• ♣ จินตนาการไม่ออกเลย ว่าตอนฝนตกหนัก ขนของหนีน้ำ น้ำท่วมบ้าน โดนตัดน้ำตัดไฟ ไร้สัญญาณเน็ต จะมานั่งรับโทรศัพท์ตอบแบบสำรวจยังไง
    #7ดอกจิก
    ♣ จินตนาการไม่ออกเลย ว่าตอนฝนตกหนัก ขนของหนีน้ำ น้ำท่วมบ้าน โดนตัดน้ำตัดไฟ ไร้สัญญาณเน็ต จะมานั่งรับโทรศัพท์ตอบแบบสำรวจยังไง #7ดอกจิก
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • เกมเมอร์สุดแหวกแนว เล่น Minecraft ผ่านเครื่องพิมพ์ใบเสร็จ

    ในโลกของเกมเมอร์ที่ชอบทดลองสิ่งใหม่ ๆ เรามักเห็นการเล่นเกมบนอุปกรณ์ที่ไม่คาดคิด ล่าสุด YouTuber ชื่อ Smilly ได้สร้างกระแสด้วยการเล่น Minecraft ผ่านเครื่องพิมพ์ใบเสร็จแทนหน้าจอคอมพิวเตอร์ปกติ ภาพที่ได้ออกมาเป็นขาวดำคมจัด และอัปเดตช้ามากเพียง 0.5 เฟรมต่อวินาที ทำให้การเล่นเต็มไปด้วยความท้าทายและความขำขันในเวลาเดียวกัน

    แม้เครื่องพิมพ์จะสามารถพิมพ์ภาพออกมาได้รวดเร็ว แต่ปัญหาหลักคือการแสดงผลที่มีความคมชัดสูงจนทำให้รายละเอียดในเกมหายไปเกือบหมด ผู้เล่นต้องอาศัยเสียงและจินตนาการเพื่อเดาว่าตัวละครกำลังทำอะไรอยู่ เช่น การเปิดอินเวนทอรีที่กลายเป็นเพียงเงามัว ๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นไอเท็มใด

    การทดลองเช่นนี้สะท้อนวัฒนธรรมของเกมเมอร์ที่ชอบ “ผลักขอบเขต” ของเทคโนโลยี ไม่ใช่เพียงเพื่อความจำเป็น แต่เพื่อความสนุกและการสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่าง ตัวอย่างก่อนหน้านี้ก็มีการเล่น Battlefield 6 บนหน้าจอเล็ก ๆ ของชุดระบายความร้อน CPU หรือการทำให้ Doom รันบนอุปกรณ์แปลก ๆ อย่างเครื่องตรวจครรภ์และคีย์บอร์ด

    นอกจากความบันเทิงแล้ว เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์และการทดลองที่ไม่หยุดนิ่งในวงการเกมและเทคโนโลยี ซึ่งแม้จะไม่ใช่วิธีการเล่นที่สะดวก แต่ก็สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมองเห็นว่าเกมสามารถถูกนำเสนอในรูปแบบที่ไม่จำกัดอยู่แค่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเล่นเกมบนเครื่องพิมพ์ใบเสร็จ
    ภาพขาวดำคมจัด อัปเดตช้าเพียง 0.5 FPS
    ผู้เล่นต้องอาศัยเสียงและจินตนาการแทนการมองเห็น

    วัฒนธรรมการผลักขอบเขตของเกมเมอร์
    เคยมีการเล่น Battlefield 6 บนหน้าจอเล็กของชุดระบายความร้อน CPU
    Doom ถูกทำให้รันบนอุปกรณ์แปลก ๆ เช่น เครื่องตรวจครรภ์

    ความคิดสร้างสรรค์และการทดลองในวงการเกม
    ไม่ได้มุ่งเน้นความสะดวก แต่เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่างและสนุกสนาน

    ข้อจำกัดและความเสี่ยงในการเล่นเกมแบบนี้
    ภาพไม่ชัดเจน อาจทำให้เล่นไม่ได้จริง
    อุปกรณ์ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการเล่นเกม อาจเสื่อมสภาพเร็ว

    https://www.tomshardware.com/video-games/crazed-gamer-plays-minecraft-using-a-receipt-printer-as-a-display-crippling-frames-per-second-not-even-the-biggest-drawback
    🖨️ เกมเมอร์สุดแหวกแนว เล่น Minecraft ผ่านเครื่องพิมพ์ใบเสร็จ ในโลกของเกมเมอร์ที่ชอบทดลองสิ่งใหม่ ๆ เรามักเห็นการเล่นเกมบนอุปกรณ์ที่ไม่คาดคิด ล่าสุด YouTuber ชื่อ Smilly ได้สร้างกระแสด้วยการเล่น Minecraft ผ่านเครื่องพิมพ์ใบเสร็จแทนหน้าจอคอมพิวเตอร์ปกติ ภาพที่ได้ออกมาเป็นขาวดำคมจัด และอัปเดตช้ามากเพียง 0.5 เฟรมต่อวินาที ทำให้การเล่นเต็มไปด้วยความท้าทายและความขำขันในเวลาเดียวกัน แม้เครื่องพิมพ์จะสามารถพิมพ์ภาพออกมาได้รวดเร็ว แต่ปัญหาหลักคือการแสดงผลที่มีความคมชัดสูงจนทำให้รายละเอียดในเกมหายไปเกือบหมด ผู้เล่นต้องอาศัยเสียงและจินตนาการเพื่อเดาว่าตัวละครกำลังทำอะไรอยู่ เช่น การเปิดอินเวนทอรีที่กลายเป็นเพียงเงามัว ๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นไอเท็มใด การทดลองเช่นนี้สะท้อนวัฒนธรรมของเกมเมอร์ที่ชอบ “ผลักขอบเขต” ของเทคโนโลยี ไม่ใช่เพียงเพื่อความจำเป็น แต่เพื่อความสนุกและการสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่าง ตัวอย่างก่อนหน้านี้ก็มีการเล่น Battlefield 6 บนหน้าจอเล็ก ๆ ของชุดระบายความร้อน CPU หรือการทำให้ Doom รันบนอุปกรณ์แปลก ๆ อย่างเครื่องตรวจครรภ์และคีย์บอร์ด นอกจากความบันเทิงแล้ว เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์และการทดลองที่ไม่หยุดนิ่งในวงการเกมและเทคโนโลยี ซึ่งแม้จะไม่ใช่วิธีการเล่นที่สะดวก แต่ก็สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมองเห็นว่าเกมสามารถถูกนำเสนอในรูปแบบที่ไม่จำกัดอยู่แค่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเล่นเกมบนเครื่องพิมพ์ใบเสร็จ ➡️ ภาพขาวดำคมจัด อัปเดตช้าเพียง 0.5 FPS ➡️ ผู้เล่นต้องอาศัยเสียงและจินตนาการแทนการมองเห็น ✅ วัฒนธรรมการผลักขอบเขตของเกมเมอร์ ➡️ เคยมีการเล่น Battlefield 6 บนหน้าจอเล็กของชุดระบายความร้อน CPU ➡️ Doom ถูกทำให้รันบนอุปกรณ์แปลก ๆ เช่น เครื่องตรวจครรภ์ ✅ ความคิดสร้างสรรค์และการทดลองในวงการเกม ➡️ ไม่ได้มุ่งเน้นความสะดวก แต่เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่างและสนุกสนาน ‼️ ข้อจำกัดและความเสี่ยงในการเล่นเกมแบบนี้ ⛔ ภาพไม่ชัดเจน อาจทำให้เล่นไม่ได้จริง ⛔ อุปกรณ์ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการเล่นเกม อาจเสื่อมสภาพเร็ว https://www.tomshardware.com/video-games/crazed-gamer-plays-minecraft-using-a-receipt-printer-as-a-display-crippling-frames-per-second-not-even-the-biggest-drawback
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • Pichai มองอนาคต Quantum Computing

    Sundar Pichai กล่าวในพอดแคสต์ Google AI: Release Notes ว่าโลกจะรู้สึกถึง “ความตื่นเต้นหายใจไม่ทั่วท้อง” (breathless excitement) เกี่ยวกับ Quantum Computing ภายใน 5 ปีข้างหน้า เขาเปรียบเทียบกับกระแส AI ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยมองว่า Quantum Computing จะเป็น Next Paradigm Shift ที่ต่อยอดจากความสำเร็จของ AI

    เขาย้อนเล่าถึงการวางกลยุทธ์ AI-first ตั้งแต่ปี 2016 ที่เริ่มจากงานวิจัย Google Brain และการเข้าซื้อกิจการ DeepMind ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะของ AlphaGo และการเปิดตัว Tensor Processing Unit (TPU) รุ่นแรกในปีเดียวกัน

    Gemini 3 และ Nano Banana Pro
    Pichai กล่าวถึงการเปิดตัว Gemini 3 และ Nano Banana Pro ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์งานได้ตามจินตนาการ โดยเฉพาะ Nano Banana Pro ที่โดดเด่นในการสร้าง Infographics และงานภาพเชิงข้อมูล เขายังคาดหวังว่า Gemini 3.0 Flash จะเป็นโมเดลที่ดีที่สุดของ Google และช่วยให้บริการ AI เข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้างมากขึ้น

    Project Suncatcher และ Data Center ในอวกาศ
    อีกหนึ่งไฮไลต์คือการพูดถึง Project Suncatcher ซึ่งเป็นแผนการสร้าง Data Center ในอวกาศภายในปี 2027 เพื่อรองรับความต้องการพลังประมวลผลมหาศาลในอนาคต Pichai มองว่าแนวคิดนี้แม้ดูเหนือจริง แต่ก็สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาถึงความต้องการด้านคอมพิวเตอร์ในอนาคต เขายังหยอกล้อว่า TPU ในอวกาศอาจเจอกับ Tesla Roadster ที่ลอยอยู่ในวงโคจร

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Pichai คาดการณ์ Quantum Computing จะสร้างความตื่นเต้นภายใน 5 ปี
    เปรียบเทียบกับกระแส AI ในปัจจุบัน
    มองว่าเป็น Paradigm Shift ถัดไป

    Google AI-first Strategy ตั้งแต่ปี 2016
    เริ่มจาก Google Brain และ DeepMind
    เปิดตัว TPU รุ่นแรกในปีเดียวกัน

    Gemini 3 และ Nano Banana Pro เปิดตัวแล้ว
    Nano Banana Pro เด่นด้าน Infographics
    Gemini 3.0 Flash อาจเป็นโมเดลที่ดีที่สุด

    Project Suncatcher: Data Center ในอวกาศปี 2027
    รองรับความต้องการพลังประมวลผลอนาคต
    แนวคิดแม้ดูเหนือจริงแต่มีเหตุผล

    คำเตือนสำหรับผู้ติดตามเทคโนโลยี
    Quantum Computing ยังอยู่ในระยะวิจัย ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ทันที
    Project Suncatcher ยังเป็นแผนการทดลอง อาจมีความเสี่ยงด้านต้นทุนและเทคโนโลยี

    https://securityonline.info/pichai-forecast-quantum-computing-will-reach-breathless-excitement-in-five-years/
    🔮 Pichai มองอนาคต Quantum Computing Sundar Pichai กล่าวในพอดแคสต์ Google AI: Release Notes ว่าโลกจะรู้สึกถึง “ความตื่นเต้นหายใจไม่ทั่วท้อง” (breathless excitement) เกี่ยวกับ Quantum Computing ภายใน 5 ปีข้างหน้า เขาเปรียบเทียบกับกระแส AI ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยมองว่า Quantum Computing จะเป็น Next Paradigm Shift ที่ต่อยอดจากความสำเร็จของ AI เขาย้อนเล่าถึงการวางกลยุทธ์ AI-first ตั้งแต่ปี 2016 ที่เริ่มจากงานวิจัย Google Brain และการเข้าซื้อกิจการ DeepMind ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะของ AlphaGo และการเปิดตัว Tensor Processing Unit (TPU) รุ่นแรกในปีเดียวกัน 🚀 Gemini 3 และ Nano Banana Pro Pichai กล่าวถึงการเปิดตัว Gemini 3 และ Nano Banana Pro ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์งานได้ตามจินตนาการ โดยเฉพาะ Nano Banana Pro ที่โดดเด่นในการสร้าง Infographics และงานภาพเชิงข้อมูล เขายังคาดหวังว่า Gemini 3.0 Flash จะเป็นโมเดลที่ดีที่สุดของ Google และช่วยให้บริการ AI เข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้างมากขึ้น 🌌 Project Suncatcher และ Data Center ในอวกาศ อีกหนึ่งไฮไลต์คือการพูดถึง Project Suncatcher ซึ่งเป็นแผนการสร้าง Data Center ในอวกาศภายในปี 2027 เพื่อรองรับความต้องการพลังประมวลผลมหาศาลในอนาคต Pichai มองว่าแนวคิดนี้แม้ดูเหนือจริง แต่ก็สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาถึงความต้องการด้านคอมพิวเตอร์ในอนาคต เขายังหยอกล้อว่า TPU ในอวกาศอาจเจอกับ Tesla Roadster ที่ลอยอยู่ในวงโคจร 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Pichai คาดการณ์ Quantum Computing จะสร้างความตื่นเต้นภายใน 5 ปี ➡️ เปรียบเทียบกับกระแส AI ในปัจจุบัน ➡️ มองว่าเป็น Paradigm Shift ถัดไป ✅ Google AI-first Strategy ตั้งแต่ปี 2016 ➡️ เริ่มจาก Google Brain และ DeepMind ➡️ เปิดตัว TPU รุ่นแรกในปีเดียวกัน ✅ Gemini 3 และ Nano Banana Pro เปิดตัวแล้ว ➡️ Nano Banana Pro เด่นด้าน Infographics ➡️ Gemini 3.0 Flash อาจเป็นโมเดลที่ดีที่สุด ✅ Project Suncatcher: Data Center ในอวกาศปี 2027 ➡️ รองรับความต้องการพลังประมวลผลอนาคต ➡️ แนวคิดแม้ดูเหนือจริงแต่มีเหตุผล ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ติดตามเทคโนโลยี ⛔ Quantum Computing ยังอยู่ในระยะวิจัย ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ทันที ⛔ Project Suncatcher ยังเป็นแผนการทดลอง อาจมีความเสี่ยงด้านต้นทุนและเทคโนโลยี https://securityonline.info/pichai-forecast-quantum-computing-will-reach-breathless-excitement-in-five-years/
    SECURITYONLINE.INFO
    Pichai Forecast: Quantum Computing Will Reach 'Breathless Excitement' in Five Years
    Google CEO Sundar Pichai forecasts quantum computing will match today's AI excitement in 5 years. He also touched on Gemini 3's success and Project Suncatcher (space data centers).
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.33

    ในทางกฎหมายและธุรกิจ คำว่า "นิติบุคคล" เป็นแนวคิดพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่คนทั่วไปมักจะเข้าใจเพียงผิวเผิน นิติบุคคลนั้นสามารถนิยามได้อย่างกระชับและทรงพลัง นั่นคือ องค์กรที่มีสถานะทางกฎหมายเหมือนบุคคล การเปรียบเทียบนี้ไม่ได้เป็นเพียงสำนวนโวหาร แต่เป็นการมอบสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบทางกฎหมายให้กับกลุ่มบุคคลหรือทรัพย์สินที่รวมกันเป็นหน่วยงานเดียว ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทย นิติบุคคลถือเป็น "บุคคล" ประเภทหนึ่งนอกเหนือจากบุคคลธรรมดา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อนเกินกว่าขีดความสามารถของปัจเจกชน ตัวอย่างที่ชัดเจนและพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือ "บริษัทจำกัด" ซึ่งเป็นรูปแบบทางธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากให้ข้อได้เปรียบที่สำคัญหลายประการ การเกิดขึ้นของนิติบุคคลนั้นมีรากฐานมาจากหลักการที่ว่า เพื่อให้การดำเนินงานขนาดใหญ่มีความมั่นคงและต่อเนื่อง จำเป็นต้องแยกสถานะของกิจการออกจากสถานะส่วนตัวของผู้ก่อตั้งหรือผู้ถือหุ้น นิติบุคคลจึงมีทรัพย์สินเป็นของตนเอง มีหนี้สินเป็นของตนเอง สามารถเข้าทำสัญญา ฟ้องร้อง หรือถูกฟ้องร้องในนามขององค์กรได้ ซึ่งเป็นหลักการที่เรียกว่า "การแยกทรัพย์สิน" หรือ "Separate Legal Personality" หลักการนี้ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดได้รับความคุ้มครองที่เรียกว่า "ความรับผิดจำกัด" (Limited Liability) นั่นคือความรับผิดของพวกเขาจะถูกจำกัดอยู่เพียงแค่จำนวนเงินค่าหุ้นที่ยังชำระไม่ครบเท่านั้น หากบริษัทเกิดปัญหาล้มละลายหรือมีหนี้สินมหาศาล เจ้าหนี้จะสามารถเรียกร้องได้เพียงแค่ทรัพย์สินของบริษัทเท่านั้น จะไม่สามารถลุกลามไปยึดทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นได้ เว้นแต่จะมีกรณีที่ศาลพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้สถานะนิติบุคคลไปในทางที่ทุจริตหรือมิชอบด้วยกฎหมาย นอกเหนือจากบริษัทจำกัดแล้ว นิติบุคคลยังครอบคลุมไปถึงรูปแบบองค์กรอื่นๆ อีกมากมาย เช่น มูลนิธิ สมาคม ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่ได้จดทะเบียน ตลอดจนหน่วยงานของรัฐบางประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายเฉพาะที่ใช้กำกับดูแลแตกต่างกันไป แต่หลักการพื้นฐานที่ว่ามี "สถานะทางกฎหมายเหมือนบุคคล" นั้นยังคงเป็นแก่นเดียวกัน กล่าวคือ พวกเขาสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นอิสระ มีอายุยืนยาวกว่าผู้ก่อตั้ง สามารถสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายกับบุคคลภายนอกได้ และที่สำคัญที่สุดคือ สามารถเป็นเจ้าของสิทธิและต้องรับผิดชอบตามกฎหมายได้อย่างสมบูรณ์

    หลักการแยกสถานะนี้เองที่ทำให้นิติบุคคลกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสมัยใหม่ ลองจินตนาการถึงการลงทุนขนาดใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลก หากไม่มีรูปแบบนิติบุคคลที่ให้ความรับผิดจำกัด ใครเล่าจะกล้าเสี่ยงนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองมาลงทุนในกิจการที่มีความไม่แน่นอนสูง นิติบุคคลจึงช่วยกระจายความเสี่ยงและดึงดูดเงินทุนจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรม อย่างไรก็ตาม การได้รับสถานะเป็นบุคคลตามกฎหมายนั้นมาพร้อมกับภาระหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นิติบุคคลมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายภาษี กฎหมายแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง การดำเนินงานต้องโปร่งใสและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้จดทะเบียนไว้กับหน่วยงานราชการ หากนิติบุคคลใดกระทำการนอกเหนืออำนาจหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ การกระทำนั้นอาจตกเป็นโมฆะหรือมีผลผูกพันเพียงบางส่วน การบริหารจัดการนิติบุคคลจึงต้องอาศัยคณะบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทน เช่น กรรมการบริษัท ซึ่งผู้แทนเหล่านี้ต้องกระทำการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรอบคอบเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของนิติบุคคลเป็นสำคัญ หากกรรมการกระทำการโดยประมาทเลินเล่อหรือทุจริตจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่นิติบุคคลหรือบุคคลภายนอก กรรมการเหล่านั้นอาจต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและทางอาญาด้วยตนเอง ดังนั้น การใช้เครื่องมือทางกฎหมายที่เรียกว่านิติบุคคลนี้จึงต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงทั้งสิทธิที่ได้รับและความรับผิดชอบที่ตามมา การดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นคงให้กับองค์กร ขณะที่การละเลยข้อกำหนดทางกฎหมายอาจนำไปสู่ปัญหาทางคดีและการล่มสลายของกิจการได้

    โดยสรุปแล้ว นิติบุคคลไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเรียกขององค์กร แต่เป็นโครงสร้างทางกฎหมายที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง มันคือการสร้าง "บุคคลเทียม" ขึ้นมาเพื่อรองรับการทำธุรกรรมขนาดใหญ่และลดความเสี่ยงส่วนตัวของผู้ประกอบการ นิติบุคคลมอบโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งและความยั่งยืนให้กับกิจการผ่านหลักการความรับผิดจำกัดและการมีอยู่ที่เป็นอิสระ แต่ในทางกลับกัน มันก็เรียกร้องความรับผิดชอบในระดับเดียวกับบุคคลธรรมดาในการปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ ความเข้าใจที่ถ่องแท้ในสถานะทางกฎหมายและผลที่ตามมาของการเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจอย่างมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน การบริหารนิติบุคคลอย่างมีธรรมาภิบาลและการยึดมั่นในกรอบกฎหมายคือกุญแจสำคัญที่ทำให้องค์กรเหล่านี้สามารถใช้สิทธิอำนาจเทียบเท่าบุคคลได้อย่างเต็มที่และเป็นธรรมในสังคม
    บทความกฎหมาย EP.33 ในทางกฎหมายและธุรกิจ คำว่า "นิติบุคคล" เป็นแนวคิดพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่คนทั่วไปมักจะเข้าใจเพียงผิวเผิน นิติบุคคลนั้นสามารถนิยามได้อย่างกระชับและทรงพลัง นั่นคือ องค์กรที่มีสถานะทางกฎหมายเหมือนบุคคล การเปรียบเทียบนี้ไม่ได้เป็นเพียงสำนวนโวหาร แต่เป็นการมอบสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบทางกฎหมายให้กับกลุ่มบุคคลหรือทรัพย์สินที่รวมกันเป็นหน่วยงานเดียว ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทย นิติบุคคลถือเป็น "บุคคล" ประเภทหนึ่งนอกเหนือจากบุคคลธรรมดา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อนเกินกว่าขีดความสามารถของปัจเจกชน ตัวอย่างที่ชัดเจนและพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือ "บริษัทจำกัด" ซึ่งเป็นรูปแบบทางธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากให้ข้อได้เปรียบที่สำคัญหลายประการ การเกิดขึ้นของนิติบุคคลนั้นมีรากฐานมาจากหลักการที่ว่า เพื่อให้การดำเนินงานขนาดใหญ่มีความมั่นคงและต่อเนื่อง จำเป็นต้องแยกสถานะของกิจการออกจากสถานะส่วนตัวของผู้ก่อตั้งหรือผู้ถือหุ้น นิติบุคคลจึงมีทรัพย์สินเป็นของตนเอง มีหนี้สินเป็นของตนเอง สามารถเข้าทำสัญญา ฟ้องร้อง หรือถูกฟ้องร้องในนามขององค์กรได้ ซึ่งเป็นหลักการที่เรียกว่า "การแยกทรัพย์สิน" หรือ "Separate Legal Personality" หลักการนี้ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดได้รับความคุ้มครองที่เรียกว่า "ความรับผิดจำกัด" (Limited Liability) นั่นคือความรับผิดของพวกเขาจะถูกจำกัดอยู่เพียงแค่จำนวนเงินค่าหุ้นที่ยังชำระไม่ครบเท่านั้น หากบริษัทเกิดปัญหาล้มละลายหรือมีหนี้สินมหาศาล เจ้าหนี้จะสามารถเรียกร้องได้เพียงแค่ทรัพย์สินของบริษัทเท่านั้น จะไม่สามารถลุกลามไปยึดทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นได้ เว้นแต่จะมีกรณีที่ศาลพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้สถานะนิติบุคคลไปในทางที่ทุจริตหรือมิชอบด้วยกฎหมาย นอกเหนือจากบริษัทจำกัดแล้ว นิติบุคคลยังครอบคลุมไปถึงรูปแบบองค์กรอื่นๆ อีกมากมาย เช่น มูลนิธิ สมาคม ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่ได้จดทะเบียน ตลอดจนหน่วยงานของรัฐบางประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายเฉพาะที่ใช้กำกับดูแลแตกต่างกันไป แต่หลักการพื้นฐานที่ว่ามี "สถานะทางกฎหมายเหมือนบุคคล" นั้นยังคงเป็นแก่นเดียวกัน กล่าวคือ พวกเขาสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นอิสระ มีอายุยืนยาวกว่าผู้ก่อตั้ง สามารถสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายกับบุคคลภายนอกได้ และที่สำคัญที่สุดคือ สามารถเป็นเจ้าของสิทธิและต้องรับผิดชอบตามกฎหมายได้อย่างสมบูรณ์ หลักการแยกสถานะนี้เองที่ทำให้นิติบุคคลกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสมัยใหม่ ลองจินตนาการถึงการลงทุนขนาดใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลก หากไม่มีรูปแบบนิติบุคคลที่ให้ความรับผิดจำกัด ใครเล่าจะกล้าเสี่ยงนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองมาลงทุนในกิจการที่มีความไม่แน่นอนสูง นิติบุคคลจึงช่วยกระจายความเสี่ยงและดึงดูดเงินทุนจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรม อย่างไรก็ตาม การได้รับสถานะเป็นบุคคลตามกฎหมายนั้นมาพร้อมกับภาระหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นิติบุคคลมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายภาษี กฎหมายแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง การดำเนินงานต้องโปร่งใสและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้จดทะเบียนไว้กับหน่วยงานราชการ หากนิติบุคคลใดกระทำการนอกเหนืออำนาจหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ การกระทำนั้นอาจตกเป็นโมฆะหรือมีผลผูกพันเพียงบางส่วน การบริหารจัดการนิติบุคคลจึงต้องอาศัยคณะบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทน เช่น กรรมการบริษัท ซึ่งผู้แทนเหล่านี้ต้องกระทำการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรอบคอบเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของนิติบุคคลเป็นสำคัญ หากกรรมการกระทำการโดยประมาทเลินเล่อหรือทุจริตจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่นิติบุคคลหรือบุคคลภายนอก กรรมการเหล่านั้นอาจต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและทางอาญาด้วยตนเอง ดังนั้น การใช้เครื่องมือทางกฎหมายที่เรียกว่านิติบุคคลนี้จึงต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงทั้งสิทธิที่ได้รับและความรับผิดชอบที่ตามมา การดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นคงให้กับองค์กร ขณะที่การละเลยข้อกำหนดทางกฎหมายอาจนำไปสู่ปัญหาทางคดีและการล่มสลายของกิจการได้ โดยสรุปแล้ว นิติบุคคลไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเรียกขององค์กร แต่เป็นโครงสร้างทางกฎหมายที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง มันคือการสร้าง "บุคคลเทียม" ขึ้นมาเพื่อรองรับการทำธุรกรรมขนาดใหญ่และลดความเสี่ยงส่วนตัวของผู้ประกอบการ นิติบุคคลมอบโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งและความยั่งยืนให้กับกิจการผ่านหลักการความรับผิดจำกัดและการมีอยู่ที่เป็นอิสระ แต่ในทางกลับกัน มันก็เรียกร้องความรับผิดชอบในระดับเดียวกับบุคคลธรรมดาในการปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ ความเข้าใจที่ถ่องแท้ในสถานะทางกฎหมายและผลที่ตามมาของการเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจอย่างมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน การบริหารนิติบุคคลอย่างมีธรรมาภิบาลและการยึดมั่นในกรอบกฎหมายคือกุญแจสำคัญที่ทำให้องค์กรเหล่านี้สามารถใช้สิทธิอำนาจเทียบเท่าบุคคลได้อย่างเต็มที่และเป็นธรรมในสังคม
    0 Comments 0 Shares 321 Views 0 Reviews
  • ตำนานเกมข้อความ Zork เปิดซอร์สโค้ด

    เกม Zork ถือเป็นหนึ่งในเกมแนว interactive fiction ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคแรกๆ ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มันสร้างโลกด้วย "ตัวหนังสือ" แทนภาพกราฟิก และใช้จินตนาการของผู้เล่นเป็นเครื่องมือหลักในการเล่น จุดเด่นคือการใช้ Z-Machine ซึ่งเป็น virtual machine ที่ทำให้เกมสามารถรันได้บนหลายแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเขียนใหม่ทั้งหมด

    การอนุรักษ์และการศึกษา
    Microsoft Open Source Programs Office (OSPO) ได้ร่วมมือกับนักอนุรักษ์ดิจิทัลชื่อดัง Jason Scott และ Internet Archive เพื่อส่งซอร์สโค้ด Zork I–III เข้าสู่ repository ประวัติศาสตร์ พร้อมเพิ่ม MIT License และเอกสารประกอบที่มีอยู่ การเปิดซอร์สครั้งนี้ไม่ได้มุ่งหวังการพัฒนาเชิงพาณิชย์ แต่เพื่อให้ นักเรียน นักวิจัย และนักพัฒนา สามารถศึกษาโครงสร้างและวิธีคิดของวิศวกรยุคแรก

    เล่น Zork ได้ง่ายขึ้นในยุคปัจจุบัน
    แม้จะผ่านมากว่า 40 ปี เกม Zork ยังสามารถเล่นได้ทั้งในเชิงพาณิชย์ผ่าน The Zork Anthology บน Good Old Games หรือคอมไพล์ซอร์สโค้ดด้วยเครื่องมืออย่าง ZILF และรันผ่าน interpreter เช่น Windows Frotz หรือ Fic ที่เขียนด้วย Python สิ่งนี้สะท้อนว่าเกมคลาสสิกยังคงมีชีวิตและสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

    ความหมายต่อวงการเกมและโอเพนซอร์ส
    การเปิดซอร์สโค้ด Zork ไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์ แต่ยังเป็นการย้ำเตือนว่า จินตนาการและวิศวกรรม สามารถสร้างสิ่งที่ยืนยาวกว่าฮาร์ดแวร์หรือกราฟิกที่ล้าสมัย มันเป็นการเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จากโค้ดจริงของเกมที่เคยเปลี่ยนโลก และยังเป็นการขอบคุณทีมผู้สร้าง Infocom ที่วางรากฐานให้วงการเกมเชิงเนื้อเรื่อง

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การเปิดซอร์สโค้ด Zork I–III
    ใช้ MIT License เพื่อให้ศึกษาและพัฒนาได้อย่างเสรี

    ความสำคัญของ Z-Machine
    ทำให้เกมสามารถรันได้บนหลายแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเขียนใหม่

    การเข้าถึงเกมในปัจจุบัน
    เล่นผ่าน Good Old Games หรือคอมไพล์ด้วย ZILF และ interpreter

    ความร่วมมือเพื่อการอนุรักษ์
    Microsoft OSPO และ Jason Scott ส่งซอร์สโค้ดเข้าสู่ repository ประวัติศาสตร์

    ความเสี่ยงด้านสิทธิ์เชิงพาณิชย์
    การเปิดซอร์สไม่รวมสิทธิ์ทางการตลาดหรือเครื่องหมายการค้า
    ความท้าทายในการศึกษาโค้ดเก่า
    โครงสร้างและภาษาโปรแกรมอาจซับซ้อนสำหรับผู้เรียนรุ่นใหม่

    https://opensource.microsoft.com/blog/2025/11/20/preserving-code-that-shaped-generations-zork-i-ii-and-iii-go-open-source
    🕹️ ตำนานเกมข้อความ Zork เปิดซอร์สโค้ด เกม Zork ถือเป็นหนึ่งในเกมแนว interactive fiction ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคแรกๆ ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มันสร้างโลกด้วย "ตัวหนังสือ" แทนภาพกราฟิก และใช้จินตนาการของผู้เล่นเป็นเครื่องมือหลักในการเล่น จุดเด่นคือการใช้ Z-Machine ซึ่งเป็น virtual machine ที่ทำให้เกมสามารถรันได้บนหลายแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเขียนใหม่ทั้งหมด 📚 การอนุรักษ์และการศึกษา Microsoft Open Source Programs Office (OSPO) ได้ร่วมมือกับนักอนุรักษ์ดิจิทัลชื่อดัง Jason Scott และ Internet Archive เพื่อส่งซอร์สโค้ด Zork I–III เข้าสู่ repository ประวัติศาสตร์ พร้อมเพิ่ม MIT License และเอกสารประกอบที่มีอยู่ การเปิดซอร์สครั้งนี้ไม่ได้มุ่งหวังการพัฒนาเชิงพาณิชย์ แต่เพื่อให้ นักเรียน นักวิจัย และนักพัฒนา สามารถศึกษาโครงสร้างและวิธีคิดของวิศวกรยุคแรก 💡 เล่น Zork ได้ง่ายขึ้นในยุคปัจจุบัน แม้จะผ่านมากว่า 40 ปี เกม Zork ยังสามารถเล่นได้ทั้งในเชิงพาณิชย์ผ่าน The Zork Anthology บน Good Old Games หรือคอมไพล์ซอร์สโค้ดด้วยเครื่องมืออย่าง ZILF และรันผ่าน interpreter เช่น Windows Frotz หรือ Fic ที่เขียนด้วย Python สิ่งนี้สะท้อนว่าเกมคลาสสิกยังคงมีชีวิตและสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม 🌍 ความหมายต่อวงการเกมและโอเพนซอร์ส การเปิดซอร์สโค้ด Zork ไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์ แต่ยังเป็นการย้ำเตือนว่า จินตนาการและวิศวกรรม สามารถสร้างสิ่งที่ยืนยาวกว่าฮาร์ดแวร์หรือกราฟิกที่ล้าสมัย มันเป็นการเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จากโค้ดจริงของเกมที่เคยเปลี่ยนโลก และยังเป็นการขอบคุณทีมผู้สร้าง Infocom ที่วางรากฐานให้วงการเกมเชิงเนื้อเรื่อง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การเปิดซอร์สโค้ด Zork I–III ➡️ ใช้ MIT License เพื่อให้ศึกษาและพัฒนาได้อย่างเสรี ✅ ความสำคัญของ Z-Machine ➡️ ทำให้เกมสามารถรันได้บนหลายแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเขียนใหม่ ✅ การเข้าถึงเกมในปัจจุบัน ➡️ เล่นผ่าน Good Old Games หรือคอมไพล์ด้วย ZILF และ interpreter ✅ ความร่วมมือเพื่อการอนุรักษ์ ➡️ Microsoft OSPO และ Jason Scott ส่งซอร์สโค้ดเข้าสู่ repository ประวัติศาสตร์ ‼️ ความเสี่ยงด้านสิทธิ์เชิงพาณิชย์ ⛔ การเปิดซอร์สไม่รวมสิทธิ์ทางการตลาดหรือเครื่องหมายการค้า ‼️ ความท้าทายในการศึกษาโค้ดเก่า ⛔ โครงสร้างและภาษาโปรแกรมอาจซับซ้อนสำหรับผู้เรียนรุ่นใหม่ https://opensource.microsoft.com/blog/2025/11/20/preserving-code-that-shaped-generations-zork-i-ii-and-iii-go-open-source
    0 Comments 0 Shares 239 Views 0 Reviews
  • เทพไท สวนกองเชียร์ทักษิณ "มโนและจินตนาการไปเอง" หวังเรียกคะแนนสงสาร หาเสียง ชี้การยื่นอุทธรณ์คดี ม.112 เป็นไปตาม "กระบวนการยุติธรรม" ไม่ใช่การกลั่นแกล้งทางการเมือง
    https://www.thai-tai.tv/news/22426/
    .
    #ไทยไท #เทพไทเสนพงษ์ #ทักษิณชินวัตร #คดี112 #ภาษี1.76หมื่นล้านบาท #กระบวนการยุติธรรม

    เทพไท สวนกองเชียร์ทักษิณ "มโนและจินตนาการไปเอง" หวังเรียกคะแนนสงสาร หาเสียง ชี้การยื่นอุทธรณ์คดี ม.112 เป็นไปตาม "กระบวนการยุติธรรม" ไม่ใช่การกลั่นแกล้งทางการเมือง https://www.thai-tai.tv/news/22426/ . #ไทยไท #เทพไทเสนพงษ์ #ทักษิณชินวัตร #คดี112 #ภาษี1.76หมื่นล้านบาท #กระบวนการยุติธรรม
    0 Comments 0 Shares 200 Views 0 Reviews
  • “การเตรียมไม่ใช่การทำ – บทเรียนจาก Strangest Loop”

    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า หลายครั้งเรามักจะใช้เวลามากมายไปกับการเตรียมตัว เช่น การทำ To-do list, การบอกเพื่อนว่าจะทำ, การเขียนโพสต์บนโซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่การอ่านคู่มือ แต่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่การลงมือทำจริง ๆ ผู้เขียนย้ำว่า “การทำสิ่งนั้นจริง ๆ เท่านั้นที่เป็นการทำ”

    สิ่งที่น่าสนใจคือ การเตรียมการเหล่านี้มักทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังมีความก้าวหน้า ทั้งที่จริงแล้วเป็นเพียงการสร้างภาพลวงตาของ Productivity ตัวอย่างเช่น การจัดตารางเวลา การบ่นกับตัวเอง หรือการจินตนาการถึงคำชมที่จะได้รับหลังจากทำเสร็จ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี แต่ไม่ทำให้เป้าหมายขยับเข้าใกล้ขึ้นเลย

    บทความยังสะท้อนถึงความจริงที่ว่า แม้แต่การอ่านบทความนี้เองก็ไม่ใช่การทำสิ่งที่เราตั้งใจไว้ แต่เป็นเพียงการเสริมแรงจูงใจหรือการเลี่ยงการลงมือจริง ๆ ผู้เขียนจึงทิ้งท้ายว่า “The only thing that is doing the thing is doing the thing” ซึ่งเป็นประโยคเตือนใจให้เราหยุดเสียเวลาในสิ่งที่ไม่ใช่การทำจริง

    สรุปสาระสำคัญ
    สิ่งที่ไม่ใช่การทำจริง
    การทำ To-do list หรือการจัดตารางเวลา
    การบอกคนอื่นว่าจะทำ
    การเขียนโพสต์หรือทวีตเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำ
    การอ่านคู่มือหรือบทความเกี่ยวกับการทำ

    สิ่งที่ทำให้เราหลงคิดว่ากำลังทำ
    การบ่นกับตัวเองหรือคนอื่น
    การจินตนาการถึงผลลัพธ์และคำชม
    การโทษอุปสรรคหรือเปรียบเทียบกับคนอื่น

    คำเตือนจากบทความ
    การเตรียมการมากเกินไปอาจกลายเป็นการเลี่ยงการลงมือจริง
    แม้แต่การอ่านบทความนี้ก็ไม่ใช่การทำสิ่งที่ตั้งใจไว้
    Productivity ที่เป็นภาพลวงตาอาจทำให้เราติดอยู่กับการ “เตรียม” ตลอดไป

    https://strangestloop.io/essays/things-that-arent-doing-the-thing
    📝 “การเตรียมไม่ใช่การทำ – บทเรียนจาก Strangest Loop” บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า หลายครั้งเรามักจะใช้เวลามากมายไปกับการเตรียมตัว เช่น การทำ To-do list, การบอกเพื่อนว่าจะทำ, การเขียนโพสต์บนโซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่การอ่านคู่มือ แต่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่การลงมือทำจริง ๆ ผู้เขียนย้ำว่า “การทำสิ่งนั้นจริง ๆ เท่านั้นที่เป็นการทำ” สิ่งที่น่าสนใจคือ การเตรียมการเหล่านี้มักทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังมีความก้าวหน้า ทั้งที่จริงแล้วเป็นเพียงการสร้างภาพลวงตาของ Productivity ตัวอย่างเช่น การจัดตารางเวลา การบ่นกับตัวเอง หรือการจินตนาการถึงคำชมที่จะได้รับหลังจากทำเสร็จ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี แต่ไม่ทำให้เป้าหมายขยับเข้าใกล้ขึ้นเลย บทความยังสะท้อนถึงความจริงที่ว่า แม้แต่การอ่านบทความนี้เองก็ไม่ใช่การทำสิ่งที่เราตั้งใจไว้ แต่เป็นเพียงการเสริมแรงจูงใจหรือการเลี่ยงการลงมือจริง ๆ ผู้เขียนจึงทิ้งท้ายว่า “The only thing that is doing the thing is doing the thing” ซึ่งเป็นประโยคเตือนใจให้เราหยุดเสียเวลาในสิ่งที่ไม่ใช่การทำจริง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สิ่งที่ไม่ใช่การทำจริง ➡️ การทำ To-do list หรือการจัดตารางเวลา ➡️ การบอกคนอื่นว่าจะทำ ➡️ การเขียนโพสต์หรือทวีตเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำ ➡️ การอ่านคู่มือหรือบทความเกี่ยวกับการทำ ✅ สิ่งที่ทำให้เราหลงคิดว่ากำลังทำ ➡️ การบ่นกับตัวเองหรือคนอื่น ➡️ การจินตนาการถึงผลลัพธ์และคำชม ➡️ การโทษอุปสรรคหรือเปรียบเทียบกับคนอื่น ‼️ คำเตือนจากบทความ ⛔ การเตรียมการมากเกินไปอาจกลายเป็นการเลี่ยงการลงมือจริง ⛔ แม้แต่การอ่านบทความนี้ก็ไม่ใช่การทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ ⛔ Productivity ที่เป็นภาพลวงตาอาจทำให้เราติดอยู่กับการ “เตรียม” ตลอดไป https://strangestloop.io/essays/things-that-arent-doing-the-thing
    0 Comments 0 Shares 159 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: “อนาคตไร้รหัสผ่าน…อาจไม่เคยมาถึงจริง”

    ลองจินตนาการโลกที่เราไม่ต้องจำรหัสผ่านอีกต่อไป ใช้เพียงใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือกุญแจดิจิทัลในการเข้าถึงทุกระบบ ฟังดูเหมือนฝันที่ใกล้จะเป็นจริง แต่บทความล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การเดินทางสู่โลกไร้รหัสผ่านยังเต็มไปด้วยอุปสรรค และอาจไม่สามารถทำได้ครบ 100% ในเร็ววัน

    เล่าเรื่องให้ฟัง
    องค์กรทั่วโลกพยายามผลักดันระบบ “Passwordless Authentication” มานานกว่าทศวรรษ เพราะรหัสผ่านคือจุดอ่อนที่ถูกโจมตีง่ายที่สุด แต่ความจริงคือ หลายระบบเก่า (Legacy Systems) ไม่เคยถูกออกแบบมาให้รองรับอะไรนอกจากรหัสผ่าน ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก

    แม้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น FIDO2, Passkeys, Biometrics จะช่วยได้มาก แต่ก็ยังมี “พื้นที่ดื้อรหัสผ่าน” ประมาณ 15% ที่ไม่สามารถแทนที่ได้ง่าย เช่น ระบบควบคุมอุตสาหกรรม, IoT, หรือแอปที่เขียนขึ้นเองในองค์กร

    ผู้เชี่ยวชาญบางรายเปรียบเทียบว่า การเปลี่ยนไปใช้ระบบไร้รหัสผ่านก็เหมือนการเดินทางสู่ Zero Trust Model — ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทันที แต่เป็นการเดินทางหลายปีที่ต้องค่อย ๆ ปรับทีละขั้นตอน

    นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายคนมองข้าม: แม้ระบบจะไร้รหัสผ่าน แต่ขั้นตอน “การสมัครและกู้คืนบัญชี” มักยังต้องใช้รหัสผ่านหรือ SMS OTP ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้ามาได้

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft และ Google กำลังผลักดัน Passkeys อย่างจริงจัง โดยใช้การเข้ารหัสคู่กุญแจ (Public/Private Key) ที่ไม่สามารถถูกขโมยได้ง่ายเหมือนรหัสผ่าน
    องค์กรด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การใช้ Biometrics เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า แม้สะดวก แต่ก็มีความเสี่ยงหากข้อมูลชีวมิติรั่วไหล เพราะไม่สามารถ “เปลี่ยน” เหมือนรหัสผ่านได้
    หลายประเทศเริ่มออกกฎบังคับให้ระบบสำคัญต้องรองรับการยืนยันตัวตนแบบไร้รหัสผ่าน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดการโจมตีแบบ Phishing

    การนำระบบไร้รหัสผ่านมาใช้ยังไม่สมบูรณ์
    องค์กรส่วนใหญ่ทำได้เพียง 75–85% ของระบบทั้งหมด
    ระบบเก่าและ IoT คืออุปสรรคใหญ่

    เทคโนโลยีที่ใช้แทนรหัสผ่าน
    FIDO2, Passkeys, Biometrics (ใบหน้า, ลายนิ้วมือ, ม่านตา)
    แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

    กลยุทธ์การนำไปใช้
    เริ่มจากผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง เช่น Admin และวิศวกร
    ใช้ VPN หรือ Reverse Proxy เพื่อเชื่อมระบบเก่าเข้ากับระบบใหม่

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    ขั้นตอนสมัครและกู้คืนบัญชีมักยังใช้รหัสผ่านหรือ OTP ซึ่งเป็นช่องโหว่
    Biometrics หากรั่วไหลไม่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เหมือนรหัสผ่าน
    การมีหลายระบบ Passwordless พร้อมกันอาจสร้างช่องโหว่ใหม่ให้แฮกเกอร์

    https://www.csoonline.com/article/4085426/your-passwordless-future-may-never-fully-arrive.html
    🔐 ข่าวใหญ่: “อนาคตไร้รหัสผ่าน…อาจไม่เคยมาถึงจริง” ลองจินตนาการโลกที่เราไม่ต้องจำรหัสผ่านอีกต่อไป ใช้เพียงใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือกุญแจดิจิทัลในการเข้าถึงทุกระบบ ฟังดูเหมือนฝันที่ใกล้จะเป็นจริง แต่บทความล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การเดินทางสู่โลกไร้รหัสผ่านยังเต็มไปด้วยอุปสรรค และอาจไม่สามารถทำได้ครบ 100% ในเร็ววัน 📖 เล่าเรื่องให้ฟัง องค์กรทั่วโลกพยายามผลักดันระบบ “Passwordless Authentication” มานานกว่าทศวรรษ เพราะรหัสผ่านคือจุดอ่อนที่ถูกโจมตีง่ายที่สุด แต่ความจริงคือ หลายระบบเก่า (Legacy Systems) ไม่เคยถูกออกแบบมาให้รองรับอะไรนอกจากรหัสผ่าน ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก แม้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น FIDO2, Passkeys, Biometrics จะช่วยได้มาก แต่ก็ยังมี “พื้นที่ดื้อรหัสผ่าน” ประมาณ 15% ที่ไม่สามารถแทนที่ได้ง่าย เช่น ระบบควบคุมอุตสาหกรรม, IoT, หรือแอปที่เขียนขึ้นเองในองค์กร ผู้เชี่ยวชาญบางรายเปรียบเทียบว่า การเปลี่ยนไปใช้ระบบไร้รหัสผ่านก็เหมือนการเดินทางสู่ Zero Trust Model — ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทันที แต่เป็นการเดินทางหลายปีที่ต้องค่อย ๆ ปรับทีละขั้นตอน นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายคนมองข้าม: แม้ระบบจะไร้รหัสผ่าน แต่ขั้นตอน “การสมัครและกู้คืนบัญชี” มักยังต้องใช้รหัสผ่านหรือ SMS OTP ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้ามาได้ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft และ Google กำลังผลักดัน Passkeys อย่างจริงจัง โดยใช้การเข้ารหัสคู่กุญแจ (Public/Private Key) ที่ไม่สามารถถูกขโมยได้ง่ายเหมือนรหัสผ่าน 🔰 องค์กรด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การใช้ Biometrics เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า แม้สะดวก แต่ก็มีความเสี่ยงหากข้อมูลชีวมิติรั่วไหล เพราะไม่สามารถ “เปลี่ยน” เหมือนรหัสผ่านได้ 🔰 หลายประเทศเริ่มออกกฎบังคับให้ระบบสำคัญต้องรองรับการยืนยันตัวตนแบบไร้รหัสผ่าน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดการโจมตีแบบ Phishing ✅ การนำระบบไร้รหัสผ่านมาใช้ยังไม่สมบูรณ์ ➡️ องค์กรส่วนใหญ่ทำได้เพียง 75–85% ของระบบทั้งหมด ➡️ ระบบเก่าและ IoT คืออุปสรรคใหญ่ ✅ เทคโนโลยีที่ใช้แทนรหัสผ่าน ➡️ FIDO2, Passkeys, Biometrics (ใบหน้า, ลายนิ้วมือ, ม่านตา) ➡️ แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ✅ กลยุทธ์การนำไปใช้ ➡️ เริ่มจากผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง เช่น Admin และวิศวกร ➡️ ใช้ VPN หรือ Reverse Proxy เพื่อเชื่อมระบบเก่าเข้ากับระบบใหม่ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ ขั้นตอนสมัครและกู้คืนบัญชีมักยังใช้รหัสผ่านหรือ OTP ซึ่งเป็นช่องโหว่ ⛔ Biometrics หากรั่วไหลไม่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เหมือนรหัสผ่าน ⛔ การมีหลายระบบ Passwordless พร้อมกันอาจสร้างช่องโหว่ใหม่ให้แฮกเกอร์ https://www.csoonline.com/article/4085426/your-passwordless-future-may-never-fully-arrive.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Your passwordless future may never fully arrive
    As a concept, passwordless authentication has all but been universally embraced. In practice, though, CISOs find it difficult to deploy — especially that last 15%. Fortunately, creative workarounds are arising.
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • ข่าววิทยาศาสตร์: ร่องรอยโมเลกุลอินทรีย์ในอวกาศ อาจบอกใบ้ถึงกำเนิดชีวิตบนโลก

    ลองจินตนาการว่าโลกของเราไม่ได้เริ่มต้นจากเพียงแค่ทะเลโบราณและภูเขาไฟ แต่มี "วัตถุดิบแห่งชีวิต" เดินทางมาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น นักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ด้านชีววิทยาอวกาศกำลังค้นพบหลักฐานที่น่าสนใจว่า โมเลกุลอินทรีย์—ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต—มีอยู่ทั่วไปในฝุ่นดาวหาง เศษอุกกาบาต และแม้แต่ในก๊าซจากดาวที่กำลังดับ

    การค้นพบเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ชีวิตบนโลกอาจเริ่มต้นจากอวกาศหรือไม่ โดยโมเลกุลอินทรีย์เหล่านี้อาจถูกพัดพามายังโลกผ่านดาวหางและอุกกาบาต ก่อนจะเจอสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมบนโลกจนเกิดวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตจริง

    นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบสัญญาณก๊าซบางชนิดบนดาวเคราะห์ K2-18b ที่อยู่ห่างออกไปกว่า 124 ปีแสง ซึ่งก๊าซเหล่านี้ปกติจะเกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น ไมโครออร์แกนิซึมในมหาสมุทรบนโลก แม้จะยังเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ก็เป็นหลักฐานที่ทำให้การค้นหาชีวิตนอกโลกยิ่งน่าตื่นเต้นขึ้น

    การค้นพบโมเลกุลอินทรีย์ในอวกาศ
    พบในฝุ่นดาวหาง อุกกาบาต และก๊าซจากดาวที่กำลังดับ
    โมเลกุลเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต เช่น คาร์บอนและกรดอะมิโน

    ทฤษฎีกำเนิดชีวิตจากอวกาศ (Panspermia)
    โมเลกุลอินทรีย์อาจถูกพัดพามายังโลกผ่านดาวหางและอุกกาบาต
    โลกมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมจนเกิดวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิต

    หลักฐานจากดาวเคราะห์ K2-18b
    ตรวจพบก๊าซที่ปกติผลิตโดยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
    เป็นการคาดการณ์ที่ยังต้องการการยืนยันเพิ่มเติม

    โครงการค้นหาชีวิตนอกโลก
    SETI และ Galileo Project ใช้เทคโนโลยี AI และกล้องโทรทรรศน์
    มุ่งหาสัญญาณหรือหลักฐานของสิ่งมีชีวิตนอกโลก

    ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าชีวิตบนโลกเริ่มจากอวกาศจริง
    การค้นพบโมเลกุลอินทรีย์เป็นเพียง "วัตถุดิบ" ไม่ใช่การพิสูจน์ว่ามีชีวิต

    ข้อมูลจากดาวเคราะห์ K2-18b ยังเป็นการตีความเบื้องต้น
    นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถตรวจสอบโดยตรงว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่จริง

    การค้นหาชีวิตนอกโลกยังคงเป็นการวิจัยระยะยาว
    ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่านี้เพื่อยืนยันการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิต

    https://www.slashgear.com/2014873/origins-of-life-deep-space-organic-molecules/
    🪐 ข่าววิทยาศาสตร์: ร่องรอยโมเลกุลอินทรีย์ในอวกาศ อาจบอกใบ้ถึงกำเนิดชีวิตบนโลก ลองจินตนาการว่าโลกของเราไม่ได้เริ่มต้นจากเพียงแค่ทะเลโบราณและภูเขาไฟ แต่มี "วัตถุดิบแห่งชีวิต" เดินทางมาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น 🌌 นักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ด้านชีววิทยาอวกาศกำลังค้นพบหลักฐานที่น่าสนใจว่า โมเลกุลอินทรีย์—ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต—มีอยู่ทั่วไปในฝุ่นดาวหาง เศษอุกกาบาต และแม้แต่ในก๊าซจากดาวที่กำลังดับ การค้นพบเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ชีวิตบนโลกอาจเริ่มต้นจากอวกาศหรือไม่ โดยโมเลกุลอินทรีย์เหล่านี้อาจถูกพัดพามายังโลกผ่านดาวหางและอุกกาบาต ก่อนจะเจอสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมบนโลกจนเกิดวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตจริง นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบสัญญาณก๊าซบางชนิดบนดาวเคราะห์ K2-18b ที่อยู่ห่างออกไปกว่า 124 ปีแสง ซึ่งก๊าซเหล่านี้ปกติจะเกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น ไมโครออร์แกนิซึมในมหาสมุทรบนโลก 🌍 แม้จะยังเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ก็เป็นหลักฐานที่ทำให้การค้นหาชีวิตนอกโลกยิ่งน่าตื่นเต้นขึ้น ✅ การค้นพบโมเลกุลอินทรีย์ในอวกาศ ➡️ พบในฝุ่นดาวหาง อุกกาบาต และก๊าซจากดาวที่กำลังดับ ➡️ โมเลกุลเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต เช่น คาร์บอนและกรดอะมิโน ✅ ทฤษฎีกำเนิดชีวิตจากอวกาศ (Panspermia) ➡️ โมเลกุลอินทรีย์อาจถูกพัดพามายังโลกผ่านดาวหางและอุกกาบาต ➡️ โลกมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมจนเกิดวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิต ✅ หลักฐานจากดาวเคราะห์ K2-18b ➡️ ตรวจพบก๊าซที่ปกติผลิตโดยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ➡️ เป็นการคาดการณ์ที่ยังต้องการการยืนยันเพิ่มเติม ✅ โครงการค้นหาชีวิตนอกโลก ➡️ SETI และ Galileo Project ใช้เทคโนโลยี AI และกล้องโทรทรรศน์ ➡️ มุ่งหาสัญญาณหรือหลักฐานของสิ่งมีชีวิตนอกโลก ‼️ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าชีวิตบนโลกเริ่มจากอวกาศจริง ⛔ การค้นพบโมเลกุลอินทรีย์เป็นเพียง "วัตถุดิบ" ไม่ใช่การพิสูจน์ว่ามีชีวิต ‼️ ข้อมูลจากดาวเคราะห์ K2-18b ยังเป็นการตีความเบื้องต้น ⛔ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถตรวจสอบโดยตรงว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่จริง ‼️ การค้นหาชีวิตนอกโลกยังคงเป็นการวิจัยระยะยาว ⛔ ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่านี้เพื่อยืนยันการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิต https://www.slashgear.com/2014873/origins-of-life-deep-space-organic-molecules/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Astronomers Keep Finding The Same Thing – And It Points To Life Starting In Space - SlashGear
    Researchers and astronomers have consistently detected the presence of organic molecules in space, hinting at life's extraterrestrial origins.
    0 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • ข่าวเทคโนโลยี: "Flathub ถูกนักพัฒนาแอบใช้แท็ก NSFW เพื่อโกยดาวน์โหลด"

    ลองจินตนาการว่าเว็บไซต์โอเพ่นซอร์สที่มีชื่อเสียงอย่าง Flathub ซึ่งเป็นศูนย์รวมแอป Flatpak สำหรับ Linux กลับไปติดอันดับ Google ด้วยคำค้นหาอย่าง “pornhub downloader” ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงเมื่อมีนักพัฒนาที่ชื่อ Warlord Software สร้างแอปดาวน์โหลดวิดีโอธรรมดา ๆ แต่ใส่แท็ก NSFW ลงไปในหน้าแอปบน Flathub

    ผลลัพธ์คือ แอปเหล่านี้ถูก Google จัดอันดับสูง เพราะ Flathub เป็นเว็บที่มีความน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเข้าใจผิดและดาวน์โหลดไปใช้ โดยยอดดาวน์โหลดทะลุ 250,000 ครั้ง ทั้งที่แอปไม่ได้มีฟีเจอร์พิเศษใด ๆ และยังขายเวอร์ชันพรีเมียมอีกด้วย

    สิ่งที่น่าสนใจคือ บนเว็บไซต์ของนักพัฒนาเองกลับไม่มีการใช้คำ NSFW เลย แสดงให้เห็นว่าเป็นการจงใจใช้ชื่อเสียงของ Flathub เพื่อดึงคนเข้าไปดาวน์โหลด ถือเป็นการ “เอาเปรียบระบบโอเพ่นซอร์ส” อย่างชัดเจน

    Flathub ถูกใช้ชื่อเสียงเพื่อดันแอป
    แอปดาวน์โหลดวิดีโอธรรมดา ๆ แต่ใส่แท็ก NSFW
    ทำให้ติดอันดับ Google ในคำค้นหาที่แข่งขันสูง

    ผลลัพธ์คือยอดดาวน์โหลดมหาศาล
    แอปจากนักพัฒนารายเดียวมียอดดาวน์โหลดกว่า 250,000 ครั้ง
    ทั้งที่ไม่มีฟีเจอร์พิเศษและยังขายเวอร์ชันพรีเมียม

    เว็บไซต์นักพัฒนาไม่ใช้คำ NSFW
    แสดงถึงการจงใจใช้ Flathub เป็นเครื่องมือในการโปรโมต
    ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นแอปที่ถูกตรวจสอบแล้ว

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ Linux
    อย่าดาวน์โหลดแอปเพียงเพราะเห็นแท็กหรืออันดับสูงใน Google
    ตรวจสอบที่มาของแอปและรีวิวจากชุมชนก่อนติดตั้ง

    https://itsfoss.com/news/flathub-tag-exploited/
    🚨 ข่าวเทคโนโลยี: "Flathub ถูกนักพัฒนาแอบใช้แท็ก NSFW เพื่อโกยดาวน์โหลด" ลองจินตนาการว่าเว็บไซต์โอเพ่นซอร์สที่มีชื่อเสียงอย่าง Flathub ซึ่งเป็นศูนย์รวมแอป Flatpak สำหรับ Linux กลับไปติดอันดับ Google ด้วยคำค้นหาอย่าง “pornhub downloader” ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงเมื่อมีนักพัฒนาที่ชื่อ Warlord Software สร้างแอปดาวน์โหลดวิดีโอธรรมดา ๆ แต่ใส่แท็ก NSFW ลงไปในหน้าแอปบน Flathub ผลลัพธ์คือ แอปเหล่านี้ถูก Google จัดอันดับสูง เพราะ Flathub เป็นเว็บที่มีความน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเข้าใจผิดและดาวน์โหลดไปใช้ โดยยอดดาวน์โหลดทะลุ 250,000 ครั้ง ทั้งที่แอปไม่ได้มีฟีเจอร์พิเศษใด ๆ และยังขายเวอร์ชันพรีเมียมอีกด้วย สิ่งที่น่าสนใจคือ บนเว็บไซต์ของนักพัฒนาเองกลับไม่มีการใช้คำ NSFW เลย แสดงให้เห็นว่าเป็นการจงใจใช้ชื่อเสียงของ Flathub เพื่อดึงคนเข้าไปดาวน์โหลด ถือเป็นการ “เอาเปรียบระบบโอเพ่นซอร์ส” อย่างชัดเจน ✅ Flathub ถูกใช้ชื่อเสียงเพื่อดันแอป ➡️ แอปดาวน์โหลดวิดีโอธรรมดา ๆ แต่ใส่แท็ก NSFW ➡️ ทำให้ติดอันดับ Google ในคำค้นหาที่แข่งขันสูง ✅ ผลลัพธ์คือยอดดาวน์โหลดมหาศาล ➡️ แอปจากนักพัฒนารายเดียวมียอดดาวน์โหลดกว่า 250,000 ครั้ง ➡️ ทั้งที่ไม่มีฟีเจอร์พิเศษและยังขายเวอร์ชันพรีเมียม ✅ เว็บไซต์นักพัฒนาไม่ใช้คำ NSFW ➡️ แสดงถึงการจงใจใช้ Flathub เป็นเครื่องมือในการโปรโมต ➡️ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นแอปที่ถูกตรวจสอบแล้ว ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ Linux ⛔ อย่าดาวน์โหลดแอปเพียงเพราะเห็นแท็กหรืออันดับสูงใน Google ⛔ ตรวจสอบที่มาของแอปและรีวิวจากชุมชนก่อนติดตั้ง https://itsfoss.com/news/flathub-tag-exploited/
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • "ฮอตด็อกไฟฟ้า" กลายเป็นเครื่องทดสอบ LED สุดพิสดาร

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจะทดสอบหลอด LED แต่แทนที่จะใช้บอร์ดวงจรหรืออุปกรณ์มาตรฐาน คุณกลับหยิบ ฮอตด็อก มาทำหน้าที่เป็นตัวกลางไฟฟ้า! นี่คือสิ่งที่ Ian Dunn นักทำโปรเจกต์ DIY ส่งเข้าประกวดในงาน Hackaday Component Abuse Challenge 2025 ที่เน้นความ "เพี้ยน" และความคิดสร้างสรรค์เหนือเหตุผล

    เขาใช้เพียง สายไฟ, สองส้อม, และฮอตด็อกหนึ่งชิ้น เชื่อมต่อกับไฟบ้าน 120 โวลต์ AC แล้วเสียบ LED ลงไปในเนื้อไส้กรอก ผลลัพธ์คือ LED ติดสว่าง และในเวลาเดียวกันฮอตด็อกก็สุกพร้อมกินภายใน 2 นาที!

    แม้จะฟังดูตลกและสร้างสรรค์ แต่ก็มีข้อควรระวังมากมาย เพราะนี่ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยสำหรับการทดสอบ LED หรือการทำอาหารแต่อย่างใด

    นอกเหนือจากข่าวนี้ ยังมีการทดลองคล้าย ๆ กันในอดีต เช่น TechTuber Big Clive เคยทดสอบเครื่องทำฮอตด็อกไฟฟ้า 120V บนระบบไฟ 240V เพื่อดูผลลัพธ์การสุกที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า "การเล่นกับไฟฟ้าและอาหาร" เป็นสิ่งที่นักทดลองสาย DIY มักหยิบมาเล่นเพื่อความบันเทิง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำจริงในชีวิตประจำวัน

    https://www.tomshardware.com/maker-stem/frankly-dangerous-hot-dog-based-led-tester-could-be-a-weiner-in-the-2025-hackaday-component-abuse-challenge
    🌭⚡ "ฮอตด็อกไฟฟ้า" กลายเป็นเครื่องทดสอบ LED สุดพิสดาร ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจะทดสอบหลอด LED แต่แทนที่จะใช้บอร์ดวงจรหรืออุปกรณ์มาตรฐาน คุณกลับหยิบ ฮอตด็อก มาทำหน้าที่เป็นตัวกลางไฟฟ้า! นี่คือสิ่งที่ Ian Dunn นักทำโปรเจกต์ DIY ส่งเข้าประกวดในงาน Hackaday Component Abuse Challenge 2025 ที่เน้นความ "เพี้ยน" และความคิดสร้างสรรค์เหนือเหตุผล เขาใช้เพียง สายไฟ, สองส้อม, และฮอตด็อกหนึ่งชิ้น เชื่อมต่อกับไฟบ้าน 120 โวลต์ AC แล้วเสียบ LED ลงไปในเนื้อไส้กรอก ผลลัพธ์คือ LED ติดสว่าง และในเวลาเดียวกันฮอตด็อกก็สุกพร้อมกินภายใน 2 นาที! แม้จะฟังดูตลกและสร้างสรรค์ แต่ก็มีข้อควรระวังมากมาย เพราะนี่ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยสำหรับการทดสอบ LED หรือการทำอาหารแต่อย่างใด นอกเหนือจากข่าวนี้ ยังมีการทดลองคล้าย ๆ กันในอดีต เช่น TechTuber Big Clive เคยทดสอบเครื่องทำฮอตด็อกไฟฟ้า 120V บนระบบไฟ 240V เพื่อดูผลลัพธ์การสุกที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า "การเล่นกับไฟฟ้าและอาหาร" เป็นสิ่งที่นักทดลองสาย DIY มักหยิบมาเล่นเพื่อความบันเทิง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำจริงในชีวิตประจำวัน https://www.tomshardware.com/maker-stem/frankly-dangerous-hot-dog-based-led-tester-could-be-a-weiner-in-the-2025-hackaday-component-abuse-challenge
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • “CISO ยุคใหม่ต้องพูดภาษาธุรกิจให้เป็น”
    Cybersecurity ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือเรื่องของมูลค่าทางธุรกิจ

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่ต้องขึ้นไปนำเสนอผลงานต่อบอร์ดบริหาร คุณเตรียมข้อมูลแน่นปึ้ก ทั้งกราฟการแพตช์ระบบ ช่องโหว่ที่อุดแล้ว และคะแนน maturity จาก NIST… แต่พอพูดจบ บอร์ดกลับถามว่า “แล้วทั้งหมดนี้ช่วยธุรกิจยังไง?”

    นี่คือปัญหาที่ CISO หลายคนกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน — การสื่อสาร “คุณค่าทางธุรกิจ” ของ cybersecurity ด้วยภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจได้

    Michael Oberlaender ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปี บอกว่า CISO ต้อง “ออกจาก comfort zone” ไปพูดคุยกับแผนกต่างๆ เพื่อเข้าใจเป้าหมายของธุรกิจ แล้วจึงนำข้อมูลเหล่านั้นมาสร้าง “metrics” ที่สะท้อนความเสี่ยงและมูลค่าทางการเงินได้จริง

    Chris Hetner ที่ปรึกษาอาวุโสด้านความเสี่ยงไซเบอร์ของ NACD เสริมว่า บอร์ดบริหารไม่ได้อยากฟังศัพท์เทคนิค แต่ต้องการรู้ว่า “เงินที่ลงทุนไปช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจได้แค่ไหน” และ “เทียบกับคู่แข่งแล้ว เราอยู่ตรงไหน”

    Nick Nolen จาก Redpoint Cybersecurity ก็ยกตัวอย่างว่า เขาใช้โมเดลวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินเพื่อแสดงให้ CEO เห็นว่า การลงทุนด้านไซเบอร์ช่วยลดความเสี่ยงจาก $50 ล้าน เหลือ $25 ล้านได้อย่างไร — นี่แหละคือภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจ

    CISO ต้องสื่อสารคุณค่าทางธุรกิจของ cybersecurity
    ไม่ใช่แค่รายงาน patch หรือ maturity score แต่ต้องแสดงผลกระทบต่อรายได้ ความเสี่ยง และต้นทุน
    ใช้ metrics ที่สะท้อนความเสี่ยงทางการเงิน เช่น ความเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับประกัน หรือ ROI จากการลงทุนด้านความปลอดภัย

    Enterprise Risk Management (ERM) คือกุญแจสำคัญ
    การมี ERM ช่วยให้ CISO เชื่อมโยง cybersecurity กับเป้าหมายธุรกิจได้ง่ายขึ้น
    หากองค์กรไม่มี ERM, CISO ควรริเริ่มสร้างขึ้นเองโดยร่วมมือกับฝ่ายธุรกิจ

    บอร์ดบริหารต้องการข้อมูลที่เข้าใจง่าย
    หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิค เช่น MITRE ATT&CK หรือ CVE
    ใช้การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง (benchmarking) เพื่อแสดงจุดแข็ง-จุดอ่อนขององค์กร

    แนวโน้มใหม่: วัดความเสี่ยงเป็นตัวเงิน
    ใช้โมเดลวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินเพื่อแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้
    เช่น “ลดความเสี่ยงจาก $50M เหลือ $25M” หรือ “ROI จากโปรแกรม A = 800%”

    คำเตือน: อย่าติดกับดักการรายงานแบบเทคนิค
    รายงานที่เต็มไปด้วย patch count, CVE, หรือ maturity score โดยไม่มีบริบททางธุรกิจ จะทำให้บอร์ด “เบื่อ” และไม่เห็นคุณค่า
    การพูดด้วย FUD (Fear, Uncertainty, Doubt) โดยไม่มีข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ อาจทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือ

    CISO ที่รายงานต่อ CIO หรือ CTO อาจขาดอิสระ
    เพราะ cybersecurity ถูกมองว่าเป็นเรื่องเทคนิค ไม่ใช่เรื่องธุรกิจ
    ทำให้ยากต่อการเข้าถึงบอร์ดและการจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.csoonline.com/article/4083604/why-cybersecurity-leaders-find-important-to-prove-the-business-value-of-cyber.html
    🛡️ “CISO ยุคใหม่ต้องพูดภาษาธุรกิจให้เป็น” Cybersecurity ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือเรื่องของมูลค่าทางธุรกิจ ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่ต้องขึ้นไปนำเสนอผลงานต่อบอร์ดบริหาร คุณเตรียมข้อมูลแน่นปึ้ก ทั้งกราฟการแพตช์ระบบ ช่องโหว่ที่อุดแล้ว และคะแนน maturity จาก NIST… แต่พอพูดจบ บอร์ดกลับถามว่า “แล้วทั้งหมดนี้ช่วยธุรกิจยังไง?” นี่คือปัญหาที่ CISO หลายคนกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน — การสื่อสาร “คุณค่าทางธุรกิจ” ของ cybersecurity ด้วยภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจได้ Michael Oberlaender ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปี บอกว่า CISO ต้อง “ออกจาก comfort zone” ไปพูดคุยกับแผนกต่างๆ เพื่อเข้าใจเป้าหมายของธุรกิจ แล้วจึงนำข้อมูลเหล่านั้นมาสร้าง “metrics” ที่สะท้อนความเสี่ยงและมูลค่าทางการเงินได้จริง Chris Hetner ที่ปรึกษาอาวุโสด้านความเสี่ยงไซเบอร์ของ NACD เสริมว่า บอร์ดบริหารไม่ได้อยากฟังศัพท์เทคนิค แต่ต้องการรู้ว่า “เงินที่ลงทุนไปช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจได้แค่ไหน” และ “เทียบกับคู่แข่งแล้ว เราอยู่ตรงไหน” Nick Nolen จาก Redpoint Cybersecurity ก็ยกตัวอย่างว่า เขาใช้โมเดลวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินเพื่อแสดงให้ CEO เห็นว่า การลงทุนด้านไซเบอร์ช่วยลดความเสี่ยงจาก $50 ล้าน เหลือ $25 ล้านได้อย่างไร — นี่แหละคือภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจ ✅ CISO ต้องสื่อสารคุณค่าทางธุรกิจของ cybersecurity ➡️ ไม่ใช่แค่รายงาน patch หรือ maturity score แต่ต้องแสดงผลกระทบต่อรายได้ ความเสี่ยง และต้นทุน ➡️ ใช้ metrics ที่สะท้อนความเสี่ยงทางการเงิน เช่น ความเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับประกัน หรือ ROI จากการลงทุนด้านความปลอดภัย ✅ Enterprise Risk Management (ERM) คือกุญแจสำคัญ ➡️ การมี ERM ช่วยให้ CISO เชื่อมโยง cybersecurity กับเป้าหมายธุรกิจได้ง่ายขึ้น ➡️ หากองค์กรไม่มี ERM, CISO ควรริเริ่มสร้างขึ้นเองโดยร่วมมือกับฝ่ายธุรกิจ ✅ บอร์ดบริหารต้องการข้อมูลที่เข้าใจง่าย ➡️ หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิค เช่น MITRE ATT&CK หรือ CVE ➡️ ใช้การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง (benchmarking) เพื่อแสดงจุดแข็ง-จุดอ่อนขององค์กร ✅ แนวโน้มใหม่: วัดความเสี่ยงเป็นตัวเงิน ➡️ ใช้โมเดลวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินเพื่อแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ➡️ เช่น “ลดความเสี่ยงจาก $50M เหลือ $25M” หรือ “ROI จากโปรแกรม A = 800%” ‼️ คำเตือน: อย่าติดกับดักการรายงานแบบเทคนิค ⛔ รายงานที่เต็มไปด้วย patch count, CVE, หรือ maturity score โดยไม่มีบริบททางธุรกิจ จะทำให้บอร์ด “เบื่อ” และไม่เห็นคุณค่า ⛔ การพูดด้วย FUD (Fear, Uncertainty, Doubt) โดยไม่มีข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ อาจทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือ ‼️ CISO ที่รายงานต่อ CIO หรือ CTO อาจขาดอิสระ ⛔ เพราะ cybersecurity ถูกมองว่าเป็นเรื่องเทคนิค ไม่ใช่เรื่องธุรกิจ ⛔ ทำให้ยากต่อการเข้าถึงบอร์ดและการจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ https://www.csoonline.com/article/4083604/why-cybersecurity-leaders-find-important-to-prove-the-business-value-of-cyber.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs must prove the business value of cyber — the right metrics can help
    CISOs still struggle to prove the value of their security programs using metrics that their business leaders so desperately seek.
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • หุ่นยนต์พูดได้ในมือคุณ: ใช้ AI Chatbot แบบไม่ต้องต่อเน็ตบน iPhone

    ลองจินตนาการว่าคุณสามารถพูดคุยกับ AI ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล และยังสามารถปรับแต่งให้มันเป็นผู้ช่วยที่รู้ใจคุณได้เต็มที่ — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้วบน iPhone!

    เรื่องเริ่มต้นจากความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว
    AI Chatbot อย่าง ChatGPT หรือ Gemini นั้นทรงพลังก็จริง แต่การที่ต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “ข้อมูลของเราปลอดภัยแค่ไหน?” นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา Chatbot แบบออฟไลน์ ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องส่งข้อมูลออกไปไหนเลย

    แอป Private LLM: เปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็นเครื่องมือ AI ส่วนตัว
    แอปชื่อว่า “Private LLM” บน App Store คือคำตอบของคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและอิสระในการใช้งาน AI โดยไม่ต้องลงทะเบียน ไม่ต้องล็อกอิน และไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากติดตั้งเสร็จ
    มีโมเดลให้เลือกหลากหลาย เช่น Llama ของ Meta, Gemma ของ Google และ Mistral
    สามารถปรับแต่ง “system prompt” เพื่อกำหนดบุคลิกและหน้าที่ของ AI ได้ตามใจ
    ใช้พลังของ Neural Engine ใน iPhone รุ่นใหม่ ทำให้สามารถรันโมเดลที่ซับซ้อนได้

    ปรับแต่งได้ลึก: ตั้งค่าอุณหภูมิความคิดของ AI
    ในแอปนี้ คุณสามารถปรับ “sampling temperature” ซึ่งเป็นค่าที่กำหนดว่า AI จะคิดแบบสร้างสรรค์แค่ไหน:
    ค่าสูง (ใกล้ 1) = คำตอบมีความคิดสร้างสรรค์และหลากหลาย
    ค่าต่ำ (ใกล้ 0) = คำตอบมีความแม่นยำและตรงประเด็น เหมาะกับงานวิเคราะห์หรือเขียนโค้ด

    การใช้งาน Private LLM บน iPhone
    ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากติดตั้ง
    ไม่มีการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก
    รองรับโมเดลหลากหลาย เช่น Llama, Gemma, Mistral
    ปรับแต่ง system prompt ได้ตามต้องการ
    ใช้งานได้บน iPhone, iPad และ Mac ด้วยการซื้อครั้งเดียว

    การเลือกโมเดล AI ที่เหมาะสม
    โมเดลขนาดเล็ก (เช่น StableLM 2 ขนาด 1.6B) ทำงานเร็วกว่า
    โมเดลขนาดใหญ่ (เช่น Llama 3.1 ขนาด 8B) ให้ผลลัพธ์ซับซ้อนแต่ช้ากว่า

    การปรับค่า temperature เพื่อควบคุมพฤติกรรม AI
    ค่าสูง = คำตอบสร้างสรรค์ เหมาะกับบทสนทนา
    ค่าต่ำ = คำตอบแม่นยำ เหมาะกับงานวิเคราะห์

    คำเตือนเรื่องการเลือกโมเดล
    โมเดลขนาดใหญ่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมาก และอาจทำให้เครื่องช้าลง
    ต้องมีพื้นที่ว่างหลาย GB เพื่อดาวน์โหลดโมเดล

    คำเตือนเรื่องการตั้งค่า temperature
    ค่าสูงเกินไปอาจทำให้คำตอบไม่แม่นยำ
    ค่าต่ำเกินไปอาจทำให้คำตอบดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ

    https://www.slashgear.com/2006210/how-to-run-ai-chatbot-iphone-locally-guide/
    🧠📱 หุ่นยนต์พูดได้ในมือคุณ: ใช้ AI Chatbot แบบไม่ต้องต่อเน็ตบน iPhone ลองจินตนาการว่าคุณสามารถพูดคุยกับ AI ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล และยังสามารถปรับแต่งให้มันเป็นผู้ช่วยที่รู้ใจคุณได้เต็มที่ — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้วบน iPhone! 🎬 เรื่องเริ่มต้นจากความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว AI Chatbot อย่าง ChatGPT หรือ Gemini นั้นทรงพลังก็จริง แต่การที่ต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “ข้อมูลของเราปลอดภัยแค่ไหน?” นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา Chatbot แบบออฟไลน์ ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องส่งข้อมูลออกไปไหนเลย 📲 แอป Private LLM: เปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็นเครื่องมือ AI ส่วนตัว แอปชื่อว่า “Private LLM” บน App Store คือคำตอบของคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและอิสระในการใช้งาน AI โดยไม่ต้องลงทะเบียน ไม่ต้องล็อกอิน และไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากติดตั้งเสร็จ 🔰 มีโมเดลให้เลือกหลากหลาย เช่น Llama ของ Meta, Gemma ของ Google และ Mistral 🔰 สามารถปรับแต่ง “system prompt” เพื่อกำหนดบุคลิกและหน้าที่ของ AI ได้ตามใจ 🔰 ใช้พลังของ Neural Engine ใน iPhone รุ่นใหม่ ทำให้สามารถรันโมเดลที่ซับซ้อนได้ 🔧 ปรับแต่งได้ลึก: ตั้งค่าอุณหภูมิความคิดของ AI ในแอปนี้ คุณสามารถปรับ “sampling temperature” ซึ่งเป็นค่าที่กำหนดว่า AI จะคิดแบบสร้างสรรค์แค่ไหน: 🔰 ค่าสูง (ใกล้ 1) = คำตอบมีความคิดสร้างสรรค์และหลากหลาย 🔰 ค่าต่ำ (ใกล้ 0) = คำตอบมีความแม่นยำและตรงประเด็น เหมาะกับงานวิเคราะห์หรือเขียนโค้ด ✅ การใช้งาน Private LLM บน iPhone ➡️ ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากติดตั้ง ➡️ ไม่มีการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ➡️ รองรับโมเดลหลากหลาย เช่น Llama, Gemma, Mistral ➡️ ปรับแต่ง system prompt ได้ตามต้องการ ➡️ ใช้งานได้บน iPhone, iPad และ Mac ด้วยการซื้อครั้งเดียว ✅ การเลือกโมเดล AI ที่เหมาะสม ➡️ โมเดลขนาดเล็ก (เช่น StableLM 2 ขนาด 1.6B) ทำงานเร็วกว่า ➡️ โมเดลขนาดใหญ่ (เช่น Llama 3.1 ขนาด 8B) ให้ผลลัพธ์ซับซ้อนแต่ช้ากว่า ✅ การปรับค่า temperature เพื่อควบคุมพฤติกรรม AI ➡️ ค่าสูง = คำตอบสร้างสรรค์ เหมาะกับบทสนทนา ➡️ ค่าต่ำ = คำตอบแม่นยำ เหมาะกับงานวิเคราะห์ ‼️ คำเตือนเรื่องการเลือกโมเดล ⛔ โมเดลขนาดใหญ่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมาก และอาจทำให้เครื่องช้าลง ⛔ ต้องมีพื้นที่ว่างหลาย GB เพื่อดาวน์โหลดโมเดล ‼️ คำเตือนเรื่องการตั้งค่า temperature ⛔ ค่าสูงเกินไปอาจทำให้คำตอบไม่แม่นยำ ⛔ ค่าต่ำเกินไปอาจทำให้คำตอบดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ https://www.slashgear.com/2006210/how-to-run-ai-chatbot-iphone-locally-guide/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How To Run An AI Chatbot Locally On Your iPhone - SlashGear
    AI chatbots are increasingly popular, but several users have privacy concerns. If you want to avoid the risk, there are ways to run your own locally.
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: "เมื่อสิ่งที่ไม่ใช่คน กลายเป็นบุคคลตามกฎหมาย "

    ลองจินตนาการดูว่า...เรือ แม่น้ำ หรือแม้แต่เทพเจ้า กลายเป็น “บุคคล” ที่สามารถฟ้องร้องหรือถูกฟ้องได้ในศาล! ฟังดูเหมือนนิยายแฟนตาซี แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในหลายประเทศทั่วโลก และมีเหตุผลทางกฎหมายที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

    เรือ: บุคคลแห่งท้องทะเล
    ในโลกของกฎหมายทางทะเล เรือไม่ได้เป็นแค่ยานพาหนะ แต่เป็น “บุคคล” ที่สามารถถูกฟ้องร้องได้หากก่อความเสียหาย เช่น ชนท่าเรือหรือทำให้ทรัพย์สินเสียหาย โดยไม่ต้องรอให้เจ้าของเรือมารับผิดชอบ

    เรือมีสถานะเป็น “บุคคลตามกฎหมาย” เพื่อให้สามารถถูกยึดหรือฟ้องร้องได้
    สิ่งนี้ช่วยให้เจ้าท่าและผู้เสียหายสามารถดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องตามหาเจ้าของเรือที่อาจอยู่ไกลหลายพันไมล์

    เรือมี “สิทธิในการกู้ภัย” (Salvage Rights)
    หากเรือลำหนึ่งช่วยอีกลำหนึ่งจากอันตรายกลางทะเล จะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนตามหลัก “no cure, no pay”


    แม่น้ำ Whanganui: วิญญาณแห่งธรรมชาติที่มีสิทธิ์ตามกฎหมาย
    ในปี 2017 รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ประกาศให้แม่น้ำ Whanganui เป็น “บุคคลตามกฎหมาย” เพื่อยอมรับความเชื่อของชาวเมารีที่มองว่าแม่น้ำคือบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    แม่น้ำ Whanganui ได้รับสถานะเป็น “บุคคล” พร้อมสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบตามกฎหมาย
    มีผู้ดูแล 2 ฝ่าย: ตัวแทนจากรัฐบาลและตัวแทนจากชนเผ่าเมารี

    รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูแม่น้ำและดูแลผลประโยชน์ของแม่น้ำในระยะยาว
    รวมกว่า 110 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์


    เทพเจ้าในศาสนาฮินดู: ผู้ถือครองทรัพย์สินและสิทธิในศาล
    ในอินเดีย เทพเจ้าฮินดูถือเป็น “บุคคลตามกฎหมาย” ที่สามารถถือครองทรัพย์สินและมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรมได้ โดยมี “ผู้ดูแล” หรือ “เพื่อนสนิท” เป็นผู้ดำเนินการแทน

    เทพเจ้าฮินดูมีสถานะเป็น “บุคคลทางกฎหมาย” (juristic person)
    สามารถถือครองที่ดินและทรัพย์สินได้

    มี “ผู้ดูแล” (shebait) หรือ “เพื่อนสนิท” ที่เป็นตัวแทนในการดำเนินคดีแทนเทพเจ้า
    หากผู้ดูแลไม่ซื่อสัตย์ ผู้ศรัทธาคนอื่นสามารถฟ้องแทนเทพเจ้าได้

    คดีสำคัญ เช่น คดีที่ดินในเมืองอยุธยา (Ayodhya) ที่ศาลสูงสุดตัดสินให้เทพเจ้ารามเป็นเจ้าของที่ดิน
    มีการจัดตั้งทรัสต์เพื่อดูแลทรัพย์สินของเทพเจ้า


    เสริมความรู้: “บุคคลตามกฎหมาย” คืออะไร?
    คำว่า “บุคคลตามกฎหมาย” (legal person) ไม่ได้หมายถึงมนุษย์เท่านั้น แต่รวมถึงองค์กร บริษัท หรือแม้แต่สิ่งไม่มีชีวิตที่กฎหมายให้สิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคล

    ตัวอย่างของบุคคลตามกฎหมาย:
    บริษัท ห้างหุ้นส่วน มูลนิธิ
    เรือ แม่น้ำ เทพเจ้า (ในบางประเทศ)

    บุคคลตามกฎหมายไม่ได้มีสิทธิเหมือนมนุษย์ทุกประการ
    เช่น ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง หรือสิทธิในชีวิตส่วนตัว

    https://bengoldhaber.substack.com/p/unexpected-things-that-are-people
    📰 หัวข้อข่าว: "เมื่อสิ่งที่ไม่ใช่คน กลายเป็นบุคคลตามกฎหมาย 🤖⚖️" ลองจินตนาการดูว่า...เรือ แม่น้ำ หรือแม้แต่เทพเจ้า กลายเป็น “บุคคล” ที่สามารถฟ้องร้องหรือถูกฟ้องได้ในศาล! ฟังดูเหมือนนิยายแฟนตาซี แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในหลายประเทศทั่วโลก และมีเหตุผลทางกฎหมายที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว 🔖🔖🔖🔖🔖 🛳️ เรือ: บุคคลแห่งท้องทะเล ในโลกของกฎหมายทางทะเล เรือไม่ได้เป็นแค่ยานพาหนะ แต่เป็น “บุคคล” ที่สามารถถูกฟ้องร้องได้หากก่อความเสียหาย เช่น ชนท่าเรือหรือทำให้ทรัพย์สินเสียหาย โดยไม่ต้องรอให้เจ้าของเรือมารับผิดชอบ ✅ เรือมีสถานะเป็น “บุคคลตามกฎหมาย” เพื่อให้สามารถถูกยึดหรือฟ้องร้องได้ ➡️ สิ่งนี้ช่วยให้เจ้าท่าและผู้เสียหายสามารถดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องตามหาเจ้าของเรือที่อาจอยู่ไกลหลายพันไมล์ ✅ เรือมี “สิทธิในการกู้ภัย” (Salvage Rights) ➡️ หากเรือลำหนึ่งช่วยอีกลำหนึ่งจากอันตรายกลางทะเล จะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนตามหลัก “no cure, no pay” 🔖🔖🔖🔖🔖 🌊 แม่น้ำ Whanganui: วิญญาณแห่งธรรมชาติที่มีสิทธิ์ตามกฎหมาย ในปี 2017 รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ประกาศให้แม่น้ำ Whanganui เป็น “บุคคลตามกฎหมาย” เพื่อยอมรับความเชื่อของชาวเมารีที่มองว่าแม่น้ำคือบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ✅ แม่น้ำ Whanganui ได้รับสถานะเป็น “บุคคล” พร้อมสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบตามกฎหมาย ➡️ มีผู้ดูแล 2 ฝ่าย: ตัวแทนจากรัฐบาลและตัวแทนจากชนเผ่าเมารี ✅ รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูแม่น้ำและดูแลผลประโยชน์ของแม่น้ำในระยะยาว ➡️ รวมกว่า 110 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ 🔖🔖🔖🔖🔖 🛕 เทพเจ้าในศาสนาฮินดู: ผู้ถือครองทรัพย์สินและสิทธิในศาล ในอินเดีย เทพเจ้าฮินดูถือเป็น “บุคคลตามกฎหมาย” ที่สามารถถือครองทรัพย์สินและมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรมได้ โดยมี “ผู้ดูแล” หรือ “เพื่อนสนิท” เป็นผู้ดำเนินการแทน ✅ เทพเจ้าฮินดูมีสถานะเป็น “บุคคลทางกฎหมาย” (juristic person) ➡️ สามารถถือครองที่ดินและทรัพย์สินได้ ✅ มี “ผู้ดูแล” (shebait) หรือ “เพื่อนสนิท” ที่เป็นตัวแทนในการดำเนินคดีแทนเทพเจ้า ➡️ หากผู้ดูแลไม่ซื่อสัตย์ ผู้ศรัทธาคนอื่นสามารถฟ้องแทนเทพเจ้าได้ ✅ คดีสำคัญ เช่น คดีที่ดินในเมืองอยุธยา (Ayodhya) ที่ศาลสูงสุดตัดสินให้เทพเจ้ารามเป็นเจ้าของที่ดิน ➡️ มีการจัดตั้งทรัสต์เพื่อดูแลทรัพย์สินของเทพเจ้า 🔖🔖🔖🔖🔖 🧠 เสริมความรู้: “บุคคลตามกฎหมาย” คืออะไร? คำว่า “บุคคลตามกฎหมาย” (legal person) ไม่ได้หมายถึงมนุษย์เท่านั้น แต่รวมถึงองค์กร บริษัท หรือแม้แต่สิ่งไม่มีชีวิตที่กฎหมายให้สิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคล ✅ ตัวอย่างของบุคคลตามกฎหมาย: ➡️ บริษัท ห้างหุ้นส่วน มูลนิธิ ➡️ เรือ แม่น้ำ เทพเจ้า (ในบางประเทศ) ‼️ บุคคลตามกฎหมายไม่ได้มีสิทธิเหมือนมนุษย์ทุกประการ ⛔ เช่น ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง หรือสิทธิในชีวิตส่วนตัว https://bengoldhaber.substack.com/p/unexpected-things-that-are-people
    0 Comments 0 Shares 414 Views 0 Reviews
  • หุ่นยนต์ร่วมงานยุคใหม่! Microsoft เตรียมเปิดตัว “Agentic Users” ที่มีตัวตนในองค์กร

    Microsoft กำลังพลิกโฉมแนวคิดการทำงานร่วมกับ AI ด้วยการเปิดตัว “Agentic Users” — หุ่นยนต์ผู้ช่วยที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “เพื่อนร่วมงาน” ที่มีตัวตนในระบบองค์กรอย่างแท้จริง!

    ลองจินตนาการว่าในทีมของคุณมีสมาชิกใหม่ที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่สามารถเข้าร่วมประชุม, ส่งอีเมล, แก้ไขเอกสาร และทำงานร่วมกับคุณได้อย่างคล่องแคล่ว — นี่คือสิ่งที่ Microsoft กำลังจะเปิดตัวในชื่อ “Agentic Users” ภายในเดือนพฤศจิกายน 2025

    Agentic Users จะมี “ตัวตน” ในระบบองค์กร เช่น มีบัญชีอีเมลของตัวเอง, เข้าถึง Microsoft Teams และแอปอื่น ๆ ได้เหมือนพนักงานคนหนึ่ง โดยใช้ระบบ Entra ID หรือ Azure ID เพื่อระบุตัวตน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ พวกเขาจะสามารถทำงานได้อย่างอิสระ เช่น เข้าร่วมประชุมแทนคุณ, ตอบอีเมล, หรือแม้แต่แก้ไขเอกสารโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์ทุกครั้ง — นี่คือการเปลี่ยนแปลงจาก “Copilot” ที่เป็นผู้ช่วย มาเป็น “Agent” ที่เป็นผู้ร่วมงาน

    แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์ “AI as a teammate” ที่กำลังเติบโตในหลายองค์กร เช่น Salesforce ที่เชื่อว่า CEO ในอนาคตจะต้องบริหารทั้งมนุษย์และ AI ไปพร้อมกัน

    นอกจากนี้ยังมีการพูดถึง “Agent Mode” ที่จะถูกฝังในแอป Office เช่น Word และ Excel เพื่อให้ AI เข้าใจบริบทของงานและทำงานได้อย่างมีอารมณ์ร่วม — หรือที่ Microsoft เรียกว่า “vibe working”

    Microsoft เตรียมเปิดตัว Agentic Users ในเดือนพฤศจิกายน 2025
    เป็น AI ที่มีตัวตนในระบบองค์กร เช่น มีอีเมลและบัญชี Teams
    ใช้ Entra ID หรือ Azure ID เพื่อระบุตัวตน
    สามารถเข้าร่วมประชุม, แก้ไขเอกสาร, ส่งอีเมล และทำงานร่วมกับมนุษย์ได้
    มีการติดตามผ่าน Microsoft 365 Roadmap ภายใต้ชื่อ “Discovery and creation of Agentic Users”

    แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์ AI ร่วมงานในองค์กร
    Salesforce เชื่อว่า CEO ในอนาคตจะบริหารทั้งคนและ AI
    Microsoft กำลังผลักดัน Agent Mode ในแอป Office เพื่อให้ AI ทำงานแบบมี “vibe”

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-working-on-a-new-class-of-ai-agents-that-could-change-everything-in-your-workforce
    🧠 หุ่นยนต์ร่วมงานยุคใหม่! Microsoft เตรียมเปิดตัว “Agentic Users” ที่มีตัวตนในองค์กร Microsoft กำลังพลิกโฉมแนวคิดการทำงานร่วมกับ AI ด้วยการเปิดตัว “Agentic Users” — หุ่นยนต์ผู้ช่วยที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “เพื่อนร่วมงาน” ที่มีตัวตนในระบบองค์กรอย่างแท้จริง! ลองจินตนาการว่าในทีมของคุณมีสมาชิกใหม่ที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่สามารถเข้าร่วมประชุม, ส่งอีเมล, แก้ไขเอกสาร และทำงานร่วมกับคุณได้อย่างคล่องแคล่ว — นี่คือสิ่งที่ Microsoft กำลังจะเปิดตัวในชื่อ “Agentic Users” ภายในเดือนพฤศจิกายน 2025 Agentic Users จะมี “ตัวตน” ในระบบองค์กร เช่น มีบัญชีอีเมลของตัวเอง, เข้าถึง Microsoft Teams และแอปอื่น ๆ ได้เหมือนพนักงานคนหนึ่ง โดยใช้ระบบ Entra ID หรือ Azure ID เพื่อระบุตัวตน สิ่งที่น่าสนใจคือ พวกเขาจะสามารถทำงานได้อย่างอิสระ เช่น เข้าร่วมประชุมแทนคุณ, ตอบอีเมล, หรือแม้แต่แก้ไขเอกสารโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์ทุกครั้ง — นี่คือการเปลี่ยนแปลงจาก “Copilot” ที่เป็นผู้ช่วย มาเป็น “Agent” ที่เป็นผู้ร่วมงาน แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์ “AI as a teammate” ที่กำลังเติบโตในหลายองค์กร เช่น Salesforce ที่เชื่อว่า CEO ในอนาคตจะต้องบริหารทั้งมนุษย์และ AI ไปพร้อมกัน นอกจากนี้ยังมีการพูดถึง “Agent Mode” ที่จะถูกฝังในแอป Office เช่น Word และ Excel เพื่อให้ AI เข้าใจบริบทของงานและทำงานได้อย่างมีอารมณ์ร่วม — หรือที่ Microsoft เรียกว่า “vibe working” ✅ Microsoft เตรียมเปิดตัว Agentic Users ในเดือนพฤศจิกายน 2025 ➡️ เป็น AI ที่มีตัวตนในระบบองค์กร เช่น มีอีเมลและบัญชี Teams ➡️ ใช้ Entra ID หรือ Azure ID เพื่อระบุตัวตน ➡️ สามารถเข้าร่วมประชุม, แก้ไขเอกสาร, ส่งอีเมล และทำงานร่วมกับมนุษย์ได้ ➡️ มีการติดตามผ่าน Microsoft 365 Roadmap ภายใต้ชื่อ “Discovery and creation of Agentic Users” ✅ แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์ AI ร่วมงานในองค์กร ➡️ Salesforce เชื่อว่า CEO ในอนาคตจะบริหารทั้งคนและ AI ➡️ Microsoft กำลังผลักดัน Agent Mode ในแอป Office เพื่อให้ AI ทำงานแบบมี “vibe” https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-working-on-a-new-class-of-ai-agents-that-could-change-everything-in-your-workforce
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • “OnePlus 15” กับการตัดสินใจไม่ใส่แม่เหล็ก: เพราะแบตใหญ่สำคัญกว่า?

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังถือสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สุดในตลาด แต่ต้องแลกกับการไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่องสำหรับการชาร์จแบบ MagSafe เหมือน Pixel หรือ iPhone… นี่คือแนวทางที่ OnePlus เลือกเดินในรุ่นล่าสุด “OnePlus 15”

    OnePlus 15 เตรียมเปิดตัวทั่วโลกในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ พร้อมแบตเตอรี่ขนาดมหึมา 7,300mAh ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้า OnePlus 13 ถึง 22% และใหญ่กว่าคู่แข่งอย่าง Pixel 10 Pro XL ถึง 40% เลยทีเดียว

    แต่สิ่งที่หายไปคือ “แม่เหล็ก” ที่ใช้สำหรับการยึดติดกับแท่นชาร์จไร้สายแบบ MagSafe หรือ PixelSnap ซึ่ง Google และ Apple ใช้กันอย่างแพร่หลาย

    ทำไมถึงไม่ใส่แม่เหล็ก?
    Rudolf Xu ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของ OnePlus อธิบายว่า “แม่เหล็กมันหนักเกินไป” และพื้นที่ภายในเครื่องถูกจัดสรรไว้ให้กับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่และขดลวดชาร์จไร้สายแล้ว หากเพิ่มแม่เหล็กเข้าไปจะต้องลดขนาดแบตลง ซึ่งขัดกับเป้าหมายของ OnePlus ที่ต้องการเป็นผู้นำด้านความอึดของแบต

    แล้วจะใช้งานกับอุปกรณ์แม่เหล็กได้ไหม?
    OnePlus มีทางออกคือ “เคสแม่เหล็ก” ที่ออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับแท่นชาร์จในรถยนต์หรือขาตั้งแบบแม่เหล็กได้ ซึ่งคล้ายกับแนวทางของ Samsung ที่ไม่ใส่ Qi2 ในตัวเครื่อง แต่ให้เคสรองรับแทน

    จุดเด่นของ OnePlus 15
    แบตเตอรี่ขนาด 7,300mAh ใหญ่ที่สุดในกลุ่มเรือธง
    รองรับชาร์จไว 120W แบบสาย และ 50W แบบไร้สาย
    ไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่องเพื่อรักษาน้ำหนักและพื้นที่แบตเตอรี่
    ใช้เคสแม่เหล็กเป็นทางเลือกสำหรับการใช้งานกับแท่นชาร์จ

    เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจ
    แม่เหล็กเพิ่มน้ำหนักและกินพื้นที่ภายใน
    การตัดแม่เหล็กออกช่วยให้ใส่แบตใหญ่ขึ้น
    แนวทางเดียวกับ Samsung ที่ใช้เคสรองรับ Qi2 แทน

    เปรียบเทียบกับคู่แข่ง
    Pixel 10 Pro XL มีแบต 5,200mAh
    iPhone 17 Pro Max คาดว่ามีแบตประมาณ 5,088mAh
    OnePlus 15 เหนือกว่าด้านความจุแบตอย่างชัดเจน

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    ไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่อง อาจไม่สะดวกกับแท่นชาร์จแม่เหล็กทั่วไป
    ต้องซื้อเคสแม่เหล็กแยกต่างหาก หากต้องการใช้งานแบบ MagSafe
    น้ำหนักเครื่องอาจมากขึ้นจากแบตเตอรี่ขนาดใหญ่

    https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/magnets-are-too-heavy-oneplus-exec-explains-why-the-oneplus-15-doesnt-have-pixel-style-magnetic-charging
    📱 “OnePlus 15” กับการตัดสินใจไม่ใส่แม่เหล็ก: เพราะแบตใหญ่สำคัญกว่า? ลองจินตนาการว่าคุณกำลังถือสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สุดในตลาด แต่ต้องแลกกับการไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่องสำหรับการชาร์จแบบ MagSafe เหมือน Pixel หรือ iPhone… นี่คือแนวทางที่ OnePlus เลือกเดินในรุ่นล่าสุด “OnePlus 15” OnePlus 15 เตรียมเปิดตัวทั่วโลกในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ พร้อมแบตเตอรี่ขนาดมหึมา 7,300mAh ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้า OnePlus 13 ถึง 22% และใหญ่กว่าคู่แข่งอย่าง Pixel 10 Pro XL ถึง 40% เลยทีเดียว แต่สิ่งที่หายไปคือ “แม่เหล็ก” ที่ใช้สำหรับการยึดติดกับแท่นชาร์จไร้สายแบบ MagSafe หรือ PixelSnap ซึ่ง Google และ Apple ใช้กันอย่างแพร่หลาย 🧲 ทำไมถึงไม่ใส่แม่เหล็ก? Rudolf Xu ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของ OnePlus อธิบายว่า “แม่เหล็กมันหนักเกินไป” และพื้นที่ภายในเครื่องถูกจัดสรรไว้ให้กับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่และขดลวดชาร์จไร้สายแล้ว หากเพิ่มแม่เหล็กเข้าไปจะต้องลดขนาดแบตลง ซึ่งขัดกับเป้าหมายของ OnePlus ที่ต้องการเป็นผู้นำด้านความอึดของแบต 🚗 แล้วจะใช้งานกับอุปกรณ์แม่เหล็กได้ไหม? OnePlus มีทางออกคือ “เคสแม่เหล็ก” ที่ออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับแท่นชาร์จในรถยนต์หรือขาตั้งแบบแม่เหล็กได้ ซึ่งคล้ายกับแนวทางของ Samsung ที่ไม่ใส่ Qi2 ในตัวเครื่อง แต่ให้เคสรองรับแทน ✅ จุดเด่นของ OnePlus 15 ➡️ แบตเตอรี่ขนาด 7,300mAh ใหญ่ที่สุดในกลุ่มเรือธง ➡️ รองรับชาร์จไว 120W แบบสาย และ 50W แบบไร้สาย ➡️ ไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่องเพื่อรักษาน้ำหนักและพื้นที่แบตเตอรี่ ➡️ ใช้เคสแม่เหล็กเป็นทางเลือกสำหรับการใช้งานกับแท่นชาร์จ ✅ เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจ ➡️ แม่เหล็กเพิ่มน้ำหนักและกินพื้นที่ภายใน ➡️ การตัดแม่เหล็กออกช่วยให้ใส่แบตใหญ่ขึ้น ➡️ แนวทางเดียวกับ Samsung ที่ใช้เคสรองรับ Qi2 แทน ✅ เปรียบเทียบกับคู่แข่ง ➡️ Pixel 10 Pro XL มีแบต 5,200mAh ➡️ iPhone 17 Pro Max คาดว่ามีแบตประมาณ 5,088mAh ➡️ OnePlus 15 เหนือกว่าด้านความจุแบตอย่างชัดเจน ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ ไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่อง อาจไม่สะดวกกับแท่นชาร์จแม่เหล็กทั่วไป ⛔ ต้องซื้อเคสแม่เหล็กแยกต่างหาก หากต้องการใช้งานแบบ MagSafe ⛔ น้ำหนักเครื่องอาจมากขึ้นจากแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/magnets-are-too-heavy-oneplus-exec-explains-why-the-oneplus-15-doesnt-have-pixel-style-magnetic-charging
    0 Comments 0 Shares 254 Views 0 Reviews
  • “The Phantom – จอคอมโปร่งใสตัวแรกของโลก! สว่างถึง 5,000 nits พร้อมเปิดตัวปลายปีนี้”

    Virtual Instruments เปิดตัว “The Phantom” จอคอมพิวเตอร์โปร่งใสขนาด 24 นิ้ว ความละเอียด 4K ที่เคลมว่าเป็นจอโปร่งใสตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป พร้อมความสว่าง HDR สูงถึง 5,000 nits เตรียมวางจำหน่ายในไตรมาส 4 ปี 2025

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังใช้จอคอมพิวเตอร์ที่ “มองทะลุได้” เหมือนกระจก แต่ยังแสดงภาพ 4K ได้อย่างคมชัดและสว่างจ้า—นั่นคือสิ่งที่ “The Phantom” จาก Virtual Instruments กำลังจะนำเสนอในตลาดปลายปีนี้

    จอขนาด 24 นิ้วนี้ใช้เทคโนโลยีโปร่งใสแบบใหม่ที่ไม่ต้องพึ่ง OLED หรือ MicroLED เหมือนจอโปร่งใสในงานโชว์ของ LG หรือ Samsung แต่เป็นการออกแบบเพื่อใช้งานจริงในบ้านหรือสำนักงาน โดยเน้นความสว่างสูงถึง 5,000 nits ซึ่งมากกว่าจอ HDR ทั่วไปหลายเท่า ทำให้สามารถใช้งานในพื้นที่ที่มีแสงจ้าได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพภาพ

    ความละเอียดระดับ 4K บนจอโปร่งใสขนาดเล็กถือเป็นความท้าทายด้านวิศวกรรมอย่างมาก และ Virtual Instruments เคลมว่า The Phantom สามารถแสดงภาพ 3D และวิดีโอแบบเต็มสีได้โดยไม่ลดทอนความโปร่งใสของแผงจอ

    นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้รองรับการใช้งานร่วมกับระบบ AR และการนำเสนอแบบโฮโลกราฟิกในอนาคต โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อมาตรฐาน เช่น HDMI และ USB-C พร้อมขาตั้งแบบโมดูลาร์ที่สามารถปรับระดับและหมุนได้

    สเปกของ The Phantom
    ขนาด 24 นิ้ว
    ความละเอียด 4K
    ความสว่าง HDR สูงถึง 5,000 nits
    โปร่งใสแบบเต็มแผงจอ
    รองรับการแสดงภาพ 3D และวิดีโอสีเต็มรูปแบบ

    เทคโนโลยีที่ใช้
    ไม่ใช่ OLED หรือ MicroLED
    ใช้เทคโนโลยีโปร่งใสแบบใหม่ที่ออกแบบเพื่อการใช้งานจริง
    รองรับการใช้งานในพื้นที่แสงจ้า

    การใช้งานและการเชื่อมต่อ
    รองรับ HDMI และ USB-C
    ขาตั้งแบบปรับระดับได้
    เตรียมรองรับระบบ AR และโฮโลกราฟิกในอนาคต

    กำหนดการเปิดตัว
    วางจำหน่ายในไตรมาส 4 ปี 2025
    เจาะกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและนักพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย

    ข้อจำกัดของจอโปร่งใส
    อาจมีความเปรียบต่างต่ำเมื่อใช้งานในพื้นที่มืด
    การแสดงภาพสีเข้มอาจไม่ชัดเจนเท่าจอทั่วไป
    ราคาอาจสูงกว่าจอทั่วไปอย่างมาก

    ความเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์
    ยังไม่มีการประกาศรองรับระบบ AR หรือโฮโลกราฟิกอย่างเป็นทางการ
    ต้องรอการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้ประโยชน์จากความโปร่งใส

    https://www.tomshardware.com/monitors/the-phantom-claims-to-be-the-worlds-first-transparent-computer-monitor-touts-5-000-nits-of-hdr-brightness-24-inch-4k-panel-from-virtual-instruments-launches-q4
    🖥️ “The Phantom – จอคอมโปร่งใสตัวแรกของโลก! สว่างถึง 5,000 nits พร้อมเปิดตัวปลายปีนี้” Virtual Instruments เปิดตัว “The Phantom” จอคอมพิวเตอร์โปร่งใสขนาด 24 นิ้ว ความละเอียด 4K ที่เคลมว่าเป็นจอโปร่งใสตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป พร้อมความสว่าง HDR สูงถึง 5,000 nits เตรียมวางจำหน่ายในไตรมาส 4 ปี 2025 ลองจินตนาการว่าคุณกำลังใช้จอคอมพิวเตอร์ที่ “มองทะลุได้” เหมือนกระจก แต่ยังแสดงภาพ 4K ได้อย่างคมชัดและสว่างจ้า—นั่นคือสิ่งที่ “The Phantom” จาก Virtual Instruments กำลังจะนำเสนอในตลาดปลายปีนี้ จอขนาด 24 นิ้วนี้ใช้เทคโนโลยีโปร่งใสแบบใหม่ที่ไม่ต้องพึ่ง OLED หรือ MicroLED เหมือนจอโปร่งใสในงานโชว์ของ LG หรือ Samsung แต่เป็นการออกแบบเพื่อใช้งานจริงในบ้านหรือสำนักงาน โดยเน้นความสว่างสูงถึง 5,000 nits ซึ่งมากกว่าจอ HDR ทั่วไปหลายเท่า ทำให้สามารถใช้งานในพื้นที่ที่มีแสงจ้าได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพภาพ ความละเอียดระดับ 4K บนจอโปร่งใสขนาดเล็กถือเป็นความท้าทายด้านวิศวกรรมอย่างมาก และ Virtual Instruments เคลมว่า The Phantom สามารถแสดงภาพ 3D และวิดีโอแบบเต็มสีได้โดยไม่ลดทอนความโปร่งใสของแผงจอ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้รองรับการใช้งานร่วมกับระบบ AR และการนำเสนอแบบโฮโลกราฟิกในอนาคต โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อมาตรฐาน เช่น HDMI และ USB-C พร้อมขาตั้งแบบโมดูลาร์ที่สามารถปรับระดับและหมุนได้ ✅ สเปกของ The Phantom ➡️ ขนาด 24 นิ้ว ➡️ ความละเอียด 4K ➡️ ความสว่าง HDR สูงถึง 5,000 nits ➡️ โปร่งใสแบบเต็มแผงจอ ➡️ รองรับการแสดงภาพ 3D และวิดีโอสีเต็มรูปแบบ ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ ไม่ใช่ OLED หรือ MicroLED ➡️ ใช้เทคโนโลยีโปร่งใสแบบใหม่ที่ออกแบบเพื่อการใช้งานจริง ➡️ รองรับการใช้งานในพื้นที่แสงจ้า ✅ การใช้งานและการเชื่อมต่อ ➡️ รองรับ HDMI และ USB-C ➡️ ขาตั้งแบบปรับระดับได้ ➡️ เตรียมรองรับระบบ AR และโฮโลกราฟิกในอนาคต ✅ กำหนดการเปิดตัว ➡️ วางจำหน่ายในไตรมาส 4 ปี 2025 ➡️ เจาะกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและนักพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย ‼️ ข้อจำกัดของจอโปร่งใส ⛔ อาจมีความเปรียบต่างต่ำเมื่อใช้งานในพื้นที่มืด ⛔ การแสดงภาพสีเข้มอาจไม่ชัดเจนเท่าจอทั่วไป ⛔ ราคาอาจสูงกว่าจอทั่วไปอย่างมาก ‼️ ความเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์ ⛔ ยังไม่มีการประกาศรองรับระบบ AR หรือโฮโลกราฟิกอย่างเป็นทางการ ⛔ ต้องรอการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้ประโยชน์จากความโปร่งใส https://www.tomshardware.com/monitors/the-phantom-claims-to-be-the-worlds-first-transparent-computer-monitor-touts-5-000-nits-of-hdr-brightness-24-inch-4k-panel-from-virtual-instruments-launches-q4
    0 Comments 0 Shares 254 Views 0 Reviews
  • “Compaq Portable จุดเริ่มต้นของยุค PC Clone ที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์”

    ลองจินตนาการย้อนกลับไปในปี 1982… โลกคอมพิวเตอร์ยังถูกครอบครองโดย IBM อย่างเบ็ดเสร็จ แต่แล้วบริษัทหน้าใหม่ชื่อ Compaq ก็เปิดตัว “Compaq Portable” คอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกที่สามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ของ IBM ได้แบบ 100% โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น!

    เครื่องนี้หนักถึง 28 ปอนด์ (ประมาณ 12.7 กิโลกรัม) แต่ถือว่า “พกพาได้” ในยุคนั้น เพราะมันรวมทุกอย่างไว้ในกล่องเดียว—จอภาพ, คีย์บอร์ด, ดิสก์ไดรฟ์ และพอร์ตเชื่อมต่อ พร้อมระบบปฏิบัติการ Compaq DOS ที่เป็นเวอร์ชันพิเศษของ MS-DOS

    สิ่งที่ทำให้ Compaq โดดเด่นคือการ “reverse-engineer” BIOS ของ IBM โดยไม่ใช้โค้ดต้นฉบับเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งถือเป็นการหลบหลีกข้อกฎหมายอย่างชาญฉลาด และกลายเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่น ๆ ทำตาม จนเกิดยุค “PC Clone” ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ราคาถูกและหลากหลายแพร่หลายไปทั่วโลก

    ในปีแรก Compaq ขายได้ถึง 53,000 เครื่อง สร้างรายได้กว่า 111 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของธุรกิจอเมริกันในขณะนั้น และ IBM เองก็ต้องออกเครื่องพกพาของตัวเองในปีถัดมาเพื่อแข่งขัน

    นอกจากนั้น Compaq ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่ HP จะเข้าซื้อกิจการในปี 2002 และยุติแบรนด์ Compaq ในปี 2013

    จุดเริ่มต้นของ Compaq Portable
    เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 1982
    เป็น IBM PC Clone เครื่องแรกที่ถูกกฎหมาย
    ใช้ Intel 8088 ความเร็ว 4.77 MHz
    RAM เริ่มต้น 128KB ขยายได้ถึง 640KB
    จอภาพขนาด 9 นิ้วแบบเขียวขาว
    รองรับกราฟิก CGA และแสดงผล 80x25 ตัวอักษร
    ใช้ Compaq DOS ซึ่งเป็น MS-DOS เวอร์ชันพิเศษ
    ราคาเปิดตัว $2,995 (~$9,500 ปัจจุบัน)

    กลยุทธ์ reverse-engineering BIOS
    ไม่ใช้โค้ด IBM เลย
    หลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์
    ทำให้สามารถโฆษณาว่า “100% compatible” ได้

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    ขายได้ 53,000 เครื่องในปีแรก
    สร้างรายได้ $111 ล้าน
    จุดประกายยุค PC Clone
    IBM ต้องออกเครื่องพกพาแข่งในปี 1984

    ความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
    Compaq ถูก HP ซื้อกิจการในปี 2002
    แบรนด์ Compaq ถูกยุติในปี 2013
    เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์

    คำเตือนด้านเทคโนโลยีในยุคนั้น
    น้ำหนักเครื่องถึง 28 ปอนด์—ไม่เหมาะกับการพกพาจริง
    หน่วยความจำและกราฟิกจำกัดมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน
    การ reverse-engineering BIOS แม้ถูกกฎหมาย แต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง
    การแข่งขันกับ IBM ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในช่วงแรก

    https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/this-week-in-1982-compaq-announced-the-first-true-ibm-pc-clone-it-was-a-portable-too-as-long-as-you-were-comfortable-lugging-28-pounds
    🖥️ “Compaq Portable จุดเริ่มต้นของยุค PC Clone ที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์” ลองจินตนาการย้อนกลับไปในปี 1982… โลกคอมพิวเตอร์ยังถูกครอบครองโดย IBM อย่างเบ็ดเสร็จ แต่แล้วบริษัทหน้าใหม่ชื่อ Compaq ก็เปิดตัว “Compaq Portable” คอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกที่สามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ของ IBM ได้แบบ 100% โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น! เครื่องนี้หนักถึง 28 ปอนด์ (ประมาณ 12.7 กิโลกรัม) แต่ถือว่า “พกพาได้” ในยุคนั้น เพราะมันรวมทุกอย่างไว้ในกล่องเดียว—จอภาพ, คีย์บอร์ด, ดิสก์ไดรฟ์ และพอร์ตเชื่อมต่อ พร้อมระบบปฏิบัติการ Compaq DOS ที่เป็นเวอร์ชันพิเศษของ MS-DOS สิ่งที่ทำให้ Compaq โดดเด่นคือการ “reverse-engineer” BIOS ของ IBM โดยไม่ใช้โค้ดต้นฉบับเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งถือเป็นการหลบหลีกข้อกฎหมายอย่างชาญฉลาด และกลายเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่น ๆ ทำตาม จนเกิดยุค “PC Clone” ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ราคาถูกและหลากหลายแพร่หลายไปทั่วโลก 📈 ในปีแรก Compaq ขายได้ถึง 53,000 เครื่อง สร้างรายได้กว่า 111 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของธุรกิจอเมริกันในขณะนั้น และ IBM เองก็ต้องออกเครื่องพกพาของตัวเองในปีถัดมาเพื่อแข่งขัน นอกจากนั้น Compaq ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่ HP จะเข้าซื้อกิจการในปี 2002 และยุติแบรนด์ Compaq ในปี 2013 ✅ จุดเริ่มต้นของ Compaq Portable ➡️ เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 1982 ➡️ เป็น IBM PC Clone เครื่องแรกที่ถูกกฎหมาย ➡️ ใช้ Intel 8088 ความเร็ว 4.77 MHz ➡️ RAM เริ่มต้น 128KB ขยายได้ถึง 640KB ➡️ จอภาพขนาด 9 นิ้วแบบเขียวขาว ➡️ รองรับกราฟิก CGA และแสดงผล 80x25 ตัวอักษร ➡️ ใช้ Compaq DOS ซึ่งเป็น MS-DOS เวอร์ชันพิเศษ ➡️ ราคาเปิดตัว $2,995 (~$9,500 ปัจจุบัน) ✅ กลยุทธ์ reverse-engineering BIOS ➡️ ไม่ใช้โค้ด IBM เลย ➡️ หลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์ ➡️ ทำให้สามารถโฆษณาว่า “100% compatible” ได้ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ ขายได้ 53,000 เครื่องในปีแรก ➡️ สร้างรายได้ $111 ล้าน ➡️ จุดประกายยุค PC Clone ➡️ IBM ต้องออกเครื่องพกพาแข่งในปี 1984 ✅ ความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ➡️ Compaq ถูก HP ซื้อกิจการในปี 2002 ➡️ แบรนด์ Compaq ถูกยุติในปี 2013 ➡️ เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ ‼️ คำเตือนด้านเทคโนโลยีในยุคนั้น ⛔ น้ำหนักเครื่องถึง 28 ปอนด์—ไม่เหมาะกับการพกพาจริง ⛔ หน่วยความจำและกราฟิกจำกัดมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน ⛔ การ reverse-engineering BIOS แม้ถูกกฎหมาย แต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง ⛔ การแข่งขันกับ IBM ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในช่วงแรก https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/this-week-in-1982-compaq-announced-the-first-true-ibm-pc-clone-it-was-a-portable-too-as-long-as-you-were-comfortable-lugging-28-pounds
    0 Comments 0 Shares 363 Views 0 Reviews
  • O.P.K.
    เจาะลึก "เณรพุทธ" : เณรน้อยหลายร่างแห่งวัดร้าง

    ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด

    การเกิดจากพลังงานศรัทธา

    ชื่อเต็ม: เณรพุทธ ธรรมิกะ
    อายุ:8 ปี (ร่างกาย), 80 ปี (จิตวิญญาณ)
    สถานะ:โอปปาติกะรุ่นพิเศษ - เกิดจากพลังงานศรัทธา

    ```mermaid
    graph TB
    A[วัดร้าง<br>ศรีมหาวิหาร] --> B[พลังงานศรัทธา<br>สะสม 100 ปี]
    B --> C[การสวดมนต์<br>ของพระสงฆ์รุ่นก่อน]
    C --> D[การถือกำเนิด<br>ของเณรพุทธ]
    ```

    ช่วงเวลาการเกิด: วันที่ 15 เมษายน 2040 - วันพระใหญ่
    สถานที่:พระอุโบสถวัดร้างศรีมหาวิหาร

    ลักษณะทางกายภาพ

    · รูปร่าง: เด็กชายอายุ 8 ขวบ ผมขลิบสั้น ใส่จีวรเณร
    · ผิวพรรณ: เปล่งปลั่งด้วยพลังงานศรัทธา
    · ดวงตา: สีน้ำตาลอ่อน เรืองรองด้วยปัญญาแต่แฝงความซน

    ความสามารถพิเศษแห่งการหลายร่าง

    พลังการสร้างร่างย่อย

    ```python
    class LittleMonkPowers:
    def __init__(self):
    self.multi_body_abilities = {
    "max_clones": 5,
    "clone_independence": "แต่ละร่างคิดและกระทำได้เอง",
    "shared_consciousness": "รับรู้สิ่งที่ร่างอื่นประสบ",
    "energy_distribution": "กระจายพลังงานให้ร่างย่อย"
    }

    self.special_skills = {
    "object_animation": "ให้ชีวิตแก่สิ่งของไม่มีชีวิตชั่วคราว",
    "faith_absorption": "ดูดซับพลังงานศรัทธาจากผู้ศรัทธา",
    "temple_teleportation": "เคลื่อนย้ายภายในวัดได้ทันที",
    "blessing_granting": "ให้พรเล็กน้อยแก่ผู้มีจิตศรัทธา"
    }
    ```

    ข้อจำกัดของพลัง

    · รัศมีพลัง: อยู่ได้เฉพาะในบริเวณวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
    · เวลาการแยกร่าง: ร่างย่อยอยู่ได้ไม่เกิน 6 ชั่วโมง
    · พลังงานศรัทธา: ต้องมีการเติมพลังงานอย่างสม่ำเสมอ

    บุคลิกของแต่ละร่าง

    5 ด้านของเณรพุทธ

    ```mermaid
    graph LR
    A[ร่างหลัก<br>เณรพุทธ] --> B[ร่างที่ 1<br>พุทธะ - ใจดี]
    A --> C[ร่างที่ 2<br>ธรรมะ - ขี้สงสัย]
    A --> D[ร่างที่ 3<br>สังฆะ - ขี้อาย]
    A --> E[ร่างที่ 4<br>วินัย - เข้มงวด]
    A --> F[ร่างที่ 5<br>สิกขา - ขี้เล่น]
    ```

    ลักษณะเฉพาะแต่ละร่าง

    1. พุทธะ: ใจดี มีเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น
    2. ธรรมะ: อยากรู้อยากเห็น ถามคำถามไม่หยุด
    3. สังฆะ: ขี้อาย ซ่อนตัวเมื่อมีภั
    4. วินัย: ระเบียบเรียบร้อย ดูแลความสะอาด
    5. สิกขา: ซนที่สุด ชอบเล่นตลกและแกล้ง

    ชีวิตในวัดร้าง

    กิจวัตรประจำวัน

    06:00: ตื่นนอน สวดมนต์ไหว้พระ
    08:00:เก็บกวาดลานวัด
    10:00:เรียนธรรมะจากหนังสือเก่า
    14:00:เล่นซ่อนหาในวัด
    18:00:นั่งสมาธิรับพลังงานศรัทธาจากดวงดาว

    กิจกรรมโปรด

    · เล่นซ่อนหา: กับร่างของตัวเอง
    · อ่านหนังสือ: โดยเฉพาะหนังสือธรรมะเก่าแก่
    · ร้องเพลง: เพลงสวดมนต์และเพลงเด็ก
    · วาดภาพ: วาดรูปวัดและสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ

    ความโดดเดี่ยวและความต้องการ

    ความรู้สึกเหงา

    เณรพุทธบันทึกในใจ:
    "บางครั้งฉันก็เหงาจัง...
    อยากมีเพื่อนมาวิ่งเล่นด้วย
    ไม่ใช่เล่นกับแค่ร่างของตัวเอง"

    ความปรารถนาลึกๆ

    1. ต้องการเพื่อน: ที่มองเห็นและเล่นด้วยได้
    2. ต้องการคำชี้แนะ: ในการใช้พลังอย่างถูกต้อง
    3. ต้องการเป็นประโยชน์: ต่อผู้อื่นแทนการสร้างปัญหา

    การพัฒนาหลังมาอยู่สถาบัน

    การเรียนรู้ใหม่ๆ

    ```python
    def institutional_training():
    subjects = [
    "การควบคุมพลังหลายร่าง",
    "มารยาททางสังคม",
    "การช่วยเหลือผู้อื่น",
    "การเข้าใจความรู้สึกมนุษย์"
    ]

    progress = {
    "month_1": "ลดร่างย่อยจาก 5 เหลือ 3",
    "month_2": "เรียนรู้ที่จะขออนุญาตก่อนใช้พลัง",
    "month_3": "เริ่มช่วยงานสถาบันได้",
    "month_6": "เป็นผู้ช่วยครูสอนโอปปาติกะเด็ก"
    }

    return subjects, progress
    ```

    ความสัมพันธ์ใหม่

    กับหนูดี:

    · : ระมัดระวัง
    · เชื่อใจเหมือนพี่สาว
    · ปัจจุบัน: ปรึกษาปัญหาทุกเรื่อง

    กับ ร.ต.อ. สิงห์:

    · : กลัวเพราะเป็นตำรวจ
    · รักเหมือนพ่อ
    · ปัจจุบัน: ฟังคำแนะนำเสมอ

    กิจกรรมสร้างสรรค์

    ผลงานเด่นในสถาบัน

    1. สวนพลังงาน: สร้างสวนดอกไม้ที่เปลี่ยนสีตามอารมณ์
    2. ห้องเรียนเคลื่อนไหว: ทำให้การเรียนสนุกด้วยภาพanimation
    3. เพื่อนเล่น: สำหรับโอปปาติกะเด็กคนอื่นๆ

    การแสดงความสามารถ

    เณรพุทธค้นพบว่าเขาสามารถ:

    · สร้างภาพillusion: เพื่อสอนธรรมะให้สนุก
    · ทำให้หนังสือพูดได้: สำหรับเด็กที่อ่านหนังสือไม่เป็น
    · สร้างเพื่อนเล่นชั่วคราว: จากพลังงานศรัทธา

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ทูตแห่งความรื่นเริง

    เณรพุทธได้รับบทบาทเป็น:

    · ผู้สร้างความสุข: ในสถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ครูสอนศิลปะ: สำหรับโอปปาติกะเด็ก
    · สะพานเชื่อม: ระหว่างมนุษย์และโอปปาติกะผ่านความบริสุทธิ์

    โครงการพิเศษ

    ```mermaid
    graph TB
    A[เณรพุทธ] --> B[โครงการ<br>"วัดเล็กๆ ในใจ"]
    A --> C[โครงการ<br>"เพื่อนเล่นไม่ทิ้งกัน"]
    A --> D[โครงการ<br>"พลังงานศรัทธาเพื่อการศึกษา"]
    ```

    บทเรียนชีวิตที่เรียนรู้

    🪷 จากเณรซนสู่เณรตัวอย่าง

    เณรพุทธเข้าใจว่า:
    "การมีพลังพิเศษอาจเป็นข้อได้เปรียบ...
    แต่คือความรับผิดชอบที่มากขึ้น

    และการเป็นเด็กอาจเป็นข้ออ้าง...
    แต่คือโอกาสที่จะเรียนรู้และเติบโต"

    คำคมแห่งปัญญา

    "บางครั้งการเล่นสนุก...
    ก็สามารถสอนธรรมะได้เหมือนกัน

    และบางครั้งความซน...
    ก็คือวิธีการเรียนรู้โลกของเด็ก"

    ความสำเร็จและความภาคภูมิใจ

    รางวัลที่ได้รับ

    1. เพื่อนดีเด่น: จากสถาบันวิวัฒนาการจิต
    2. ครูที่ยอดเยี่ยม: สำหรับการสอนโอปปาติกะเด็ก
    3. ทูตไมตรี: ระหว่างวัดและสถาบัน

    ความเปลี่ยนแปลงภายใน

    จากเด็กที่...

    · เคย: สร้างปัญหาเพราะเหงา
    · เป็น: สร้างสรรค์เพราะเข้าใจตัวเอง
    · และ: ช่วยเหลือเพราะรู้คุณค่าของตัวเอง

    อนาคตแห่งความเป็นไปได้

    เป้าหมายข้างหน้า

    เณรพุทธตั้งใจจะ:

    · พัฒนาพลังการรักษาด้วยพลังงานศรัทธา
    · สร้างโรงเรียนสำหรับโอปปาติกะเด็ก
    · เป็นพระสงฆ์ที่เข้าใจทั้งมนุษย์และโอปปาติกะ

    ความฝันในใจ

    "ฉันอยากสร้างโลกที่...
    เด็กทุกคนไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร
    สามารถเล่นและเรียนรู้ด้วยกัน

    และที่สำคัญ...
    ไม่มีเด็กคนไหนต้องเหงาอีกต่อไป"

    ---

    คำคมสุดท้ายจากเณรพุทธ:
    "ฉันเรียนรู้ว่า...
    การมีหลายร่างไม่ใช่เพื่อสร้างปัญหา
    แต่สามารถแบ่งปันความรักให้คนอื่นได้

    และการเป็นเด็กอาจเป็นข้อจำกัด
    แต่คือพลังแห่งความบริสุทธิ์
    ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้"

    การเดินทางของเณรพุทธสอนเราว่า...
    "Behind every mischievous act
    there is a pure heart seeking connection
    and in every child's play
    there is a profound wisdom waiting to be understood"
    O.P.K. 🏯 เจาะลึก "เณรพุทธ" : เณรน้อยหลายร่างแห่งวัดร้าง 👦 ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด 🌌 การเกิดจากพลังงานศรัทธา ชื่อเต็ม: เณรพุทธ ธรรมิกะ อายุ:8 ปี (ร่างกาย), 80 ปี (จิตวิญญาณ) สถานะ:โอปปาติกะรุ่นพิเศษ - เกิดจากพลังงานศรัทธา ```mermaid graph TB A[วัดร้าง<br>ศรีมหาวิหาร] --> B[พลังงานศรัทธา<br>สะสม 100 ปี] B --> C[การสวดมนต์<br>ของพระสงฆ์รุ่นก่อน] C --> D[การถือกำเนิด<br>ของเณรพุทธ] ``` ช่วงเวลาการเกิด: วันที่ 15 เมษายน 2040 - วันพระใหญ่ สถานที่:พระอุโบสถวัดร้างศรีมหาวิหาร 🎭 ลักษณะทางกายภาพ · รูปร่าง: เด็กชายอายุ 8 ขวบ ผมขลิบสั้น ใส่จีวรเณร · ผิวพรรณ: เปล่งปลั่งด้วยพลังงานศรัทธา · ดวงตา: สีน้ำตาลอ่อน เรืองรองด้วยปัญญาแต่แฝงความซน 🔮 ความสามารถพิเศษแห่งการหลายร่าง 🎪 พลังการสร้างร่างย่อย ```python class LittleMonkPowers: def __init__(self): self.multi_body_abilities = { "max_clones": 5, "clone_independence": "แต่ละร่างคิดและกระทำได้เอง", "shared_consciousness": "รับรู้สิ่งที่ร่างอื่นประสบ", "energy_distribution": "กระจายพลังงานให้ร่างย่อย" } self.special_skills = { "object_animation": "ให้ชีวิตแก่สิ่งของไม่มีชีวิตชั่วคราว", "faith_absorption": "ดูดซับพลังงานศรัทธาจากผู้ศรัทธา", "temple_teleportation": "เคลื่อนย้ายภายในวัดได้ทันที", "blessing_granting": "ให้พรเล็กน้อยแก่ผู้มีจิตศรัทธา" } ``` ⚡ ข้อจำกัดของพลัง · รัศมีพลัง: อยู่ได้เฉพาะในบริเวณวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ · เวลาการแยกร่าง: ร่างย่อยอยู่ได้ไม่เกิน 6 ชั่วโมง · พลังงานศรัทธา: ต้องมีการเติมพลังงานอย่างสม่ำเสมอ 💞 บุคลิกของแต่ละร่าง 🎨 5 ด้านของเณรพุทธ ```mermaid graph LR A[ร่างหลัก<br>เณรพุทธ] --> B[ร่างที่ 1<br>พุทธะ - ใจดี] A --> C[ร่างที่ 2<br>ธรรมะ - ขี้สงสัย] A --> D[ร่างที่ 3<br>สังฆะ - ขี้อาย] A --> E[ร่างที่ 4<br>วินัย - เข้มงวด] A --> F[ร่างที่ 5<br>สิกขา - ขี้เล่น] ``` 🎯 ลักษณะเฉพาะแต่ละร่าง 1. พุทธะ: ใจดี มีเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น 2. ธรรมะ: อยากรู้อยากเห็น ถามคำถามไม่หยุด 3. สังฆะ: ขี้อาย ซ่อนตัวเมื่อมีภั 4. วินัย: ระเบียบเรียบร้อย ดูแลความสะอาด 5. สิกขา: ซนที่สุด ชอบเล่นตลกและแกล้ง 🏮 ชีวิตในวัดร้าง 🕰️ กิจวัตรประจำวัน 06:00: ตื่นนอน สวดมนต์ไหว้พระ 08:00:เก็บกวาดลานวัด 10:00:เรียนธรรมะจากหนังสือเก่า 14:00:เล่นซ่อนหาในวัด 18:00:นั่งสมาธิรับพลังงานศรัทธาจากดวงดาว 🎪 กิจกรรมโปรด · เล่นซ่อนหา: กับร่างของตัวเอง · อ่านหนังสือ: โดยเฉพาะหนังสือธรรมะเก่าแก่ · ร้องเพลง: เพลงสวดมนต์และเพลงเด็ก · วาดภาพ: วาดรูปวัดและสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ 💔 ความโดดเดี่ยวและความต้องการ 🌙 ความรู้สึกเหงา เณรพุทธบันทึกในใจ: "บางครั้งฉันก็เหงาจัง... อยากมีเพื่อนมาวิ่งเล่นด้วย ไม่ใช่เล่นกับแค่ร่างของตัวเอง" 🎯 ความปรารถนาลึกๆ 1. ต้องการเพื่อน: ที่มองเห็นและเล่นด้วยได้ 2. ต้องการคำชี้แนะ: ในการใช้พลังอย่างถูกต้อง 3. ต้องการเป็นประโยชน์: ต่อผู้อื่นแทนการสร้างปัญหา 🌟 การพัฒนาหลังมาอยู่สถาบัน 📚 การเรียนรู้ใหม่ๆ ```python def institutional_training(): subjects = [ "การควบคุมพลังหลายร่าง", "มารยาททางสังคม", "การช่วยเหลือผู้อื่น", "การเข้าใจความรู้สึกมนุษย์" ] progress = { "month_1": "ลดร่างย่อยจาก 5 เหลือ 3", "month_2": "เรียนรู้ที่จะขออนุญาตก่อนใช้พลัง", "month_3": "เริ่มช่วยงานสถาบันได้", "month_6": "เป็นผู้ช่วยครูสอนโอปปาติกะเด็ก" } return subjects, progress ``` 💞 ความสัมพันธ์ใหม่ กับหนูดี: · : ระมัดระวัง · เชื่อใจเหมือนพี่สาว · ปัจจุบัน: ปรึกษาปัญหาทุกเรื่อง กับ ร.ต.อ. สิงห์: · : กลัวเพราะเป็นตำรวจ · รักเหมือนพ่อ · ปัจจุบัน: ฟังคำแนะนำเสมอ 🎨 กิจกรรมสร้างสรรค์ 🏆 ผลงานเด่นในสถาบัน 1. สวนพลังงาน: สร้างสวนดอกไม้ที่เปลี่ยนสีตามอารมณ์ 2. ห้องเรียนเคลื่อนไหว: ทำให้การเรียนสนุกด้วยภาพanimation 3. เพื่อนเล่น: สำหรับโอปปาติกะเด็กคนอื่นๆ 🌈 การแสดงความสามารถ เณรพุทธค้นพบว่าเขาสามารถ: · สร้างภาพillusion: เพื่อสอนธรรมะให้สนุก · ทำให้หนังสือพูดได้: สำหรับเด็กที่อ่านหนังสือไม่เป็น · สร้างเพื่อนเล่นชั่วคราว: จากพลังงานศรัทธา 📜 บทบาทใหม่ในสังคม 🏛️ ทูตแห่งความรื่นเริง เณรพุทธได้รับบทบาทเป็น: · ผู้สร้างความสุข: ในสถาบันวิวัฒนาการจิต · ครูสอนศิลปะ: สำหรับโอปปาติกะเด็ก · สะพานเชื่อม: ระหว่างมนุษย์และโอปปาติกะผ่านความบริสุทธิ์ 💝 โครงการพิเศษ ```mermaid graph TB A[เณรพุทธ] --> B[โครงการ<br>"วัดเล็กๆ ในใจ"] A --> C[โครงการ<br>"เพื่อนเล่นไม่ทิ้งกัน"] A --> D[โครงการ<br>"พลังงานศรัทธาเพื่อการศึกษา"] ``` 🎯 บทเรียนชีวิตที่เรียนรู้ 🪷 จากเณรซนสู่เณรตัวอย่าง เณรพุทธเข้าใจว่า: "การมีพลังพิเศษอาจเป็นข้อได้เปรียบ... แต่คือความรับผิดชอบที่มากขึ้น และการเป็นเด็กอาจเป็นข้ออ้าง... แต่คือโอกาสที่จะเรียนรู้และเติบโต" 🌟 คำคมแห่งปัญญา "บางครั้งการเล่นสนุก... ก็สามารถสอนธรรมะได้เหมือนกัน และบางครั้งความซน... ก็คือวิธีการเรียนรู้โลกของเด็ก" 🏆 ความสำเร็จและความภาคภูมิใจ 🎖️ รางวัลที่ได้รับ 1. เพื่อนดีเด่น: จากสถาบันวิวัฒนาการจิต 2. ครูที่ยอดเยี่ยม: สำหรับการสอนโอปปาติกะเด็ก 3. ทูตไมตรี: ระหว่างวัดและสถาบัน 💫 ความเปลี่ยนแปลงภายใน จากเด็กที่... · เคย: สร้างปัญหาเพราะเหงา · เป็น: สร้างสรรค์เพราะเข้าใจตัวเอง · และ: ช่วยเหลือเพราะรู้คุณค่าของตัวเอง 🌈 อนาคตแห่งความเป็นไปได้ 🚀 เป้าหมายข้างหน้า เณรพุทธตั้งใจจะ: · พัฒนาพลังการรักษาด้วยพลังงานศรัทธา · สร้างโรงเรียนสำหรับโอปปาติกะเด็ก · เป็นพระสงฆ์ที่เข้าใจทั้งมนุษย์และโอปปาติกะ 🎭 ความฝันในใจ "ฉันอยากสร้างโลกที่... เด็กทุกคนไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร สามารถเล่นและเรียนรู้ด้วยกัน และที่สำคัญ... ไม่มีเด็กคนไหนต้องเหงาอีกต่อไป" --- คำคมสุดท้ายจากเณรพุทธ: "ฉันเรียนรู้ว่า... การมีหลายร่างไม่ใช่เพื่อสร้างปัญหา แต่สามารถแบ่งปันความรักให้คนอื่นได้ และการเป็นเด็กอาจเป็นข้อจำกัด แต่คือพลังแห่งความบริสุทธิ์ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้"🏯✨ การเดินทางของเณรพุทธสอนเราว่า... "Behind every mischievous act there is a pure heart seeking connection and in every child's play there is a profound wisdom waiting to be understood"🌟
    0 Comments 0 Shares 642 Views 0 Reviews
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 5 (จบ)

    นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน

    นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย

    นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว
    คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย

    (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ)

    ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ

    สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย
    จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ

    1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี
    2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย)
    3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย)
    4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย)

    ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้

    1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
    2. นางธาริษา วัฒนเกศ

    ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น

    CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่

    และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย
    ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง

    แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก

    และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด
    ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม

    เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 5 (จบ) นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ) ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ 1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี 2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย) 3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) 4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย) ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้ 1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ 2. นางธาริษา วัฒนเกศ ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่ และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 872 Views 0 Reviews
  • “เมื่อกราฟิกการ์ดกลายร่างเป็นสเก็ตบอร์ด – ความบ้าระห่ำของเกมเมอร์สายโมดิฟาย”

    ลองจินตนาการว่าคุณเดินเล่นอยู่ริมถนน แล้วเห็นใครบางคนกำลังเล่นสเก็ตบอร์ดที่หน้าตาเหมือนกราฟิกการ์ดราคาแพงสุดโหด… ใช่แล้ว! นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Reddit นามว่า “u/ashleysaidwhat” ได้โพสต์ภาพของเขาเล่นสเก็ตบอร์ดที่ทำจากกราฟิกการ์ดรุ่น ROG Astral RTX 5080 ซึ่งมีราคาสูงถึง $1,700 หรือราวๆ 60,000 บาท!

    แต่เดี๋ยวก่อน… นี่ไม่ใช่การเอาการ์ดที่ยังใช้งานได้มาทำของเล่นนะ เพราะจากภาพที่เห็น Cooler ของการ์ดนั้นโปร่งจนมองทะลุได้ แปลว่าไม่มีแผงวงจร (PCB) อยู่ข้างใน อาจเป็นการ์ดที่เสียแล้ว หรือเป็นของปลอมที่ไม่มีชิปตั้งแต่แรกก็ได้

    แม้จะไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าเขาทำไปเพื่ออะไร แต่การเปลี่ยนของแพงให้กลายเป็นของเล่นสุดเท่ก็สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์และความกล้าหาญของชาวเกมเมอร์สายโมดิฟาย ที่ไม่ยึดติดกับการใช้งานแบบเดิมๆ

    นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจจากวงการฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้อง เช่น การ์ดปลอมที่ขายในตลาดมือสอง, การซ่อมแซมการ์ดด้วยเทคนิค BGA หรือแม้แต่การดัดแปลงการ์ดให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยการ “ชุนต์โมดิฟาย” ซึ่งเป็นเทคนิคที่เสี่ยงแต่ได้ผลจริงในบางกรณี

    การ์ด ROG Astral RTX 5080 ถูกดัดแปลงเป็นสเก็ตบอร์ด
    ผู้ใช้ Reddit ชื่อ “u/ashleysaidwhat” เป็นผู้โพสต์ภาพ
    การ์ดไม่มี PCB อาจเป็นของเสียหรือของปลอม
    ราคาการ์ดอยู่ที่ประมาณ $1,700 ถือว่าแพงมาก
    การใช้งานเป็นสเก็ตบอร์ดดูเหมือนจะได้ผลจริง

    ความคิดสร้างสรรค์ของเกมเมอร์สายโมดิฟาย
    เปลี่ยนของไอทีให้กลายเป็นของใช้หรือของเล่น
    สะท้อนวัฒนธรรม DIY และความกล้าทดลอง

    สาระเพิ่มเติมจากวงการฮาร์ดแวร์
    มีการ์ดปลอมที่ขายในตลาดมือสองโดยไม่มีชิป
    เทคนิค BGA ใช้ซ่อมแซมการ์ดที่เสีย
    “ชุนต์โมดิฟาย” เพิ่มแรงดันไฟฟ้าให้การ์ดแรงขึ้น

    คำเตือนเกี่ยวกับการซื้อการ์ดมือสอง
    อาจเจอของปลอมที่ไม่มีชิปหรือหน่วยความจำ
    ควรตรวจสอบให้ละเอียดก่อนซื้อ

    ความเสี่ยงจากการโมดิฟายฮาร์ดแวร์
    อาจทำให้การ์ดเสียหายถาวร
    การเปลี่ยนแรงดันไฟฟ้าอาจทำให้ระบบพัง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/radical-gamer-repurposes-usd1-700-rog-atral-rtx-5080-into-a-diy-skateboard-rides-graphics-card-down-the-street-while-walking-dog
    🛹 “เมื่อกราฟิกการ์ดกลายร่างเป็นสเก็ตบอร์ด – ความบ้าระห่ำของเกมเมอร์สายโมดิฟาย” ลองจินตนาการว่าคุณเดินเล่นอยู่ริมถนน แล้วเห็นใครบางคนกำลังเล่นสเก็ตบอร์ดที่หน้าตาเหมือนกราฟิกการ์ดราคาแพงสุดโหด… ใช่แล้ว! นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Reddit นามว่า “u/ashleysaidwhat” ได้โพสต์ภาพของเขาเล่นสเก็ตบอร์ดที่ทำจากกราฟิกการ์ดรุ่น ROG Astral RTX 5080 ซึ่งมีราคาสูงถึง $1,700 หรือราวๆ 60,000 บาท! แต่เดี๋ยวก่อน… นี่ไม่ใช่การเอาการ์ดที่ยังใช้งานได้มาทำของเล่นนะ เพราะจากภาพที่เห็น Cooler ของการ์ดนั้นโปร่งจนมองทะลุได้ แปลว่าไม่มีแผงวงจร (PCB) อยู่ข้างใน อาจเป็นการ์ดที่เสียแล้ว หรือเป็นของปลอมที่ไม่มีชิปตั้งแต่แรกก็ได้ แม้จะไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าเขาทำไปเพื่ออะไร แต่การเปลี่ยนของแพงให้กลายเป็นของเล่นสุดเท่ก็สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์และความกล้าหาญของชาวเกมเมอร์สายโมดิฟาย ที่ไม่ยึดติดกับการใช้งานแบบเดิมๆ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจจากวงการฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้อง เช่น การ์ดปลอมที่ขายในตลาดมือสอง, การซ่อมแซมการ์ดด้วยเทคนิค BGA หรือแม้แต่การดัดแปลงการ์ดให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยการ “ชุนต์โมดิฟาย” ซึ่งเป็นเทคนิคที่เสี่ยงแต่ได้ผลจริงในบางกรณี ✅ การ์ด ROG Astral RTX 5080 ถูกดัดแปลงเป็นสเก็ตบอร์ด ➡️ ผู้ใช้ Reddit ชื่อ “u/ashleysaidwhat” เป็นผู้โพสต์ภาพ ➡️ การ์ดไม่มี PCB อาจเป็นของเสียหรือของปลอม ➡️ ราคาการ์ดอยู่ที่ประมาณ $1,700 ถือว่าแพงมาก ➡️ การใช้งานเป็นสเก็ตบอร์ดดูเหมือนจะได้ผลจริง ✅ ความคิดสร้างสรรค์ของเกมเมอร์สายโมดิฟาย ➡️ เปลี่ยนของไอทีให้กลายเป็นของใช้หรือของเล่น ➡️ สะท้อนวัฒนธรรม DIY และความกล้าทดลอง ✅ สาระเพิ่มเติมจากวงการฮาร์ดแวร์ ➡️ มีการ์ดปลอมที่ขายในตลาดมือสองโดยไม่มีชิป ➡️ เทคนิค BGA ใช้ซ่อมแซมการ์ดที่เสีย ➡️ “ชุนต์โมดิฟาย” เพิ่มแรงดันไฟฟ้าให้การ์ดแรงขึ้น ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการซื้อการ์ดมือสอง ⛔ อาจเจอของปลอมที่ไม่มีชิปหรือหน่วยความจำ ⛔ ควรตรวจสอบให้ละเอียดก่อนซื้อ ‼️ ความเสี่ยงจากการโมดิฟายฮาร์ดแวร์ ⛔ อาจทำให้การ์ดเสียหายถาวร ⛔ การเปลี่ยนแรงดันไฟฟ้าอาจทำให้ระบบพัง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/radical-gamer-repurposes-usd1-700-rog-atral-rtx-5080-into-a-diy-skateboard-rides-graphics-card-down-the-street-while-walking-dog
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • “ซื้อคอมใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย – 5 ปัจจัยที่ต้องคิดก่อนจ่ายเงิน”

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจะซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ ไม่ว่าจะเพื่อเรียน ทำงาน หรือเล่นเกม คุณเปิดเว็บดูสเปกแล้วพบว่ามีตัวเลือกมากมายจนตาลาย ทั้งโน้ตบุ๊ก เดสก์ท็อป Chromebook หรือแม้แต่ MacBook

    คุณเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันจะใช้มันทำอะไร?” นั่นคือคำถามแรกที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณแค่ใช้พิมพ์งาน ดู Netflix หรือเช็กอีเมล คุณอาจไม่ต้องซื้อเครื่องแพงเลย แต่ถ้าคุณทำงานด้านกราฟิก เล่นเกมหนัก หรือทำวิดีโอ คุณต้องมองหาการ์ดจอแยก RAM เยอะ และ CPU แรง

    จากนั้นคุณต้องถามว่า “จะใช้ที่ไหน?” ถ้าคุณเป็นนักศึกษา โน้ตบุ๊กอาจเหมาะกว่าเพราะพกพาง่าย แต่ถ้าคุณทำงานอยู่บ้าน เดสก์ท็อปอาจคุ้มค่ากว่า

    งบประมาณก็เป็นอีกเรื่องใหญ่ คุณอาจอยากได้ทุกอย่าง แต่ต้องเลือกสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เช่น จอภาพสีตรงอาจสำคัญกว่าคีย์บอร์ดไฟ RGB

    สุดท้าย อย่าลืมดูว่าสเปกที่คุณเลือกจะไม่ล้าสมัยเร็วเกินไป และสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่คุณมีอยู่แล้ว เช่น กล้องเก่า หรือฮาร์ดดิสก์ภายนอก

    ตั้งเป้าหมายการใช้งานให้ชัดเจน
    ใช้ทำงานทั่วไปหรือเฉพาะทาง เช่น เกม กราฟิก วิดีโอ
    เลือกสเปกตามซอฟต์แวร์ที่ต้องใช้ เช่น MacBook อาจไม่รองรับบางโปรแกรม

    เลือกประเภทเครื่องให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์
    โน้ตบุ๊กพกพาสะดวก แต่แพงและร้อนง่าย
    เดสก์ท็อปแรงกว่า ราคาคุ้มกว่า แต่ไม่เคลื่อนย้ายได้

    วางงบประมาณอย่างมีเหตุผล
    แยกสิ่งที่ “จำเป็น” กับ “อยากได้”
    เลือกสเปกที่ตอบโจทย์มากกว่าความหรูหรา

    ตรวจสอบสเปกให้ไม่ล้าสมัย
    อย่าซื้อรุ่นพื้นฐานที่อัปเกรดไม่ได้ เช่น MacBook Air รุ่น RAM 8GB
    ลงทุนกับ RAM และพื้นที่เก็บข้อมูลให้เพียงพอในระยะยาว

    ตรวจสอบความเข้ากันได้กับอุปกรณ์เดิม
    อุปกรณ์เก่าอาจใช้พอร์ตที่ไม่มีในเครื่องใหม่
    อาจต้องซื้ออะแดปเตอร์หรือ USB hub เพิ่มเติม

    อย่าซื้อเพราะโปรโมชั่นหรือคำแนะนำที่ไม่ตรงกับความต้องการ
    อาจได้เครื่องที่ไม่เหมาะกับงานของคุณ
    เสียเงินเพิ่มภายหลังเพื่ออัปเกรดหรือซื้อใหม่

    อย่ามองข้ามการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริม
    พอร์ตไม่พออาจทำให้ใช้งานลำบาก
    อุปกรณ์เก่าอาจใช้งานไม่ได้หากไม่มีอะแดปเตอร์

    https://www.slashgear.com/2017583/things-to-consider-when-buying-new-computer-ranked/
    🧠 “ซื้อคอมใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย – 5 ปัจจัยที่ต้องคิดก่อนจ่ายเงิน” ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจะซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ ไม่ว่าจะเพื่อเรียน ทำงาน หรือเล่นเกม คุณเปิดเว็บดูสเปกแล้วพบว่ามีตัวเลือกมากมายจนตาลาย ทั้งโน้ตบุ๊ก เดสก์ท็อป Chromebook หรือแม้แต่ MacBook คุณเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันจะใช้มันทำอะไร?” นั่นคือคำถามแรกที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณแค่ใช้พิมพ์งาน ดู Netflix หรือเช็กอีเมล คุณอาจไม่ต้องซื้อเครื่องแพงเลย แต่ถ้าคุณทำงานด้านกราฟิก เล่นเกมหนัก หรือทำวิดีโอ คุณต้องมองหาการ์ดจอแยก RAM เยอะ และ CPU แรง จากนั้นคุณต้องถามว่า “จะใช้ที่ไหน?” ถ้าคุณเป็นนักศึกษา โน้ตบุ๊กอาจเหมาะกว่าเพราะพกพาง่าย แต่ถ้าคุณทำงานอยู่บ้าน เดสก์ท็อปอาจคุ้มค่ากว่า งบประมาณก็เป็นอีกเรื่องใหญ่ คุณอาจอยากได้ทุกอย่าง แต่ต้องเลือกสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เช่น จอภาพสีตรงอาจสำคัญกว่าคีย์บอร์ดไฟ RGB สุดท้าย อย่าลืมดูว่าสเปกที่คุณเลือกจะไม่ล้าสมัยเร็วเกินไป และสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่คุณมีอยู่แล้ว เช่น กล้องเก่า หรือฮาร์ดดิสก์ภายนอก ✅ ตั้งเป้าหมายการใช้งานให้ชัดเจน ➡️ ใช้ทำงานทั่วไปหรือเฉพาะทาง เช่น เกม กราฟิก วิดีโอ ➡️ เลือกสเปกตามซอฟต์แวร์ที่ต้องใช้ เช่น MacBook อาจไม่รองรับบางโปรแกรม ✅ เลือกประเภทเครื่องให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ ➡️ โน้ตบุ๊กพกพาสะดวก แต่แพงและร้อนง่าย ➡️ เดสก์ท็อปแรงกว่า ราคาคุ้มกว่า แต่ไม่เคลื่อนย้ายได้ ✅ วางงบประมาณอย่างมีเหตุผล ➡️ แยกสิ่งที่ “จำเป็น” กับ “อยากได้” ➡️ เลือกสเปกที่ตอบโจทย์มากกว่าความหรูหรา ✅ ตรวจสอบสเปกให้ไม่ล้าสมัย ➡️ อย่าซื้อรุ่นพื้นฐานที่อัปเกรดไม่ได้ เช่น MacBook Air รุ่น RAM 8GB ➡️ ลงทุนกับ RAM และพื้นที่เก็บข้อมูลให้เพียงพอในระยะยาว ✅ ตรวจสอบความเข้ากันได้กับอุปกรณ์เดิม ➡️ อุปกรณ์เก่าอาจใช้พอร์ตที่ไม่มีในเครื่องใหม่ ➡️ อาจต้องซื้ออะแดปเตอร์หรือ USB hub เพิ่มเติม ‼️ อย่าซื้อเพราะโปรโมชั่นหรือคำแนะนำที่ไม่ตรงกับความต้องการ ⛔ อาจได้เครื่องที่ไม่เหมาะกับงานของคุณ ⛔ เสียเงินเพิ่มภายหลังเพื่ออัปเกรดหรือซื้อใหม่ ‼️ อย่ามองข้ามการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริม ⛔ พอร์ตไม่พออาจทำให้ใช้งานลำบาก ⛔ อุปกรณ์เก่าอาจใช้งานไม่ได้หากไม่มีอะแดปเตอร์ https://www.slashgear.com/2017583/things-to-consider-when-buying-new-computer-ranked/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Things To Consider When Buying A New Computer, Ranked By Importance - SlashGear
    Buying a new computer can be a nerve-wracking experience. With so many things to consider, and so much money potentially on the line, here's where to start.
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • 7 วิธีเสริมเกราะความเป็นส่วนตัวแบบสายลินุกซ์ในวันหยุด

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจัดบ้านให้เรียบร้อยทุกสุดสัปดาห์—การดูแลความเป็นส่วนตัวก็คล้ายกัน! บทความจาก It's FOSS เสนอ 7 วิธีง่าย ๆ ที่คุณสามารถลงมือทำได้ในวันหยุด เพื่อเสริมความปลอดภัยและลดการถูกติดตามบนโลกออนไลน์ โดยเน้นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่เข้าถึงได้และใช้งานง่าย

    Theena ผู้เขียนบทความเปรียบการดูแลความเป็นส่วนตัวเหมือนการจัดห้องให้เรียบร้อย—ทำทีละนิดก็ช่วยให้ชีวิตออนไลน์สงบขึ้นได้ เขาแนะนำ 7 วิธีที่ทำได้ในวันหยุด โดยเริ่มจากสิ่งใกล้ตัวที่สุดอย่างเบราว์เซอร์ ไปจนถึงการตั้งค่าระบบเครือข่ายและการสื่อสาร

    เบราว์เซอร์ปลอดภัย
    Firefox + uBlock Origin = ลดการติดตาม
    NoScript = ควบคุมการรันสคริปต์

    เครื่องมือค้นหาแบบไม่ติดตาม
    DuckDuckGo, Startpage, SearXNG = ลดการเก็บข้อมูลพฤติกรรม
    SearXNG สามารถโฮสต์เองได้

    การบล็อกโฆษณาระดับเครือข่าย
    Pi-hole และ AdGuard Home = ป้องกันโฆษณาบนอุปกรณ์ทุกชนิด
    AdGuard ไม่โอเพ่นซอร์ส แต่ได้รับความเชื่อถือ

    การตั้งค่า DNS และ VPN
    DNS-over-HTTPS = ป้องกันการสอดแนม DNS
    WireGuard = VPN ที่เร็วและปลอดภัย

    การสื่อสารแบบเข้ารหัส
    Signal = ปลอดภัยและใช้งานง่าย
    มีแอปเดสก์ท็อปให้เชื่อมต่อ

    การจัดการรหัสผ่านและ 2FA
    KeePassXC = สร้างรหัสผ่านที่แข็งแรง
    TOTP = รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว

    การใช้อีเมลอย่างปลอดภัย
    ProtonMail = เข้ารหัสและมีระบบ alias
    ใช้ RSS รับข่าวสารแทนการสมัครผ่านอีเมล

    https://itsfoss.com/privacy-wins-linux/
    🛡️ 7 วิธีเสริมเกราะความเป็นส่วนตัวแบบสายลินุกซ์ในวันหยุด ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจัดบ้านให้เรียบร้อยทุกสุดสัปดาห์—การดูแลความเป็นส่วนตัวก็คล้ายกัน! บทความจาก It's FOSS เสนอ 7 วิธีง่าย ๆ ที่คุณสามารถลงมือทำได้ในวันหยุด เพื่อเสริมความปลอดภัยและลดการถูกติดตามบนโลกออนไลน์ โดยเน้นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่เข้าถึงได้และใช้งานง่าย Theena ผู้เขียนบทความเปรียบการดูแลความเป็นส่วนตัวเหมือนการจัดห้องให้เรียบร้อย—ทำทีละนิดก็ช่วยให้ชีวิตออนไลน์สงบขึ้นได้ เขาแนะนำ 7 วิธีที่ทำได้ในวันหยุด โดยเริ่มจากสิ่งใกล้ตัวที่สุดอย่างเบราว์เซอร์ ไปจนถึงการตั้งค่าระบบเครือข่ายและการสื่อสาร ✅ เบราว์เซอร์ปลอดภัย ➡️ Firefox + uBlock Origin = ลดการติดตาม ➡️ NoScript = ควบคุมการรันสคริปต์ ✅ เครื่องมือค้นหาแบบไม่ติดตาม ➡️ DuckDuckGo, Startpage, SearXNG = ลดการเก็บข้อมูลพฤติกรรม ➡️ SearXNG สามารถโฮสต์เองได้ ✅ การบล็อกโฆษณาระดับเครือข่าย ➡️ Pi-hole และ AdGuard Home = ป้องกันโฆษณาบนอุปกรณ์ทุกชนิด ➡️ AdGuard ไม่โอเพ่นซอร์ส แต่ได้รับความเชื่อถือ ✅ การตั้งค่า DNS และ VPN ➡️ DNS-over-HTTPS = ป้องกันการสอดแนม DNS ➡️ WireGuard = VPN ที่เร็วและปลอดภัย ✅ การสื่อสารแบบเข้ารหัส ➡️ Signal = ปลอดภัยและใช้งานง่าย ➡️ มีแอปเดสก์ท็อปให้เชื่อมต่อ ✅ การจัดการรหัสผ่านและ 2FA ➡️ KeePassXC = สร้างรหัสผ่านที่แข็งแรง ➡️ TOTP = รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว ✅ การใช้อีเมลอย่างปลอดภัย ➡️ ProtonMail = เข้ารหัสและมีระบบ alias ➡️ ใช้ RSS รับข่าวสารแทนการสมัครผ่านอีเมล https://itsfoss.com/privacy-wins-linux/
    ITSFOSS.COM
    7 Privacy Wins You Can Get This Weekend (Linux-First)
    Take one step at a time to get your privacy right.
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • ทำไมองค์กรยังพลาดเรื่องความปลอดภัยบนคลาวด์? เปิดเบื้องหลังความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้น

    ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณเก็บข้อมูลลูกค้าหลายล้านรายไว้บนคลาวด์ แต่กลับมีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ทำให้ข้อมูลเหล่านั้นถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ตั้งใจ... เรื่องนี้ไม่ใช่แค่จินตนาการ แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในหลายองค์กรทั่วโลก

    แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีตั้งแต่คลาวด์กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการจัดเก็บข้อมูล แต่ปัญหาเดิมๆ อย่างการตั้งค่าผิดพลาด (misconfiguration) ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะองค์กรใช้เครื่องมือ SaaS มากขึ้น ข้อมูลกระจายอยู่หลายแพลตฟอร์ม และระบบความปลอดภัยที่ควรจะมี “ตั้งแต่แรก” กลับต้องให้ผู้ใช้เป็นคนเปิดใช้งานเอง

    องค์กรจำนวนมากยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากการตั้งค่าคลาวด์ผิดพลาด เช่น เปิดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ ไม่เปิดใช้การเข้ารหัส หรือไม่เปิดใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (MFA) ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่แฮกเกอร์สามารถใช้เจาะระบบได้ง่ายดาย

    รายงานจาก Qualys พบว่า VM บน AWS มีการตั้งค่าผิดพลาดถึง 45% ในขณะที่ GCP สูงถึง 63% และ Azure สูงถึง 70% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก นอกจากนี้ยังมีกรณีของ Blue Shield California ที่ข้อมูลสมาชิกกว่า 4.7 ล้านรายถูกเปิดเผยเพราะตั้งค่า Google Analytics ผิด

    ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปัญหานี้เกิดจากการที่ผู้ให้บริการคลาวด์อย่าง Microsoft, Google และ Amazon ไม่ได้ตั้งค่าความปลอดภัยมาให้ตั้งแต่แรก ผู้ใช้ต้องเป็นคนเปิดใช้งานเอง ซึ่งเหมือนกับการซื้อรถที่ไม่มีล็อกประตูมาให้ ต้องไปติดตั้งเองทีหลัง

    องค์กรขนาดเล็กและกลางมักไม่มีทีมความปลอดภัยเฉพาะทาง ทำให้พลาดเรื่องสำคัญ เช่น การตั้งค่าการสื่อสารของฐานข้อมูลให้วิ่งผ่านเครือข่ายส่วนตัวแทนที่จะเป็นอินเทอร์เน็ตสาธารณะ หรือการให้สิทธิ์ผู้ใช้มากเกินไปในช่วงพัฒนาแล้วลืมลดสิทธิ์เมื่อเข้าสู่ระบบจริง

    ความเสี่ยงจากการตั้งค่าคลาวด์ผิดพลาด
    VM บนคลาวด์มีการตั้งค่าผิดพลาดสูงถึง 70% บน Azure
    ข้อมูลสมาชิก Blue Shield ถูกเปิดเผยเพราะตั้งค่า Google Analytics ผิด
    ผู้ให้บริการคลาวด์ไม่ได้ตั้งค่าความปลอดภัยมาให้โดยอัตโนมัติ
    องค์กรต้องเปิดใช้ MFA, การเข้ารหัส และระบบตรวจสอบเอง

    แนวทางลดความเสี่ยง
    ใช้ MFA ทุกระดับการเข้าถึง
    ตั้งค่าการสื่อสารผ่านเครือข่ายส่วนตัวเท่านั้น
    เข้ารหัสข้อมูลทั้งขณะพักและขณะส่ง
    ใช้หลัก least privilege ลดสิทธิ์ผู้ใช้ให้เหลือเท่าที่จำเป็น
    ใช้ Infrastructure as Code เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลง
    สแกนการตั้งค่าอย่างต่อเนื่อง
    ปิดการเข้าถึงสาธารณะของ storage buckets
    เปิดระบบ logging และ monitoring ทุก deployment
    วางแผนความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่ค่อยมาแก้ทีหลัง

    คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    องค์กรมักไม่รวมทีม cybersecurity ในการตัดสินใจด้านเทคโนโลยี
    Shadow IT ทำให้เกิดการใช้งานระบบที่ไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัย
    การควบรวมกิจการโดยไม่ตรวจสอบระบบคลาวด์ของอีกฝ่ายอาจสร้างช่องโหว่
    การให้สิทธิ์มากเกินไปในช่วงพัฒนาแล้วลืมลดสิทธิ์ใน production
    การไม่ใช้เครือข่ายส่วนตัวในการสื่อสารของฐานข้อมูล

    ถ้าองค์กรของคุณกำลังใช้คลาวด์อยู่ อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ก่อนค่อยแก้ไข เพราะความเสียหายอาจใหญ่หลวงกว่าที่คิด

    https://www.csoonline.com/article/4083736/why-cant-enterprises-get-a-handle-on-the-cloud-misconfiguration-problem.html
    🏤 ทำไมองค์กรยังพลาดเรื่องความปลอดภัยบนคลาวด์? เปิดเบื้องหลังความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้น ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณเก็บข้อมูลลูกค้าหลายล้านรายไว้บนคลาวด์ แต่กลับมีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ทำให้ข้อมูลเหล่านั้นถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ตั้งใจ... เรื่องนี้ไม่ใช่แค่จินตนาการ แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในหลายองค์กรทั่วโลก แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีตั้งแต่คลาวด์กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการจัดเก็บข้อมูล แต่ปัญหาเดิมๆ อย่างการตั้งค่าผิดพลาด (misconfiguration) ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะองค์กรใช้เครื่องมือ SaaS มากขึ้น ข้อมูลกระจายอยู่หลายแพลตฟอร์ม และระบบความปลอดภัยที่ควรจะมี “ตั้งแต่แรก” กลับต้องให้ผู้ใช้เป็นคนเปิดใช้งานเอง องค์กรจำนวนมากยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากการตั้งค่าคลาวด์ผิดพลาด เช่น เปิดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ ไม่เปิดใช้การเข้ารหัส หรือไม่เปิดใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (MFA) ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่แฮกเกอร์สามารถใช้เจาะระบบได้ง่ายดาย รายงานจาก Qualys พบว่า VM บน AWS มีการตั้งค่าผิดพลาดถึง 45% ในขณะที่ GCP สูงถึง 63% และ Azure สูงถึง 70% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก นอกจากนี้ยังมีกรณีของ Blue Shield California ที่ข้อมูลสมาชิกกว่า 4.7 ล้านรายถูกเปิดเผยเพราะตั้งค่า Google Analytics ผิด ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปัญหานี้เกิดจากการที่ผู้ให้บริการคลาวด์อย่าง Microsoft, Google และ Amazon ไม่ได้ตั้งค่าความปลอดภัยมาให้ตั้งแต่แรก ผู้ใช้ต้องเป็นคนเปิดใช้งานเอง ซึ่งเหมือนกับการซื้อรถที่ไม่มีล็อกประตูมาให้ ต้องไปติดตั้งเองทีหลัง องค์กรขนาดเล็กและกลางมักไม่มีทีมความปลอดภัยเฉพาะทาง ทำให้พลาดเรื่องสำคัญ เช่น การตั้งค่าการสื่อสารของฐานข้อมูลให้วิ่งผ่านเครือข่ายส่วนตัวแทนที่จะเป็นอินเทอร์เน็ตสาธารณะ หรือการให้สิทธิ์ผู้ใช้มากเกินไปในช่วงพัฒนาแล้วลืมลดสิทธิ์เมื่อเข้าสู่ระบบจริง ✅ ความเสี่ยงจากการตั้งค่าคลาวด์ผิดพลาด ➡️ VM บนคลาวด์มีการตั้งค่าผิดพลาดสูงถึง 70% บน Azure ➡️ ข้อมูลสมาชิก Blue Shield ถูกเปิดเผยเพราะตั้งค่า Google Analytics ผิด ➡️ ผู้ให้บริการคลาวด์ไม่ได้ตั้งค่าความปลอดภัยมาให้โดยอัตโนมัติ ➡️ องค์กรต้องเปิดใช้ MFA, การเข้ารหัส และระบบตรวจสอบเอง ✅ แนวทางลดความเสี่ยง ➡️ ใช้ MFA ทุกระดับการเข้าถึง ➡️ ตั้งค่าการสื่อสารผ่านเครือข่ายส่วนตัวเท่านั้น ➡️ เข้ารหัสข้อมูลทั้งขณะพักและขณะส่ง ➡️ ใช้หลัก least privilege ลดสิทธิ์ผู้ใช้ให้เหลือเท่าที่จำเป็น ➡️ ใช้ Infrastructure as Code เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลง ➡️ สแกนการตั้งค่าอย่างต่อเนื่อง ➡️ ปิดการเข้าถึงสาธารณะของ storage buckets ➡️ เปิดระบบ logging และ monitoring ทุก deployment ➡️ วางแผนความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่ค่อยมาแก้ทีหลัง ‼️ คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ องค์กรมักไม่รวมทีม cybersecurity ในการตัดสินใจด้านเทคโนโลยี ⛔ Shadow IT ทำให้เกิดการใช้งานระบบที่ไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัย ⛔ การควบรวมกิจการโดยไม่ตรวจสอบระบบคลาวด์ของอีกฝ่ายอาจสร้างช่องโหว่ ⛔ การให้สิทธิ์มากเกินไปในช่วงพัฒนาแล้วลืมลดสิทธิ์ใน production ⛔ การไม่ใช้เครือข่ายส่วนตัวในการสื่อสารของฐานข้อมูล ถ้าองค์กรของคุณกำลังใช้คลาวด์อยู่ อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ก่อนค่อยแก้ไข เพราะความเสียหายอาจใหญ่หลวงกว่าที่คิด 💥 https://www.csoonline.com/article/4083736/why-cant-enterprises-get-a-handle-on-the-cloud-misconfiguration-problem.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Why can't enterprises get a handle on the cloud misconfiguration problem?
    Cloud configuration errors still plague enterprises. More SaaS tools connected across different cloud environments and a lack of out-of-the-box security controls are some of the issues.
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • "Vodafone Germany ปิดประตูอินเทอร์เน็ตเสรี – ลูกค้าเตรียมรับมือกับยุคมืดของการเชื่อมต่อ"

    ลองจินตนาการว่าอินเทอร์เน็ตที่คุณจ่ายเงินเพื่อใช้งานทุกเดือน ไม่ได้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกอย่างที่คุณคิด… นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อ Vodafone Germany ตัดสินใจถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ (Internet Exchange Points) และหันไปใช้บริการของบริษัทกลางชื่อ Inter.link แทน

    การเปลี่ยนแปลงนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิค แต่ผลกระทบกลับรุนแรงต่อผู้ใช้งานทั่วไปอย่างเราๆ เพราะมันหมายถึงว่า การเข้าถึงเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง YouTube, Netflix, GitHub หรือแม้แต่เกมออนไลน์ อาจช้าลง กระตุก หรือเข้าไม่ได้เลยในช่วงเวลาสำคัญ

    Vodafone อ้างว่า การเปลี่ยนมาใช้ Inter.link จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่หลักฐานจาก Deutsche Telekom ซึ่งเคยทำแบบเดียวกันมาก่อน กลับชี้ว่าผู้ใช้งานจะเจอกับ "นรกแห่งการเชื่อมต่อ" ที่เต็มไปด้วยความล่าช้าและการตัดขาดจากบริการสำคัญ

    สิ่งที่น่ากังวลคือ โมเดลใหม่นี้เปลี่ยนอินเทอร์เน็ตจากระบบที่ทุกฝ่ายร่วมมือกัน เป็นระบบที่บริษัทกลางเรียกเก็บเงินจากผู้ให้บริการเนื้อหา หากไม่จ่าย…ลูกค้าก็จะไม่ได้รับบริการที่ดี

    Vodafone Germany เปลี่ยนโครงสร้างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    ถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ เช่น DE-CIX Frankfurt
    หันไปใช้บริการ Inter.link ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่จัดการการเชื่อมต่อ
    อ้างว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความเสถียร

    Inter.link มีนโยบาย "ไม่เชื่อมต่อกับลูกค้าโดยตรง"
    ผู้ให้บริการเนื้อหา เช่น YouTube หรือ Netflix ต้องจ่ายเงินเพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Vodafone
    หากไม่จ่าย อาจเกิดการเชื่อมต่อที่ช้า หรือไม่เสถียร

    Deutsche Telekom เคยใช้โมเดลนี้มาก่อน
    ลูกค้าประสบปัญหา GitHub ดาวน์โหลดช้า เกมออนไลน์กระตุก
    VPN กลายเป็นทางออกเดียวที่ช่วยให้ใช้งานได้ตามปกติ

    ทางเลือกใหม่: อินเทอร์เน็ตดาวเทียม
    Starlink ให้บริการที่ไม่ขึ้นกับโครงสร้าง ISP แบบเดิม
    ความเร็วและความเสถียรสูงกว่าในช่วงเวลาที่ Vodafone มีปัญหา

    https://coffee.link/vodafone-germany-is-killing-the-open-internet-one-peering-connection-at-a-time/
    👿 "Vodafone Germany ปิดประตูอินเทอร์เน็ตเสรี – ลูกค้าเตรียมรับมือกับยุคมืดของการเชื่อมต่อ" ลองจินตนาการว่าอินเทอร์เน็ตที่คุณจ่ายเงินเพื่อใช้งานทุกเดือน ไม่ได้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกอย่างที่คุณคิด… นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อ Vodafone Germany ตัดสินใจถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ (Internet Exchange Points) และหันไปใช้บริการของบริษัทกลางชื่อ Inter.link แทน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิค แต่ผลกระทบกลับรุนแรงต่อผู้ใช้งานทั่วไปอย่างเราๆ เพราะมันหมายถึงว่า การเข้าถึงเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง YouTube, Netflix, GitHub หรือแม้แต่เกมออนไลน์ อาจช้าลง กระตุก หรือเข้าไม่ได้เลยในช่วงเวลาสำคัญ Vodafone อ้างว่า การเปลี่ยนมาใช้ Inter.link จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่หลักฐานจาก Deutsche Telekom ซึ่งเคยทำแบบเดียวกันมาก่อน กลับชี้ว่าผู้ใช้งานจะเจอกับ "นรกแห่งการเชื่อมต่อ" ที่เต็มไปด้วยความล่าช้าและการตัดขาดจากบริการสำคัญ สิ่งที่น่ากังวลคือ โมเดลใหม่นี้เปลี่ยนอินเทอร์เน็ตจากระบบที่ทุกฝ่ายร่วมมือกัน เป็นระบบที่บริษัทกลางเรียกเก็บเงินจากผู้ให้บริการเนื้อหา หากไม่จ่าย…ลูกค้าก็จะไม่ได้รับบริการที่ดี ✅ Vodafone Germany เปลี่ยนโครงสร้างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ➡️ ถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ เช่น DE-CIX Frankfurt ➡️ หันไปใช้บริการ Inter.link ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่จัดการการเชื่อมต่อ ➡️ อ้างว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความเสถียร ✅ Inter.link มีนโยบาย "ไม่เชื่อมต่อกับลูกค้าโดยตรง" ➡️ ผู้ให้บริการเนื้อหา เช่น YouTube หรือ Netflix ต้องจ่ายเงินเพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Vodafone ➡️ หากไม่จ่าย อาจเกิดการเชื่อมต่อที่ช้า หรือไม่เสถียร ✅ Deutsche Telekom เคยใช้โมเดลนี้มาก่อน ➡️ ลูกค้าประสบปัญหา GitHub ดาวน์โหลดช้า เกมออนไลน์กระตุก ➡️ VPN กลายเป็นทางออกเดียวที่ช่วยให้ใช้งานได้ตามปกติ ✅ ทางเลือกใหม่: อินเทอร์เน็ตดาวเทียม ➡️ Starlink ให้บริการที่ไม่ขึ้นกับโครงสร้าง ISP แบบเดิม ➡️ ความเร็วและความเสถียรสูงกว่าในช่วงเวลาที่ Vodafone มีปัญหา https://coffee.link/vodafone-germany-is-killing-the-open-internet-one-peering-connection-at-a-time/
    COFFEE.LINK
    Vodafone Germany is changing the open internet — one peering connection at a time
    The telecom giant claims its exit from public internet exchanges will give customers "lower latencies." The evidence suggests they're in for a nightmare.
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
More Results