• “Jules Tools: Google เปิดตัว CLI และ API สำหรับ AI Coding Agent — เชื่อมต่อเวิร์กโฟลว์นักพัฒนาแบบไร้รอยต่อ”

    หลังจากเปิดตัว “Jules” ไปเมื่อสองเดือนก่อน Google ก็เดินหน้าขยายความสามารถของ AI coding agent ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เปิดตัว “Jules Tools” ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือใหม่ที่ประกอบด้วย CLI (Command-Line Interface) และ API สาธารณะ เพื่อให้ Jules เข้าไปอยู่ในเวิร์กโฟลว์ของนักพัฒนาได้อย่างลื่นไหล

    Jules Tools ถูกออกแบบมาให้ “เบาและเร็ว” โดยสามารถเรียกใช้งาน Jules ได้จากเทอร์มินัลโดยตรง ไม่ต้องสลับไปมาระหว่างเว็บหรือ GitHub อีกต่อไป นักพัฒนาสามารถใช้คำสั่งเพื่อให้ Jules แก้บั๊ก, สร้างโค้ดใหม่, หรือปรับปรุงโมดูลต่าง ๆ ได้แบบ asynchronous — ทำงานเบื้องหลังโดยไม่รบกวนการเขียนโค้ดหลัก

    นอกจากนี้ Google ยังเปิด API ของ Jules ให้ใช้งานได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้เฉพาะภายในบริษัทเท่านั้น นักพัฒนาสามารถนำ API ไปเชื่อมกับระบบ CI/CD, IDE หรือแม้แต่ Slack เพื่อให้ Jules ทำงานอัตโนมัติเมื่อมี pull request หรือการเปลี่ยนแปลงใน repository

    Jules ใช้โมเดล Gemini 2.5 ซึ่งมีความสามารถในการเข้าใจบริบทของโปรเจกต์ได้ดีขึ้น และสามารถจดจำประวัติการใช้งานของผู้ใช้เพื่อปรับคำแนะนำให้เหมาะสมมากขึ้น ทำให้ Jules กลายเป็นเหมือน “คู่หูโปรแกรมเมอร์” ที่รู้จักสไตล์การเขียนโค้ดของคุณ

    แม้จะมีคู่แข่งในตลาด AI coding agent มากมาย เช่น GitHub Copilot หรือ Claude Code แต่ Jules แตกต่างตรงที่เน้นการทำงานแบบเบื้องหลัง ไม่ต้องโต้ตอบมาก และสามารถปรับแต่งให้เข้ากับเวิร์กโฟลว์ของทีมได้อย่างยืดหยุ่น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Google เปิดตัว Jules Tools ซึ่งประกอบด้วย CLI และ API สำหรับ AI coding agent Jules
    CLI ช่วยให้เรียกใช้งาน Jules จากเทอร์มินัลได้โดยตรงแบบ asynchronous
    API เปิดให้ใช้งานสาธารณะแล้ว สามารถเชื่อมกับ CI/CD, IDE, Slack ฯลฯ
    Jules ใช้โมเดล Gemini 2.5 ที่เข้าใจบริบทโปรเจกต์และจดจำประวัติผู้ใช้
    นักพัฒนาสามารถใช้ Jules เพื่อแก้บั๊ก, สร้างโค้ด, ปรับปรุงโมดูล ได้แบบไม่ต้องออกจากเทอร์มินัล
    Jules Tools รองรับการติดตั้งผ่าน Python หรือ Node.js และใช้ GitHub token หรือ API key
    สามารถใช้ Jules เพื่อ enforce coding style และลดเวลาในการ review โค้ด
    Jules ทำงานแบบเบื้องหลัง ไม่ต้องโต้ตอบมาก เหมาะกับงานที่มีขอบเขตชัดเจน
    Google มีแผนสร้าง plugin สำหรับ IDE เพิ่มเติมในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini 2.5 เป็นโมเดล AI ที่มีความสามารถด้าน memory และ context tracking สูง
    การทำงานแบบ asynchronous ช่วยลด context switching และเพิ่ม productivity
    การเชื่อมต่อกับ CI/CD pipeline ช่วยให้ Jules ทำงานอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโค้ด
    การใช้ CLI ทำให้ไม่ต้องพึ่งพา IDE ใด IDE หนึ่ง — ใช้งานได้ทุกที่ที่มีเทอร์มินัล
    API ของ Jules สามารถใช้สร้างระบบ automation สำหรับทีม devops ได้

    https://www.techradar.com/pro/googles-ai-coding-agent-jules-is-getting-new-command-line-tools
    🧑‍💻 “Jules Tools: Google เปิดตัว CLI และ API สำหรับ AI Coding Agent — เชื่อมต่อเวิร์กโฟลว์นักพัฒนาแบบไร้รอยต่อ” หลังจากเปิดตัว “Jules” ไปเมื่อสองเดือนก่อน Google ก็เดินหน้าขยายความสามารถของ AI coding agent ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เปิดตัว “Jules Tools” ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือใหม่ที่ประกอบด้วย CLI (Command-Line Interface) และ API สาธารณะ เพื่อให้ Jules เข้าไปอยู่ในเวิร์กโฟลว์ของนักพัฒนาได้อย่างลื่นไหล Jules Tools ถูกออกแบบมาให้ “เบาและเร็ว” โดยสามารถเรียกใช้งาน Jules ได้จากเทอร์มินัลโดยตรง ไม่ต้องสลับไปมาระหว่างเว็บหรือ GitHub อีกต่อไป นักพัฒนาสามารถใช้คำสั่งเพื่อให้ Jules แก้บั๊ก, สร้างโค้ดใหม่, หรือปรับปรุงโมดูลต่าง ๆ ได้แบบ asynchronous — ทำงานเบื้องหลังโดยไม่รบกวนการเขียนโค้ดหลัก นอกจากนี้ Google ยังเปิด API ของ Jules ให้ใช้งานได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้เฉพาะภายในบริษัทเท่านั้น นักพัฒนาสามารถนำ API ไปเชื่อมกับระบบ CI/CD, IDE หรือแม้แต่ Slack เพื่อให้ Jules ทำงานอัตโนมัติเมื่อมี pull request หรือการเปลี่ยนแปลงใน repository Jules ใช้โมเดล Gemini 2.5 ซึ่งมีความสามารถในการเข้าใจบริบทของโปรเจกต์ได้ดีขึ้น และสามารถจดจำประวัติการใช้งานของผู้ใช้เพื่อปรับคำแนะนำให้เหมาะสมมากขึ้น ทำให้ Jules กลายเป็นเหมือน “คู่หูโปรแกรมเมอร์” ที่รู้จักสไตล์การเขียนโค้ดของคุณ แม้จะมีคู่แข่งในตลาด AI coding agent มากมาย เช่น GitHub Copilot หรือ Claude Code แต่ Jules แตกต่างตรงที่เน้นการทำงานแบบเบื้องหลัง ไม่ต้องโต้ตอบมาก และสามารถปรับแต่งให้เข้ากับเวิร์กโฟลว์ของทีมได้อย่างยืดหยุ่น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Google เปิดตัว Jules Tools ซึ่งประกอบด้วย CLI และ API สำหรับ AI coding agent Jules ➡️ CLI ช่วยให้เรียกใช้งาน Jules จากเทอร์มินัลได้โดยตรงแบบ asynchronous ➡️ API เปิดให้ใช้งานสาธารณะแล้ว สามารถเชื่อมกับ CI/CD, IDE, Slack ฯลฯ ➡️ Jules ใช้โมเดล Gemini 2.5 ที่เข้าใจบริบทโปรเจกต์และจดจำประวัติผู้ใช้ ➡️ นักพัฒนาสามารถใช้ Jules เพื่อแก้บั๊ก, สร้างโค้ด, ปรับปรุงโมดูล ได้แบบไม่ต้องออกจากเทอร์มินัล ➡️ Jules Tools รองรับการติดตั้งผ่าน Python หรือ Node.js และใช้ GitHub token หรือ API key ➡️ สามารถใช้ Jules เพื่อ enforce coding style และลดเวลาในการ review โค้ด ➡️ Jules ทำงานแบบเบื้องหลัง ไม่ต้องโต้ตอบมาก เหมาะกับงานที่มีขอบเขตชัดเจน ➡️ Google มีแผนสร้าง plugin สำหรับ IDE เพิ่มเติมในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini 2.5 เป็นโมเดล AI ที่มีความสามารถด้าน memory และ context tracking สูง ➡️ การทำงานแบบ asynchronous ช่วยลด context switching และเพิ่ม productivity ➡️ การเชื่อมต่อกับ CI/CD pipeline ช่วยให้ Jules ทำงานอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโค้ด ➡️ การใช้ CLI ทำให้ไม่ต้องพึ่งพา IDE ใด IDE หนึ่ง — ใช้งานได้ทุกที่ที่มีเทอร์มินัล ➡️ API ของ Jules สามารถใช้สร้างระบบ automation สำหรับทีม devops ได้ https://www.techradar.com/pro/googles-ai-coding-agent-jules-is-getting-new-command-line-tools
    WWW.TECHRADAR.COM
    Google's AI coding agent Jules is getting new command line tools
    Google says Jules Tools is a new “lightweight” CLI
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Eric Raymond จุดชนวนถกเถียงในวงการโอเพ่นซอร์ส — เสนอให้ลบ ‘Code of Conduct’ ทิ้งทั้งหมด เพราะสร้างปัญหามากกว่าปกป้อง”

    ในโลกของโอเพ่นซอร์สที่เคยขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์เสรีภาพและความร่วมมือ ล่าสุด Eric S. Raymond ผู้เขียนบทความระดับตำนาน “The Cathedral and the Bazaar” และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Open Source Initiative ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่แรงและชัดเจนว่า “Code of Conduct” หรือแนวปฏิบัติด้านพฤติกรรมในชุมชนโอเพ่นซอร์ส ควรถูกยกเลิกทั้งหมด

    Raymond ระบุว่า Code of Conduct ไม่ได้ช่วยสร้างความร่วมมืออย่างที่ตั้งใจไว้ แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือให้ “ผู้ก่อกวน” ใช้เพื่อสร้างดราม่า การเมือง และความขัดแย้งในชุมชน เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “โรคทางสังคมที่แพร่กระจาย” และเสนอให้ทุกโปรเจกต์ที่ยังไม่มี Code อย่าไปเริ่ม ส่วนโปรเจกต์ที่มีอยู่แล้ว — “ลบทิ้งซะ”

    เขาเสนอทางเลือกสำหรับโปรเจกต์ที่จำเป็นต้องมี Code ด้วยเหตุผลทางระบบราชการว่า ควรใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎยาวเหยียด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก”

    Raymond เตือนว่าการเขียนกฎให้ละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้กฎเป็นอาวุธโจมตีผู้อื่น โดยเฉพาะในกรณีที่คำว่า “Be kind!” ถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเครื่องมือกดดันคนในชุมชน เขายอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้ความเมตตาเป็นข้ออ้างในการควบคุมผู้อื่น

    แม้แนวคิดของ Raymond จะได้รับเสียงสนับสนุนจากบางกลุ่มที่เบื่อกับความซับซ้อนของกฎเกณฑ์ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าการไม่มี Code อาจเปิดช่องให้เกิดการละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการ และอาจทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ร่วมงานหลากหลายกลุ่ม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Eric S. Raymond เสนอให้ยกเลิก Code of Conduct ในโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สทั้งหมด
    เขาเรียก Code ว่า “โรคทางสังคม” ที่สร้างดราม่าและการเมืองในชุมชน
    เสนอให้ใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎทั้งหมด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก”
    เตือนว่าการเขียนกฎละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้โจมตีผู้อื่น
    ยอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้มันเป็นอาวุธ
    ชุมชนโอเพ่นซอร์สหลายแห่ง เช่น Linux, Fedora, Debian, Python มี Code of Conduct อยู่แล้ว
    Raymond เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานแนวคิดโอเพ่นซอร์สตั้งแต่ยุคแรก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Code of Conduct ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความปลอดภัยและความเท่าเทียมในชุมชนเทคโนโลยี
    หลายองค์กรใช้ CoC เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานจากกลุ่มที่ถูกกีดกันเข้ามามีส่วนร่วม
    การไม่มี CoC อาจทำให้เกิดการล่วงละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการหรือรายงาน
    แนวคิด “Be kind!” ถูกใช้ในหลายชุมชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมที่เป็นมิตร
    การจัดการความขัดแย้งในชุมชนโอเพ่นซอร์สต้องอาศัยทั้งกฎและความเข้าใจมนุษย์

    https://news.itsfoss.com/codes-of-conduct-debate/
    ⚖️ “Eric Raymond จุดชนวนถกเถียงในวงการโอเพ่นซอร์ส — เสนอให้ลบ ‘Code of Conduct’ ทิ้งทั้งหมด เพราะสร้างปัญหามากกว่าปกป้อง” ในโลกของโอเพ่นซอร์สที่เคยขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์เสรีภาพและความร่วมมือ ล่าสุด Eric S. Raymond ผู้เขียนบทความระดับตำนาน “The Cathedral and the Bazaar” และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Open Source Initiative ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่แรงและชัดเจนว่า “Code of Conduct” หรือแนวปฏิบัติด้านพฤติกรรมในชุมชนโอเพ่นซอร์ส ควรถูกยกเลิกทั้งหมด Raymond ระบุว่า Code of Conduct ไม่ได้ช่วยสร้างความร่วมมืออย่างที่ตั้งใจไว้ แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือให้ “ผู้ก่อกวน” ใช้เพื่อสร้างดราม่า การเมือง และความขัดแย้งในชุมชน เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “โรคทางสังคมที่แพร่กระจาย” และเสนอให้ทุกโปรเจกต์ที่ยังไม่มี Code อย่าไปเริ่ม ส่วนโปรเจกต์ที่มีอยู่แล้ว — “ลบทิ้งซะ” เขาเสนอทางเลือกสำหรับโปรเจกต์ที่จำเป็นต้องมี Code ด้วยเหตุผลทางระบบราชการว่า ควรใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎยาวเหยียด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก” Raymond เตือนว่าการเขียนกฎให้ละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้กฎเป็นอาวุธโจมตีผู้อื่น โดยเฉพาะในกรณีที่คำว่า “Be kind!” ถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเครื่องมือกดดันคนในชุมชน เขายอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้ความเมตตาเป็นข้ออ้างในการควบคุมผู้อื่น แม้แนวคิดของ Raymond จะได้รับเสียงสนับสนุนจากบางกลุ่มที่เบื่อกับความซับซ้อนของกฎเกณฑ์ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าการไม่มี Code อาจเปิดช่องให้เกิดการละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการ และอาจทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ร่วมงานหลากหลายกลุ่ม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Eric S. Raymond เสนอให้ยกเลิก Code of Conduct ในโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สทั้งหมด ➡️ เขาเรียก Code ว่า “โรคทางสังคม” ที่สร้างดราม่าและการเมืองในชุมชน ➡️ เสนอให้ใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎทั้งหมด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก” ➡️ เตือนว่าการเขียนกฎละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้โจมตีผู้อื่น ➡️ ยอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้มันเป็นอาวุธ ➡️ ชุมชนโอเพ่นซอร์สหลายแห่ง เช่น Linux, Fedora, Debian, Python มี Code of Conduct อยู่แล้ว ➡️ Raymond เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานแนวคิดโอเพ่นซอร์สตั้งแต่ยุคแรก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Code of Conduct ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความปลอดภัยและความเท่าเทียมในชุมชนเทคโนโลยี ➡️ หลายองค์กรใช้ CoC เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานจากกลุ่มที่ถูกกีดกันเข้ามามีส่วนร่วม ➡️ การไม่มี CoC อาจทำให้เกิดการล่วงละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการหรือรายงาน ➡️ แนวคิด “Be kind!” ถูกใช้ในหลายชุมชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมที่เป็นมิตร ➡️ การจัดการความขัดแย้งในชุมชนโอเพ่นซอร์สต้องอาศัยทั้งกฎและความเข้าใจมนุษย์ https://news.itsfoss.com/codes-of-conduct-debate/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    The Man Who Started Open Source Initiative Advocates for Abolishing Codes of Conduct
    Between Anarchy and Bureaucracy: The Code of Conduct Debate Ignited by Eric Raymond.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอประกาศเรื่อง The Momento เนื่องจากเว็บไซต์เดิมที่เป็นเว็บไซต์ติดสัญญานั้น มีปัญหาเรื่องความไม่ตรงไปตรงมาของข้อตกลงและสัญญานะคะ นักเขียนจึงประกาศขอเปลี่ยนมาลงเว็บไซต์ Kawebook.com แทน

    ขอความเห็นใจจากนักอ่านทุกท่าน เนื่องจากนิยายทุกเรื่อง นักเขียนตั้งใจเขียนและมีการปรับปรุงหลายครั้งจึงได้ผลงานออกมา ดังนั้นรบกวนเข้ามาอ่านในเว็บไซต์ใหม่แทนนะคะ

    ลิงค์ตามนิยายค่ะ
    https://www.kawebook.com/story/20951/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%9C%E0%B8%88%E0%B8%8D%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B9%84%E0%B8%9F/the-momento
    ขอประกาศเรื่อง The Momento เนื่องจากเว็บไซต์เดิมที่เป็นเว็บไซต์ติดสัญญานั้น มีปัญหาเรื่องความไม่ตรงไปตรงมาของข้อตกลงและสัญญานะคะ นักเขียนจึงประกาศขอเปลี่ยนมาลงเว็บไซต์ Kawebook.com แทน ขอความเห็นใจจากนักอ่านทุกท่าน เนื่องจากนิยายทุกเรื่อง นักเขียนตั้งใจเขียนและมีการปรับปรุงหลายครั้งจึงได้ผลงานออกมา ดังนั้นรบกวนเข้ามาอ่านในเว็บไซต์ใหม่แทนนะคะ ลิงค์ตามนิยายค่ะ https://www.kawebook.com/story/20951/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%9C%E0%B8%88%E0%B8%8D%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B9%84%E0%B8%9F/the-momento
    WWW.KAWEBOOK.COM
    The Momento
    นิยายเป็นเพียงเรื่องเล่าเพื่อความบันเทิงเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะเธโอ ตัวเอกของเรื่องเป็นเจ้าของร้าน The Momento ซึ่งเป็นร้านขายของที่ระลึกและของมือสองซึ่งส่วนใหญ่เป็นของมีประวัติหรือหลักฐานทางคดีเก่าๆ พ่อกับแม่ของเธโอเป็นนักอาชญวิทยาปัจจุบันช่วยงานวิจัยอยู่ต่างประเทศ เธโอจึงต้องดูแลร้านแทน วันหนึ่งนักข่าวช่องออนไลน์นามว่าเฟรเข้ามาหลบฝนในร้าน สินค้าชิ้นหนึ่งที่ตั้งอยู่หน้าตู้กระจกดึงดูดสายตาเธอมันคือโคมไฟที่ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นกล่องดนตรีเพราะเธอจำได้ว่าเคยเห็นมันส่องแสงพร้อมกับเสียงดนตรี และเธอยังเป็นเพื่อนเก่าของเธโอสมัยเด็กแต่เพื่อนของเธอน่าจะบาดเจ็บสาหัสที่ศีรษะและหายตัวไปจากเกาะออลันด์เมื่อสิบปีก่อนเธอจำคดีในครั้งนั้นไม่ได้เพราะอาการความจำเสื่อมชั่วคราวที่เกิดจากการสะเทือนใจอย่างรุนแรงทว่าเธโอบอกว่าเขาจำเธอไม่ได้เพราะมีอาการความจำเสื่อม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ลำไย” เจอติงหนัก ! โซ้ยปลากระป๋องกลางสนามบิน : [News story]

    “ลำไย ไหทองคำ” โชว์ไลฟ์สไตล์อยู่ง่าย กินปลากระป๋องกลางสนามบิน ดันเจอชาวเน็ตวิจารณ์สนั่นถึงความเหมาะสม และมารยาทในการใช้สนามบินไม่ควรทานอาหารส่งกลิ่นรบกวน
    “ลำไย” เจอติงหนัก ! โซ้ยปลากระป๋องกลางสนามบิน : [News story] “ลำไย ไหทองคำ” โชว์ไลฟ์สไตล์อยู่ง่าย กินปลากระป๋องกลางสนามบิน ดันเจอชาวเน็ตวิจารณ์สนั่นถึงความเหมาะสม และมารยาทในการใช้สนามบินไม่ควรทานอาหารส่งกลิ่นรบกวน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • โดรน Geran ของรัสเซียเลิกเป็น "เด็กแว๊นซ์" แล้ว

    หน่วยข่าวกรองของยูเครนรายงานว่าโดรน “Geran-3” รุ่นใหม่ของรัสเซีย พัฒนาเครื่องยนต์ใหม่เป็นเครื่องยนต์มินิเจ็ต

    ที่บินได้เร็วถึง 230 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 370 กม./ชั่วโมง)
    และมีระยะบินไกลกว่า 620 ไมล์ (ประมาณ 997 กิโลเมตร)
    ซึ่งมาพร้อมระบบต่อต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ สามารถหลบเลี่ยงการดักจับและการรบกวนสัญญาณของยูเครนได้
    และบินได้นานถึง 6 ชั่วโมง
    ติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูงได้มากถึง 198 ปอนด์ (ประมาณ 90 กิโลกรัม)
    หัวรบที่ติดตั้งมีทั้งแบบคลัสเตอร์บอม์และหัวรบแบบเทอร์โมบาริก ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนา
    .
    ทางหน่วยข่าวกรองของยูเครนออกมาวิจารณ์ว่า ส่วนประกอบของโดรนรุ่นใหม่ ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพันธมิตรกับยูเครนทั้งสิ้น โดยที่ครึ่งหนึ่งมาจากผู้ผลิตในอเมริกา และ 8 ชิ้นมาจากจีน อีก 7 ชิ้นส่วนมาจากสวิตเซอร์แลนด์ และ 3 ชิ้นส่วนจากเยอรมนี อีก 2 ชิ้นจากอังกฤษ และ 1 ชิ้นจากผู้ผลิตในญี่ปุ่น
    .
    วิดีโอ 1 เสียงของเครื่องยนต์จากโดรน Geran-3 เปลี่ยนไป
    โดรน Geran ของรัสเซียเลิกเป็น "เด็กแว๊นซ์" แล้ว หน่วยข่าวกรองของยูเครนรายงานว่าโดรน “Geran-3” รุ่นใหม่ของรัสเซีย พัฒนาเครื่องยนต์ใหม่เป็นเครื่องยนต์มินิเจ็ต 👉ที่บินได้เร็วถึง 230 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 370 กม./ชั่วโมง) 👉และมีระยะบินไกลกว่า 620 ไมล์ (ประมาณ 997 กิโลเมตร) ซึ่งมาพร้อมระบบต่อต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ สามารถหลบเลี่ยงการดักจับและการรบกวนสัญญาณของยูเครนได้ 👉และบินได้นานถึง 6 ชั่วโมง 👉ติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูงได้มากถึง 198 ปอนด์ (ประมาณ 90 กิโลกรัม) 👉หัวรบที่ติดตั้งมีทั้งแบบคลัสเตอร์บอม์และหัวรบแบบเทอร์โมบาริก ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนา . ทางหน่วยข่าวกรองของยูเครนออกมาวิจารณ์ว่า ส่วนประกอบของโดรนรุ่นใหม่ ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพันธมิตรกับยูเครนทั้งสิ้น โดยที่ครึ่งหนึ่งมาจากผู้ผลิตในอเมริกา และ 8 ชิ้นมาจากจีน อีก 7 ชิ้นส่วนมาจากสวิตเซอร์แลนด์ และ 3 ชิ้นส่วนจากเยอรมนี อีก 2 ชิ้นจากอังกฤษ และ 1 ชิ้นจากผู้ผลิตในญี่ปุ่น . วิดีโอ 1 เสียงของเครื่องยนต์จากโดรน Geran-3 เปลี่ยนไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Rhadamanthys v0.9.2 กลับมาอีกครั้ง — มัลแวร์ขโมยข้อมูลที่ฉลาดขึ้น ซ่อนตัวในไฟล์ PNG พร้อมหลบการวิเคราะห์แบบมืออาชีพ”

    มัลแวร์ Rhadamanthys Stealer ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2022 ได้กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชันใหม่ v0.9.2 พร้อมความสามารถที่อันตรายและซับซ้อนมากขึ้น โดยเวอร์ชันล่าสุดนี้ถูกใช้ในแคมเปญ ClickFix และมีการปรับปรุงหลายด้านเพื่อให้หลบเลี่ยงการตรวจจับและการวิเคราะห์จากนักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ดีขึ้น

    หนึ่งในเทคนิคใหม่ที่โดดเด่นคือการซ่อน payload ในไฟล์ภาพ PNG ที่ดู “มีสัญญาณรบกวน” ซึ่งต่างจากเวอร์ชันก่อนที่ใช้ไฟล์ WAV หรือ JPG เป็นตัวบรรจุโค้ด โดยไฟล์ PNG เหล่านี้จะบรรจุโมดูลขั้นถัดไปของมัลแวร์ไว้ภายใน ทำให้การตรวจจับด้วยเครื่องมือทั่วไปยากขึ้น

    นอกจากนี้ Rhadamanthys ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น

    การตรวจสอบ sandbox ผ่าน wallpaper hash และ hardware ID
    การ inject โค้ดเข้าโปรเซสที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
    การขยาย Lua plugin ให้รองรับการขโมยข้อมูลจากแอปกระเป๋าเงินคริปโต เช่น Ledger Live
    การเก็บข้อมูล fingerprint ของเบราว์เซอร์ผ่านโมดูล fingerprint.js เช่น WebGL, ฟอนต์ที่ติดตั้ง, และข้อมูลระบบ

    ผู้พัฒนา Rhadamanthys ยังเปิดตัวเว็บไซต์บน Tor ที่มีการรีแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “RHAD Security” และ “Mythical Origin Labs” พร้อมขายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น Elysium Proxy Bot และบริการเข้ารหัสข้อมูล โดยมีแพ็กเกจเริ่มต้นที่ $299 ต่อเดือน และแบบองค์กรที่ปรับแต่งได้ตามต้องการ

    นักวิจัยจาก Check Point Research ระบุว่า Rhadamanthys กำลังกลายเป็น “ธุรกิจไซเบอร์เต็มรูปแบบ” มากกว่าการเป็นโปรเจกต์ของแฮกเกอร์ทั่วไป และหากพัฒนาต่อไปในทิศทางนี้ เวอร์ชัน 1.0 อาจกลายเป็นแพลตฟอร์มมัลแวร์ที่เสถียรและทรงพลังที่สุดในกลุ่ม stealer

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Rhadamanthys Stealer v0.9.2 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ซับซ้อนและหลบการวิเคราะห์ได้ดีขึ้น
    ใช้ไฟล์ PNG ที่มีสัญญาณรบกวนเป็นตัวบรรจุ payload แทน WAV/JPG
    เพิ่มการตรวจสอบ sandbox ผ่าน wallpaper hash, username และ hardware ID
    รองรับ targeted process injection เพื่อหลบการป้องกันของระบบ
    ขยาย Lua plugin ให้รองรับการขโมยข้อมูลจากแอปคริปโต เช่น Ledger Live
    ใช้ fingerprint.js เพื่อเก็บข้อมูลเบราว์เซอร์และระบบ เช่น WebGL และฟอนต์
    เปิดตัวเว็บไซต์ Tor ภายใต้ชื่อ RHAD Security และ Mythical Origin Labs
    ขายผลิตภัณฑ์มัลแวร์แบบ subscription เริ่มต้นที่ $299 ต่อเดือน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rhadamanthys เป็นมัลแวร์แบบ multi-modular ที่สามารถขโมยข้อมูลจาก VPN, 2FA, messenger และ crypto wallets
    ใช้เทคนิค anti-analysis เช่นการแสดงกล่องข้อความ “Do you want to run a malware?” หากรันในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย
    ใช้ executable format แบบ XS ที่ออกแบบมาให้หลบเครื่องมือวิเคราะห์รุ่นเก่า
    config blob ถูกปรับใหม่ให้เริ่มต้นด้วย 0xBEEF แทน !RHY และรองรับหลาย C2 address
    มีการลงทุนต่อเนื่องในโครงสร้างมัลแวร์เพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานและมีเสถียรภาพ

    https://securityonline.info/rhadamanthys-stealer-v0-9-2-drops-new-png-payloads-and-anti-analysis-tricks-make-malware-deadlier/
    🕷️ “Rhadamanthys v0.9.2 กลับมาอีกครั้ง — มัลแวร์ขโมยข้อมูลที่ฉลาดขึ้น ซ่อนตัวในไฟล์ PNG พร้อมหลบการวิเคราะห์แบบมืออาชีพ” มัลแวร์ Rhadamanthys Stealer ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2022 ได้กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชันใหม่ v0.9.2 พร้อมความสามารถที่อันตรายและซับซ้อนมากขึ้น โดยเวอร์ชันล่าสุดนี้ถูกใช้ในแคมเปญ ClickFix และมีการปรับปรุงหลายด้านเพื่อให้หลบเลี่ยงการตรวจจับและการวิเคราะห์จากนักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ดีขึ้น หนึ่งในเทคนิคใหม่ที่โดดเด่นคือการซ่อน payload ในไฟล์ภาพ PNG ที่ดู “มีสัญญาณรบกวน” ซึ่งต่างจากเวอร์ชันก่อนที่ใช้ไฟล์ WAV หรือ JPG เป็นตัวบรรจุโค้ด โดยไฟล์ PNG เหล่านี้จะบรรจุโมดูลขั้นถัดไปของมัลแวร์ไว้ภายใน ทำให้การตรวจจับด้วยเครื่องมือทั่วไปยากขึ้น นอกจากนี้ Rhadamanthys ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น ⚠️ การตรวจสอบ sandbox ผ่าน wallpaper hash และ hardware ID ⚠️ การ inject โค้ดเข้าโปรเซสที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ⚠️ การขยาย Lua plugin ให้รองรับการขโมยข้อมูลจากแอปกระเป๋าเงินคริปโต เช่น Ledger Live ⚠️ การเก็บข้อมูล fingerprint ของเบราว์เซอร์ผ่านโมดูล fingerprint.js เช่น WebGL, ฟอนต์ที่ติดตั้ง, และข้อมูลระบบ ผู้พัฒนา Rhadamanthys ยังเปิดตัวเว็บไซต์บน Tor ที่มีการรีแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “RHAD Security” และ “Mythical Origin Labs” พร้อมขายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น Elysium Proxy Bot และบริการเข้ารหัสข้อมูล โดยมีแพ็กเกจเริ่มต้นที่ $299 ต่อเดือน และแบบองค์กรที่ปรับแต่งได้ตามต้องการ นักวิจัยจาก Check Point Research ระบุว่า Rhadamanthys กำลังกลายเป็น “ธุรกิจไซเบอร์เต็มรูปแบบ” มากกว่าการเป็นโปรเจกต์ของแฮกเกอร์ทั่วไป และหากพัฒนาต่อไปในทิศทางนี้ เวอร์ชัน 1.0 อาจกลายเป็นแพลตฟอร์มมัลแวร์ที่เสถียรและทรงพลังที่สุดในกลุ่ม stealer ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Rhadamanthys Stealer v0.9.2 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ซับซ้อนและหลบการวิเคราะห์ได้ดีขึ้น ➡️ ใช้ไฟล์ PNG ที่มีสัญญาณรบกวนเป็นตัวบรรจุ payload แทน WAV/JPG ➡️ เพิ่มการตรวจสอบ sandbox ผ่าน wallpaper hash, username และ hardware ID ➡️ รองรับ targeted process injection เพื่อหลบการป้องกันของระบบ ➡️ ขยาย Lua plugin ให้รองรับการขโมยข้อมูลจากแอปคริปโต เช่น Ledger Live ➡️ ใช้ fingerprint.js เพื่อเก็บข้อมูลเบราว์เซอร์และระบบ เช่น WebGL และฟอนต์ ➡️ เปิดตัวเว็บไซต์ Tor ภายใต้ชื่อ RHAD Security และ Mythical Origin Labs ➡️ ขายผลิตภัณฑ์มัลแวร์แบบ subscription เริ่มต้นที่ $299 ต่อเดือน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rhadamanthys เป็นมัลแวร์แบบ multi-modular ที่สามารถขโมยข้อมูลจาก VPN, 2FA, messenger และ crypto wallets ➡️ ใช้เทคนิค anti-analysis เช่นการแสดงกล่องข้อความ “Do you want to run a malware?” หากรันในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย ➡️ ใช้ executable format แบบ XS ที่ออกแบบมาให้หลบเครื่องมือวิเคราะห์รุ่นเก่า ➡️ config blob ถูกปรับใหม่ให้เริ่มต้นด้วย 0xBEEF แทน !RHY และรองรับหลาย C2 address ➡️ มีการลงทุนต่อเนื่องในโครงสร้างมัลแวร์เพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานและมีเสถียรภาพ https://securityonline.info/rhadamanthys-stealer-v0-9-2-drops-new-png-payloads-and-anti-analysis-tricks-make-malware-deadlier/
    SECURITYONLINE.INFO
    Rhadamanthys Stealer v0.9.2 Drops: New PNG Payloads and Anti-Analysis Tricks Make Malware Deadlier
    Rhadamanthys stealer's v0.9.2 update adds new anti-analysis checks, a custom executable format, and uses noisy PNG files for payload delivery to bypass security tools.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OM System เปิดตัวกล้อง E-M1 Mark III Astro — เจาะลึกสีสันของเนบิวลาในแบบที่ตาเปล่ามองไม่เห็น”

    สำหรับสายถ่ายภาพดาราศาสตร์ ข่าวนี้คือการเปิดจักรวาลใหม่ให้คุณ OM System เปิดตัวกล้องรุ่นพิเศษ E-M1 Mark III Astro ซึ่งถูกปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อถ่ายภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนและวัตถุท้องฟ้าอย่างเนบิวลา โดยใช้พื้นฐานจากกล้อง E-M1 Mark III รุ่นเดิม แต่เพิ่มความสามารถด้วยการติดตั้งฟิลเตอร์ IR-cut ที่ปรับให้สามารถรับแสง Hα ได้ 100% ซึ่งเป็นแสงที่ปล่อยออกมาจากเนบิวลาสีแดงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น

    นอกจากตัวกล้องแล้ว OM System ยังเปิดตัวฟิลเตอร์เสริมอีกสองตัว ได้แก่
    BMF-LPC01 สำหรับลดแสงรบกวนจากเมือง
    BMF-SE01 สำหรับเพิ่มความนุ่มนวลและเน้นสีของดาว

    ฟิลเตอร์เหล่านี้สามารถติดตั้งระหว่างเมาท์เลนส์กับเซนเซอร์ ทำให้เปลี่ยนเลนส์ได้โดยไม่ต้องถอดฟิลเตอร์ออก และยังใช้ได้กับกล้อง OM รุ่นใหม่ ๆ เช่น OM-1 Mark II และ OM-3

    กล้องรุ่นนี้ยังรองรับโหมดถ่ายภาพพิเศษ เช่น
    Starry Sky Autofocus เพื่อโฟกัสดาวได้แม่นยำ
    Handheld High-Res Shot ที่สามารถเพิ่มความละเอียดจาก 20MP เป็น 50MP
    Live Composite สำหรับถ่ายเส้นทางการเคลื่อนที่ของดาว

    ราคาของชุดกล้องพร้อมฟิลเตอร์อยู่ที่ £1,899 ส่วนฟิลเตอร์แยกขายอยู่ที่ £259 และ £179 ตามลำดับ โดยวางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ OM System เท่านั้น

    https://www.techradar.com/cameras/mirrorless-cameras/om-system-just-launched-a-powerful-astrophotography-camera-that-can-reveal-the-stunning-colors-of-nebulae-and-it-doesnt-cost-the-earth
    🌌 “OM System เปิดตัวกล้อง E-M1 Mark III Astro — เจาะลึกสีสันของเนบิวลาในแบบที่ตาเปล่ามองไม่เห็น” สำหรับสายถ่ายภาพดาราศาสตร์ ข่าวนี้คือการเปิดจักรวาลใหม่ให้คุณ OM System เปิดตัวกล้องรุ่นพิเศษ E-M1 Mark III Astro ซึ่งถูกปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อถ่ายภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนและวัตถุท้องฟ้าอย่างเนบิวลา โดยใช้พื้นฐานจากกล้อง E-M1 Mark III รุ่นเดิม แต่เพิ่มความสามารถด้วยการติดตั้งฟิลเตอร์ IR-cut ที่ปรับให้สามารถรับแสง Hα ได้ 100% ซึ่งเป็นแสงที่ปล่อยออกมาจากเนบิวลาสีแดงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น นอกจากตัวกล้องแล้ว OM System ยังเปิดตัวฟิลเตอร์เสริมอีกสองตัว ได้แก่ 📷 BMF-LPC01 สำหรับลดแสงรบกวนจากเมือง 📷 BMF-SE01 สำหรับเพิ่มความนุ่มนวลและเน้นสีของดาว ฟิลเตอร์เหล่านี้สามารถติดตั้งระหว่างเมาท์เลนส์กับเซนเซอร์ ทำให้เปลี่ยนเลนส์ได้โดยไม่ต้องถอดฟิลเตอร์ออก และยังใช้ได้กับกล้อง OM รุ่นใหม่ ๆ เช่น OM-1 Mark II และ OM-3 กล้องรุ่นนี้ยังรองรับโหมดถ่ายภาพพิเศษ เช่น 📷 Starry Sky Autofocus เพื่อโฟกัสดาวได้แม่นยำ 📷 Handheld High-Res Shot ที่สามารถเพิ่มความละเอียดจาก 20MP เป็น 50MP 📷 Live Composite สำหรับถ่ายเส้นทางการเคลื่อนที่ของดาว ราคาของชุดกล้องพร้อมฟิลเตอร์อยู่ที่ £1,899 ส่วนฟิลเตอร์แยกขายอยู่ที่ £259 และ £179 ตามลำดับ โดยวางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ OM System เท่านั้น https://www.techradar.com/cameras/mirrorless-cameras/om-system-just-launched-a-powerful-astrophotography-camera-that-can-reveal-the-stunning-colors-of-nebulae-and-it-doesnt-cost-the-earth
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวียดนามกลาง 3 วัน 2 คืน
    ลดทันที 2,000 บาท เหลือเพียง 11,919.-
    เดินทางโดย : FD – แอร์เอเชีย

    วันที่เดินทาง

    * 17–19 ต.ค. 68
    * 23–25 ต.ค. 68

    โปรแกรมทัวร์ไฮไลท์เวียดนามกลาง

    * กระเช้าบานาฮิลล์ และ นั่งรถราง
    * ล่องเรือกระด้ง
    * เมืองโบราณฮอยอัน และ ล่องเรือยามเย็น
    * สะพานมือ และ สะพานแห่งความรัก
    * สะพานมังกร
    * ตลาดฮาน
    * เจ้าแม่กวนอิม วัดหลินอึ๋ง
    * Son Tra Marina Cafe


    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e7a9b5

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #VietnamCentral #HoiAn #BaNaHills #ล่องเรือกระด้ง #สะพานมือ #สะพานแห่งความรัก #สะพานมังกร #ตลาดฮาน #เที่ยวเวียดนาม #โปรไฟไหม้ #eTravelWay
    🌴✈️ เวียดนามกลาง 3 วัน 2 คืน 💸 ลดทันที 2,000 บาท เหลือเพียง 11,919.- 🛫 เดินทางโดย : FD – แอร์เอเชีย 📅 วันที่เดินทาง * 17–19 ต.ค. 68 * 23–25 ต.ค. 68 🌟 โปรแกรมทัวร์ไฮไลท์เวียดนามกลาง 🌟 * 🚡 กระเช้าบานาฮิลล์ และ นั่งรถราง * 🚤 ล่องเรือกระด้ง * 🏛️ เมืองโบราณฮอยอัน และ ล่องเรือยามเย็น * 🌉 สะพานมือ และ สะพานแห่งความรัก * 🐉 สะพานมังกร * 🛍️ ตลาดฮาน * 🙏 เจ้าแม่กวนอิม วัดหลินอึ๋ง * ☕ Son Tra Marina Cafe ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e7a9b5 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #VietnamCentral #HoiAn #BaNaHills #ล่องเรือกระด้ง #สะพานมือ #สะพานแห่งความรัก #สะพานมังกร #ตลาดฮาน #เที่ยวเวียดนาม #โปรไฟไหม้ #eTravelWay
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Geran-3: โดรนเจ็ตรัสเซียที่ต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ — เมื่อความเร็วและความฉลาดกลายเป็นอาวุธใหม่ในสนามรบยูเครน”

    ในสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องอย่างดุเดือด โดรนกลายเป็นอาวุธหลักที่ทั้งสองฝ่ายใช้โจมตีและป้องกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดรัสเซียได้เปิดตัวโดรนรุ่นใหม่ชื่อว่า “Geran-3” ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัปเกรดของ Shahed-238 จากอิหร่าน โดยมีจุดเด่นคือ “เครื่องยนต์เจ็ท” และ “ระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์” ที่ทำให้ยูเครนรับมือได้ยากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    Geran-3 มีความเร็วสูงถึง 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร ทำให้หลุดพ้นจากการตรวจจับด้วยอาวุธพื้นฐานหรือระบบเสียงแบบเดิมที่ใช้กับ Shahed รุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูง (HE-FRAG-I) และบางรุ่นใช้หัวรบแบบ thermobaric ที่สามารถเจาะเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนาได้

    สิ่งที่ทำให้ Geran-3 น่ากลัวยิ่งขึ้นคือระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW countermeasures) ที่สามารถตรวจจับพื้นที่ที่มีการรบกวนสัญญาณดาวเทียม และหลีกเลี่ยงเส้นทางเหล่านั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้การใช้ระบบรบกวนสัญญาณของยูเครนไม่สามารถหยุดยั้งโดรนรุ่นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ยูเครนได้ตอบโต้ด้วยการพัฒนา “โดรนสกัดกั้น” ที่สามารถไล่ล่าและทำลาย Geran-3 ได้โดยเฉพาะ พร้อมเสริมกำลังด้วยทีมยิงเคลื่อนที่และขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน อย่างไรก็ตาม การโจมตีล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ใช้ Geran-3 จำนวนมากพร้อมกับขีปนาวุธ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิต 13 รายและบาดเจ็บกว่า 130 คน

    การวิเคราะห์ซากโดรนที่ตกในยูเครนพบว่า Geran-3 ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และจีน ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาวุธ แม้รัสเซียจะถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Geran-3 เป็นโดรนโจมตีแบบเจ็ทที่พัฒนาจาก Shahed-238 ของอิหร่าน
    ความเร็วสูงสุดประมาณ 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร
    ติดตั้งหัวรบ HE-FRAG-I และบางรุ่นใช้หัวรบ thermobaric
    มีระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่หลีกเลี่ยงพื้นที่รบกวนสัญญาณดาวเทียม
    ใช้เครื่องยนต์ Tolou-10 หรือ Tolou-13 ซึ่งเป็นรุ่นลอกแบบจาก PBS TJ100 ของเช็ก
    ขนาดลำตัวประมาณ 3.5 เมตร ปีกกว้าง 3 เมตร น้ำหนักรวมประมาณ 380 กก.
    มีชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากชาติตะวันตกและจีน
    การโจมตีล่าสุดในยูเครนใช้ Geran-3 ร่วมกับ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายหนัก
    ยูเครนตอบโต้ด้วยโดรนสกัดกั้นและระบบยิงเคลื่อนที่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Shahed-238 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในอิหร่านเมื่อปลายปี 2023
    โดรนเจ็ทมีข้อได้เปรียบด้านความเร็วและการหลบหลีก แต่มีข้อจำกัดด้านระยะทาง
    Thermobaric warhead สร้างแรงระเบิดจากแรงดันอากาศ เหมาะกับการเจาะเป้าหมายในอาคาร
    ระบบ Sky Fortress ของยูเครนใช้เสียงในการตรวจจับโดรน แต่ Geran-3 มีเสียงต่างจากรุ่นก่อน
    การใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศสะท้อนถึงช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี

    https://www.slashgear.com/1979250/russia-jet-powered-attack-drone-electronic-warfare-immunity/
    ✈️ “Geran-3: โดรนเจ็ตรัสเซียที่ต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ — เมื่อความเร็วและความฉลาดกลายเป็นอาวุธใหม่ในสนามรบยูเครน” ในสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องอย่างดุเดือด โดรนกลายเป็นอาวุธหลักที่ทั้งสองฝ่ายใช้โจมตีและป้องกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดรัสเซียได้เปิดตัวโดรนรุ่นใหม่ชื่อว่า “Geran-3” ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัปเกรดของ Shahed-238 จากอิหร่าน โดยมีจุดเด่นคือ “เครื่องยนต์เจ็ท” และ “ระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์” ที่ทำให้ยูเครนรับมือได้ยากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด Geran-3 มีความเร็วสูงถึง 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร ทำให้หลุดพ้นจากการตรวจจับด้วยอาวุธพื้นฐานหรือระบบเสียงแบบเดิมที่ใช้กับ Shahed รุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูง (HE-FRAG-I) และบางรุ่นใช้หัวรบแบบ thermobaric ที่สามารถเจาะเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนาได้ สิ่งที่ทำให้ Geran-3 น่ากลัวยิ่งขึ้นคือระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW countermeasures) ที่สามารถตรวจจับพื้นที่ที่มีการรบกวนสัญญาณดาวเทียม และหลีกเลี่ยงเส้นทางเหล่านั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้การใช้ระบบรบกวนสัญญาณของยูเครนไม่สามารถหยุดยั้งโดรนรุ่นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยูเครนได้ตอบโต้ด้วยการพัฒนา “โดรนสกัดกั้น” ที่สามารถไล่ล่าและทำลาย Geran-3 ได้โดยเฉพาะ พร้อมเสริมกำลังด้วยทีมยิงเคลื่อนที่และขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน อย่างไรก็ตาม การโจมตีล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ใช้ Geran-3 จำนวนมากพร้อมกับขีปนาวุธ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิต 13 รายและบาดเจ็บกว่า 130 คน การวิเคราะห์ซากโดรนที่ตกในยูเครนพบว่า Geran-3 ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และจีน ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาวุธ แม้รัสเซียจะถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Geran-3 เป็นโดรนโจมตีแบบเจ็ทที่พัฒนาจาก Shahed-238 ของอิหร่าน ➡️ ความเร็วสูงสุดประมาณ 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร ➡️ ติดตั้งหัวรบ HE-FRAG-I และบางรุ่นใช้หัวรบ thermobaric ➡️ มีระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่หลีกเลี่ยงพื้นที่รบกวนสัญญาณดาวเทียม ➡️ ใช้เครื่องยนต์ Tolou-10 หรือ Tolou-13 ซึ่งเป็นรุ่นลอกแบบจาก PBS TJ100 ของเช็ก ➡️ ขนาดลำตัวประมาณ 3.5 เมตร ปีกกว้าง 3 เมตร น้ำหนักรวมประมาณ 380 กก. ➡️ มีชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากชาติตะวันตกและจีน ➡️ การโจมตีล่าสุดในยูเครนใช้ Geran-3 ร่วมกับ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายหนัก ➡️ ยูเครนตอบโต้ด้วยโดรนสกัดกั้นและระบบยิงเคลื่อนที่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Shahed-238 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในอิหร่านเมื่อปลายปี 2023 ➡️ โดรนเจ็ทมีข้อได้เปรียบด้านความเร็วและการหลบหลีก แต่มีข้อจำกัดด้านระยะทาง ➡️ Thermobaric warhead สร้างแรงระเบิดจากแรงดันอากาศ เหมาะกับการเจาะเป้าหมายในอาคาร ➡️ ระบบ Sky Fortress ของยูเครนใช้เสียงในการตรวจจับโดรน แต่ Geran-3 มีเสียงต่างจากรุ่นก่อน ➡️ การใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศสะท้อนถึงช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี https://www.slashgear.com/1979250/russia-jet-powered-attack-drone-electronic-warfare-immunity/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Russia Now Has Jet-Powered Attack Drones Immune To Electronic Warfare - SlashGear
    Jet propulsion drones, similar to the Shahed ones used in Iran, are being deployed by Russia against Ukraine. However, Ukraine may already have an answer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Wi-Fi ช้าเพราะต้นไม้ในบ้าน? งานวิจัยล่าสุดชี้ชัด — ดินชื้นและใบหนาอาจดูดสัญญาณจนเน็ตสะดุด”

    ใครจะไปคิดว่า “ต้นไม้ในบ้าน” ที่เราปลูกไว้เพื่อความสดชื่น อาจเป็นตัวการที่ทำให้ Wi-Fi ช้าลงอย่างไม่น่าเชื่อ ล่าสุดงานวิจัยจาก Broadband Genie เผยว่า การย้ายเราเตอร์ออกห่างจากต้นไม้ในบ้านสามารถเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตได้มากถึง 36% โดยเฉพาะในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก

    เหตุผลหลักคือ “ดินที่ชื้น” และ “ใบไม้ที่หนาแน่น” สามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุที่ใช้ใน Wi-Fi ได้ ทำให้สัญญาณอ่อนลงหรือกระจายผิดทิศทาง ซึ่งส่งผลให้การเชื่อมต่อไม่เสถียร โดยเฉพาะเมื่อเราเตอร์ถูกวางไว้ใกล้กระถางต้นไม้หรืออยู่ในเส้นทางที่สัญญาณต้องผ่าน

    แม้ผลกระทบอาจไม่รุนแรงในบ้านทั่วไป แต่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก ผลลัพธ์อาจเห็นได้ชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ตรวจสอบตำแหน่งของเราเตอร์และพยายามวางไว้ในจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง เช่น ต้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ หรือผนังหนา

    อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ผนัง เพดาน หรือสัญญาณรบกวนจาก Wi-Fi ของเพื่อนบ้าน ก็มีผลต่อความเร็วมากกว่าต้นไม้ และการย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วได้โดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้เลย

    สำหรับบ้านที่มีปัญหาสัญญาณไม่ทั่วถึง การใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender ก็เป็นทางเลือกที่ดี รวมถึงการใช้ Powerline Adapter หรือสาย Ethernet ก็สามารถให้ความเสถียรได้มากกว่าการพึ่งพาไร้สายเพียงอย่างเดียว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    งานวิจัยจาก Broadband Genie พบว่าการย้ายเราเตอร์ออกจากต้นไม้ช่วยเพิ่มความเร็ว Wi-Fi ได้ถึง 36%
    ดินชื้นและใบไม้หนาแน่นสามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุ ทำให้สัญญาณอ่อนลง
    ผลกระทบเห็นได้ชัดในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก
    การวางเราเตอร์ในจุดเปิดโล่งและอยู่กลางบ้านช่วยให้สัญญาณครอบคลุมดีขึ้น
    การย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วโดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้
    แนะนำให้ใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender เพื่อกระจายสัญญาณในบ้าน
    Powerline Adapter และสาย Ethernet เป็นทางเลือกที่เสถียรกว่า Wi-Fi ในบางกรณี
    Wi-Fi 8 จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการส่งสัญญาณ แต่ยังไม่พร้อมใช้งานจนถึงปี 2028

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คลื่น Wi-Fi เป็นคลื่นวิทยุที่สามารถถูกดูดซับหรือสะท้อนโดยวัตถุที่มีน้ำ เช่น ใบไม้หรือดิน
    Fish tank, ผนังอิฐ และเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ก็สามารถลดคุณภาพสัญญาณได้เช่นกัน
    เทคโนโลยี MIMO และ Beamforming ในเราเตอร์รุ่นใหม่ช่วยลดผลกระทบจากการสะท้อนสัญญาณ
    การวางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและเปิดโล่งช่วยให้คลื่นกระจายได้ดีขึ้น
    บ้านที่มีหลายชั้นหรือผนังหนาอาจต้องใช้ระบบ Mesh เพื่อให้สัญญาณทั่วถึง

    https://www.techradar.com/pro/slow-wi-fi-at-home-believe-it-or-not-your-houseplants-might-be-to-blame-and-yes-were-serious
    🌿 “Wi-Fi ช้าเพราะต้นไม้ในบ้าน? งานวิจัยล่าสุดชี้ชัด — ดินชื้นและใบหนาอาจดูดสัญญาณจนเน็ตสะดุด” ใครจะไปคิดว่า “ต้นไม้ในบ้าน” ที่เราปลูกไว้เพื่อความสดชื่น อาจเป็นตัวการที่ทำให้ Wi-Fi ช้าลงอย่างไม่น่าเชื่อ ล่าสุดงานวิจัยจาก Broadband Genie เผยว่า การย้ายเราเตอร์ออกห่างจากต้นไม้ในบ้านสามารถเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตได้มากถึง 36% โดยเฉพาะในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก เหตุผลหลักคือ “ดินที่ชื้น” และ “ใบไม้ที่หนาแน่น” สามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุที่ใช้ใน Wi-Fi ได้ ทำให้สัญญาณอ่อนลงหรือกระจายผิดทิศทาง ซึ่งส่งผลให้การเชื่อมต่อไม่เสถียร โดยเฉพาะเมื่อเราเตอร์ถูกวางไว้ใกล้กระถางต้นไม้หรืออยู่ในเส้นทางที่สัญญาณต้องผ่าน แม้ผลกระทบอาจไม่รุนแรงในบ้านทั่วไป แต่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก ผลลัพธ์อาจเห็นได้ชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ตรวจสอบตำแหน่งของเราเตอร์และพยายามวางไว้ในจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง เช่น ต้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ หรือผนังหนา อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ผนัง เพดาน หรือสัญญาณรบกวนจาก Wi-Fi ของเพื่อนบ้าน ก็มีผลต่อความเร็วมากกว่าต้นไม้ และการย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วได้โดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้เลย สำหรับบ้านที่มีปัญหาสัญญาณไม่ทั่วถึง การใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender ก็เป็นทางเลือกที่ดี รวมถึงการใช้ Powerline Adapter หรือสาย Ethernet ก็สามารถให้ความเสถียรได้มากกว่าการพึ่งพาไร้สายเพียงอย่างเดียว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ งานวิจัยจาก Broadband Genie พบว่าการย้ายเราเตอร์ออกจากต้นไม้ช่วยเพิ่มความเร็ว Wi-Fi ได้ถึง 36% ➡️ ดินชื้นและใบไม้หนาแน่นสามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุ ทำให้สัญญาณอ่อนลง ➡️ ผลกระทบเห็นได้ชัดในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก ➡️ การวางเราเตอร์ในจุดเปิดโล่งและอยู่กลางบ้านช่วยให้สัญญาณครอบคลุมดีขึ้น ➡️ การย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วโดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้ ➡️ แนะนำให้ใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender เพื่อกระจายสัญญาณในบ้าน ➡️ Powerline Adapter และสาย Ethernet เป็นทางเลือกที่เสถียรกว่า Wi-Fi ในบางกรณี ➡️ Wi-Fi 8 จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการส่งสัญญาณ แต่ยังไม่พร้อมใช้งานจนถึงปี 2028 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คลื่น Wi-Fi เป็นคลื่นวิทยุที่สามารถถูกดูดซับหรือสะท้อนโดยวัตถุที่มีน้ำ เช่น ใบไม้หรือดิน ➡️ Fish tank, ผนังอิฐ และเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ก็สามารถลดคุณภาพสัญญาณได้เช่นกัน ➡️ เทคโนโลยี MIMO และ Beamforming ในเราเตอร์รุ่นใหม่ช่วยลดผลกระทบจากการสะท้อนสัญญาณ ➡️ การวางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและเปิดโล่งช่วยให้คลื่นกระจายได้ดีขึ้น ➡️ บ้านที่มีหลายชั้นหรือผนังหนาอาจต้องใช้ระบบ Mesh เพื่อให้สัญญาณทั่วถึง https://www.techradar.com/pro/slow-wi-fi-at-home-believe-it-or-not-your-houseplants-might-be-to-blame-and-yes-were-serious
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ผู้ใช้แอปสนใจแค่ 20% — แต่ละคนเลือกส่วนที่ต่างกัน และนั่นคือโอกาสทองของนักพัฒนา”

    Ibrahim Diallo เล่าเรื่องราวส่วนตัวที่เริ่มจากการลบไฟล์ .ini ตอนเด็กจนทำให้คอมพัง และต้องติดตั้ง Windows ใหม่ทุกครั้ง ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่า แม้โปรแกรมจะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้ใช้แต่ละคนกลับใช้แค่บางส่วนเท่านั้น เช่น เขาเคยใช้ Excel แค่เพื่อสร้างตารางแล้วก็อปไปใส่ Word เพราะไม่รู้วิธีสร้างตารางใน Word โดยตรง

    จากประสบการณ์นี้ เขาเสนอแนวคิดว่า “ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน” แต่ที่สำคัญคือ “แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน” เช่น คนหนึ่งใช้ Excel เพื่อทำบัญชีส่วนตัว อีกคนใช้เพื่อทำ pivot table และอีกคนใช้แค่เพื่อวางตารางใน Word

    เมื่อแอปมีฟีเจอร์มากขึ้น ผู้ใช้บางกลุ่มกลับรู้สึกว่าแอป “บวม” และทำงานช้าลง เพราะฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองกลายเป็นสิ่งรบกวน workflow เดิม นี่คือจุดที่ผู้ใช้เริ่มมองหาแอปทางเลือกที่ตอบโจทย์เฉพาะของตนได้ดีกว่า

    เขายกตัวอย่าง Kagi ซึ่งเป็น search engine แบบเสียเงินที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของผู้ใช้ Google ที่ต้องการผลลัพธ์แบบตรงคำมากกว่า “คำที่เกี่ยวข้อง” แม้จะเป็นแค่ 1% ของผู้ใช้ แต่ก็ยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และ Kagi เลือกที่จะเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่มนั้น

    แนวคิดนี้ยังใช้ได้กับแอปอื่น ๆ เช่น Figma ที่ไม่ต้องแข่งกับ Adobe ทั้งชุด แต่แค่ทำ collaborative design ได้ดีกว่า หรือ Notion ที่ไม่ต้องเป็น word processor หรือ database ที่ดีที่สุด แต่เป็นเครื่องมือลูกผสมที่ตอบโจทย์ทีมงานได้ดี

    สุดท้าย เขาเสนอว่า นักพัฒนาไม่ควรพยายามทำแอปที่ “ทำทุกอย่างให้ทุกคน” แต่ควรสร้างระบบที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง เช่น VS Code ที่เริ่มจาก text editor ธรรมดา แล้วให้ผู้ใช้ติดตั้ง extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตนเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน
    แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน เช่น Excel เพื่อบัญชี, pivot table, หรือแค่สร้างตาราง
    แอปที่มีฟีเจอร์มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอป “บวม” และช้าลง
    Kagi เป็น search engine ที่เกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Google Search
    Kagi เลือกเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่ม power user
    Figma และ Notion เป็นตัวอย่างของแอปที่เน้นเฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องแข่งแบบครอบคลุม
    VS Code ให้ผู้ใช้ปรับแต่งผ่าน extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว
    แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนาไม่ต้องทำทุกอย่าง แต่ทำให้แต่ละฟีเจอร์ “ดีจริง” สำหรับกลุ่มเป้าหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หลักการ 80/20 หรือ Pareto Principle ถูกใช้ในหลายวงการ เช่น ธุรกิจ, การตลาด, และ UX
    แอปที่เน้น modular design เช่น Obsidian หรือ Slack ก็ใช้แนวคิดนี้ในการพัฒนา
    Open-source software เช่น Blender หรือ FFmpeg มักถูกปรับแต่งให้เหมาะกับ workflow เฉพาะ
    การให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองช่วยลดแรงต้านจากฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น
    การสร้าง “core ที่เบา” แล้วให้ผู้ใช้เสริมเอง เป็นแนวทางที่ยั่งยืนและขยายได้ง่าย

    https://idiallo.com/blog/users-only-care-about-20-percent
    🧩 “ผู้ใช้แอปสนใจแค่ 20% — แต่ละคนเลือกส่วนที่ต่างกัน และนั่นคือโอกาสทองของนักพัฒนา” Ibrahim Diallo เล่าเรื่องราวส่วนตัวที่เริ่มจากการลบไฟล์ .ini ตอนเด็กจนทำให้คอมพัง และต้องติดตั้ง Windows ใหม่ทุกครั้ง ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่า แม้โปรแกรมจะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้ใช้แต่ละคนกลับใช้แค่บางส่วนเท่านั้น เช่น เขาเคยใช้ Excel แค่เพื่อสร้างตารางแล้วก็อปไปใส่ Word เพราะไม่รู้วิธีสร้างตารางใน Word โดยตรง จากประสบการณ์นี้ เขาเสนอแนวคิดว่า “ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน” แต่ที่สำคัญคือ “แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน” เช่น คนหนึ่งใช้ Excel เพื่อทำบัญชีส่วนตัว อีกคนใช้เพื่อทำ pivot table และอีกคนใช้แค่เพื่อวางตารางใน Word เมื่อแอปมีฟีเจอร์มากขึ้น ผู้ใช้บางกลุ่มกลับรู้สึกว่าแอป “บวม” และทำงานช้าลง เพราะฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองกลายเป็นสิ่งรบกวน workflow เดิม นี่คือจุดที่ผู้ใช้เริ่มมองหาแอปทางเลือกที่ตอบโจทย์เฉพาะของตนได้ดีกว่า เขายกตัวอย่าง Kagi ซึ่งเป็น search engine แบบเสียเงินที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของผู้ใช้ Google ที่ต้องการผลลัพธ์แบบตรงคำมากกว่า “คำที่เกี่ยวข้อง” แม้จะเป็นแค่ 1% ของผู้ใช้ แต่ก็ยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และ Kagi เลือกที่จะเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่มนั้น แนวคิดนี้ยังใช้ได้กับแอปอื่น ๆ เช่น Figma ที่ไม่ต้องแข่งกับ Adobe ทั้งชุด แต่แค่ทำ collaborative design ได้ดีกว่า หรือ Notion ที่ไม่ต้องเป็น word processor หรือ database ที่ดีที่สุด แต่เป็นเครื่องมือลูกผสมที่ตอบโจทย์ทีมงานได้ดี สุดท้าย เขาเสนอว่า นักพัฒนาไม่ควรพยายามทำแอปที่ “ทำทุกอย่างให้ทุกคน” แต่ควรสร้างระบบที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง เช่น VS Code ที่เริ่มจาก text editor ธรรมดา แล้วให้ผู้ใช้ติดตั้ง extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตนเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน ➡️ แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน เช่น Excel เพื่อบัญชี, pivot table, หรือแค่สร้างตาราง ➡️ แอปที่มีฟีเจอร์มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอป “บวม” และช้าลง ➡️ Kagi เป็น search engine ที่เกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Google Search ➡️ Kagi เลือกเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่ม power user ➡️ Figma และ Notion เป็นตัวอย่างของแอปที่เน้นเฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องแข่งแบบครอบคลุม ➡️ VS Code ให้ผู้ใช้ปรับแต่งผ่าน extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว ➡️ แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนาไม่ต้องทำทุกอย่าง แต่ทำให้แต่ละฟีเจอร์ “ดีจริง” สำหรับกลุ่มเป้าหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หลักการ 80/20 หรือ Pareto Principle ถูกใช้ในหลายวงการ เช่น ธุรกิจ, การตลาด, และ UX ➡️ แอปที่เน้น modular design เช่น Obsidian หรือ Slack ก็ใช้แนวคิดนี้ในการพัฒนา ➡️ Open-source software เช่น Blender หรือ FFmpeg มักถูกปรับแต่งให้เหมาะกับ workflow เฉพาะ ➡️ การให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองช่วยลดแรงต้านจากฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น ➡️ การสร้าง “core ที่เบา” แล้วให้ผู้ใช้เสริมเอง เป็นแนวทางที่ยั่งยืนและขยายได้ง่าย https://idiallo.com/blog/users-only-care-about-20-percent
    IDIALLO.COM
    Users Only Care About 20% of Your Application
    I often destroyed our home computer when I was a kid. Armed with only 2GB of storage, I'd constantly hunt for files to delete to save space. But I learned the hard way that .ini files are actually imp
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Leonidas: อาวุธไมโครเวฟพลังสูงที่ล้มโดรน 49 ลำในครั้งเดียว — จุดเปลี่ยนของสงครามยุคฝูงบินอัตโนมัติ”

    ในยุคที่โดรนกลายเป็นอาวุธหลักของสงครามแบบอสมมาตร ระบบป้องกันที่สามารถรับมือกับฝูงบินจำนวนมากได้ในทันทีจึงเป็นสิ่งจำเป็น และนั่นคือสิ่งที่ “Leonidas” จากบริษัท Epirus ได้แสดงให้เห็นในการสาธิตยิงจริงที่ Camp Atterbury รัฐอินดีแอนา สหรัฐอเมริกา เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2025

    Leonidas เป็นอาวุธไมโครเวฟพลังสูง (High-Power Microwave: HPM) ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการรบกวนระบบอิเล็กทรอนิกส์ของโดรน ทำให้หยุดทำงานทันที โดยในการสาธิตครั้งล่าสุด Leonidas สามารถล้มโดรนได้ถึง 61 ลำจาก 61 ลำที่ปล่อยขึ้นฟ้า และที่น่าทึ่งที่สุดคือสามารถล้มโดรน 49 ลำได้ใน “การยิงเพียงครั้งเดียว” ด้วยคลื่นไมโครเวฟที่ออกแบบมาเฉพาะ

    ระบบนี้สามารถเลือกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เช่น ยิงโดรนที่ถูกเลือกโดยผู้ชมโดยไม่กระทบโดรนที่อยู่ใกล้เคียง หรือแม้แต่ยิงให้โดรนตกลงใน “โซนปลอดภัย” ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยการควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ที่กำหนด waveform ได้ตามสถานการณ์

    Leonidas รุ่นล่าสุดมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า ทั้งในด้านระยะยิงและความรุนแรง โดยใช้เทคโนโลยี Gallium Nitride (GaN) แทนหลอดแม่เหล็กแบบเดิม ทำให้ระบบมีขนาดเล็กลง ทนทานขึ้น และใช้พลังงานน้อยลง

    การสาธิตครั้งนี้มีผู้แทนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หน่วยงานรัฐบาล และพันธมิตรจาก 9 ประเทศเข้าร่วมชม และถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ Epirus มองว่า Leonidas คือระบบเดียวที่พร้อมใช้งานจริงในการรับมือกับฝูงโดรนจำนวนมากในสนามรบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Leonidas เป็นอาวุธไมโครเวฟพลังสูงที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการหยุดโดรน
    ในการสาธิตล่าสุด Leonidas ล้มโดรนได้ 61 ลำจาก 61 ลำ และ 49 ลำในครั้งเดียว
    ระบบสามารถเลือกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย
    ใช้เทคโนโลยี Gallium Nitride (GaN) แทนหลอดแม่เหล็กแบบเดิม
    รุ่นล่าสุดมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า
    สามารถยิงต่อเนื่องโดยไม่ร้อนเกิน และไม่กระทบต่อมนุษย์ในพื้นที่ยิง
    การสาธิตมีผู้แทนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และพันธมิตร 9 ประเทศเข้าร่วม
    Epirus มองว่า Leonidas คือระบบเดียวที่พร้อมใช้งานจริงในการรับมือกับฝูงโดรน
    ระบบสามารถกำหนด “โซนปลอดภัย” ให้โดรนตกลงอย่างมีการควบคุม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    อาวุธไมโครเวฟถูกใช้ในการรบตั้งแต่ยุคสงครามเย็น แต่เพิ่งมีความแม่นยำสูงในยุคปัจจุบัน
    Gallium Nitride เป็นวัสดุที่ใช้ในอุปกรณ์พลังงานสูง เช่น เรดาร์และอาวุธพลังงานตรง
    การโจมตีแบบฝูงโดรนเป็นภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้นในสงครามยูเครนและตะวันออกกลาง
    Leonidas สามารถใช้ในยุทธศาสตร์ “no-fly zone” โดยไม่ต้องยิงกระสุนจริง
    ระบบสามารถติดตั้งบนรถบรรทุกหรือฐานยิงเคลื่อนที่ได้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/high-power-microwave-system-downs-49-drones-in-one-shot-weaponized-electromagnetic-interference-erases-drone-swarms-en-masse
    ⚡ “Leonidas: อาวุธไมโครเวฟพลังสูงที่ล้มโดรน 49 ลำในครั้งเดียว — จุดเปลี่ยนของสงครามยุคฝูงบินอัตโนมัติ” ในยุคที่โดรนกลายเป็นอาวุธหลักของสงครามแบบอสมมาตร ระบบป้องกันที่สามารถรับมือกับฝูงบินจำนวนมากได้ในทันทีจึงเป็นสิ่งจำเป็น และนั่นคือสิ่งที่ “Leonidas” จากบริษัท Epirus ได้แสดงให้เห็นในการสาธิตยิงจริงที่ Camp Atterbury รัฐอินดีแอนา สหรัฐอเมริกา เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2025 Leonidas เป็นอาวุธไมโครเวฟพลังสูง (High-Power Microwave: HPM) ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการรบกวนระบบอิเล็กทรอนิกส์ของโดรน ทำให้หยุดทำงานทันที โดยในการสาธิตครั้งล่าสุด Leonidas สามารถล้มโดรนได้ถึง 61 ลำจาก 61 ลำที่ปล่อยขึ้นฟ้า และที่น่าทึ่งที่สุดคือสามารถล้มโดรน 49 ลำได้ใน “การยิงเพียงครั้งเดียว” ด้วยคลื่นไมโครเวฟที่ออกแบบมาเฉพาะ ระบบนี้สามารถเลือกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เช่น ยิงโดรนที่ถูกเลือกโดยผู้ชมโดยไม่กระทบโดรนที่อยู่ใกล้เคียง หรือแม้แต่ยิงให้โดรนตกลงใน “โซนปลอดภัย” ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยการควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ที่กำหนด waveform ได้ตามสถานการณ์ Leonidas รุ่นล่าสุดมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า ทั้งในด้านระยะยิงและความรุนแรง โดยใช้เทคโนโลยี Gallium Nitride (GaN) แทนหลอดแม่เหล็กแบบเดิม ทำให้ระบบมีขนาดเล็กลง ทนทานขึ้น และใช้พลังงานน้อยลง การสาธิตครั้งนี้มีผู้แทนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หน่วยงานรัฐบาล และพันธมิตรจาก 9 ประเทศเข้าร่วมชม และถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ Epirus มองว่า Leonidas คือระบบเดียวที่พร้อมใช้งานจริงในการรับมือกับฝูงโดรนจำนวนมากในสนามรบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Leonidas เป็นอาวุธไมโครเวฟพลังสูงที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการหยุดโดรน ➡️ ในการสาธิตล่าสุด Leonidas ล้มโดรนได้ 61 ลำจาก 61 ลำ และ 49 ลำในครั้งเดียว ➡️ ระบบสามารถเลือกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย ➡️ ใช้เทคโนโลยี Gallium Nitride (GaN) แทนหลอดแม่เหล็กแบบเดิม ➡️ รุ่นล่าสุดมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า ➡️ สามารถยิงต่อเนื่องโดยไม่ร้อนเกิน และไม่กระทบต่อมนุษย์ในพื้นที่ยิง ➡️ การสาธิตมีผู้แทนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และพันธมิตร 9 ประเทศเข้าร่วม ➡️ Epirus มองว่า Leonidas คือระบบเดียวที่พร้อมใช้งานจริงในการรับมือกับฝูงโดรน ➡️ ระบบสามารถกำหนด “โซนปลอดภัย” ให้โดรนตกลงอย่างมีการควบคุม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ อาวุธไมโครเวฟถูกใช้ในการรบตั้งแต่ยุคสงครามเย็น แต่เพิ่งมีความแม่นยำสูงในยุคปัจจุบัน ➡️ Gallium Nitride เป็นวัสดุที่ใช้ในอุปกรณ์พลังงานสูง เช่น เรดาร์และอาวุธพลังงานตรง ➡️ การโจมตีแบบฝูงโดรนเป็นภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้นในสงครามยูเครนและตะวันออกกลาง ➡️ Leonidas สามารถใช้ในยุทธศาสตร์ “no-fly zone” โดยไม่ต้องยิงกระสุนจริง ➡️ ระบบสามารถติดตั้งบนรถบรรทุกหรือฐานยิงเคลื่อนที่ได้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/high-power-microwave-system-downs-49-drones-in-one-shot-weaponized-electromagnetic-interference-erases-drone-swarms-en-masse
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    High-power microwave system downs 49 drones in one shot – weaponized electromagnetic interference erases drone swarms en masse
    The Epirus Leonidas weapon ‘neutralized 61-of-61 drones’ during a recent live fire trial in Indiana.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Flexxon เปิดตัว SSD ฝัง AI ป้องกันแรนซัมแวร์และการงัดแงะ — เมื่อความปลอดภัยเริ่มต้นที่ฮาร์ดแวร์”

    บริษัท Flexxon จากสิงคโปร์ได้เปิดตัว X-Phy SSD รุ่นใหม่ที่ฝังระบบปัญญาประดิษฐ์ไว้ในระดับเฟิร์มแวร์ เพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ทั้งจากระยะไกลและการโจมตีทางกายภาพ โดย SSD รุ่นนี้ไม่ใช่แค่ที่เก็บข้อมูลธรรมดา แต่เป็น “แนวป้องกันสุดท้าย” สำหรับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง เช่น หน่วยงานรัฐบาล โรงงานอุตสาหกรรม และสถานพยาบาล

    X-Phy ใช้ AI Quantum Engine ที่ฝังอยู่ในตัวควบคุม SSD เพื่อเฝ้าระวังภัยแบบเรียลไทม์ เช่น การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ การโคลนข้อมูล การรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และแม้แต่การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่อาจบ่งบอกถึงการงัดแงะ หากตรวจพบสิ่งผิดปกติ SSD จะล็อกตัวเองทันที และแจ้งเตือนผู้ใช้ผ่านระบบ authentication หรือในกรณีร้ายแรงสามารถลบข้อมูลทั้งหมดเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

    X-Phy มีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ Lite, Essential และ Premium โดยแต่ละรุ่นมีระดับการป้องกันที่แตกต่างกัน พร้อมระบบ subscription รายปี เริ่มต้นที่ $249 ไปจนถึง $489 ต่อปี แม้ความเร็วในการอ่าน/เขียนจะต่ำกว่ารุ่น NVMe ทั่วไป แต่จุดเด่นของมันคือ “ความปลอดภัยระดับฮาร์ดแวร์” ที่ไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ภายนอก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Flexxon เปิดตัว SSD ฝัง AI รุ่น X-Phy เพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ระดับฮาร์ดแวร์
    ใช้ AI Quantum Engine ฝังในเฟิร์มแวร์เพื่อเฝ้าระวังภัยแบบเรียลไทม์
    ตรวจจับแรนซัมแวร์ การโคลนข้อมูล การรบกวนคลื่นแม่เหล็ก และอุณหภูมิผิดปกติ
    หากพบภัยคุกคาม SSD จะล็อกตัวเองและแจ้งเตือนผู้ใช้ทันที
    มีระบบ authentication เพื่อปลดล็อก หรือสามารถลบข้อมูลอัตโนมัติในกรณีร้ายแรง
    มีให้เลือก 3 รุ่น: Lite ($249), Essential ($359), Premium ($489) ต่อปี
    ความเร็วอ่าน/เขียนสูงสุด 1,700MB/s และ 1,200MB/s ตามลำดับ
    เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น รัฐบาล อุตสาหกรรม และการแพทย์
    มีการฝังเซ็นเซอร์ตรวจจับการงัดแงะและระบบลายเซ็นดิจิทัลในเฟิร์มแวร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แรนซัมแวร์ยังคงเป็นภัยไซเบอร์อันดับต้น ๆ ที่สร้างความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี
    SSD ทั่วไปไม่มีระบบป้องกันภัยในระดับเฟิร์มแวร์ ทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีแบบลึก
    การฝัง AI ในระดับ low-level programming ช่วยลดการใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง
    ระบบ “Zero Trust” ที่ไม่เชื่อถือใครโดยอัตโนมัติ กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโลกไซเบอร์
    องค์กรกว่า 77% ยังไม่มีแผนรับมือภัยไซเบอร์ที่ชัดเจน ทำให้การป้องกันระดับฮาร์ดแวร์มีความสำคัญมากขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/this-secure-ssd-subscription-service-may-well-be-the-perfect-protection-against-physical-tampering-and-a-ransomware-attack-but-its-neither-cheap-nor-fast
    🛡️ “Flexxon เปิดตัว SSD ฝัง AI ป้องกันแรนซัมแวร์และการงัดแงะ — เมื่อความปลอดภัยเริ่มต้นที่ฮาร์ดแวร์” บริษัท Flexxon จากสิงคโปร์ได้เปิดตัว X-Phy SSD รุ่นใหม่ที่ฝังระบบปัญญาประดิษฐ์ไว้ในระดับเฟิร์มแวร์ เพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ทั้งจากระยะไกลและการโจมตีทางกายภาพ โดย SSD รุ่นนี้ไม่ใช่แค่ที่เก็บข้อมูลธรรมดา แต่เป็น “แนวป้องกันสุดท้าย” สำหรับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง เช่น หน่วยงานรัฐบาล โรงงานอุตสาหกรรม และสถานพยาบาล X-Phy ใช้ AI Quantum Engine ที่ฝังอยู่ในตัวควบคุม SSD เพื่อเฝ้าระวังภัยแบบเรียลไทม์ เช่น การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ การโคลนข้อมูล การรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และแม้แต่การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่อาจบ่งบอกถึงการงัดแงะ หากตรวจพบสิ่งผิดปกติ SSD จะล็อกตัวเองทันที และแจ้งเตือนผู้ใช้ผ่านระบบ authentication หรือในกรณีร้ายแรงสามารถลบข้อมูลทั้งหมดเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต X-Phy มีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ Lite, Essential และ Premium โดยแต่ละรุ่นมีระดับการป้องกันที่แตกต่างกัน พร้อมระบบ subscription รายปี เริ่มต้นที่ $249 ไปจนถึง $489 ต่อปี แม้ความเร็วในการอ่าน/เขียนจะต่ำกว่ารุ่น NVMe ทั่วไป แต่จุดเด่นของมันคือ “ความปลอดภัยระดับฮาร์ดแวร์” ที่ไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ภายนอก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Flexxon เปิดตัว SSD ฝัง AI รุ่น X-Phy เพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ระดับฮาร์ดแวร์ ➡️ ใช้ AI Quantum Engine ฝังในเฟิร์มแวร์เพื่อเฝ้าระวังภัยแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจจับแรนซัมแวร์ การโคลนข้อมูล การรบกวนคลื่นแม่เหล็ก และอุณหภูมิผิดปกติ ➡️ หากพบภัยคุกคาม SSD จะล็อกตัวเองและแจ้งเตือนผู้ใช้ทันที ➡️ มีระบบ authentication เพื่อปลดล็อก หรือสามารถลบข้อมูลอัตโนมัติในกรณีร้ายแรง ➡️ มีให้เลือก 3 รุ่น: Lite ($249), Essential ($359), Premium ($489) ต่อปี ➡️ ความเร็วอ่าน/เขียนสูงสุด 1,700MB/s และ 1,200MB/s ตามลำดับ ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น รัฐบาล อุตสาหกรรม และการแพทย์ ➡️ มีการฝังเซ็นเซอร์ตรวจจับการงัดแงะและระบบลายเซ็นดิจิทัลในเฟิร์มแวร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แรนซัมแวร์ยังคงเป็นภัยไซเบอร์อันดับต้น ๆ ที่สร้างความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี ➡️ SSD ทั่วไปไม่มีระบบป้องกันภัยในระดับเฟิร์มแวร์ ทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีแบบลึก ➡️ การฝัง AI ในระดับ low-level programming ช่วยลดการใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง ➡️ ระบบ “Zero Trust” ที่ไม่เชื่อถือใครโดยอัตโนมัติ กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโลกไซเบอร์ ➡️ องค์กรกว่า 77% ยังไม่มีแผนรับมือภัยไซเบอร์ที่ชัดเจน ทำให้การป้องกันระดับฮาร์ดแวร์มีความสำคัญมากขึ้น https://www.techradar.com/pro/this-secure-ssd-subscription-service-may-well-be-the-perfect-protection-against-physical-tampering-and-a-ransomware-attack-but-its-neither-cheap-nor-fast
    WWW.TECHRADAR.COM
    New AI powered SSD combines 1TB storage with ransomware and tamper protections
    X-Phy Guard Solution is available in Lite, Essential, or Premium subs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • “WebScreen: จอเสริมอัจฉริยะสำหรับเกมเมอร์และสายสร้างสรรค์ — เล็กแต่ล้ำ เปิดให้ปรับแต่งได้เต็มที่”

    ในยุคที่การแจ้งเตือนและข้อมูลไหลเข้ามาไม่หยุด WebScreen คืออุปกรณ์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณ “ไม่พลาดสิ่งสำคัญ” โดยไม่ต้องละสายตาจากงานหรือเกมที่กำลังเล่นอยู่ โดยมันคือจอ AMOLED ขนาดเล็กเพียง 1.9–2.1 นิ้ว ที่วางบนขอบจอหลักของคุณ และแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น สถิติระบบ, การแจ้งเตือน Discord, ปฏิทิน, หรือแม้แต่ข้อความจาก Twitch

    WebScreen พัฒนาโดย HW Media Lab โดยมี Pedro Martin และ Eleo Basili เป็นผู้ออกแบบหลัก ใช้ชิป ESP32-S3 เป็นหัวใจหลักของระบบ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C, Wi-Fi และ Bluetooth ทำให้สามารถใช้งานได้กับทั้ง Linux, Windows และ macOS

    ความโดดเด่นของ WebScreen คือความสามารถในการรันแอป JavaScript จาก microSD card ได้โดยตรง ผู้ใช้สามารถสร้าง widget ส่วนตัว เช่น ตัวจับเวลา Pomodoro, แจ้งเตือนสุขภาพ, หรือแม้แต่แดชบอร์ดสำหรับ stream ได้อย่างอิสระ และยังมีแผนเปิดตัว “WebScreen Marketplace” สำหรับแชร์แอปและสกินต่าง ๆ ระหว่างผู้ใช้

    ตัวเครื่องมีขนาดเบาเพียง 53 กรัม ติดตั้งง่ายด้วยขาตั้ง 1/4 นิ้ว และยังสามารถติดกล้องเว็บแคมไว้ด้านบนได้อีกด้วย ตัวเคสสามารถพิมพ์ 3D ได้เองจากไฟล์ที่เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี และปรับแต่งได้ตามใจชอบ

    WebScreen เปิดให้สนับสนุนผ่าน Crowd Supply ในราคา $99 โดยเป็นโครงการโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ ทั้งฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และไฟล์ออกแบบทั้งหมดเผยแพร่บน GitHub ภายใต้ MIT License เพื่อให้ชุมชนสามารถร่วมพัฒนาและปรับแต่งได้อย่างอิสระ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    WebScreen เป็นจอเสริมขนาดเล็กสำหรับแสดงการแจ้งเตือนและข้อมูลแบบเรียลไทม์
    ใช้จอ AMOLED ขนาด 1.9–2.1 นิ้ว ความละเอียด 240×536 พิกเซล
    ขับเคลื่อนด้วยชิป ESP32-S3 รองรับ USB-C, Wi-Fi และ Bluetooth
    รองรับการรันแอป JavaScript จาก microSD card โดยไม่ต้องแฟลชเฟิร์มแวร์
    มีขาตั้ง 1/4 นิ้ว และช่องติดตั้งเว็บแคมด้านบน
    เคสสามารถพิมพ์ 3D ได้จากไฟล์ที่เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี
    เปิดให้สนับสนุนผ่าน Crowd Supply ในราคา $99 จนถึง 5 พฤศจิกายน 2025
    โครงการเป็นโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ เผยแพร่ภายใต้ MIT License
    มีแผนเปิดตัว WebScreen Marketplace สำหรับแชร์แอปและสกิน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ESP32-S3 เป็นชิปที่นิยมในงาน IoT และ embedded systems เพราะมี Wi-Fi/BLE และประสิทธิภาพสูง
    การใช้ JavaScript บน microcontroller ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถพัฒนา widget ได้ง่าย
    การแสดงผลแบบ AMOLED ให้สีสันสดใสและประหยัดพลังงาน
    WebScreen เหมาะสำหรับเกมเมอร์, สตรีมเมอร์, และผู้ทำงานที่ต้องการข้อมูลเสริมโดยไม่รบกวนหน้าจอหลัก
    การเปิดโค้ดทั้งหมดช่วยให้ชุมชนสามารถพัฒนา plugin หรือปรับแต่ง hardware ได้อย่างอิสระ

    https://news.itsfoss.com/webscreen/
    🖥️ “WebScreen: จอเสริมอัจฉริยะสำหรับเกมเมอร์และสายสร้างสรรค์ — เล็กแต่ล้ำ เปิดให้ปรับแต่งได้เต็มที่” ในยุคที่การแจ้งเตือนและข้อมูลไหลเข้ามาไม่หยุด WebScreen คืออุปกรณ์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณ “ไม่พลาดสิ่งสำคัญ” โดยไม่ต้องละสายตาจากงานหรือเกมที่กำลังเล่นอยู่ โดยมันคือจอ AMOLED ขนาดเล็กเพียง 1.9–2.1 นิ้ว ที่วางบนขอบจอหลักของคุณ และแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น สถิติระบบ, การแจ้งเตือน Discord, ปฏิทิน, หรือแม้แต่ข้อความจาก Twitch WebScreen พัฒนาโดย HW Media Lab โดยมี Pedro Martin และ Eleo Basili เป็นผู้ออกแบบหลัก ใช้ชิป ESP32-S3 เป็นหัวใจหลักของระบบ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C, Wi-Fi และ Bluetooth ทำให้สามารถใช้งานได้กับทั้ง Linux, Windows และ macOS ความโดดเด่นของ WebScreen คือความสามารถในการรันแอป JavaScript จาก microSD card ได้โดยตรง ผู้ใช้สามารถสร้าง widget ส่วนตัว เช่น ตัวจับเวลา Pomodoro, แจ้งเตือนสุขภาพ, หรือแม้แต่แดชบอร์ดสำหรับ stream ได้อย่างอิสระ และยังมีแผนเปิดตัว “WebScreen Marketplace” สำหรับแชร์แอปและสกินต่าง ๆ ระหว่างผู้ใช้ ตัวเครื่องมีขนาดเบาเพียง 53 กรัม ติดตั้งง่ายด้วยขาตั้ง 1/4 นิ้ว และยังสามารถติดกล้องเว็บแคมไว้ด้านบนได้อีกด้วย ตัวเคสสามารถพิมพ์ 3D ได้เองจากไฟล์ที่เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี และปรับแต่งได้ตามใจชอบ WebScreen เปิดให้สนับสนุนผ่าน Crowd Supply ในราคา $99 โดยเป็นโครงการโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ ทั้งฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และไฟล์ออกแบบทั้งหมดเผยแพร่บน GitHub ภายใต้ MIT License เพื่อให้ชุมชนสามารถร่วมพัฒนาและปรับแต่งได้อย่างอิสระ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ WebScreen เป็นจอเสริมขนาดเล็กสำหรับแสดงการแจ้งเตือนและข้อมูลแบบเรียลไทม์ ➡️ ใช้จอ AMOLED ขนาด 1.9–2.1 นิ้ว ความละเอียด 240×536 พิกเซล ➡️ ขับเคลื่อนด้วยชิป ESP32-S3 รองรับ USB-C, Wi-Fi และ Bluetooth ➡️ รองรับการรันแอป JavaScript จาก microSD card โดยไม่ต้องแฟลชเฟิร์มแวร์ ➡️ มีขาตั้ง 1/4 นิ้ว และช่องติดตั้งเว็บแคมด้านบน ➡️ เคสสามารถพิมพ์ 3D ได้จากไฟล์ที่เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี ➡️ เปิดให้สนับสนุนผ่าน Crowd Supply ในราคา $99 จนถึง 5 พฤศจิกายน 2025 ➡️ โครงการเป็นโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ เผยแพร่ภายใต้ MIT License ➡️ มีแผนเปิดตัว WebScreen Marketplace สำหรับแชร์แอปและสกิน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ESP32-S3 เป็นชิปที่นิยมในงาน IoT และ embedded systems เพราะมี Wi-Fi/BLE และประสิทธิภาพสูง ➡️ การใช้ JavaScript บน microcontroller ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถพัฒนา widget ได้ง่าย ➡️ การแสดงผลแบบ AMOLED ให้สีสันสดใสและประหยัดพลังงาน ➡️ WebScreen เหมาะสำหรับเกมเมอร์, สตรีมเมอร์, และผู้ทำงานที่ต้องการข้อมูลเสริมโดยไม่รบกวนหน้าจอหลัก ➡️ การเปิดโค้ดทั้งหมดช่วยให้ชุมชนสามารถพัฒนา plugin หรือปรับแต่ง hardware ได้อย่างอิสระ https://news.itsfoss.com/webscreen/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Meet WebScreen: A Hackable Secondary Display for Gamers and Creators
    A customizable, open source monitor for delivering notifications, stats, and reminders.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ICY DOCK เปิดตัว CP154 อะแดปเตอร์แปลง M.2 NVMe เป็น E1.S — ทางเลือกใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ”

    ICY DOCK เปิดตัวผลิตภัณฑ์แนวคิดใหม่ชื่อว่า CP154 ซึ่งเป็นอะแดปเตอร์แบบ full-metal ที่สามารถแปลง SSD แบบ M.2 NVMe (ขนาด 2230/2242/2260/2280) ให้กลายเป็น SSD แบบ E1.S ขนาด 9.5 มม. ได้อย่างสมบูรณ์ โดยรองรับมาตรฐาน SFF-TA-1006 และ SFF-TA-1002 อย่างเต็มรูปแบบ

    จุดเด่นของ CP154 คือการออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรที่ใช้ถาด E1.S แบบ hot-swap ได้ทันที โดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม เหมาะสำหรับวิศวกรระบบ, ผู้ประกอบระบบภาคสนาม และทีม IT ที่ต้องการนำ SSD แบบ M.2 ที่มีอยู่แล้วมาใช้งานในโครงสร้าง E1.S ที่มีความเสถียรและประสิทธิภาพสูง

    นอกจากนี้ CP154 ยังมีการออกแบบภายในที่ใช้ bridge connector เพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2 ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในระบบที่มีการถอดเปลี่ยนบ่อย เช่น edge server หรือแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML

    โครงสร้างโลหะของอะแดปเตอร์ยังช่วยในการระบายความร้อนแบบ passive และป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ได้ดี ทำให้เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเสถียรสูง

    แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่ดูเรียบง่าย แต่ CP154 ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างโลกของ consumer-grade SSD กับระบบ enterprise-grade ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ICY DOCK เปิดตัวอะแดปเตอร์ CP154 สำหรับแปลง M.2 NVMe SSD เป็น E1.S SSD
    รองรับขนาด M.2 2230/2242/2260/2280 และความสูง 9.5 มม. ตามมาตรฐาน SFF-TA-1006
    ใช้ bridge connector ภายในเพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2
    รองรับ PCIe Gen 3/4/5 และความเร็วสูงสุดถึง 128 Gbps
    โครงสร้างโลหะช่วยระบายความร้อนและป้องกัน EMI
    เหมาะสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์, edge systems และแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML
    ใช้งานร่วมกับถาด E1.S แบบ hot-swap และโครงสร้างเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้มาตรฐาน SFF
    ช่วยให้สามารถนำ SSD แบบ M.2 มาใช้ในระบบ E1.S ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบสำหรับ OEM และวิศวกรระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    E1.S เป็นฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ที่ Intel และกลุ่ม OCP ผลักดันให้ใช้แทน U.2/U.3 ในดาต้าเซ็นเตอร์
    SSD แบบ M.2 มีราคาถูกและหาง่ายกว่ารุ่น enterprise-grade ทำให้เหมาะกับการทดสอบหรือใช้งานชั่วคราว
    Bridge connector ช่วยลดการสึกหรอของขอบคอนเนกเตอร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ M.2 ในการใช้งานระยะยาว
    Passive cooling มีข้อดีคือไม่มีเสียงรบกวนและไม่มีชิ้นส่วนที่สึกหรอ
    อะแดปเตอร์แบบนี้ช่วยให้สามารถใช้ SSD ที่มีอยู่แล้วในระบบใหม่ได้โดยไม่ต้องซื้อใหม่ทั้งหมด

    https://www.techpowerup.com/341352/icy-dock-unveils-cp154-concept-adapter-for-m-2-nvme-to-e1-s-ssd-conversion
    🔧 “ICY DOCK เปิดตัว CP154 อะแดปเตอร์แปลง M.2 NVMe เป็น E1.S — ทางเลือกใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ” ICY DOCK เปิดตัวผลิตภัณฑ์แนวคิดใหม่ชื่อว่า CP154 ซึ่งเป็นอะแดปเตอร์แบบ full-metal ที่สามารถแปลง SSD แบบ M.2 NVMe (ขนาด 2230/2242/2260/2280) ให้กลายเป็น SSD แบบ E1.S ขนาด 9.5 มม. ได้อย่างสมบูรณ์ โดยรองรับมาตรฐาน SFF-TA-1006 และ SFF-TA-1002 อย่างเต็มรูปแบบ จุดเด่นของ CP154 คือการออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรที่ใช้ถาด E1.S แบบ hot-swap ได้ทันที โดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม เหมาะสำหรับวิศวกรระบบ, ผู้ประกอบระบบภาคสนาม และทีม IT ที่ต้องการนำ SSD แบบ M.2 ที่มีอยู่แล้วมาใช้งานในโครงสร้าง E1.S ที่มีความเสถียรและประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ CP154 ยังมีการออกแบบภายในที่ใช้ bridge connector เพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2 ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในระบบที่มีการถอดเปลี่ยนบ่อย เช่น edge server หรือแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML โครงสร้างโลหะของอะแดปเตอร์ยังช่วยในการระบายความร้อนแบบ passive และป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ได้ดี ทำให้เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเสถียรสูง แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่ดูเรียบง่าย แต่ CP154 ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างโลกของ consumer-grade SSD กับระบบ enterprise-grade ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ICY DOCK เปิดตัวอะแดปเตอร์ CP154 สำหรับแปลง M.2 NVMe SSD เป็น E1.S SSD ➡️ รองรับขนาด M.2 2230/2242/2260/2280 และความสูง 9.5 มม. ตามมาตรฐาน SFF-TA-1006 ➡️ ใช้ bridge connector ภายในเพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2 ➡️ รองรับ PCIe Gen 3/4/5 และความเร็วสูงสุดถึง 128 Gbps ➡️ โครงสร้างโลหะช่วยระบายความร้อนและป้องกัน EMI ➡️ เหมาะสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์, edge systems และแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML ➡️ ใช้งานร่วมกับถาด E1.S แบบ hot-swap และโครงสร้างเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้มาตรฐาน SFF ➡️ ช่วยให้สามารถนำ SSD แบบ M.2 มาใช้ในระบบ E1.S ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบสำหรับ OEM และวิศวกรระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ E1.S เป็นฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ที่ Intel และกลุ่ม OCP ผลักดันให้ใช้แทน U.2/U.3 ในดาต้าเซ็นเตอร์ ➡️ SSD แบบ M.2 มีราคาถูกและหาง่ายกว่ารุ่น enterprise-grade ทำให้เหมาะกับการทดสอบหรือใช้งานชั่วคราว ➡️ Bridge connector ช่วยลดการสึกหรอของขอบคอนเนกเตอร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ M.2 ในการใช้งานระยะยาว ➡️ Passive cooling มีข้อดีคือไม่มีเสียงรบกวนและไม่มีชิ้นส่วนที่สึกหรอ ➡️ อะแดปเตอร์แบบนี้ช่วยให้สามารถใช้ SSD ที่มีอยู่แล้วในระบบใหม่ได้โดยไม่ต้องซื้อใหม่ทั้งหมด https://www.techpowerup.com/341352/icy-dock-unveils-cp154-concept-adapter-for-m-2-nvme-to-e1-s-ssd-conversion
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Icy Dock Unveils CP154 Concept Adapter for M.2 NVMe to E1.S SSD Conversion
    The ICY DOCK CP154 is a full-metal converter that transforms a standard M.2 NVMe SSD (2230/2242/2260/2280) into a 9.5 mm E1.S SSD form factor with full SFF-TA-1006 interface compliance. Designed to bridge the gap between affordable M.2 storage and enterprise-grade E1.S systems, CP154 enables system ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Snapdragon X2 Elite mini PC: เล็กเท่าจานรองแก้ว แต่แรงระดับเวิร์กสเตชัน — เย็นด้วย AirJet ไร้พัดลม”

    ในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ Maui, Qualcomm ได้เปิดตัวชิป Snapdragon X2 Elite และ Elite Extreme สำหรับพีซี Windows โดยมีการโชว์ reference design ที่น่าทึ่งที่สุดคือ mini PC ขนาดเล็กบางเฉียบ รูปทรงกลมคล้ายจานรองแก้ว และอีกแบบที่เป็นสี่เหลี่ยมบางเท่าพอร์ต USB-C ซึ่งสามารถเสียบเข้าฐานจอภาพแบบ all-in-one ได้โดยตรง

    สิ่งที่ทำให้หลายคนตั้งคำถามคือ “เครื่องบางขนาดนี้จะระบายความร้อนยังไง?” คำตอบคือ Frore AirJet — เทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ solid-state ที่ใช้คลื่นอัลตราโซนิกแทนพัดลมในการผลักอากาศผ่านฮีตซิงก์ ทำให้เครื่องสามารถระบายความร้อนได้โดยไม่มีชิ้นส่วนหมุน ลดเสียงรบกวนและความเสี่ยงจากการสึกหรอ

    Snapdragon X2 Elite Extreme ที่ใช้ใน reference design นี้มีถึง 18 คอร์ และสามารถ boost ได้ถึง 5 GHz พร้อมรองรับแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 228 GB/s ซึ่งถือว่าแรงกว่ารุ่น X2 Elite ปกติ และสามารถรองรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การตัดต่อวิดีโอ, การประมวลผล AI, และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่

    ตัวเครื่องถูกออกแบบด้วยวัสดุอะลูมิเนียมสีแดง Snapdragon มีพอร์ต USB-C สองช่อง, ช่องเสียบหูฟัง และพอร์ตพลังงานแบบ barrel jack โดยไม่มีพัดลมเลยแม้แต่ตัวเดียว

    แม้จะยังไม่มีการประกาศว่าจะผลิตเพื่อจำหน่ายจริงหรือไม่ แต่ Qualcomm ยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ OEM จากไต้หวันอย่างน้อย 3 ราย เพื่อพัฒนาแนวคิดนี้ต่อไป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Qualcomm เปิดตัว Snapdragon X2 Elite และ Elite Extreme สำหรับพีซี Windows
    Reference design mini PC มีสองรูปแบบ: ทรงกลมบางเฉียบ และแบบสี่เหลี่ยมเสียบฐานจอ
    ใช้เทคโนโลยี Frore AirJet ในการระบายความร้อนแบบไร้พัดลม
    AirJet ใช้คลื่นอัลตราโซนิกในการผลักอากาศผ่านฮีตซิงก์
    Snapdragon X2 Elite Extreme มี 18 คอร์ และ boost ได้ถึง 5 GHz
    รองรับแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 228 GB/s
    ตัวเครื่องมีพอร์ต USB-C, ช่องหูฟัง และ barrel jack สำหรับพลังงาน
    ดีไซน์บางเฉียบและเงียบ เหมาะสำหรับการใช้งานระดับมืออาชีพ
    Qualcomm ร่วมมือกับ OEM จากไต้หวันเพื่อพัฒนาแนวคิดนี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AirJet เคยถูกใช้ใน Wi-Fi hotspot สำหรับหน่วยกู้ภัยของ AT&T
    Snapdragon X2 Elite Extreme มี NPU 80 TOPS ซึ่งเป็น NPU ที่เร็วที่สุดในโลกสำหรับแล็ปท็อป
    ชิปนี้ใช้ CPU Qualcomm Oryon รุ่นที่ 3 ที่เร็วกว่า CPU คู่แข่งถึง 75% ที่พลังงานเท่ากัน
    GPU Adreno ใหม่มีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงขึ้นถึง 2.3 เท่า
    ดีไซน์แบบ modular all-in-one ช่วยให้สามารถอัปเกรดเฉพาะส่วนประมวลผลได้ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/qualcomms-snapdragon-x2-elite-reference-mini-pc-looks-like-a-coaster-some-designs-are-cooled-by-frore-airjets
    🖥️ “Snapdragon X2 Elite mini PC: เล็กเท่าจานรองแก้ว แต่แรงระดับเวิร์กสเตชัน — เย็นด้วย AirJet ไร้พัดลม” ในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ Maui, Qualcomm ได้เปิดตัวชิป Snapdragon X2 Elite และ Elite Extreme สำหรับพีซี Windows โดยมีการโชว์ reference design ที่น่าทึ่งที่สุดคือ mini PC ขนาดเล็กบางเฉียบ รูปทรงกลมคล้ายจานรองแก้ว และอีกแบบที่เป็นสี่เหลี่ยมบางเท่าพอร์ต USB-C ซึ่งสามารถเสียบเข้าฐานจอภาพแบบ all-in-one ได้โดยตรง สิ่งที่ทำให้หลายคนตั้งคำถามคือ “เครื่องบางขนาดนี้จะระบายความร้อนยังไง?” คำตอบคือ Frore AirJet — เทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ solid-state ที่ใช้คลื่นอัลตราโซนิกแทนพัดลมในการผลักอากาศผ่านฮีตซิงก์ ทำให้เครื่องสามารถระบายความร้อนได้โดยไม่มีชิ้นส่วนหมุน ลดเสียงรบกวนและความเสี่ยงจากการสึกหรอ Snapdragon X2 Elite Extreme ที่ใช้ใน reference design นี้มีถึง 18 คอร์ และสามารถ boost ได้ถึง 5 GHz พร้อมรองรับแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 228 GB/s ซึ่งถือว่าแรงกว่ารุ่น X2 Elite ปกติ และสามารถรองรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การตัดต่อวิดีโอ, การประมวลผล AI, และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ตัวเครื่องถูกออกแบบด้วยวัสดุอะลูมิเนียมสีแดง Snapdragon มีพอร์ต USB-C สองช่อง, ช่องเสียบหูฟัง และพอร์ตพลังงานแบบ barrel jack โดยไม่มีพัดลมเลยแม้แต่ตัวเดียว แม้จะยังไม่มีการประกาศว่าจะผลิตเพื่อจำหน่ายจริงหรือไม่ แต่ Qualcomm ยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ OEM จากไต้หวันอย่างน้อย 3 ราย เพื่อพัฒนาแนวคิดนี้ต่อไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Qualcomm เปิดตัว Snapdragon X2 Elite และ Elite Extreme สำหรับพีซี Windows ➡️ Reference design mini PC มีสองรูปแบบ: ทรงกลมบางเฉียบ และแบบสี่เหลี่ยมเสียบฐานจอ ➡️ ใช้เทคโนโลยี Frore AirJet ในการระบายความร้อนแบบไร้พัดลม ➡️ AirJet ใช้คลื่นอัลตราโซนิกในการผลักอากาศผ่านฮีตซิงก์ ➡️ Snapdragon X2 Elite Extreme มี 18 คอร์ และ boost ได้ถึง 5 GHz ➡️ รองรับแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 228 GB/s ➡️ ตัวเครื่องมีพอร์ต USB-C, ช่องหูฟัง และ barrel jack สำหรับพลังงาน ➡️ ดีไซน์บางเฉียบและเงียบ เหมาะสำหรับการใช้งานระดับมืออาชีพ ➡️ Qualcomm ร่วมมือกับ OEM จากไต้หวันเพื่อพัฒนาแนวคิดนี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AirJet เคยถูกใช้ใน Wi-Fi hotspot สำหรับหน่วยกู้ภัยของ AT&T ➡️ Snapdragon X2 Elite Extreme มี NPU 80 TOPS ซึ่งเป็น NPU ที่เร็วที่สุดในโลกสำหรับแล็ปท็อป ➡️ ชิปนี้ใช้ CPU Qualcomm Oryon รุ่นที่ 3 ที่เร็วกว่า CPU คู่แข่งถึง 75% ที่พลังงานเท่ากัน ➡️ GPU Adreno ใหม่มีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงขึ้นถึง 2.3 เท่า ➡️ ดีไซน์แบบ modular all-in-one ช่วยให้สามารถอัปเกรดเฉพาะส่วนประมวลผลได้ในอนาคต https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/qualcomms-snapdragon-x2-elite-reference-mini-pc-looks-like-a-coaster-some-designs-are-cooled-by-frore-airjets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Sony เปิดตัว Pulse Elevate ลำโพงไร้สายสำหรับเกมเมอร์ PC และ PS5 — เสียงสมจริง ดีไซน์พกพา พร้อมไมค์ AI ตัดเสียงรบกวน”

    ในงาน State of Play ล่าสุด Sony ได้เผยโฉม “Pulse Elevate” ลำโพงไร้สายรุ่นแรกที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์บนเดสก์ท็อปโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ PC, Mac หรือ PS5 ลำโพงรุ่นนี้ถือเป็นการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Pulse Audio ที่เคยมีทั้งหูฟัง Pulse Elite และหูฟังไร้สาย Pulse Explore มาก่อน

    Pulse Elevate มาพร้อมเทคโนโลยี PlayStation Link ที่ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำมาก เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำของเสียงแบบเรียลไทม์ โดยใช้ไดรเวอร์แบบ planar magnetic ซึ่งให้เสียงที่สมจริงครอบคลุมทุกย่านความถี่ พร้อมวูฟเฟอร์ในตัวเพื่อเพิ่มพลังเสียงเบสให้ “รู้สึกถึงแรงกระแทก” ในเกม

    ลำโพงยังมีไมโครโฟนในตัวที่ฝังอยู่ในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI noise rejection ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทำให้สามารถใช้สนทนาเสียงได้โดยไม่ต้องใส่หูฟัง นอกจากนี้ยังมีปุ่มปรับเสียงและ EQ ที่สามารถตั้งค่าได้ผ่าน PS5 และ PC (Mac ยังไม่รองรับการปรับแต่งเต็มรูปแบบ)

    Pulse Elevate รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link ทำให้สามารถฟังเสียงเกมจาก PS5 พร้อมกับเสียงเพลงหรือแชทจากมือถือได้ในเวลาเดียวกัน ลำโพงยังมีแบตเตอรี่ในตัวและแท่นชาร์จ ทำให้สามารถพกพาไปใช้งานกับ PlayStation Portal หรือสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวก

    Sony ระบุว่าจะวางจำหน่ายในปี 2026 โดยมีสองสีให้เลือกคือ Midnight Black และ White แต่ยังไม่เปิดเผยราคาจำหน่ายในขณะนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Pulse Elevate เป็นลำโพงไร้สายรุ่นแรกของ Sony สำหรับเกมเมอร์เดสก์ท็อป
    รองรับ PS5, PC, Mac และ PlayStation Portal
    ใช้เทคโนโลยี PlayStation Link ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำ
    ใช้ไดรเวอร์ planar magnetic พร้อมวูฟเฟอร์ในตัว
    มีไมโครโฟนฝังในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI ตัดเสียงรบกวน
    รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link
    มีแบตเตอรี่ในตัว พร้อมแท่นชาร์จสำหรับใช้งานแบบพกพา
    ปรับแต่ง EQ, sidetone, volume และ mic mute ได้บน PS5 และ PC
    วางจำหน่ายปี 2026 มีสองสี Midnight Black และ White

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ไดรเวอร์ planar magnetic มักใช้ในหูฟังระดับสตูดิโอ ให้เสียงแม่นยำและสมจริง
    Tempest 3D AudioTech บน PS5 ช่วยให้เสียงมีมิติและตำแหน่งที่แม่นยำในเกม
    ลำโพงไร้สายแบบพกพาที่มี latency ต่ำยังหาได้ยากในตลาดเกมมิ่ง
    การมีไมค์ในตัวช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องพึ่งหูฟังสำหรับแชทเสียง
    การเชื่อมต่อแบบคู่ช่วยให้ผู้ใช้จัดการเสียงจากหลายอุปกรณ์ได้อย่างยืดหยุ่น

    https://www.tomshardware.com/speakers/sony-unveils-first-ever-wireless-desktop-speakers-for-pc-gamers-with-planar-magnetic-drivers-sleek-design-features-microphone-and-battery-also-work-with-mac-and-ps5
    🔊 “Sony เปิดตัว Pulse Elevate ลำโพงไร้สายสำหรับเกมเมอร์ PC และ PS5 — เสียงสมจริง ดีไซน์พกพา พร้อมไมค์ AI ตัดเสียงรบกวน” ในงาน State of Play ล่าสุด Sony ได้เผยโฉม “Pulse Elevate” ลำโพงไร้สายรุ่นแรกที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์บนเดสก์ท็อปโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ PC, Mac หรือ PS5 ลำโพงรุ่นนี้ถือเป็นการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Pulse Audio ที่เคยมีทั้งหูฟัง Pulse Elite และหูฟังไร้สาย Pulse Explore มาก่อน Pulse Elevate มาพร้อมเทคโนโลยี PlayStation Link ที่ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำมาก เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำของเสียงแบบเรียลไทม์ โดยใช้ไดรเวอร์แบบ planar magnetic ซึ่งให้เสียงที่สมจริงครอบคลุมทุกย่านความถี่ พร้อมวูฟเฟอร์ในตัวเพื่อเพิ่มพลังเสียงเบสให้ “รู้สึกถึงแรงกระแทก” ในเกม ลำโพงยังมีไมโครโฟนในตัวที่ฝังอยู่ในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI noise rejection ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทำให้สามารถใช้สนทนาเสียงได้โดยไม่ต้องใส่หูฟัง นอกจากนี้ยังมีปุ่มปรับเสียงและ EQ ที่สามารถตั้งค่าได้ผ่าน PS5 และ PC (Mac ยังไม่รองรับการปรับแต่งเต็มรูปแบบ) Pulse Elevate รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link ทำให้สามารถฟังเสียงเกมจาก PS5 พร้อมกับเสียงเพลงหรือแชทจากมือถือได้ในเวลาเดียวกัน ลำโพงยังมีแบตเตอรี่ในตัวและแท่นชาร์จ ทำให้สามารถพกพาไปใช้งานกับ PlayStation Portal หรือสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวก Sony ระบุว่าจะวางจำหน่ายในปี 2026 โดยมีสองสีให้เลือกคือ Midnight Black และ White แต่ยังไม่เปิดเผยราคาจำหน่ายในขณะนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Pulse Elevate เป็นลำโพงไร้สายรุ่นแรกของ Sony สำหรับเกมเมอร์เดสก์ท็อป ➡️ รองรับ PS5, PC, Mac และ PlayStation Portal ➡️ ใช้เทคโนโลยี PlayStation Link ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำ ➡️ ใช้ไดรเวอร์ planar magnetic พร้อมวูฟเฟอร์ในตัว ➡️ มีไมโครโฟนฝังในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI ตัดเสียงรบกวน ➡️ รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link ➡️ มีแบตเตอรี่ในตัว พร้อมแท่นชาร์จสำหรับใช้งานแบบพกพา ➡️ ปรับแต่ง EQ, sidetone, volume และ mic mute ได้บน PS5 และ PC ➡️ วางจำหน่ายปี 2026 มีสองสี Midnight Black และ White ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ไดรเวอร์ planar magnetic มักใช้ในหูฟังระดับสตูดิโอ ให้เสียงแม่นยำและสมจริง ➡️ Tempest 3D AudioTech บน PS5 ช่วยให้เสียงมีมิติและตำแหน่งที่แม่นยำในเกม ➡️ ลำโพงไร้สายแบบพกพาที่มี latency ต่ำยังหาได้ยากในตลาดเกมมิ่ง ➡️ การมีไมค์ในตัวช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องพึ่งหูฟังสำหรับแชทเสียง ➡️ การเชื่อมต่อแบบคู่ช่วยให้ผู้ใช้จัดการเสียงจากหลายอุปกรณ์ได้อย่างยืดหยุ่น https://www.tomshardware.com/speakers/sony-unveils-first-ever-wireless-desktop-speakers-for-pc-gamers-with-planar-magnetic-drivers-sleek-design-features-microphone-and-battery-also-work-with-mac-and-ps5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AirPods Pro 3 เปลี่ยนเกมหูฟังอินเอียร์ — ใส่สบายขึ้น เสียงดีขึ้น และฉลาดขึ้นกว่าที่เคย”

    ใครที่เคยผิดหวังกับการใส่ AirPods แล้วหลุดง่าย หรือรู้สึกไม่พอดีกับหูตัวเอง อาจต้องกลับมามองใหม่ เพราะ AirPods Pro 3 รุ่นล่าสุดจาก Apple ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในเรื่อง “ความพอดี” และ “ความฉลาด” โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยมีปัญหากับหูฟังอินเอียร์แบบเดิม ๆ

    แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายกับรุ่นก่อน แต่ภายในมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โดยเฉพาะ “จุกหูฟังแบบใหม่” ที่ใช้โฟมผสมซิลิโคน ซึ่ง Apple จดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว ช่วยให้แนบสนิทกับรูหูมากขึ้น และลดการหลุดระหว่างใช้งาน แม้จะเขย่าหัวหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ยังอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคง

    AirPods Pro 3 ยังมาพร้อมจุกหูฟังถึง 5 ขนาด รวมถึงขนาด XXS สำหรับคนหูเล็ก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Apple เพิ่มตัวเลือกนี้เข้ามา และการเปลี่ยนจุกก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิค “พลิกซิลิโคนแล้วดึง” แทนการบิดที่อาจทำให้ยางขาด

    ความพอดีที่ดีขึ้นยังส่งผลต่อคุณภาพเสียงและระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ที่ Apple เคลมว่า “แรงขึ้น 2 เท่า” เมื่อเทียบกับรุ่น Pro 2 โดยมีการปรับช่องระบายอากาศใหม่ เพิ่มการตอบสนองเสียงเบส และปรับมุมของจุกหูฟังให้เสียงพุ่งตรงเข้าสู่หูมากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่สามารถทำงานร่วมกับแอป Fitness บน iPhone ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ Apple Watch และระบบ Live Translation ที่ใช้ AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์ระหว่างการสนทนา

    แบตเตอรี่ก็อึดขึ้น โดยใช้งานได้ถึง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรวมสูงสุด 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ซึ่งรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AirPods Pro 3 ใช้จุกหูฟังแบบโฟมผสมซิลิโคนที่จดสิทธิบัตรใหม่
    มีจุกหูฟังให้เลือก 5 ขนาด รวมถึง XXS สำหรับคนหูเล็ก
    การเปลี่ยนจุกทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิคพลิกซิลิโคนแล้วดึง
    ระบบ ANC แรงขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ AirPods Pro 2
    ปรับช่องระบายอากาศและมุมจุกหูฟังเพื่อเสียงที่แม่นยำขึ้น
    เพิ่มเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ใช้งานร่วมกับแอป Fitness ได้
    รองรับ Live Translation ด้วย AI แบบเรียลไทม์
    แบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมงต่อครั้ง และรวม 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส
    เคสรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AirPods Pro 3 มีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP57 ดีกว่ารุ่นก่อนที่เป็น IP54
    ระบบ Adaptive EQ และ Transparency mode ถูกปรับปรุงให้เสียงธรรมชาติมากขึ้น
    เซนเซอร์วัดหัวใจใช้เทคโนโลยี PPG แบบอินฟราเรด 256 ครั้งต่อวินาที
    ระบบ Precision Finding ในเคสมีระยะค้นหาเพิ่มขึ้น 50%
    การตัดเสียงรบกวนของ AirPods Pro 3 เทียบชั้นกับ Bose QuietComfort Ultra

    https://www.slashgear.com/1978857/apple-airpods-pro-3-fit-vs-pro-2-comparison/
    🎧 “AirPods Pro 3 เปลี่ยนเกมหูฟังอินเอียร์ — ใส่สบายขึ้น เสียงดีขึ้น และฉลาดขึ้นกว่าที่เคย” ใครที่เคยผิดหวังกับการใส่ AirPods แล้วหลุดง่าย หรือรู้สึกไม่พอดีกับหูตัวเอง อาจต้องกลับมามองใหม่ เพราะ AirPods Pro 3 รุ่นล่าสุดจาก Apple ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในเรื่อง “ความพอดี” และ “ความฉลาด” โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยมีปัญหากับหูฟังอินเอียร์แบบเดิม ๆ แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายกับรุ่นก่อน แต่ภายในมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โดยเฉพาะ “จุกหูฟังแบบใหม่” ที่ใช้โฟมผสมซิลิโคน ซึ่ง Apple จดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว ช่วยให้แนบสนิทกับรูหูมากขึ้น และลดการหลุดระหว่างใช้งาน แม้จะเขย่าหัวหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ยังอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคง AirPods Pro 3 ยังมาพร้อมจุกหูฟังถึง 5 ขนาด รวมถึงขนาด XXS สำหรับคนหูเล็ก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Apple เพิ่มตัวเลือกนี้เข้ามา และการเปลี่ยนจุกก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิค “พลิกซิลิโคนแล้วดึง” แทนการบิดที่อาจทำให้ยางขาด ความพอดีที่ดีขึ้นยังส่งผลต่อคุณภาพเสียงและระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ที่ Apple เคลมว่า “แรงขึ้น 2 เท่า” เมื่อเทียบกับรุ่น Pro 2 โดยมีการปรับช่องระบายอากาศใหม่ เพิ่มการตอบสนองเสียงเบส และปรับมุมของจุกหูฟังให้เสียงพุ่งตรงเข้าสู่หูมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่สามารถทำงานร่วมกับแอป Fitness บน iPhone ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ Apple Watch และระบบ Live Translation ที่ใช้ AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์ระหว่างการสนทนา แบตเตอรี่ก็อึดขึ้น โดยใช้งานได้ถึง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรวมสูงสุด 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ซึ่งรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AirPods Pro 3 ใช้จุกหูฟังแบบโฟมผสมซิลิโคนที่จดสิทธิบัตรใหม่ ➡️ มีจุกหูฟังให้เลือก 5 ขนาด รวมถึง XXS สำหรับคนหูเล็ก ➡️ การเปลี่ยนจุกทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิคพลิกซิลิโคนแล้วดึง ➡️ ระบบ ANC แรงขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ AirPods Pro 2 ➡️ ปรับช่องระบายอากาศและมุมจุกหูฟังเพื่อเสียงที่แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่มเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ใช้งานร่วมกับแอป Fitness ได้ ➡️ รองรับ Live Translation ด้วย AI แบบเรียลไทม์ ➡️ แบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมงต่อครั้ง และรวม 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ➡️ เคสรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AirPods Pro 3 มีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP57 ดีกว่ารุ่นก่อนที่เป็น IP54 ➡️ ระบบ Adaptive EQ และ Transparency mode ถูกปรับปรุงให้เสียงธรรมชาติมากขึ้น ➡️ เซนเซอร์วัดหัวใจใช้เทคโนโลยี PPG แบบอินฟราเรด 256 ครั้งต่อวินาที ➡️ ระบบ Precision Finding ในเคสมีระยะค้นหาเพิ่มขึ้น 50% ➡️ การตัดเสียงรบกวนของ AirPods Pro 3 เทียบชั้นกับ Bose QuietComfort Ultra https://www.slashgear.com/1978857/apple-airpods-pro-3-fit-vs-pro-2-comparison/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Apple AirPods Never Quite Fit Me, But The New AirPods Pro 3 Changed That - SlashGear
    I was prepared to struggle with AirPods Pro 3, but they proved to fit my ears better than any previous iteration of Apple's earbuds. The smaller tips helped.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Helium Browser: เบราว์เซอร์ที่ไม่ขอข้อมูลคุณแม้แต่บิตเดียว — เมื่อความเป็นส่วนตัวกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ไม่ใช่แค่ตัวเลือก”

    ในยุคที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยโฆษณา การติดตาม และการเก็บข้อมูลผู้ใช้ Helium Browser ได้เปิดตัวเวอร์ชัน ALPHA สำหรับ Windows 10/11 โดยชูจุดขายว่าเป็น “เบราว์เซอร์ที่เคารพผู้ใช้” อย่างแท้จริง ด้วยแนวคิดว่า “ความเป็นส่วนตัวควรเป็นค่าเริ่มต้น ไม่ใช่ตัวเลือกซ่อนอยู่ในเมนู”

    Helium ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Chromium แต่ตัดทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป — ไม่มีโฆษณา ไม่มีการติดตาม ไม่มีการส่งข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีการร้องขอสิทธิ์แปลก ๆ เมื่อเปิดใช้งานครั้งแรก แม้แต่การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็จะไม่เกิดขึ้นหากผู้ใช้ไม่อนุญาต

    เบราว์เซอร์นี้มาพร้อมกับ uBlock Origin ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า ซึ่งช่วยบล็อกโฆษณา ตัวติดตาม คุกกี้จากบุคคลที่สาม ฟิชชิง และแม้แต่ cryptominers โดยไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม และไม่มีข้อยกเว้นที่แอบแฝงเหมือนเบราว์เซอร์อื่น ๆ

    Helium ยังรองรับฟีเจอร์เฉพาะตัว เช่น split view สำหรับเปิดหลายหน้าเว็บพร้อมกัน, !bangs สำหรับเข้าถึงเว็บไซต์โดยตรงแบบไม่ผ่าน search engine, และการติดตั้งเว็บแอปให้เป็นแอปเดสก์ท็อปโดยไม่ต้องใช้ Chrome

    สำหรับนักพัฒนา Helium ยังรักษามาตรฐานเว็บทั้งหมด และปรับปรุง DevTools ให้สะอาด ไม่มีการแจ้งเตือนที่รบกวน พร้อมรองรับส่วนขยายแบบ MV2 โดยไม่ส่งข้อมูลไปยัง Chrome Web Store ทำให้ Google ไม่สามารถติดตามการดาวน์โหลดส่วนขยายได้

    ที่สำคัญคือ Helium เปิดซอร์สทั้งหมด — รวมถึงบริการออนไลน์ — และอนุญาตให้ผู้ใช้โฮสต์เองได้อย่างอิสระ พร้อมระบบอัปเดตที่ปลอดภัยผ่าน SignPath.io และการบังคับใช้ HTTPS ทุกเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Helium Browser เปิดตัวเวอร์ชัน ALPHA สำหรับ Windows 10/11
    สร้างบน Chromium แต่ไม่มีโฆษณา ตัวติดตาม หรือการส่งข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดใช้งานครั้งแรก
    ติดตั้ง uBlock Origin ล่วงหน้าเพื่อบล็อกโฆษณาและภัยคุกคามออนไลน์
    รองรับ split view, !bangs, และการติดตั้งเว็บแอปเป็นแอปเดสก์ท็อป
    รองรับส่วนขยาย MV2 โดยไม่ส่งข้อมูลไปยัง Chrome Web Store
    เปิดซอร์สทั้งหมด รวมถึงบริการออนไลน์ และสามารถโฮสต์เองได้
    ใช้ระบบอัปเดตผ่าน SignPath.io พร้อมการบังคับใช้ HTTPS ทุกเว็บไซต์
    ไม่มีระบบ sync หรือ password manager เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว
    อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ไม่รบกวนผู้ใช้ และไม่มีการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    !bangs เป็นฟีเจอร์ที่เริ่มต้นจาก DuckDuckGo แต่ Helium ทำให้ทำงานแบบออฟไลน์ได้
    การไม่ใช้ password manager ภายในเบราว์เซอร์ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกแฮกแบบ centralized
    การเปิดซอร์สทั้งหมดช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความปลอดภัยได้ด้วยตนเอง
    Helium ใช้แนวคิด “respectful by design” คือไม่ทำอะไรโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเร็ว ความเรียบง่าย และความเป็นส่วนตัวสูงสุด

    https://helium.computer/
    🛡️ “Helium Browser: เบราว์เซอร์ที่ไม่ขอข้อมูลคุณแม้แต่บิตเดียว — เมื่อความเป็นส่วนตัวกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ไม่ใช่แค่ตัวเลือก” ในยุคที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยโฆษณา การติดตาม และการเก็บข้อมูลผู้ใช้ Helium Browser ได้เปิดตัวเวอร์ชัน ALPHA สำหรับ Windows 10/11 โดยชูจุดขายว่าเป็น “เบราว์เซอร์ที่เคารพผู้ใช้” อย่างแท้จริง ด้วยแนวคิดว่า “ความเป็นส่วนตัวควรเป็นค่าเริ่มต้น ไม่ใช่ตัวเลือกซ่อนอยู่ในเมนู” Helium ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Chromium แต่ตัดทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป — ไม่มีโฆษณา ไม่มีการติดตาม ไม่มีการส่งข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีการร้องขอสิทธิ์แปลก ๆ เมื่อเปิดใช้งานครั้งแรก แม้แต่การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็จะไม่เกิดขึ้นหากผู้ใช้ไม่อนุญาต เบราว์เซอร์นี้มาพร้อมกับ uBlock Origin ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า ซึ่งช่วยบล็อกโฆษณา ตัวติดตาม คุกกี้จากบุคคลที่สาม ฟิชชิง และแม้แต่ cryptominers โดยไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม และไม่มีข้อยกเว้นที่แอบแฝงเหมือนเบราว์เซอร์อื่น ๆ Helium ยังรองรับฟีเจอร์เฉพาะตัว เช่น split view สำหรับเปิดหลายหน้าเว็บพร้อมกัน, !bangs สำหรับเข้าถึงเว็บไซต์โดยตรงแบบไม่ผ่าน search engine, และการติดตั้งเว็บแอปให้เป็นแอปเดสก์ท็อปโดยไม่ต้องใช้ Chrome สำหรับนักพัฒนา Helium ยังรักษามาตรฐานเว็บทั้งหมด และปรับปรุง DevTools ให้สะอาด ไม่มีการแจ้งเตือนที่รบกวน พร้อมรองรับส่วนขยายแบบ MV2 โดยไม่ส่งข้อมูลไปยัง Chrome Web Store ทำให้ Google ไม่สามารถติดตามการดาวน์โหลดส่วนขยายได้ ที่สำคัญคือ Helium เปิดซอร์สทั้งหมด — รวมถึงบริการออนไลน์ — และอนุญาตให้ผู้ใช้โฮสต์เองได้อย่างอิสระ พร้อมระบบอัปเดตที่ปลอดภัยผ่าน SignPath.io และการบังคับใช้ HTTPS ทุกเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Helium Browser เปิดตัวเวอร์ชัน ALPHA สำหรับ Windows 10/11 ➡️ สร้างบน Chromium แต่ไม่มีโฆษณา ตัวติดตาม หรือการส่งข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดใช้งานครั้งแรก ➡️ ติดตั้ง uBlock Origin ล่วงหน้าเพื่อบล็อกโฆษณาและภัยคุกคามออนไลน์ ➡️ รองรับ split view, !bangs, และการติดตั้งเว็บแอปเป็นแอปเดสก์ท็อป ➡️ รองรับส่วนขยาย MV2 โดยไม่ส่งข้อมูลไปยัง Chrome Web Store ➡️ เปิดซอร์สทั้งหมด รวมถึงบริการออนไลน์ และสามารถโฮสต์เองได้ ➡️ ใช้ระบบอัปเดตผ่าน SignPath.io พร้อมการบังคับใช้ HTTPS ทุกเว็บไซต์ ➡️ ไม่มีระบบ sync หรือ password manager เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ไม่รบกวนผู้ใช้ และไม่มีการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ !bangs เป็นฟีเจอร์ที่เริ่มต้นจาก DuckDuckGo แต่ Helium ทำให้ทำงานแบบออฟไลน์ได้ ➡️ การไม่ใช้ password manager ภายในเบราว์เซอร์ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกแฮกแบบ centralized ➡️ การเปิดซอร์สทั้งหมดช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความปลอดภัยได้ด้วยตนเอง ➡️ Helium ใช้แนวคิด “respectful by design” คือไม่ทำอะไรโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเร็ว ความเรียบง่าย และความเป็นส่วนตัวสูงสุด https://helium.computer/
    HELIUM.COMPUTER
    Helium Browser
    The web browser made for people, with love. Best privacy by default, unbiased ad-blocking, no bloat and no noise. Fully open source.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮ่องกง เซินเจิ้น 6,999

    🗓 จำนวนวัน 3วัน 2คืน
    ✈ EK-เอมิเรตส์แอร์ไลน์
    พักโรงแรม

    วัดกวนอู
    เมืองโบราณหนานโถว
    เมืองจำลองฮอลแลนด์
    ตงเหมินไนท์มาร์เก็ต
    วัดแชกงหมิว
    วัดหวังต้าเซียน
    วัดเจ้าแม่กวนอิมฮ่องฮำ
    จิมซาจุ่ย

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์ฮ่องกง #hongkong #เซินเจิ้น #shenzhen
    #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา
    #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    🔥ฮ่องกง เซินเจิ้น 🤑 6,999 🔥 🗓 จำนวนวัน 3วัน 2คืน ✈ EK-เอมิเรตส์แอร์ไลน์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐⭐ 📍 วัดกวนอู 📍 เมืองโบราณหนานโถว 📍 เมืองจำลองฮอลแลนด์ 📍 ตงเหมินไนท์มาร์เก็ต 📍 วัดแชกงหมิว 📍 วัดหวังต้าเซียน 📍 วัดเจ้าแม่กวนอิมฮ่องฮำ 📍 จิมซาจุ่ย รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์ฮ่องกง #hongkong #เซินเจิ้น #shenzhen #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “Solidigm เปิดตัว SSD ระบายความร้อนด้วยน้ำรุ่นแรกของโลก — D7-PS1010 พลิกโฉมเซิร์ฟเวอร์ AI ด้วยดีไซน์ E.1 PCIe 5.0”

    ในยุคที่ศูนย์ข้อมูลต้องรับมือกับภาระงาน AI ที่หนักหน่วงและความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง Solidigm ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ล่าสุด — SSD รุ่น D7-PS1010 ซึ่งเป็น SSD ระดับองค์กรรุ่นแรกของโลกที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำโดยตรง

    D7-PS1010 มาในรูปแบบ E.1 ที่บางเฉียบ พร้อมอินเทอร์เฟซ PCIe 5.0 และถูกออกแบบให้มี cold plate หุ้มรอบแผงวงจร พร้อมหัวต่อท่อน้ำที่ปลายทั้งสองด้าน ทำให้สามารถถอดเปลี่ยนได้แบบ hot-swap โดยไม่ต้องปิดระบบ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในศูนย์ข้อมูลที่ต้องการ uptime สูงสุด

    Solidigm ระบุว่า SSD รุ่นนี้เหมาะสำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ใช้ Direct-Attached Storage (DAS) โดยเฉพาะ และได้ร่วมมือกับ Supermicro เพื่อทดสอบการใช้งานร่วมกับเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ Nvidia HGX B300 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม AI ระดับสูง

    ด้านประสิทธิภาพ D7-PS1010 มีความเร็วในการอ่านแบบ sequential สูงถึง 14,500 MB/s และเขียนที่ 8,400 MB/s พร้อมรองรับ IOPS สำหรับการอ่านแบบสุ่มถึง 3.2 ล้านครั้งต่อวินาที และเขียนที่ 315,000 ครั้ง โดยใช้ NAND แบบ TLC 3D 176 ชั้น และมีความจุให้เลือก 3.84 TB และ 7.68 TB

    ที่น่าสนใจคือระบบระบายความร้อนสามารถทำงานได้ทั้งสองด้านของ PCB พร้อมช่วยลดการใช้พัดลมใน storage bay ซึ่งอาจนำไปสู่การออกแบบเซิร์ฟเวอร์ที่เล็กลงและประหยัดพลังงานมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Solidigm เปิดตัว D7-PS1010 SSD ระดับองค์กรรุ่นแรกที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ
    ใช้รูปแบบ E.1 พร้อมอินเทอร์เฟซ PCIe 5.0 และ cold plate หุ้มรอบแผงวงจร
    รองรับการถอดเปลี่ยนแบบ hot-swap โดยไม่ต้องปิดระบบ
    เหมาะสำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ใช้ Direct-Attached Storage (DAS)
    ร่วมมือกับ Supermicro ทดสอบใช้งานในเซิร์ฟเวอร์ Nvidia HGX B300
    ความเร็ว sequential read/write อยู่ที่ 14,500 / 8,400 MB/s
    รองรับ IOPS สำหรับ random read/write ที่ 3.2 ล้าน / 315,000
    ใช้ NAND แบบ TLC 3D 176 ชั้น มีความจุ 3.84 TB และ 7.68 TB
    MTBF อยู่ที่ 2.5 ล้านชั่วโมง พร้อมรับประกัน 5 ปี
    ระบบระบายความร้อนช่วยลดการใช้พัดลมใน storage bay

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    E.1 เป็นฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเซิร์ฟเวอร์ยุค AI โดยเฉพาะ
    PCIe 5.0 ให้แบนด์วิดธ์สูงกว่า PCIe 4.0 ถึงสองเท่า เหมาะกับงาน AI/ML
    การใช้ cold plate แบบ wraparound ช่วยลดจุดร้อนเฉพาะจุดใน SSD ได้ดี
    DAS มี latency ต่ำกว่าการใช้ SAN หรือ NAS และเหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูง
    การลดการใช้พัดลมช่วยลดเสียงรบกวนและเพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/solidigm-touts-industrys-first-liquid-cooled-enterprise-ssd-d7-ps1010-is-an-e-1-pcie-5-0-drive-with-a-wrap-around-cold-plate
    💧 “Solidigm เปิดตัว SSD ระบายความร้อนด้วยน้ำรุ่นแรกของโลก — D7-PS1010 พลิกโฉมเซิร์ฟเวอร์ AI ด้วยดีไซน์ E.1 PCIe 5.0” ในยุคที่ศูนย์ข้อมูลต้องรับมือกับภาระงาน AI ที่หนักหน่วงและความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง Solidigm ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ล่าสุด — SSD รุ่น D7-PS1010 ซึ่งเป็น SSD ระดับองค์กรรุ่นแรกของโลกที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำโดยตรง D7-PS1010 มาในรูปแบบ E.1 ที่บางเฉียบ พร้อมอินเทอร์เฟซ PCIe 5.0 และถูกออกแบบให้มี cold plate หุ้มรอบแผงวงจร พร้อมหัวต่อท่อน้ำที่ปลายทั้งสองด้าน ทำให้สามารถถอดเปลี่ยนได้แบบ hot-swap โดยไม่ต้องปิดระบบ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในศูนย์ข้อมูลที่ต้องการ uptime สูงสุด Solidigm ระบุว่า SSD รุ่นนี้เหมาะสำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ใช้ Direct-Attached Storage (DAS) โดยเฉพาะ และได้ร่วมมือกับ Supermicro เพื่อทดสอบการใช้งานร่วมกับเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ Nvidia HGX B300 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม AI ระดับสูง ด้านประสิทธิภาพ D7-PS1010 มีความเร็วในการอ่านแบบ sequential สูงถึง 14,500 MB/s และเขียนที่ 8,400 MB/s พร้อมรองรับ IOPS สำหรับการอ่านแบบสุ่มถึง 3.2 ล้านครั้งต่อวินาที และเขียนที่ 315,000 ครั้ง โดยใช้ NAND แบบ TLC 3D 176 ชั้น และมีความจุให้เลือก 3.84 TB และ 7.68 TB ที่น่าสนใจคือระบบระบายความร้อนสามารถทำงานได้ทั้งสองด้านของ PCB พร้อมช่วยลดการใช้พัดลมใน storage bay ซึ่งอาจนำไปสู่การออกแบบเซิร์ฟเวอร์ที่เล็กลงและประหยัดพลังงานมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Solidigm เปิดตัว D7-PS1010 SSD ระดับองค์กรรุ่นแรกที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ➡️ ใช้รูปแบบ E.1 พร้อมอินเทอร์เฟซ PCIe 5.0 และ cold plate หุ้มรอบแผงวงจร ➡️ รองรับการถอดเปลี่ยนแบบ hot-swap โดยไม่ต้องปิดระบบ ➡️ เหมาะสำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ใช้ Direct-Attached Storage (DAS) ➡️ ร่วมมือกับ Supermicro ทดสอบใช้งานในเซิร์ฟเวอร์ Nvidia HGX B300 ➡️ ความเร็ว sequential read/write อยู่ที่ 14,500 / 8,400 MB/s ➡️ รองรับ IOPS สำหรับ random read/write ที่ 3.2 ล้าน / 315,000 ➡️ ใช้ NAND แบบ TLC 3D 176 ชั้น มีความจุ 3.84 TB และ 7.68 TB ➡️ MTBF อยู่ที่ 2.5 ล้านชั่วโมง พร้อมรับประกัน 5 ปี ➡️ ระบบระบายความร้อนช่วยลดการใช้พัดลมใน storage bay ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ E.1 เป็นฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเซิร์ฟเวอร์ยุค AI โดยเฉพาะ ➡️ PCIe 5.0 ให้แบนด์วิดธ์สูงกว่า PCIe 4.0 ถึงสองเท่า เหมาะกับงาน AI/ML ➡️ การใช้ cold plate แบบ wraparound ช่วยลดจุดร้อนเฉพาะจุดใน SSD ได้ดี ➡️ DAS มี latency ต่ำกว่าการใช้ SAN หรือ NAS และเหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูง ➡️ การลดการใช้พัดลมช่วยลดเสียงรบกวนและเพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบ https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/solidigm-touts-industrys-first-liquid-cooled-enterprise-ssd-d7-ps1010-is-an-e-1-pcie-5-0-drive-with-a-wrap-around-cold-plate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Wi-Fi 8 มาแน่ปี 2028 — ไม่เน้นความเร็ว แต่เน้นความนิ่ง ลื่นไหล และเชื่อมต่อได้แม้ในจุดอับสัญญาณ”

    Wi-Fi 8 หรือชื่อทางเทคนิค IEEE 802.11bn กำลังถูกพัฒนาอย่างจริงจังโดยบริษัทชั้นนำอย่าง MediaTek และ Qualcomm โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่า “ไม่เน้นความเร็วสูงสุด” แต่จะเน้นความเสถียรของการเชื่อมต่อในทุกสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีสัญญาณรบกวนสูง, จุดอับสัญญาณ, หรือการใช้งานขณะเคลื่อนที่

    Wi-Fi 8 จะมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น “Single Mobility Domain” ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่าง access point เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ไม่เกิดการหลุดหรือดีเลย์ระหว่างการย้ายตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีระบบ “Multi-AP Coordination” ที่ทำให้ access point หลายตัวทำงานร่วมกันได้อย่างชาญฉลาด เพื่อให้สัญญาณครอบคลุมเหมือนผ้าห่มไร้รอยต่อ

    MediaTek และ Qualcomm ต่างเน้นว่า Wi-Fi 8 จะให้ประสบการณ์ใกล้เคียงกับการเชื่อมต่อแบบสาย โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การประชุมทางไกล, การควบคุมอุปกรณ์ IoT, หรือการใช้งาน AI แบบเรียลไทม์

    แม้จะไม่มีการเพิ่มความเร็วสูงสุดจาก Wi-Fi 7 แต่ Wi-Fi 8 จะเพิ่ม “ความเร็วเฉลี่ย” และลด latency ได้ถึง 25% ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น อาคารที่มีหลายชั้นหรือพื้นที่สาธารณะที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น

    การเปิดตัว Wi-Fi 8 คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2028 โดยอุปกรณ์รุ่นแรกอาจเริ่มผ่านการรับรองในช่วงปลายปี 2027 ซึ่งหมายความว่า Wi-Fi 7 จะยังคงเป็นมาตรฐานหลักไปอีกหลายปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Wi-Fi 8 คือมาตรฐานใหม่ IEEE 802.11bn ที่จะเปิดตัวในปี 2028
    ไม่เน้นความเร็วสูงสุด แต่เน้นความเสถียรและความลื่นไหลของการเชื่อมต่อ
    มีฟีเจอร์ Single Mobility Domain สำหรับการเชื่อมต่อขณะเคลื่อนที่
    มีระบบ Multi-AP Coordination ให้ access point ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด
    ลด latency ได้ถึง 25% และลดการหลุดสัญญาณระหว่าง roaming
    MediaTek และ Qualcomm เป็นผู้นำในการพัฒนามาตรฐานนี้
    เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น AI, IoT, การประชุมทางไกล
    คาดว่าอุปกรณ์ Wi-Fi 8 จะเริ่มผ่านการรับรองในปลายปี 2027

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wi-Fi 7 ยังอยู่ในช่วงขยายตัว โดยคาดว่าจะมีการใช้งานถึง 30–40% ภายในปีหน้า
    Wi-Fi 8 ใช้แนวคิด Ultra High Reliability (UHR) เป็นแกนหลักในการออกแบบ
    Qualcomm ระบุว่า Wi-Fi 8 จะให้ประสบการณ์ “เหมือนเชื่อมต่อด้วยสาย” แม้ใช้งานแบบไร้สาย
    MediaTek กำลังทดสอบร่วมกับพันธมิตร เช่น Dafa ที่ใช้ 25G PON ร่วมกับ Wi-Fi 8
    Wi-Fi 8 จะช่วยลดปัญหา jitter และ packet loss ที่เกิดขึ้นใน Wi-Fi รุ่นก่อน

    https://www.techradar.com/pro/wi-fi-8-is-a-go-as-key-nvidia-partner-confirms-there-wont-be-much-difference-in-speed-ahead-of-expected-launch-in-2028
    📶 “Wi-Fi 8 มาแน่ปี 2028 — ไม่เน้นความเร็ว แต่เน้นความนิ่ง ลื่นไหล และเชื่อมต่อได้แม้ในจุดอับสัญญาณ” Wi-Fi 8 หรือชื่อทางเทคนิค IEEE 802.11bn กำลังถูกพัฒนาอย่างจริงจังโดยบริษัทชั้นนำอย่าง MediaTek และ Qualcomm โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่า “ไม่เน้นความเร็วสูงสุด” แต่จะเน้นความเสถียรของการเชื่อมต่อในทุกสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีสัญญาณรบกวนสูง, จุดอับสัญญาณ, หรือการใช้งานขณะเคลื่อนที่ Wi-Fi 8 จะมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น “Single Mobility Domain” ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่าง access point เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ไม่เกิดการหลุดหรือดีเลย์ระหว่างการย้ายตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีระบบ “Multi-AP Coordination” ที่ทำให้ access point หลายตัวทำงานร่วมกันได้อย่างชาญฉลาด เพื่อให้สัญญาณครอบคลุมเหมือนผ้าห่มไร้รอยต่อ MediaTek และ Qualcomm ต่างเน้นว่า Wi-Fi 8 จะให้ประสบการณ์ใกล้เคียงกับการเชื่อมต่อแบบสาย โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การประชุมทางไกล, การควบคุมอุปกรณ์ IoT, หรือการใช้งาน AI แบบเรียลไทม์ แม้จะไม่มีการเพิ่มความเร็วสูงสุดจาก Wi-Fi 7 แต่ Wi-Fi 8 จะเพิ่ม “ความเร็วเฉลี่ย” และลด latency ได้ถึง 25% ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น อาคารที่มีหลายชั้นหรือพื้นที่สาธารณะที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น การเปิดตัว Wi-Fi 8 คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2028 โดยอุปกรณ์รุ่นแรกอาจเริ่มผ่านการรับรองในช่วงปลายปี 2027 ซึ่งหมายความว่า Wi-Fi 7 จะยังคงเป็นมาตรฐานหลักไปอีกหลายปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Wi-Fi 8 คือมาตรฐานใหม่ IEEE 802.11bn ที่จะเปิดตัวในปี 2028 ➡️ ไม่เน้นความเร็วสูงสุด แต่เน้นความเสถียรและความลื่นไหลของการเชื่อมต่อ ➡️ มีฟีเจอร์ Single Mobility Domain สำหรับการเชื่อมต่อขณะเคลื่อนที่ ➡️ มีระบบ Multi-AP Coordination ให้ access point ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด ➡️ ลด latency ได้ถึง 25% และลดการหลุดสัญญาณระหว่าง roaming ➡️ MediaTek และ Qualcomm เป็นผู้นำในการพัฒนามาตรฐานนี้ ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น AI, IoT, การประชุมทางไกล ➡️ คาดว่าอุปกรณ์ Wi-Fi 8 จะเริ่มผ่านการรับรองในปลายปี 2027 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wi-Fi 7 ยังอยู่ในช่วงขยายตัว โดยคาดว่าจะมีการใช้งานถึง 30–40% ภายในปีหน้า ➡️ Wi-Fi 8 ใช้แนวคิด Ultra High Reliability (UHR) เป็นแกนหลักในการออกแบบ ➡️ Qualcomm ระบุว่า Wi-Fi 8 จะให้ประสบการณ์ “เหมือนเชื่อมต่อด้วยสาย” แม้ใช้งานแบบไร้สาย ➡️ MediaTek กำลังทดสอบร่วมกับพันธมิตร เช่น Dafa ที่ใช้ 25G PON ร่วมกับ Wi-Fi 8 ➡️ Wi-Fi 8 จะช่วยลดปัญหา jitter และ packet loss ที่เกิดขึ้นใน Wi-Fi รุ่นก่อน https://www.techradar.com/pro/wi-fi-8-is-a-go-as-key-nvidia-partner-confirms-there-wont-be-much-difference-in-speed-ahead-of-expected-launch-in-2028
    WWW.TECHRADAR.COM
    The next-gen Wi-Fi 8 standard skips blazing peaks to fix dead zones and shaky edges that ruin streaming in crowded spaces
    The new wireless standard is all about stable connections, seamless roaming, and edge performance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.4

    คำว่า “เคหสถาน” ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ตัวบ้าน
    หรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่พักอาศัยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงบริเวณรอบๆ ที่อยู่อาศัยนั้นด้วย
    ไม่ว่าจะมีรั้วล้อมรอบหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญยิ่งในการคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของประชาชน
    เช่นเดียวกับในคดีความอาญาที่เกี่ยวกับข้อหาบุกรุก
    การกระทำที่ถือว่าเป็นการบุกรุกเคหสถานจึงไม่ได้หมายถึงการเข้าสู่ตัวอาคารเพียงอย่างเดียว
    แต่ยังรวมถึงการเข้าไปในอาณาบริเวณโดยรอบโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิในเคหสถานของผู้อื่น

    หลักการนี้สะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายให้ความสำคัญกับการปกป้องพื้นที่ส่วนตัวที่บุคคลใช้เป็นที่พำนักอาศัย
    เพราะเคหสถานเป็นสถานที่ที่บุคคลควรได้รับความคุ้มครองสูงสุดจากภยันตรายและการรบกวน
    การทำความเข้าใจขอบเขตของคำว่า “เคหสถาน” จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
    เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงหน้าที่ในการเคารพสิทธิของผู้อื่น
    และเพื่อป้องกันการกระทำที่อาจนำไปสู่การละเมิดกฎหมายโดยไม่ตั้งใจ
    หรือในทางกลับกันก็เพื่อรักษาสิทธิของตนเองในยามที่ถูกละเมิด

    ดังนั้น การทราบความหมายที่แท้จริงของคำว่า “เคหสถาน”
    ตามหลักกฎหมายจึงเป็นรากฐานสำคัญในการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขเพราะการเคารพในพื้นที่ส่วนตัวของผู้อื่นนั้น
    เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของทุกคนในสังคม.
    บทความกฎหมาย EP.4 คำว่า “เคหสถาน” ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ตัวบ้าน หรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่พักอาศัยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงบริเวณรอบๆ ที่อยู่อาศัยนั้นด้วย ไม่ว่าจะมีรั้วล้อมรอบหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญยิ่งในการคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของประชาชน เช่นเดียวกับในคดีความอาญาที่เกี่ยวกับข้อหาบุกรุก การกระทำที่ถือว่าเป็นการบุกรุกเคหสถานจึงไม่ได้หมายถึงการเข้าสู่ตัวอาคารเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเข้าไปในอาณาบริเวณโดยรอบโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิในเคหสถานของผู้อื่น หลักการนี้สะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายให้ความสำคัญกับการปกป้องพื้นที่ส่วนตัวที่บุคคลใช้เป็นที่พำนักอาศัย เพราะเคหสถานเป็นสถานที่ที่บุคคลควรได้รับความคุ้มครองสูงสุดจากภยันตรายและการรบกวน การทำความเข้าใจขอบเขตของคำว่า “เคหสถาน” จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงหน้าที่ในการเคารพสิทธิของผู้อื่น และเพื่อป้องกันการกระทำที่อาจนำไปสู่การละเมิดกฎหมายโดยไม่ตั้งใจ หรือในทางกลับกันก็เพื่อรักษาสิทธิของตนเองในยามที่ถูกละเมิด ดังนั้น การทราบความหมายที่แท้จริงของคำว่า “เคหสถาน” ตามหลักกฎหมายจึงเป็นรากฐานสำคัญในการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขเพราะการเคารพในพื้นที่ส่วนตัวของผู้อื่นนั้น เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของทุกคนในสังคม.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รู้จักเสาอากาศ Wi-Fi และวิธีอัปเกรดให้สัญญาณแรงขึ้น — เพราะอินเทอร์เน็ตเร็วไม่พอ ถ้าเสาอากาศไม่ส่งดี”

    แม้คุณจะจ่ายเงินเพื่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แต่ถ้า Wi-Fi ยังอืดหรือมีจุดอับสัญญาณในบ้าน ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่แพ็กเกจเน็ตหรือเราเตอร์เสมอไป — แต่อาจอยู่ที่ “เสาอากาศ Wi-Fi” ที่คุณมองข้ามไป

    เสาอากาศ Wi-Fi ทำหน้าที่เป็นตัวแปลงคลื่นวิทยุให้กลายเป็นสัญญาณที่อุปกรณ์รับได้ และส่งกลับไปยังเราเตอร์ ถ้าเสาอากาศเสื่อมสภาพหรือไม่เหมาะกับพื้นที่ใช้งาน ก็จะทำให้สัญญาณอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะใช้เราเตอร์รุ่นใหม่ก็ตาม

    ก่อนจะเปลี่ยนเราเตอร์ ลองตรวจสอบเสาอากาศก่อน โดยใช้แอปวิเคราะห์สัญญาณ Wi-Fi และลองย้ายตำแหน่งเราเตอร์ไปยังจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง หากสัญญาณยังอ่อนอยู่ การเปลี่ยนเสาอากาศอาจช่วยได้มาก

    เสาอากาศมีหลายประเภท เช่น:
    - Omnidirectional: กระจายสัญญาณรอบทิศ เหมาะกับบ้านหรือออฟฟิศที่มีอุปกรณ์อยู่หลายจุด
    - Directional: ส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียว เหมาะกับการเชื่อมต่อระยะไกลหรือพื้นที่เฉพาะ

    การอัปเกรดเสาอากาศไม่ยาก หากเราเตอร์รองรับการถอดเปลี่ยน (เช่น SMA หรือ RP-SMA) แต่บางรุ่นโดยเฉพาะ Wi-Fi 6E อาจมีเสาอากาศฝังในตัว ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนได้

    นอกจากเปลี่ยนเสาอากาศ ยังสามารถติดตั้ง Wi-Fi extender หรือ booster เพื่อขยายสัญญาณในพื้นที่ที่สัญญาณอ่อน เช่น ห้องชั้นบนหรือมุมบ้านที่มีผนังหนา

    และถ้าคุณใช้ Wi-Fi 6, 6E หรือ Wi-Fi 7 ในปี 2025 การเลือกเสาอากาศที่รองรับ tri-band และ 6GHz จะช่วยให้คุณใช้เทคโนโลยีใหม่ได้เต็มประสิทธิภาพ เช่น OFDMA, MU-MIMO และ Multi-Link Operation

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เสาอากาศ Wi-Fi เป็นตัวกลางในการรับส่งคลื่นวิทยุระหว่างเราเตอร์กับอุปกรณ์
    เสาอากาศเสื่อมสภาพได้ ทำให้สัญญาณ Wi-Fi อ่อนลงแม้ใช้เน็ตเร็ว
    ควรตรวจสอบเสาอากาศก่อนเปลี่ยนเราเตอร์ หากพบปัญหาสัญญาณ
    การเปลี่ยนเสาอากาศสามารถทำได้ง่าย หากเราเตอร์รองรับการถอดเปลี่ยน

    ประเภทของเสาอากาศ
    Omnidirectional: กระจายสัญญาณรอบทิศ เหมาะกับพื้นที่เปิด
    Directional: ส่งสัญญาณเฉพาะทิศทาง เหมาะกับการเชื่อมต่อระยะไกล
    Sector Antenna: ใช้ในพื้นที่กลางแจ้งหรือเชื่อมต่อระหว่างอาคาร

    วิธีอัปเกรดและปรับปรุงสัญญาณ
    ใช้แอปวิเคราะห์สัญญาณ Wi-Fi เพื่อหาจุดอับ
    วางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและไม่มีสิ่งกีดขวาง
    ใช้ Wi-Fi extender หรือ booster เพื่อขยายสัญญาณ
    เลือกเสาอากาศที่รองรับ tri-band และ 6GHz สำหรับ Wi-Fi 6E/7

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Beamforming ช่วยเพิ่มความแรงสัญญาณที่ขอบพื้นที่ได้ถึง 30%
    Wi-Fi 6 ใช้ OFDMA และ MU-MIMO เพื่อส่งข้อมูลหลายอุปกรณ์พร้อมกัน2
    Wi-Fi 7 รองรับ Multi-Link Aggregation และ 320MHz channel สำหรับความเร็วสูงสุด
    เสาอากาศแบบ programmable metasurface อาจเพิ่ม coverage ได้ถึง 500% ในอนาคต

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ไม่ใช่เราเตอร์ทุกตัวที่รองรับการเปลี่ยนเสาอากาศ โดยเฉพาะรุ่นใหม่ที่มีเสาฝัง
    การเลือกเสาอากาศผิดประเภทอาจทำให้สัญญาณแย่ลงแทนที่จะดีขึ้น
    การวางเราเตอร์ใกล้ไมโครเวฟหรืออุปกรณ์ Bluetooth อาจทำให้สัญญาณรบกวน
    การใช้เสาอากาศแบบ directional ต้องวางให้ตรงทิศ ไม่เช่นนั้นจะไม่ครอบคลุม
    การอัปเกรดเสาอากาศไม่ช่วยหากปัญหาอยู่ที่ ISP หรือการตั้งค่าเครือข่าย

    https://www.slashgear.com/1968538/wifi-antenna-everything-need-know-about-how-upgrade-guide/
    📡 “รู้จักเสาอากาศ Wi-Fi และวิธีอัปเกรดให้สัญญาณแรงขึ้น — เพราะอินเทอร์เน็ตเร็วไม่พอ ถ้าเสาอากาศไม่ส่งดี” แม้คุณจะจ่ายเงินเพื่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แต่ถ้า Wi-Fi ยังอืดหรือมีจุดอับสัญญาณในบ้าน ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่แพ็กเกจเน็ตหรือเราเตอร์เสมอไป — แต่อาจอยู่ที่ “เสาอากาศ Wi-Fi” ที่คุณมองข้ามไป เสาอากาศ Wi-Fi ทำหน้าที่เป็นตัวแปลงคลื่นวิทยุให้กลายเป็นสัญญาณที่อุปกรณ์รับได้ และส่งกลับไปยังเราเตอร์ ถ้าเสาอากาศเสื่อมสภาพหรือไม่เหมาะกับพื้นที่ใช้งาน ก็จะทำให้สัญญาณอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะใช้เราเตอร์รุ่นใหม่ก็ตาม ก่อนจะเปลี่ยนเราเตอร์ ลองตรวจสอบเสาอากาศก่อน โดยใช้แอปวิเคราะห์สัญญาณ Wi-Fi และลองย้ายตำแหน่งเราเตอร์ไปยังจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง หากสัญญาณยังอ่อนอยู่ การเปลี่ยนเสาอากาศอาจช่วยได้มาก เสาอากาศมีหลายประเภท เช่น: - Omnidirectional: กระจายสัญญาณรอบทิศ เหมาะกับบ้านหรือออฟฟิศที่มีอุปกรณ์อยู่หลายจุด - Directional: ส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียว เหมาะกับการเชื่อมต่อระยะไกลหรือพื้นที่เฉพาะ การอัปเกรดเสาอากาศไม่ยาก หากเราเตอร์รองรับการถอดเปลี่ยน (เช่น SMA หรือ RP-SMA) แต่บางรุ่นโดยเฉพาะ Wi-Fi 6E อาจมีเสาอากาศฝังในตัว ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนได้ นอกจากเปลี่ยนเสาอากาศ ยังสามารถติดตั้ง Wi-Fi extender หรือ booster เพื่อขยายสัญญาณในพื้นที่ที่สัญญาณอ่อน เช่น ห้องชั้นบนหรือมุมบ้านที่มีผนังหนา และถ้าคุณใช้ Wi-Fi 6, 6E หรือ Wi-Fi 7 ในปี 2025 การเลือกเสาอากาศที่รองรับ tri-band และ 6GHz จะช่วยให้คุณใช้เทคโนโลยีใหม่ได้เต็มประสิทธิภาพ เช่น OFDMA, MU-MIMO และ Multi-Link Operation ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เสาอากาศ Wi-Fi เป็นตัวกลางในการรับส่งคลื่นวิทยุระหว่างเราเตอร์กับอุปกรณ์ ➡️ เสาอากาศเสื่อมสภาพได้ ทำให้สัญญาณ Wi-Fi อ่อนลงแม้ใช้เน็ตเร็ว ➡️ ควรตรวจสอบเสาอากาศก่อนเปลี่ยนเราเตอร์ หากพบปัญหาสัญญาณ ➡️ การเปลี่ยนเสาอากาศสามารถทำได้ง่าย หากเราเตอร์รองรับการถอดเปลี่ยน ✅ ประเภทของเสาอากาศ ➡️ Omnidirectional: กระจายสัญญาณรอบทิศ เหมาะกับพื้นที่เปิด ➡️ Directional: ส่งสัญญาณเฉพาะทิศทาง เหมาะกับการเชื่อมต่อระยะไกล ➡️ Sector Antenna: ใช้ในพื้นที่กลางแจ้งหรือเชื่อมต่อระหว่างอาคาร ✅ วิธีอัปเกรดและปรับปรุงสัญญาณ ➡️ ใช้แอปวิเคราะห์สัญญาณ Wi-Fi เพื่อหาจุดอับ ➡️ วางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและไม่มีสิ่งกีดขวาง ➡️ ใช้ Wi-Fi extender หรือ booster เพื่อขยายสัญญาณ ➡️ เลือกเสาอากาศที่รองรับ tri-band และ 6GHz สำหรับ Wi-Fi 6E/7 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Beamforming ช่วยเพิ่มความแรงสัญญาณที่ขอบพื้นที่ได้ถึง 30% ➡️ Wi-Fi 6 ใช้ OFDMA และ MU-MIMO เพื่อส่งข้อมูลหลายอุปกรณ์พร้อมกัน2 ➡️ Wi-Fi 7 รองรับ Multi-Link Aggregation และ 320MHz channel สำหรับความเร็วสูงสุด ➡️ เสาอากาศแบบ programmable metasurface อาจเพิ่ม coverage ได้ถึง 500% ในอนาคต ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ไม่ใช่เราเตอร์ทุกตัวที่รองรับการเปลี่ยนเสาอากาศ โดยเฉพาะรุ่นใหม่ที่มีเสาฝัง ⛔ การเลือกเสาอากาศผิดประเภทอาจทำให้สัญญาณแย่ลงแทนที่จะดีขึ้น ⛔ การวางเราเตอร์ใกล้ไมโครเวฟหรืออุปกรณ์ Bluetooth อาจทำให้สัญญาณรบกวน ⛔ การใช้เสาอากาศแบบ directional ต้องวางให้ตรงทิศ ไม่เช่นนั้นจะไม่ครอบคลุม ⛔ การอัปเกรดเสาอากาศไม่ช่วยหากปัญหาอยู่ที่ ISP หรือการตั้งค่าเครือข่าย https://www.slashgear.com/1968538/wifi-antenna-everything-need-know-about-how-upgrade-guide/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Everything You Need To Know About Wi-Fi Antennas (And How To Upgrade Them) - SlashGear
    Antennas are your router’s translators, turning radio waves into usable internet. Swapping in high-gain or directional models can eliminate dead zones and lag.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OBS Studio 32.0 มาแล้ว — เพิ่มระบบ Plugin Manager, รองรับ Hybrid MOV และปรับปรุง PipeWire สำหรับ Linux อย่างจริงจัง”

    OBS Studio 32.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานสายสตรีมและบันทึกวิดีโออย่างชัดเจน โดยหนึ่งในไฮไลต์คือการเพิ่มระบบ Plugin Manager แบบพื้นฐาน ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้ง อัปเดต และลบปลั๊กอินได้จากในแอปโดยตรง ไม่ต้องจัดการไฟล์ด้วยตนเองอีกต่อไป

    อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการรองรับ Hybrid MOV ซึ่งรวม codec แบบ HEVC/H.264 กับเสียง PCM เข้าไว้ใน container เดียว ทำให้การตัดต่อและส่งออกวิดีโอข้ามแพลตฟอร์มง่ายขึ้น โดยเฉพาะบน macOS ที่มีการเพิ่มการรองรับ ProRes เข้ามาโดยตรง

    สำหรับผู้ใช้ NVIDIA RTX มีการเพิ่ม Voice Activity Detection (VAD) เพื่อให้ระบบตัดเสียงรบกวนทำงานเฉพาะเมื่อมีเสียงพูดจริง ๆ รวมถึงเพิ่มตัวเลือก “ลบเก้าอี้” ในฟีเจอร์ Background Removal ซึ่งช่วยให้ฉากหลังดูสะอาดขึ้นโดยไม่ต้องใช้ green screen

    ฝั่ง Linux ก็ได้รับการปรับปรุง PipeWire video capture ให้เลือก format ได้แม่นยำขึ้น และแก้ปัญหาการแสดงผลสีขาวในบางกรณี นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม renderer แบบ experimental สำหรับ Apple Silicon (Metal), ปรับปรุงการจัดการเสียงซ้ำใน scene ซ้อนกัน และเพิ่ม logic สำหรับ deduplication ในหลายกรณี

    OBS Studio 32.0 ยังเปลี่ยนค่า default bitrate จาก 2500 เป็น 6000 Kbps และเปลี่ยน Hybrid MP4/MOV ให้เป็น container เริ่มต้นสำหรับ profile ใหม่ พร้อมเพิ่มระบบอัปโหลด crash log อัตโนมัติสำหรับ Windows และ macOS เพื่อช่วยให้ทีมพัฒนาตรวจสอบปัญหาได้เร็วขึ้น

    ฟีเจอร์ใหม่ใน OBS Studio 32.0
    เพิ่มระบบ Plugin Manager แบบพื้นฐานสำหรับจัดการปลั๊กอินในแอป
    รองรับ Hybrid MOV ที่รวม HEVC/H.264 + PCM และ ProRes บน macOS
    เพิ่ม Voice Activity Detection (VAD) สำหรับ NVIDIA RTX Audio Effects
    เพิ่มตัวเลือก “ลบเก้าอี้” ในฟีเจอร์ Background Removal ของ RTX
    ปรับปรุง PipeWire video capture บน Linux ให้เลือก format ได้แม่นยำขึ้น
    เพิ่ม renderer แบบ experimental สำหรับ Apple Silicon (Metal)
    ปรับปรุงการจัดการเสียงซ้ำใน nested scenes และ multiple canvases
    เปลี่ยนค่า default bitrate จาก 2500 เป็น 6000 Kbps
    Hybrid MP4/MOV กลายเป็น container เริ่มต้นสำหรับ profile ใหม่
    เพิ่มระบบอัปโหลด crash log อัตโนมัติสำหรับ Windows และ macOS

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Plugin Manager ช่วยลดความยุ่งยากในการติดตั้งปลั๊กอินที่เคยต้องใช้ไฟล์ .so/.dll
    Hybrid MOV ช่วยให้การทำงานร่วมกับโปรแกรมตัดต่อเช่น DaVinci Resolve หรือ Final Cut Pro ง่ายขึ้น
    VAD ช่วยลดการใช้ CPU โดยให้ระบบตัดเสียงทำงานเฉพาะเมื่อจำเป็น
    PipeWire เป็นระบบ multimedia ใหม่ที่มาแทน PulseAudio บน Linux
    Metal renderer บน Apple Silicon ช่วยให้ OBS ทำงานได้ลื่นขึ้นบน Mac รุ่นใหม่

    https://9to5linux.com/obs-studio-32-0-pipewire-video-capture-improvements-basic-plugin-manager
    🎥 “OBS Studio 32.0 มาแล้ว — เพิ่มระบบ Plugin Manager, รองรับ Hybrid MOV และปรับปรุง PipeWire สำหรับ Linux อย่างจริงจัง” OBS Studio 32.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานสายสตรีมและบันทึกวิดีโออย่างชัดเจน โดยหนึ่งในไฮไลต์คือการเพิ่มระบบ Plugin Manager แบบพื้นฐาน ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้ง อัปเดต และลบปลั๊กอินได้จากในแอปโดยตรง ไม่ต้องจัดการไฟล์ด้วยตนเองอีกต่อไป อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการรองรับ Hybrid MOV ซึ่งรวม codec แบบ HEVC/H.264 กับเสียง PCM เข้าไว้ใน container เดียว ทำให้การตัดต่อและส่งออกวิดีโอข้ามแพลตฟอร์มง่ายขึ้น โดยเฉพาะบน macOS ที่มีการเพิ่มการรองรับ ProRes เข้ามาโดยตรง สำหรับผู้ใช้ NVIDIA RTX มีการเพิ่ม Voice Activity Detection (VAD) เพื่อให้ระบบตัดเสียงรบกวนทำงานเฉพาะเมื่อมีเสียงพูดจริง ๆ รวมถึงเพิ่มตัวเลือก “ลบเก้าอี้” ในฟีเจอร์ Background Removal ซึ่งช่วยให้ฉากหลังดูสะอาดขึ้นโดยไม่ต้องใช้ green screen ฝั่ง Linux ก็ได้รับการปรับปรุง PipeWire video capture ให้เลือก format ได้แม่นยำขึ้น และแก้ปัญหาการแสดงผลสีขาวในบางกรณี นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม renderer แบบ experimental สำหรับ Apple Silicon (Metal), ปรับปรุงการจัดการเสียงซ้ำใน scene ซ้อนกัน และเพิ่ม logic สำหรับ deduplication ในหลายกรณี OBS Studio 32.0 ยังเปลี่ยนค่า default bitrate จาก 2500 เป็น 6000 Kbps และเปลี่ยน Hybrid MP4/MOV ให้เป็น container เริ่มต้นสำหรับ profile ใหม่ พร้อมเพิ่มระบบอัปโหลด crash log อัตโนมัติสำหรับ Windows และ macOS เพื่อช่วยให้ทีมพัฒนาตรวจสอบปัญหาได้เร็วขึ้น ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน OBS Studio 32.0 ➡️ เพิ่มระบบ Plugin Manager แบบพื้นฐานสำหรับจัดการปลั๊กอินในแอป ➡️ รองรับ Hybrid MOV ที่รวม HEVC/H.264 + PCM และ ProRes บน macOS ➡️ เพิ่ม Voice Activity Detection (VAD) สำหรับ NVIDIA RTX Audio Effects ➡️ เพิ่มตัวเลือก “ลบเก้าอี้” ในฟีเจอร์ Background Removal ของ RTX ➡️ ปรับปรุง PipeWire video capture บน Linux ให้เลือก format ได้แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่ม renderer แบบ experimental สำหรับ Apple Silicon (Metal) ➡️ ปรับปรุงการจัดการเสียงซ้ำใน nested scenes และ multiple canvases ➡️ เปลี่ยนค่า default bitrate จาก 2500 เป็น 6000 Kbps ➡️ Hybrid MP4/MOV กลายเป็น container เริ่มต้นสำหรับ profile ใหม่ ➡️ เพิ่มระบบอัปโหลด crash log อัตโนมัติสำหรับ Windows และ macOS ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Plugin Manager ช่วยลดความยุ่งยากในการติดตั้งปลั๊กอินที่เคยต้องใช้ไฟล์ .so/.dll ➡️ Hybrid MOV ช่วยให้การทำงานร่วมกับโปรแกรมตัดต่อเช่น DaVinci Resolve หรือ Final Cut Pro ง่ายขึ้น ➡️ VAD ช่วยลดการใช้ CPU โดยให้ระบบตัดเสียงทำงานเฉพาะเมื่อจำเป็น ➡️ PipeWire เป็นระบบ multimedia ใหม่ที่มาแทน PulseAudio บน Linux ➡️ Metal renderer บน Apple Silicon ช่วยให้ OBS ทำงานได้ลื่นขึ้นบน Mac รุ่นใหม่ https://9to5linux.com/obs-studio-32-0-pipewire-video-capture-improvements-basic-plugin-manager
    9TO5LINUX.COM
    OBS Studio 32.0 Adds PipeWire Video Capture Improvements, Basic Plugin Manager - 9to5Linux
    OBS Studio 32.0 is now available for download with a basic plugin manager, Voice Activity Detection for NVIDIA RTX Audio Effects, and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts