• ผกก.สน.ปทุมวัน เผยผู้ก่อเหตุแทง ผจก.ร้านขายเก้าอี้นวดไฟฟ้าเสียชีวิตในห้างดัง สารภาพทำเพราะถูกนินทา และทวงค่าคอมหลายครั้งยังไม่ได้ ด้านแฟนผู้ตายยืนยันไม่ทีทางให้อภัย

    จากกรณี นายประโยชน์ อายุ 40 ปี ถูกอาวุธมีดแทงบริเวณหน้าอกเสียชีวิต ภายในห้างดัง ย่านปทุมวัน กรุงเทพฯ ต่อมาตำรวจสามารถจับกุมนายสรศักดิ์ อายุ 27 ปี ผู้ก่อเหตุไว้ได้ เบื้องต้นทราบว่า ผู้ก่อเหตุและผู้เสียชีวิตเป็นเพื่อนร่วมงานกันตามที่เสนอข่าวนั่น

    ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (24 ก.พ.) พ.ต.อ.อาคม ชุพรัตน์ ผกก. สน.ปทุมวัน เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำ นายสรศักดิ์ ให้การรับสารภาพว่า ตนเป็นลูกจ้างในร้านขายเครื่องนวดเก้าอี้ไฟฟ้า ส่วนผู้ตายเป็นผู้จัดการร้าน สำหรับมูลเหตุจูงใจ ผู้ต้องหาอ้างว่า ก่อนหน้านี้มีปากเสียงทะเลาะกับคนตายอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากคนตายชอบเอาเรื่องของตนไปนินทาให้คนอื่นฟัง อีกทั้งผู้ต้องหาได้ทวงถามค่าคอมมิชชั่นจากคนตายหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ได้สักที

    เบื้องต้นพนักงานสอบสวน แจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ซึ่งผู้ต้องหายังไม่ได้ให้การอะไรมาก โดยในวันนี้พนักงานสอบสวนจะคุมตัวสอบเข้มตลอดทั้งวัน และจะนำตัวผู้ต้องหาถูกฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ในวันพรุ่งนี้ (25 ก.พ.)

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000018155

    #MGROnline #ผู้จัดการร้าน #ค่าคอมมิชชั่น
    ผกก.สน.ปทุมวัน เผยผู้ก่อเหตุแทง ผจก.ร้านขายเก้าอี้นวดไฟฟ้าเสียชีวิตในห้างดัง สารภาพทำเพราะถูกนินทา และทวงค่าคอมหลายครั้งยังไม่ได้ ด้านแฟนผู้ตายยืนยันไม่ทีทางให้อภัย • จากกรณี นายประโยชน์ อายุ 40 ปี ถูกอาวุธมีดแทงบริเวณหน้าอกเสียชีวิต ภายในห้างดัง ย่านปทุมวัน กรุงเทพฯ ต่อมาตำรวจสามารถจับกุมนายสรศักดิ์ อายุ 27 ปี ผู้ก่อเหตุไว้ได้ เบื้องต้นทราบว่า ผู้ก่อเหตุและผู้เสียชีวิตเป็นเพื่อนร่วมงานกันตามที่เสนอข่าวนั่น • ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (24 ก.พ.) พ.ต.อ.อาคม ชุพรัตน์ ผกก. สน.ปทุมวัน เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำ นายสรศักดิ์ ให้การรับสารภาพว่า ตนเป็นลูกจ้างในร้านขายเครื่องนวดเก้าอี้ไฟฟ้า ส่วนผู้ตายเป็นผู้จัดการร้าน สำหรับมูลเหตุจูงใจ ผู้ต้องหาอ้างว่า ก่อนหน้านี้มีปากเสียงทะเลาะกับคนตายอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากคนตายชอบเอาเรื่องของตนไปนินทาให้คนอื่นฟัง อีกทั้งผู้ต้องหาได้ทวงถามค่าคอมมิชชั่นจากคนตายหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ได้สักที • เบื้องต้นพนักงานสอบสวน แจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ซึ่งผู้ต้องหายังไม่ได้ให้การอะไรมาก โดยในวันนี้พนักงานสอบสวนจะคุมตัวสอบเข้มตลอดทั้งวัน และจะนำตัวผู้ต้องหาถูกฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ในวันพรุ่งนี้ (25 ก.พ.) • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000018155 • #MGROnline #ผู้จัดการร้าน #ค่าคอมมิชชั่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♥️ ขอบคุณสำหรับค่าคอมมิชชั่นด้วยครับ ♥️

    เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องเทรด
    >> https://yoshitrader.blogspot.com/

    สนใจเปิดตลาด ได้ที่ลิ้งค์นี้ :
    >> https://bit.ly/3yGZQIk

    สนใจตลาดที่มีโหมด Blitz ได้ที่ลิ้งค์นี้ :
    >> https://bit.ly/4eh1XBr


    ติดต่อสอบถาม

    Twitter :
    >> https://x.com/Weskee62
    ♥️ ขอบคุณสำหรับค่าคอมมิชชั่นด้วยครับ ♥️ เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องเทรด >> https://yoshitrader.blogspot.com/ สนใจเปิดตลาด ได้ที่ลิ้งค์นี้ : >> https://bit.ly/3yGZQIk สนใจตลาดที่มีโหมด Blitz ได้ที่ลิ้งค์นี้ : >> https://bit.ly/4eh1XBr ติดต่อสอบถาม Twitter : >> https://x.com/Weskee62
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • นาทีนี้คดีสแกมเมอร์ทิพย์ สามสิบเก้าล้าน กําลังเป็นที่สนใจของประชาชนมากที่สุด มีแต่คนอยากรู้ว่า เมื่อไหร่กองปราบปรามจะออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาที่แบ่งหน้าที่กันหลอกลวงพี่อ้อย จตุพร
    คนที่อยู่ในข่ายแน่นอนแล้วก็คือนางสาวสาริณี นุชฌนาถ แล้วก็นายนุ สามีของ สาริณีซึ่งเป็นเพื่อนกับทนายตั้ม ตอนแรกพี่อ้อยเองก็สงสัยแค่สองสามีภรรยานี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับทนายตั้ม ส่งผลให้ทนายตั้มรอดคดีนี้มาได้ในการออกหมายจับครั้งที่ผ่านมา โดนเพียงแค่สามคดีคือฉ้อโกงแพลตฟอร์มหวยเจ็ดสิบเอ็ดล้าน คดีรถเบนซ์สิบสามล้านและคดีออกแบบโรงแรมเก้าล้าน
    แต่ตอนนี้กองปราบปรามได้หลักฐานแน่นอนแล้วว่าทนายตั้มรับเงินส่วนแบ่งจากแผนการครั้งนี้อีกทั้งคําให้การของพันตํารวจเอกภูวดล อุ่นโภช เพื่อนรักของบิ๊กโจ๊ก ก็ระบุว่าทนายตั้มเป็นคนโทรมาแจ้งเองเลยว่าจะส่งคนมาแจ้งความที่สน บางซื่อในวันดังกล่าวเป็นเบาะแสสําคัญมากที่ยืนยันถ้านายตั้มรู้เห็นกับขบวนการแจ้งความทิพย์เพื่อสร้างเรื่องสแกมเมอร์ทิพย์ไปหลอกลวงพี่อ้อย
    โดยน่าจะเป็นคนวางแผนและบงการเองเพราะฉะนั้นหมายจับระลอกสองจะออกมาอย่างแน่นอนในไม่กี่วันนี้ โดยทนายตั้มจะโดนอีกข้อหาพร้อมกับสาริณีและนุ อย่างต่ํา3 คน อาจมีมากกว่านี้ก็เป็นไปได้ขึ้นอยู่กับเส้นเงินจะโยงไปถึงใครมาว่ากันถึงคดีโกงดื้อดื้อเจ็ดสิบเอ็ดล้าน ตอนนี้แนวทางการต่อสู้คดีของทนายตั้มซึ่งพูดผ่านทนายลูกน้องของเขาเองอย่างทนายสายหยุด แล้วก็เพื่อนรักที่ช่วยเป็นโฆษกประโคมข่าวให้อย่างทนายเดชาจะเป็นแนวพลิกลิ้นกลับคําไม่เอาแล้วได้เงิน 71ล้านโดยเสน่หา คงประเมินแล้วมีแต่แพ้กับแพ้เปลี่ยนมาเป็นพี่อ้อยให้เงินทนายตั้มไปลงทุนโดยไม่ได้เสน่หา ส่วนที่ทนายตั้มเคยเที่ยวไปพูดออกสื่อหลายครั้งว่าได้มาโดยเสน่หานั้นโทรโข่งเดชา โม้ว่าทนายตั้มพูดเพื่อสับขาหลอกเท่านั้นจริงจริงวางแผนมาแต่แรกแล้วจะสู้คดีว่าเป็นเงินลงทุน แหม ช่างกล้าพูดราวคนฟังเค้ากินหญ้ามั้ง จุกกรู้ ถามว่าการพลิกเกมสู้คดีจากเงินเสน่หาเป็นเงินลงทุนจะช่วยให้คดีนี้หลุดจากคดีอาญาไปเป็นคดีแพ่งอย่างที่ทนายตั้มต้องการหรือไม่ คําตอบก็คือไม่มีโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะการฉ้อโกงในลักษณะหลอกลงทุน ทนายตั้มมาขายฝันให้พี่อ้อยอ้างว่าตัวเองจะได้โควตาหวยรัฐมา มันเป็นเรื่องโกหกล้วนๆเป็นแค่โควตาหวยทิพย์ซึ่งไม่เคยมีจริงแม้แต่การไปติดต่อบริษัทโปรแกรมเมอร์ ทนายสายหยุดยังแก้ต่างคดีซื้อรถเบนซ์ด้วยว่าส่วนต่าง 1,500,000 ที่ทนายตั้มได้ไปนั้นเป็นค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขายรถ ต้องบอกว่าเป็นแนวทางสู้คดีที่ปัญญาอ่อนฟังไม่ขึ้นเพราะปกติแล้วคนที่จ่ายค่าคอมมิชชั่น คือผู้ขายซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นบริษัทขายรถนั่นเองแต่นี่ ทนายตั้มอ้างว่าได้ค่าคอมมิชชั่นจากผู้ซื้อหน้าตาเฉย
    ทนายตั้มเองก็เป็นที่ปรึกษากฎหมายของพี่อ้อยต้องคอยรักษาผลประโยชน์ของพี่อ้อยไม่ใช่มาฉกเงินไปโดยพลการ ไม่ได้แจ้งให้เจ้าของเงินรับทราบแล้วมาแก้ตัวทีหลังว่าเป็นค่าคอมมิชชั่น การแถสีข้างถลอกว่าได้รับค่าคอมมิชชั่นจากผู้ซื้อนั้นเหมือนใครกันน้า ติดตามข่าวซีฟแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    นาทีนี้คดีสแกมเมอร์ทิพย์ สามสิบเก้าล้าน กําลังเป็นที่สนใจของประชาชนมากที่สุด มีแต่คนอยากรู้ว่า เมื่อไหร่กองปราบปรามจะออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาที่แบ่งหน้าที่กันหลอกลวงพี่อ้อย จตุพร คนที่อยู่ในข่ายแน่นอนแล้วก็คือนางสาวสาริณี นุชฌนาถ แล้วก็นายนุ สามีของ สาริณีซึ่งเป็นเพื่อนกับทนายตั้ม ตอนแรกพี่อ้อยเองก็สงสัยแค่สองสามีภรรยานี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับทนายตั้ม ส่งผลให้ทนายตั้มรอดคดีนี้มาได้ในการออกหมายจับครั้งที่ผ่านมา โดนเพียงแค่สามคดีคือฉ้อโกงแพลตฟอร์มหวยเจ็ดสิบเอ็ดล้าน คดีรถเบนซ์สิบสามล้านและคดีออกแบบโรงแรมเก้าล้าน แต่ตอนนี้กองปราบปรามได้หลักฐานแน่นอนแล้วว่าทนายตั้มรับเงินส่วนแบ่งจากแผนการครั้งนี้อีกทั้งคําให้การของพันตํารวจเอกภูวดล อุ่นโภช เพื่อนรักของบิ๊กโจ๊ก ก็ระบุว่าทนายตั้มเป็นคนโทรมาแจ้งเองเลยว่าจะส่งคนมาแจ้งความที่สน บางซื่อในวันดังกล่าวเป็นเบาะแสสําคัญมากที่ยืนยันถ้านายตั้มรู้เห็นกับขบวนการแจ้งความทิพย์เพื่อสร้างเรื่องสแกมเมอร์ทิพย์ไปหลอกลวงพี่อ้อย โดยน่าจะเป็นคนวางแผนและบงการเองเพราะฉะนั้นหมายจับระลอกสองจะออกมาอย่างแน่นอนในไม่กี่วันนี้ โดยทนายตั้มจะโดนอีกข้อหาพร้อมกับสาริณีและนุ อย่างต่ํา3 คน อาจมีมากกว่านี้ก็เป็นไปได้ขึ้นอยู่กับเส้นเงินจะโยงไปถึงใครมาว่ากันถึงคดีโกงดื้อดื้อเจ็ดสิบเอ็ดล้าน ตอนนี้แนวทางการต่อสู้คดีของทนายตั้มซึ่งพูดผ่านทนายลูกน้องของเขาเองอย่างทนายสายหยุด แล้วก็เพื่อนรักที่ช่วยเป็นโฆษกประโคมข่าวให้อย่างทนายเดชาจะเป็นแนวพลิกลิ้นกลับคําไม่เอาแล้วได้เงิน 71ล้านโดยเสน่หา คงประเมินแล้วมีแต่แพ้กับแพ้เปลี่ยนมาเป็นพี่อ้อยให้เงินทนายตั้มไปลงทุนโดยไม่ได้เสน่หา ส่วนที่ทนายตั้มเคยเที่ยวไปพูดออกสื่อหลายครั้งว่าได้มาโดยเสน่หานั้นโทรโข่งเดชา โม้ว่าทนายตั้มพูดเพื่อสับขาหลอกเท่านั้นจริงจริงวางแผนมาแต่แรกแล้วจะสู้คดีว่าเป็นเงินลงทุน แหม ช่างกล้าพูดราวคนฟังเค้ากินหญ้ามั้ง จุกกรู้ ถามว่าการพลิกเกมสู้คดีจากเงินเสน่หาเป็นเงินลงทุนจะช่วยให้คดีนี้หลุดจากคดีอาญาไปเป็นคดีแพ่งอย่างที่ทนายตั้มต้องการหรือไม่ คําตอบก็คือไม่มีโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะการฉ้อโกงในลักษณะหลอกลงทุน ทนายตั้มมาขายฝันให้พี่อ้อยอ้างว่าตัวเองจะได้โควตาหวยรัฐมา มันเป็นเรื่องโกหกล้วนๆเป็นแค่โควตาหวยทิพย์ซึ่งไม่เคยมีจริงแม้แต่การไปติดต่อบริษัทโปรแกรมเมอร์ ทนายสายหยุดยังแก้ต่างคดีซื้อรถเบนซ์ด้วยว่าส่วนต่าง 1,500,000 ที่ทนายตั้มได้ไปนั้นเป็นค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขายรถ ต้องบอกว่าเป็นแนวทางสู้คดีที่ปัญญาอ่อนฟังไม่ขึ้นเพราะปกติแล้วคนที่จ่ายค่าคอมมิชชั่น คือผู้ขายซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นบริษัทขายรถนั่นเองแต่นี่ ทนายตั้มอ้างว่าได้ค่าคอมมิชชั่นจากผู้ซื้อหน้าตาเฉย ทนายตั้มเองก็เป็นที่ปรึกษากฎหมายของพี่อ้อยต้องคอยรักษาผลประโยชน์ของพี่อ้อยไม่ใช่มาฉกเงินไปโดยพลการ ไม่ได้แจ้งให้เจ้าของเงินรับทราบแล้วมาแก้ตัวทีหลังว่าเป็นค่าคอมมิชชั่น การแถสีข้างถลอกว่าได้รับค่าคอมมิชชั่นจากผู้ซื้อนั้นเหมือนใครกันน้า ติดตามข่าวซีฟแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 955 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม่ทีมสายดำ..อายุน้อยร้อยล้าน

    เห็นน้องตอ อดีตกระเป๋าเครื่องบินเขามาคอมเมนต์ในเพจเหยื่อว่าเขาเลิกทำนานแล้ว ไม่ใช่พึ่งเลิกทำจ้าาา = เถียง

    พรีสสสส สงสัยมาพิมพ์เถียงโดยไม่ได้ไถหน้าเพจดูสกิลการขุดของเพจนี้เลยล่ะสิ่ท่า.?

    เราน่ะรู้ว่าหนูอ่ะเป็นดาวดังของบริษัทขึ้นเวทีไปเป็นพิธีกรของบริษัทเป็นประจำ และหนูทำจนได้หลัวคนที่ทำ The Icon อีกตางหาก ปั่ดโธ่

    มาเถียงเราคอมเมนต์หนึ่ง เราก็จัดให้อีกโพสต์หนึ่ง แต่ถ้าทำผิดแล้วสงบปากเราจะก้าวข้ามไปเล่นแก๊งอื่นต่อ

    ตามมาดูว่าแม่ทีมสายดำมันทำงานกันอย่างไร

    จุดเริ่มต้น..ทุกคนที่หลงเข้าไปในวงจรนี้ ก็จะเริ่มต้นจากเปิดบิล 2,500 บาท (Distributor)

    และถ้าจะสร้างทีมได้ ก็ต้องเปิด 25,000 บาท (Supervisor)

    เรต 2,500 บาท กับ 25,000 บาท จะต้องจ่ายตรงกับ Dealer เพราะ Dealer ต้องกระจายของตัวเองออก

    และถ้าต้องการเข้าทีมแม่ๆทั้งหลาย ต้องเปิด 250,000 บาท (Dealer)

    ทีนี้ตำแหน่งมันยังมีอีก 10 อันดับข้างบน แล้วทำไมมันถึงมีลำดับขั้นเยอะแยะขนาดนั้น.?

    ตามมา..

    ระบบแผนการจ่ายของ the icon จะมีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นทริปท่องเที่ยว เพื่อเลี่ยงกฎหมาย

    เพราะการจ่ายเงินมันจะผิดกฎหมายเข้าข่ายลูกโซ่ จึงแจกค่าคอมกลับเป็นการทัวร์ทริปเที่ยว ซึ่งระบุเอาไว้ว่า

    ถ้าใครไม่อยากเที่ยว..“ก็ขายทริปคืนเป็นเงินได้” ตรงจุดนี้แหละที่บอสพอลติ่งเอาไว้เลี่ยงกฎหมาย

    เพราะถ้ามีใครขายทริป บริษัทก็จะจ่ายเป็นเงินสดแทนการเที่ยวให้ มันก็จะเท่ากับการชวนคนร่วมลงทุนแล้วได้เงินตอบแทน(โดยอ้อม)เหมือนแชร์ลูกโซ่ยังไงยังงั้นเลย

    the icon เลี่ยงไปใช้คำว่า Re Dealer หรือการเปิดสาขาสอง คือการจ่าย 250,000 บาท อีกรอบ เพื่อขยับตัวเองขึ้นไปเป็น Gold , Platinum และสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

    ตำแหน่งพวกนี้สำคัญแค่ไหน ?

    หลักการจ่ายของ the icon จะจ่ายให้กับ Direct Referral (การชวนตรงผ่านรหัสตัวเอง) 10%

    ดังนั้นหากคุณจ่าย 250,000 บาทไปแล้ว และอยากได้เงินคืน คุณต้องทำ Direct Referral ตามรหัสตัวเองให้ได้ 10 ราย ถึงจะได้เงิน 10% กลับคืน

    ตรงนี้เรียกว่า "Fast start bonus" เป็นศัพท์ของ MLM เขาใช้เรียกกัน โดยปกติ MLM จะมีระบบซับซ้อนในการคำนวณยอดให้

    เช่น Stair Step, Uni-Level , Binary , Trinary ฯลฯ

    แต่ที่ The Icon นั้นไม่ซับซ้อน เป็นแค่ Stair Step หรือขั้นบันไดใช้การจ่ายที่ระดับขั้น แยกออกเป็น "ส่วนลด" เพื่อเอาส่วนลดนั้นไปจ่ายตามระดับ 10 อันดับด้านบนทั้งหมด

    และพอลยังแก้ให้มีระบบ Binary โยน Dealer ซ้าย-ขวา คะแนนข้างอ่อนผันเป็นโบนัส

    ดังนั้นยิ่งใครเปิด "สาขา" เยอะ ก็จะยิ่งได้รับ "ส่วนแบ่งสาขา" เยอะขึ้น ทีนี้หลักการจ่ายมันจะมีหลักง่ายๆคือ..จ่ายจากล่างสุดขึ้นไปบนสุด

    เวลาพี่ๆตำรวจเขา สืบ-สอบ ก็จะเริ่มจากด้านล่างสุดเช่นกัน แต่ด้านล่างสุดในมุมของตำรวจคือคนที่เป็นเหยื่อ ไล่เส้นเงินของเหยื่อ..ว่าวิ่งไปถึงใครบ้าง
    -----------

    สมมติว่าน้องตอ เขาเป็นระดับ Platinum Dealer แต่ลูกทีมของน้องตอดันไปเปิดสาขาเยอะกว่า ก็จะได้เป็น Crown Dealer ลักษณะแบบนี้จะเรียกว่า อันดับสูงกว่าผู้แนะนำ

    เวลาทำจ่าย "ส่วนแบ่งสาขา" มันจะข้ามน้องตอขึ้นไปข้างบนตามตำแหน่ง แม้ว่าคนนั้นจะเป็น Downline ของน้องตอก็ตาม

    และคนที่เปิดสูงกว่าน้องตอก็จะได้รับเงิน "ส่วนแบ่งสาขา" ไปแทน นี่เป็นหลักการที่จูงใจให้คนที่หลงเข้ามาทำธุรกิจนี้แล้วอยาก "ขยายสาขา"

    เพื่อที่ตัวเองจะได้ไประดับบนสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก็คือ "BOSS" (ไม่ใช่ Big Boss นะ)

    วิธีของ the icon คือตั้งกลุ่มแม่ทีม และลูกทีมจะต้องมาซื้อข้อมูลผู้สนใจธุรกิจ โดยมีค่าใช้จ่าย 1,000 - 5,000 บาท และถ้าเป็นเบอร์ที่หวังผลได้ชัวร์ ขาย 10,000 บาท

    คำถามคือ..เงินตรงนี้เข้าบริษัทหรือเข้ากระเป๋าแม่ทีม.?

    ถ้าคำนวณจากยอดของน้องตอที่ทำยอด 1,000,000 บาทได้ และได้แหวนเพชรจากบิ๊กบอสเป็นรางวัล

    ก็อนุมานได้ว่าน้องตอต้องได้ค่าคอม 25,000 บาท (จาก 250,000) 1,000,000 / 25,000 = 40 คน จุกๆ

    ระยะเวลาแค่ 6 เดือนน้องตอของเราได้ขึ้นไปรับเงิน 1 ล้านบาท พร้อมสวมแหวนเพชรบนเวที

    แล้วน้องตอก็พูดว่า.."ผู้ชายคนแรกที่สวมแหวนให้หนูคือบอสพอล" งู้ยยยยย ถุย
    -------------

    the icon ได้ทำการแก้ไขระบบตัวแทนจากตลาดตรง มาเพิ่ม "Binary" ทำให้มีการโยน Dealer ไปซ้าย-ขวา

    ทีนี้มันก็เลยต้องแข่งขันกันเพื่อตำแหน่งที่สูงขึ้นเพราะหลักการของระบบ Binary มันเข้าข่าย MLM และหลักการจ่ายค่าโบนัสมันจะจ่ายวิ่งขึ้นบน

    แปลว่าถ้าน้องตอตำแหน่งต่ำกว่า Downline ตัวเอง คะแนน Bonus จะวิ่งไปหาตำแหน่งที่สูงกว่าตัวเองทันที

    ข้อนี้มันคือการหักล้างทุกๆบริษัทที่เคยพูดว่า "Passive Income" มีจริง บอกเลยมันไม่มีอยู่จริงหรอก

    เพราะระบบ MLM มันมีกฎที่สามารถขโมย Bonus ได้ถ้าตำแหน่งสูงกว่า ระบบจะจ่ายโบนัสไปที่ "ตำแหน่งสูงสุด" ที่อยู่ในสายนั้น

    นี่คือสาเหตุให้ตำแหน่ง "BOSS" ด้านบน เปิดสาขาถึงระดับสูงสุด เพื่อรองรับโบนัสการคำนวณ ซ้าย-ขวา

    เพราะถ้าซ้าย-ขวา ไม่ balance ระบบจะคำนวณยอดที่จะได้แค่ส่วนต่างข้างน้อย และส่วนที่เหลือข้างมากจะไหลขึ้นบนตามหลัก MLM

    จุดนี้แหละจึงเป็นความจริงที่ทุกคนพยายาม "ขยายสาขา" เพื่อให้ตัวเองได้รับ "ส่วนแบ่งสาขา" นั่นเอง

    และทุกคนที่เป็นแม่ทีมจะสู้เพื่อสิ่งนี้แหละ คือตำแหน่งสูงสุด เพราะจะได้รับค่าคอมจากด้านล่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

    นั่นคือเหตุผลที่ระดับ "BOSS" ได้รับค่าคอมหลักล้าน แม้จะนอนนิ่งๆไม่ได้ทำอะไรก็ตาม

    แต่คนที่ยังทำงานอยู่ในการ Direct Referral จะได้ 10% เรียกว่าได้เงินเร็ว แล้วก็เอาเงินต่อเงินไปเปิดสาขาเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่สูงขึ้นตามนี้

    Boss
    Emperor
    Royal Crown
    Crown Dealer
    Wisdom Dealer
    Presidential Dealer
    Grand Dealer

    7 ตำแหน่งนี้👆ต้องไต่เต้าด้วยการ..ขยายสาขา

    นั่นคือมูลเหตุให้ระบบของบริษัท the icon แผนธุรกิจมุ่งเน้นชวนคนใหม่อย่างเดียว เพราะผลตอบแทน 10% จาก Dealer ได้ตรง และได้โบนัสคำนวณตามตำแหน่ง

    ทีนี้มาดูกลโกงของแม่ทีมสายดำกัน

    มันมีคนเข้ามาเป็น Dealer 367,943 คน และทุกคนเปิดบิล 250,000 บาทเหมือนกันหมด

    แต่ไม่ใช่ว่าคนทั้ง 367,943 คนจะยิงแอดเป็น หรือทำการตลาดเป็น จึงตกเป็นเหยื่อแม่ทีมในกลุ่มของตัวเอง

    โดยทุกคนจะโดนแม่ทีมเรียกรับ "ค่าโฆษณา" คนละ 10,000 / เดือน

    สมมติว่า..กลุ่มน้องตอมี 2,000 คน น้องตอก็จะเรียกเก็บค่าโฆษณาได้ 20,000,000 บาทต่อเดือนทันที

    คำถามคือ..แล้วลูกข่ายทั้งหมดที่มาเปิดบิลผ่านน้องตออ่ะ พวกเขาเหล่านั้นได้ยิงแอดเองไหม.?

    น้องตอ..บอกจะสอนให้เขาขายออนไลน์ได้เอง ก็แปลว่าลูกทีมเขาต้องมีความสามารถ "ตั้งโฆษณาได้เอง" ถูกไหม.?

    แต่น้องตอ กลับบอกให้ทุกคนเข้ากลุ่มแม่ทีมแล้วน้องตอก็เรียกเก็บเงินค่ารายชื่อ หัวละ 1000 - 5000 อันนี้มันยิงแอดตรงไหนอ่ะ.?

    น้องตอมีหลักฐานไหมว่ารายชื่อที่เอามาขายลูกข่ายน่ะมันดึงมาจาก Ads ทุกรายชื่อ.?

    คือ..แม่ทีมมีหน้าที่ไปยิงโฆษณาหาตัวแทนมาโปรยให้ลูกทีมนั่นแปลว่า "แม่ทีมก็ต้องโทรหาลูกค้าก่อนแล้ว"

    ลองคิดถึงหลักความเป็นจริง หากโทรไปแล้วเขาสนใจ พวกคุณคิดว่าแม่ทีมจะใจดีโยนมาให้ลูกทีมไหม.?

    แม่ทีมที่มีลูกทีม 2,000 คน ก็จะเรียกเก็บเงินจากลูกทีมได้ 20 ล้านบาท แล้วมีแม่ทีมคนไหนเอารายงานการยิงแอดมาโชว์ให้ลูกข่ายดูบ้างไหมครับ.?

    ถ้าไม่โชว์หลักฐาน ถ้างั้นก็เอาเงิน 20 ล้านบาทเข้ากระเป๋าตัวเอง แล้วบอกว่ายิงแอดให้แล้ว..ก็ทำได้สิ่.?

    พอมีคนคิดลบ เตะออก พอใครไม่อยากยิงแอด เตะออก ทำแบบนี้นี่น้องตอสอนคนยิงแอดหรือว่าบีบบังคับให้เค้าจ่ายไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดตัว.?

    เกมนี้ที่แม่ทีมอย่างพวกคุณออกแบบมันโหดร้ายมากๆนะ เพราะว่าจะมีแต่แม่ทีมอย่างพวกคุณรวยกันอยู่กระจุกเดียว

    แต่ลูกข่ายนี่เป็นตู้ ATM ให้แม่ทีมกดเงินอย่างเดียว แล้วบิ๊กบอสพอลเขารู้เรื่องไหมว่า มีแม่ทีมสายดำใช้แผนประทุษกรรมเหยื่อแบบนี้.?

    --------

    การทำธุรกิจแบบนี้มันไม่มีหรอก win/win น่ะ

    เงินหมื่นที่จ่ายให้แม่ทีม แม่ทีมหักหัวคิว 80-90% เอาไปลงในโฆษณา "ของตัวแม่ทีมเอง"

    และเหลือ 20-10% มาลงให้กับ "ลูกข่าย" จากนั้นก็ส่งหน้าม้าปลอมเข้าไปปลอบประโลมให้ลูกข่ายเห็นว่าโฆษณาทำงาน

    แต่อย่างที่เขาร้องกันทั้งหมดแหละ "ไม่มีใครขายได้สักคน" ก็เพราะมันเป็น Seeding Comment จากระบบ Auto Comment ไงฮะ

    น้องตอ..หัดยอมรับบ้างเหอะ ว่าเราก็หลอกเขามาเปิดบิล หลอกเอาเงินเขามายิงแอด ไหนหนูถึงทำธุรกิจโดยไม่ใช้เงินตัวเองเลยสักบาท.?

    ขออนุญาตอุทานนะครับ..พวกมึงนี่เควี้ยจริงๆเลย อีฝัด

    รบกวนพี่ตำรวจด้วยนะ เวลาสอบปากคำคนระดับแม่ทีม ช่วยถามหาหลักฐานที่พวกมันเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายต่างๆไปจากลูกข่ายด้วยนะครับ

    ท่านเรียก export excel .csv ของยอดยิงแอดมา compare เลย ว่าตรงกับยอดที่รับมาจาก "เหยื่อ" ที่เป็นลูกทีมหรือเปล่า

    แม่ทีมทุกคนได้ "Direct Referral" 10% ลองคิดดูว่าถ้าวันนึงปิดได้ 10 คน เงิน Fast Start Bonus แม่ทีมได้วันละ 250,000 บาท

    ยังไม่รวมคำนวณโบนัส ส่วนไหนที่ไม่สามารถปิดได้ในการโทรครั้งแรก แม่ทีมก็เอามาขายต่อ 5,000 บาท 2 รายชื่อ 1,000 - 5,000 บาท

    เงินส่วนนี้เข้ากระเป๋าแม่ทีม มันคือวงจรอุบาทว์ที่บอสพอลจะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ด้วยนะเพราะบอสพอลเป็นคนแก้ระบบให้มีระบบ Binary

    เพิ่มตำแหน่งออกมาถึง 13 ขั้นตรงนี้แหละที่บอสพอลจะผิดเต็มๆ ก็คุณจดทำการตลาดขายตรง แต่คุณกลับทำ MLM โดยไม่มีใบอนุญาตซะงั้น

    เกมนี้..บอสสวย ผู้อยู่เหนือหวงโซ่ของแม่ทีม คนที่เป็นทุกอย่างให้บอสพอล ถ้าตำรวจไม่เฝ้าไว้ อาจจะหลบหนีไป..ตามใบสั่ง

    บทความนี้เขียนขึ้นจากการสอบข้อเท็จจริงจากปากผู้เสียหาย หลายๆคน ข้อมูลไม่นิ่งตัดออก

    แล้วคัดเอาที่หลายคนพูดตรงกันมาวิเคราะห์แล้วหาข้อมูล แล้วเรียบเรียงเขียนเป็นบทความมาเผยแพร่

    ถ้าใครมีข้อมูลที่แท้ แล้วมันไม่ตรงกับบทความนี้ก็คอมเมนต์แจ้งมาได้นะ ถ้ามันเชื่อถือได้ เราจะแก้ไขให้ทันที

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    แม่ทีมสายดำ..อายุน้อยร้อยล้าน เห็นน้องตอ อดีตกระเป๋าเครื่องบินเขามาคอมเมนต์ในเพจเหยื่อว่าเขาเลิกทำนานแล้ว ไม่ใช่พึ่งเลิกทำจ้าาา = เถียง พรีสสสส สงสัยมาพิมพ์เถียงโดยไม่ได้ไถหน้าเพจดูสกิลการขุดของเพจนี้เลยล่ะสิ่ท่า.? เราน่ะรู้ว่าหนูอ่ะเป็นดาวดังของบริษัทขึ้นเวทีไปเป็นพิธีกรของบริษัทเป็นประจำ และหนูทำจนได้หลัวคนที่ทำ The Icon อีกตางหาก ปั่ดโธ่ มาเถียงเราคอมเมนต์หนึ่ง เราก็จัดให้อีกโพสต์หนึ่ง แต่ถ้าทำผิดแล้วสงบปากเราจะก้าวข้ามไปเล่นแก๊งอื่นต่อ ตามมาดูว่าแม่ทีมสายดำมันทำงานกันอย่างไร จุดเริ่มต้น..ทุกคนที่หลงเข้าไปในวงจรนี้ ก็จะเริ่มต้นจากเปิดบิล 2,500 บาท (Distributor) และถ้าจะสร้างทีมได้ ก็ต้องเปิด 25,000 บาท (Supervisor) เรต 2,500 บาท กับ 25,000 บาท จะต้องจ่ายตรงกับ Dealer เพราะ Dealer ต้องกระจายของตัวเองออก และถ้าต้องการเข้าทีมแม่ๆทั้งหลาย ต้องเปิด 250,000 บาท (Dealer) ทีนี้ตำแหน่งมันยังมีอีก 10 อันดับข้างบน แล้วทำไมมันถึงมีลำดับขั้นเยอะแยะขนาดนั้น.? ตามมา.. ระบบแผนการจ่ายของ the icon จะมีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นทริปท่องเที่ยว เพื่อเลี่ยงกฎหมาย เพราะการจ่ายเงินมันจะผิดกฎหมายเข้าข่ายลูกโซ่ จึงแจกค่าคอมกลับเป็นการทัวร์ทริปเที่ยว ซึ่งระบุเอาไว้ว่า ถ้าใครไม่อยากเที่ยว..“ก็ขายทริปคืนเป็นเงินได้” ตรงจุดนี้แหละที่บอสพอลติ่งเอาไว้เลี่ยงกฎหมาย เพราะถ้ามีใครขายทริป บริษัทก็จะจ่ายเป็นเงินสดแทนการเที่ยวให้ มันก็จะเท่ากับการชวนคนร่วมลงทุนแล้วได้เงินตอบแทน(โดยอ้อม)เหมือนแชร์ลูกโซ่ยังไงยังงั้นเลย the icon เลี่ยงไปใช้คำว่า Re Dealer หรือการเปิดสาขาสอง คือการจ่าย 250,000 บาท อีกรอบ เพื่อขยับตัวเองขึ้นไปเป็น Gold , Platinum และสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตำแหน่งพวกนี้สำคัญแค่ไหน ? หลักการจ่ายของ the icon จะจ่ายให้กับ Direct Referral (การชวนตรงผ่านรหัสตัวเอง) 10% ดังนั้นหากคุณจ่าย 250,000 บาทไปแล้ว และอยากได้เงินคืน คุณต้องทำ Direct Referral ตามรหัสตัวเองให้ได้ 10 ราย ถึงจะได้เงิน 10% กลับคืน ตรงนี้เรียกว่า "Fast start bonus" เป็นศัพท์ของ MLM เขาใช้เรียกกัน โดยปกติ MLM จะมีระบบซับซ้อนในการคำนวณยอดให้ เช่น Stair Step, Uni-Level , Binary , Trinary ฯลฯ แต่ที่ The Icon นั้นไม่ซับซ้อน เป็นแค่ Stair Step หรือขั้นบันไดใช้การจ่ายที่ระดับขั้น แยกออกเป็น "ส่วนลด" เพื่อเอาส่วนลดนั้นไปจ่ายตามระดับ 10 อันดับด้านบนทั้งหมด และพอลยังแก้ให้มีระบบ Binary โยน Dealer ซ้าย-ขวา คะแนนข้างอ่อนผันเป็นโบนัส ดังนั้นยิ่งใครเปิด "สาขา" เยอะ ก็จะยิ่งได้รับ "ส่วนแบ่งสาขา" เยอะขึ้น ทีนี้หลักการจ่ายมันจะมีหลักง่ายๆคือ..จ่ายจากล่างสุดขึ้นไปบนสุด เวลาพี่ๆตำรวจเขา สืบ-สอบ ก็จะเริ่มจากด้านล่างสุดเช่นกัน แต่ด้านล่างสุดในมุมของตำรวจคือคนที่เป็นเหยื่อ ไล่เส้นเงินของเหยื่อ..ว่าวิ่งไปถึงใครบ้าง ----------- สมมติว่าน้องตอ เขาเป็นระดับ Platinum Dealer แต่ลูกทีมของน้องตอดันไปเปิดสาขาเยอะกว่า ก็จะได้เป็น Crown Dealer ลักษณะแบบนี้จะเรียกว่า อันดับสูงกว่าผู้แนะนำ เวลาทำจ่าย "ส่วนแบ่งสาขา" มันจะข้ามน้องตอขึ้นไปข้างบนตามตำแหน่ง แม้ว่าคนนั้นจะเป็น Downline ของน้องตอก็ตาม และคนที่เปิดสูงกว่าน้องตอก็จะได้รับเงิน "ส่วนแบ่งสาขา" ไปแทน นี่เป็นหลักการที่จูงใจให้คนที่หลงเข้ามาทำธุรกิจนี้แล้วอยาก "ขยายสาขา" เพื่อที่ตัวเองจะได้ไประดับบนสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก็คือ "BOSS" (ไม่ใช่ Big Boss นะ) วิธีของ the icon คือตั้งกลุ่มแม่ทีม และลูกทีมจะต้องมาซื้อข้อมูลผู้สนใจธุรกิจ โดยมีค่าใช้จ่าย 1,000 - 5,000 บาท และถ้าเป็นเบอร์ที่หวังผลได้ชัวร์ ขาย 10,000 บาท คำถามคือ..เงินตรงนี้เข้าบริษัทหรือเข้ากระเป๋าแม่ทีม.? ถ้าคำนวณจากยอดของน้องตอที่ทำยอด 1,000,000 บาทได้ และได้แหวนเพชรจากบิ๊กบอสเป็นรางวัล ก็อนุมานได้ว่าน้องตอต้องได้ค่าคอม 25,000 บาท (จาก 250,000) 1,000,000 / 25,000 = 40 คน จุกๆ ระยะเวลาแค่ 6 เดือนน้องตอของเราได้ขึ้นไปรับเงิน 1 ล้านบาท พร้อมสวมแหวนเพชรบนเวที แล้วน้องตอก็พูดว่า.."ผู้ชายคนแรกที่สวมแหวนให้หนูคือบอสพอล" งู้ยยยยย ถุย ------------- the icon ได้ทำการแก้ไขระบบตัวแทนจากตลาดตรง มาเพิ่ม "Binary" ทำให้มีการโยน Dealer ไปซ้าย-ขวา ทีนี้มันก็เลยต้องแข่งขันกันเพื่อตำแหน่งที่สูงขึ้นเพราะหลักการของระบบ Binary มันเข้าข่าย MLM และหลักการจ่ายค่าโบนัสมันจะจ่ายวิ่งขึ้นบน แปลว่าถ้าน้องตอตำแหน่งต่ำกว่า Downline ตัวเอง คะแนน Bonus จะวิ่งไปหาตำแหน่งที่สูงกว่าตัวเองทันที ข้อนี้มันคือการหักล้างทุกๆบริษัทที่เคยพูดว่า "Passive Income" มีจริง บอกเลยมันไม่มีอยู่จริงหรอก เพราะระบบ MLM มันมีกฎที่สามารถขโมย Bonus ได้ถ้าตำแหน่งสูงกว่า ระบบจะจ่ายโบนัสไปที่ "ตำแหน่งสูงสุด" ที่อยู่ในสายนั้น นี่คือสาเหตุให้ตำแหน่ง "BOSS" ด้านบน เปิดสาขาถึงระดับสูงสุด เพื่อรองรับโบนัสการคำนวณ ซ้าย-ขวา เพราะถ้าซ้าย-ขวา ไม่ balance ระบบจะคำนวณยอดที่จะได้แค่ส่วนต่างข้างน้อย และส่วนที่เหลือข้างมากจะไหลขึ้นบนตามหลัก MLM จุดนี้แหละจึงเป็นความจริงที่ทุกคนพยายาม "ขยายสาขา" เพื่อให้ตัวเองได้รับ "ส่วนแบ่งสาขา" นั่นเอง และทุกคนที่เป็นแม่ทีมจะสู้เพื่อสิ่งนี้แหละ คือตำแหน่งสูงสุด เพราะจะได้รับค่าคอมจากด้านล่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย นั่นคือเหตุผลที่ระดับ "BOSS" ได้รับค่าคอมหลักล้าน แม้จะนอนนิ่งๆไม่ได้ทำอะไรก็ตาม แต่คนที่ยังทำงานอยู่ในการ Direct Referral จะได้ 10% เรียกว่าได้เงินเร็ว แล้วก็เอาเงินต่อเงินไปเปิดสาขาเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่สูงขึ้นตามนี้ Boss Emperor Royal Crown Crown Dealer Wisdom Dealer Presidential Dealer Grand Dealer 7 ตำแหน่งนี้👆ต้องไต่เต้าด้วยการ..ขยายสาขา นั่นคือมูลเหตุให้ระบบของบริษัท the icon แผนธุรกิจมุ่งเน้นชวนคนใหม่อย่างเดียว เพราะผลตอบแทน 10% จาก Dealer ได้ตรง และได้โบนัสคำนวณตามตำแหน่ง ทีนี้มาดูกลโกงของแม่ทีมสายดำกัน มันมีคนเข้ามาเป็น Dealer 367,943 คน และทุกคนเปิดบิล 250,000 บาทเหมือนกันหมด แต่ไม่ใช่ว่าคนทั้ง 367,943 คนจะยิงแอดเป็น หรือทำการตลาดเป็น จึงตกเป็นเหยื่อแม่ทีมในกลุ่มของตัวเอง โดยทุกคนจะโดนแม่ทีมเรียกรับ "ค่าโฆษณา" คนละ 10,000 / เดือน สมมติว่า..กลุ่มน้องตอมี 2,000 คน น้องตอก็จะเรียกเก็บค่าโฆษณาได้ 20,000,000 บาทต่อเดือนทันที คำถามคือ..แล้วลูกข่ายทั้งหมดที่มาเปิดบิลผ่านน้องตออ่ะ พวกเขาเหล่านั้นได้ยิงแอดเองไหม.? น้องตอ..บอกจะสอนให้เขาขายออนไลน์ได้เอง ก็แปลว่าลูกทีมเขาต้องมีความสามารถ "ตั้งโฆษณาได้เอง" ถูกไหม.? แต่น้องตอ กลับบอกให้ทุกคนเข้ากลุ่มแม่ทีมแล้วน้องตอก็เรียกเก็บเงินค่ารายชื่อ หัวละ 1000 - 5000 อันนี้มันยิงแอดตรงไหนอ่ะ.? น้องตอมีหลักฐานไหมว่ารายชื่อที่เอามาขายลูกข่ายน่ะมันดึงมาจาก Ads ทุกรายชื่อ.? คือ..แม่ทีมมีหน้าที่ไปยิงโฆษณาหาตัวแทนมาโปรยให้ลูกทีมนั่นแปลว่า "แม่ทีมก็ต้องโทรหาลูกค้าก่อนแล้ว" ลองคิดถึงหลักความเป็นจริง หากโทรไปแล้วเขาสนใจ พวกคุณคิดว่าแม่ทีมจะใจดีโยนมาให้ลูกทีมไหม.? แม่ทีมที่มีลูกทีม 2,000 คน ก็จะเรียกเก็บเงินจากลูกทีมได้ 20 ล้านบาท แล้วมีแม่ทีมคนไหนเอารายงานการยิงแอดมาโชว์ให้ลูกข่ายดูบ้างไหมครับ.? ถ้าไม่โชว์หลักฐาน ถ้างั้นก็เอาเงิน 20 ล้านบาทเข้ากระเป๋าตัวเอง แล้วบอกว่ายิงแอดให้แล้ว..ก็ทำได้สิ่.? พอมีคนคิดลบ เตะออก พอใครไม่อยากยิงแอด เตะออก ทำแบบนี้นี่น้องตอสอนคนยิงแอดหรือว่าบีบบังคับให้เค้าจ่ายไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดตัว.? เกมนี้ที่แม่ทีมอย่างพวกคุณออกแบบมันโหดร้ายมากๆนะ เพราะว่าจะมีแต่แม่ทีมอย่างพวกคุณรวยกันอยู่กระจุกเดียว แต่ลูกข่ายนี่เป็นตู้ ATM ให้แม่ทีมกดเงินอย่างเดียว แล้วบิ๊กบอสพอลเขารู้เรื่องไหมว่า มีแม่ทีมสายดำใช้แผนประทุษกรรมเหยื่อแบบนี้.? -------- การทำธุรกิจแบบนี้มันไม่มีหรอก win/win น่ะ เงินหมื่นที่จ่ายให้แม่ทีม แม่ทีมหักหัวคิว 80-90% เอาไปลงในโฆษณา "ของตัวแม่ทีมเอง" และเหลือ 20-10% มาลงให้กับ "ลูกข่าย" จากนั้นก็ส่งหน้าม้าปลอมเข้าไปปลอบประโลมให้ลูกข่ายเห็นว่าโฆษณาทำงาน แต่อย่างที่เขาร้องกันทั้งหมดแหละ "ไม่มีใครขายได้สักคน" ก็เพราะมันเป็น Seeding Comment จากระบบ Auto Comment ไงฮะ น้องตอ..หัดยอมรับบ้างเหอะ ว่าเราก็หลอกเขามาเปิดบิล หลอกเอาเงินเขามายิงแอด ไหนหนูถึงทำธุรกิจโดยไม่ใช้เงินตัวเองเลยสักบาท.? ขออนุญาตอุทานนะครับ..พวกมึงนี่เควี้ยจริงๆเลย อีฝัด รบกวนพี่ตำรวจด้วยนะ เวลาสอบปากคำคนระดับแม่ทีม ช่วยถามหาหลักฐานที่พวกมันเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายต่างๆไปจากลูกข่ายด้วยนะครับ ท่านเรียก export excel .csv ของยอดยิงแอดมา compare เลย ว่าตรงกับยอดที่รับมาจาก "เหยื่อ" ที่เป็นลูกทีมหรือเปล่า แม่ทีมทุกคนได้ "Direct Referral" 10% ลองคิดดูว่าถ้าวันนึงปิดได้ 10 คน เงิน Fast Start Bonus แม่ทีมได้วันละ 250,000 บาท ยังไม่รวมคำนวณโบนัส ส่วนไหนที่ไม่สามารถปิดได้ในการโทรครั้งแรก แม่ทีมก็เอามาขายต่อ 5,000 บาท 2 รายชื่อ 1,000 - 5,000 บาท เงินส่วนนี้เข้ากระเป๋าแม่ทีม มันคือวงจรอุบาทว์ที่บอสพอลจะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ด้วยนะเพราะบอสพอลเป็นคนแก้ระบบให้มีระบบ Binary เพิ่มตำแหน่งออกมาถึง 13 ขั้นตรงนี้แหละที่บอสพอลจะผิดเต็มๆ ก็คุณจดทำการตลาดขายตรง แต่คุณกลับทำ MLM โดยไม่มีใบอนุญาตซะงั้น เกมนี้..บอสสวย ผู้อยู่เหนือหวงโซ่ของแม่ทีม คนที่เป็นทุกอย่างให้บอสพอล ถ้าตำรวจไม่เฝ้าไว้ อาจจะหลบหนีไป..ตามใบสั่ง บทความนี้เขียนขึ้นจากการสอบข้อเท็จจริงจากปากผู้เสียหาย หลายๆคน ข้อมูลไม่นิ่งตัดออก แล้วคัดเอาที่หลายคนพูดตรงกันมาวิเคราะห์แล้วหาข้อมูล แล้วเรียบเรียงเขียนเป็นบทความมาเผยแพร่ ถ้าใครมีข้อมูลที่แท้ แล้วมันไม่ตรงกับบทความนี้ก็คอมเมนต์แจ้งมาได้นะ ถ้ามันเชื่อถือได้ เราจะแก้ไขให้ทันที สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 673 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ปฐมบท DNW

    สาคร..เจ้าของสโลแกน รวยไม่รวย ดีไม่ดี DNetwork ต้นฉบับคอร์สยิงแอดออนไลน์

    ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปลายปี 2552 นักธุรกิจเครือข่ายท่านหนึ่ง ยอดขายก็พออยู่ได้ นามว่านาย สาคร

    นายสาครโดนเหตุการณ์ผลกระทบกับตัวเองคือโดนตัดรหัสจากค่ายเดิมในขณะนั้น ซึ่งสาครอ้างว่าเจ้าของเข้าใจว่าจะมีการทำสินค้าและเปิดบริษัทขายตรงเข้ามาแข่งขัน

    แต่ข้อมูลอีกกระแสกล่าวว่า มีปัญหาเรื่องเชิงชู้สาวในองค์กร โดยนาย สาคร จับดาวน์ไลน์สาวรุ่นในขณะนั้น ชื่อว่า แซน ภรัณธรณ์ เป็นเมียน้อย

    และเรื่องราวเกิดแดงขึ้นที่บริษัทฯ ทางบริษัทฯ จึงเห็นว่าเป็นความเสื่อมเสียและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในองค์กร เพราะนักธุรกิจท่านนี้ในขณะนั้น เป็นถึงหัวหน้าทีมในการจัดฝึกอบรมคอร์สต่างๆ ให้กับบริษัทฯ

    ทั้งคู่เลยโดนตัดรหัสและไล่ออกจากบริษัท

    หลังจากนาย สาคร โดนตัดรหัสจากบริษัทเดิม ก็ได้หอบดาวน์ไลน์สาวน้อย แซน ภรัณธรณ์ ไปด้วย

    แซนไหนอีกวะ แอดไร้เงา.?
    -แซน ที่เขาเซฟธุรกิจขายตรงที่กูลงไว้โพสต์ก่อนไง ปั่ดโธ่ว์
    👉 https://www.facebook.com/share/p/xBBBPDtPqjgrmM22/?mibextid=WC7FNe

    ภาพในโพสต์👆เฟซบนอ่ะแซน เฟซล่างอ่ะอวตารของ สาคร ถถถ

    สาคร..ไปร่วมกับเพื่อนนักธุรกิจเครือข่ายที่เคยร่วมงานกันในธุรกิจเครือข่ายในอดีตอีก 2 ท่าน ชื่อว่านาย ภูมิสนอง และนาย อุทัย

    ทำให้ข่าวลือเรื่องชู้สาวที่เกิดขึ้นที่บริษัทเก่าดูเป็นความจริงขึ้นมาทันที

    สาคร..ได้ไปจัดตั้งบริษัทธุรกิจเครือข่ายของตัวเองแถวสุวินทวงศ์ โดยเริ่มจากการเช่าอาคารพาณิชย์ 1 คูหา ในการเริ่มต้นธุรกิจในขณะนั้น เมื่อต้นปี 2553

    โดยตั้งชื่อบริษัทว่า DNetwork Worldwide เรียกสั้นๆว่า DNW ผลิตสินค้าออกมาชื่อว่า KOREGINS (โกเรจินส์)

    MLM ที่ดีต้องมีเรื่องราวความสำเร็จ ต้นเหตุของปลอมที่ทำเหมือน ต้นแบบของมี 10 พูด 100

    ในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจของ DNW ก็เหมือนกับธุรกิจเครือข่ายอื่นๆ โดยทั่วไป ทั้งสามคนสถาปณาตัวเองขึ้นเป็นอาจารย์

    ทุกคนต้องเรียกว่า อ.สาคร อ.ภูมิสนอง อ.อุทัย และทั้งสามคนก็เริ่มไปรวบรวมรายชื่อเพื่อสปอนเซอร์ทีมงานจากธุรกิจเดิมก่อนหน้า และผู้มุ่งหวังใหม่ๆ เข้าสู่องค์กร

    โดยดึงหัวกะทิแห่งวงการเข้ามาทำงาน ซึ่งในขณะนั้นธุรกิจ MLM ที่เติบโตเป็นอย่างมากในช่วงเวลาขณะนั้น คือ ธุรกิจ AimStar

    จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่ DNW จะนำแผนการจ่ายผลตอบแทนของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในขณะนั้น และใช้วิธีให้โปรแกรมเมอร์เขียนระบบลอกมาทั้งดุ้น

    เท่าที่ดูหลังบ้านไอ้โปรแกรมตัวนี้ค่าจ้างเขียนราคาไม่กี่แสนบาท แต่สาครโม้กับนักเรียนบอกว่าระบบเขียนมาหลายสิบล้านบาท บ้งแล้ว 1.

    สำหรับธุรกิจชวนคนที่เพิ่งเริ่มต้นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้เลยคือตัวละครที่เรียกว่า“ผู้สำเร็จ”มาเป็นตัวล่อเหยื่อถ้าไม่มีผู้สำเร็จจะไปชวนคนมาเป็นเหยื่อได้อย่างไรล่ะ

    ถูกไหม.?

    นายสาครมองว่าผู้สำเร็จในธุรกิจชวนคนนั้นต้องมีระดับสูงๆในบริษัท ก็คือระดับ Blue Diamond ซึ่งเป็นระดับตำแหน่งสูงสุดของบริษัท

    ดังนั้นเมื่อมันไม่มีก็ต้องปั้น Blue Diamond ปลอมขึ้นมา 1 คน และคนนั้นต้องเป็นคนของตัวเองเพราะควบคุมได้ง่ายกว่า

    ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการสร้างตัวละครผู้สำเร็จที่ขาดหายไปโดยใช้วิธีปั้น แซน ภรัณธรณ์ ที่เป็นเมียน้อยของตัวเอง ให้ขึ้นเป็น Blue Diamond (เทียม)

    *นั่นเท่ากับว่านายสาครเริ่มต้นธุรกิจด้วยการลวงโลกตั้งแต่ก้าวแรก**
    ----------

    ซึ่งการสร้างผู้สำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับคนที่นอนคุยกันบนเตียง การดีลและความลับจึงรู้กันแค่สี่คน อ.ทั้งสาม และ เมียน้อย ที่รับรู้แผนการอันโสมม

    วิธีการที่นายสาคร ใช้คือการยืมคะแนนบริษัทมาใส่ในชื่อของ แซน เมียน้อยที่เป็นคนในองค์กรของตัวเองที่ต้องการทำคุณสมบัติให้ครบตามเงื่อนไขในการขี้นตำแหน่ง

    จึงเป็นเหตุให้มีการกระทำเพื่อทำให้เป็นการขึ้นตำแหน่งสูงสุดของบริษัทในขณะนั้น โดยใช้เวลาสั้นที่สุดเรียกว่าเป็นสถิติโลกเลยคือใช้เวลาแค่.."คืนเดียว"

    หลังจากสาครปั้นตำแหน่ง Blue Diamond ให้กับเมียน้อยได้ขึ้นตำแหน่งได้แล้วนั้น แซนก็ดึงค่าคอมมิชชั่นกลับหลังจากขึ้นตำแหน่งสูงสุด โดยการไปดึงค่าคอมจากสมาชิกที่สามีลงตังลงไป (ก็ตังสามีนี่หว่าต้องดึงคืน)

    ตำแหน่งสูงสุดในบริษัท (Blue Diamond) ถูกนำมาใช้ในการโปรโมทในการชวนคนใหม่ๆ เข้าร่วมธุรกิจกับบริษัท

    หลายคนเข้ามาในช่วงแรกๆก็คิดว่า แซน ภรัณธรณ์ ดาวน์ไลน์สาวน้อยท่านนี้เก่งมาก ระดับหัวกะทิของวงการ MLM เลยใช้เวลาปีเดียวขึ้น Blue Diamond ได้

    การขยายเครือข่ายแบบแยบยลและต้มตุ๋น

    เมื่อภาพของผู้ประสบความสำเร็จ Blue Diamond ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว กระบวนการขับเคลื่อนธุรกิจ MLM แบบต้มตุ๋นจึงเริ่มขยับทำการสร้างเครือข่ายหาผู้บริโภค

    ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงเฟื่องฟูของวิทยุชุมชนและการขายสินค้าในช่องจานดาวเทียม นาย สาคร จึงขายแนวคิดให้ทีมงานไปใช้เงินส่วนตัวของแต่ละคนไปจ้างสถานีวิทยุชุมชนและช่องทีวีจานดาวเทียมเพื่อทำการตลาด.?

    สาคร..ได้ใช้หลักการ OPM (Other People Money) ง่ายๆก็คือ กูไม่จ่ายเองหรอกค่าโฆษณา กูให้ Downline เป็นคนจ่ายทำให้ยอดขายเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริษัท

    จากเครือข่ายผู้บริโภคที่ควรจะเป็นกลายไปเป็นเครือข่ายสถานีวิทยุ เครือขายช่องทีวีในจานดาวเทียม และสุดท้ายเครือข่ายร้านค้า

    เหตุนี้ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จากเช่า 1 คูหา กลายเป็นเช่า 2 คูหา จนนาย สาคร พูดว่ามียอดธุรกิจถึง 2,000 ล้านบาทเพื่อล่อเม่า (ความจริง 500 กว่าล้านบาทเศษ)

    ซึ่งความสำเร็จนั้นไม่ว่ามันจะมากน้อยเท่าไหร่ก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นเงินในกระเป๋าของชาวบ้านทุกบาท ทุกสตางค์..ดังนั้นต้องแหก

    รอติดตามความแหกตอนที่ 2

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    #ปฐมบท DNW สาคร..เจ้าของสโลแกน รวยไม่รวย ดีไม่ดี DNetwork ต้นฉบับคอร์สยิงแอดออนไลน์ ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปลายปี 2552 นักธุรกิจเครือข่ายท่านหนึ่ง ยอดขายก็พออยู่ได้ นามว่านาย สาคร นายสาครโดนเหตุการณ์ผลกระทบกับตัวเองคือโดนตัดรหัสจากค่ายเดิมในขณะนั้น ซึ่งสาครอ้างว่าเจ้าของเข้าใจว่าจะมีการทำสินค้าและเปิดบริษัทขายตรงเข้ามาแข่งขัน แต่ข้อมูลอีกกระแสกล่าวว่า มีปัญหาเรื่องเชิงชู้สาวในองค์กร โดยนาย สาคร จับดาวน์ไลน์สาวรุ่นในขณะนั้น ชื่อว่า แซน ภรัณธรณ์ เป็นเมียน้อย และเรื่องราวเกิดแดงขึ้นที่บริษัทฯ ทางบริษัทฯ จึงเห็นว่าเป็นความเสื่อมเสียและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในองค์กร เพราะนักธุรกิจท่านนี้ในขณะนั้น เป็นถึงหัวหน้าทีมในการจัดฝึกอบรมคอร์สต่างๆ ให้กับบริษัทฯ ทั้งคู่เลยโดนตัดรหัสและไล่ออกจากบริษัท หลังจากนาย สาคร โดนตัดรหัสจากบริษัทเดิม ก็ได้หอบดาวน์ไลน์สาวน้อย แซน ภรัณธรณ์ ไปด้วย แซนไหนอีกวะ แอดไร้เงา.? -แซน ที่เขาเซฟธุรกิจขายตรงที่กูลงไว้โพสต์ก่อนไง ปั่ดโธ่ว์ 👉 https://www.facebook.com/share/p/xBBBPDtPqjgrmM22/?mibextid=WC7FNe ภาพในโพสต์👆เฟซบนอ่ะแซน เฟซล่างอ่ะอวตารของ สาคร ถถถ สาคร..ไปร่วมกับเพื่อนนักธุรกิจเครือข่ายที่เคยร่วมงานกันในธุรกิจเครือข่ายในอดีตอีก 2 ท่าน ชื่อว่านาย ภูมิสนอง และนาย อุทัย ทำให้ข่าวลือเรื่องชู้สาวที่เกิดขึ้นที่บริษัทเก่าดูเป็นความจริงขึ้นมาทันที สาคร..ได้ไปจัดตั้งบริษัทธุรกิจเครือข่ายของตัวเองแถวสุวินทวงศ์ โดยเริ่มจากการเช่าอาคารพาณิชย์ 1 คูหา ในการเริ่มต้นธุรกิจในขณะนั้น เมื่อต้นปี 2553 โดยตั้งชื่อบริษัทว่า DNetwork Worldwide เรียกสั้นๆว่า DNW ผลิตสินค้าออกมาชื่อว่า KOREGINS (โกเรจินส์) MLM ที่ดีต้องมีเรื่องราวความสำเร็จ ต้นเหตุของปลอมที่ทำเหมือน ต้นแบบของมี 10 พูด 100 ในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจของ DNW ก็เหมือนกับธุรกิจเครือข่ายอื่นๆ โดยทั่วไป ทั้งสามคนสถาปณาตัวเองขึ้นเป็นอาจารย์ ทุกคนต้องเรียกว่า อ.สาคร อ.ภูมิสนอง อ.อุทัย และทั้งสามคนก็เริ่มไปรวบรวมรายชื่อเพื่อสปอนเซอร์ทีมงานจากธุรกิจเดิมก่อนหน้า และผู้มุ่งหวังใหม่ๆ เข้าสู่องค์กร โดยดึงหัวกะทิแห่งวงการเข้ามาทำงาน ซึ่งในขณะนั้นธุรกิจ MLM ที่เติบโตเป็นอย่างมากในช่วงเวลาขณะนั้น คือ ธุรกิจ AimStar จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่ DNW จะนำแผนการจ่ายผลตอบแทนของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในขณะนั้น และใช้วิธีให้โปรแกรมเมอร์เขียนระบบลอกมาทั้งดุ้น เท่าที่ดูหลังบ้านไอ้โปรแกรมตัวนี้ค่าจ้างเขียนราคาไม่กี่แสนบาท แต่สาครโม้กับนักเรียนบอกว่าระบบเขียนมาหลายสิบล้านบาท บ้งแล้ว 1. สำหรับธุรกิจชวนคนที่เพิ่งเริ่มต้นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้เลยคือตัวละครที่เรียกว่า“ผู้สำเร็จ”มาเป็นตัวล่อเหยื่อถ้าไม่มีผู้สำเร็จจะไปชวนคนมาเป็นเหยื่อได้อย่างไรล่ะ ถูกไหม.? นายสาครมองว่าผู้สำเร็จในธุรกิจชวนคนนั้นต้องมีระดับสูงๆในบริษัท ก็คือระดับ Blue Diamond ซึ่งเป็นระดับตำแหน่งสูงสุดของบริษัท ดังนั้นเมื่อมันไม่มีก็ต้องปั้น Blue Diamond ปลอมขึ้นมา 1 คน และคนนั้นต้องเป็นคนของตัวเองเพราะควบคุมได้ง่ายกว่า ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการสร้างตัวละครผู้สำเร็จที่ขาดหายไปโดยใช้วิธีปั้น แซน ภรัณธรณ์ ที่เป็นเมียน้อยของตัวเอง ให้ขึ้นเป็น Blue Diamond (เทียม) *นั่นเท่ากับว่านายสาครเริ่มต้นธุรกิจด้วยการลวงโลกตั้งแต่ก้าวแรก** ---------- ซึ่งการสร้างผู้สำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับคนที่นอนคุยกันบนเตียง การดีลและความลับจึงรู้กันแค่สี่คน อ.ทั้งสาม และ เมียน้อย ที่รับรู้แผนการอันโสมม วิธีการที่นายสาคร ใช้คือการยืมคะแนนบริษัทมาใส่ในชื่อของ แซน เมียน้อยที่เป็นคนในองค์กรของตัวเองที่ต้องการทำคุณสมบัติให้ครบตามเงื่อนไขในการขี้นตำแหน่ง จึงเป็นเหตุให้มีการกระทำเพื่อทำให้เป็นการขึ้นตำแหน่งสูงสุดของบริษัทในขณะนั้น โดยใช้เวลาสั้นที่สุดเรียกว่าเป็นสถิติโลกเลยคือใช้เวลาแค่.."คืนเดียว" หลังจากสาครปั้นตำแหน่ง Blue Diamond ให้กับเมียน้อยได้ขึ้นตำแหน่งได้แล้วนั้น แซนก็ดึงค่าคอมมิชชั่นกลับหลังจากขึ้นตำแหน่งสูงสุด โดยการไปดึงค่าคอมจากสมาชิกที่สามีลงตังลงไป (ก็ตังสามีนี่หว่าต้องดึงคืน) ตำแหน่งสูงสุดในบริษัท (Blue Diamond) ถูกนำมาใช้ในการโปรโมทในการชวนคนใหม่ๆ เข้าร่วมธุรกิจกับบริษัท หลายคนเข้ามาในช่วงแรกๆก็คิดว่า แซน ภรัณธรณ์ ดาวน์ไลน์สาวน้อยท่านนี้เก่งมาก ระดับหัวกะทิของวงการ MLM เลยใช้เวลาปีเดียวขึ้น Blue Diamond ได้ การขยายเครือข่ายแบบแยบยลและต้มตุ๋น เมื่อภาพของผู้ประสบความสำเร็จ Blue Diamond ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว กระบวนการขับเคลื่อนธุรกิจ MLM แบบต้มตุ๋นจึงเริ่มขยับทำการสร้างเครือข่ายหาผู้บริโภค ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงเฟื่องฟูของวิทยุชุมชนและการขายสินค้าในช่องจานดาวเทียม นาย สาคร จึงขายแนวคิดให้ทีมงานไปใช้เงินส่วนตัวของแต่ละคนไปจ้างสถานีวิทยุชุมชนและช่องทีวีจานดาวเทียมเพื่อทำการตลาด.? สาคร..ได้ใช้หลักการ OPM (Other People Money) ง่ายๆก็คือ กูไม่จ่ายเองหรอกค่าโฆษณา กูให้ Downline เป็นคนจ่ายทำให้ยอดขายเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริษัท จากเครือข่ายผู้บริโภคที่ควรจะเป็นกลายไปเป็นเครือข่ายสถานีวิทยุ เครือขายช่องทีวีในจานดาวเทียม และสุดท้ายเครือข่ายร้านค้า เหตุนี้ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จากเช่า 1 คูหา กลายเป็นเช่า 2 คูหา จนนาย สาคร พูดว่ามียอดธุรกิจถึง 2,000 ล้านบาทเพื่อล่อเม่า (ความจริง 500 กว่าล้านบาทเศษ) ซึ่งความสำเร็จนั้นไม่ว่ามันจะมากน้อยเท่าไหร่ก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นเงินในกระเป๋าของชาวบ้านทุกบาท ทุกสตางค์..ดังนั้นต้องแหก รอติดตามความแหกตอนที่ 2 สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 626 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฐมบท..บอสพอล The Icon

    พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ

    ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์

    หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท

    ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ

    พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย

    พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก)

    จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน..

    ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ

    คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
    👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal

    ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ

    ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง

    เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท

    แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
    👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/

    ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้

    เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้

    จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน

    และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558
    👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/

    เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน

    เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด

    เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ

    พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse

    และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค

    เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“

    ---------

    โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย

    โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"

    โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา

    -----------

    ลูกค้าของพอล..

    ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง

    เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)

    โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ

    และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี

    และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี

    การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV

    นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว

    รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก

    โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า

    ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที

    พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น

    พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น

    คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง

    พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่

    เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

    แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท

    89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)

    มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ

    เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว

    ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว

    คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย

    เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon

    และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM

    เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ

    และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
    ---------

    ยุคทองของ..บอสพอล The Icon

    เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง

    เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว

    แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป

    เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้

    The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล

    ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น

    แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด

    ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto

    ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ

    หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ

    คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม

    เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน

    พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ

    และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา

    และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร

    กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย

    เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย

    กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย

    แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
    -----------

    ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย

    จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยากเพราะไปผิดทางไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู

    เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า

    การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ.จึงไม่มีอำนาจ“

    หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ

    จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้

    เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย

    ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง #และสินค้ามีคุณภาพ ตรงจุดนี้คือกุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ..สินค้าไม่ตรงปรก

    พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง

    เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ

    แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั

    ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป

    โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ

    หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้..

    พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน

    ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.?

    ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที

    เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย

    บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง

    พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ

    สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ..

    การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง

    ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร

    ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว

    คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว

    หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ

    เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว

    แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่

    บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ

    พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

    บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้

    จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว

    อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ

    สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship

    คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป

    กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต

    มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย
    ----------

    ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้

    1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ

    2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer

    3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20%

    เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง

    พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้

    4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย

    ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด"

    ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด

    ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส.

    น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣

    เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง

    สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง

    ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100%

    ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.?

    นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก

    #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊

    ep.1
    👉 https://www.facebook.com/share/p/YgaYdxzS5FirmYa2/?mibextid=WC7FNe

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    ปฐมบท..บอสพอล The Icon พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์ หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก) จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน.. ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global 👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan 👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/ ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้ เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้ จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558 👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/ เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“ --------- โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี" โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา ----------- ลูกค้าของพอล.. ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง) โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่ เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท 89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน) มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย --------- ยุคทองของ..บอสพอล The Icon เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้ The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ ----------- ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยากเพราะไปผิดทางไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ.จึงไม่มีอำนาจ“ หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้ เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง #และสินค้ามีคุณภาพ ตรงจุดนี้คือกุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ..สินค้าไม่ตรงปรก พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้.. พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.? ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ.. การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่ บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้ จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย ---------- ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้ 1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ 2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer 3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20% เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้ 4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด" ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส. น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣 เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100% ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.? นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊ ep.1 👉 https://www.facebook.com/share/p/YgaYdxzS5FirmYa2/?mibextid=WC7FNe สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1222 มุมมอง 0 รีวิว
  • FB Page เหยื่อ V.2 เขียนดีมาก ครบถ้วน จึงขอยกมานำเสนอแบบเต็มๆ
    ...............
    ปฐมบท..บอสพอล The Icon

    พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ

    ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์

    หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท

    ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ

    พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย

    พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก)

    จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน..

    ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ

    คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
    👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal

    ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ

    ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง

    เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท

    แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
    👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/

    ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้

    เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้

    จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน

    และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558
    👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/

    เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน

    เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด

    เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ

    พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse

    และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค

    เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“

    ---------

    โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย

    โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"

    โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา

    -----------

    ลูกค้าของพอล..

    ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง

    เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)

    โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ

    และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี

    และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี

    การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV

    นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว

    รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก

    โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า

    ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที

    พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น

    พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น

    คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง

    พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่

    เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

    แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท

    89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)

    มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ

    เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว

    ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว

    คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย

    เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon

    และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM

    เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ

    และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
    ---------

    ยุคทองของ..บอสพอล The Icon

    เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง

    เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว

    แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป

    เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้

    The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล

    ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น

    แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด

    ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto

    ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ

    หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ

    คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม

    เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน

    พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ

    และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา

    และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร

    กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย

    เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย

    กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย

    แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
    -----------

    ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลได้เลย

    จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยาก ไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู

    เพราะเคสแบบนีัมันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”

    หรือเคยมีใครได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ

    จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้

    เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง

    พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง

    เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ

    แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั

    ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป

    โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ

    หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้..

    พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน

    ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.?

    ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที

    เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย

    บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง

    พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ

    สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ..

    การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง

    ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร

    ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว

    คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว

    หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ

    เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว

    แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่

    บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ

    พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

    บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้

    จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว

    อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ

    สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship

    คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป

    กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต

    มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย
    ----------

    ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้

    1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ

    2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer

    3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20%

    เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง

    พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้

    4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย

    ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด"

    ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด

    ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส.

    น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣

    เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง

    สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง

    ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100%

    ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.?

    นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก

    #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    .
    Cr : FB เหยื่อ V.2
    FB Page เหยื่อ V.2 เขียนดีมาก ครบถ้วน จึงขอยกมานำเสนอแบบเต็มๆ ............... ปฐมบท..บอสพอล The Icon พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์ หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก) จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน.. ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global 👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan 👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/ ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้ เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้ จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558 👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/ เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“ --------- โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี" โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา ----------- ลูกค้าของพอล.. ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง) โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่ เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท 89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน) มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย --------- ยุคทองของ..บอสพอล The Icon เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้ The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ ----------- ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลได้เลย จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยาก ไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู เพราะเคสแบบนีัมันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน” หรือเคยมีใครได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้ เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้.. พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.? ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ.. การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่ บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้ จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย ---------- ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้ 1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ 2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer 3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20% เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้ 4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด" ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส. น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣 เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100% ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.? นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก #พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊ สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน . Cr : FB เหยื่อ V.2
    Like
    12
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1530 มุมมอง 1 รีวิว
  • ดารามีแต่ได้ เจ้าของบริษัทมีแต่รวย คนซวยคือชาวบ้านกว่า 15 ล้านคน

    กรณีศึกษาความเลวของการใช้คอร์สการตลาดออนไลน์กับกลลวงที่มองไม่เห็น ซึ่งปรากฏบทความที่น่าสนใจเป็นวิทยาทานจากโซเชียลออนไลน์ เนื้อหาระบุว่า

    “ถ้าจะเริ่มเล่นเรื่องที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่ามันไม่ได้มีแค่บริษัทเดียวที่ใช้หลักการเดียวกัน

    แต่ยังมีรายใหญ่ๆอีก 5 บริษัท เพียงแต่มีบริษัทหนึ่งที่ใช้บริการ“ลมใต้ปีก”คนที่เป็นดารามากที่สุด

    1 ใน 5 บริษัท มีเพียง 1 บริษัทที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ไม่ได้ทำแบบ MLM แต่ใช้วิธีทำแบบเปิดตัวแทน เหมือนธุรกิจตัวแทนทั่วๆไป ส่วนอีก 4 บริษัทนั้นทำแบบ MLM

    เพราะการทำ MLM จะต้องซื้อ license ต่อจากบริษัทคนอื่นมา ซึ่ง สคบ.จะอนุมัติยาก แต่ทั้ง 5 บริษัทนั้นก็ทำหลักการเดียวกัน

    คือ..ยิงแอด-สอนทำการตลาดออนไลน์ ราคาค่าเรียน 98 , 99 , 199 บาท

    #คิดค่าเรียนให้ถูกๆ เพื่อล่อคนให้หลงคิดเอาเองว่า “ทดลองสมัครเรียนดูก็ไม่เสียหายนี่นา เงินแค่นี้เอง“

    เมื่อเราไปสมัครเรียนแล้วบทเรียนแรกที่จะได้รับคำสอนมาคือให้เราตั้งโฆษณาชวนคน โดยให้เราไปถ่ายภาพถือสินค้าแล้วยิ้มอ่อน (คนที่ชวนเราว่ายังไงก็ทำตามเขาเพราะเราทำไม่เป็นนี่)

    แล้วมาตั้งแอดชวนคนเพื่อขายของ เท่ากับงบการตลาดถูกดึงจากบัตรเครดิต/เดบิต ของผู้เรียนเอง ใช้ FB Ads Account ของผู้เรียน

    การทำให้ด้วยเทคนิคนี้ บริษัทสามารถขึ้นแอดได้ ด้วยจำนวน Account มหาศาล แต่ไม่ได้ใช้เงินบริษัทเลย

    เมื่อมีคนทักมา เราจะไม่มีสินค้า ต้นสายคนชวนจะเอาสินค้ามาขายให้เรา 1 ชิ้น เพราะเราต้องมีสินค้าไปคุยกับคนที่ทักมาไง

    ซึ่งคนที่ทักมาหาเราเนี่ย ก็จะมีทั้งลูกค้าจริงๆและ”อวตารเสมือนจริง“ของบริษัททักมาหาเรา ซึ่งเราก็จะคิดเอาเองว่าสินค้ามันขายได้ มันขายง่าย

    บางรายจะโดนล่อให้เปิด member เลย เพราะบริษัทจะตั้งเรตค่าคอมให้เลยที่ 2,500 - 5,000 ถ้าใครมีเงินเยอะก็จะเปิดดีลเลอร์เลย 250,0000 บาท

    ทุกรายที่มาขายสินค้าจะไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องจดทะเบียนกับ สคบ. เป็นธุรกิจตลาดขายตรง #อันนี้มันจึงเป็นความผิดข้อแรก

    การเปิด 250,000 บาทมันจะได้ refund 50% เท่ากับเปิดราคานี้เราจะต้องมีกำไร 50% ที่ยังไม่รวมค่าแอด

    เช่น.สินค้าราคา 2,500 บาท เราเปิดดีลเลอร์แล้วจะได้สินค้ามา 100 ชิ้น ราคารวม 250,000 บาทแล้วบริษัทจะต้องจ่ายคืนเปนค่าคอมให้เรา 50% = 125,000 บาท

    ราคาที่เราต้องจ่ายจริงมันควรจะอยู่ที่ 125,000 บาทแต่บริษัทมันให้เราจ่าย 250,000 บาท งงกันไหม.?

    จะอธิบายให้พอเข้าใจแบบคร่าวๆก่อนนะ พวกคุณจะได้รู้ว่าทำไมเจ้าของรวยเวอร์แต่คนอื่นไม่มีใครรวยแถมเป็นหนี้

    สมมติว่า..

    สินค้าราคา 2000 บาท เวลาเราเข้าไปซื้อ จะโดนผลัก vat 7% มาให้ในราคาซื้อเต็ม เท่ากับโดนแล้ว 140 บาทที่เราต้องจ่ายค่า vat

    หลังจากนั้น บริษัทจะต้องจ่ายคืนให้ 50% ก็คือจะจ่าย 1,000 บาท แต่ทีนี้ บริษัทก็จะหักภาษีอีก 3% เป็นค่าภาษีที่บริษัทต้องส่ง

    สรุปได้เงินจริง 970 บาท ตอนที่คืนมา แล้วตัวเองยังถูกไปคำนวณภาษีรายได้อีก เพราะถือเป็นรายได้เข้ามา

    กลายเป็นไปซื้อของเขา มีรายได้ 50% ผลักภาษีกลับเข้าตัวโดนหัก 7% โดน 3% จากค่าคอมครึ่งนึง = 1.5%

    7+1.5+50%(ค่าของ) margin หน้าตักโดนไปแล้ว 58.5% ยังไม่รวมค่ายิงแอดที่ต้องเสียเอง สมมติเสีย 20% ของสินค้า เท่ากับ 78.5% แล้วกำไรเหลือ 12.5%

    แล้วก็ไปตายตรงที่ต้องเสียภาษีค่าคอมมิชชั่น และ ภาษีที่ได้จากการขายของราคาเต็ม 2,000 คือโดนสองต่อแบบจุกๆ

    นี่ยังไม่รวมตอนที่ไปขายของ ถ้าขายในนาม บริษัทก็ต้องขายในราคา 2,000 บาท จะไปบวก vat 7% ก็ไม่ได้ แปลว่าผลัก vat 7% เข้าตัวเองอีก

    ของที่เอามาขายก็แนวเดิมๆ คอลลาเจน กาแฟ ของทั่วๆไป ที่ต้นทุนราคาถูกๆ

    เกมนี้มันเป็นเกมที่ลูกข่ายไม่มีวันรวย ไม่มีวันชนะ มีแต่ความหวังว่าจะรวย และตอนนี้ยิงแอด โดนบวก 7% อีกนะ

    แล้วก็อีกกลยยุทธของบริษัทคือขอการันตรีว่า..“สินค้าต้องขายดีต้องมีคนทัก”

    แต่ความจริงคือบริษัทเขาได้เตรียมหน้าม้า Facebook Account ปลอมไว้แล้ว นักเรียนส่งการบ้านเป็นแอดที่ทำ เขาจะส่งหน้าม้าไปคอมเมนต์ สนใจค่ะ สนใจครับ

    แต่ทักไปแล้วเงียบเป็นป่าช้า

    ทีนี้บริษัทเขาก็จะรอดตัวจากการสอนยิงแอดเพราะว่ามันดูปังไง เพราะมีหน้าม้าทักเยอะ แต่ตัวแทนปิดการขายไม่ได้เอง บริษัทจึงไม่ต้องรับผิดชอบตรงนี้

    นั่นคือ 1 ในหลายๆเหตุผลที่คนนั่งจมกับสินค้า เพราะมันเป็นกลลวงแบบครบวงจร ดิ้นหนีตายได้ทางเดียวคือ "หาเหยื่อคนใหม่" มารับสินค้าจากตัวเองไป

    หาได้ 100 คนถึงจะรอดจากหนี้ 250,000 บาท ไม่มีใครรวยหรอก เพราะเสีย vat 7% 2 รอบ Margin 14% เข้าไปแล้ว มันเป็นกลลวงที่คนส่วนหนึ่งมองไม่เห็น

    เจ้าของบริษัทสบาย เป็นเสือนอนกิน ต้นทุนขายสินค้าก็ไม่มี มีแค่งบสร้างแบรนด์ซึ่งตัวเองได้กำไรคนเดียว

    และตัวเองก็ไม่ต้องทำอะไรปล่อยให้ระบบทำงาน เอาเงินที่ได้มาจากเหยื่อจ่ายภาษีให้ถูกต้อง ทำตัวบริษัทให้ใสสะอาดจนกฏหมายเอื้อมมาไม่ถึง

    ถ้าถามว่าบริษัทได้กำไรปีละเท่าไหร่..บริษัทนี้จ่ายภาษีปีละ 200 กว่าล้านบาท กำไรปีละเท่าไหร่คงคิดเองได้นะ เพราะต้นทุนสินค้า 5%

    และที่มันน่าเศร้าจริงๆคือ เงินกำไรรวมกับเงินที่เสียภาษี มันเป็นเงินของชาวบ้าน ทุกบาท ทุกสตางค์

    เกมนี้จะมีคนถูกฟ้องกันไม่น้อย เพราะจะเอาผิดเจ้าของบริษัทไม่ง่าย เพราะฉลาดสุดๆทำชีวิตตัวเองได้ใสสะอาดสัสๆ ทั้งๆที่โคตรสกปรก

    แล้วคนที่ไปเป็นพยาน คนที่ไปร้องที่นั่นที่นี่ เท่าที่เห็นในข่าว ไม่มีคนที่รู้ข้อมูลเชิงลึกของบริษัทแบบจริงๆแม้แต่คนเดียว

    แค่ลองถามผู้กล้าที่ออกมาปกป้องสิทธิ์ของตัวเองเหล่านั้นว่า มีใครรู้จักตัวการร่วมของบริษัทสักคนไหม ขอเดาว่าไม่มีใครรู้จักผู้ร่วมขบวนการหรอก

    เพราะทุกคนที่เป็นเหยื่อจะนึกถึงแต่หน้าดารากับเจ้าของบริษัทแล้วก็สมัครเข้าร่วมเลย ดังนั้นก็จะเล่นได้แค่แม่ข่ายในข้อหา..ไม่มีใบอนุญาต

    จากการตรวจสอบ ณ ปัจจุบันนี้ ณ นาทีนี้มีคนตกเป็นเหยื่อกลลวงที่มองไม่เห็นแบบนี้มีมากกว่า 15 ล้านคน

    ดารามีแต่ได้ เจ้าของบริษัทมีแต่รวย คนซวยคือชาวบ้านกว่า 15 ล้านคน

    และถ้ามีผู้กล้าออกมาเล่นเรื่องนี้แบบสุดซอย จะช่วยผู้คนให้ตื่นรู้ได้อย่างน้อยๆ 5 ล้านคน ดังนั้นเราขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนเลยที่ออกมาเล่นเรื่องนี้
    ---------

    เอาจริงๆตอนแรกเขียนระบุชื่อบุคคล ชื่อบริษัททั้ง 5 เขียนอธิบายเจาะลึกเอาไว้ละเอียดยิบตามสไตล์เพจเรา

    เรื่องนี้แหล่งข่าวเราเก็บข้อมูลมา 10 กว่าปีแล้ว และเราแอบมั่นใจว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้ลึกเท่าแหล่งข่าวเราก็แล้วกันล่ะ

    แต่เราตัดรายละเอียดออกไป เพราะเบื่อมากๆที่จะรบกับพวก #ติ่งกระบือบิน ทึ่พ่ะโง่ชนิดวัวตุยทุยล้มเลย อส.🤣 ปล่อยให้มันเป็นเหยื่อต่อไปสักพัก

    ไอ้ฉิบหาย 😆 แล้วยังไม่ต้องมาดิ้นนะ เพราะยังไม่ได้เอ่ยชื่อบริษัท ถถถ

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน”
    ภาพจากออนไลน์

    #Thaitimes
    ดารามีแต่ได้ เจ้าของบริษัทมีแต่รวย คนซวยคือชาวบ้านกว่า 15 ล้านคน กรณีศึกษาความเลวของการใช้คอร์สการตลาดออนไลน์กับกลลวงที่มองไม่เห็น ซึ่งปรากฏบทความที่น่าสนใจเป็นวิทยาทานจากโซเชียลออนไลน์ เนื้อหาระบุว่า “ถ้าจะเริ่มเล่นเรื่องที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่ามันไม่ได้มีแค่บริษัทเดียวที่ใช้หลักการเดียวกัน แต่ยังมีรายใหญ่ๆอีก 5 บริษัท เพียงแต่มีบริษัทหนึ่งที่ใช้บริการ“ลมใต้ปีก”คนที่เป็นดารามากที่สุด 1 ใน 5 บริษัท มีเพียง 1 บริษัทที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ไม่ได้ทำแบบ MLM แต่ใช้วิธีทำแบบเปิดตัวแทน เหมือนธุรกิจตัวแทนทั่วๆไป ส่วนอีก 4 บริษัทนั้นทำแบบ MLM เพราะการทำ MLM จะต้องซื้อ license ต่อจากบริษัทคนอื่นมา ซึ่ง สคบ.จะอนุมัติยาก แต่ทั้ง 5 บริษัทนั้นก็ทำหลักการเดียวกัน คือ..ยิงแอด-สอนทำการตลาดออนไลน์ ราคาค่าเรียน 98 , 99 , 199 บาท #คิดค่าเรียนให้ถูกๆ เพื่อล่อคนให้หลงคิดเอาเองว่า “ทดลองสมัครเรียนดูก็ไม่เสียหายนี่นา เงินแค่นี้เอง“ เมื่อเราไปสมัครเรียนแล้วบทเรียนแรกที่จะได้รับคำสอนมาคือให้เราตั้งโฆษณาชวนคน โดยให้เราไปถ่ายภาพถือสินค้าแล้วยิ้มอ่อน (คนที่ชวนเราว่ายังไงก็ทำตามเขาเพราะเราทำไม่เป็นนี่) แล้วมาตั้งแอดชวนคนเพื่อขายของ เท่ากับงบการตลาดถูกดึงจากบัตรเครดิต/เดบิต ของผู้เรียนเอง ใช้ FB Ads Account ของผู้เรียน การทำให้ด้วยเทคนิคนี้ บริษัทสามารถขึ้นแอดได้ ด้วยจำนวน Account มหาศาล แต่ไม่ได้ใช้เงินบริษัทเลย เมื่อมีคนทักมา เราจะไม่มีสินค้า ต้นสายคนชวนจะเอาสินค้ามาขายให้เรา 1 ชิ้น เพราะเราต้องมีสินค้าไปคุยกับคนที่ทักมาไง ซึ่งคนที่ทักมาหาเราเนี่ย ก็จะมีทั้งลูกค้าจริงๆและ”อวตารเสมือนจริง“ของบริษัททักมาหาเรา ซึ่งเราก็จะคิดเอาเองว่าสินค้ามันขายได้ มันขายง่าย บางรายจะโดนล่อให้เปิด member เลย เพราะบริษัทจะตั้งเรตค่าคอมให้เลยที่ 2,500 - 5,000 ถ้าใครมีเงินเยอะก็จะเปิดดีลเลอร์เลย 250,0000 บาท ทุกรายที่มาขายสินค้าจะไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องจดทะเบียนกับ สคบ. เป็นธุรกิจตลาดขายตรง #อันนี้มันจึงเป็นความผิดข้อแรก การเปิด 250,000 บาทมันจะได้ refund 50% เท่ากับเปิดราคานี้เราจะต้องมีกำไร 50% ที่ยังไม่รวมค่าแอด เช่น.สินค้าราคา 2,500 บาท เราเปิดดีลเลอร์แล้วจะได้สินค้ามา 100 ชิ้น ราคารวม 250,000 บาทแล้วบริษัทจะต้องจ่ายคืนเปนค่าคอมให้เรา 50% = 125,000 บาท ราคาที่เราต้องจ่ายจริงมันควรจะอยู่ที่ 125,000 บาทแต่บริษัทมันให้เราจ่าย 250,000 บาท งงกันไหม.? จะอธิบายให้พอเข้าใจแบบคร่าวๆก่อนนะ พวกคุณจะได้รู้ว่าทำไมเจ้าของรวยเวอร์แต่คนอื่นไม่มีใครรวยแถมเป็นหนี้ สมมติว่า.. สินค้าราคา 2000 บาท เวลาเราเข้าไปซื้อ จะโดนผลัก vat 7% มาให้ในราคาซื้อเต็ม เท่ากับโดนแล้ว 140 บาทที่เราต้องจ่ายค่า vat หลังจากนั้น บริษัทจะต้องจ่ายคืนให้ 50% ก็คือจะจ่าย 1,000 บาท แต่ทีนี้ บริษัทก็จะหักภาษีอีก 3% เป็นค่าภาษีที่บริษัทต้องส่ง สรุปได้เงินจริง 970 บาท ตอนที่คืนมา แล้วตัวเองยังถูกไปคำนวณภาษีรายได้อีก เพราะถือเป็นรายได้เข้ามา กลายเป็นไปซื้อของเขา มีรายได้ 50% ผลักภาษีกลับเข้าตัวโดนหัก 7% โดน 3% จากค่าคอมครึ่งนึง = 1.5% 7+1.5+50%(ค่าของ) margin หน้าตักโดนไปแล้ว 58.5% ยังไม่รวมค่ายิงแอดที่ต้องเสียเอง สมมติเสีย 20% ของสินค้า เท่ากับ 78.5% แล้วกำไรเหลือ 12.5% แล้วก็ไปตายตรงที่ต้องเสียภาษีค่าคอมมิชชั่น และ ภาษีที่ได้จากการขายของราคาเต็ม 2,000 คือโดนสองต่อแบบจุกๆ นี่ยังไม่รวมตอนที่ไปขายของ ถ้าขายในนาม บริษัทก็ต้องขายในราคา 2,000 บาท จะไปบวก vat 7% ก็ไม่ได้ แปลว่าผลัก vat 7% เข้าตัวเองอีก ของที่เอามาขายก็แนวเดิมๆ คอลลาเจน กาแฟ ของทั่วๆไป ที่ต้นทุนราคาถูกๆ เกมนี้มันเป็นเกมที่ลูกข่ายไม่มีวันรวย ไม่มีวันชนะ มีแต่ความหวังว่าจะรวย และตอนนี้ยิงแอด โดนบวก 7% อีกนะ แล้วก็อีกกลยยุทธของบริษัทคือขอการันตรีว่า..“สินค้าต้องขายดีต้องมีคนทัก” แต่ความจริงคือบริษัทเขาได้เตรียมหน้าม้า Facebook Account ปลอมไว้แล้ว นักเรียนส่งการบ้านเป็นแอดที่ทำ เขาจะส่งหน้าม้าไปคอมเมนต์ สนใจค่ะ สนใจครับ แต่ทักไปแล้วเงียบเป็นป่าช้า ทีนี้บริษัทเขาก็จะรอดตัวจากการสอนยิงแอดเพราะว่ามันดูปังไง เพราะมีหน้าม้าทักเยอะ แต่ตัวแทนปิดการขายไม่ได้เอง บริษัทจึงไม่ต้องรับผิดชอบตรงนี้ นั่นคือ 1 ในหลายๆเหตุผลที่คนนั่งจมกับสินค้า เพราะมันเป็นกลลวงแบบครบวงจร ดิ้นหนีตายได้ทางเดียวคือ "หาเหยื่อคนใหม่" มารับสินค้าจากตัวเองไป หาได้ 100 คนถึงจะรอดจากหนี้ 250,000 บาท ไม่มีใครรวยหรอก เพราะเสีย vat 7% 2 รอบ Margin 14% เข้าไปแล้ว มันเป็นกลลวงที่คนส่วนหนึ่งมองไม่เห็น เจ้าของบริษัทสบาย เป็นเสือนอนกิน ต้นทุนขายสินค้าก็ไม่มี มีแค่งบสร้างแบรนด์ซึ่งตัวเองได้กำไรคนเดียว และตัวเองก็ไม่ต้องทำอะไรปล่อยให้ระบบทำงาน เอาเงินที่ได้มาจากเหยื่อจ่ายภาษีให้ถูกต้อง ทำตัวบริษัทให้ใสสะอาดจนกฏหมายเอื้อมมาไม่ถึง ถ้าถามว่าบริษัทได้กำไรปีละเท่าไหร่..บริษัทนี้จ่ายภาษีปีละ 200 กว่าล้านบาท กำไรปีละเท่าไหร่คงคิดเองได้นะ เพราะต้นทุนสินค้า 5% และที่มันน่าเศร้าจริงๆคือ เงินกำไรรวมกับเงินที่เสียภาษี มันเป็นเงินของชาวบ้าน ทุกบาท ทุกสตางค์ เกมนี้จะมีคนถูกฟ้องกันไม่น้อย เพราะจะเอาผิดเจ้าของบริษัทไม่ง่าย เพราะฉลาดสุดๆทำชีวิตตัวเองได้ใสสะอาดสัสๆ ทั้งๆที่โคตรสกปรก แล้วคนที่ไปเป็นพยาน คนที่ไปร้องที่นั่นที่นี่ เท่าที่เห็นในข่าว ไม่มีคนที่รู้ข้อมูลเชิงลึกของบริษัทแบบจริงๆแม้แต่คนเดียว แค่ลองถามผู้กล้าที่ออกมาปกป้องสิทธิ์ของตัวเองเหล่านั้นว่า มีใครรู้จักตัวการร่วมของบริษัทสักคนไหม ขอเดาว่าไม่มีใครรู้จักผู้ร่วมขบวนการหรอก เพราะทุกคนที่เป็นเหยื่อจะนึกถึงแต่หน้าดารากับเจ้าของบริษัทแล้วก็สมัครเข้าร่วมเลย ดังนั้นก็จะเล่นได้แค่แม่ข่ายในข้อหา..ไม่มีใบอนุญาต จากการตรวจสอบ ณ ปัจจุบันนี้ ณ นาทีนี้มีคนตกเป็นเหยื่อกลลวงที่มองไม่เห็นแบบนี้มีมากกว่า 15 ล้านคน ดารามีแต่ได้ เจ้าของบริษัทมีแต่รวย คนซวยคือชาวบ้านกว่า 15 ล้านคน และถ้ามีผู้กล้าออกมาเล่นเรื่องนี้แบบสุดซอย จะช่วยผู้คนให้ตื่นรู้ได้อย่างน้อยๆ 5 ล้านคน ดังนั้นเราขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนเลยที่ออกมาเล่นเรื่องนี้ --------- เอาจริงๆตอนแรกเขียนระบุชื่อบุคคล ชื่อบริษัททั้ง 5 เขียนอธิบายเจาะลึกเอาไว้ละเอียดยิบตามสไตล์เพจเรา เรื่องนี้แหล่งข่าวเราเก็บข้อมูลมา 10 กว่าปีแล้ว และเราแอบมั่นใจว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้ลึกเท่าแหล่งข่าวเราก็แล้วกันล่ะ แต่เราตัดรายละเอียดออกไป เพราะเบื่อมากๆที่จะรบกับพวก #ติ่งกระบือบิน ทึ่พ่ะโง่ชนิดวัวตุยทุยล้มเลย อส.🤣 ปล่อยให้มันเป็นเหยื่อต่อไปสักพัก ไอ้ฉิบหาย 😆 แล้วยังไม่ต้องมาดิ้นนะ เพราะยังไม่ได้เอ่ยชื่อบริษัท ถถถ สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน” ภาพจากออนไลน์ #Thaitimes
    Like
    Love
    Sad
    6
    1 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 975 มุมมอง 0 รีวิว
  • คอร์สการตลาดออนไลน์...กลลวงที่มองไม่เห็น

    ถ้าจะเริ่มเล่นเรื่องที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่ามันไม่ได้มีแค่บริษัทเดียวที่ใช้หลักการเดียวกัน

    แต่ยังมีรายใหญ่ๆอีก 5 บริษัท เพียงแต่มีบริษัทหนึ่งที่ใช้บริการ“ลมใต้ปีก”คนที่เป็นดารามากที่สุด

    1 ใน 5 บริษัท มีเพียง 1 บริษัทที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ไม่ได้ทำแบบ MLM แต่ใช้วิธีทำแบบเปิดตัวแทน เหมือนธุรกิจตัวแทนทั่วๆไป ส่วนอีก 4 บริษัทนั้นทำแบบ MLM

    เพราะการทำ MLM จะต้องซื้อ license ต่อจากบริษัทคนอื่นมา ซึ่ง สคบ.จะอนุมัติยาก แต่ทั้ง 5 บริษัทนั้นก็ทำหลักการเดียวกัน

    คือ..ยิงแอด-สอนทำการตลาดออนไลน์ ราคาค่าเรียน 98 , 99 , 199 บาท

    #คิดค่าเรียนให้ถูกๆ เพื่อล่อคนให้หลงคิดเอาเองว่า “ทดลองสมัครเรียนดูก็ไม่เสียหายนี่นา เงินแค่นี้เอง“

    เมื่อเราไปสมัครเรียนแล้วบทเรียนแรกที่จะได้รับคำสอนมาคือให้เราตั้งโฆษณาชวนคน โดยให้เราไปถ่ายภาพถือสินค้าแล้วยิ้มอ่อน (คนที่ชวนเราว่ายังไงก็ทำตามเขาเพราะเราทำไม่เป็นนี่)

    แล้วมาตั้งแอดชวนคนเพื่อขายของ เท่ากับงบการตลาดถูกดึงจากบัตรเครดิต/เดบิต ของผู้เรียนเอง ใช้ FB Ads Account ของผู้เรียน

    การทำให้ด้วยเทคนี้ บริษัทสามารถขึ้นแอดได้ ด้วยจำนวน Account มหาศาล แต่ไม่ได้ใช้เงินบริษัทเลย

    เมื่อมีคนทักมา เราจะไม่มีสินค้า ต้นสายคนชวนจะเอาสินค้ามาขายให้เรา 1 ชิ้น เพราะเราต้องมีสินค้าไปคุยกับคนที่ทักมาไง

    ซึ่งคนที่ทักมาหาเราเนี่ย ก็จะมีทั้งลูกค้าจริงๆและ”อวตารเสมือนจริง“ของบริษัททักมาหาเรา ซึ่งเราก็จะคิดเอาเองว่าสินค้ามันขายได้ มันขายง่าย

    บางรายจะโดนล่อให้เปิด member เลย เพราะบริษัทจะตั้งเรตค่าคอมให้เลยที่ 2,500 - 5,000 ถ้าใครมีเงินเยอะก็จะเปิดดีลเลอร์เลย 250,0000 บาท

    ทุกรายที่มาขายสินค้าจะไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องจดทะเบียนกับ สคบ. เป็นธุรกิจตลาดขายตรง #อันนี้มันจึงเป็นความผิดข้อแรก

    การเปิด 250,000 บาทมันจะได้ refund 50% เท่ากับเปิดราคานี้เราจะต้องมีกำไร 50% ที่ยังไม่รวมค่าแอด

    เช่น.สินค้าราคา 2,500 บาท เราเปิดดีลเลอร์แล้วจะได้สินค้ามา 100 ชิ้น ราคารวม 250,000 บาทแล้วบริษัทจะต้องจ่ายคืนเปนค่าคอมให้เรา 50% = 125,000 บาท

    ราคาที่เราต้องจ่ายจริงมันควรจะอยู่ที่ 125,000 บาทแต่บริษัทมันให้เราจ่าย 250,000 บาท งงกันไหม.?

    จะอธิบายให้พอเข้าใจแบบคร่าวๆก่อนนะ พวกคุณจะได้รู้ว่าทำไมเจ้าของรวยเวอร์แต่คนอื่นไม่มีใครรวยแถมเป็นหนี้

    สมมติว่า..

    สินค้าราคา 2000 บาท เวลาเราเข้าไปซื้อ จะโดนผลัก vat 7% มาให้ในราคาซื้อเต็ม เท่ากับโดนแล้ว 140 บาทที่เราต้องจ่ายค่า vat

    หลังจากนั้น บริษัทจะต้องจ่ายคืนให้ 50% ก็คือจะจ่าย 1,000 บาท แต่ทีนี้ บริษัทก็จะหักภาษีอีก 3% เป็นค่าภาษีที่บริษัทต้องส่ง

    สรุปได้เงินจริง 970 บาท ตอนที่คืนมา แล้วตัวเองยังถูกไปคำนวณภาษีรายได้อีก เพราะถือเป็นรายได้เข้ามา

    กลายเป็นไปซื้อของเขา มีรายได้ 50% ผลักภาษีกลับเข้าตัวโดนหัก 7% โดน 3% จากค่าคอมครึ่งนึง = 1.5%

    7+1.5+50%(ค่าของ) margin หน้าตักโดนไปแล้ว 58.5% ยังไม่รวมค่ายิงแอดที่ต้องเสียเอง สมมติเสีย 20% ของสินค้า เท่ากับ 78.5% แล้วกำไรเหลือ 12.5%

    แล้วก็ไปตายตรงที่ต้องเสียภาษีค่าคอมมิชชั่น และ ภาษีที่ได้จากการขายของราคาเต็ม 2,000 คือโดนสองต่อแบบจุกๆ

    นี่ยังไม่รวมตอนที่ไปขายของ ถ้าขายในนาม บริษัทก็ต้องขายในราคา 2,000 บาท จะไปบวก vat 7% ก็ไม่ได้ แปลว่าผลัก vat 7% เข้าตัวเองอีก

    ของที่เอามาขายก็แนวเดิมๆ คอลลาเจน กาแฟ ของทั่วๆไป ที่ต้นทุนราคาถูกๆ

    เกมนี้มันเป็นเกมที่ลูกข่ายไม่มีวันรวย ไม่มีวันชนะ มีแต่ความหวังว่าจะรวย และตอนนี้ยิงแอด โดนบวก 7% อีกนะ เพราะต้นทุนสินค้า 5%

    แล้วก็อีกกลยยุทธของบริษัทคือขอการันตรีว่า..“สินค้าต้องขายดีต้องมีคนทัก”

    แต่ความจริงคือบริษัทเขาได้เตรียมหน้าม้า Facebook Account ปลอมไว้แล้ว นักเรียนส่งการบ้านเป็นแอดที่ทำ เขาจะส่งหน้าม้าไปคอมเมนต์ สนใจค่ะ สนใจครับ

    แต่ทักไปแล้วเงียบเป็นป่าช้า

    ทีนี้บริษัทเขาก็จะรอดตัวจากการสอนยิงแอดเพราะว่ามันดูปังไง เพราะมีหน้าม้าทักเยอะ แต่ตัวแทนปิดการขายไม่ได้เอง บริษัทจึงไม่ต้องรับผิดชอบตรงนี้

    นั่นคือ 1 ในหลายๆเหตุผลที่คนนั่งจมกับสินค้า เพราะมันเป็นกลลวงแบบครบวงจร ดิ้นหนีตายได้ทางเดียวคือ "หาเหยื่อคนใหม่" มารับสินค้าจากตัวเองไป

    หาได้ 100 คนถึงจะรอดจากหนี้ 250,000 บาท ไม่มีใครรวยหรอก เพราะเสีย vat 7% 2 รอบ Margin 14% เข้าไปแล้ว มันเป็นกลลวงที่คนส่วนหนึ่งมองไม่เห็น

    เจ้าของบริษัทสบาย เป็นเสือนอนกิน ต้นทุนขายสินค้าก็ไม่มี มีแค่งบสร้างแบรนด์ซึ่งตัวเองได้กำไรคนเดียว

    และตัวเองก็ไม่ต้องทำอะไรปล่อยให้ระบบทำงาน เอาเงินที่ได้มาจากเหยื่อจ่ายภาษีให้ถูกต้อง ทำตัวบริษัทให้ใสสะอาดจนกฏหมายเอื้อมมาไม่ถึง

    ถ้าถามว่าบริษัทได้กำไรปีละเท่าไหร่..บริษัทนี้จ่ายภาษีปีละ 200 กว่าล้านบาท กำไรปีละเท่าไหร่คงคิดเองได้นะ เพราะต้นทุนสินค้า 5%

    และที่มันน่าเศร้าจริงๆคือ เงินกำไรรวมกับเงินที่เสียภาษี มันเป็นเงินของชาวบ้าน ทุกบาท ทุกสตางค์

    เกมนี้จะมีคนถูกฟ้องกันไม่น้อย เพราะจะเอาผิดเจ้าของบริษัทไม่ง่าย เพราะฉลาดสุดๆทำชีวิตตัวเองได้ใสสะอาดสัสๆ ทั้งๆที่โคตรสกปรก

    แล้วคนที่ไปเป็นพยาน คนที่ไปร้องที่นั่นที่นี่ เท่าที่เห็นในข่าว ไม่มีคนที่รู้ข้อมูลเชิงลึกของบริษัทแบบจริงๆแม้แต่คนเดียว

    แค่ลองถามผู้กล้าที่ออกมาปกป้องสิทธิ์ของตัวเองเหล่านั้นว่า มีใครรู้จักตัวการร่วมของบริษัทสักคนไหม ขอเดาว่าไม่มีใครรู้จักผู้ร่วมขบวนการหรอก

    เพราะทุกคนที่เป็นเหยื่อจะนึกถึงแต่หน้าดารากับเจ้าของบริษัทแล้วก็สมัครเข้าร่วมเลย ดังนั้นก็จะเล่นได้แค่แม่ข่ายในข้อหา..ไม่มีใบอนุญาต

    จากการตรวจสอบ ณ ปัจจุบันนี้ ณ นาทีนี้มีคนตกเป็นเหยื่อกลลวงที่มองไม่เห็นแบบนี้มีมากกว่า 15 ล้านคน

    ดารามีแต่ได้ เจ้าของบริษัทมีแต่รวย คนซวยคือชาวบ้านกว่า 15 ล้านคน

    และถ้ามีผู้กล้าออกมาเล่นเรื่องนี้แบบสุดซอย จะช่วยผู้คนให้ตื่นรู้ได้อย่างน้อยๆ 5 ล้านคน ดังนั้นเราขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนเลยที่ออกมาเล่นเรื่องนี้
    ---------

    เอาจริงๆตอนแรกเขียนระบุชื่อบุคคล ชื่อบริษัททั้ง 5 เขียนอธิบายเจาะลึกเอาไว้ละเอียดยิบตามสไตล์เพจเรา

    เรื่องนี้แหล่งข่าวเราเก็บข้อมูลมา 10 กว่าปีแล้ว และเราแอบมั่นใจว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้ลึกเท่าแหล่งข่าวเราก็แล้วกันล่ะ

    แต่เราตัดรายละเอียดออกไป เพราะเบื่อมากๆที่จะรบกับพวก #ติ่งกระบือบิน ทึ่พ่ะโง่ชนิดวัวตุยทุยล้มเลย อส.🤣 ปล่อยให้มันเป็นเหยื่อต่อไปสักพัก

    ไอ้ฉิบหาย 😆 แล้วยังไม่ต้องมาดิ้นนะ เพราะยังไม่ได้เอ่ยชื่อบริษัท ถถถ

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    คอร์สการตลาดออนไลน์...กลลวงที่มองไม่เห็น ถ้าจะเริ่มเล่นเรื่องที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่ามันไม่ได้มีแค่บริษัทเดียวที่ใช้หลักการเดียวกัน แต่ยังมีรายใหญ่ๆอีก 5 บริษัท เพียงแต่มีบริษัทหนึ่งที่ใช้บริการ“ลมใต้ปีก”คนที่เป็นดารามากที่สุด 1 ใน 5 บริษัท มีเพียง 1 บริษัทที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ไม่ได้ทำแบบ MLM แต่ใช้วิธีทำแบบเปิดตัวแทน เหมือนธุรกิจตัวแทนทั่วๆไป ส่วนอีก 4 บริษัทนั้นทำแบบ MLM เพราะการทำ MLM จะต้องซื้อ license ต่อจากบริษัทคนอื่นมา ซึ่ง สคบ.จะอนุมัติยาก แต่ทั้ง 5 บริษัทนั้นก็ทำหลักการเดียวกัน คือ..ยิงแอด-สอนทำการตลาดออนไลน์ ราคาค่าเรียน 98 , 99 , 199 บาท #คิดค่าเรียนให้ถูกๆ เพื่อล่อคนให้หลงคิดเอาเองว่า “ทดลองสมัครเรียนดูก็ไม่เสียหายนี่นา เงินแค่นี้เอง“ เมื่อเราไปสมัครเรียนแล้วบทเรียนแรกที่จะได้รับคำสอนมาคือให้เราตั้งโฆษณาชวนคน โดยให้เราไปถ่ายภาพถือสินค้าแล้วยิ้มอ่อน (คนที่ชวนเราว่ายังไงก็ทำตามเขาเพราะเราทำไม่เป็นนี่) แล้วมาตั้งแอดชวนคนเพื่อขายของ เท่ากับงบการตลาดถูกดึงจากบัตรเครดิต/เดบิต ของผู้เรียนเอง ใช้ FB Ads Account ของผู้เรียน การทำให้ด้วยเทคนี้ บริษัทสามารถขึ้นแอดได้ ด้วยจำนวน Account มหาศาล แต่ไม่ได้ใช้เงินบริษัทเลย เมื่อมีคนทักมา เราจะไม่มีสินค้า ต้นสายคนชวนจะเอาสินค้ามาขายให้เรา 1 ชิ้น เพราะเราต้องมีสินค้าไปคุยกับคนที่ทักมาไง ซึ่งคนที่ทักมาหาเราเนี่ย ก็จะมีทั้งลูกค้าจริงๆและ”อวตารเสมือนจริง“ของบริษัททักมาหาเรา ซึ่งเราก็จะคิดเอาเองว่าสินค้ามันขายได้ มันขายง่าย บางรายจะโดนล่อให้เปิด member เลย เพราะบริษัทจะตั้งเรตค่าคอมให้เลยที่ 2,500 - 5,000 ถ้าใครมีเงินเยอะก็จะเปิดดีลเลอร์เลย 250,0000 บาท ทุกรายที่มาขายสินค้าจะไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องจดทะเบียนกับ สคบ. เป็นธุรกิจตลาดขายตรง #อันนี้มันจึงเป็นความผิดข้อแรก การเปิด 250,000 บาทมันจะได้ refund 50% เท่ากับเปิดราคานี้เราจะต้องมีกำไร 50% ที่ยังไม่รวมค่าแอด เช่น.สินค้าราคา 2,500 บาท เราเปิดดีลเลอร์แล้วจะได้สินค้ามา 100 ชิ้น ราคารวม 250,000 บาทแล้วบริษัทจะต้องจ่ายคืนเปนค่าคอมให้เรา 50% = 125,000 บาท ราคาที่เราต้องจ่ายจริงมันควรจะอยู่ที่ 125,000 บาทแต่บริษัทมันให้เราจ่าย 250,000 บาท งงกันไหม.? จะอธิบายให้พอเข้าใจแบบคร่าวๆก่อนนะ พวกคุณจะได้รู้ว่าทำไมเจ้าของรวยเวอร์แต่คนอื่นไม่มีใครรวยแถมเป็นหนี้ สมมติว่า.. สินค้าราคา 2000 บาท เวลาเราเข้าไปซื้อ จะโดนผลัก vat 7% มาให้ในราคาซื้อเต็ม เท่ากับโดนแล้ว 140 บาทที่เราต้องจ่ายค่า vat หลังจากนั้น บริษัทจะต้องจ่ายคืนให้ 50% ก็คือจะจ่าย 1,000 บาท แต่ทีนี้ บริษัทก็จะหักภาษีอีก 3% เป็นค่าภาษีที่บริษัทต้องส่ง สรุปได้เงินจริง 970 บาท ตอนที่คืนมา แล้วตัวเองยังถูกไปคำนวณภาษีรายได้อีก เพราะถือเป็นรายได้เข้ามา กลายเป็นไปซื้อของเขา มีรายได้ 50% ผลักภาษีกลับเข้าตัวโดนหัก 7% โดน 3% จากค่าคอมครึ่งนึง = 1.5% 7+1.5+50%(ค่าของ) margin หน้าตักโดนไปแล้ว 58.5% ยังไม่รวมค่ายิงแอดที่ต้องเสียเอง สมมติเสีย 20% ของสินค้า เท่ากับ 78.5% แล้วกำไรเหลือ 12.5% แล้วก็ไปตายตรงที่ต้องเสียภาษีค่าคอมมิชชั่น และ ภาษีที่ได้จากการขายของราคาเต็ม 2,000 คือโดนสองต่อแบบจุกๆ นี่ยังไม่รวมตอนที่ไปขายของ ถ้าขายในนาม บริษัทก็ต้องขายในราคา 2,000 บาท จะไปบวก vat 7% ก็ไม่ได้ แปลว่าผลัก vat 7% เข้าตัวเองอีก ของที่เอามาขายก็แนวเดิมๆ คอลลาเจน กาแฟ ของทั่วๆไป ที่ต้นทุนราคาถูกๆ เกมนี้มันเป็นเกมที่ลูกข่ายไม่มีวันรวย ไม่มีวันชนะ มีแต่ความหวังว่าจะรวย และตอนนี้ยิงแอด โดนบวก 7% อีกนะ เพราะต้นทุนสินค้า 5% แล้วก็อีกกลยยุทธของบริษัทคือขอการันตรีว่า..“สินค้าต้องขายดีต้องมีคนทัก” แต่ความจริงคือบริษัทเขาได้เตรียมหน้าม้า Facebook Account ปลอมไว้แล้ว นักเรียนส่งการบ้านเป็นแอดที่ทำ เขาจะส่งหน้าม้าไปคอมเมนต์ สนใจค่ะ สนใจครับ แต่ทักไปแล้วเงียบเป็นป่าช้า ทีนี้บริษัทเขาก็จะรอดตัวจากการสอนยิงแอดเพราะว่ามันดูปังไง เพราะมีหน้าม้าทักเยอะ แต่ตัวแทนปิดการขายไม่ได้เอง บริษัทจึงไม่ต้องรับผิดชอบตรงนี้ นั่นคือ 1 ในหลายๆเหตุผลที่คนนั่งจมกับสินค้า เพราะมันเป็นกลลวงแบบครบวงจร ดิ้นหนีตายได้ทางเดียวคือ "หาเหยื่อคนใหม่" มารับสินค้าจากตัวเองไป หาได้ 100 คนถึงจะรอดจากหนี้ 250,000 บาท ไม่มีใครรวยหรอก เพราะเสีย vat 7% 2 รอบ Margin 14% เข้าไปแล้ว มันเป็นกลลวงที่คนส่วนหนึ่งมองไม่เห็น เจ้าของบริษัทสบาย เป็นเสือนอนกิน ต้นทุนขายสินค้าก็ไม่มี มีแค่งบสร้างแบรนด์ซึ่งตัวเองได้กำไรคนเดียว และตัวเองก็ไม่ต้องทำอะไรปล่อยให้ระบบทำงาน เอาเงินที่ได้มาจากเหยื่อจ่ายภาษีให้ถูกต้อง ทำตัวบริษัทให้ใสสะอาดจนกฏหมายเอื้อมมาไม่ถึง ถ้าถามว่าบริษัทได้กำไรปีละเท่าไหร่..บริษัทนี้จ่ายภาษีปีละ 200 กว่าล้านบาท กำไรปีละเท่าไหร่คงคิดเองได้นะ เพราะต้นทุนสินค้า 5% และที่มันน่าเศร้าจริงๆคือ เงินกำไรรวมกับเงินที่เสียภาษี มันเป็นเงินของชาวบ้าน ทุกบาท ทุกสตางค์ เกมนี้จะมีคนถูกฟ้องกันไม่น้อย เพราะจะเอาผิดเจ้าของบริษัทไม่ง่าย เพราะฉลาดสุดๆทำชีวิตตัวเองได้ใสสะอาดสัสๆ ทั้งๆที่โคตรสกปรก แล้วคนที่ไปเป็นพยาน คนที่ไปร้องที่นั่นที่นี่ เท่าที่เห็นในข่าว ไม่มีคนที่รู้ข้อมูลเชิงลึกของบริษัทแบบจริงๆแม้แต่คนเดียว แค่ลองถามผู้กล้าที่ออกมาปกป้องสิทธิ์ของตัวเองเหล่านั้นว่า มีใครรู้จักตัวการร่วมของบริษัทสักคนไหม ขอเดาว่าไม่มีใครรู้จักผู้ร่วมขบวนการหรอก เพราะทุกคนที่เป็นเหยื่อจะนึกถึงแต่หน้าดารากับเจ้าของบริษัทแล้วก็สมัครเข้าร่วมเลย ดังนั้นก็จะเล่นได้แค่แม่ข่ายในข้อหา..ไม่มีใบอนุญาต จากการตรวจสอบ ณ ปัจจุบันนี้ ณ นาทีนี้มีคนตกเป็นเหยื่อกลลวงที่มองไม่เห็นแบบนี้มีมากกว่า 15 ล้านคน ดารามีแต่ได้ เจ้าของบริษัทมีแต่รวย คนซวยคือชาวบ้านกว่า 15 ล้านคน และถ้ามีผู้กล้าออกมาเล่นเรื่องนี้แบบสุดซอย จะช่วยผู้คนให้ตื่นรู้ได้อย่างน้อยๆ 5 ล้านคน ดังนั้นเราขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนเลยที่ออกมาเล่นเรื่องนี้ --------- เอาจริงๆตอนแรกเขียนระบุชื่อบุคคล ชื่อบริษัททั้ง 5 เขียนอธิบายเจาะลึกเอาไว้ละเอียดยิบตามสไตล์เพจเรา เรื่องนี้แหล่งข่าวเราเก็บข้อมูลมา 10 กว่าปีแล้ว และเราแอบมั่นใจว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้ลึกเท่าแหล่งข่าวเราก็แล้วกันล่ะ แต่เราตัดรายละเอียดออกไป เพราะเบื่อมากๆที่จะรบกับพวก #ติ่งกระบือบิน ทึ่พ่ะโง่ชนิดวัวตุยทุยล้มเลย อส.🤣 ปล่อยให้มันเป็นเหยื่อต่อไปสักพัก ไอ้ฉิบหาย 😆 แล้วยังไม่ต้องมาดิ้นนะ เพราะยังไม่ได้เอ่ยชื่อบริษัท ถถถ สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 558 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไฮไลท์“คุยทุกเรื่องกับสนธิ” EP.253 (2 สิงหาคม 2567) :
    นับถอยหลัง "โจ๊ก สุเชชษฐ์ จบแล้ว“
    - ปารีส โอลิมปิก เสรีภาพเกินขอบเขต
    - ตะวันออกกลางลุกเป็นไฟ
    - ฟ้าทะลายโจรพ่าย เพราะไร้ค่าคอมมิชชั่น

    #Thaitimes
    ไฮไลท์“คุยทุกเรื่องกับสนธิ” EP.253 (2 สิงหาคม 2567) : นับถอยหลัง "โจ๊ก สุเชชษฐ์ จบแล้ว“ - ปารีส โอลิมปิก เสรีภาพเกินขอบเขต - ตะวันออกกลางลุกเป็นไฟ - ฟ้าทะลายโจรพ่าย เพราะไร้ค่าคอมมิชชั่น #Thaitimes
    Hightlights Sondhitalk EP253 : นับถอยหลัง "โจ๊ก สรเชชษฐ์"

    - สุเชชษฐ์ จบแล้ว
    - ปารีส โอลิมปิก เสรีภาพเกินขอบเขต
    - ตะวันออกกลางลุกเป็นไฟ
    - ฟทจ.ผ่าย เพราะไร้ค่าคอม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 505 มุมมอง 695 0 รีวิว