• เอกชน ผวา! กฎหมาย คุ้มครองแรงงาน? : [Biz Talk]

    ภาคเอกชนไทย สมาคมการค้ามากกว่า 20 สมาคม คัดค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ หลายมาตรา กระทบขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่สอดรับกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ขาดการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน ย้ำโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ยังไม่พร้อมต่อการปรับเปลี่ยน
    เอกชน ผวา! กฎหมาย คุ้มครองแรงงาน? : [Biz Talk] ภาคเอกชนไทย สมาคมการค้ามากกว่า 20 สมาคม คัดค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ หลายมาตรา กระทบขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่สอดรับกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ขาดการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน ย้ำโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ยังไม่พร้อมต่อการปรับเปลี่ยน
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 0 Reviews
  • สำนักพระราชวัง เผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต
    .
    ตามที่คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2562 เพื่อติดตามพระอาการทางระบบต่าง ๆ ความทราบทั่วกันแล้วนั้น ในช่วงที่ประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรหลายครั้ง และคณะแพทย์ตรวจพบความผิดปรกติทางระบบต่าง ๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง
    .
    ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรจากภาวะติดเชื้อในกระแสพระโลหิต แม้ว่าคณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่พระอาการทรุดหนักลงตามลำดับถึงวันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 เวลา 21 นาฬิกา 21 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 93
    .
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สำนักพระราชวัง จัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
    .
    ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย มีกำหนด 1 ปี ตั้งแต่วันสววรรคตเป็นต้นไป
    .
    สำนักพระราชวัง
    24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568
    สำนักพระราชวัง เผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต . ตามที่คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2562 เพื่อติดตามพระอาการทางระบบต่าง ๆ ความทราบทั่วกันแล้วนั้น ในช่วงที่ประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรหลายครั้ง และคณะแพทย์ตรวจพบความผิดปรกติทางระบบต่าง ๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง . ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรจากภาวะติดเชื้อในกระแสพระโลหิต แม้ว่าคณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่พระอาการทรุดหนักลงตามลำดับถึงวันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 เวลา 21 นาฬิกา 21 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 93 . พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สำนักพระราชวัง จัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง . ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย มีกำหนด 1 ปี ตั้งแต่วันสววรรคตเป็นต้นไป . สำนักพระราชวัง 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568
    Sad
    Like
    4
    1 Comments 2 Shares 209 Views 0 Reviews
  • สำนักพระราชวัง เผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต
    .
    ตามที่คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2562 เพื่อติดตามพระอาการทางระบบต่าง ๆ ความทราบทั่วกันแล้วนั้น ในช่วงที่ประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรหลายครั้ง และคณะแพทย์ตรวจพบความผิดปรกติทางระบบต่าง ๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง
    .
    ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรจากภาวะติดเชื้อในกระแสพระโลหิต แม้ว่าคณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่พระอาการทรุดหนักลงตามลำดับถึงวันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 เวลา 21 นาฬิกา 21 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 93
    .
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สำนักพระราชวัง จัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
    .
    ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย มีกำหนด 1 ปี ตั้งแต่วันสววรรคตเป็นต้นไป
    .
    สำนักพระราชวัง
    24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568
    .
    ตามที่คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2562 เพื่อติดตามพระอาการทางระบบต่าง ๆ ความทราบทั่วกันแล้วนั้น ในช่วงที่ประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรหลายครั้ง และคณะแพทย์ตรวจพบความผิดปรกติทางระบบต่าง ๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง
    .
    ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรจากภาวะติดเชื้อในกระแสพระโลหิต แม้ว่าคณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่พระอาการทรุดหนักลงตามลำดับถึงวันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 เวลา 21 นาฬิกา 21 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 93
    .
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สำนักพระราชวัง จัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
    .
    ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย มีกำหนด 1 ปี ตั้งแต่วันสววรรคตเป็นต้นไป
    .
    สำนักพระราชวัง
    24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568
    สำนักพระราชวัง เผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต . ตามที่คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2562 เพื่อติดตามพระอาการทางระบบต่าง ๆ ความทราบทั่วกันแล้วนั้น ในช่วงที่ประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรหลายครั้ง และคณะแพทย์ตรวจพบความผิดปรกติทางระบบต่าง ๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง . ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรจากภาวะติดเชื้อในกระแสพระโลหิต แม้ว่าคณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่พระอาการทรุดหนักลงตามลำดับถึงวันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 เวลา 21 นาฬิกา 21 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 93 . พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สำนักพระราชวัง จัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง . ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย มีกำหนด 1 ปี ตั้งแต่วันสววรรคตเป็นต้นไป . สำนักพระราชวัง 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 . ตามที่คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2562 เพื่อติดตามพระอาการทางระบบต่าง ๆ ความทราบทั่วกันแล้วนั้น ในช่วงที่ประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรหลายครั้ง และคณะแพทย์ตรวจพบความผิดปรกติทางระบบต่าง ๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง . ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรจากภาวะติดเชื้อในกระแสพระโลหิต แม้ว่าคณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่พระอาการทรุดหนักลงตามลำดับถึงวันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 เวลา 21 นาฬิกา 21 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 93 . พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สำนักพระราชวัง จัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง . ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย มีกำหนด 1 ปี ตั้งแต่วันสววรรคตเป็นต้นไป . สำนักพระราชวัง 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568
    Love
    Sad
    3
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • เซิร์ฟเวอร์ AI ผลิตในฮิวสตันของ Apple เริ่มจัดส่งแล้ว – รองรับ Private Cloud Compute เพื่อความเป็นส่วนตัวสูงสุด

    Apple ประกาศเริ่มจัดส่งเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ผลิตในโรงงานใหม่ที่เมืองฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา โดยเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในระบบ Private Cloud Compute (PCC) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่เน้นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก

    PCC ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ของผู้ใช้ เช่น iPhone หรือ Mac โดยเมื่ออุปกรณ์ต้องส่งคำขอไปยังคลาวด์ ข้อมูลจะถูกส่งไปยังระบบปฏิบัติการแบบ clean-room ที่ไม่มีการเก็บข้อมูล ไม่มีการติดตาม และไม่มีหน่วยความจำถาวร หลังจากประมวลผลเสร็จ ข้อมูลจะถูกลบออกทันที

    Apple ยังเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยตรวจสอบระบบ PCC ได้ผ่าน Virtual Research Environment และจะเผยแพร่ภาพของระบบปฏิบัติการที่ใช้ในแต่ละเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้ตรวจสอบความปลอดภัยได้อย่างโปร่งใส

    แม้จะยังไม่เปิดเผยว่าเซิร์ฟเวอร์ใช้ชิปอะไร แต่คาดว่าเป็น Apple Silicon รุ่นใหม่ที่พัฒนาต่อจากซีรีส์ M โดยเน้นการประมวลผล AI แบบไฮบริด คือทำงานบนอุปกรณ์ก่อน แล้วค่อยส่งต่อไปยัง PCC เมื่อจำเป็น

    การเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ AI ของ Apple
    ผลิตในโรงงานใหม่ที่ฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา
    ใช้ในระบบ Private Cloud Compute (PCC)
    รองรับการประมวลผล AI แบบไฮบริด (on-device + cloud)
    เน้นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    ความปลอดภัยของ PCC
    ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ clean-room ไม่มีการเก็บข้อมูล
    ไม่มีหน่วยความจำถาวร ไม่มี telemetry
    ลบข้อมูลทันทีหลังประมวลผล
    เปิดให้ตรวจสอบผ่าน Virtual Research Environment

    ความคาดหวังและผลกระทบ
    เป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุน $600 พันล้านในสหรัฐฯ
    ช่วยขยายขีดความสามารถของ Apple Intelligence
    ไม่พึ่งพาฮาร์ดแวร์จากผู้ผลิตรายอื่น
    ท้าทายแนวทางของ Microsoft และ Google ที่ใช้ GPU-heavy cloud

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/apples-houston-built-ai-servers-now-shipping
    🚚 เซิร์ฟเวอร์ AI ผลิตในฮิวสตันของ Apple เริ่มจัดส่งแล้ว – รองรับ Private Cloud Compute เพื่อความเป็นส่วนตัวสูงสุด Apple ประกาศเริ่มจัดส่งเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ผลิตในโรงงานใหม่ที่เมืองฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา โดยเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในระบบ Private Cloud Compute (PCC) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่เน้นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก PCC ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ของผู้ใช้ เช่น iPhone หรือ Mac โดยเมื่ออุปกรณ์ต้องส่งคำขอไปยังคลาวด์ ข้อมูลจะถูกส่งไปยังระบบปฏิบัติการแบบ clean-room ที่ไม่มีการเก็บข้อมูล ไม่มีการติดตาม และไม่มีหน่วยความจำถาวร หลังจากประมวลผลเสร็จ ข้อมูลจะถูกลบออกทันที Apple ยังเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยตรวจสอบระบบ PCC ได้ผ่าน Virtual Research Environment และจะเผยแพร่ภาพของระบบปฏิบัติการที่ใช้ในแต่ละเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้ตรวจสอบความปลอดภัยได้อย่างโปร่งใส แม้จะยังไม่เปิดเผยว่าเซิร์ฟเวอร์ใช้ชิปอะไร แต่คาดว่าเป็น Apple Silicon รุ่นใหม่ที่พัฒนาต่อจากซีรีส์ M โดยเน้นการประมวลผล AI แบบไฮบริด คือทำงานบนอุปกรณ์ก่อน แล้วค่อยส่งต่อไปยัง PCC เมื่อจำเป็น ✅ การเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ AI ของ Apple ➡️ ผลิตในโรงงานใหม่ที่ฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา ➡️ ใช้ในระบบ Private Cloud Compute (PCC) ➡️ รองรับการประมวลผล AI แบบไฮบริด (on-device + cloud) ➡️ เน้นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ✅ ความปลอดภัยของ PCC ➡️ ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ clean-room ไม่มีการเก็บข้อมูล ➡️ ไม่มีหน่วยความจำถาวร ไม่มี telemetry ➡️ ลบข้อมูลทันทีหลังประมวลผล ➡️ เปิดให้ตรวจสอบผ่าน Virtual Research Environment ✅ ความคาดหวังและผลกระทบ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุน $600 พันล้านในสหรัฐฯ ➡️ ช่วยขยายขีดความสามารถของ Apple Intelligence ➡️ ไม่พึ่งพาฮาร์ดแวร์จากผู้ผลิตรายอื่น ➡️ ท้าทายแนวทางของ Microsoft และ Google ที่ใช้ GPU-heavy cloud https://www.tomshardware.com/desktops/servers/apples-houston-built-ai-servers-now-shipping
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Apple's Houston-built AI servers are now shipping, according to CEO Tim Cook — custom silicon to power Private Cloud Compute
    Apple has begun deploying custom silicon servers from a new US facility to power Private Cloud Compute, its privacy-first AI backend.
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • OpenAI เข้าซื้อบริษัทผู้สร้างแอป Sky บน macOS – เตรียมผสาน AI เข้ากับระบบของ Apple อย่างลึกซึ้ง

    OpenAI ประกาศเข้าซื้อ Software Applications Incorporated ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS แอปนี้เป็นผู้ช่วย AI ที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอของผู้ใช้ และดำเนินการตามคำสั่งได้โดยตรง เช่น สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งให้เพื่อนผ่านแอป Messages หรือสร้างสคริปต์อัตโนมัติที่เชื่อมโยงหลายแอปเข้าด้วยกัน

    Sky ทำงานในหน้าต่างลอยขนาดเล็กที่อยู่เหนือแอปอื่น ๆ และมีจุดเด่นคือการผสานเข้ากับระบบ macOS อย่างลึกซึ้ง ซึ่ง OpenAI มองว่าเป็นโอกาสในการนำความสามารถนี้มาเสริมให้กับ ChatGPT โดยทีมงานทั้งหมดของ Sky จะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน

    น่าสนใจว่า ทีมที่สร้าง Sky เคยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแอป Workflow ซึ่ง Apple เคยซื้อไปในปี 2017 และเปลี่ยนชื่อเป็น Shortcuts ดังนั้น Sky จึงถือเป็นวิวัฒนาการต่อยอดที่ก้าวข้ามความสามารถของ Siri และ Apple Intelligence ในปัจจุบัน

    การเข้าซื้อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น การลาออกของหัวหน้าทีม AKI (Answers, Knowledge and Information) ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งไม่นาน และความกังวลของวิศวกรบางส่วนต่อประสิทธิภาพของ Siri รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวใน iOS 26.4

    การเข้าซื้อบริษัท Software Applications Incorporated
    เป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS
    แอป Sky เป็นผู้ช่วย AI ที่เข้าใจหน้าจอและดำเนินการตามคำสั่ง
    ทีมงานทั้งหมดจะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนา ChatGPT
    Sky ทำงานในหน้าต่างลอยและเชื่อมโยงหลายแอปได้

    ความสามารถของ Sky
    สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งผ่าน Messages
    สร้างสคริปต์อัตโนมัติและคำสั่งเฉพาะสำหรับแต่ละแอป
    เข้าใจบริบทบนหน้าจอและดำเนินการแบบเรียลไทม์
    พัฒนาโดยทีมเดียวกับ Workflow ซึ่งกลายเป็น Shortcuts ของ Apple

    ความเคลื่อนไหวของ Apple
    Siri รุ่นใหม่จะเปิดตัวพร้อม iOS 26.4 ในปี 2026
    มีความกังวลเรื่องประสิทธิภาพของ Siri จากวิศวกรภายใน
    หัวหน้าทีม AKI ลาออกไปเข้าร่วมกับ Meta
    Apple Intelligence ยังตามหลังความสามารถของ Sky ในบางด้าน

    https://wccftech.com/openai-acquires-the-company-behind-the-new-apple-mac-app-sky/
    🧠 OpenAI เข้าซื้อบริษัทผู้สร้างแอป Sky บน macOS – เตรียมผสาน AI เข้ากับระบบของ Apple อย่างลึกซึ้ง OpenAI ประกาศเข้าซื้อ Software Applications Incorporated ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS แอปนี้เป็นผู้ช่วย AI ที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอของผู้ใช้ และดำเนินการตามคำสั่งได้โดยตรง เช่น สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งให้เพื่อนผ่านแอป Messages หรือสร้างสคริปต์อัตโนมัติที่เชื่อมโยงหลายแอปเข้าด้วยกัน Sky ทำงานในหน้าต่างลอยขนาดเล็กที่อยู่เหนือแอปอื่น ๆ และมีจุดเด่นคือการผสานเข้ากับระบบ macOS อย่างลึกซึ้ง ซึ่ง OpenAI มองว่าเป็นโอกาสในการนำความสามารถนี้มาเสริมให้กับ ChatGPT โดยทีมงานทั้งหมดของ Sky จะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน น่าสนใจว่า ทีมที่สร้าง Sky เคยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแอป Workflow ซึ่ง Apple เคยซื้อไปในปี 2017 และเปลี่ยนชื่อเป็น Shortcuts ดังนั้น Sky จึงถือเป็นวิวัฒนาการต่อยอดที่ก้าวข้ามความสามารถของ Siri และ Apple Intelligence ในปัจจุบัน การเข้าซื้อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น การลาออกของหัวหน้าทีม AKI (Answers, Knowledge and Information) ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งไม่นาน และความกังวลของวิศวกรบางส่วนต่อประสิทธิภาพของ Siri รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวใน iOS 26.4 ✅ การเข้าซื้อบริษัท Software Applications Incorporated ➡️ เป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS ➡️ แอป Sky เป็นผู้ช่วย AI ที่เข้าใจหน้าจอและดำเนินการตามคำสั่ง ➡️ ทีมงานทั้งหมดจะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนา ChatGPT ➡️ Sky ทำงานในหน้าต่างลอยและเชื่อมโยงหลายแอปได้ ✅ ความสามารถของ Sky ➡️ สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งผ่าน Messages ➡️ สร้างสคริปต์อัตโนมัติและคำสั่งเฉพาะสำหรับแต่ละแอป ➡️ เข้าใจบริบทบนหน้าจอและดำเนินการแบบเรียลไทม์ ➡️ พัฒนาโดยทีมเดียวกับ Workflow ซึ่งกลายเป็น Shortcuts ของ Apple ✅ ความเคลื่อนไหวของ Apple ➡️ Siri รุ่นใหม่จะเปิดตัวพร้อม iOS 26.4 ในปี 2026 ➡️ มีความกังวลเรื่องประสิทธิภาพของ Siri จากวิศวกรภายใน ➡️ หัวหน้าทีม AKI ลาออกไปเข้าร่วมกับ Meta ➡️ Apple Intelligence ยังตามหลังความสามารถของ Sky ในบางด้าน https://wccftech.com/openai-acquires-the-company-behind-the-new-apple-mac-app-sky/
    WCCFTECH.COM
    OpenAI Acquires The Company Behind The New Apple Mac App Sky
    OpenAI is trying to encroach into Apple's sprawling ecosystem by acquiring a company that is championing enhanced automation on the Mac.
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • Claude AI เปิดตัวฟีเจอร์ Memory สำหรับผู้ใช้ Pro – เชื่อมต่อกับ ChatGPT และ Gemini ได้อย่างลื่นไหล

    Anthropic ผู้พัฒนา Claude AI ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Memory” สำหรับผู้ใช้แบบ Pro และ Max โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ Claude ฉลาดขึ้นและเข้าใจผู้ใช้มากขึ้นในระยะยาว ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ Claude สามารถจดจำบริบทจากการสนทนาเก่าๆ และปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการทำงานของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ

    ผู้ใช้สามารถควบคุม Memory ได้อย่างละเอียด เช่น เปิด/ปิดการจดจำ ลบความจำเฉพาะจุด หรือใช้โหมด Incognito เพื่อเริ่มต้นใหม่แบบไม่มีบริบทเก่า นอกจากนี้ยังสามารถนำเข้าความจำจาก AI ตัวอื่น เช่น ChatGPT และ Gemini ได้ด้วย ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ Claude เป็นไปอย่างราบรื่น

    Claude ยังสามารถสร้าง “พื้นที่ความจำเฉพาะ” สำหรับแต่ละโปรเจกต์ เช่น แยกงานเขียนออกจากงานวางแผนผลิตภัณฑ์ เพื่อให้การสนทนาไม่ปะปนกัน และมีความต่อเนื่องในแต่ละบริบท

    ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายใหญ่ของ Anthropic ที่ต้องการให้ Claude เป็น “คู่คิดระยะยาว” ที่สามารถเข้าใจบริบทการทำงานของผู้ใช้และปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง

    การเปิดตัวฟีเจอร์ Memory ใน Claude AI
    รองรับผู้ใช้แบบ Pro ($20/เดือน) และ Max ($100/เดือน)
    Claude สามารถจดจำบริบทจากการสนทนาเก่าๆ ได้
    ปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการทำงานของผู้ใช้
    ผู้ใช้สามารถควบคุมความจำได้อย่างละเอียด

    ความสามารถในการเชื่อมต่อกับ AI อื่น
    สามารถนำเข้าความจำจาก ChatGPT และ Gemini ได้
    ช่วยให้การเปลี่ยนมาใช้ Claude เป็นไปอย่างราบรื่น
    รองรับการส่งออกความจำไปยังแพลตฟอร์มอื่น

    การจัดการความจำแบบแยกโปรเจกต์
    Claude สามารถสร้างพื้นที่ความจำเฉพาะสำหรับแต่ละโปรเจกต์
    ช่วยให้การสนทนาไม่ปะปนกัน และมีความต่อเนื่อง
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ทำงานหลายด้าน เช่น เขียนบทความและวางแผนผลิตภัณฑ์

    เป้าหมายของ Anthropic
    ต้องการให้ Claude เป็นคู่คิดระยะยาวที่เข้าใจผู้ใช้
    สร้างระบบ AI ที่มีความต่อเนื่องและปรับตัวได้
    เพิ่มความโปร่งใสในการจัดการข้อมูลความจำ

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ฟีเจอร์ Memory ยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้แบบเสียเงิน
    การนำเข้าความจำจาก AI อื่นอาจมีข้อจำกัดด้านความเข้ากันได้
    ผู้ใช้ต้องเข้าใจวิธีจัดการความจำเพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
    หากไม่จัดการพื้นที่ความจำอย่างเหมาะสม อาจเกิดความสับสนในบริบท

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude-ai-is-catching-up-fast-with-memory-for-pro-users-and-it-plays-nicely-with-chatgpt-and-gemini
    🧠 Claude AI เปิดตัวฟีเจอร์ Memory สำหรับผู้ใช้ Pro – เชื่อมต่อกับ ChatGPT และ Gemini ได้อย่างลื่นไหล Anthropic ผู้พัฒนา Claude AI ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Memory” สำหรับผู้ใช้แบบ Pro และ Max โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ Claude ฉลาดขึ้นและเข้าใจผู้ใช้มากขึ้นในระยะยาว ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ Claude สามารถจดจำบริบทจากการสนทนาเก่าๆ และปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการทำงานของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ ผู้ใช้สามารถควบคุม Memory ได้อย่างละเอียด เช่น เปิด/ปิดการจดจำ ลบความจำเฉพาะจุด หรือใช้โหมด Incognito เพื่อเริ่มต้นใหม่แบบไม่มีบริบทเก่า นอกจากนี้ยังสามารถนำเข้าความจำจาก AI ตัวอื่น เช่น ChatGPT และ Gemini ได้ด้วย ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ Claude เป็นไปอย่างราบรื่น Claude ยังสามารถสร้าง “พื้นที่ความจำเฉพาะ” สำหรับแต่ละโปรเจกต์ เช่น แยกงานเขียนออกจากงานวางแผนผลิตภัณฑ์ เพื่อให้การสนทนาไม่ปะปนกัน และมีความต่อเนื่องในแต่ละบริบท ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายใหญ่ของ Anthropic ที่ต้องการให้ Claude เป็น “คู่คิดระยะยาว” ที่สามารถเข้าใจบริบทการทำงานของผู้ใช้และปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง ✅ การเปิดตัวฟีเจอร์ Memory ใน Claude AI ➡️ รองรับผู้ใช้แบบ Pro ($20/เดือน) และ Max ($100/เดือน) ➡️ Claude สามารถจดจำบริบทจากการสนทนาเก่าๆ ได้ ➡️ ปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการทำงานของผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้สามารถควบคุมความจำได้อย่างละเอียด ✅ ความสามารถในการเชื่อมต่อกับ AI อื่น ➡️ สามารถนำเข้าความจำจาก ChatGPT และ Gemini ได้ ➡️ ช่วยให้การเปลี่ยนมาใช้ Claude เป็นไปอย่างราบรื่น ➡️ รองรับการส่งออกความจำไปยังแพลตฟอร์มอื่น ✅ การจัดการความจำแบบแยกโปรเจกต์ ➡️ Claude สามารถสร้างพื้นที่ความจำเฉพาะสำหรับแต่ละโปรเจกต์ ➡️ ช่วยให้การสนทนาไม่ปะปนกัน และมีความต่อเนื่อง ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ทำงานหลายด้าน เช่น เขียนบทความและวางแผนผลิตภัณฑ์ ✅ เป้าหมายของ Anthropic ➡️ ต้องการให้ Claude เป็นคู่คิดระยะยาวที่เข้าใจผู้ใช้ ➡️ สร้างระบบ AI ที่มีความต่อเนื่องและปรับตัวได้ ➡️ เพิ่มความโปร่งใสในการจัดการข้อมูลความจำ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ฟีเจอร์ Memory ยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้แบบเสียเงิน ⛔ การนำเข้าความจำจาก AI อื่นอาจมีข้อจำกัดด้านความเข้ากันได้ ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าใจวิธีจัดการความจำเพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ⛔ หากไม่จัดการพื้นที่ความจำอย่างเหมาะสม อาจเกิดความสับสนในบริบท https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude-ai-is-catching-up-fast-with-memory-for-pro-users-and-it-plays-nicely-with-chatgpt-and-gemini
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • Google Earth AI อัปเกรดใหม่ – ใช้พลัง Gemini วิเคราะห์ภัยพิบัติและปัญหาสภาพอากาศล่วงหน้า

    Google Earth AI ได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่ โดยนำเทคโนโลยี Gemini AI เข้ามาเสริมความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ เพื่อช่วยให้องค์กร เมือง และหน่วยงานไม่แสวงหากำไรสามารถรับมือกับภัยพิบัติและปัญหาสภาพอากาศได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

    ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งคำถามกับระบบ AI เพื่อดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น พยากรณ์อากาศ แผนที่ประชากร และภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อคาดการณ์จุดเสี่ยง เช่น พื้นที่น้ำท่วมจากพายุ หรือจุดที่อาจเกิดฝุ่นพิษจากแม่น้ำที่แห้งเหือด นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับการเกิดสาหร่ายพิษในแหล่งน้ำเพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้าได้

    Earth AI ยังรองรับการเชื่อมโยงโมเดลหลายตัวเข้าด้วยกันเพื่อวิเคราะห์คำถามที่ซับซ้อน และเปิดให้หน่วยงานที่สนใจสมัครเป็น “Trusted Testers” ผ่าน Google Cloud เพื่อเข้าถึงโมเดลภาพถ่าย ประชากร และสิ่งแวดล้อม พร้อมเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง

    การอัปเกรดนี้เกิดขึ้นหลังจาก Earth AI เคยช่วยแจ้งเตือนประชาชนกว่า 15 ล้านคนในเหตุไฟป่าแคลิฟอร์เนียปี 2025 โดยใช้ข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อช่วยหาที่หลบภัย ถือเป็นตัวอย่างของการใช้ AI เพื่อช่วยชีวิตและเพิ่มความปลอดภัยในระดับมหภาค

    การอัปเกรด Google Earth AI
    ใช้ Gemini AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ
    รองรับการตั้งคำถามและเชื่อมโยงโมเดลหลายตัว
    วิเคราะห์ข้อมูลจากพยากรณ์อากาศ แผนที่ประชากร และภาพดาวเทียม
    คาดการณ์ภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ฝุ่นพิษ สาหร่ายพิษ

    การใช้งานในภาคส่วนต่างๆ
    หน่วยงานสามารถสมัครเป็น Trusted Testers ผ่าน Google Cloud
    ใช้โมเดลภาพถ่าย ประชากร และสิ่งแวดล้อมร่วมกับข้อมูลของตนเอง
    เหมาะสำหรับองค์กรที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    Earth AI เคยแจ้งเตือนประชาชน 15 ล้านคนในเหตุไฟป่าแคลิฟอร์เนีย
    ใช้ข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อช่วยหาที่หลบภัย
    แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการช่วยชีวิต

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การวิเคราะห์ข้อมูลต้องอาศัยความแม่นยำของโมเดลและข้อมูลต้นทาง
    การใช้งานต้องมีความเข้าใจด้านภูมิสารสนเทศและการตั้งคำถามที่เหมาะสม
    หากข้อมูลไม่ครบถ้วน อาจเกิดการคาดการณ์ผิดพลาด
    การเข้าถึงฟีเจอร์บางอย่างอาจจำกัดเฉพาะผู้สมัคร Trusted Testers

    https://www.techradar.com/pro/google-earth-ai-wants-to-help-us-spot-weather-disasters-and-climate-issues-before-they-happen
    🌍 Google Earth AI อัปเกรดใหม่ – ใช้พลัง Gemini วิเคราะห์ภัยพิบัติและปัญหาสภาพอากาศล่วงหน้า Google Earth AI ได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่ โดยนำเทคโนโลยี Gemini AI เข้ามาเสริมความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ เพื่อช่วยให้องค์กร เมือง และหน่วยงานไม่แสวงหากำไรสามารถรับมือกับภัยพิบัติและปัญหาสภาพอากาศได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งคำถามกับระบบ AI เพื่อดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น พยากรณ์อากาศ แผนที่ประชากร และภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อคาดการณ์จุดเสี่ยง เช่น พื้นที่น้ำท่วมจากพายุ หรือจุดที่อาจเกิดฝุ่นพิษจากแม่น้ำที่แห้งเหือด นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับการเกิดสาหร่ายพิษในแหล่งน้ำเพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ Earth AI ยังรองรับการเชื่อมโยงโมเดลหลายตัวเข้าด้วยกันเพื่อวิเคราะห์คำถามที่ซับซ้อน และเปิดให้หน่วยงานที่สนใจสมัครเป็น “Trusted Testers” ผ่าน Google Cloud เพื่อเข้าถึงโมเดลภาพถ่าย ประชากร และสิ่งแวดล้อม พร้อมเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง การอัปเกรดนี้เกิดขึ้นหลังจาก Earth AI เคยช่วยแจ้งเตือนประชาชนกว่า 15 ล้านคนในเหตุไฟป่าแคลิฟอร์เนียปี 2025 โดยใช้ข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อช่วยหาที่หลบภัย ถือเป็นตัวอย่างของการใช้ AI เพื่อช่วยชีวิตและเพิ่มความปลอดภัยในระดับมหภาค ✅ การอัปเกรด Google Earth AI ➡️ ใช้ Gemini AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ ➡️ รองรับการตั้งคำถามและเชื่อมโยงโมเดลหลายตัว ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลจากพยากรณ์อากาศ แผนที่ประชากร และภาพดาวเทียม ➡️ คาดการณ์ภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ฝุ่นพิษ สาหร่ายพิษ ✅ การใช้งานในภาคส่วนต่างๆ ➡️ หน่วยงานสามารถสมัครเป็น Trusted Testers ผ่าน Google Cloud ➡️ ใช้โมเดลภาพถ่าย ประชากร และสิ่งแวดล้อมร่วมกับข้อมูลของตนเอง ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ Earth AI เคยแจ้งเตือนประชาชน 15 ล้านคนในเหตุไฟป่าแคลิฟอร์เนีย ➡️ ใช้ข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อช่วยหาที่หลบภัย ➡️ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการช่วยชีวิต ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การวิเคราะห์ข้อมูลต้องอาศัยความแม่นยำของโมเดลและข้อมูลต้นทาง ⛔ การใช้งานต้องมีความเข้าใจด้านภูมิสารสนเทศและการตั้งคำถามที่เหมาะสม ⛔ หากข้อมูลไม่ครบถ้วน อาจเกิดการคาดการณ์ผิดพลาด ⛔ การเข้าถึงฟีเจอร์บางอย่างอาจจำกัดเฉพาะผู้สมัคร Trusted Testers https://www.techradar.com/pro/google-earth-ai-wants-to-help-us-spot-weather-disasters-and-climate-issues-before-they-happen
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • Tesla เปิดตัวชิป AI5 รุ่นใหม่ – เร็วกว่าเดิม 40 เท่า พร้อมผลิตโดย Samsung และ TSMC

    Elon Musk ประกาศว่า Tesla ได้พัฒนาชิป AI5 รุ่นใหม่สำหรับระบบปัญญาประดิษฐ์ในรถยนต์ โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 40 เท่า! ชิปนี้จะถูกผลิตโดยสองยักษ์ใหญ่ในวงการเซมิคอนดักเตอร์คือ Samsung และ TSMC ซึ่งถือเป็นการยกระดับเทคโนโลยีของ Tesla ไปอีกขั้น

    ชิป AI5 รุ่นใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ในระบบ Full Self-Driving (FSD) และ Dojo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มฝึกโมเดล AI ของ Tesla โดยเน้นการประมวลผลแบบ edge computing ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพา cloud ตลอดเวลา ชิปนี้ยังถูกออกแบบให้รองรับการประมวลผลแบบ real-time สำหรับการขับขี่อัตโนมัติ และการวิเคราะห์ภาพจากกล้องหลายตัวในรถ

    การร่วมมือกับ Samsung และ TSMC ไม่เพียงแต่ช่วยให้ Tesla สามารถผลิตชิปได้ในปริมาณมาก แต่ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงด้าน supply chain ในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอน

    การเปิดตัวชิป AI5 รุ่นใหม่ของ Tesla
    มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 40 เท่า
    ใช้ในระบบ Full Self-Driving (FSD) และ Dojo
    รองรับการประมวลผลแบบ edge computing และ real-time
    ออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์ภาพจากกล้องหลายตัวในรถ

    ความร่วมมือกับผู้ผลิตชิป
    ผลิตโดย Samsung และ TSMC
    ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตและลดความเสี่ยงด้าน supply chain
    ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เช่น 2nm และ 3nm

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์
    ยกระดับความสามารถของรถยนต์ Tesla ในการขับขี่อัตโนมัติ
    เพิ่มความแม่นยำและความเร็วในการประมวลผลข้อมูลจากเซนเซอร์
    อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแข่งขันด้าน AI ในรถยนต์

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การผลิตชิปขั้นสูงต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้นทุนสูง
    ความล่าช้าในการผลิตอาจกระทบต่อการเปิดตัวรถรุ่นใหม่
    การพึ่งพาผู้ผลิตภายนอกอาจมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงของ supply chain
    หากระบบ FSD ยังไม่ผ่านการรับรองในหลายประเทศ อาจจำกัดการใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-claims-teslas-new-ai5-chip-is-40x-more-performant-than-previous-gen-ai5-next-gen-custom-silicon-for-vehicle-ai-to-now-be-built-by-samsung-and-tsmc
    🚗 Tesla เปิดตัวชิป AI5 รุ่นใหม่ – เร็วกว่าเดิม 40 เท่า พร้อมผลิตโดย Samsung และ TSMC Elon Musk ประกาศว่า Tesla ได้พัฒนาชิป AI5 รุ่นใหม่สำหรับระบบปัญญาประดิษฐ์ในรถยนต์ โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 40 เท่า! ชิปนี้จะถูกผลิตโดยสองยักษ์ใหญ่ในวงการเซมิคอนดักเตอร์คือ Samsung และ TSMC ซึ่งถือเป็นการยกระดับเทคโนโลยีของ Tesla ไปอีกขั้น ชิป AI5 รุ่นใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ในระบบ Full Self-Driving (FSD) และ Dojo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มฝึกโมเดล AI ของ Tesla โดยเน้นการประมวลผลแบบ edge computing ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพา cloud ตลอดเวลา ชิปนี้ยังถูกออกแบบให้รองรับการประมวลผลแบบ real-time สำหรับการขับขี่อัตโนมัติ และการวิเคราะห์ภาพจากกล้องหลายตัวในรถ การร่วมมือกับ Samsung และ TSMC ไม่เพียงแต่ช่วยให้ Tesla สามารถผลิตชิปได้ในปริมาณมาก แต่ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงด้าน supply chain ในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอน ✅ การเปิดตัวชิป AI5 รุ่นใหม่ของ Tesla ➡️ มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 40 เท่า ➡️ ใช้ในระบบ Full Self-Driving (FSD) และ Dojo ➡️ รองรับการประมวลผลแบบ edge computing และ real-time ➡️ ออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์ภาพจากกล้องหลายตัวในรถ ✅ ความร่วมมือกับผู้ผลิตชิป ➡️ ผลิตโดย Samsung และ TSMC ➡️ ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตและลดความเสี่ยงด้าน supply chain ➡️ ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เช่น 2nm และ 3nm ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ ➡️ ยกระดับความสามารถของรถยนต์ Tesla ในการขับขี่อัตโนมัติ ➡️ เพิ่มความแม่นยำและความเร็วในการประมวลผลข้อมูลจากเซนเซอร์ ➡️ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแข่งขันด้าน AI ในรถยนต์ ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การผลิตชิปขั้นสูงต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้นทุนสูง ⛔ ความล่าช้าในการผลิตอาจกระทบต่อการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ⛔ การพึ่งพาผู้ผลิตภายนอกอาจมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงของ supply chain ⛔ หากระบบ FSD ยังไม่ผ่านการรับรองในหลายประเทศ อาจจำกัดการใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-claims-teslas-new-ai5-chip-is-40x-more-performant-than-previous-gen-ai5-next-gen-custom-silicon-for-vehicle-ai-to-now-be-built-by-samsung-and-tsmc
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง

    Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ

    SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้

    นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา

    ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung
    พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง
    ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์
    รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่
    ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า
    คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า
    รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้

    การลงทุนของ SpaceX
    ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G
    มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์
    แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก

    การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น
    โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์
    ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ
    ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ
    การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม
    การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก

    https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    🚀 Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้ นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา ✅ ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung ➡️ พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง ➡️ ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์ ➡️ รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) ✅ ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่ ➡️ ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า ➡️ คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า ➡️ รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้ ✅ การลงทุนของ SpaceX ➡️ ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G ➡️ มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ➡️ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก ✅ การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น ➡️ โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ➡️ ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ ⛔ ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ ⛔ การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม ⛔ การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Elon Musk's Starlink reportedly tasks Samsung to build AI-powered modem — space-based 6G service could revolutionize satellite-to-device connectivity
    The modem’s NPU will be used to ‘predict satellite trajectories and optimize signal links in real time,’ it is claimed.
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • ตลาดผู้ใหญ่กับ AI: ChatGPT ไม่ใช่รายแรกที่มองเห็นโอกาสในธุรกิจ “18+”

    ในขณะที่อุตสาหกรรม AI กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว หนึ่งในตลาดที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นคือ “ตลาดผู้ใหญ่” หรือ adult market ซึ่งรวมถึงเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่, การจำลองบทสนทนาเชิงอารมณ์, และการสร้างประสบการณ์ส่วนตัวผ่าน AI โดยบทความจาก The Star ชี้ว่า ChatGPT อาจไม่ใช่รายแรกที่พยายามเข้าสู่ตลาดนี้—แต่เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด

    บริษัท AI หลายแห่ง เช่น Replika, DreamGF และ EVA AI ได้เปิดตัวแชตบอทที่สามารถสร้างความสัมพันธ์เชิงอารมณ์กับผู้ใช้ได้ โดยบางรายมีฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้ “ออกเดต” กับ AI หรือแม้แต่สร้างบทสนทนาเชิงโรแมนติกและเซ็กชวล ซึ่งกลายเป็นธุรกิจที่มีรายได้หลายล้านดอลลาร์ต่อปี

    แม้ว่า OpenAI จะยังไม่เปิดเผยแผนการเข้าสู่ตลาดนี้อย่างชัดเจน แต่การที่ ChatGPT มีความสามารถในการสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติและเข้าใจอารมณ์ ก็ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าอาจมีการเปิดฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ

    1️⃣ ตลาดผู้ใหญ่คือโอกาสใหม่ของ AI
    ข้อมูลในบทความ
    ตลาด adult AI มีผู้เล่นหลายราย เช่น Replika, DreamGF, EVA AI
    มีการสร้างแชตบอทที่สามารถ “ออกเดต” หรือสนทนาเชิงอารมณ์กับผู้ใช้
    ธุรกิจนี้มีรายได้หลายล้านดอลลาร์ต่อปี

    คำเตือน
    เนื้อหาบางส่วนอาจละเมิดจริยธรรมหรือกฎหมายในบางประเทศ
    ผู้ใช้บางรายอาจเกิดความผูกพันทางอารมณ์กับ AI มากเกินไป

    2️⃣ ChatGPT กับความเป็นไปได้ในตลาดนี้
    ข้อมูลในบทความ
    ChatGPT ยังไม่มีฟีเจอร์เฉพาะสำหรับตลาดผู้ใหญ่
    แต่มีความสามารถในการสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติและเข้าใจอารมณ์
    นักวิเคราะห์คาดว่า OpenAI อาจเปิดฟีเจอร์ใหม่ในอนาคต

    คำเตือน
    การใช้ AI ในบริบทเชิงอารมณ์ต้องมีการควบคุมอย่างรัดกุม
    อาจเกิดความเข้าใจผิดว่า AI มีความรู้สึกจริง

    3️⃣ ความท้าทายด้านจริยธรรมและความปลอดภัย
    ข้อมูลในบทความ
    นักวิจัยเตือนว่า AI ที่สร้างความสัมพันธ์กับผู้ใช้อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต
    มีความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนตัวและการใช้เนื้อหาไม่เหมาะสม
    บางแพลตฟอร์มมีการเก็บข้อมูลการสนทนาเพื่อพัฒนาโมเดล

    คำเตือน
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบนโยบายความเป็นส่วนตัวก่อนใช้งาน
    การใช้ AI เพื่อจำลองความสัมพันธ์อาจส่งผลต่อพฤติกรรมในชีวิตจริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/as-the-ai-industry-eyes-the-adult-market-chatgpt-won039t-be-the-first-to-try-to-profit-from-it
    🔞 ตลาดผู้ใหญ่กับ AI: ChatGPT ไม่ใช่รายแรกที่มองเห็นโอกาสในธุรกิจ “18+” ในขณะที่อุตสาหกรรม AI กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว หนึ่งในตลาดที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นคือ “ตลาดผู้ใหญ่” หรือ adult market ซึ่งรวมถึงเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่, การจำลองบทสนทนาเชิงอารมณ์, และการสร้างประสบการณ์ส่วนตัวผ่าน AI โดยบทความจาก The Star ชี้ว่า ChatGPT อาจไม่ใช่รายแรกที่พยายามเข้าสู่ตลาดนี้—แต่เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด บริษัท AI หลายแห่ง เช่น Replika, DreamGF และ EVA AI ได้เปิดตัวแชตบอทที่สามารถสร้างความสัมพันธ์เชิงอารมณ์กับผู้ใช้ได้ โดยบางรายมีฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้ “ออกเดต” กับ AI หรือแม้แต่สร้างบทสนทนาเชิงโรแมนติกและเซ็กชวล ซึ่งกลายเป็นธุรกิจที่มีรายได้หลายล้านดอลลาร์ต่อปี แม้ว่า OpenAI จะยังไม่เปิดเผยแผนการเข้าสู่ตลาดนี้อย่างชัดเจน แต่การที่ ChatGPT มีความสามารถในการสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติและเข้าใจอารมณ์ ก็ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าอาจมีการเปิดฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องในอนาคต 🔍 สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ 1️⃣ ตลาดผู้ใหญ่คือโอกาสใหม่ของ AI ✅ ข้อมูลในบทความ ➡️ ตลาด adult AI มีผู้เล่นหลายราย เช่น Replika, DreamGF, EVA AI ➡️ มีการสร้างแชตบอทที่สามารถ “ออกเดต” หรือสนทนาเชิงอารมณ์กับผู้ใช้ ➡️ ธุรกิจนี้มีรายได้หลายล้านดอลลาร์ต่อปี ‼️ คำเตือน ⛔ เนื้อหาบางส่วนอาจละเมิดจริยธรรมหรือกฎหมายในบางประเทศ ⛔ ผู้ใช้บางรายอาจเกิดความผูกพันทางอารมณ์กับ AI มากเกินไป 2️⃣ ChatGPT กับความเป็นไปได้ในตลาดนี้ ✅ ข้อมูลในบทความ ➡️ ChatGPT ยังไม่มีฟีเจอร์เฉพาะสำหรับตลาดผู้ใหญ่ ➡️ แต่มีความสามารถในการสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติและเข้าใจอารมณ์ ➡️ นักวิเคราะห์คาดว่า OpenAI อาจเปิดฟีเจอร์ใหม่ในอนาคต ‼️ คำเตือน ⛔ การใช้ AI ในบริบทเชิงอารมณ์ต้องมีการควบคุมอย่างรัดกุม ⛔ อาจเกิดความเข้าใจผิดว่า AI มีความรู้สึกจริง 3️⃣ ความท้าทายด้านจริยธรรมและความปลอดภัย ✅ ข้อมูลในบทความ ➡️ นักวิจัยเตือนว่า AI ที่สร้างความสัมพันธ์กับผู้ใช้อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต ➡️ มีความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนตัวและการใช้เนื้อหาไม่เหมาะสม ➡️ บางแพลตฟอร์มมีการเก็บข้อมูลการสนทนาเพื่อพัฒนาโมเดล ‼️ คำเตือน ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบนโยบายความเป็นส่วนตัวก่อนใช้งาน ⛔ การใช้ AI เพื่อจำลองความสัมพันธ์อาจส่งผลต่อพฤติกรรมในชีวิตจริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/as-the-ai-industry-eyes-the-adult-market-chatgpt-won039t-be-the-first-to-try-to-profit-from-it
    WWW.THESTAR.COM.MY
    As the AI industry eyes the adult market, ChatGPT won't be the first to try to profit from it
    ChatGPT will be able to have kinkier conversations after OpenAI CEO Sam Altman announced the artificial intelligence company will soon allow its chatbot to engage in "erotica for verified adults".
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • Microsoft Copilot อัปเกรดครั้งใหญ่: ทำงานร่วมกันได้, เชื่อมต่อ Google, และมี “Mico” เป็นเพื่อนคุย

    Microsoft ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Copilot ที่เปลี่ยนให้ผู้ช่วย AI กลายเป็น “เพื่อนร่วมงานดิจิทัล” ที่ฉลาดขึ้นและทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดีขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้เน้นการทำงานร่วมกัน (collaboration), การเชื่อมต่อกับแอปยอดนิยมอย่าง Google และ Outlook, รวมถึงการเพิ่มความสามารถด้านความจำและการแสดงออกทางอารมณ์ผ่าน “Mico” อวาตาร์ใหม่ของ Copilot

    การอัปเกรดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาด AI กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดย Microsoft ต้องการให้ Copilot เป็นมากกว่าผู้ช่วยส่วนตัว แต่เป็น “พื้นที่ทำงานร่วมกัน” ที่รองรับผู้ใช้ได้ถึง 32 คนในกลุ่มเดียวกัน

    สรุปฟีเจอร์ใหม่ของ Microsoft Copilot

    1️⃣ การทำงานร่วมกันแบบกลุ่ม (Groups)
    ฟีเจอร์ใหม่
    รองรับผู้ใช้สูงสุด 32 คนในกลุ่มเดียวกัน
    ใช้ Copilot ร่วมกันเพื่อเขียนเอกสารหรือทำโปรเจกต์
    เหมาะสำหรับทีมงานที่ต้องการพื้นที่ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์

    คำเตือน
    ต้องมีการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล
    การทำงานร่วมกันอาจเกิดความสับสนหากไม่มีการกำหนดบทบาทชัดเจน

    2️⃣ การเชื่อมต่อกับแอปอื่น (Google, Outlook)
    ฟีเจอร์ใหม่
    เชื่อมต่อกับ Google และ Outlook ได้ลึกขึ้น
    สามารถสรุปข้อมูลจากอีเมล, ปฏิทิน, และเอกสารได้
    ใช้ reasoning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและดำเนินการ เช่น จองโรงแรม

    คำเตือน
    ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ก่อนเข้าถึงข้อมูล
    การเชื่อมต่อหลายระบบอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    3️⃣ ความสามารถด้านความจำ (Long-term memory)
    ฟีเจอร์ใหม่
    Copilot สามารถจำข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ได้
    ใช้ความจำเพื่อช่วยเตือนงานหรือเรียกข้อมูลเก่า
    เพิ่มความเป็น “ผู้ช่วยส่วนตัว” ที่เข้าใจผู้ใช้มากขึ้น

    คำเตือน
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่าข้อมูลใดถูกจำไว้
    อาจต้องมีระบบลบหรือจัดการความจำเพื่อความเป็นส่วนตัว

    4️⃣ อวาตาร์ “Mico” ที่แสดงอารมณ์ได้
    ฟีเจอร์ใหม่
    Mico เป็นอวาตาร์ของ Copilot ที่เปลี่ยนสีและแสดงอารมณ์
    เพิ่มความเป็นธรรมชาติในการสนทนา
    ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่า Copilot “มีตัวตน” มากขึ้น

    คำเตือน
    อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกผูกพันกับ AI มากเกินไป
    ต้องมีการออกแบบให้ไม่สร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นมนุษย์จริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/microsoft-introduces-new-copilot-features-such-as-collaboration-google-integration
    🤝 Microsoft Copilot อัปเกรดครั้งใหญ่: ทำงานร่วมกันได้, เชื่อมต่อ Google, และมี “Mico” เป็นเพื่อนคุย Microsoft ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Copilot ที่เปลี่ยนให้ผู้ช่วย AI กลายเป็น “เพื่อนร่วมงานดิจิทัล” ที่ฉลาดขึ้นและทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดีขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้เน้นการทำงานร่วมกัน (collaboration), การเชื่อมต่อกับแอปยอดนิยมอย่าง Google และ Outlook, รวมถึงการเพิ่มความสามารถด้านความจำและการแสดงออกทางอารมณ์ผ่าน “Mico” อวาตาร์ใหม่ของ Copilot การอัปเกรดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาด AI กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดย Microsoft ต้องการให้ Copilot เป็นมากกว่าผู้ช่วยส่วนตัว แต่เป็น “พื้นที่ทำงานร่วมกัน” ที่รองรับผู้ใช้ได้ถึง 32 คนในกลุ่มเดียวกัน 🔍 สรุปฟีเจอร์ใหม่ของ Microsoft Copilot 1️⃣ การทำงานร่วมกันแบบกลุ่ม (Groups) ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ รองรับผู้ใช้สูงสุด 32 คนในกลุ่มเดียวกัน ➡️ ใช้ Copilot ร่วมกันเพื่อเขียนเอกสารหรือทำโปรเจกต์ ➡️ เหมาะสำหรับทีมงานที่ต้องการพื้นที่ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล ⛔ การทำงานร่วมกันอาจเกิดความสับสนหากไม่มีการกำหนดบทบาทชัดเจน 2️⃣ การเชื่อมต่อกับแอปอื่น (Google, Outlook) ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ เชื่อมต่อกับ Google และ Outlook ได้ลึกขึ้น ➡️ สามารถสรุปข้อมูลจากอีเมล, ปฏิทิน, และเอกสารได้ ➡️ ใช้ reasoning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและดำเนินการ เช่น จองโรงแรม ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ก่อนเข้าถึงข้อมูล ⛔ การเชื่อมต่อหลายระบบอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย 3️⃣ ความสามารถด้านความจำ (Long-term memory) ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ Copilot สามารถจำข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ได้ ➡️ ใช้ความจำเพื่อช่วยเตือนงานหรือเรียกข้อมูลเก่า ➡️ เพิ่มความเป็น “ผู้ช่วยส่วนตัว” ที่เข้าใจผู้ใช้มากขึ้น ‼️ คำเตือน ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่าข้อมูลใดถูกจำไว้ ⛔ อาจต้องมีระบบลบหรือจัดการความจำเพื่อความเป็นส่วนตัว 4️⃣ อวาตาร์ “Mico” ที่แสดงอารมณ์ได้ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ Mico เป็นอวาตาร์ของ Copilot ที่เปลี่ยนสีและแสดงอารมณ์ ➡️ เพิ่มความเป็นธรรมชาติในการสนทนา ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่า Copilot “มีตัวตน” มากขึ้น ‼️ คำเตือน ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกผูกพันกับ AI มากเกินไป ⛔ ต้องมีการออกแบบให้ไม่สร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นมนุษย์จริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/microsoft-introduces-new-copilot-features-such-as-collaboration-google-integration
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft introduces new Copilot features such as collaboration, Google integration
    (Reuters) -Microsoft introduced new features in its digital assistant Copilot on Thursday, including collaboration and deeper integration with other applications such as Outlook and Google, beefing up its AI services to stave off competition.
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • KDE Plasma 6.5 มาแล้ว! อัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น

    หลังจากหลายสัปดาห์ของการพัฒนา KDE Plasma 6.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นความลื่นไหล ความสามารถในการปรับแต่ง และการเข้าถึงที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปหรือสาย power user

    การอัปเดตครั้งนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ตั้งแต่การปรับปรุงหน้าตา UI ไปจนถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น เช่น การสลับธีมอัตโนมัติตามเวลา การปักหมุดข้อความใน clipboard และการค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner ที่ช่วยให้ค้นหาแอปได้แม้พิมพ์ผิด

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบ widget ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น sticky notes ที่ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้ทันที รวมถึงการเพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับผู้ชอบความเรียบง่าย

    ด้านเสียงก็มีการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การเตือนเมื่อเปิดเสียงสูงสุดนานเกินไป และการ mute ไมโครโฟนแบบรวมทุกตัวในระบบ

    สำหรับผู้ที่อยากลอง KDE Plasma 6.5 สามารถติดตั้งผ่าน KDE Neon หรือคอมไพล์จากซอร์สได้โดยตรง

    ฟีเจอร์ใหม่ใน KDE Plasma 6.5
    สลับธีมอัตโนมัติตามเวลา
    ปักหมุดข้อความใน clipboard
    ค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner
    รองรับการตั้งค่าปากกาและแท็บเล็ตแบบ rotary dial และ touch ring
    เพิ่ม grayscale filter และปรับปรุง screen reader สำหรับผู้พิการ

    การปรับปรุง UI
    หน้าต่าง Breeze มีมุมโค้งทั้ง 4 ด้าน
    หน้า Wi-Fi & Networking แสดงเครือข่ายทันที
    แชร์ Wi-Fi ผ่าน QR code พร้อมรหัสผ่าน
    หน้า Flatpak Permissions เปลี่ยนเป็น Application Permissions

    การปรับปรุง widget
    Sticky notes ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้
    เพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับ widget
    KRunner แสดงผลตั้งแต่พิมพ์ตัวแรก พร้อมเรียงลำดับใหม่

    การปรับปรุงระบบเสียง
    เตือนเมื่อเปิด “Raise maximum volume” นานเกินไป
    ปรับพฤติกรรม mute ไมโครโฟนให้รวมทุกตัว
    ปรับระดับเสียงขณะ mute จะ unmute อัตโนมัติ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้เวอร์ชันเก่า
    หากยังใช้ Plasma 5 อาจไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้
    การอัปเดตจากซอร์สต้องมีความรู้ด้านการคอมไพล์
    การเปลี่ยนธีมอัตโนมัติอาจไม่ทำงานหากตั้งค่าผิด

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ใช้ KDE Neon เพื่อทดลอง Plasma 6.5 ได้ง่ายที่สุด
    ตรวจสอบการตั้งค่าธีมและ wallpaper ให้ตรงกับช่วงเวลาที่ต้องการ
    ลองใช้ฟีเจอร์ clipboard ปักหมุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

    https://news.itsfoss.com/kde-plasma-6-5-release/
    🖥️ KDE Plasma 6.5 มาแล้ว! อัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น หลังจากหลายสัปดาห์ของการพัฒนา KDE Plasma 6.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นความลื่นไหล ความสามารถในการปรับแต่ง และการเข้าถึงที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปหรือสาย power user การอัปเดตครั้งนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ตั้งแต่การปรับปรุงหน้าตา UI ไปจนถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น เช่น การสลับธีมอัตโนมัติตามเวลา การปักหมุดข้อความใน clipboard และการค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner ที่ช่วยให้ค้นหาแอปได้แม้พิมพ์ผิด นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบ widget ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น sticky notes ที่ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้ทันที รวมถึงการเพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับผู้ชอบความเรียบง่าย ด้านเสียงก็มีการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การเตือนเมื่อเปิดเสียงสูงสุดนานเกินไป และการ mute ไมโครโฟนแบบรวมทุกตัวในระบบ สำหรับผู้ที่อยากลอง KDE Plasma 6.5 สามารถติดตั้งผ่าน KDE Neon หรือคอมไพล์จากซอร์สได้โดยตรง ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน KDE Plasma 6.5 ➡️ สลับธีมอัตโนมัติตามเวลา ➡️ ปักหมุดข้อความใน clipboard ➡️ ค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner ➡️ รองรับการตั้งค่าปากกาและแท็บเล็ตแบบ rotary dial และ touch ring ➡️ เพิ่ม grayscale filter และปรับปรุง screen reader สำหรับผู้พิการ ✅ การปรับปรุง UI ➡️ หน้าต่าง Breeze มีมุมโค้งทั้ง 4 ด้าน ➡️ หน้า Wi-Fi & Networking แสดงเครือข่ายทันที ➡️ แชร์ Wi-Fi ผ่าน QR code พร้อมรหัสผ่าน ➡️ หน้า Flatpak Permissions เปลี่ยนเป็น Application Permissions ✅ การปรับปรุง widget ➡️ Sticky notes ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้ ➡️ เพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับ widget ➡️ KRunner แสดงผลตั้งแต่พิมพ์ตัวแรก พร้อมเรียงลำดับใหม่ ✅ การปรับปรุงระบบเสียง ➡️ เตือนเมื่อเปิด “Raise maximum volume” นานเกินไป ➡️ ปรับพฤติกรรม mute ไมโครโฟนให้รวมทุกตัว ➡️ ปรับระดับเสียงขณะ mute จะ unmute อัตโนมัติ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้เวอร์ชันเก่า ⛔ หากยังใช้ Plasma 5 อาจไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้ ⛔ การอัปเดตจากซอร์สต้องมีความรู้ด้านการคอมไพล์ ⛔ การเปลี่ยนธีมอัตโนมัติอาจไม่ทำงานหากตั้งค่าผิด ‼️ คำแนะนำเพิ่มเติม ⛔ ใช้ KDE Neon เพื่อทดลอง Plasma 6.5 ได้ง่ายที่สุด ⛔ ตรวจสอบการตั้งค่าธีมและ wallpaper ให้ตรงกับช่วงเวลาที่ต้องการ ⛔ ลองใช้ฟีเจอร์ clipboard ปักหมุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน https://news.itsfoss.com/kde-plasma-6-5-release/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    KDE Plasma 6.5 Released: Let Me Walk You Through What's New
    Rounded corners, auto dark mode, pinned clipboard, and a whole lot more in this update!
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • TerraMaster เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ F2-425 Plus และ F4-425 Plus: แรง เร็ว พร้อม AI ในบ้านคุณ

    TerraMaster ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเครือข่าย (NAS) ได้เปิดตัวสองรุ่นใหม่ล่าสุดคือ F2-425 Plus และ F4-425 Plus ที่มาพร้อมกับขุมพลัง Intel N150 และดีไซน์ hybrid storage ที่ผสาน SSD M.2 กับ HDD ในเครื่องเดียว เหมาะสำหรับทั้งผู้ใช้ตามบ้านและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบสำรองข้อมูลระดับองค์กรและการสตรีมมีเดียที่ลื่นไหล

    ทั้งสองรุ่นใช้โปรเซสเซอร์ Intel N150 แบบ quad-core ความเร็วสูงสุด 3.6 GHz พร้อมพอร์ต 5GbE สองช่องที่ให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงถึง 1010 MB/s และมีสล็อต M.2 ถึง 3 ช่อง รองรับ SSD ขนาดสูงสุด 8 TB ต่อช่อง

    F2-425 Plus มาพร้อมดีไซน์ 3+2 bay (3 M.2 + 2 HDD) และ RAM DDR5 ขนาด 8 GB รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ตามบ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็ก ส่วน F4-425 Plus ขยายขีดความสามารถด้วยดีไซน์ 3+4 bay, RAM 16 GB และรองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุดถึง 144 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ระดับ power user และครีเอเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    ทั้งสองรุ่นใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6 พร้อมฟีเจอร์ AI photo management ที่สามารถจดจำใบหน้า สัตว์เลี้ยง และฉากต่างๆ ได้ รวมถึงระบบสำรองข้อมูล BBS ที่ให้ความปลอดภัยระดับองค์กร

    สเปกหลักของ F2-425 Plus และ F4-425 Plus
    ใช้ Intel N150 quad-core (สูงสุด 3.6 GHz)
    มีพอร์ต 5GbE สองช่อง ความเร็วสูงสุด 1010 MB/s
    มีสล็อต M.2 จำนวน 3 ช่อง รองรับ SSD สูงสุด 8 TB ต่อช่อง

    ความแตกต่างระหว่างสองรุ่น
    F2-425 Plus: 3+2 bay, RAM 8 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB
    F4-425 Plus: 3+4 bay, RAM 16 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 144 TB

    ฟีเจอร์เด่น
    ใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6
    มีระบบ AI photo management สำหรับจดจำใบหน้าและสัตว์เลี้ยง
    ระบบสำรองข้อมูล BBS ระดับองค์กร
    รองรับการถอดเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์แบบ hot-swap
    รองรับการถอดรหัสวิดีโอ 4K และ 8K

    การเชื่อมต่อและพอร์ต
    USB 3.2 Gen 2 จำนวน 2 ช่อง (10 Gbps)
    HDMI 2.0 รองรับ 4K @ 60 Hz
    น้ำหนัก: F2-425 Plus – 2.2 กก. | F4-425 Plus – 2.9 กก.

    โปรโมชั่นเปิดตัว
    ลดราคา 15% ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2025
    รับประกันทั่วโลก 2 ปี พร้อมบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ
    วางจำหน่ายผ่านร้านค้า TerraMaster, Amazon และ AliExpress

    https://news.itsfoss.com/terramaster-f4-425-plus-launch/
    🗄️ TerraMaster เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ F2-425 Plus และ F4-425 Plus: แรง เร็ว พร้อม AI ในบ้านคุณ TerraMaster ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเครือข่าย (NAS) ได้เปิดตัวสองรุ่นใหม่ล่าสุดคือ F2-425 Plus และ F4-425 Plus ที่มาพร้อมกับขุมพลัง Intel N150 และดีไซน์ hybrid storage ที่ผสาน SSD M.2 กับ HDD ในเครื่องเดียว เหมาะสำหรับทั้งผู้ใช้ตามบ้านและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบสำรองข้อมูลระดับองค์กรและการสตรีมมีเดียที่ลื่นไหล ทั้งสองรุ่นใช้โปรเซสเซอร์ Intel N150 แบบ quad-core ความเร็วสูงสุด 3.6 GHz พร้อมพอร์ต 5GbE สองช่องที่ให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงถึง 1010 MB/s และมีสล็อต M.2 ถึง 3 ช่อง รองรับ SSD ขนาดสูงสุด 8 TB ต่อช่อง F2-425 Plus มาพร้อมดีไซน์ 3+2 bay (3 M.2 + 2 HDD) และ RAM DDR5 ขนาด 8 GB รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ตามบ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็ก ส่วน F4-425 Plus ขยายขีดความสามารถด้วยดีไซน์ 3+4 bay, RAM 16 GB และรองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุดถึง 144 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ระดับ power user และครีเอเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ทั้งสองรุ่นใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6 พร้อมฟีเจอร์ AI photo management ที่สามารถจดจำใบหน้า สัตว์เลี้ยง และฉากต่างๆ ได้ รวมถึงระบบสำรองข้อมูล BBS ที่ให้ความปลอดภัยระดับองค์กร ✅ สเปกหลักของ F2-425 Plus และ F4-425 Plus ➡️ ใช้ Intel N150 quad-core (สูงสุด 3.6 GHz) ➡️ มีพอร์ต 5GbE สองช่อง ความเร็วสูงสุด 1010 MB/s ➡️ มีสล็อต M.2 จำนวน 3 ช่อง รองรับ SSD สูงสุด 8 TB ต่อช่อง ✅ ความแตกต่างระหว่างสองรุ่น ➡️ F2-425 Plus: 3+2 bay, RAM 8 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB ➡️ F4-425 Plus: 3+4 bay, RAM 16 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 144 TB ✅ ฟีเจอร์เด่น ➡️ ใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6 ➡️ มีระบบ AI photo management สำหรับจดจำใบหน้าและสัตว์เลี้ยง ➡️ ระบบสำรองข้อมูล BBS ระดับองค์กร ➡️ รองรับการถอดเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์แบบ hot-swap ➡️ รองรับการถอดรหัสวิดีโอ 4K และ 8K ✅ การเชื่อมต่อและพอร์ต ➡️ USB 3.2 Gen 2 จำนวน 2 ช่อง (10 Gbps) ➡️ HDMI 2.0 รองรับ 4K @ 60 Hz ➡️ น้ำหนัก: F2-425 Plus – 2.2 กก. | F4-425 Plus – 2.9 กก. ✅ โปรโมชั่นเปิดตัว ➡️ ลดราคา 15% ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ➡️ รับประกันทั่วโลก 2 ปี พร้อมบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ ➡️ วางจำหน่ายผ่านร้านค้า TerraMaster, Amazon และ AliExpress https://news.itsfoss.com/terramaster-f4-425-plus-launch/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    TerraMaster Launches F2-425 Plus and F4-425 Plus NAS with Intel N150 and Triple M.2 Slots
    New hybrid NAS series brings enterprise-grade backup and media streaming to home users and small businesses.
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • GM ปฏิวัติระบบรถยนต์: ใช้ Gemini แทน CarPlay และ Android Auto ภายในปี 2026

    General Motors (GM) ประกาศแผนการครั้งใหญ่ในการยกเลิกการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ในรถยนต์ทุกประเภท ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน เพื่อเปิดทางให้กับ Gemini — ระบบผู้ช่วย AI จาก Google ที่จะถูกฝังเข้าไปในรถยนต์ของ GM ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป

    Gemini จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในรถยนต์ที่สามารถโต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ เข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อน และเชื่อมโยงกับข้อมูลของรถแบบเรียลไทม์ เช่น การแจ้งเตือนซ่อมบำรุง การวางแผนเส้นทาง หรือแม้แต่การตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ที่กำลังขับผ่าน เช่น “สะพานนี้มีประวัติอย่างไร”

    ระบบใหม่นี้จะถูกอัปเดตผ่าน OTA (Over-the-Air) ผ่าน Google Play Store สำหรับรถยนต์ที่มีระบบ OnStar ตั้งแต่รุ่นปี 2015 ขึ้นไป โดย GM ยืนยันว่าจะให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลส่วนตัวอย่างเต็มที่ หลังจากเคยถูกวิจารณ์เรื่องการแชร์ข้อมูลกับบริษัทประกันภัย

    Gemini ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผู้ช่วยเสียง แต่เป็นก้าวแรกสู่แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ที่ GM พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งจะรองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในอนาคตภายในปี 2028

    การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ GM
    ยกเลิกการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
    แทนที่ด้วย Gemini — ผู้ช่วย AI จาก Google
    เริ่มใช้งานในรถยนต์ทุกประเภทตั้งแต่ปี 2026

    ความสามารถของ Gemini
    โต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ เข้าใจคำสั่งซับซ้อน
    เชื่อมโยงกับข้อมูลรถแบบเรียลไทม์
    ตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่หรือฟังก์ชันของรถ
    แจ้งเตือนซ่อมบำรุงและช่วยวางแผนเส้นทาง

    การอัปเดตและการรองรับ
    อัปเดตผ่าน OTA ผ่าน Google Play Store
    รองรับรถยนต์ที่มี OnStar ตั้งแต่ปี 2015 ขึ้นไป
    ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวได้

    แผนระยะยาวของ GM
    พัฒนาแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ของตนเอง
    เตรียมเปิดตัวระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติภายในปี 2028

    https://securityonline.info/gm-bets-on-ai-gemini-to-replace-carplay-android-auto-in-all-cars-by-2026/
    🚗 GM ปฏิวัติระบบรถยนต์: ใช้ Gemini แทน CarPlay และ Android Auto ภายในปี 2026 General Motors (GM) ประกาศแผนการครั้งใหญ่ในการยกเลิกการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ในรถยนต์ทุกประเภท ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน เพื่อเปิดทางให้กับ Gemini — ระบบผู้ช่วย AI จาก Google ที่จะถูกฝังเข้าไปในรถยนต์ของ GM ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป Gemini จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในรถยนต์ที่สามารถโต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ เข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อน และเชื่อมโยงกับข้อมูลของรถแบบเรียลไทม์ เช่น การแจ้งเตือนซ่อมบำรุง การวางแผนเส้นทาง หรือแม้แต่การตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ที่กำลังขับผ่าน เช่น “สะพานนี้มีประวัติอย่างไร” ระบบใหม่นี้จะถูกอัปเดตผ่าน OTA (Over-the-Air) ผ่าน Google Play Store สำหรับรถยนต์ที่มีระบบ OnStar ตั้งแต่รุ่นปี 2015 ขึ้นไป โดย GM ยืนยันว่าจะให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลส่วนตัวอย่างเต็มที่ หลังจากเคยถูกวิจารณ์เรื่องการแชร์ข้อมูลกับบริษัทประกันภัย Gemini ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผู้ช่วยเสียง แต่เป็นก้าวแรกสู่แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ที่ GM พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งจะรองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในอนาคตภายในปี 2028 ✅ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ GM ➡️ ยกเลิกการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ➡️ แทนที่ด้วย Gemini — ผู้ช่วย AI จาก Google ➡️ เริ่มใช้งานในรถยนต์ทุกประเภทตั้งแต่ปี 2026 ✅ ความสามารถของ Gemini ➡️ โต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ เข้าใจคำสั่งซับซ้อน ➡️ เชื่อมโยงกับข้อมูลรถแบบเรียลไทม์ ➡️ ตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่หรือฟังก์ชันของรถ ➡️ แจ้งเตือนซ่อมบำรุงและช่วยวางแผนเส้นทาง ✅ การอัปเดตและการรองรับ ➡️ อัปเดตผ่าน OTA ผ่าน Google Play Store ➡️ รองรับรถยนต์ที่มี OnStar ตั้งแต่ปี 2015 ขึ้นไป ➡️ ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวได้ ✅ แผนระยะยาวของ GM ➡️ พัฒนาแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ของตนเอง ➡️ เตรียมเปิดตัวระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติภายในปี 2028 https://securityonline.info/gm-bets-on-ai-gemini-to-replace-carplay-android-auto-in-all-cars-by-2026/
    SECURITYONLINE.INFO
    GM Bets on AI: Gemini to Replace CarPlay/Android Auto in All Cars by 2026
    GM is integrating Google Gemini into all vehicles by 2026, creating a natural-language AI assistant and phasing out both Apple CarPlay and Android Auto.
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • “Intel Nova Lake เตรียมใช้ NPU รุ่นที่ 6 – หลุดจาก patch Linux เผยพลัง AI ที่เหนือกว่าเดิม!”

    Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Nova Lake ที่จะมาพร้อมกับ NPU รุ่นที่ 6 (NPU6) ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผล AI ที่ล้ำหน้ากว่ารุ่นก่อนหน้า โดยข้อมูลนี้หลุดออกมาจาก patch ล่าสุดของ Linux kernel ที่เพิ่มการรองรับอุปกรณ์ใหม่ของ Intel

    ใน patch ดังกล่าวมีการเพิ่ม PCI Device ID สำหรับ NPU6 และ firmware ใหม่ชื่อว่า pu_60xx_v1.bin ซึ่งบ่งบอกว่า Intel กำลังเตรียมเปิดตัวชิปที่มีความสามารถด้าน AI สูงขึ้นอย่างชัดเจน

    ก่อนหน้านี้ Lunar Lake ใช้ NPU4 ส่วน Panther Lake ที่จะเปิดตัวก่อน Nova Lake จะใช้ NPU5 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงถึง 50 AI TOPS ดังนั้น Nova Lake ที่ใช้ NPU6 น่าจะมีพลัง AI ที่สูงกว่านี้อีก และอาจรองรับมาตรฐาน Copilot+ PC ได้แบบเต็มตัว

    แม้ว่า adoption rate ของ AI PC ยังไม่สูงมาก แต่ Intel ก็ยังเดินหน้าพัฒนา NPU รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ใช้ NPU รุ่นเดิมซ้ำในหลายเจนเรชัน ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันความสามารถด้าน AI ให้เป็นจุดขายหลักของซีพียูรุ่นใหม่

    การเปลี่ยนแปลงใน Nova Lake
    ใช้ NPU6 แทน NPU5 ที่ใช้ใน Panther Lake
    หลุดจาก patch Linux kernel ที่เพิ่ม PCI Device ID ใหม่
    มี firmware ใหม่ชื่อ pu_60xx_v1.bin
    ใช้ code path เดิมของ NPU5 แต่รองรับ hardware ใหม่

    ความสามารถด้าน AI ที่เพิ่มขึ้น
    NPU5 มีประสิทธิภาพสูงถึง 50 AI TOPS
    NPU6 คาดว่าจะสูงกว่านี้เพื่อรองรับ Copilot+ PC
    Intel ไม่ใช้ NPU รุ่นเดิมซ้ำในหลายเจนเรชัน
    Nova Lake น่าจะมีความสามารถ AI ที่เหนือกว่า Lunar Lake และ Panther Lake

    ความเคลื่อนไหวของ Intel
    เพิ่มราคาชิป Raptor Lake เพราะความต้องการสูง
    แม้ AI PC ยังไม่แพร่หลาย แต่ Intel ยังลงทุนต่อเนื่อง
    Patch Linux บ่งชี้ว่า Nova Lake จะเปิดตัวในปีหน้า
    การพัฒนา NPU เป็นกลยุทธ์หลักของ Intel ในยุค AI

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก Intel เกี่ยวกับสเปกของ NPU6
    การใช้ code path เดิมอาจทำให้ firmware ยังไม่สมบูรณ์
    หาก adoption rate ของ AI PC ไม่เพิ่ม อาจกระทบยอดขาย
    การเปลี่ยน NPU ทุกเจนเรชันอาจเพิ่มต้นทุนและความซับซ้อน
    ต้องรอการทดสอบจริงเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของ NPU6


    https://wccftech.com/intel-nova-lake-to-boast-6th-gen-npu-as-per-early-linux-kernel-patch/
    🧠 “Intel Nova Lake เตรียมใช้ NPU รุ่นที่ 6 – หลุดจาก patch Linux เผยพลัง AI ที่เหนือกว่าเดิม!” Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Nova Lake ที่จะมาพร้อมกับ NPU รุ่นที่ 6 (NPU6) ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผล AI ที่ล้ำหน้ากว่ารุ่นก่อนหน้า โดยข้อมูลนี้หลุดออกมาจาก patch ล่าสุดของ Linux kernel ที่เพิ่มการรองรับอุปกรณ์ใหม่ของ Intel ใน patch ดังกล่าวมีการเพิ่ม PCI Device ID สำหรับ NPU6 และ firmware ใหม่ชื่อว่า pu_60xx_v1.bin ซึ่งบ่งบอกว่า Intel กำลังเตรียมเปิดตัวชิปที่มีความสามารถด้าน AI สูงขึ้นอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ Lunar Lake ใช้ NPU4 ส่วน Panther Lake ที่จะเปิดตัวก่อน Nova Lake จะใช้ NPU5 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงถึง 50 AI TOPS ดังนั้น Nova Lake ที่ใช้ NPU6 น่าจะมีพลัง AI ที่สูงกว่านี้อีก และอาจรองรับมาตรฐาน Copilot+ PC ได้แบบเต็มตัว แม้ว่า adoption rate ของ AI PC ยังไม่สูงมาก แต่ Intel ก็ยังเดินหน้าพัฒนา NPU รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ใช้ NPU รุ่นเดิมซ้ำในหลายเจนเรชัน ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันความสามารถด้าน AI ให้เป็นจุดขายหลักของซีพียูรุ่นใหม่ ✅ การเปลี่ยนแปลงใน Nova Lake ➡️ ใช้ NPU6 แทน NPU5 ที่ใช้ใน Panther Lake ➡️ หลุดจาก patch Linux kernel ที่เพิ่ม PCI Device ID ใหม่ ➡️ มี firmware ใหม่ชื่อ pu_60xx_v1.bin ➡️ ใช้ code path เดิมของ NPU5 แต่รองรับ hardware ใหม่ ✅ ความสามารถด้าน AI ที่เพิ่มขึ้น ➡️ NPU5 มีประสิทธิภาพสูงถึง 50 AI TOPS ➡️ NPU6 คาดว่าจะสูงกว่านี้เพื่อรองรับ Copilot+ PC ➡️ Intel ไม่ใช้ NPU รุ่นเดิมซ้ำในหลายเจนเรชัน ➡️ Nova Lake น่าจะมีความสามารถ AI ที่เหนือกว่า Lunar Lake และ Panther Lake ✅ ความเคลื่อนไหวของ Intel ➡️ เพิ่มราคาชิป Raptor Lake เพราะความต้องการสูง ➡️ แม้ AI PC ยังไม่แพร่หลาย แต่ Intel ยังลงทุนต่อเนื่อง ➡️ Patch Linux บ่งชี้ว่า Nova Lake จะเปิดตัวในปีหน้า ➡️ การพัฒนา NPU เป็นกลยุทธ์หลักของ Intel ในยุค AI ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก Intel เกี่ยวกับสเปกของ NPU6 ⛔ การใช้ code path เดิมอาจทำให้ firmware ยังไม่สมบูรณ์ ⛔ หาก adoption rate ของ AI PC ไม่เพิ่ม อาจกระทบยอดขาย ⛔ การเปลี่ยน NPU ทุกเจนเรชันอาจเพิ่มต้นทุนและความซับซ้อน ⛔ ต้องรอการทดสอบจริงเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของ NPU6 https://wccftech.com/intel-nova-lake-to-boast-6th-gen-npu-as-per-early-linux-kernel-patch/
    WCCFTECH.COM
    Intel Nova Lake To Boast 6th Gen NPU As Per Early Linux Kernel Patch
    The latest Linux Kernel Patch revealed that Intel will be using NPU6 on Nova Lake processors and won't retain NPU5 from Panther Lake.
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • “Airbus–Thales–Leonardo รวมพลังสร้างแชมป์ดาวเทียมยุโรป – แม้ประกาศล่าช้า แต่ดีลยังเดินหน้าเต็มสูบ”

    ยุโรปกำลังรวมพลังเพื่อท้าชน Starlink ของ Elon Musk ด้วยการควบรวมกิจการด้านการผลิตดาวเทียมระหว่างสามยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอวกาศ ได้แก่ Airbus, Thales, และ Leonardo โดยมีชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo

    แม้การประกาศอย่างเป็นทางการจะล่าช้าไป 1–2 วัน เพราะทีมกฎหมายยังตรวจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ แต่แหล่งข่าวยืนยันว่า แผนควบรวมยังคงอยู่ครบ และไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ

    เป้าหมายของดีลนี้คือการรวมสินทรัพย์ด้านดาวเทียมของทั้งสามบริษัทเข้าไว้ในบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายจะถือหุ้นประมาณหนึ่งในสาม หลังจากมีการปรับสมดุลด้วยการชำระเงินระหว่างกัน ซึ่งโครงสร้างใหม่นี้จะใช้เวลาราว สองปี กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ เพราะต้องผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ยุโรปกลายเป็นผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin โดยครองส่วนแบ่งตลาดถึงหนึ่งในสาม — แต่ก็ต้องยอมรับว่า ตลาด geostationary กำลังหดตัว เพราะการเติบโตของดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เช่น Starlink

    แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยเรื่องการแต่งตั้ง CEO, CFO และประธานบริษัท ซึ่งเคยเป็นปัญหาในดีลยุโรปก่อนหน้านี้ แต่แหล่งข่าวระบุว่าทั้งสามฝ่ายมีความตั้งใจร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพราะต่างก็เผชิญกับ การขาดทุนและส่วนแบ่งตลาดที่ลดลง

    รายละเอียดของการควบรวม
    Airbus, Thales และ Leonardo รวมกิจการด้านดาวเทียม
    ใช้ชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo
    สร้างบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายถือหุ้นประมาณ 1/3
    ใช้เวลาราว 2 ปีในการจัดโครงสร้างและขออนุมัติ

    เป้าหมายของดีล
    สร้างผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุด
    ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1/3
    แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin
    เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับ Starlink และ SpaceX

    ความท้าทายและความล่าช้า
    การประกาศดีลล่าช้าเพราะตรวจรายละเอียดทางกฎหมาย
    ยังไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ
    ความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารยังต้องตกลงกัน
    เคยมีดีลล้มเพราะติด EU antitrust มาก่อน

    สภาพตลาดดาวเทียม
    ตลาด geostationary กำลังหดตัว
    ดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เติบโตเร็ว
    Starlink เป็นผู้นำในตลาด LEO broadband
    ผู้เล่นยุโรปต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/europe-satellite-merger-intact-as-announcement-slips-sources-say
    🛰️ “Airbus–Thales–Leonardo รวมพลังสร้างแชมป์ดาวเทียมยุโรป – แม้ประกาศล่าช้า แต่ดีลยังเดินหน้าเต็มสูบ” ยุโรปกำลังรวมพลังเพื่อท้าชน Starlink ของ Elon Musk ด้วยการควบรวมกิจการด้านการผลิตดาวเทียมระหว่างสามยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอวกาศ ได้แก่ Airbus, Thales, และ Leonardo โดยมีชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo แม้การประกาศอย่างเป็นทางการจะล่าช้าไป 1–2 วัน เพราะทีมกฎหมายยังตรวจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ แต่แหล่งข่าวยืนยันว่า แผนควบรวมยังคงอยู่ครบ และไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ เป้าหมายของดีลนี้คือการรวมสินทรัพย์ด้านดาวเทียมของทั้งสามบริษัทเข้าไว้ในบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายจะถือหุ้นประมาณหนึ่งในสาม หลังจากมีการปรับสมดุลด้วยการชำระเงินระหว่างกัน ซึ่งโครงสร้างใหม่นี้จะใช้เวลาราว สองปี กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ เพราะต้องผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ยุโรปกลายเป็นผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin โดยครองส่วนแบ่งตลาดถึงหนึ่งในสาม — แต่ก็ต้องยอมรับว่า ตลาด geostationary กำลังหดตัว เพราะการเติบโตของดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เช่น Starlink แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยเรื่องการแต่งตั้ง CEO, CFO และประธานบริษัท ซึ่งเคยเป็นปัญหาในดีลยุโรปก่อนหน้านี้ แต่แหล่งข่าวระบุว่าทั้งสามฝ่ายมีความตั้งใจร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพราะต่างก็เผชิญกับ การขาดทุนและส่วนแบ่งตลาดที่ลดลง ✅ รายละเอียดของการควบรวม ➡️ Airbus, Thales และ Leonardo รวมกิจการด้านดาวเทียม ➡️ ใช้ชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo ➡️ สร้างบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายถือหุ้นประมาณ 1/3 ➡️ ใช้เวลาราว 2 ปีในการจัดโครงสร้างและขออนุมัติ ✅ เป้าหมายของดีล ➡️ สร้างผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุด ➡️ ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1/3 ➡️ แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin ➡️ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับ Starlink และ SpaceX ✅ ความท้าทายและความล่าช้า ➡️ การประกาศดีลล่าช้าเพราะตรวจรายละเอียดทางกฎหมาย ➡️ ยังไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ ➡️ ความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารยังต้องตกลงกัน ➡️ เคยมีดีลล้มเพราะติด EU antitrust มาก่อน ✅ สภาพตลาดดาวเทียม ➡️ ตลาด geostationary กำลังหดตัว ➡️ ดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เติบโตเร็ว ➡️ Starlink เป็นผู้นำในตลาด LEO broadband ➡️ ผู้เล่นยุโรปต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/europe-satellite-merger-intact-as-announcement-slips-sources-say
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Europe satellite merger intact as announcement slips, sources say
    PARIS/ROME (Reuters) -Europe's aerospace giants kept investors waiting an extra day for details of a new space champion on Wednesday as lawyers and advisers pored over the smallprint, but merger plans remained intact, people familiar with the talks said.
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • “9 เครื่องมือจัดการ Attack Surface ที่องค์กรควรรู้ – ป้องกันภัยไซเบอร์ก่อนถูกเจาะ!”

    ในยุคที่ระบบ IT เชื่อมต่อกับโลกภายนอกตลอดเวลา การรู้ว่า “อะไรเปิดเผยอยู่บ้าง” คือกุญแจสำคัญในการป้องกันการโจมตี เครื่องมือประเภท CAASM (Cyber Asset Attack Surface Management) และ EASM (External Attack Surface Management) จึงกลายเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร

    บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 9 เครื่องมือเด่นที่ช่วยค้นหาและจัดการช่องโหว่ในระบบขององค์กร โดยแต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน เช่น การมองจากมุมของแฮกเกอร์, การเชื่อมต่อกับระบบภายใน, หรือการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงธุรกิจ

    เป้าหมายของเครื่องมือเหล่านี้คือการลด “ข้อมูลที่แฮกเกอร์มองเห็น” ให้เหลือน้อยที่สุด โดยยังคงให้บริการธุรกิจได้ตามปกติ และสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ เช่น การเพิ่ม asset ใหม่ หรือการเปลี่ยน config ที่อาจเกิดจาก human error หรือการโจมตี

    ความเข้าใจพื้นฐานของ Attack Surface
    หมายถึงทรัพยากรทั้งหมดที่เข้าถึงได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, domain, application
    รวมถึง open ports, SSL, server platform และ protocol ที่ใช้งาน
    ช่องโหว่เกิดจาก config ผิดพลาดหรือ software ที่ยังไม่ได้ patch
    แม้ asset จะอยู่ใน data center ก็ยังเสี่ยง หากไม่มีการ monitor ที่ดี

    ความสามารถของเครื่องมือ CAASM/EASM
    ตรวจจับ asset ใหม่และ config drift แบบเรียลไทม์
    วิเคราะห์ความเสี่ยงจากทั้งมุมเทคนิคและมุมธุรกิจ
    เชื่อมต่อกับระบบภายใน เช่น Jira, ServiceNow, Slack
    บางตัวสามารถทำ remediation อัตโนมัติหรือผ่าน playbook

    เครื่องมือเด่นที่แนะนำ
    Axonius – เน้น asset inventory และ policy compliance เช่น PCI/HIPAA
    CrowdStrike Falcon Surface – มองจากมุมแฮกเกอร์ พร้อม remediation ผ่าน integration
    CyCognito – วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง asset และจัดลำดับความเสี่ยง
    Informer – ค้นหา asset บน web/API พร้อม pen testing เสริม
    JupiterOne – แสดง asset แบบ visual map พร้อม query ขั้นสูง
    Microsoft Defender EASM – ค้นหา shadow IT และ probe ทุก layer ของ tech stack
    Rapid7 InsightVM – มีสิทธิ์ออก CVE ใหม่ พร้อม dashboard วิเคราะห์แบบเจาะลึก
    SOCRadar AttackMapper – ตรวจ SSL, DNS, defacement และ correlate กับวิธีโจมตี
    Tenable.asm – วิเคราะห์ asset ด้วย metadata กว่า 200 field พร้อม context เชิงธุรกิจ

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    การ scan แบบ periodic ไม่เพียงพอ ต้องใช้ monitoring แบบต่อเนื่อง
    การไม่จัดการ config drift อาจเปิดช่องให้โจมตีโดยไม่รู้ตัว
    หากไม่เชื่อมโยง asset กับ context ธุรกิจ อาจจัดลำดับความเสี่ยงผิด
    การใช้หลายเครื่องมือโดยไม่มีการบูรณาการ อาจทำให้ข้อมูลกระจัดกระจาย
    การไม่ฝึกซ้อม incident response ทำให้ 57% ของเหตุการณ์จริงไม่เคยถูกจำลองมาก่อน

    https://www.csoonline.com/article/574797/9-attack-surface-discovery-and-management-tools.html
    🛡️ “9 เครื่องมือจัดการ Attack Surface ที่องค์กรควรรู้ – ป้องกันภัยไซเบอร์ก่อนถูกเจาะ!” ในยุคที่ระบบ IT เชื่อมต่อกับโลกภายนอกตลอดเวลา การรู้ว่า “อะไรเปิดเผยอยู่บ้าง” คือกุญแจสำคัญในการป้องกันการโจมตี เครื่องมือประเภท CAASM (Cyber Asset Attack Surface Management) และ EASM (External Attack Surface Management) จึงกลายเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 9 เครื่องมือเด่นที่ช่วยค้นหาและจัดการช่องโหว่ในระบบขององค์กร โดยแต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน เช่น การมองจากมุมของแฮกเกอร์, การเชื่อมต่อกับระบบภายใน, หรือการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงธุรกิจ เป้าหมายของเครื่องมือเหล่านี้คือการลด “ข้อมูลที่แฮกเกอร์มองเห็น” ให้เหลือน้อยที่สุด โดยยังคงให้บริการธุรกิจได้ตามปกติ และสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ เช่น การเพิ่ม asset ใหม่ หรือการเปลี่ยน config ที่อาจเกิดจาก human error หรือการโจมตี ✅ ความเข้าใจพื้นฐานของ Attack Surface ➡️ หมายถึงทรัพยากรทั้งหมดที่เข้าถึงได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, domain, application ➡️ รวมถึง open ports, SSL, server platform และ protocol ที่ใช้งาน ➡️ ช่องโหว่เกิดจาก config ผิดพลาดหรือ software ที่ยังไม่ได้ patch ➡️ แม้ asset จะอยู่ใน data center ก็ยังเสี่ยง หากไม่มีการ monitor ที่ดี ✅ ความสามารถของเครื่องมือ CAASM/EASM ➡️ ตรวจจับ asset ใหม่และ config drift แบบเรียลไทม์ ➡️ วิเคราะห์ความเสี่ยงจากทั้งมุมเทคนิคและมุมธุรกิจ ➡️ เชื่อมต่อกับระบบภายใน เช่น Jira, ServiceNow, Slack ➡️ บางตัวสามารถทำ remediation อัตโนมัติหรือผ่าน playbook ✅ เครื่องมือเด่นที่แนะนำ ➡️ Axonius – เน้น asset inventory และ policy compliance เช่น PCI/HIPAA ➡️ CrowdStrike Falcon Surface – มองจากมุมแฮกเกอร์ พร้อม remediation ผ่าน integration ➡️ CyCognito – วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง asset และจัดลำดับความเสี่ยง ➡️ Informer – ค้นหา asset บน web/API พร้อม pen testing เสริม ➡️ JupiterOne – แสดง asset แบบ visual map พร้อม query ขั้นสูง ➡️ Microsoft Defender EASM – ค้นหา shadow IT และ probe ทุก layer ของ tech stack ➡️ Rapid7 InsightVM – มีสิทธิ์ออก CVE ใหม่ พร้อม dashboard วิเคราะห์แบบเจาะลึก ➡️ SOCRadar AttackMapper – ตรวจ SSL, DNS, defacement และ correlate กับวิธีโจมตี ➡️ Tenable.asm – วิเคราะห์ asset ด้วย metadata กว่า 200 field พร้อม context เชิงธุรกิจ ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ การ scan แบบ periodic ไม่เพียงพอ ต้องใช้ monitoring แบบต่อเนื่อง ⛔ การไม่จัดการ config drift อาจเปิดช่องให้โจมตีโดยไม่รู้ตัว ⛔ หากไม่เชื่อมโยง asset กับ context ธุรกิจ อาจจัดลำดับความเสี่ยงผิด ⛔ การใช้หลายเครื่องมือโดยไม่มีการบูรณาการ อาจทำให้ข้อมูลกระจัดกระจาย ⛔ การไม่ฝึกซ้อม incident response ทำให้ 57% ของเหตุการณ์จริงไม่เคยถูกจำลองมาก่อน https://www.csoonline.com/article/574797/9-attack-surface-discovery-and-management-tools.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CAASM and EASM: Top 12 attack surface discovery and management tools
    The main goal of cyber asset attack surface management (CAASM) and external attack surface management (EASM) tools is to protect information about a company’s security measures from attackers. Here are 9 tools to consider when deciding what is best for the business.
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • เปิดตำราสายดาร์ก ถอดรหัส 'คำสาป ๗ ประการ' เสมือนถูกร่ายขึ้นมาพันธนาการนักเขียนมือใหม่ ลองดูสิว่า ... คุณกำลังติดอยู่ในคำสาปข้อไหน?
    ---------

    คำสาปที่ ๑. ความกลัวว่าจะเขียนได้ไม่ดีพอ (Imposter Syndrome)

    อาการทางจิตวิทยา: นี่คือความกลัวที่พบบ่อยที่สุด นักเขียนมือใหม่มักจะเปรียบเทียบผลงานร่างแรกที่ยังไม่สมบูรณ์ของตัวเองกับผลงานที่ตีพิมพ์และขัดเกลามาอย่างดีของนักเขียนมืออาชีพ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็น "ตัวปลอม" ไม่เก่งจริง และความสามารถยังไม่ถึงขั้น ความคิดนี้บั่นทอนความมั่นใจและอาจทำให้หยุดเขียนไปกลางคัน
    ---------

    คำสาปที่ ๒. ความกลัวคำวิจารณ์ (Fear of Criticism)

    อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนเป็นสิ่งที่ออกมาจากความคิดและจิตใจของผู้เขียนโดยตรง การถูกวิจารณ์งานเขียนจึงให้ความรู้สึกเหมือนถูกวิจารณ์ตัวตนของตัวเองไปด้วย ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ถูกหัวเราะเยาะ หรือถูกมองว่าไม่มีความสามารถ ทำให้นักเขียนจำนวนมากไม่กล้าแบ่งปันผลงานให้ใครอ่าน และเก็บมันไว้กับตัวเอง
    ---------

    คำสาปที่ ๓. ความกลัวหน้ากระดาษเปล่า (Fear of the Blank Page)

    อาการทางจิตวิทยา: การเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าที่ต้องเติมเต็มให้ได้นั้นสร้างแรงกดดันมหาศาล มันคือความกลัวที่จะเริ่มต้นไม่ได้ กลัวว่าจะเขียนประโยคแรกได้ไม่ดีพอ หรือกลัวว่าความคิดจะตีบตัน ความคาดหวังที่จะต้องเขียนให้ "สมบูรณ์แบบ" ตั้งแต่แรกเป็นอัมพาตทางความคิดที่ทำให้นักเขียนไม่กล้าลงมือ
    ---------

    คำสาปที่ ๔. ความกลัวว่าไอเดียของเราไม่น่าสนใจหรือไม่ใช่เรื่องใหม่ (Fear of Unoriginality)

    อาการทางจิตวิทยา: ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและข้อมูลข่าวสาร นักเขียนมือใหม่มักจะกังวลว่าพล็อตหรือแนวคิดของตัวเองนั้นซ้ำกับคนอื่น หรือไม่น่าสนใจพอที่จะดึงดูดผู้อ่านได้ ความกลัวนี้เกิดจากการขาดความเชื่อมั่นในมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และมักจะจบลงด้วยการล้มเลิกความคิดไปก่อนที่จะได้พัฒนาต่อ
    ---------

    คำสาปที่ ๕. ความกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure)

    อาการทางจิตวิทยา: ความกลัวนี้มีหลายมิติ เช่น กลัวว่าจะเขียนไม่จบ, กลัวว่าจะไม่มีใครอ่าน, กลัวว่าจะไม่ได้รับการตีพิมพ์ การลงทุนลงแรงและเวลาไปกับบางสิ่งที่ไม่รับประกันผลตอบแทนเป็นเรื่องที่น่ากลัว ความคิดที่ว่า "ถ้ามันล้มเหลวขึ้นมา เวลาที่เสียไปจะสูญเปล่า" เป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นการลงมือทำ
    ---------

    คำสาปที่ ๖. ความกลัวการเปิดเผยตัวตน (Fear of Vulnerability)

    อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนที่ดีมักจะสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ หรือประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน การนำสิ่งเหล่านี้ออกมาสู่สาธารณะเปรียบเสมือนการเปลือยเปล่าทางความคิดและอารมณ์ นักเขียนอาจกลัวว่าผู้อื่นจะตัดสินตัวตนของพวกเขาผ่านงานเขียนนั้นๆ ทำให้ไม่กล้าที่จะเขียนอย่างตรงไปตรงมาและลึกซึ้ง
    ---------

    คำสาปที่ ๗. ความกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าที่จินตนาการไว้ (Fear of Imperfection)

    อาการทางจิตวิทยา: นักเขียนมักจะมีภาพเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบและยิ่งใหญ่อยู่ในหัว แต่เมื่อเริ่มถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร กลับพบว่ามันไม่ดีเท่าที่คิดไว้ ช่องว่างระหว่าง "จินตนาการ" กับ "ความเป็นจริงบนหน้ากระดาษ" นี้สร้างความผิดหวังและท้อแท้ ทำให้นักเขียนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เรื่องราวในหัวกลายเป็นจริงได้
    ---------

    ถ้าอ่านมาถึงประโยคนี้ คุณน่าจะเริ่มจะหาทางทำลายคำสาปได้แล้ว ... คาถาทรงพลังที่สุดเพียงบทเดียว นั่นคือ 'การลงมือเขียน'

    ถึงเวลาสารภาพ กระซิบมาหน่อยสิคะว่า 'คำสาป' ข้อไหนที่พันธนาการคุณไว้แน่นที่สุด? บางทีการเผยความลับ อาจเป็นก้าวแรกของการถอนคำสาปก็ได้

    #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #จิตวิทยา #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน
    เปิดตำราสายดาร์ก ถอดรหัส 'คำสาป ๗ ประการ' เสมือนถูกร่ายขึ้นมาพันธนาการนักเขียนมือใหม่ ลองดูสิว่า ... คุณกำลังติดอยู่ในคำสาปข้อไหน? --------- ♦️คำสาปที่ ๑. ความกลัวว่าจะเขียนได้ไม่ดีพอ (Imposter Syndrome)♦️ อาการทางจิตวิทยา: นี่คือความกลัวที่พบบ่อยที่สุด นักเขียนมือใหม่มักจะเปรียบเทียบผลงานร่างแรกที่ยังไม่สมบูรณ์ของตัวเองกับผลงานที่ตีพิมพ์และขัดเกลามาอย่างดีของนักเขียนมืออาชีพ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็น "ตัวปลอม" ไม่เก่งจริง และความสามารถยังไม่ถึงขั้น ความคิดนี้บั่นทอนความมั่นใจและอาจทำให้หยุดเขียนไปกลางคัน --------- ♦️คำสาปที่ ๒. ความกลัวคำวิจารณ์ (Fear of Criticism)♦️ อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนเป็นสิ่งที่ออกมาจากความคิดและจิตใจของผู้เขียนโดยตรง การถูกวิจารณ์งานเขียนจึงให้ความรู้สึกเหมือนถูกวิจารณ์ตัวตนของตัวเองไปด้วย ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ถูกหัวเราะเยาะ หรือถูกมองว่าไม่มีความสามารถ ทำให้นักเขียนจำนวนมากไม่กล้าแบ่งปันผลงานให้ใครอ่าน และเก็บมันไว้กับตัวเอง --------- ♦️คำสาปที่ ๓. ความกลัวหน้ากระดาษเปล่า (Fear of the Blank Page)♦️ อาการทางจิตวิทยา: การเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าที่ต้องเติมเต็มให้ได้นั้นสร้างแรงกดดันมหาศาล มันคือความกลัวที่จะเริ่มต้นไม่ได้ กลัวว่าจะเขียนประโยคแรกได้ไม่ดีพอ หรือกลัวว่าความคิดจะตีบตัน ความคาดหวังที่จะต้องเขียนให้ "สมบูรณ์แบบ" ตั้งแต่แรกเป็นอัมพาตทางความคิดที่ทำให้นักเขียนไม่กล้าลงมือ --------- ♦️คำสาปที่ ๔. ความกลัวว่าไอเดียของเราไม่น่าสนใจหรือไม่ใช่เรื่องใหม่ (Fear of Unoriginality) ♦️ อาการทางจิตวิทยา: ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและข้อมูลข่าวสาร นักเขียนมือใหม่มักจะกังวลว่าพล็อตหรือแนวคิดของตัวเองนั้นซ้ำกับคนอื่น หรือไม่น่าสนใจพอที่จะดึงดูดผู้อ่านได้ ความกลัวนี้เกิดจากการขาดความเชื่อมั่นในมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และมักจะจบลงด้วยการล้มเลิกความคิดไปก่อนที่จะได้พัฒนาต่อ --------- ♦️คำสาปที่ ๕. ความกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure)♦️ อาการทางจิตวิทยา: ความกลัวนี้มีหลายมิติ เช่น กลัวว่าจะเขียนไม่จบ, กลัวว่าจะไม่มีใครอ่าน, กลัวว่าจะไม่ได้รับการตีพิมพ์ การลงทุนลงแรงและเวลาไปกับบางสิ่งที่ไม่รับประกันผลตอบแทนเป็นเรื่องที่น่ากลัว ความคิดที่ว่า "ถ้ามันล้มเหลวขึ้นมา เวลาที่เสียไปจะสูญเปล่า" เป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นการลงมือทำ --------- ♦️คำสาปที่ ๖. ความกลัวการเปิดเผยตัวตน (Fear of Vulnerability)♦️ อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนที่ดีมักจะสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ หรือประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน การนำสิ่งเหล่านี้ออกมาสู่สาธารณะเปรียบเสมือนการเปลือยเปล่าทางความคิดและอารมณ์ นักเขียนอาจกลัวว่าผู้อื่นจะตัดสินตัวตนของพวกเขาผ่านงานเขียนนั้นๆ ทำให้ไม่กล้าที่จะเขียนอย่างตรงไปตรงมาและลึกซึ้ง --------- ♦️คำสาปที่ ๗. ความกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าที่จินตนาการไว้ (Fear of Imperfection)♦️ อาการทางจิตวิทยา: นักเขียนมักจะมีภาพเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบและยิ่งใหญ่อยู่ในหัว แต่เมื่อเริ่มถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร กลับพบว่ามันไม่ดีเท่าที่คิดไว้ ช่องว่างระหว่าง "จินตนาการ" กับ "ความเป็นจริงบนหน้ากระดาษ" นี้สร้างความผิดหวังและท้อแท้ ทำให้นักเขียนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เรื่องราวในหัวกลายเป็นจริงได้ --------- ถ้าอ่านมาถึงประโยคนี้ คุณน่าจะเริ่มจะหาทางทำลายคำสาปได้แล้ว ... คาถาทรงพลังที่สุดเพียงบทเดียว นั่นคือ 'การลงมือเขียน' ถึงเวลาสารภาพ กระซิบมาหน่อยสิคะว่า 'คำสาป' ข้อไหนที่พันธนาการคุณไว้แน่นที่สุด? บางทีการเผยความลับ อาจเป็นก้าวแรกของการถอนคำสาปก็ได้ ❤️ #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #จิตวิทยา #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • “Qwen3-VL จาก Ollama – โมเดล Vision Language ที่ทรงพลังที่สุด พร้อมควบคุมคอมพิวเตอร์ได้แบบอัตโนมัติ!”

    ลองจินตนาการว่าเราชี้กล้องมือถือไปที่ใบไม้ แล้วถามว่า “พิษกับหมาไหม?” หรือเปิดไฟล์ตารางบนคอมแล้วสั่ง AI ให้แปลงเป็นกราฟ — ทั้งหมดนี้ Qwen3-VL ทำได้แล้ว!

    นี่คือโมเดล Vision Language รุ่นใหม่จาก Alibaba ที่เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama โดยมีชื่อเต็มว่า Qwen3-VL-235B-A22B จุดเด่นคือความสามารถในการเข้าใจภาพและวิดีโออย่างลึกซึ้ง แล้วแปลงเป็นโค้ด HTML, CSS หรือ JavaScript ได้ทันที

    มันรองรับ input สูงถึง 1 ล้าน token ซึ่งหมายถึงสามารถประมวลผลวิดีโอความยาว 2 ชั่วโมง หรือเอกสารหลายร้อยหน้าได้ในคราวเดียว และยังเข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูลเชิง 3D ได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ

    ด้าน OCR ก็ไม่ธรรมดา รองรับถึง 32 ภาษา และสามารถอ่านจากภาพที่เบลอ, มืด, หรือเอียงได้อย่างแม่นยำ

    แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือความสามารถแบบ “agentic” — Qwen3-VL สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ เช่น สั่งจองตั๋วบน Ticketmaster โดยเปิดเบราว์เซอร์, กรอกข้อมูล, เลือกที่นั่ง และกดยืนยัน โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเองเลย

    แม้จะยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอก ZIP code ผิด แต่ความเร็วในการทำงานนั้นเหนือกว่าหลายโมเดลที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน เช่น GPT-5, Claude หรือ Gemini

    ที่สำคัญคือ Qwen3-VL เปิดให้ใช้งานแบบ โอเพ่นซอร์ส ต่างจากคู่แข่งที่ต้องจ่ายเงิน ทำให้ชุมชนสามารถนำไปปรับแต่งและใช้งานได้อย่างอิสระ

    ความสามารถหลักของ Qwen3-VL
    แปลงภาพ/วิดีโอเป็นโค้ด HTML, CSS, JavaScript
    รองรับ input สูงสุด 1 ล้าน token
    เข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูล 3D
    OCR รองรับ 32 ภาษา แม้ภาพเบลอหรือเอียง

    ความสามารถแบบ agentic
    ควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ
    สั่งจองตั๋ว, โพสต์ Reddit, เขียนข้อความ, สั่งซื้อสินค้า
    ทำงานแบบ end-to-end โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเอง
    ความเร็วในการทำงานโดดเด่นกว่าคู่แข่ง

    จุดเด่นด้านการเปิดใช้งาน
    เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama
    เป็นโอเพ่นซอร์ส – นักพัฒนาสามารถปรับแต่งได้
    ไม่ต้องจ่ายเงินเหมือน GPT-5 หรือ Claude
    ได้คะแนนสูงใน benchmark เช่น OS World

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    ยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอกข้อมูลผิด
    การควบคุมอัตโนมัติต้องมีระบบตรวจสอบความถูกต้อง
    การเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อ misuse หากไม่มีการกำกับ
    ความสามารถสูงอาจนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่นการแพทย์หรือการเงิน ซึ่งต้องทดสอบก่อนใช้งานจริง

    https://www.slashgear.com/2004206/ollama-qwen3-vl-how-powerful-vision-language-model-works/
    👁️🧠 “Qwen3-VL จาก Ollama – โมเดล Vision Language ที่ทรงพลังที่สุด พร้อมควบคุมคอมพิวเตอร์ได้แบบอัตโนมัติ!” ลองจินตนาการว่าเราชี้กล้องมือถือไปที่ใบไม้ แล้วถามว่า “พิษกับหมาไหม?” หรือเปิดไฟล์ตารางบนคอมแล้วสั่ง AI ให้แปลงเป็นกราฟ — ทั้งหมดนี้ Qwen3-VL ทำได้แล้ว! นี่คือโมเดล Vision Language รุ่นใหม่จาก Alibaba ที่เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama โดยมีชื่อเต็มว่า Qwen3-VL-235B-A22B จุดเด่นคือความสามารถในการเข้าใจภาพและวิดีโออย่างลึกซึ้ง แล้วแปลงเป็นโค้ด HTML, CSS หรือ JavaScript ได้ทันที มันรองรับ input สูงถึง 1 ล้าน token ซึ่งหมายถึงสามารถประมวลผลวิดีโอความยาว 2 ชั่วโมง หรือเอกสารหลายร้อยหน้าได้ในคราวเดียว และยังเข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูลเชิง 3D ได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ ด้าน OCR ก็ไม่ธรรมดา รองรับถึง 32 ภาษา และสามารถอ่านจากภาพที่เบลอ, มืด, หรือเอียงได้อย่างแม่นยำ แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือความสามารถแบบ “agentic” — Qwen3-VL สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ เช่น สั่งจองตั๋วบน Ticketmaster โดยเปิดเบราว์เซอร์, กรอกข้อมูล, เลือกที่นั่ง และกดยืนยัน โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเองเลย แม้จะยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอก ZIP code ผิด แต่ความเร็วในการทำงานนั้นเหนือกว่าหลายโมเดลที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน เช่น GPT-5, Claude หรือ Gemini ที่สำคัญคือ Qwen3-VL เปิดให้ใช้งานแบบ โอเพ่นซอร์ส ต่างจากคู่แข่งที่ต้องจ่ายเงิน ทำให้ชุมชนสามารถนำไปปรับแต่งและใช้งานได้อย่างอิสระ ✅ ความสามารถหลักของ Qwen3-VL ➡️ แปลงภาพ/วิดีโอเป็นโค้ด HTML, CSS, JavaScript ➡️ รองรับ input สูงสุด 1 ล้าน token ➡️ เข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูล 3D ➡️ OCR รองรับ 32 ภาษา แม้ภาพเบลอหรือเอียง ✅ ความสามารถแบบ agentic ➡️ ควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ ➡️ สั่งจองตั๋ว, โพสต์ Reddit, เขียนข้อความ, สั่งซื้อสินค้า ➡️ ทำงานแบบ end-to-end โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเอง ➡️ ความเร็วในการทำงานโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ✅ จุดเด่นด้านการเปิดใช้งาน ➡️ เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama ➡️ เป็นโอเพ่นซอร์ส – นักพัฒนาสามารถปรับแต่งได้ ➡️ ไม่ต้องจ่ายเงินเหมือน GPT-5 หรือ Claude ➡️ ได้คะแนนสูงใน benchmark เช่น OS World ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ ยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอกข้อมูลผิด ⛔ การควบคุมอัตโนมัติต้องมีระบบตรวจสอบความถูกต้อง ⛔ การเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อ misuse หากไม่มีการกำกับ ⛔ ความสามารถสูงอาจนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่นการแพทย์หรือการเงิน ซึ่งต้องทดสอบก่อนใช้งานจริง https://www.slashgear.com/2004206/ollama-qwen3-vl-how-powerful-vision-language-model-works/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Ollama's Qwen3-VL Introduces The Most Powerful Vision Language Model - Here's How It Works - SlashGear
    AI is advancing at a rapid rate, and Ollama claims its Qwen3-VL is the most powerful vision language model yet. Here's what it is and how it works.
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • “LLM Brain Rot – โมเดลภาษาก็ ‘สมองเน่า’ ได้ ถ้าเสพข้อมูลขยะมากเกินไป!”

    งานวิจัยล่าสุดจากทีม Xing et al. เสนอแนวคิดใหม่ที่สะเทือนวงการ AI: โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) อาจเกิด “สมองเน่า” หรือ Brain Rot ได้ หากถูกฝึกด้วยข้อมูลขยะจากอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโพสต์จาก Twitter/X ที่เน้นความสั้นและความนิยมมากกว่าคุณภาพเนื้อหา

    นักวิจัยสร้างชุดข้อมูล “junk” และ “control” จากโพสต์จริง โดยใช้สองเกณฑ์คือ M1 (ระดับ engagement เช่น ไลก์ รีทวีต) และ M2 (คุณภาพเชิงเนื้อหา เช่น clickbait vs. ข้อเท็จจริง) แล้วนำไปฝึกโมเดล 4 ตัวแบบต่อเนื่อง ก่อนวัดผลด้าน reasoning, memory, safety และ personality

    ผลลัพธ์ชัดเจน: โมเดลที่ถูกฝึกด้วยข้อมูล junk มีความสามารถลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น คะแนน ARC-Challenge แบบ Chain of Thought ลดจาก 74.9 เหลือ 57.2 และ RULER-CWE ลดจาก 84.4 เหลือ 52.3 เมื่อ junk ratio เพิ่มขึ้นจาก 0% เป็น 100%

    ที่น่าตกใจคือ แม้จะพยายามแก้ด้วย instruction tuning หรือฝึกใหม่ด้วยข้อมูลคุณภาพสูง ก็ไม่สามารถฟื้นความสามารถเดิมได้หมด แสดงว่า “สมองเน่า” มีผลถาวรบางส่วน

    งานนี้จึงเสนอให้มองการคัดกรองข้อมูลฝึกโมเดลเป็นเรื่อง “สุขภาพจิตของ AI” และเรียกร้องให้มีการตรวจสุขภาพโมเดลเป็นระยะ เพื่อป้องกันการเสื่อมถอยของความสามารถโดยไม่รู้ตัว

    แนวคิดหลักของงานวิจัย
    เสนอ “LLM Brain Rot Hypothesis” – โมเดลเสื่อมความสามารถจากข้อมูลขยะ
    ใช้ continual pre-training บนข้อมูล junk จาก Twitter/X
    วัดผลด้าน reasoning, memory, safety, personality
    พบว่าความสามารถลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

    วิธีการทดลอง
    สร้างชุดข้อมูล junk/control จากโพสต์จริง
    ใช้เกณฑ์ M1 (engagement) และ M2 (semantic quality)
    ฝึกโมเดล 4 ตัวแบบต่อเนื่อง
    ใช้ instruction tuning เพื่อควบคุม format

    ผลกระทบที่พบ
    Reasoning ลดลง เช่น ARC-Challenge COT: 74.9 → 57.2
    Long-context memory ลดลง เช่น RULER-CWE: 84.4 → 52.3
    Safety ลดลง เช่น HH-RLHF risk เพิ่มขึ้น
    Personality เปลี่ยน เช่น psychopathy, narcissism เพิ่มขึ้น

    ข้อค้นพบเชิงลึก
    Thought-skipping คือ failure mode หลัก – โมเดลข้ามขั้นตอน reasoning
    การแก้ด้วย instruction tuning ฟื้นได้บางส่วนแต่ไม่หมด
    ความนิยมของโพสต์ (M1) เป็นตัวชี้วัด brain rot ที่ดีกว่าความยาว
    ผลกระทบมีลักษณะ dose-response – ยิ่ง junk มาก ยิ่งเสื่อมมาก

    ข้อเสนอจากงานวิจัย
    มองการคัดกรองข้อมูลฝึกเป็น “สุขภาพจิตของ AI”
    ควรมี “cognitive health check” สำหรับโมเดลที่ deploy แล้ว
    ปรับแนวทางการ curate ข้อมูลฝึกใหม่
    หลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูล engagement-driven โดยไม่กรอง

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    การใช้ข้อมูลจากโซเชียลโดยไม่กรอง อาจทำให้โมเดลเสื่อมถอย
    การฝึกต่อเนื่องโดยไม่ตรวจสุขภาพ อาจสะสมความเสียหาย
    การพึ่งพา instruction tuning อย่างเดียวไม่สามารถฟื้นฟูได้หมด
    โมเดลที่เสื่อมอาจมีพฤติกรรมไม่ปลอดภัยหรือไม่พึงประสงค์
    การวัดคุณภาพข้อมูลต้องใช้หลายมิติ ไม่ใช่แค่ semantic หรือ engagement

    https://llm-brain-rot.github.io/
    🧠 “LLM Brain Rot – โมเดลภาษาก็ ‘สมองเน่า’ ได้ ถ้าเสพข้อมูลขยะมากเกินไป!” งานวิจัยล่าสุดจากทีม Xing et al. เสนอแนวคิดใหม่ที่สะเทือนวงการ AI: โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) อาจเกิด “สมองเน่า” หรือ Brain Rot ได้ หากถูกฝึกด้วยข้อมูลขยะจากอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโพสต์จาก Twitter/X ที่เน้นความสั้นและความนิยมมากกว่าคุณภาพเนื้อหา นักวิจัยสร้างชุดข้อมูล “junk” และ “control” จากโพสต์จริง โดยใช้สองเกณฑ์คือ M1 (ระดับ engagement เช่น ไลก์ รีทวีต) และ M2 (คุณภาพเชิงเนื้อหา เช่น clickbait vs. ข้อเท็จจริง) แล้วนำไปฝึกโมเดล 4 ตัวแบบต่อเนื่อง ก่อนวัดผลด้าน reasoning, memory, safety และ personality ผลลัพธ์ชัดเจน: โมเดลที่ถูกฝึกด้วยข้อมูล junk มีความสามารถลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น คะแนน ARC-Challenge แบบ Chain of Thought ลดจาก 74.9 เหลือ 57.2 และ RULER-CWE ลดจาก 84.4 เหลือ 52.3 เมื่อ junk ratio เพิ่มขึ้นจาก 0% เป็น 100% ที่น่าตกใจคือ แม้จะพยายามแก้ด้วย instruction tuning หรือฝึกใหม่ด้วยข้อมูลคุณภาพสูง ก็ไม่สามารถฟื้นความสามารถเดิมได้หมด แสดงว่า “สมองเน่า” มีผลถาวรบางส่วน งานนี้จึงเสนอให้มองการคัดกรองข้อมูลฝึกโมเดลเป็นเรื่อง “สุขภาพจิตของ AI” และเรียกร้องให้มีการตรวจสุขภาพโมเดลเป็นระยะ เพื่อป้องกันการเสื่อมถอยของความสามารถโดยไม่รู้ตัว ✅ แนวคิดหลักของงานวิจัย ➡️ เสนอ “LLM Brain Rot Hypothesis” – โมเดลเสื่อมความสามารถจากข้อมูลขยะ ➡️ ใช้ continual pre-training บนข้อมูล junk จาก Twitter/X ➡️ วัดผลด้าน reasoning, memory, safety, personality ➡️ พบว่าความสามารถลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ✅ วิธีการทดลอง ➡️ สร้างชุดข้อมูล junk/control จากโพสต์จริง ➡️ ใช้เกณฑ์ M1 (engagement) และ M2 (semantic quality) ➡️ ฝึกโมเดล 4 ตัวแบบต่อเนื่อง ➡️ ใช้ instruction tuning เพื่อควบคุม format ✅ ผลกระทบที่พบ ➡️ Reasoning ลดลง เช่น ARC-Challenge COT: 74.9 → 57.2 ➡️ Long-context memory ลดลง เช่น RULER-CWE: 84.4 → 52.3 ➡️ Safety ลดลง เช่น HH-RLHF risk เพิ่มขึ้น ➡️ Personality เปลี่ยน เช่น psychopathy, narcissism เพิ่มขึ้น ✅ ข้อค้นพบเชิงลึก ➡️ Thought-skipping คือ failure mode หลัก – โมเดลข้ามขั้นตอน reasoning ➡️ การแก้ด้วย instruction tuning ฟื้นได้บางส่วนแต่ไม่หมด ➡️ ความนิยมของโพสต์ (M1) เป็นตัวชี้วัด brain rot ที่ดีกว่าความยาว ➡️ ผลกระทบมีลักษณะ dose-response – ยิ่ง junk มาก ยิ่งเสื่อมมาก ✅ ข้อเสนอจากงานวิจัย ➡️ มองการคัดกรองข้อมูลฝึกเป็น “สุขภาพจิตของ AI” ➡️ ควรมี “cognitive health check” สำหรับโมเดลที่ deploy แล้ว ➡️ ปรับแนวทางการ curate ข้อมูลฝึกใหม่ ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูล engagement-driven โดยไม่กรอง ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ การใช้ข้อมูลจากโซเชียลโดยไม่กรอง อาจทำให้โมเดลเสื่อมถอย ⛔ การฝึกต่อเนื่องโดยไม่ตรวจสุขภาพ อาจสะสมความเสียหาย ⛔ การพึ่งพา instruction tuning อย่างเดียวไม่สามารถฟื้นฟูได้หมด ⛔ โมเดลที่เสื่อมอาจมีพฤติกรรมไม่ปลอดภัยหรือไม่พึงประสงค์ ⛔ การวัดคุณภาพข้อมูลต้องใช้หลายมิติ ไม่ใช่แค่ semantic หรือ engagement https://llm-brain-rot.github.io/
    LLM-BRAIN-ROT.GITHUB.IO
    LLMs Can Get Brain Rot
    New finding: LLMs Can Get Brain Rot if being fed trivial, engaging Twitter/X content.
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • “Clonezilla Live 3.3.0-33 มาแล้ว! รองรับการโคลน MTD และ eMMC พร้อมเครื่องมือใหม่เพียบ”

    Clonezilla Live เวอร์ชัน 3.3.0-33 เพิ่งเปิดตัว โดยเป็นระบบ live OS สำหรับการโคลนดิสก์และพาร์ทิชันที่อิงจาก Debian และใช้ Linux kernel 6.16 จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการเพิ่มการรองรับการโคลนอุปกรณ์ MTD block และ eMMC boot ในโหมดผู้เชี่ยวชาญ (expert mode) ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับงาน embedded system และอุปกรณ์ IoT

    นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือใหม่ชื่อว่า ocs-blkdev-sorter ที่ช่วยให้ udev สร้าง alias block device ใน /dev/ocs-disks/ ได้สะดวกขึ้น และ ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลาในระบบผ่าน ocs-live-netcfg

    ยังมีการเพิ่มตัวเลือก -uoab ใน ocs-sr และ ocs-live-feed-img เพื่อให้เลือก alias block device ได้จาก UI แบบข้อความ และเครื่องมือใหม่อีกหลายตัว เช่น ocs-cmd-screen-sample, ocs-live-gen-ubrd, และ ocs-blk-dev-info ที่ให้ข้อมูล block device ในรูปแบบ JSON

    ด้านระบบยังมีการเพิ่มแพ็กเกจสำคัญ เช่น atd, cron, upower, และ dhcpcd-base รวมถึงปรับปรุงการตั้งค่า locale และ keymap ให้เลือกได้จาก shell login โดยใช้ fbterm เป็นค่าเริ่มต้น

    สุดท้าย Clonezilla Live 3.3.0-33 ยังอัปเดตสคริปต์ต่าง ๆ เช่น ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, และ ocs-live-swap-kernel เพื่อรองรับการใช้งานที่ซับซ้อนมากขึ้น พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพและแก้บั๊กหลายจุด

    ความสามารถใหม่ใน Clonezilla Live 3.3.0-33
    รองรับการโคลน MTD block และ eMMC boot device ใน expert mode
    เพิ่ม ocs-blkdev-sorter สำหรับสร้าง alias block device
    เพิ่ม ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลา
    เพิ่ม ocs-cmd-screen-sample และ ocs-live-gen-ubrd
    เพิ่ม ocs-blk-dev-info สำหรับแสดงข้อมูล block device แบบ JSON

    การปรับปรุงระบบและ UI
    เพิ่มตัวเลือก -uoab ใน UI แบบข้อความ
    ปรับ locale และ keymap ให้เลือกจาก shell login ด้วย fbterm
    ปรับปรุง ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, ocs-live-swap-kernel
    เพิ่มการรองรับ CPU architecture ในชื่อไฟล์ ISO/ZIP
    ปรับปรุงการแสดงผลของ ocs-scan-disk และ ocs-get-dev-info

    แพ็กเกจและระบบพื้นฐาน
    เพิ่มแพ็กเกจ atd, cron, upower, dhcpcd-base
    ใช้ Debian Sid (ณ วันที่ 17 ต.ค. 2025) เป็นฐานระบบ
    อัปเดต Partclone เป็นเวอร์ชัน 0.3.38 (แก้บั๊กเกี่ยวกับ btrfs)
    ปรับ grub.cfg ให้ใช้ efitextmode 0
    เพิ่มกลไกตั้งค่า timezone จาก BIOS หากไม่มีอินเทอร์เน็ต

    https://9to5linux.com/clonezilla-live-3-3-0-33-adds-support-for-cloning-mtd-block-and-emmc-boot-devices
    💾 “Clonezilla Live 3.3.0-33 มาแล้ว! รองรับการโคลน MTD และ eMMC พร้อมเครื่องมือใหม่เพียบ” Clonezilla Live เวอร์ชัน 3.3.0-33 เพิ่งเปิดตัว โดยเป็นระบบ live OS สำหรับการโคลนดิสก์และพาร์ทิชันที่อิงจาก Debian และใช้ Linux kernel 6.16 จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการเพิ่มการรองรับการโคลนอุปกรณ์ MTD block และ eMMC boot ในโหมดผู้เชี่ยวชาญ (expert mode) ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับงาน embedded system และอุปกรณ์ IoT นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือใหม่ชื่อว่า ocs-blkdev-sorter ที่ช่วยให้ udev สร้าง alias block device ใน /dev/ocs-disks/ ได้สะดวกขึ้น และ ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลาในระบบผ่าน ocs-live-netcfg ยังมีการเพิ่มตัวเลือก -uoab ใน ocs-sr และ ocs-live-feed-img เพื่อให้เลือก alias block device ได้จาก UI แบบข้อความ และเครื่องมือใหม่อีกหลายตัว เช่น ocs-cmd-screen-sample, ocs-live-gen-ubrd, และ ocs-blk-dev-info ที่ให้ข้อมูล block device ในรูปแบบ JSON ด้านระบบยังมีการเพิ่มแพ็กเกจสำคัญ เช่น atd, cron, upower, และ dhcpcd-base รวมถึงปรับปรุงการตั้งค่า locale และ keymap ให้เลือกได้จาก shell login โดยใช้ fbterm เป็นค่าเริ่มต้น สุดท้าย Clonezilla Live 3.3.0-33 ยังอัปเดตสคริปต์ต่าง ๆ เช่น ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, และ ocs-live-swap-kernel เพื่อรองรับการใช้งานที่ซับซ้อนมากขึ้น พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพและแก้บั๊กหลายจุด ✅ ความสามารถใหม่ใน Clonezilla Live 3.3.0-33 ➡️ รองรับการโคลน MTD block และ eMMC boot device ใน expert mode ➡️ เพิ่ม ocs-blkdev-sorter สำหรับสร้าง alias block device ➡️ เพิ่ม ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลา ➡️ เพิ่ม ocs-cmd-screen-sample และ ocs-live-gen-ubrd ➡️ เพิ่ม ocs-blk-dev-info สำหรับแสดงข้อมูล block device แบบ JSON ✅ การปรับปรุงระบบและ UI ➡️ เพิ่มตัวเลือก -uoab ใน UI แบบข้อความ ➡️ ปรับ locale และ keymap ให้เลือกจาก shell login ด้วย fbterm ➡️ ปรับปรุง ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, ocs-live-swap-kernel ➡️ เพิ่มการรองรับ CPU architecture ในชื่อไฟล์ ISO/ZIP ➡️ ปรับปรุงการแสดงผลของ ocs-scan-disk และ ocs-get-dev-info ✅ แพ็กเกจและระบบพื้นฐาน ➡️ เพิ่มแพ็กเกจ atd, cron, upower, dhcpcd-base ➡️ ใช้ Debian Sid (ณ วันที่ 17 ต.ค. 2025) เป็นฐานระบบ ➡️ อัปเดต Partclone เป็นเวอร์ชัน 0.3.38 (แก้บั๊กเกี่ยวกับ btrfs) ➡️ ปรับ grub.cfg ให้ใช้ efitextmode 0 ➡️ เพิ่มกลไกตั้งค่า timezone จาก BIOS หากไม่มีอินเทอร์เน็ต https://9to5linux.com/clonezilla-live-3-3-0-33-adds-support-for-cloning-mtd-block-and-emmc-boot-devices
    9TO5LINUX.COM
    Clonezilla Live 3.3.0-33 Adds Support for Cloning MTD Block and eMMC Boot Devices - 9to5Linux
    Clonezilla Live 3.3.0-33 open-source and free disk cloning/imaging tool is now available for download with various changes and updated components.
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • “แฮกเกอร์จีนใช้คีย์ ASP.NET ที่หลุด – ฝัง TOLLBOOTH Backdoor และ Rootkit บน IIS Server ทั่วโลก!”

    Elastic Security Labs และ Texas A&M University System Cybersecurity เผยการค้นพบแคมเปญโจมตีจากกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาจีน ซึ่งใช้คีย์ ASP.NET ที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในการเจาะระบบ Microsoft IIS Server ที่ตั้งค่าผิดพลาด

    แฮกเกอร์ใช้คีย์ machineKey ที่หลุดจากเอกสาร Microsoft และ StackOverflow เพื่อสร้าง payload ที่สามารถ deserialization ผ่าน ViewState ได้ ทำให้สามารถรันคำสั่งบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    หลังจากเจาะระบบได้แล้ว พวกเขาจะติดตั้ง backdoor ชื่อว่า TOLLBOOTH ซึ่งเป็น IIS module ที่มีความสามารถทั้ง SEO cloaking, webshell, และ command execution โดยมี webshell ซ่อนอยู่ที่ /mywebdll พร้อมรหัสผ่าน hack123456!

    TOLLBOOTH ยังสามารถแยกแยะระหว่าง bot ของ search engine กับผู้ใช้จริง เพื่อแสดงเนื้อหาหลอกลวงให้ bot เห็น (เพื่อดัน SEO) และ redirect ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์อันตราย ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียกว่า link farm network

    หากวิธีฝัง backdoor ล้มเหลว แฮกเกอร์จะใช้เครื่องมือ Remote Monitoring & Management (RMM) ชื่อ GotoHTTP เพื่อควบคุมเครื่องผ่านเบราว์เซอร์โดยตรง

    นอกจากนี้ยังพบ rootkit ระดับ kernel ที่ชื่อว่า HIDDENDRIVER ซึ่งดัดแปลงจากโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อ “Hidden” โดยใช้เทคนิค DKOM (Direct Kernel Object Manipulation) เพื่อซ่อน process, ไฟล์ และ registry key จากเครื่องมือวิเคราะห์ระบบ

    การโจมตีนี้ถูกจัดกลุ่มเป็น REF3927 และพบว่ามีความเชื่อมโยงกับแคมเปญที่ Microsoft และ AhnLab เคยรายงานมาก่อน โดยมีเป้าหมายเป็นเซิร์ฟเวอร์ IIS กว่า 571 เครื่องทั่วโลก ยกเว้นในประเทศจีน ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มแฮกเกอร์จีนที่มักหลีกเลี่ยงการโจมตีภายในประเทศตัวเอง

    วิธีการโจมตี
    ใช้คีย์ ASP.NET machineKey ที่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ
    สร้าง ViewState payload เพื่อรันคำสั่งบน IIS Server
    ติดตั้ง TOLLBOOTH IIS module เป็น backdoor
    ใช้ GotoHTTP หากฝัง backdoor ไม่สำเร็จ
    ติดตั้ง rootkit HIDDENDRIVER เพื่อซ่อนการทำงาน

    ความสามารถของ TOLLBOOTH
    มี webshell ซ่อนอยู่ที่ /mywebdll พร้อมรหัสผ่าน
    รองรับการอัปโหลดไฟล์และรันคำสั่ง
    มี endpoint สำหรับ health check, debug และ clean
    มี SEO cloaking engine เพื่อหลอก bot และ redirect ผู้ใช้
    ใช้ JSON config จากเซิร์ฟเวอร์ควบคุม

    ความสามารถของ HIDDENDRIVER
    ใช้เทคนิค DKOM เพื่อซ่อน process, ไฟล์ และ registry
    มี companion app ชื่อ HIDDENCLI เขียนด้วยภาษาจีน
    ปรับปรุงจากโปรเจกต์ “Hidden” ด้วยฟีเจอร์ AMSI bypass และ whitelist process
    ซ่อนตัวจากเครื่องมืออย่าง Process Explorer ได้

    ขอบเขตของการโจมตี
    พบการติดเชื้อใน IIS Server อย่างน้อย 571 เครื่อง
    ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน โลจิสติกส์ การศึกษา
    ไม่มีเหยื่อในประเทศจีน – สะท้อนการใช้ geofencing
    พบการติดตั้งซ้ำในหลายองค์กร แสดงว่าปัญหายังไม่ถูกแก้ที่ต้นเหตุ

    https://securityonline.info/chinese-hackers-exploit-exposed-asp-net-keys-to-deploy-tollbooth-iis-backdoor-and-kernel-rootkit/
    🕳️ “แฮกเกอร์จีนใช้คีย์ ASP.NET ที่หลุด – ฝัง TOLLBOOTH Backdoor และ Rootkit บน IIS Server ทั่วโลก!” Elastic Security Labs และ Texas A&M University System Cybersecurity เผยการค้นพบแคมเปญโจมตีจากกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาจีน ซึ่งใช้คีย์ ASP.NET ที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในการเจาะระบบ Microsoft IIS Server ที่ตั้งค่าผิดพลาด แฮกเกอร์ใช้คีย์ machineKey ที่หลุดจากเอกสาร Microsoft และ StackOverflow เพื่อสร้าง payload ที่สามารถ deserialization ผ่าน ViewState ได้ ทำให้สามารถรันคำสั่งบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน หลังจากเจาะระบบได้แล้ว พวกเขาจะติดตั้ง backdoor ชื่อว่า TOLLBOOTH ซึ่งเป็น IIS module ที่มีความสามารถทั้ง SEO cloaking, webshell, และ command execution โดยมี webshell ซ่อนอยู่ที่ /mywebdll พร้อมรหัสผ่าน hack123456! TOLLBOOTH ยังสามารถแยกแยะระหว่าง bot ของ search engine กับผู้ใช้จริง เพื่อแสดงเนื้อหาหลอกลวงให้ bot เห็น (เพื่อดัน SEO) และ redirect ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์อันตราย ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียกว่า link farm network หากวิธีฝัง backdoor ล้มเหลว แฮกเกอร์จะใช้เครื่องมือ Remote Monitoring & Management (RMM) ชื่อ GotoHTTP เพื่อควบคุมเครื่องผ่านเบราว์เซอร์โดยตรง นอกจากนี้ยังพบ rootkit ระดับ kernel ที่ชื่อว่า HIDDENDRIVER ซึ่งดัดแปลงจากโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อ “Hidden” โดยใช้เทคนิค DKOM (Direct Kernel Object Manipulation) เพื่อซ่อน process, ไฟล์ และ registry key จากเครื่องมือวิเคราะห์ระบบ การโจมตีนี้ถูกจัดกลุ่มเป็น REF3927 และพบว่ามีความเชื่อมโยงกับแคมเปญที่ Microsoft และ AhnLab เคยรายงานมาก่อน โดยมีเป้าหมายเป็นเซิร์ฟเวอร์ IIS กว่า 571 เครื่องทั่วโลก ยกเว้นในประเทศจีน ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มแฮกเกอร์จีนที่มักหลีกเลี่ยงการโจมตีภายในประเทศตัวเอง ✅ วิธีการโจมตี ➡️ ใช้คีย์ ASP.NET machineKey ที่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ ➡️ สร้าง ViewState payload เพื่อรันคำสั่งบน IIS Server ➡️ ติดตั้ง TOLLBOOTH IIS module เป็น backdoor ➡️ ใช้ GotoHTTP หากฝัง backdoor ไม่สำเร็จ ➡️ ติดตั้ง rootkit HIDDENDRIVER เพื่อซ่อนการทำงาน ✅ ความสามารถของ TOLLBOOTH ➡️ มี webshell ซ่อนอยู่ที่ /mywebdll พร้อมรหัสผ่าน ➡️ รองรับการอัปโหลดไฟล์และรันคำสั่ง ➡️ มี endpoint สำหรับ health check, debug และ clean ➡️ มี SEO cloaking engine เพื่อหลอก bot และ redirect ผู้ใช้ ➡️ ใช้ JSON config จากเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ✅ ความสามารถของ HIDDENDRIVER ➡️ ใช้เทคนิค DKOM เพื่อซ่อน process, ไฟล์ และ registry ➡️ มี companion app ชื่อ HIDDENCLI เขียนด้วยภาษาจีน ➡️ ปรับปรุงจากโปรเจกต์ “Hidden” ด้วยฟีเจอร์ AMSI bypass และ whitelist process ➡️ ซ่อนตัวจากเครื่องมืออย่าง Process Explorer ได้ ✅ ขอบเขตของการโจมตี ➡️ พบการติดเชื้อใน IIS Server อย่างน้อย 571 เครื่อง ➡️ ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน โลจิสติกส์ การศึกษา ➡️ ไม่มีเหยื่อในประเทศจีน – สะท้อนการใช้ geofencing ➡️ พบการติดตั้งซ้ำในหลายองค์กร แสดงว่าปัญหายังไม่ถูกแก้ที่ต้นเหตุ https://securityonline.info/chinese-hackers-exploit-exposed-asp-net-keys-to-deploy-tollbooth-iis-backdoor-and-kernel-rootkit/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chinese Hackers Exploit Exposed ASP.NET Keys to Deploy TOLLBOOTH IIS Backdoor and Kernel Rootkit
    Elastic exposed Chinese threat actors exploiting public ASP.NET machine keys to deploy TOLLBOOTH IIS backdoor and HIDDENDRIVER kernel rootkit. The malware performs stealthy SEO cloaking.
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • “Claude Code เปิดให้ใช้งานบนเว็บ – สั่งงานโค้ดจากเบราว์เซอร์ได้ทันที พร้อมระบบรันแบบ sandbox ปลอดภัยสูง”

    Anthropic เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า Claude Code on the web ซึ่งเป็นการนำความสามารถด้านการเขียนโค้ดของ Claude มาไว้ในเบราว์เซอร์โดยตรง ไม่ต้องเปิดเทอร์มินัลหรือรัน local environment อีกต่อไป

    ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกับ GitHub repositories แล้วสั่งงาน Claude ให้แก้บั๊ก, ทำงาน backend, หรือแม้แต่รันหลาย task พร้อมกันแบบ parallel ได้เลย โดยทุก session จะรันใน environment ที่แยกจากกัน พร้อมระบบติดตามความคืบหน้าแบบ real-time และสามารถปรับคำสั่งระหว่างรันได้

    ฟีเจอร์นี้ยังรองรับการใช้งานบนมือถือผ่านแอป iOS ของ Claude ซึ่งเปิดให้ทดลองใช้ในช่วง beta เพื่อเก็บ feedback จากนักพัฒนา

    ด้านความปลอดภัย Claude Code ใช้ระบบ sandbox ที่มีการจำกัด network และ filesystem อย่างเข้มงวด โดย Git interaction จะผ่าน proxy ที่ปลอดภัย และผู้ใช้สามารถกำหนดว่า Claude จะเชื่อมต่อกับ domain ใดได้บ้าง เช่น npm หรือ API ภายนอก

    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานในรูปแบบ research preview สำหรับผู้ใช้ระดับ Pro และ Max โดยสามารถเริ่มต้นได้ที่ claude.com/code

    Claude Code บนเว็บ
    สั่งงานโค้ดจากเบราว์เซอร์โดยไม่ต้องเปิดเทอร์มินัล
    เชื่อมต่อกับ GitHub repositories ได้โดยตรง
    รันหลาย task พร้อมกันแบบ parallel
    มีระบบติดตามความคืบหน้าและปรับคำสั่งระหว่างรันได้
    สร้าง PR และสรุปการเปลี่ยนแปลงให้อัตโนมัติ

    การใช้งานบนมือถือ
    รองรับผ่านแอป Claude บน iOS
    เปิดให้ทดลองใช้ในช่วง beta
    เก็บ feedback เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ใช้งาน

    ความปลอดภัยของระบบ
    รันใน sandbox ที่แยกจากกัน
    จำกัด network และ filesystem
    Git interaction ผ่าน proxy ที่ปลอดภัย
    ผู้ใช้สามารถกำหนด domain ที่ Claude เชื่อมต่อได้
    รองรับการดาวน์โหลด dependency เช่น npm เพื่อรัน test

    การเริ่มต้นใช้งาน
    เปิดให้ใช้ในรูปแบบ research preview
    รองรับผู้ใช้ระดับ Pro และ Max
    เริ่มต้นได้ที่ claude.com/code
    การใช้งานบนคลาวด์แชร์ rate limit กับ Claude Code แบบอื่น

    https://www.anthropic.com/news/claude-code-on-the-web
    💻 “Claude Code เปิดให้ใช้งานบนเว็บ – สั่งงานโค้ดจากเบราว์เซอร์ได้ทันที พร้อมระบบรันแบบ sandbox ปลอดภัยสูง” Anthropic เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า Claude Code on the web ซึ่งเป็นการนำความสามารถด้านการเขียนโค้ดของ Claude มาไว้ในเบราว์เซอร์โดยตรง ไม่ต้องเปิดเทอร์มินัลหรือรัน local environment อีกต่อไป ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกับ GitHub repositories แล้วสั่งงาน Claude ให้แก้บั๊ก, ทำงาน backend, หรือแม้แต่รันหลาย task พร้อมกันแบบ parallel ได้เลย โดยทุก session จะรันใน environment ที่แยกจากกัน พร้อมระบบติดตามความคืบหน้าแบบ real-time และสามารถปรับคำสั่งระหว่างรันได้ ฟีเจอร์นี้ยังรองรับการใช้งานบนมือถือผ่านแอป iOS ของ Claude ซึ่งเปิดให้ทดลองใช้ในช่วง beta เพื่อเก็บ feedback จากนักพัฒนา ด้านความปลอดภัย Claude Code ใช้ระบบ sandbox ที่มีการจำกัด network และ filesystem อย่างเข้มงวด โดย Git interaction จะผ่าน proxy ที่ปลอดภัย และผู้ใช้สามารถกำหนดว่า Claude จะเชื่อมต่อกับ domain ใดได้บ้าง เช่น npm หรือ API ภายนอก ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานในรูปแบบ research preview สำหรับผู้ใช้ระดับ Pro และ Max โดยสามารถเริ่มต้นได้ที่ claude.com/code ✅ Claude Code บนเว็บ ➡️ สั่งงานโค้ดจากเบราว์เซอร์โดยไม่ต้องเปิดเทอร์มินัล ➡️ เชื่อมต่อกับ GitHub repositories ได้โดยตรง ➡️ รันหลาย task พร้อมกันแบบ parallel ➡️ มีระบบติดตามความคืบหน้าและปรับคำสั่งระหว่างรันได้ ➡️ สร้าง PR และสรุปการเปลี่ยนแปลงให้อัตโนมัติ ✅ การใช้งานบนมือถือ ➡️ รองรับผ่านแอป Claude บน iOS ➡️ เปิดให้ทดลองใช้ในช่วง beta ➡️ เก็บ feedback เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ใช้งาน ✅ ความปลอดภัยของระบบ ➡️ รันใน sandbox ที่แยกจากกัน ➡️ จำกัด network และ filesystem ➡️ Git interaction ผ่าน proxy ที่ปลอดภัย ➡️ ผู้ใช้สามารถกำหนด domain ที่ Claude เชื่อมต่อได้ ➡️ รองรับการดาวน์โหลด dependency เช่น npm เพื่อรัน test ✅ การเริ่มต้นใช้งาน ➡️ เปิดให้ใช้ในรูปแบบ research preview ➡️ รองรับผู้ใช้ระดับ Pro และ Max ➡️ เริ่มต้นได้ที่ claude.com/code ➡️ การใช้งานบนคลาวด์แชร์ rate limit กับ Claude Code แบบอื่น https://www.anthropic.com/news/claude-code-on-the-web
    WWW.ANTHROPIC.COM
    Claude Code on the web
    Anthropic is an AI safety and research company that's working to build reliable, interpretable, and steerable AI systems.
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • “จีนโชว์นวัตกรรมชิปครั้งใหญ่ – เปิดตัวเครื่อง Lithography, EDA และวัสดุ EUV ฝีมือคนจีนล้วน!”

    ในงาน WeSemiBay Semiconductor Ecosystem Expo ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน บริษัทจีนหลายแห่งได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ด้านการผลิตชิปที่น่าทึ่งมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันความสามารถในการผลิตชิปแบบพึ่งพาตนเองให้ได้เต็มรูปแบบ

    บริษัท Amies Technologies ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SMEE (Shanghai Micro Electronics Equipment) ได้เปิดตัวเครื่อง Lithography สำหรับสารกึ่งตัวนำแบบ compound เช่น GaAs, GaN และ InP รวมถึงระบบ laser annealing และเครื่องตรวจสอบ wafer ขั้นสูง โดย Amies เพิ่งก่อตั้งเมื่อต้นปี 2025 แต่สามารถส่งมอบเครื่อง Lithography ไปแล้วกว่า 500 เครื่อง

    อีกด้านหนึ่ง SiCarrier ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Huawei และรัฐบาลจีน ได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA tools) ที่พัฒนาเองทั้งหมด โดยอ้างว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบได้ถึง 30% และลดเวลาในการพัฒนา hardware ลง 40% เมื่อเทียบกับเครื่องมือจาก Cadence, Synopsys และ Siemens

    ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ Skyverse Technology ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SiCarrier ได้เปิดตัววัสดุ photoresist ที่สามารถใช้กับ EUV lithography ได้ แม้จีนจะยังไม่มีเครื่อง EUV จาก ASML ก็ตาม โดยวัสดุนี้ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster และสามารถสร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ได้ ซึ่งใกล้เคียงกับวัสดุจาก JSR ที่ใช้ในระบบ EUV จริง

    นอกจากนี้ Long Sight ซึ่งเป็นอีกบริษัทลูกของ SiCarrier ก็เปิดตัวออสซิลโลสโคปแบบ real-time ที่ทำงานได้ถึง 90GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าของจีนถึง 5 เท่า และสามารถใช้วิเคราะห์สัญญาณในชิประดับ 3nm และ 5nm ได้

    นวัตกรรมจาก Amies Technologies
    เครื่อง Lithography สำหรับ GaAs, GaN, InP
    ระบบ laser annealing และ wafer inspection
    ส่งมอบเครื่องไปแล้วกว่า 500 เครื่องในปีแรก

    นวัตกรรมจาก SiCarrier
    ซอฟต์แวร์ EDA พัฒนาเองทั้งหมด
    เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบ 30%
    ลดเวลา hardware development 40%
    มีวิศวกรใช้งานแล้วกว่า 20,000 คน
    ความสามารถด้าน EDA ยังต่ำกว่า 10% ของการพึ่งพาตนเอง

    วัสดุ EUV จาก Skyverse Technology
    photoresist ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster
    สร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm
    แม้ไม่มีเครื่อง EUV แต่วัสดุพร้อมแล้ว
    มีการจดสิทธิบัตรหลายฉบับ
    รายชื่อผู้คิดค้นส่วนใหญ่ไม่เปิดเผย

    อุปกรณ์วิเคราะห์จาก Long Sight
    ออสซิลโลสโคป real-time 90GHz
    ใช้กับชิประดับ 3nm และ 5nm ได้
    เหมาะกับโรงงาน SMIC และ Huawei ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinese-companies-unveil-a-swathe-of-breakthrough-chipmaking-innovations-at-tradeshow-chipmaking-lithography-tools-software-design-tools-and-resists-all-on-display-as-the-nation-pursues-self-sufficiency
    🇨🇳 “จีนโชว์นวัตกรรมชิปครั้งใหญ่ – เปิดตัวเครื่อง Lithography, EDA และวัสดุ EUV ฝีมือคนจีนล้วน!” ในงาน WeSemiBay Semiconductor Ecosystem Expo ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน บริษัทจีนหลายแห่งได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ด้านการผลิตชิปที่น่าทึ่งมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันความสามารถในการผลิตชิปแบบพึ่งพาตนเองให้ได้เต็มรูปแบบ บริษัท Amies Technologies ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SMEE (Shanghai Micro Electronics Equipment) ได้เปิดตัวเครื่อง Lithography สำหรับสารกึ่งตัวนำแบบ compound เช่น GaAs, GaN และ InP รวมถึงระบบ laser annealing และเครื่องตรวจสอบ wafer ขั้นสูง โดย Amies เพิ่งก่อตั้งเมื่อต้นปี 2025 แต่สามารถส่งมอบเครื่อง Lithography ไปแล้วกว่า 500 เครื่อง อีกด้านหนึ่ง SiCarrier ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Huawei และรัฐบาลจีน ได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA tools) ที่พัฒนาเองทั้งหมด โดยอ้างว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบได้ถึง 30% และลดเวลาในการพัฒนา hardware ลง 40% เมื่อเทียบกับเครื่องมือจาก Cadence, Synopsys และ Siemens ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ Skyverse Technology ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SiCarrier ได้เปิดตัววัสดุ photoresist ที่สามารถใช้กับ EUV lithography ได้ แม้จีนจะยังไม่มีเครื่อง EUV จาก ASML ก็ตาม โดยวัสดุนี้ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster และสามารถสร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ได้ ซึ่งใกล้เคียงกับวัสดุจาก JSR ที่ใช้ในระบบ EUV จริง นอกจากนี้ Long Sight ซึ่งเป็นอีกบริษัทลูกของ SiCarrier ก็เปิดตัวออสซิลโลสโคปแบบ real-time ที่ทำงานได้ถึง 90GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าของจีนถึง 5 เท่า และสามารถใช้วิเคราะห์สัญญาณในชิประดับ 3nm และ 5nm ได้ ✅ นวัตกรรมจาก Amies Technologies ➡️ เครื่อง Lithography สำหรับ GaAs, GaN, InP ➡️ ระบบ laser annealing และ wafer inspection ➡️ ส่งมอบเครื่องไปแล้วกว่า 500 เครื่องในปีแรก ✅ นวัตกรรมจาก SiCarrier ➡️ ซอฟต์แวร์ EDA พัฒนาเองทั้งหมด ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบ 30% ➡️ ลดเวลา hardware development 40% ➡️ มีวิศวกรใช้งานแล้วกว่า 20,000 คน ➡️ ความสามารถด้าน EDA ยังต่ำกว่า 10% ของการพึ่งพาตนเอง ✅ วัสดุ EUV จาก Skyverse Technology ➡️ photoresist ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster ➡️ สร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ➡️ แม้ไม่มีเครื่อง EUV แต่วัสดุพร้อมแล้ว ➡️ มีการจดสิทธิบัตรหลายฉบับ ➡️ รายชื่อผู้คิดค้นส่วนใหญ่ไม่เปิดเผย ✅ อุปกรณ์วิเคราะห์จาก Long Sight ➡️ ออสซิลโลสโคป real-time 90GHz ➡️ ใช้กับชิประดับ 3nm และ 5nm ได้ ➡️ เหมาะกับโรงงาน SMIC และ Huawei ในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinese-companies-unveil-a-swathe-of-breakthrough-chipmaking-innovations-at-tradeshow-chipmaking-lithography-tools-software-design-tools-and-resists-all-on-display-as-the-nation-pursues-self-sufficiency
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • “ByteDance จับมือ AMD, Intel, Arm และ Google สร้างมาตรฐานใหม่ให้เฟิร์มแวร์ – เปิดตัวโครงการ openSFI”

    ใครจะคิดว่าเจ้าของ TikTok อย่าง ByteDance จะมาร่วมวงกับยักษ์ใหญ่สายฮาร์ดแวร์อย่าง AMD, Intel, Arm และ Google ในการพัฒนาเฟิร์มแวร์ระดับล่างของระบบคอมพิวเตอร์ ล่าสุดพวกเขาร่วมกันเปิดตัวโครงการชื่อว่า “openSFI” (Open Silicon Firmware Interface) ซึ่งเป็นความพยายามครั้งใหญ่ในการสร้างมาตรฐานกลางสำหรับการสื่อสารระหว่างเฟิร์มแวร์กับชิป CPU

    openSFI มีเป้าหมายเพื่อให้เฟิร์มแวร์สามารถทำงานร่วมกับชิปจากผู้ผลิตต่าง ๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนแพลตฟอร์ม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน ลดเวลาในการพัฒนา และเพิ่มความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม

    โครงการนี้ต่อยอดจากความพยายามของ AMD ที่ชื่อว่า openSIL ซึ่งเป็นเฟิร์มแวร์แบบโอเพ่นซอร์สที่มาแทน AGESA และของ Intel ที่ชื่อว่า FSP (Firmware Support Package) โดย openSFI จะเป็นเลเยอร์กลางที่นั่งอยู่เหนือ openSIL และ FSP เพื่อให้เฟิร์มแวร์เรียกใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ ได้แบบมาตรฐานเดียว

    ที่น่าสนใจคือ ByteDance เป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวที่เข้าร่วมโครงการนี้ ท่ามกลางบริษัทตะวันตกยักษ์ใหญ่มากมาย เช่น Microsoft, HPE, MiTAC และ Google ซึ่งถือเป็นความร่วมมือข้ามชาติที่หาได้ยากในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์

    โครงการ openSFI คืออะไร
    เป็นมาตรฐานกลางสำหรับการเชื่อมต่อระหว่างเฟิร์มแวร์กับชิป CPU
    ช่วยให้เฟิร์มแวร์ทำงานร่วมกับชิปจากหลายค่ายได้ง่ายขึ้น
    ลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนาเฟิร์มแวร์
    เพิ่มความสามารถในการนำกลับมาใช้ซ้ำ (reusability)
    ส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์

    ความร่วมมือระดับโลก
    นำโดย AMD, Intel, Arm, Google และ ByteDance
    ByteDance เป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวในโครงการ
    มีบริษัทอื่นร่วมด้วย เช่น Microsoft, HPE, MiTAC
    โครงการต่อยอดจาก AMD openSIL และ Intel FSP
    openSFI จะเป็นเลเยอร์กลางที่เชื่อมทั้งสองระบบเข้าด้วยกัน

    เป้าหมายของ openSFI
    สร้าง API ที่เสถียรและเป็นมาตรฐาน
    ให้ host firmware เรียกใช้ฟังก์ชันของชิปได้แบบไม่ขึ้นกับผู้ผลิต
    ลดความซ้ำซ้อนในการพัฒนาและการตรวจสอบระบบ
    สนับสนุนการพัฒนาเฟิร์มแวร์แบบโมดูลาร์และขยายได้

    https://www.techradar.com/pro/tiktok-owner-is-collaborating-with-amd-arm-and-intel-on-making-firmware-solutions-better-bytedance-is-the-only-chinese-company-participating-in-this-major-project
    🤝 “ByteDance จับมือ AMD, Intel, Arm และ Google สร้างมาตรฐานใหม่ให้เฟิร์มแวร์ – เปิดตัวโครงการ openSFI” ใครจะคิดว่าเจ้าของ TikTok อย่าง ByteDance จะมาร่วมวงกับยักษ์ใหญ่สายฮาร์ดแวร์อย่าง AMD, Intel, Arm และ Google ในการพัฒนาเฟิร์มแวร์ระดับล่างของระบบคอมพิวเตอร์ ล่าสุดพวกเขาร่วมกันเปิดตัวโครงการชื่อว่า “openSFI” (Open Silicon Firmware Interface) ซึ่งเป็นความพยายามครั้งใหญ่ในการสร้างมาตรฐานกลางสำหรับการสื่อสารระหว่างเฟิร์มแวร์กับชิป CPU openSFI มีเป้าหมายเพื่อให้เฟิร์มแวร์สามารถทำงานร่วมกับชิปจากผู้ผลิตต่าง ๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนแพลตฟอร์ม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน ลดเวลาในการพัฒนา และเพิ่มความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม โครงการนี้ต่อยอดจากความพยายามของ AMD ที่ชื่อว่า openSIL ซึ่งเป็นเฟิร์มแวร์แบบโอเพ่นซอร์สที่มาแทน AGESA และของ Intel ที่ชื่อว่า FSP (Firmware Support Package) โดย openSFI จะเป็นเลเยอร์กลางที่นั่งอยู่เหนือ openSIL และ FSP เพื่อให้เฟิร์มแวร์เรียกใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ ได้แบบมาตรฐานเดียว ที่น่าสนใจคือ ByteDance เป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวที่เข้าร่วมโครงการนี้ ท่ามกลางบริษัทตะวันตกยักษ์ใหญ่มากมาย เช่น Microsoft, HPE, MiTAC และ Google ซึ่งถือเป็นความร่วมมือข้ามชาติที่หาได้ยากในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ✅ โครงการ openSFI คืออะไร ➡️ เป็นมาตรฐานกลางสำหรับการเชื่อมต่อระหว่างเฟิร์มแวร์กับชิป CPU ➡️ ช่วยให้เฟิร์มแวร์ทำงานร่วมกับชิปจากหลายค่ายได้ง่ายขึ้น ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนาเฟิร์มแวร์ ➡️ เพิ่มความสามารถในการนำกลับมาใช้ซ้ำ (reusability) ➡️ ส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ ✅ ความร่วมมือระดับโลก ➡️ นำโดย AMD, Intel, Arm, Google และ ByteDance ➡️ ByteDance เป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวในโครงการ ➡️ มีบริษัทอื่นร่วมด้วย เช่น Microsoft, HPE, MiTAC ➡️ โครงการต่อยอดจาก AMD openSIL และ Intel FSP ➡️ openSFI จะเป็นเลเยอร์กลางที่เชื่อมทั้งสองระบบเข้าด้วยกัน ✅ เป้าหมายของ openSFI ➡️ สร้าง API ที่เสถียรและเป็นมาตรฐาน ➡️ ให้ host firmware เรียกใช้ฟังก์ชันของชิปได้แบบไม่ขึ้นกับผู้ผลิต ➡️ ลดความซ้ำซ้อนในการพัฒนาและการตรวจสอบระบบ ➡️ สนับสนุนการพัฒนาเฟิร์มแวร์แบบโมดูลาร์และขยายได้ https://www.techradar.com/pro/tiktok-owner-is-collaborating-with-amd-arm-and-intel-on-making-firmware-solutions-better-bytedance-is-the-only-chinese-company-participating-in-this-major-project
    WWW.TECHRADAR.COM
    Firmware wars take a new turn as openSFI promises to break vendor barriers
    OpenSFI layers above AMD’s openSIL and Intel’s FSP for unified function calls
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
More Results