการลงกราวด์ พื้นผิว เช่น คอนกรีต อาจไม่นำไฟฟ้าได้มากเท่า แต่ยังคงมีประสิทธิภาพ

    อย่างไรก็ตาม พื้นผิวด้านล่างไม่นำไฟฟ้าได้ดี และจึงไม่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน
    * ยางมะตอย
    * ไม้
    * ไวนิล
    * พลาสติก
    * พรม
    * ยาง(รวมรองเท้า)

    คุณควรลงดินนานแค่ไหน?
    ปริมาณการต่อสายดินที่มีประสิทธิภาพขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 20 นาที ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้ต่อสายดินวันละ 20-30 นาทีเพื่อดูประโยชน์ ในขณะที่บางคนสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เกือบจะทันที

    สิ่งที่ฉันทำ
    เป้าหมายของฉันคือการได้กราวด์อย่างน้อย 20 นาทีต่อวัน ในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น ฉันจะใช้แผ่นกราวด์ (ดังที่กล่าวข้างต้น) ซึ่งฉันจะวางไว้ใต้เท้าขณะเขียนบทความเหล่านี้
    ในช่วงเดือนที่อากาศอบอุ่น ครอบครัวของเราใช้ประโยชน์จากสนามหญ้าอย่างเต็มที่ด้วยการใช้เวลาอยู่กลางแจ้งโดยไม่สวมรองเท้า (และมักจะไม่สวมถุงเท้าด้วย) นอกเหนือจากประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจากการเดินเท้าเปล่าแล้ว เรายังถือว่าการเดินเท้าเปล่าเป็นเรื่องปกติทั้งในบ้านและนอกบ้านเมื่ออากาศดี การพัดใบไม้บนทางเท้าและทางเข้าบ้านเป็นครั้งคราวจะช่วยลดกิ่งไม้หรืออันตรายอื่นๆ ในบริเวณนั้นได้

    บทสรุป
    โดยสรุป การต่อสายดินเป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ ที่เป็นธรรมชาติซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การเชื่อมต่อร่างกายของเรากับพื้นผิวโลกจะช่วยให้เราดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้ ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลระบบไฟฟ้าของร่างกายและลดการอักเสบได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น ความเครียดและความวิตกกังวลลดลง กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้ดีขึ้น พลังงานเพิ่มขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย

    มีหลายวิธีในการฝึกลงกราวด์หรือต่อสายดิน ตั้งแต่การเดินเท้าเปล่านอกบ้านบนพื้นผิวธรรมชาติไปจนถึงการใช้เสื่อหรือแผ่นลงกราวด์ที่เสียบปลั๊กลงดิน การเลือกพื้นผิวที่นำไฟฟ้าได้ เช่น หญ้า ดิน หรือทราย ถือเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากจะเสี่ยงต่อการโดนหินกระแทกเมื่อเหยียบลงบนหญ้าแล้ว ความเสี่ยงยังต่ำและยังมีข้อดีอีกมากมาย ดังนั้นควรถอดรองเท้าแล้วออกไปข้างนอก
    cr:MBD
    21/1/68 การต่อสายดิน หรือ การต่อลงดินคืออะไร? การต่อลงดินเป็นเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อร่างกายเข้ากับพื้นผิวโลกเพื่อให้สามารถถ่ายโอนอิเล็กตรอนจากโลกเข้าสู่ร่างกายได้ หากต้องการทำความเข้าใจว่าการต่อลงดินทำงานอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจบทบาทของอิเล็กตรอนในร่างกายมนุษย์เสียก่อน ดังนั้น เรามาเริ่มต้นที่ชั้นเรียนชีววิทยากันก่อน อิเล็กตรอนเป็นอนุภาคย่อยของอะตอมที่มีประจุลบ ซึ่งมีอยู่ในสสารทุกชนิด รวมทั้งร่างกายมนุษย์ด้วย อิเล็กตรอนมีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยาทางชีวเคมี การผลิตพลังงาน และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายสัมผัสกับมลพิษในสิ่งแวดล้อม สารพิษ และสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) ร่างกายอาจเกิดภาวะเครียดออกซิเดชัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายไม่สมดุล อนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรซึ่งอาจทำให้เซลล์ โปรตีน และ DNA เสียหายได้ สารต้านอนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่สามารถทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและป้องกันความเสียหายจากออกซิเดชันได้ พื้นผิวโลกมีประจุลบ ซึ่งหมายความว่ามีอิเล็กตรอนจำนวนมากที่สามารถถ่ายโอนไปยังร่างกายได้โดยการสัมผัสโดยตรงกับพื้นผิวโลกเมื่อร่างกายสัมผัสกับโลก อิเล็กตรอนจะไหลจากโลกเข้าสู่ร่างกาย ทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและลดการอักเสบโดยพื้นฐานแล้ว พลังงานของโลกจะถูกใช้ในการรักษาตามธรรมชาติ
 เมื่อร่างกายถูกตัดขาดจากสนามไฟฟ้าของโลก อาจเกิดภาวะไฟฟ้าไม่สมดุล ซึ่งอาจนำไปสู่อาการอักเสบเรื้อรัง ความเจ็บปวด และระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ การต่อสายดินสามารถช่วยฟื้นฟูสมดุลไฟฟ้าตามธรรมชาติของร่างกาย และปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมให้ดีขึ้น วิทยาศาสตร์บอกอะไรเกี่ยวกับการต่อสายดิน การเชื่อมต่อกับโลกอาจฟังดูเป็นเรื่องลึกลับ แต่ว่ามันได้ผลจริงหรือไม่ มาดูทางวิทยาศาสตร์กันดีกว่า * การนอนหลับที่ดีขึ้น: การศึกษาวิจัยหนึ่งได้คัดเลือกผู้เข้าร่วม 60 คนที่มีปัญหาด้านการนอนหลับและปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ นักวิจัยให้ผู้เข้าร่วมนอนบนเสื่อรองดิน (ที่ต่อสายดินกับพื้นด้วยลวดทองแดง) หรือเสื่อรองนอนแบบหลอกเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในกลุ่มทดลองที่ต่อสายดิน:  * 74% มีอาการปวดดีขึ้น (0% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 78% รายงานว่าความเป็นอยู่โดยทั่วไปดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 82% มีอาการกล้ามเนื้อตึงและปวดน้อยลง (0% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 85% ปรับปรุงเวลาในการนอนหลับ (13% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 93% มีคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม) * ตื่นมารู้สึกสดชื่น 100% (13% สำหรับควบคุม)

 * ลดอาการปวดและการอักเสบ: การศึกษาวิจัย ขนาดเล็กในปี 2010ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Alternative and Complementary Medicine พบว่าการกราวด์ช่วยลดเครื่องหมายของการอักเสบในร่างกาย ซึ่งรวมถึงโปรตีนซี-รีแอคทีฟ (CRP) ด้วย

 * ความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ (HRV)และระดับความเครียดที่ดีขึ้นการศึกษาแบบปกปิดสองชั้นในปี 2011ได้ให้ผู้เข้าร่วม 27 คนสัมผัสกับการต่อสายดิน ผลลัพธ์บ่งชี้ว่าการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (การพักผ่อน การย่อยอาหาร การซ่อมแซม) เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในกลุ่มที่ได้รับการต่อสายดินเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมหลังจากช่วงเวลา 40 นาที ผู้เขียนเขียนว่า "การต่อสายดินทำให้ค่า HRV ดีขึ้น ซึ่งเกินกว่าการผ่อนคลายแบบธรรมดา"

 * การนอนหลับดีขึ้น ความเจ็บปวด อัตราการเต้นของหัวใจ และเลือดแข็งตัวมากเกินไปบทวิจารณ์ในปี 2012ในวารสารสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขพบว่าการใช้สายดินอาจเป็น "กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการต่อต้านความเครียดเรื้อรัง ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง การอักเสบ ความเจ็บปวด การนอนหลับไม่เพียงพอ อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ เลือดแข็งตัวมากเกินไป และความผิดปกติทางสุขภาพทั่วไปหลายอย่าง รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด"

 * ความเหนื่อยล้าลดลงการทดลองแบบสุ่มควบคุมในปี 2019วัดไบโอมาร์กเกอร์ของนักกายภาพบำบัด 16 คนในการทดลองแบบสุ่มควบคุมแบบปกปิดสองชั้นขณะที่พวกเขาถูกวางอยู่บนพื้นระหว่างทำงานและขณะนอนหลับ พบว่า "นักกายภาพบำบัดมีสมรรถภาพทางกายและพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาการเหนื่อยล้า อารมณ์ซึมเศร้า ความเหนื่อยล้า และความเจ็บปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ถูกวางอยู่บนพื้นเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้ถูกวางอยู่บนพื้น"

 * การฟื้นฟูที่ดีขึ้นหลังการออกกำลังกายในการศึกษาวิจัยในปี 2015กลุ่มบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงจำนวน 32 คนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์และกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์แบบแกล้งทำ หลังจากทำการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงโดยงอเข่าครึ่งข้าง 200 ครั้ง พบว่าระดับครีเอทีนไคเนสแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีระดับของมาร์กเกอร์การอักเสบที่สูงขึ้นในกลุ่มแกล้งทำ กลุ่มที่เน้นการลงกราวด์ยังแสดงให้เห็นระดับเกล็ดเลือดและนิวโทรฟิลที่สูงขึ้นในช่วงไม่กี่วันหลังการออกกำลังกาย การศึกษาวิจัยรายงานว่า "การลงกราวด์ช่วยลดการสูญเสีย CK จากกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ว่ากล้ามเนื้อได้รับความเสียหายน้อยลง"

 * การสมานแผลดีขึ้นบทความ ในวารสาร Journal of Inflammation Research เมื่อปี 2014ได้รายงานเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการลงกราวด์และการปรับปรุงไซโตไคน์ เซลล์เม็ดเลือดขาว และ “โมเลกุลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อการอักเสบ” ผู้เขียนกล่าวต่อไปว่า “การรักษาจะเร็วขึ้นมาก และสัญญาณหลักของการอักเสบจะลดลงหรือถูกกำจัดออกไป โปรไฟล์ของตัวบ่งชี้การอักเสบต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ จะแตกต่างกันมากในบุคคลที่ลงกราวด์”

การต่อสายดินเป็นแนวทางปฏิบัติที่นิยมกันในการแข่งขันตูร์ เดอ ฟรองซ์ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ดูเหมือนจะก้าวหน้ากว่าด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา เสมอ นักปั่นหลายคนมักจะนำการต่อสายดินมาใช้ในชีวิตประจำวัน และนักปั่นที่เกิดบาดแผล รอยถลอก หรือถลอกจากอุบัติเหตุ จะใช้แผ่นต่อสายดินเหนือและใต้บาดแผลเพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น

 * ความดันโลหิตลดลงการศึกษาวิจัยในปี 2018ได้ทำการศึกษากับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวน 10 ราย ซึ่งทำการออกกำลังกายแบบกราวด์เป็นเวลา 10 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าว ผู้เข้าร่วมทั้งหมดมีความดันโลหิตซิสโตลิกลดลง โดยลดลงตั้งแต่ 8.6% ถึง 22.7% และลดลงโดยเฉลี่ย 14.3% ภาพด้านล่างซึ่งถ่ายจากการศึกษาในปี 2020 นี้แสดงให้เห็นภาพผลลัพธ์ของการต่อสายดิน ภาพความร้อนแสดงให้เห็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่า โดยถ่ายห่างกันครึ่งชั่วโมง ก่อนและหลังการต่อสายดิน ภาพด้านซ้ายแสดงสีร้อนที่แสดงถึงความเสียหายของเนื้อเยื่อและการอักเสบในบริเวณหัวเข่า ภาพด้านขวาซึ่งถ่ายหลังจากต่อสายดิน แสดงให้เห็นการลดลงของการอักเสบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ด้วยสีที่เย็นกว่า การต่อสายดินได้ผลหรือไม่? แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายที่สนับสนุน แต่การศึกษาเหล่านี้ไม่มีการศึกษาใดที่เหมาะสมที่สุด การศึกษาจำนวนมากขาดผู้เข้าร่วมจำนวนมากหรือการทดลองควบคุมแบบสุ่ม จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากเพื่อพิจารณาว่าการต่อสายดินหรือการต่อสายดินได้ผลหรือไม่ แต่สามารถพูดได้อย่างปลอดภัยว่าแทบไม่มีข้อเสียเลย และควรทำการ ทดลอง n=1เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตัวคุณเอง วิธีการต่อสายดินหรือกราวด์ ความสวยงามของการต่อสายดินอยู่ที่ความเรียบง่าย ไม่มีเทคนิคการต่อสายดินหรือโปรโตคอลการต่อสายดินที่เฉพาะเจาะจง คุณเพียงแค่ต้องสัมผัสกับพื้นโลก ซึ่งอาจเป็นการสัมผัสโดยตรงหรือผ่านพื้นผิวที่มีสภาพเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น แผ่นต่อสายดินหรือรองเท้าเฉพาะ * เดินเท้าเปล่า การเดินเท้าเปล่าบนพื้นผิวดินตามธรรมชาติ เช่น หญ้า ทราย หรือดิน ถือเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน วิธีนี้ช่วยให้สัมผัสกับพื้นผิวโลกโดยตรง และช่วยให้ร่างกายดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้
 * แผ่นกันดินการใช้แผ่นกันดิน แผ่น หรือแผ่นแปะที่เสียบลงดินเป็นวิธีที่สะดวกในการลงดินภายในอาคาร ถือเป็นแนวทางที่ดีหากคุณไม่สามารถเดินเท้าเปล่านอกบ้านได้อย่างสม่ำเสมอ ฉันยืนบนแผ่นกันดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก ราคาไม่แพง ขณะเขียนหนังสือ ซึ่งมีสายไฟที่ต่อเข้ากับรูที่สามของปลั๊กไฟ 3 ขาแบบมาตรฐานในเต้าเสียบ คุณสามารถเพิ่มขั้นตอนนี้ได้อีกโดยหาแผ่นกันดินที่ใหญ่กว่ามาปูรองนอน รองเท้าแตะ Earth Runners * รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้าการใช้รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น รองเท้าที่มีแผ่นทองแดง เป็นอีกวิธีหนึ่งในการต่อสายดิน รองเท้าประเภทนี้ช่วยให้สัมผัสพื้นได้โดยตรง ซึ่งเหมาะมากเมื่ออากาศหนาวเย็นหรือเมื่อเดินเท้าเปล่าซึ่งไม่เหมาะสมต่อการเข้าสังคม ฉันจะสวมรองเท้าแตะ Earth Runner เป็นครั้งคราว ซึ่งมีสายทองแดงที่เชื่อมเท้าของคุณกับพื้น 
 พื้นผิวที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับการต่อสายดิน โดยทั่วไป พื้นผิวธรรมชาติ เช่น ดิน ทราย และหญ้า เหมาะที่สุดสำหรับการลงกราวด์ พื้นผิว เช่น คอนกรีต อาจไม่นำไฟฟ้าได้มากเท่า แต่ยังคงมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม พื้นผิวด้านล่างไม่นำไฟฟ้าได้ดี และจึงไม่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน * ยางมะตอย * ไม้ * ไวนิล * พลาสติก * พรม * ยาง(รวมรองเท้า) คุณควรลงดินนานแค่ไหน? ปริมาณการต่อสายดินที่มีประสิทธิภาพขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 20 นาที ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้ต่อสายดินวันละ 20-30 นาทีเพื่อดูประโยชน์ ในขณะที่บางคนสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เกือบจะทันที สิ่งที่ฉันทำ เป้าหมายของฉันคือการได้กราวด์อย่างน้อย 20 นาทีต่อวัน ในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น ฉันจะใช้แผ่นกราวด์ (ดังที่กล่าวข้างต้น) ซึ่งฉันจะวางไว้ใต้เท้าขณะเขียนบทความเหล่านี้ ในช่วงเดือนที่อากาศอบอุ่น ครอบครัวของเราใช้ประโยชน์จากสนามหญ้าอย่างเต็มที่ด้วยการใช้เวลาอยู่กลางแจ้งโดยไม่สวมรองเท้า (และมักจะไม่สวมถุงเท้าด้วย) นอกเหนือจากประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจากการเดินเท้าเปล่าแล้ว เรายังถือว่าการเดินเท้าเปล่าเป็นเรื่องปกติทั้งในบ้านและนอกบ้านเมื่ออากาศดี การพัดใบไม้บนทางเท้าและทางเข้าบ้านเป็นครั้งคราวจะช่วยลดกิ่งไม้หรืออันตรายอื่นๆ ในบริเวณนั้นได้ บทสรุป โดยสรุป การต่อสายดินเป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ ที่เป็นธรรมชาติซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การเชื่อมต่อร่างกายของเรากับพื้นผิวโลกจะช่วยให้เราดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้ ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลระบบไฟฟ้าของร่างกายและลดการอักเสบได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น ความเครียดและความวิตกกังวลลดลง กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้ดีขึ้น พลังงานเพิ่มขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย มีหลายวิธีในการฝึกลงกราวด์หรือต่อสายดิน ตั้งแต่การเดินเท้าเปล่านอกบ้านบนพื้นผิวธรรมชาติไปจนถึงการใช้เสื่อหรือแผ่นลงกราวด์ที่เสียบปลั๊กลงดิน การเลือกพื้นผิวที่นำไฟฟ้าได้ เช่น หญ้า ดิน หรือทราย ถือเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากจะเสี่ยงต่อการโดนหินกระแทกเมื่อเหยียบลงบนหญ้าแล้ว ความเสี่ยงยังต่ำและยังมีข้อดีอีกมากมาย ดังนั้นควรถอดรองเท้าแล้วออกไปข้างนอก cr:MBD
    0 Comments 0 Shares 1203 Views 0 Reviews
  • ระลึกความหลังสมัยเมื่อลุงเพิ่งเรียนจบกันหน่อยครับ

    เมื่อ 35 ปีที่แล้ว มีการโจมตี ransomware ครั้งแรกในโลก! ในช่วงเดือนธันวาคม 1989 ถึงมกราคม 1990 มีการส่งแผ่นดิสก์ 5.25 นิ้วที่ชื่อว่า "AIDS Information — Introductory Diskette 2.0" ไปยังผู้รับหลายคน รวมถึงสมาชิกนิตยสาร PC Business World และผู้เข้าร่วมการประชุมขององค์การอนามัยโลก

    แผ่นดิสก์นี้ถูกพัฒนาโดยนักชีววิทยาชาวอเมริกัน Dr. Joseph Lewis Andrew Popp Jr. ซึ่งใช้ความกลัวของผู้คนเกี่ยวกับไวรัส AIDS ในการโจมตี แม้ว่า ransomware นี้จะไม่ซับซ้อนเท่ากับการโจมตีในปัจจุบัน แต่มันก็สร้างความเสียหายทางการเงินและข้อมูลให้กับหลายองค์กร รวมถึงองค์กรสุขภาพในอิตาลีที่สูญเสียงานวิจัยไปถึง 10 ปี

    นอกจากนี้ Dr. Popp Jr. ยังมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาด เช่น การใส่ถุงยางอนามัยบนจมูกและถือกล่องกระดาษ ซึ่งทำให้เขาถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาล Mausley ในลอนดอนแทนที่จะถูกจำคุก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/the-first-ever-ransomware-dropped-35-years-ago-disguised-as-a-floppy-sharing-aids-information
    ระลึกความหลังสมัยเมื่อลุงเพิ่งเรียนจบกันหน่อยครับ เมื่อ 35 ปีที่แล้ว มีการโจมตี ransomware ครั้งแรกในโลก! ในช่วงเดือนธันวาคม 1989 ถึงมกราคม 1990 มีการส่งแผ่นดิสก์ 5.25 นิ้วที่ชื่อว่า "AIDS Information — Introductory Diskette 2.0" ไปยังผู้รับหลายคน รวมถึงสมาชิกนิตยสาร PC Business World และผู้เข้าร่วมการประชุมขององค์การอนามัยโลก แผ่นดิสก์นี้ถูกพัฒนาโดยนักชีววิทยาชาวอเมริกัน Dr. Joseph Lewis Andrew Popp Jr. ซึ่งใช้ความกลัวของผู้คนเกี่ยวกับไวรัส AIDS ในการโจมตี แม้ว่า ransomware นี้จะไม่ซับซ้อนเท่ากับการโจมตีในปัจจุบัน แต่มันก็สร้างความเสียหายทางการเงินและข้อมูลให้กับหลายองค์กร รวมถึงองค์กรสุขภาพในอิตาลีที่สูญเสียงานวิจัยไปถึง 10 ปี นอกจากนี้ Dr. Popp Jr. ยังมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาด เช่น การใส่ถุงยางอนามัยบนจมูกและถือกล่องกระดาษ ซึ่งทำให้เขาถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาล Mausley ในลอนดอนแทนที่จะถูกจำคุก https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/the-first-ever-ransomware-dropped-35-years-ago-disguised-as-a-floppy-sharing-aids-information
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    The first-ever ransomware dropped 35 years ago disguised as a floppy sharing 'AIDS Information'
    20,000 PC Business World magazine subscribers received this 5.25-inch floppy in the mail.
    0 Comments 0 Shares 230 Views 0 Reviews
  • กระทรวงกลาโหมรัสเซียเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่จากสหรัฐอเมริกาและแอฟริกาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการโครงการด้านชีววิทยาทางทหารในทวีปแอฟริกา

    กระทรวงกลาโหมระบุว่า สหรัฐอเมริกาใช้แอฟริกาเป็นแหล่งกักเก็บเชื้อโรคอันตรายตามธรรมชาติที่ยังควบคุมไม่ได้ เพื่อใช้แอฟริกาเป็นพื้นที่ทดลองยาต้านเชื้อโรคเหล่านี้
    กระทรวงกลาโหมรัสเซียเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่จากสหรัฐอเมริกาและแอฟริกาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการโครงการด้านชีววิทยาทางทหารในทวีปแอฟริกา กระทรวงกลาโหมระบุว่า สหรัฐอเมริกาใช้แอฟริกาเป็นแหล่งกักเก็บเชื้อโรคอันตรายตามธรรมชาติที่ยังควบคุมไม่ได้ เพื่อใช้แอฟริกาเป็นพื้นที่ทดลองยาต้านเชื้อโรคเหล่านี้
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • นายพลระดับท็อปของรัสเซีย ที่ถูกยูเครนกล่าวหาอยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธเคมีกับทหารยูเครน ถูกลอบสังหารอุกอาจด้วยระเบิดในกรุงมอสโกเมื่อเช้าวันอังคาร (17 ธ.ค.) โดยที่หน่วยข่าวกรอง เอสยูบี ของยูเครนกระพือข่าวว่าเป็นฝีมือของตน ซึ่งหากเป็นจริงก็ถือว่าเป็นการก่อเหตุเข่นฆ่าลักษณะนี้ครั้งอึกทึกครึกโครมที่สุดทีเดียว
    .
    พลโทอิกอร์ คิริลลอฟ ผู้บัญชาการกองทหารหน่วยอาวุธรังสีนิวเคลียร์ เคมี และชีวภาพของรัสเซีย พร้อมผู้ช่วยคนหนึ่งของเขา เสียชีวิตจากระเบิดซึ่งซุกซ่อนอยู่ในรถสกูตเตอร์ไฟฟ้าที่จอดอยู่ใกล้ทางเข้าอพาร์ตเมนต์บนถนนรยาแซนสกี ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงมอสโกเมื่อเช้าวันอังคาร ทั้งนี้ตามการแถลงคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนของรัสเซีย ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการสืบสวนคดีอุกฉกรรจ์ โดยระบุว่าได้เปิดการสอบสวนเหตุการณ์นี้แล้ว คาดกันว่าคดีนี้จะถูกจัดให้เป็นคดีก่อการร้าย
    .
    เวลาเดียวกัน สื่อมวลชนหลายแห่ง รวมทั้งสำนักข่าวรอยเตอร์ และสำนักข่าวเอเอฟพี ต่างอ้างอิงแหล่งข่าวรายหนึ่งในหน่วยข่าวกรองเอสบียูของยูเครน ได้ยืนยันว่า เอสบียูอยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้ โดยถือเป็นการปฏิบัติการพิเศษเพื่อสังหารอาชญากรสงคราม เนื่องจากคิริลลอฟเป็นผู้ออกคำสั่งให้ใช้อาวุธเคมีกับทหารยูเครน โดยที่เมื่อวันจันทร์ (16) เช่นกัน เอสบียูเพิ่งกล่าวหารัสเซียใช้กระสุนที่เป็นอาวุธเคมีโจมตีใส่ทหารยูเครนมากกว่า 4,800 กรณี นับตั้งแต่เริ่มต้นรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022
    .
    ก่อนหน้านี้ ชาติตะวันตกที่เป็นพันธมิตรของเคียฟ อย่างสหราชอาณาจักรและอเมริกา ก็ได้กล่าวหาว่ารัสเซียใช้สารพิษคลอโรพิกรินกับทหารยูเครน ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาห้ามใช้อาวุธเคมี และเมื่อเดือนตุลาคมสหราชอาณาจักรยังได้ประกาศแซงก์ชันคว่ำบาตร คิริลลอฟและหน่วยงานใต้บังคับบัญชาของเขา ในข้อหาช่วยเหลือให้มีการใช้อาวุธร้ายแรงเหล่านั้น
    .
    สำหรับกองทหารหน่วยอาวุธรังสีนิวเคลียร์ เคมี และชีวภาพของรัสเซีย ที่คิริลลอฟ เป็นผู้บังคับบัญชา และเป็นที่รู้จักกันด้วยชื่อย่อว่า RKhBZ นั้น ทางรัสเซียระบุว่าเป็นกองกำลังพิเศษซึ่งปฏิบัติการภายใต้สภาพที่เกิดการปนเปื้อนทางรังสีนิวเคลียร์ เคมี และชีวภาพ และภารกิจของทหารหน่วยนี้คือการพิทักษ์ปกป้องพวกกองกำลังภาคพื้นดินที่กำลังปฏิบัติการในสภาพเงื่อนไขแบบสุดขั้ว
    .
    ถ้าหากการกล่าวอ้างของเคียฟได้รับการยืนยัน คิริลลอฟ วัย 54 ปี ก็จะถือเป็นนายทหารอาวุโสที่สุดที่ถูกยูเครนลอบสังหารในรัสเซีย และมีแนวโน้มว่า เหตุการณ์นี้จะกระตุ้นให้รัสเซียทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัยนายทหารระดับสูงของกองทัพ รวมทั้งหาวิธีแก้แค้น
    .
    สำนักข่าวอาร์ไอเอของทางการรัสเซียรายงานว่า ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีที่ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงของรัสเซีย ประกาศว่า จะชำระแค้นเอากับผู้นำกองทัพและรัฐบาลยูเครนเร็วๆ นี้
    .
    รัสเซียยังปฏิเสธข้อกล่าวหาของยูเครนเรื่องการใช้อาวุธเคมีในสนามรบในยูเครน โดยบางครั้งคิริลลอฟเองได้บรรยายสรุปทางสถานีทีวีของรัฐบาล กล่าวหาตอบโต้กลับว่า ยูเครนและฝ่ายตะวันตกมีเครือข่ายห้องปฏิบัติการชีววิทยาลับ ที่พัฒนาอาวุธเคมีต้องห้ามทั่วยูเครน
    .
    ด้าน มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย แถลงยกย่องคิริลลอฟว่า อุทิศตนให้ประเทศชาติอย่างกล้าหาญในการเปิดโปงอาชญากรรมสงครามที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเคมีและโครงการลับของฝ่ายตะวันตกทั้งในซีเรียและประเทศอื่นๆ
    .
    ก่อนหน้าคิริลลอฟเสียชีวิต 1 วัน อัยการรัฐบาลยูเครนได้ตั้งข้อหานายทหารรัสเซียผู้นี้ใช้อาวุธเคมีที่ถูกนานาชาติห้ามใช้ นอกจากนั้นคิริลลอฟยังมีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการของบุคคลที่ถือเป็นศัตรูของยูเครน
    .
    การลอบสังหารคิริลลอฟยังเกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันจันทร์ (16) ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน อวดอ้างว่า ปีนี้เป็นปีสำคัญของปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซียในยูเครน โดยที่กองทหารรัสเซียอยู่ในสถานะได้เปรียบในทุกสมรภูมิ
    .
    ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ มอสโกเชื่อว่า เคียฟอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารบุคคลสำคัญของรัสเซียมาแล้วหลายคนเพื่อทำลายขวัญและกำลังใจของแดนหมีขาว รวมทั้งเพื่อลงโทษผู้ที่เคียฟระบุว่า มีบทบาทในอาชญากรรมสงคราม โดยยูเครนประกาศชัดเจนว่า การสังหารคนเหล่านั้นเป็นการกระทำอันชอบธรรม
    .
    บุคคลที่เป็นที่รู้จักซึ่งถูกลอบสังหารนับจากที่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนเมื่อต้นปี 2022 มีอาทิ ดาร์ยา ดูกินา นักเขียนแนวชาตินิยมและเป็นบุตรสาวของนักปรัชญาการเมืองชื่อดัง อเล็กซานเดอร์ ดูกิน โดยเธอถูกโจมตีด้วยคาร์บอมบ์นอกมอสโก, วลาเดน ตาตาร์สกี บล็อกเกอร์ที่สนับสนุนสงครามยูเครนซึ่งเสียชีวิตจากการลอบวางระเบิดคาเฟ่ในปี 2023 และการลอบยิงผู้บังคับการเรือดำน้ำรัสเซียที่ถูกเคียฟกล่าวหาก่ออาชญากรรมสงครามเมื่อปีที่แล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000121236
    ..............
    Sondhi X
    นายพลระดับท็อปของรัสเซีย ที่ถูกยูเครนกล่าวหาอยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธเคมีกับทหารยูเครน ถูกลอบสังหารอุกอาจด้วยระเบิดในกรุงมอสโกเมื่อเช้าวันอังคาร (17 ธ.ค.) โดยที่หน่วยข่าวกรอง เอสยูบี ของยูเครนกระพือข่าวว่าเป็นฝีมือของตน ซึ่งหากเป็นจริงก็ถือว่าเป็นการก่อเหตุเข่นฆ่าลักษณะนี้ครั้งอึกทึกครึกโครมที่สุดทีเดียว . พลโทอิกอร์ คิริลลอฟ ผู้บัญชาการกองทหารหน่วยอาวุธรังสีนิวเคลียร์ เคมี และชีวภาพของรัสเซีย พร้อมผู้ช่วยคนหนึ่งของเขา เสียชีวิตจากระเบิดซึ่งซุกซ่อนอยู่ในรถสกูตเตอร์ไฟฟ้าที่จอดอยู่ใกล้ทางเข้าอพาร์ตเมนต์บนถนนรยาแซนสกี ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงมอสโกเมื่อเช้าวันอังคาร ทั้งนี้ตามการแถลงคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนของรัสเซีย ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการสืบสวนคดีอุกฉกรรจ์ โดยระบุว่าได้เปิดการสอบสวนเหตุการณ์นี้แล้ว คาดกันว่าคดีนี้จะถูกจัดให้เป็นคดีก่อการร้าย . เวลาเดียวกัน สื่อมวลชนหลายแห่ง รวมทั้งสำนักข่าวรอยเตอร์ และสำนักข่าวเอเอฟพี ต่างอ้างอิงแหล่งข่าวรายหนึ่งในหน่วยข่าวกรองเอสบียูของยูเครน ได้ยืนยันว่า เอสบียูอยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้ โดยถือเป็นการปฏิบัติการพิเศษเพื่อสังหารอาชญากรสงคราม เนื่องจากคิริลลอฟเป็นผู้ออกคำสั่งให้ใช้อาวุธเคมีกับทหารยูเครน โดยที่เมื่อวันจันทร์ (16) เช่นกัน เอสบียูเพิ่งกล่าวหารัสเซียใช้กระสุนที่เป็นอาวุธเคมีโจมตีใส่ทหารยูเครนมากกว่า 4,800 กรณี นับตั้งแต่เริ่มต้นรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 . ก่อนหน้านี้ ชาติตะวันตกที่เป็นพันธมิตรของเคียฟ อย่างสหราชอาณาจักรและอเมริกา ก็ได้กล่าวหาว่ารัสเซียใช้สารพิษคลอโรพิกรินกับทหารยูเครน ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาห้ามใช้อาวุธเคมี และเมื่อเดือนตุลาคมสหราชอาณาจักรยังได้ประกาศแซงก์ชันคว่ำบาตร คิริลลอฟและหน่วยงานใต้บังคับบัญชาของเขา ในข้อหาช่วยเหลือให้มีการใช้อาวุธร้ายแรงเหล่านั้น . สำหรับกองทหารหน่วยอาวุธรังสีนิวเคลียร์ เคมี และชีวภาพของรัสเซีย ที่คิริลลอฟ เป็นผู้บังคับบัญชา และเป็นที่รู้จักกันด้วยชื่อย่อว่า RKhBZ นั้น ทางรัสเซียระบุว่าเป็นกองกำลังพิเศษซึ่งปฏิบัติการภายใต้สภาพที่เกิดการปนเปื้อนทางรังสีนิวเคลียร์ เคมี และชีวภาพ และภารกิจของทหารหน่วยนี้คือการพิทักษ์ปกป้องพวกกองกำลังภาคพื้นดินที่กำลังปฏิบัติการในสภาพเงื่อนไขแบบสุดขั้ว . ถ้าหากการกล่าวอ้างของเคียฟได้รับการยืนยัน คิริลลอฟ วัย 54 ปี ก็จะถือเป็นนายทหารอาวุโสที่สุดที่ถูกยูเครนลอบสังหารในรัสเซีย และมีแนวโน้มว่า เหตุการณ์นี้จะกระตุ้นให้รัสเซียทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัยนายทหารระดับสูงของกองทัพ รวมทั้งหาวิธีแก้แค้น . สำนักข่าวอาร์ไอเอของทางการรัสเซียรายงานว่า ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีที่ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงของรัสเซีย ประกาศว่า จะชำระแค้นเอากับผู้นำกองทัพและรัฐบาลยูเครนเร็วๆ นี้ . รัสเซียยังปฏิเสธข้อกล่าวหาของยูเครนเรื่องการใช้อาวุธเคมีในสนามรบในยูเครน โดยบางครั้งคิริลลอฟเองได้บรรยายสรุปทางสถานีทีวีของรัฐบาล กล่าวหาตอบโต้กลับว่า ยูเครนและฝ่ายตะวันตกมีเครือข่ายห้องปฏิบัติการชีววิทยาลับ ที่พัฒนาอาวุธเคมีต้องห้ามทั่วยูเครน . ด้าน มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย แถลงยกย่องคิริลลอฟว่า อุทิศตนให้ประเทศชาติอย่างกล้าหาญในการเปิดโปงอาชญากรรมสงครามที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเคมีและโครงการลับของฝ่ายตะวันตกทั้งในซีเรียและประเทศอื่นๆ . ก่อนหน้าคิริลลอฟเสียชีวิต 1 วัน อัยการรัฐบาลยูเครนได้ตั้งข้อหานายทหารรัสเซียผู้นี้ใช้อาวุธเคมีที่ถูกนานาชาติห้ามใช้ นอกจากนั้นคิริลลอฟยังมีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการของบุคคลที่ถือเป็นศัตรูของยูเครน . การลอบสังหารคิริลลอฟยังเกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันจันทร์ (16) ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน อวดอ้างว่า ปีนี้เป็นปีสำคัญของปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซียในยูเครน โดยที่กองทหารรัสเซียอยู่ในสถานะได้เปรียบในทุกสมรภูมิ . ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ มอสโกเชื่อว่า เคียฟอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารบุคคลสำคัญของรัสเซียมาแล้วหลายคนเพื่อทำลายขวัญและกำลังใจของแดนหมีขาว รวมทั้งเพื่อลงโทษผู้ที่เคียฟระบุว่า มีบทบาทในอาชญากรรมสงคราม โดยยูเครนประกาศชัดเจนว่า การสังหารคนเหล่านั้นเป็นการกระทำอันชอบธรรม . บุคคลที่เป็นที่รู้จักซึ่งถูกลอบสังหารนับจากที่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนเมื่อต้นปี 2022 มีอาทิ ดาร์ยา ดูกินา นักเขียนแนวชาตินิยมและเป็นบุตรสาวของนักปรัชญาการเมืองชื่อดัง อเล็กซานเดอร์ ดูกิน โดยเธอถูกโจมตีด้วยคาร์บอมบ์นอกมอสโก, วลาเดน ตาตาร์สกี บล็อกเกอร์ที่สนับสนุนสงครามยูเครนซึ่งเสียชีวิตจากการลอบวางระเบิดคาเฟ่ในปี 2023 และการลอบยิงผู้บังคับการเรือดำน้ำรัสเซียที่ถูกเคียฟกล่าวหาก่ออาชญากรรมสงครามเมื่อปีที่แล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000121236 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    8
    0 Comments 0 Shares 1151 Views 0 Reviews
  • ร้านอาหาร(ลับ)แสนอร่อย-ราคานักศึกษา ใต้หอพัก ใน ม.เชียงใหม่

    ครัวบ้านฉัน ที่ ม.วิลล่าผาพิง ติดรั้ว ม.เชียงใหม่
    ไม่ค่อยได้ทำอาหาร (ทำแล้ว-แพง-กว่าซื้อ)
    ส่วนมากนำปิ่นโตเข้าไปซื้ออาหาร ใต้หอพัก ใน ม.ช.
    สะอาด อร่อย☝และ มีราคาถูก
    นำมารับรองเพื่อนๆ+แขก ที่เข้าพักมี่บ้าน

    1. ร้านลุงพันธ์อาหารตามสั่งใต้หอ 6 ชาย เช้า-3ทุ่ม
    มีทุกอย่าง อาหารฝาหรั่ง และมังสวิรัติ(เจ) อร่อยทุกอย่าง
    เพราะลุงพันธ์ เคยเป็นเชฟใหญ่จากโรงแรมชื่อดัง
    ฉันกินทุกวันร้านนี้ แหละ เพราะ กินมังสวิรัติ..ตั้งแต่เกิด
    https://www.facebook.com/watch/?v=368479173823316
    ข้างๆมีร้านข้าวมันไก่ หอ6 ก็อร่อย เด็กมากินกันเยอะ

    2. ก๋วยเตี๋ยวต้มยำป้า-นภาหอชาย 3 มช. เชียงใหม่
    หอม อร่อย และ ให้เยอะ ใครมาบ้านได้กินกันทุกคน
    https://www.youtube.com/watch?v=kYTfNGOmQGw

    3. ร้านข้าวมันไก่สังคมไก่ทอดสังคม..อร่อยที่สุด
    โรงอาหารคณะสังคมศาสตร์(หลังสหกรณ์ มช.)
    เด็ดที่ ข้าวมันไก่ ข้าวยำไก่แซ่บ

    4. ร้านซาลาเปา "ชิดบุรี" ซาลาเปาคัสตาร์ดไข่
    ส.ก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ลอย ลูกชิ้นปลาระเบิด
    ที่ โรงอาหาร BIO ด้านหลังภาควิชาชีววิทยา

    5. ร้านมาลาอาหารไทย ข้าวราดแกง+ขนมจีนน้ำเงี้ยว
    โรงอาหารคณะวิศวกรรมศาสตร์

    6. ร้านข้าวแกง ที่ โรงอาหาร อมช. อร่อยทุกร้าน
    มีร้านขนมหวานสุโขทัย + ผลไม้สด
    อยู่ตรงข้ามหอ2หญิง+ตรงข้ามหอ3หญิง
    ที่นี่..เป็นศูนย์กลางของม.เชียงใหม่ เพราะมีทางเชื่อมไป
    อาคารเรียนรวม RB-3 และ RB-5 +ใกล้สถานีกลาง T1
    (เปิด ตีสาม-16.00น.)

    7. โรงอาหาร หอ40ปี
    วันธรรมดา-2ทุ่ม, เสาร์-อาทิตย์ เปิดถึงบ่าย3
    ***ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่30
    -ร้านข้าวราดแกงฝายหิน ก๋วยเตี๋ยวคั่วหมู ราดซอสพริก 30
    ร้านจานเดียว(ตามสั่ง) ฉู่ฉี่ไข่ดาว40 ผัดไทย40 ราดหน้า35 ผัดมาม่า35 โกโก้ปั่น30

    8. หอแพทย์สวนดอก มีอาหารอิสลาม โรตี พาสต้า สปาเกตตี้
    -เฉาก๊วยหอแพทย์ จันทร์-เสาร์ 13.00-18.30 มี ขนมจีบด้วย

    9. หอหญิง 1 ฉู่ฉี่ไข่เจียว, ข้าวคลุกกระเพราหมู

    10. หอหญิง 2
    -ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูทรงเครื่อง เตี๋ยวหมูน้ำใส30 ต้มยำ30
    เตี๋ยวหมูน้ำตกต้มยำ30 ต้มยำน่องไก่35 เกี๊ยวน้ำ เย็นตาโฟ35
    เตี๋ยวไก่ตุ๋น มาม่าต้มยำ บะหมี่เก๊ยว เกาเหลาต้มยำ35
    -ร้านน้ำปั่นป้าไหม
    -ร้านป้านาย☝ไก่ทอดยอดหญ้า45, ไก่ทอดซ๊อสมายองเนส35 หมูกรอบคั่วเกลือ

    11. กูช่ายตาแมว หอหญิง5 (ขายถึง19.30น.)

    12. กาดฝายหิน มีสารพัดร้านอร่อย เช่น ร้านส้มตำ ผัดไทย หมูจุ่ม ร้านสเต๊ก ร้านน้ำปั่น

    13. CMU FOOD Center ติดแอร์(ค่อนข้างแพง)
    จันทร์-ศุกร์ ปิด2ทุ่ม เสาร์-อาทิตย์ ปิดบ่าย3
    มี ร้านดังๆจากในห้าง มาเปิดใน มช. เช่น Dairy Queen,
    ชาตรามือ, Good All Day Japanese Steak Buffet,
    ร้านชาบู, ซูชิ, กาแฟอินทนิล, 7-11 ข้าวแกงป้าดัวสวนดอก
    ร้านนู๊ดเดิ้ลออฟเดอะเดย์ ไก่อบเทอริยากิ ที่ร้านขาหมูบางรัก
    ☝บะหมี่ต้มยำกระดูกอ่อนเพิ่มไข่,☝ก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ลอย68 ที่ร้าน ส.ก๋วยเตี๋ยว.
    ร้านไอติมกะโหล้งไอติมกะทิสดในลูกมะพร้าว35.-
    อร่อยทุกอย่างจุกๆ กับ ร้านทิพยาข้าวราดแกง(ป้าเอ๋มนุษย์)
    ร้านราเม็ง Mommy Bento ทงคัทสึราเม็ง50, มิโซ๊ะราเม็ง☝
    ข้าวหน้าเนื้อสไตล์ญี่ปุ่น85 ข้าวหน้าหมูสไตล์ญี่ปุ่น45
    ข้าวแกงกะหรี่ไข่ข้น89
    ข้าวมันไก่ทอดซ๊อสชีส45 ข้าวมันไก่ทอด-บาร์บีคิว/สไปซี่45
    มาม่าผัดหม่าล่า59 ข้าวไก่ทอดไข่ข้น50 ขนมจีนน้ำเงี้ยว25
    ร้านครัวแก้ว เชียงใหม่(อร่อยทุกอย่าง) คั่วไก่ เย็นตาโฟ ผัดไทย เตี๋ยวหมูตุ๋น สุกี้ ข้าวซอย
    -ร้านสลัด Mini Salad Bar มีทุกอย่างที่หลากหลาย

    14. ก๊วยจั๊บรินลองกอย(หลัง ม.ช.)เปิด 6โมงเช้า-สายๆ
    ชามใหญ่ หน้าตาดี กรอบหอม+อร่อยสุด 40 บาท

    15. ร้านกระเพรา168 อยู่ในซอย บ้านใหม่หลังมอ5
    กระเพราหมูสับพริกแห้ง40.-มาม่ากระเพราพริกแห้ง45.-
    กระเพราไก่กรอบ50.-กระเพรากระดูกอ่อน50.-
    กระเพราหมูหมักไข่ข้น65.- กระเพราไส้หวาน65.-
    กระเพราโฮะ99.-กระเพราเห็ดชิเมจิ ข้าวคลุกกระเพราเต้าหู้ทอด

    16. ไก่ทอดลูกขา หลังม.ตรงข้ามประตูวงเวียน ถ.สุเทพ
    สะโพก ปีก อก น่องไก่ทอด หมูสามชั้น หมูยอทอด

    17. -กิ๋นลำ น้ำเงี้ยว ร้านอยู่ใต้หอพักภูสักทอง ถ.สุเทพ
    เปิด 10.30น. น้ำเงี้ยวร้านนี้เป็นสูตรเชียงราย(เส้นใหญ่)
    เชียงใหม่(ขนมเส้น) เครื่องแน่น มีดอกงิ้ว รสจัด
    ราคานักศึกษา ธรรมดา 30.- พิเศษ 40.-

    18. เจียวดาว ข้าวเจียวดาวหมูสับ ข้าวเจียวดาวฉู่ฉี่

    ยังมี ก๋วยเตี๋ยวตี๋น้อย ร้านจิ้มจุ่ม หมูกระทะ จุ่มขำมอ

    - ผลไม้(สด) ร้านรถเข็น-ป้าแจ๋ว(11.00-17.00น.)
    เป็นรถเข็นอยู่ใต้ร่มไม้ Acc-BAR และ สาขา2 คณะสังคม
    มีผลไม้สด เช่น แตงโม สับปะรด มะม่วง ฝรั่ง มะกอก

    - กาแฟ(สด)สังคม (8.00-16.00น. จันทร์-เสาร์)
    ที่ คณะสังคมศาสตร์ มช.
    มีทุกอย่างเหมือนร้านดัง แก้วใหญ่ ราคาเพียง 35 บาท

    - ร้านนมเกษต่ร ที่คณะเกษตร-คณะวิจิตรศิลป์
    (8.00-18.00น.) มี นมสด นมช๊อคโกแล๊ต วานิลา
    สตรอเบอร์รี่ และ รสชาเขียว ชานมไข่มุก Ice-Float
    ส่วนมาก..พาหลานๆไปกินไอติม Soft Serve40บาท

    - ร้าน ป้าน้องน้ำส้ม (หอประชุม มช. 9.00-17.00น.)
    สัมคั้น40.-ฝรั่งมะนาว40.- ธัญญพืขมะนาว40.-
    น้ำฝรั่ง30.- บ๊วย เก๊กฮวย มะตูม กระเจี๊ยบ เสาวรส ตะไคร้
    ธัญญพืช



    บ้านหลังนี้ ตามปกติใช้รับรองเพื่อนๆชาวต่างชาติ
    และ ปล่อยให้เช่า โดย Airbnb
    เพื่อนๆที่มาเที่ยวเมืองไทย เข้าพักที่บ้านหลังนี้(ฟรี)
    อีกหลัง..ท่าแพ ซอย4 ปล่อยเช่าผ่าน Airbnb เช่นกัน
    เลี้ยงอาหารทุกมื้อ(ฟรี) กินกันอร่อย..ไม่อั้น
    มีเด็กหิ้วปินโต..ขี่รถเครื่อง ไปซื้อมา




    ร้านอาหาร(ลับ)แสนอร่อย-ราคานักศึกษา ใต้หอพัก ใน ม.เชียงใหม่ ครัวบ้านฉัน ที่ ม.วิลล่าผาพิง ติดรั้ว ม.เชียงใหม่ ไม่ค่อยได้ทำอาหาร (ทำแล้ว-แพง-กว่าซื้อ) ส่วนมากนำปิ่นโตเข้าไปซื้ออาหาร ใต้หอพัก ใน ม.ช. สะอาด อร่อย☝และ มีราคาถูก นำมารับรองเพื่อนๆ+แขก ที่เข้าพักมี่บ้าน 1. ร้านลุงพันธ์อาหารตามสั่ง☝️ใต้หอ 6 ชาย เช้า-3ทุ่ม มีทุกอย่าง อาหารฝาหรั่ง และมังสวิรัติ(เจ) อร่อยทุกอย่าง เพราะลุงพันธ์ เคยเป็นเชฟใหญ่จากโรงแรมชื่อดัง ฉันกินทุกวันร้านนี้ แหละ เพราะ กินมังสวิรัติ..ตั้งแต่เกิด https://www.facebook.com/watch/?v=368479173823316 ข้างๆมีร้านข้าวมันไก่ หอ6 ก็อร่อย เด็กมากินกันเยอะ 2. ก๋วยเตี๋ยวต้มยำป้า-นภา☝️หอชาย 3 มช. เชียงใหม่ หอม อร่อย และ ให้เยอะ ใครมาบ้านได้กินกันทุกคน https://www.youtube.com/watch?v=kYTfNGOmQGw 3. ร้านข้าวมันไก่สังคม☝️ไก่ทอดสังคม..อร่อยที่สุด โรงอาหารคณะสังคมศาสตร์(หลังสหกรณ์ มช.) เด็ดที่ ข้าวมันไก่ ข้าวยำไก่แซ่บ 4. ร้านซาลาเปา "ชิดบุรี" ซาลาเปาคัสตาร์ดไข่☝️ ส.ก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ลอย☝️ ลูกชิ้นปลาระเบิด ที่ โรงอาหาร BIO ด้านหลังภาควิชาชีววิทยา 5. ร้านมาลาอาหารไทย ข้าวราดแกง+ขนมจีนน้ำเงี้ยว โรงอาหารคณะวิศวกรรมศาสตร์ 6. ร้านข้าวแกง ที่ โรงอาหาร อมช. อร่อยทุกร้าน☝️ มีร้านขนมหวานสุโขทัย + ผลไม้สด อยู่ตรงข้ามหอ2หญิง+ตรงข้ามหอ3หญิง ที่นี่..เป็นศูนย์กลางของม.เชียงใหม่ เพราะมีทางเชื่อมไป อาคารเรียนรวม RB-3 และ RB-5 +ใกล้สถานีกลาง T1 (เปิด ตีสาม-16.00น.) 7. โรงอาหาร หอ40ปี วันธรรมดา-2ทุ่ม, เสาร์-อาทิตย์ เปิดถึงบ่าย3 ***ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่30 -ร้านข้าวราดแกงฝายหิน ก๋วยเตี๋ยวคั่วหมู ราดซอสพริก 30 ร้านจานเดียว(ตามสั่ง) ฉู่ฉี่ไข่ดาว40 ผัดไทย40 ราดหน้า35 ผัดมาม่า35 โกโก้ปั่น30 8. หอแพทย์สวนดอก มีอาหารอิสลาม โรตี พาสต้า สปาเกตตี้ -เฉาก๊วยหอแพทย์ จันทร์-เสาร์ 13.00-18.30 มี ขนมจีบด้วย 9. หอหญิง 1 ฉู่ฉี่ไข่เจียว, ข้าวคลุกกระเพราหมู 10. หอหญิง 2 -ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูทรงเครื่อง เตี๋ยวหมูน้ำใส30 ต้มยำ30 เตี๋ยวหมูน้ำตกต้มยำ30 ต้มยำน่องไก่35 เกี๊ยวน้ำ เย็นตาโฟ35 เตี๋ยวไก่ตุ๋น มาม่าต้มยำ บะหมี่เก๊ยว เกาเหลาต้มยำ35 -ร้านน้ำปั่นป้าไหม -ร้านป้านาย☝ไก่ทอดยอดหญ้า45, ไก่ทอดซ๊อสมายองเนส35 หมูกรอบคั่วเกลือ 11. กูช่ายตาแมว หอหญิง5 (ขายถึง19.30น.) 12. กาดฝายหิน มีสารพัดร้านอร่อย เช่น ร้านส้มตำ ผัดไทย หมูจุ่ม ร้านสเต๊ก ร้านน้ำปั่น 13. CMU FOOD Center ติดแอร์(ค่อนข้างแพง) จันทร์-ศุกร์ ปิด2ทุ่ม เสาร์-อาทิตย์ ปิดบ่าย3 มี ร้านดังๆจากในห้าง มาเปิดใน มช. เช่น Dairy Queen, ชาตรามือ, Good All Day Japanese Steak Buffet, ร้านชาบู, ซูชิ, กาแฟอินทนิล, 7-11 ข้าวแกงป้าดัวสวนดอก ร้านนู๊ดเดิ้ลออฟเดอะเดย์ ไก่อบเทอริยากิ ที่ร้านขาหมูบางรัก ☝บะหมี่ต้มยำกระดูกอ่อนเพิ่มไข่,☝ก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ลอย68 ที่ร้าน ส.ก๋วยเตี๋ยว. ร้านไอติมกะโหล้ง☝️ไอติมกะทิสดในลูกมะพร้าว35.- อร่อยทุกอย่างจุกๆ กับ ร้านทิพยาข้าวราดแกง(ป้าเอ๋มนุษย์) ร้านราเม็ง Mommy Bento☝️ ทงคัทสึราเม็ง50, มิโซ๊ะราเม็ง☝ ข้าวหน้าเนื้อสไตล์ญี่ปุ่น85 ข้าวหน้าหมูสไตล์ญี่ปุ่น45 ข้าวแกงกะหรี่ไข่ข้น89☝️ ข้าวมันไก่ทอดซ๊อสชีส45 ข้าวมันไก่ทอด-บาร์บีคิว/สไปซี่45 มาม่าผัดหม่าล่า59 ข้าวไก่ทอดไข่ข้น50 ขนมจีนน้ำเงี้ยว25 ร้านครัวแก้ว เชียงใหม่(อร่อยทุกอย่าง) คั่วไก่ เย็นตาโฟ ผัดไทย เตี๋ยวหมูตุ๋น สุกี้ ข้าวซอย -ร้านสลัด Mini Salad Bar มีทุกอย่างที่หลากหลาย 14. ก๊วยจั๊บรินลองกอย☝️(หลัง ม.ช.)เปิด 6โมงเช้า-สายๆ ชามใหญ่ หน้าตาดี กรอบหอม+อร่อยสุด 40 บาท 15. ร้านกระเพรา168 อยู่ในซอย บ้านใหม่หลังมอ5 กระเพราหมูสับพริกแห้ง40.-มาม่ากระเพราพริกแห้ง45.- กระเพราไก่กรอบ50.-กระเพรากระดูกอ่อน50.- กระเพราหมูหมักไข่ข้น65.- กระเพราไส้หวาน65.- กระเพราโฮะ99.-กระเพราเห็ดชิเมจิ ข้าวคลุกกระเพราเต้าหู้ทอด 16. ไก่ทอดลูกขา หลังม.ตรงข้ามประตูวงเวียน ถ.สุเทพ สะโพก ปีก อก น่องไก่ทอด หมูสามชั้น หมูยอทอด 17. -กิ๋นลำ น้ำเงี้ยว ร้านอยู่ใต้หอพักภูสักทอง ถ.สุเทพ เปิด 10.30น. น้ำเงี้ยวร้านนี้เป็นสูตรเชียงราย(เส้นใหญ่) เชียงใหม่(ขนมเส้น) เครื่องแน่น มีดอกงิ้ว รสจัด ราคานักศึกษา ธรรมดา 30.- พิเศษ 40.- 18. เจียวดาว ข้าวเจียวดาวหมูสับ ข้าวเจียวดาวฉู่ฉี่ ยังมี ก๋วยเตี๋ยวตี๋น้อย ร้านจิ้มจุ่ม หมูกระทะ จุ่มขำมอ - ผลไม้(สด) ร้านรถเข็น-ป้าแจ๋ว(11.00-17.00น.) เป็นรถเข็นอยู่ใต้ร่มไม้ Acc-BAR และ สาขา2 คณะสังคม มีผลไม้สด เช่น แตงโม สับปะรด มะม่วง ฝรั่ง มะกอก - กาแฟ(สด)สังคม (8.00-16.00น. จันทร์-เสาร์) ที่ คณะสังคมศาสตร์ มช. มีทุกอย่างเหมือนร้านดัง แก้วใหญ่ ราคาเพียง 35 บาท - ร้านนมเกษต่ร ที่คณะเกษตร-คณะวิจิตรศิลป์ (8.00-18.00น.) มี นมสด นมช๊อคโกแล๊ต วานิลา สตรอเบอร์รี่ และ รสชาเขียว ชานมไข่มุก Ice-Float ส่วนมาก..พาหลานๆไปกินไอติม Soft Serve40บาท - ร้าน ป้าน้องน้ำส้ม (หอประชุม มช. 9.00-17.00น.) สัมคั้น40.-ฝรั่งมะนาว40.- ธัญญพืขมะนาว40.- น้ำฝรั่ง30.- บ๊วย เก๊กฮวย มะตูม กระเจี๊ยบ เสาวรส ตะไคร้ ธัญญพืช บ้านหลังนี้ ตามปกติใช้รับรองเพื่อนๆชาวต่างชาติ และ ปล่อยให้เช่า โดย Airbnb เพื่อนๆที่มาเที่ยวเมืองไทย เข้าพักที่บ้านหลังนี้(ฟรี) อีกหลัง..ท่าแพ ซอย4 ปล่อยเช่าผ่าน Airbnb เช่นกัน เลี้ยงอาหารทุกมื้อ(ฟรี) กินกันอร่อย..ไม่อั้น มีเด็กหิ้วปินโต..ขี่รถเครื่อง ไปซื้อมา
    0 Comments 0 Shares 2254 Views 0 Reviews
  • 🔸️นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนสำหรับเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าของปริมาณทั้งหมด
    ในขณะเดียวกัน การวินิจฉัยโรคออทิซึมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 27,000%
    https://thepeoplesvoice.tv/aluminum-levels-in-childhood.../
    ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของอะลูมิเนียมในวัคซีนมักเกี่ยวข้องกับบทบาทของอะลูมิเนียมในฐานะสารเสริมภูมิคุ้มกัน—ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น—การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างส่วนประกอบของวัคซีนและอัตราการเกิดออทิซึมที่เพิ่มมากขึ้น
    อัตราการเกิดโรคออทิซึมในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 เมื่อครั้งนั้น อัตราการวินิจฉัยโรคออทิซึมโดยประมาณอยู่ที่ 1 ใน 10,000 เด็ก ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 150 และข้อมูลล่าสุดจากปี 2023 ระบุว่าอัตราดังกล่าวอยู่ที่ 1 ใน 36 เด็ก
    ดร. คริส เอ็กซ์ลีย์ จากมหาวิทยาลัยคีลในอังกฤษและเพื่อนร่วมงานได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่ทำการศึกษาเนื้อเยื่อสมองของผู้ป่วยออทิสติกเป็นครั้งแรก เพื่อตรวจสอบระดับอะลูมิเนียม (หมายเหตุ: ในสหราชอาณาจักรผู้ป่วยสะกดคำว่า “อะลูมิเนียม” เป็น “อะลูมิเนียม”) ที่พบในเนื้อเยื่อสมอง
    สำหรับใครก็ตามที่พยายามจะโน้มน้าวโลกให้เชื่อว่า “วิทยาศาสตร์ได้รับการพิสูจน์แล้วและวัคซีนไม่ได้ทำให้เกิดโรคออทิซึม” ผลการศึกษานี้ขัดแย้งกับคำกล่าวนี้อย่างมาก
    ในโพสต์บล็อกที่เขียนโดยศาสตราจารย์เอ็กซ์ลีย์ในวันที่ผลการศึกษาของเขาได้รับการตีพิมพ์
    เขาได้อธิบายผลลัพธ์อันล้ำสมัยดังต่อไปนี้:
    “…ในขณะที่ปริมาณอะลูมิเนียมในสมองของผู้ป่วยออทิสติกทั้ง 5 รายนั้นสูงอย่างน่าตกใจ แต่ตำแหน่งในเนื้อเยื่อสมองต่างหากที่เป็นจุดสังเกตที่โดดเด่น…หลักฐานใหม่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอะลูมิเนียมเข้าสู่สมองของผู้ป่วย ASD [กลุ่มอาการออทิสติก] ผ่านทางเซลล์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบซึ่งมีอะลูมิเนียมสะสมอยู่ในเลือดและ/หรือน้ำเหลือง ซึ่งก็เหมือนกับที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในโมโนไซต์ที่บริเวณที่ฉีดวัคซีนรวมถึงสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียม”
    คำพูดของดร. เอ็กซ์ลีย์รวมถึงการอ้างถึง “โมโนไซต์ที่บริเวณฉีด” และความจริงที่ว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างโมโนไซต์เหล่านี้กับอะลูมิเนียมได้รับการพิสูจน์แล้วในวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์ก่อนหน้านี้
    ฉันรู้ว่ามันฟังดูเป็นเทคนิคมาก แต่ลองฟังฉันก่อน
    “โมโนไซต์” คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งโมโนไซต์ชนิดหนึ่งคือ “แมคโครฟาจ” แมคโครฟาจอาจเปรียบได้กับมนุษย์ขยะในระบบภูมิคุ้มกันที่คอยกัดกินสิ่งแปลกปลอม เศษเซลล์ ฯลฯ
    อย่างที่คุณจะสังเกตเห็นในอีกไม่ช้านี้ ดูเหมือนว่าแมคโครฟาจจะมีบทบาทสำคัญและร้ายแรงในการกระตุ้นให้เกิดออทิซึม โดยทำหน้าที่นำอะลูมิเนียมที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งฉีดจากวัคซีนโดยตรงเข้าไปในสมอง ซึ่งสามารถขัดขวางการพัฒนาของสมองและกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้
    การศึกษาวิจัยของดร. เอ็กซ์ลีย์เรื่อง “ อะลูมิเนียมในเนื้อเยื่อสมองและออทิซึม ” ถือได้ว่าเป็นชิ้นส่วนสุดท้ายของปริศนาที่เริ่มประกอบเข้าด้วยกันในปี 2004 และได้รับความสนใจมากขึ้นหลังปี 2010 ซึ่งช่วยส่งเสริมความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์อย่างมากว่าวัคซีนสามารถกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้อย่างไร
    ไทม์ไลน์นี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนัก เนื่องจากศาลวัคซีนในสหรัฐฯ ได้ยกฟ้องสมมติฐานเกี่ยวกับวัคซีน-ออทิซึมในปี 2009 นานก่อนที่สิ่งที่ฉันจะอธิบายต่อไปนี้จะเกิดขึ้นเสียอีก
    วิทยาศาสตร์คือความต่อเนื่อง ความจริงที่ปรากฏผ่านการศึกษาหลาย ๆ อย่างซึ่งมักต้องนำมาประกอบเข้าด้วยกันก่อนจึงจะมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน และบางครั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อาจดำเนินไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ความจริงที่ปรากฏปรากฏขึ้นในลักษณะที่ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป
    ในความเห็นของฉัน การศึกษาของดร. เอ็กซ์ลีย์ให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียวที่ขาดหายไปจากคำอธิบายที่รัดกุมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชายของฉันและเด็กอีกหลายๆ คน และได้ให้ "ความน่าจะเป็นทางชีววิทยา" แก่ผู้ที่ไม่เชื่อทั้งหมดว่าวัคซีนที่ฉีดเข้าที่ไหล่ของทารกสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคออทิซึมได้อย่างไร
    สำหรับชาวอเมริกัน การแข่งขันเพื่อค้นหาสาเหตุของโรคออทิซึมทั้งหมดนั้นน่าจะชนะได้ในต่างแดน ดังที่คุณจะเห็นในไม่ช้านี้ วิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่อธิบายสาเหตุของโรคออทิซึมมาจากต่างประเทศ แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จาก Caltech จะเป็นคนผลักโดมิโนตัวแรกไปเมื่อปี 2549 ก็ตาม
    ทำไมถึงมีอะลูมิเนียมอยู่ในวัคซีน?
    อะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของวัคซีนส่วนใหญ่ที่ให้กับเด็ก อะลูมิเนียมทำหน้าที่เป็น “สารเสริมภูมิคุ้มกัน” ซึ่งหมายความว่าอะลูมิเนียมทำหน้าที่ “ปลุก” ระบบภูมิคุ้มกันให้ตื่นขึ้น กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจดจำ “แอนติเจน” ในวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่วัคซีนทำหน้าที่ป้องกันโรค
    ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนที่ให้กับเด็ก ๆพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 ด้วยสาเหตุสองประการ: 1) มีการเพิ่มวัคซีนเข้าไปในตารางวัคซีนสำหรับเด็กมากขึ้น และ 2) อัตราการฉีดวัคซีนสำหรับวัคซีนทุกชนิดที่ให้กับเด็กเพิ่มขึ้น (จาก 50–60% ของเด็ก ๆ ที่ได้รับวัคซีนในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เป็นมากกว่า 90% ในปัจจุบัน)
    ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เด็กจะได้รับอะลูมิเนียมจากวัคซีน 1,250 ไมโครกรัมภายในอายุ 18 เดือนหากได้รับวัคซีนครบถ้วน ปัจจุบัน ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 4,925 ไมโครกรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าจากปริมาณอะลูมิเนียมทั้งหมด
    คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในผลการศึกษาที่ยอดเยี่ยม ซึ่งตีพิมพ์โดย Neil Miller
    ที่น่าประหลาดใจก็คือ อะลูมิเนียมไม่เคยผ่านการทดสอบทางชีวภาพเพื่อพิจารณาถึงความปลอดภัยในการฉีดเข้าไปในทารก เนื่องจากอะลูมิเนียมได้รับการ "ยกเว้น" ไว้ในมาตรฐานความปลอดภัยสมัยใหม่ของเรา นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดา ดร. คริส ชอว์ และ ดร. ลูซิจา ทอมเยโนวิช ได้กล่าวถึงการละเว้นนี้ในการศึกษาวิจัยเชิงวิจารณ์ที่พวกเขาตีพิมพ์ในปี 2011 ในวารสารCurrent Medicinal Chemistryชื่อว่า “ สารเสริมฤทธิ์วัคซีนอะลูมิเนียม: ปลอดภัยหรือไม่ ” พวกเขาเขียนว่า:
    “อะลูมิเนียมเป็นสารพิษต่อระบบประสาทที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการทดลองและเป็นสารเสริมฤทธิ์วัคซีนที่ใช้กันทั่วไป แม้ว่าจะมีการใช้สารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมอย่างแพร่หลายมานานเกือบ 90 ปีแล้ว แต่ความเข้าใจของวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ของสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมยังคงต่ำอย่างน่าตกใจนอกจากนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับพิษวิทยาและเภสัชจลนศาสตร์ของสารประกอบเหล่านี้อย่างขาดแคลน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล แม้จะเป็นเช่นนั้น แนวคิดที่ว่าอะลูมิเนียมในวัคซีนนั้นปลอดภัยก็ยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางอย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิงทดลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมมีศักยภาพในการทำให้เกิดความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันที่ร้ายแรงในมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อะลูมิเนียมในรูปแบบสารเสริมฤทธิ์มีความเสี่ยงต่อภูมิคุ้มกันตนเอง การอักเสบของสมองในระยะยาว และภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างกว้างขวางและรุนแรง”
    ICANตัดสินใจทดสอบความสามารถของ CDC และ NIH ในการผลิตงานวิจัยใดๆ เพื่อแสดงให้เห็นความปลอดภัยของสารเสริมฤทธิ์วัคซีนผ่านการฟ้องร้องภายใต้ FOIA ตอนนี้ฉันเดาว่าคุณคงรู้ว่าคดีจบลงอย่างไร... อ่านบทความฉบับสมบูรณ์
    “คำตอบของ CDC และ NIH ต่อคำร้องขอภายใต้พระราชบัญญัติเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล (FOIA) ของ ICAN เกี่ยวกับสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมเผยให้เห็นการยอมรับที่น่าตกตะลึง นั่นคือ พวกเขาไม่มีการศึกษาแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะสนับสนุนความปลอดภัยในการแนะนำให้ฉีดสารพิษต่อเซลล์และระบบประสาทนี้ซ้ำๆ เป็นส่วนหนึ่งของตารางการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กของ CDC”
    🔸️นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนสำหรับเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าของปริมาณทั้งหมด ในขณะเดียวกัน การวินิจฉัยโรคออทิซึมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 27,000% https://thepeoplesvoice.tv/aluminum-levels-in-childhood.../ ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของอะลูมิเนียมในวัคซีนมักเกี่ยวข้องกับบทบาทของอะลูมิเนียมในฐานะสารเสริมภูมิคุ้มกัน—ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น—การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างส่วนประกอบของวัคซีนและอัตราการเกิดออทิซึมที่เพิ่มมากขึ้น อัตราการเกิดโรคออทิซึมในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 เมื่อครั้งนั้น อัตราการวินิจฉัยโรคออทิซึมโดยประมาณอยู่ที่ 1 ใน 10,000 เด็ก ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 150 และข้อมูลล่าสุดจากปี 2023 ระบุว่าอัตราดังกล่าวอยู่ที่ 1 ใน 36 เด็ก ดร. คริส เอ็กซ์ลีย์ จากมหาวิทยาลัยคีลในอังกฤษและเพื่อนร่วมงานได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่ทำการศึกษาเนื้อเยื่อสมองของผู้ป่วยออทิสติกเป็นครั้งแรก เพื่อตรวจสอบระดับอะลูมิเนียม (หมายเหตุ: ในสหราชอาณาจักรผู้ป่วยสะกดคำว่า “อะลูมิเนียม” เป็น “อะลูมิเนียม”) ที่พบในเนื้อเยื่อสมอง สำหรับใครก็ตามที่พยายามจะโน้มน้าวโลกให้เชื่อว่า “วิทยาศาสตร์ได้รับการพิสูจน์แล้วและวัคซีนไม่ได้ทำให้เกิดโรคออทิซึม” ผลการศึกษานี้ขัดแย้งกับคำกล่าวนี้อย่างมาก ในโพสต์บล็อกที่เขียนโดยศาสตราจารย์เอ็กซ์ลีย์ในวันที่ผลการศึกษาของเขาได้รับการตีพิมพ์ เขาได้อธิบายผลลัพธ์อันล้ำสมัยดังต่อไปนี้: “…ในขณะที่ปริมาณอะลูมิเนียมในสมองของผู้ป่วยออทิสติกทั้ง 5 รายนั้นสูงอย่างน่าตกใจ แต่ตำแหน่งในเนื้อเยื่อสมองต่างหากที่เป็นจุดสังเกตที่โดดเด่น…หลักฐานใหม่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอะลูมิเนียมเข้าสู่สมองของผู้ป่วย ASD [กลุ่มอาการออทิสติก] ผ่านทางเซลล์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบซึ่งมีอะลูมิเนียมสะสมอยู่ในเลือดและ/หรือน้ำเหลือง ซึ่งก็เหมือนกับที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในโมโนไซต์ที่บริเวณที่ฉีดวัคซีนรวมถึงสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียม” คำพูดของดร. เอ็กซ์ลีย์รวมถึงการอ้างถึง “โมโนไซต์ที่บริเวณฉีด” และความจริงที่ว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างโมโนไซต์เหล่านี้กับอะลูมิเนียมได้รับการพิสูจน์แล้วในวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์ก่อนหน้านี้ ฉันรู้ว่ามันฟังดูเป็นเทคนิคมาก แต่ลองฟังฉันก่อน “โมโนไซต์” คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งโมโนไซต์ชนิดหนึ่งคือ “แมคโครฟาจ” แมคโครฟาจอาจเปรียบได้กับมนุษย์ขยะในระบบภูมิคุ้มกันที่คอยกัดกินสิ่งแปลกปลอม เศษเซลล์ ฯลฯ อย่างที่คุณจะสังเกตเห็นในอีกไม่ช้านี้ ดูเหมือนว่าแมคโครฟาจจะมีบทบาทสำคัญและร้ายแรงในการกระตุ้นให้เกิดออทิซึม โดยทำหน้าที่นำอะลูมิเนียมที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งฉีดจากวัคซีนโดยตรงเข้าไปในสมอง ซึ่งสามารถขัดขวางการพัฒนาของสมองและกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้ การศึกษาวิจัยของดร. เอ็กซ์ลีย์เรื่อง “ อะลูมิเนียมในเนื้อเยื่อสมองและออทิซึม ” ถือได้ว่าเป็นชิ้นส่วนสุดท้ายของปริศนาที่เริ่มประกอบเข้าด้วยกันในปี 2004 และได้รับความสนใจมากขึ้นหลังปี 2010 ซึ่งช่วยส่งเสริมความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์อย่างมากว่าวัคซีนสามารถกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้อย่างไร ไทม์ไลน์นี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนัก เนื่องจากศาลวัคซีนในสหรัฐฯ ได้ยกฟ้องสมมติฐานเกี่ยวกับวัคซีน-ออทิซึมในปี 2009 นานก่อนที่สิ่งที่ฉันจะอธิบายต่อไปนี้จะเกิดขึ้นเสียอีก วิทยาศาสตร์คือความต่อเนื่อง ความจริงที่ปรากฏผ่านการศึกษาหลาย ๆ อย่างซึ่งมักต้องนำมาประกอบเข้าด้วยกันก่อนจึงจะมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน และบางครั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อาจดำเนินไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ความจริงที่ปรากฏปรากฏขึ้นในลักษณะที่ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป ในความเห็นของฉัน การศึกษาของดร. เอ็กซ์ลีย์ให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียวที่ขาดหายไปจากคำอธิบายที่รัดกุมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชายของฉันและเด็กอีกหลายๆ คน และได้ให้ "ความน่าจะเป็นทางชีววิทยา" แก่ผู้ที่ไม่เชื่อทั้งหมดว่าวัคซีนที่ฉีดเข้าที่ไหล่ของทารกสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคออทิซึมได้อย่างไร สำหรับชาวอเมริกัน การแข่งขันเพื่อค้นหาสาเหตุของโรคออทิซึมทั้งหมดนั้นน่าจะชนะได้ในต่างแดน ดังที่คุณจะเห็นในไม่ช้านี้ วิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่อธิบายสาเหตุของโรคออทิซึมมาจากต่างประเทศ แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จาก Caltech จะเป็นคนผลักโดมิโนตัวแรกไปเมื่อปี 2549 ก็ตาม ทำไมถึงมีอะลูมิเนียมอยู่ในวัคซีน? อะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของวัคซีนส่วนใหญ่ที่ให้กับเด็ก อะลูมิเนียมทำหน้าที่เป็น “สารเสริมภูมิคุ้มกัน” ซึ่งหมายความว่าอะลูมิเนียมทำหน้าที่ “ปลุก” ระบบภูมิคุ้มกันให้ตื่นขึ้น กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจดจำ “แอนติเจน” ในวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่วัคซีนทำหน้าที่ป้องกันโรค ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนที่ให้กับเด็ก ๆพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 ด้วยสาเหตุสองประการ: 1) มีการเพิ่มวัคซีนเข้าไปในตารางวัคซีนสำหรับเด็กมากขึ้น และ 2) อัตราการฉีดวัคซีนสำหรับวัคซีนทุกชนิดที่ให้กับเด็กเพิ่มขึ้น (จาก 50–60% ของเด็ก ๆ ที่ได้รับวัคซีนในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เป็นมากกว่า 90% ในปัจจุบัน) ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เด็กจะได้รับอะลูมิเนียมจากวัคซีน 1,250 ไมโครกรัมภายในอายุ 18 เดือนหากได้รับวัคซีนครบถ้วน ปัจจุบัน ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 4,925 ไมโครกรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าจากปริมาณอะลูมิเนียมทั้งหมด คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในผลการศึกษาที่ยอดเยี่ยม ซึ่งตีพิมพ์โดย Neil Miller ที่น่าประหลาดใจก็คือ อะลูมิเนียมไม่เคยผ่านการทดสอบทางชีวภาพเพื่อพิจารณาถึงความปลอดภัยในการฉีดเข้าไปในทารก เนื่องจากอะลูมิเนียมได้รับการ "ยกเว้น" ไว้ในมาตรฐานความปลอดภัยสมัยใหม่ของเรา นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดา ดร. คริส ชอว์ และ ดร. ลูซิจา ทอมเยโนวิช ได้กล่าวถึงการละเว้นนี้ในการศึกษาวิจัยเชิงวิจารณ์ที่พวกเขาตีพิมพ์ในปี 2011 ในวารสารCurrent Medicinal Chemistryชื่อว่า “ สารเสริมฤทธิ์วัคซีนอะลูมิเนียม: ปลอดภัยหรือไม่ ” พวกเขาเขียนว่า: “อะลูมิเนียมเป็นสารพิษต่อระบบประสาทที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการทดลองและเป็นสารเสริมฤทธิ์วัคซีนที่ใช้กันทั่วไป แม้ว่าจะมีการใช้สารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมอย่างแพร่หลายมานานเกือบ 90 ปีแล้ว แต่ความเข้าใจของวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ของสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมยังคงต่ำอย่างน่าตกใจนอกจากนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับพิษวิทยาและเภสัชจลนศาสตร์ของสารประกอบเหล่านี้อย่างขาดแคลน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล แม้จะเป็นเช่นนั้น แนวคิดที่ว่าอะลูมิเนียมในวัคซีนนั้นปลอดภัยก็ยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางอย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิงทดลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมมีศักยภาพในการทำให้เกิดความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันที่ร้ายแรงในมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อะลูมิเนียมในรูปแบบสารเสริมฤทธิ์มีความเสี่ยงต่อภูมิคุ้มกันตนเอง การอักเสบของสมองในระยะยาว และภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างกว้างขวางและรุนแรง” ICANตัดสินใจทดสอบความสามารถของ CDC และ NIH ในการผลิตงานวิจัยใดๆ เพื่อแสดงให้เห็นความปลอดภัยของสารเสริมฤทธิ์วัคซีนผ่านการฟ้องร้องภายใต้ FOIA ตอนนี้ฉันเดาว่าคุณคงรู้ว่าคดีจบลงอย่างไร... อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ “คำตอบของ CDC และ NIH ต่อคำร้องขอภายใต้พระราชบัญญัติเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล (FOIA) ของ ICAN เกี่ยวกับสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมเผยให้เห็นการยอมรับที่น่าตกตะลึง นั่นคือ พวกเขาไม่มีการศึกษาแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะสนับสนุนความปลอดภัยในการแนะนำให้ฉีดสารพิษต่อเซลล์และระบบประสาทนี้ซ้ำๆ เป็นส่วนหนึ่งของตารางการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กของ CDC”
    0 Comments 0 Shares 965 Views 0 Reviews
  • แผนการเล่นลับๆ ของบริษัทยาขนาดใหญ่: การเขียนบทความ ยาผีบอก ในวารสารทางการแพทย์ชั้นนำ เพื่อผลักดันยาอันตราย

    ถึงเวลาเผชิญหน้ากับความจริงแล้ว :- บริษัทยาขนาดใหญ่ ได้เข้ายึดครองระบบการแพทย์
    สิ่งที่คุณเคยเชื่อว่าคือวิทยาศาสตร์ สิ่งที่คุณเคยเชื่อว่าเป็น "ยา" เป็นเพียงภาพลวงตาที่สร้างขึ้น เพื่อให้คุณพึ่งพาผู้อื่น

    คำโกหก ยาผีบอก : บริษัทยาขนาดใหญ่ กำหนดชะตากรรมของคุณ

    บริษัทยาขนาดใหญ่ ไม่ได้แค่มีอิทธิพล ต่อวารสารทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังเขียนรายงานวิจัย ที่แพทย์ใช้ในการรักษาคุณอีกด้วย บทความที่ "ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ" เหล่านี้ เป็นเพียงบทความประชาสัมพันธ์ ที่โฆษณายาที่ทั้งไม่มีประสิทธิภาพ และมีอันตราย แพทย์กำลังจ่ายยาพิษเหล่านี้ โดยเชื่อว่ายาเหล่านี้ มีพื้นฐานมาจากวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง

    แต่ความจริงแล้ว ยาเหล่านี้ถูกคิดค้นขึ้นโดยทีมประชาสัมพันธ์ ของบริษัทยาขนาดใหญ่ ด้วยข้อมูลปลอม และผลลัพธ์ที่ทำให้เข้าใจผิด ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้กำไรพุ่งสูงขึ้น

    แพทย์ชั้นนำ ได้รับเงิน เพื่อสนับสนุนการโกหก

    บริษัทยาขนาดใหญ่ จ้างบริษัทภายนอก เพื่อสร้างงานวิจัยปลอมๆ จากนั้นจึงจ่ายเงิน ให้แพทย์ที่มีชื่อเสียง เพื่อใส่ชื่อของพวกเขา ลงไปในงานวิจัยนั้น “ผู้เขียน” เหล่านี้ไม่เคยได้เห็นข้อมูลเลย พวกเขาเพียงแค่หาเงินจากคำโกหก ที่ทำให้ชื่อ และบัญชีธนาคารของพวกเขาเต็มล้น วารสารอย่าง The Lancet และ NEJM ได้กลายเป็นโฆษก ของบริษัทยาขนาดใหญ่ โดยแต่งเติมโฆษณา ให้ดูเหมือนวิทยาศาสตร์

    คุณคือหนูทดลอง

    แพทย์ทั่วโลก อ่านงานวิจัยที่เขียนโดยคนอื่นเหล่านี้ และหลงเชื่อคำโกหก ทำให้ผู้ป่วยหลายล้านคน กลายเป็นหนูทดลองของบริษัทยาขนาดใหญ่ ยาเม็ดที่แพทย์ของคุณสั่งนั้น ขึ้นอยู่กับงานวิจัยที่แต่งขึ้น ผลข้างเคียงหรืออะไรก็ตามที่ซ่อนอยู่ ประสิทธิผลหรืออะไรก็ตาม ที่เป็นของปลอม และคุณต้องจ่ายเงินเพื่อการหลอกลวงนี้ ด้วยกระเป๋าสตางค์และสุขภาพของคุณ

    การคิดค้นโรคเพื่อผลกำไร

    มันไม่ได้หยุดอยู่แค่ยา บริษัทยาขนาดใหญ่ กำลังสร้างโรค เพื่อขายยาให้ได้มากขึ้น จากอาการขาสั่น ไปจนถึงโรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ อาการเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏขึ้นในทันใด แต่ถูกคิดค้นขึ้น เพื่อให้คุณกลายเป็นลูกค้าตลอดชีวิต ความรู้สึกปกติในปัจจุบัน กลายเป็น "ความผิดปกติ" ที่มีค่าใช้จ่าย และบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ ก็หากำไรจากสิ่งนี้ เมื่อผู้คนเริ่มพึ่งพายามากขึ้น

    จุดสิ้นสุด : การควบคุมประชากร

    นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของกำไรเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการควบคุมประชากรอีกด้วย เมื่อรัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ อยู่ข้างพวกเขา เป้าหมายสูงสุดของบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ คือประชากรที่เชื่อง และพึ่งพาผู้อื่น ยาที่เพิ่มมากขึ้น การยอมปฏิบัติตามมากขึ้น และการควบคุมที่มากขึ้น ด้วย =หนังสือเดินทางด้านสุขภาพดิจิทัล= และ "การบำบัด" โดยการตัดแต่งยีน พวกเขากำลังวางรากฐาน เพื่อออกแบบชีววิทยาของคุณ และกำหนดการเข้าถึงสังคมของคุณ

    การทุจริตของ FDA : ผู้ดูแลประตูถูกซื้อตัวไปแล้ว

    FDA ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องเรา กลับอยู่ในกระเป๋าของบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ ด้วยประตูที่หมุนเวียนไปมา ระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล และผู้บริหารบริษัทเวชภัณฑ์ พวกเขาอนุมัติยาอันตราย และเพิกเฉยต่อผลที่ตามมา เมื่อถึงเวลาที่ยาถูกดึงออก กำไรของบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ก็จะปลอดภัย ในขณะที่ผู้ป่วย ถูกทิ้งไว้เป็นความเสียหายทางอ้อม

    ความจริงขั้นสุดท้าย: หลุดพ้นจากการควบคุมของพวกเขา

    บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ ไม่ได้ต้องการรักษาคุณ พวกเขาต้องการครอบครองคุณ ยาทุกตัว งานวิจัยทุกกรณี โฆษณาทุกรายการ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ที่จะทำให้คุณกลายเป็นลูกค้า ที่ต้องพึ่งพาตลอดชีวิต จงตื่นขึ้น มองทะลุการหลอกลวงของพวกเขา ควบคุมสุขภาพของคุณ และปฏิเสธ =โซ่ตรวน= ที่บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ กำลังพยายามพันธนาการคุณอยู่

    ถึงเวลาที่จะหลุดพ้น และกลับมามีชีวิตของคุณอีกครั้ง
    แผนการเล่นลับๆ ของบริษัทยาขนาดใหญ่: การเขียนบทความ ยาผีบอก ในวารสารทางการแพทย์ชั้นนำ เพื่อผลักดันยาอันตราย ถึงเวลาเผชิญหน้ากับความจริงแล้ว :- บริษัทยาขนาดใหญ่ ได้เข้ายึดครองระบบการแพทย์ สิ่งที่คุณเคยเชื่อว่าคือวิทยาศาสตร์ สิ่งที่คุณเคยเชื่อว่าเป็น "ยา" เป็นเพียงภาพลวงตาที่สร้างขึ้น เพื่อให้คุณพึ่งพาผู้อื่น คำโกหก ยาผีบอก : บริษัทยาขนาดใหญ่ กำหนดชะตากรรมของคุณ บริษัทยาขนาดใหญ่ ไม่ได้แค่มีอิทธิพล ต่อวารสารทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังเขียนรายงานวิจัย ที่แพทย์ใช้ในการรักษาคุณอีกด้วย บทความที่ "ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ" เหล่านี้ เป็นเพียงบทความประชาสัมพันธ์ ที่โฆษณายาที่ทั้งไม่มีประสิทธิภาพ และมีอันตราย แพทย์กำลังจ่ายยาพิษเหล่านี้ โดยเชื่อว่ายาเหล่านี้ มีพื้นฐานมาจากวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง แต่ความจริงแล้ว ยาเหล่านี้ถูกคิดค้นขึ้นโดยทีมประชาสัมพันธ์ ของบริษัทยาขนาดใหญ่ ด้วยข้อมูลปลอม และผลลัพธ์ที่ทำให้เข้าใจผิด ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้กำไรพุ่งสูงขึ้น แพทย์ชั้นนำ ได้รับเงิน เพื่อสนับสนุนการโกหก บริษัทยาขนาดใหญ่ จ้างบริษัทภายนอก เพื่อสร้างงานวิจัยปลอมๆ จากนั้นจึงจ่ายเงิน ให้แพทย์ที่มีชื่อเสียง เพื่อใส่ชื่อของพวกเขา ลงไปในงานวิจัยนั้น “ผู้เขียน” เหล่านี้ไม่เคยได้เห็นข้อมูลเลย พวกเขาเพียงแค่หาเงินจากคำโกหก ที่ทำให้ชื่อ และบัญชีธนาคารของพวกเขาเต็มล้น วารสารอย่าง The Lancet และ NEJM ได้กลายเป็นโฆษก ของบริษัทยาขนาดใหญ่ โดยแต่งเติมโฆษณา ให้ดูเหมือนวิทยาศาสตร์ คุณคือหนูทดลอง 🐭 แพทย์ทั่วโลก อ่านงานวิจัยที่เขียนโดยคนอื่นเหล่านี้ และหลงเชื่อคำโกหก ทำให้ผู้ป่วยหลายล้านคน กลายเป็นหนูทดลองของบริษัทยาขนาดใหญ่ ยาเม็ดที่แพทย์ของคุณสั่งนั้น ขึ้นอยู่กับงานวิจัยที่แต่งขึ้น ผลข้างเคียงหรืออะไรก็ตามที่ซ่อนอยู่ ประสิทธิผลหรืออะไรก็ตาม ที่เป็นของปลอม และคุณต้องจ่ายเงินเพื่อการหลอกลวงนี้ ด้วยกระเป๋าสตางค์และสุขภาพของคุณ การคิดค้นโรคเพื่อผลกำไร มันไม่ได้หยุดอยู่แค่ยา บริษัทยาขนาดใหญ่ กำลังสร้างโรค เพื่อขายยาให้ได้มากขึ้น จากอาการขาสั่น ไปจนถึงโรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ อาการเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏขึ้นในทันใด แต่ถูกคิดค้นขึ้น เพื่อให้คุณกลายเป็นลูกค้าตลอดชีวิต ความรู้สึกปกติในปัจจุบัน กลายเป็น "ความผิดปกติ" ที่มีค่าใช้จ่าย และบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ ก็หากำไรจากสิ่งนี้ เมื่อผู้คนเริ่มพึ่งพายามากขึ้น จุดสิ้นสุด : การควบคุมประชากร นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของกำไรเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการควบคุมประชากรอีกด้วย เมื่อรัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ อยู่ข้างพวกเขา เป้าหมายสูงสุดของบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ คือประชากรที่เชื่อง และพึ่งพาผู้อื่น ยาที่เพิ่มมากขึ้น การยอมปฏิบัติตามมากขึ้น และการควบคุมที่มากขึ้น ด้วย =หนังสือเดินทางด้านสุขภาพดิจิทัล= และ "การบำบัด" โดยการตัดแต่งยีน พวกเขากำลังวางรากฐาน เพื่อออกแบบชีววิทยาของคุณ และกำหนดการเข้าถึงสังคมของคุณ การทุจริตของ FDA : ผู้ดูแลประตูถูกซื้อตัวไปแล้ว FDA ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องเรา กลับอยู่ในกระเป๋าของบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ ด้วยประตูที่หมุนเวียนไปมา ระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล และผู้บริหารบริษัทเวชภัณฑ์ พวกเขาอนุมัติยาอันตราย และเพิกเฉยต่อผลที่ตามมา เมื่อถึงเวลาที่ยาถูกดึงออก กำไรของบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ก็จะปลอดภัย ในขณะที่ผู้ป่วย ถูกทิ้งไว้เป็นความเสียหายทางอ้อม ความจริงขั้นสุดท้าย: หลุดพ้นจากการควบคุมของพวกเขา บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ ไม่ได้ต้องการรักษาคุณ พวกเขาต้องการครอบครองคุณ ยาทุกตัว งานวิจัยทุกกรณี โฆษณาทุกรายการ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ที่จะทำให้คุณกลายเป็นลูกค้า ที่ต้องพึ่งพาตลอดชีวิต จงตื่นขึ้น มองทะลุการหลอกลวงของพวกเขา ควบคุมสุขภาพของคุณ และปฏิเสธ =โซ่ตรวน= ที่บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ กำลังพยายามพันธนาการคุณอยู่ ถึงเวลาที่จะหลุดพ้น และกลับมามีชีวิตของคุณอีกครั้ง
    Like
    11
    0 Comments 6 Shares 1497 Views 1 Reviews
More Results