• “KDE ครบรอบ 29 ปี — เปิดระดมทุนปี 2025 เพื่อซอฟต์แวร์เสรีที่ยั่งยืนและโลกที่สะอาดขึ้น”

    ในวาระครบรอบ 29 ปีของ KDE โครงการโอเพ่นซอร์สที่ทรงพลังและเป็นอิสระที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้เปิดตัวแคมเปญระดมทุนประจำปี 2025 โดยตั้งเป้ายอดบริจาคขั้นต่ำที่ €50,000 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาซอฟต์แวร์เสรีที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรต่อความเป็นส่วนตัว

    KDE เน้นย้ำว่าเงินบริจาคจากผู้ใช้คือหัวใจของความเป็นอิสระทางการเงิน ซึ่งช่วยให้โครงการไม่ต้องพึ่งพาบริษัทใดบริษัทหนึ่ง และสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อทุกคนได้อย่างแท้จริง

    นอกจากนี้ แคมเปญปีนี้ยังตรงกับสัปดาห์ของ “วันลดขยะอิเล็กทรอนิกส์สากล” KDE จึงเปิดตัวแคมเปญ “End of 10” เพื่อรณรงค์ให้ผู้คนไม่ทิ้งอุปกรณ์เก่าเพียงเพราะไม่สามารถอัปเกรด Windows 10 ได้ โดยเสนอทางเลือกผ่านซอฟต์แวร์ KDE ที่เบาและไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา

    KDE ครบรอบ 29 ปีในปี 2025
    เป็นโครงการโอเพ่นซอร์สที่ขับเคลื่อนด้วยชุมชน

    เปิดแคมเปญระดมทุนประจำปี
    ตั้งเป้ายอดบริจาคขั้นต่ำ €50,000 ภายในสิ้นปี

    เงินบริจาคช่วยให้ KDE มีอิสระทางการเงิน
    ไม่ต้องพึ่งพาบริษัทใหญ่ และพัฒนาเพื่อทุกคน

    KDE ผลิตซอฟต์แวร์ที่เบาและไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ถูกละเลยโดยอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

    แคมเปญ “End of 10” รณรงค์ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์
    ตอบโต้การหยุดสนับสนุน Windows 10 โดย Microsoft

    KDE สนับสนุนการนำซอฟต์แวร์เสรีไปใช้ในหน่วยงานรัฐ
    เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและอธิปไตยทางเทคโนโลยี

    ผู้บริจาคจะได้รับของขวัญดิจิทัล เช่น badge และการ์ดพิมพ์ได้
    เป็นการขอบคุณจากชุมชน KDE

    https://kde.org/fundraisers/yearend2025/
    🎉 “KDE ครบรอบ 29 ปี — เปิดระดมทุนปี 2025 เพื่อซอฟต์แวร์เสรีที่ยั่งยืนและโลกที่สะอาดขึ้น” ในวาระครบรอบ 29 ปีของ KDE โครงการโอเพ่นซอร์สที่ทรงพลังและเป็นอิสระที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้เปิดตัวแคมเปญระดมทุนประจำปี 2025 โดยตั้งเป้ายอดบริจาคขั้นต่ำที่ €50,000 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาซอฟต์แวร์เสรีที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรต่อความเป็นส่วนตัว KDE เน้นย้ำว่าเงินบริจาคจากผู้ใช้คือหัวใจของความเป็นอิสระทางการเงิน ซึ่งช่วยให้โครงการไม่ต้องพึ่งพาบริษัทใดบริษัทหนึ่ง และสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อทุกคนได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ แคมเปญปีนี้ยังตรงกับสัปดาห์ของ “วันลดขยะอิเล็กทรอนิกส์สากล” KDE จึงเปิดตัวแคมเปญ “End of 10” เพื่อรณรงค์ให้ผู้คนไม่ทิ้งอุปกรณ์เก่าเพียงเพราะไม่สามารถอัปเกรด Windows 10 ได้ โดยเสนอทางเลือกผ่านซอฟต์แวร์ KDE ที่เบาและไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ✅ KDE ครบรอบ 29 ปีในปี 2025 ➡️ เป็นโครงการโอเพ่นซอร์สที่ขับเคลื่อนด้วยชุมชน ✅ เปิดแคมเปญระดมทุนประจำปี ➡️ ตั้งเป้ายอดบริจาคขั้นต่ำ €50,000 ภายในสิ้นปี ✅ เงินบริจาคช่วยให้ KDE มีอิสระทางการเงิน ➡️ ไม่ต้องพึ่งพาบริษัทใหญ่ และพัฒนาเพื่อทุกคน ✅ KDE ผลิตซอฟต์แวร์ที่เบาและไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ถูกละเลยโดยอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ✅ แคมเปญ “End of 10” รณรงค์ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ ตอบโต้การหยุดสนับสนุน Windows 10 โดย Microsoft ✅ KDE สนับสนุนการนำซอฟต์แวร์เสรีไปใช้ในหน่วยงานรัฐ ➡️ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและอธิปไตยทางเทคโนโลยี ✅ ผู้บริจาคจะได้รับของขวัญดิจิทัล เช่น badge และการ์ดพิมพ์ได้ ➡️ เป็นการขอบคุณจากชุมชน KDE https://kde.org/fundraisers/yearend2025/
    KDE.ORG
    Happy Birthday to KDE
    This week is KDE’s 29th anniversary. It may not be a nice round number like 25 or 30, but whenever another birthday rolls around for an independent project the size and scope of KDE — powered by the goodwill of its contributors and users — that’s really quite something!
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 6

    ในบรรดารัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อเมริกามองว่า Ukraine มี ความสำคัญต่อรัสเซียและอเมริกาไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้นอเมริกาจึงคิดเอา Ukraine มาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเองอย่างมิดชิด ก่อนที่รัสเซียจะรวบเอาไป

    Ukraine มีอาณาเขตติดต่อกับรัสเซีย มีความสำคัญที่เปิดเผยรู้กันทั่วคือ

    – เป็นเส้นทางวางท่อส่งแก๊ส เส้นสำคัญของรัสเซียมาสู่ตลาดยุโรป ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองสูงกับสหภาพยุโรป

    – รัสเซียมีกองเรือรบฝูงใหญ่ อยู่ที่ทะเลดำ โดยเช่า Stevastopol ของ Ukraine เป็นฐานทัพเรือ สัญญาเช่านี้ถ้าไม่ต่ออายุ จะสิ้นสุดในปี ค.ศ.2017

    – แหลม Crimea ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว Crimea กลายเป็นอยู่ในอาณาเขตของ Ukraine Crimea ซึ่งมีประชาชนประมาณ 2.3 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ยังนึกว่าตนเองเป็นคนรัสเซีย พูดภาษารัสเซีย และรัสเซียอ้างว่าถือ passport รัสเซียเสียด้วย

    สิ่งที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้กัน เกี่ยวกับความสำคัญของ Ukraine คือ

    – แหลม Crimea เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเหมือนประตูเข้าหลังบ้านรัสเซีย หากใครไปตั้งฐานยิงจรวดหันหัวให้ถูกทาง รัสเซียอาจไม่เหลือ !

    – ลึกลงใต้ทะเลดำ ด้านหน้าของแหลม Crimea เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ที่ประมาณว่า มีมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ Exxon Mobil, Royal Dutch Shell หรือ BP และ หลายบริษัทน้ำมัน ได้ไปทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว และมีผลสำรวจออกมาว่า น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรใหญ่สู้กับแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือได้ ซึ่งแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือนั้น มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจของอังกฤษ นอร์เวย์ และหลายประเทศในยุโรปมาตั้งแต่เมื่อแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือทำการผลิตน้ำมัน ได้ ในช่วงประมาณ ค.ศ.1970 กว่าเป็นต้นมา
    นอกจาก Ukraine ที่อเมริกาต้องการเก็บมาอยู่ในกระเป๋าแล้ว อเมริกายังต้องได้ Greorgia ซึ่งมีอาณาเขตด้านหนึ่งติดกับ Ukraine โดยมีเทือกเขา Caucasus กั้นอยู่ และอีกด้านหนึ่งติดกับรัสเซียและรัฐ Azerbijan

    ความสำคัญของ Georgia มีความต่างกับ Ukraine แม้จะน้อยกว่า แต่ถ้าฝ่ายใดได้ทั้ง Ukraine และ Georgia ไปด้วยกัน ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างยิ่ง

    – ปี ค.ศ.2002 BP ซึ่งมีประธานกรรมการชื่อ Tony Blair นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ได้ทำสัญญาที่จะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 1,762 กิโลเมตร ที่ มีมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญ จาก Baku ของ Azerbijan ผ่าน Tbilisi ของ Georgia มาสุดทางที่ Ceyhan ของตุรกี โดยมี Unocal ของอเมริกาและ Turkish Petroleum ของตุรกีร่วมทุนด้วย Ceyhan นี้อยู่ใกล้กับฐานทัพอากาศของอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่ Incirlik เป็นโครงการที่อังกฤษภาคภูมิใจหนักหนา เพราะเป็นผู้ริเริ่มร่วมกับรัฐบาล Bill Clinton ถึงขนาดนาย Blair เพ้อว่าเป็น Project of the Century ทีเดียว

    เมื่อท่อส่ง BTC ( Baku-Tbilisi-Ceyhan) นี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.2005 การดูแลท่อส่งจะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก Georgia ซึ่งไม่ได้ร่วมลงทุนในการสร้างท่อส่งด้วย ดังนั้นการมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล Greorgia จึงเป็นเรื่องสำคัญของกลุ่มผู้ลงทุน

    เพื่อให้มีอิทธิพลเหนือ Ukraine และ Greorgia อเมริกาจึงวางแผนครอบงำทั้ง 2 รัฐ โดยส่งคนของตนเอง หรือที่ตัวเองเลือก ไปเป็นผู้มีอำนาจปกครองทั้ง 2 รัฐ โดยมีเป้าหมายหลัก จะให้ทั้ง 2 รัฐ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO เพื่อเปิดทางให้กองทัพของ NATO เข้าไปตั้งฐานทัพใน 2 รัฐ กุมคอหอยทั้ง 2 รัฐไว้ และเป็นการวางกองทัพของ NATO จ่ออยู่หน้าประตูหลังบ้านรัสเซียอีกด้วย เป็นการปิดล้อม Containment รัสเซียรอบใหม่ ที่อันตรายสำหรับรัสเซีย

    แต่การจัดฉากของ Washington เพื่อส่งคนของตน เอาไปปกครอง 2 รัฐ ชาวโลกรู้จักกันในชื่อของ ปฏิวัติหลากสี Color Revolution เพื่อความเป็นประชาธิปไตยของทั้ง 2 รัฐ ตามที่สื่อย้อมสีของฝั่งตะวันตกเรียก ตอแหลซ้ำซากจริงๆ แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็ยังให้ความเขื่อถืออย่างน่าสมเพช
    ปี ค.ศ.2003 อเมริกาจัดส่งนาย Saakashvili หนุ่มน้อยอายุ 37 ปี ! เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากนาย Shevardnadze ซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 โดยการสร้างฉากปฏิวัติดอกกุหลาบ Rose Revolution ชื่อเพราะ แต่แรงเด็ด เขี่ยนาย Shevardnadze เสียกระเด็นจากทำเนียบประธานาธิบดี หายวับไปกับตา

    เมื่อนาย Saakashvili ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีเรียบร้อยในปี ค.ศ.2003 อเมริกาส่งของขวัญเป็นอาวุธและการฝึกอบรมจาก Pentagon เต็มรูปแบบไปให้ แค่นั้นยังไม่พอ อิสราเอลส่งที่ปรึกษาการทหาร (ก็ทหารรับจ้างนั่นแหละ !) ไปให้อีกหนึ่งพันคน เพื่อไปทำการฝึกให้แก่กองทัพ Greorgia ด้านการจู่โจมทางบกและทางอากาศ รวมทั้งการต่อสู้ป้องกันตัว เป็นลูกกระเป๋งเศรษฐีมันดีอย่างนี้เอง ถึงไม่ยอมเลิกเป็นกัน

    สำหรับ Ukraine ปี ค.ศ.2004 อเมริกาจัดส่งนาย Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของUkraine ที่มีเมียเป็นคนอเมริกันจาก Chicago และเคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกัน เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ โดยใช้ปฏิบัติการ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution (รอบ 1) ชาว Uraine คงคล้ายๆกับสมันน้อยนะ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาว่าอะไรมันพิกลหรือเปล่า

    ทุกอย่างทำท่าเหมือนจะเป็นไปตาม แผนที่อเมริกาวางไว้ แต่พอถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2008 กองทัพของ Georgia ก็ดันยกทัพเข้าไปยึดแคว้น South Ossetia ที่อยู่ในรัฐของตนเอง !

    Georgia มีปัญหาภายในมานานแล้ว เกี่ยวกับความต้องการแยกตัวของแคว้น South Ossetiaและ Abkhazia ซึ่ง เคยเป็นแคว้นที่ปกครองตนเอง สมัยยังขึ้นกับสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย การแบ่งเขตแดนใหม่ ตาม Warsow Pact ทำให้ 2 แคว้นต้องไปรวมกับ Georgia ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีต่างกัน และมักจะใช้ความรุนแรงกับ 2 รัฐเสมอ จึงมีเรื่องขัดแย้งและปะทะกันตลอด

    สำหรับรัสเซีย Ossetia เป็น เสมือนฐานทัพหนึ่งของรัสเซีย ที่คอยช่วยดูแลแนวเขตแดนระหว่างรัสเซียกับตุรกีและอิหร่าน ตั้งแต่สมัยซาร์ นอกจากเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP แล้ว ยังมีข่าวว่า Washington อาจจะมาตั้งฐานทัพใน Georgia อีกด้วย สำหรับรัสเซีย การบุกยึด Ossetia จึงเป็นข่าวร้าย
    ปูตินนำเรื่องเข้าสภา เพื่อให้สภาสนับสนุนการแยกตัวของแคว้น Ossetia และ Abkhazia เมื่อสภาให้ความเห็นชอบ ปูตินประกาศสนับสนุนการแยกตัวของทั้ง 2 แคว้น ประธานาธิบดี Saakashvili ประท้วงรัสเซีย บอกว่าอเมริกาและตะวันตกเห็นว่าทั้ง 2
    แค้วนเป็นของ Georgia ให้รัสเซียถอนการประกาศสนับสนุน แต่รัสเซียไม่ยอมถอน และประกาศเพิ่มว่าพร้อมที่จะส่งกำลังไปปกป้องทั้ง 2 รัฐ ปูตินกำลังคิดอะไร

    ช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังพิจารณาเรื่องการรับ Ukraineและ Georgia เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของ Washington สมาชิก NATO เห็นว่าถ้ารับ Georgia เข้าเป็นสมาชิก และหาก Georgia มีปัญหากับรัสเซีย ตามกฎบัตรของ NATO สมาชิก NATO ต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง Georgia ด้วย

    มีสมาชิก 10 รายของ NATO ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Georgia ซึ่งผู้ไม่เห็นด้วยมีทั้ง เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี่ อเมริกาจึงจำเป็นต้องคลายมือที่บีบ NATO ชั่วคราว ด้วยความขัดใจ และทั้ง Ukraineและ Georgia จึงยังไม่ได้ร่วมอยู่ในคอก NATO

    รัสเซียรอดจากการมีกองทัพของ NATO มาอยู่ที่ประตูหน้าบ้านไปอย่างเฉียดฉิว

    เยอรมันคงยังไม่พร้อม หรือคิดอยากทำสงครามกับรัสเซี ย เพราะขณะนั้น ท่อส่งแก๊ส Baltic Pipeline System (BPS) ยาว 1,200 กิโลเมตรใต้ทะเล Baltic ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย เพื่อส่งแก๊สของรัสเซีย จาก West Siberia มายังตลาดยุโรปตะวันตกก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำสงครามกับผู้ร่วมทุนเกี่ยวกับพลังงาน คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดของเยอรมัน

    ยุทธศาสตร์ท่อส่งของปูติน ได้ผลดีเกินกว่าที่อเมริกาประเมิน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 6 ในบรรดารัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อเมริกามองว่า Ukraine มี ความสำคัญต่อรัสเซียและอเมริกาไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้นอเมริกาจึงคิดเอา Ukraine มาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเองอย่างมิดชิด ก่อนที่รัสเซียจะรวบเอาไป Ukraine มีอาณาเขตติดต่อกับรัสเซีย มีความสำคัญที่เปิดเผยรู้กันทั่วคือ – เป็นเส้นทางวางท่อส่งแก๊ส เส้นสำคัญของรัสเซียมาสู่ตลาดยุโรป ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองสูงกับสหภาพยุโรป – รัสเซียมีกองเรือรบฝูงใหญ่ อยู่ที่ทะเลดำ โดยเช่า Stevastopol ของ Ukraine เป็นฐานทัพเรือ สัญญาเช่านี้ถ้าไม่ต่ออายุ จะสิ้นสุดในปี ค.ศ.2017 – แหลม Crimea ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว Crimea กลายเป็นอยู่ในอาณาเขตของ Ukraine Crimea ซึ่งมีประชาชนประมาณ 2.3 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ยังนึกว่าตนเองเป็นคนรัสเซีย พูดภาษารัสเซีย และรัสเซียอ้างว่าถือ passport รัสเซียเสียด้วย สิ่งที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้กัน เกี่ยวกับความสำคัญของ Ukraine คือ – แหลม Crimea เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเหมือนประตูเข้าหลังบ้านรัสเซีย หากใครไปตั้งฐานยิงจรวดหันหัวให้ถูกทาง รัสเซียอาจไม่เหลือ ! – ลึกลงใต้ทะเลดำ ด้านหน้าของแหลม Crimea เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ที่ประมาณว่า มีมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ Exxon Mobil, Royal Dutch Shell หรือ BP และ หลายบริษัทน้ำมัน ได้ไปทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว และมีผลสำรวจออกมาว่า น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรใหญ่สู้กับแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือได้ ซึ่งแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือนั้น มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจของอังกฤษ นอร์เวย์ และหลายประเทศในยุโรปมาตั้งแต่เมื่อแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือทำการผลิตน้ำมัน ได้ ในช่วงประมาณ ค.ศ.1970 กว่าเป็นต้นมา นอกจาก Ukraine ที่อเมริกาต้องการเก็บมาอยู่ในกระเป๋าแล้ว อเมริกายังต้องได้ Greorgia ซึ่งมีอาณาเขตด้านหนึ่งติดกับ Ukraine โดยมีเทือกเขา Caucasus กั้นอยู่ และอีกด้านหนึ่งติดกับรัสเซียและรัฐ Azerbijan ความสำคัญของ Georgia มีความต่างกับ Ukraine แม้จะน้อยกว่า แต่ถ้าฝ่ายใดได้ทั้ง Ukraine และ Georgia ไปด้วยกัน ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างยิ่ง – ปี ค.ศ.2002 BP ซึ่งมีประธานกรรมการชื่อ Tony Blair นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ได้ทำสัญญาที่จะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 1,762 กิโลเมตร ที่ มีมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญ จาก Baku ของ Azerbijan ผ่าน Tbilisi ของ Georgia มาสุดทางที่ Ceyhan ของตุรกี โดยมี Unocal ของอเมริกาและ Turkish Petroleum ของตุรกีร่วมทุนด้วย Ceyhan นี้อยู่ใกล้กับฐานทัพอากาศของอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่ Incirlik เป็นโครงการที่อังกฤษภาคภูมิใจหนักหนา เพราะเป็นผู้ริเริ่มร่วมกับรัฐบาล Bill Clinton ถึงขนาดนาย Blair เพ้อว่าเป็น Project of the Century ทีเดียว เมื่อท่อส่ง BTC ( Baku-Tbilisi-Ceyhan) นี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.2005 การดูแลท่อส่งจะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก Georgia ซึ่งไม่ได้ร่วมลงทุนในการสร้างท่อส่งด้วย ดังนั้นการมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล Greorgia จึงเป็นเรื่องสำคัญของกลุ่มผู้ลงทุน เพื่อให้มีอิทธิพลเหนือ Ukraine และ Greorgia อเมริกาจึงวางแผนครอบงำทั้ง 2 รัฐ โดยส่งคนของตนเอง หรือที่ตัวเองเลือก ไปเป็นผู้มีอำนาจปกครองทั้ง 2 รัฐ โดยมีเป้าหมายหลัก จะให้ทั้ง 2 รัฐ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO เพื่อเปิดทางให้กองทัพของ NATO เข้าไปตั้งฐานทัพใน 2 รัฐ กุมคอหอยทั้ง 2 รัฐไว้ และเป็นการวางกองทัพของ NATO จ่ออยู่หน้าประตูหลังบ้านรัสเซียอีกด้วย เป็นการปิดล้อม Containment รัสเซียรอบใหม่ ที่อันตรายสำหรับรัสเซีย แต่การจัดฉากของ Washington เพื่อส่งคนของตน เอาไปปกครอง 2 รัฐ ชาวโลกรู้จักกันในชื่อของ ปฏิวัติหลากสี Color Revolution เพื่อความเป็นประชาธิปไตยของทั้ง 2 รัฐ ตามที่สื่อย้อมสีของฝั่งตะวันตกเรียก ตอแหลซ้ำซากจริงๆ แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็ยังให้ความเขื่อถืออย่างน่าสมเพช ปี ค.ศ.2003 อเมริกาจัดส่งนาย Saakashvili หนุ่มน้อยอายุ 37 ปี ! เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากนาย Shevardnadze ซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 โดยการสร้างฉากปฏิวัติดอกกุหลาบ Rose Revolution ชื่อเพราะ แต่แรงเด็ด เขี่ยนาย Shevardnadze เสียกระเด็นจากทำเนียบประธานาธิบดี หายวับไปกับตา เมื่อนาย Saakashvili ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีเรียบร้อยในปี ค.ศ.2003 อเมริกาส่งของขวัญเป็นอาวุธและการฝึกอบรมจาก Pentagon เต็มรูปแบบไปให้ แค่นั้นยังไม่พอ อิสราเอลส่งที่ปรึกษาการทหาร (ก็ทหารรับจ้างนั่นแหละ !) ไปให้อีกหนึ่งพันคน เพื่อไปทำการฝึกให้แก่กองทัพ Greorgia ด้านการจู่โจมทางบกและทางอากาศ รวมทั้งการต่อสู้ป้องกันตัว เป็นลูกกระเป๋งเศรษฐีมันดีอย่างนี้เอง ถึงไม่ยอมเลิกเป็นกัน สำหรับ Ukraine ปี ค.ศ.2004 อเมริกาจัดส่งนาย Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของUkraine ที่มีเมียเป็นคนอเมริกันจาก Chicago และเคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกัน เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ โดยใช้ปฏิบัติการ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution (รอบ 1) ชาว Uraine คงคล้ายๆกับสมันน้อยนะ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาว่าอะไรมันพิกลหรือเปล่า ทุกอย่างทำท่าเหมือนจะเป็นไปตาม แผนที่อเมริกาวางไว้ แต่พอถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2008 กองทัพของ Georgia ก็ดันยกทัพเข้าไปยึดแคว้น South Ossetia ที่อยู่ในรัฐของตนเอง ! Georgia มีปัญหาภายในมานานแล้ว เกี่ยวกับความต้องการแยกตัวของแคว้น South Ossetiaและ Abkhazia ซึ่ง เคยเป็นแคว้นที่ปกครองตนเอง สมัยยังขึ้นกับสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย การแบ่งเขตแดนใหม่ ตาม Warsow Pact ทำให้ 2 แคว้นต้องไปรวมกับ Georgia ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีต่างกัน และมักจะใช้ความรุนแรงกับ 2 รัฐเสมอ จึงมีเรื่องขัดแย้งและปะทะกันตลอด สำหรับรัสเซีย Ossetia เป็น เสมือนฐานทัพหนึ่งของรัสเซีย ที่คอยช่วยดูแลแนวเขตแดนระหว่างรัสเซียกับตุรกีและอิหร่าน ตั้งแต่สมัยซาร์ นอกจากเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP แล้ว ยังมีข่าวว่า Washington อาจจะมาตั้งฐานทัพใน Georgia อีกด้วย สำหรับรัสเซีย การบุกยึด Ossetia จึงเป็นข่าวร้าย ปูตินนำเรื่องเข้าสภา เพื่อให้สภาสนับสนุนการแยกตัวของแคว้น Ossetia และ Abkhazia เมื่อสภาให้ความเห็นชอบ ปูตินประกาศสนับสนุนการแยกตัวของทั้ง 2 แคว้น ประธานาธิบดี Saakashvili ประท้วงรัสเซีย บอกว่าอเมริกาและตะวันตกเห็นว่าทั้ง 2 แค้วนเป็นของ Georgia ให้รัสเซียถอนการประกาศสนับสนุน แต่รัสเซียไม่ยอมถอน และประกาศเพิ่มว่าพร้อมที่จะส่งกำลังไปปกป้องทั้ง 2 รัฐ ปูตินกำลังคิดอะไร ช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังพิจารณาเรื่องการรับ Ukraineและ Georgia เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของ Washington สมาชิก NATO เห็นว่าถ้ารับ Georgia เข้าเป็นสมาชิก และหาก Georgia มีปัญหากับรัสเซีย ตามกฎบัตรของ NATO สมาชิก NATO ต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง Georgia ด้วย มีสมาชิก 10 รายของ NATO ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Georgia ซึ่งผู้ไม่เห็นด้วยมีทั้ง เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี่ อเมริกาจึงจำเป็นต้องคลายมือที่บีบ NATO ชั่วคราว ด้วยความขัดใจ และทั้ง Ukraineและ Georgia จึงยังไม่ได้ร่วมอยู่ในคอก NATO รัสเซียรอดจากการมีกองทัพของ NATO มาอยู่ที่ประตูหน้าบ้านไปอย่างเฉียดฉิว เยอรมันคงยังไม่พร้อม หรือคิดอยากทำสงครามกับรัสเซี ย เพราะขณะนั้น ท่อส่งแก๊ส Baltic Pipeline System (BPS) ยาว 1,200 กิโลเมตรใต้ทะเล Baltic ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย เพื่อส่งแก๊สของรัสเซีย จาก West Siberia มายังตลาดยุโรปตะวันตกก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำสงครามกับผู้ร่วมทุนเกี่ยวกับพลังงาน คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดของเยอรมัน ยุทธศาสตร์ท่อส่งของปูติน ได้ผลดีเกินกว่าที่อเมริกาประเมิน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 236 Views 0 Reviews
  • กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
    ตอนที่ 1
ตะวัน ออกกลาง อยู่กลางแดด แต่เหมือนแดนสนธยา เรื่องราวของคนกลางแดดน่าพิศวง ชวนงง ไม่ง่ายสำหรับคนนอกแดดจะเข้าใจ โดยเฉพาะพวกฝรั่งตะวันตกที่เข้าไปยึดครองครอบงำ ถึงขนาดมีการพูดถึงชาวตะวันออกกลางว่า มิตรภาพของพวกเขามีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) แต่ไม่ได้มีไว้ขาย (ถาวร) แม้จะเป็นชาวทะเลทรายด้วยกัน แต่ความต่างเผ่า ต่างพันธุ์ ต่างนิกาย ต่างประเพณี ทำให้วิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต และการเดินนโยบายประเทศของพวกเขา แตกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ
    ความแตกต่างของชาวตะวันออกกลาง มีมานานแล้ว แต่ปัจจุบัน ความแตกต่างดูเหมือนจะกลายเป็นความแตกแยก แบ่งกันเห็นชัดเป็น 2 ค่าย ค่ายหนึ่งนิยมและนอนนิ่ง อยู่ในอุ้งมือของนักล่าฝรั่งตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าใบตองแห้ง กับอังกฤษ นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อยของเท้าซ้าย ค่ายนี้นำโดย ซาอุดิอารเบีย เสี่ยใหญ่แห่งทะเลทราย มีพรรคพวกในสังกัด เป็นเศรษฐีน้ำมัน ประเภทชอบพกกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ เป็นปึก คือ ยูไนเต็ดอาหรับเอมิเรต (UAE) คูเวต บาห์เรน โอมาน กาตาร์ และอิรัก บวกด้วย เศษของ เศรษฐีอีกหนึ่งราย คือ จอร์แดน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่พวกบ้านติดอ่าวด้วยกัน แต่ก็เป็นประเภทนอนสบาย ไม่เดือดร้อนอยู่ในอุ้งมือนักล่าด้วยเช่นกัน
    ส่วน อีกค่ายหนึ่ง เข้าใจว่า ขณะนี้ไม่นิยมใช้ใบตองแห้ง และไม่ชอบอยู่เกาะ หลังจากเคยนิยมกันมาพักใหญ่ค่ายนี้นำโดยอิหร่าน ซึ่งกำลังถูกกล่าวหา (หรือกล่าวจริง) ว่ามีนิวเคลียร์พกติดกระเป๋ากางเกงไว้ตลอดเวลาอย่างน้อย 2 ลูก ส่วนพรรคพวกที่อิหร่านเพียรเกี้ยว และเกี่ยวมาเข้าค่ายเดียวกันมี ซีเรีย เลบานอน และกำลังล่อเอาอิรักออกมาจากค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ ลูกน้องตัวโปรดของนักล่าใบตองแห้งด้วย นอกจากนี้ ข่าวลือว่าตุรกี ซึ่งเคยเสพติดกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ก็กำลังลังเล อาจจะย้ายมาอยู่ค่ายนี้ด้วย แต่อย่างว่า นักไต่ลวดพันธ์ลูกครึ่งชอบเกมเสี่ยง คงยังไม่ตัดสินใจอะไรง่ายๆ ต้องรอให้เสียวจัดกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยแสดงฉากผาดโผน
    อะไรทำให้พวกอยู่กลางแดด แตกแยกกันถึงขนาดนี้ พวกเขาจะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องๆ ในมุมของแต่ละค่าย ซึ่งแน่นอน คนละเรื่องเดียวกันเสมอ
    เรื่อง การบุกเข้าไปถล่มอิรัก ของอเมริกานักล่าใบตองแห้ง และเก็บซัดดัมใส่ห่อฝังลืม ตั้งแต่ ค.ศ.2003 ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ บอกเป็นของขวัญอันล้ำค่า ที่อเมริกาดันมอบให้อิหร่านโดยประมาท หรือประเมินผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ การทำให้อิรักแหลก ซัดดัมเละ เกิดช่องว่างในอิรัก ให้อิหร่านแทรกตัวเข้าไปได้อย่างไม่ยาก อิรักมีพวกซีอ่ะห์อยู่เกือบ 60% ของพลเมือง มีเพื่อนซีอ่ะห์อย่าง อิหร่านมาสนับสนุน ประโลมใจ ยามบ้านแตกสาแหรกหาย ย่อมดีกว่ามีพวกฝรั่งนักล่ามา ไล่ถล่มทิ้งระเบิดใส่ ไม่ต้องวิเคราะห์มาก เรื่องตรงไปตรงมา แน่นอน เสี่ยใหญ่ย่อมไม่พอใจ มันฉวยโอกาสฉกเด็กของเราไป จะพูด จะบ่น เรื่องอะไรกับลูกพี่ เสี่ยใหญ่เป็นต้องเอาเรื่องนี้ ขึ้นต้นเป็น แผ่นเสียงตกร่องก่อนเสมอ ทำให้ลูกพี่แสนจะเอือม เลิกพูดซ้ำซากได้มั้ยเสี่ย มันพลาดไปแล้ว อย่าย้ำหัวตะปูมาก นี่ถ้าไม่ติดพันกันเรื่องน้ำมัน ป่านนี้ตอกตะปูหัวให้แล้ว
    เรื่อง Arab Spring จากการรดน้ำใส่ปุ๋ย เอาต้นไม้ประชาธิปไตย ปลูกลงดินแดนทะเลทรายมาเป็นเวลาหลายปี ทั้งทางตรงและทางอ้อม ค.ศ.2011 ก็เริ่มเห็นผล ต้นไม้ประชาธิปไตยเริ่มทยอยกันงอกกลางทะเลทราย เริ่มตั้งแต่ตูนีเซีย เรื่องของเด็กขายผลไม้เผาตัวเอง เป็นตำนานที่โลกจะไม่มีวันลืม กัดดาฟี่เผด็จการตัวร้าย ถูกขยี้อยู่ในที่หลบภัยพร้อมกับ ลูกรัก โลกตบมือ ไชโย ดีใจ เผด็จการตัวร้ายไปอีกหนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้น อียิปต์ก็ลุกฮือเอาอย่าง มูบารักกุมบังเหียนมากว่า 30 ปี ก็มีวันที่ลงจากม้าแทบไม่ทัน แถมยังต้องถูกนอนเปลห้ามไปขึ้นศาลข้อหาฆ่าประชาชน อนิจจา อนิจจัง
    ต้นไม้ ประชาธิปไตยงอกงาม Arab Spring งามจริงๆ พร้อมกับการอ้างว่า เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย แต่ประเทศล่มสลาย ประชาชนล้มตาย พิการเท่าไหร่ น้อยคนจะติดตาม เรื่องช่อง 3 จอดำคงมีคนติดตามมากกว่า สมันน้อย ก็คงตามดูข่าว อ้าปากหวอ สลับดูละครน้ำเน่าเหมือนเดิม
    ผู้ปกครอง ประเทศ ที่เป็นเผด็จการ ก็สมควรอยู่ที่จะต้องถูกกำจัด แต่มันคงไม่ง่ายเหมือนใจนึก หลังจากเด็ดหัวทิ้งแล้ว จะจัดการกับตัวอย่างไร ประเทศนะ ไม่ใช่ต้นกล้วย จะได้ฟันฉับแล้วจบ ถึงเป็นต้นกล้วยหน่อมันยังงอกเลย แล้วประเทศมันจะเปลี่ยน แบบฉากละครง่ายๆอย่างนั้นหรือ ใครที่คิดว่า จะเปลี่ยนอะไร แบบง่ายๆ ได้ง่ายๆ ก็คิดทบทวนให้มากๆหน่อยนะครับ
    หลัง Arab Spring ทำให้เกิดอาการผึ้งแตกรัง หัวหน้าไม่มี ฝูงผึ้งก็บินกระจัดกระจาย แต่มันไม่ใช่แค่ผึ้งรังเดียว มันทยอยกันแตกไม่รู้กี่รัง ไปทั่วทะเลทราย ไอ้คนที่ทำผึ้งแตกรัง ดันหดหัว หางตก กลับบ้าน เพราะยังตั้งตัวไม่ติด ถุด ! เก่งดีนัก !
    Arab Spring ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ซาอุดิ หงุดหงิด บอกมันเป็นการสร้างปัญหาให้กับพวกเรา แม้เราจะไม่เหมือน กัดดาฟี่ มูบารัก ซัดดัม เพราะคนพวกนี้กดขี่ประชาชนตนเอง แต่พวกเราคนรวย เราดูแลประชาชนของเราดี ไปดูตัวเลขที่ CIA แต่งให้ซิ รายได้ต่อหัวของพลเมืองเราอยู่อันดับไหน (หากันเอาเองนะครับ ผมขี้เกียจเข้าไปค้นตัวเลขปลอมๆของ CIA ) แต่นั่นล่ะนะ มันทำให้คนในบ้านเรา อดเกิดความคิดเฟื่องด้วยไม่ได้ ทำให้พวกเราต้องเพิ่มการดูแล และแลดูเขามากขึ้น มันเป็นการเพิ่มรายจ่ายให้กับเรานะ แล้วกัน เสี่ยใหญ่ เสียแรงเป็นลูกน้องระดับแถวหน้า ของเจ้าของผู้ผลิตสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตย ยังไม่ชื่นชมนิยมยินดีเลย แบบนี้เจ้าของเขาจะไปหลอกขายสินค้าใครได้
    แต่ สำหรับอิหร่านเจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก บอก Arab Spring ไม่มีปัญหาสำหรับบ้านเรา เพราะคนบ้านเราเขาดูออกว่าเป็นสินค้าปลอม เขาเคยใช้สินค้านี้มาหลายสิบปี รู้ฤทธิ์ของปลอม ว่ามันทำพิษพวกเขาขนาดไหน และดีเสียอีก มีคนขายของปลอมกันมากๆ เป็นโอกาสที่เราจะเอาสินค้าตราอื่นไปขายแข่งบ้าง และดูเหมือนการตลาด หรือสินค้าของอิหร่านจะเข้าตา ตอนนี้ลูกค้าเพิ่มทุกวัน
    เรื่อง ซีเรีย ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ มองเหตุการณ์ที่ซีเรีย เหมือนฝันร้าย เล่นเอาตอนนี้นอนตาโพลง กลัวว่าถ้าหลับตา จะต้องฝันร้ายเรื่องเดียวกับซีเรีย สนามรบซีเรีย มีนักรบเพิ่มขึ้นมากมาย หลายพวก หลายกลุ่ม ทั้งฝั่งรัฐบาลและฝั่งต่อต้านรัฐบาล ต่างฝ่ายใช้วิธีการตลาดผ่านหน้า social media เหมือนสร้างหนังสด เล่นเอาพวกที่ชมดูอยู่ทางบ้าน อดใจไม่ไหว สะพายเป้เข้าไปร่วมรายการด้วยมากมาย มีการประกาศรายชื่อกลุ่มเพิ่มเกือบทุกวัน จนตามไม่ทัน กลุ่มเสี่ยใหญ่นั่งไม่ติด แล้วอเมริกาจะทำอะไรบ้างไหม ทำไมอเมริกาไม่ยกทัพไปปราบ เหมือนตอนปราบซัดดัม เหมือนตอนปราบบินลาเดน เหมือนตอนปราบกัดดาฟี่ เหมือนตอนปราบมูบารัก กลุ่มเสี่ยใหญ่กลุ้มใจ จนกรดไหลย้อนบ้านหมุน นี่ถ้าพวกไปหนุนซีเรีย ไม่ว่าข้างไหน มันชนะ ความวุ่นวายมันจะต้องลามมาถึงบ้านอันใหญ่โต หรูหรา เย็นฉ่ำ ของเราแน่นอน เราจะนิ่งเฉยๆดู อเมริกาอยู่เฉยๆ อย่างนี้น่ะหรือ !? คงต้องคิดทำอะไรบ้างแล้ว
    แต่สำหรับ อิหร่าน ซึ่งสานสัมพันธ์กับ Assad ของซีเรียมานานแล้ว รวมทั้งเลบานอนและอิรัก คงไม่ถึงกับนอนไม่หลับฝันร้าย แต่ในเมื่อเขาว่า ในตะวันออกกลาง มิตรภาพมีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) ไม่มีไว้ให้ขาย(ถาวร) วันหนึ่งเพื่อนหายหน้าหมด แต่การคว่ำบาตรของฝ่ายนักล่าตะวันตก ยังคงมีค้างอยู่กลางแดด อิหร่านก็ต้องคิดหนัก จะเดินหน้าเต็มตัวหนุน Assad ก็ต้องแน่ใจ และใจแน่ แต่ดูเหมือนอิหร่านจะเลือกใช้ถนน One way ถอยลำบากเสียแล้วกระมัง
    เรื่อง ศักยภาพทางอาวุธ หน่วยข่าวกรองรับจ๊อบ กระซิบบอกค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิว่า อิหร่านมีจรวดพิสัยกลางแน่นอน ขนาดกำลังพอดีกับเป้าหมายแถวอ่าว และเชื่อว่าอาวุธของอิหร่าน มีอานุภาพขั้นทำลายได้รุนแรง จริงจัง ไม่ใช่แค่ลำลายตึกและประชาชนเท่านั้น ข่าวนี้ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ฮึดสู้ทุ่มทุนซื้ออาวุธจากลูกพี่เพิ่มขึ้นตลอดทุกปี เงินหนานี่ จะเอาอะไรล่ะ ลูกพี่มีให้ทั้งนั้น
    แต่ที่ สำคัญ ตราบใดที่ลูกพี่มหามิตร นักล่าใบตองแห้ง ยังเป็นมหามิตรยืนอยู่ข้างหลังค่ายเสี่ยใหญ่อยู่ตลอดกาล อิหร่านต่างหาก จะกลายเป็นใบตองแห้งเสียเอง ดังนั้นค่ายเสี่ยใหญ่จึงต้องทำทุกอย่าง ให้ลูกพี่ประกาศออกมาต่อหน้าโลก ไม่ใช่มาทำกระซิบกระซาบเบาๆ แบบเหนียมอาย ว่าลูกพี่พร้อมที่จะปกป้องค่ายเสี่ยใหญ่ มายืนติดอยู่ข้างหลังเหมือนเอากาวทาติดตัวไว้ตลอด ได้ยินไหมคร๊าบ ลูกพี่
    ส่วน ค่ายอิหร่าน เจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก ตอบขรึมๆว่า ก็คอยดูไปก็แล้วกัน เรื่องอาวุธไม่จำเป็นต้องคุย ใครๆก็รู้ว่าเสือซุ่มน่ากลัวแค่ไหน ส่วนจะมีใครยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่ต้องใช้กาวทาติดไว้ ก็คอยดูไปอีกเช่นกัน แหม! ตอบแบบพระเอกเลยนะ
    เรื่อง อาวุธนิวเคลียร์ ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ คิดว่า เราก็เป็นเสี่ยใหญ่มีเงินหนา ทำไมเราจะซื้อหามามั่งไม่ได้ ข่าวเขาว่า ซาอุดิ กำลังปรับสมรรถนะเครื่องยิงจรวดวิถีไกล ที่ซื้อมาจากจีนอยู่อย่างเคร่งเครียด ข่าวนี้เขียนไปแล้วแต่หาเครื่องกรองไม่เจอ จึงไม่รับรองความแม่นยำนะครับ และมีข่าวว่า ปากีสถานก็อาจจะแบ่งขายอาวุธนิวเคลียร์ของตนให้เสี่ยซาอุดิด้วย เพราะเป็นมิตรรักร่วมใช้กระเป๋าของเสี่ยซาอุดิมานานแล้ว แค่นี้ทำไมจะปันแบ่งกันให้ไม่ได้ นี่พูดแบบหนังแขกเลยนะ ยังกะมันแบ่ง มันขายกันให้ง่ายๆงั้นแหละ เฮ้อ! พูดกับคนรวยนี่เหนื่อยนะ เอะอะก็เรามีเงิน เดี๋ยวซื้อนี่ ซื้อนั่น คำว่าสร้างน่ะรู้จักกันบ้างไหม นิวเคลียร์นะเขาสร้างกันนานแค่ไหน บารมี ก็เหมือนกัน ซื้อไม่ได้ นะครับ เขาต้องสร้างเอง สร้างนานด้วย ไอ้ที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ปุ๊บปั๊บ ดังคับจอ บอกบารมีเต็มเปี่ยมน่ะ ถูกหลอกต้มทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวก็รู้สึก
    นอก เรื่องไปหน่อย กลับมาเรื่องเสี่ยซาอุดิ ซึ่งยังเชื่อว่า เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน น่าจะยังอยู่ในขั้นพัฒนา ไม่ใช่อยู่ในขั้นใช้การได้จริงๆ และถ้าจะใช้จริง ของดีที่อิสราเอลมีอยู่ ก็น่าจะมีอานุภาพมากกว่าของอิหร่าน ในฐานะสังกัดลูกพี่เดียวกัน ใจคออิสราเอลจะทิ้งให้ซาอุดิลำบากหรือ แหม! เสี่ยใหญ่คิดแบบนี้ละซิ มันถึงจะเจ๊งเอาจนได้ เวลาจะใช้นิวเคลียร์ของเขาก็ดันนับญาติ เวลาหมั่นไส้ ก็หาว่ายิวฮุบแผ่นดินอาหรับแล้วก็ส่งลูกกระเป๋งไปโซ๊ย ลูกพี่ใบตองแห้งฝากเตือนมานะเสี่ย
    ส่วนค่ายอิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์ 2 ลูกอยู่ในกระเป๋ากางเกง เหมือนเดิม พูดเรื่องอาวุธทีไร ต้องทำหน้าขรึม บอกว่า เราจะมีถึงขั้นใช้การได้หรือไม่ อีกหน่อยก็คงรู้กัน พูดซะหล่อเลย
    แม้ ทั้ง 2 ค่ายกลางทะเลทราย จะมีมุมมองในเรื่องต่างๆ คนละทิศกัน แต่ทั้ง 2 ค่าย ต่างก็เป็นหมากในกระดานของเกมชิงโลก แม้สถานะของหมากจะต่างกัน แต่มันขึ้นกับลูกพี่ใหญ่คนเดินหมาก ที่มีเป้าชิงโลกใบนี้ ให้อยู่ในมือตนแต่ผู้เดียว จะเดินหมากต่อไปอย่างไร
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตอนที่ 1
ตะวัน ออกกลาง อยู่กลางแดด แต่เหมือนแดนสนธยา เรื่องราวของคนกลางแดดน่าพิศวง ชวนงง ไม่ง่ายสำหรับคนนอกแดดจะเข้าใจ โดยเฉพาะพวกฝรั่งตะวันตกที่เข้าไปยึดครองครอบงำ ถึงขนาดมีการพูดถึงชาวตะวันออกกลางว่า มิตรภาพของพวกเขามีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) แต่ไม่ได้มีไว้ขาย (ถาวร) แม้จะเป็นชาวทะเลทรายด้วยกัน แต่ความต่างเผ่า ต่างพันธุ์ ต่างนิกาย ต่างประเพณี ทำให้วิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต และการเดินนโยบายประเทศของพวกเขา แตกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ ความแตกต่างของชาวตะวันออกกลาง มีมานานแล้ว แต่ปัจจุบัน ความแตกต่างดูเหมือนจะกลายเป็นความแตกแยก แบ่งกันเห็นชัดเป็น 2 ค่าย ค่ายหนึ่งนิยมและนอนนิ่ง อยู่ในอุ้งมือของนักล่าฝรั่งตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าใบตองแห้ง กับอังกฤษ นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อยของเท้าซ้าย ค่ายนี้นำโดย ซาอุดิอารเบีย เสี่ยใหญ่แห่งทะเลทราย มีพรรคพวกในสังกัด เป็นเศรษฐีน้ำมัน ประเภทชอบพกกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ เป็นปึก คือ ยูไนเต็ดอาหรับเอมิเรต (UAE) คูเวต บาห์เรน โอมาน กาตาร์ และอิรัก บวกด้วย เศษของ เศรษฐีอีกหนึ่งราย คือ จอร์แดน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่พวกบ้านติดอ่าวด้วยกัน แต่ก็เป็นประเภทนอนสบาย ไม่เดือดร้อนอยู่ในอุ้งมือนักล่าด้วยเช่นกัน ส่วน อีกค่ายหนึ่ง เข้าใจว่า ขณะนี้ไม่นิยมใช้ใบตองแห้ง และไม่ชอบอยู่เกาะ หลังจากเคยนิยมกันมาพักใหญ่ค่ายนี้นำโดยอิหร่าน ซึ่งกำลังถูกกล่าวหา (หรือกล่าวจริง) ว่ามีนิวเคลียร์พกติดกระเป๋ากางเกงไว้ตลอดเวลาอย่างน้อย 2 ลูก ส่วนพรรคพวกที่อิหร่านเพียรเกี้ยว และเกี่ยวมาเข้าค่ายเดียวกันมี ซีเรีย เลบานอน และกำลังล่อเอาอิรักออกมาจากค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ ลูกน้องตัวโปรดของนักล่าใบตองแห้งด้วย นอกจากนี้ ข่าวลือว่าตุรกี ซึ่งเคยเสพติดกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ก็กำลังลังเล อาจจะย้ายมาอยู่ค่ายนี้ด้วย แต่อย่างว่า นักไต่ลวดพันธ์ลูกครึ่งชอบเกมเสี่ยง คงยังไม่ตัดสินใจอะไรง่ายๆ ต้องรอให้เสียวจัดกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยแสดงฉากผาดโผน อะไรทำให้พวกอยู่กลางแดด แตกแยกกันถึงขนาดนี้ พวกเขาจะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องๆ ในมุมของแต่ละค่าย ซึ่งแน่นอน คนละเรื่องเดียวกันเสมอ เรื่อง การบุกเข้าไปถล่มอิรัก ของอเมริกานักล่าใบตองแห้ง และเก็บซัดดัมใส่ห่อฝังลืม ตั้งแต่ ค.ศ.2003 ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ บอกเป็นของขวัญอันล้ำค่า ที่อเมริกาดันมอบให้อิหร่านโดยประมาท หรือประเมินผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ การทำให้อิรักแหลก ซัดดัมเละ เกิดช่องว่างในอิรัก ให้อิหร่านแทรกตัวเข้าไปได้อย่างไม่ยาก อิรักมีพวกซีอ่ะห์อยู่เกือบ 60% ของพลเมือง มีเพื่อนซีอ่ะห์อย่าง อิหร่านมาสนับสนุน ประโลมใจ ยามบ้านแตกสาแหรกหาย ย่อมดีกว่ามีพวกฝรั่งนักล่ามา ไล่ถล่มทิ้งระเบิดใส่ ไม่ต้องวิเคราะห์มาก เรื่องตรงไปตรงมา แน่นอน เสี่ยใหญ่ย่อมไม่พอใจ มันฉวยโอกาสฉกเด็กของเราไป จะพูด จะบ่น เรื่องอะไรกับลูกพี่ เสี่ยใหญ่เป็นต้องเอาเรื่องนี้ ขึ้นต้นเป็น แผ่นเสียงตกร่องก่อนเสมอ ทำให้ลูกพี่แสนจะเอือม เลิกพูดซ้ำซากได้มั้ยเสี่ย มันพลาดไปแล้ว อย่าย้ำหัวตะปูมาก นี่ถ้าไม่ติดพันกันเรื่องน้ำมัน ป่านนี้ตอกตะปูหัวให้แล้ว เรื่อง Arab Spring จากการรดน้ำใส่ปุ๋ย เอาต้นไม้ประชาธิปไตย ปลูกลงดินแดนทะเลทรายมาเป็นเวลาหลายปี ทั้งทางตรงและทางอ้อม ค.ศ.2011 ก็เริ่มเห็นผล ต้นไม้ประชาธิปไตยเริ่มทยอยกันงอกกลางทะเลทราย เริ่มตั้งแต่ตูนีเซีย เรื่องของเด็กขายผลไม้เผาตัวเอง เป็นตำนานที่โลกจะไม่มีวันลืม กัดดาฟี่เผด็จการตัวร้าย ถูกขยี้อยู่ในที่หลบภัยพร้อมกับ ลูกรัก โลกตบมือ ไชโย ดีใจ เผด็จการตัวร้ายไปอีกหนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้น อียิปต์ก็ลุกฮือเอาอย่าง มูบารักกุมบังเหียนมากว่า 30 ปี ก็มีวันที่ลงจากม้าแทบไม่ทัน แถมยังต้องถูกนอนเปลห้ามไปขึ้นศาลข้อหาฆ่าประชาชน อนิจจา อนิจจัง ต้นไม้ ประชาธิปไตยงอกงาม Arab Spring งามจริงๆ พร้อมกับการอ้างว่า เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย แต่ประเทศล่มสลาย ประชาชนล้มตาย พิการเท่าไหร่ น้อยคนจะติดตาม เรื่องช่อง 3 จอดำคงมีคนติดตามมากกว่า สมันน้อย ก็คงตามดูข่าว อ้าปากหวอ สลับดูละครน้ำเน่าเหมือนเดิม ผู้ปกครอง ประเทศ ที่เป็นเผด็จการ ก็สมควรอยู่ที่จะต้องถูกกำจัด แต่มันคงไม่ง่ายเหมือนใจนึก หลังจากเด็ดหัวทิ้งแล้ว จะจัดการกับตัวอย่างไร ประเทศนะ ไม่ใช่ต้นกล้วย จะได้ฟันฉับแล้วจบ ถึงเป็นต้นกล้วยหน่อมันยังงอกเลย แล้วประเทศมันจะเปลี่ยน แบบฉากละครง่ายๆอย่างนั้นหรือ ใครที่คิดว่า จะเปลี่ยนอะไร แบบง่ายๆ ได้ง่ายๆ ก็คิดทบทวนให้มากๆหน่อยนะครับ หลัง Arab Spring ทำให้เกิดอาการผึ้งแตกรัง หัวหน้าไม่มี ฝูงผึ้งก็บินกระจัดกระจาย แต่มันไม่ใช่แค่ผึ้งรังเดียว มันทยอยกันแตกไม่รู้กี่รัง ไปทั่วทะเลทราย ไอ้คนที่ทำผึ้งแตกรัง ดันหดหัว หางตก กลับบ้าน เพราะยังตั้งตัวไม่ติด ถุด ! เก่งดีนัก ! Arab Spring ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ซาอุดิ หงุดหงิด บอกมันเป็นการสร้างปัญหาให้กับพวกเรา แม้เราจะไม่เหมือน กัดดาฟี่ มูบารัก ซัดดัม เพราะคนพวกนี้กดขี่ประชาชนตนเอง แต่พวกเราคนรวย เราดูแลประชาชนของเราดี ไปดูตัวเลขที่ CIA แต่งให้ซิ รายได้ต่อหัวของพลเมืองเราอยู่อันดับไหน (หากันเอาเองนะครับ ผมขี้เกียจเข้าไปค้นตัวเลขปลอมๆของ CIA ) แต่นั่นล่ะนะ มันทำให้คนในบ้านเรา อดเกิดความคิดเฟื่องด้วยไม่ได้ ทำให้พวกเราต้องเพิ่มการดูแล และแลดูเขามากขึ้น มันเป็นการเพิ่มรายจ่ายให้กับเรานะ แล้วกัน เสี่ยใหญ่ เสียแรงเป็นลูกน้องระดับแถวหน้า ของเจ้าของผู้ผลิตสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตย ยังไม่ชื่นชมนิยมยินดีเลย แบบนี้เจ้าของเขาจะไปหลอกขายสินค้าใครได้ แต่ สำหรับอิหร่านเจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก บอก Arab Spring ไม่มีปัญหาสำหรับบ้านเรา เพราะคนบ้านเราเขาดูออกว่าเป็นสินค้าปลอม เขาเคยใช้สินค้านี้มาหลายสิบปี รู้ฤทธิ์ของปลอม ว่ามันทำพิษพวกเขาขนาดไหน และดีเสียอีก มีคนขายของปลอมกันมากๆ เป็นโอกาสที่เราจะเอาสินค้าตราอื่นไปขายแข่งบ้าง และดูเหมือนการตลาด หรือสินค้าของอิหร่านจะเข้าตา ตอนนี้ลูกค้าเพิ่มทุกวัน เรื่อง ซีเรีย ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ มองเหตุการณ์ที่ซีเรีย เหมือนฝันร้าย เล่นเอาตอนนี้นอนตาโพลง กลัวว่าถ้าหลับตา จะต้องฝันร้ายเรื่องเดียวกับซีเรีย สนามรบซีเรีย มีนักรบเพิ่มขึ้นมากมาย หลายพวก หลายกลุ่ม ทั้งฝั่งรัฐบาลและฝั่งต่อต้านรัฐบาล ต่างฝ่ายใช้วิธีการตลาดผ่านหน้า social media เหมือนสร้างหนังสด เล่นเอาพวกที่ชมดูอยู่ทางบ้าน อดใจไม่ไหว สะพายเป้เข้าไปร่วมรายการด้วยมากมาย มีการประกาศรายชื่อกลุ่มเพิ่มเกือบทุกวัน จนตามไม่ทัน กลุ่มเสี่ยใหญ่นั่งไม่ติด แล้วอเมริกาจะทำอะไรบ้างไหม ทำไมอเมริกาไม่ยกทัพไปปราบ เหมือนตอนปราบซัดดัม เหมือนตอนปราบบินลาเดน เหมือนตอนปราบกัดดาฟี่ เหมือนตอนปราบมูบารัก กลุ่มเสี่ยใหญ่กลุ้มใจ จนกรดไหลย้อนบ้านหมุน นี่ถ้าพวกไปหนุนซีเรีย ไม่ว่าข้างไหน มันชนะ ความวุ่นวายมันจะต้องลามมาถึงบ้านอันใหญ่โต หรูหรา เย็นฉ่ำ ของเราแน่นอน เราจะนิ่งเฉยๆดู อเมริกาอยู่เฉยๆ อย่างนี้น่ะหรือ !? คงต้องคิดทำอะไรบ้างแล้ว แต่สำหรับ อิหร่าน ซึ่งสานสัมพันธ์กับ Assad ของซีเรียมานานแล้ว รวมทั้งเลบานอนและอิรัก คงไม่ถึงกับนอนไม่หลับฝันร้าย แต่ในเมื่อเขาว่า ในตะวันออกกลาง มิตรภาพมีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) ไม่มีไว้ให้ขาย(ถาวร) วันหนึ่งเพื่อนหายหน้าหมด แต่การคว่ำบาตรของฝ่ายนักล่าตะวันตก ยังคงมีค้างอยู่กลางแดด อิหร่านก็ต้องคิดหนัก จะเดินหน้าเต็มตัวหนุน Assad ก็ต้องแน่ใจ และใจแน่ แต่ดูเหมือนอิหร่านจะเลือกใช้ถนน One way ถอยลำบากเสียแล้วกระมัง เรื่อง ศักยภาพทางอาวุธ หน่วยข่าวกรองรับจ๊อบ กระซิบบอกค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิว่า อิหร่านมีจรวดพิสัยกลางแน่นอน ขนาดกำลังพอดีกับเป้าหมายแถวอ่าว และเชื่อว่าอาวุธของอิหร่าน มีอานุภาพขั้นทำลายได้รุนแรง จริงจัง ไม่ใช่แค่ลำลายตึกและประชาชนเท่านั้น ข่าวนี้ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ฮึดสู้ทุ่มทุนซื้ออาวุธจากลูกพี่เพิ่มขึ้นตลอดทุกปี เงินหนานี่ จะเอาอะไรล่ะ ลูกพี่มีให้ทั้งนั้น แต่ที่ สำคัญ ตราบใดที่ลูกพี่มหามิตร นักล่าใบตองแห้ง ยังเป็นมหามิตรยืนอยู่ข้างหลังค่ายเสี่ยใหญ่อยู่ตลอดกาล อิหร่านต่างหาก จะกลายเป็นใบตองแห้งเสียเอง ดังนั้นค่ายเสี่ยใหญ่จึงต้องทำทุกอย่าง ให้ลูกพี่ประกาศออกมาต่อหน้าโลก ไม่ใช่มาทำกระซิบกระซาบเบาๆ แบบเหนียมอาย ว่าลูกพี่พร้อมที่จะปกป้องค่ายเสี่ยใหญ่ มายืนติดอยู่ข้างหลังเหมือนเอากาวทาติดตัวไว้ตลอด ได้ยินไหมคร๊าบ ลูกพี่ ส่วน ค่ายอิหร่าน เจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก ตอบขรึมๆว่า ก็คอยดูไปก็แล้วกัน เรื่องอาวุธไม่จำเป็นต้องคุย ใครๆก็รู้ว่าเสือซุ่มน่ากลัวแค่ไหน ส่วนจะมีใครยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่ต้องใช้กาวทาติดไว้ ก็คอยดูไปอีกเช่นกัน แหม! ตอบแบบพระเอกเลยนะ เรื่อง อาวุธนิวเคลียร์ ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ คิดว่า เราก็เป็นเสี่ยใหญ่มีเงินหนา ทำไมเราจะซื้อหามามั่งไม่ได้ ข่าวเขาว่า ซาอุดิ กำลังปรับสมรรถนะเครื่องยิงจรวดวิถีไกล ที่ซื้อมาจากจีนอยู่อย่างเคร่งเครียด ข่าวนี้เขียนไปแล้วแต่หาเครื่องกรองไม่เจอ จึงไม่รับรองความแม่นยำนะครับ และมีข่าวว่า ปากีสถานก็อาจจะแบ่งขายอาวุธนิวเคลียร์ของตนให้เสี่ยซาอุดิด้วย เพราะเป็นมิตรรักร่วมใช้กระเป๋าของเสี่ยซาอุดิมานานแล้ว แค่นี้ทำไมจะปันแบ่งกันให้ไม่ได้ นี่พูดแบบหนังแขกเลยนะ ยังกะมันแบ่ง มันขายกันให้ง่ายๆงั้นแหละ เฮ้อ! พูดกับคนรวยนี่เหนื่อยนะ เอะอะก็เรามีเงิน เดี๋ยวซื้อนี่ ซื้อนั่น คำว่าสร้างน่ะรู้จักกันบ้างไหม นิวเคลียร์นะเขาสร้างกันนานแค่ไหน บารมี ก็เหมือนกัน ซื้อไม่ได้ นะครับ เขาต้องสร้างเอง สร้างนานด้วย ไอ้ที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ปุ๊บปั๊บ ดังคับจอ บอกบารมีเต็มเปี่ยมน่ะ ถูกหลอกต้มทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวก็รู้สึก นอก เรื่องไปหน่อย กลับมาเรื่องเสี่ยซาอุดิ ซึ่งยังเชื่อว่า เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน น่าจะยังอยู่ในขั้นพัฒนา ไม่ใช่อยู่ในขั้นใช้การได้จริงๆ และถ้าจะใช้จริง ของดีที่อิสราเอลมีอยู่ ก็น่าจะมีอานุภาพมากกว่าของอิหร่าน ในฐานะสังกัดลูกพี่เดียวกัน ใจคออิสราเอลจะทิ้งให้ซาอุดิลำบากหรือ แหม! เสี่ยใหญ่คิดแบบนี้ละซิ มันถึงจะเจ๊งเอาจนได้ เวลาจะใช้นิวเคลียร์ของเขาก็ดันนับญาติ เวลาหมั่นไส้ ก็หาว่ายิวฮุบแผ่นดินอาหรับแล้วก็ส่งลูกกระเป๋งไปโซ๊ย ลูกพี่ใบตองแห้งฝากเตือนมานะเสี่ย ส่วนค่ายอิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์ 2 ลูกอยู่ในกระเป๋ากางเกง เหมือนเดิม พูดเรื่องอาวุธทีไร ต้องทำหน้าขรึม บอกว่า เราจะมีถึงขั้นใช้การได้หรือไม่ อีกหน่อยก็คงรู้กัน พูดซะหล่อเลย แม้ ทั้ง 2 ค่ายกลางทะเลทราย จะมีมุมมองในเรื่องต่างๆ คนละทิศกัน แต่ทั้ง 2 ค่าย ต่างก็เป็นหมากในกระดานของเกมชิงโลก แม้สถานะของหมากจะต่างกัน แต่มันขึ้นกับลูกพี่ใหญ่คนเดินหมาก ที่มีเป้าชิงโลกใบนี้ ให้อยู่ในมือตนแต่ผู้เดียว จะเดินหมากต่อไปอย่างไร สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    0 Comments 0 Shares 243 Views 0 Reviews
  • “OMG! อินฟลูเอนเซอร์เยอรมันเจอสอบภาษีครั้งใหญ่ — จากแจกของฟรี สู่โดนปรับหลายล้านยูโร”

    อินฟลูเอนเซอร์ในเยอรมนีอาจต้องเปลี่ยนจาก “เปิดกล่องของขวัญ” เป็น “เปิดจดหมายเรียกเก็บภาษี” หลังรัฐ North Rhine-Westphalia ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ ประกาศตั้งหน่วยสอบสวนพิเศษเพื่อจัดการกับการหลีกเลี่ยงภาษีในวงการอินฟลูเอนเซอร์โดยเฉพาะ

    หน่วยงานนี้กำลังตรวจสอบข้อมูลกว่า 6,000 รายการจากแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น TikTok และ Instagram เพื่อหาหลักฐานการไม่ชำระภาษีจากรายได้ที่มาจากยอดวิว การรีวิวสินค้า การรับของขวัญ หรือการรับเงินจากแบรนด์ต่าง ๆ โดยเฉพาะกรณีที่มีการ “แกล้งย้ายถิ่นฐาน” ไปต่างประเทศ เช่น ดูไบ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี แต่ยังใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนีเป็นหลัก

    Stephanie Thien หัวหน้าหน่วยสอบสวนด้านอาชญากรรมการเงินของรัฐกล่าวว่า “เรารู้ว่ามีเงินหมุนเวียนจำนวนมาก และเราก็รู้ว่ามันไม่ได้ถูกเสียภาษีอย่างถูกต้องทั้งหมด” โดยก่อนหน้านี้รัฐได้ดำเนินคดีอาญากับอินฟลูเอนเซอร์กว่า 200 ราย และบางรายถูกกล่าวหาว่าหลีกเลี่ยงภาษีเป็นเงินหลายล้านยูโร

    Christian Gebert จากบริษัทที่ปรึกษาด้านภาษี Steuerberaten.de ระบุว่า หลายคนเริ่มต้นจากการเล่นสนุกบนโซเชียลโดยไม่รู้ว่าต้องเสียภาษี และเมื่อประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วก็ไม่มีระบบจัดการภาษีที่เหมาะสม

    นอกจาก North Rhine-Westphalia แล้ว รัฐอื่น ๆ เช่น Hamburg และ Thuringia ก็เริ่มดำเนินการสอบสวนเช่นกัน โดยใช้เทคโนโลยี AI และการเปรียบเทียบข้อมูลจากผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น PayPal และ Revolut เพื่อหาความผิดปกติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐ North Rhine-Westphalia ตั้งหน่วยสอบสวนพิเศษเพื่อจัดการการหลีกเลี่ยงภาษีของอินฟลูเอนเซอร์
    ตรวจสอบข้อมูลกว่า 6,000 รายการจากแพลตฟอร์มโซเชียล
    รายได้ที่ถูกตรวจสอบรวมถึงยอดวิว, การรีวิวสินค้า, ของขวัญ, และเงินจากแบรนด์
    พบกรณี “แกล้งย้ายถิ่นฐาน” ไปต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
    ดำเนินคดีอาญากับอินฟลูเอนเซอร์กว่า 200 รายแล้ว
    รัฐอื่น ๆ เช่น Hamburg และ Thuringia ก็เริ่มสอบสวนเช่นกัน
    ใช้ AI และข้อมูลจากผู้ให้บริการชำระเงินในการตรวจสอบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    อินฟลูเอนเซอร์ในเยอรมนีมีรายได้จากหลายช่องทาง เช่น affiliate, sponsorship, pay-per-view
    การรับของขวัญ เช่น ห้องพักฟรีหรือเที่ยวบิน ต้องถูกนับเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี
    อินฟลูเอนเซอร์ถือเป็น “ผู้ประกอบการ” ตามกฎหมายภาษีเยอรมัน
    ต้องเสียภาษีหลายประเภท เช่น ภาษีรายได้, ภาษีธุรกิจ, และภาษีขาย
    การไม่รู้ว่าต้องเสียภาษีไม่ถือเป็นข้อยกเว้นตามกฎหมาย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/09/omg-german-influencers-face-tax-dodging-crackdown
    💸 “OMG! อินฟลูเอนเซอร์เยอรมันเจอสอบภาษีครั้งใหญ่ — จากแจกของฟรี สู่โดนปรับหลายล้านยูโร” อินฟลูเอนเซอร์ในเยอรมนีอาจต้องเปลี่ยนจาก “เปิดกล่องของขวัญ” เป็น “เปิดจดหมายเรียกเก็บภาษี” หลังรัฐ North Rhine-Westphalia ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ ประกาศตั้งหน่วยสอบสวนพิเศษเพื่อจัดการกับการหลีกเลี่ยงภาษีในวงการอินฟลูเอนเซอร์โดยเฉพาะ หน่วยงานนี้กำลังตรวจสอบข้อมูลกว่า 6,000 รายการจากแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น TikTok และ Instagram เพื่อหาหลักฐานการไม่ชำระภาษีจากรายได้ที่มาจากยอดวิว การรีวิวสินค้า การรับของขวัญ หรือการรับเงินจากแบรนด์ต่าง ๆ โดยเฉพาะกรณีที่มีการ “แกล้งย้ายถิ่นฐาน” ไปต่างประเทศ เช่น ดูไบ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี แต่ยังใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนีเป็นหลัก Stephanie Thien หัวหน้าหน่วยสอบสวนด้านอาชญากรรมการเงินของรัฐกล่าวว่า “เรารู้ว่ามีเงินหมุนเวียนจำนวนมาก และเราก็รู้ว่ามันไม่ได้ถูกเสียภาษีอย่างถูกต้องทั้งหมด” โดยก่อนหน้านี้รัฐได้ดำเนินคดีอาญากับอินฟลูเอนเซอร์กว่า 200 ราย และบางรายถูกกล่าวหาว่าหลีกเลี่ยงภาษีเป็นเงินหลายล้านยูโร Christian Gebert จากบริษัทที่ปรึกษาด้านภาษี Steuerberaten.de ระบุว่า หลายคนเริ่มต้นจากการเล่นสนุกบนโซเชียลโดยไม่รู้ว่าต้องเสียภาษี และเมื่อประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วก็ไม่มีระบบจัดการภาษีที่เหมาะสม นอกจาก North Rhine-Westphalia แล้ว รัฐอื่น ๆ เช่น Hamburg และ Thuringia ก็เริ่มดำเนินการสอบสวนเช่นกัน โดยใช้เทคโนโลยี AI และการเปรียบเทียบข้อมูลจากผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น PayPal และ Revolut เพื่อหาความผิดปกติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐ North Rhine-Westphalia ตั้งหน่วยสอบสวนพิเศษเพื่อจัดการการหลีกเลี่ยงภาษีของอินฟลูเอนเซอร์ ➡️ ตรวจสอบข้อมูลกว่า 6,000 รายการจากแพลตฟอร์มโซเชียล ➡️ รายได้ที่ถูกตรวจสอบรวมถึงยอดวิว, การรีวิวสินค้า, ของขวัญ, และเงินจากแบรนด์ ➡️ พบกรณี “แกล้งย้ายถิ่นฐาน” ไปต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ➡️ ดำเนินคดีอาญากับอินฟลูเอนเซอร์กว่า 200 รายแล้ว ➡️ รัฐอื่น ๆ เช่น Hamburg และ Thuringia ก็เริ่มสอบสวนเช่นกัน ➡️ ใช้ AI และข้อมูลจากผู้ให้บริการชำระเงินในการตรวจสอบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ อินฟลูเอนเซอร์ในเยอรมนีมีรายได้จากหลายช่องทาง เช่น affiliate, sponsorship, pay-per-view ➡️ การรับของขวัญ เช่น ห้องพักฟรีหรือเที่ยวบิน ต้องถูกนับเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี ➡️ อินฟลูเอนเซอร์ถือเป็น “ผู้ประกอบการ” ตามกฎหมายภาษีเยอรมัน ➡️ ต้องเสียภาษีหลายประเภท เช่น ภาษีรายได้, ภาษีธุรกิจ, และภาษีขาย ➡️ การไม่รู้ว่าต้องเสียภาษีไม่ถือเป็นข้อยกเว้นตามกฎหมาย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/09/omg-german-influencers-face-tax-dodging-crackdown
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OMG! German influencers face tax dodging crackdown
    They could soon be unboxing fines rather than freebies – Germany's online influencers are facing a tax evasion crackdown that has left them screaming OMG!
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 8 (ตอนจบ)

    ตั้งแต่อเมริกาบีบให้สหประชาชาติคว่ำบาตรอิหร่าน ตั้งแต่ปี ค.ศ.2006 อิหร่านก็เปิดประตูรับแขกตะวันตกน้อยลง โดยเฉพาะสัญชาติอเมริกัน สมน้ำหน้า ! เขาไม่รับให้เข้าไปเดินเล่นในประเทศ แล้วคุยผ่านคนกลาง มันจะน่าเชื่อถือได้มากหรือน้อย อิหร่านทำตัวต่างกับสมันน้อย ที่เปิดมันหมดทั้งประตูหน้า ประตูหลัง หน้าต่างมีกี่บานเปิดถ่างมันหมด ข้อมูลทุกอย่างก็ไหลเหมือนท่อแตก ทำให้การวางแผนควบคุม (ไม่อยากใช้คำว่า เขมือบหรือขม้ำ มันแสลงใจกัน) สมันน้อย จึงเหมือนแค่ปลอกกล้วยให้ลิงกิน

    ตั้งแต่รบกับอินเดียนแดงชนะ ได้แผ่นดินเขามาครอง อเมริกาเคยรบข้าศึก หรือ ศัตรูในประเทศตัวเองบ้างไหม คำตอบคือไม่เคยเลย เคยแต่รบกันเอง เดินดาหน้าเป็นแถว ยิงปืนใส่กัน สมัยสงครามกลางเมืองเหนือใต้หลายร้อยปีมาแล้ว นอกนั้นอเมริการบนอกบ้านทั้งสิ้น แล้วการรบของอเมริกาที่นอกบ้านเป็นอย่างไร ที่เกาหลี เวียตนาม อาฟกานีสถาน และอิรัก รวมทั้งหลายแห่งในอาฟริกา ล้วนเป็นการรบกับประเทศที่ด้อยกว่าทั้งด้านอาวุธและฝีมือ อเมริกาใช้เวลา อาวุธ และกำลังพล เหมือนขี่ช้างไปจับตั๊กแตน และผลลัพธ์ ถ้าไม่แพ้น๊อกเช่นที่เวียตนาม ก็แพ้คะแนนในการรบทุกแห่ง ยกเว้นอาฟริกา ที่เหมือนรบกับคนใกล้ตาย อันนี้เป็นคำกล่าวของนายทหารอเมริกันเอง แล้วอิหร่านเป็นตั๊กแตนแน่หรือ ถ้าเป็นตั๊กแตน ก็ตั๊กแตนติดนิวเคลียร์ ดูเอาจากรายงานของคณะทำงานฉบับวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ.2006 ก็คงจะพอเดากันออก

    อเมริกาที่ใครๆคิดว่าแน่ คิดว่าใหญ่ เป็นพี่เบิ้มครองโลกหมายเลขหนึ่ง ดูเหมือนจะเก่งทางสร้างภาพผ่านสื่อ เอะอะก็ขู่จะเอากองทัพไปถล่มเขา เห็นลมพัดใบตองแห้งเป็นไม่ได้ ต้องออกเสียง แต่ก็ยังมีหลายคนในแดนสมันน้อย ที่กลัวพี่เบิ้มใบตองแห้ง จนไม่กล้าขยับหนี คงเพราะถูกครอบด้วยกระป๋องสี่เหลี่ยมติดตายอยู่ที่หัว หรืออิ่มจนพูดไม่ออก เฮ้อ! เหนื่อยใจ! ไม่เบื่อกระป๋องสี่เหลี่ยม คิดถอดออกบ้างหรือไงครับ…!?

    ถึงอิหร่านจะถูกจับเป็นเหยื่อ มาเป็นเวลานานกว่า 100 ปี แต่ไม่ได้หม่ายความว่า เมื่อตกเป็นเหยื่อแล้ว จะต้องเป็นเหยื่อเขาไปตลอดกาล เหยื่อที่อ่อนแอเท่านั้นที่คิดเช่นนั้น อิหร่านบอกว่าข้อเสนอของคาวบอย Bush เมื่อกลางปี ค.ศ.2006 เหมือนกับให้รัฐบาลอิหร่านไปเลียเกือกบู๊ทของ Bush ต่อหน้าสาธารณะ และเป็นการจบสิ้นศักดิ์ศรีทางการ เมืองของอิหร่าน “ Bush might as well have offered the Iranian regime a chance to lick his boots in public and commit political suicide…”

    เดือนตุลาคม ค.ศ.2007 คุณพี่ปูตินทำให้โลกอ้าปากค้าง มองตาไม่กระพริบ คุณพี่เดินทางไปอิหร่านอย่างเป็นทางการในฐานะหัวหน้ารัฐบาลของรัสเซีย หลังจากรัสเซียไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนอิหร่านมา 60 ปี คุณพี่ประกาศในการไปเยี่ยมอิหร่านว่า รัสเซียจะปกป้องอิหร่านจากการคุกคามของอเมริกา เหมือนเป็นทางการเตือนผ่านไปในอากาศ ข้ามทวีปไปถึงคาวบอย Bush ว่า “โปรดระวัง” เตือนมา 7 ปีมาแล้ว การเตือนนี้จะยังมีผลอยู่หรือไม่ น่าติดตาม

    เสียงเตือนของคุณพี่ปูติน ถูกแปลงเป็นการเร่งเครื่อง คาวบอยอเมริกันเหมือนถูกหยามหน้า Pentagon รายงานว่า มีการหารือกันถึงการวางแผนจะให้ของขวัญอิหร่าน จะเอาแบบ “a broad bombing attack” ทิ้งระเบิดแบบปูพรมทั่วไปทั้งเตหะราน หรือเอาแบบ “surgical” ส่งให้เฉพาะกองทัพของอิหร่านดีนะ เรือรบจำนวนกว่าครึ่งของกองทัพเรืออเมริกา ถูกสั่งให้พร้อมเคลื่อนที่ประชิดอิหร่าน หน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา National Security Strategy ออกข่าวในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 ว่า “เราอาจจะไม่เคยเจอประเทศใดเพียงประเทศเดียว ที่ท้าทายเราได้มากเท่าอิหร่าน !” เป็นคำพูดที่น่ากลัวมาก จากหน่วยงานความมั่นคง ของนักล่าใบตองแห้ง
    เจ้าหน้าที่อเมริกันบันทึกว่า การแข่งขันระหว่างอเมริกา รัสเซีย ได้เริ่มต้นใหม่อีกแล้ว การแข่งขันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่มันเป็นการแข่งขันชิงตำแหน่ง แชมป์โลก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการทหารในตะวันออกกลาง และเลยไปกว่านั้น แต่นับจากวันนั้นถึงวันนี้ มันก็มีแต่การคว่ำบาตรกับการส่งเสียงใส่ใบตองแห้ง พี่เบิ้มอเมริกายังไม่ขยับเข้าไปใกล้เหยื่อชื่ออิหร่านมากกว่านั้น ยังปล่อยให้คาคออยู่อย่างนั้น

    จะเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ต้องมีอุปกรณ์พร้อมอย่างน้อย 3 อย่าง อาวุธหนัก ทุนหนา และน้ำมันแน่น (ถัง) มันเป็นส่วนผสมที่เสริมสร้างกันเอง ดังนั้นอเมริกาต้อง “ได้” ตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมันกว่าครึ่งของโลก แต่จะได้ตะวันออกกลางอยู่ในมือเบ็ดเสร็จ ต้องจัดการเอาซาอุดิอารเบีย และอิหร่าน 2 ประเทศใหญ่ของตะวันออกกลาง มาอยู่ในกรงเลี้ยงให้เชื่อง

    ซาอุดิอารเบียติดอาหารยี่ห้อกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์จนอิ่มแปร้ เกาะนิ่ง แม้บางครั้งจะออกอาการกระสับกระส่าย แต่ไม่ออกฤทธิ์ ตรงกันข้ามกับเหยื่อชื่ออิหร่าน

    อิหร่านดิ้นรน ออกแรง เพื่อให้หลุดจากกรงเหยื่อมานาน และอเมริกาก็ใช้สารพัดกับดัก ไม้เสี้ยม ไม้เสียบเพื่อให้เหยื่อเชื่องอยู่มือ อเมริกาคิดว่าเหยื่อทุกรายในตะวัน ออกกลาง (และดูเหมือนจะทั้งโลก !) จะชอบอาหารยี่ห้อเดียวกัน อาจจะใช่ แต่ไม่แน่ว่าจะเสมอไป และตลอดไป เมื่อหมดหนทางทำให้เหยื่อเชื่อง อเมริกาก็ตัดสินใจทำลายเหยื่ออย่างเหี้ยมโหด

    อิหร่านไม่หวังจะเป็นเหยื่อตลอดกาล แต่จะสู้โดยลำพัง ไม่แน่ว่าจะหลุดจากกรงได้ อิหร่านรู้จักสร้างแนวร่วม อิรัก เลบานอน และซีเรีย ซึ่งค่อยๆย้ายที่มายืนแถวเดียวกับอิหร่าน แต่ที่สำคัญ อิหร่านรู้จักแยกว่าใครคือเพื่อน และใครคือศัตรู

    สำหรับรัสเซียและจีน เพื่อไม่ให้อเมริกาครอบครองตะวันออกกลางทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ทั้งรัสเซียและจีนเสียเปรียบ และอาจจะถึงเสียหาย จึงมีแต่จะต้องสนันสนุนอิหร่านให้เข้มแข็ง ให้เป็นไม้ขวางที่หนักและเคลื่อนย้ายยาก เหมือนท่อนซุงขวางทาง ไม่ให้อเมริกาก้าวครอบตะวันออก กลางทั้งหมดได้ง่ายๆ ยิ่งบวกอิรัก ซีเรีย และเลบานอน เข้าไปด้วย 4 ประเทศ รวมเป็นเสี้ยวพระจันทร์ อเมริกาเห็นแล้วก็คงหนาว ขบวนการเข้าไปในอิรัก ฉายหนังโหดซ้ำซากรอบหลังนี้ และการทำลายซีเรีย ซึ่งไม่น่าต้องถามว่าฝีมือใคร

    นับตั้งแต่คุณพี่ปูติน เดินเข้าไปจับมือกับอิหร่านเมื่อ 7 ปี ที่แล้ว สัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอิหร่าน รวมทั้งจีน ดูเหมือนยิ่งกระชับและชิดแน่น การสนับสนุนร่วมมือระหว่าง 3 ประเทศ มีทั้งเปิดเผยและปิดลับ มันเป็นการเปิดทางให้เหยื่อก้าวย่างออกจากกรงอย่างเด็ดเดี่ยวและมั่นใจ

    อิหร่านถูกเหล่านักล่าตะวันตก ขูดเลือดเอาน้ำมันมากว่า 70 ปี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังถูกขูดอยู่ ผ่านสงครามโลกมา 2 ครั้ง ก็ยังถูกหลอก ถูกย่ำยี จนศักดิ์ศรีของประเทศและประชาชนกร่อนแห้ง จากถูกอังกฤษขูดเลือด มาถูกอเมริกาเลาะเนื้อเถือกระดูกต่อ คนอิหร่านยอมลำบาก แต่ไม่ยอมก้มหัวเป็นเหยื่ออีกต่อไป

    เมื่อเหยื่อรายสำคัญ ตัดสินใจเลือกเดินออกจากกรง อเมริกาจะปล่อยมือ เปิดกรงให้ง่ายๆเช่นนั้นหรือ อเมริกาน่าจะคิดหนัก แต่ดูเหมือนเสียง “โปรดระวัง” ของคุณพี่ปูตินจะลอยลมมาผ่านข้ามไปอีกฟากหนึ่งของโลก..….ให้อเมริกาได้ยิน…..อีกรอบหนึ่ง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 8 (ตอนจบ) ตั้งแต่อเมริกาบีบให้สหประชาชาติคว่ำบาตรอิหร่าน ตั้งแต่ปี ค.ศ.2006 อิหร่านก็เปิดประตูรับแขกตะวันตกน้อยลง โดยเฉพาะสัญชาติอเมริกัน สมน้ำหน้า ! เขาไม่รับให้เข้าไปเดินเล่นในประเทศ แล้วคุยผ่านคนกลาง มันจะน่าเชื่อถือได้มากหรือน้อย อิหร่านทำตัวต่างกับสมันน้อย ที่เปิดมันหมดทั้งประตูหน้า ประตูหลัง หน้าต่างมีกี่บานเปิดถ่างมันหมด ข้อมูลทุกอย่างก็ไหลเหมือนท่อแตก ทำให้การวางแผนควบคุม (ไม่อยากใช้คำว่า เขมือบหรือขม้ำ มันแสลงใจกัน) สมันน้อย จึงเหมือนแค่ปลอกกล้วยให้ลิงกิน ตั้งแต่รบกับอินเดียนแดงชนะ ได้แผ่นดินเขามาครอง อเมริกาเคยรบข้าศึก หรือ ศัตรูในประเทศตัวเองบ้างไหม คำตอบคือไม่เคยเลย เคยแต่รบกันเอง เดินดาหน้าเป็นแถว ยิงปืนใส่กัน สมัยสงครามกลางเมืองเหนือใต้หลายร้อยปีมาแล้ว นอกนั้นอเมริการบนอกบ้านทั้งสิ้น แล้วการรบของอเมริกาที่นอกบ้านเป็นอย่างไร ที่เกาหลี เวียตนาม อาฟกานีสถาน และอิรัก รวมทั้งหลายแห่งในอาฟริกา ล้วนเป็นการรบกับประเทศที่ด้อยกว่าทั้งด้านอาวุธและฝีมือ อเมริกาใช้เวลา อาวุธ และกำลังพล เหมือนขี่ช้างไปจับตั๊กแตน และผลลัพธ์ ถ้าไม่แพ้น๊อกเช่นที่เวียตนาม ก็แพ้คะแนนในการรบทุกแห่ง ยกเว้นอาฟริกา ที่เหมือนรบกับคนใกล้ตาย อันนี้เป็นคำกล่าวของนายทหารอเมริกันเอง แล้วอิหร่านเป็นตั๊กแตนแน่หรือ ถ้าเป็นตั๊กแตน ก็ตั๊กแตนติดนิวเคลียร์ ดูเอาจากรายงานของคณะทำงานฉบับวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ.2006 ก็คงจะพอเดากันออก อเมริกาที่ใครๆคิดว่าแน่ คิดว่าใหญ่ เป็นพี่เบิ้มครองโลกหมายเลขหนึ่ง ดูเหมือนจะเก่งทางสร้างภาพผ่านสื่อ เอะอะก็ขู่จะเอากองทัพไปถล่มเขา เห็นลมพัดใบตองแห้งเป็นไม่ได้ ต้องออกเสียง แต่ก็ยังมีหลายคนในแดนสมันน้อย ที่กลัวพี่เบิ้มใบตองแห้ง จนไม่กล้าขยับหนี คงเพราะถูกครอบด้วยกระป๋องสี่เหลี่ยมติดตายอยู่ที่หัว หรืออิ่มจนพูดไม่ออก เฮ้อ! เหนื่อยใจ! ไม่เบื่อกระป๋องสี่เหลี่ยม คิดถอดออกบ้างหรือไงครับ…!? ถึงอิหร่านจะถูกจับเป็นเหยื่อ มาเป็นเวลานานกว่า 100 ปี แต่ไม่ได้หม่ายความว่า เมื่อตกเป็นเหยื่อแล้ว จะต้องเป็นเหยื่อเขาไปตลอดกาล เหยื่อที่อ่อนแอเท่านั้นที่คิดเช่นนั้น อิหร่านบอกว่าข้อเสนอของคาวบอย Bush เมื่อกลางปี ค.ศ.2006 เหมือนกับให้รัฐบาลอิหร่านไปเลียเกือกบู๊ทของ Bush ต่อหน้าสาธารณะ และเป็นการจบสิ้นศักดิ์ศรีทางการ เมืองของอิหร่าน “ Bush might as well have offered the Iranian regime a chance to lick his boots in public and commit political suicide…” เดือนตุลาคม ค.ศ.2007 คุณพี่ปูตินทำให้โลกอ้าปากค้าง มองตาไม่กระพริบ คุณพี่เดินทางไปอิหร่านอย่างเป็นทางการในฐานะหัวหน้ารัฐบาลของรัสเซีย หลังจากรัสเซียไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนอิหร่านมา 60 ปี คุณพี่ประกาศในการไปเยี่ยมอิหร่านว่า รัสเซียจะปกป้องอิหร่านจากการคุกคามของอเมริกา เหมือนเป็นทางการเตือนผ่านไปในอากาศ ข้ามทวีปไปถึงคาวบอย Bush ว่า “โปรดระวัง” เตือนมา 7 ปีมาแล้ว การเตือนนี้จะยังมีผลอยู่หรือไม่ น่าติดตาม เสียงเตือนของคุณพี่ปูติน ถูกแปลงเป็นการเร่งเครื่อง คาวบอยอเมริกันเหมือนถูกหยามหน้า Pentagon รายงานว่า มีการหารือกันถึงการวางแผนจะให้ของขวัญอิหร่าน จะเอาแบบ “a broad bombing attack” ทิ้งระเบิดแบบปูพรมทั่วไปทั้งเตหะราน หรือเอาแบบ “surgical” ส่งให้เฉพาะกองทัพของอิหร่านดีนะ เรือรบจำนวนกว่าครึ่งของกองทัพเรืออเมริกา ถูกสั่งให้พร้อมเคลื่อนที่ประชิดอิหร่าน หน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา National Security Strategy ออกข่าวในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 ว่า “เราอาจจะไม่เคยเจอประเทศใดเพียงประเทศเดียว ที่ท้าทายเราได้มากเท่าอิหร่าน !” เป็นคำพูดที่น่ากลัวมาก จากหน่วยงานความมั่นคง ของนักล่าใบตองแห้ง เจ้าหน้าที่อเมริกันบันทึกว่า การแข่งขันระหว่างอเมริกา รัสเซีย ได้เริ่มต้นใหม่อีกแล้ว การแข่งขันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่มันเป็นการแข่งขันชิงตำแหน่ง แชมป์โลก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการทหารในตะวันออกกลาง และเลยไปกว่านั้น แต่นับจากวันนั้นถึงวันนี้ มันก็มีแต่การคว่ำบาตรกับการส่งเสียงใส่ใบตองแห้ง พี่เบิ้มอเมริกายังไม่ขยับเข้าไปใกล้เหยื่อชื่ออิหร่านมากกว่านั้น ยังปล่อยให้คาคออยู่อย่างนั้น จะเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ต้องมีอุปกรณ์พร้อมอย่างน้อย 3 อย่าง อาวุธหนัก ทุนหนา และน้ำมันแน่น (ถัง) มันเป็นส่วนผสมที่เสริมสร้างกันเอง ดังนั้นอเมริกาต้อง “ได้” ตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมันกว่าครึ่งของโลก แต่จะได้ตะวันออกกลางอยู่ในมือเบ็ดเสร็จ ต้องจัดการเอาซาอุดิอารเบีย และอิหร่าน 2 ประเทศใหญ่ของตะวันออกกลาง มาอยู่ในกรงเลี้ยงให้เชื่อง ซาอุดิอารเบียติดอาหารยี่ห้อกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์จนอิ่มแปร้ เกาะนิ่ง แม้บางครั้งจะออกอาการกระสับกระส่าย แต่ไม่ออกฤทธิ์ ตรงกันข้ามกับเหยื่อชื่ออิหร่าน อิหร่านดิ้นรน ออกแรง เพื่อให้หลุดจากกรงเหยื่อมานาน และอเมริกาก็ใช้สารพัดกับดัก ไม้เสี้ยม ไม้เสียบเพื่อให้เหยื่อเชื่องอยู่มือ อเมริกาคิดว่าเหยื่อทุกรายในตะวัน ออกกลาง (และดูเหมือนจะทั้งโลก !) จะชอบอาหารยี่ห้อเดียวกัน อาจจะใช่ แต่ไม่แน่ว่าจะเสมอไป และตลอดไป เมื่อหมดหนทางทำให้เหยื่อเชื่อง อเมริกาก็ตัดสินใจทำลายเหยื่ออย่างเหี้ยมโหด อิหร่านไม่หวังจะเป็นเหยื่อตลอดกาล แต่จะสู้โดยลำพัง ไม่แน่ว่าจะหลุดจากกรงได้ อิหร่านรู้จักสร้างแนวร่วม อิรัก เลบานอน และซีเรีย ซึ่งค่อยๆย้ายที่มายืนแถวเดียวกับอิหร่าน แต่ที่สำคัญ อิหร่านรู้จักแยกว่าใครคือเพื่อน และใครคือศัตรู สำหรับรัสเซียและจีน เพื่อไม่ให้อเมริกาครอบครองตะวันออกกลางทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ทั้งรัสเซียและจีนเสียเปรียบ และอาจจะถึงเสียหาย จึงมีแต่จะต้องสนันสนุนอิหร่านให้เข้มแข็ง ให้เป็นไม้ขวางที่หนักและเคลื่อนย้ายยาก เหมือนท่อนซุงขวางทาง ไม่ให้อเมริกาก้าวครอบตะวันออก กลางทั้งหมดได้ง่ายๆ ยิ่งบวกอิรัก ซีเรีย และเลบานอน เข้าไปด้วย 4 ประเทศ รวมเป็นเสี้ยวพระจันทร์ อเมริกาเห็นแล้วก็คงหนาว ขบวนการเข้าไปในอิรัก ฉายหนังโหดซ้ำซากรอบหลังนี้ และการทำลายซีเรีย ซึ่งไม่น่าต้องถามว่าฝีมือใคร นับตั้งแต่คุณพี่ปูติน เดินเข้าไปจับมือกับอิหร่านเมื่อ 7 ปี ที่แล้ว สัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอิหร่าน รวมทั้งจีน ดูเหมือนยิ่งกระชับและชิดแน่น การสนับสนุนร่วมมือระหว่าง 3 ประเทศ มีทั้งเปิดเผยและปิดลับ มันเป็นการเปิดทางให้เหยื่อก้าวย่างออกจากกรงอย่างเด็ดเดี่ยวและมั่นใจ อิหร่านถูกเหล่านักล่าตะวันตก ขูดเลือดเอาน้ำมันมากว่า 70 ปี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังถูกขูดอยู่ ผ่านสงครามโลกมา 2 ครั้ง ก็ยังถูกหลอก ถูกย่ำยี จนศักดิ์ศรีของประเทศและประชาชนกร่อนแห้ง จากถูกอังกฤษขูดเลือด มาถูกอเมริกาเลาะเนื้อเถือกระดูกต่อ คนอิหร่านยอมลำบาก แต่ไม่ยอมก้มหัวเป็นเหยื่ออีกต่อไป เมื่อเหยื่อรายสำคัญ ตัดสินใจเลือกเดินออกจากกรง อเมริกาจะปล่อยมือ เปิดกรงให้ง่ายๆเช่นนั้นหรือ อเมริกาน่าจะคิดหนัก แต่ดูเหมือนเสียง “โปรดระวัง” ของคุณพี่ปูตินจะลอยลมมาผ่านข้ามไปอีกฟากหนึ่งของโลก..….ให้อเมริกาได้ยิน…..อีกรอบหนึ่ง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 กันยายน 2557
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 5

    ในขณะนั้นการกีดกั้นสหภาพโซเวียต เป็นสุดยอดนโยบายของอเมริกา นักยุทธศาสตร์ชั้นเซียนของอเมริกา ต่างเชื่อกันว่าขบวนการ Khomeini จะเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านระบอบคอมมิวนิตส์ ไม่ให้เข้ามาในอิหร่าน และคิดไกลไปถึงว่า เนื่องจากเป็นพวกกลุ่มศาสนา อาจจะไม่สนใจหรือไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจดีพอ ก็อาจจะยอมให้พวกอิหร่านที่นิยมอเมริกาและชำนาญด้านเศรษฐกิจเป็นผู้ชี้นำประเทศในภายหลัง แต่จริงๆแล้วในรัฐบาล Carter ไม่มีใครรู้จัก Khomeini จริง และไม่รู้ว่าเป้าหมายแท้จริงของขบวนการ Khomeini มุ่งหน้าไปถึงไหน พวก CIA ที่อเมริกายกโขยงมาอยู่ที่อิหร่าน กลุ่มใหญ่มัวแต่จับตาดูไปที่สห ภาพโซเวียต เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของ CIA ได้บันทึกไว้ตอนหลังว่า “….จริงๆแล้วรัฐบาล Carter ไม่รู้เลยว่า Khomeini เป็นใคร กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว…..”

    วันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1979 อเมริกันก็ถูกปลุกอีกครั้งหนึ่ง จากข่าวด่วนว่านักศึกษาที่เป็นอิสลามบุกยึดสถานฑูตอเมริกาที่กรุงเตหะราน โดยมีไฟเขียวของ Khomeini นำหน้า และยึดเจ้าหน้าที่สถานฑูตเป็นตัวประกัน เรียกร้องให้อเมริกาส่ง Shah กลับมาขึ้นศาลในอิหร่าน

    ชนวนการบุกสถานฑูต มาจากการที่อเมริกาตกลงให้ Shah ซึ่งป่วยหนักในขณะนั้น ไปรักษาตัวที่อเมริกา และจากการที่มีข่าวว่า ได้มีการนัดพบกันที่อัลจีเรีย ระหว่างที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ของประธานาธิบดี Carter คือนาย Zbigniew Brzezinski กับนายกรัฐมนตรีอิหร่าน รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดเป็นพวกเดียวกับ Khomeini แต่สนับสนุนอเมริกา ถึงพวกเดียวกันแต่อุดมการณ์ต่างกันไกล อเมริกาคงยังนึกไม่ถึง

    ไม่นานหลังจากที่สถานฑูตอเมริกาโดนยึดในเดือนธันวาคม ค.ศ.1979 สหภาพโซเวียก็ฉวยโอกาสลองของ บุกเข้าไปในอาฟกานิสถาน

    อาฟกานิสถาน ถือว่าเป็นกันชนสำคัญ กั้นเส้นทางเดินของสหภาพโซเวียต ที่จะเดินผ่านปากีสถานเข้ามายังอิหร่านและอ่าวเปอร์เซีย การลองของครั้งนี้ของสหภาพโซเวียต ทำให้อเมริกาสะดุ้งเหมือนถูกไฟซ๊อต สหภาพโซเวียตคงไม่ได้คิดแค่เข้ามานั่งเล่นที่อาฟกานิสถานแน่ แผนของโซเวียตน่าจะลึกกว่านั้น มันเหมือนเป็นการท้าทายในการแข่งขันช่วงชิงอำนาจในบริเวณทั้งหมดของตะวันออกกลาง มหาสมุทรอินเดีย อาฟริกา คาบสมุทรอารเบียน ถึงบริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาคิดเช่นนั้น และอเมริกายอมไม่ได้

    23 มกราคม ค.ศ.1980 อเมริการวบรวมลูกหาบเจ้าของบ่อน้ำมันแถวทะเลทราย บุกเข้าไปยึดอาฟกานิสถานคืน สหภาพโซเวียตรู้แล้วว่ากล่องดวงใจของอเมริกาอยู่ที่ไหน ถอยทัพกลับไปหน้าตาเฉย
    นาย Zbigniew Brzezinski ที่ปรึกษาใหญ่รีบประกาศว่า เราต้องปรับยุทธศาสตร์การครองโลกของอเมริกาเสียใหม่ การควบคุมอ่าวเปอร์เซีย ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญอันดับแรก ที่อเมริกาต้องรีบดำเนินการ พร้อมกับการประกาศ ที่ปรึกษาใหญ่ทำบันทึกถึงประธานาธิบดี Carter (สั่ง) ประธานาธิบดีว่า “เราจะต้องรีบดำเนินการ ขวางการแทรกเข้ามาในบริเวณนี้ของสหภาพโซเวียต เราน่าจะต้องให้ของขวัญแบบ “สงครามเวียตนาม” ให้แก่สหภาพโซเวียตบ้าง” ขิงแก่ของจริง รสเผ็ดจัด

    ตลอดเวลากว่า 10 ปี รัฐบาลอเมริกัน ส่งอาวุธและความช่วยเหลือเป็นเงินกว่า 3 พันล้านเหรียญ ให้แก่กลุ่มอิสลาม Mujahadeen เพื่อให้สร้างเครือข่ายนักรบอิสลาม และพวกนี้ก็ได้เป็นต้นกำเนิดขวัญใจคาวบอย Bush กลุ่มอัลกออิดะห์ของ Osama Bin Laden เพื่อเอาไว้แหย่ให้สหภาพโซเวียตวุ่นวายอยู่ที่อาฟกานิสถาน จะได้ไม่มีเวลาข้ามมาเดินเล่นแถวทะเลทรายในตะวันออกกลาง บ่อน้ำมันมีเยอะ ตกลงไปจะลำบาก

    หมากล่อให้สหภาพโซเวียตวุ่นวายแถวอาฟกานิสถานหมากเดียว คงกลัวเอาไม่อยู่ ต้องแถมให้อิหร่านอีกสักหน่อย เป็นการทำโทษที่บังอาจมายึดสถานฑูตที่เตหะราน นี่มันเป็นการหยามน้ำหน้ากันมากนะ ใหญ่ขนาดนี้ โดนลูบคมซะทื่อไปหมด พี่เบิ้มสมควรจะลาออกจากตำแหน่ง แต่พี่เบิ้มหน้าด้านอยู่แล้ว เก็บความอายไว้ก่อน ยังต้องใช้อิหร่าน จึงยังไม่ทลาย ขอแค่บี้ซ้ายขยี้ขวา ให้อยู่สุขไม่ได้แล้วกัน

    ในขณะนั้น อเมริกามีกองกำลังจำนวนจำกัดอยู่ในแถบทะเลทราย ดังนั้นหมากที่ใช้คือเสี้ยมให้มันรบกันเอง เราอย่าขนคนของเราไปให้เสียเวลาเลยนะ อิรักมีประชากรเป็นชีอ่ะ 60% ซึ่ง Saddam ไม่พอใจและกดขี่อยู่เสมอ แล้วนี่ถ้าอิหร่านซึ่งเป็นชีอ่ะบุกเข้ามาที่อิรัก พากันเปลี่ยนประเทศอิรักป็นรัฐอิสลามที่เคร่งครัดทั้งหมดจะเป็นยังไงนะ แค่เปรยเท่านี้ Saddam ก็เต้น เพราะไม่ชอบชีอ่ะ และไม่อยากเปลี่ยนเป็นอิสลามเคร่งครัด อเมริกาบอก งั้นก็ต้องกันก่อนแก้ซิ Saddam เอ๋ย

    ในปี ค.ศ.1980 ดอกไม้กำลังบานไสวไนฤดูใบไม้ผลิต่อฤดูร้อน อิรักก็บุกอิหร่านตามคำยุของอเมริกา แหม! ทำไมยุขึ้นง่ายอย่างนี้นะ อ้อ! พี่เบิ้มเขาส่งอาวุธให้แบบไม่อั้น กันยายน ค.ศ.1980 อิรักเคลื่อนพลขยับไปจนเกือบเหยียบจมูกอิหร่าน เข้าไปถึงชานเมืองตะวันตกเฉียง ใต้ แล้วกัน Saddam กำลังจัดการงานนอกสั่ง เราสั่งแค่ให้แหย่ ไม่ใช่ให้ยึด ฟังภาษาไม่รู้เรื่องหรือไง Saddam ฟังออก แต่โอกาสมันมาถึงจะให้ถอยก็คงยาก

    ในที่สุดไอ้คนยุก็เลยต้องรีบปรับแผน “แลกกันเอาไหม ยูปล่อยตัวประกันอเมริกันให้หมด ไอส่งอาวุธให้ยู 300-500 ล้านเหรียญ เอาไปถล่ม Saddam กลับ” มันเป็นการแอบเจรจากันระหว่างกลุ่มหนุนหลังของ Reagan (ซึ่งกำลังท้าชิงตำแหน่งกับ Carter ) และทีมงานของ Khomeini แต่ยูปล่อยตัวประกันเมื่อ Reagan ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีนะ
    มันเป็นกลุ่มหนุน Reagan ที่มีแผนลึกซ่อนอยู่ Ayatollah ตกลงกับข้อเสนอ เพราะก็มีแผนลึกซ่อนอยู่เช่นกัน

    มกราคม 21 ค.ศ.1981 Reagan ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ในวันที่เขาเข้ามารับตำแหน่ง อิหร่านก็ปล่อยตัวเจ้าหน้าที่สถานฑูตที่ถูกจับกุมเป็นตัวประกันอาบน้ำแต่งตัวกลับบ้านไป

    อเมริกาคิดว่าแผนรุกของตนได้ผล สงครามอิรักอิหร่านดำเนินอยู่ถึง 8 ปี ไม่มีฝ่ายใดชนะหรือแพ้ (เพราะกรรมการเชียร์ทั้ง 2 ฝ่าย) ส่วนที่อาฟกานิสถาน ในที่สุดสหภาพโซเวียตก็แตกพ่าย ถอยทัพหน้าตกกลับประเทศในปี ค.ศ.1989 เป็นการพ่ายแพ้ที่ยับเยินของสหภาพโซเวียต และเป็นส่วนสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย อเมริกาผงาดเป็นผู้ชนะ ขึ้นแท่นเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก และเป็นการเริ่มต้นของ “สงครามเย็น”

    เรื่องราวของอเมริกากับอิหร่านและตะวันออกกลางกับสหภสาพโซเวียตดูเหมือนจะจบ แต่แค่ดูเหมือน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 5 ในขณะนั้นการกีดกั้นสหภาพโซเวียต เป็นสุดยอดนโยบายของอเมริกา นักยุทธศาสตร์ชั้นเซียนของอเมริกา ต่างเชื่อกันว่าขบวนการ Khomeini จะเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านระบอบคอมมิวนิตส์ ไม่ให้เข้ามาในอิหร่าน และคิดไกลไปถึงว่า เนื่องจากเป็นพวกกลุ่มศาสนา อาจจะไม่สนใจหรือไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจดีพอ ก็อาจจะยอมให้พวกอิหร่านที่นิยมอเมริกาและชำนาญด้านเศรษฐกิจเป็นผู้ชี้นำประเทศในภายหลัง แต่จริงๆแล้วในรัฐบาล Carter ไม่มีใครรู้จัก Khomeini จริง และไม่รู้ว่าเป้าหมายแท้จริงของขบวนการ Khomeini มุ่งหน้าไปถึงไหน พวก CIA ที่อเมริกายกโขยงมาอยู่ที่อิหร่าน กลุ่มใหญ่มัวแต่จับตาดูไปที่สห ภาพโซเวียต เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของ CIA ได้บันทึกไว้ตอนหลังว่า “….จริงๆแล้วรัฐบาล Carter ไม่รู้เลยว่า Khomeini เป็นใคร กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว…..” วันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1979 อเมริกันก็ถูกปลุกอีกครั้งหนึ่ง จากข่าวด่วนว่านักศึกษาที่เป็นอิสลามบุกยึดสถานฑูตอเมริกาที่กรุงเตหะราน โดยมีไฟเขียวของ Khomeini นำหน้า และยึดเจ้าหน้าที่สถานฑูตเป็นตัวประกัน เรียกร้องให้อเมริกาส่ง Shah กลับมาขึ้นศาลในอิหร่าน ชนวนการบุกสถานฑูต มาจากการที่อเมริกาตกลงให้ Shah ซึ่งป่วยหนักในขณะนั้น ไปรักษาตัวที่อเมริกา และจากการที่มีข่าวว่า ได้มีการนัดพบกันที่อัลจีเรีย ระหว่างที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ของประธานาธิบดี Carter คือนาย Zbigniew Brzezinski กับนายกรัฐมนตรีอิหร่าน รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดเป็นพวกเดียวกับ Khomeini แต่สนับสนุนอเมริกา ถึงพวกเดียวกันแต่อุดมการณ์ต่างกันไกล อเมริกาคงยังนึกไม่ถึง ไม่นานหลังจากที่สถานฑูตอเมริกาโดนยึดในเดือนธันวาคม ค.ศ.1979 สหภาพโซเวียก็ฉวยโอกาสลองของ บุกเข้าไปในอาฟกานิสถาน อาฟกานิสถาน ถือว่าเป็นกันชนสำคัญ กั้นเส้นทางเดินของสหภาพโซเวียต ที่จะเดินผ่านปากีสถานเข้ามายังอิหร่านและอ่าวเปอร์เซีย การลองของครั้งนี้ของสหภาพโซเวียต ทำให้อเมริกาสะดุ้งเหมือนถูกไฟซ๊อต สหภาพโซเวียตคงไม่ได้คิดแค่เข้ามานั่งเล่นที่อาฟกานิสถานแน่ แผนของโซเวียตน่าจะลึกกว่านั้น มันเหมือนเป็นการท้าทายในการแข่งขันช่วงชิงอำนาจในบริเวณทั้งหมดของตะวันออกกลาง มหาสมุทรอินเดีย อาฟริกา คาบสมุทรอารเบียน ถึงบริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาคิดเช่นนั้น และอเมริกายอมไม่ได้ 23 มกราคม ค.ศ.1980 อเมริการวบรวมลูกหาบเจ้าของบ่อน้ำมันแถวทะเลทราย บุกเข้าไปยึดอาฟกานิสถานคืน สหภาพโซเวียตรู้แล้วว่ากล่องดวงใจของอเมริกาอยู่ที่ไหน ถอยทัพกลับไปหน้าตาเฉย นาย Zbigniew Brzezinski ที่ปรึกษาใหญ่รีบประกาศว่า เราต้องปรับยุทธศาสตร์การครองโลกของอเมริกาเสียใหม่ การควบคุมอ่าวเปอร์เซีย ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญอันดับแรก ที่อเมริกาต้องรีบดำเนินการ พร้อมกับการประกาศ ที่ปรึกษาใหญ่ทำบันทึกถึงประธานาธิบดี Carter (สั่ง) ประธานาธิบดีว่า “เราจะต้องรีบดำเนินการ ขวางการแทรกเข้ามาในบริเวณนี้ของสหภาพโซเวียต เราน่าจะต้องให้ของขวัญแบบ “สงครามเวียตนาม” ให้แก่สหภาพโซเวียตบ้าง” ขิงแก่ของจริง รสเผ็ดจัด ตลอดเวลากว่า 10 ปี รัฐบาลอเมริกัน ส่งอาวุธและความช่วยเหลือเป็นเงินกว่า 3 พันล้านเหรียญ ให้แก่กลุ่มอิสลาม Mujahadeen เพื่อให้สร้างเครือข่ายนักรบอิสลาม และพวกนี้ก็ได้เป็นต้นกำเนิดขวัญใจคาวบอย Bush กลุ่มอัลกออิดะห์ของ Osama Bin Laden เพื่อเอาไว้แหย่ให้สหภาพโซเวียตวุ่นวายอยู่ที่อาฟกานิสถาน จะได้ไม่มีเวลาข้ามมาเดินเล่นแถวทะเลทรายในตะวันออกกลาง บ่อน้ำมันมีเยอะ ตกลงไปจะลำบาก หมากล่อให้สหภาพโซเวียตวุ่นวายแถวอาฟกานิสถานหมากเดียว คงกลัวเอาไม่อยู่ ต้องแถมให้อิหร่านอีกสักหน่อย เป็นการทำโทษที่บังอาจมายึดสถานฑูตที่เตหะราน นี่มันเป็นการหยามน้ำหน้ากันมากนะ ใหญ่ขนาดนี้ โดนลูบคมซะทื่อไปหมด พี่เบิ้มสมควรจะลาออกจากตำแหน่ง แต่พี่เบิ้มหน้าด้านอยู่แล้ว เก็บความอายไว้ก่อน ยังต้องใช้อิหร่าน จึงยังไม่ทลาย ขอแค่บี้ซ้ายขยี้ขวา ให้อยู่สุขไม่ได้แล้วกัน ในขณะนั้น อเมริกามีกองกำลังจำนวนจำกัดอยู่ในแถบทะเลทราย ดังนั้นหมากที่ใช้คือเสี้ยมให้มันรบกันเอง เราอย่าขนคนของเราไปให้เสียเวลาเลยนะ อิรักมีประชากรเป็นชีอ่ะ 60% ซึ่ง Saddam ไม่พอใจและกดขี่อยู่เสมอ แล้วนี่ถ้าอิหร่านซึ่งเป็นชีอ่ะบุกเข้ามาที่อิรัก พากันเปลี่ยนประเทศอิรักป็นรัฐอิสลามที่เคร่งครัดทั้งหมดจะเป็นยังไงนะ แค่เปรยเท่านี้ Saddam ก็เต้น เพราะไม่ชอบชีอ่ะ และไม่อยากเปลี่ยนเป็นอิสลามเคร่งครัด อเมริกาบอก งั้นก็ต้องกันก่อนแก้ซิ Saddam เอ๋ย ในปี ค.ศ.1980 ดอกไม้กำลังบานไสวไนฤดูใบไม้ผลิต่อฤดูร้อน อิรักก็บุกอิหร่านตามคำยุของอเมริกา แหม! ทำไมยุขึ้นง่ายอย่างนี้นะ อ้อ! พี่เบิ้มเขาส่งอาวุธให้แบบไม่อั้น กันยายน ค.ศ.1980 อิรักเคลื่อนพลขยับไปจนเกือบเหยียบจมูกอิหร่าน เข้าไปถึงชานเมืองตะวันตกเฉียง ใต้ แล้วกัน Saddam กำลังจัดการงานนอกสั่ง เราสั่งแค่ให้แหย่ ไม่ใช่ให้ยึด ฟังภาษาไม่รู้เรื่องหรือไง Saddam ฟังออก แต่โอกาสมันมาถึงจะให้ถอยก็คงยาก ในที่สุดไอ้คนยุก็เลยต้องรีบปรับแผน “แลกกันเอาไหม ยูปล่อยตัวประกันอเมริกันให้หมด ไอส่งอาวุธให้ยู 300-500 ล้านเหรียญ เอาไปถล่ม Saddam กลับ” มันเป็นการแอบเจรจากันระหว่างกลุ่มหนุนหลังของ Reagan (ซึ่งกำลังท้าชิงตำแหน่งกับ Carter ) และทีมงานของ Khomeini แต่ยูปล่อยตัวประกันเมื่อ Reagan ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีนะ มันเป็นกลุ่มหนุน Reagan ที่มีแผนลึกซ่อนอยู่ Ayatollah ตกลงกับข้อเสนอ เพราะก็มีแผนลึกซ่อนอยู่เช่นกัน มกราคม 21 ค.ศ.1981 Reagan ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ในวันที่เขาเข้ามารับตำแหน่ง อิหร่านก็ปล่อยตัวเจ้าหน้าที่สถานฑูตที่ถูกจับกุมเป็นตัวประกันอาบน้ำแต่งตัวกลับบ้านไป อเมริกาคิดว่าแผนรุกของตนได้ผล สงครามอิรักอิหร่านดำเนินอยู่ถึง 8 ปี ไม่มีฝ่ายใดชนะหรือแพ้ (เพราะกรรมการเชียร์ทั้ง 2 ฝ่าย) ส่วนที่อาฟกานิสถาน ในที่สุดสหภาพโซเวียตก็แตกพ่าย ถอยทัพหน้าตกกลับประเทศในปี ค.ศ.1989 เป็นการพ่ายแพ้ที่ยับเยินของสหภาพโซเวียต และเป็นส่วนสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย อเมริกาผงาดเป็นผู้ชนะ ขึ้นแท่นเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก และเป็นการเริ่มต้นของ “สงครามเย็น” เรื่องราวของอเมริกากับอิหร่านและตะวันออกกลางกับสหภสาพโซเวียตดูเหมือนจะจบ แต่แค่ดูเหมือน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 กันยายน 2557
    0 Comments 0 Shares 270 Views 0 Reviews
  • “AI ผู้ช่วยช้อปปิ้งกำลังเปลี่ยนโฉมวงการค้าปลีก — เทศกาลปลายปีนี้ คุณอาจใช้งานอยู่โดยไม่รู้ตัว”

    Adobe รายงานว่าการใช้งาน AI เพื่อช่วยในการช้อปปิ้งออนไลน์ในช่วงเทศกาลปลายปี 2025 จะเพิ่มขึ้นถึง 520% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วง 10 วันก่อนวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งถือเป็นช่วงพีคของการซื้อของออนไลน์ในสหรัฐฯ

    AI ที่ถูกใช้งานไม่ได้หมายถึงหุ่นยนต์ที่ซื้อของแทนคุณ แต่หมายถึงระบบแนะนำสินค้า ลิงก์อัตโนมัติจากแชตบอท หรือ sidebar ที่ช่วยค้นหาข้อเสนอและสินค้าได้อย่างรวดเร็ว เช่น การถาม ChatGPT หรือ Gemini ว่า “กล้อง DSLR สำหรับมือใหม่ที่มีวิดีโอ ราคาไม่เกิน $700” แล้วได้คำตอบพร้อมลิงก์ซื้อทันที

    จากการสำรวจผู้บริโภค 5,000 คนในสหรัฐฯ พบว่า

    53% ใช้ AI เพื่อค้นคว้าก่อนซื้อ
    40% ใช้เพื่อรับคำแนะนำสินค้า
    36% ใช้เพื่อหาส่วนลด
    30% ใช้เพื่อหาแรงบันดาลใจในการเลือกของขวัญ

    Adobe ยังพบว่า ผู้ใช้ที่เข้ามายังเว็บไซต์ผ่านลิงก์จาก AI มีแนวโน้มอยู่ในเว็บนานขึ้นและดูหลายหน้า แม้ยอดซื้อจริงจาก AI ยังไม่สูงมากในปีที่แล้ว แต่เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    หมวดสินค้าที่ AI ถูกใช้มากที่สุด ได้แก่ ของเล่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องประดับ และผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง โดยผู้ใช้สามารถใช้ AI เพื่อค้นหาสินค้าจากภาพ เช่น “หาสินค้านี้ในไซส์ M” หรือ “หาสไตล์คล้ายกันในงบไม่เกิน $80”

    Adobe คาดว่าเทศกาลปลายปีนี้จะมีการใช้จ่ายออนไลน์รวมกว่า $253.4 พันล้าน เพิ่มขึ้น 5.3% จากปีที่แล้ว โดย AI จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Adobe คาดว่า AI traffic จะเพิ่มขึ้น 520% ในช่วงเทศกาลปลายปี 2025
    การใช้งาน AI เพิ่มขึ้นมากที่สุดในช่วง 10 วันก่อนวันขอบคุณพระเจ้า
    ผู้บริโภคใช้ AI เพื่อค้นคว้า แนะนำสินค้า หาส่วนลด และเลือกของขวัญ
    ผู้ใช้ที่เข้าผ่าน AI มีแนวโน้มอยู่ในเว็บนานขึ้นและดูหลายหน้า
    หมวดสินค้าที่ AI ถูกใช้มากที่สุด: ของเล่น, อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องประดับ, ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง
    คาดว่าจะมีการใช้จ่ายออนไลน์รวม $253.4 พันล้าน เพิ่มขึ้น 5.3% จากปีที่แล้ว
    AI ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาสินค้าจากภาพหรือลิงก์ได้อย่างแม่นยำ
    การใช้ AI ในการช้อปปิ้งเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้ AI ในการช้อปปิ้งช่วยลดเวลาในการค้นหาสินค้าได้ถึง 70%
    แพลตฟอร์มอย่าง ChatGPT, Gemini และ Copilot เริ่มมีฟีเจอร์แนะนำสินค้าโดยตรง
    ผู้ค้าปลีกเริ่มปรับกลยุทธ์ SEO เป็น “LLM Optimization” เพื่อให้ AI แนะนำสินค้าของตน
    การใช้ AI ในการช้อปปิ้งช่วยเพิ่ม conversion rate ได้มากกว่า 30% ในบางกรณี
    ระบบ AI สามารถเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้และปรับคำแนะนำให้ตรงกับความต้องการ

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/ai-shopping-assistants-are-reshaping-holiday-retail-and-you-might-already-be-using-one-without-realizing-it
    🛍️ “AI ผู้ช่วยช้อปปิ้งกำลังเปลี่ยนโฉมวงการค้าปลีก — เทศกาลปลายปีนี้ คุณอาจใช้งานอยู่โดยไม่รู้ตัว” Adobe รายงานว่าการใช้งาน AI เพื่อช่วยในการช้อปปิ้งออนไลน์ในช่วงเทศกาลปลายปี 2025 จะเพิ่มขึ้นถึง 520% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วง 10 วันก่อนวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งถือเป็นช่วงพีคของการซื้อของออนไลน์ในสหรัฐฯ AI ที่ถูกใช้งานไม่ได้หมายถึงหุ่นยนต์ที่ซื้อของแทนคุณ แต่หมายถึงระบบแนะนำสินค้า ลิงก์อัตโนมัติจากแชตบอท หรือ sidebar ที่ช่วยค้นหาข้อเสนอและสินค้าได้อย่างรวดเร็ว เช่น การถาม ChatGPT หรือ Gemini ว่า “กล้อง DSLR สำหรับมือใหม่ที่มีวิดีโอ ราคาไม่เกิน $700” แล้วได้คำตอบพร้อมลิงก์ซื้อทันที จากการสำรวจผู้บริโภค 5,000 คนในสหรัฐฯ พบว่า 📊 53% ใช้ AI เพื่อค้นคว้าก่อนซื้อ 📊 40% ใช้เพื่อรับคำแนะนำสินค้า 📊 36% ใช้เพื่อหาส่วนลด 📊 30% ใช้เพื่อหาแรงบันดาลใจในการเลือกของขวัญ Adobe ยังพบว่า ผู้ใช้ที่เข้ามายังเว็บไซต์ผ่านลิงก์จาก AI มีแนวโน้มอยู่ในเว็บนานขึ้นและดูหลายหน้า แม้ยอดซื้อจริงจาก AI ยังไม่สูงมากในปีที่แล้ว แต่เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมวดสินค้าที่ AI ถูกใช้มากที่สุด ได้แก่ ของเล่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องประดับ และผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง โดยผู้ใช้สามารถใช้ AI เพื่อค้นหาสินค้าจากภาพ เช่น “หาสินค้านี้ในไซส์ M” หรือ “หาสไตล์คล้ายกันในงบไม่เกิน $80” Adobe คาดว่าเทศกาลปลายปีนี้จะมีการใช้จ่ายออนไลน์รวมกว่า $253.4 พันล้าน เพิ่มขึ้น 5.3% จากปีที่แล้ว โดย AI จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Adobe คาดว่า AI traffic จะเพิ่มขึ้น 520% ในช่วงเทศกาลปลายปี 2025 ➡️ การใช้งาน AI เพิ่มขึ้นมากที่สุดในช่วง 10 วันก่อนวันขอบคุณพระเจ้า ➡️ ผู้บริโภคใช้ AI เพื่อค้นคว้า แนะนำสินค้า หาส่วนลด และเลือกของขวัญ ➡️ ผู้ใช้ที่เข้าผ่าน AI มีแนวโน้มอยู่ในเว็บนานขึ้นและดูหลายหน้า ➡️ หมวดสินค้าที่ AI ถูกใช้มากที่สุด: ของเล่น, อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องประดับ, ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง ➡️ คาดว่าจะมีการใช้จ่ายออนไลน์รวม $253.4 พันล้าน เพิ่มขึ้น 5.3% จากปีที่แล้ว ➡️ AI ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาสินค้าจากภาพหรือลิงก์ได้อย่างแม่นยำ ➡️ การใช้ AI ในการช้อปปิ้งเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้ AI ในการช้อปปิ้งช่วยลดเวลาในการค้นหาสินค้าได้ถึง 70% ➡️ แพลตฟอร์มอย่าง ChatGPT, Gemini และ Copilot เริ่มมีฟีเจอร์แนะนำสินค้าโดยตรง ➡️ ผู้ค้าปลีกเริ่มปรับกลยุทธ์ SEO เป็น “LLM Optimization” เพื่อให้ AI แนะนำสินค้าของตน ➡️ การใช้ AI ในการช้อปปิ้งช่วยเพิ่ม conversion rate ได้มากกว่า 30% ในบางกรณี ➡️ ระบบ AI สามารถเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้และปรับคำแนะนำให้ตรงกับความต้องการ https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/ai-shopping-assistants-are-reshaping-holiday-retail-and-you-might-already-be-using-one-without-realizing-it
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • เซอร์ไพรส์แฟนด้วย“แชทนอกใจ” : [News story]

    ผู้หญิงคนหนึ่งอัดคลิปเซอร์ไพรส์กับแฟน แต่แทนที่จะมีของขวัญหรือเค้ก... เธอเลือกหยิบ “แชทนอกใจ” ที่ปริ้นใส่กระดาษมายื่นให้เขาดูตรงหน้า
    เซอร์ไพรส์แฟนด้วย“แชทนอกใจ” : [News story] ผู้หญิงคนหนึ่งอัดคลิปเซอร์ไพรส์กับแฟน แต่แทนที่จะมีของขวัญหรือเค้ก... เธอเลือกหยิบ “แชทนอกใจ” ที่ปริ้นใส่กระดาษมายื่นให้เขาดูตรงหน้า
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6”
    ซาอุดิ 3
กษัตริย์ Ibn Saud เป็นอาหรับพวกที่ไม่ได้รวมวงกับ Sharif Hussien ในขบวนการเดินลงหม้อต้มของอังกฤษ แถมมองว่า Sharif Hussein หาเรื่องใส่ตัวเอง เชื่อเข้าไปได้ยังไงกับนักล่าชาวเกาะฯ กษัตริย์ Ibn Saud รังเกียจอังกฤษแบบเข้าไส้ และหาทางที่จะกำจัดอิทธิพลของอังกฤษให้หมดไปจากตะวันออกกลาง มีไอ้หน้าขาวผมทอง ละอ่อนหน้าใหม่โผล่เข้ามา Ibn Saud คิดว่าอเมริกาน่าจะเป็นผู้ใช้ไม้กวาดและแปรงถู ขจัดคราบชาวเกาะใหญ่ให้หมดไปจากตะวันออกกลางได้ เสียดายคุณปลา มัวแต่มองหาคลื่นในทะเลทราย แต่เขาว่า เวลาของใครจะมา มันก็มา แล้ว “moment” ของอเมริกาในตะวันออกกลางก็คงจะใกล้มาถึง
    นาย Charles R. Crane เศรษฐีชาว Chicago ผู้ร่วมทำรายงาน King Crane เดินสำรวจความเห็นชาวอาหรับไปทั่วตะวันออกกลางในช่วง ค.ศ.1917 ว่าชาวอาหรับอยากจะฝากไข้ฝากครัวไว้กับใคร เดินไป ถามไป สำรวจไป ฝังหัวไป ชาวอาหรับหลายเผ่า จึงเฝ้าคอยให้อเมริกามาแทนที่อังกฤษและฝรั่งเศสในตะวันออกกลาง
    กษัตริย์ Ibn Saud แม้จะเกลียดอังกฤษนักล่าชาวเกาะเข้าไส้ แต่ก็มีที่ปรึกษาเป็นชาวอังกฤษ ซื่อนาย St. John Philby ซึ่งได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม แล้วนาย Philby แนะนำกษัตริย์ให้เชิญนาย Crane ซึ่งยังคงขี่อูฐเอ้อระเหย อยู่แถบตะวันออกอยู่มาคุยกัน (แผนนี้วางได้เนียนดี)
    กษัตริย์ Ibn Saud ต้องการถามความเห็นของนาย Crane ถึงความเป็นไปได้ของการสำรวจ ขุดเจาะ แผ่นดินอันแสนยากจนของตนดูว่า มันมีของมีค่าอะไรอยู่ข้างใต้นี้บ้าง เช่น น้ำ เราแห้งแล้งมาก เราอยากรู้ว่าประเทศเรามันจะมีโอกาสโชคดีกับเขาบ้างไหม
    นาย Crane รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำลาย ซับเหงื่อ นี่ก็คงเป็นของขวัญที่เบื้องบนประทานมา เขารีบเรียกตัววิศวกรเหมืองแร่มา Jidda ด่วนที่สุด แล้วการขุดเจาะแผ่นดินของซาอุดิอารเบีย ก็เริ่มดำเนินการ ภายใต้การอำนวยการและทุนอุดหนุนของนาย Charles R. Crane
    ในเดือน พฤษภาคม ค.ศ.1933 มีโทรเลขแจ้งไปทางอเมริกาว่า การเจรจาระหว่างตัวแทนของ Standard Oil of California (SOCAL) กับรัฐมนตรีคลังของซาอุดิ สรุปได้แล้วว่า ตกลง กษัตริย์ Ibn Saud มอบสัมปทานการขุดน้ำมันให้แก่ SOCAL เป็นระยะเวลา 60 ปี ครอบคลุมเนื้อที่ 360,000 ตารางไมล์ และมีสิทธิจะขยายไปได้อีก 80,000 ตารางไมล์ โดยต้องใช้สิทธิภายใน ค.ศ.1939 ส่วนนาย Philby ก็รับทั้งค่านายหน้าและเงินเดือนจาก SOCAL กระเป๋าอวบ หน้าอิ่มสบายไปทั้งชาติ เอะ นักล่าชาวเกาะใหญ่ฯหล่นหายไปไหน ทำไมถึงตกรอบ!
    ในปี ค.ศ.1938 Aramco ก็ขุดเจาะน้ำมันรุ่นแรกขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากพอที่จะทำการค้าขายได้ และปีต่อมาการส่งออกน้ำมันจากหลุมเจาะนี้ ก็เกิดขึ้น
    SOCAL ใช้บริษัทในเครือเป็นผู้รับสัมปทาน ชื่อ California-Arabian Standard Oil Company (CASOC) ซึงตอนหลังรู้จักกันในชื่อ “Aramco” Aramco จดทะเบียนในอเมริการัฐ Delaware ดังนั้นสมุดบัญชีต่างๆของบริษัท จึงลงรายรับรายจ่ายเป็นเงินเหรียญ สหรัฐ ไม่ใช่เงินปอนด์ของอังกฤษ และดอลล่าร์ จึงกลายเป็นมาตรฐาน ในการซื้อขายน้ำมัน ในตะวันออกกลาง และแสดงถึงอำนาจของอเมริกา กำลังก้าวมาวัดรอยเท้าอังกฤษในตะวันออกกลางอย่างกระชั้นชิด
    SOCAL มองไกล ตั้งแต่เริ่มแรก ถึงปลายทางจะเป็นรางวัลใหญ่ แต่เล่นคนเดียวทั้งหมดอาจจะพัง กลางทาง จึงจับมือกับ Texas Company (TEXACO) ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1933 TEXACO ยอมร่วมหัวจมท้ายกับ SOCAL ซื้อหุ้น 50% ใน California-Arabian และอีก 50% ใน Bahrain Petroleum
    ในปี ค.ศ.1934 บริษัทน้ำมันอเมริกาก็ครอบครองแหล่งน้ำมันในส่วนใหญ่ในตะวันออกกลาง
– Near East Development ถือหุ้น 23.75% ใน Turkish Petroleum Company
– Gulf Oil ถือหุ้น 50% ในสัมปทานที่คูเวต
– สัมปทาน Bahrain และ Saudi Arabia อยู่ในมือของ Standard Oil California และ Texas Company
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6” ซาอุดิ 3
กษัตริย์ Ibn Saud เป็นอาหรับพวกที่ไม่ได้รวมวงกับ Sharif Hussien ในขบวนการเดินลงหม้อต้มของอังกฤษ แถมมองว่า Sharif Hussein หาเรื่องใส่ตัวเอง เชื่อเข้าไปได้ยังไงกับนักล่าชาวเกาะฯ กษัตริย์ Ibn Saud รังเกียจอังกฤษแบบเข้าไส้ และหาทางที่จะกำจัดอิทธิพลของอังกฤษให้หมดไปจากตะวันออกกลาง มีไอ้หน้าขาวผมทอง ละอ่อนหน้าใหม่โผล่เข้ามา Ibn Saud คิดว่าอเมริกาน่าจะเป็นผู้ใช้ไม้กวาดและแปรงถู ขจัดคราบชาวเกาะใหญ่ให้หมดไปจากตะวันออกกลางได้ เสียดายคุณปลา มัวแต่มองหาคลื่นในทะเลทราย แต่เขาว่า เวลาของใครจะมา มันก็มา แล้ว “moment” ของอเมริกาในตะวันออกกลางก็คงจะใกล้มาถึง นาย Charles R. Crane เศรษฐีชาว Chicago ผู้ร่วมทำรายงาน King Crane เดินสำรวจความเห็นชาวอาหรับไปทั่วตะวันออกกลางในช่วง ค.ศ.1917 ว่าชาวอาหรับอยากจะฝากไข้ฝากครัวไว้กับใคร เดินไป ถามไป สำรวจไป ฝังหัวไป ชาวอาหรับหลายเผ่า จึงเฝ้าคอยให้อเมริกามาแทนที่อังกฤษและฝรั่งเศสในตะวันออกกลาง กษัตริย์ Ibn Saud แม้จะเกลียดอังกฤษนักล่าชาวเกาะเข้าไส้ แต่ก็มีที่ปรึกษาเป็นชาวอังกฤษ ซื่อนาย St. John Philby ซึ่งได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม แล้วนาย Philby แนะนำกษัตริย์ให้เชิญนาย Crane ซึ่งยังคงขี่อูฐเอ้อระเหย อยู่แถบตะวันออกอยู่มาคุยกัน (แผนนี้วางได้เนียนดี) กษัตริย์ Ibn Saud ต้องการถามความเห็นของนาย Crane ถึงความเป็นไปได้ของการสำรวจ ขุดเจาะ แผ่นดินอันแสนยากจนของตนดูว่า มันมีของมีค่าอะไรอยู่ข้างใต้นี้บ้าง เช่น น้ำ เราแห้งแล้งมาก เราอยากรู้ว่าประเทศเรามันจะมีโอกาสโชคดีกับเขาบ้างไหม นาย Crane รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำลาย ซับเหงื่อ นี่ก็คงเป็นของขวัญที่เบื้องบนประทานมา เขารีบเรียกตัววิศวกรเหมืองแร่มา Jidda ด่วนที่สุด แล้วการขุดเจาะแผ่นดินของซาอุดิอารเบีย ก็เริ่มดำเนินการ ภายใต้การอำนวยการและทุนอุดหนุนของนาย Charles R. Crane ในเดือน พฤษภาคม ค.ศ.1933 มีโทรเลขแจ้งไปทางอเมริกาว่า การเจรจาระหว่างตัวแทนของ Standard Oil of California (SOCAL) กับรัฐมนตรีคลังของซาอุดิ สรุปได้แล้วว่า ตกลง กษัตริย์ Ibn Saud มอบสัมปทานการขุดน้ำมันให้แก่ SOCAL เป็นระยะเวลา 60 ปี ครอบคลุมเนื้อที่ 360,000 ตารางไมล์ และมีสิทธิจะขยายไปได้อีก 80,000 ตารางไมล์ โดยต้องใช้สิทธิภายใน ค.ศ.1939 ส่วนนาย Philby ก็รับทั้งค่านายหน้าและเงินเดือนจาก SOCAL กระเป๋าอวบ หน้าอิ่มสบายไปทั้งชาติ เอะ นักล่าชาวเกาะใหญ่ฯหล่นหายไปไหน ทำไมถึงตกรอบ! ในปี ค.ศ.1938 Aramco ก็ขุดเจาะน้ำมันรุ่นแรกขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากพอที่จะทำการค้าขายได้ และปีต่อมาการส่งออกน้ำมันจากหลุมเจาะนี้ ก็เกิดขึ้น SOCAL ใช้บริษัทในเครือเป็นผู้รับสัมปทาน ชื่อ California-Arabian Standard Oil Company (CASOC) ซึงตอนหลังรู้จักกันในชื่อ “Aramco” Aramco จดทะเบียนในอเมริการัฐ Delaware ดังนั้นสมุดบัญชีต่างๆของบริษัท จึงลงรายรับรายจ่ายเป็นเงินเหรียญ สหรัฐ ไม่ใช่เงินปอนด์ของอังกฤษ และดอลล่าร์ จึงกลายเป็นมาตรฐาน ในการซื้อขายน้ำมัน ในตะวันออกกลาง และแสดงถึงอำนาจของอเมริกา กำลังก้าวมาวัดรอยเท้าอังกฤษในตะวันออกกลางอย่างกระชั้นชิด SOCAL มองไกล ตั้งแต่เริ่มแรก ถึงปลายทางจะเป็นรางวัลใหญ่ แต่เล่นคนเดียวทั้งหมดอาจจะพัง กลางทาง จึงจับมือกับ Texas Company (TEXACO) ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1933 TEXACO ยอมร่วมหัวจมท้ายกับ SOCAL ซื้อหุ้น 50% ใน California-Arabian และอีก 50% ใน Bahrain Petroleum ในปี ค.ศ.1934 บริษัทน้ำมันอเมริกาก็ครอบครองแหล่งน้ำมันในส่วนใหญ่ในตะวันออกกลาง
– Near East Development ถือหุ้น 23.75% ใน Turkish Petroleum Company
– Gulf Oil ถือหุ้น 50% ในสัมปทานที่คูเวต
– สัมปทาน Bahrain และ Saudi Arabia อยู่ในมือของ Standard Oil California และ Texas Company สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 227 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 5 – อิหร่าน 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 5”
    อิหร่าน 1
อิหร่านตกเป็นเหยื่อ ของเหล่านักล่าสาระพัดสัญชาติ มากว่า 100 ปีแล้ว ตั้งแต่ข่าวเรื่องนายD’Arcy ถูกนักล่า จากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ เอาลงหม้อตุ๋น เล็ดรอดไปเข้าหู หน่วยสืบราชการลับของชาติต่าง ๆ
    เมื่อเริ่มศตวรรษที่ 19 อิหร่านยังเป็นประเทศที่ล้าหลังอยู่มาก ชาวบ้านซึ่งมีหลายเผ่าพันธ์ ยังอาศัยอยู่แถวนอกเมือง และทำงานประเภทอาบเหงื่อแทนน้ำ พวกเขานับถือศาสนาเดียวกัน แต่ก็ไม่ถึงกับเคร่งครัด และมีการปกครองโดยผู้ครองนคร
    ย้อนไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา อิหร่านโดนต่างชาติบุก และยึดครองดินแดนอยู่เสมอโดยพวกตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษและรัสเซีย การแย่งชิงอิหร่านระหว่าง 2 คู่ชิง หนักข้อขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา แต่ยังไม่มีเรื่องน้ำมันมาเกี่ยวข้อง มันมีสาเหตุ มาจากภูมิศาสตร์ที่ตั้งของอิหร่านเป็นหลัก
    สำหรับอังกฤษ อิหร่านเป็นเส้นทางสำคัญ ที่เชื่อมอังกฤษชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กับอินเดีย กล่องดวงใจ และเป็นที่เหมาะ สำหรับจะวางไม้ขวาง กันไม่ให้รัสเซียขยายอำนาจเข้ามา ส่วนรัสเซียก็มองว่าอิหร่านเป็นด่านสำคัญ ที่จะไม่ให้ใครแหลมเข้ามาในรัฐเล็ก รัฐน้อยของตัวเอง ที่อยู่ทางภาคใต้ของรัสเซีย โดยเฉพาะพวกหน้าซีดเหมือนปลาตาย ทิ้งค้างอยู่บนเกาะ
    แม้อังกฤษจะพยายามปิดข่าว เรื่องการไปตั้งหม้อต้มตุ๋นคนกันเอง อย่างนายD’Arcy เพื่อซื้อสัมปทานน้ำมันในราคาถูก แต่ความลับยิ่งปิด ก็ยิ่งรั่ว ข่าวการต้มตุ๋นคนกันเอง กระฉ่อนไปเข้าหูนักล่าทุกสัญชาติ ต่างก็พากัน พกมีด เตรียมไม้ มุ่งหน้ามาอิหร่านเป็นแถว หวังจะได้เหยื่อ ส้มหล่นแบบอังกฤษบ้าง
    อังกฤษกับรัสเซีย เขม่นหน้ากันมานาน แต่เมื่ออังกฤษมีแผนจะถล่มออตโตมาน และต้องการรัสเซียมาร่วมเข้าฉาก ค.ศ.1907 อังกฤษกัดฟันตกลงกับรัสเซีย ทำสัญญาลับ “Convention of St. Petersburg ที่จะแบ่งอิหร่านระหว่างกัน รัสเซียจับไม้สั้นได้ส่วนเหนือ อังกฤษจับไม้ยาวได้ส่วนใต้ แต่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จับไม้ไหน รัสเซียก็คงได้ส่วนเหนือของอิหร่านทั้งนั่นแหละ ก็อังกฤษเป็นฝ่ายเตรียมไม้ให้จับเอง ทางใต้ของอิหร่าน ที่อังกฤษล๊อกเอามาปรากฎว่าเต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน การจับไม้สั้นไม้ยาวนี้ เป็นการจับกันเองระหว่างพวกตะวันตก รัฐบาลอิหร่านไม่รู้เรื่องด้วย ยิ่งชาวอิหร่านยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ ยังนอนหลับฝันร้ายกลางทะเลทรายอยู่เลย
    แล้ว Anglo Persian ก็เริ่มผลิตน้ำมันได้ในปี ค.ศ. 1908 อิหร่านเป็นประเทศแรกในตะวันออกกลาง ที่สามารถผลิตน้ำมันขายได้ แต่รายได้ค่าน้ำมันไปอยู่ที่ไหน ต้องแจงกันไหม
    เมื่ออังกฤษสามารถเปลี่ยนให้กองทัพเรือ มาใช้น้ำมันเป็นพลังงานแทนถ่านหิน น้ำมันยิ่งกลายเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้กองทัพเรืออังกฤษก้าวขึ้นไปสู่การเป็นเจ้าแห่งทะเลอย่างเต็มภาคภูมิ และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงโดยเยอรมันแพ้ลุ่ย อังกฤษ ถึงกับประกาศว่าฝ่ายสัมพันธมิตร ลอยตัวไปบนน้ำมันสู่ชัยชนะ (ไอ้พวกชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ นี่ ทั้งขี้โกง ขี้โม้ น้ำมันต้มเขามา น่าจะบอกให้ครบ )
    แต่น้ำมันไม่ใช้เป็นอาวุธหรือส่วนสำคัญ ในการชนะสงครามเท่านั้น น้ำมันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการแข่งขัน สู่การเป็นหมายเลขหนึ่งของการครองโลกไปด้วย ตะวันออกกลาง จึงกลายเป็นเหมือนชุมทางโจร เป็นแหล่งล่าเหยื่อ ที่สร้างอนาคตใหม่ให้เหล่านักล่า อย่างเหลือเชื่อ หลอด Churchill ถึงกับบอกว่า น้ำมันอิหร่านเหมือนเป็นของขวัญที่เทวดาประทานให้ เกินความนึกฝันจริง ๆ
    แต่ความเป็นอยู่ของเจ้าของแผ่นดิน ช่างต่างกับผู้ได้รับของขวัญ อย่างเหลือเชื่อเช่นกัน
    เจ้าหน้าที่ชาวอิหร่านที่ทำงานอยู่ในโรงกลั่นน้ำมัน Anglo – Persian นาย Manucher Farmfarmaian ได้เขียนเล่าถึง โลกของผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินกับผู้ได้รับของขวัญไว้ดังนี้ :
    “ค่าแรงคือวันละ 50 เซ็นต์ ต่อวัน ไม่มีการจ่ายค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อน ไม่มีการให้ลาป่วย ไม่มีค่าชดเชยหากพิการ คนงานอาศัยอยู่ในกระท่อมที่ Kaqhazabad โดยไม่มีน้ำและไฟฟ้า ไม่ต้องพูดถึงของฟุ่มเฟื่อย เช่น น้ำแข็ง หรือพัดลม หน้าหนาวน้ำจะท่วมพื้นดิน ค้าง บริเวณกว้าง เหมือนเป็นทะเลสาบ โคลนในเมืองสูงเท่าหัวเข่า และต้องใช้เรือขนส่ง แล่นไปตามถนน ที่เต็มไปด้วยน้ำเพื่อขนส่ง หน้าร้อนยิ่งแย่กว่า ที่พักซึ่งถูกเขม่าน้ำมันเกาะกันเป็นแผ่นหนาเตอะ ทำให้กระท่อมร้อนระอุเหมือนเตาอบ และมีกลิ่นเหม็นหื่นของน้ำมันเผาเก่า ๆ…
    ส่วนที่พักของชาวอังกฤษอยู่ใน Abadn เป็นบ้านใหญ่โต มีสนามสวยงาม มีแปลงดอกกุหลาบ สนามเทนนิส สระว่ายน้ำ และสโมสร แต่ที่ Kaqhazabad ไม่มีอะไรเช่นนั้น ไม่มี… ไม่มีแม้แต่ที่อาบน้ำ ไม่มีแม้แต่ต้นไม้สักต้น …”
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
14 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 5 – อิหร่าน 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 5” อิหร่าน 1
อิหร่านตกเป็นเหยื่อ ของเหล่านักล่าสาระพัดสัญชาติ มากว่า 100 ปีแล้ว ตั้งแต่ข่าวเรื่องนายD’Arcy ถูกนักล่า จากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ เอาลงหม้อตุ๋น เล็ดรอดไปเข้าหู หน่วยสืบราชการลับของชาติต่าง ๆ เมื่อเริ่มศตวรรษที่ 19 อิหร่านยังเป็นประเทศที่ล้าหลังอยู่มาก ชาวบ้านซึ่งมีหลายเผ่าพันธ์ ยังอาศัยอยู่แถวนอกเมือง และทำงานประเภทอาบเหงื่อแทนน้ำ พวกเขานับถือศาสนาเดียวกัน แต่ก็ไม่ถึงกับเคร่งครัด และมีการปกครองโดยผู้ครองนคร ย้อนไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา อิหร่านโดนต่างชาติบุก และยึดครองดินแดนอยู่เสมอโดยพวกตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษและรัสเซีย การแย่งชิงอิหร่านระหว่าง 2 คู่ชิง หนักข้อขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา แต่ยังไม่มีเรื่องน้ำมันมาเกี่ยวข้อง มันมีสาเหตุ มาจากภูมิศาสตร์ที่ตั้งของอิหร่านเป็นหลัก สำหรับอังกฤษ อิหร่านเป็นเส้นทางสำคัญ ที่เชื่อมอังกฤษชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กับอินเดีย กล่องดวงใจ และเป็นที่เหมาะ สำหรับจะวางไม้ขวาง กันไม่ให้รัสเซียขยายอำนาจเข้ามา ส่วนรัสเซียก็มองว่าอิหร่านเป็นด่านสำคัญ ที่จะไม่ให้ใครแหลมเข้ามาในรัฐเล็ก รัฐน้อยของตัวเอง ที่อยู่ทางภาคใต้ของรัสเซีย โดยเฉพาะพวกหน้าซีดเหมือนปลาตาย ทิ้งค้างอยู่บนเกาะ แม้อังกฤษจะพยายามปิดข่าว เรื่องการไปตั้งหม้อต้มตุ๋นคนกันเอง อย่างนายD’Arcy เพื่อซื้อสัมปทานน้ำมันในราคาถูก แต่ความลับยิ่งปิด ก็ยิ่งรั่ว ข่าวการต้มตุ๋นคนกันเอง กระฉ่อนไปเข้าหูนักล่าทุกสัญชาติ ต่างก็พากัน พกมีด เตรียมไม้ มุ่งหน้ามาอิหร่านเป็นแถว หวังจะได้เหยื่อ ส้มหล่นแบบอังกฤษบ้าง อังกฤษกับรัสเซีย เขม่นหน้ากันมานาน แต่เมื่ออังกฤษมีแผนจะถล่มออตโตมาน และต้องการรัสเซียมาร่วมเข้าฉาก ค.ศ.1907 อังกฤษกัดฟันตกลงกับรัสเซีย ทำสัญญาลับ “Convention of St. Petersburg ที่จะแบ่งอิหร่านระหว่างกัน รัสเซียจับไม้สั้นได้ส่วนเหนือ อังกฤษจับไม้ยาวได้ส่วนใต้ แต่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จับไม้ไหน รัสเซียก็คงได้ส่วนเหนือของอิหร่านทั้งนั่นแหละ ก็อังกฤษเป็นฝ่ายเตรียมไม้ให้จับเอง ทางใต้ของอิหร่าน ที่อังกฤษล๊อกเอามาปรากฎว่าเต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน การจับไม้สั้นไม้ยาวนี้ เป็นการจับกันเองระหว่างพวกตะวันตก รัฐบาลอิหร่านไม่รู้เรื่องด้วย ยิ่งชาวอิหร่านยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ ยังนอนหลับฝันร้ายกลางทะเลทรายอยู่เลย แล้ว Anglo Persian ก็เริ่มผลิตน้ำมันได้ในปี ค.ศ. 1908 อิหร่านเป็นประเทศแรกในตะวันออกกลาง ที่สามารถผลิตน้ำมันขายได้ แต่รายได้ค่าน้ำมันไปอยู่ที่ไหน ต้องแจงกันไหม เมื่ออังกฤษสามารถเปลี่ยนให้กองทัพเรือ มาใช้น้ำมันเป็นพลังงานแทนถ่านหิน น้ำมันยิ่งกลายเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้กองทัพเรืออังกฤษก้าวขึ้นไปสู่การเป็นเจ้าแห่งทะเลอย่างเต็มภาคภูมิ และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงโดยเยอรมันแพ้ลุ่ย อังกฤษ ถึงกับประกาศว่าฝ่ายสัมพันธมิตร ลอยตัวไปบนน้ำมันสู่ชัยชนะ (ไอ้พวกชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ นี่ ทั้งขี้โกง ขี้โม้ น้ำมันต้มเขามา น่าจะบอกให้ครบ ) แต่น้ำมันไม่ใช้เป็นอาวุธหรือส่วนสำคัญ ในการชนะสงครามเท่านั้น น้ำมันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการแข่งขัน สู่การเป็นหมายเลขหนึ่งของการครองโลกไปด้วย ตะวันออกกลาง จึงกลายเป็นเหมือนชุมทางโจร เป็นแหล่งล่าเหยื่อ ที่สร้างอนาคตใหม่ให้เหล่านักล่า อย่างเหลือเชื่อ หลอด Churchill ถึงกับบอกว่า น้ำมันอิหร่านเหมือนเป็นของขวัญที่เทวดาประทานให้ เกินความนึกฝันจริง ๆ แต่ความเป็นอยู่ของเจ้าของแผ่นดิน ช่างต่างกับผู้ได้รับของขวัญ อย่างเหลือเชื่อเช่นกัน เจ้าหน้าที่ชาวอิหร่านที่ทำงานอยู่ในโรงกลั่นน้ำมัน Anglo – Persian นาย Manucher Farmfarmaian ได้เขียนเล่าถึง โลกของผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินกับผู้ได้รับของขวัญไว้ดังนี้ : “ค่าแรงคือวันละ 50 เซ็นต์ ต่อวัน ไม่มีการจ่ายค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อน ไม่มีการให้ลาป่วย ไม่มีค่าชดเชยหากพิการ คนงานอาศัยอยู่ในกระท่อมที่ Kaqhazabad โดยไม่มีน้ำและไฟฟ้า ไม่ต้องพูดถึงของฟุ่มเฟื่อย เช่น น้ำแข็ง หรือพัดลม หน้าหนาวน้ำจะท่วมพื้นดิน ค้าง บริเวณกว้าง เหมือนเป็นทะเลสาบ โคลนในเมืองสูงเท่าหัวเข่า และต้องใช้เรือขนส่ง แล่นไปตามถนน ที่เต็มไปด้วยน้ำเพื่อขนส่ง หน้าร้อนยิ่งแย่กว่า ที่พักซึ่งถูกเขม่าน้ำมันเกาะกันเป็นแผ่นหนาเตอะ ทำให้กระท่อมร้อนระอุเหมือนเตาอบ และมีกลิ่นเหม็นหื่นของน้ำมันเผาเก่า ๆ… ส่วนที่พักของชาวอังกฤษอยู่ใน Abadn เป็นบ้านใหญ่โต มีสนามสวยงาม มีแปลงดอกกุหลาบ สนามเทนนิส สระว่ายน้ำ และสโมสร แต่ที่ Kaqhazabad ไม่มีอะไรเช่นนั้น ไม่มี… ไม่มีแม้แต่ที่อาบน้ำ ไม่มีแม้แต่ต้นไม้สักต้น …” สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
14 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 303 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 1”
    การแบ่งเค้กตะวันออกกลาง ระหว่างประเทศผู้ชนะสงคราม ดูเหมือนจะยังไม่ลงตัว เดือนเมษายน ค.ศ. 1920 รัฐมนตรีต่างประเทศที่ชนะสงคราม แอบจัดประชุมกันอีกที่ San Remo ประเทศอิตาลี โดยไม่มีผู้แทนของอเมริกาได้รับเชิญให้เข้าประชุมด้วย !

ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ หัวเรือใหญ่บอก อเมริกามาที่หลัง ไม่เกี่ยวกับเรื่องการแบ่งเค้กที่ได้มาจากการทะลายออตโตมานนี่นา เขามาเกี่ยวตรงไหน เราเป็นคนคิดริเริ่มนะ (เอะ ! พูดแบบนี้ เดี๋ยวสวยแน่ อเมริกาเพิ่งเขี้ยวงอกก็จริง แต่เป็นเขี้ยวเล็กและแหลมคม อย่าได้ประมาทเชียว) การประชุมที่ San Remo จึงเป็นการกำหนดและการกำกับ โดย นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และประธานาธิบดีฝรั่งเศส Alexander Millerand ซึ่งไว้ใจกันเองมาก ถึงขนาดเดินประกบกันทุกฝีก้าว เข้าใจว่าใครไปเข้าห้องน้ำ อีกคนคงต้องตามไปด้วย
    เพื่อเป็นการปิดปากฝรั่งเศส อังกฤษตัดใจประกาศอย่างเป็นทางการ ต่อหน้าที่ประชุม เรา อังกฤษ ยินดียกหุ้นในบริษัทที่ได้สัมปทานน้ำมันในเมโสโปเตเมีย ให้แก่ฝรั่งเศส มิตรรักร่วมรบ เอาไปเลย 25% ของบริษัท เป็นของขวัญจากเรา แต่เมโสโปเตเมีย ต้องอยู่ในความดูแลของเราอังกฤษ ตกลงตามนี้นะ
    มันเป็นหุ้น 25% ของ Turkish Petroleum Gesellshaft ที่ Deutsche Bank ตั้งขึ้นภายหลังที่ออตโตมานให้ สิทธิ 20 กิโลเมตร 2 ข้างทางรถไฟ (Right of way) ของเส้นทาง Berlin Bagdad ส่วนอีก 75% แน่นอน ชาวเกาะบอก ต้องเป็นของเรา โดยมอบให้ Anglo Persian Oil ที่ไปหลอกต้มมาจาก นาย D’Arcy ผู้น่าสมเพชนั่นแหละ เป็นผู้รับโอนไป
    นี่มันทั้งขยี้เขา แล้วยังขโมยของในบ้านเขาต่ออีกด้วย สันดานแบบนี้ เป็นคนก็คบไม่ได้เลย
    San Remo Agreement เป็นฝีมือวางแผนของคน ที่ได้ชื่อต่อมาว่า เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ในสมัยนั้น เขาคือ Sir Henry Deterding
    นาย Deterding เป็นชาวดัชท์ เขาเป็นอีกคนหนึ่ง นอกเหนือจากกัปตัน Fisher ที่เห็นคุณค่า และอานุภาพของน้ำมัน ว่าจะเป็นทรัพยากรที่จะเป็นอาวุธสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ !
    นาย Deterding ทำงานให้รัฐบาลดัชท์ ในบริษัท Dutch East Indies ที่เกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นอาณานิคมของดัชท์ขณะนั้น สุมาตราก็มีน้ำมันตะเกียง นาย Deterding จึงตั้งบริษัทผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันอินโดนีเซีย ชื่อบริษัท Royal Dutch Oil Company
    เมื่อธุรกิจนำมันของเขาก้าวหน้า มากขึ้น ค.ศ. 1897 นาย Deterding ตัดสินใจควบบริษัท Royal Dutch Oil Company เข้ากับบริษัท Shell Transport & Trading Company ของนาย Marcus Samuel (ซึ่งต่อมาได้เป็น Lord Bearsted) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเรือขนส่งสินค้า และเป็นผู้ริเริ่มสร้างแท้งค์บรรจุน้ำมัน การควบรวมบริษัทนี้ ทำให้เกิดเป็นบริษัท Royal Dutch Shell Company ยักษ์ใหญ่ในวงการน้ำมันของอังกฤษ และทำให้อังกฤษผงาดขึ้นมาเป็นผู้ค้าน้ำมันระดับโลก และในที่สุด เป็นคู่แข่งแบบเผ็ดร้อนกับ Standard Oil Group ของตระกูล Rockefeller ในอเมริกา
    ความสำเร็จของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ในกิจการน้ำมัน มาจากการวางแผนและสนับสนุนเกินร้อยของรัฐบาลอังกฤษ ภายใต้แผนการใช้ตัวแทน ให้เข้าไปดำเนินการฝังตัวตามที่ต่าง ๆ เพื่อหาข่าวกรอง และปฎิบัติการลับไปเกือบทุกแห่งในโลก นาย Deterding เองนั้น ภายหลังก็มีข่าวหลุดมาว่า แท้จริงแล้ว เขาสังกัดอยู่ในหน่วยราชการลับของอังกฤษตั้งแต่ต้น ถูกส่งให้ไปทำงานตั้งแต่ที่เกาะสุมาตรา ไม่งั้นมันจะไปควบรวม บริษัทใหญ่อย่างนั้นได้ ง่าย ๆ อย่างไร
    ค.ศ. 1912 ก่อนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษมีส่วนแบ่งในตลาดน้ำมันโลก เพียง 12 % หลังสงครามโลก ภายหลังจากการล่าเหยื่อ หลอกเหยื่อ ขยี้เหยื่อ จนเหลือแต่ซากแล้ว ค.ศ. 1925 อังกฤษกลายเป็นขาใหญ่ในวงการน้ำมันโลก ที่กำลังจะมาแรง
    ปฎิบัติการ San Remo นาย Deterding ทำงานร่วมกับ Sir John Cadman ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลอังกฤษ เข้าไปดูแล Anglo Persian Oil Company ทั้ง 2 คน เดินสายนอกรอบ ทั้งหว่าน ทั้งล้อมฝรั่งเศส ให้ฝรั่งเศสรับ 25% ของหุ้นใน Turkish Petroleum ไป แทนการเอาเมือง Mosul ฝรั่งเศส เหมือนเด็กได้อมยิ้มไป 1 กล่องในวันเดียว ดีใจเกือบตาย แทนที่จะได้ทั้งกล่องทุกวันไปตลอดชีวิต
    และด้วยอมยิ้ม 1 กล่อง ฝรั่งเศสใจป้ำ ตกลงว่าถ้าขุดน้ำมันเจอจริง และจะต้องวางท่อส่งน้ำมัน ผ่านมาทางซีเรีย ซึ่งฝรั่งเศสได้สิทธิปกครอง ฝรั่งเศสบอกเรายินดีนะ และภาษีอะไรที่ต้องมีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฝรั่งเศสยกเว้นให้หมด เป็นการตอบแทน เอ้อ ! เซ่อได้สมใจ เคี้ยวนุ่มอร่อยนาน
    อังกฤษมองไกล ต่อไปนี้ ตะวันออกกลาง เค้กทั้งก้อน ไม่ใช่แค่ชิ้นเดียว ต้องไม่พ้นมือเรา
    San Remo Agreement ยังใส่เงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วยอีกว่า ต่างชาติอื่นนอกเหนือไปจากนี้ ไม่มีสิทธิมาขุดเจาะ เสาะหาน้ำมันในอาณาบริเวณเมโส โปเตเมีย เขียนแบบนี้ แปลว่า อเมริกาอย่ามาแหยม ! ไม่เชิญเขามาร่วมประชุม ก็หน้าด้านมากพอ แต่นี่ถึงขนาดตัดขาด จากการงานกินเค้ก ในอนาคตด้วยนี่ มันชักส่ออาการตระกรามมากไป
    นอกจากกันอเมริกาออกไปแล้ว San Remo Agreement ยังระบุด้วยว่า ในเรื่องน้ำมันที่โรมาเนีย และที่รัสเซีย ฝรั่งเศสจะต้องให้ความร่วมมือกับอังกฤษ ตามที่อังกฤษจูงอีกด้วย ข้อตกลงแบบนี้เหมือนการปฏิวัติเงียบ เกี่ยวกับน้ำมันในเมโสโปเตเมีย โดยชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ฯ เลยทีเดียว
    เมื่อกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา รู้เรื่องการวางไม้ขวางของอังกฤษ จึงทำหนังสือประท้วงการตัดสิทธิของ American Standard Oil ออกไปจากสัมปทานในเมโสโปเตเมีย รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ขณะนั้น Lord Curzon ทำหนังสือลงวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1921 แจ้งไปยังทูตอังกฤษที่ประจำอยู่ในวอชิตัน ให้ไปแจ้งต่ออเมริกาว่า อังกฤษเสียใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถจะจัดการให้บริษัทน้ำมันอเมริกัน ได้รับสัมปทานในตะวันออกกลางได้
    เด็ดขาดจริงลูกพี่ ! เขียนได้เด็ด ! แต่จะขาดกันแค่ไหน เห็นจะต้องดูกันต่อไป นั่นมันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว
    San Remo Agreement น่าจะเป็นหัวเชื้อ ในการทำสงครามชิงน้ำมัน ในตะวันออกกลางระหว่างอังกฤษกับอเมริกา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยเหยื่อที่เป็นเจ้าของน้ำมันตัวจริง ในตะวันออกกลางคงยังกำลังงง ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรกับพวกตน และดินแดนของพวกตน และไม่รู้ว่าบัดนี้ยังจะเข้าใจกันมากน้อยแค่ไหน ! ?
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
11 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 1” การแบ่งเค้กตะวันออกกลาง ระหว่างประเทศผู้ชนะสงคราม ดูเหมือนจะยังไม่ลงตัว เดือนเมษายน ค.ศ. 1920 รัฐมนตรีต่างประเทศที่ชนะสงคราม แอบจัดประชุมกันอีกที่ San Remo ประเทศอิตาลี โดยไม่มีผู้แทนของอเมริกาได้รับเชิญให้เข้าประชุมด้วย !

ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ หัวเรือใหญ่บอก อเมริกามาที่หลัง ไม่เกี่ยวกับเรื่องการแบ่งเค้กที่ได้มาจากการทะลายออตโตมานนี่นา เขามาเกี่ยวตรงไหน เราเป็นคนคิดริเริ่มนะ (เอะ ! พูดแบบนี้ เดี๋ยวสวยแน่ อเมริกาเพิ่งเขี้ยวงอกก็จริง แต่เป็นเขี้ยวเล็กและแหลมคม อย่าได้ประมาทเชียว) การประชุมที่ San Remo จึงเป็นการกำหนดและการกำกับ โดย นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และประธานาธิบดีฝรั่งเศส Alexander Millerand ซึ่งไว้ใจกันเองมาก ถึงขนาดเดินประกบกันทุกฝีก้าว เข้าใจว่าใครไปเข้าห้องน้ำ อีกคนคงต้องตามไปด้วย เพื่อเป็นการปิดปากฝรั่งเศส อังกฤษตัดใจประกาศอย่างเป็นทางการ ต่อหน้าที่ประชุม เรา อังกฤษ ยินดียกหุ้นในบริษัทที่ได้สัมปทานน้ำมันในเมโสโปเตเมีย ให้แก่ฝรั่งเศส มิตรรักร่วมรบ เอาไปเลย 25% ของบริษัท เป็นของขวัญจากเรา แต่เมโสโปเตเมีย ต้องอยู่ในความดูแลของเราอังกฤษ ตกลงตามนี้นะ มันเป็นหุ้น 25% ของ Turkish Petroleum Gesellshaft ที่ Deutsche Bank ตั้งขึ้นภายหลังที่ออตโตมานให้ สิทธิ 20 กิโลเมตร 2 ข้างทางรถไฟ (Right of way) ของเส้นทาง Berlin Bagdad ส่วนอีก 75% แน่นอน ชาวเกาะบอก ต้องเป็นของเรา โดยมอบให้ Anglo Persian Oil ที่ไปหลอกต้มมาจาก นาย D’Arcy ผู้น่าสมเพชนั่นแหละ เป็นผู้รับโอนไป นี่มันทั้งขยี้เขา แล้วยังขโมยของในบ้านเขาต่ออีกด้วย สันดานแบบนี้ เป็นคนก็คบไม่ได้เลย San Remo Agreement เป็นฝีมือวางแผนของคน ที่ได้ชื่อต่อมาว่า เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ในสมัยนั้น เขาคือ Sir Henry Deterding นาย Deterding เป็นชาวดัชท์ เขาเป็นอีกคนหนึ่ง นอกเหนือจากกัปตัน Fisher ที่เห็นคุณค่า และอานุภาพของน้ำมัน ว่าจะเป็นทรัพยากรที่จะเป็นอาวุธสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ ! นาย Deterding ทำงานให้รัฐบาลดัชท์ ในบริษัท Dutch East Indies ที่เกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นอาณานิคมของดัชท์ขณะนั้น สุมาตราก็มีน้ำมันตะเกียง นาย Deterding จึงตั้งบริษัทผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันอินโดนีเซีย ชื่อบริษัท Royal Dutch Oil Company เมื่อธุรกิจนำมันของเขาก้าวหน้า มากขึ้น ค.ศ. 1897 นาย Deterding ตัดสินใจควบบริษัท Royal Dutch Oil Company เข้ากับบริษัท Shell Transport & Trading Company ของนาย Marcus Samuel (ซึ่งต่อมาได้เป็น Lord Bearsted) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเรือขนส่งสินค้า และเป็นผู้ริเริ่มสร้างแท้งค์บรรจุน้ำมัน การควบรวมบริษัทนี้ ทำให้เกิดเป็นบริษัท Royal Dutch Shell Company ยักษ์ใหญ่ในวงการน้ำมันของอังกฤษ และทำให้อังกฤษผงาดขึ้นมาเป็นผู้ค้าน้ำมันระดับโลก และในที่สุด เป็นคู่แข่งแบบเผ็ดร้อนกับ Standard Oil Group ของตระกูล Rockefeller ในอเมริกา ความสำเร็จของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ในกิจการน้ำมัน มาจากการวางแผนและสนับสนุนเกินร้อยของรัฐบาลอังกฤษ ภายใต้แผนการใช้ตัวแทน ให้เข้าไปดำเนินการฝังตัวตามที่ต่าง ๆ เพื่อหาข่าวกรอง และปฎิบัติการลับไปเกือบทุกแห่งในโลก นาย Deterding เองนั้น ภายหลังก็มีข่าวหลุดมาว่า แท้จริงแล้ว เขาสังกัดอยู่ในหน่วยราชการลับของอังกฤษตั้งแต่ต้น ถูกส่งให้ไปทำงานตั้งแต่ที่เกาะสุมาตรา ไม่งั้นมันจะไปควบรวม บริษัทใหญ่อย่างนั้นได้ ง่าย ๆ อย่างไร ค.ศ. 1912 ก่อนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษมีส่วนแบ่งในตลาดน้ำมันโลก เพียง 12 % หลังสงครามโลก ภายหลังจากการล่าเหยื่อ หลอกเหยื่อ ขยี้เหยื่อ จนเหลือแต่ซากแล้ว ค.ศ. 1925 อังกฤษกลายเป็นขาใหญ่ในวงการน้ำมันโลก ที่กำลังจะมาแรง ปฎิบัติการ San Remo นาย Deterding ทำงานร่วมกับ Sir John Cadman ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลอังกฤษ เข้าไปดูแล Anglo Persian Oil Company ทั้ง 2 คน เดินสายนอกรอบ ทั้งหว่าน ทั้งล้อมฝรั่งเศส ให้ฝรั่งเศสรับ 25% ของหุ้นใน Turkish Petroleum ไป แทนการเอาเมือง Mosul ฝรั่งเศส เหมือนเด็กได้อมยิ้มไป 1 กล่องในวันเดียว ดีใจเกือบตาย แทนที่จะได้ทั้งกล่องทุกวันไปตลอดชีวิต และด้วยอมยิ้ม 1 กล่อง ฝรั่งเศสใจป้ำ ตกลงว่าถ้าขุดน้ำมันเจอจริง และจะต้องวางท่อส่งน้ำมัน ผ่านมาทางซีเรีย ซึ่งฝรั่งเศสได้สิทธิปกครอง ฝรั่งเศสบอกเรายินดีนะ และภาษีอะไรที่ต้องมีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฝรั่งเศสยกเว้นให้หมด เป็นการตอบแทน เอ้อ ! เซ่อได้สมใจ เคี้ยวนุ่มอร่อยนาน อังกฤษมองไกล ต่อไปนี้ ตะวันออกกลาง เค้กทั้งก้อน ไม่ใช่แค่ชิ้นเดียว ต้องไม่พ้นมือเรา San Remo Agreement ยังใส่เงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วยอีกว่า ต่างชาติอื่นนอกเหนือไปจากนี้ ไม่มีสิทธิมาขุดเจาะ เสาะหาน้ำมันในอาณาบริเวณเมโส โปเตเมีย เขียนแบบนี้ แปลว่า อเมริกาอย่ามาแหยม ! ไม่เชิญเขามาร่วมประชุม ก็หน้าด้านมากพอ แต่นี่ถึงขนาดตัดขาด จากการงานกินเค้ก ในอนาคตด้วยนี่ มันชักส่ออาการตระกรามมากไป นอกจากกันอเมริกาออกไปแล้ว San Remo Agreement ยังระบุด้วยว่า ในเรื่องน้ำมันที่โรมาเนีย และที่รัสเซีย ฝรั่งเศสจะต้องให้ความร่วมมือกับอังกฤษ ตามที่อังกฤษจูงอีกด้วย ข้อตกลงแบบนี้เหมือนการปฏิวัติเงียบ เกี่ยวกับน้ำมันในเมโสโปเตเมีย โดยชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ฯ เลยทีเดียว เมื่อกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา รู้เรื่องการวางไม้ขวางของอังกฤษ จึงทำหนังสือประท้วงการตัดสิทธิของ American Standard Oil ออกไปจากสัมปทานในเมโสโปเตเมีย รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ขณะนั้น Lord Curzon ทำหนังสือลงวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1921 แจ้งไปยังทูตอังกฤษที่ประจำอยู่ในวอชิตัน ให้ไปแจ้งต่ออเมริกาว่า อังกฤษเสียใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถจะจัดการให้บริษัทน้ำมันอเมริกัน ได้รับสัมปทานในตะวันออกกลางได้ เด็ดขาดจริงลูกพี่ ! เขียนได้เด็ด ! แต่จะขาดกันแค่ไหน เห็นจะต้องดูกันต่อไป นั่นมันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว San Remo Agreement น่าจะเป็นหัวเชื้อ ในการทำสงครามชิงน้ำมัน ในตะวันออกกลางระหว่างอังกฤษกับอเมริกา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยเหยื่อที่เป็นเจ้าของน้ำมันตัวจริง ในตะวันออกกลางคงยังกำลังงง ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรกับพวกตน และดินแดนของพวกตน และไม่รู้ว่าบัดนี้ยังจะเข้าใจกันมากน้อยแค่ไหน ! ? สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
11 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 344 Views 0 Reviews
  • “ปานเทพ” มอบแอนตี้โดรน 36 ระบบ พร้อมแบตเตอรี่มูลค่ากว่า 80 ล้านบาท ให้แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมมอบของขวัญวันเกิด และหารือแนวทางทวงคืนมณฑลบูรพาและเกาะกงกลับมาเป็นของไทย เผยยังต้องการแอนตี้โดรนอีก 63 ระบบ บริจาคได้ที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090766

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    “ปานเทพ” มอบแอนตี้โดรน 36 ระบบ พร้อมแบตเตอรี่มูลค่ากว่า 80 ล้านบาท ให้แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมมอบของขวัญวันเกิด และหารือแนวทางทวงคืนมณฑลบูรพาและเกาะกงกลับมาเป็นของไทย เผยยังต้องการแอนตี้โดรนอีก 63 ระบบ บริจาคได้ที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090766 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Love
    8
    0 Comments 0 Shares 334 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง”

    ตอนที่ 5 ของขวัญจาก Georgia

    ในปี ค.ศ. 1943 ครู Mac ได้รับเชิญให้เขียนบทความลงใน Foreign Affairs ซึ่งเป็นวารสารอันมีชื่อเสียงของ CFR ถึงแนวความคิดของเขาเกี่ยวกับภูมิศาสตร์การเมืองหลังสงครามโลก ครูเขียนไว้เหมือนการพยากรณ์ล่วงหน้าก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะรู้หมู่รู้จ่า

    ” จำไว้ให้ดี ถ้าสหภาพโซเวียต ผงาดขึ้นมา ในฐานะผู้ชนะเยอรมัน สหภาพโซเวียตจะกลายเป็นผู้มีอำนาจหมายเลขหนึ่ง บนภาคพื้นดินของโลก นอกจากนี้ สหภาพโซเวียตจะมีอำนาจ ในบริเวณที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งที่สุดในการป้องกันตัวเอง The Heart land กล่องดวงใจ คือป้อมปราการทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นป้อมปราการที่เต็มไปด้วยมนุษย์ที่เพรียบพร้อมทั้งในด้านจำนวนและคุณภาพอย่างที่ประวัติศาสตร์ไม่เคยมี”

    พยากรณ์กันแบบนี้ มันก็เหมือนเป็นใบสั่งถาวร ในการตอนและกำจัดรัสเซีย !

    คำพูดนี้เป็นการตอกย้ำ สิ่งที่ครู Mac เคยพูด เมื่อปี ค.ศ. 1919 ในระหว่างการเจรจาสันติภาพ Versailles Peace Talk ที่ถือเป็นประกาสิตยอดโด่งดังในวงการภูมิศาสตร์การเมือง ครู Mac บอกว่า ในความเห็นของเขา ยุทธศาสตร์ที่อังกฤษจะต้องยึดไว้เป็นหลัก คือ ป้องกันทุกวิถีทางไม่ว่าจะเสี ยเท่าไหร่ (at all costs) เพื่อไม่ให้มีการรวมตัวกัน ของ Poland, Czecho, Austria, Hungary และ Russia ที่ กล่องดวงใจของ Eurasia “Heartland”

    Who rules East Europe commands the Heartland
    Who rules the Heartland commands the World Island
    Who rules the World Island commands the World
    Heartland ของครู Mac หมายถึงใจกลางของ Eurasia คือ Russia และ Ukraine
    The World Island หมายถึง Eurasia ทั้งหมด รวมทั้งยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเซีย
    ส่วน Great Britain ในความคิดของครู Mac ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของยุโรป และครูบอกว่า มันควรจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป อย่าได้เปลี่ยนเป็นอันขาดไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใด !

    แนวความคิดของครู Mac เป็นเข็มทิศสำหรับอังกฤษ ในการตัดสินใจเข้าร่วมสงครามในปี ค.ศ. 1914 และเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีส่วนทำให้ Churchill ใช้เล่ห์เหลี่ยมในการทำให้เกิดสงครามเย็น โดยร่วมมือกับอเมริกากดดันรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1943 อังกฤษแอบคิดเอาเองว่า วอชิงตันเด็กใหม่ คงไม่เป็นประสานักกับภูมิศาสตร์การเมือง คงต้องพึ่งฝีมือลูกพี่อังกฤษในการอ่านเกมส์ และอังกฤษก็จะเป็นผู้คุมเกมส์การเมืองกระดานสำคัญนี้

    เสียงของครู Mac คงหลอนท่านหลอด Churchill ทุกคืน เดือนเมษายน ค.ศ. 1945 ท่านหลอดปลุกระดมละอ่อนอเมริกา ผ่านนายพล Eisenhower และประธานาธิบดี Roosevelt เรามาทดลองก่อสงครามกันเต็มรูปแบบ กับสหภาพโซเวียตกันมั้ยพรรคพวก ใช้แค่กองกำลังของเยอรมันที่จับได้เป็นเหยื่อล่อก็ได้ ไม่ต้องลงทุนมาก ปรากฎว่าละอ่อนอเมริกาไม่เล่นด้วย บอกว่าเสี่ยงเกินไป เอะ ไอ้ละอ่อนนี่มันรู้ทันแผนกินรวบของเราหรือไร ท่านหลอดรำพึง

    ปลายปี ค.ศ. 1945 คราวนี้อเมริกาเอาบ้าง เขี้ยวงอกแล้ว ประธานาธิบดี Truman ให้เตรียมแผนโจมตีสหภาพโซเวียต กะจะถล่ม 20 เมืองของโซเวียตด้วยนิวเคลียร์ ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นสหภาพโซเวียตอยู่นิ่งเฉย ไม่มีพฤติกรรมว่าจะเป็นภัยต่อสังคม หรือ ต่อความมั่นคงของอเมริกา ไม่เข้าข่ายต้องเชิญมาปรับพฤติ กรรมสักหน่อย แผนนี้เรียกว่า “Strategic Vulnerability of the USSR to a Limited Air Attack” ( ตั้งชื่อแบบนี้ เดาได้เลยว่าไปไม่สวย) เป็นครั้งแรกที่อเมริกามีแผนจะขจัดรัสเซียออกไปจาก Heartland และคงไม่ใช่เป็นครั้งสุดท้าย !
    เล่นกันแบบนี้ มอสโคว์ อยู่เฉยๆ ก็ใจเย็นผิดนิสัยไปหน่อย มันก็ต้องมีการเอาคืนกันบ้าง แล้วมอสโคว์ก็ช็อค วอชิงตัน ด้วยการทดลอง Atomic บอมบ์ ในปี 1949 และ Hydrogen บอมบ์ ในปีต่อมา แค่นั้นมันจะซะใจคนอยู่แถวกล่องดวงใจได้ไง มันต้องเอาให้ตาเหลือก ว่าแล้วรัสเซียก็ใช้จรวดส่งดาวเทียม Sputnik ขึ้นไปในอวกาศในปี ค.ศ. 1957 อเมริกาหน้าแตก ไอ้ที่ฝันว่าจะถล่มรัสเซียด้วย นิวเคลียร์ เรียกว่า “Nuclear primacy” ก็เลยกลายเป็นฝันค้าง อยู่กลางอากาศซะเกือบ 50 ปี จนมาได้ไอ้เสือเอาวา สายเหยี่ยว พวกบ้าสงคราม Donald Rumsfeld, **** Cheney, Paul Wolfowitz ในสมัย Bush คนลูก นั่นแหละ

    ปี ค.ศ. 2000 Bush ประกาศนโยบาย Bush Doctrine รบก่อนแล้วค่อยคุย ซึ่งรวมถึงแผนการส่งนิวเคลียร์ให้เป็นของขวัญ แบบไม่ประกาศล่วงหน้าให้แก่รัสเซียแถมไปด้วย และทั้งหมดนี้คือที่มาที่ไปของ การลุกขึ้นมาสร้างความตื่นเต้นให้แก่ชาวโลก โดยประเทศเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า “Georgia” เมื่อปี ค.ศ. 2008 (ต้องใส่เกียร์ถอยหลังไปซะหลายปี ก่อนจะเดินหน้าต่อได้)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 มิย. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง” ตอนที่ 5 ของขวัญจาก Georgia ในปี ค.ศ. 1943 ครู Mac ได้รับเชิญให้เขียนบทความลงใน Foreign Affairs ซึ่งเป็นวารสารอันมีชื่อเสียงของ CFR ถึงแนวความคิดของเขาเกี่ยวกับภูมิศาสตร์การเมืองหลังสงครามโลก ครูเขียนไว้เหมือนการพยากรณ์ล่วงหน้าก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะรู้หมู่รู้จ่า ” จำไว้ให้ดี ถ้าสหภาพโซเวียต ผงาดขึ้นมา ในฐานะผู้ชนะเยอรมัน สหภาพโซเวียตจะกลายเป็นผู้มีอำนาจหมายเลขหนึ่ง บนภาคพื้นดินของโลก นอกจากนี้ สหภาพโซเวียตจะมีอำนาจ ในบริเวณที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งที่สุดในการป้องกันตัวเอง The Heart land กล่องดวงใจ คือป้อมปราการทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นป้อมปราการที่เต็มไปด้วยมนุษย์ที่เพรียบพร้อมทั้งในด้านจำนวนและคุณภาพอย่างที่ประวัติศาสตร์ไม่เคยมี” พยากรณ์กันแบบนี้ มันก็เหมือนเป็นใบสั่งถาวร ในการตอนและกำจัดรัสเซีย ! คำพูดนี้เป็นการตอกย้ำ สิ่งที่ครู Mac เคยพูด เมื่อปี ค.ศ. 1919 ในระหว่างการเจรจาสันติภาพ Versailles Peace Talk ที่ถือเป็นประกาสิตยอดโด่งดังในวงการภูมิศาสตร์การเมือง ครู Mac บอกว่า ในความเห็นของเขา ยุทธศาสตร์ที่อังกฤษจะต้องยึดไว้เป็นหลัก คือ ป้องกันทุกวิถีทางไม่ว่าจะเสี ยเท่าไหร่ (at all costs) เพื่อไม่ให้มีการรวมตัวกัน ของ Poland, Czecho, Austria, Hungary และ Russia ที่ กล่องดวงใจของ Eurasia “Heartland” Who rules East Europe commands the Heartland Who rules the Heartland commands the World Island Who rules the World Island commands the World Heartland ของครู Mac หมายถึงใจกลางของ Eurasia คือ Russia และ Ukraine The World Island หมายถึง Eurasia ทั้งหมด รวมทั้งยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเซีย ส่วน Great Britain ในความคิดของครู Mac ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของยุโรป และครูบอกว่า มันควรจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป อย่าได้เปลี่ยนเป็นอันขาดไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใด ! แนวความคิดของครู Mac เป็นเข็มทิศสำหรับอังกฤษ ในการตัดสินใจเข้าร่วมสงครามในปี ค.ศ. 1914 และเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีส่วนทำให้ Churchill ใช้เล่ห์เหลี่ยมในการทำให้เกิดสงครามเย็น โดยร่วมมือกับอเมริกากดดันรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1943 อังกฤษแอบคิดเอาเองว่า วอชิงตันเด็กใหม่ คงไม่เป็นประสานักกับภูมิศาสตร์การเมือง คงต้องพึ่งฝีมือลูกพี่อังกฤษในการอ่านเกมส์ และอังกฤษก็จะเป็นผู้คุมเกมส์การเมืองกระดานสำคัญนี้ เสียงของครู Mac คงหลอนท่านหลอด Churchill ทุกคืน เดือนเมษายน ค.ศ. 1945 ท่านหลอดปลุกระดมละอ่อนอเมริกา ผ่านนายพล Eisenhower และประธานาธิบดี Roosevelt เรามาทดลองก่อสงครามกันเต็มรูปแบบ กับสหภาพโซเวียตกันมั้ยพรรคพวก ใช้แค่กองกำลังของเยอรมันที่จับได้เป็นเหยื่อล่อก็ได้ ไม่ต้องลงทุนมาก ปรากฎว่าละอ่อนอเมริกาไม่เล่นด้วย บอกว่าเสี่ยงเกินไป เอะ ไอ้ละอ่อนนี่มันรู้ทันแผนกินรวบของเราหรือไร ท่านหลอดรำพึง ปลายปี ค.ศ. 1945 คราวนี้อเมริกาเอาบ้าง เขี้ยวงอกแล้ว ประธานาธิบดี Truman ให้เตรียมแผนโจมตีสหภาพโซเวียต กะจะถล่ม 20 เมืองของโซเวียตด้วยนิวเคลียร์ ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นสหภาพโซเวียตอยู่นิ่งเฉย ไม่มีพฤติกรรมว่าจะเป็นภัยต่อสังคม หรือ ต่อความมั่นคงของอเมริกา ไม่เข้าข่ายต้องเชิญมาปรับพฤติ กรรมสักหน่อย แผนนี้เรียกว่า “Strategic Vulnerability of the USSR to a Limited Air Attack” ( ตั้งชื่อแบบนี้ เดาได้เลยว่าไปไม่สวย) เป็นครั้งแรกที่อเมริกามีแผนจะขจัดรัสเซียออกไปจาก Heartland และคงไม่ใช่เป็นครั้งสุดท้าย ! เล่นกันแบบนี้ มอสโคว์ อยู่เฉยๆ ก็ใจเย็นผิดนิสัยไปหน่อย มันก็ต้องมีการเอาคืนกันบ้าง แล้วมอสโคว์ก็ช็อค วอชิงตัน ด้วยการทดลอง Atomic บอมบ์ ในปี 1949 และ Hydrogen บอมบ์ ในปีต่อมา แค่นั้นมันจะซะใจคนอยู่แถวกล่องดวงใจได้ไง มันต้องเอาให้ตาเหลือก ว่าแล้วรัสเซียก็ใช้จรวดส่งดาวเทียม Sputnik ขึ้นไปในอวกาศในปี ค.ศ. 1957 อเมริกาหน้าแตก ไอ้ที่ฝันว่าจะถล่มรัสเซียด้วย นิวเคลียร์ เรียกว่า “Nuclear primacy” ก็เลยกลายเป็นฝันค้าง อยู่กลางอากาศซะเกือบ 50 ปี จนมาได้ไอ้เสือเอาวา สายเหยี่ยว พวกบ้าสงคราม Donald Rumsfeld, Dick Cheney, Paul Wolfowitz ในสมัย Bush คนลูก นั่นแหละ ปี ค.ศ. 2000 Bush ประกาศนโยบาย Bush Doctrine รบก่อนแล้วค่อยคุย ซึ่งรวมถึงแผนการส่งนิวเคลียร์ให้เป็นของขวัญ แบบไม่ประกาศล่วงหน้าให้แก่รัสเซียแถมไปด้วย และทั้งหมดนี้คือที่มาที่ไปของ การลุกขึ้นมาสร้างความตื่นเต้นให้แก่ชาวโลก โดยประเทศเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า “Georgia” เมื่อปี ค.ศ. 2008 (ต้องใส่เกียร์ถอยหลังไปซะหลายปี ก่อนจะเดินหน้าต่อได้) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 มิย. 2557
    0 Comments 0 Shares 398 Views 0 Reviews
  • Château Christophe ตอนที่ 6
    นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 6 (ตอนจบ)
    ฝ่ายที่จู่โจมสถานกงสุลอเมริกันที่ Benghazi คาดเดากันว่าน่าจะเป็นพวกทหารอิสลาม แต่มันไม่น่าเชื่อว่า พวกเขาจะไม่รู้ว่า “ใคร” ที่อยู่ในบริเวณที่พวกเขาจัดการเผาจนเรียบวุธขนาดนั้น ถ้า Chris Stevens เป็นเป้าหมาย มันน่าจะง่ายกว่า ถ้าจะโจมตีขบวนรถเขาหรือชิงตัวเขาขณะออกไปวิ่งตอนเช้า หรือชิงตัวจากที่นัดพบและที่สำคัญ ฑูตอเมริกันที่มีชีวิตย่อมเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าฑูตที่ตายแล้ว
    แต่เพราะ Chris Stevens ถูกฆ่าตาย 56 วันก่อนมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี การตายเขาจึงกลายเป็นส่วนประกอบของฉากการเมือง ที่ทุกฝ่ายอยากเอาไปประกอบให้มีคะแนนเพิ่มขึ้น หรือเอาไปลดคะแนนคู่ต่อสู้
    รัฐบาล Obama ถูกวิจารณ์อย่างหนัก เมื่ออ้างในตอนแรกอย่างไม่มีน้ำหนักว่าการโจมตีสถานกงสุลเกิดขึ้นเพราะการประท้วงเรื่อง วีดีโอ แต่หลังจากนั้นประมาณเดือนตุลาคม เมื่อ New York Times รายงานว่า ชาวพื้นเมืองบอกว่าพวกที่บุกรุกเข้าไปในสถานกงสุลเป็นพวกอิสลามที่แค้นเรื่อง วีดีโอ มันก็เลยทำให้ข้อแก้ตัวของรัฐบาลพอฟังขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ทำให้หลายๆ ฝ่ายหายสงสัย
    นอกจากนี้ภาพของฑูต Stevens ที่แพร่ทางสื่อต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน มีหลายสื่อที่ออกข่าวว่า ฑูต Stevens ถูกทารุณและถูกชำเราทางทวารหนัก โดยมีภาพกึ่งเปลือยของเขาถูกชาวเมืองกำลังแบกอยู่ ในขณะที่สื่อฝั่งตะวันตก แพร่ภาพของฑูต Stevens นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและบอกเพียงว่า Stevens เสียชีวิตเพราะสำลักควัน ไม่ได้ถูกทำร้ายทารุณ เขามีบาดแผลเพียงเล็กน้อยที่หน้าผากเท่านั้น
    ข่าวนี้ออกมาใกล้เคียงกับการที่สภาสูง ของอเมริกาได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนสาเหตุการตายของ Stevens และตรวจสอบประเด็นเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้วย ผลของการตรวจสอบ ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ ข้อมูลที่ออกมาสับสนและขัดแย้งกันเอง (จนถึงทุกวันนี้) ยากแก่การลงความเห็นว่าฑูต Stevens เสียชีวิตจากการสำลักควัน โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และกำลังเสริมที่อยู่ห่างไปเพียง 1.2 ไมล์ ซึ่งมาถึงช้าอย่าผิดปกติ จนบริเวณกงสุลไหม้ไปเกือบหมดแล้ว
    ขณะเดียวกันก็เริ่มมีข่าวแพร่ออกมาว่า CIA มีส่วนเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของฑูต Stevens ข่าวรายงานว่า จุดยืนอย่างเป็นทางการของอเมริกา คือ ไม่มีการส่งอาวุธไปช่วยพวกกบฏในซีเรีย แต่ก็มีหลักฐานโผล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่าตัวแทนของอเมริกาโดยเฉพาะ ฑูต Stevens ที่เพิ่งถูกฆาตกรรมไปนั่นแหละ อย่างน้อยมีส่วนรู้เห็นกับการขนย้ายอาวุธจากลิเบียไปให้พวกกบฎ Jihadist ของซีเรีย
    เดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 นาย Stevens ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของอเมริกา เพื่อประสานงานกับ al-Qaeda-linked ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลลิเบีย โดยติดต่อโดยตรงกับ Abdelhakim Belhadj ของ Libyan Islamic Fighting Group ซึ่งกลุ่มนี้ต่อมายกเลิกไป หลังจากมีรายงานว่ามีส่วนร่วมในการโจมตีกงสุลอเมริกันและทำให้นาย Stevens เสียชีวิต !
    เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Time of London รายงานว่าเรือสัญชาติ Libya ขนสินค้าจำนวนมากเป็นอาวุธไปให้ซีเรีย โดยเทียบท่าที่ตุรกี รายงานข่าวว่าสินค้าหนักถึง 400 ตันนั้น มีจรวดประเภท SA-7 surface-to air anti-craft และ rocket-propelled grenade (ขีปนาวุธ ประเภทขับเคลื่อน) จำนวนมาก อาวุธทั้งหมดน่าจะมาจากส่วนที่ เก็บอยู่ในกองทัพของ Qaddafi ซึ่งมีประมาณ 20,000 ชิ้น สื่อ Reuters รายงานว่าฝ่ายกบฎซีเรีย ใช้อาวุธเหล่านี้ ยิงเครื่องเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินรบของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย
    เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Telegraph รายงานว่า Belhadj ในฐานะหัวหน้า Tripoli Military Council ได้พบกับบรรดาหัวหน้าของ Free Serian Army (FSA) ที่ Istanbul และแถบชายแดนของตุรกี โดยเป็นความพยายามของรัฐบาลใหม่ของลิเบียที่จะให้ความสนับสนุนทางด้านเงินและอาวุธแก่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ซึ่งกำลังเริ่มเกิดขึ้น
    นี่หมายความว่า ฑูต Stevens มีบุคคลเดียว คือ Belhadj ที่โยงระหว่างเขากับคน Benghazi ที่ขนอาวุธให้กบฎซีเรีย และถ้ารัฐบาลใหม่ของลิเบีย ส่งอาวุธให้กับกบฎซีเรีย ผ่านทางท่าเรือของตุรกี โดยมี Stevens เป็นตัวกลางให้กับพวกกบฎลิเบีย รัฐบาลตุรกีและรัฐบาลอเมริกันก็น่าจะรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย
    และอย่าลืมว่า มีหน่วยงานที่ขึ้นกับ CIA ประจำอยู่ที่เมือง Benghazi ซึ่งห่างจากสถานกงสุลแค่ 1.2 ไมล์ หน่วยงานนี้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลของการกระจายอาวุธที่ยึดมาจากรัฐบาลลิเบีย และปฏิบัติภาระกิจอะไรอีกบ้าง ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่เป็นที่รู้กันว่า การรักษาความปลอดภัยของหน่วยงานนี้ หนาแน่นมั่นคงและมีอาวุธที่ก้าวหน้าว่าที่สถานกงสุลมากนัก
    มาถึงจุดนี้มันค่อนข้างชัดเจนว่า อเมริกาต้องมีอะไรซ่อนอยู่ที่ Benghazi มันถึงทำให้รายงาน ต่าง ๆ สับสน และเมื่อถูกสอบถาม คุณนาย Clinton ถึงกับลมจับใบ้รับประทาน
    อย่าลืมว่านัดสุดท้ายของฑูต Stevens เมื่อวันที่ 11 กันยายน คือ การพบกับกงสุลตุรกี ชื่อ General Ali Sait Akin ซึ่ง Fox News บอกว่าเพื่อเป็นการเจรจาเกี่ยว กับการส่งมอบ ขีปนาวุธ SA-7 Business Insider รายงานเพิ่มว่า Stevens และลูกน้องเขา ทำหน้าที่เป็น “diplomatic cover” ให้แก่ CIA จากจำนวน 30 คน ที่อพยพมาจาก Benghazi มีเพียง 7 คน เท่านั้นที่ทำงานให้กับกระทรวงต่างประเทศและถ้า Stevens รู้ว่าอาวุธที่ส่งให้กบฎซีเรียมาจากไหน จะเป็นไปได้หรือที่ CIA จะไม่รู้ ไม่เห็นด้วย มันคงจะเป็นเรื่องที่ทำให้วอชิงตันลำบากใจอย่างยิ่ง ในการตอบคำถามที่เกี่ยวข้อง
    ไม่ว่าจะมีข่าวออกไปทางใด การตายของนาย Stevens คงจะเป็นปริศนาค้างคาอยู่กันต่อไป แต่จากเรื่องที่สื่อต่างชาติเขียนมานี้ น่าจะทำให้เราเห็นอะไรหลายอย่างว่า อเมริกาแท้จริงเป็นอย่างไร
    ในการสร้างสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ละประเทศต่างก็ส่งคนของตนไปทั่วโลก เพื่อหาข้อมูลและเพื่อดูแลผลประโยชน์ของประเทศตน และแน่นอนที่สุด เพื่อสร้างมิตร สร้างสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อกัน การที่อเมริกันเข้าไปในบ้านเมืองอื่นๆ ด้วยวิธีการอย่างที่อเมริกาเข้าไปในลิเบีย หรือส่งของขวัญพิเศษให้กับกบฎซีเรีย หรือที่กำลังทำอยู่ในหลายๆประเทศ และรวมทั้งที่กำลังทำอยู่กับราช อาณาจักรไทยด้วยนั้น การฑูตผ่านรั้วสูง กำแพงเหล็ก โกหก จุ้นจ้าน จาบจ้วง ทวงบุญคุณ และการส่ง “ของขวัญ” แบบพิเศษนี้ ฯลฯ คงจะสร้าง หรือรักษา “มิตร” ได้ยาก
    คนเล่านิทาน
7 มิย. 57
    Château Christophe ตอนที่ 6 นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 6 (ตอนจบ) ฝ่ายที่จู่โจมสถานกงสุลอเมริกันที่ Benghazi คาดเดากันว่าน่าจะเป็นพวกทหารอิสลาม แต่มันไม่น่าเชื่อว่า พวกเขาจะไม่รู้ว่า “ใคร” ที่อยู่ในบริเวณที่พวกเขาจัดการเผาจนเรียบวุธขนาดนั้น ถ้า Chris Stevens เป็นเป้าหมาย มันน่าจะง่ายกว่า ถ้าจะโจมตีขบวนรถเขาหรือชิงตัวเขาขณะออกไปวิ่งตอนเช้า หรือชิงตัวจากที่นัดพบและที่สำคัญ ฑูตอเมริกันที่มีชีวิตย่อมเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าฑูตที่ตายแล้ว แต่เพราะ Chris Stevens ถูกฆ่าตาย 56 วันก่อนมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี การตายเขาจึงกลายเป็นส่วนประกอบของฉากการเมือง ที่ทุกฝ่ายอยากเอาไปประกอบให้มีคะแนนเพิ่มขึ้น หรือเอาไปลดคะแนนคู่ต่อสู้ รัฐบาล Obama ถูกวิจารณ์อย่างหนัก เมื่ออ้างในตอนแรกอย่างไม่มีน้ำหนักว่าการโจมตีสถานกงสุลเกิดขึ้นเพราะการประท้วงเรื่อง วีดีโอ แต่หลังจากนั้นประมาณเดือนตุลาคม เมื่อ New York Times รายงานว่า ชาวพื้นเมืองบอกว่าพวกที่บุกรุกเข้าไปในสถานกงสุลเป็นพวกอิสลามที่แค้นเรื่อง วีดีโอ มันก็เลยทำให้ข้อแก้ตัวของรัฐบาลพอฟังขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ทำให้หลายๆ ฝ่ายหายสงสัย นอกจากนี้ภาพของฑูต Stevens ที่แพร่ทางสื่อต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน มีหลายสื่อที่ออกข่าวว่า ฑูต Stevens ถูกทารุณและถูกชำเราทางทวารหนัก โดยมีภาพกึ่งเปลือยของเขาถูกชาวเมืองกำลังแบกอยู่ ในขณะที่สื่อฝั่งตะวันตก แพร่ภาพของฑูต Stevens นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและบอกเพียงว่า Stevens เสียชีวิตเพราะสำลักควัน ไม่ได้ถูกทำร้ายทารุณ เขามีบาดแผลเพียงเล็กน้อยที่หน้าผากเท่านั้น ข่าวนี้ออกมาใกล้เคียงกับการที่สภาสูง ของอเมริกาได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนสาเหตุการตายของ Stevens และตรวจสอบประเด็นเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้วย ผลของการตรวจสอบ ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ ข้อมูลที่ออกมาสับสนและขัดแย้งกันเอง (จนถึงทุกวันนี้) ยากแก่การลงความเห็นว่าฑูต Stevens เสียชีวิตจากการสำลักควัน โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และกำลังเสริมที่อยู่ห่างไปเพียง 1.2 ไมล์ ซึ่งมาถึงช้าอย่าผิดปกติ จนบริเวณกงสุลไหม้ไปเกือบหมดแล้ว ขณะเดียวกันก็เริ่มมีข่าวแพร่ออกมาว่า CIA มีส่วนเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของฑูต Stevens ข่าวรายงานว่า จุดยืนอย่างเป็นทางการของอเมริกา คือ ไม่มีการส่งอาวุธไปช่วยพวกกบฏในซีเรีย แต่ก็มีหลักฐานโผล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่าตัวแทนของอเมริกาโดยเฉพาะ ฑูต Stevens ที่เพิ่งถูกฆาตกรรมไปนั่นแหละ อย่างน้อยมีส่วนรู้เห็นกับการขนย้ายอาวุธจากลิเบียไปให้พวกกบฎ Jihadist ของซีเรีย เดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 นาย Stevens ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของอเมริกา เพื่อประสานงานกับ al-Qaeda-linked ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลลิเบีย โดยติดต่อโดยตรงกับ Abdelhakim Belhadj ของ Libyan Islamic Fighting Group ซึ่งกลุ่มนี้ต่อมายกเลิกไป หลังจากมีรายงานว่ามีส่วนร่วมในการโจมตีกงสุลอเมริกันและทำให้นาย Stevens เสียชีวิต ! เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Time of London รายงานว่าเรือสัญชาติ Libya ขนสินค้าจำนวนมากเป็นอาวุธไปให้ซีเรีย โดยเทียบท่าที่ตุรกี รายงานข่าวว่าสินค้าหนักถึง 400 ตันนั้น มีจรวดประเภท SA-7 surface-to air anti-craft และ rocket-propelled grenade (ขีปนาวุธ ประเภทขับเคลื่อน) จำนวนมาก อาวุธทั้งหมดน่าจะมาจากส่วนที่ เก็บอยู่ในกองทัพของ Qaddafi ซึ่งมีประมาณ 20,000 ชิ้น สื่อ Reuters รายงานว่าฝ่ายกบฎซีเรีย ใช้อาวุธเหล่านี้ ยิงเครื่องเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินรบของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Telegraph รายงานว่า Belhadj ในฐานะหัวหน้า Tripoli Military Council ได้พบกับบรรดาหัวหน้าของ Free Serian Army (FSA) ที่ Istanbul และแถบชายแดนของตุรกี โดยเป็นความพยายามของรัฐบาลใหม่ของลิเบียที่จะให้ความสนับสนุนทางด้านเงินและอาวุธแก่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ซึ่งกำลังเริ่มเกิดขึ้น นี่หมายความว่า ฑูต Stevens มีบุคคลเดียว คือ Belhadj ที่โยงระหว่างเขากับคน Benghazi ที่ขนอาวุธให้กบฎซีเรีย และถ้ารัฐบาลใหม่ของลิเบีย ส่งอาวุธให้กับกบฎซีเรีย ผ่านทางท่าเรือของตุรกี โดยมี Stevens เป็นตัวกลางให้กับพวกกบฎลิเบีย รัฐบาลตุรกีและรัฐบาลอเมริกันก็น่าจะรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย และอย่าลืมว่า มีหน่วยงานที่ขึ้นกับ CIA ประจำอยู่ที่เมือง Benghazi ซึ่งห่างจากสถานกงสุลแค่ 1.2 ไมล์ หน่วยงานนี้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลของการกระจายอาวุธที่ยึดมาจากรัฐบาลลิเบีย และปฏิบัติภาระกิจอะไรอีกบ้าง ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่เป็นที่รู้กันว่า การรักษาความปลอดภัยของหน่วยงานนี้ หนาแน่นมั่นคงและมีอาวุธที่ก้าวหน้าว่าที่สถานกงสุลมากนัก มาถึงจุดนี้มันค่อนข้างชัดเจนว่า อเมริกาต้องมีอะไรซ่อนอยู่ที่ Benghazi มันถึงทำให้รายงาน ต่าง ๆ สับสน และเมื่อถูกสอบถาม คุณนาย Clinton ถึงกับลมจับใบ้รับประทาน อย่าลืมว่านัดสุดท้ายของฑูต Stevens เมื่อวันที่ 11 กันยายน คือ การพบกับกงสุลตุรกี ชื่อ General Ali Sait Akin ซึ่ง Fox News บอกว่าเพื่อเป็นการเจรจาเกี่ยว กับการส่งมอบ ขีปนาวุธ SA-7 Business Insider รายงานเพิ่มว่า Stevens และลูกน้องเขา ทำหน้าที่เป็น “diplomatic cover” ให้แก่ CIA จากจำนวน 30 คน ที่อพยพมาจาก Benghazi มีเพียง 7 คน เท่านั้นที่ทำงานให้กับกระทรวงต่างประเทศและถ้า Stevens รู้ว่าอาวุธที่ส่งให้กบฎซีเรียมาจากไหน จะเป็นไปได้หรือที่ CIA จะไม่รู้ ไม่เห็นด้วย มันคงจะเป็นเรื่องที่ทำให้วอชิงตันลำบากใจอย่างยิ่ง ในการตอบคำถามที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะมีข่าวออกไปทางใด การตายของนาย Stevens คงจะเป็นปริศนาค้างคาอยู่กันต่อไป แต่จากเรื่องที่สื่อต่างชาติเขียนมานี้ น่าจะทำให้เราเห็นอะไรหลายอย่างว่า อเมริกาแท้จริงเป็นอย่างไร ในการสร้างสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ละประเทศต่างก็ส่งคนของตนไปทั่วโลก เพื่อหาข้อมูลและเพื่อดูแลผลประโยชน์ของประเทศตน และแน่นอนที่สุด เพื่อสร้างมิตร สร้างสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อกัน การที่อเมริกันเข้าไปในบ้านเมืองอื่นๆ ด้วยวิธีการอย่างที่อเมริกาเข้าไปในลิเบีย หรือส่งของขวัญพิเศษให้กับกบฎซีเรีย หรือที่กำลังทำอยู่ในหลายๆประเทศ และรวมทั้งที่กำลังทำอยู่กับราช อาณาจักรไทยด้วยนั้น การฑูตผ่านรั้วสูง กำแพงเหล็ก โกหก จุ้นจ้าน จาบจ้วง ทวงบุญคุณ และการส่ง “ของขวัญ” แบบพิเศษนี้ ฯลฯ คงจะสร้าง หรือรักษา “มิตร” ได้ยาก คนเล่านิทาน
7 มิย. 57
    0 Comments 0 Shares 385 Views 0 Reviews
  • แหกคอก ตอนที่ 3 – ซ่อนรูป
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 3 : ซ่อนรูป
    ในปี ค.ศ.1940 หลวงพ่อ CFR ก็ทำการศึกษาวางแผนระยะยาวเพิ่มเติมอีก เกี่ยวกับเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างการทำสงคราม ซึ่งจะต้องมีการดูแลจัดการเกี่ยวกับเรื่องปากท้อง เงินทอง เพื่อให้อเมริกา นักล่าเข้าไปทำสงครามแบบสบายใจ หลวงพ่อนี่ดูแลแบบ ไม่มีตกไม่หล่นเลย รอบคอบมาก พวกเขาสรุปว่า อเมริกาต้องหาทางทำให้เกิดรายได้เข้าประเทศ โดยหาหรือสร้างตลาดใหญ่ สำหรับรองรับการผลิตสินค้าของอเมริกา และเพื่อให้แน่ใจว่า อเมริกาจะเข้าไปถึงแหล่งวัตถุดิบในบริเวณที่ประทับตรา ควบคุม (ขโมย !) ได้อย่างสะดวกเสรี ปราศจากการปิดกั้น หรือต้องตีตั๋วผ่าน รวมทั้งดูแลส่วนที่เกี่ยวกับ การค้าขาย การลงทุน เพื่อให้การล่าราบรื่น ไม่มีสดุด ติดขัด อเมริกาจำเป็นต้องมีกองทัพอันแข็งแกร่ง Military Supremacy เพื่อการนี้ด้วย แม่เจ้าโว้ย ! ฟันน้ำนมยังไม่ขึ้น พี่เลี้ยงสั่งให้แยกเขี้ยวแล้ว
    เริ่มต้น Grand Area Project บอกว่าศึกษาเพื่อเตรียมให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และดูแลเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างรบ ไม่ใช่รบๆ ไปกระเป๋าฉีก กางเกงขาด มันคงทุลักทุเล ทุเรศน่าดู แต่นั่นแหละพี่เลี้ยงนักล่าระดับหลวงพ่อ CFR ทำอะไรจะให้มันเปิดเผยเหมือนยืนล่อนจ้อนอยู่หน้าจอได้ยังไง มันต้องซ่อนต้องซ้อนกันหน่อย แท้จริงแล้ว Grand Area Project ได้ถูกออกแบบตั้งแต่แรก เพื่อให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลกเป็นผู้ครองโลก คุมเศรษฐกิจโลกทั้งหมด หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง และเพื่อจะควบคุมเศรษฐกิจตามเป้าหมาย ก็จะต้องมีการจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศขึ้นอีกเพียบ เพื่อมาจัดตั้งระบบวางกฎระเบียบ ที่เหมาะสมกับการค้า การลงทุน และระบบการเงินระหว่างประเทศ ให้ทุกอย่างอยู่ในระบบเดียวกับที่อเมริกาต้องการ เอาถึงขนาดนั้นเลยล่ะ และเพื่อจะให้ได้ผลเช่นนั้น อเมริกาจะต้องมีกองกำลังกล้ามใหญ่เอาไว้เบ่ง เวลาพูดจะได้มีคนฟัง ไม่ใช่ทำหูทวนลม แบบนี้เสียหน้ามาถึงหลวงพ่อCFR ด้วย
    น่าสนใจจริงๆ Grand Area Project นี้ ออกแบบไว้ล่วงหน้า โดยใช้ข้อสมมุติฐานว่า
1. อเมริกาต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
2. เยอรมันจะต้องเป็นผู้แพ้สงครามในตอบจบ
3. หลังจากสงครามโลกจบ อเมริกาจะก้าวขึ้นเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งขึ้นครองโลก หลวงพ่อ CFR ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ได้ทำนายหรือศึกษาเหตุการณ์ แต่ดูเหมือนจะ สร้าง เหตุการณ์ได้ด้วย ! ?
    ภายหลังจากเหตุการณ์ Pearl Harbor เมื่อ ค.ศ.1941 อเมริกาประกาศตัวโดดเข้าเล่นสงครามโลกด้วยจริงๆ ทันทีที่อเมริกาประกาศ CFR รีบออกข่าวตามไปติดๆ สำทับว่าฝ่ายอักษะแพ้สงครามแน่นอน แค่ยังไม่ออกข่าวว่าจะแพ้วันไหน เท่านั้นเอง และพร้อมกันนั้น CFR ขอแก้ไข Grand Area ทุ่งใหญ่ ไม่ใช่มีแค่ 4 แหล่ง ตามที่ศึกษาไว้ตอนแรก แต่มันต้องหมายรวมถึงโลกทั้งใบนี้ด้วย โอ้โห ! หลวงพ่อ CFR หนุนนักล่าสุดตัวไปเต็มตีนเลย แนวความคิดการจัดระเบียบโลกใหม่ จึงเกิดขึ้น (New World Order !) เราจำเป็นต้องจัดระเบียบใหม่ เกี่ยวกับการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งต้องสอดคล้องกันกับแผนการ ที่จะให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง การรวมเป็นหนึ่งเดียวของประเทศทั้งหลายในโลก Unification จึงควรเป็นเป้าหมาย ตามแนวทางความคิดของ CFR พี่เลี้ยง/รัฐบาลอเมริกัน หรือควรจะเรียกว่าผู้กำกับหรือเจ้าของ ! ?
    แล้วเพื่อให้การดำเนินการเป็นไป ตามแผน พี่เลี้ยงบอกนักล่า จำเป็น ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ในกิจการภายในบ้าน (Internal Affairs) ของประเทศหลัก ที่นักล่าจะไป (หลอก) เอาวัตถุดิบที่อยู่ในบ้านเขามา ใช้ ต้องเข้าไปควบคุม ไปล้วงลูก ไปจัดการบ้านของพวกเขา ให้เป็นไปตามแผนเรา และต้องทำให้ประเทศนั้น นอกเหนือจาก ยินยอม ส่งวัถตุดิบให้เราแล้ว เราต้องทำให้เขารู้สึก อยาก ที่จะเป็นผู้บริโภคสินค้าที่เราผลิต (ด้วยวัตถุดิบของเขา) อีกด้วย นี่มันเดินหมากกิน 3 ต่อเลยนะ เพื่อให้นโยบายทั้งหมดสัมฤทธิผล เราจะต้องจัดตั้ง IMF และ IBRD (Bank For Reconstruction and Development ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น World Bank) มาเป็นส่วนสำคัญในการชักใย
    พี่เลี้ยง CFR บอกหน่วยงานพวกนี้ จำเป็นต้องมี เพื่อมาทำหน้าที่สร้างกลไกที่จะทำให้เงินสกุลของประเทศโลก ที่ 3 ที่เราจะไปลงทุน และค้าขายด้วย มีความมั่นคงมีเสถียรภาพ (ใช้ศัพท์วิชาการเลยนะลุง) แหม ! ถ้าเงินของไอ้พวกโลกที่ 3 มันขึ้นลงแบบลิฟท์เสีย ผู้ลงทุนสร้างนักล่าก็ล้มทั้งยืน ซิโยม แล้ว CFR ก็ลงมือร่างแผนการจัดตั้ง World Bank กับ IMF ตั้งแต่ ค.ศ.1941 ในที่สุดโดยการประชุมที่ Bretton Woods ค.ศ.1944 World Bank และ IMF ก็คลอด
    แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ พี่เลี้ยง CFR ก็ยังเป็นห่วง พวกเขาดูแลนักล่าแบบพี่เลี้ยงมือโปร จะล่าเหยื่อกินแบบตะกรุมตะกรามให้ชาวบ้านเขาด่าได้ยังไง เรามันพวกครีม อยู่ชั้นบนของขนมเค้กเป็นชนชั้นสูงของสังคมมิใช่หรือ ฉะนั้นเราต้องเอาผ้าเช็ดปากมาปิดปาก เวลาจะอ้าปากเคี้ยว อำพรางตัวเองหน่อย ตั้งอะไรขึ้นมาบังหน้า แล้วเราคุมมันอีกต่อไม่ดีหรือ United Nations สหประชาชาติยังไงเล่า เพราะนายทุนกระเป๋าใหญ่ของ CFR อย่างมูลนิธิ Rockefeller และ Carnegie Corporation ต่างก็เคยฝัน อยากให้ประเทศต่างๆ รวมตัวกันเป็น League of Nations ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แล้ว แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรหนักหนา ก็ได้แต่มารวมตัวกัน คุยกันหลวมๆ เหมือนมางานสังสรร ระดับ CFR จะคิดจะทำอะไรมันต้องหนักแน่นแม่นยำกว่านั้น มันต้องเป็นเครื่องมือของการล่าเหยื่อชนิดพิเศษ Informal Agenda Group จึงถูก CFR ตั้งขึ้นมาทำการบ้าน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1942 (ไอ้พวกนี้มันบ้าจัดตั้งหน่วยงานกันจริงนะ!) เพื่อสร้างฉาก จัดการ ให้มีหน่วยงานตามเป้าหมาย คือ องค์การสหประชาชาติ United Nations นั้นแหละ
    คณะสร้างฉากนี้มีสมาชิกทำงาน 6 คน รวมทั้งตัวนาย Cordell Hull รัฐมนตรีของ State Department คณะสร้างฉากนี้นอกเหนือจากตัวรัฐมนตรีแล้ว ที่เหลืออีก 5 คน เป็นสมาชิกของ CFR ทั้งสิ้น คณะสร้างฉาก ได้ข้อสรุปว่า เพื่อไม่ให้ชาวบ้านจับได้ไล่ทัน ว่าเราจะทำอะไร เราควรเอาตัวละครอื่นมาร่วมเข้า ฉากด้วย เป้ามันจะได้กระจาย เช่น สหภาพโซเวียต แคนาดา อังกฤษ ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ก็ตกลง (คุณประธานาธิบดีนี่ เวลาหลวงพ่อ CFR เสนอ มีบ้างไหมที่แกไม่ตกลงชักสงสัย) ดังนั้นปี ค.ศ.1944 องค์กรสหประชาชาติก็ถูกจัดตั้งขึ้นเรียบร้อย มีกฎบัตร จัดร่างตีตราประทับอย่างถูกต้อง โดยลากเอาสมาชิก CFR ที่เป็นนักกฎหมายอีกเป็นกระบุง เข้ามาดูแล เข้ามาร่วมจัดร่างด้วย CFR ทำงานกันเป็นทีมแบบนี้ นายทุนกระเป๋าหนัก John D. Rockefeller หน้าบานยิ้มจนหุบปากไม่ลง ว่าแล้วก็ยกที่ดินกลางเมืองนิวยอร์ค ราคา 8.5 ล้านเหรียญ ให้เป็นของขวัญ (สมัยนั้น แปลว่าแยะนะครับ สมัยนี้ก็แยะ ถ้าเป็นเงินของเรา) เพื่อสร้างตึกสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ
    ตกลงนับตั้งแต่ ค.ศ.1939 เป็นต้นมา อเมริกานักล่าอยู่ภายใต้การกำกับชักใยอย่างเปิดเผย โดยกลุ่มพี่เลี้ยง CFR ตกลงหลวงพ่อ CFR เป็นเจ้าของนักล่า หรือแค่เป็นผู้จัดการ ยังมีใครอื่นที่กำกับหลวงพ่ออีกหรือเปล่า เรารู้กันแน่ไหมว่าใครเป็นคนสั่งให้โลกหมุน ใครเป็นคนกำหนดอนาคตของโลกใบนี้
    คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 3 – ซ่อนรูป นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 3 : ซ่อนรูป ในปี ค.ศ.1940 หลวงพ่อ CFR ก็ทำการศึกษาวางแผนระยะยาวเพิ่มเติมอีก เกี่ยวกับเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างการทำสงคราม ซึ่งจะต้องมีการดูแลจัดการเกี่ยวกับเรื่องปากท้อง เงินทอง เพื่อให้อเมริกา นักล่าเข้าไปทำสงครามแบบสบายใจ หลวงพ่อนี่ดูแลแบบ ไม่มีตกไม่หล่นเลย รอบคอบมาก พวกเขาสรุปว่า อเมริกาต้องหาทางทำให้เกิดรายได้เข้าประเทศ โดยหาหรือสร้างตลาดใหญ่ สำหรับรองรับการผลิตสินค้าของอเมริกา และเพื่อให้แน่ใจว่า อเมริกาจะเข้าไปถึงแหล่งวัตถุดิบในบริเวณที่ประทับตรา ควบคุม (ขโมย !) ได้อย่างสะดวกเสรี ปราศจากการปิดกั้น หรือต้องตีตั๋วผ่าน รวมทั้งดูแลส่วนที่เกี่ยวกับ การค้าขาย การลงทุน เพื่อให้การล่าราบรื่น ไม่มีสดุด ติดขัด อเมริกาจำเป็นต้องมีกองทัพอันแข็งแกร่ง Military Supremacy เพื่อการนี้ด้วย แม่เจ้าโว้ย ! ฟันน้ำนมยังไม่ขึ้น พี่เลี้ยงสั่งให้แยกเขี้ยวแล้ว เริ่มต้น Grand Area Project บอกว่าศึกษาเพื่อเตรียมให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และดูแลเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างรบ ไม่ใช่รบๆ ไปกระเป๋าฉีก กางเกงขาด มันคงทุลักทุเล ทุเรศน่าดู แต่นั่นแหละพี่เลี้ยงนักล่าระดับหลวงพ่อ CFR ทำอะไรจะให้มันเปิดเผยเหมือนยืนล่อนจ้อนอยู่หน้าจอได้ยังไง มันต้องซ่อนต้องซ้อนกันหน่อย แท้จริงแล้ว Grand Area Project ได้ถูกออกแบบตั้งแต่แรก เพื่อให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลกเป็นผู้ครองโลก คุมเศรษฐกิจโลกทั้งหมด หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง และเพื่อจะควบคุมเศรษฐกิจตามเป้าหมาย ก็จะต้องมีการจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศขึ้นอีกเพียบ เพื่อมาจัดตั้งระบบวางกฎระเบียบ ที่เหมาะสมกับการค้า การลงทุน และระบบการเงินระหว่างประเทศ ให้ทุกอย่างอยู่ในระบบเดียวกับที่อเมริกาต้องการ เอาถึงขนาดนั้นเลยล่ะ และเพื่อจะให้ได้ผลเช่นนั้น อเมริกาจะต้องมีกองกำลังกล้ามใหญ่เอาไว้เบ่ง เวลาพูดจะได้มีคนฟัง ไม่ใช่ทำหูทวนลม แบบนี้เสียหน้ามาถึงหลวงพ่อCFR ด้วย น่าสนใจจริงๆ Grand Area Project นี้ ออกแบบไว้ล่วงหน้า โดยใช้ข้อสมมุติฐานว่า
1. อเมริกาต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
2. เยอรมันจะต้องเป็นผู้แพ้สงครามในตอบจบ
3. หลังจากสงครามโลกจบ อเมริกาจะก้าวขึ้นเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งขึ้นครองโลก หลวงพ่อ CFR ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ได้ทำนายหรือศึกษาเหตุการณ์ แต่ดูเหมือนจะ สร้าง เหตุการณ์ได้ด้วย ! ? ภายหลังจากเหตุการณ์ Pearl Harbor เมื่อ ค.ศ.1941 อเมริกาประกาศตัวโดดเข้าเล่นสงครามโลกด้วยจริงๆ ทันทีที่อเมริกาประกาศ CFR รีบออกข่าวตามไปติดๆ สำทับว่าฝ่ายอักษะแพ้สงครามแน่นอน แค่ยังไม่ออกข่าวว่าจะแพ้วันไหน เท่านั้นเอง และพร้อมกันนั้น CFR ขอแก้ไข Grand Area ทุ่งใหญ่ ไม่ใช่มีแค่ 4 แหล่ง ตามที่ศึกษาไว้ตอนแรก แต่มันต้องหมายรวมถึงโลกทั้งใบนี้ด้วย โอ้โห ! หลวงพ่อ CFR หนุนนักล่าสุดตัวไปเต็มตีนเลย แนวความคิดการจัดระเบียบโลกใหม่ จึงเกิดขึ้น (New World Order !) เราจำเป็นต้องจัดระเบียบใหม่ เกี่ยวกับการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งต้องสอดคล้องกันกับแผนการ ที่จะให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง การรวมเป็นหนึ่งเดียวของประเทศทั้งหลายในโลก Unification จึงควรเป็นเป้าหมาย ตามแนวทางความคิดของ CFR พี่เลี้ยง/รัฐบาลอเมริกัน หรือควรจะเรียกว่าผู้กำกับหรือเจ้าของ ! ? แล้วเพื่อให้การดำเนินการเป็นไป ตามแผน พี่เลี้ยงบอกนักล่า จำเป็น ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ในกิจการภายในบ้าน (Internal Affairs) ของประเทศหลัก ที่นักล่าจะไป (หลอก) เอาวัตถุดิบที่อยู่ในบ้านเขามา ใช้ ต้องเข้าไปควบคุม ไปล้วงลูก ไปจัดการบ้านของพวกเขา ให้เป็นไปตามแผนเรา และต้องทำให้ประเทศนั้น นอกเหนือจาก ยินยอม ส่งวัถตุดิบให้เราแล้ว เราต้องทำให้เขารู้สึก อยาก ที่จะเป็นผู้บริโภคสินค้าที่เราผลิต (ด้วยวัตถุดิบของเขา) อีกด้วย นี่มันเดินหมากกิน 3 ต่อเลยนะ เพื่อให้นโยบายทั้งหมดสัมฤทธิผล เราจะต้องจัดตั้ง IMF และ IBRD (Bank For Reconstruction and Development ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น World Bank) มาเป็นส่วนสำคัญในการชักใย พี่เลี้ยง CFR บอกหน่วยงานพวกนี้ จำเป็นต้องมี เพื่อมาทำหน้าที่สร้างกลไกที่จะทำให้เงินสกุลของประเทศโลก ที่ 3 ที่เราจะไปลงทุน และค้าขายด้วย มีความมั่นคงมีเสถียรภาพ (ใช้ศัพท์วิชาการเลยนะลุง) แหม ! ถ้าเงินของไอ้พวกโลกที่ 3 มันขึ้นลงแบบลิฟท์เสีย ผู้ลงทุนสร้างนักล่าก็ล้มทั้งยืน ซิโยม แล้ว CFR ก็ลงมือร่างแผนการจัดตั้ง World Bank กับ IMF ตั้งแต่ ค.ศ.1941 ในที่สุดโดยการประชุมที่ Bretton Woods ค.ศ.1944 World Bank และ IMF ก็คลอด แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ พี่เลี้ยง CFR ก็ยังเป็นห่วง พวกเขาดูแลนักล่าแบบพี่เลี้ยงมือโปร จะล่าเหยื่อกินแบบตะกรุมตะกรามให้ชาวบ้านเขาด่าได้ยังไง เรามันพวกครีม อยู่ชั้นบนของขนมเค้กเป็นชนชั้นสูงของสังคมมิใช่หรือ ฉะนั้นเราต้องเอาผ้าเช็ดปากมาปิดปาก เวลาจะอ้าปากเคี้ยว อำพรางตัวเองหน่อย ตั้งอะไรขึ้นมาบังหน้า แล้วเราคุมมันอีกต่อไม่ดีหรือ United Nations สหประชาชาติยังไงเล่า เพราะนายทุนกระเป๋าใหญ่ของ CFR อย่างมูลนิธิ Rockefeller และ Carnegie Corporation ต่างก็เคยฝัน อยากให้ประเทศต่างๆ รวมตัวกันเป็น League of Nations ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แล้ว แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรหนักหนา ก็ได้แต่มารวมตัวกัน คุยกันหลวมๆ เหมือนมางานสังสรร ระดับ CFR จะคิดจะทำอะไรมันต้องหนักแน่นแม่นยำกว่านั้น มันต้องเป็นเครื่องมือของการล่าเหยื่อชนิดพิเศษ Informal Agenda Group จึงถูก CFR ตั้งขึ้นมาทำการบ้าน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1942 (ไอ้พวกนี้มันบ้าจัดตั้งหน่วยงานกันจริงนะ!) เพื่อสร้างฉาก จัดการ ให้มีหน่วยงานตามเป้าหมาย คือ องค์การสหประชาชาติ United Nations นั้นแหละ คณะสร้างฉากนี้มีสมาชิกทำงาน 6 คน รวมทั้งตัวนาย Cordell Hull รัฐมนตรีของ State Department คณะสร้างฉากนี้นอกเหนือจากตัวรัฐมนตรีแล้ว ที่เหลืออีก 5 คน เป็นสมาชิกของ CFR ทั้งสิ้น คณะสร้างฉาก ได้ข้อสรุปว่า เพื่อไม่ให้ชาวบ้านจับได้ไล่ทัน ว่าเราจะทำอะไร เราควรเอาตัวละครอื่นมาร่วมเข้า ฉากด้วย เป้ามันจะได้กระจาย เช่น สหภาพโซเวียต แคนาดา อังกฤษ ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ก็ตกลง (คุณประธานาธิบดีนี่ เวลาหลวงพ่อ CFR เสนอ มีบ้างไหมที่แกไม่ตกลงชักสงสัย) ดังนั้นปี ค.ศ.1944 องค์กรสหประชาชาติก็ถูกจัดตั้งขึ้นเรียบร้อย มีกฎบัตร จัดร่างตีตราประทับอย่างถูกต้อง โดยลากเอาสมาชิก CFR ที่เป็นนักกฎหมายอีกเป็นกระบุง เข้ามาดูแล เข้ามาร่วมจัดร่างด้วย CFR ทำงานกันเป็นทีมแบบนี้ นายทุนกระเป๋าหนัก John D. Rockefeller หน้าบานยิ้มจนหุบปากไม่ลง ว่าแล้วก็ยกที่ดินกลางเมืองนิวยอร์ค ราคา 8.5 ล้านเหรียญ ให้เป็นของขวัญ (สมัยนั้น แปลว่าแยะนะครับ สมัยนี้ก็แยะ ถ้าเป็นเงินของเรา) เพื่อสร้างตึกสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ ตกลงนับตั้งแต่ ค.ศ.1939 เป็นต้นมา อเมริกานักล่าอยู่ภายใต้การกำกับชักใยอย่างเปิดเผย โดยกลุ่มพี่เลี้ยง CFR ตกลงหลวงพ่อ CFR เป็นเจ้าของนักล่า หรือแค่เป็นผู้จัดการ ยังมีใครอื่นที่กำกับหลวงพ่ออีกหรือเปล่า เรารู้กันแน่ไหมว่าใครเป็นคนสั่งให้โลกหมุน ใครเป็นคนกำหนดอนาคตของโลกใบนี้ คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    0 Comments 0 Shares 392 Views 0 Reviews
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 9
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 9
    นาย Kenneth ถูกกระทรวงต่างประเทศ ส่งกลับมาทำการสำรวจเมืองไทยรอบใหญ่อีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1950 นาย Kenneth เล่าว่าเป็นปีที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงทำพิธีอภิเศกสมรสกับสมเด็จพระราชินี และทำพิธีขึ้นครองราชย์ ทางอเมริกาเตรียมของขวัญที่จะถวายสำหรับพระราชพิธีอภิเศก เป็นแก้วเป่าของ Steuben ซึ่งมีชื่อมาก แต่นาย Kenneth ในฐานะเคยอยู่เมืองไทยมานาน และอ้างว่าเคยรู้จักและเคยพบพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง ก็รีบเสนอหน้าแนะนำไปยังประธานาธิบดี ให้รัฐบาลอเมริกันจัดการเปลี่ยนของขวัญ เขาบอกว่าในหลวงทรงเป็นนักดนตรีแจ๊ส และโปรดฟังเพลง ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ก็เริ่มมาจากดนตรี ดังนั้นน่าจะถวายของขวัญเป็นอะไรที่เกี่ยวกับดนตรี
    ในที่สุดนาย Kenneth ก็จัดการให้รัฐบาลอเมริกันถวายเครื่องเล่นแผ่นเสียง รวมทั้งแผ่นเสียงของ Gershwin ครบชุด เขาอ้างว่าทรงโปรดมาก และเป็นของขวัญชิ้นเดียวที่ทรงนำไปยังวังไกลกังวล หลังจากทรงทำพิธีอภิเศกสมรสแล้ว (ไม่รู้นาย Kenneth รู้ได้อย่างไร!? แต่อย่างน้อย การแนะนำเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า การอยู่ใกล้ เข้ามาคลุกคลีในประเทศ ทำให้นักล่ารู้จักหลายอย่างเกี่ยวสมันน้อย ดีกว่ามองจากทางไกลหรืออ่านแต่รายงาน)
    ในการเดินทางมาเมืองไทยครั้งนี้ นาย Kenneth ได้ถือโอกาสจัดการตัวเองให้ได้พบกับจอมพลสฤษดิ์ เขาบอกว่าถ้าอยากรู้เรื่องเมืองไทยต้องอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย และต้องรู้จักอ่าน “ระหว่างบันทัด” ให้เป็น จึงจะรู้ว่าคนไทยพูดเรื่องอะไรกันบ้าง อะไรเป็นข่าวในตอนนั้น ด้วยวิธีนี้ ทำให้เขารู้เรื่องเกี่ยวกับจอมพลสฤษดิ์ในหลายมุม ตอนนั้นจอมพลสฤษดิ์ยังเป็นเพียงนายทหารระดับนายพล คุมกองทัพภาค 1 ในกรุงเทพฯ แต่เขาเห็นว่าแล้วว่าจะมีอนาคตไกล เขาจึงขอให้ฑูต Stanton ช่วยนัดให้เขาพบกับจอมพลสฤษดิ์ ฑูตบอกว่าไม่ได้หรอก ต้องผ่านฑูตทหารอีกที แล้วฑูตทหารก็จะถามว่าไปพบทำไม นาย Kenneth จึงบอกว่าไม่เป็นไร เขานัดเองก็ได้ แล้วเขาก็ให้เพื่อนคนไทยนัดให้
    เพื่อนไปแจ้งสฤษดิ์ สฤษดิ์ถามกลับว่าจะมาพบทำไม เขาไม่พูดภาษาอังกฤษ (I don’t speak English) นาย Kenneth ให้เพื่อนตอบกลับไปว่า เขาก็ไม่พูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน (I don’t speak English either !) คำตอบนี้ทำให้สฤษดิ์ขำ และสนใจนาย Kenneth ขึ้นมา จึงยอมรับนัด ปรากฎว่าเมื่อทั้ง 2 พบกันก็ถูกชะตากัน และคุยกันเป็นภาษาไทย สฤษดิ์ถามว่านาย Kenneth สนใจอะไรเขา นาย Kenneth บอกว่า เขาเชื่อว่าวันหนึ่งสฤษดิ์จะเป็นบุคคลสำคัญมากในวงการเมืองของประเทศไทย สฤษดิ์ถามว่า ฉันจะต้องไปรบกับใครหรือ นาย Kenneth บอกไม่ใช่รบแบบทหาร แต่รบในทางการเมืองละก้อใช่ สฤษดิ์ถามว่าคุณรู้ได้ยังไงนาย Kenneth บอกเขาอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ซึ่งมีบทความมากมายและถ้ารู้จักวิธีอ่าน ก็จะได้ข้อมูลอย่างนึกไม่ถึง สฤษดิ์ตอบว่าใช่ ใช่แล้ว ! หลังจากนั้นทั้ง 2 คน ก็กลายเป็นเพื่อนกัน และเป็นเพื่อนชนิดที่ไว้ใจกัน
    หลังจากพบกับสฤษดิ์ นาย Kenneth เดินทางไปพบกับอดีตจักรพรรดิ์เบาได๋ (Baodai) ของเวียตนาม ซึ่งหนีลุงโฮมาอยู่ทางใต้ของเวียตนาม เบาได๋เชื่อว่าวันหนึ่งฝรั่งเศสจะคืนเอกราชให้เวียตนาม เบาได๋ขอให้อเมริกาช่วยจัดการให้ฝรั่งเศสออกไปจากเวียตนาม และช่วยให้เขากลับมามีอำนาจในเวียตนามต่อไป แล้วเขาจะให้ความร่วมมืออย่างดีกับอเมริกา นาย Kenneth เห็นว่า เบาได๋เป็นคนอ่อนแอ และไม่น่าที่จะรักษาเวียตนามไว้ได้
    จากเวียตนามเขาเดินทางต่อไปพบเจ้านโรดมสีหนุที่เขมร ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ได้อิสรภาพจากฝรั่งเศส ฝรั่งเศสตั้งให้เจ้านโรดมเป็นกษัตริย์ ตั้งแต่ยังเด็กโดยหวังจะให้เป็น หุ่นชักของฝรั่งเศส นาย Kenneth บอก เจ้าสีหนุเป็นคนฉลาด เจ้าเล่ห์ ลื่นไหล ลดเลี้ยวเก่งมาก เขาคิดว่าฝรั่งเศส (รวมทั้งอเมริกาด้วย) คงจะชักหุ่นชื่อสีหนุนี้ยาก
    ต่อจากเขมร นาย Kenneth ก็ไปลาว เขาไปพบรัฐบาลลาวที่เวียงจันทร์ หลังจากนั้นก็ไปพบกษัตริย์ลาวที่หลวงพระบาง ตอนแรกเจ้าลาวก็ทำตัวเกร็งกับนาย Kenneth ฝ่ายหนึ่งพูดฝรั่งเศษ อีกฝ่ายพูดอังกฤษกันจนเมื่อยมือ จนนาย Kenneth พูดภาษาไทยด้วย เจ้าลาวก็ดีใจ ได้พูดลาวโดยนาย Kenneth ก็อ้างว่าเข้าใจ หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็สื่อสารกันได้ (หมายเหตุ คนเล่านิทาน : กษัตริย์ลาวที่นาย Kenneth ไปพบน่าจะเป็นเจ้าสุวรรณภูมา เพราะนาย Kenneth บอกว่าภายหลัง กษัตริย์ลาวองค์นี้ถูกพวกคอมมิวนิสต์จับได้และปฏิบัติต่อพระองค์แย่มาก ในที่สุดก็สวรรคตในค่ายกักกันของคอมมิวนิสต์)
    จากลาว นาย Kenneth กลับมาเมืองไทยและเดินทางลงใต้ไปสิงค์โปร์และกัวลาลัมเปอร์ เสร็จแล้วก็ข้ามไปยังจาร์กาต้า เพื่อพบนายพลซูการ์โน เขาเจอลูกเล่นสาระพัดจากนักการเมือง และทหารที่จาร์กาต้า รวมทั้งถูกลองดี เช่น เครื่องบินที่เขาจะต้องใช้บินกลับมาสิงค์โปร์ ถูกดูดเอาน้ำมันออกจนเกลี้ยงถัง นาย Kenneth “รู้จัก” คนอินโดนีเซียจากประสบการณ์ของจริง !

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 9 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 9 นาย Kenneth ถูกกระทรวงต่างประเทศ ส่งกลับมาทำการสำรวจเมืองไทยรอบใหญ่อีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1950 นาย Kenneth เล่าว่าเป็นปีที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงทำพิธีอภิเศกสมรสกับสมเด็จพระราชินี และทำพิธีขึ้นครองราชย์ ทางอเมริกาเตรียมของขวัญที่จะถวายสำหรับพระราชพิธีอภิเศก เป็นแก้วเป่าของ Steuben ซึ่งมีชื่อมาก แต่นาย Kenneth ในฐานะเคยอยู่เมืองไทยมานาน และอ้างว่าเคยรู้จักและเคยพบพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง ก็รีบเสนอหน้าแนะนำไปยังประธานาธิบดี ให้รัฐบาลอเมริกันจัดการเปลี่ยนของขวัญ เขาบอกว่าในหลวงทรงเป็นนักดนตรีแจ๊ส และโปรดฟังเพลง ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ก็เริ่มมาจากดนตรี ดังนั้นน่าจะถวายของขวัญเป็นอะไรที่เกี่ยวกับดนตรี ในที่สุดนาย Kenneth ก็จัดการให้รัฐบาลอเมริกันถวายเครื่องเล่นแผ่นเสียง รวมทั้งแผ่นเสียงของ Gershwin ครบชุด เขาอ้างว่าทรงโปรดมาก และเป็นของขวัญชิ้นเดียวที่ทรงนำไปยังวังไกลกังวล หลังจากทรงทำพิธีอภิเศกสมรสแล้ว (ไม่รู้นาย Kenneth รู้ได้อย่างไร!? แต่อย่างน้อย การแนะนำเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า การอยู่ใกล้ เข้ามาคลุกคลีในประเทศ ทำให้นักล่ารู้จักหลายอย่างเกี่ยวสมันน้อย ดีกว่ามองจากทางไกลหรืออ่านแต่รายงาน) ในการเดินทางมาเมืองไทยครั้งนี้ นาย Kenneth ได้ถือโอกาสจัดการตัวเองให้ได้พบกับจอมพลสฤษดิ์ เขาบอกว่าถ้าอยากรู้เรื่องเมืองไทยต้องอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย และต้องรู้จักอ่าน “ระหว่างบันทัด” ให้เป็น จึงจะรู้ว่าคนไทยพูดเรื่องอะไรกันบ้าง อะไรเป็นข่าวในตอนนั้น ด้วยวิธีนี้ ทำให้เขารู้เรื่องเกี่ยวกับจอมพลสฤษดิ์ในหลายมุม ตอนนั้นจอมพลสฤษดิ์ยังเป็นเพียงนายทหารระดับนายพล คุมกองทัพภาค 1 ในกรุงเทพฯ แต่เขาเห็นว่าแล้วว่าจะมีอนาคตไกล เขาจึงขอให้ฑูต Stanton ช่วยนัดให้เขาพบกับจอมพลสฤษดิ์ ฑูตบอกว่าไม่ได้หรอก ต้องผ่านฑูตทหารอีกที แล้วฑูตทหารก็จะถามว่าไปพบทำไม นาย Kenneth จึงบอกว่าไม่เป็นไร เขานัดเองก็ได้ แล้วเขาก็ให้เพื่อนคนไทยนัดให้ เพื่อนไปแจ้งสฤษดิ์ สฤษดิ์ถามกลับว่าจะมาพบทำไม เขาไม่พูดภาษาอังกฤษ (I don’t speak English) นาย Kenneth ให้เพื่อนตอบกลับไปว่า เขาก็ไม่พูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน (I don’t speak English either !) คำตอบนี้ทำให้สฤษดิ์ขำ และสนใจนาย Kenneth ขึ้นมา จึงยอมรับนัด ปรากฎว่าเมื่อทั้ง 2 พบกันก็ถูกชะตากัน และคุยกันเป็นภาษาไทย สฤษดิ์ถามว่านาย Kenneth สนใจอะไรเขา นาย Kenneth บอกว่า เขาเชื่อว่าวันหนึ่งสฤษดิ์จะเป็นบุคคลสำคัญมากในวงการเมืองของประเทศไทย สฤษดิ์ถามว่า ฉันจะต้องไปรบกับใครหรือ นาย Kenneth บอกไม่ใช่รบแบบทหาร แต่รบในทางการเมืองละก้อใช่ สฤษดิ์ถามว่าคุณรู้ได้ยังไงนาย Kenneth บอกเขาอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ซึ่งมีบทความมากมายและถ้ารู้จักวิธีอ่าน ก็จะได้ข้อมูลอย่างนึกไม่ถึง สฤษดิ์ตอบว่าใช่ ใช่แล้ว ! หลังจากนั้นทั้ง 2 คน ก็กลายเป็นเพื่อนกัน และเป็นเพื่อนชนิดที่ไว้ใจกัน หลังจากพบกับสฤษดิ์ นาย Kenneth เดินทางไปพบกับอดีตจักรพรรดิ์เบาได๋ (Baodai) ของเวียตนาม ซึ่งหนีลุงโฮมาอยู่ทางใต้ของเวียตนาม เบาได๋เชื่อว่าวันหนึ่งฝรั่งเศสจะคืนเอกราชให้เวียตนาม เบาได๋ขอให้อเมริกาช่วยจัดการให้ฝรั่งเศสออกไปจากเวียตนาม และช่วยให้เขากลับมามีอำนาจในเวียตนามต่อไป แล้วเขาจะให้ความร่วมมืออย่างดีกับอเมริกา นาย Kenneth เห็นว่า เบาได๋เป็นคนอ่อนแอ และไม่น่าที่จะรักษาเวียตนามไว้ได้ จากเวียตนามเขาเดินทางต่อไปพบเจ้านโรดมสีหนุที่เขมร ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ได้อิสรภาพจากฝรั่งเศส ฝรั่งเศสตั้งให้เจ้านโรดมเป็นกษัตริย์ ตั้งแต่ยังเด็กโดยหวังจะให้เป็น หุ่นชักของฝรั่งเศส นาย Kenneth บอก เจ้าสีหนุเป็นคนฉลาด เจ้าเล่ห์ ลื่นไหล ลดเลี้ยวเก่งมาก เขาคิดว่าฝรั่งเศส (รวมทั้งอเมริกาด้วย) คงจะชักหุ่นชื่อสีหนุนี้ยาก ต่อจากเขมร นาย Kenneth ก็ไปลาว เขาไปพบรัฐบาลลาวที่เวียงจันทร์ หลังจากนั้นก็ไปพบกษัตริย์ลาวที่หลวงพระบาง ตอนแรกเจ้าลาวก็ทำตัวเกร็งกับนาย Kenneth ฝ่ายหนึ่งพูดฝรั่งเศษ อีกฝ่ายพูดอังกฤษกันจนเมื่อยมือ จนนาย Kenneth พูดภาษาไทยด้วย เจ้าลาวก็ดีใจ ได้พูดลาวโดยนาย Kenneth ก็อ้างว่าเข้าใจ หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็สื่อสารกันได้ (หมายเหตุ คนเล่านิทาน : กษัตริย์ลาวที่นาย Kenneth ไปพบน่าจะเป็นเจ้าสุวรรณภูมา เพราะนาย Kenneth บอกว่าภายหลัง กษัตริย์ลาวองค์นี้ถูกพวกคอมมิวนิสต์จับได้และปฏิบัติต่อพระองค์แย่มาก ในที่สุดก็สวรรคตในค่ายกักกันของคอมมิวนิสต์) จากลาว นาย Kenneth กลับมาเมืองไทยและเดินทางลงใต้ไปสิงค์โปร์และกัวลาลัมเปอร์ เสร็จแล้วก็ข้ามไปยังจาร์กาต้า เพื่อพบนายพลซูการ์โน เขาเจอลูกเล่นสาระพัดจากนักการเมือง และทหารที่จาร์กาต้า รวมทั้งถูกลองดี เช่น เครื่องบินที่เขาจะต้องใช้บินกลับมาสิงค์โปร์ ถูกดูดเอาน้ำมันออกจนเกลี้ยงถัง นาย Kenneth “รู้จัก” คนอินโดนีเซียจากประสบการณ์ของจริง ! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 395 Views 0 Reviews
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 8
    ระหว่างการเดินทางมาอยู่เมืองไทย เพื่อช่วยเหลือไทยเจรจากับอังกฤษ นาย Kenneth ได้ถือโอกาสเดินทางสำรวจประเทศไทย พม่า ลาว เขมร เวียตนาม อย่างละเอียดละอออีกรอบ คุยกับรัฐบาลและประมุขของรัฐ ในฐานะตัวแทนอเมริกาผู้ชนะสงครามโลก แบบไม่มีฟกไม่มีช้ำ ใครๆ ก็ต้องเปิดประตูรับนาย Kenneth (เขามาสำรวจอะไร? สำรวจให้ใคร?)

เขาได้ไปขอพบลุงโฮจิมินท์ ซึ่งเขาทึ่งมากว่า ลุงโฮ เป็นบุคคลที่ฉลาดล้ำ นอกจากพูดภาษาอังกฤษได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ลุงโฮยังพูดภาษารัสเซียได้ด้วย ลุงโฮพยายามที่ออกจากอ้อมอกและจักกะแร้เหม็นเขียวของฝรั่งเศส ได้ขอร้องให้อเมริกาช่วย มันก็เข้าทางอเมริกาอยู่แล้ว ค่อยๆ แซะไปทีละขั้น ลุงโฮรู้ด้วยว่าประธานาธิบดี Roosevelt ก็ไม่อยากให้ฝรั่งเศสมาเพ่นพ่านอยู่แถวนี้อีกต่อไป นาย Kenneth บอกลุงโฮไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมเดินเรื่องต่อให้ ระหว่างการสนทนาลุงโฮเล่าให้นาย Kenneth ฟังว่า ช่วงหนึ่งที่เขาหนีฝรั่งเศส เขาได้แอบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยอยู่หลายปี โดยบวชเป็นพระอยู่แถวภูพานทางเหนือของอีสาน ! ช่วงที่เป็นขบวนการใต้ดินต่อสู้กับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้กลิ่นว่าลุงโฮอยู่แถวนั้น ขนทหารมาเป็นกองทัพจะมาจับ ลุงโฮลงทุนถอดเสื้อผ้า เหลือแต่กางเกงใน เอารถเจ็กออกมาลาก แล้วเอาอาเจ้ตัวอ้วนที่ขายไก่อยู่แถวนั้น นั่งบนรถเจ็กและลากรถเจ็กที่มีอาเจ้และไก่ วิ่งผ่านทหารฝรั่งเศส ซึ่งมัวแต่ตะลึงมองความอวบของอาเจ้กับฝูงไก่ แล้วลุงโฮก็หลบมาได้ โดยไม่มีใครสงสัยมองคนลากรถตัวผอม ที่นุ่งแต่กางเกงในเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลุงโฮชอบใจมาก เล่าไปหัวร่อไป ว่าต้มไอ้จักกะแร้เหม็นเขียวได้
    เมื่อเสร็จจากรายการสำรวจประเทศเพื่อนบ้าน นาย Kenneth กลับเข้ามาที่เมืองไทย และได้พบกับนายปรีดี ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้สำเร็จราชกา ร ได้เชิญเขาทานอาหารเย็น ระหว่างทานอาหาร นายปรีดีได้ถามว่า เอกสารแนบท้าย 2 ชิ้น ที่นาย Kenneth นำไปแนบท้ายหนังสือ Siam in Transition น่ะ ยูไปได้มาจากไหนนะ นาย Kenneth ไม่ยอมบอกแหล่งที่มา แต่บอกว่าเขาก็เขียนถึงปรีดีและนำเสนอเอกสารนั้นอย่างดีกับ นายปรีดีนะ ซึ่งนายปรีดีก็เห็นด้วย นาย Kenneth ตามนิสัยนักฉวยโอกาส (หรือตามหน้าที่ !?) บอกนายปรีดีว่า เขาอยากได้เอกสารที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เขียนวิจารณ์เค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี แต่นายปรีดีปฏิเสธ บอกว่าคุณก็ไปหาตามวิธีที่คุณได้เอกสารของผม นั่นไง ซึ่งนาย Kenneth ก็ทำและหามาได้ (แสดงว่านาย Kenneth มีเพื่อนไทย หรือคนไทยที่อยากเอาใจฝรั่งอยู่รอบตัวแยะจริงๆ)
    แต่ถึงแม้นายปรีดีจะไม่ให้เอกสารเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ตามที่นาย Kenneth ขอ แต่นายปรีดีได้มอบหนังสือเกี่ยวกับประเทศไทยเกือบ 700 เล่ม เมื่อนาย Kenneth ขอ นายปรีดีสั่งให้ห้องสมุดในกรุ งเทพฯ จัดหนังสือตามที่นาย Kenneth ต้องการ หนังสือทุกเล่มจัดเป็น 2 ชุด ชุดหนึ่งให้นำไปไว้ที่ Library of Congress ในวอชิงตัน เป็นของขวัญจากผู้สำเร็จราชการ ปรีดี พนมยงค์ มอบให้แก่รัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา และอีกชุดหนึ่งยกให้เป็นสมบัติส่วนตัวของนาย Kenneth อืม ! สมันน้อยยื่นตาข่ายดักให้นักล่าเอง นักล่าบอกแบบนี้สบายเรา อย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่า Our boy Ruth ได้ยังไง !
    นอกจากเอกสารเกี่ยวกับประเทศไทยที่นาย Kenneth ได้จากนายปรีดีแล้ว ระหว่างที่เดินทางมาเมืองไทยเที่ยวนี้ เขาได้แวะที่ฝรั่งเศสและอังกฤษเพื่อซื้อหนังสือเกี่ยวกับสยามและประเทศไทย ที่มีคนต่างชาติและคนไทยเขียน เขาเล่าว่าทุกร้านหนังสือที่ฝรั่งเศสและอังกฤษที่เขาเข้าไป เขากวาดซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับเมืองไทยและอินโดจีนจนหมดเกลี้ยงร้าน รวมแล้วเขาซื้อทั้งหมดประมาณ 1 พันเล่ม
    หนังสือทั้งหมดที่นาย Kenneth ได้ไป ไม่ว่าจะเป็นของขวัญจากใคร รวมทั้งที่เขาหาซื้อมา ภายหลังนาย Kenneth ได้นำไปใช้ในการตั้งหลักสูตรการศึกษาเกี่ยวกับเมืองไทย และเอเซียตะวันออกอย่างละเอียดถี่ยิบ เมืองสยามที่คนอเมริกันไม่เคยได้ยิน ก็ได้รู้จักกันคราวนี้ และรู้ว่าควรจะ “จัดการ” อย่างไรกับไทยแลนด์แดนสมันน้อย การออกแบบเครื่องมือการล่ารุ่นแรกสำเร็จได้เพราะเหตุนี้! จำกันไว้ให้ดี

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 8 ระหว่างการเดินทางมาอยู่เมืองไทย เพื่อช่วยเหลือไทยเจรจากับอังกฤษ นาย Kenneth ได้ถือโอกาสเดินทางสำรวจประเทศไทย พม่า ลาว เขมร เวียตนาม อย่างละเอียดละอออีกรอบ คุยกับรัฐบาลและประมุขของรัฐ ในฐานะตัวแทนอเมริกาผู้ชนะสงครามโลก แบบไม่มีฟกไม่มีช้ำ ใครๆ ก็ต้องเปิดประตูรับนาย Kenneth (เขามาสำรวจอะไร? สำรวจให้ใคร?)

เขาได้ไปขอพบลุงโฮจิมินท์ ซึ่งเขาทึ่งมากว่า ลุงโฮ เป็นบุคคลที่ฉลาดล้ำ นอกจากพูดภาษาอังกฤษได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ลุงโฮยังพูดภาษารัสเซียได้ด้วย ลุงโฮพยายามที่ออกจากอ้อมอกและจักกะแร้เหม็นเขียวของฝรั่งเศส ได้ขอร้องให้อเมริกาช่วย มันก็เข้าทางอเมริกาอยู่แล้ว ค่อยๆ แซะไปทีละขั้น ลุงโฮรู้ด้วยว่าประธานาธิบดี Roosevelt ก็ไม่อยากให้ฝรั่งเศสมาเพ่นพ่านอยู่แถวนี้อีกต่อไป นาย Kenneth บอกลุงโฮไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมเดินเรื่องต่อให้ ระหว่างการสนทนาลุงโฮเล่าให้นาย Kenneth ฟังว่า ช่วงหนึ่งที่เขาหนีฝรั่งเศส เขาได้แอบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยอยู่หลายปี โดยบวชเป็นพระอยู่แถวภูพานทางเหนือของอีสาน ! ช่วงที่เป็นขบวนการใต้ดินต่อสู้กับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้กลิ่นว่าลุงโฮอยู่แถวนั้น ขนทหารมาเป็นกองทัพจะมาจับ ลุงโฮลงทุนถอดเสื้อผ้า เหลือแต่กางเกงใน เอารถเจ็กออกมาลาก แล้วเอาอาเจ้ตัวอ้วนที่ขายไก่อยู่แถวนั้น นั่งบนรถเจ็กและลากรถเจ็กที่มีอาเจ้และไก่ วิ่งผ่านทหารฝรั่งเศส ซึ่งมัวแต่ตะลึงมองความอวบของอาเจ้กับฝูงไก่ แล้วลุงโฮก็หลบมาได้ โดยไม่มีใครสงสัยมองคนลากรถตัวผอม ที่นุ่งแต่กางเกงในเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลุงโฮชอบใจมาก เล่าไปหัวร่อไป ว่าต้มไอ้จักกะแร้เหม็นเขียวได้ เมื่อเสร็จจากรายการสำรวจประเทศเพื่อนบ้าน นาย Kenneth กลับเข้ามาที่เมืองไทย และได้พบกับนายปรีดี ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้สำเร็จราชกา ร ได้เชิญเขาทานอาหารเย็น ระหว่างทานอาหาร นายปรีดีได้ถามว่า เอกสารแนบท้าย 2 ชิ้น ที่นาย Kenneth นำไปแนบท้ายหนังสือ Siam in Transition น่ะ ยูไปได้มาจากไหนนะ นาย Kenneth ไม่ยอมบอกแหล่งที่มา แต่บอกว่าเขาก็เขียนถึงปรีดีและนำเสนอเอกสารนั้นอย่างดีกับ นายปรีดีนะ ซึ่งนายปรีดีก็เห็นด้วย นาย Kenneth ตามนิสัยนักฉวยโอกาส (หรือตามหน้าที่ !?) บอกนายปรีดีว่า เขาอยากได้เอกสารที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เขียนวิจารณ์เค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี แต่นายปรีดีปฏิเสธ บอกว่าคุณก็ไปหาตามวิธีที่คุณได้เอกสารของผม นั่นไง ซึ่งนาย Kenneth ก็ทำและหามาได้ (แสดงว่านาย Kenneth มีเพื่อนไทย หรือคนไทยที่อยากเอาใจฝรั่งอยู่รอบตัวแยะจริงๆ) แต่ถึงแม้นายปรีดีจะไม่ให้เอกสารเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ตามที่นาย Kenneth ขอ แต่นายปรีดีได้มอบหนังสือเกี่ยวกับประเทศไทยเกือบ 700 เล่ม เมื่อนาย Kenneth ขอ นายปรีดีสั่งให้ห้องสมุดในกรุ งเทพฯ จัดหนังสือตามที่นาย Kenneth ต้องการ หนังสือทุกเล่มจัดเป็น 2 ชุด ชุดหนึ่งให้นำไปไว้ที่ Library of Congress ในวอชิงตัน เป็นของขวัญจากผู้สำเร็จราชการ ปรีดี พนมยงค์ มอบให้แก่รัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา และอีกชุดหนึ่งยกให้เป็นสมบัติส่วนตัวของนาย Kenneth อืม ! สมันน้อยยื่นตาข่ายดักให้นักล่าเอง นักล่าบอกแบบนี้สบายเรา อย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่า Our boy Ruth ได้ยังไง ! นอกจากเอกสารเกี่ยวกับประเทศไทยที่นาย Kenneth ได้จากนายปรีดีแล้ว ระหว่างที่เดินทางมาเมืองไทยเที่ยวนี้ เขาได้แวะที่ฝรั่งเศสและอังกฤษเพื่อซื้อหนังสือเกี่ยวกับสยามและประเทศไทย ที่มีคนต่างชาติและคนไทยเขียน เขาเล่าว่าทุกร้านหนังสือที่ฝรั่งเศสและอังกฤษที่เขาเข้าไป เขากวาดซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับเมืองไทยและอินโดจีนจนหมดเกลี้ยงร้าน รวมแล้วเขาซื้อทั้งหมดประมาณ 1 พันเล่ม หนังสือทั้งหมดที่นาย Kenneth ได้ไป ไม่ว่าจะเป็นของขวัญจากใคร รวมทั้งที่เขาหาซื้อมา ภายหลังนาย Kenneth ได้นำไปใช้ในการตั้งหลักสูตรการศึกษาเกี่ยวกับเมืองไทย และเอเซียตะวันออกอย่างละเอียดถี่ยิบ เมืองสยามที่คนอเมริกันไม่เคยได้ยิน ก็ได้รู้จักกันคราวนี้ และรู้ว่าควรจะ “จัดการ” อย่างไรกับไทยแลนด์แดนสมันน้อย การออกแบบเครื่องมือการล่ารุ่นแรกสำเร็จได้เพราะเหตุนี้! จำกันไว้ให้ดี คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 358 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข้อความปลอมถึง iOS 26: เมื่อ Apple ตัดสินใจเปลี่ยนวิธีจัดการกับข้อความหลอกลวงอย่างจริงจัง

    Apple ออกคำเตือนล่าสุดถึงผู้ใช้ iPhone ทุกคนว่า หากได้รับข้อความที่อ้างว่าเป็นค่าปรับจราจร, ค่าทางด่วนที่ยังไม่จ่าย, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง—ให้ลบและไม่ตอบกลับทันที เพราะข้อความเหล่านี้คือ smishing หรือ phishing ผ่าน SMS ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์หรือแม้แต่ตอบกลับ เพื่อเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลในเครื่อง เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลบัตรเครดิต, หรือแม้แต่บัญชีธนาคาร

    เพื่อรับมือกับภัยนี้ Apple เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Messages พร้อมกับ iOS 26 ซึ่งจะจัดข้อความออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ Messages, Unknown Senders, Spam และ Recently Deleted โดยข้อความในหมวด Spam จะถูก “ปิดการคลิก” และ “ปิดการตอบกลับ” โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้จะต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะสามารถตอบกลับได้

    ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่ม “แรงเสียดทาน” (friction) ในการตอบกลับข้อความหลอกลวง ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ผู้ใช้จะตกเป็นเหยื่อโดยไม่ตั้งใจ และยังช่วยป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์รู้ว่าหมายเลขนั้นยังใช้งานอยู่

    นอกจากนี้ Apple ยังเปิดให้ผู้ใช้เลือกว่าจะเปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ และสามารถ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งจากโฟลเดอร์ Unknown ไปยังโฟลเดอร์หลักได้ หากมั่นใจว่าเป็นผู้ติดต่อจริง

    FBI ก็ออกคำเตือนเสริมว่า อย่าตอบกลับหรือส่งข้อมูลส่วนตัวให้กับคนที่คุณรู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์ และควรตั้งคำลับกับคนในครอบครัวเพื่อใช้ยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน

    ลักษณะของข้อความหลอกลวง (Smishing)
    มักอ้างว่าเป็นค่าปรับ, ค่าทางด่วน, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง
    มีลิงก์หรือข้อความที่กระตุ้นให้คลิกหรือตอบกลับ
    เป้าหมายคือการขโมยข้อมูลส่วนตัวและการเข้าถึงเครื่องของผู้ใช้

    ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26
    แอป Messages แบ่งข้อความเป็น 4 หมวด: Messages, Unknown Senders, Spam, Recently Deleted
    ข้อความใน Spam จะถูกปิดการคลิกและตอบกลับ
    ผู้ใช้ต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะตอบกลับได้

    การตั้งค่าที่ผู้ใช้สามารถปรับได้
    เปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ
    ใช้ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งไปยังโฟลเดอร์หลัก
    ไม่มีการแจ้งเตือนสำหรับข้อความในโฟลเดอร์ Spam และ Unknown โดยค่าเริ่มต้น

    คำแนะนำจาก FBI
    อย่าแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับคนที่รู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์
    อย่าส่งเงิน, บัตรของขวัญ, หรือคริปโตให้กับคนที่ไม่รู้จัก
    ตั้งคำลับกับครอบครัวเพื่อยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/07/apple-warns-all-iphone-users-to-delete-and-ignore-these-messages-right-away
    🎙️ เรื่องเล่าจากข้อความปลอมถึง iOS 26: เมื่อ Apple ตัดสินใจเปลี่ยนวิธีจัดการกับข้อความหลอกลวงอย่างจริงจัง Apple ออกคำเตือนล่าสุดถึงผู้ใช้ iPhone ทุกคนว่า หากได้รับข้อความที่อ้างว่าเป็นค่าปรับจราจร, ค่าทางด่วนที่ยังไม่จ่าย, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง—ให้ลบและไม่ตอบกลับทันที เพราะข้อความเหล่านี้คือ smishing หรือ phishing ผ่าน SMS ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์หรือแม้แต่ตอบกลับ เพื่อเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลในเครื่อง เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลบัตรเครดิต, หรือแม้แต่บัญชีธนาคาร เพื่อรับมือกับภัยนี้ Apple เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Messages พร้อมกับ iOS 26 ซึ่งจะจัดข้อความออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ Messages, Unknown Senders, Spam และ Recently Deleted โดยข้อความในหมวด Spam จะถูก “ปิดการคลิก” และ “ปิดการตอบกลับ” โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้จะต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะสามารถตอบกลับได้ ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่ม “แรงเสียดทาน” (friction) ในการตอบกลับข้อความหลอกลวง ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ผู้ใช้จะตกเป็นเหยื่อโดยไม่ตั้งใจ และยังช่วยป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์รู้ว่าหมายเลขนั้นยังใช้งานอยู่ นอกจากนี้ Apple ยังเปิดให้ผู้ใช้เลือกว่าจะเปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ และสามารถ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งจากโฟลเดอร์ Unknown ไปยังโฟลเดอร์หลักได้ หากมั่นใจว่าเป็นผู้ติดต่อจริง FBI ก็ออกคำเตือนเสริมว่า อย่าตอบกลับหรือส่งข้อมูลส่วนตัวให้กับคนที่คุณรู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์ และควรตั้งคำลับกับคนในครอบครัวเพื่อใช้ยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน ✅ ลักษณะของข้อความหลอกลวง (Smishing) ➡️ มักอ้างว่าเป็นค่าปรับ, ค่าทางด่วน, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง ➡️ มีลิงก์หรือข้อความที่กระตุ้นให้คลิกหรือตอบกลับ ➡️ เป้าหมายคือการขโมยข้อมูลส่วนตัวและการเข้าถึงเครื่องของผู้ใช้ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 ➡️ แอป Messages แบ่งข้อความเป็น 4 หมวด: Messages, Unknown Senders, Spam, Recently Deleted ➡️ ข้อความใน Spam จะถูกปิดการคลิกและตอบกลับ ➡️ ผู้ใช้ต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะตอบกลับได้ ✅ การตั้งค่าที่ผู้ใช้สามารถปรับได้ ➡️ เปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ ➡️ ใช้ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งไปยังโฟลเดอร์หลัก ➡️ ไม่มีการแจ้งเตือนสำหรับข้อความในโฟลเดอร์ Spam และ Unknown โดยค่าเริ่มต้น ✅ คำแนะนำจาก FBI ➡️ อย่าแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับคนที่รู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์ ➡️ อย่าส่งเงิน, บัตรของขวัญ, หรือคริปโตให้กับคนที่ไม่รู้จัก ➡️ ตั้งคำลับกับครอบครัวเพื่อยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/07/apple-warns-all-iphone-users-to-delete-and-ignore-these-messages-right-away
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Apple warns all iPhone users to delete and ignore these messages right away
    The scam messages can include claims of unpaid road tolls, undelivered packages and/or claims of traffic offences.
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 4
    ยุทธศาสตร์ความมั่นคง National Security Strategy สำหรับปี ค.ศ. 2014 ยังไม่คลอดคาด ว่าจะคลอดประมาณเดือนเมษายน, พฤษภาคม แต่อย่างน้อย อเมริกาก็ใบ้หวยมาหลายครั้งแล้ว คือ
    – เมื่อกลางปี ค.ศ. 2012 อเมริกาบอกว่า จะมีการปรับกองกำลังของอเมริการะหว่าง
    แอตแลนติกกับแปซิฟิก จากที่เคยวางไว้ที่ 50:50 เป็น 40:60 แปลว่าให้น้ำหนักทางแปซิฟิก มากขึ้น
    – มาปลายปี ค.ศ. 2013 อเมริกาย้ำซ้ำว่า เราจะทำการปรับดุลยอำนาจในแถวเอเซีย
    แปซิฟิกเสียใหม่
    – พอต้นปี ค.ศ. 2014 มีข่าวปล่อยว่า อเมริกาอาจจะพิจารณาผ่อนคลายการคว่ำบาตรอิหร่าน แบบนี้เซียนการเมืองต่อรองกันน่าดู ฝ่ายที่เล่นว่าอเมริกาไม่พร้อมจะก่อศึก 2 ด้านพร้อมกัน รู้ข่าววงในหรือไง !
    มาดูฝ่ายเหล่าเสือร้ายลายก้างขวางคอกันบ้าง กำลังภายในภายนอก รวมกันแล้วน่า
    ตีมือตบ เป่านกหวีดให้แค่ไหน
    ด้านอิหร่าน ถ้ารวมตัวกับรัสเซีย ซีเรียและพวกที่มีแยะ แต่ยังไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว
    ขณะนี้ ร่วมกันเล่นมวยหมู่ นักล่าก็จุกได้เหมือนกัน
    ส่วนด้านจีน ถ้ารวมกับกลุ่มเจ้าพ่อเซียงไฮ้ (Shanghai Corporation Organization ซึ่งมีรัสเซียรวมอยู่ด้วย) บวกกับเด็กแสบแห่งเกาหลีเหนือ
    คราวนี้อเมริกาไม่ใช่แค่จุก แต่อาจจะถึงกับเดี้ยงไปเลย เพราะเกาหลีเหนือพร้อม
    ทุกเมื่อ ที่จะส่งของขวัญ แบบส่งตรงไม่ต้องฝากใคร ไปให้อเมริกาถึงหน้าทำเนียบขาว หรือวอชิงตันดีซี (ไม่รู้ราคาคุยของเด็กแสบหรือเปล่า)
    คิดแบบนี้ นักล่าก็น่าจะคลายมือที่บีบคออิหร่านออกมาสัก 1 หุน และหันมาโชว์พาวใช้โปรแกรมขย่มขวัญอาเฮีย ด้าน Asia Pacific น่าจะเข้าท่ากว่า แล้วนี่ ถ้าบรรดาพวกก้าง เขารวมหัวกันหมด นักล่าจะใช้โปรแกรมไหนเอ่ย นึกว่าเขาไม่คิดรวม หรือไม่กล้าเล่นหรือไง
    ไม่ว่านักล่าตัดสินใจมาทาง Asia Pacific หรือล่ามันทั้งโลก โปรแกรมที่เลือกใช้
    ไม่ว่าโปรแกรมใด แน่นอนต้องมีไทยแลนด์ แดนสมันน้อย เข้าไปเกี่ยวด้วยทุกรายการ สมันน้อย ถูกสัญญาทาสผูกคอมาตั้งแต่สมัยจอมพลคนแปลก หลวมตัวทำเอาไว้ในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950)ที่เราเรียกกันว่าสัญญา JUSMAC ท่านใดที่ลืมเรื่องนี้ โปรดกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย นะครับ สัญญานี้ยังมีอายุอยู่ และเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2012) นาย Leon Panetta รมว.กลาโหมของนักล่า ขณะนั้น ก็คว้ามือคุณพี่สุกำพล รมว.กลาโหมไทยขณะนั้น
    เอาแปะโป้งซ้ำอีกรอบ ใน Joint Vision Statement ระหว่างอเมริกากับไทย พร้อมออกข่าวแถลงด้วยความดีใจ ว่าเป็นทาสเขาไปอีกรอบแล้ว
    ภายใต้สัญญา JUSMAC อเมริกาสามารถตั้งฐานทัพ ในราชอาณาจักรไทยได้
    เมื่อไทยขอร้อง หรือเมื่ออเมริกาเห็นว่าไทยถูกคุกคาม ไอ้ฉากแบบนี้น่ะ มันสร้างยากนักหรือ เพราะฉะนั้น พี่น้องก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ อย่ามัวแต่นั่งโลกสวย คอยอธิบายแก้ข่าวที่พวกนักล่ามันแกล้งให้ สื่อเฮงซวยลงข่าวบ้านเราผิด ๆ ประเภท ประเทศไทยกำลังทำลายประชาธิปไตย ด้วยการประท้วงไม่ให้มีการเลือกตั้ง ฯลฯ
    เลิกไปอธิบายซ้ำซากกับพวกสื่อต่างชาติได้แล้ว มันรู้อยู่แล้วว่าอะไร เป็นอะไร แต่มันแกล้งสร้างข่าว เพื่อเบนความสนใจของเราไปจากเรื่องจริง คือการมาใช้ฐานทัพและ
    การขะโมยทรัพยากรของเรา ดังนั้นหัดคิดในเชิงรุกกันบ้าง ว่าเราจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้มันมาสาระแนในบ้านเรา เดี๋ยวจะว่าไม่เตือนกัน
    ข่าวลือมันมีมาตลอดว่า อเมริกาจะมาใช้ฐานทัพอู่ตะเภาของไทย ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2555(ค.ศ. 2012) ข่าวนี้แรกหลุดมาจากการประชุม Shangrila Dialogue ประมาณเดือนมิถุนายน ปีค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีของ International Institute for Strategic Studies (IISS)
    ซึ่งเป็นหน่วยงานประเภท think tank ระหว่างรัฐบาลด้านความมั่นคง (ก็หน่วยงานของพวก CFRนั่นแหละ !) ที่ประชุมกันที่โรงแรม Shangrila สิงคโปร์ทุกปี มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002
    ฝ่ายไทยที่ไปร่วมประชุม จะมีตัวแทนเป็นนักวิชาการด้านความมั่นคงบ้าง ผู้แทนจากกระทรวงต่างประเทศและผู้แทนจากกองทัพ เท่าที่จำได้ (จากเอกสารครับ ไม่เคยไป !) ขาประจำผูกขาดที่ไปประชุม ชื่อ นิพัท ทองเล็ก
    ในปี พ.ศ. 2555 คุณพี่สุกำพล ควงกะคุณน้องนิพัท ไปนั่งกระหนุง กระหนิง กับนาย Leon Panetta ในที่ประชุม กลับมาเมืองไทยไม่กี่เดือน ก็ยืนคู่กันถ่ายรูปประกาศการลงนามสัญญา Joint Vision Statement!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 4 ยุทธศาสตร์ความมั่นคง National Security Strategy สำหรับปี ค.ศ. 2014 ยังไม่คลอดคาด ว่าจะคลอดประมาณเดือนเมษายน, พฤษภาคม แต่อย่างน้อย อเมริกาก็ใบ้หวยมาหลายครั้งแล้ว คือ – เมื่อกลางปี ค.ศ. 2012 อเมริกาบอกว่า จะมีการปรับกองกำลังของอเมริการะหว่าง แอตแลนติกกับแปซิฟิก จากที่เคยวางไว้ที่ 50:50 เป็น 40:60 แปลว่าให้น้ำหนักทางแปซิฟิก มากขึ้น – มาปลายปี ค.ศ. 2013 อเมริกาย้ำซ้ำว่า เราจะทำการปรับดุลยอำนาจในแถวเอเซีย แปซิฟิกเสียใหม่ – พอต้นปี ค.ศ. 2014 มีข่าวปล่อยว่า อเมริกาอาจจะพิจารณาผ่อนคลายการคว่ำบาตรอิหร่าน แบบนี้เซียนการเมืองต่อรองกันน่าดู ฝ่ายที่เล่นว่าอเมริกาไม่พร้อมจะก่อศึก 2 ด้านพร้อมกัน รู้ข่าววงในหรือไง ! มาดูฝ่ายเหล่าเสือร้ายลายก้างขวางคอกันบ้าง กำลังภายในภายนอก รวมกันแล้วน่า ตีมือตบ เป่านกหวีดให้แค่ไหน ด้านอิหร่าน ถ้ารวมตัวกับรัสเซีย ซีเรียและพวกที่มีแยะ แต่ยังไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว ขณะนี้ ร่วมกันเล่นมวยหมู่ นักล่าก็จุกได้เหมือนกัน ส่วนด้านจีน ถ้ารวมกับกลุ่มเจ้าพ่อเซียงไฮ้ (Shanghai Corporation Organization ซึ่งมีรัสเซียรวมอยู่ด้วย) บวกกับเด็กแสบแห่งเกาหลีเหนือ คราวนี้อเมริกาไม่ใช่แค่จุก แต่อาจจะถึงกับเดี้ยงไปเลย เพราะเกาหลีเหนือพร้อม ทุกเมื่อ ที่จะส่งของขวัญ แบบส่งตรงไม่ต้องฝากใคร ไปให้อเมริกาถึงหน้าทำเนียบขาว หรือวอชิงตันดีซี (ไม่รู้ราคาคุยของเด็กแสบหรือเปล่า) คิดแบบนี้ นักล่าก็น่าจะคลายมือที่บีบคออิหร่านออกมาสัก 1 หุน และหันมาโชว์พาวใช้โปรแกรมขย่มขวัญอาเฮีย ด้าน Asia Pacific น่าจะเข้าท่ากว่า แล้วนี่ ถ้าบรรดาพวกก้าง เขารวมหัวกันหมด นักล่าจะใช้โปรแกรมไหนเอ่ย นึกว่าเขาไม่คิดรวม หรือไม่กล้าเล่นหรือไง ไม่ว่านักล่าตัดสินใจมาทาง Asia Pacific หรือล่ามันทั้งโลก โปรแกรมที่เลือกใช้ ไม่ว่าโปรแกรมใด แน่นอนต้องมีไทยแลนด์ แดนสมันน้อย เข้าไปเกี่ยวด้วยทุกรายการ สมันน้อย ถูกสัญญาทาสผูกคอมาตั้งแต่สมัยจอมพลคนแปลก หลวมตัวทำเอาไว้ในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950)ที่เราเรียกกันว่าสัญญา JUSMAC ท่านใดที่ลืมเรื่องนี้ โปรดกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย นะครับ สัญญานี้ยังมีอายุอยู่ และเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2012) นาย Leon Panetta รมว.กลาโหมของนักล่า ขณะนั้น ก็คว้ามือคุณพี่สุกำพล รมว.กลาโหมไทยขณะนั้น เอาแปะโป้งซ้ำอีกรอบ ใน Joint Vision Statement ระหว่างอเมริกากับไทย พร้อมออกข่าวแถลงด้วยความดีใจ ว่าเป็นทาสเขาไปอีกรอบแล้ว ภายใต้สัญญา JUSMAC อเมริกาสามารถตั้งฐานทัพ ในราชอาณาจักรไทยได้ เมื่อไทยขอร้อง หรือเมื่ออเมริกาเห็นว่าไทยถูกคุกคาม ไอ้ฉากแบบนี้น่ะ มันสร้างยากนักหรือ เพราะฉะนั้น พี่น้องก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ อย่ามัวแต่นั่งโลกสวย คอยอธิบายแก้ข่าวที่พวกนักล่ามันแกล้งให้ สื่อเฮงซวยลงข่าวบ้านเราผิด ๆ ประเภท ประเทศไทยกำลังทำลายประชาธิปไตย ด้วยการประท้วงไม่ให้มีการเลือกตั้ง ฯลฯ เลิกไปอธิบายซ้ำซากกับพวกสื่อต่างชาติได้แล้ว มันรู้อยู่แล้วว่าอะไร เป็นอะไร แต่มันแกล้งสร้างข่าว เพื่อเบนความสนใจของเราไปจากเรื่องจริง คือการมาใช้ฐานทัพและ การขะโมยทรัพยากรของเรา ดังนั้นหัดคิดในเชิงรุกกันบ้าง ว่าเราจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้มันมาสาระแนในบ้านเรา เดี๋ยวจะว่าไม่เตือนกัน ข่าวลือมันมีมาตลอดว่า อเมริกาจะมาใช้ฐานทัพอู่ตะเภาของไทย ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2555(ค.ศ. 2012) ข่าวนี้แรกหลุดมาจากการประชุม Shangrila Dialogue ประมาณเดือนมิถุนายน ปีค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีของ International Institute for Strategic Studies (IISS) ซึ่งเป็นหน่วยงานประเภท think tank ระหว่างรัฐบาลด้านความมั่นคง (ก็หน่วยงานของพวก CFRนั่นแหละ !) ที่ประชุมกันที่โรงแรม Shangrila สิงคโปร์ทุกปี มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ฝ่ายไทยที่ไปร่วมประชุม จะมีตัวแทนเป็นนักวิชาการด้านความมั่นคงบ้าง ผู้แทนจากกระทรวงต่างประเทศและผู้แทนจากกองทัพ เท่าที่จำได้ (จากเอกสารครับ ไม่เคยไป !) ขาประจำผูกขาดที่ไปประชุม ชื่อ นิพัท ทองเล็ก ในปี พ.ศ. 2555 คุณพี่สุกำพล ควงกะคุณน้องนิพัท ไปนั่งกระหนุง กระหนิง กับนาย Leon Panetta ในที่ประชุม กลับมาเมืองไทยไม่กี่เดือน ก็ยืนคู่กันถ่ายรูปประกาศการลงนามสัญญา Joint Vision Statement! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 388 Views 0 Reviews
  • จากเด็กมัธยมสู่ผู้พิชิต GPU ของ Apple ด้วยโอเพ่นซอร์ส

    เรื่องราวเริ่มต้นในปี 2020 เมื่อ Apple เปิดตัวชิป M1 พร้อม GPU แบบ custom ที่ไม่มีใครรู้จักภายใน ทีม Asahi Linux นำโดย Hector Martin เริ่มต้นโปรเจกต์เพื่อให้ Linux รันบน Mac M1 ได้ และ Alyssa Rosenzweig ซึ่งเคยทำงานกับไดรเวอร์ Panfrost สำหรับ Arm Mali GPU ก็ตอบรับคำเชิญเข้าร่วม

    จากแค่ “จะให้คำแนะนำเบื้องต้น” Alyssa กลับซื้อ Mac M1 เป็นของขวัญคริสต์มาสให้ตัวเอง และเริ่ม reverse-engineer instruction set ของ GPU จนสามารถ “วาดสามเหลี่ยม” ได้ — ซึ่งในโลกกราฟิก 3D ถือเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

    เธอพัฒนา shader compiler และไดรเวอร์ OpenGL ที่สามารถรันบน macOS ได้ ก่อนที่ Asahi Lina จะเขียน kernel driver สำหรับ GPU ของ Apple เพื่อให้ระบบทำงานบน Linux ได้เต็มรูปแบบ

    ในปี 2022 ทีม Asahi Linux สามารถเปิดใช้งานกราฟิก acceleration บน Linux ได้สำเร็จ และ Alyssa ก็เดินหน้าต่อไปด้วยเป้าหมายที่ใหญ่กว่า: ทำให้ Apple GPU รองรับ OpenGL และ Vulkan อย่าง “conformant” ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม

    เธอพัฒนา geometry และ tessellation shader emulation ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อนในโลกโอเพ่นซอร์ส และในปี 2024 ก็ผ่านการรับรอง OpenGL 4.6 และ Vulkan 1.4 ได้สำเร็จ พร้อมรองรับ Proton สำหรับเล่นเกม Windows บน Linux

    หลังจากพิชิตเป้าหมายทั้งหมด Alyssa ประกาศว่า “ถึงเวลาไปต่อ” และย้ายไปทำงานกับ Intel เพื่อพัฒนาไดรเวอร์ GPU สำหรับ Linux ต่อไป

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Alyssa Rosenzweig เริ่ม reverse-engineer GPU ของ Apple M1 ตั้งแต่ปี 2020
    พัฒนา shader compiler และไดรเวอร์ OpenGL ที่สามารถรันบน macOS ได้
    Asahi Lina เขียน kernel driver เพื่อให้ระบบทำงานบน Linux ได้เต็มรูปแบบ
    ปี 2022 เปิดใช้งานกราฟิก acceleration บน Asahi Linux
    พัฒนา geometry และ tessellation shader emulation สำหรับ OpenGL และ Vulkan
    ปี 2024 ผ่านการรับรอง OpenGL 4.6 และ Vulkan 1.4 บน Apple GPU
    รองรับ Proton สำหรับเล่นเกม Windows บน Linux บน Mac M1
    ไดรเวอร์ทั้งหมดถูก upstream เข้า Mesa แล้ว
    Alyssa ย้ายไปทำงานกับ Intel เพื่อพัฒนาไดรเวอร์ GPU สำหรับ Linux
    โครงการนี้พิสูจน์ว่า Apple GPU สามารถรองรับ Vulkan ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Panfrost เริ่มต้นจากโปรเจกต์เล็ก ๆ ของ Alyssa ตอนมัธยม ก่อนกลายเป็นไดรเวอร์ระดับมืออาชีพ
    Proton เป็นเทคโนโลยีจาก Valve ที่ช่วยให้เกม Windows รันบน Linux ได้
    Mesa3D เป็นไลบรารีกราฟิกโอเพ่นซอร์สที่ใช้ใน Linux สำหรับ OpenGL และ Vulkan
    LunarG กำลังนำ Vulkan ที่พัฒนาโดย Alyssa ไปใช้บน macOS ผ่านโปรเจกต์ KosmicKrisp
    การ reverse-engineer GPU โดยไม่มีเอกสารจากผู้ผลิตถือเป็นงานที่ซับซ้อนและท้าทายมาก

    https://rosenzweig.io/blog/asahi-gpu-part-n.html
    🧠 จากเด็กมัธยมสู่ผู้พิชิต GPU ของ Apple ด้วยโอเพ่นซอร์ส เรื่องราวเริ่มต้นในปี 2020 เมื่อ Apple เปิดตัวชิป M1 พร้อม GPU แบบ custom ที่ไม่มีใครรู้จักภายใน ทีม Asahi Linux นำโดย Hector Martin เริ่มต้นโปรเจกต์เพื่อให้ Linux รันบน Mac M1 ได้ และ Alyssa Rosenzweig ซึ่งเคยทำงานกับไดรเวอร์ Panfrost สำหรับ Arm Mali GPU ก็ตอบรับคำเชิญเข้าร่วม จากแค่ “จะให้คำแนะนำเบื้องต้น” Alyssa กลับซื้อ Mac M1 เป็นของขวัญคริสต์มาสให้ตัวเอง และเริ่ม reverse-engineer instruction set ของ GPU จนสามารถ “วาดสามเหลี่ยม” ได้ — ซึ่งในโลกกราฟิก 3D ถือเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง เธอพัฒนา shader compiler และไดรเวอร์ OpenGL ที่สามารถรันบน macOS ได้ ก่อนที่ Asahi Lina จะเขียน kernel driver สำหรับ GPU ของ Apple เพื่อให้ระบบทำงานบน Linux ได้เต็มรูปแบบ ในปี 2022 ทีม Asahi Linux สามารถเปิดใช้งานกราฟิก acceleration บน Linux ได้สำเร็จ และ Alyssa ก็เดินหน้าต่อไปด้วยเป้าหมายที่ใหญ่กว่า: ทำให้ Apple GPU รองรับ OpenGL และ Vulkan อย่าง “conformant” ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เธอพัฒนา geometry และ tessellation shader emulation ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อนในโลกโอเพ่นซอร์ส และในปี 2024 ก็ผ่านการรับรอง OpenGL 4.6 และ Vulkan 1.4 ได้สำเร็จ พร้อมรองรับ Proton สำหรับเล่นเกม Windows บน Linux หลังจากพิชิตเป้าหมายทั้งหมด Alyssa ประกาศว่า “ถึงเวลาไปต่อ” และย้ายไปทำงานกับ Intel เพื่อพัฒนาไดรเวอร์ GPU สำหรับ Linux ต่อไป 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ Alyssa Rosenzweig เริ่ม reverse-engineer GPU ของ Apple M1 ตั้งแต่ปี 2020 ➡️ พัฒนา shader compiler และไดรเวอร์ OpenGL ที่สามารถรันบน macOS ได้ ➡️ Asahi Lina เขียน kernel driver เพื่อให้ระบบทำงานบน Linux ได้เต็มรูปแบบ ➡️ ปี 2022 เปิดใช้งานกราฟิก acceleration บน Asahi Linux ➡️ พัฒนา geometry และ tessellation shader emulation สำหรับ OpenGL และ Vulkan ➡️ ปี 2024 ผ่านการรับรอง OpenGL 4.6 และ Vulkan 1.4 บน Apple GPU ➡️ รองรับ Proton สำหรับเล่นเกม Windows บน Linux บน Mac M1 ➡️ ไดรเวอร์ทั้งหมดถูก upstream เข้า Mesa แล้ว ➡️ Alyssa ย้ายไปทำงานกับ Intel เพื่อพัฒนาไดรเวอร์ GPU สำหรับ Linux ➡️ โครงการนี้พิสูจน์ว่า Apple GPU สามารถรองรับ Vulkan ได้อย่างเต็มรูปแบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Panfrost เริ่มต้นจากโปรเจกต์เล็ก ๆ ของ Alyssa ตอนมัธยม ก่อนกลายเป็นไดรเวอร์ระดับมืออาชีพ ➡️ Proton เป็นเทคโนโลยีจาก Valve ที่ช่วยให้เกม Windows รันบน Linux ได้ ➡️ Mesa3D เป็นไลบรารีกราฟิกโอเพ่นซอร์สที่ใช้ใน Linux สำหรับ OpenGL และ Vulkan ➡️ LunarG กำลังนำ Vulkan ที่พัฒนาโดย Alyssa ไปใช้บน macOS ผ่านโปรเจกต์ KosmicKrisp ➡️ การ reverse-engineer GPU โดยไม่มีเอกสารจากผู้ผลิตถือเป็นงานที่ซับซ้อนและท้าทายมาก https://rosenzweig.io/blog/asahi-gpu-part-n.html
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • เมื่อการส่งพัสดุไปอเมริกา กลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินจะรับมือ

    Olimex บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์โอเพ่นซอร์สจากบัลแกเรีย ประกาศระงับการจัดส่งสินค้าทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ แบบชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป โดยระบุว่า DHL และ UPS ไม่สามารถรับมือกับกฎใหม่ของศุลกากรสหรัฐฯ ได้ จึงแนะนำให้หยุดส่งจนกว่าจะมีวิธีคำนวณภาษีและค่าธรรมเนียมล่วงหน้าอย่างชัดเจน

    กฎใหม่กำหนดให้ผู้ส่งต้องระบุปริมาณวัสดุ เช่น เหล็ก ทองแดง และอลูมิเนียมในสินค้าอย่างละเอียด พร้อมแนบ Certificate of Analysis ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก หากไม่สามารถระบุได้อย่างแม่นยำ ศุลกากรจะถือว่าสินค้าทั้งชิ้นประกอบด้วยวัสดุเหล่านั้นทั้งหมด และเรียกเก็บภาษี 100% ทันที

    ตัวอย่างเช่น แผงวงจร PCB ที่มีร่องทองแดงขนาดเล็ก ก็ถูกตีความว่าเป็นทองแดงทั้งแผ่น และต้องเสียภาษีเต็มจำนวน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ส่งออกรายย่อยไม่สามารถรับมือได้

    แม้ผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่เช่น Mouser และ Digi-Key ยังสามารถจัดส่งได้ เพราะมีทีมงานด้านศุลกากรโดยเฉพาะ แต่ลูกค้ารายย่อยที่สั่งตรงจากผู้ผลิตจะต้องเผชิญกับปัญหาการค้างพัสดุในศุลกากรหลายสัปดาห์ และอาจถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเก็บรักษาเพิ่มเติม

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Olimex ระงับการจัดส่งสินค้าทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ ตั้งแต่ 29 สิงหาคม 2025
    DHL และ UPS ไม่สามารถจัดการกับกฎใหม่ของศุลกากรสหรัฐฯ ได้
    กฎใหม่กำหนดให้ต้องระบุปริมาณวัสดุ เช่น เหล็ก ทองแดง และอลูมิเนียมในสินค้า
    หากไม่มี Certificate of Analysis จะถูกคิดภาษี 100% บนวัสดุทั้งหมด
    PCB ที่มีร่องทองแดงเล็ก ๆ ก็ถูกตีความว่าเป็นทองแดงทั้งแผ่น
    Mouser และ Digi-Key ยังสามารถจัดส่งได้ เพราะมีทีมงานด้านศุลกากร
    ลูกค้ารายย่อยที่สั่งตรงจะเจอปัญหาพัสดุติดค้างในศุลกากรหลายสัปดาห์
    Olimex แนะนำให้ลูกค้าในสหรัฐฯ สั่งผ่านตัวแทนจำหน่ายแทน
    คำสั่งซื้อที่ค้างอยู่จะถูกพิจารณาเป็นรายกรณีร่วมกับลูกค้า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กฎใหม่เกิดจากคำสั่งผู้บริหารของสหรัฐฯ ที่ยกเลิกข้อยกเว้น “de minimis” สำหรับสินค้าราคาต่ำ
    ประเทศต่าง ๆ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ก็ระงับการส่งพัสดุไปสหรัฐฯ เช่นกัน
    การยกเลิก “de minimis” ส่งผลให้สินค้าทุกชิ้นไม่ว่าจะราคาต่ำแค่ไหน ก็ต้องเสียภาษี
    ผู้ให้บริการไปรษณีย์หลายรายหยุดรับพัสดุจากลูกค้าธุรกิจไปยังสหรัฐฯ จนกว่าจะมีแนวทางชัดเจน
    การส่งของแบบ “ของขวัญ” ระหว่างบุคคลที่มูลค่าไม่เกิน $100 ยังสามารถทำได้

    https://olimex.wordpress.com/2025/08/26/we-regret-but-have-to-temporary-suspend-the-shipments-to-usa/
    📦 เมื่อการส่งพัสดุไปอเมริกา กลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินจะรับมือ Olimex บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์โอเพ่นซอร์สจากบัลแกเรีย ประกาศระงับการจัดส่งสินค้าทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ แบบชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป โดยระบุว่า DHL และ UPS ไม่สามารถรับมือกับกฎใหม่ของศุลกากรสหรัฐฯ ได้ จึงแนะนำให้หยุดส่งจนกว่าจะมีวิธีคำนวณภาษีและค่าธรรมเนียมล่วงหน้าอย่างชัดเจน กฎใหม่กำหนดให้ผู้ส่งต้องระบุปริมาณวัสดุ เช่น เหล็ก ทองแดง และอลูมิเนียมในสินค้าอย่างละเอียด พร้อมแนบ Certificate of Analysis ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก หากไม่สามารถระบุได้อย่างแม่นยำ ศุลกากรจะถือว่าสินค้าทั้งชิ้นประกอบด้วยวัสดุเหล่านั้นทั้งหมด และเรียกเก็บภาษี 100% ทันที ตัวอย่างเช่น แผงวงจร PCB ที่มีร่องทองแดงขนาดเล็ก ก็ถูกตีความว่าเป็นทองแดงทั้งแผ่น และต้องเสียภาษีเต็มจำนวน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ส่งออกรายย่อยไม่สามารถรับมือได้ แม้ผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่เช่น Mouser และ Digi-Key ยังสามารถจัดส่งได้ เพราะมีทีมงานด้านศุลกากรโดยเฉพาะ แต่ลูกค้ารายย่อยที่สั่งตรงจากผู้ผลิตจะต้องเผชิญกับปัญหาการค้างพัสดุในศุลกากรหลายสัปดาห์ และอาจถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเก็บรักษาเพิ่มเติม 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Olimex ระงับการจัดส่งสินค้าทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ ตั้งแต่ 29 สิงหาคม 2025 ➡️ DHL และ UPS ไม่สามารถจัดการกับกฎใหม่ของศุลกากรสหรัฐฯ ได้ ➡️ กฎใหม่กำหนดให้ต้องระบุปริมาณวัสดุ เช่น เหล็ก ทองแดง และอลูมิเนียมในสินค้า ➡️ หากไม่มี Certificate of Analysis จะถูกคิดภาษี 100% บนวัสดุทั้งหมด ➡️ PCB ที่มีร่องทองแดงเล็ก ๆ ก็ถูกตีความว่าเป็นทองแดงทั้งแผ่น ➡️ Mouser และ Digi-Key ยังสามารถจัดส่งได้ เพราะมีทีมงานด้านศุลกากร ➡️ ลูกค้ารายย่อยที่สั่งตรงจะเจอปัญหาพัสดุติดค้างในศุลกากรหลายสัปดาห์ ➡️ Olimex แนะนำให้ลูกค้าในสหรัฐฯ สั่งผ่านตัวแทนจำหน่ายแทน ➡️ คำสั่งซื้อที่ค้างอยู่จะถูกพิจารณาเป็นรายกรณีร่วมกับลูกค้า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กฎใหม่เกิดจากคำสั่งผู้บริหารของสหรัฐฯ ที่ยกเลิกข้อยกเว้น “de minimis” สำหรับสินค้าราคาต่ำ ➡️ ประเทศต่าง ๆ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ก็ระงับการส่งพัสดุไปสหรัฐฯ เช่นกัน ➡️ การยกเลิก “de minimis” ส่งผลให้สินค้าทุกชิ้นไม่ว่าจะราคาต่ำแค่ไหน ก็ต้องเสียภาษี ➡️ ผู้ให้บริการไปรษณีย์หลายรายหยุดรับพัสดุจากลูกค้าธุรกิจไปยังสหรัฐฯ จนกว่าจะมีแนวทางชัดเจน ➡️ การส่งของแบบ “ของขวัญ” ระหว่างบุคคลที่มูลค่าไม่เกิน $100 ยังสามารถทำได้ https://olimex.wordpress.com/2025/08/26/we-regret-but-have-to-temporary-suspend-the-shipments-to-usa/
    OLIMEX.WORDPRESS.COM
    We regret but have to temporary suspend the shipments to USA
    Starting August 29th, new regulations have come into effect. Both DHL and UPS currently have no working solution, so on their advice, we are temporarily suspending all shipments to the USA effectiv…
    0 Comments 0 Shares 319 Views 0 Reviews
  • เมลลี ไมค์ กับหนูน้อยดีกา ทำแข่งเรืออินโดฯ ดังกระหึ่ม

    หลังจากที่เป็นกระแสออรา ฟาร์มมิ่ง (Aura Farming) หรือการเต้นเลียนแบบเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล ในที่สุด เมลลี ไมค์ (Melly Mike) แรปเปอร์ชาวอเมริกัน เจ้าของเพลง Young Black & Rich ก็ได้ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตร่วมกับหนูน้อยดิกา (Dikha) หรือ ด.ช.เรย์ยาน อาร์กัน ดิกา (Rayyan Arkan Dikha) วัย 11 ขวบ เจ้าของคลิปไวรัลเต้นบนหัวเรือ ระหว่างการแข่งขันเรือโบราณปาคู จาลูร์ (Pacu Jalur) ประจำปี 2025 บนจังหวัดรีเยา (Riau) ทางภาคตะวันออกของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย หลังเดินทางมาเยือนอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา

    ศิลปินแร็ปเปอร์ชาวอเมริกันผู้นี้ ได้กล่าวขอบคุณชาวอินโดนีเซียและชาวกวนซิง (Kuansing) หรือเขตปกครองตนเองกวนตันซิงกิ (Kuantan Singingi) ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น โดยเขากล่าวว่า การมาเยือนครั้งนี้ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ได้รับทั้งรอยยิ้ม ความมีน้ำใจ และความรักจากทุกคน เขาย้ำว่าไม่ได้อยากให้ถูกมองเพียงแค่ในฐานะแขกผู้มาเยือน แต่ในฐานะคนที่ห่วงใยสถานที่แห่งนี้ และชาวริเยาเสมือนครอบครัว พร้อมทั้งแสดงความซาบซึ้งที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานปาคู จาลูร์ ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และทิ้งท้ายด้วยความหวังว่าจะได้กลับมาเยือนอีกครั้งในอนาคต

    ก่อนหน้านี้ เมลลี ไมค์ ได้พบกับหนูน้อยดีกาด้วยตัวเอง มอบของขวัญเป็นเครื่องเล่นเกมนินเทนโด สวิตช์ พร้อมกับเกมฟีฟ่า 2025 เป็นที่ระลึก เพราะเห็นว่าหนูน้อยดิกาชื่นชอบกีฬาฟุตบอลเป็นพิเศษ

    เทศกาลปาคู จาลูร์ในปีนี้ ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว มาเยือนจังหวัดรีเยามากกว่าปีก่อนถึง 2 เท่า รถเช่าและโรงแรมถูกจองเต็มทั้งหมด จำเป็นต้องไปพักที่เมืองเปกันบารู ซึ่งอยู่ห่างไกลถึง 4-5 ชั่วโมง แต่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้ไปชมปาคู จาลูร์ก็พอ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะมาเลเซียและสิงคโปร์ก็ยังเดินทางมาเยือนที่นี่ นอกจากช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวแล้ว ยังช่วยอนุรักษ์ประเพณีโบราณที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ถึงปัจจุบัน

    เมลลี ไมค์ เกิดเมื่อปี 2540 ในอดีตเคยเป็นทหารกองทัพสหรัฐฯ เคยได้รับรางวัลหลายครั้ง รวมถึงรางวัล Soldier of the Year สองปีซ้อน แต่ได้ลาออกเพื่อทำงานดนตรีเต็มตัว แนวเพลงผสมผสานระหว่างความเข้มข้นในแบบกองทัพสหรัฐฯ เข้ากับดนตรีแนว Rage (เพลงโกรธ) สร้างฐานแฟนเพลงทั่วโลก ผลงานที่สร้างชื่อเสียงอย่าง Young Black & Rich ออกเมื่อปี 2567 แต่กลับมาโด่งดังจากกระแสไวรัลระดับนานาชาติ ปัจจุบันมียอดสตรีมมากกว่า 800,000 ครั้งต่อวัน และถูกแชร์ในวิดีโอนับล้านครั้ง

    #Newskit
    เมลลี ไมค์ กับหนูน้อยดีกา ทำแข่งเรืออินโดฯ ดังกระหึ่ม หลังจากที่เป็นกระแสออรา ฟาร์มมิ่ง (Aura Farming) หรือการเต้นเลียนแบบเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล ในที่สุด เมลลี ไมค์ (Melly Mike) แรปเปอร์ชาวอเมริกัน เจ้าของเพลง Young Black & Rich ก็ได้ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตร่วมกับหนูน้อยดิกา (Dikha) หรือ ด.ช.เรย์ยาน อาร์กัน ดิกา (Rayyan Arkan Dikha) วัย 11 ขวบ เจ้าของคลิปไวรัลเต้นบนหัวเรือ ระหว่างการแข่งขันเรือโบราณปาคู จาลูร์ (Pacu Jalur) ประจำปี 2025 บนจังหวัดรีเยา (Riau) ทางภาคตะวันออกของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย หลังเดินทางมาเยือนอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา ศิลปินแร็ปเปอร์ชาวอเมริกันผู้นี้ ได้กล่าวขอบคุณชาวอินโดนีเซียและชาวกวนซิง (Kuansing) หรือเขตปกครองตนเองกวนตันซิงกิ (Kuantan Singingi) ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น โดยเขากล่าวว่า การมาเยือนครั้งนี้ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ได้รับทั้งรอยยิ้ม ความมีน้ำใจ และความรักจากทุกคน เขาย้ำว่าไม่ได้อยากให้ถูกมองเพียงแค่ในฐานะแขกผู้มาเยือน แต่ในฐานะคนที่ห่วงใยสถานที่แห่งนี้ และชาวริเยาเสมือนครอบครัว พร้อมทั้งแสดงความซาบซึ้งที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานปาคู จาลูร์ ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และทิ้งท้ายด้วยความหวังว่าจะได้กลับมาเยือนอีกครั้งในอนาคต ก่อนหน้านี้ เมลลี ไมค์ ได้พบกับหนูน้อยดีกาด้วยตัวเอง มอบของขวัญเป็นเครื่องเล่นเกมนินเทนโด สวิตช์ พร้อมกับเกมฟีฟ่า 2025 เป็นที่ระลึก เพราะเห็นว่าหนูน้อยดิกาชื่นชอบกีฬาฟุตบอลเป็นพิเศษ เทศกาลปาคู จาลูร์ในปีนี้ ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว มาเยือนจังหวัดรีเยามากกว่าปีก่อนถึง 2 เท่า รถเช่าและโรงแรมถูกจองเต็มทั้งหมด จำเป็นต้องไปพักที่เมืองเปกันบารู ซึ่งอยู่ห่างไกลถึง 4-5 ชั่วโมง แต่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้ไปชมปาคู จาลูร์ก็พอ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะมาเลเซียและสิงคโปร์ก็ยังเดินทางมาเยือนที่นี่ นอกจากช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวแล้ว ยังช่วยอนุรักษ์ประเพณีโบราณที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ถึงปัจจุบัน เมลลี ไมค์ เกิดเมื่อปี 2540 ในอดีตเคยเป็นทหารกองทัพสหรัฐฯ เคยได้รับรางวัลหลายครั้ง รวมถึงรางวัล Soldier of the Year สองปีซ้อน แต่ได้ลาออกเพื่อทำงานดนตรีเต็มตัว แนวเพลงผสมผสานระหว่างความเข้มข้นในแบบกองทัพสหรัฐฯ เข้ากับดนตรีแนว Rage (เพลงโกรธ) สร้างฐานแฟนเพลงทั่วโลก ผลงานที่สร้างชื่อเสียงอย่าง Young Black & Rich ออกเมื่อปี 2567 แต่กลับมาโด่งดังจากกระแสไวรัลระดับนานาชาติ ปัจจุบันมียอดสตรีมมากกว่า 800,000 ครั้งต่อวัน และถูกแชร์ในวิดีโอนับล้านครั้ง #Newskit
    1 Comments 0 Shares 521 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน สมยอมหรือขืนใจ

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 10 : สมยอมหรือขืนใจ
    ย้อนไปในปี 1950 นาย John D. Rockefeller ได้ใช้เปอริโตริโก้ เป็นแหล่งทดลองการลดจำนวนพลเมืองลง ผลปรากฎว่าในปี ค.ศ.1965 ประมาณร้อยละ 35 ของหญิงชาวเปอริโตริกัน ที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ได้ถูกทำหมัน
    หญิงยากจนเหล่านั้นถูกแนะนำให้ไปคลอดบุตรที่รพ.สร้างใหม่ของอเมริกา โดยหมอที่ทำการคลอดจะได้รับคำสั่งให้ทำหมันให้บรรดาคุณแม่เหล่านั้น โดยการผูกท่อรังไข่ โดยที่พวกคุณแม่เหล่านั้นไม่รู้เรื่องและไม่ได้ให้ความยินยอม
    ในปี ค.ศ.1965 เปอริโตริโก้ได้ตำแหน่งที่ 1 ในการมีผู้หญิงทำหมันสูงสุดในโลก
    นาย David Rockefeller กล่าวสุนทรพจน์ เมื่อปี ค.ศ.1961 ที่ UN Food and Agriculture Organization ว่า
    “ในความเห็นของข้าพเจ้า การที่อัตราประชากรโลกเพิ่มขึ้นสูง เป็นปัญหาที่น่ากลัว รองลงมาจากการควบคุมระเบิด Atomic ”
    เป็นประโยคเดียวกับที่นาย Robert Mcnamara นำมาพูด เมื่อนาย Kissinger เสนอนโยบายตามแผน NSSM 200 ในปี ค.ศ.1975 แต่คงไม่แปลกใจเท่าไหร่ ถ้ารู้กันว่านาย Robert Mcnamara ก็เป็นสมาชิก สมาคม Trilateral Commission รุ่นก่อตั้ง
    แล้วของไทยล่ะ เรามีสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย (สวท) ที่คุณมีชัย สายรุ้ง ตั้งขึ้น เมื่อ พ.ศ.2517 (ค.ศ.1974)
    สวท เป็นองค์กรที่เป็นสมาชิกของสหพันธ์วางแผนครอบครัวระหว่างประเทศ (The International Planned Parenthood Federation) หรือ IPPF
    ซึ่งแต่ละปี IPPF จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ในการดำเนินงานของ สวท. สายรุ้งจะรู้ไหมหนอ ว่าถูกเขาหลอกให้ทำอะไร
    13 ประเทศเป้าหมายตาม NSSM 200 เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ บราซิล และประเทศไทย ต่างได้รับของขวัญ แบบต่างๆ จากนักมายากล เราคิดว่าของขวัญมีเท่านี้หรือ กลับไปดู หนังสือของนาย Kissinger ลงวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 (ที่เล่าไว้ในตอนที่ 2) อีกที นักมายากลยังมีวิธีการใหม่ๆ มาเล่นกลหลอกเราอีก มันเล่นกันหลายชั้น กำไรหลายเด้ง !


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน สมยอมหรือขืนใจ นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 10 : สมยอมหรือขืนใจ ย้อนไปในปี 1950 นาย John D. Rockefeller ได้ใช้เปอริโตริโก้ เป็นแหล่งทดลองการลดจำนวนพลเมืองลง ผลปรากฎว่าในปี ค.ศ.1965 ประมาณร้อยละ 35 ของหญิงชาวเปอริโตริกัน ที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ได้ถูกทำหมัน หญิงยากจนเหล่านั้นถูกแนะนำให้ไปคลอดบุตรที่รพ.สร้างใหม่ของอเมริกา โดยหมอที่ทำการคลอดจะได้รับคำสั่งให้ทำหมันให้บรรดาคุณแม่เหล่านั้น โดยการผูกท่อรังไข่ โดยที่พวกคุณแม่เหล่านั้นไม่รู้เรื่องและไม่ได้ให้ความยินยอม ในปี ค.ศ.1965 เปอริโตริโก้ได้ตำแหน่งที่ 1 ในการมีผู้หญิงทำหมันสูงสุดในโลก นาย David Rockefeller กล่าวสุนทรพจน์ เมื่อปี ค.ศ.1961 ที่ UN Food and Agriculture Organization ว่า “ในความเห็นของข้าพเจ้า การที่อัตราประชากรโลกเพิ่มขึ้นสูง เป็นปัญหาที่น่ากลัว รองลงมาจากการควบคุมระเบิด Atomic ” เป็นประโยคเดียวกับที่นาย Robert Mcnamara นำมาพูด เมื่อนาย Kissinger เสนอนโยบายตามแผน NSSM 200 ในปี ค.ศ.1975 แต่คงไม่แปลกใจเท่าไหร่ ถ้ารู้กันว่านาย Robert Mcnamara ก็เป็นสมาชิก สมาคม Trilateral Commission รุ่นก่อตั้ง แล้วของไทยล่ะ เรามีสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย (สวท) ที่คุณมีชัย สายรุ้ง ตั้งขึ้น เมื่อ พ.ศ.2517 (ค.ศ.1974) สวท เป็นองค์กรที่เป็นสมาชิกของสหพันธ์วางแผนครอบครัวระหว่างประเทศ (The International Planned Parenthood Federation) หรือ IPPF ซึ่งแต่ละปี IPPF จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ในการดำเนินงานของ สวท. สายรุ้งจะรู้ไหมหนอ ว่าถูกเขาหลอกให้ทำอะไร 13 ประเทศเป้าหมายตาม NSSM 200 เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ บราซิล และประเทศไทย ต่างได้รับของขวัญ แบบต่างๆ จากนักมายากล เราคิดว่าของขวัญมีเท่านี้หรือ กลับไปดู หนังสือของนาย Kissinger ลงวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 (ที่เล่าไว้ในตอนที่ 2) อีกที นักมายากลยังมีวิธีการใหม่ๆ มาเล่นกลหลอกเราอีก มันเล่นกันหลายชั้น กำไรหลายเด้ง ! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 342 Views 0 Reviews
  • Tensor G5 – ชิป 3nm ตัวแรกจาก Google ที่ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ฉลาดขึ้นอย่างมีนัย

    Google เปิดตัวชิป Tensor G5 พร้อมกับ Pixel 10 Series ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในด้านฮาร์ดแวร์ เพราะนี่คือชิปแรกที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm โดย TSMC แทนที่จะใช้โรงงานของ Samsung เหมือนรุ่นก่อนหน้า

    Tensor G5 ไม่ได้เน้นแค่ความเร็ว แต่ถูกออกแบบเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ โดยมีการปรับโครงสร้าง CPU เป็นแบบ 1+5+2 (1 core แรง, 5 core กลาง, 2 core ประหยัดพลังงาน) และมีความเร็วสูงสุดถึง 3.78GHz จากผลทดสอบ Geekbench

    Google เคลมว่า Tensor G5 เร็วขึ้น 34% โดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับ Tensor G4 และ TPU (หน่วยประมวลผล AI) ก็แรงขึ้นถึง 60% ซึ่งช่วยให้ Gemini Nano รุ่นใหม่ทำงานเร็วขึ้น 2.6 เท่า และประหยัดพลังงานมากขึ้น

    ชิปนี้ยังรองรับ context window ขนาด 32,000 token ซึ่งเทียบเท่ากับการประมวลผลข้อมูลจากอีเมลทั้งเดือนหรือภาพหน้าจอ 100 ภาพ ทำให้ฟีเจอร์ AI อย่าง Magic Cue, Call Notes, Scam Detection และ Camera Coach ทำงานได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    ด้านกราฟิก แม้จะมีการอัปเกรด GPU แต่ Tensor G5 ยังไม่รองรับ ray tracing ซึ่งทำให้ยังตามหลังคู่แข่งในด้านเกมมือถือ ส่วน ISP (Image Signal Processor) ก็ได้รับการปรับปรุงให้รองรับ 10-bit HDR และลดการเบลอในวิดีโอแสงน้อย

    Pixel 10 Series ที่ใช้ Tensor G5 มีให้เลือกหลายรุ่น ตั้งแต่ Pixel 10 ธรรมดาไปจนถึง Pixel 10 Pro Fold โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $799 และมีโปรโมชั่นแจกบัตรของขวัญสูงสุดถึง $300

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Tensor G5 เป็นชิป 3nm ตัวแรกจาก Google ผลิตโดย TSMC
    ใช้โครงสร้าง CPU แบบ 1+5+2 และความเร็วสูงสุด 3.78GHz
    เร็วขึ้น 34% โดยเฉลี่ยจาก Tensor G4 และ TPU แรงขึ้น 60%
    Gemini Nano ทำงานเร็วขึ้น 2.6 เท่าและประหยัดพลังงานมากขึ้น
    รองรับ context window ขนาด 32,000 token สำหรับงาน AI
    ฟีเจอร์ AI ใหม่ เช่น Magic Cue, Scam Detection, Journal, Call Notes
    GPU อัปเกรดแต่ไม่รองรับ ray tracing
    ISP รองรับ 10-bit HDR และลดเบลอในวิดีโอแสงน้อย
    Pixel 10 Series มีรุ่นธรรมดา, Pro, Pro XL และ Pro Fold
    ราคาเริ่มต้น $799 พร้อมบัตรของขวัญสูงสุด $300

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tensor G5 ใช้ LPDDR5X และ UFS 4.0 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์และความเร็ว
    ใช้สถาปัตยกรรม Matryoshka Transformer และ Per Layer Embedding
    Pixel 10 รองรับ Android 16 และอัปเดตนาน 7 ปี
    Pixel 10 Pro มี vapor chamber cooling แต่รุ่นธรรมดาใช้ graphene
    Pixel 10 รองรับ Qi2 wireless charging และมีจอ Actua 120Hz

    https://wccftech.com/tensor-g5-goes-official-first-3nm-chipset-from-google/
    🎙️ Tensor G5 – ชิป 3nm ตัวแรกจาก Google ที่ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ฉลาดขึ้นอย่างมีนัย Google เปิดตัวชิป Tensor G5 พร้อมกับ Pixel 10 Series ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในด้านฮาร์ดแวร์ เพราะนี่คือชิปแรกที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm โดย TSMC แทนที่จะใช้โรงงานของ Samsung เหมือนรุ่นก่อนหน้า Tensor G5 ไม่ได้เน้นแค่ความเร็ว แต่ถูกออกแบบเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ โดยมีการปรับโครงสร้าง CPU เป็นแบบ 1+5+2 (1 core แรง, 5 core กลาง, 2 core ประหยัดพลังงาน) และมีความเร็วสูงสุดถึง 3.78GHz จากผลทดสอบ Geekbench Google เคลมว่า Tensor G5 เร็วขึ้น 34% โดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับ Tensor G4 และ TPU (หน่วยประมวลผล AI) ก็แรงขึ้นถึง 60% ซึ่งช่วยให้ Gemini Nano รุ่นใหม่ทำงานเร็วขึ้น 2.6 เท่า และประหยัดพลังงานมากขึ้น ชิปนี้ยังรองรับ context window ขนาด 32,000 token ซึ่งเทียบเท่ากับการประมวลผลข้อมูลจากอีเมลทั้งเดือนหรือภาพหน้าจอ 100 ภาพ ทำให้ฟีเจอร์ AI อย่าง Magic Cue, Call Notes, Scam Detection และ Camera Coach ทำงานได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ด้านกราฟิก แม้จะมีการอัปเกรด GPU แต่ Tensor G5 ยังไม่รองรับ ray tracing ซึ่งทำให้ยังตามหลังคู่แข่งในด้านเกมมือถือ ส่วน ISP (Image Signal Processor) ก็ได้รับการปรับปรุงให้รองรับ 10-bit HDR และลดการเบลอในวิดีโอแสงน้อย Pixel 10 Series ที่ใช้ Tensor G5 มีให้เลือกหลายรุ่น ตั้งแต่ Pixel 10 ธรรมดาไปจนถึง Pixel 10 Pro Fold โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $799 และมีโปรโมชั่นแจกบัตรของขวัญสูงสุดถึง $300 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Tensor G5 เป็นชิป 3nm ตัวแรกจาก Google ผลิตโดย TSMC ➡️ ใช้โครงสร้าง CPU แบบ 1+5+2 และความเร็วสูงสุด 3.78GHz ➡️ เร็วขึ้น 34% โดยเฉลี่ยจาก Tensor G4 และ TPU แรงขึ้น 60% ➡️ Gemini Nano ทำงานเร็วขึ้น 2.6 เท่าและประหยัดพลังงานมากขึ้น ➡️ รองรับ context window ขนาด 32,000 token สำหรับงาน AI ➡️ ฟีเจอร์ AI ใหม่ เช่น Magic Cue, Scam Detection, Journal, Call Notes ➡️ GPU อัปเกรดแต่ไม่รองรับ ray tracing ➡️ ISP รองรับ 10-bit HDR และลดเบลอในวิดีโอแสงน้อย ➡️ Pixel 10 Series มีรุ่นธรรมดา, Pro, Pro XL และ Pro Fold ➡️ ราคาเริ่มต้น $799 พร้อมบัตรของขวัญสูงสุด $300 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tensor G5 ใช้ LPDDR5X และ UFS 4.0 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์และความเร็ว ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Matryoshka Transformer และ Per Layer Embedding ➡️ Pixel 10 รองรับ Android 16 และอัปเดตนาน 7 ปี ➡️ Pixel 10 Pro มี vapor chamber cooling แต่รุ่นธรรมดาใช้ graphene ➡️ Pixel 10 รองรับ Qi2 wireless charging และมีจอ Actua 120Hz https://wccftech.com/tensor-g5-goes-official-first-3nm-chipset-from-google/
    WCCFTECH.COM
    Google Has Announced Its First 3nm Chipset, The Tensor G5, Alongside The Pixel 10 Series; Company Claims A 34 Percent Average Performance Increase Over The Tensor G4, No RT Support & More
    Google has officially announced its first 3nm SoC, the Tensor G5, and here is everything you need to know about the flagship silicon
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • “ครอบครัวคือของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิต"
    *ขอให้แม่มีความสุข สุขภาพแข็งแรง
    #ครอบครัวธนีเจริญ
    “ครอบครัวคือของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิต🎁" *ขอให้แม่มีความสุข สุขภาพแข็งแรง💪 #ครอบครัวธนีเจริญ
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
More Results