• เรื่องเล่าจาก DNS สู่ Deepfake: เมื่อชื่อเว็บไซต์กลายเป็นกับดักที่ฉลาดเกินกว่าที่มนุษย์จะสังเกตได้

    ในปี 2025 การโจมตีแบบ “Domain-Based Attacks” ได้พัฒนาไปไกลกว่าการหลอกให้คลิกลิงก์ปลอม เพราะตอนนี้แฮกเกอร์ใช้ AI สร้างเว็บไซต์ปลอมที่เหมือนจริงจนแทบแยกไม่ออก พร้อมแชตบอตปลอมที่พูดคุยกับเหยื่อได้อย่างแนบเนียน

    รูปแบบการโจมตีมีหลากหลาย เช่น domain spoofing, DNS hijacking, domain shadowing, search engine poisoning และแม้แต่การใช้ deepfake เสียงหรือวิดีโอในหน้าเว็บปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว

    AI ยังช่วยให้แฮกเกอร์สร้างโดเมนใหม่ได้หลายพันชื่อในเวลาไม่กี่นาทีผ่าน Domain Generation Algorithms (DGAs) ซึ่งทำให้ระบบความปลอดภัยตามไม่ทัน เพราะโดเมนใหม่ยังไม่อยู่ใน blocklist และสามารถใช้โจมตีได้ทันทีหลังเปิดตัว

    ที่น่ากังวลคือ AI chatbot บางตัว เช่นที่ใช้ใน search engine หรือบริการช่วยเหลือ อาจถูกหลอกให้แนะนำลิงก์ปลอมแก่ผู้ใช้โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่สามารถแยกแยะโดเมนปลอมที่ใช้ตัวอักษรคล้ายกัน เช่น “ɢoogle.com” แทน “google.com”

    แม้จะมีเครื่องมือป้องกัน เช่น DMARC, DKIM, DNSSEC หรือ Registry Lock แต่การใช้งานจริงยังต่ำมากในองค์กรทั่วโลก โดยเฉพาะ DNS redundancy ที่ลดลงจาก 19% เหลือ 17% ในปี 2025

    รูปแบบการโจมตีที่ใช้ชื่อโดเมน
    Website spoofing: สร้างเว็บปลอมที่เหมือนเว็บจริง
    Domain spoofing: ใช้ URL ที่คล้ายกับของจริง เช่น gooogle.com
    DNS hijacking: เปลี่ยนเส้นทางจากเว็บจริงไปยังเว็บปลอม
    Domain shadowing: สร้าง subdomain ปลอมในเว็บที่ถูกเจาะ
    Search engine poisoning: ดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับในผลการค้นหา
    Email domain phishing: ส่งอีเมลจากโดเมนปลอมที่ดูเหมือนของจริง

    บทบาทของ AI ในการโจมตี
    ใช้ AI สร้างเว็บไซต์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ
    ใช้ deepfake เสียงและวิดีโอในหน้าเว็บเพื่อหลอกเหยื่อ
    ใช้ AI chatbot ปลอมพูดคุยกับเหยื่อเพื่อเก็บข้อมูล
    ใช้ DGAs สร้างโดเมนใหม่หลายพันชื่อในเวลาไม่กี่นาที
    ใช้ AI เขียนอีเมล phishing ที่เหมือนจริงและเจาะจงเป้าหมาย

    สถิติและแนวโน้มที่น่าจับตา
    1 ใน 174 DNS requests ในปี 2024 เป็นอันตราย (เพิ่มจาก 1 ใน 1,000 ในปี 2023)
    70,000 จาก 800,000 โดเมนที่ถูกตรวจสอบถูก hijack แล้ว
    25% ของโดเมนใหม่ในปีที่ผ่านมาเป็นอันตรายหรือน่าสงสัย
    55% ของโดเมนที่ใช้โจมตีถูกสร้างโดย DGAs
    DMARC คาดว่าจะมีการใช้งานถึง 70% ในปี 2025 แต่ยังไม่เพียงพอ

    https://www.csoonline.com/article/4055796/why-domain-based-attacks-will-continue-to-wreak-havoc.html
    🎙️ เรื่องเล่าจาก DNS สู่ Deepfake: เมื่อชื่อเว็บไซต์กลายเป็นกับดักที่ฉลาดเกินกว่าที่มนุษย์จะสังเกตได้ ในปี 2025 การโจมตีแบบ “Domain-Based Attacks” ได้พัฒนาไปไกลกว่าการหลอกให้คลิกลิงก์ปลอม เพราะตอนนี้แฮกเกอร์ใช้ AI สร้างเว็บไซต์ปลอมที่เหมือนจริงจนแทบแยกไม่ออก พร้อมแชตบอตปลอมที่พูดคุยกับเหยื่อได้อย่างแนบเนียน รูปแบบการโจมตีมีหลากหลาย เช่น domain spoofing, DNS hijacking, domain shadowing, search engine poisoning และแม้แต่การใช้ deepfake เสียงหรือวิดีโอในหน้าเว็บปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว AI ยังช่วยให้แฮกเกอร์สร้างโดเมนใหม่ได้หลายพันชื่อในเวลาไม่กี่นาทีผ่าน Domain Generation Algorithms (DGAs) ซึ่งทำให้ระบบความปลอดภัยตามไม่ทัน เพราะโดเมนใหม่ยังไม่อยู่ใน blocklist และสามารถใช้โจมตีได้ทันทีหลังเปิดตัว ที่น่ากังวลคือ AI chatbot บางตัว เช่นที่ใช้ใน search engine หรือบริการช่วยเหลือ อาจถูกหลอกให้แนะนำลิงก์ปลอมแก่ผู้ใช้โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่สามารถแยกแยะโดเมนปลอมที่ใช้ตัวอักษรคล้ายกัน เช่น “ɢoogle.com” แทน “google.com” แม้จะมีเครื่องมือป้องกัน เช่น DMARC, DKIM, DNSSEC หรือ Registry Lock แต่การใช้งานจริงยังต่ำมากในองค์กรทั่วโลก โดยเฉพาะ DNS redundancy ที่ลดลงจาก 19% เหลือ 17% ในปี 2025 ✅ รูปแบบการโจมตีที่ใช้ชื่อโดเมน ➡️ Website spoofing: สร้างเว็บปลอมที่เหมือนเว็บจริง ➡️ Domain spoofing: ใช้ URL ที่คล้ายกับของจริง เช่น gooogle.com ➡️ DNS hijacking: เปลี่ยนเส้นทางจากเว็บจริงไปยังเว็บปลอม ➡️ Domain shadowing: สร้าง subdomain ปลอมในเว็บที่ถูกเจาะ ➡️ Search engine poisoning: ดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับในผลการค้นหา ➡️ Email domain phishing: ส่งอีเมลจากโดเมนปลอมที่ดูเหมือนของจริง ✅ บทบาทของ AI ในการโจมตี ➡️ ใช้ AI สร้างเว็บไซต์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ ➡️ ใช้ deepfake เสียงและวิดีโอในหน้าเว็บเพื่อหลอกเหยื่อ ➡️ ใช้ AI chatbot ปลอมพูดคุยกับเหยื่อเพื่อเก็บข้อมูล ➡️ ใช้ DGAs สร้างโดเมนใหม่หลายพันชื่อในเวลาไม่กี่นาที ➡️ ใช้ AI เขียนอีเมล phishing ที่เหมือนจริงและเจาะจงเป้าหมาย ✅ สถิติและแนวโน้มที่น่าจับตา ➡️ 1 ใน 174 DNS requests ในปี 2024 เป็นอันตราย (เพิ่มจาก 1 ใน 1,000 ในปี 2023) ➡️ 70,000 จาก 800,000 โดเมนที่ถูกตรวจสอบถูก hijack แล้ว ➡️ 25% ของโดเมนใหม่ในปีที่ผ่านมาเป็นอันตรายหรือน่าสงสัย ➡️ 55% ของโดเมนที่ใช้โจมตีถูกสร้างโดย DGAs ➡️ DMARC คาดว่าจะมีการใช้งานถึง 70% ในปี 2025 แต่ยังไม่เพียงพอ https://www.csoonline.com/article/4055796/why-domain-based-attacks-will-continue-to-wreak-havoc.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Why domain-based attacks will continue to wreak havoc
    Hackers are using AI to supercharge domain-based attacks, and most companies aren’t nearly ready to keep up.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากการค้นหาซอฟต์แวร์ถึงการถูกควบคุมเครื่อง: เมื่อการคลิกผิดเพียงครั้งเดียวอาจเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามา

    ในเดือนสิงหาคม 2025 FortiGuard Labs ได้เปิดเผยแคมเปญโจมตีแบบใหม่ที่ใช้เทคนิค SEO Poisoning เพื่อหลอกผู้ใช้ Windows ที่พูดภาษาจีนให้ดาวน์โหลดมัลแวร์ โดยแฮกเกอร์สร้างเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนเว็บของผู้ให้บริการซอฟต์แวร์จริง และใช้ปลั๊กอินพิเศษดันอันดับเว็บไซต์ให้ขึ้นไปอยู่บนสุดของผลการค้นหา

    เมื่อผู้ใช้เข้าเว็บและดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง จะพบว่าไฟล์นั้นมีทั้งแอปจริงและมัลแวร์แฝงอยู่ ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ตัวว่าติดมัลแวร์แล้ว โดยมัลแวร์จะตรวจสอบก่อนว่าเครื่องนั้นอยู่ในสภาพแวดล้อมวิจัยหรือ sandbox หรือไม่ หากพบว่าเป็นเครื่องทดสอบ มันจะหยุดทำงานทันทีเพื่อหลบเลี่ยงการถูกวิเคราะห์

    มัลแวร์ที่ถูกฝังไว้มีสองตัวหลักคือ Hiddengh0st ซึ่งใช้ควบคุมเครื่องจากระยะไกล และ Winos ซึ่งเน้นขโมยข้อมูล เช่น คีย์ที่พิมพ์, ข้อมูล clipboard, และข้อมูลจากกระเป๋าคริปโตอย่าง Tether และ Ethereum

    เพื่อให้มัลแวร์อยู่ในเครื่องได้นานที่สุด มันจะเปลี่ยนไฟล์ระบบและสร้างไฟล์ใหม่ที่เปิดตัวเองทุกครั้งที่เปิดเครื่อง พร้อมใช้เทคนิคหลอกตา เช่น การเปลี่ยนตัวอักษรในโดเมน (เช่น “google.com” กับ “ɢoogle.com”) เพื่อให้ผู้ใช้ไม่ทันสังเกต

    วิธีการโจมตีแบบ SEO Poisoning
    สร้างเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบเว็บซอฟต์แวร์จริง
    ใช้ปลั๊กอินดันอันดับเว็บปลอมให้ขึ้นผลการค้นหา
    ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บจริงและดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง

    ลักษณะของมัลแวร์ที่ใช้
    Hiddengh0st: ควบคุมเครื่องจากระยะไกล
    Winos: ขโมยข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลคริปโต
    ตรวจสอบสภาพแวดล้อมก่อนทำงานเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    เทคนิคการหลอกลวงเพิ่มเติม
    ใช้โดเมนที่คล้ายกัน เช่น “ɢoogle.com” แทน “google.com”
    ฝังมัลแวร์ไว้ในไฟล์ติดตั้งที่มีแอปจริงร่วมด้วย
    เปลี่ยนไฟล์ระบบและสร้างไฟล์ใหม่เพื่อเปิดตัวเองอัตโนมัติ

    https://hackread.com/seo-poisoning-attack-windows-hiddengh0st-winos-malware/
    🎙️ เรื่องเล่าจากการค้นหาซอฟต์แวร์ถึงการถูกควบคุมเครื่อง: เมื่อการคลิกผิดเพียงครั้งเดียวอาจเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามา ในเดือนสิงหาคม 2025 FortiGuard Labs ได้เปิดเผยแคมเปญโจมตีแบบใหม่ที่ใช้เทคนิค SEO Poisoning เพื่อหลอกผู้ใช้ Windows ที่พูดภาษาจีนให้ดาวน์โหลดมัลแวร์ โดยแฮกเกอร์สร้างเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนเว็บของผู้ให้บริการซอฟต์แวร์จริง และใช้ปลั๊กอินพิเศษดันอันดับเว็บไซต์ให้ขึ้นไปอยู่บนสุดของผลการค้นหา เมื่อผู้ใช้เข้าเว็บและดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง จะพบว่าไฟล์นั้นมีทั้งแอปจริงและมัลแวร์แฝงอยู่ ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ตัวว่าติดมัลแวร์แล้ว โดยมัลแวร์จะตรวจสอบก่อนว่าเครื่องนั้นอยู่ในสภาพแวดล้อมวิจัยหรือ sandbox หรือไม่ หากพบว่าเป็นเครื่องทดสอบ มันจะหยุดทำงานทันทีเพื่อหลบเลี่ยงการถูกวิเคราะห์ มัลแวร์ที่ถูกฝังไว้มีสองตัวหลักคือ Hiddengh0st ซึ่งใช้ควบคุมเครื่องจากระยะไกล และ Winos ซึ่งเน้นขโมยข้อมูล เช่น คีย์ที่พิมพ์, ข้อมูล clipboard, และข้อมูลจากกระเป๋าคริปโตอย่าง Tether และ Ethereum เพื่อให้มัลแวร์อยู่ในเครื่องได้นานที่สุด มันจะเปลี่ยนไฟล์ระบบและสร้างไฟล์ใหม่ที่เปิดตัวเองทุกครั้งที่เปิดเครื่อง พร้อมใช้เทคนิคหลอกตา เช่น การเปลี่ยนตัวอักษรในโดเมน (เช่น “google.com” กับ “ɢoogle.com”) เพื่อให้ผู้ใช้ไม่ทันสังเกต ✅ วิธีการโจมตีแบบ SEO Poisoning ➡️ สร้างเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบเว็บซอฟต์แวร์จริง ➡️ ใช้ปลั๊กอินดันอันดับเว็บปลอมให้ขึ้นผลการค้นหา ➡️ ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บจริงและดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง ✅ ลักษณะของมัลแวร์ที่ใช้ ➡️ Hiddengh0st: ควบคุมเครื่องจากระยะไกล ➡️ Winos: ขโมยข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลคริปโต ➡️ ตรวจสอบสภาพแวดล้อมก่อนทำงานเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ✅ เทคนิคการหลอกลวงเพิ่มเติม ➡️ ใช้โดเมนที่คล้ายกัน เช่น “ɢoogle.com” แทน “google.com” ➡️ ฝังมัลแวร์ไว้ในไฟล์ติดตั้งที่มีแอปจริงร่วมด้วย ➡️ เปลี่ยนไฟล์ระบบและสร้างไฟล์ใหม่เพื่อเปิดตัวเองอัตโนมัติ https://hackread.com/seo-poisoning-attack-windows-hiddengh0st-winos-malware/
    HACKREAD.COM
    SEO Poisoning Attack Hits Windows Users With Hiddengh0st and Winos Malware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Chat Control: กฎหมายสแกนแชต EU ใกล้ผ่าน — เสียงคัดค้านเพิ่มขึ้น แต่แรงสนับสนุนยังแข็งแกร่ง”

    ในวันที่ 12 กันยายน 2025 สภาสหภาพยุโรป (EU Council) เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายต่อร่างกฎหมาย “Chat Control” ซึ่งมีเป้าหมายในการตรวจจับเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) โดยบังคับให้บริการส่งข้อความทุกประเภท — แม้จะมีการเข้ารหัสแบบ end-to-end — ต้องสแกนเนื้อหาของผู้ใช้ทั้งหมด

    แม้จะมีเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก EU ถึง 15 ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และสวีเดน แต่กระแสคัดค้านก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเยอรมนีและลักเซมเบิร์กได้เข้าร่วมกับออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์ในการต่อต้านร่างกฎหมายนี้ โดยมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์กว่า 600 คน รวมถึงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ยกเลิกร่างกฎหมายนี้ โดยระบุว่าการสแกนแชตแบบ client-side จะทำให้ระบบเข้ารหัสอ่อนแอลง และเปิดช่องให้เกิดการโจมตีจากภายนอกได้ง่ายขึ้น

    แม้ร่างกฎหมายจะระบุว่า “การเข้ารหัสควรได้รับการปกป้องอย่างครอบคลุม” แต่ข้อกำหนดที่ให้สแกนเนื้อหาทั้งหมด รวมถึงไฟล์และลิงก์ที่ส่งผ่าน WhatsApp, Signal หรือ ProtonMail ก็ยังคงอยู่ โดยบัญชีของรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน

    การลงคะแนนเสียงครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 และหากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าแชตส่วนตัวของผู้ใช้ในยุโรปอาจถูกสแกนทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้

    ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับร่างกฎหมาย Chat Control
    สภา EU เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายในวันที่ 12 กันยายน 2025
    ร่างกฎหมายมีเป้าหมายตรวจจับ CSAM โดยสแกนแชตผู้ใช้ทุกคน แม้จะมีการเข้ารหัส
    บัญชีรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน
    หากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2025

    ประเทศที่สนับสนุนและคัดค้าน
    ประเทศสนับสนุน ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน ลิทัวเนีย ไซปรัส ลัตเวีย และไอร์แลนด์
    ประเทศคัดค้านล่าสุด ได้แก่ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์
    เบลเยียมเรียกร่างนี้ว่า “สัตว์ประหลาดที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวและควบคุมไม่ได้”
    ประเทศที่ยังไม่ตัดสินใจ ได้แก่ เอสโตเนีย กรีซ โรมาเนีย และสโลวีเนีย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าการสแกนแบบ client-side มี false positive สูงถึง 10%
    การเปิดช่องให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอาจกลายเป็น “ภัยความมั่นคงระดับชาติ”
    การสแกนเนื้อหาแบบเรียลไทม์ยังไม่มีเทคโนโลยีที่แม่นยำพอ
    การเข้ารหัสแบบ end-to-end เป็นหัวใจของความปลอดภัยในยุคดิจิทัล

    https://www.techradar.com/computing/cyber-security/chat-control-the-list-of-countries-opposing-the-law-grows-but-support-remains-strong
    🔐 “Chat Control: กฎหมายสแกนแชต EU ใกล้ผ่าน — เสียงคัดค้านเพิ่มขึ้น แต่แรงสนับสนุนยังแข็งแกร่ง” ในวันที่ 12 กันยายน 2025 สภาสหภาพยุโรป (EU Council) เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายต่อร่างกฎหมาย “Chat Control” ซึ่งมีเป้าหมายในการตรวจจับเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) โดยบังคับให้บริการส่งข้อความทุกประเภท — แม้จะมีการเข้ารหัสแบบ end-to-end — ต้องสแกนเนื้อหาของผู้ใช้ทั้งหมด แม้จะมีเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก EU ถึง 15 ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และสวีเดน แต่กระแสคัดค้านก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเยอรมนีและลักเซมเบิร์กได้เข้าร่วมกับออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์ในการต่อต้านร่างกฎหมายนี้ โดยมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์กว่า 600 คน รวมถึงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ยกเลิกร่างกฎหมายนี้ โดยระบุว่าการสแกนแชตแบบ client-side จะทำให้ระบบเข้ารหัสอ่อนแอลง และเปิดช่องให้เกิดการโจมตีจากภายนอกได้ง่ายขึ้น แม้ร่างกฎหมายจะระบุว่า “การเข้ารหัสควรได้รับการปกป้องอย่างครอบคลุม” แต่ข้อกำหนดที่ให้สแกนเนื้อหาทั้งหมด รวมถึงไฟล์และลิงก์ที่ส่งผ่าน WhatsApp, Signal หรือ ProtonMail ก็ยังคงอยู่ โดยบัญชีของรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน การลงคะแนนเสียงครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 และหากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าแชตส่วนตัวของผู้ใช้ในยุโรปอาจถูกสแกนทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับร่างกฎหมาย Chat Control ➡️ สภา EU เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายในวันที่ 12 กันยายน 2025 ➡️ ร่างกฎหมายมีเป้าหมายตรวจจับ CSAM โดยสแกนแชตผู้ใช้ทุกคน แม้จะมีการเข้ารหัส ➡️ บัญชีรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน ➡️ หากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2025 ✅ ประเทศที่สนับสนุนและคัดค้าน ➡️ ประเทศสนับสนุน ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน ลิทัวเนีย ไซปรัส ลัตเวีย และไอร์แลนด์ ➡️ ประเทศคัดค้านล่าสุด ได้แก่ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์ ➡️ เบลเยียมเรียกร่างนี้ว่า “สัตว์ประหลาดที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวและควบคุมไม่ได้” ➡️ ประเทศที่ยังไม่ตัดสินใจ ได้แก่ เอสโตเนีย กรีซ โรมาเนีย และสโลวีเนีย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าการสแกนแบบ client-side มี false positive สูงถึง 10% ➡️ การเปิดช่องให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอาจกลายเป็น “ภัยความมั่นคงระดับชาติ” ➡️ การสแกนเนื้อหาแบบเรียลไทม์ยังไม่มีเทคโนโลยีที่แม่นยำพอ ➡️ การเข้ารหัสแบบ end-to-end เป็นหัวใจของความปลอดภัยในยุคดิจิทัล https://www.techradar.com/computing/cyber-security/chat-control-the-list-of-countries-opposing-the-law-grows-but-support-remains-strong
    WWW.TECHRADAR.COM
    Chat Control: The list of countries opposing the law grows, but support remains strong
    Germany and Luxembourg joined the opposition on the eve of the crucial September 12 meeting
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • “5 เครื่องมือ AI ช่วยสมัครงานที่ดีที่สุดในปี 2025 — จากจัดการเรซูเม่ถึงสมัครอัตโนมัติ แต่ต้องใช้ด้วยความระวัง”

    ในยุคที่การหางานกลายเป็นภารกิจที่กินพลังชีวิตมากกว่าที่คิด ทั้งการเขียนเรซูเม่ให้ตรงกับแต่ละตำแหน่ง การตอบคำถามคัดกรอง และการติดตามสถานะการสมัคร — AI ได้เข้ามาเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่ไร้ข้อจำกัด

    บทความจาก SlashGear ได้จัดอันดับเครื่องมือ AI ที่ดีที่สุดสำหรับการสมัครงานในปี 2025 โดยอิงจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่เคยทำงานด้าน HR และการวิเคราะห์ฟีเจอร์ของแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การจัดการเรซูเม่ การตรวจสอบ ATS ไปจนถึงการสมัครงานแบบอัตโนมัติ

    เครื่องมือที่ได้รับการแนะนำ ได้แก่:
    - Huntr สำหรับการติดตามสถานะการสมัครและจัดการเรซูเม่หลายเวอร์ชัน
    - Enhancv สำหรับตรวจสอบว่าเรซูเม่ผ่านระบบ ATS ได้หรือไม่
    - JobCopilot สำหรับการสมัครงานอัตโนมัติแบบไม่ต้องกรอกซ้ำ
    - LinkedIn Job Match AI สำหรับการจับคู่ตำแหน่งงานกับโปรไฟล์ของผู้สมัคร
    - Kickresume สำหรับการปรับแต่งเรซูเม่ให้ตรงกับประกาศงานและดูเป็นมืออาชีพ

    แม้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยลดภาระในการสมัครงาน แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับระบบ AI, ความเสี่ยงจากการสมัครงานที่ไม่ตรงเป้าหมาย และการถูกกรองออกโดยระบบของบริษัทที่ไม่รับเรซูเม่ที่สร้างด้วย AI

    เครื่องมือ AI ที่ช่วยในการสมัครงาน
    Huntr: ติดตามสถานะการสมัคร, จัดการเรซูเม่, เก็บข้อมูลประกาศงาน
    Enhancv: ตรวจสอบเรซูเม่ให้ผ่านระบบ ATS, วิเคราะห์ความยาว, bullet points, การใช้คำซ้ำ
    JobCopilot: สมัครงานอัตโนมัติ, ตอบคำถามคัดกรองครั้งเดียว, มีแดชบอร์ดติดตาม
    LinkedIn Job Match AI: วิเคราะห์ความเหมาะสมของโปรไฟล์กับตำแหน่งงาน, ใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ Premium
    Kickresume: สร้างและปรับแต่งเรซูเม่ด้วย AI, เลือกรับคำแนะนำเฉพาะจุด, รองรับการเขียน cover letter

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ATS (Applicant Tracking System) เป็นระบบที่บริษัทใช้กรองเรซูเม่ก่อนถึงมือ HR
    Resume ที่ไม่ผ่าน ATS จะถูกคัดออกทันที แม้จะมีคุณสมบัติเหมาะสม
    AI resume optimization ช่วยให้ผ่านการกรองเบื้องต้นและเพิ่มโอกาสเข้าสัมภาษณ์
    เครื่องมืออย่าง Careerflow, LoopCV, Sonara.ai ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดเดียวกัน

    https://www.slashgear.com/1942696/best-ai-tools-applying-to-jobs-ranked/
    🤖 “5 เครื่องมือ AI ช่วยสมัครงานที่ดีที่สุดในปี 2025 — จากจัดการเรซูเม่ถึงสมัครอัตโนมัติ แต่ต้องใช้ด้วยความระวัง” ในยุคที่การหางานกลายเป็นภารกิจที่กินพลังชีวิตมากกว่าที่คิด ทั้งการเขียนเรซูเม่ให้ตรงกับแต่ละตำแหน่ง การตอบคำถามคัดกรอง และการติดตามสถานะการสมัคร — AI ได้เข้ามาเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่ไร้ข้อจำกัด บทความจาก SlashGear ได้จัดอันดับเครื่องมือ AI ที่ดีที่สุดสำหรับการสมัครงานในปี 2025 โดยอิงจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่เคยทำงานด้าน HR และการวิเคราะห์ฟีเจอร์ของแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การจัดการเรซูเม่ การตรวจสอบ ATS ไปจนถึงการสมัครงานแบบอัตโนมัติ เครื่องมือที่ได้รับการแนะนำ ได้แก่: - Huntr สำหรับการติดตามสถานะการสมัครและจัดการเรซูเม่หลายเวอร์ชัน - Enhancv สำหรับตรวจสอบว่าเรซูเม่ผ่านระบบ ATS ได้หรือไม่ - JobCopilot สำหรับการสมัครงานอัตโนมัติแบบไม่ต้องกรอกซ้ำ - LinkedIn Job Match AI สำหรับการจับคู่ตำแหน่งงานกับโปรไฟล์ของผู้สมัคร - Kickresume สำหรับการปรับแต่งเรซูเม่ให้ตรงกับประกาศงานและดูเป็นมืออาชีพ แม้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยลดภาระในการสมัครงาน แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับระบบ AI, ความเสี่ยงจากการสมัครงานที่ไม่ตรงเป้าหมาย และการถูกกรองออกโดยระบบของบริษัทที่ไม่รับเรซูเม่ที่สร้างด้วย AI ✅ เครื่องมือ AI ที่ช่วยในการสมัครงาน ➡️ Huntr: ติดตามสถานะการสมัคร, จัดการเรซูเม่, เก็บข้อมูลประกาศงาน ➡️ Enhancv: ตรวจสอบเรซูเม่ให้ผ่านระบบ ATS, วิเคราะห์ความยาว, bullet points, การใช้คำซ้ำ ➡️ JobCopilot: สมัครงานอัตโนมัติ, ตอบคำถามคัดกรองครั้งเดียว, มีแดชบอร์ดติดตาม ➡️ LinkedIn Job Match AI: วิเคราะห์ความเหมาะสมของโปรไฟล์กับตำแหน่งงาน, ใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ Premium ➡️ Kickresume: สร้างและปรับแต่งเรซูเม่ด้วย AI, เลือกรับคำแนะนำเฉพาะจุด, รองรับการเขียน cover letter ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ATS (Applicant Tracking System) เป็นระบบที่บริษัทใช้กรองเรซูเม่ก่อนถึงมือ HR ➡️ Resume ที่ไม่ผ่าน ATS จะถูกคัดออกทันที แม้จะมีคุณสมบัติเหมาะสม ➡️ AI resume optimization ช่วยให้ผ่านการกรองเบื้องต้นและเพิ่มโอกาสเข้าสัมภาษณ์ ➡️ เครื่องมืออย่าง Careerflow, LoopCV, Sonara.ai ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดเดียวกัน https://www.slashgear.com/1942696/best-ai-tools-applying-to-jobs-ranked/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Of The Best AI Tools For Applying To Jobs, Ranked - SlashGear
    5 of the best AI tools to streamline your job search, from resume optimization and application tracking to LinkedIn job matching and auto-apply options.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน ล่าตัวแฮกเกอร์ยูเครน Volodymyr Tymoshchuk — ผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีไซเบอร์มูลค่า $18 พันล้านทั่วโลก”

    Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี กลายเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ทั่วโลก หลังจากถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าทีมแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วย ransomware ชุดใหญ่ ได้แก่ MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมมูลค่าความเสียหายกว่า $18 พันล้าน

    หนึ่งในเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคือการโจมตีบริษัทพลังงานหมุนเวียน Norsk Hydro ในปี 2019 ซึ่งทำให้ระบบของบริษัทกว่า 170 แห่งทั่วโลกหยุดชะงัก และสร้างความเสียหายกว่า $81 ล้าน. Tymoshchuk ถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือเจาะระบบอย่าง Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่ายของเหยื่อเป็นเวลาหลายเดือนก่อนปล่อย ransomware

    หลังจาก LockerGoga และ MegaCortex ถูกถอดรหัสโดยหน่วยงานความมั่นคง Tymoshchuk ก็หันไปพัฒนา Nefilim ซึ่งเน้นโจมตีบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน โดยขายสิทธิ์การเข้าถึงให้กับแฮกเกอร์รายอื่น แลกกับส่วนแบ่ง 20% จากเงินค่าไถ่ที่ได้รับ

    ล่าสุด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk และเปิดเผยรายชื่อเหยื่อบางส่วนในคำฟ้องที่ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 โดยเขาถูกตั้งข้อหาทั้งหมด 7 กระทง รวมถึงการทำลายข้อมูลโดยเจตนา การเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต และการข่มขู่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว

    ข้อมูลจากข่าวการตั้งค่าหัว
    สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลนำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk
    ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง ransomware MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim
    สร้างความเสียหายรวมกว่า $18 พันล้านทั่วโลก
    หน่วยงานที่ร่วมมือ ได้แก่ FBI, DOJ, Europol และรัฐบาลฝรั่งเศส, เยอรมนี, นอร์เวย์

    รายละเอียดการโจมตี
    MegaCortex เปลี่ยนรหัสผ่าน Windows และเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ
    LockerGoga โจมตี Norsk Hydro ทำให้ระบบกว่า 170 แห่งหยุดชะงัก
    Nefilim เน้นโจมตีบริษัทมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน และขายสิทธิ์ให้แฮกเกอร์อื่น
    ใช้เครื่องมือเจาะระบบ เช่น Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่าย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น “deadforz”, “Boba”, “msfv”, “farnetwork”
    Europol จัดให้เขาอยู่ในรายชื่อ “Most Wanted” ของยุโรป
    การโจมตีบางครั้งทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าไถ่เกิน $1 ล้านต่อครั้ง
    คำฟ้องระบุว่าเขาอาจถูกลงโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต หากถูกจับและตัดสินว่าผิด

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Tymoshchuk ยังไม่ถูกจับ — ยังคงหลบหนีและอาจมีการโจมตีเพิ่มเติม
    การโจมตีแบบแฝงตัวหลายเดือนทำให้ตรวจจับได้ยาก
    บริษัทที่ถูกโจมตีมักไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจ่ายค่าไถ่
    การใช้เครื่องมือเจาะระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายในทางผิด ทำให้การป้องกันซับซ้อน
    การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/u-s-places-usd11-million-bounty-on-ukrainian-ransomware-mastermind-tymoshchuk-allegedly-stole-usd18-billion-from-large-companies-over-3-years
    🕵️‍♂️ “สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน ล่าตัวแฮกเกอร์ยูเครน Volodymyr Tymoshchuk — ผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีไซเบอร์มูลค่า $18 พันล้านทั่วโลก” Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี กลายเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ทั่วโลก หลังจากถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าทีมแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วย ransomware ชุดใหญ่ ได้แก่ MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมมูลค่าความเสียหายกว่า $18 พันล้าน หนึ่งในเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคือการโจมตีบริษัทพลังงานหมุนเวียน Norsk Hydro ในปี 2019 ซึ่งทำให้ระบบของบริษัทกว่า 170 แห่งทั่วโลกหยุดชะงัก และสร้างความเสียหายกว่า $81 ล้าน. Tymoshchuk ถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือเจาะระบบอย่าง Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่ายของเหยื่อเป็นเวลาหลายเดือนก่อนปล่อย ransomware หลังจาก LockerGoga และ MegaCortex ถูกถอดรหัสโดยหน่วยงานความมั่นคง Tymoshchuk ก็หันไปพัฒนา Nefilim ซึ่งเน้นโจมตีบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน โดยขายสิทธิ์การเข้าถึงให้กับแฮกเกอร์รายอื่น แลกกับส่วนแบ่ง 20% จากเงินค่าไถ่ที่ได้รับ ล่าสุด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk และเปิดเผยรายชื่อเหยื่อบางส่วนในคำฟ้องที่ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 โดยเขาถูกตั้งข้อหาทั้งหมด 7 กระทง รวมถึงการทำลายข้อมูลโดยเจตนา การเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต และการข่มขู่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ✅ ข้อมูลจากข่าวการตั้งค่าหัว ➡️ สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลนำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk ➡️ ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง ransomware MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim ➡️ สร้างความเสียหายรวมกว่า $18 พันล้านทั่วโลก ➡️ หน่วยงานที่ร่วมมือ ได้แก่ FBI, DOJ, Europol และรัฐบาลฝรั่งเศส, เยอรมนี, นอร์เวย์ ✅ รายละเอียดการโจมตี ➡️ MegaCortex เปลี่ยนรหัสผ่าน Windows และเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ ➡️ LockerGoga โจมตี Norsk Hydro ทำให้ระบบกว่า 170 แห่งหยุดชะงัก ➡️ Nefilim เน้นโจมตีบริษัทมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน และขายสิทธิ์ให้แฮกเกอร์อื่น ➡️ ใช้เครื่องมือเจาะระบบ เช่น Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่าย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น “deadforz”, “Boba”, “msfv”, “farnetwork” ➡️ Europol จัดให้เขาอยู่ในรายชื่อ “Most Wanted” ของยุโรป ➡️ การโจมตีบางครั้งทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าไถ่เกิน $1 ล้านต่อครั้ง ➡️ คำฟ้องระบุว่าเขาอาจถูกลงโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต หากถูกจับและตัดสินว่าผิด ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Tymoshchuk ยังไม่ถูกจับ — ยังคงหลบหนีและอาจมีการโจมตีเพิ่มเติม ⛔ การโจมตีแบบแฝงตัวหลายเดือนทำให้ตรวจจับได้ยาก ⛔ บริษัทที่ถูกโจมตีมักไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจ่ายค่าไถ่ ⛔ การใช้เครื่องมือเจาะระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายในทางผิด ทำให้การป้องกันซับซ้อน ⛔ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/u-s-places-usd11-million-bounty-on-ukrainian-ransomware-mastermind-tymoshchuk-allegedly-stole-usd18-billion-from-large-companies-over-3-years
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    U.S. places $11 million bounty on Ukrainian ransomware mastermind — Tymoshchuk allegedly stole $18 billion from large companies over 3 years
    Volodymyr Tymoshchuk is accused of masterminding ransomware that disrupted 250 companies in the United States alone.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ลองเล่น LLM บน Mac แบบไม่ต้องพึ่งคลาวด์! จากคนไม่อิน AI สู่การสร้างผู้ช่วยส่วนตัวในเครื่อง — ปลอดภัยกว่า เร็วกว่า และสนุกกว่าที่คิด”

    ถ้าคุณคิดว่า AI ต้องรันบนเซิร์ฟเวอร์ใหญ่ๆ เท่านั้น — บล็อกนี้จะเปลี่ยนความคิดคุณ เพราะผู้เขียน Fatih ซึ่งออกตัวว่า “ไม่อินกับ AI” ได้ทดลองรันโมเดล LLM แบบ local บน MacBook M2 รุ่นปี 2022 โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์เลยแม้แต่นิดเดียว

    เขาเริ่มจากความสงสัยในกระแส AI ที่ดูจะเกินจริง และไม่เชื่อว่าโมเดลพวกนี้จะมี “ความคิด” หรือ “ความสร้างสรรค์” จริงๆ แต่ก็ยอมรับว่า LLM มีพฤติกรรม emergent ที่น่าสนใจ และสามารถใช้ประโยชน์ได้ เช่น สรุปข้อมูล, เขียนโน้ต, หรือแม้แต่ช่วยระบายความรู้สึกตอนตี 4

    Fatih เลือกใช้สองเครื่องมือหลักในการรัน LLM บน macOS ได้แก่:

    Llama.cpp: ไลบรารีโอเพ่นซอร์สที่รันได้เร็วและปรับแต่งได้เยอะ ติดตั้งผ่าน Nix และใช้โมเดล GGUF เช่น Gemma 3 4B QAT

    LM Studio: แอป GUI ที่ใช้ง่ายกว่า รองรับทั้ง llama.cpp และ MLX (เอนจิน ML ของ Apple) มีระบบจัดการโมเดล, แชต, และการตั้งค่าที่หลากหลาย

    เขาแนะนำให้ใช้โมเดลขนาดเล็ก เช่น Qwen3 4B หรือ Gemma 3 12B เพื่อให้รันได้ลื่นบน RAM 16GB โดยไม่ต้องรีบูตเครื่อง และยังสามารถใช้ฟีเจอร์ reasoning, tool use, และ vision ได้ในบางโมเดล

    นอกจากนี้ LM Studio ยังมีระบบ MCP (Model Capability Provider) ที่ให้โมเดลเรียกใช้เครื่องมือภายนอก เช่น JavaScript sandbox, web search, หรือแม้แต่ memory สำหรับเก็บข้อมูลระยะยาว — ทำให้สามารถสร้าง “agent” ที่คิด วิเคราะห์ และเรียกใช้เครื่องมือได้เอง

    Fatih ย้ำว่าเขาไม่เชื่อใน AI ที่รันบนคลาวด์ เพราะเสี่ยงต่อการเก็บข้อมูลส่วนตัว และไม่อยากสนับสนุนบริษัทที่มีพฤติกรรมไม่โปร่งใส เขาจึงเลือกใช้โมเดล open-weight ที่รันในเครื่อง และเชื่อว่า “ความลับบางอย่างควรอยู่ในเครื่องเราเท่านั้น”

    แนวคิดการใช้ LLM แบบ local บน macOS
    ไม่ต้องพึ่งคลาวด์หรือเซิร์ฟเวอร์ภายนอก
    ปลอดภัยกว่าและควบคุมข้อมูลได้เอง
    ใช้ได้แม้ในเครื่อง MacBook M2 RAM 16GB

    เครื่องมือที่ใช้
    Llama.cpp: โอเพ่นซอร์ส ปรับแต่งได้เยอะ รองรับ GGUF
    LM Studio: GUI ใช้ง่าย รองรับทั้ง llama.cpp และ MLX
    LM Studio มีระบบจัดการแชต, โมเดล, และการตั้งค่าขั้นสูง

    โมเดลที่แนะนำ
    Gemma 3 4B QAT: เร็วและคุณภาพดี
    Qwen3 4B Thinking: มี reasoning และขนาดเล็ก
    GPT-OSS 20B: ใหญ่แต่ฉลาดที่สุดในกลุ่มที่รันได้บนเครื่อง
    Phi-4 14B: เคยเป็นตัวโปรดก่อน GPT-OSS

    ฟีเจอร์พิเศษใน LM Studio
    MCP: ให้โมเดลเรียกใช้เครื่องมือ เช่น JavaScript, web search, memory
    Vision: โมเดลบางตัวสามารถอ่านภาพและวิเคราะห์ได้
    Reasoning: โมเดลที่ “คิดก่อนตอบ” แม้จะช้ากว่าแต่แม่นยำกว่า
    Preset: ตั้งค่า system prompt สำหรับบทบาทต่างๆ ได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LM Studio รองรับ macOS M1–M4 และ Windows/Linux ที่มี AVX2
    GGUF เป็นฟอร์แมตที่ใช้กับ llama.cpp ส่วน MLX ใช้กับเอนจินของ Apple
    โมเดล reasoning ใช้เวลานานและกิน context window มาก
    Vision model ยังไม่แม่นเท่า OCR จริง แต่ใช้ได้ในงานเบื้องต้น

    https://blog.6nok.org/experimenting-with-local-llms-on-macos/
    🧠 “ลองเล่น LLM บน Mac แบบไม่ต้องพึ่งคลาวด์! จากคนไม่อิน AI สู่การสร้างผู้ช่วยส่วนตัวในเครื่อง — ปลอดภัยกว่า เร็วกว่า และสนุกกว่าที่คิด” ถ้าคุณคิดว่า AI ต้องรันบนเซิร์ฟเวอร์ใหญ่ๆ เท่านั้น — บล็อกนี้จะเปลี่ยนความคิดคุณ เพราะผู้เขียน Fatih ซึ่งออกตัวว่า “ไม่อินกับ AI” ได้ทดลองรันโมเดล LLM แบบ local บน MacBook M2 รุ่นปี 2022 โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์เลยแม้แต่นิดเดียว เขาเริ่มจากความสงสัยในกระแส AI ที่ดูจะเกินจริง และไม่เชื่อว่าโมเดลพวกนี้จะมี “ความคิด” หรือ “ความสร้างสรรค์” จริงๆ แต่ก็ยอมรับว่า LLM มีพฤติกรรม emergent ที่น่าสนใจ และสามารถใช้ประโยชน์ได้ เช่น สรุปข้อมูล, เขียนโน้ต, หรือแม้แต่ช่วยระบายความรู้สึกตอนตี 4 Fatih เลือกใช้สองเครื่องมือหลักในการรัน LLM บน macOS ได้แก่: Llama.cpp: ไลบรารีโอเพ่นซอร์สที่รันได้เร็วและปรับแต่งได้เยอะ ติดตั้งผ่าน Nix และใช้โมเดล GGUF เช่น Gemma 3 4B QAT LM Studio: แอป GUI ที่ใช้ง่ายกว่า รองรับทั้ง llama.cpp และ MLX (เอนจิน ML ของ Apple) มีระบบจัดการโมเดล, แชต, และการตั้งค่าที่หลากหลาย เขาแนะนำให้ใช้โมเดลขนาดเล็ก เช่น Qwen3 4B หรือ Gemma 3 12B เพื่อให้รันได้ลื่นบน RAM 16GB โดยไม่ต้องรีบูตเครื่อง และยังสามารถใช้ฟีเจอร์ reasoning, tool use, และ vision ได้ในบางโมเดล นอกจากนี้ LM Studio ยังมีระบบ MCP (Model Capability Provider) ที่ให้โมเดลเรียกใช้เครื่องมือภายนอก เช่น JavaScript sandbox, web search, หรือแม้แต่ memory สำหรับเก็บข้อมูลระยะยาว — ทำให้สามารถสร้าง “agent” ที่คิด วิเคราะห์ และเรียกใช้เครื่องมือได้เอง Fatih ย้ำว่าเขาไม่เชื่อใน AI ที่รันบนคลาวด์ เพราะเสี่ยงต่อการเก็บข้อมูลส่วนตัว และไม่อยากสนับสนุนบริษัทที่มีพฤติกรรมไม่โปร่งใส เขาจึงเลือกใช้โมเดล open-weight ที่รันในเครื่อง และเชื่อว่า “ความลับบางอย่างควรอยู่ในเครื่องเราเท่านั้น” ✅ แนวคิดการใช้ LLM แบบ local บน macOS ➡️ ไม่ต้องพึ่งคลาวด์หรือเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ➡️ ปลอดภัยกว่าและควบคุมข้อมูลได้เอง ➡️ ใช้ได้แม้ในเครื่อง MacBook M2 RAM 16GB ✅ เครื่องมือที่ใช้ ➡️ Llama.cpp: โอเพ่นซอร์ส ปรับแต่งได้เยอะ รองรับ GGUF ➡️ LM Studio: GUI ใช้ง่าย รองรับทั้ง llama.cpp และ MLX ➡️ LM Studio มีระบบจัดการแชต, โมเดล, และการตั้งค่าขั้นสูง ✅ โมเดลที่แนะนำ ➡️ Gemma 3 4B QAT: เร็วและคุณภาพดี ➡️ Qwen3 4B Thinking: มี reasoning และขนาดเล็ก ➡️ GPT-OSS 20B: ใหญ่แต่ฉลาดที่สุดในกลุ่มที่รันได้บนเครื่อง ➡️ Phi-4 14B: เคยเป็นตัวโปรดก่อน GPT-OSS ✅ ฟีเจอร์พิเศษใน LM Studio ➡️ MCP: ให้โมเดลเรียกใช้เครื่องมือ เช่น JavaScript, web search, memory ➡️ Vision: โมเดลบางตัวสามารถอ่านภาพและวิเคราะห์ได้ ➡️ Reasoning: โมเดลที่ “คิดก่อนตอบ” แม้จะช้ากว่าแต่แม่นยำกว่า ➡️ Preset: ตั้งค่า system prompt สำหรับบทบาทต่างๆ ได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LM Studio รองรับ macOS M1–M4 และ Windows/Linux ที่มี AVX2 ➡️ GGUF เป็นฟอร์แมตที่ใช้กับ llama.cpp ส่วน MLX ใช้กับเอนจินของ Apple ➡️ โมเดล reasoning ใช้เวลานานและกิน context window มาก ➡️ Vision model ยังไม่แม่นเท่า OCR จริง แต่ใช้ได้ในงานเบื้องต้น https://blog.6nok.org/experimenting-with-local-llms-on-macos/
    BLOG.6NOK.ORG
    Experimenting with local LLMs on macOS
    A developer's guide to downloading and running LLMs on macOS, for experimentation and privacy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Claude สร้างไฟล์ได้แล้ว! จากแค่ตอบคำถาม สู่ผู้ช่วยที่จัดการเอกสาร Excel, PDF, PowerPoint ได้ครบวงจร — แต่ต้องระวังเรื่องข้อมูลส่วนตัว”

    ถ้าคุณเคยใช้ Claude เพื่อถามคำถามหรือให้ช่วยเขียนข้อความ ตอนนี้คุณสามารถก้าวไปอีกขั้นได้แล้ว — เพราะ Claude ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ให้ผู้ใช้ “สร้างและแก้ไขไฟล์จริง” ได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็น Excel, Word, PowerPoint หรือ PDF ผ่าน Claude.ai และแอปเดสก์ท็อป

    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานในรูปแบบพรีวิวสำหรับผู้ใช้แผน Max, Team และ Enterprise ส่วนผู้ใช้ Pro จะได้รับสิทธิ์ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยผู้ใช้สามารถอัปโหลดข้อมูลดิบหรืออธิบายสิ่งที่ต้องการ แล้ว Claude จะสร้างไฟล์ที่มีสูตรคำนวณ, แผนภูมิ, การวิเคราะห์ และเนื้อหาที่จัดรูปแบบเรียบร้อยให้ทันที

    ตัวอย่างเช่น คุณสามารถให้ Claude สร้างโมเดลการเงินที่มีการวิเคราะห์สถานการณ์, เทมเพลตงบประมาณที่มีการคำนวณความคลาดเคลื่อน, หรือสไลด์นำเสนอจากรายงาน PDF ได้ในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องเขียนโค้ดหรือมีความรู้ด้านสถิติ

    เบื้องหลังคือ Claude ได้รับสิทธิ์เข้าถึง “สภาพแวดล้อมคอมพิวเตอร์ส่วนตัว” ที่สามารถเขียนโค้ดและรันโปรแกรมเพื่อสร้างไฟล์ตามคำสั่งของผู้ใช้ — เปลี่ยน Claude จากผู้ให้คำปรึกษาเป็นผู้ร่วมทำงานที่ลงมือจริง

    อย่างไรก็ตาม Anthropic เตือนว่า ฟีเจอร์นี้ทำให้ Claude เข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างและวิเคราะห์ไฟล์ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล ผู้ใช้ควรตรวจสอบการสนทนาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อทำงานกับข้อมูลที่อ่อนไหว

    ฟีเจอร์ใหม่ของ Claude
    สร้างและแก้ไขไฟล์ Excel, Word, PowerPoint และ PDF ได้โดยตรง
    ใช้งานผ่าน Claude.ai และแอปเดสก์ท็อป
    รองรับการอัปโหลดข้อมูลดิบหรือคำอธิบายจากผู้ใช้
    สร้างไฟล์ที่มีสูตร, แผนภูมิ, การวิเคราะห์ และเนื้อหาจัดรูปแบบครบ

    การใช้งานเบื้องต้น
    เปิดใช้งานฟีเจอร์ “Upgraded file creation and analysis” ใน Settings > Features > Experimental
    อัปโหลดไฟล์หรืออธิบายสิ่งที่ต้องการผ่านแชต
    ดาวน์โหลดไฟล์ที่เสร็จแล้ว หรือบันทึกลง Google Drive ได้ทันที
    เริ่มจากงานง่าย เช่น การทำความสะอาดข้อมูล ก่อนขยับไปสู่โมเดลการเงินหรือการวิเคราะห์เชิงลึก

    ความสามารถเบื้องหลัง
    Claude ใช้สภาพแวดล้อมคอมพิวเตอร์ส่วนตัวในการเขียนโค้ดและรันโปรแกรม
    ทำให้สามารถสร้างไฟล์และวิเคราะห์ข้อมูลได้หลายขั้นตอน
    เปลี่ยน Claude จากผู้ให้คำแนะนำเป็นผู้ร่วมทำงานที่ลงมือจริง
    ลดช่องว่างระหว่าง “ไอเดีย” กับ “การลงมือทำ” ให้เหลือแค่การสนทนา

    ตัวอย่างการใช้งาน
    สร้างโมเดลการเงิน, เทมเพลตงบประมาณ, ตัวติดตามโครงการ
    แปลง PDF เป็น PowerPoint, โน้ตประชุมเป็นเอกสาร, ใบแจ้งหนี้เป็น Excel
    วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า, พยากรณ์ยอดขาย, ติดตามงบประมาณ

    https://www.anthropic.com/news/create-files
    📂 “Claude สร้างไฟล์ได้แล้ว! จากแค่ตอบคำถาม สู่ผู้ช่วยที่จัดการเอกสาร Excel, PDF, PowerPoint ได้ครบวงจร — แต่ต้องระวังเรื่องข้อมูลส่วนตัว” ถ้าคุณเคยใช้ Claude เพื่อถามคำถามหรือให้ช่วยเขียนข้อความ ตอนนี้คุณสามารถก้าวไปอีกขั้นได้แล้ว — เพราะ Claude ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ให้ผู้ใช้ “สร้างและแก้ไขไฟล์จริง” ได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็น Excel, Word, PowerPoint หรือ PDF ผ่าน Claude.ai และแอปเดสก์ท็อป ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานในรูปแบบพรีวิวสำหรับผู้ใช้แผน Max, Team และ Enterprise ส่วนผู้ใช้ Pro จะได้รับสิทธิ์ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยผู้ใช้สามารถอัปโหลดข้อมูลดิบหรืออธิบายสิ่งที่ต้องการ แล้ว Claude จะสร้างไฟล์ที่มีสูตรคำนวณ, แผนภูมิ, การวิเคราะห์ และเนื้อหาที่จัดรูปแบบเรียบร้อยให้ทันที ตัวอย่างเช่น คุณสามารถให้ Claude สร้างโมเดลการเงินที่มีการวิเคราะห์สถานการณ์, เทมเพลตงบประมาณที่มีการคำนวณความคลาดเคลื่อน, หรือสไลด์นำเสนอจากรายงาน PDF ได้ในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องเขียนโค้ดหรือมีความรู้ด้านสถิติ เบื้องหลังคือ Claude ได้รับสิทธิ์เข้าถึง “สภาพแวดล้อมคอมพิวเตอร์ส่วนตัว” ที่สามารถเขียนโค้ดและรันโปรแกรมเพื่อสร้างไฟล์ตามคำสั่งของผู้ใช้ — เปลี่ยน Claude จากผู้ให้คำปรึกษาเป็นผู้ร่วมทำงานที่ลงมือจริง อย่างไรก็ตาม Anthropic เตือนว่า ฟีเจอร์นี้ทำให้ Claude เข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างและวิเคราะห์ไฟล์ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล ผู้ใช้ควรตรวจสอบการสนทนาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อทำงานกับข้อมูลที่อ่อนไหว ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ Claude ➡️ สร้างและแก้ไขไฟล์ Excel, Word, PowerPoint และ PDF ได้โดยตรง ➡️ ใช้งานผ่าน Claude.ai และแอปเดสก์ท็อป ➡️ รองรับการอัปโหลดข้อมูลดิบหรือคำอธิบายจากผู้ใช้ ➡️ สร้างไฟล์ที่มีสูตร, แผนภูมิ, การวิเคราะห์ และเนื้อหาจัดรูปแบบครบ ✅ การใช้งานเบื้องต้น ➡️ เปิดใช้งานฟีเจอร์ “Upgraded file creation and analysis” ใน Settings > Features > Experimental ➡️ อัปโหลดไฟล์หรืออธิบายสิ่งที่ต้องการผ่านแชต ➡️ ดาวน์โหลดไฟล์ที่เสร็จแล้ว หรือบันทึกลง Google Drive ได้ทันที ➡️ เริ่มจากงานง่าย เช่น การทำความสะอาดข้อมูล ก่อนขยับไปสู่โมเดลการเงินหรือการวิเคราะห์เชิงลึก ✅ ความสามารถเบื้องหลัง ➡️ Claude ใช้สภาพแวดล้อมคอมพิวเตอร์ส่วนตัวในการเขียนโค้ดและรันโปรแกรม ➡️ ทำให้สามารถสร้างไฟล์และวิเคราะห์ข้อมูลได้หลายขั้นตอน ➡️ เปลี่ยน Claude จากผู้ให้คำแนะนำเป็นผู้ร่วมทำงานที่ลงมือจริง ➡️ ลดช่องว่างระหว่าง “ไอเดีย” กับ “การลงมือทำ” ให้เหลือแค่การสนทนา ✅ ตัวอย่างการใช้งาน ➡️ สร้างโมเดลการเงิน, เทมเพลตงบประมาณ, ตัวติดตามโครงการ ➡️ แปลง PDF เป็น PowerPoint, โน้ตประชุมเป็นเอกสาร, ใบแจ้งหนี้เป็น Excel ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า, พยากรณ์ยอดขาย, ติดตามงบประมาณ https://www.anthropic.com/news/create-files
    WWW.ANTHROPIC.COM
    Claude can now create and use files
    Claude can now create and edit Excel spreadsheets, documents, PowerPoint slide decks, and PDFs directly in Claude.ai and the desktop app.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากความไม่เชื่อใจ : กฎหมาย Chat Control เปิดช่องทางให้รัฐบาลเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว

    ลองจินตนาการว่า ทุกข้อความที่คุณส่ง ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับคนรัก การปรึกษาแพทย์ หรือแม้แต่การแชร์ภาพลูกน้อยในอ่างอาบน้ำ—ถูกสแกนโดยระบบอัตโนมัติของรัฐบาล แล้วถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลที่อาจถูกแฮกได้ทุกเมื่อ นี่คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในยุโรป หากกฎหมาย “Chat Control” ผ่านการอนุมัติในเดือนตุลาคมนี้

    กฎหมายนี้เสนอให้ผู้ให้บริการแชท อีเมล โซเชียลมีเดีย และคลาวด์ ต้องสแกนทุกข้อความและไฟล์ของผู้ใช้ แม้แต่ข้อความที่เข้ารหัสแบบ end-to-end ก็ไม่รอดพ้นจากการตรวจสอบ โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก แต่ในความเป็นจริง มันอาจกลายเป็นเครื่องมือเฝ้าระวังที่ทำลายสิทธิส่วนบุคคลของทุกคน

    สิ่งที่น่ากังวลคือ ระบบนี้มีอัตราการแจ้งเตือนผิดพลาดสูงถึง 80% จากข้อมูลของตำรวจสวิตเซอร์แลนด์ และในเยอรมนี กว่า 40% ของคดีที่เกิดจากการแจ้งเตือนนั้น กลับเป็นการสอบสวนเด็กที่ส่งภาพกันเองโดยสมัครใจ ซึ่งอาจกลายเป็นการตีตราเด็กว่าเป็นอาชญากรโดยไม่ตั้งใจ

    นอกจากนี้ การบังคับให้เปิดช่องทางให้รัฐบาลเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ยังเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์และรัฐบาลเผด็จการสามารถใช้ช่องโหว่เหล่านี้ในการสอดแนมประชาชนทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในยุโรปเท่านั้น เพราะหากคุณติดต่อกับคนในยุโรป ข้อมูลของคุณก็จะถูกสแกนไปด้วย

    สิ่งที่ควรทำคือการสนับสนุนการเข้ารหัสแบบ end-to-end อย่างแท้จริง การเพิ่มทรัพยากรให้กับองค์กรที่ทำงานด้านการปกป้องเด็ก และการให้ความรู้แก่เด็กและผู้ปกครองเกี่ยวกับความปลอดภัยทางดิจิทัล ไม่ใช่การสอดแนมทุกคนอย่างไร้ขอบเขต

    https://www.privacyguides.org/articles/2025/09/08/chat-control-must-be-stopped/
    🎙️ เรื่องเล่าจากความไม่เชื่อใจ : กฎหมาย Chat Control เปิดช่องทางให้รัฐบาลเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ลองจินตนาการว่า ทุกข้อความที่คุณส่ง ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับคนรัก การปรึกษาแพทย์ หรือแม้แต่การแชร์ภาพลูกน้อยในอ่างอาบน้ำ—ถูกสแกนโดยระบบอัตโนมัติของรัฐบาล แล้วถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลที่อาจถูกแฮกได้ทุกเมื่อ นี่คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในยุโรป หากกฎหมาย “Chat Control” ผ่านการอนุมัติในเดือนตุลาคมนี้ กฎหมายนี้เสนอให้ผู้ให้บริการแชท อีเมล โซเชียลมีเดีย และคลาวด์ ต้องสแกนทุกข้อความและไฟล์ของผู้ใช้ แม้แต่ข้อความที่เข้ารหัสแบบ end-to-end ก็ไม่รอดพ้นจากการตรวจสอบ โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก แต่ในความเป็นจริง มันอาจกลายเป็นเครื่องมือเฝ้าระวังที่ทำลายสิทธิส่วนบุคคลของทุกคน สิ่งที่น่ากังวลคือ ระบบนี้มีอัตราการแจ้งเตือนผิดพลาดสูงถึง 80% จากข้อมูลของตำรวจสวิตเซอร์แลนด์ และในเยอรมนี กว่า 40% ของคดีที่เกิดจากการแจ้งเตือนนั้น กลับเป็นการสอบสวนเด็กที่ส่งภาพกันเองโดยสมัครใจ ซึ่งอาจกลายเป็นการตีตราเด็กว่าเป็นอาชญากรโดยไม่ตั้งใจ นอกจากนี้ การบังคับให้เปิดช่องทางให้รัฐบาลเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ยังเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์และรัฐบาลเผด็จการสามารถใช้ช่องโหว่เหล่านี้ในการสอดแนมประชาชนทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในยุโรปเท่านั้น เพราะหากคุณติดต่อกับคนในยุโรป ข้อมูลของคุณก็จะถูกสแกนไปด้วย สิ่งที่ควรทำคือการสนับสนุนการเข้ารหัสแบบ end-to-end อย่างแท้จริง การเพิ่มทรัพยากรให้กับองค์กรที่ทำงานด้านการปกป้องเด็ก และการให้ความรู้แก่เด็กและผู้ปกครองเกี่ยวกับความปลอดภัยทางดิจิทัล ไม่ใช่การสอดแนมทุกคนอย่างไร้ขอบเขต https://www.privacyguides.org/articles/2025/09/08/chat-control-must-be-stopped/
    WWW.PRIVACYGUIDES.ORG
    Chat Control Must Be Stopped, Act Now!
    Chat Control is back to undermine everyone's privacy. There's an important deadline this Friday on September 12th. We must act now to stop it!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข้อความปลอมถึง iOS 26: เมื่อ Apple ตัดสินใจเปลี่ยนวิธีจัดการกับข้อความหลอกลวงอย่างจริงจัง

    Apple ออกคำเตือนล่าสุดถึงผู้ใช้ iPhone ทุกคนว่า หากได้รับข้อความที่อ้างว่าเป็นค่าปรับจราจร, ค่าทางด่วนที่ยังไม่จ่าย, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง—ให้ลบและไม่ตอบกลับทันที เพราะข้อความเหล่านี้คือ smishing หรือ phishing ผ่าน SMS ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์หรือแม้แต่ตอบกลับ เพื่อเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลในเครื่อง เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลบัตรเครดิต, หรือแม้แต่บัญชีธนาคาร

    เพื่อรับมือกับภัยนี้ Apple เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Messages พร้อมกับ iOS 26 ซึ่งจะจัดข้อความออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ Messages, Unknown Senders, Spam และ Recently Deleted โดยข้อความในหมวด Spam จะถูก “ปิดการคลิก” และ “ปิดการตอบกลับ” โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้จะต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะสามารถตอบกลับได้

    ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่ม “แรงเสียดทาน” (friction) ในการตอบกลับข้อความหลอกลวง ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ผู้ใช้จะตกเป็นเหยื่อโดยไม่ตั้งใจ และยังช่วยป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์รู้ว่าหมายเลขนั้นยังใช้งานอยู่

    นอกจากนี้ Apple ยังเปิดให้ผู้ใช้เลือกว่าจะเปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ และสามารถ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งจากโฟลเดอร์ Unknown ไปยังโฟลเดอร์หลักได้ หากมั่นใจว่าเป็นผู้ติดต่อจริง

    FBI ก็ออกคำเตือนเสริมว่า อย่าตอบกลับหรือส่งข้อมูลส่วนตัวให้กับคนที่คุณรู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์ และควรตั้งคำลับกับคนในครอบครัวเพื่อใช้ยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน

    ลักษณะของข้อความหลอกลวง (Smishing)
    มักอ้างว่าเป็นค่าปรับ, ค่าทางด่วน, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง
    มีลิงก์หรือข้อความที่กระตุ้นให้คลิกหรือตอบกลับ
    เป้าหมายคือการขโมยข้อมูลส่วนตัวและการเข้าถึงเครื่องของผู้ใช้

    ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26
    แอป Messages แบ่งข้อความเป็น 4 หมวด: Messages, Unknown Senders, Spam, Recently Deleted
    ข้อความใน Spam จะถูกปิดการคลิกและตอบกลับ
    ผู้ใช้ต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะตอบกลับได้

    การตั้งค่าที่ผู้ใช้สามารถปรับได้
    เปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ
    ใช้ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งไปยังโฟลเดอร์หลัก
    ไม่มีการแจ้งเตือนสำหรับข้อความในโฟลเดอร์ Spam และ Unknown โดยค่าเริ่มต้น

    คำแนะนำจาก FBI
    อย่าแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับคนที่รู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์
    อย่าส่งเงิน, บัตรของขวัญ, หรือคริปโตให้กับคนที่ไม่รู้จัก
    ตั้งคำลับกับครอบครัวเพื่อยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/07/apple-warns-all-iphone-users-to-delete-and-ignore-these-messages-right-away
    🎙️ เรื่องเล่าจากข้อความปลอมถึง iOS 26: เมื่อ Apple ตัดสินใจเปลี่ยนวิธีจัดการกับข้อความหลอกลวงอย่างจริงจัง Apple ออกคำเตือนล่าสุดถึงผู้ใช้ iPhone ทุกคนว่า หากได้รับข้อความที่อ้างว่าเป็นค่าปรับจราจร, ค่าทางด่วนที่ยังไม่จ่าย, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง—ให้ลบและไม่ตอบกลับทันที เพราะข้อความเหล่านี้คือ smishing หรือ phishing ผ่าน SMS ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์หรือแม้แต่ตอบกลับ เพื่อเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลในเครื่อง เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลบัตรเครดิต, หรือแม้แต่บัญชีธนาคาร เพื่อรับมือกับภัยนี้ Apple เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Messages พร้อมกับ iOS 26 ซึ่งจะจัดข้อความออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ Messages, Unknown Senders, Spam และ Recently Deleted โดยข้อความในหมวด Spam จะถูก “ปิดการคลิก” และ “ปิดการตอบกลับ” โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้จะต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะสามารถตอบกลับได้ ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่ม “แรงเสียดทาน” (friction) ในการตอบกลับข้อความหลอกลวง ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ผู้ใช้จะตกเป็นเหยื่อโดยไม่ตั้งใจ และยังช่วยป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์รู้ว่าหมายเลขนั้นยังใช้งานอยู่ นอกจากนี้ Apple ยังเปิดให้ผู้ใช้เลือกว่าจะเปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ และสามารถ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งจากโฟลเดอร์ Unknown ไปยังโฟลเดอร์หลักได้ หากมั่นใจว่าเป็นผู้ติดต่อจริง FBI ก็ออกคำเตือนเสริมว่า อย่าตอบกลับหรือส่งข้อมูลส่วนตัวให้กับคนที่คุณรู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์ และควรตั้งคำลับกับคนในครอบครัวเพื่อใช้ยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน ✅ ลักษณะของข้อความหลอกลวง (Smishing) ➡️ มักอ้างว่าเป็นค่าปรับ, ค่าทางด่วน, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง ➡️ มีลิงก์หรือข้อความที่กระตุ้นให้คลิกหรือตอบกลับ ➡️ เป้าหมายคือการขโมยข้อมูลส่วนตัวและการเข้าถึงเครื่องของผู้ใช้ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 ➡️ แอป Messages แบ่งข้อความเป็น 4 หมวด: Messages, Unknown Senders, Spam, Recently Deleted ➡️ ข้อความใน Spam จะถูกปิดการคลิกและตอบกลับ ➡️ ผู้ใช้ต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะตอบกลับได้ ✅ การตั้งค่าที่ผู้ใช้สามารถปรับได้ ➡️ เปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ ➡️ ใช้ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งไปยังโฟลเดอร์หลัก ➡️ ไม่มีการแจ้งเตือนสำหรับข้อความในโฟลเดอร์ Spam และ Unknown โดยค่าเริ่มต้น ✅ คำแนะนำจาก FBI ➡️ อย่าแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับคนที่รู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์ ➡️ อย่าส่งเงิน, บัตรของขวัญ, หรือคริปโตให้กับคนที่ไม่รู้จัก ➡️ ตั้งคำลับกับครอบครัวเพื่อยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/07/apple-warns-all-iphone-users-to-delete-and-ignore-these-messages-right-away
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Apple warns all iPhone users to delete and ignore these messages right away
    The scam messages can include claims of unpaid road tolls, undelivered packages and/or claims of traffic offences.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก WeTransfer ถึง ChatGPT: เมื่อ AI ไม่ได้แค่ฉลาด แต่เริ่ม “รู้มากเกินไป”

    กลางปี 2025 WeTransfer จุดชนวนความกังวลทั่วโลก เมื่อมีการเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานให้สามารถนำไฟล์ของผู้ใช้ไปใช้ในการ “พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ รวมถึงการปรับปรุงโมเดล AI” แม้ภายหลังจะออกมาชี้แจงว่าเป็นการใช้ AI เพื่อจัดการเนื้อหา ไม่ใช่การฝึกโมเดล แต่ความไม่ชัดเจนนี้ก็สะท้อนถึงแนวโน้มที่น่ากังวล: ข้อมูลของผู้ใช้กำลังกลายเป็นเชื้อเพลิงของ AI โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว

    Slack ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ใช้ข้อมูลของลูกค้าในการฝึกโมเดล machine learning โดยค่าเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่แม้จะเป็นบริการที่ใช้ในองค์กร ก็ยังมีความเสี่ยงด้านข้อมูลหากไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัยอย่างรัดกุม

    นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ผู้ใช้ ChatGPT เปิดใช้งาน “make this chat discoverable” โดยไม่รู้ว่าเนื้อหาจะถูกจัดทำดัชนีโดย Google และปรากฏในผลการค้นหา ซึ่งอาจมีข้อมูลส่วนตัวหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ไม่ควรเปิดเผย

    สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการใช้ AI ในองค์กรโดยไม่มีการควบคุม เช่น พนักงานนำข้อมูลภายในไปใส่ใน ChatGPT เพื่อแปลเอกสารหรือเขียนอีเมล โดยไม่รู้ว่าข้อมูลนั้นอาจถูกนำไปใช้ในการฝึกโมเดลในอนาคต

    CISOs (Chief Information Security Officers) ทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาระสองด้าน: ต้องใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย แต่ก็ต้องป้องกันไม่ให้ AI กลายเป็นช่องโหว่ใหม่ขององค์กร ซึ่งเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนและกำลังสร้างความเหนื่อยล้าให้กับผู้บริหารด้านความปลอดภัยทั่วโลก

    การเปลี่ยนแปลงนโยบายของบริการออนไลน์
    WeTransfer เพิ่มเงื่อนไขให้สามารถใช้ไฟล์ผู้ใช้ในการพัฒนา AI
    Slack ใช้ข้อมูลลูกค้าในการฝึกโมเดล machine learning โดยค่าเริ่มต้น
    Meta และบริการอื่น ๆ เริ่มปรับนโยบายเพื่อใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล

    ความเสี่ยงจากการใช้งาน AI โดยผู้ใช้ทั่วไป
    พนักงานอาจนำข้อมูลภายในองค์กรไปใส่ใน ChatGPT โดยไม่รู้ผลกระทบ
    การเปิดใช้งาน “make this chat discoverable” ทำให้ข้อมูลปรากฏใน Google
    ข้อมูลส่วนตัวหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจอาจถูกเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจ

    ความท้าทายของผู้บริหารด้านความปลอดภัย
    CISOs ต้องใช้ AI เพื่อเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็ต้องควบคุมความเสี่ยงจาก AI
    64% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยมองว่า AI เป็นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์
    48% ระบุว่าการใช้งาน AI อย่างปลอดภัยเป็นเรื่องเร่งด่วน

    แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงในองค์กร
    บริษัทต่าง ๆ เริ่มปรับนโยบายเพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลในการฝึก AI ได้
    ต้องมีการปรับปรุงเงื่อนไขการใช้งานให้โปร่งใสและสอดคล้องกับกฎหมาย
    การใช้ AI ต้องมีการกำกับดูแลร่วมกัน ไม่ใช่แค่หน้าที่ของ CISO

    https://www.csoonline.com/article/4049373/how-the-generative-ai-boom-opens-up-new-privacy-and-cybersecurity-risks.html
    🎙️ เรื่องเล่าจาก WeTransfer ถึง ChatGPT: เมื่อ AI ไม่ได้แค่ฉลาด แต่เริ่ม “รู้มากเกินไป” กลางปี 2025 WeTransfer จุดชนวนความกังวลทั่วโลก เมื่อมีการเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานให้สามารถนำไฟล์ของผู้ใช้ไปใช้ในการ “พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ รวมถึงการปรับปรุงโมเดล AI” แม้ภายหลังจะออกมาชี้แจงว่าเป็นการใช้ AI เพื่อจัดการเนื้อหา ไม่ใช่การฝึกโมเดล แต่ความไม่ชัดเจนนี้ก็สะท้อนถึงแนวโน้มที่น่ากังวล: ข้อมูลของผู้ใช้กำลังกลายเป็นเชื้อเพลิงของ AI โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว Slack ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ใช้ข้อมูลของลูกค้าในการฝึกโมเดล machine learning โดยค่าเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่แม้จะเป็นบริการที่ใช้ในองค์กร ก็ยังมีความเสี่ยงด้านข้อมูลหากไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัยอย่างรัดกุม นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ผู้ใช้ ChatGPT เปิดใช้งาน “make this chat discoverable” โดยไม่รู้ว่าเนื้อหาจะถูกจัดทำดัชนีโดย Google และปรากฏในผลการค้นหา ซึ่งอาจมีข้อมูลส่วนตัวหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ไม่ควรเปิดเผย สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการใช้ AI ในองค์กรโดยไม่มีการควบคุม เช่น พนักงานนำข้อมูลภายในไปใส่ใน ChatGPT เพื่อแปลเอกสารหรือเขียนอีเมล โดยไม่รู้ว่าข้อมูลนั้นอาจถูกนำไปใช้ในการฝึกโมเดลในอนาคต CISOs (Chief Information Security Officers) ทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาระสองด้าน: ต้องใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย แต่ก็ต้องป้องกันไม่ให้ AI กลายเป็นช่องโหว่ใหม่ขององค์กร ซึ่งเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนและกำลังสร้างความเหนื่อยล้าให้กับผู้บริหารด้านความปลอดภัยทั่วโลก ✅ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของบริการออนไลน์ ➡️ WeTransfer เพิ่มเงื่อนไขให้สามารถใช้ไฟล์ผู้ใช้ในการพัฒนา AI ➡️ Slack ใช้ข้อมูลลูกค้าในการฝึกโมเดล machine learning โดยค่าเริ่มต้น ➡️ Meta และบริการอื่น ๆ เริ่มปรับนโยบายเพื่อใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล ✅ ความเสี่ยงจากการใช้งาน AI โดยผู้ใช้ทั่วไป ➡️ พนักงานอาจนำข้อมูลภายในองค์กรไปใส่ใน ChatGPT โดยไม่รู้ผลกระทบ ➡️ การเปิดใช้งาน “make this chat discoverable” ทำให้ข้อมูลปรากฏใน Google ➡️ ข้อมูลส่วนตัวหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจอาจถูกเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจ ✅ ความท้าทายของผู้บริหารด้านความปลอดภัย ➡️ CISOs ต้องใช้ AI เพื่อเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็ต้องควบคุมความเสี่ยงจาก AI ➡️ 64% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยมองว่า AI เป็นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ➡️ 48% ระบุว่าการใช้งาน AI อย่างปลอดภัยเป็นเรื่องเร่งด่วน ✅ แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ➡️ บริษัทต่าง ๆ เริ่มปรับนโยบายเพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลในการฝึก AI ได้ ➡️ ต้องมีการปรับปรุงเงื่อนไขการใช้งานให้โปร่งใสและสอดคล้องกับกฎหมาย ➡️ การใช้ AI ต้องมีการกำกับดูแลร่วมกัน ไม่ใช่แค่หน้าที่ของ CISO https://www.csoonline.com/article/4049373/how-the-generative-ai-boom-opens-up-new-privacy-and-cybersecurity-risks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How the generative AI boom opens up new privacy and cybersecurity risks
    Corporate strategy will need to take these potential issues into account, both by shielding who owns the data and by preventing AI from becoming a security breach.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องแชต: เมื่อความไว้ใจกลายเป็นช่องโหว่

    ในเดือนสิงหาคม 2025 มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้ใช้ ChatGPT หลายคนต้องสะดุ้ง—บทสนทนาส่วนตัวหลายพันรายการถูกเผยแพร่สู่สาธารณะผ่าน Google Search โดยไม่ตั้งใจ ไม่ใช่เพราะระบบถูกแฮก แต่เพราะฟีเจอร์ “Make chats discoverable” ที่เคยเปิดให้ผู้ใช้แชร์บทสนทนาแบบสาธารณะ กลับทำให้ข้อมูลส่วนตัวถูก index โดย search engine

    นักวิจัยจาก SafetyDetective ได้วิเคราะห์บทสนทนา 1,000 รายการที่รั่วไหล ซึ่งรวมกันกว่า 43 ล้านคำ พบว่าผู้ใช้จำนวนมากพูดคุยกับ AI ราวกับเป็นนักบำบัด ทนาย หรือเพื่อนสนิท โดยเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ เบอร์โทร ที่อยู่ ประวัติการทำงาน ไปจนถึงเรื่องอ่อนไหวอย่างความคิดฆ่าตัวตาย การใช้ยา การวางแผนครอบครัว และการถูกเลือกปฏิบัติ

    บางบทสนทนายาวถึง 116,000 คำ—เทียบเท่ากับการพิมพ์ต่อเนื่องสองวันเต็ม และเกือบ 60% ของแชตที่ถูกตั้งค่าสาธารณะเป็นการปรึกษาเชิงวิชาชีพ เช่น กฎหมาย การศึกษา หรือสุขภาพจิต ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่กลายเป็น “ที่พึ่ง” ของผู้คนในยุคนี้

    สาเหตุของการรั่วไหล
    ฟีเจอร์ “Make chats discoverable” เปิดให้บทสนทนาแสดงใน search engine
    ผู้ใช้หลายคนไม่เข้าใจว่าการแชร์จะทำให้ข้อมูลถูก index สาธารณะ
    ฟีเจอร์นี้ถูกลบออกแล้วหลังเกิดเหตุการณ์

    ข้อมูลที่ถูกเปิดเผย
    มีการแชร์ชื่อ เบอร์โทร ที่อยู่ ประวัติการทำงาน และข้อมูลอ่อนไหว
    บางแชตมีเนื้อหายาวมาก เช่น 116,024 คำในบทสนทนาเดียว
    มีการพูดถึงเรื่องสุขภาพจิต การใช้ยา และการถูกเลือกปฏิบัติ

    พฤติกรรมผู้ใช้ที่น่ากังวล
    ผู้ใช้จำนวนมากใช้ AI เป็นที่ปรึกษาแทนมนุษย์จริง
    มีการแชร์ข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผยในระบบที่ไม่มีการรับประกันความเป็นส่วนตัว
    AI บางครั้ง mirror อารมณ์ของผู้ใช้ ทำให้บทสนทนาเข้มข้นขึ้นแทนที่จะสงบลง

    ข้อเสนอจากนักวิจัย
    ผู้ใช้ควรหลีกเลี่ยงการใส่ข้อมูลส่วนตัวในบทสนทนา
    ระบบควรมีการแจ้งเตือนที่ชัดเจนก่อนแชร์
    ควรมีระบบลบข้อมูลส่วนตัวอัตโนมัติก่อนเผยแพร่
    ต้องศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้เพิ่มเติม เช่น ทำไมบางคนพิมพ์เป็นหมื่นคำในแชตเดียว

    https://hackread.com/leaked-chatgpt-chats-users-ai-therapist-lawyer-confidant/
    🎙️ เรื่องเล่าจากห้องแชต: เมื่อความไว้ใจกลายเป็นช่องโหว่ ในเดือนสิงหาคม 2025 มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้ใช้ ChatGPT หลายคนต้องสะดุ้ง—บทสนทนาส่วนตัวหลายพันรายการถูกเผยแพร่สู่สาธารณะผ่าน Google Search โดยไม่ตั้งใจ ไม่ใช่เพราะระบบถูกแฮก แต่เพราะฟีเจอร์ “Make chats discoverable” ที่เคยเปิดให้ผู้ใช้แชร์บทสนทนาแบบสาธารณะ กลับทำให้ข้อมูลส่วนตัวถูก index โดย search engine นักวิจัยจาก SafetyDetective ได้วิเคราะห์บทสนทนา 1,000 รายการที่รั่วไหล ซึ่งรวมกันกว่า 43 ล้านคำ พบว่าผู้ใช้จำนวนมากพูดคุยกับ AI ราวกับเป็นนักบำบัด ทนาย หรือเพื่อนสนิท โดยเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ เบอร์โทร ที่อยู่ ประวัติการทำงาน ไปจนถึงเรื่องอ่อนไหวอย่างความคิดฆ่าตัวตาย การใช้ยา การวางแผนครอบครัว และการถูกเลือกปฏิบัติ บางบทสนทนายาวถึง 116,000 คำ—เทียบเท่ากับการพิมพ์ต่อเนื่องสองวันเต็ม และเกือบ 60% ของแชตที่ถูกตั้งค่าสาธารณะเป็นการปรึกษาเชิงวิชาชีพ เช่น กฎหมาย การศึกษา หรือสุขภาพจิต ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่กลายเป็น “ที่พึ่ง” ของผู้คนในยุคนี้ ✅ สาเหตุของการรั่วไหล ➡️ ฟีเจอร์ “Make chats discoverable” เปิดให้บทสนทนาแสดงใน search engine ➡️ ผู้ใช้หลายคนไม่เข้าใจว่าการแชร์จะทำให้ข้อมูลถูก index สาธารณะ ➡️ ฟีเจอร์นี้ถูกลบออกแล้วหลังเกิดเหตุการณ์ ✅ ข้อมูลที่ถูกเปิดเผย ➡️ มีการแชร์ชื่อ เบอร์โทร ที่อยู่ ประวัติการทำงาน และข้อมูลอ่อนไหว ➡️ บางแชตมีเนื้อหายาวมาก เช่น 116,024 คำในบทสนทนาเดียว ➡️ มีการพูดถึงเรื่องสุขภาพจิต การใช้ยา และการถูกเลือกปฏิบัติ ✅ พฤติกรรมผู้ใช้ที่น่ากังวล ➡️ ผู้ใช้จำนวนมากใช้ AI เป็นที่ปรึกษาแทนมนุษย์จริง ➡️ มีการแชร์ข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผยในระบบที่ไม่มีการรับประกันความเป็นส่วนตัว ➡️ AI บางครั้ง mirror อารมณ์ของผู้ใช้ ทำให้บทสนทนาเข้มข้นขึ้นแทนที่จะสงบลง ✅ ข้อเสนอจากนักวิจัย ➡️ ผู้ใช้ควรหลีกเลี่ยงการใส่ข้อมูลส่วนตัวในบทสนทนา ➡️ ระบบควรมีการแจ้งเตือนที่ชัดเจนก่อนแชร์ ➡️ ควรมีระบบลบข้อมูลส่วนตัวอัตโนมัติก่อนเผยแพร่ ➡️ ต้องศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้เพิ่มเติม เช่น ทำไมบางคนพิมพ์เป็นหมื่นคำในแชตเดียว https://hackread.com/leaked-chatgpt-chats-users-ai-therapist-lawyer-confidant/
    HACKREAD.COM
    Leaked ChatGPT Chats: Users Treat AI as Therapist, Lawyer, Confidant
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google จะไม่ให้ใครติดตั้งแอปอีกต่อไป ถ้าไม่รู้ว่า “คุณเป็นใคร”

    ในปี 2026 การติดตั้งแอปบน Android จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะ Google ประกาศว่า ตั้งแต่เดือนกันยายนปีนั้นเป็นต้นไป แอปใดก็ตามที่ติดตั้งบนอุปกรณ์ Android ที่ผ่านการรับรอง (เช่น Pixel หรือ Samsung ที่มี Play Protect) จะต้องมาจากนักพัฒนาที่ผ่านการยืนยันตัวตนแล้วเท่านั้น

    ไม่ว่าจะเป็นแอปจาก Play Store, จากร้านแอปภายนอก หรือแม้แต่ไฟล์ APK ที่ดาวน์โหลดมาเอง — ถ้านักพัฒนาไม่ผ่านการยืนยัน แอปจะไม่สามารถติดตั้งได้เลย

    Google เปรียบเทียบว่าเหมือนการตรวจบัตรประชาชนที่สนามบิน: ไม่ได้ตรวจเนื้อหาของกระเป๋า แต่ตรวจว่า “คุณเป็นใคร” โดยหวังว่าจะลดจำนวนแอปปลอมและป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีกลับมาเผยแพร่แอปใหม่หลังถูกแบน

    นักพัฒนาจะต้องลงทะเบียนผ่าน Android Developer Console ใหม่ ซึ่งแยกจาก Play Console สำหรับผู้ที่ไม่เผยแพร่ผ่าน Play Store โดยต้องยืนยันตัวตนด้วยชื่อจริง, ที่อยู่, เบอร์โทร, อีเมล และอาจต้องใช้เอกสารราชการหรือ D-U-N-S number หากเป็นองค์กร

    สำหรับนักเรียนและนักพัฒนาสมัครเล่น Google จะมี workflow แยกต่างหากที่ไม่เข้มงวดเท่ากับนักพัฒนาเชิงพาณิชย์

    นโยบายนี้จะเริ่มใช้ใน 4 ประเทศก่อน: บราซิล, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และไทย ในเดือนกันยายน 2026 ก่อนจะขยายทั่วโลกในปี 2027

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Google จะบังคับให้นักพัฒนาทุกคนต้องผ่านการยืนยันตัวตนก่อนเผยแพร่แอปบน Android
    ครอบคลุมทั้งแอปจาก Play Store, ร้านแอปภายนอก และ sideload (ไฟล์ APK)
    ใช้ระบบ Android Developer Console ใหม่สำหรับนักพัฒนานอก Play Store
    นักพัฒนาต้องยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลส่วนตัวและเอกสารราชการ
    นักเรียนและนักพัฒนาสมัครเล่นจะมี workflow แยกต่างหาก
    เริ่มใช้ใน 4 ประเทศ: บราซิล, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และไทย ใน ก.ย. 2026
    ขยายทั่วโลกในปี 2027 สำหรับอุปกรณ์ Android ที่ผ่านการรับรอง
    Google อ้างว่า sideload มีมัลแวร์มากกว่าแอปใน Play Store ถึง 50 เท่า
    หน่วยงานรัฐในหลายประเทศสนับสนุนนโยบายนี้ เช่น กสทช.ไทย และกระทรวงดิจิทัลอินโดนีเซีย
    นักพัฒนาที่เผยแพร่ผ่าน Play Store อาจผ่านการยืนยันแล้วโดยอัตโนมัติ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    D-U-N-S number เป็นรหัสองค์กรที่ใช้ในการตรวจสอบธุรกิจระดับสากล
    Android Developer Console ใหม่จะเปิดให้เข้าถึงแบบ early access ใน ต.ค. 2025
    การยืนยันตัวตนช่วยให้ Google ติดตามและแบนผู้เผยแพร่มัลแวร์ได้ง่ายขึ้น
    Apple ใช้นโยบายคล้ายกันในการควบคุมแอปบน iOS มานานแล้ว
    นักพัฒนาสามารถลงทะเบียนแอปที่เผยแพร่ภายนอกได้ด้วยการระบุ package name และ signing key

    https://9to5google.com/2025/08/25/android-apps-developer-verification/
    🎙️ Google จะไม่ให้ใครติดตั้งแอปอีกต่อไป ถ้าไม่รู้ว่า “คุณเป็นใคร” ในปี 2026 การติดตั้งแอปบน Android จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะ Google ประกาศว่า ตั้งแต่เดือนกันยายนปีนั้นเป็นต้นไป แอปใดก็ตามที่ติดตั้งบนอุปกรณ์ Android ที่ผ่านการรับรอง (เช่น Pixel หรือ Samsung ที่มี Play Protect) จะต้องมาจากนักพัฒนาที่ผ่านการยืนยันตัวตนแล้วเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแอปจาก Play Store, จากร้านแอปภายนอก หรือแม้แต่ไฟล์ APK ที่ดาวน์โหลดมาเอง — ถ้านักพัฒนาไม่ผ่านการยืนยัน แอปจะไม่สามารถติดตั้งได้เลย Google เปรียบเทียบว่าเหมือนการตรวจบัตรประชาชนที่สนามบิน: ไม่ได้ตรวจเนื้อหาของกระเป๋า แต่ตรวจว่า “คุณเป็นใคร” โดยหวังว่าจะลดจำนวนแอปปลอมและป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีกลับมาเผยแพร่แอปใหม่หลังถูกแบน นักพัฒนาจะต้องลงทะเบียนผ่าน Android Developer Console ใหม่ ซึ่งแยกจาก Play Console สำหรับผู้ที่ไม่เผยแพร่ผ่าน Play Store โดยต้องยืนยันตัวตนด้วยชื่อจริง, ที่อยู่, เบอร์โทร, อีเมล และอาจต้องใช้เอกสารราชการหรือ D-U-N-S number หากเป็นองค์กร สำหรับนักเรียนและนักพัฒนาสมัครเล่น Google จะมี workflow แยกต่างหากที่ไม่เข้มงวดเท่ากับนักพัฒนาเชิงพาณิชย์ นโยบายนี้จะเริ่มใช้ใน 4 ประเทศก่อน: บราซิล, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และไทย ในเดือนกันยายน 2026 ก่อนจะขยายทั่วโลกในปี 2027 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Google จะบังคับให้นักพัฒนาทุกคนต้องผ่านการยืนยันตัวตนก่อนเผยแพร่แอปบน Android ➡️ ครอบคลุมทั้งแอปจาก Play Store, ร้านแอปภายนอก และ sideload (ไฟล์ APK) ➡️ ใช้ระบบ Android Developer Console ใหม่สำหรับนักพัฒนานอก Play Store ➡️ นักพัฒนาต้องยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลส่วนตัวและเอกสารราชการ ➡️ นักเรียนและนักพัฒนาสมัครเล่นจะมี workflow แยกต่างหาก ➡️ เริ่มใช้ใน 4 ประเทศ: บราซิล, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และไทย ใน ก.ย. 2026 ➡️ ขยายทั่วโลกในปี 2027 สำหรับอุปกรณ์ Android ที่ผ่านการรับรอง ➡️ Google อ้างว่า sideload มีมัลแวร์มากกว่าแอปใน Play Store ถึง 50 เท่า ➡️ หน่วยงานรัฐในหลายประเทศสนับสนุนนโยบายนี้ เช่น กสทช.ไทย และกระทรวงดิจิทัลอินโดนีเซีย ➡️ นักพัฒนาที่เผยแพร่ผ่าน Play Store อาจผ่านการยืนยันแล้วโดยอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ D-U-N-S number เป็นรหัสองค์กรที่ใช้ในการตรวจสอบธุรกิจระดับสากล ➡️ Android Developer Console ใหม่จะเปิดให้เข้าถึงแบบ early access ใน ต.ค. 2025 ➡️ การยืนยันตัวตนช่วยให้ Google ติดตามและแบนผู้เผยแพร่มัลแวร์ได้ง่ายขึ้น ➡️ Apple ใช้นโยบายคล้ายกันในการควบคุมแอปบน iOS มานานแล้ว ➡️ นักพัฒนาสามารถลงทะเบียนแอปที่เผยแพร่ภายนอกได้ด้วยการระบุ package name และ signing key https://9to5google.com/2025/08/25/android-apps-developer-verification/
    9TO5GOOGLE.COM
    Google will require developer verification to install Android apps, including sideloading
    Google has announced that only apps from developers that have undergone verification can be installed on certified Android devices in 2026...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI : คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส

    เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต

    เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout และการซื้อขายออนไลน์ เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า

    เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม

    ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน

    ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร

    ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI

    เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป

    1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป

    2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา

    3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer

    เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ

    สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI 🤖: 📚 คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี 🙎‍♂️ ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง🤞 การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก🌏 รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส 🌞 เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" ⁉️ มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย 🙏 ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย 👴 ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ📉 ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต 🔮 เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout 🏧 และการซื้อขายออนไลน์ 🌐 เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot 🤖 และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ 🚗 และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น 🧑‍⚕️ แพทย์ 👩‍🔬นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ 👩‍🏫 ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา 🧘 การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม 💪 ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน 💷💶💵 ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง 📊 ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร 🧍‍♂️ ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด 🏫 มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th 🌐 ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane 🕸️ นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป 1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ 👩‍💻 เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป 2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ 👨‍🏭 ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา 3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก 🏓 โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ 🗝️ สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • Burner Phone 101 – เมื่อการปกป้องตัวตนเริ่มต้นจากการตั้งคำถาม

    ในโลกที่ทุกการเคลื่อนไหวของเราถูกติดตามผ่านโทรศัพท์มือถือ Rebecca Williams จัดเวิร์กช็อป “Burner Phone 101” เพื่อให้ผู้คนเข้าใจว่า “การไม่ใช้โทรศัพท์” หรือ “ใช้โทรศัพท์แบบไม่ผูกตัวตน” อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในบางสถานการณ์

    เธอเริ่มต้นด้วยการตั้ง “เป้าหมายลับ” ของเวิร์กช็อป เช่น การเข้าใจขีดจำกัดของ burner phone และการเชื่อมโยงกับแนวทางปกป้องความเป็นส่วนตัวในชีวิตประจำวัน โดยเน้นว่า “การไม่แชร์ข้อมูลส่วนตัว” และ “ไม่ใช้เทคโนโลยีเพื่อทำร้ายผู้อื่น” คือหลักสำคัญ

    จากนั้นผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้การวิเคราะห์ความเสี่ยงผ่านคำถาม 3 ข้อ: คุณกำลังปกป้องอะไร? จากใคร? และถ้าล้มเหลวจะเกิดอะไรขึ้น? ซึ่งช่วยให้การเลือกใช้ burner phone หรือเทคนิคอื่น ๆ มีเป้าหมายชัดเจน

    ในส่วนของสมาร์ตโฟน Rebecca อธิบายว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีตัวระบุหลายชั้น เช่น IMSI และ IMEI ที่ทำให้การไม่เปิดเผยตัวตนแทบเป็นไปไม่ได้ และยังเก็บข้อมูล 4 หมวดหลัก ได้แก่ ตัวตน, ตำแหน่ง, การสื่อสาร, และเนื้อหา ซึ่งสามารถถูกเข้าถึงได้ผ่าน spyware, forensic tools หรือแม้แต่คำสั่งศาล

    เธอแนะนำเทคนิคป้องกัน เช่น ใช้ PIN แทน biometrics, ปิด cloud backup, ใช้ Signal, ปิดวิทยุ (GPS/Wi-Fi/Bluetooth), และใช้ระบบปฏิบัติการที่เน้นความปลอดภัย เช่น GrapheneOS หรือ Lockdown Mode บน iOS

    เมื่อพูดถึง burner phone เธอแบ่งออกเป็น 4 ประเภท: โทรศัพท์เติมเงิน, การหมุน SIM, dumb phones, และการใช้ VoIP/VPN เพื่อหลอก metadata โดยเน้นว่า “ไม่มีวิธีใดที่นิรนาม 100%” แต่ทุกวิธีมีประโยชน์หากใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    เวิร์กช็อป Burner Phone 101 จัดขึ้นที่ Brooklyn Public Library โดย Rebecca Williams
    เป้าหมายคือเรียนรู้การใช้ burner phone และแนวทางปกป้องความเป็นส่วนตัว
    ใช้การวิเคราะห์ความเสี่ยงผ่านคำถาม 3 ข้อ เพื่อเลือกวิธีป้องกันที่เหมาะสม
    สมาร์ตโฟนมีตัวระบุ IMSI และ IMEI ที่ทำให้การไม่เปิดเผยตัวตนเป็นเรื่องยาก
    ข้อมูลที่เก็บในโทรศัพท์แบ่งเป็น 4 หมวด: ตัวตน, ตำแหน่ง, การสื่อสาร, และเนื้อหา
    แนะนำเทคนิคป้องกัน เช่น ใช้ PIN, ปิด cloud backup, ใช้ Signal, ปิดวิทยุ
    สำหรับ Android: ใช้ GrapheneOS, F-Droid, ปิด Google Location History
    สำหรับ iPhone: ใช้ Lockdown Mode, ปิด Siri, ล้างข้อมูลหลังใส่รหัสผิด 10 ครั้ง
    Burner phone แบ่งเป็น 4 ประเภท: เติมเงิน, หมุน SIM, dumb phone, VoIP/VPN
    การตั้งค่า burner phone ควรซื้อด้วยเงินสด, ไม่ใช้บัญชีส่วนตัว, และหมุน SIM
    “ไม่มีโทรศัพท์เลย” อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในบางสถานการณ์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    IMSI คือรหัสผู้ใช้ที่ผูกกับ SIM ส่วน IMEI คือรหัสเครื่องที่ติดตัวอุปกรณ์
    forensic tools เช่น Cellebrite และ GrayKey สามารถดึงข้อมูลจากโทรศัพท์ได้แม้ถูกล็อก
    Faraday bag สามารถบล็อกสัญญาณชั่วคราว แต่ไม่ป้องกันเมื่อเปิดใช้งาน
    การใช้ VoIP เช่น Google Voice หรือ MySudo ช่วยลดการเปิดเผยเบอร์จริง
    GrapheneOS เป็นระบบปฏิบัติการที่เน้นความปลอดภัยและไม่ผูกกับ Google
    Lockdown Mode บน iOS 16+ ปิดฟีเจอร์ที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจาก spyware

    https://rebeccawilliams.info/burner-phone-101/
    🎙️ Burner Phone 101 – เมื่อการปกป้องตัวตนเริ่มต้นจากการตั้งคำถาม ในโลกที่ทุกการเคลื่อนไหวของเราถูกติดตามผ่านโทรศัพท์มือถือ Rebecca Williams จัดเวิร์กช็อป “Burner Phone 101” เพื่อให้ผู้คนเข้าใจว่า “การไม่ใช้โทรศัพท์” หรือ “ใช้โทรศัพท์แบบไม่ผูกตัวตน” อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในบางสถานการณ์ เธอเริ่มต้นด้วยการตั้ง “เป้าหมายลับ” ของเวิร์กช็อป เช่น การเข้าใจขีดจำกัดของ burner phone และการเชื่อมโยงกับแนวทางปกป้องความเป็นส่วนตัวในชีวิตประจำวัน โดยเน้นว่า “การไม่แชร์ข้อมูลส่วนตัว” และ “ไม่ใช้เทคโนโลยีเพื่อทำร้ายผู้อื่น” คือหลักสำคัญ จากนั้นผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้การวิเคราะห์ความเสี่ยงผ่านคำถาม 3 ข้อ: คุณกำลังปกป้องอะไร? จากใคร? และถ้าล้มเหลวจะเกิดอะไรขึ้น? ซึ่งช่วยให้การเลือกใช้ burner phone หรือเทคนิคอื่น ๆ มีเป้าหมายชัดเจน ในส่วนของสมาร์ตโฟน Rebecca อธิบายว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีตัวระบุหลายชั้น เช่น IMSI และ IMEI ที่ทำให้การไม่เปิดเผยตัวตนแทบเป็นไปไม่ได้ และยังเก็บข้อมูล 4 หมวดหลัก ได้แก่ ตัวตน, ตำแหน่ง, การสื่อสาร, และเนื้อหา ซึ่งสามารถถูกเข้าถึงได้ผ่าน spyware, forensic tools หรือแม้แต่คำสั่งศาล เธอแนะนำเทคนิคป้องกัน เช่น ใช้ PIN แทน biometrics, ปิด cloud backup, ใช้ Signal, ปิดวิทยุ (GPS/Wi-Fi/Bluetooth), และใช้ระบบปฏิบัติการที่เน้นความปลอดภัย เช่น GrapheneOS หรือ Lockdown Mode บน iOS เมื่อพูดถึง burner phone เธอแบ่งออกเป็น 4 ประเภท: โทรศัพท์เติมเงิน, การหมุน SIM, dumb phones, และการใช้ VoIP/VPN เพื่อหลอก metadata โดยเน้นว่า “ไม่มีวิธีใดที่นิรนาม 100%” แต่ทุกวิธีมีประโยชน์หากใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ เวิร์กช็อป Burner Phone 101 จัดขึ้นที่ Brooklyn Public Library โดย Rebecca Williams ➡️ เป้าหมายคือเรียนรู้การใช้ burner phone และแนวทางปกป้องความเป็นส่วนตัว ➡️ ใช้การวิเคราะห์ความเสี่ยงผ่านคำถาม 3 ข้อ เพื่อเลือกวิธีป้องกันที่เหมาะสม ➡️ สมาร์ตโฟนมีตัวระบุ IMSI และ IMEI ที่ทำให้การไม่เปิดเผยตัวตนเป็นเรื่องยาก ➡️ ข้อมูลที่เก็บในโทรศัพท์แบ่งเป็น 4 หมวด: ตัวตน, ตำแหน่ง, การสื่อสาร, และเนื้อหา ➡️ แนะนำเทคนิคป้องกัน เช่น ใช้ PIN, ปิด cloud backup, ใช้ Signal, ปิดวิทยุ ➡️ สำหรับ Android: ใช้ GrapheneOS, F-Droid, ปิด Google Location History ➡️ สำหรับ iPhone: ใช้ Lockdown Mode, ปิด Siri, ล้างข้อมูลหลังใส่รหัสผิด 10 ครั้ง ➡️ Burner phone แบ่งเป็น 4 ประเภท: เติมเงิน, หมุน SIM, dumb phone, VoIP/VPN ➡️ การตั้งค่า burner phone ควรซื้อด้วยเงินสด, ไม่ใช้บัญชีส่วนตัว, และหมุน SIM ➡️ “ไม่มีโทรศัพท์เลย” อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในบางสถานการณ์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ IMSI คือรหัสผู้ใช้ที่ผูกกับ SIM ส่วน IMEI คือรหัสเครื่องที่ติดตัวอุปกรณ์ ➡️ forensic tools เช่น Cellebrite และ GrayKey สามารถดึงข้อมูลจากโทรศัพท์ได้แม้ถูกล็อก ➡️ Faraday bag สามารถบล็อกสัญญาณชั่วคราว แต่ไม่ป้องกันเมื่อเปิดใช้งาน ➡️ การใช้ VoIP เช่น Google Voice หรือ MySudo ช่วยลดการเปิดเผยเบอร์จริง ➡️ GrapheneOS เป็นระบบปฏิบัติการที่เน้นความปลอดภัยและไม่ผูกกับ Google ➡️ Lockdown Mode บน iOS 16+ ปิดฟีเจอร์ที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจาก spyware https://rebeccawilliams.info/burner-phone-101/
    REBECCAWILLIAMS.INFO
    Burner Phone 101
    Hosted by the Brooklyn Public Library, this Burner Phone 101 workshop introduced participants to phone-related risk modeling, privacy-protective smartphone practices, the full spectrum of burner phone options, and when to leave phones behind entirely.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ “ฟรี” ไม่ใช่คำตอบ – และการย้ายออกจาก Gmail กลายเป็นการปลดปล่อย

    Giulio Magnifico ใช้ Gmail มาตั้งแต่ปี 2007 แต่ในปี 2025 เขาตัดสินใจย้ายออกจากบริการฟรีที่ “จ่ายด้วยข้อมูลส่วนตัว” ไปใช้ Mailbox.org ที่เน้นความเป็นส่วนตัวมากกว่า แม้จะต้องจ่ายเงินเดือนละ €2.50 แต่เขาบอกว่า “คุ้มกว่าการให้ Google รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตเรา”

    เหตุผลหลักคือ Gmail ส่งข้อมูลแบบ plain text ซึ่ง Google สามารถเก็บไว้ได้ทั้งหมด และหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ก็สามารถร้องขอข้อมูลได้ แม้ผู้ใช้นั้นจะเป็นพลเมืองยุโรปก็ตาม

    Giulio ใช้อีเมลแบบเรียบง่าย ไม่สนใจฟีเจอร์เสริมอย่างปฏิทินหรือโน้ต เขาจึงเลือก Mailbox.org แทน ProtonMail หรือ Tutanota ซึ่งแม้จะมีการเข้ารหัสแบบ end-to-end แต่บังคับให้ใช้แอปของตัวเอง ซึ่งไม่เข้ากับ Apple Mail ที่เขาชื่นชอบ

    Mailbox.org รองรับ PGP และสามารถใช้ร่วมกับ Apple Mail ได้อย่างราบรื่น มีพื้นที่เก็บอีเมล 10GB และคลาวด์อีก 5GB โดยสามารถขยายได้ตามต้องการ

    เขาย้ายอีเมลกว่า 26,000 ฉบับจาก Gmail ไปยัง Mailbox.org ด้วยเครื่องมือ imapsync ผ่าน Docker โดยใช้สคริปต์เฉพาะที่เขียนเอง ใช้เวลา 3 ชั่วโมงเต็ม และไม่มีอีเมลหายแม้แต่ฉบับเดียว

    หลังจากย้ายเสร็จ เขาตั้งระบบ forward จาก Gmail ไปยัง Mailbox.org และใช้ระบบ flag เพื่อแยกอีเมลที่ยังส่งมาจาก Gmail เพื่อค่อย ๆ เปลี่ยนแอดเดรสในบริการต่าง ๆ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Giulio Magnifico ย้ายจาก Gmail ไปใช้ Mailbox.org เพื่อความเป็นส่วนตัว
    เหตุผลหลักคือการไม่ต้องการให้ Google เก็บข้อมูลอีเมลทั้งหมด
    Gmail ส่งข้อมูลแบบ plain text และอยู่ภายใต้กฎหมายสหรัฐฯ แม้ผู้ใช้จะเป็นพลเมือง EU
    Mailbox.org รองรับ PGP และใช้งานร่วมกับ Apple Mail ได้
    มีแผนเริ่มต้นที่ €2.50/เดือน พร้อมพื้นที่เก็บอีเมล 10GB และคลาวด์ 5GB
    สามารถขยายพื้นที่ได้ที่ €0.20/GB
    ใช้ imapsync ผ่าน Docker เพื่อย้ายอีเมลกว่า 26,000 ฉบับจาก Gmail
    ใช้สคริปต์เฉพาะเพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำซ้อนของโฟลเดอร์ All Mail และ Archive
    ตั้งระบบ forward จาก Gmail และใช้ flag เพื่อแยกอีเมลที่ยังส่งมาจาก Gmail
    Mailbox.org ไม่มีระบบต่ออายุอัตโนมัติ ต้องเติมเงินเอง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    imapsync เป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับการย้ายอีเมลแบบ IMAP โดยไม่สูญเสีย metadata
    ผู้ใช้ Gmail จำนวนมากเริ่มย้ายออกเพราะความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว
    Gmail เคยถูกวิจารณ์เรื่องการใช้ข้อมูลเพื่อโฆษณาและการเข้าถึงของหน่วยงานรัฐ
    Mailbox.org เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการที่ได้รับการแนะนำจากกลุ่มผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัว
    การใช้ PGP บนเว็บของ Mailbox.org ช่วยให้ใช้งานบน iOS ได้สะดวกโดยไม่ต้องใช้แอปเสริม

    https://giuliomagnifico.blog/post/2025-08-18-leaving-gmail/
    🎙️ เมื่อ “ฟรี” ไม่ใช่คำตอบ – และการย้ายออกจาก Gmail กลายเป็นการปลดปล่อย Giulio Magnifico ใช้ Gmail มาตั้งแต่ปี 2007 แต่ในปี 2025 เขาตัดสินใจย้ายออกจากบริการฟรีที่ “จ่ายด้วยข้อมูลส่วนตัว” ไปใช้ Mailbox.org ที่เน้นความเป็นส่วนตัวมากกว่า แม้จะต้องจ่ายเงินเดือนละ €2.50 แต่เขาบอกว่า “คุ้มกว่าการให้ Google รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตเรา” เหตุผลหลักคือ Gmail ส่งข้อมูลแบบ plain text ซึ่ง Google สามารถเก็บไว้ได้ทั้งหมด และหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ก็สามารถร้องขอข้อมูลได้ แม้ผู้ใช้นั้นจะเป็นพลเมืองยุโรปก็ตาม Giulio ใช้อีเมลแบบเรียบง่าย ไม่สนใจฟีเจอร์เสริมอย่างปฏิทินหรือโน้ต เขาจึงเลือก Mailbox.org แทน ProtonMail หรือ Tutanota ซึ่งแม้จะมีการเข้ารหัสแบบ end-to-end แต่บังคับให้ใช้แอปของตัวเอง ซึ่งไม่เข้ากับ Apple Mail ที่เขาชื่นชอบ Mailbox.org รองรับ PGP และสามารถใช้ร่วมกับ Apple Mail ได้อย่างราบรื่น มีพื้นที่เก็บอีเมล 10GB และคลาวด์อีก 5GB โดยสามารถขยายได้ตามต้องการ เขาย้ายอีเมลกว่า 26,000 ฉบับจาก Gmail ไปยัง Mailbox.org ด้วยเครื่องมือ imapsync ผ่าน Docker โดยใช้สคริปต์เฉพาะที่เขียนเอง ใช้เวลา 3 ชั่วโมงเต็ม และไม่มีอีเมลหายแม้แต่ฉบับเดียว หลังจากย้ายเสร็จ เขาตั้งระบบ forward จาก Gmail ไปยัง Mailbox.org และใช้ระบบ flag เพื่อแยกอีเมลที่ยังส่งมาจาก Gmail เพื่อค่อย ๆ เปลี่ยนแอดเดรสในบริการต่าง ๆ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Giulio Magnifico ย้ายจาก Gmail ไปใช้ Mailbox.org เพื่อความเป็นส่วนตัว ➡️ เหตุผลหลักคือการไม่ต้องการให้ Google เก็บข้อมูลอีเมลทั้งหมด ➡️ Gmail ส่งข้อมูลแบบ plain text และอยู่ภายใต้กฎหมายสหรัฐฯ แม้ผู้ใช้จะเป็นพลเมือง EU ➡️ Mailbox.org รองรับ PGP และใช้งานร่วมกับ Apple Mail ได้ ➡️ มีแผนเริ่มต้นที่ €2.50/เดือน พร้อมพื้นที่เก็บอีเมล 10GB และคลาวด์ 5GB ➡️ สามารถขยายพื้นที่ได้ที่ €0.20/GB ➡️ ใช้ imapsync ผ่าน Docker เพื่อย้ายอีเมลกว่า 26,000 ฉบับจาก Gmail ➡️ ใช้สคริปต์เฉพาะเพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำซ้อนของโฟลเดอร์ All Mail และ Archive ➡️ ตั้งระบบ forward จาก Gmail และใช้ flag เพื่อแยกอีเมลที่ยังส่งมาจาก Gmail ➡️ Mailbox.org ไม่มีระบบต่ออายุอัตโนมัติ ต้องเติมเงินเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ imapsync เป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับการย้ายอีเมลแบบ IMAP โดยไม่สูญเสีย metadata ➡️ ผู้ใช้ Gmail จำนวนมากเริ่มย้ายออกเพราะความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว ➡️ Gmail เคยถูกวิจารณ์เรื่องการใช้ข้อมูลเพื่อโฆษณาและการเข้าถึงของหน่วยงานรัฐ ➡️ Mailbox.org เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการที่ได้รับการแนะนำจากกลุ่มผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัว ➡️ การใช้ PGP บนเว็บของ Mailbox.org ช่วยให้ใช้งานบน iOS ได้สะดวกโดยไม่ต้องใช้แอปเสริม https://giuliomagnifico.blog/post/2025-08-18-leaving-gmail/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • iKKO MindOne: สมาร์ตโฟนจิ๋วที่อัดแน่นด้วย AI และอินเทอร์เน็ตฟรี

    ลองจินตนาการว่าคุณมีสมาร์ตโฟนขนาดเท่าบัตรเครดิต แต่สามารถทำงานได้เหมือนเครื่องมือระดับมืออาชีพ ทั้งแปลภาษาแบบเรียลไทม์ บันทึกเสียงเป็นข้อความ และสรุปเนื้อหาอัตโนมัติ—ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องเสียค่าสมัครสมาชิกใด ๆ

    นั่นคือสิ่งที่ iKKO MindOne เสนอไว้ในแคมเปญระดมทุนที่ระดมได้มากกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ ตัวเครื่องมีขนาด 86×72×8.9 มม. ใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์กันรอยระดับ 9H และกล้อง Sony 50MP ที่หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง

    ที่โดดเด่นคือระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink ให้ใช้งาน AI ฟรีในกว่า 60 ประเทศ ส่วน vSIM แบบเสียเงินครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ เช่น ดูวิดีโอหรือท่องเว็บ นอกจากนี้ยังมีช่องใส่ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ที่เลือกใช้แทน 5G เพื่อความเสถียรและประหยัดพลังงาน

    ระบบปฏิบัติการมีสองชุด: Android 15 สำหรับแอปทั่วไป และ iKKO AI OS สำหรับงานที่ต้องการสมาธิและความปลอดภัย โดยสามารถสลับผ่านปุ่มจริง และนำแอป Android เข้าไปใช้ในโหมด AI ได้

    อุปกรณ์เสริมอย่างเคสคีย์บอร์ด QWERTY ยังเพิ่มแบตเตอรี่เสริม 500mAh, DAC คุณภาพสูง Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับคนที่ต้องการเสียงคุณภาพและการพิมพ์แบบ tactile

    ข้อมูลพื้นฐานของ iKKO MindOne
    ขนาด 86×72×8.9 มม. หนาเท่าบัตรเครดิต
    หน้าจอ AMOLED 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์ระดับ 9H
    กล้อง Sony 50MP หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง

    ระบบการเชื่อมต่อและอินเทอร์เน็ต
    ใช้ระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink (ฟรี AI) และ vSIM แบบเสียเงิน
    ครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ
    รองรับ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ทั่วโลก
    เลือกใช้ 4G+ แทน 5G เพื่อความเสถียรและลดความร้อน

    ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ AI
    ใช้ Android 15 และ iKKO AI OS สลับได้ผ่านปุ่มจริง
    รองรับ Google Mobile Services และอัปเดต Android 3 รุ่น + แพตช์ 5 ปี
    ฟีเจอร์ AI: แปลภาษา, สรุปเนื้อหา, บันทึกเสียงเป็นข้อความ, จดโน้ตอัตโนมัติ
    ไม่มีค่าสมัครสมาชิก และไม่เก็บข้อมูลส่วนตัว

    อุปกรณ์เสริมและการใช้งาน
    เคสคีย์บอร์ด QWERTY พร้อมแบตเตอรี่เสริม 500mAh
    DAC Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับเสียงคุณภาพสูง
    เหมาะกับนักเดินทาง นักเรียน และผู้ใช้ที่ต้องการความคล่องตัว

    ยังไม่มีข้อมูลสเปก CPU และ RAM อย่างเป็นทางการ
    การใช้งานอินเทอร์เน็ตฟรีจำกัดเฉพาะฟีเจอร์ AI เท่านั้น ไม่รวมการท่องเว็บหรือดูวิดีโอ
    เคสคีย์บอร์ดเพิ่มขนาดและน้ำหนักของเครื่อง
    ยังไม่ชัดเจนว่าคุณภาพการผลิตจริงจะตรงกับที่โฆษณาหรือไม่
    การใช้งานในบางประเทศอาจมีข้อจำกัดด้านเครือข่ายหรือกฎหมาย

    https://www.techradar.com/pro/crowdfunded-ai-smartphone-with-free-global-internet-detachable-keyboard-and-square-screen-gets-over-usd1-million-pledge-and-its-strangely-mesmerizing
    🧠 iKKO MindOne: สมาร์ตโฟนจิ๋วที่อัดแน่นด้วย AI และอินเทอร์เน็ตฟรี ลองจินตนาการว่าคุณมีสมาร์ตโฟนขนาดเท่าบัตรเครดิต แต่สามารถทำงานได้เหมือนเครื่องมือระดับมืออาชีพ ทั้งแปลภาษาแบบเรียลไทม์ บันทึกเสียงเป็นข้อความ และสรุปเนื้อหาอัตโนมัติ—ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องเสียค่าสมัครสมาชิกใด ๆ นั่นคือสิ่งที่ iKKO MindOne เสนอไว้ในแคมเปญระดมทุนที่ระดมได้มากกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ ตัวเครื่องมีขนาด 86×72×8.9 มม. ใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์กันรอยระดับ 9H และกล้อง Sony 50MP ที่หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง ที่โดดเด่นคือระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink ให้ใช้งาน AI ฟรีในกว่า 60 ประเทศ ส่วน vSIM แบบเสียเงินครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ เช่น ดูวิดีโอหรือท่องเว็บ นอกจากนี้ยังมีช่องใส่ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ที่เลือกใช้แทน 5G เพื่อความเสถียรและประหยัดพลังงาน ระบบปฏิบัติการมีสองชุด: Android 15 สำหรับแอปทั่วไป และ iKKO AI OS สำหรับงานที่ต้องการสมาธิและความปลอดภัย โดยสามารถสลับผ่านปุ่มจริง และนำแอป Android เข้าไปใช้ในโหมด AI ได้ อุปกรณ์เสริมอย่างเคสคีย์บอร์ด QWERTY ยังเพิ่มแบตเตอรี่เสริม 500mAh, DAC คุณภาพสูง Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับคนที่ต้องการเสียงคุณภาพและการพิมพ์แบบ tactile ✅ ข้อมูลพื้นฐานของ iKKO MindOne ➡️ ขนาด 86×72×8.9 มม. หนาเท่าบัตรเครดิต ➡️ หน้าจอ AMOLED 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์ระดับ 9H ➡️ กล้อง Sony 50MP หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง ✅ ระบบการเชื่อมต่อและอินเทอร์เน็ต ➡️ ใช้ระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink (ฟรี AI) และ vSIM แบบเสียเงิน ➡️ ครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ ➡️ รองรับ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ทั่วโลก ➡️ เลือกใช้ 4G+ แทน 5G เพื่อความเสถียรและลดความร้อน ✅ ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ AI ➡️ ใช้ Android 15 และ iKKO AI OS สลับได้ผ่านปุ่มจริง ➡️ รองรับ Google Mobile Services และอัปเดต Android 3 รุ่น + แพตช์ 5 ปี ➡️ ฟีเจอร์ AI: แปลภาษา, สรุปเนื้อหา, บันทึกเสียงเป็นข้อความ, จดโน้ตอัตโนมัติ ➡️ ไม่มีค่าสมัครสมาชิก และไม่เก็บข้อมูลส่วนตัว ✅ อุปกรณ์เสริมและการใช้งาน ➡️ เคสคีย์บอร์ด QWERTY พร้อมแบตเตอรี่เสริม 500mAh ➡️ DAC Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับเสียงคุณภาพสูง ➡️ เหมาะกับนักเดินทาง นักเรียน และผู้ใช้ที่ต้องการความคล่องตัว ⛔ ยังไม่มีข้อมูลสเปก CPU และ RAM อย่างเป็นทางการ ⛔ การใช้งานอินเทอร์เน็ตฟรีจำกัดเฉพาะฟีเจอร์ AI เท่านั้น ไม่รวมการท่องเว็บหรือดูวิดีโอ ⛔ เคสคีย์บอร์ดเพิ่มขนาดและน้ำหนักของเครื่อง ⛔ ยังไม่ชัดเจนว่าคุณภาพการผลิตจริงจะตรงกับที่โฆษณาหรือไม่ ⛔ การใช้งานในบางประเทศอาจมีข้อจำกัดด้านเครือข่ายหรือกฎหมาย https://www.techradar.com/pro/crowdfunded-ai-smartphone-with-free-global-internet-detachable-keyboard-and-square-screen-gets-over-usd1-million-pledge-and-its-strangely-mesmerizing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ Meta แอบฟังข้อมูลสุขภาพผู้หญิงจากแอป Flo โดยไม่ได้รับอนุญาต

    เรื่องนี้เริ่มจากแอป Flo Health ซึ่งเป็นแอปติดตามรอบเดือนและสุขภาพการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง ที่มีผู้ใช้งานกว่า 150 ล้านคนทั่วโลก แอปนี้เก็บข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียด เช่น วันมีประจำเดือน อารมณ์ ความสัมพันธ์ทางเพศ และเป้าหมายการตั้งครรภ์ โดยสัญญาว่าจะไม่แชร์ข้อมูลกับบุคคลที่สาม ยกเว้นเพื่อการให้บริการเท่านั้น

    แต่ระหว่างปี 2016–2019 ข้อมูลเหล่านี้ถูกแชร์กับบริษัทต่าง ๆ รวมถึง Meta (เจ้าของ Facebook), Google, AppsFlyer และ Flurry โดยใช้ SDK ที่ฝังอยู่ในแอป ซึ่งจะส่งข้อมูลทุกครั้งที่ผู้ใช้คลิกหรือใช้งานฟีเจอร์บางอย่าง เช่น “กำลังพยายามตั้งครรภ์” โดยไม่มีการควบคุมว่าบริษัทเหล่านี้จะนำข้อมูลไปใช้อย่างไร

    คดีนี้เริ่มต้นจากการฟ้องร้องแบบกลุ่มในปี 2021 โดยมีผู้หญิงกว่า 3.7 ล้านคนในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025 คณะลูกขุนตัดสินว่า Meta ละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดย “แอบฟังและบันทึกข้อมูล” โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้

    แม้ Flo, Google และ Flurry จะยอมความไปก่อนหน้านี้ แต่ Meta สู้คดีจนถึงที่สุด และแพ้ในที่สุด คดีนี้จึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการปกป้องข้อมูลสุขภาพดิจิทัล โดยเฉพาะในยุคที่สิทธิการทำแท้งในสหรัฐฯ ถูกจำกัดอย่างหนัก

    Meta ถูกตัดสินว่าละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐแคลิฟอร์เนีย
    โดยแอบฟังและบันทึกข้อมูลจากแอป Flo โดยไม่ได้รับความยินยอม

    Flo Health แชร์ข้อมูลสุขภาพผู้หญิงกับ Meta, Google และบริษัทอื่น
    ข้อมูลรวมถึงรอบเดือน ความสัมพันธ์ทางเพศ และเป้าหมายการตั้งครรภ์

    SDK ของ Meta ถูกฝังในแอป Flo เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งาน
    ส่งข้อมูล “App Event” ทุกครั้งที่ผู้ใช้คลิกฟีเจอร์เฉพาะ

    คดีนี้มีผู้เสียหายกว่า 3.7 ล้านคนในสหรัฐฯ
    ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนระหว่าง พ.ย. 2016 ถึง ก.พ. 2019

    Flo เคยสัญญาว่าจะไม่แชร์ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลที่สาม
    แต่กลับเปิดช่องให้บริษัทอื่นใช้ข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า

    FTC เคยสอบสวนและบังคับให้ Flo ปรับปรุงนโยบายความเป็นส่วนตัว
    พร้อมตั้งผู้ตรวจสอบอิสระเพื่อป้องกันการละเมิดซ้ำ

    คดีนี้เป็นหมุดหมายสำคัญด้านสิทธิข้อมูลสุขภาพดิจิทัล
    โดยเฉพาะหลังการยกเลิกสิทธิการทำแท้งตามรัฐธรรมนูญในสหรัฐฯ

    SDK เป็นเครื่องมือที่ใช้เก็บพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อการโฆษณา
    แต่สามารถถูกใช้เพื่อดึงข้อมูลส่วนตัวได้หากไม่มีการควบคุม

    การใช้แอปติดตามสุขภาพอาจเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางกฎหมาย
    เช่น การสืบสวนคดีทำแท้งในบางรัฐของสหรัฐฯ

    เว็บไซต์ขายยาทำแท้งก็เคยถูกพบว่าแชร์ข้อมูลกับ Google
    เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกติดตามโดยหน่วยงานรัฐ

    https://www.malwarebytes.com/blog/news/2025/08/meta-accessed-womens-health-data-from-flo-app-without-consent-says-court
    📢🕵️‍♀️ เมื่อ Meta แอบฟังข้อมูลสุขภาพผู้หญิงจากแอป Flo โดยไม่ได้รับอนุญาต เรื่องนี้เริ่มจากแอป Flo Health ซึ่งเป็นแอปติดตามรอบเดือนและสุขภาพการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง ที่มีผู้ใช้งานกว่า 150 ล้านคนทั่วโลก แอปนี้เก็บข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียด เช่น วันมีประจำเดือน อารมณ์ ความสัมพันธ์ทางเพศ และเป้าหมายการตั้งครรภ์ โดยสัญญาว่าจะไม่แชร์ข้อมูลกับบุคคลที่สาม ยกเว้นเพื่อการให้บริการเท่านั้น แต่ระหว่างปี 2016–2019 ข้อมูลเหล่านี้ถูกแชร์กับบริษัทต่าง ๆ รวมถึง Meta (เจ้าของ Facebook), Google, AppsFlyer และ Flurry โดยใช้ SDK ที่ฝังอยู่ในแอป ซึ่งจะส่งข้อมูลทุกครั้งที่ผู้ใช้คลิกหรือใช้งานฟีเจอร์บางอย่าง เช่น “กำลังพยายามตั้งครรภ์” โดยไม่มีการควบคุมว่าบริษัทเหล่านี้จะนำข้อมูลไปใช้อย่างไร คดีนี้เริ่มต้นจากการฟ้องร้องแบบกลุ่มในปี 2021 โดยมีผู้หญิงกว่า 3.7 ล้านคนในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025 คณะลูกขุนตัดสินว่า Meta ละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดย “แอบฟังและบันทึกข้อมูล” โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ แม้ Flo, Google และ Flurry จะยอมความไปก่อนหน้านี้ แต่ Meta สู้คดีจนถึงที่สุด และแพ้ในที่สุด คดีนี้จึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการปกป้องข้อมูลสุขภาพดิจิทัล โดยเฉพาะในยุคที่สิทธิการทำแท้งในสหรัฐฯ ถูกจำกัดอย่างหนัก ✅ Meta ถูกตัดสินว่าละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐแคลิฟอร์เนีย ➡️ โดยแอบฟังและบันทึกข้อมูลจากแอป Flo โดยไม่ได้รับความยินยอม ✅ Flo Health แชร์ข้อมูลสุขภาพผู้หญิงกับ Meta, Google และบริษัทอื่น ➡️ ข้อมูลรวมถึงรอบเดือน ความสัมพันธ์ทางเพศ และเป้าหมายการตั้งครรภ์ ✅ SDK ของ Meta ถูกฝังในแอป Flo เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งาน ➡️ ส่งข้อมูล “App Event” ทุกครั้งที่ผู้ใช้คลิกฟีเจอร์เฉพาะ ✅ คดีนี้มีผู้เสียหายกว่า 3.7 ล้านคนในสหรัฐฯ ➡️ ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนระหว่าง พ.ย. 2016 ถึง ก.พ. 2019 ✅ Flo เคยสัญญาว่าจะไม่แชร์ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลที่สาม ➡️ แต่กลับเปิดช่องให้บริษัทอื่นใช้ข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ✅ FTC เคยสอบสวนและบังคับให้ Flo ปรับปรุงนโยบายความเป็นส่วนตัว ➡️ พร้อมตั้งผู้ตรวจสอบอิสระเพื่อป้องกันการละเมิดซ้ำ ✅ คดีนี้เป็นหมุดหมายสำคัญด้านสิทธิข้อมูลสุขภาพดิจิทัล ➡️ โดยเฉพาะหลังการยกเลิกสิทธิการทำแท้งตามรัฐธรรมนูญในสหรัฐฯ ✅ SDK เป็นเครื่องมือที่ใช้เก็บพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อการโฆษณา ➡️ แต่สามารถถูกใช้เพื่อดึงข้อมูลส่วนตัวได้หากไม่มีการควบคุม ✅ การใช้แอปติดตามสุขภาพอาจเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางกฎหมาย ➡️ เช่น การสืบสวนคดีทำแท้งในบางรัฐของสหรัฐฯ ✅ เว็บไซต์ขายยาทำแท้งก็เคยถูกพบว่าแชร์ข้อมูลกับ Google ➡️ เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกติดตามโดยหน่วยงานรัฐ https://www.malwarebytes.com/blog/news/2025/08/meta-accessed-womens-health-data-from-flo-app-without-consent-says-court
    WWW.MALWAREBYTES.COM
    Meta accessed women's health data from Flo app without consent, says court
    A jury has ruled that Meta accessed sensitive information from women's reproductive health tracking app Flo without consent.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: คนอังกฤษแห่ใช้ Proxy แทน VPN เพื่อหลบเลี่ยงการยืนยันอายุ — แต่ความปลอดภัยอาจเป็นสิ่งที่ต้องแลก

    หลังจากที่สหราชอาณาจักรเริ่มบังคับใช้กฎหมาย Online Safety Act ซึ่งกำหนดให้เว็บไซต์ต้องมีระบบยืนยันอายุผู้ใช้งาน เช่น การสแกนใบหน้า การใช้บัตรเครดิต หรือการอัปโหลดเอกสารทางราชการ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของตนถูกละเมิด

    ผลคือ มีการหันมาใช้เครื่องมือหลบเลี่ยงการตรวจสอบ เช่น VPN และ proxy อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ proxy ที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 88% จากผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

    Proxy และ VPN ต่างก็ช่วยซ่อน IP และเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด แต่ proxy มักไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้อาจถูกมองเห็นได้โดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือบุคคลที่สาม ในขณะที่ VPN มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ซึ่งปลอดภัยกว่า

    แม้ proxy จะมีข้อดีในด้านความเร็ว ความยืดหยุ่น และการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ แต่ก็ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความปลอดภัยสูง โดยเฉพาะในยุคที่การละเมิดข้อมูลส่วนตัวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

    ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหราชอาณาจักรหันมาใช้ proxy เพื่อหลบเลี่ยงการยืนยันอายุ
    การใช้งาน proxy เพิ่มขึ้น 88% และจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น 65%

    กฎหมาย Online Safety Act บังคับให้เว็บไซต์ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้
    ส่งผลกระทบต่อทั้งเว็บไซต์ผู้ใหญ่และโซเชียลมีเดีย เช่น Reddit และ X

    Proxy ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์
    ช่วยซ่อน IP และเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด

    VPN มีการเข้ารหัสข้อมูลแบบ end-to-end
    ปลอดภัยกว่าการใช้ proxy ที่ไม่มีการเข้ารหัส

    บริษัทในสหราชอาณาจักรเริ่มใช้ proxy เพื่อการวิจัยตลาดและการจัดการข้อมูล
    เช่น การติดตามราคาสินค้า การตรวจสอบโฆษณา และการป้องกันบอท

    Proxy มีความยืดหยุ่นสูง เช่น การเปลี่ยน IP แบบไดนามิกและการกำหนดตำแหน่งเฉพาะ
    เหมาะกับงานที่ต้องการควบคุม footprint ดิจิทัล

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/brits-are-turning-from-vpns-to-proxies-to-resist-age-verification-but-their-data-may-be-at-risk
    🕵️‍♂️🌐 เล่าให้ฟังใหม่: คนอังกฤษแห่ใช้ Proxy แทน VPN เพื่อหลบเลี่ยงการยืนยันอายุ — แต่ความปลอดภัยอาจเป็นสิ่งที่ต้องแลก หลังจากที่สหราชอาณาจักรเริ่มบังคับใช้กฎหมาย Online Safety Act ซึ่งกำหนดให้เว็บไซต์ต้องมีระบบยืนยันอายุผู้ใช้งาน เช่น การสแกนใบหน้า การใช้บัตรเครดิต หรือการอัปโหลดเอกสารทางราชการ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของตนถูกละเมิด ผลคือ มีการหันมาใช้เครื่องมือหลบเลี่ยงการตรวจสอบ เช่น VPN และ proxy อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ proxy ที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 88% จากผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Proxy และ VPN ต่างก็ช่วยซ่อน IP และเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด แต่ proxy มักไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้อาจถูกมองเห็นได้โดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือบุคคลที่สาม ในขณะที่ VPN มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ซึ่งปลอดภัยกว่า แม้ proxy จะมีข้อดีในด้านความเร็ว ความยืดหยุ่น และการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ แต่ก็ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความปลอดภัยสูง โดยเฉพาะในยุคที่การละเมิดข้อมูลส่วนตัวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ✅ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหราชอาณาจักรหันมาใช้ proxy เพื่อหลบเลี่ยงการยืนยันอายุ ➡️ การใช้งาน proxy เพิ่มขึ้น 88% และจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น 65% ✅ กฎหมาย Online Safety Act บังคับให้เว็บไซต์ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ ➡️ ส่งผลกระทบต่อทั้งเว็บไซต์ผู้ใหญ่และโซเชียลมีเดีย เช่น Reddit และ X ✅ Proxy ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์ ➡️ ช่วยซ่อน IP และเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด ✅ VPN มีการเข้ารหัสข้อมูลแบบ end-to-end ➡️ ปลอดภัยกว่าการใช้ proxy ที่ไม่มีการเข้ารหัส ✅ บริษัทในสหราชอาณาจักรเริ่มใช้ proxy เพื่อการวิจัยตลาดและการจัดการข้อมูล ➡️ เช่น การติดตามราคาสินค้า การตรวจสอบโฆษณา และการป้องกันบอท ✅ Proxy มีความยืดหยุ่นสูง เช่น การเปลี่ยน IP แบบไดนามิกและการกำหนดตำแหน่งเฉพาะ ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการควบคุม footprint ดิจิทัล https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/brits-are-turning-from-vpns-to-proxies-to-resist-age-verification-but-their-data-may-be-at-risk
    WWW.TECHRADAR.COM
    Brits are turning from VPNs to proxies to resist age verification – but their data may be at risk
    Decodo, a prominent proxy service, reported a sharp rise in proxy users coming from the UK
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ: ปกป้องเยาวชนหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว?

    YouTube เริ่มทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ โดยไม่พึ่งข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอกเอง แต่ใช้พฤติกรรมการใช้งาน เช่น ประเภทวิดีโอที่ดู, คำค้นหา, และอายุบัญชี เพื่อประเมินว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเยาวชน หากระบบ AI ประเมินว่าเป็นเยาวชน YouTube จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม, เปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดการดูเนื้อหาบางประเภทโดยอัตโนมัติ

    แม้เป้าหมายคือการปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิส่วนบุคคลเตือนว่า ระบบนี้อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องส่งบัตรประชาชน, บัตรเครดิต หรือภาพถ่ายตนเองเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่มีความโปร่งใส

    ระบบนี้ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น เพราะโฆษณาแบบเจาะกลุ่มจะถูกปิด และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาจถูกจำกัดการเข้าถึง

    YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ
    ใช้พฤติกรรมการใช้งานแทนข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอก

    หากระบบประเมินว่าเป็นเยาวชน จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม
    พร้อมเปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดเนื้อหาบางประเภท

    ระบบนี้เคยใช้ในอังกฤษและออสเตรเลียมาก่อน
    และกำลังขยายสู่สหรัฐฯ ตามแรงกดดันจากกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์

    ผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือภาพถ่าย
    เพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด

    ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบ
    เพราะโฆษณาและเนื้อหาถูกจำกัดการเข้าถึง

    ระบบนี้อาจขยายไปยังบริการอื่นของ Google เช่น Google Ads และ Google Play
    ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลโดยรวม

    การตรวจสอบอายุด้วย AI เป็นแนวทางใหม่ที่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำมาใช้
    เช่น TikTok และ Instagram ก็เริ่มใช้ระบบคล้ายกัน

    กฎหมาย Online Safety Act ในอังกฤษบังคับให้แพลตฟอร์มปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาผู้ใหญ่
    เป็นแรงผลักดันให้ YouTube ปรับระบบในประเทศอื่น

    การใช้ AI ประเมินอายุช่วยลดการพึ่งพาข้อมูลส่วนตัวโดยตรง
    แต่ต้องมีความแม่นยำสูงเพื่อไม่ให้เกิดการประเมินผิด

    การจำกัดเนื้อหาสำหรับเยาวชนอาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพจิต
    โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียดหรือพฤติกรรมเสี่ยง

    https://wccftech.com/youtube-tests-ai-powered-age-verification-in-the-u-s-to-safeguard-teens/
    🧠🔞 YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ: ปกป้องเยาวชนหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว? YouTube เริ่มทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ โดยไม่พึ่งข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอกเอง แต่ใช้พฤติกรรมการใช้งาน เช่น ประเภทวิดีโอที่ดู, คำค้นหา, และอายุบัญชี เพื่อประเมินว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเยาวชน หากระบบ AI ประเมินว่าเป็นเยาวชน YouTube จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม, เปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดการดูเนื้อหาบางประเภทโดยอัตโนมัติ แม้เป้าหมายคือการปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิส่วนบุคคลเตือนว่า ระบบนี้อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องส่งบัตรประชาชน, บัตรเครดิต หรือภาพถ่ายตนเองเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่มีความโปร่งใส ระบบนี้ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น เพราะโฆษณาแบบเจาะกลุ่มจะถูกปิด และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาจถูกจำกัดการเข้าถึง ✅ YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ ➡️ ใช้พฤติกรรมการใช้งานแทนข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอก ✅ หากระบบประเมินว่าเป็นเยาวชน จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม ➡️ พร้อมเปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดเนื้อหาบางประเภท ✅ ระบบนี้เคยใช้ในอังกฤษและออสเตรเลียมาก่อน ➡️ และกำลังขยายสู่สหรัฐฯ ตามแรงกดดันจากกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ ✅ ผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือภาพถ่าย ➡️ เพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด ✅ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบ ➡️ เพราะโฆษณาและเนื้อหาถูกจำกัดการเข้าถึง ✅ ระบบนี้อาจขยายไปยังบริการอื่นของ Google เช่น Google Ads และ Google Play ➡️ ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลโดยรวม ✅ การตรวจสอบอายุด้วย AI เป็นแนวทางใหม่ที่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำมาใช้ ➡️ เช่น TikTok และ Instagram ก็เริ่มใช้ระบบคล้ายกัน ✅ กฎหมาย Online Safety Act ในอังกฤษบังคับให้แพลตฟอร์มปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาผู้ใหญ่ ➡️ เป็นแรงผลักดันให้ YouTube ปรับระบบในประเทศอื่น ✅ การใช้ AI ประเมินอายุช่วยลดการพึ่งพาข้อมูลส่วนตัวโดยตรง ➡️ แต่ต้องมีความแม่นยำสูงเพื่อไม่ให้เกิดการประเมินผิด ✅ การจำกัดเนื้อหาสำหรับเยาวชนอาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพจิต ➡️ โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียดหรือพฤติกรรมเสี่ยง https://wccftech.com/youtube-tests-ai-powered-age-verification-in-the-u-s-to-safeguard-teens/
    WCCFTECH.COM
    YouTube Tests AI-Powered Age Verification In The U.S. To Safeguard Teens While Navigating Privacy And Free Speech Challenges
    YouTube is testing a new age-verification system in the U.S. that relies on the technology to distinguish adults and minors
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • Claude เพิ่มฟีเจอร์ความจำแบบเลือกได้: AI ที่จำได้เฉพาะเมื่อคุณอนุญาต

    Anthropic เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับ Claude chatbot ที่เรียกว่า “on-demand memory” ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถให้ Claude จำบทสนทนาเก่า ๆ ได้ แต่เฉพาะเมื่อผู้ใช้ร้องขอเท่านั้น ต่างจาก ChatGPT หรือ Google Gemini ที่เก็บข้อมูลโดยอัตโนมัติ Claude จะไม่ย้อนดูบทสนทนาเก่าเลย หากคุณไม่สั่งให้มันทำ

    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้ก่อนในกลุ่มผู้ใช้แบบเสียเงิน ได้แก่ Max, Team และ Enterprise โดยสามารถใช้งานได้ทั้งบนเว็บ เดสก์ท็อป และมือถือ ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Claude ค้นหาบทสนทนาเก่า เช่น “เราคุยเรื่องโปรเจกต์ X ไว้ว่าอย่างไร” แล้ว Claude จะดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาให้

    Anthropic เน้นว่า Claude ไม่ได้สร้างโปรไฟล์ผู้ใช้ และไม่มีการจดจำแบบถาวร เว้นแต่ผู้ใช้จะสั่งให้จำ และหากต้องการลบความจำ ก็ต้องลบบทสนทนานั้นทั้งหมด ไม่มีระบบเลือกจำเฉพาะบางส่วน

    แนวทางนี้สะท้อนหลักการ “มนุษย์ต้องควบคุม AI” ที่ Anthropic ยึดถือ โดยให้ผู้ใช้เป็นผู้กำหนดขอบเขตของความจำอย่างชัดเจน

    Claude เพิ่มฟีเจอร์ “on-demand memory” สำหรับผู้ใช้แบบเสียเงิน
    ได้แก่ Max, Team และ Enterprise บนเว็บ เดสก์ท็อป และมือถือ

    Claude จะจำบทสนทนาเก่าเฉพาะเมื่อผู้ใช้ร้องขอ
    ต่างจาก ChatGPT และ Gemini ที่จำโดยอัตโนมัติ

    ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Claude ค้นหาบทสนทนาเก่าเพื่อใช้ต่อยอด
    เช่น “เราคุยเรื่องโปรเจกต์ X ไว้ว่าอย่างไร”

    Claude ไม่สร้างโปรไฟล์ผู้ใช้หรือจำข้อมูลส่วนตัว
    เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    หากต้องการลบความจำ ต้องลบบทสนทนาทั้งชุด
    ยังไม่มีระบบเลือกจำเฉพาะบางส่วน

    ฟีเจอร์นี้ออกแบบตามหลักความปลอดภัยของ Anthropic
    เน้นให้ผู้ใช้ควบคุม AI ได้เต็มที่

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude/you-can-now-give-claude-access-to-memories-of-previous-conversations-but-only-if-you-want-to
    🧠💬 Claude เพิ่มฟีเจอร์ความจำแบบเลือกได้: AI ที่จำได้เฉพาะเมื่อคุณอนุญาต Anthropic เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับ Claude chatbot ที่เรียกว่า “on-demand memory” ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถให้ Claude จำบทสนทนาเก่า ๆ ได้ แต่เฉพาะเมื่อผู้ใช้ร้องขอเท่านั้น ต่างจาก ChatGPT หรือ Google Gemini ที่เก็บข้อมูลโดยอัตโนมัติ Claude จะไม่ย้อนดูบทสนทนาเก่าเลย หากคุณไม่สั่งให้มันทำ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้ก่อนในกลุ่มผู้ใช้แบบเสียเงิน ได้แก่ Max, Team และ Enterprise โดยสามารถใช้งานได้ทั้งบนเว็บ เดสก์ท็อป และมือถือ ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Claude ค้นหาบทสนทนาเก่า เช่น “เราคุยเรื่องโปรเจกต์ X ไว้ว่าอย่างไร” แล้ว Claude จะดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาให้ Anthropic เน้นว่า Claude ไม่ได้สร้างโปรไฟล์ผู้ใช้ และไม่มีการจดจำแบบถาวร เว้นแต่ผู้ใช้จะสั่งให้จำ และหากต้องการลบความจำ ก็ต้องลบบทสนทนานั้นทั้งหมด ไม่มีระบบเลือกจำเฉพาะบางส่วน แนวทางนี้สะท้อนหลักการ “มนุษย์ต้องควบคุม AI” ที่ Anthropic ยึดถือ โดยให้ผู้ใช้เป็นผู้กำหนดขอบเขตของความจำอย่างชัดเจน ✅ Claude เพิ่มฟีเจอร์ “on-demand memory” สำหรับผู้ใช้แบบเสียเงิน ➡️ ได้แก่ Max, Team และ Enterprise บนเว็บ เดสก์ท็อป และมือถือ ✅ Claude จะจำบทสนทนาเก่าเฉพาะเมื่อผู้ใช้ร้องขอ ➡️ ต่างจาก ChatGPT และ Gemini ที่จำโดยอัตโนมัติ ✅ ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Claude ค้นหาบทสนทนาเก่าเพื่อใช้ต่อยอด ➡️ เช่น “เราคุยเรื่องโปรเจกต์ X ไว้ว่าอย่างไร” ✅ Claude ไม่สร้างโปรไฟล์ผู้ใช้หรือจำข้อมูลส่วนตัว ➡️ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ✅ หากต้องการลบความจำ ต้องลบบทสนทนาทั้งชุด ➡️ ยังไม่มีระบบเลือกจำเฉพาะบางส่วน ✅ ฟีเจอร์นี้ออกแบบตามหลักความปลอดภัยของ Anthropic ➡️ เน้นให้ผู้ใช้ควบคุม AI ได้เต็มที่ https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude/you-can-now-give-claude-access-to-memories-of-previous-conversations-but-only-if-you-want-to
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อรัฐบาลอังกฤษขอให้ประชาชนลบอีเมลและรูปภาพ เพื่อช่วยประหยัดน้ำในช่วงภัยแล้ง

    ในช่วงฤดูร้อนปี 2025 อังกฤษเผชิญกับภัยแล้งครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976 โดยมี 5 พื้นที่เข้าสู่สถานะ “ภัยแล้ง” อย่างเป็นทางการ และอีก 6 พื้นที่มีสภาพอากาศแห้งต่อเนื่อง รัฐบาลจึงประกาศให้สถานการณ์นี้เป็น “เหตุการณ์ระดับชาติ” และขอให้ประชาชนร่วมมือกันลดการใช้น้ำ

    มาตรการทั่วไปที่แนะนำ ได้แก่ การลดเวลาการอาบน้ำ, ไม่รดน้ำสนามหญ้า, ใช้น้ำฝนรดต้นไม้, และซ่อมแซมห้องน้ำที่รั่ว แต่สิ่งที่สร้างความงุนงงคือคำแนะนำให้ “ลบอีเมลและรูปภาพเก่า” เพราะ “ศูนย์ข้อมูลใช้ปริมาณน้ำมหาศาลในการระบายความร้อน”

    แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายชี้ว่า การลบข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่มีผลต่อการลดการใช้น้ำในภาพรวม และอาจใช้พลังงานมากกว่าการเก็บไว้เฉย ๆ ด้วยซ้ำ

    นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลของผู้ใช้ชาวอังกฤษจำนวนมากถูกเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลต่างประเทศ ซึ่งหมายความว่าการลบข้อมูลอาจไม่ได้ช่วยลดการใช้น้ำในอังกฤษเลย

    รัฐบาลอังกฤษประกาศภัยแล้งเป็น “เหตุการณ์ระดับชาติ”
    หลังจาก 6 เดือนที่แห้งแล้งที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976

    5 พื้นที่ในอังกฤษเข้าสู่สถานะภัยแล้ง และอีก 6 พื้นที่มีสภาพแห้งต่อเนื่อง
    ระดับน้ำในแม่น้ำและอ่างเก็บน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง

    รัฐบาลแนะนำให้ประชาชนลบอีเมลและรูปภาพเก่า
    โดยอ้างว่า “ศูนย์ข้อมูลใช้ปริมาณน้ำมหาศาลในการระบายความร้อน”

    มาตรการอื่นที่แนะนำ ได้แก่ ลดเวลาการอาบน้ำ, ใช้น้ำฝน, ซ่อมห้องน้ำรั่ว
    เป็นวิธีที่มีผลต่อการลดการใช้น้ำโดยตรง

    ศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ระบบ evaporative cooling ที่ใช้น้ำ
    โดยเฉพาะศูนย์ขนาดใหญ่ที่มีการประมวลผลสูง

    ศูนย์ข้อมูลขนาด 1 เมกะวัตต์อาจใช้น้ำถึง 26 ล้านลิตรต่อปี
    เทียบเท่าการใช้น้ำของเมืองขนาดกลาง

    การลบข้อมูลจาก cloud อาจใช้พลังงานมากกว่าการเก็บไว้เฉย ๆ
    เพราะต้องมีการประมวลผลและยืนยันการลบ

    ข้อมูลของผู้ใช้ในอังกฤษอาจถูกเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลต่างประเทศ
    ไม่มีข้อบังคับให้เก็บข้อมูลภายในประเทศ

    การลดการใช้ AI และการประมวลผลขนาดใหญ่มีผลต่อการลดการใช้น้ำมากกว่า
    เช่น การลดการใช้โมเดล generative AI ที่ใช้พลังงานสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/uk-government-inexplicably-tells-citizens-to-delete-old-emails-and-pictures-to-save-water-during-national-drought-data-centres-require-vast-amounts-of-water-to-cool-their-systems
    💧📂 เมื่อรัฐบาลอังกฤษขอให้ประชาชนลบอีเมลและรูปภาพ เพื่อช่วยประหยัดน้ำในช่วงภัยแล้ง ในช่วงฤดูร้อนปี 2025 อังกฤษเผชิญกับภัยแล้งครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976 โดยมี 5 พื้นที่เข้าสู่สถานะ “ภัยแล้ง” อย่างเป็นทางการ และอีก 6 พื้นที่มีสภาพอากาศแห้งต่อเนื่อง รัฐบาลจึงประกาศให้สถานการณ์นี้เป็น “เหตุการณ์ระดับชาติ” และขอให้ประชาชนร่วมมือกันลดการใช้น้ำ มาตรการทั่วไปที่แนะนำ ได้แก่ การลดเวลาการอาบน้ำ, ไม่รดน้ำสนามหญ้า, ใช้น้ำฝนรดต้นไม้, และซ่อมแซมห้องน้ำที่รั่ว แต่สิ่งที่สร้างความงุนงงคือคำแนะนำให้ “ลบอีเมลและรูปภาพเก่า” เพราะ “ศูนย์ข้อมูลใช้ปริมาณน้ำมหาศาลในการระบายความร้อน” แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายชี้ว่า การลบข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่มีผลต่อการลดการใช้น้ำในภาพรวม และอาจใช้พลังงานมากกว่าการเก็บไว้เฉย ๆ ด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลของผู้ใช้ชาวอังกฤษจำนวนมากถูกเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลต่างประเทศ ซึ่งหมายความว่าการลบข้อมูลอาจไม่ได้ช่วยลดการใช้น้ำในอังกฤษเลย ✅ รัฐบาลอังกฤษประกาศภัยแล้งเป็น “เหตุการณ์ระดับชาติ” ➡️ หลังจาก 6 เดือนที่แห้งแล้งที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976 ✅ 5 พื้นที่ในอังกฤษเข้าสู่สถานะภัยแล้ง และอีก 6 พื้นที่มีสภาพแห้งต่อเนื่อง ➡️ ระดับน้ำในแม่น้ำและอ่างเก็บน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ✅ รัฐบาลแนะนำให้ประชาชนลบอีเมลและรูปภาพเก่า ➡️ โดยอ้างว่า “ศูนย์ข้อมูลใช้ปริมาณน้ำมหาศาลในการระบายความร้อน” ✅ มาตรการอื่นที่แนะนำ ได้แก่ ลดเวลาการอาบน้ำ, ใช้น้ำฝน, ซ่อมห้องน้ำรั่ว ➡️ เป็นวิธีที่มีผลต่อการลดการใช้น้ำโดยตรง ✅ ศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ระบบ evaporative cooling ที่ใช้น้ำ ➡️ โดยเฉพาะศูนย์ขนาดใหญ่ที่มีการประมวลผลสูง ✅ ศูนย์ข้อมูลขนาด 1 เมกะวัตต์อาจใช้น้ำถึง 26 ล้านลิตรต่อปี ➡️ เทียบเท่าการใช้น้ำของเมืองขนาดกลาง ✅ การลบข้อมูลจาก cloud อาจใช้พลังงานมากกว่าการเก็บไว้เฉย ๆ ➡️ เพราะต้องมีการประมวลผลและยืนยันการลบ ✅ ข้อมูลของผู้ใช้ในอังกฤษอาจถูกเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลต่างประเทศ ➡️ ไม่มีข้อบังคับให้เก็บข้อมูลภายในประเทศ ✅ การลดการใช้ AI และการประมวลผลขนาดใหญ่มีผลต่อการลดการใช้น้ำมากกว่า ➡️ เช่น การลดการใช้โมเดล generative AI ที่ใช้พลังงานสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/uk-government-inexplicably-tells-citizens-to-delete-old-emails-and-pictures-to-save-water-during-national-drought-data-centres-require-vast-amounts-of-water-to-cool-their-systems
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องแล็บสู่โลกออนไลน์: เมื่อเครื่องมือแพทย์กลายเป็นช่องโหว่ให้ข้อมูลหลุด

    ลองจินตนาการว่า MRI หรือ X-ray ที่คุณเพิ่งตรวจ ถูกเก็บไว้ในระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ อย่าง “123456” แล้วข้อมูลนั้น—รวมถึงชื่อ เบอร์โทร และผลตรวจ—หลุดออกไปให้ใครก็ได้เห็น

    นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ จากการค้นพบของนักวิจัยจาก Modat ที่สแกนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และพบว่ามีมากกว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ทำให้ข้อมูลหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลที่หลุดไม่ใช่แค่ภาพสแกนสมองหรือผลเลือด แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่สามารถนำไปใช้หลอกลวง หรือแม้แต่แบล็กเมล์ผู้ป่วยได้ เช่น ขู่จะเปิดเผยโรคที่เป็นให้ครอบครัวรู้ หากไม่จ่ายเงิน

    ที่น่าตกใจคือ อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งค่าให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตั้งแต่โรงงาน โดยไม่มีความจำเป็นทางคลินิก และโรงพยาบาลจำนวนมากไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น หรืออัปเดตระบบเลย

    นอกจากการขโมยข้อมูล ยังมีความเสี่ยงที่แฮกเกอร์จะ “แก้ไข” ข้อมูล เช่น เปลี่ยนผลตรวจ หรือเพิ่มขนาดยาที่สั่งจ่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง

    พบอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด
    ทำให้ข้อมูลหลุดออกสู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลที่หลุดรวมถึง MRI, X-ray, ผลเลือด และข้อมูลส่วนตัว
    เช่น ชื่อ เบอร์โทร และหมายเลขผู้ป่วย

    บางอุปกรณ์ไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ เช่น “admin” หรือ “123456”
    ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย

    ข้อมูลที่หลุดอาจถูกใช้แบล็กเมล์หรือหลอกลวงผู้ป่วย
    เช่น ส่งอีเมลปลอมจากโรงพยาบาลเพื่อขโมยข้อมูลเพิ่มเติม

    ประเทศที่มีอุปกรณ์หลุดมากที่สุดคือสหรัฐฯ, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, บราซิล และเยอรมนี
    รวมกันมากกว่า 600,000 เครื่อง

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทาง proactive security
    เช่น ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดและจัดการช่องโหว่ล่วงหน้า

    https://www.techradar.com/pro/security/mri-scans-x-rays-and-more-leaked-online-in-major-breach-over-a-million-healthcare-devices-affected-heres-what-we-know
    🧠💥 เรื่องเล่าจากห้องแล็บสู่โลกออนไลน์: เมื่อเครื่องมือแพทย์กลายเป็นช่องโหว่ให้ข้อมูลหลุด ลองจินตนาการว่า MRI หรือ X-ray ที่คุณเพิ่งตรวจ ถูกเก็บไว้ในระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ อย่าง “123456” แล้วข้อมูลนั้น—รวมถึงชื่อ เบอร์โทร และผลตรวจ—หลุดออกไปให้ใครก็ได้เห็น นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ จากการค้นพบของนักวิจัยจาก Modat ที่สแกนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และพบว่ามีมากกว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ทำให้ข้อมูลหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ ข้อมูลที่หลุดไม่ใช่แค่ภาพสแกนสมองหรือผลเลือด แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่สามารถนำไปใช้หลอกลวง หรือแม้แต่แบล็กเมล์ผู้ป่วยได้ เช่น ขู่จะเปิดเผยโรคที่เป็นให้ครอบครัวรู้ หากไม่จ่ายเงิน ที่น่าตกใจคือ อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งค่าให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตั้งแต่โรงงาน โดยไม่มีความจำเป็นทางคลินิก และโรงพยาบาลจำนวนมากไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น หรืออัปเดตระบบเลย นอกจากการขโมยข้อมูล ยังมีความเสี่ยงที่แฮกเกอร์จะ “แก้ไข” ข้อมูล เช่น เปลี่ยนผลตรวจ หรือเพิ่มขนาดยาที่สั่งจ่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง ✅ พบอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ➡️ ทำให้ข้อมูลหลุดออกสู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ ✅ ข้อมูลที่หลุดรวมถึง MRI, X-ray, ผลเลือด และข้อมูลส่วนตัว ➡️ เช่น ชื่อ เบอร์โทร และหมายเลขผู้ป่วย ✅ บางอุปกรณ์ไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ เช่น “admin” หรือ “123456” ➡️ ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ✅ ข้อมูลที่หลุดอาจถูกใช้แบล็กเมล์หรือหลอกลวงผู้ป่วย ➡️ เช่น ส่งอีเมลปลอมจากโรงพยาบาลเพื่อขโมยข้อมูลเพิ่มเติม ✅ ประเทศที่มีอุปกรณ์หลุดมากที่สุดคือสหรัฐฯ, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, บราซิล และเยอรมนี ➡️ รวมกันมากกว่า 600,000 เครื่อง ✅ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทาง proactive security ➡️ เช่น ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดและจัดการช่องโหว่ล่วงหน้า https://www.techradar.com/pro/security/mri-scans-x-rays-and-more-leaked-online-in-major-breach-over-a-million-healthcare-devices-affected-heres-what-we-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกปลอมที่เหมือนจริง: เมื่อ AI ถูกใช้สร้างเว็บรัฐบาลปลอมเพื่อหลอกประชาชน

    ในบราซิล นักวิจัยจาก ThreatLabz พบว่ามีการใช้ Generative AI สร้างเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบเว็บของหน่วยงานรัฐบาลอย่างแนบเนียน โดยเฉพาะเว็บไซต์ของกรมการขนส่งและกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งถูกใช้เพื่อหลอกขโมยข้อมูลส่วนตัวและเงินจากประชาชน

    เว็บไซต์ปลอมเหล่านี้มีหน้าตาเหมือนของจริงแทบทุกจุด ยกเว้นแค่ URL ที่เปลี่ยนเล็กน้อย เช่น “govbrs[.]com” แทนที่จะเป็น “gov.br” และยังใช้เทคนิค SEO poisoning เพื่อดันอันดับใน Google ให้ขึ้นมาอยู่บนสุด ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บจริง

    เมื่อเหยื่อเข้าเว็บ พวกเขาจะถูกขอให้กรอกหมายเลข CPF (คล้ายเลขบัตรประชาชน) และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ก่อนจะถูกหลอกให้จ่ายเงินผ่านระบบ Pix ซึ่งเงินจะถูกส่งตรงไปยังบัญชีของแฮกเกอร์

    ที่น่าตกใจคือ โค้ดของเว็บไซต์ปลอมเหล่านี้มีลักษณะเหมือนถูกสร้างโดย AI เช่น Deepsite AI โดยมีการใช้ TailwindCSS และคำอธิบายโค้ดที่เป็น template ซึ่งบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์ใช้ prompt เพื่อสั่งให้ AI “สร้างเว็บที่เหมือนของจริง”

    แฮกเกอร์ใช้ Generative AI สร้างเว็บไซต์ปลอมเลียนแบบเว็บรัฐบาลบราซิล
    เช่น เว็บกรมการขนส่งและกระทรวงศึกษาธิการ

    ใช้ URL ปลอมที่คล้ายของจริง เช่น govbrs[.]com
    ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บทางการ

    ใช้เทคนิค SEO poisoning เพื่อดันเว็บปลอมขึ้นอันดับต้น ๆ
    เพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการหลอกเหยื่อ

    เหยื่อต้องกรอกหมายเลข CPF และข้อมูลส่วนตัว
    ก่อนถูกหลอกให้จ่ายเงินผ่านระบบ Pix

    โค้ดของเว็บปลอมมีลักษณะเหมือนถูกสร้างโดย AI เช่น Deepsite
    มีการใช้ TailwindCSS และคำอธิบายโค้ดแบบ template

    นักวิจัยเตือนว่าแม้ตอนนี้จะขโมยเงินไม่มาก แต่มีศักยภาพในการสร้างความเสียหายมหาศาล
    แนะนำให้ใช้ Zero Trust architecture และ best practices เพื่อป้องกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-are-now-mimicking-government-websites-using-ai-everything-you-need-to-know-to-stay-safe
    🌐🕵️‍♂️ เรื่องเล่าจากโลกปลอมที่เหมือนจริง: เมื่อ AI ถูกใช้สร้างเว็บรัฐบาลปลอมเพื่อหลอกประชาชน ในบราซิล นักวิจัยจาก ThreatLabz พบว่ามีการใช้ Generative AI สร้างเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบเว็บของหน่วยงานรัฐบาลอย่างแนบเนียน โดยเฉพาะเว็บไซต์ของกรมการขนส่งและกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งถูกใช้เพื่อหลอกขโมยข้อมูลส่วนตัวและเงินจากประชาชน เว็บไซต์ปลอมเหล่านี้มีหน้าตาเหมือนของจริงแทบทุกจุด ยกเว้นแค่ URL ที่เปลี่ยนเล็กน้อย เช่น “govbrs[.]com” แทนที่จะเป็น “gov.br” และยังใช้เทคนิค SEO poisoning เพื่อดันอันดับใน Google ให้ขึ้นมาอยู่บนสุด ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บจริง เมื่อเหยื่อเข้าเว็บ พวกเขาจะถูกขอให้กรอกหมายเลข CPF (คล้ายเลขบัตรประชาชน) และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ก่อนจะถูกหลอกให้จ่ายเงินผ่านระบบ Pix ซึ่งเงินจะถูกส่งตรงไปยังบัญชีของแฮกเกอร์ ที่น่าตกใจคือ โค้ดของเว็บไซต์ปลอมเหล่านี้มีลักษณะเหมือนถูกสร้างโดย AI เช่น Deepsite AI โดยมีการใช้ TailwindCSS และคำอธิบายโค้ดที่เป็น template ซึ่งบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์ใช้ prompt เพื่อสั่งให้ AI “สร้างเว็บที่เหมือนของจริง” ✅ แฮกเกอร์ใช้ Generative AI สร้างเว็บไซต์ปลอมเลียนแบบเว็บรัฐบาลบราซิล ➡️ เช่น เว็บกรมการขนส่งและกระทรวงศึกษาธิการ ✅ ใช้ URL ปลอมที่คล้ายของจริง เช่น govbrs[.]com ➡️ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บทางการ ✅ ใช้เทคนิค SEO poisoning เพื่อดันเว็บปลอมขึ้นอันดับต้น ๆ ➡️ เพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการหลอกเหยื่อ ✅ เหยื่อต้องกรอกหมายเลข CPF และข้อมูลส่วนตัว ➡️ ก่อนถูกหลอกให้จ่ายเงินผ่านระบบ Pix ✅ โค้ดของเว็บปลอมมีลักษณะเหมือนถูกสร้างโดย AI เช่น Deepsite ➡️ มีการใช้ TailwindCSS และคำอธิบายโค้ดแบบ template ✅ นักวิจัยเตือนว่าแม้ตอนนี้จะขโมยเงินไม่มาก แต่มีศักยภาพในการสร้างความเสียหายมหาศาล ➡️ แนะนำให้ใช้ Zero Trust architecture และ best practices เพื่อป้องกัน https://www.techradar.com/pro/security/hackers-are-now-mimicking-government-websites-using-ai-everything-you-need-to-know-to-stay-safe
    WWW.TECHRADAR.COM
    Hackers are now mimicking government websites using AI - everything you need to know to stay safe
    Multiple Brazilian government sites were cloned, and more could be on the way
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: ช่องโหว่ในระบบดีลเลอร์รถยนต์ เปิดทางให้แฮกเกอร์ปลดล็อกรถจากระยะไกล

    Eaton Zveare นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในระบบพอร์ทัลออนไลน์ของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่รายหนึ่ง (ไม่เปิดเผยชื่อ) ซึ่งมีดีลเลอร์กว่า 1,000 แห่งในสหรัฐฯ ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถสร้างบัญชี “ผู้ดูแลระดับชาติ” ได้เอง และเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า รวมถึงควบคุมฟังก์ชันบางอย่างของรถจากระยะไกล เช่น การปลดล็อกรถ

    Zveare ใช้เทคนิคแก้ไขโค้ดที่โหลดในเบราว์เซอร์หน้า login เพื่อข้ามระบบตรวจสอบสิทธิ์ และสร้างบัญชีแอดมินที่สามารถเข้าถึงข้อมูลทุกดีลเลอร์ได้โดยไม่มีใครรู้ เขายังพบเครื่องมือ lookup ที่สามารถใช้หมายเลขตัวถังรถ (VIN) หรือแค่ชื่อ-นามสกุล เพื่อค้นหาข้อมูลเจ้าของรถได้ทันที

    ที่น่าตกใจคือ ระบบยังอนุญาตให้เชื่อมรถเข้ากับบัญชีมือถือใหม่ได้ง่าย ๆ โดยแค่ “รับรองว่าเป็นเจ้าของจริง” ซึ่ง Zveare ทดลองกับรถของเพื่อน (โดยได้รับอนุญาต) และสามารถควบคุมการปลดล็อกรถผ่านแอปได้สำเร็จ

    แม้บริษัทจะรีบแก้ไขภายในหนึ่งสัปดาห์หลังได้รับแจ้ง แต่กรณีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของระบบดีลเลอร์ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก และขาดการป้องกันที่รัดกุม

    นักวิจัยพบช่องโหว่ในระบบพอร์ทัลของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่
    มีดีลเลอร์กว่า 1,000 แห่งในสหรัฐฯ

    ช่องโหว่ช่วยให้สร้างบัญชีแอดมินระดับชาติได้เอง
    เข้าถึงข้อมูลลูกค้า, ดีลเลอร์, และระบบควบคุมรถ

    ใช้แค่ VIN หรือชื่อ-นามสกุล ก็สามารถค้นหาข้อมูลเจ้าของรถได้
    ผ่านเครื่องมือ lookup ภายในระบบ

    สามารถเชื่อมรถเข้ากับบัญชีมือถือใหม่ได้ง่าย ๆ
    ใช้แค่การรับรองว่าเป็นเจ้าของ โดยไม่มีการตรวจสอบจริง

    ระบบใช้ Single Sign-On (SSO) ทำให้สามารถสวมรอยผู้ใช้คนอื่นได้
    เข้าถึงดีลเลอร์อื่นโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน

    บริษัทแก้ไขช่องโหว่ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังได้รับแจ้ง
    Zveare นำเสนอผลการวิจัยในงาน Defcon

    https://hackread.com/carmaker-portal-flaw-hackers-unlock-cars-steal-data/
    🚗🔓 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: ช่องโหว่ในระบบดีลเลอร์รถยนต์ เปิดทางให้แฮกเกอร์ปลดล็อกรถจากระยะไกล Eaton Zveare นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในระบบพอร์ทัลออนไลน์ของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่รายหนึ่ง (ไม่เปิดเผยชื่อ) ซึ่งมีดีลเลอร์กว่า 1,000 แห่งในสหรัฐฯ ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถสร้างบัญชี “ผู้ดูแลระดับชาติ” ได้เอง และเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า รวมถึงควบคุมฟังก์ชันบางอย่างของรถจากระยะไกล เช่น การปลดล็อกรถ Zveare ใช้เทคนิคแก้ไขโค้ดที่โหลดในเบราว์เซอร์หน้า login เพื่อข้ามระบบตรวจสอบสิทธิ์ และสร้างบัญชีแอดมินที่สามารถเข้าถึงข้อมูลทุกดีลเลอร์ได้โดยไม่มีใครรู้ เขายังพบเครื่องมือ lookup ที่สามารถใช้หมายเลขตัวถังรถ (VIN) หรือแค่ชื่อ-นามสกุล เพื่อค้นหาข้อมูลเจ้าของรถได้ทันที ที่น่าตกใจคือ ระบบยังอนุญาตให้เชื่อมรถเข้ากับบัญชีมือถือใหม่ได้ง่าย ๆ โดยแค่ “รับรองว่าเป็นเจ้าของจริง” ซึ่ง Zveare ทดลองกับรถของเพื่อน (โดยได้รับอนุญาต) และสามารถควบคุมการปลดล็อกรถผ่านแอปได้สำเร็จ แม้บริษัทจะรีบแก้ไขภายในหนึ่งสัปดาห์หลังได้รับแจ้ง แต่กรณีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของระบบดีลเลอร์ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก และขาดการป้องกันที่รัดกุม ✅ นักวิจัยพบช่องโหว่ในระบบพอร์ทัลของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ ➡️ มีดีลเลอร์กว่า 1,000 แห่งในสหรัฐฯ ✅ ช่องโหว่ช่วยให้สร้างบัญชีแอดมินระดับชาติได้เอง ➡️ เข้าถึงข้อมูลลูกค้า, ดีลเลอร์, และระบบควบคุมรถ ✅ ใช้แค่ VIN หรือชื่อ-นามสกุล ก็สามารถค้นหาข้อมูลเจ้าของรถได้ ➡️ ผ่านเครื่องมือ lookup ภายในระบบ ✅ สามารถเชื่อมรถเข้ากับบัญชีมือถือใหม่ได้ง่าย ๆ ➡️ ใช้แค่การรับรองว่าเป็นเจ้าของ โดยไม่มีการตรวจสอบจริง ✅ ระบบใช้ Single Sign-On (SSO) ทำให้สามารถสวมรอยผู้ใช้คนอื่นได้ ➡️ เข้าถึงดีลเลอร์อื่นโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ✅ บริษัทแก้ไขช่องโหว่ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังได้รับแจ้ง ➡️ Zveare นำเสนอผลการวิจัยในงาน Defcon https://hackread.com/carmaker-portal-flaw-hackers-unlock-cars-steal-data/
    HACKREAD.COM
    Carmaker Portal Flaw Could Let Hackers Unlock Cars, Steal Data
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการซ่อม: Apple แอบปล่อยผู้ช่วย AI ในแอป Support โดยไม่ต้องรอ Siri

    ในขณะที่หลายคนกำลังรอให้ Siri กลายเป็น AI ที่ฉลาดขึ้น Apple กลับแอบเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Apple Support ที่ชื่อว่า “Support Assistant” ซึ่งเป็นแชตบ็อตที่ใช้ AI แบบ generative ช่วยตอบคำถามและแก้ปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Apple โดยไม่ต้องคุยกับเจ้าหน้าที่จริง

    ฟีเจอร์นี้เริ่มเปิดให้ทดลองใช้แบบเงียบ ๆ ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2025 เฉพาะผู้ใช้ iPhone บางกลุ่มในสหรัฐฯ โดยจะมีปุ่ม “Chat” ปรากฏในแอป Apple Support ซึ่งเมื่อกดเข้าไป ผู้ใช้สามารถพูดคุยกับ AI เพื่อขอคำแนะนำ เช่น การรีเซ็ตเครื่อง การแก้ปัญหาแอป หรือการตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกัน

    หาก AI ไม่สามารถตอบได้ ระบบจะส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่จริงโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างระบบอัตโนมัติกับการบริการแบบมนุษย์อย่างชาญฉลาด

    Apple ยืนยันว่า AI ตัวนี้ทำงานแบบ local และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ โดยข้อมูลที่ใช้จะถูก anonymized เพื่อปรับปรุงระบบเท่านั้น และไม่ใช้ในการฝึกโมเดล AI เหมือนคู่แข่งบางราย

    แม้จะดูปลอดภัย แต่ Apple ก็เตือนชัดเจนว่า “AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด” และแนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบคำแนะนำก่อนนำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ เช่น การตั้งค่าระบบหรือการแก้ปัญหาที่อาจกระทบต่อข้อมูล

    Apple เปิดตัวฟีเจอร์ Support Assistant ในแอป Apple Support
    เป็นแชตบ็อตที่ใช้ AI ช่วยตอบคำถามและแก้ปัญหาเบื้องต้น

    เริ่มเปิดให้ทดลองใช้ตั้งแต่ 5 สิงหาคม 2025
    เฉพาะผู้ใช้ iPhone บางกลุ่มในสหรัฐฯ

    ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Chat” เพื่อเริ่มพูดคุยกับ AI
    ใช้สำหรับการรีเซ็ตเครื่อง ตรวจสอบการรับประกัน และแก้ปัญหาแอป

    หาก AI ตอบไม่ได้ ระบบจะส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่จริง
    เป็นระบบ hybrid ที่ผสมผสานระหว่าง AI และมนุษย์

    Apple ยืนยันว่า AI ทำงานแบบ local และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัว
    ข้อมูลจะถูก anonymized และใช้เพื่อปรับปรุงระบบเท่านั้น

    Apple เตือนว่า AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบคำแนะนำก่อนนำไปใช้

    AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบก่อนนำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ

    ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง และยังไม่เปิดให้ใช้ทั่วโลก
    ผู้ใช้ในประเทศอื่นยังไม่สามารถเข้าถึงได้

    ไม่มีการระบุชัดเจนว่าใช้โมเดล AI จากแหล่งใด
    อาจทำให้ผู้ใช้บางกลุ่มกังวลเรื่องความโปร่งใส

    แม้จะไม่ใช้ข้อมูลส่วนตัวในการฝึก AI แต่ยังมีการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงระบบ
    ผู้ใช้ควรอ่านเงื่อนไขการใช้งานอย่างละเอียดก่อนเริ่มใช้

    https://www.techradar.com/pro/forget-talking-to-a-human-apple-is-rolling-out-ai-chatbots-in-its-customer-service-app
    📱🤖 เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการซ่อม: Apple แอบปล่อยผู้ช่วย AI ในแอป Support โดยไม่ต้องรอ Siri ในขณะที่หลายคนกำลังรอให้ Siri กลายเป็น AI ที่ฉลาดขึ้น Apple กลับแอบเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Apple Support ที่ชื่อว่า “Support Assistant” ซึ่งเป็นแชตบ็อตที่ใช้ AI แบบ generative ช่วยตอบคำถามและแก้ปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Apple โดยไม่ต้องคุยกับเจ้าหน้าที่จริง ฟีเจอร์นี้เริ่มเปิดให้ทดลองใช้แบบเงียบ ๆ ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2025 เฉพาะผู้ใช้ iPhone บางกลุ่มในสหรัฐฯ โดยจะมีปุ่ม “Chat” ปรากฏในแอป Apple Support ซึ่งเมื่อกดเข้าไป ผู้ใช้สามารถพูดคุยกับ AI เพื่อขอคำแนะนำ เช่น การรีเซ็ตเครื่อง การแก้ปัญหาแอป หรือการตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกัน หาก AI ไม่สามารถตอบได้ ระบบจะส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่จริงโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างระบบอัตโนมัติกับการบริการแบบมนุษย์อย่างชาญฉลาด Apple ยืนยันว่า AI ตัวนี้ทำงานแบบ local และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ โดยข้อมูลที่ใช้จะถูก anonymized เพื่อปรับปรุงระบบเท่านั้น และไม่ใช้ในการฝึกโมเดล AI เหมือนคู่แข่งบางราย แม้จะดูปลอดภัย แต่ Apple ก็เตือนชัดเจนว่า “AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด” และแนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบคำแนะนำก่อนนำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ เช่น การตั้งค่าระบบหรือการแก้ปัญหาที่อาจกระทบต่อข้อมูล ✅ Apple เปิดตัวฟีเจอร์ Support Assistant ในแอป Apple Support ➡️ เป็นแชตบ็อตที่ใช้ AI ช่วยตอบคำถามและแก้ปัญหาเบื้องต้น ✅ เริ่มเปิดให้ทดลองใช้ตั้งแต่ 5 สิงหาคม 2025 ➡️ เฉพาะผู้ใช้ iPhone บางกลุ่มในสหรัฐฯ ✅ ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Chat” เพื่อเริ่มพูดคุยกับ AI ➡️ ใช้สำหรับการรีเซ็ตเครื่อง ตรวจสอบการรับประกัน และแก้ปัญหาแอป ✅ หาก AI ตอบไม่ได้ ระบบจะส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่จริง ➡️ เป็นระบบ hybrid ที่ผสมผสานระหว่าง AI และมนุษย์ ✅ Apple ยืนยันว่า AI ทำงานแบบ local และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัว ➡️ ข้อมูลจะถูก anonymized และใช้เพื่อปรับปรุงระบบเท่านั้น ✅ Apple เตือนว่า AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด ➡️ ผู้ใช้ควรตรวจสอบคำแนะนำก่อนนำไปใช้ ‼️ AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบก่อนนำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ ‼️ ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง และยังไม่เปิดให้ใช้ทั่วโลก ⛔ ผู้ใช้ในประเทศอื่นยังไม่สามารถเข้าถึงได้ ‼️ ไม่มีการระบุชัดเจนว่าใช้โมเดล AI จากแหล่งใด ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้บางกลุ่มกังวลเรื่องความโปร่งใส ‼️ แม้จะไม่ใช้ข้อมูลส่วนตัวในการฝึก AI แต่ยังมีการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงระบบ ⛔ ผู้ใช้ควรอ่านเงื่อนไขการใช้งานอย่างละเอียดก่อนเริ่มใช้ https://www.techradar.com/pro/forget-talking-to-a-human-apple-is-rolling-out-ai-chatbots-in-its-customer-service-app
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts