• เรื่องเล่าจาก CUDA ถึง ROCm: เมื่อ Elon Musk บอกว่า “AMD ก็ทำงานได้ดี”

    Elon Musk ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter เดิม) ว่า AMD Instinct ทำงาน “ค่อนข้างดี” สำหรับโมเดล AI ขนาดเล็กถึงกลาง เช่น inference, fine-tuning และ foundation model ที่ไม่ใหญ่มาก แม้ว่า NVIDIA จะยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับงาน training ขนาดใหญ่ แต่คำชมจาก Elon ก็ถือเป็นสัญญาณว่า AMD กำลังไล่ทัน

    ที่ผ่านมา NVIDIA ครองตลาดด้วย CUDA ซึ่งเป็น ecosystem แบบ lock-in ที่ทำให้ผู้พัฒนาไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มอื่นได้ง่าย ๆ แต่ AMD กำลังตอบโต้ด้วย ROCm ที่เปิดกว้างและพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในรุ่น MI300 และ MI355X ที่ xAI ของ Elon ก็ใช้งานอยู่

    แม้ AMD จะยังไม่ได้รับความนิยมจาก Big Tech เท่ากับ NVIDIA แต่ก็เริ่มมีการใช้งานใน hyperscaler และ cloud provider มากขึ้น เช่น Oracle Cloud และ Dell ที่เริ่มนำ MI350 Series ไปใช้ใน rack-scale AI infrastructure

    AMD ยังเตรียมเปิดตัว MI450 และ Helios rack ที่จะใช้ HBM4 และ EPYC Venice CPU เพื่อเร่งงาน training ขนาดใหญ่ โดยตั้งเป้าให้ลูกค้า “ไม่มีข้ออ้าง” ที่จะไม่เลือก AMD อีกต่อไป

    Elon Musk สนับสนุน AMD สำหรับโมเดล AI ขนาดเล็กถึงกลาง
    กล่าวว่า AMD ทำงานได้ดีสำหรับ inference และ fine-tuning
    xAI ของ Elon ใช้ AMD Instinct MI300/MI355X ในบาง workload
    Tesla ก็เคยร่วมมือกับ AMD ในด้าน hardware

    จุดแข็งของ AMD ในตลาด AI
    MI355X ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 4 และ ROCm 7
    มี HBM3E สูงสุด 288 GB และ bandwidth สูงถึง 8 TB/s
    ประสิทธิภาพ inference สูงขึ้นถึง 35 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน

    การขยาย ecosystem ของ AMD
    ROCm รองรับโมเดลใหญ่ เช่น LLaMA และ DeepSeek ตั้งแต่วันแรก
    มี developer cloud สำหรับนักพัฒนา AI โดยเฉพาะ
    OEM อย่าง Dell, HPE, Supermicro เริ่มนำ MI350 Series ไปใช้ในระบบ on-prem และ hybrid

    แผนการเปิดตัว MI450 และ Helios rack
    ใช้ HBM4 และ EPYC Venice CPU พร้อม NIC Vulcano 800G
    รองรับ 72 GPU ต่อ rack และให้ bandwidth สูงถึง 1.4 PBps
    ตั้งเป้าให้ประสิทธิภาพสูงกว่า NVIDIA Vera Rubin ถึง 50% ในด้าน memory และ throughput

    https://wccftech.com/elon-musk-endorses-amd-for-small-to-medium-ai-models/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก CUDA ถึง ROCm: เมื่อ Elon Musk บอกว่า “AMD ก็ทำงานได้ดี” Elon Musk ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter เดิม) ว่า AMD Instinct ทำงาน “ค่อนข้างดี” สำหรับโมเดล AI ขนาดเล็กถึงกลาง เช่น inference, fine-tuning และ foundation model ที่ไม่ใหญ่มาก แม้ว่า NVIDIA จะยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับงาน training ขนาดใหญ่ แต่คำชมจาก Elon ก็ถือเป็นสัญญาณว่า AMD กำลังไล่ทัน ที่ผ่านมา NVIDIA ครองตลาดด้วย CUDA ซึ่งเป็น ecosystem แบบ lock-in ที่ทำให้ผู้พัฒนาไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มอื่นได้ง่าย ๆ แต่ AMD กำลังตอบโต้ด้วย ROCm ที่เปิดกว้างและพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในรุ่น MI300 และ MI355X ที่ xAI ของ Elon ก็ใช้งานอยู่ แม้ AMD จะยังไม่ได้รับความนิยมจาก Big Tech เท่ากับ NVIDIA แต่ก็เริ่มมีการใช้งานใน hyperscaler และ cloud provider มากขึ้น เช่น Oracle Cloud และ Dell ที่เริ่มนำ MI350 Series ไปใช้ใน rack-scale AI infrastructure AMD ยังเตรียมเปิดตัว MI450 และ Helios rack ที่จะใช้ HBM4 และ EPYC Venice CPU เพื่อเร่งงาน training ขนาดใหญ่ โดยตั้งเป้าให้ลูกค้า “ไม่มีข้ออ้าง” ที่จะไม่เลือก AMD อีกต่อไป ✅ Elon Musk สนับสนุน AMD สำหรับโมเดล AI ขนาดเล็กถึงกลาง ➡️ กล่าวว่า AMD ทำงานได้ดีสำหรับ inference และ fine-tuning ➡️ xAI ของ Elon ใช้ AMD Instinct MI300/MI355X ในบาง workload ➡️ Tesla ก็เคยร่วมมือกับ AMD ในด้าน hardware ✅ จุดแข็งของ AMD ในตลาด AI ➡️ MI355X ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 4 และ ROCm 7 ➡️ มี HBM3E สูงสุด 288 GB และ bandwidth สูงถึง 8 TB/s ➡️ ประสิทธิภาพ inference สูงขึ้นถึง 35 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ✅ การขยาย ecosystem ของ AMD ➡️ ROCm รองรับโมเดลใหญ่ เช่น LLaMA และ DeepSeek ตั้งแต่วันแรก ➡️ มี developer cloud สำหรับนักพัฒนา AI โดยเฉพาะ ➡️ OEM อย่าง Dell, HPE, Supermicro เริ่มนำ MI350 Series ไปใช้ในระบบ on-prem และ hybrid ✅ แผนการเปิดตัว MI450 และ Helios rack ➡️ ใช้ HBM4 และ EPYC Venice CPU พร้อม NIC Vulcano 800G ➡️ รองรับ 72 GPU ต่อ rack และให้ bandwidth สูงถึง 1.4 PBps ➡️ ตั้งเป้าให้ประสิทธิภาพสูงกว่า NVIDIA Vera Rubin ถึง 50% ในด้าน memory และ throughput https://wccftech.com/elon-musk-endorses-amd-for-small-to-medium-ai-models/
    WCCFTECH.COM
    Elon Musk ‘Endorses’ AMD's AI Hardware for Small to Medium AI Models, Implying That There's Potential to Ease Reliance on NVIDIA
    Billionaire Elon Musk has tweeted on the performance of AMD's AI hardware, claiming that it is sufficient for small and medium AI models.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ant Group เปิดตัวหุ่นยนต์ R1 — ก้าวแรกสู่ยุค AI ที่มีร่างกาย พร้อมท้าชน Tesla และ Unitree”

    Ant Group บริษัทฟินเทคชื่อดังที่ได้รับการสนับสนุนจาก Jack Ma ได้เปิดตัวหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์รุ่นแรกของตนในชื่อ “R1” ผ่านบริษัทลูก Robbyant ในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 โดยถือเป็นการเข้าสู่สนามแข่งขันด้าน embodied AI อย่างเต็มตัว ซึ่งมีคู่แข่งระดับโลกอย่าง Tesla, Unitree Robotics และบริษัทสตาร์ทอัพอีกมากมาย

    หุ่นยนต์ R1 ถูกออกแบบให้มีความสามารถหลากหลาย เช่น เป็นไกด์นำเที่ยว, คัดแยกยาในร้านขายยา, ให้คำปรึกษาทางการแพทย์ และทำงานครัวพื้นฐาน โดยเน้นการพัฒนา “สมอง” มากกว่ารูปร่าง — Ant Group เชื่อว่าความฉลาดจากโมเดล AI ขนาดใหญ่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของหุ่นยนต์ มากกว่าการออกแบบฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียว

    R1 มีน้ำหนักประมาณ 110 กิโลกรัม สูงราว 1.6–1.75 เมตร เคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 1.5 เมตรต่อวินาที และมีข้อต่อที่เคลื่อนไหวได้ถึง 34 จุด โดยใช้ชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์จีน เช่น Ti5 และ Galaxea AI ซึ่ง Ant Group เป็นผู้สนับสนุน

    นอกจากการเปิดตัว R1 แล้ว Ant ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโมเดลภาษา BaiLing ของตนเอง และทดลองฝึกด้วยชิปที่ผลิตในประเทศจีน เพื่อเสริมความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยี AI ของประเทศ

    จุดเด่นของหุ่นยนต์ R1 จาก Ant Group
    เปิดตัวในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้ วันที่ 11 กันยายน 2025
    พัฒนาโดย Robbyant บริษัทลูกของ Ant Group
    มีความสามารถหลากหลาย เช่น ทำงานครัว, เป็นไกด์, คัดแยกยา, ให้คำปรึกษา
    เน้นการพัฒนา “สมอง” ด้วยโมเดล AI มากกว่าการออกแบบฮาร์ดแวร์

    สเปกและการใช้งานของ R1
    น้ำหนัก 110 กิโลกรัม สูง 1.6–1.75 เมตร เคลื่อนที่ได้ไม่เกิน 1.5 เมตร/วินาที
    มีข้อต่อเคลื่อนไหวได้ 34 จุด ใช้ชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์จีน
    อยู่ในขั้นตอนการผลิตและส่งมอบให้ลูกค้า เช่น พิพิธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้
    ไม่ขายเป็นเครื่องเดี่ยว แต่เป็น “โซลูชันตามสถานการณ์”

    วิสัยทัศน์ของ Ant Group
    มองหุ่นยนต์เป็นช่องทางขยายบริการดิจิทัลสู่โลกจริง เช่น การเงินและสาธารณสุข
    พัฒนาโมเดลภาษา BaiLing เพื่อใช้กับหุ่นยนต์และบริการ AI
    ทดลองฝึกโมเดลด้วยชิปที่ผลิตในจีนเพื่อลดต้นทุนและพึ่งพาต่างประเทศ
    มุ่งเน้น embodied intelligence เพื่อสร้างหุ่นยนต์ที่เข้าใจและตอบสนองมนุษย์ได้ดีขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tesla อยู่ระหว่างพัฒนา Optimus รุ่น 3 ที่มีความคล่องตัวสูงและราคาต่ำ
    Unitree Robotics เป็นผู้นำด้านหุ่นยนต์เคลื่อนที่ในจีน
    Nvidia สนับสนุนหลายบริษัทด้วย Jetson modules และ Isaac Sim
    ตลาด embodied AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภาคการผลิต, โลจิสติกส์ และการดูแลสุขภาพ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/11/jack-ma-backed-ants-first-humanoid-robot-sheds-light-on-its-ai-ambitions
    🤖 “Ant Group เปิดตัวหุ่นยนต์ R1 — ก้าวแรกสู่ยุค AI ที่มีร่างกาย พร้อมท้าชน Tesla และ Unitree” Ant Group บริษัทฟินเทคชื่อดังที่ได้รับการสนับสนุนจาก Jack Ma ได้เปิดตัวหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์รุ่นแรกของตนในชื่อ “R1” ผ่านบริษัทลูก Robbyant ในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 โดยถือเป็นการเข้าสู่สนามแข่งขันด้าน embodied AI อย่างเต็มตัว ซึ่งมีคู่แข่งระดับโลกอย่าง Tesla, Unitree Robotics และบริษัทสตาร์ทอัพอีกมากมาย หุ่นยนต์ R1 ถูกออกแบบให้มีความสามารถหลากหลาย เช่น เป็นไกด์นำเที่ยว, คัดแยกยาในร้านขายยา, ให้คำปรึกษาทางการแพทย์ และทำงานครัวพื้นฐาน โดยเน้นการพัฒนา “สมอง” มากกว่ารูปร่าง — Ant Group เชื่อว่าความฉลาดจากโมเดล AI ขนาดใหญ่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของหุ่นยนต์ มากกว่าการออกแบบฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียว R1 มีน้ำหนักประมาณ 110 กิโลกรัม สูงราว 1.6–1.75 เมตร เคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 1.5 เมตรต่อวินาที และมีข้อต่อที่เคลื่อนไหวได้ถึง 34 จุด โดยใช้ชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์จีน เช่น Ti5 และ Galaxea AI ซึ่ง Ant Group เป็นผู้สนับสนุน นอกจากการเปิดตัว R1 แล้ว Ant ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโมเดลภาษา BaiLing ของตนเอง และทดลองฝึกด้วยชิปที่ผลิตในประเทศจีน เพื่อเสริมความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยี AI ของประเทศ ✅ จุดเด่นของหุ่นยนต์ R1 จาก Ant Group ➡️ เปิดตัวในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้ วันที่ 11 กันยายน 2025 ➡️ พัฒนาโดย Robbyant บริษัทลูกของ Ant Group ➡️ มีความสามารถหลากหลาย เช่น ทำงานครัว, เป็นไกด์, คัดแยกยา, ให้คำปรึกษา ➡️ เน้นการพัฒนา “สมอง” ด้วยโมเดล AI มากกว่าการออกแบบฮาร์ดแวร์ ✅ สเปกและการใช้งานของ R1 ➡️ น้ำหนัก 110 กิโลกรัม สูง 1.6–1.75 เมตร เคลื่อนที่ได้ไม่เกิน 1.5 เมตร/วินาที ➡️ มีข้อต่อเคลื่อนไหวได้ 34 จุด ใช้ชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์จีน ➡️ อยู่ในขั้นตอนการผลิตและส่งมอบให้ลูกค้า เช่น พิพิธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้ ➡️ ไม่ขายเป็นเครื่องเดี่ยว แต่เป็น “โซลูชันตามสถานการณ์” ✅ วิสัยทัศน์ของ Ant Group ➡️ มองหุ่นยนต์เป็นช่องทางขยายบริการดิจิทัลสู่โลกจริง เช่น การเงินและสาธารณสุข ➡️ พัฒนาโมเดลภาษา BaiLing เพื่อใช้กับหุ่นยนต์และบริการ AI ➡️ ทดลองฝึกโมเดลด้วยชิปที่ผลิตในจีนเพื่อลดต้นทุนและพึ่งพาต่างประเทศ ➡️ มุ่งเน้น embodied intelligence เพื่อสร้างหุ่นยนต์ที่เข้าใจและตอบสนองมนุษย์ได้ดีขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tesla อยู่ระหว่างพัฒนา Optimus รุ่น 3 ที่มีความคล่องตัวสูงและราคาต่ำ ➡️ Unitree Robotics เป็นผู้นำด้านหุ่นยนต์เคลื่อนที่ในจีน ➡️ Nvidia สนับสนุนหลายบริษัทด้วย Jetson modules และ Isaac Sim ➡️ ตลาด embodied AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภาคการผลิต, โลจิสติกส์ และการดูแลสุขภาพ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/11/jack-ma-backed-ants-first-humanoid-robot-sheds-light-on-its-ai-ambitions
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Jack Ma-backed Ant's first humanoid robot sheds light on its AI ambitions
    Jack Ma-backed Ant Group Co showcased its first humanoid robot on Sept 11, formally joining an intensifying effort by Chinese companies to compete with the US in commercialising a frontier technology.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากคำสัญญาสู่คำจำกัดความใหม่: เมื่อ Tesla เปลี่ยนความหมายของ FSD และยอมรับว่า “ขับเองจริง” ยังมาไม่ถึง

    ย้อนกลับไปปี 2016 Tesla เคยประกาศว่า รถทุกคันที่ผลิตจะสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้ขับเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม และตั้งแต่ปี 2018 Elon Musk ก็พูดซ้ำทุกปีว่า “ภายในสิ้นปีนี้” ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะพร้อมใช้งานจริง

    Tesla ยังขายแพ็กเกจ “Full Self-Driving Capability” (FSD) ให้ลูกค้าราคา $15,000 พร้อมคำสัญญาว่าจะอัปเดตให้รถขับเองได้ในอนาคต แต่ในปี 2025 Tesla ยอมรับแล้วว่า รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเองโดยสมบูรณ์ และไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรด

    ล่าสุด Tesla ได้เปลี่ยนชื่อแพ็กเกจเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” พร้อมระบุในเงื่อนไขว่า “ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ” และ “ไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต” ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้ซื้อความสามารถขับเองแบบที่เคยสัญญาไว้

    ที่น่าจับตามองคือ Tesla ยังใช้คำว่า FSD ในแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้ Elon Musk ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ หากบรรลุเป้าหมาย เช่น มีผู้สมัครใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย แต่ในเอกสารนั้น Tesla ได้เปลี่ยนคำจำกัดความของ FSD ให้คลุมเครือว่า “เป็นระบบช่วยขับที่สามารถทำงานคล้ายอัตโนมัติในบางสถานการณ์”

    นั่นหมายความว่า แม้ระบบจะยังต้องมีคนจับพวงมาลัยตลอดเวลา ก็ยังถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ และ Musk ก็อาจได้รับหุ้นมูลค่ามหาศาลจากการเปลี่ยนคำจำกัดความนี้

    การเปลี่ยนแปลงของคำว่า FSD
    เดิมหมายถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนควบคุม
    ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” ที่ยังต้องมีคนจับพวงมาลัย
    Tesla ระบุชัดว่าไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ และไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต

    ผลกระทบต่อผู้ซื้อ FSD
    รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเอง
    ไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ให้กับรถรุ่นเก่า
    ผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้รับคำสัญญาแบบเดียวกับผู้ซื้อในอดีต

    แผนค่าตอบแทนของ Elon Musk
    Tesla เสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนสูงสุด $1 ล้านล้านดอลลาร์
    หนึ่งในเป้าหมายคือมีผู้ใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย
    คำจำกัดความของ FSD ในเอกสารถูกเปลี่ยนให้คลุมเครือ

    ความแตกต่างระหว่างการตลาดกับเอกสารทางกฎหมาย
    Tesla ใช้คำว่า “ขับเองได้” ในการขาย แต่ใช้คำว่า “ช่วยขับ” ในเอกสาร
    ระบบที่ยังต้องมีคนควบคุมก็ถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่
    อาจนำไปสู่การจ่ายหุ้นให้ Musk แม้ระบบยังไม่ขับเองจริง

    https://electrek.co/2025/09/05/tesla-changes-meaning-full-self-driving-give-up-promise-autonomy/
    🎙️ เรื่องเล่าจากคำสัญญาสู่คำจำกัดความใหม่: เมื่อ Tesla เปลี่ยนความหมายของ FSD และยอมรับว่า “ขับเองจริง” ยังมาไม่ถึง ย้อนกลับไปปี 2016 Tesla เคยประกาศว่า รถทุกคันที่ผลิตจะสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้ขับเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม และตั้งแต่ปี 2018 Elon Musk ก็พูดซ้ำทุกปีว่า “ภายในสิ้นปีนี้” ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะพร้อมใช้งานจริง Tesla ยังขายแพ็กเกจ “Full Self-Driving Capability” (FSD) ให้ลูกค้าราคา $15,000 พร้อมคำสัญญาว่าจะอัปเดตให้รถขับเองได้ในอนาคต แต่ในปี 2025 Tesla ยอมรับแล้วว่า รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเองโดยสมบูรณ์ และไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรด ล่าสุด Tesla ได้เปลี่ยนชื่อแพ็กเกจเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” พร้อมระบุในเงื่อนไขว่า “ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ” และ “ไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต” ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้ซื้อความสามารถขับเองแบบที่เคยสัญญาไว้ ที่น่าจับตามองคือ Tesla ยังใช้คำว่า FSD ในแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้ Elon Musk ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ หากบรรลุเป้าหมาย เช่น มีผู้สมัครใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย แต่ในเอกสารนั้น Tesla ได้เปลี่ยนคำจำกัดความของ FSD ให้คลุมเครือว่า “เป็นระบบช่วยขับที่สามารถทำงานคล้ายอัตโนมัติในบางสถานการณ์” นั่นหมายความว่า แม้ระบบจะยังต้องมีคนจับพวงมาลัยตลอดเวลา ก็ยังถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ และ Musk ก็อาจได้รับหุ้นมูลค่ามหาศาลจากการเปลี่ยนคำจำกัดความนี้ ✅ การเปลี่ยนแปลงของคำว่า FSD ➡️ เดิมหมายถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนควบคุม ➡️ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” ที่ยังต้องมีคนจับพวงมาลัย ➡️ Tesla ระบุชัดว่าไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ และไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต ✅ ผลกระทบต่อผู้ซื้อ FSD ➡️ รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเอง ➡️ ไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ให้กับรถรุ่นเก่า ➡️ ผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้รับคำสัญญาแบบเดียวกับผู้ซื้อในอดีต ✅ แผนค่าตอบแทนของ Elon Musk ➡️ Tesla เสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนสูงสุด $1 ล้านล้านดอลลาร์ ➡️ หนึ่งในเป้าหมายคือมีผู้ใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย ➡️ คำจำกัดความของ FSD ในเอกสารถูกเปลี่ยนให้คลุมเครือ ✅ ความแตกต่างระหว่างการตลาดกับเอกสารทางกฎหมาย ➡️ Tesla ใช้คำว่า “ขับเองได้” ในการขาย แต่ใช้คำว่า “ช่วยขับ” ในเอกสาร ➡️ ระบบที่ยังต้องมีคนควบคุมก็ถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ ➡️ อาจนำไปสู่การจ่ายหุ้นให้ Musk แม้ระบบยังไม่ขับเองจริง https://electrek.co/2025/09/05/tesla-changes-meaning-full-self-driving-give-up-promise-autonomy/
    ELECTREK.CO
    Tesla changes meaning of 'Full Self-Driving', gives up on promise of autonomy
    Tesla has changed the meaning of “Full Self-Driving”, also known as “FSD”, to give up on its original promise of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง Coinbase: เมื่อภัยไซเบอร์มาในรูปแบบ “สินบน”

    ในเดือนพฤษภาคม 2025 บริษัทคริปโตยักษ์ใหญ่ Coinbase ได้รับอีเมลจากแฮกเกอร์นิรนาม แจ้งว่าพวกเขาได้ข้อมูลลูกค้าจำนวนหนึ่ง พร้อมเอกสารภายในของบริษัท โดยขู่เรียกค่าไถ่ถึง 20 ล้านดอลลาร์เพื่อไม่ให้เผยแพร่ข้อมูล

    แต่สิ่งที่น่าตกใจไม่ใช่แค่การขโมยข้อมูล — แต่เป็น “วิธีการ” ที่แฮกเกอร์ใช้: พวกเขาเสนอสินบนให้พนักงาน outsource ที่ศูนย์บริการลูกค้าในอินเดีย (TaskUs) เพื่อให้เข้าถึงระบบภายใน โดยมีการจ่ายเงินสูงถึง 2,500 ดอลลาร์ต่อคนเพื่อให้คัดลอกข้อมูลจากระบบสนับสนุนลูกค้า

    ข้อมูลที่ถูกขโมยมีทั้งชื่อ เบอร์โทร อีเมล หมายเลขประกันสังคม และข้อมูลบัญชีธนาคารแบบ masked รวมถึงข้อมูลการใช้งานของลูกค้ากว่า 70,000 ราย — คิดเป็น 1% ของผู้ใช้งานรายเดือนของ Coinbase

    Coinbase ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าไถ่ และสวนกลับด้วยการตั้งค่าหัวแฮกเกอร์ 20 ล้านดอลลาร์ พร้อมให้คำมั่นว่าจะชดเชยลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงผ่าน social engineering และปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยให้เข้มแข็งขึ้น

    นอกจากนี้ Coinbase ยังไล่พนักงานที่รับสินบนออกทันที และแจ้งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศให้ดำเนินคดี ส่วน TaskUs ก็หยุดให้บริการ Coinbase ที่ศูนย์ในอินเดีย และปลดพนักงานกว่า 226 คน

    สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญชี้คือ “การติดสินบน” กำลังกลายเป็นช่องทางใหม่ของแฮกเกอร์ในการเจาะระบบองค์กร โดยเฉพาะเมื่อการโจมตีแบบเดิม เช่น phishing เริ่มถูกป้องกันได้ดีขึ้น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Coinbase ถูกแฮกเกอร์ขู่เรียกค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์จากข้อมูลลูกค้าและเอกสารภายใน
    แฮกเกอร์ใช้วิธีติดสินบนพนักงาน outsource ที่บริษัท TaskUs ในอินเดีย
    มีการเสนอเงินสูงถึง $2,500 ต่อคนเพื่อให้คัดลอกข้อมูลจากระบบสนับสนุนลูกค้า
    ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงชื่อ เบอร์โทร อีเมล หมายเลขประกันสังคม และข้อมูลบัญชี
    Coinbase ปฏิเสธการจ่ายค่าไถ่ และตั้งค่าหัวแฮกเกอร์เป็นเงินเท่ากัน
    บริษัทให้คำมั่นว่าจะชดเชยลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อ social engineering
    พนักงานที่รับสินบนถูกไล่ออกทันที และถูกแจ้งความดำเนินคดี
    TaskUs หยุดให้บริการ Coinbase ที่ศูนย์ในอินเดีย และปลดพนักงาน 226 คน
    Coinbase ประเมินค่าเสียหายและค่าชดเชยอยู่ระหว่าง $180M ถึง $400M
    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ฝึกอบรมพนักงานเรื่องการรับมือกับการติดสินบน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กลุ่มแฮกเกอร์ “The Com” อ้างว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี แต่ยังไม่มีการยืนยัน
    การติดสินบนพนักงานเพื่อเข้าถึงข้อมูลภายในเคยเกิดขึ้นกับ Tesla ในปี 2020
    การใช้สินบนเป็นช่องทางโจมตีองค์กรกำลังเพิ่มขึ้นในหลายอุตสาหกรรม
    การฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันการติดสินบนควรเป็นส่วนหนึ่งของแผนความปลอดภัย
    การตั้งศูนย์บริการใหม่ในสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันของ Coinbase

    https://www.csoonline.com/article/4042522/behind-the-coinbase-breach-bribery-is-an-emerging-enterprise-threat.html
    💸 เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง Coinbase: เมื่อภัยไซเบอร์มาในรูปแบบ “สินบน” ในเดือนพฤษภาคม 2025 บริษัทคริปโตยักษ์ใหญ่ Coinbase ได้รับอีเมลจากแฮกเกอร์นิรนาม แจ้งว่าพวกเขาได้ข้อมูลลูกค้าจำนวนหนึ่ง พร้อมเอกสารภายในของบริษัท โดยขู่เรียกค่าไถ่ถึง 20 ล้านดอลลาร์เพื่อไม่ให้เผยแพร่ข้อมูล แต่สิ่งที่น่าตกใจไม่ใช่แค่การขโมยข้อมูล — แต่เป็น “วิธีการ” ที่แฮกเกอร์ใช้: พวกเขาเสนอสินบนให้พนักงาน outsource ที่ศูนย์บริการลูกค้าในอินเดีย (TaskUs) เพื่อให้เข้าถึงระบบภายใน โดยมีการจ่ายเงินสูงถึง 2,500 ดอลลาร์ต่อคนเพื่อให้คัดลอกข้อมูลจากระบบสนับสนุนลูกค้า ข้อมูลที่ถูกขโมยมีทั้งชื่อ เบอร์โทร อีเมล หมายเลขประกันสังคม และข้อมูลบัญชีธนาคารแบบ masked รวมถึงข้อมูลการใช้งานของลูกค้ากว่า 70,000 ราย — คิดเป็น 1% ของผู้ใช้งานรายเดือนของ Coinbase Coinbase ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าไถ่ และสวนกลับด้วยการตั้งค่าหัวแฮกเกอร์ 20 ล้านดอลลาร์ พร้อมให้คำมั่นว่าจะชดเชยลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงผ่าน social engineering และปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยให้เข้มแข็งขึ้น นอกจากนี้ Coinbase ยังไล่พนักงานที่รับสินบนออกทันที และแจ้งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศให้ดำเนินคดี ส่วน TaskUs ก็หยุดให้บริการ Coinbase ที่ศูนย์ในอินเดีย และปลดพนักงานกว่า 226 คน สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญชี้คือ “การติดสินบน” กำลังกลายเป็นช่องทางใหม่ของแฮกเกอร์ในการเจาะระบบองค์กร โดยเฉพาะเมื่อการโจมตีแบบเดิม เช่น phishing เริ่มถูกป้องกันได้ดีขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Coinbase ถูกแฮกเกอร์ขู่เรียกค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์จากข้อมูลลูกค้าและเอกสารภายใน ➡️ แฮกเกอร์ใช้วิธีติดสินบนพนักงาน outsource ที่บริษัท TaskUs ในอินเดีย ➡️ มีการเสนอเงินสูงถึง $2,500 ต่อคนเพื่อให้คัดลอกข้อมูลจากระบบสนับสนุนลูกค้า ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงชื่อ เบอร์โทร อีเมล หมายเลขประกันสังคม และข้อมูลบัญชี ➡️ Coinbase ปฏิเสธการจ่ายค่าไถ่ และตั้งค่าหัวแฮกเกอร์เป็นเงินเท่ากัน ➡️ บริษัทให้คำมั่นว่าจะชดเชยลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อ social engineering ➡️ พนักงานที่รับสินบนถูกไล่ออกทันที และถูกแจ้งความดำเนินคดี ➡️ TaskUs หยุดให้บริการ Coinbase ที่ศูนย์ในอินเดีย และปลดพนักงาน 226 คน ➡️ Coinbase ประเมินค่าเสียหายและค่าชดเชยอยู่ระหว่าง $180M ถึง $400M ➡️ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ฝึกอบรมพนักงานเรื่องการรับมือกับการติดสินบน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กลุ่มแฮกเกอร์ “The Com” อ้างว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี แต่ยังไม่มีการยืนยัน ➡️ การติดสินบนพนักงานเพื่อเข้าถึงข้อมูลภายในเคยเกิดขึ้นกับ Tesla ในปี 2020 ➡️ การใช้สินบนเป็นช่องทางโจมตีองค์กรกำลังเพิ่มขึ้นในหลายอุตสาหกรรม ➡️ การฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันการติดสินบนควรเป็นส่วนหนึ่งของแผนความปลอดภัย ➡️ การตั้งศูนย์บริการใหม่ในสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันของ Coinbase https://www.csoonline.com/article/4042522/behind-the-coinbase-breach-bribery-is-an-emerging-enterprise-threat.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Behind the Coinbase breach: Bribery emerges as enterprise threat
    Coinbase’s breach shows how bribery schemes — long used for SIM swaps — can be a potent enterprise attack vector. Experts urge security leaders to add bribery training and red-teaming to their cyber defense toolkits.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากมือถือสู่มอเตอร์ – Xiaomi กับภารกิจเปลี่ยนโลกยานยนต์

    ถ้าคุณรู้จัก Xiaomi จากมือถือราคาดีฟีเจอร์ครบ คุณอาจไม่ทันรู้ว่าแบรนด์นี้กำลังกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และไม่ใช่แค่ “ลองทำดู” แต่เป็นการลงทุนเต็มตัวกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์

    Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก SU7 ในเดือนธันวาคม 2023 และตามด้วย YU7 SUV ในกลางปี 2025 ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ยอดจองกว่า 240,000 คันภายใน 18 ชั่วโมง ด้วยดีไซน์ที่หลายคนเปรียบเทียบว่า “เหมือน Porsche แต่ราคาพอ ๆ กับ Toyota Camry”

    ยอดขายพุ่งทะลุ 157,000 คันในครึ่งปีแรกของ 2025 และรายได้จากธุรกิจ EV ก็แตะ 20.6 พันล้านหยวนในไตรมาสเดียว แม้จะยังขาดทุนอยู่ แต่ก็ใกล้จุดคุ้มทุนแล้ว

    Xiaomi ไม่หยุดแค่ในจีน พวกเขาวางแผนบุกตลาดยุโรปในปี 2027 โดยเริ่มจากการทดสอบ SU7 Ultra บนสนาม Nürburgring ที่เยอรมนี ซึ่งทำสถิติเร็วที่สุดในกลุ่มรถ EV ผลิตจำนวนมาก

    แต่เส้นทางนี้ไม่ง่ายนัก เพราะในสหรัฐฯ Xiaomi ถูกกีดกันด้วยภาษีนำเข้า 100% จากนโยบายสงครามการค้าของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้ตลาดใหญ่นี้ยังเข้าไม่ถึง

    แม้จะมีอุปสรรค แต่ Xiaomi ก็ได้รับคำชมจากนักวิเคราะห์ว่า “แซงหน้า Tesla ในหลายด้าน” โดยเฉพาะเรื่องดีไซน์และราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น SU7 ในเดือนธันวาคม 2023
    ตามด้วยรุ่น YU7 SUV ในเดือนมิถุนายน 2025 ยอดจอง 240,000 คันใน 18 ชั่วโมง
    ราคาของ YU7 อยู่ที่ประมาณ 253,500 หยวน (US$35,360)
    Xiaomi วางแผนเข้าสู่ตลาดยุโรปในปี 2027
    SU7 Ultra ทำสถิติเร็วที่สุดในสนาม Nürburgring สำหรับรถ EV ผลิตจำนวนมาก
    Xiaomi ส่งมอบรถ EV ได้กว่า 157,000 คันในครึ่งปีแรกของ 2025
    รายได้จากธุรกิจ EV ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 20.6 พันล้านหยวน
    บริษัทตั้งเป้าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ 5 อันดับแรกของโลก
    Xiaomi ยังไม่สามารถเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ เพราะภาษีนำเข้า 100%
    นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ระบุว่า Xiaomi แซง Tesla ในหลายด้าน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SU7 ได้รับคำชมว่า “เหมือน Porsche Taycan” แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า
    Xiaomi ใช้ประสบการณ์จากธุรกิจมือถือและ IoT มาปรับใช้ในรถยนต์
    การออกแบบรถเน้น software-defined vehicle (SDV) ที่คล้ายสมาร์ตโฟนมากกว่ารถยนต์ดั้งเดิม
    Xiaomi มีแผนเปิดโรงงาน EV แห่งที่สองเพื่อเพิ่มกำลังผลิต
    ตลาดยุโรปมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าสหรัฐฯ และเปิดรับแบรนด์จีนมากขึ้น


    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/chinas-xiaomi-is-betting-big-on-electric-cars
    🎙️ จากมือถือสู่มอเตอร์ – Xiaomi กับภารกิจเปลี่ยนโลกยานยนต์ ถ้าคุณรู้จัก Xiaomi จากมือถือราคาดีฟีเจอร์ครบ คุณอาจไม่ทันรู้ว่าแบรนด์นี้กำลังกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และไม่ใช่แค่ “ลองทำดู” แต่เป็นการลงทุนเต็มตัวกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก SU7 ในเดือนธันวาคม 2023 และตามด้วย YU7 SUV ในกลางปี 2025 ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ยอดจองกว่า 240,000 คันภายใน 18 ชั่วโมง ด้วยดีไซน์ที่หลายคนเปรียบเทียบว่า “เหมือน Porsche แต่ราคาพอ ๆ กับ Toyota Camry” ยอดขายพุ่งทะลุ 157,000 คันในครึ่งปีแรกของ 2025 และรายได้จากธุรกิจ EV ก็แตะ 20.6 พันล้านหยวนในไตรมาสเดียว แม้จะยังขาดทุนอยู่ แต่ก็ใกล้จุดคุ้มทุนแล้ว Xiaomi ไม่หยุดแค่ในจีน พวกเขาวางแผนบุกตลาดยุโรปในปี 2027 โดยเริ่มจากการทดสอบ SU7 Ultra บนสนาม Nürburgring ที่เยอรมนี ซึ่งทำสถิติเร็วที่สุดในกลุ่มรถ EV ผลิตจำนวนมาก แต่เส้นทางนี้ไม่ง่ายนัก เพราะในสหรัฐฯ Xiaomi ถูกกีดกันด้วยภาษีนำเข้า 100% จากนโยบายสงครามการค้าของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้ตลาดใหญ่นี้ยังเข้าไม่ถึง แม้จะมีอุปสรรค แต่ Xiaomi ก็ได้รับคำชมจากนักวิเคราะห์ว่า “แซงหน้า Tesla ในหลายด้าน” โดยเฉพาะเรื่องดีไซน์และราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น SU7 ในเดือนธันวาคม 2023 ➡️ ตามด้วยรุ่น YU7 SUV ในเดือนมิถุนายน 2025 ยอดจอง 240,000 คันใน 18 ชั่วโมง ➡️ ราคาของ YU7 อยู่ที่ประมาณ 253,500 หยวน (US$35,360) ➡️ Xiaomi วางแผนเข้าสู่ตลาดยุโรปในปี 2027 ➡️ SU7 Ultra ทำสถิติเร็วที่สุดในสนาม Nürburgring สำหรับรถ EV ผลิตจำนวนมาก ➡️ Xiaomi ส่งมอบรถ EV ได้กว่า 157,000 คันในครึ่งปีแรกของ 2025 ➡️ รายได้จากธุรกิจ EV ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 20.6 พันล้านหยวน ➡️ บริษัทตั้งเป้าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ 5 อันดับแรกของโลก ➡️ Xiaomi ยังไม่สามารถเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ เพราะภาษีนำเข้า 100% ➡️ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ระบุว่า Xiaomi แซง Tesla ในหลายด้าน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SU7 ได้รับคำชมว่า “เหมือน Porsche Taycan” แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า ➡️ Xiaomi ใช้ประสบการณ์จากธุรกิจมือถือและ IoT มาปรับใช้ในรถยนต์ ➡️ การออกแบบรถเน้น software-defined vehicle (SDV) ที่คล้ายสมาร์ตโฟนมากกว่ารถยนต์ดั้งเดิม ➡️ Xiaomi มีแผนเปิดโรงงาน EV แห่งที่สองเพื่อเพิ่มกำลังผลิต ➡️ ตลาดยุโรปมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าสหรัฐฯ และเปิดรับแบรนด์จีนมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/chinas-xiaomi-is-betting-big-on-electric-cars
    WWW.THESTAR.COM.MY
    China's Xiaomi is betting big on electric cars
    Xiaomi may not be a household name in the US, but in China its products are everywhere. Already one of the world's top mobile phone manufacturers, the technology company also makes everything from toothbrushes to watches – even mattresses. Now it's betting big on electric vehicles, having already succeeded where even Apple failed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ Tesla ต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอดในตลาดจีน ด้วย AI ที่พูดภาษาท้องถิ่น

    Tesla กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีน ซึ่งเต็มไปด้วยแบรนด์ท้องถิ่นที่ใส่เทคโนโลยีล้ำหน้าเข้าไปในรถอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ Tesla จึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านซอฟต์แวร์ โดยนำโมเดล AI สัญชาติจีนอย่าง DeepSeek และ Doubao มาใช้ในระบบผู้ช่วยเสียงภายในรถยนต์

    Doubao ซึ่งพัฒนาโดย ByteDance จะรับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น การนำทาง การควบคุมอุณหภูมิ และการเล่นเพลง ส่วน DeepSeek จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาอัจฉริยะที่สามารถตอบคำถามหลายขั้นตอนและเข้าใจบริบทได้ลึกขึ้น ทั้งสองโมเดลจะทำงานผ่านคลาวด์ของ Volcano Engine ซึ่งเป็นบริการของ ByteDance เช่นกัน

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายของจีนที่ไม่อนุญาตให้ส่งข้อมูลผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ ทำให้ Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ซึ่งเป็นโมเดลของ xAI ที่ใช้ในสหรัฐฯ ได้

    นอกจากนี้ Tesla ยังเปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่รองรับผู้ช่วยเสียงแบบ “Hey, Tesla” โดยไม่ต้องกดปุ่มบนพวงมาลัยเหมือนรุ่นก่อน ๆ

    การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ Tesla ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมเทคโนโลยีของจีน ซึ่งผู้ใช้คุ้นเคยกับระบบผู้ช่วยเสียงที่ตอบสนองได้รวดเร็วและเชื่อมโยงกับบริการท้องถิ่น เช่น แผนที่จีน แอปส่งอาหาร และระบบชำระเงิน

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Tesla เตรียมใช้ AI สัญชาติจีน DeepSeek และ Doubao ในรถยนต์ที่จำหน่ายในจีน
    Doubao รับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น นำทาง เพลง อุณหภูมิ
    DeepSeek ทำหน้าที่สนทนาอัจฉริยะ ตอบคำถามหลายขั้นตอน
    ทั้งสองโมเดลทำงานผ่านคลาวด์ Volcano Engine ของ ByteDance
    Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ในจีนเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายและการจัดการข้อมูล
    ผู้ใช้สามารถเรียกผู้ช่วยเสียงด้วยคำว่า “Hey, Tesla” หรือกำหนดเองได้
    Tesla เปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน รองรับระบบ AI เต็มรูปแบบ
    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการแข่งขันกับแบรนด์จีน เช่น BYD และ Geely
    BMW ก็ใช้โมเดล Qwen จาก Alibaba ในรถรุ่นใหม่ที่จำหน่ายในจีน
    ยังไม่มีการยืนยันว่า AI ทั้งสองถูกติดตั้งในรถทุกคันแล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DeepSeek ได้รับความนิยมในจีนหลังเปิดตัวรุ่น R1 และ V3.1 ที่มีความสามารถด้าน reasoning สูง
    ระบบผู้ช่วยเสียงในรถยนต์จีนสามารถเชื่อมต่อกับบริการท้องถิ่น เช่น Alipay, Meituan, Gaode Maps
    LLMs เช่น ChatGPT, Qwen, และ DeepSeek ถูกนำมาใช้ในรถยนต์มากขึ้นทั่วโลก
    การใช้ AI ในรถยนต์ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการขับขี่
    การใช้โมเดลท้องถิ่นช่วยให้ตอบสนองต่อภาษาถิ่นและพฤติกรรมผู้ใช้ได้แม่นยำกว่าโมเดลสากล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/tesla-to-integrate-deepseek-doubao-ai-voice-controls-in-china
    🎙️ เมื่อ Tesla ต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอดในตลาดจีน ด้วย AI ที่พูดภาษาท้องถิ่น Tesla กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีน ซึ่งเต็มไปด้วยแบรนด์ท้องถิ่นที่ใส่เทคโนโลยีล้ำหน้าเข้าไปในรถอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ Tesla จึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านซอฟต์แวร์ โดยนำโมเดล AI สัญชาติจีนอย่าง DeepSeek และ Doubao มาใช้ในระบบผู้ช่วยเสียงภายในรถยนต์ Doubao ซึ่งพัฒนาโดย ByteDance จะรับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น การนำทาง การควบคุมอุณหภูมิ และการเล่นเพลง ส่วน DeepSeek จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาอัจฉริยะที่สามารถตอบคำถามหลายขั้นตอนและเข้าใจบริบทได้ลึกขึ้น ทั้งสองโมเดลจะทำงานผ่านคลาวด์ของ Volcano Engine ซึ่งเป็นบริการของ ByteDance เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายของจีนที่ไม่อนุญาตให้ส่งข้อมูลผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ ทำให้ Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ซึ่งเป็นโมเดลของ xAI ที่ใช้ในสหรัฐฯ ได้ นอกจากนี้ Tesla ยังเปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่รองรับผู้ช่วยเสียงแบบ “Hey, Tesla” โดยไม่ต้องกดปุ่มบนพวงมาลัยเหมือนรุ่นก่อน ๆ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ Tesla ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมเทคโนโลยีของจีน ซึ่งผู้ใช้คุ้นเคยกับระบบผู้ช่วยเสียงที่ตอบสนองได้รวดเร็วและเชื่อมโยงกับบริการท้องถิ่น เช่น แผนที่จีน แอปส่งอาหาร และระบบชำระเงิน 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Tesla เตรียมใช้ AI สัญชาติจีน DeepSeek และ Doubao ในรถยนต์ที่จำหน่ายในจีน ➡️ Doubao รับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น นำทาง เพลง อุณหภูมิ ➡️ DeepSeek ทำหน้าที่สนทนาอัจฉริยะ ตอบคำถามหลายขั้นตอน ➡️ ทั้งสองโมเดลทำงานผ่านคลาวด์ Volcano Engine ของ ByteDance ➡️ Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ในจีนเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายและการจัดการข้อมูล ➡️ ผู้ใช้สามารถเรียกผู้ช่วยเสียงด้วยคำว่า “Hey, Tesla” หรือกำหนดเองได้ ➡️ Tesla เปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน รองรับระบบ AI เต็มรูปแบบ ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการแข่งขันกับแบรนด์จีน เช่น BYD และ Geely ➡️ BMW ก็ใช้โมเดล Qwen จาก Alibaba ในรถรุ่นใหม่ที่จำหน่ายในจีน ➡️ ยังไม่มีการยืนยันว่า AI ทั้งสองถูกติดตั้งในรถทุกคันแล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DeepSeek ได้รับความนิยมในจีนหลังเปิดตัวรุ่น R1 และ V3.1 ที่มีความสามารถด้าน reasoning สูง ➡️ ระบบผู้ช่วยเสียงในรถยนต์จีนสามารถเชื่อมต่อกับบริการท้องถิ่น เช่น Alipay, Meituan, Gaode Maps ➡️ LLMs เช่น ChatGPT, Qwen, และ DeepSeek ถูกนำมาใช้ในรถยนต์มากขึ้นทั่วโลก ➡️ การใช้ AI ในรถยนต์ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการขับขี่ ➡️ การใช้โมเดลท้องถิ่นช่วยให้ตอบสนองต่อภาษาถิ่นและพฤติกรรมผู้ใช้ได้แม่นยำกว่าโมเดลสากล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/tesla-to-integrate-deepseek-doubao-ai-voice-controls-in-china
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Tesla to integrate Deepseek, Doubao AI voice controls in China
    Tesla Inc plans to introduce in-car voice assistant functions powered by Deepseek and Bytedance Ltd's Doubao artificial intelligence as it aims to catch local rivals who offer similar features.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย

    ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต

    สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน

    แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025
    การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้
    บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ
    ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ
    การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443
    อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW
    นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด
    ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น
    เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ
    การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน
    NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน
    จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน
    การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference)
    นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    🎙️ เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 ➡️ การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้ ➡️ บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ ➡️ ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ ➡️ การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443 ➡️ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW ➡️ นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด ➡️ ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น ➡️ เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ ➡️ การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน ➡️ NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน ➡️ จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน ➡️ การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference) ➡️ นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต” https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung จับมือ Intel – เกมการเมืองระดับโลกในสนามเซมิคอนดักเตอร์

    ในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังกลายเป็นสมรภูมิทางเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับชาติ Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Trump

    หลังจาก SoftBank ประกาศลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ Samsung ก็ถูกเปิดเผยว่ากำลังพิจารณาทำแบบเดียวกัน โดยหวังว่าจะได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในโครงการโรงงานและการผลิตชิปในประเทศ

    Intel กลายเป็นศูนย์กลางของนโยบาย CHIPS Act ที่รัฐบาล Trump กำลังปรับเปลี่ยนจาก “เงินสนับสนุน” เป็น “การถือหุ้น” โดยมีแผนจะเปลี่ยนเงินช่วยเหลือมูลค่ากว่า $10.9 พันล้านให้กลายเป็นหุ้น 10% ใน Intel ซึ่งจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

    Samsung ซึ่งได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act ก็อาจถูกเสนอให้แลกเงินนั้นกับการถือหุ้นเช่นกัน ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ และยุทธศาสตร์การผลิตของ Samsung ในระดับโลก

    นอกจากนี้ Samsung ยังพิจารณาร่วมมือกับบริษัท Amkor ในด้านการแพ็กเกจชิป ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Samsung เมื่อเทียบกับ TSMC ที่มีโรงงานแพ็กเกจในสหรัฐฯ แล้ว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาล Trump
    Intel ได้รับเงินสนับสนุน $10.9 พันล้านจาก CHIPS Act และอาจถูกเปลี่ยนเป็นหุ้น 10%
    SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    Samsung ได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act
    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนแนวทางจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น”
    Samsung พิจารณาร่วมมือกับ Amkor เพื่อเสริมความสามารถด้านการแพ็กเกจชิป
    Samsung มีข้อตกลงผลิตชิป AI ให้ Tesla มูลค่า $16.5 พันล้านในรัฐเท็กซัส
    TSMC ประกาศลงทุนเพิ่ม $100 พันล้านในสหรัฐฯ ผ่านการสนับสนุนจากทำเนียบขาว
    การลงทุนใน Intel ถูกมองว่าเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อนโยบายของรัฐบาล Trump
    Samsung หวังใช้การลงทุนนี้เพื่อเสริมบทบาทในตลาดสหรัฐฯ และลดผลกระทบจากภาษี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาถือหุ้นใน TSMC, Micron และ Samsung เช่นเดียวกับ Intel
    การถือหุ้นโดยรัฐเป็นแนวทางที่ใช้ในจีน, เกาหลีใต้ และไต้หวัน เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี Samsung ลงทุน $37 พันล้านในโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ ภายในปี 2030
    SK hynix ก็ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act และอาจถูกเสนอให้แลกเป็นหุ้นเช่นกัน
    การถือหุ้นของรัฐบาลอาจไม่ให้สิทธิ์บริหาร แต่มีผลต่อยุทธศาสตร์และความมั่นคง

    https://wccftech.com/samsung-seeking-to-woo-trump-administration-by-investing-in-intel-after-softbank-says-report/
    🎙️ Samsung จับมือ Intel – เกมการเมืองระดับโลกในสนามเซมิคอนดักเตอร์ ในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังกลายเป็นสมรภูมิทางเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับชาติ Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Trump หลังจาก SoftBank ประกาศลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ Samsung ก็ถูกเปิดเผยว่ากำลังพิจารณาทำแบบเดียวกัน โดยหวังว่าจะได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในโครงการโรงงานและการผลิตชิปในประเทศ Intel กลายเป็นศูนย์กลางของนโยบาย CHIPS Act ที่รัฐบาล Trump กำลังปรับเปลี่ยนจาก “เงินสนับสนุน” เป็น “การถือหุ้น” โดยมีแผนจะเปลี่ยนเงินช่วยเหลือมูลค่ากว่า $10.9 พันล้านให้กลายเป็นหุ้น 10% ใน Intel ซึ่งจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด Samsung ซึ่งได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act ก็อาจถูกเสนอให้แลกเงินนั้นกับการถือหุ้นเช่นกัน ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ และยุทธศาสตร์การผลิตของ Samsung ในระดับโลก นอกจากนี้ Samsung ยังพิจารณาร่วมมือกับบริษัท Amkor ในด้านการแพ็กเกจชิป ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Samsung เมื่อเทียบกับ TSMC ที่มีโรงงานแพ็กเกจในสหรัฐฯ แล้ว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาล Trump ➡️ Intel ได้รับเงินสนับสนุน $10.9 พันล้านจาก CHIPS Act และอาจถูกเปลี่ยนเป็นหุ้น 10% ➡️ SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ ➡️ Samsung ได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนแนวทางจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น” ➡️ Samsung พิจารณาร่วมมือกับ Amkor เพื่อเสริมความสามารถด้านการแพ็กเกจชิป ➡️ Samsung มีข้อตกลงผลิตชิป AI ให้ Tesla มูลค่า $16.5 พันล้านในรัฐเท็กซัส ➡️ TSMC ประกาศลงทุนเพิ่ม $100 พันล้านในสหรัฐฯ ผ่านการสนับสนุนจากทำเนียบขาว ➡️ การลงทุนใน Intel ถูกมองว่าเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อนโยบายของรัฐบาล Trump ➡️ Samsung หวังใช้การลงทุนนี้เพื่อเสริมบทบาทในตลาดสหรัฐฯ และลดผลกระทบจากภาษี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาถือหุ้นใน TSMC, Micron และ Samsung เช่นเดียวกับ Intel ➡️ การถือหุ้นโดยรัฐเป็นแนวทางที่ใช้ในจีน, เกาหลีใต้ และไต้หวัน เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี ➡️ Samsung ลงทุน $37 พันล้านในโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ ภายในปี 2030 ➡️ SK hynix ก็ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act และอาจถูกเสนอให้แลกเป็นหุ้นเช่นกัน ➡️ การถือหุ้นของรัฐบาลอาจไม่ให้สิทธิ์บริหาร แต่มีผลต่อยุทธศาสตร์และความมั่นคง https://wccftech.com/samsung-seeking-to-woo-trump-administration-by-investing-in-intel-after-softbank-says-report/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Seeking To Woo Trump Administration By Investing In Intel After Softbank, Says Report
    Samsung is considering investing in Intel to support U.S. chip production after Softbank's $2 billion investment.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องวิจัย Tesla: เมื่อ Dojo ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ต้องยุติลง และ Elon หันไปพึ่ง Nvidia กับ AMD

    ย้อนกลับไปในปี 2021 Tesla เปิดตัวโครงการ Dojo ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิปแบบ wafer-scale เพื่อฝึก AI สำหรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (FSD) และหุ่นยนต์ Optimus โดยหวังว่าจะลดการพึ่งพา Nvidia และสร้างฮาร์ดแวร์ของตัวเองเพื่อควบคุมทุกมิติของการประมวลผล AI

    แต่ล่าสุด Elon Musk ตัดสินใจยุติโครงการ Dojo อย่างเป็นทางการ โดยมีการยุบทีมงานและย้ายบุคลากรไปยังแผนกอื่นภายใน Tesla ขณะเดียวกัน Peter Bannon หัวหน้าโครงการ Dojo ก็เตรียมลาออก และมีสมาชิกทีมกว่า 20 คนย้ายไปสร้างสตาร์ทอัพใหม่ชื่อ DensityAI

    Tesla จะหันไปพึ่งพา Nvidia และ AMD มากขึ้น โดย TSMC จะผลิตชิป AI5 สำหรับรถ Tesla รุ่นใหม่ในปี 2025 และ Samsung จะผลิต AI6 รุ่นถัดไปในช่วงปลายทศวรรษ Musk ยังกล่าวว่าเขาอยากให้ชิปที่ใช้ในรถยนต์และเซิร์ฟเวอร์มีสถาปัตยกรรมเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการพัฒนาและใช้งานร่วมกัน

    Tesla ยุติโครงการ Dojo ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิป wafer-scale
    โครงการเริ่มในปี 2021 เพื่อฝึก AI สำหรับ FSD และ Optimus

    Elon Musk สั่งยุบทีม Dojo และย้ายบุคลากรไปยังแผนกอื่น
    Peter Bannon หัวหน้าโครงการเตรียมลาออก

    สมาชิกทีมกว่า 20 คนย้ายไปสร้างสตาร์ทอัพใหม่ชื่อ DensityAI
    เน้นพัฒนา AI สำหรับหุ่นยนต์และยานยนต์

    Tesla จะเพิ่มการพึ่งพา Nvidia และ AMD สำหรับฮาร์ดแวร์ AI
    Nvidia ยังคงเป็นผู้จัดหา GPU ส่วน AMD จะมีบทบาทมากขึ้น

    TSMC จะผลิตชิป AI5 สำหรับ Tesla ในปี 2025
    Samsung จะผลิตชิป AI6 รุ่นถัดไปในช่วงปลายทศวรรษ

    Musk ต้องการให้ชิปในรถและเซิร์ฟเวอร์มีสถาปัตยกรรมเดียวกัน
    เพื่อใช้ร่วมกันได้ทั้งใน Optimus และระบบคลัสเตอร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/tesla-scraps-custom-dojo-wafer-level-processor-initiative-dismantles-team-musk-to-lean-on-nvidia-and-amd-more
    🚗🧠 เรื่องเล่าจากห้องวิจัย Tesla: เมื่อ Dojo ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ต้องยุติลง และ Elon หันไปพึ่ง Nvidia กับ AMD ย้อนกลับไปในปี 2021 Tesla เปิดตัวโครงการ Dojo ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิปแบบ wafer-scale เพื่อฝึก AI สำหรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (FSD) และหุ่นยนต์ Optimus โดยหวังว่าจะลดการพึ่งพา Nvidia และสร้างฮาร์ดแวร์ของตัวเองเพื่อควบคุมทุกมิติของการประมวลผล AI แต่ล่าสุด Elon Musk ตัดสินใจยุติโครงการ Dojo อย่างเป็นทางการ โดยมีการยุบทีมงานและย้ายบุคลากรไปยังแผนกอื่นภายใน Tesla ขณะเดียวกัน Peter Bannon หัวหน้าโครงการ Dojo ก็เตรียมลาออก และมีสมาชิกทีมกว่า 20 คนย้ายไปสร้างสตาร์ทอัพใหม่ชื่อ DensityAI Tesla จะหันไปพึ่งพา Nvidia และ AMD มากขึ้น โดย TSMC จะผลิตชิป AI5 สำหรับรถ Tesla รุ่นใหม่ในปี 2025 และ Samsung จะผลิต AI6 รุ่นถัดไปในช่วงปลายทศวรรษ Musk ยังกล่าวว่าเขาอยากให้ชิปที่ใช้ในรถยนต์และเซิร์ฟเวอร์มีสถาปัตยกรรมเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการพัฒนาและใช้งานร่วมกัน ✅ Tesla ยุติโครงการ Dojo ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิป wafer-scale ➡️ โครงการเริ่มในปี 2021 เพื่อฝึก AI สำหรับ FSD และ Optimus ✅ Elon Musk สั่งยุบทีม Dojo และย้ายบุคลากรไปยังแผนกอื่น ➡️ Peter Bannon หัวหน้าโครงการเตรียมลาออก ✅ สมาชิกทีมกว่า 20 คนย้ายไปสร้างสตาร์ทอัพใหม่ชื่อ DensityAI ➡️ เน้นพัฒนา AI สำหรับหุ่นยนต์และยานยนต์ ✅ Tesla จะเพิ่มการพึ่งพา Nvidia และ AMD สำหรับฮาร์ดแวร์ AI ➡️ Nvidia ยังคงเป็นผู้จัดหา GPU ส่วน AMD จะมีบทบาทมากขึ้น ✅ TSMC จะผลิตชิป AI5 สำหรับ Tesla ในปี 2025 ➡️ Samsung จะผลิตชิป AI6 รุ่นถัดไปในช่วงปลายทศวรรษ ✅ Musk ต้องการให้ชิปในรถและเซิร์ฟเวอร์มีสถาปัตยกรรมเดียวกัน ➡️ เพื่อใช้ร่วมกันได้ทั้งใน Optimus และระบบคลัสเตอร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/tesla-scraps-custom-dojo-wafer-level-processor-initiative-dismantles-team-musk-to-lean-on-nvidia-and-amd-more
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Tesla ปิดบังหลักฐาน Autopilot เพื่อโยนความผิดให้คนขับ

    ย้อนกลับไปในปี 2019 เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงในฟลอริดา รถ Tesla Model S ที่เปิดใช้งาน Autopilot พุ่งชนคนเดินถนนจนเสียชีวิตทันที และมีผู้บาดเจ็บสาหัสอีกหนึ่งราย Tesla อ้างว่าคนขับเป็นฝ่ายผิด แต่หลักฐานจากการสืบสวนกลับเผยว่า Tesla มีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการทำงานของ Autopilot ในช่วงเกิดเหตุ—แต่กลับปกปิดไว้

    ในเวลาเพียง 3 นาทีหลังชน ตัวรถได้อัปโหลด “collision snapshot” ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Tesla ซึ่งประกอบด้วยวิดีโอ, ข้อมูล CAN-bus, EDR และข้อมูลจาก Autopilot ECU จากนั้นลบข้อมูลในเครื่องทันที ทำให้ Tesla เป็นฝ่ายเดียวที่ถือครองหลักฐานนี้

    เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายโจทก์ขอข้อมูล Tesla กลับบอกว่า “ไม่มีข้อมูลดังกล่าว” และยังให้ทนายความช่วยเขียนจดหมายขอข้อมูลแบบหลอก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลจริง

    Tesla อัปโหลดข้อมูลการชนไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายใน 3 นาทีหลังเกิดเหตุ
    ข้อมูลประกอบด้วยวิดีโอ, CAN-bus, EDR และข้อมูลจาก Autopilot ECU
    ตัวรถลบข้อมูลในเครื่องทันทีหลังอัปโหลด ทำให้ Tesla เป็นฝ่ายเดียวที่มีข้อมูล

    ผู้เชี่ยวชาญสามารถกู้ข้อมูลจาก ECU และยืนยันว่า Tesla มีข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่แรก
    Alan Moore วิศวกรด้านการวิเคราะห์อุบัติเหตุ ยืนยันว่ามี “collision snapshot” อยู่จริง
    Tesla กลับบอกว่า “ไม่มีข้อมูล” ในเอกสารการตอบคำขอของศาล

    ตำรวจขอข้อมูลจาก Tesla แต่ถูกชี้นำให้เขียนจดหมายที่หลีกเลี่ยงการขอข้อมูลสำคัญ
    ทนายของ Tesla บอกว่าไม่ต้องใช้หมายศาล แค่เขียนจดหมายตามที่เขาบอก
    ผลคือ Tesla ส่งแค่ข้อมูล infotainment เช่น call logs และคู่มือรถ—not ข้อมูล Autopilot

    ศาลตัดสินให้ Tesla มีความผิดบางส่วนในคดีการเสียชีวิตจาก Autopilot
    เป็นครั้งแรกที่ Tesla ถูกตัดสินในคดีลักษณะนี้โดยคณะลูกขุน
    คดีนี้อาจเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับการฟ้องร้องเกี่ยวกับระบบขับขี่อัตโนมัติ

    https://electrek.co/2025/08/04/tesla-withheld-data-lied-misdirected-police-plaintiffs-avoid-blame-autopilot-crash/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Tesla ปิดบังหลักฐาน Autopilot เพื่อโยนความผิดให้คนขับ ย้อนกลับไปในปี 2019 เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงในฟลอริดา รถ Tesla Model S ที่เปิดใช้งาน Autopilot พุ่งชนคนเดินถนนจนเสียชีวิตทันที และมีผู้บาดเจ็บสาหัสอีกหนึ่งราย Tesla อ้างว่าคนขับเป็นฝ่ายผิด แต่หลักฐานจากการสืบสวนกลับเผยว่า Tesla มีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการทำงานของ Autopilot ในช่วงเกิดเหตุ—แต่กลับปกปิดไว้ ในเวลาเพียง 3 นาทีหลังชน ตัวรถได้อัปโหลด “collision snapshot” ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Tesla ซึ่งประกอบด้วยวิดีโอ, ข้อมูล CAN-bus, EDR และข้อมูลจาก Autopilot ECU จากนั้นลบข้อมูลในเครื่องทันที ทำให้ Tesla เป็นฝ่ายเดียวที่ถือครองหลักฐานนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายโจทก์ขอข้อมูล Tesla กลับบอกว่า “ไม่มีข้อมูลดังกล่าว” และยังให้ทนายความช่วยเขียนจดหมายขอข้อมูลแบบหลอก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลจริง ✅ Tesla อัปโหลดข้อมูลการชนไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายใน 3 นาทีหลังเกิดเหตุ ➡️ ข้อมูลประกอบด้วยวิดีโอ, CAN-bus, EDR และข้อมูลจาก Autopilot ECU ➡️ ตัวรถลบข้อมูลในเครื่องทันทีหลังอัปโหลด ทำให้ Tesla เป็นฝ่ายเดียวที่มีข้อมูล ✅ ผู้เชี่ยวชาญสามารถกู้ข้อมูลจาก ECU และยืนยันว่า Tesla มีข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่แรก ➡️ Alan Moore วิศวกรด้านการวิเคราะห์อุบัติเหตุ ยืนยันว่ามี “collision snapshot” อยู่จริง ➡️ Tesla กลับบอกว่า “ไม่มีข้อมูล” ในเอกสารการตอบคำขอของศาล ✅ ตำรวจขอข้อมูลจาก Tesla แต่ถูกชี้นำให้เขียนจดหมายที่หลีกเลี่ยงการขอข้อมูลสำคัญ ➡️ ทนายของ Tesla บอกว่าไม่ต้องใช้หมายศาล แค่เขียนจดหมายตามที่เขาบอก ➡️ ผลคือ Tesla ส่งแค่ข้อมูล infotainment เช่น call logs และคู่มือรถ—not ข้อมูล Autopilot ✅ ศาลตัดสินให้ Tesla มีความผิดบางส่วนในคดีการเสียชีวิตจาก Autopilot ➡️ เป็นครั้งแรกที่ Tesla ถูกตัดสินในคดีลักษณะนี้โดยคณะลูกขุน ➡️ คดีนี้อาจเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับการฟ้องร้องเกี่ยวกับระบบขับขี่อัตโนมัติ https://electrek.co/2025/08/04/tesla-withheld-data-lied-misdirected-police-plaintiffs-avoid-blame-autopilot-crash/
    ELECTREK.CO
    Tesla withheld data, lied, and misdirected police and plaintiffs to avoid blame in Autopilot crash
    Tesla was caught withholding data, lying about it, and misdirecting authorities in the wrongful death case involving Autopilot that it...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Bolt กลับมาแล้ว—EV ราคาประหยัดที่อเมริกาต้องการ ในวันที่ตลาดกำลังชะลอตัว

    Chevrolet ประกาศรีดีไซน์ Bolt EV สำหรับปี 2027 โดยใช้พอร์ตชาร์จแบบ NACS (North American Charging Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับ Tesla ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครือข่าย Supercharger ได้โดยไม่ต้องใช้อะแดปเตอร์

    นอกจากดีไซน์ใหม่ที่ดูสปอร์ตขึ้นและไฟท้ายที่ปรับปรุงจากเสียงบ่นของผู้ใช้เดิม Bolt รุ่นใหม่ยังใช้แบตเตอรี่แบบ LFP (ลิเธียม-เหล็ก-ฟอสเฟต) ที่มีต้นทุนต่ำและอายุการใช้งานยาวนานกว่าเดิม

    ในขณะที่ Bolt กลับมาอย่างมั่นใจ Mercedes-Benz และ Porsche กลับต้องลดราคาหรือชะลอการส่งมอบ EV บางรุ่น เพราะยอดขายในอเมริกาชะลอตัว และผู้บริโภคยังมองว่า EV ส่วนใหญ่ “แพงเกินไป” โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ย

    Chevrolet Bolt EV รุ่นใหม่จะเปิดตัวในปี 2027 พร้อมพอร์ตชาร์จแบบ NACS
    เป็น EV รุ่นแรกของ Chevy ที่ใช้พอร์ต Tesla โดยตรง
    เข้าถึงเครือข่าย Supercharger ได้ทันที

    ใช้แบตเตอรี่ LFP ที่มีต้นทุนต่ำและอายุการใช้งานยาวนาน
    ช่วยให้ราคาขายต่ำกว่า $30,000 ได้
    ยังไม่มีตัวเลขระยะทางวิ่งที่แน่นอน

    ดีไซน์ใหม่มีไฟหน้า LED แบบบาง, ล้ออัลลอยใหม่ และไฟท้ายที่ปรับปรุงจากเสียงผู้ใช้เดิม
    ดูสปอร์ตและทันสมัยขึ้น
    ยังใช้แพลตฟอร์ม BEV2 เดิมแต่ปรับปรุงภายใน

    Mercedes-Benz ลดราคาหลายรุ่นในกลุ่ม EQ และชะลอการส่งมอบบางรุ่นเพื่อควบคุมสต็อก
    สะท้อนความต้องการ EV ที่ลดลงในอเมริกา
    Porsche ก็ลดเป้าหมายรายได้จากผลกระทบของภาษีการค้า

    ตลาด EV ในอเมริกายังต้องการรถราคาประหยัดเพื่อกระตุ้นการใช้งานในวงกว้าง
    Nissan Leaf และ Hyundai Kona Electric ยังเป็นตัวเลือกที่เข้าถึงได้
    แต่หลายรุ่นยังมีราคาสูงกว่า $40,000

    NACS กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอเมริกา โดยผู้ผลิตหลายรายเริ่มเปลี่ยนมาใช้แทน CCS
    เช่น Ford, Hyundai, GM และ Rivian
    ช่วยให้เครือข่ายชาร์จมีความเป็นหนึ่งเดียว

    แบตเตอรี่ LFP มีข้อดีคือราคาถูกและปลอดภัย แต่มีพลังงานต่อหน่วยต่ำกว่า NMC
    เหมาะกับรถราคาประหยัดและใช้งานในเมือง
    ไม่เหมาะกับรถที่ต้องการระยะทางวิ่งไกลมาก

    ตลาด EV ในจีนมีรถราคาต่ำกว่า $10,000 ที่ขายดีมาก เช่น BYD Seagull
    สหรัฐฯ ยังไม่มีรถระดับนี้ในตลาด
    Bolt อาจเป็นตัวแทนของ EV ราคาประหยัดในอเมริกา

    Bolt รุ่นใหม่ยังไม่มีข้อมูลระยะทางวิ่งที่แน่นอนจากแบตเตอรี่ LFP
    อาจต่ำกว่าคู่แข่งที่ใช้แบตเตอรี่ NMC
    ต้องรอการทดสอบจริงก่อนตัดสินใจซื้อ

    การใช้แพลตฟอร์ม BEV2 เดิมอาจจำกัดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในระยะยาว
    ไม่รองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับสูง
    อาจไม่ทันกับคู่แข่งที่ใช้แพลตฟอร์มใหม่ทั้งหมด

    การพึ่งพาพอร์ต NACS อาจทำให้ผู้ใช้ต้องปรับพฤติกรรมการชาร์จ หากเคยใช้ CCS มาก่อน
    ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์หรือพฤติกรรมการใช้งาน
    อาจเกิดความสับสนในช่วงเปลี่ยนผ่าน

    ตลาด EV ยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะหากสิทธิ์ลดหย่อนภาษีหมดอายุในเดือนกันยายน
    อาจทำให้ราคาสุทธิของ Bolt สูงขึ้น
    ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/americas-cheapest-ev-is-making-a-comeback-with-a-new-chevrolet-bolt-as-mercedes-cuts-its-electric-car-prices
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Bolt กลับมาแล้ว—EV ราคาประหยัดที่อเมริกาต้องการ ในวันที่ตลาดกำลังชะลอตัว Chevrolet ประกาศรีดีไซน์ Bolt EV สำหรับปี 2027 โดยใช้พอร์ตชาร์จแบบ NACS (North American Charging Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับ Tesla ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครือข่าย Supercharger ได้โดยไม่ต้องใช้อะแดปเตอร์ นอกจากดีไซน์ใหม่ที่ดูสปอร์ตขึ้นและไฟท้ายที่ปรับปรุงจากเสียงบ่นของผู้ใช้เดิม Bolt รุ่นใหม่ยังใช้แบตเตอรี่แบบ LFP (ลิเธียม-เหล็ก-ฟอสเฟต) ที่มีต้นทุนต่ำและอายุการใช้งานยาวนานกว่าเดิม ในขณะที่ Bolt กลับมาอย่างมั่นใจ Mercedes-Benz และ Porsche กลับต้องลดราคาหรือชะลอการส่งมอบ EV บางรุ่น เพราะยอดขายในอเมริกาชะลอตัว และผู้บริโภคยังมองว่า EV ส่วนใหญ่ “แพงเกินไป” โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ย ✅ Chevrolet Bolt EV รุ่นใหม่จะเปิดตัวในปี 2027 พร้อมพอร์ตชาร์จแบบ NACS ➡️ เป็น EV รุ่นแรกของ Chevy ที่ใช้พอร์ต Tesla โดยตรง ➡️ เข้าถึงเครือข่าย Supercharger ได้ทันที ✅ ใช้แบตเตอรี่ LFP ที่มีต้นทุนต่ำและอายุการใช้งานยาวนาน ➡️ ช่วยให้ราคาขายต่ำกว่า $30,000 ได้ ➡️ ยังไม่มีตัวเลขระยะทางวิ่งที่แน่นอน ✅ ดีไซน์ใหม่มีไฟหน้า LED แบบบาง, ล้ออัลลอยใหม่ และไฟท้ายที่ปรับปรุงจากเสียงผู้ใช้เดิม ➡️ ดูสปอร์ตและทันสมัยขึ้น ➡️ ยังใช้แพลตฟอร์ม BEV2 เดิมแต่ปรับปรุงภายใน ✅ Mercedes-Benz ลดราคาหลายรุ่นในกลุ่ม EQ และชะลอการส่งมอบบางรุ่นเพื่อควบคุมสต็อก ➡️ สะท้อนความต้องการ EV ที่ลดลงในอเมริกา ➡️ Porsche ก็ลดเป้าหมายรายได้จากผลกระทบของภาษีการค้า ✅ ตลาด EV ในอเมริกายังต้องการรถราคาประหยัดเพื่อกระตุ้นการใช้งานในวงกว้าง ➡️ Nissan Leaf และ Hyundai Kona Electric ยังเป็นตัวเลือกที่เข้าถึงได้ ➡️ แต่หลายรุ่นยังมีราคาสูงกว่า $40,000 ✅ NACS กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอเมริกา โดยผู้ผลิตหลายรายเริ่มเปลี่ยนมาใช้แทน CCS ➡️ เช่น Ford, Hyundai, GM และ Rivian ➡️ ช่วยให้เครือข่ายชาร์จมีความเป็นหนึ่งเดียว ✅ แบตเตอรี่ LFP มีข้อดีคือราคาถูกและปลอดภัย แต่มีพลังงานต่อหน่วยต่ำกว่า NMC ➡️ เหมาะกับรถราคาประหยัดและใช้งานในเมือง ➡️ ไม่เหมาะกับรถที่ต้องการระยะทางวิ่งไกลมาก ✅ ตลาด EV ในจีนมีรถราคาต่ำกว่า $10,000 ที่ขายดีมาก เช่น BYD Seagull ➡️ สหรัฐฯ ยังไม่มีรถระดับนี้ในตลาด ➡️ Bolt อาจเป็นตัวแทนของ EV ราคาประหยัดในอเมริกา ‼️ Bolt รุ่นใหม่ยังไม่มีข้อมูลระยะทางวิ่งที่แน่นอนจากแบตเตอรี่ LFP ⛔ อาจต่ำกว่าคู่แข่งที่ใช้แบตเตอรี่ NMC ⛔ ต้องรอการทดสอบจริงก่อนตัดสินใจซื้อ ‼️ การใช้แพลตฟอร์ม BEV2 เดิมอาจจำกัดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในระยะยาว ⛔ ไม่รองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับสูง ⛔ อาจไม่ทันกับคู่แข่งที่ใช้แพลตฟอร์มใหม่ทั้งหมด ‼️ การพึ่งพาพอร์ต NACS อาจทำให้ผู้ใช้ต้องปรับพฤติกรรมการชาร์จ หากเคยใช้ CCS มาก่อน ⛔ ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์หรือพฤติกรรมการใช้งาน ⛔ อาจเกิดความสับสนในช่วงเปลี่ยนผ่าน ‼️ ตลาด EV ยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะหากสิทธิ์ลดหย่อนภาษีหมดอายุในเดือนกันยายน ⛔ อาจทำให้ราคาสุทธิของ Bolt สูงขึ้น ⛔ ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/americas-cheapest-ev-is-making-a-comeback-with-a-new-chevrolet-bolt-as-mercedes-cuts-its-electric-car-prices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Samsung กับวิกฤติชิป—กำไรหายไป 94% แต่ยังมีความหวังจาก AI และ Tesla

    Samsung Electronics รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2025 โดยมีรายได้รวม 74.6 ล้านล้านวอน (ประมาณ 53.7 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ “กำไรจากธุรกิจชิป” ลดลงถึง 93.8% เหลือเพียง 400 พันล้านวอน จากเดิม 6.45 ล้านล้านวอนในปี 2024

    สาเหตุหลักมาจากการส่งออกที่ชะลอตัว, การปรับมูลค่าสินค้าคงคลัง และข้อจำกัดจากมาตรการของสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีน

    แม้สถานการณ์จะดูเลวร้าย แต่ Samsung ยังมีความหวังจากการผลิตชิป AI รุ่นใหม่ให้ Tesla มูลค่าสัญญา 16.5 พันล้านดอลลาร์ และการเตรียมผลิตชิป 2nm สำหรับมือถือในครึ่งปีหลัง ซึ่งอาจช่วยพลิกสถานการณ์ได้

    Samsung รายงานกำไรจากธุรกิจชิปลดลง 93.8% ในไตรมาส 2 ปี 2025
    เหลือเพียง 400 พันล้านวอน จาก 6.45 ล้านล้านวอนในปีก่อน
    เป็นผลประกอบการที่แย่ที่สุดในรอบ 6 ไตรมาส

    รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 74.6 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน
    แต่กำไรจากการดำเนินงานลดลงเหลือ 4.7 ล้านล้านวอน
    ธุรกิจมือถือยังทำกำไรได้ดี โดยเฉพาะ Galaxy S25 และ A series

    สาเหตุหลักของการตกต่ำคือการส่งออกชิปไปจีนถูกจำกัด และต้นทุนสูงจากโรงงานในสหรัฐฯ
    โรงงานในเท็กซัสมีต้นทุนสูงกว่าที่เกาหลี
    ยังไม่สามารถหาลูกค้าหลักได้สำหรับโรงงานใหม่

    Samsung ได้สัญญาผลิตชิป AI6 ให้ Tesla มูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์
    เป็นความหวังใหม่ของธุรกิจ foundry
    หุ้น Samsung พุ่งขึ้นกว่า 20% ในเดือนกรกฎาคมหลังข่าวนี้

    บริษัทเตรียมผลิตชิป 2nm สำหรับมือถือในครึ่งปีหลัง
    คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ของธุรกิจ foundry
    แข่งขันกับ TSMC และ SK Hynix อย่างเข้มข้น

    Samsung คาดการณ์ว่าธุรกิจจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง โดยมีแรงหนุนจาก AI และหุ่นยนต์
    CFO ระบุว่าอุตสาหกรรม IT เริ่มฟื้นตัวจากแรงผลักดันของเทคโนโลยีใหม่
    คาดว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องถึงปี 2025

    https://www.techspot.com/news/108897-samsung-posts-brutal-financials-chip-business-profits-plunge.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Samsung กับวิกฤติชิป—กำไรหายไป 94% แต่ยังมีความหวังจาก AI และ Tesla Samsung Electronics รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2025 โดยมีรายได้รวม 74.6 ล้านล้านวอน (ประมาณ 53.7 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ “กำไรจากธุรกิจชิป” ลดลงถึง 93.8% เหลือเพียง 400 พันล้านวอน จากเดิม 6.45 ล้านล้านวอนในปี 2024 สาเหตุหลักมาจากการส่งออกที่ชะลอตัว, การปรับมูลค่าสินค้าคงคลัง และข้อจำกัดจากมาตรการของสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีน แม้สถานการณ์จะดูเลวร้าย แต่ Samsung ยังมีความหวังจากการผลิตชิป AI รุ่นใหม่ให้ Tesla มูลค่าสัญญา 16.5 พันล้านดอลลาร์ และการเตรียมผลิตชิป 2nm สำหรับมือถือในครึ่งปีหลัง ซึ่งอาจช่วยพลิกสถานการณ์ได้ ✅ Samsung รายงานกำไรจากธุรกิจชิปลดลง 93.8% ในไตรมาส 2 ปี 2025 ➡️ เหลือเพียง 400 พันล้านวอน จาก 6.45 ล้านล้านวอนในปีก่อน ➡️ เป็นผลประกอบการที่แย่ที่สุดในรอบ 6 ไตรมาส ✅ รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 74.6 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน ➡️ แต่กำไรจากการดำเนินงานลดลงเหลือ 4.7 ล้านล้านวอน ➡️ ธุรกิจมือถือยังทำกำไรได้ดี โดยเฉพาะ Galaxy S25 และ A series ✅ สาเหตุหลักของการตกต่ำคือการส่งออกชิปไปจีนถูกจำกัด และต้นทุนสูงจากโรงงานในสหรัฐฯ ➡️ โรงงานในเท็กซัสมีต้นทุนสูงกว่าที่เกาหลี ➡️ ยังไม่สามารถหาลูกค้าหลักได้สำหรับโรงงานใหม่ ✅ Samsung ได้สัญญาผลิตชิป AI6 ให้ Tesla มูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ เป็นความหวังใหม่ของธุรกิจ foundry ➡️ หุ้น Samsung พุ่งขึ้นกว่า 20% ในเดือนกรกฎาคมหลังข่าวนี้ ✅ บริษัทเตรียมผลิตชิป 2nm สำหรับมือถือในครึ่งปีหลัง ➡️ คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ของธุรกิจ foundry ➡️ แข่งขันกับ TSMC และ SK Hynix อย่างเข้มข้น ✅ Samsung คาดการณ์ว่าธุรกิจจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง โดยมีแรงหนุนจาก AI และหุ่นยนต์ ➡️ CFO ระบุว่าอุตสาหกรรม IT เริ่มฟื้นตัวจากแรงผลักดันของเทคโนโลยีใหม่ ➡️ คาดว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องถึงปี 2025 https://www.techspot.com/news/108897-samsung-posts-brutal-financials-chip-business-profits-plunge.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Samsung posts brutal financials as chip business profits plunge by 94%
    Samsung Electronics recently posted its second-quarter financial results, and they're worse than expected. According to CBNC, the Korean tech giant reported revenue of 74.6 trillion won ($53.7...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากคลัสเตอร์แห่งอนาคต: xAI กับภารกิจสร้างสมองกลระดับ ExaFLOPS

    Elon Musk เผยว่า xAI ตั้งเป้าจะมีพลังประมวลผลเทียบเท่า 50 ล้านหน่วยของ Nvidia H100 ภายในปี 2030 ซึ่งหมายถึงการสร้างระบบที่สามารถประมวลผลได้ถึง 50 ExaFLOPS สำหรับการฝึก AI โดยไม่จำเป็นต้องใช้ GPU จริงจำนวน 50 ล้านตัว แต่ใช้เป็นหน่วยวัดเทียบเคียง

    แม้จะมีการพัฒนา GPU รุ่นใหม่ เช่น Blackwell และ Feynman Ultra ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า H100 หลายเท่า แต่เป้าหมายนี้ยังต้องใช้ GPU ระดับสูงกว่า 650,000 ตัว และพลังงานมากถึง 4.7–35 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 4–35 แห่ง

    ปัจจุบัน xAI มีคลัสเตอร์ชื่อ Colossus 1 ที่ใช้ GPU กว่า 230,000 ตัว และกำลังสร้าง Colossus 2 ที่จะมีมากกว่า 1 ล้าน GPU พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว และพลังงานจาก Tesla Megapack รวมถึงโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่นำเข้าจากต่างประเทศ

    Elon Musk ตั้งเป้าให้ xAI มีพลังประมวลผลเทียบเท่า 50 ล้าน H100 GPUs ภายในปี 2030
    เทียบเท่ากับ 50 ExaFLOPS สำหรับการฝึก AI
    ใช้เป็นหน่วยวัด ไม่ใช่จำนวน GPU จริง

    GPU รุ่นใหม่ เช่น Feynman Ultra อาจลดจำนวนที่ต้องใช้เหลือเพียง 650,000 ตัว
    ประสิทธิภาพต่อชิปสูงขึ้นหลายเท่า
    ลดต้นทุนและพลังงานต่อหน่วย

    Colossus 1 ใช้ GPU กว่า 230,000 ตัว และ Colossus 2 จะมีมากกว่า 1 ล้านตัว
    ใช้ GB200 และ GB300 จาก Nvidia
    ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวและพลังงานสำรองจาก Tesla

    พลังงานที่ต้องใช้สูงถึง 4.7–35 GW ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของ GPU ที่ใช้
    เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 4–35 แห่ง
    Colossus 2 อาจใช้พลังงานถึง 1.4–1.96 GW

    xAI นำเข้าโรงไฟฟ้าจากต่างประเทศเพื่อใช้กับ Colossus 2
    ใช้โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติแบบ CCGT
    เป็นทางเลือกที่เร็วและปรับขนาดได้ง่ายกว่านิวเคลียร์

    ค่าใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์อาจสูงถึงหลายหมื่นล้านดอลลาร์
    H100 ตัวเดียวมีราคาสูงกว่า $25,000
    ยังไม่รวมค่าโครงสร้างพื้นฐาน, ระบบระบายความร้อน, และพลังงาน

    https://www.techradar.com/pro/musk-says-xai-will-have-50-million-h100-equivalent-nvidia-gpus-by-2030-but-at-what-cost
    🧠 เรื่องเล่าจากคลัสเตอร์แห่งอนาคต: xAI กับภารกิจสร้างสมองกลระดับ ExaFLOPS Elon Musk เผยว่า xAI ตั้งเป้าจะมีพลังประมวลผลเทียบเท่า 50 ล้านหน่วยของ Nvidia H100 ภายในปี 2030 ซึ่งหมายถึงการสร้างระบบที่สามารถประมวลผลได้ถึง 50 ExaFLOPS สำหรับการฝึก AI โดยไม่จำเป็นต้องใช้ GPU จริงจำนวน 50 ล้านตัว แต่ใช้เป็นหน่วยวัดเทียบเคียง แม้จะมีการพัฒนา GPU รุ่นใหม่ เช่น Blackwell และ Feynman Ultra ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า H100 หลายเท่า แต่เป้าหมายนี้ยังต้องใช้ GPU ระดับสูงกว่า 650,000 ตัว และพลังงานมากถึง 4.7–35 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 4–35 แห่ง ปัจจุบัน xAI มีคลัสเตอร์ชื่อ Colossus 1 ที่ใช้ GPU กว่า 230,000 ตัว และกำลังสร้าง Colossus 2 ที่จะมีมากกว่า 1 ล้าน GPU พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว และพลังงานจาก Tesla Megapack รวมถึงโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่นำเข้าจากต่างประเทศ ✅ Elon Musk ตั้งเป้าให้ xAI มีพลังประมวลผลเทียบเท่า 50 ล้าน H100 GPUs ภายในปี 2030 ➡️ เทียบเท่ากับ 50 ExaFLOPS สำหรับการฝึก AI ➡️ ใช้เป็นหน่วยวัด ไม่ใช่จำนวน GPU จริง ✅ GPU รุ่นใหม่ เช่น Feynman Ultra อาจลดจำนวนที่ต้องใช้เหลือเพียง 650,000 ตัว ➡️ ประสิทธิภาพต่อชิปสูงขึ้นหลายเท่า ➡️ ลดต้นทุนและพลังงานต่อหน่วย ✅ Colossus 1 ใช้ GPU กว่า 230,000 ตัว และ Colossus 2 จะมีมากกว่า 1 ล้านตัว ➡️ ใช้ GB200 และ GB300 จาก Nvidia ➡️ ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวและพลังงานสำรองจาก Tesla ✅ พลังงานที่ต้องใช้สูงถึง 4.7–35 GW ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของ GPU ที่ใช้ ➡️ เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 4–35 แห่ง ➡️ Colossus 2 อาจใช้พลังงานถึง 1.4–1.96 GW ✅ xAI นำเข้าโรงไฟฟ้าจากต่างประเทศเพื่อใช้กับ Colossus 2 ➡️ ใช้โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติแบบ CCGT ➡️ เป็นทางเลือกที่เร็วและปรับขนาดได้ง่ายกว่านิวเคลียร์ ✅ ค่าใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์อาจสูงถึงหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ➡️ H100 ตัวเดียวมีราคาสูงกว่า $25,000 ➡️ ยังไม่รวมค่าโครงสร้างพื้นฐาน, ระบบระบายความร้อน, และพลังงาน https://www.techradar.com/pro/musk-says-xai-will-have-50-million-h100-equivalent-nvidia-gpus-by-2030-but-at-what-cost
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกชิป: จาก 4 บิตสู่ 10 ล้านล้านพารามิเตอร์

    ย้อนกลับไปปี 1971 Intel เปิดตัวชิป 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ด้วยความเร็วเพียง 740kHz และประมวลผลได้ 92,600 คำสั่งต่อวินาที (IPS) ใช้หน่วยความจำแค่ 4KB ROM และ 640 bytes RAM—เล็กจนเทียบไม่ได้กับมือถือยุคนี้

    แต่ในปี 2025 NVIDIA เปิดตัว Blackwell ซึ่งเป็นชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ด้วยพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU รองรับโมเดลขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ และใช้เทคโนโลยี NVLink รุ่นที่ 5 ที่เชื่อมต่อ GPU ได้ถึง 576 ตัวในคลัสเตอร์เดียว

    เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว Blackwell มีประสิทธิภาพมากกว่า Intel 4004 ถึง 217 ล้านเท่า! นี่คือผลลัพธ์ของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามกฎของ Moore’s Law และความต้องการด้าน AI ที่เติบโตแบบทวีคูณ

    Intel 4004 คือจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์ในปี 1971
    ความเร็ว 740kHz, 4-bit CPU, 2,300 ทรานซิสเตอร์
    ใช้ในเครื่องคิดเลขของบริษัท Busicom

    NVIDIA Blackwell คือชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในปี 2025
    มี 208 พันล้านทรานซิสเตอร์
    รองรับโมเดล AI ขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์
    ใช้เทคโนโลยี NVLink 5.0 ที่มีแบนด์วิดธ์ 1.8TB/s ต่อ GPU

    Blackwell มีพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU
    ใช้หน่วยความจำ HBM3e สูงสุด 192GB
    มี Tensor Core รุ่นใหม่ที่รองรับ FP4 สำหรับ AI inference

    การพัฒนาใน 50 ปีทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 217 ล้านเท่า
    จาก 92,600 IPS ของ 4004 สู่ระดับ ExaFLOPS ของ Blackwell
    สะท้อนความก้าวหน้าของมนุษยชาติในด้านคอมพิวเตอร์

    Blackwell ถูกนำไปใช้ในระบบ AI ของบริษัทชั้นนำทั่วโลก
    เช่น Microsoft Azure, Google DeepMind, Meta, Tesla และ OpenAI
    ใช้ในงาน LLM, quantum computing, และ data analytics

    https://wccftech.com/computing-power-has-skyrocketed-over-the-last-50-years-with-a-whopping-217-million-times-increase/
    🧠 เรื่องเล่าจากโลกชิป: จาก 4 บิตสู่ 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ ย้อนกลับไปปี 1971 Intel เปิดตัวชิป 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ด้วยความเร็วเพียง 740kHz และประมวลผลได้ 92,600 คำสั่งต่อวินาที (IPS) ใช้หน่วยความจำแค่ 4KB ROM และ 640 bytes RAM—เล็กจนเทียบไม่ได้กับมือถือยุคนี้ แต่ในปี 2025 NVIDIA เปิดตัว Blackwell ซึ่งเป็นชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ด้วยพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU รองรับโมเดลขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ และใช้เทคโนโลยี NVLink รุ่นที่ 5 ที่เชื่อมต่อ GPU ได้ถึง 576 ตัวในคลัสเตอร์เดียว เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว Blackwell มีประสิทธิภาพมากกว่า Intel 4004 ถึง 217 ล้านเท่า! นี่คือผลลัพธ์ของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามกฎของ Moore’s Law และความต้องการด้าน AI ที่เติบโตแบบทวีคูณ ✅ Intel 4004 คือจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์ในปี 1971 ➡️ ความเร็ว 740kHz, 4-bit CPU, 2,300 ทรานซิสเตอร์ ➡️ ใช้ในเครื่องคิดเลขของบริษัท Busicom ✅ NVIDIA Blackwell คือชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในปี 2025 ➡️ มี 208 พันล้านทรานซิสเตอร์ ➡️ รองรับโมเดล AI ขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ ➡️ ใช้เทคโนโลยี NVLink 5.0 ที่มีแบนด์วิดธ์ 1.8TB/s ต่อ GPU ✅ Blackwell มีพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU ➡️ ใช้หน่วยความจำ HBM3e สูงสุด 192GB ➡️ มี Tensor Core รุ่นใหม่ที่รองรับ FP4 สำหรับ AI inference ✅ การพัฒนาใน 50 ปีทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 217 ล้านเท่า ➡️ จาก 92,600 IPS ของ 4004 สู่ระดับ ExaFLOPS ของ Blackwell ➡️ สะท้อนความก้าวหน้าของมนุษยชาติในด้านคอมพิวเตอร์ ✅ Blackwell ถูกนำไปใช้ในระบบ AI ของบริษัทชั้นนำทั่วโลก ➡️ เช่น Microsoft Azure, Google DeepMind, Meta, Tesla และ OpenAI ➡️ ใช้ในงาน LLM, quantum computing, และ data analytics https://wccftech.com/computing-power-has-skyrocketed-over-the-last-50-years-with-a-whopping-217-million-times-increase/
    WCCFTECH.COM
    Computing Power Has Skyrocketed Over the Last 50 Years, With a Whopping 217 Million Times Increase in Performance — From the Humble Intel 4004 to Cutting-Edge NVIDIA Blackwell Chip
    The evolution of humans has been the "talk of the town," but in the computing segment, we have achieved a lot in just five decades.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • โรมัน สตาโรวอยต์ (Roman Starovoyt) รัฐมนตรีคมนาคมของรัสเซีย ที่เพิ่งโดนประธานาธิบดีปูตินปลดออกออกเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ถูกพบว่าเสียชีวิตแล้วจากการปลิดชีพตัวเอง

    สตาโรวอยต์ อดีตผู้ว่าการภูมิภาคเคิร์สก์ (2019-2024) ถูกพบศพในสวนมาเลวิช (Malevich Park) ใกล้หมู่บ้านราซโดรี (Razdory) เขตเมืองโอดินต์โซโว (Odintsovo district) เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. อยู่ภายในรถ Tesla Model X ของเขา คาดว่าเขายิงตัวเองด้วยอาวุธปืนซึ่งเป็นของขวัญที่ได้จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในปี 2023

    โรมัน สตาโรวอยต์ กำลังถูกสอบสวนในคดีอาญาเกี่ยวกับการฉ้อโกงครั้งใหญ่ในภูมิภาคเคิร์สก์ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 19,000 ล้านรูเบิล ในการก่อสร้างป้อมปราการในเคิร์สก์ โดยที่อดีตผู้อำนวยการทั่วไปของบริษัท วลาดิมีร์ ลูกิน และรองผู้อำนวยการ แม็กซิม วาซิลีเยฟ ที่ถูกควบคุมตัวไปก่อนหน้านี้ซัดทอดสตาโรวอยต์

    การสอบสวนยังขยายผลไปถึงโครงการต่างๆของสตาโรวอยต์ เช่นการจัดซื้อยาสำหรับโรงพยาบาลในภูมิภาค และโครงการต่างๆที่เขาริเริ่มเกี่ยวกับระบบการขนส่งในเคิร์สก์ซึ่งล้วนแต่ล้มเหลวและไม่ประสบผลสำเร็จ

    ในช่วงดำรงตำแหน่งของอดีตผู้ว่าการ ได้มีการให้สัมปทานที่ควรจะเสร็จสมบูรณ์ โดยรางรถรางจะต้องสร้างใหม่และจัดหารถยนต์ใหม่ให้ครบถ้วน แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น มีเพียงบางส่วนของงานเท่านั้นที่เสร็จสมบูรณ์ ทั้งที่เงินงบประมาณกลับมีการเบิกจ่ายออกไปหมดแล้ว


    โรมัน สตาโรวอยต์ (Roman Starovoyt) รัฐมนตรีคมนาคมของรัสเซีย ที่เพิ่งโดนประธานาธิบดีปูตินปลดออกออกเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ถูกพบว่าเสียชีวิตแล้วจากการปลิดชีพตัวเอง สตาโรวอยต์ อดีตผู้ว่าการภูมิภาคเคิร์สก์ (2019-2024) ถูกพบศพในสวนมาเลวิช (Malevich Park) ใกล้หมู่บ้านราซโดรี (Razdory) เขตเมืองโอดินต์โซโว (Odintsovo district) เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. อยู่ภายในรถ Tesla Model X ของเขา คาดว่าเขายิงตัวเองด้วยอาวุธปืนซึ่งเป็นของขวัญที่ได้จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในปี 2023 โรมัน สตาโรวอยต์ กำลังถูกสอบสวนในคดีอาญาเกี่ยวกับการฉ้อโกงครั้งใหญ่ในภูมิภาคเคิร์สก์ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 19,000 ล้านรูเบิล ในการก่อสร้างป้อมปราการในเคิร์สก์ โดยที่อดีตผู้อำนวยการทั่วไปของบริษัท วลาดิมีร์ ลูกิน และรองผู้อำนวยการ แม็กซิม วาซิลีเยฟ ที่ถูกควบคุมตัวไปก่อนหน้านี้ซัดทอดสตาโรวอยต์ การสอบสวนยังขยายผลไปถึงโครงการต่างๆของสตาโรวอยต์ เช่นการจัดซื้อยาสำหรับโรงพยาบาลในภูมิภาค และโครงการต่างๆที่เขาริเริ่มเกี่ยวกับระบบการขนส่งในเคิร์สก์ซึ่งล้วนแต่ล้มเหลวและไม่ประสบผลสำเร็จ ในช่วงดำรงตำแหน่งของอดีตผู้ว่าการ ได้มีการให้สัมปทานที่ควรจะเสร็จสมบูรณ์ โดยรางรถรางจะต้องสร้างใหม่และจัดหารถยนต์ใหม่ให้ครบถ้วน แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น มีเพียงบางส่วนของงานเท่านั้นที่เสร็จสมบูรณ์ ทั้งที่เงินงบประมาณกลับมีการเบิกจ่ายออกไปหมดแล้ว
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 518 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้ไหมครับว่าตอนนี้ xAI ของ Elon Musk ใช้ GPU ไปแล้วกว่า 200,000 ตัว ในศูนย์ข้อมูลชื่อ Colossus ที่เมืองเมมฟิส กินไฟถึง 300 เมกะวัตต์ → บริษัทต้องติดตั้งกังหันก๊าซ 35 ตัว + Tesla Megapack สำหรับจ่ายไฟให้ทัน → และตอนนี้จะสร้าง ศูนย์ข้อมูลรุ่นใหม่ที่ใช้ Blackwell GPUs กว่า 1 ล้านตัว! → GPU แค่นั้นก็ใช้ไฟราว 1,000–1,400 เมกะวัตต์ ยังไม่รวม CPU, RAM, สตอเรจ และระบบทำความเย็น → ถ้ารวมทั้งหมด คาดว่าโหลดไฟฟ้าจะสูงถึง 1,960 เมกะวัตต์ หรือประมาณเท่าบ้าน 1.9 ล้านหลังใช้พร้อมกัน!

    ปัญหาคือ... สร้างโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ ใช้เวลานานเกิน → ทางออกของ Elon คือ “ซื้อโรงไฟฟ้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศแล้วขนมาทั้งโรง” → เพื่อใช้งานกับศูนย์ข้อมูลใหม่ที่แปลงมาจากโรงงานเก่าในเมมฟิส ที่รองรับเซิร์ฟเวอร์ GPU 125,000 ตัว

    นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะบริษัท AI รายอื่น ๆ อย่าง OpenAI หรือ Google DeepMind ก็เดินหน้าแบบเดียวกัน → สร้างศูนย์ข้อมูลขนาดยักษ์ → ใช้ระบบจ่ายไฟเฉพาะตัวเอง → กำลังเปลี่ยนจาก “ผู้ใช้พลังงาน” เป็น “เจ้าของแหล่งพลังงาน” กันหมดแล้วครับ

    Elon Musk ยืนยันว่า xAI ซื้อโรงไฟฟ้าจากต่างประเทศมาสหรัฐฯ เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูลใหม่  
    • เพราะสร้างโรงไฟฟ้าในอเมริกาใช้เวลานาน  
    • ต้องการใช้ทันทีสำหรับระบบ GPU ระดับล้านตัว

    ศูนย์ข้อมูล Colossus ปัจจุบันของ xAI ใช้ GPU 200K ตัว กินไฟ ~300 เมกะวัตต์  
    • ติดกังหันก๊าซ 35 ตัว และ Tesla Megapack เพื่อจ่ายไฟ

    ศูนย์ข้อมูลใหม่จะใช้ GPU มากกว่า 1 ล้านตัว (Blackwell B200/GB200/B300/GB300)  
    • แค่ GPU กินไฟ ~1,000–1,400 เมกะวัตต์  
    • ถ้านับรวมทั้งหมด (PUE 1.4) → โหลดรวม 1,960 เมกะวัตต์

    xAI ซื้อโรงงานในเมมฟิสเพื่อแปลงเป็นศูนย์ข้อมูล ขนาดรองรับ GPU 125,000 เครื่อง (แบบ 8 GPU ต่อเครื่อง)  
    • พร้อมระบบเครือข่าย, สตอเรจ, และระบายความร้อน

    โครงสร้างพลังงานใช้ระบบ onsite + ซื้อไฟจากระบบ grid เหมือนศูนย์ Colossus เดิม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/elon-musk-xai-power-plant-overseas-to-power-1-million-gpus
    รู้ไหมครับว่าตอนนี้ xAI ของ Elon Musk ใช้ GPU ไปแล้วกว่า 200,000 ตัว ในศูนย์ข้อมูลชื่อ Colossus ที่เมืองเมมฟิส กินไฟถึง 300 เมกะวัตต์ → บริษัทต้องติดตั้งกังหันก๊าซ 35 ตัว + Tesla Megapack สำหรับจ่ายไฟให้ทัน → และตอนนี้จะสร้าง ศูนย์ข้อมูลรุ่นใหม่ที่ใช้ Blackwell GPUs กว่า 1 ล้านตัว! → GPU แค่นั้นก็ใช้ไฟราว 1,000–1,400 เมกะวัตต์ ยังไม่รวม CPU, RAM, สตอเรจ และระบบทำความเย็น → ถ้ารวมทั้งหมด คาดว่าโหลดไฟฟ้าจะสูงถึง 1,960 เมกะวัตต์ หรือประมาณเท่าบ้าน 1.9 ล้านหลังใช้พร้อมกัน! ปัญหาคือ... สร้างโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ ใช้เวลานานเกิน → ทางออกของ Elon คือ “ซื้อโรงไฟฟ้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศแล้วขนมาทั้งโรง” → เพื่อใช้งานกับศูนย์ข้อมูลใหม่ที่แปลงมาจากโรงงานเก่าในเมมฟิส ที่รองรับเซิร์ฟเวอร์ GPU 125,000 ตัว นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะบริษัท AI รายอื่น ๆ อย่าง OpenAI หรือ Google DeepMind ก็เดินหน้าแบบเดียวกัน → สร้างศูนย์ข้อมูลขนาดยักษ์ → ใช้ระบบจ่ายไฟเฉพาะตัวเอง → กำลังเปลี่ยนจาก “ผู้ใช้พลังงาน” เป็น “เจ้าของแหล่งพลังงาน” กันหมดแล้วครับ ✅ Elon Musk ยืนยันว่า xAI ซื้อโรงไฟฟ้าจากต่างประเทศมาสหรัฐฯ เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูลใหม่   • เพราะสร้างโรงไฟฟ้าในอเมริกาใช้เวลานาน   • ต้องการใช้ทันทีสำหรับระบบ GPU ระดับล้านตัว ✅ ศูนย์ข้อมูล Colossus ปัจจุบันของ xAI ใช้ GPU 200K ตัว กินไฟ ~300 เมกะวัตต์   • ติดกังหันก๊าซ 35 ตัว และ Tesla Megapack เพื่อจ่ายไฟ ✅ ศูนย์ข้อมูลใหม่จะใช้ GPU มากกว่า 1 ล้านตัว (Blackwell B200/GB200/B300/GB300)   • แค่ GPU กินไฟ ~1,000–1,400 เมกะวัตต์   • ถ้านับรวมทั้งหมด (PUE 1.4) → โหลดรวม 1,960 เมกะวัตต์ ✅ xAI ซื้อโรงงานในเมมฟิสเพื่อแปลงเป็นศูนย์ข้อมูล ขนาดรองรับ GPU 125,000 เครื่อง (แบบ 8 GPU ต่อเครื่อง)   • พร้อมระบบเครือข่าย, สตอเรจ, และระบายความร้อน ✅ โครงสร้างพลังงานใช้ระบบ onsite + ซื้อไฟจากระบบ grid เหมือนศูนย์ Colossus เดิม https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/elon-musk-xai-power-plant-overseas-to-power-1-million-gpus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน Nvidia ยังเป็นบริษัททำการ์ดจอเกมเป็นหลัก มูลค่าราว $500 พันล้าน → แต่ตอนนี้ (กลางปี 2025) Nvidia กำลังแตะมูลค่า $4 ล้านล้านดอลลาร์ โดย  
    • เคยแตะ $3.92T ระหว่างวัน (intraday)  
    • ปิดที่ $3.89T  
    • แซงสถิติเดิมของ Apple ที่เคยปิดที่ $3.915T เมื่อปลายปี 2024

    สาเหตุหลักมาจากความ “บูม” ของตลาด AI — โดย Nvidia ควบคุม ฮาร์ดแวร์ AI ระดับสูง ที่ใช้เทรนและรัน LLM แทบทั้งหมด
    → ทำให้กลายเป็น “หัวใจกลางของยุค AI Infrastructure” ที่ทั้ง Microsoft, Amazon, Meta, Tesla และ Alphabet ต้องพึ่งพา
    → ในไตรมาสล่าสุด Nvidia ทำรายได้ $44.1B (+69%)  
    • เฉพาะส่วน Data Center ก็ทำถึง $39.1B  
    • วางเป้า $170B รายได้รวมในปีงบประมาณ 2026 (ขึ้นจาก $130B ในปี 2025)

    และที่น่าสนใจคือ…
    → มูลค่าตลาดของ Nvidia สูงกว่ารวมกันของบริษัทจดทะเบียนทั้งประเทศอังกฤษ
    → นักลงทุนที่ถือดัชนีแบบ S&P 500 ตอนนี้มีสัดส่วน Nvidia เพิ่มขึ้นอย่างมากโดยไม่รู้ตัว

    https://www.techspot.com/news/108558-nvidia-closes-4-trillion-valuation-surpasses-apple-record.html
    ลองนึกภาพว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน Nvidia ยังเป็นบริษัททำการ์ดจอเกมเป็นหลัก มูลค่าราว $500 พันล้าน → แต่ตอนนี้ (กลางปี 2025) Nvidia กำลังแตะมูลค่า $4 ล้านล้านดอลลาร์ โดย   • เคยแตะ $3.92T ระหว่างวัน (intraday)   • ปิดที่ $3.89T   • แซงสถิติเดิมของ Apple ที่เคยปิดที่ $3.915T เมื่อปลายปี 2024 สาเหตุหลักมาจากความ “บูม” ของตลาด AI — โดย Nvidia ควบคุม ฮาร์ดแวร์ AI ระดับสูง ที่ใช้เทรนและรัน LLM แทบทั้งหมด → ทำให้กลายเป็น “หัวใจกลางของยุค AI Infrastructure” ที่ทั้ง Microsoft, Amazon, Meta, Tesla และ Alphabet ต้องพึ่งพา → ในไตรมาสล่าสุด Nvidia ทำรายได้ $44.1B (+69%)   • เฉพาะส่วน Data Center ก็ทำถึง $39.1B   • วางเป้า $170B รายได้รวมในปีงบประมาณ 2026 (ขึ้นจาก $130B ในปี 2025) และที่น่าสนใจคือ… → มูลค่าตลาดของ Nvidia สูงกว่ารวมกันของบริษัทจดทะเบียนทั้งประเทศอังกฤษ 🇬🇧 → นักลงทุนที่ถือดัชนีแบบ S&P 500 ตอนนี้มีสัดส่วน Nvidia เพิ่มขึ้นอย่างมากโดยไม่รู้ตัว https://www.techspot.com/news/108558-nvidia-closes-4-trillion-valuation-surpasses-apple-record.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nvidia closes in on $4 trillion valuation, surpasses Apple's record
    "When the first company crossed a trillion dollars, it was amazing. And now you're talking four trillion, which is just incredible. It tells you that there's this...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพว่าเราใช้ GTX 1080 อยู่ ซึ่งยังเล่นเกมหรือทำงานเบา ๆ ได้ดี… แต่ข่าวนี้บอกว่า “อัปเดตล่าสุดที่จะออกใน Driver 580 จะเป็นการอัปเดตสุดท้ายสำหรับการ์ดรุ่นนี้” — หลังจากนั้นจะ ไม่มีแพตช์ความปลอดภัย ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ ไม่มี bug fix เพิ่มแล้ว

    NVIDIA เคยหยุดซัพพอร์ต GTX 500–600 (Fermi, Kepler) ไปก่อนแล้ว คราวนี้ถึงคิวของ Maxwell (GTX 700/900), Pascal (GTX 1000), และแม้แต่ Volta ที่อยู่ใน Tesla/Quadro บางรุ่น

    Driver 580 ยังไม่ออก ณ ตอนนี้ (กรกฎาคม 2025) แต่ใกล้มากแล้ว — และหลังจากนั้นจะยังออกแพตช์ย่อยในสาขา 580 ได้อีกไม่กี่เดือนก่อนหยุดทั้งหมด

    ผู้ใช้ Windows และ Linux ได้รับผลกระทบพร้อมกัน ไม่มีเว้นฝั่งไหนทั้งสิ้น

    NVIDIA จะหยุดอัปเดตไดรเวอร์สำหรับการ์ดจอ:  
    • GTX 700 Series (Maxwell)  
    • GTX 900 Series (Maxwell)  
    • GTX 1000 Series (Pascal)  
    • และบางรุ่นในกลุ่ม Volta เช่น Tesla/Quadro

    Driver รุ่นสุดท้ายที่จะรองรับคือ NVIDIA Driver Series 580  
    • ยังไม่ออก แต่ใกล้เปิดตัวภายในปี 2025  
    • หลังจากนั้นจะไม่มีไดรเวอร์ใหม่อีก

    ผู้ใช้ Linux และ Windows ได้รับผลกระทบพร้อมกัน  
    • ไม่ว่าจะใช้ระบบปฏิบัติการใดก็จะไม่สามารถอัปเดตไดรเวอร์ใหม่ได้แล้ว

    พฤติกรรมนี้เป็นมาตรฐานของ NVIDIA ที่จะหยุดซัพพอร์ตรุ่นเก่าทุก ~8–11 ปี  
    • เช่น Fermi/Kepler ถูกหยุดไปก่อนหน้านี้เช่นกัน

    https://wccftech.com/nvidia-is-cutting-off-driver-support-for-gtx-700-900-and-1000-gpus-after-driver-series-580-on-linux/
    ลองนึกภาพว่าเราใช้ GTX 1080 อยู่ ซึ่งยังเล่นเกมหรือทำงานเบา ๆ ได้ดี… แต่ข่าวนี้บอกว่า “อัปเดตล่าสุดที่จะออกใน Driver 580 จะเป็นการอัปเดตสุดท้ายสำหรับการ์ดรุ่นนี้” — หลังจากนั้นจะ ไม่มีแพตช์ความปลอดภัย ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ ไม่มี bug fix เพิ่มแล้ว NVIDIA เคยหยุดซัพพอร์ต GTX 500–600 (Fermi, Kepler) ไปก่อนแล้ว คราวนี้ถึงคิวของ Maxwell (GTX 700/900), Pascal (GTX 1000), และแม้แต่ Volta ที่อยู่ใน Tesla/Quadro บางรุ่น Driver 580 ยังไม่ออก ณ ตอนนี้ (กรกฎาคม 2025) แต่ใกล้มากแล้ว — และหลังจากนั้นจะยังออกแพตช์ย่อยในสาขา 580 ได้อีกไม่กี่เดือนก่อนหยุดทั้งหมด ผู้ใช้ Windows และ Linux ได้รับผลกระทบพร้อมกัน ไม่มีเว้นฝั่งไหนทั้งสิ้น ✅ NVIDIA จะหยุดอัปเดตไดรเวอร์สำหรับการ์ดจอ:   • GTX 700 Series (Maxwell)   • GTX 900 Series (Maxwell)   • GTX 1000 Series (Pascal)   • และบางรุ่นในกลุ่ม Volta เช่น Tesla/Quadro ✅ Driver รุ่นสุดท้ายที่จะรองรับคือ NVIDIA Driver Series 580   • ยังไม่ออก แต่ใกล้เปิดตัวภายในปี 2025   • หลังจากนั้นจะไม่มีไดรเวอร์ใหม่อีก ✅ ผู้ใช้ Linux และ Windows ได้รับผลกระทบพร้อมกัน   • ไม่ว่าจะใช้ระบบปฏิบัติการใดก็จะไม่สามารถอัปเดตไดรเวอร์ใหม่ได้แล้ว ✅ พฤติกรรมนี้เป็นมาตรฐานของ NVIDIA ที่จะหยุดซัพพอร์ตรุ่นเก่าทุก ~8–11 ปี   • เช่น Fermi/Kepler ถูกหยุดไปก่อนหน้านี้เช่นกัน https://wccftech.com/nvidia-is-cutting-off-driver-support-for-gtx-700-900-and-1000-gpus-after-driver-series-580-on-linux/
    WCCFTECH.COM
    NVIDIA Is Cutting Off Driver Support For GTX 700, 900, and 1000 GPUs After Driver Series 580
    NVIDIA has announced that it will officially cut support for the GTX 700, 900, and 1000 series GPUs, starting with the driver branch 580.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • เดิมทีเรามักคิดว่า “ดาต้าเซ็นเตอร์ = อาหารของ AI = โรงไฟฟ้าขนาดย่อม” เพราะมันกินไฟมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อ AI ต้องเรนเดอร์และประมวลผลแบบ real-time — นี่แหละครับคือปัญหาที่โลกกำลังปวดหัวอยู่

    แต่ Crusoe ไม่รอให้ปัญหาขยาย พวกเขาร่วมมือกับ Redwood Materials (บริษัทที่ก่อตั้งโดย JB Straubel — ผู้ร่วมก่อตั้ง Tesla) เพื่อแก้ปัญหาให้ครบวงจร:
    - ใช้แบตเตอรี่จากรถ EV เก่าที่ยังเหลือความจุ ~50% มารวมเป็นระบบแบตสำรองขนาดยักษ์
    - ผสานเข้ากับแผงโซลาร์เซลล์ สร้างเป็น microgrid ขนาด 12 เมกะวัตต์ + ความจุไฟ 63 MWh
    - ใช้เวลาสร้างแค่ 4 เดือนเท่านั้น — ไวกว่าสร้างโรงไฟฟ้าหรือเดินสายส่งหลายปี!
    - ปัจจุบัน ศูนย์ข้อมูลที่รันด้วยแบตพวกนี้ ใช้ GPU กว่า 2,000 ตัว สำหรับงาน AI โดยไม่แตะไฟจากสายส่งเลย

    และที่เจ๋งคือ เมื่อแบตหมดอายุลงไปอีก…ก็ส่งกลับไปรีไซเคิลเพื่อดึงแร่ลิเธียม โคบอลต์ นิกเกิล กลับเข้าสายพานการผลิตอีก — ครบลูปแบบ zero-waste!

    Redwood Materials นำแบตรถ EV เก่าที่มีประจุเหลือเกินครึ่ง มาทำเป็นระบบกักเก็บพลังงานแบบอยู่กับที่  
    • ช่วยให้ไม่ต้องรีไซเคิลทันที  
    • ต่ออายุการใช้งานก่อนนำไปสกัดแร่กลับมาหมุนเวียน

    Crusoe ใช้ microgrid ที่ประกอบด้วยแบต EV มือสอง + พลังแสงอาทิตย์ รันศูนย์ข้อมูล AI เต็มรูปแบบ  
    • ให้พลังงาน 12 เมกะวัตต์ เก็บได้ 63 MWh  
    • ใหญ่สุดในอเมริกาเหนือในด้านแบตรีไซเคิล  
    • ใช้ GPU 2,000 ตัวประมวลผล AI โดยไม่พึ่งกริดกลาง

    ระบบ microgrid ใช้งานแบตในลักษณะ “ไม่เร่ง” มากเท่ารถ EV  
    • แบต EV ต้องรับแรงเร่ง–ชาร์จเร็ว แต่ศูนย์ข้อมูล discharge ช้า → แบตอยู่ได้นาน  
    • ต้นทุนถูกกว่าซื้อแบตใหม่ครึ่งหนึ่ง

    Redwood มีเครือข่ายเก็บแบตใช้แล้วจากทั่วอเมริกาเหนือ (มากกว่า 70%)  
    • ประเมินว่าบรรดาแบต EV มือสองเหล่านี้อาจกลายเป็น 50% ของตลาดแบตสำรองในอนาคต

    เมื่อแบตหมดอายุลงอีกครั้ง → นำไปรีไซเคิลเพื่อคืนแร่หายากกลับสู่อุตสาหกรรม

    โครงการนี้เกิดขึ้นภายใน 4 เดือน เร็วกว่าโครงการพลังงานทั่วไปหลายเท่า

    https://www.techspot.com/news/108487-data-center-nevada-runs-solar-power-reused-ev.html
    เดิมทีเรามักคิดว่า “ดาต้าเซ็นเตอร์ = อาหารของ AI = โรงไฟฟ้าขนาดย่อม” เพราะมันกินไฟมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อ AI ต้องเรนเดอร์และประมวลผลแบบ real-time — นี่แหละครับคือปัญหาที่โลกกำลังปวดหัวอยู่ แต่ Crusoe ไม่รอให้ปัญหาขยาย พวกเขาร่วมมือกับ Redwood Materials (บริษัทที่ก่อตั้งโดย JB Straubel — ผู้ร่วมก่อตั้ง Tesla) เพื่อแก้ปัญหาให้ครบวงจร: - ใช้แบตเตอรี่จากรถ EV เก่าที่ยังเหลือความจุ ~50% มารวมเป็นระบบแบตสำรองขนาดยักษ์ - ผสานเข้ากับแผงโซลาร์เซลล์ สร้างเป็น microgrid ขนาด 12 เมกะวัตต์ + ความจุไฟ 63 MWh - ใช้เวลาสร้างแค่ 4 เดือนเท่านั้น — ไวกว่าสร้างโรงไฟฟ้าหรือเดินสายส่งหลายปี! - ปัจจุบัน ศูนย์ข้อมูลที่รันด้วยแบตพวกนี้ ใช้ GPU กว่า 2,000 ตัว สำหรับงาน AI โดยไม่แตะไฟจากสายส่งเลย และที่เจ๋งคือ เมื่อแบตหมดอายุลงไปอีก…ก็ส่งกลับไปรีไซเคิลเพื่อดึงแร่ลิเธียม โคบอลต์ นิกเกิล กลับเข้าสายพานการผลิตอีก — ครบลูปแบบ zero-waste! ✅ Redwood Materials นำแบตรถ EV เก่าที่มีประจุเหลือเกินครึ่ง มาทำเป็นระบบกักเก็บพลังงานแบบอยู่กับที่   • ช่วยให้ไม่ต้องรีไซเคิลทันที   • ต่ออายุการใช้งานก่อนนำไปสกัดแร่กลับมาหมุนเวียน ✅ Crusoe ใช้ microgrid ที่ประกอบด้วยแบต EV มือสอง + พลังแสงอาทิตย์ รันศูนย์ข้อมูล AI เต็มรูปแบบ   • ให้พลังงาน 12 เมกะวัตต์ เก็บได้ 63 MWh   • ใหญ่สุดในอเมริกาเหนือในด้านแบตรีไซเคิล   • ใช้ GPU 2,000 ตัวประมวลผล AI โดยไม่พึ่งกริดกลาง ✅ ระบบ microgrid ใช้งานแบตในลักษณะ “ไม่เร่ง” มากเท่ารถ EV   • แบต EV ต้องรับแรงเร่ง–ชาร์จเร็ว แต่ศูนย์ข้อมูล discharge ช้า → แบตอยู่ได้นาน   • ต้นทุนถูกกว่าซื้อแบตใหม่ครึ่งหนึ่ง ✅ Redwood มีเครือข่ายเก็บแบตใช้แล้วจากทั่วอเมริกาเหนือ (มากกว่า 70%)   • ประเมินว่าบรรดาแบต EV มือสองเหล่านี้อาจกลายเป็น 50% ของตลาดแบตสำรองในอนาคต ✅ เมื่อแบตหมดอายุลงอีกครั้ง → นำไปรีไซเคิลเพื่อคืนแร่หายากกลับสู่อุตสาหกรรม ✅ โครงการนี้เกิดขึ้นภายใน 4 เดือน เร็วกว่าโครงการพลังงานทั่วไปหลายเท่า https://www.techspot.com/news/108487-data-center-nevada-runs-solar-power-reused-ev.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    This data center in Nevada runs on solar power and reused EV batteries in groundbreaking project
    Redwood Energy, a Redwood Materials venture, aims to change how people use lithium-ion batteries. Instead of sending batteries from electric vehicles straight to recycling, the company gives...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elon Musk เคยให้คำมั่นว่าจะเปิดบริการ Robotaxi ที่ “ขับเองเต็มรูปแบบ” ไม่มีคนขับภายในปี 2025 และตอนนี้ Tesla ก็กำลังจะเปิดให้ทดสอบใช้งานจริงในเมือง Austin, Texas

    แต่ข้อมูลล่าสุดเผยว่า... จะมี “พนักงาน Tesla” นั่งประจำเบาะหน้าในชื่อ “Safety Monitor” เพื่อเฝ้าระวังระบบการขับอัตโนมัติ ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งตรงข้ามกับคำพูดก่อนหน้าของ Musk ที่ว่า Robotaxi จะไร้คนขับโดยสิ้นเชิง

    Robotaxi รุ่นนี้จะมีระบบ “ปุ่มหยุดฉุกเฉิน” คล้ายกับบริการของ Waymo และจะให้บริการ เฉพาะในเขตจำกัด (geofenced) ตั้งแต่ 6:00–24:00 น. และงดวิ่งในสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย

    ที่น่าสนใจคือ ผู้เข้าร่วมทดสอบต้องลงทะเบียนบัตรเครดิต + เซ็นสัญญาว่าจะไม่ “ทำตัวแย่” และห้ามโพสต์วิดีโอการใช้งานที่ทำให้ Tesla ดูแย่ในโซเชียลด้วย!

    Tesla Robotaxi เตรียมเปิดให้ใช้งานจริงใน Austin ภายในกรอบเวลา 6:00–24:00 น.  
    • จำกัดพื้นที่ geofence เพื่อควบคุมความปลอดภัย  
    • งดให้บริการเมื่อสภาพอากาศไม่เหมาะสม

    ทุกคันจะมี “Safety Monitor” เป็นพนักงาน Tesla นั่งร่วมในรถ  
    • ทำหน้าที่เฝ้าระวังและกดหยุดรถในกรณีฉุกเฉิน  
    • คล้ายรูปแบบ “safety driver” ที่บริษัท Waymo ใช้ในช่วงทดสอบ

    ผู้ทดสอบต้องยอมรับเงื่อนไขการใช้งานหลายข้อ เช่น:  
    • ไม่แชร์วิดีโอล้อเลียนหรือ misuse บนโซเชียล  
    • ห้ามพยายามเจาะระบบหรือ reverse engineer

    แตกต่างจาก Full-Self Driving Beta ของ Tesla ที่ต้องให้เจ้าของนั่งดูแลเองตลอดการขับ  
    • Robotaxi เน้นให้ผู้โดยสาร “นั่งเฉย ๆ” และปล่อยระบบทำงาน (พร้อมคนเฝ้าระวัง)

    กลุ่ม Influencer บางคนได้รับเชิญให้ลองใช้ก่อนใคร พร้อมเงื่อนไขใช้บริการแบบจำกัดสิทธิ์

    https://www.neowin.net/news/elon-musks-robotaxi-will-have-a-human-driver-for-safety-reasons/
    Elon Musk เคยให้คำมั่นว่าจะเปิดบริการ Robotaxi ที่ “ขับเองเต็มรูปแบบ” ไม่มีคนขับภายในปี 2025 และตอนนี้ Tesla ก็กำลังจะเปิดให้ทดสอบใช้งานจริงในเมือง Austin, Texas แต่ข้อมูลล่าสุดเผยว่า... จะมี “พนักงาน Tesla” นั่งประจำเบาะหน้าในชื่อ “Safety Monitor” เพื่อเฝ้าระวังระบบการขับอัตโนมัติ ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งตรงข้ามกับคำพูดก่อนหน้าของ Musk ที่ว่า Robotaxi จะไร้คนขับโดยสิ้นเชิง Robotaxi รุ่นนี้จะมีระบบ “ปุ่มหยุดฉุกเฉิน” คล้ายกับบริการของ Waymo และจะให้บริการ เฉพาะในเขตจำกัด (geofenced) ตั้งแต่ 6:00–24:00 น. และงดวิ่งในสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ที่น่าสนใจคือ ผู้เข้าร่วมทดสอบต้องลงทะเบียนบัตรเครดิต + เซ็นสัญญาว่าจะไม่ “ทำตัวแย่” และห้ามโพสต์วิดีโอการใช้งานที่ทำให้ Tesla ดูแย่ในโซเชียลด้วย! ✅ Tesla Robotaxi เตรียมเปิดให้ใช้งานจริงใน Austin ภายในกรอบเวลา 6:00–24:00 น.   • จำกัดพื้นที่ geofence เพื่อควบคุมความปลอดภัย   • งดให้บริการเมื่อสภาพอากาศไม่เหมาะสม ✅ ทุกคันจะมี “Safety Monitor” เป็นพนักงาน Tesla นั่งร่วมในรถ   • ทำหน้าที่เฝ้าระวังและกดหยุดรถในกรณีฉุกเฉิน   • คล้ายรูปแบบ “safety driver” ที่บริษัท Waymo ใช้ในช่วงทดสอบ ✅ ผู้ทดสอบต้องยอมรับเงื่อนไขการใช้งานหลายข้อ เช่น:   • ไม่แชร์วิดีโอล้อเลียนหรือ misuse บนโซเชียล   • ห้ามพยายามเจาะระบบหรือ reverse engineer ✅ แตกต่างจาก Full-Self Driving Beta ของ Tesla ที่ต้องให้เจ้าของนั่งดูแลเองตลอดการขับ   • Robotaxi เน้นให้ผู้โดยสาร “นั่งเฉย ๆ” และปล่อยระบบทำงาน (พร้อมคนเฝ้าระวัง) ✅ กลุ่ม Influencer บางคนได้รับเชิญให้ลองใช้ก่อนใคร พร้อมเงื่อนไขใช้บริการแบบจำกัดสิทธิ์ https://www.neowin.net/news/elon-musks-robotaxi-will-have-a-human-driver-for-safety-reasons/
    WWW.NEOWIN.NET
    Elon Musk's robotaxi will have a human driver for 'safety' reasons
    As the tentative launch date for Tesla's Robotaxi service approaches, more details are emerging, including the presence of a human safety driver and other key aspects.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • Bloomberg เผยรายงานว่า xAI บริษัทปัญญาประดิษฐ์ของ Elon Musk เตรียมเผาเงินกว่า 13,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 หรือเฉลี่ยเดือนละ 1 พันล้าน! ยิ่งไปกว่านั้น — จากเงินที่ระดมทุนมาตั้งแต่ปี 2023 รวม 14 พันล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 4 พันล้านในไตรมาสแรกปีนี้ และน่าจะร่อยหรอในไตรมาสสอง

    แน่นอนว่า Musk ไม่อยู่เฉย เขาโพสต์ใน X ว่า “Bloomberg พูดไร้สาระ” และ “ผู้คนไม่รู้เลยว่ากำลังเดิมพันอะไรกันอยู่” — นี่คือการยืนยันว่าเดิมพันนี้ใหญ่มาก (แม้จะไม่ยอมรับตัวเลขตรง ๆ)

    รายจ่ายส่วนใหญ่ของ xAI คือโครงการ Colossus และ Memphis Supercluster ที่เน้นซื้อ GPU Hopper จาก Nvidia จำนวน 200,000 ตัว พร้อมสำรองไฟด้วย Tesla Megapack 150MW เพื่อให้ระบบไม่ดับระหว่างฝึก AI ขนาดยักษ์

    และพีคสุดคือ Musk เคยพูดไว้ว่า จะเพิ่ม GPU เป็น 1 ล้านตัวใน Colossus ซึ่งตีเป็นเงินน่าจะอยู่ระหว่าง $50 – $62.5 พันล้านดอลลาร์ เลยทีเดียว

    เพื่อไปต่อ xAI จึงกำลังปิดดีล ระดมทุนเพิ่มอีก 4.3 พันล้านดอลลาร์ (รอบใหม่) และวางแผนระดมอีก 6.4 พันล้านปีหน้า — ยังไม่รวม “หนี้ก้อนโต” ที่ Morgan Stanley กำลังช่วยระดมเพิ่มอีก 5 พันล้าน เพื่อใช้สร้างศูนย์ข้อมูลต่อ

    xAI คาดว่าจะใช้เงินมากกว่า $13B ในปี 2025 หรือเฉลี่ย $1B/เดือน  
    • รายได้ปีนี้ประมาณ $500M เท่านั้น  
    • บริษัทคาดว่าจะได้เงินคืน $650M จากผู้ผลิตฮาร์ดแวร์

    เงินสดเหลือใน Q1/2025 เหลือเพียง $4B จากที่ระดมมา $14B  
    • Bloomberg คาดว่าจะใกล้หมดภายในไตรมาส 2

    xAI อยู่ระหว่างปิดดีลระดมทุนเพิ่ม $4.3B (equity)  
    • พร้อมเตรียมระดมทุนอีก $6.4B ในปีหน้า  
    • Morgan Stanley ช่วยจัดหาหนี้อีก $5B

    โครงการหลัก Colossus ใช้ GPU H100/Hopper จำนวน 200K ตัวใน Memphis Supercluster  
    • สำรองไฟด้วย Tesla Megapack 150MW  
    • วางแผนเพิ่มเป็น 1 ล้าน GPU → มูลค่าการลงทุน $50B – $62.5B

    Elon Musk โต้ว่า Bloomberg รายงาน “ไร้สาระ”  
    • แต่ยอมรับว่าผู้คนไม่เข้าใจขอบเขตของความเสี่ยงและเดิมพัน

    บริษัทมีมูลค่าสูงถึง $80B เมื่อต้นปี 2025 (จาก $51B ในปลายปี 2024)  
    • ได้รับเงินลงทุนจาก Andreessen Horowitz, Sequoia Capital, VY Capital

    บางแหล่งคาด xAI จะเริ่มทำกำไรในปี 2027 — เร็วกว่า OpenAI ที่ตั้งเป้าไว้ปี 2029

    การเผาเงินระดับ $1B/เดือน แบบยังไม่มีรายได้ที่ใกล้เคียง อาจเป็นความเสี่ยงทางการเงินสูงมาก  
    • นักลงทุนอาจเริ่มตั้งคำถามหากไม่มีแผน monetization ที่ชัด

    การพึ่งพา GPU ของ Nvidia ทำให้ xAI มีต้นทุนสูงและยากจะควบคุมราคาฮาร์ดแวร์  
    • หากตลาดชิป AI ผันผวน อาจกระทบงบประมาณอย่างแรง

    แม้ Musk จะโต้ข่าว แต่ไม่ยอมเปิดตัวเลขจริง จึงยากต่อการประเมินความมั่นคงทางการเงิน

    หากการลงทุนไม่ออกดอกออกผลเร็วพอ การประเมินมูลค่าบริษัทอาจถูกปรับลดในรอบต่อไป  
    • อาจกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนรายใหญ่

    https://www.techspot.com/news/108377-elon-musk-responds-report-xai-burning-through-1.html
    Bloomberg เผยรายงานว่า xAI บริษัทปัญญาประดิษฐ์ของ Elon Musk เตรียมเผาเงินกว่า 13,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 หรือเฉลี่ยเดือนละ 1 พันล้าน! ยิ่งไปกว่านั้น — จากเงินที่ระดมทุนมาตั้งแต่ปี 2023 รวม 14 พันล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 4 พันล้านในไตรมาสแรกปีนี้ และน่าจะร่อยหรอในไตรมาสสอง แน่นอนว่า Musk ไม่อยู่เฉย เขาโพสต์ใน X ว่า “Bloomberg พูดไร้สาระ” และ “ผู้คนไม่รู้เลยว่ากำลังเดิมพันอะไรกันอยู่” — นี่คือการยืนยันว่าเดิมพันนี้ใหญ่มาก (แม้จะไม่ยอมรับตัวเลขตรง ๆ) รายจ่ายส่วนใหญ่ของ xAI คือโครงการ Colossus และ Memphis Supercluster ที่เน้นซื้อ GPU Hopper จาก Nvidia จำนวน 200,000 ตัว พร้อมสำรองไฟด้วย Tesla Megapack 150MW เพื่อให้ระบบไม่ดับระหว่างฝึก AI ขนาดยักษ์ และพีคสุดคือ Musk เคยพูดไว้ว่า จะเพิ่ม GPU เป็น 1 ล้านตัวใน Colossus ซึ่งตีเป็นเงินน่าจะอยู่ระหว่าง $50 – $62.5 พันล้านดอลลาร์ เลยทีเดียว เพื่อไปต่อ xAI จึงกำลังปิดดีล ระดมทุนเพิ่มอีก 4.3 พันล้านดอลลาร์ (รอบใหม่) และวางแผนระดมอีก 6.4 พันล้านปีหน้า — ยังไม่รวม “หนี้ก้อนโต” ที่ Morgan Stanley กำลังช่วยระดมเพิ่มอีก 5 พันล้าน เพื่อใช้สร้างศูนย์ข้อมูลต่อ ✅ xAI คาดว่าจะใช้เงินมากกว่า $13B ในปี 2025 หรือเฉลี่ย $1B/เดือน   • รายได้ปีนี้ประมาณ $500M เท่านั้น   • บริษัทคาดว่าจะได้เงินคืน $650M จากผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ ✅ เงินสดเหลือใน Q1/2025 เหลือเพียง $4B จากที่ระดมมา $14B   • Bloomberg คาดว่าจะใกล้หมดภายในไตรมาส 2 ✅ xAI อยู่ระหว่างปิดดีลระดมทุนเพิ่ม $4.3B (equity)   • พร้อมเตรียมระดมทุนอีก $6.4B ในปีหน้า   • Morgan Stanley ช่วยจัดหาหนี้อีก $5B ✅ โครงการหลัก Colossus ใช้ GPU H100/Hopper จำนวน 200K ตัวใน Memphis Supercluster   • สำรองไฟด้วย Tesla Megapack 150MW   • วางแผนเพิ่มเป็น 1 ล้าน GPU → มูลค่าการลงทุน $50B – $62.5B ✅ Elon Musk โต้ว่า Bloomberg รายงาน “ไร้สาระ”   • แต่ยอมรับว่าผู้คนไม่เข้าใจขอบเขตของความเสี่ยงและเดิมพัน ✅ บริษัทมีมูลค่าสูงถึง $80B เมื่อต้นปี 2025 (จาก $51B ในปลายปี 2024)   • ได้รับเงินลงทุนจาก Andreessen Horowitz, Sequoia Capital, VY Capital ✅ บางแหล่งคาด xAI จะเริ่มทำกำไรในปี 2027 — เร็วกว่า OpenAI ที่ตั้งเป้าไว้ปี 2029 ‼️ การเผาเงินระดับ $1B/เดือน แบบยังไม่มีรายได้ที่ใกล้เคียง อาจเป็นความเสี่ยงทางการเงินสูงมาก   • นักลงทุนอาจเริ่มตั้งคำถามหากไม่มีแผน monetization ที่ชัด ‼️ การพึ่งพา GPU ของ Nvidia ทำให้ xAI มีต้นทุนสูงและยากจะควบคุมราคาฮาร์ดแวร์   • หากตลาดชิป AI ผันผวน อาจกระทบงบประมาณอย่างแรง ‼️ แม้ Musk จะโต้ข่าว แต่ไม่ยอมเปิดตัวเลขจริง จึงยากต่อการประเมินความมั่นคงทางการเงิน ‼️ หากการลงทุนไม่ออกดอกออกผลเร็วพอ การประเมินมูลค่าบริษัทอาจถูกปรับลดในรอบต่อไป   • อาจกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนรายใหญ่ https://www.techspot.com/news/108377-elon-musk-responds-report-xai-burning-through-1.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Elon Musk responds to report that xAI is burning through $1 billion a month
    Citing the usual anonymous people familiar with the matter, Bloomberg writes that the $500 million that xAI will earn this year looks positively tiny next to the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tesla เตรียมเปิดตัวบริการ Robotaxi ใน Austin เดือนนี้
    Elon Musk ได้ประกาศว่า Tesla พร้อมเปิดตัวบริการรถแท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxi) ใน Austin, Texas โดยกำหนดวันเปิดตัว เบื้องต้นเป็นวันที่ 22 มิถุนายน แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้เนื่องจาก Tesla ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

    Tesla ได้เผยแพร่ วิดีโอของรถ Model Y ที่ขับเคลื่อนเองบนถนนใน Austin โดยรถเหล่านี้มี คำว่า "Robotaxi" ติดอยู่ด้านข้าง และไม่มีคนขับอยู่หลังพวงมาลัย

    ข้อมูลจากข่าว
    - Tesla เตรียมเปิดตัวบริการ Robotaxi ใน Austin วันที่ 22 มิถุนายน
    - Elon Musk ระบุว่าการเปิดตัวอาจเลื่อนออกไปเพื่อความปลอดภัย
    - Tesla วางแผนให้รถ Model Y ขับเคลื่อนเองจากโรงงานไปยังบ้านลูกค้าเป็นครั้งแรกในวันที่ 28 มิถุนายน
    - การเปิดตัวครั้งแรกจะจำกัดจำนวนรถเพียง 10-20 คัน ก่อนขยายไปยังเมืองอื่น ๆ เช่น Los Angeles และ San Francisco
    - Tesla ใช้เทคโนโลยี geofencing เพื่อให้ Robotaxi วิ่งเฉพาะในพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุด

    การแข่งขันในตลาด Robotaxi
    Austin กลายเป็น ศูนย์กลางการทดสอบรถแท็กซี่ไร้คนขับ โดยมีบริษัทอื่น ๆ เช่น Waymo และ Zoox ที่กำลังดำเนินการทดสอบในเมืองนี้

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Tesla ยังต้องพิสูจน์ว่า Robotaxi สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยในสภาพแวดล้อมจริง
    - Waymo และ Zoox มีข้อได้เปรียบในการให้บริการเชิงพาณิชย์มาก่อน Tesla
    - Tesla ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านกฎระเบียบและการยอมรับจากสาธารณะ
    - ต้องติดตามว่าการเปิดตัว Robotaxi จะส่งผลต่อยอดขายรถยนต์ Tesla อย่างไร

    https://www.techspot.com/news/108273-tesla-robotaxi-service-launch-june-22-austin.html
    🚖 Tesla เตรียมเปิดตัวบริการ Robotaxi ใน Austin เดือนนี้ Elon Musk ได้ประกาศว่า Tesla พร้อมเปิดตัวบริการรถแท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxi) ใน Austin, Texas โดยกำหนดวันเปิดตัว เบื้องต้นเป็นวันที่ 22 มิถุนายน แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้เนื่องจาก Tesla ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก Tesla ได้เผยแพร่ วิดีโอของรถ Model Y ที่ขับเคลื่อนเองบนถนนใน Austin โดยรถเหล่านี้มี คำว่า "Robotaxi" ติดอยู่ด้านข้าง และไม่มีคนขับอยู่หลังพวงมาลัย ✅ ข้อมูลจากข่าว - Tesla เตรียมเปิดตัวบริการ Robotaxi ใน Austin วันที่ 22 มิถุนายน - Elon Musk ระบุว่าการเปิดตัวอาจเลื่อนออกไปเพื่อความปลอดภัย - Tesla วางแผนให้รถ Model Y ขับเคลื่อนเองจากโรงงานไปยังบ้านลูกค้าเป็นครั้งแรกในวันที่ 28 มิถุนายน - การเปิดตัวครั้งแรกจะจำกัดจำนวนรถเพียง 10-20 คัน ก่อนขยายไปยังเมืองอื่น ๆ เช่น Los Angeles และ San Francisco - Tesla ใช้เทคโนโลยี geofencing เพื่อให้ Robotaxi วิ่งเฉพาะในพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุด 🔥 การแข่งขันในตลาด Robotaxi Austin กลายเป็น ศูนย์กลางการทดสอบรถแท็กซี่ไร้คนขับ โดยมีบริษัทอื่น ๆ เช่น Waymo และ Zoox ที่กำลังดำเนินการทดสอบในเมืองนี้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Tesla ยังต้องพิสูจน์ว่า Robotaxi สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยในสภาพแวดล้อมจริง - Waymo และ Zoox มีข้อได้เปรียบในการให้บริการเชิงพาณิชย์มาก่อน Tesla - Tesla ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านกฎระเบียบและการยอมรับจากสาธารณะ - ต้องติดตามว่าการเปิดตัว Robotaxi จะส่งผลต่อยอดขายรถยนต์ Tesla อย่างไร https://www.techspot.com/news/108273-tesla-robotaxi-service-launch-june-22-austin.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tesla's long-awaited robotaxi service is coming to Austin this month
    Replying to an X user asking about when public rides would begin, Musk said the launch date is "tentatively" set for June 22, but the actual timing...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตหัวหน้าทีม Optimus ของ Tesla ชี้ หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์อาจไม่เหมาะกับงานในโรงงาน

    Tesla กำลังพัฒนา Optimus หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ Elon Musk เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าของบริษัทเป็นหลายล้านล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม อดีตหัวหน้าทีมพัฒนา Optimus มองว่าหุ่นยนต์รูปแบบนี้อาจไม่เหมาะกับงานในโรงงานที่ต้องการความเร็วและความแม่นยำสูง

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Optimus และบทบาทในโรงงาน
    Tesla เปิดตัว Optimus ในปี 2021 โดยออกแบบให้เป็นหุ่นยนต์อเนกประสงค์ที่สามารถทำงานที่อันตราย ซ้ำซาก หรือไม่น่าสนใจสำหรับมนุษย์
    - มีการปรับปรุงด้าน ความเร็ว, ความมั่นคง, น้ำหนัก และสมดุล

    Musk คาดการณ์ว่า Tesla จะผลิต Optimus หลายล้านตัวภายในปี 2030
    - และ จะมีหุ่นยนต์ทำงานในโรงงาน Tesla หลายพันตัวภายในสิ้นปีนี้

    Optimus ถูกนำเสนอในงาน "We, Robot" เมื่อปี 2024 โดยสามารถเดิน, เสิร์ฟเครื่องดื่ม และเต้นรำ
    - อย่างไรก็ตาม มีการเปิดเผยว่าหุ่นยนต์ยังคงถูกควบคุมจากระยะไกล

    Chris Walti อดีตหัวหน้าทีม Optimus มองว่าหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ไม่เหมาะกับงานในโรงงาน
    - เนื่องจาก งานในอุตสาหกรรมต้องการความเร็วและความแม่นยำสูง ซึ่งหุ่นยนต์รูปแบบอื่นอาจมีประสิทธิภาพมากกว่า

    Walti ก่อตั้งบริษัท Mytra ซึ่งพัฒนา "Slab-like Robots" สำหรับขนส่งสินค้าในคลังสินค้า
    - หุ่นยนต์ของ Mytra มีโครงสร้างที่เรียบง่ายและเหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูง

    บริษัทอื่น ๆ เช่น Agility Robotics และ Apptronik กำลังพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์สำหรับงานในโรงงาน
    - BMW และ Jabil เริ่มนำหุ่นยนต์ประเภทนี้มาใช้ในการผลิตแล้ว

    https://www.techspot.com/news/108056-tesla-humanoid-robots-arent-right-fit-factories-former.html
    อดีตหัวหน้าทีม Optimus ของ Tesla ชี้ หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์อาจไม่เหมาะกับงานในโรงงาน Tesla กำลังพัฒนา Optimus หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ Elon Musk เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าของบริษัทเป็นหลายล้านล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม อดีตหัวหน้าทีมพัฒนา Optimus มองว่าหุ่นยนต์รูปแบบนี้อาจไม่เหมาะกับงานในโรงงานที่ต้องการความเร็วและความแม่นยำสูง 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Optimus และบทบาทในโรงงาน ✅ Tesla เปิดตัว Optimus ในปี 2021 โดยออกแบบให้เป็นหุ่นยนต์อเนกประสงค์ที่สามารถทำงานที่อันตราย ซ้ำซาก หรือไม่น่าสนใจสำหรับมนุษย์ - มีการปรับปรุงด้าน ความเร็ว, ความมั่นคง, น้ำหนัก และสมดุล ✅ Musk คาดการณ์ว่า Tesla จะผลิต Optimus หลายล้านตัวภายในปี 2030 - และ จะมีหุ่นยนต์ทำงานในโรงงาน Tesla หลายพันตัวภายในสิ้นปีนี้ ✅ Optimus ถูกนำเสนอในงาน "We, Robot" เมื่อปี 2024 โดยสามารถเดิน, เสิร์ฟเครื่องดื่ม และเต้นรำ - อย่างไรก็ตาม มีการเปิดเผยว่าหุ่นยนต์ยังคงถูกควบคุมจากระยะไกล ✅ Chris Walti อดีตหัวหน้าทีม Optimus มองว่าหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ไม่เหมาะกับงานในโรงงาน - เนื่องจาก งานในอุตสาหกรรมต้องการความเร็วและความแม่นยำสูง ซึ่งหุ่นยนต์รูปแบบอื่นอาจมีประสิทธิภาพมากกว่า ✅ Walti ก่อตั้งบริษัท Mytra ซึ่งพัฒนา "Slab-like Robots" สำหรับขนส่งสินค้าในคลังสินค้า - หุ่นยนต์ของ Mytra มีโครงสร้างที่เรียบง่ายและเหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูง ✅ บริษัทอื่น ๆ เช่น Agility Robotics และ Apptronik กำลังพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์สำหรับงานในโรงงาน - BMW และ Jabil เริ่มนำหุ่นยนต์ประเภทนี้มาใช้ในการผลิตแล้ว https://www.techspot.com/news/108056-tesla-humanoid-robots-arent-right-fit-factories-former.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tesla's humanoid robots aren't the right fit for factories, says former Optimus lead
    In August 2021, Tesla announced that it was creating a general-purpose, bipedal, humanoid robot capable of performing tasks that are unsafe, repetitive, or boring for humans to...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • Lidar อาจทำให้เซ็นเซอร์กล้องเสียหายถาวร

    แม้ว่า Lidar จะเป็นเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมสำหรับรถยนต์ แต่มีรายงานว่า สามารถทำให้เซ็นเซอร์กล้องเสียหายถาวรได้ โดยเฉพาะ สมาร์ทโฟนและกล้องดิจิทัลที่ไม่ได้ออกแบบมาให้ทนต่อแสงเลเซอร์ความเข้มสูง

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของ Lidar ต่อกล้อง
    Lidar ใช้แสงเลเซอร์อินฟราเรดเพื่อตรวจจับสภาพแวดล้อม
    - พบใน รถยนต์, ระบบนำทาง และเวทีแสดงแสงสี

    ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งพบว่า iPhone 16 Pro Max ของเขาเสียหายหลังจากถ่ายวิดีโอ Volvo EX90
    - เซ็นเซอร์กล้อง เกิดจุดเสียหายถาวรเป็นสีแดง, ชมพู และม่วง

    Volvo ยืนยันว่า Lidar สามารถทำให้เซ็นเซอร์กล้องเสียหายได้
    - แนะนำให้ หลีกเลี่ยงการถ่ายภาพโดยตรงไปยังเซ็นเซอร์ Lidar

    Tesla เคยปฏิเสธการใช้ Lidar แต่กลับซื้ออุปกรณ์ Lidar มูลค่า 2.1 ล้านดอลลาร์จาก Luminar Technologies
    - แสดงให้เห็นว่า Lidar กำลังเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมยานยนต์

    เลเซอร์ที่ใช้ในงานแสดงสามารถทำให้เซ็นเซอร์กล้องเสียหายได้เช่นกัน
    - ผู้ใช้ Samsung Galaxy S24 Ultra รายหนึ่งพบว่า กล้องของเขาเกิดเส้นแปลก ๆ หลังจากเข้าร่วมงานแสดงแสงเลเซอร์

    https://www.techspot.com/news/108045-lidar-great-cars-but-can-permanently-damage-cameras.html
    Lidar อาจทำให้เซ็นเซอร์กล้องเสียหายถาวร แม้ว่า Lidar จะเป็นเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมสำหรับรถยนต์ แต่มีรายงานว่า สามารถทำให้เซ็นเซอร์กล้องเสียหายถาวรได้ โดยเฉพาะ สมาร์ทโฟนและกล้องดิจิทัลที่ไม่ได้ออกแบบมาให้ทนต่อแสงเลเซอร์ความเข้มสูง 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของ Lidar ต่อกล้อง ✅ Lidar ใช้แสงเลเซอร์อินฟราเรดเพื่อตรวจจับสภาพแวดล้อม - พบใน รถยนต์, ระบบนำทาง และเวทีแสดงแสงสี ✅ ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งพบว่า iPhone 16 Pro Max ของเขาเสียหายหลังจากถ่ายวิดีโอ Volvo EX90 - เซ็นเซอร์กล้อง เกิดจุดเสียหายถาวรเป็นสีแดง, ชมพู และม่วง ✅ Volvo ยืนยันว่า Lidar สามารถทำให้เซ็นเซอร์กล้องเสียหายได้ - แนะนำให้ หลีกเลี่ยงการถ่ายภาพโดยตรงไปยังเซ็นเซอร์ Lidar ✅ Tesla เคยปฏิเสธการใช้ Lidar แต่กลับซื้ออุปกรณ์ Lidar มูลค่า 2.1 ล้านดอลลาร์จาก Luminar Technologies - แสดงให้เห็นว่า Lidar กำลังเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมยานยนต์ ✅ เลเซอร์ที่ใช้ในงานแสดงสามารถทำให้เซ็นเซอร์กล้องเสียหายได้เช่นกัน - ผู้ใช้ Samsung Galaxy S24 Ultra รายหนึ่งพบว่า กล้องของเขาเกิดเส้นแปลก ๆ หลังจากเข้าร่วมงานแสดงแสงเลเซอร์ https://www.techspot.com/news/108045-lidar-great-cars-but-can-permanently-damage-cameras.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Lidar is great for cars, but it can permanently damage cameras
    Modern smartphones can survive drops and even take a swim, but they may have met their match – and it's not what anyone expected. The lidar equipment...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elon Musk กลับมาทุ่มเททำงาน 24/7 หลังแพลตฟอร์ม X ฟื้นตัวจากเหตุขัดข้อง

    Elon Musk ประกาศว่าเขาจะกลับมาทำงานเต็มเวลาอีกครั้ง หลังจากแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ประสบปัญหาขัดข้องครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ใช้หลายหมื่นรายทั่วโลก

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับเหตุขัดข้องของ X และการกลับมาทำงานของ Musk
    แพลตฟอร์ม X ประสบปัญหาขัดข้องในสหรัฐฯ โดยมีผู้ใช้รายงานปัญหากว่า 25,800 ราย
    - เหตุขัดข้องเกิดขึ้นเมื่อเวลา 8:51 น. ET และลดลงเหลือ 650 รายภายใน 12:09 น. ET

    ผู้ใช้ในประเทศอื่น ๆ เช่น เยอรมนี, สเปน, ฝรั่งเศส, อินเดีย, แคนาดา, ออสเตรเลีย และอังกฤษ ก็ได้รับผลกระทบ
    - Downdetector รายงานว่าปัญหาส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

    Musk ประกาศว่าเขาจะกลับมาทำงานเต็มเวลาและนอนในห้องประชุมหรือโรงงาน
    - เขากล่าวว่า ต้องโฟกัสกับ X, xAI และ Tesla รวมถึงการปล่อยจรวด Starship ในสัปดาห์หน้า

    X ไม่ได้ตอบกลับคำร้องขอความคิดเห็นจาก Reuters เกี่ยวกับเหตุขัดข้อง
    - ทำให้ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา

    Musk ลดการใช้จ่ายทางการเมืองหลังจากลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ในการสนับสนุน Donald Trump
    - เขาประกาศว่า จะลดการใช้จ่ายทางการเมืองและกลับมาโฟกัสที่ธุรกิจของตน

    Tesla เผชิญแรงกดดันจากนักลงทุน เนื่องจากยอดขายลดลงหลังจาก Musk แสดงจุดยืนทางการเมือง
    - Tesla รายงานยอดขายลดลงเป็นครั้งแรกในรอบปี

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/25/musk-says-he039ll-resume-working-039247039-at-his-companies-x-outage-mostly-restored
    Elon Musk กลับมาทุ่มเททำงาน 24/7 หลังแพลตฟอร์ม X ฟื้นตัวจากเหตุขัดข้อง Elon Musk ประกาศว่าเขาจะกลับมาทำงานเต็มเวลาอีกครั้ง หลังจากแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ประสบปัญหาขัดข้องครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ใช้หลายหมื่นรายทั่วโลก 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับเหตุขัดข้องของ X และการกลับมาทำงานของ Musk ✅ แพลตฟอร์ม X ประสบปัญหาขัดข้องในสหรัฐฯ โดยมีผู้ใช้รายงานปัญหากว่า 25,800 ราย - เหตุขัดข้องเกิดขึ้นเมื่อเวลา 8:51 น. ET และลดลงเหลือ 650 รายภายใน 12:09 น. ET ✅ ผู้ใช้ในประเทศอื่น ๆ เช่น เยอรมนี, สเปน, ฝรั่งเศส, อินเดีย, แคนาดา, ออสเตรเลีย และอังกฤษ ก็ได้รับผลกระทบ - Downdetector รายงานว่าปัญหาส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ✅ Musk ประกาศว่าเขาจะกลับมาทำงานเต็มเวลาและนอนในห้องประชุมหรือโรงงาน - เขากล่าวว่า ต้องโฟกัสกับ X, xAI และ Tesla รวมถึงการปล่อยจรวด Starship ในสัปดาห์หน้า ✅ X ไม่ได้ตอบกลับคำร้องขอความคิดเห็นจาก Reuters เกี่ยวกับเหตุขัดข้อง - ทำให้ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา ✅ Musk ลดการใช้จ่ายทางการเมืองหลังจากลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ในการสนับสนุน Donald Trump - เขาประกาศว่า จะลดการใช้จ่ายทางการเมืองและกลับมาโฟกัสที่ธุรกิจของตน ✅ Tesla เผชิญแรงกดดันจากนักลงทุน เนื่องจากยอดขายลดลงหลังจาก Musk แสดงจุดยืนทางการเมือง - Tesla รายงานยอดขายลดลงเป็นครั้งแรกในรอบปี https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/25/musk-says-he039ll-resume-working-039247039-at-his-companies-x-outage-mostly-restored
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Musk says he'll resume working '24/7' at his companies, X outage mostly restored
    (Reuters) - Elon Musk's social media platform X was largely restored for most users after an outage that impacted tens of thousands of users in the United States on Saturday, according to outage tracking website Downdetector.com, following which he said that he is "back to spending 24/7" at his companies.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 465 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts