• กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
    ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
การ ปรับนโยบาย Right Sizing ของอเมริกา น่าจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน พิจารณาจากข่าวของ นสพ. วอชิงตันโพสต์ที่รายงานเมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ.2014 ว่า ได้มีการประชุมลับที่ Pentagon ในช่วงดังกล่าว เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐในอิรัก และตะวันออกลาง โดยมีนาย John J. Hamre ประธาน ของ The Defense Policy Board ซึ่งทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ รมว.กลาโหม Chuck Hagel เกี่ยวกับเรื่องละเอียดอ่อนทั้งปวง รวมทั้งรวบรวมข้อมูลระดับสุดยอดให้ด้วย นาย Hamre ยังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของถังความคิด think tank ทรงอิทธิพลของอเมริกาคือ Centre for Strategic and International Studies (CSIS) อีกด้วย
    การประชุมดังกล่าวกำหนดไว้ 2 วัน ผู้เข้าร่วมประชุม มีระดับหัวกะทิข้นคลั่กของอเมริกาเข้าร่วมด้วยคือ นาย Zbigniew Brzezinski ตัวแสบ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง สมัยประธานาธิบดี Carter คนขายถั่ว และเป็น trustee ของ CSIS และประธานร่วมของคณะที่ปรึกษา CSIS (ตำแหน่งมันยาวเหยียด เขียนไม่หมด เอาแค่นี้ก็พอเห็นฤทธิ์ และความใหญ่ของมันนะครับ) นอกจากนี้ ยังมีอดีต รมว.ต่างประเทศ Madeleine K. Albright (ซึ่งแม้จะเป็น รมว ต่างประเทศสมัย Clinton แต่เมื่อคาวบอย Bush จะขี่ช้างไปขยี้อิรัก เขาได้เชิญให้ Albright เป็นที่ปรึกษาด้วย) อดีตวุฒิสมาชิก Sam Nunn ประธาน Board of Trustee ของ CSIS และปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถาบัน Nuclear Threat Initiative (NTI) อืม น่าสนใจ! (มีเมียเป็น CIA ตัวใหญ่ และเขาเคยเป็นตัวเลือกที่จะเป็นผู้เข้าแข่งเป็นรองประธานาธิบดี คู่กับ Obama แต่ Obama กลับเลือก Joe Biden แทน) นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมประชุมยังมี Jane Harman ประธานถังความคิด think tank อีกใบ ที่มีอิทธิพลไม่น้อยกว่ากันคือ the Woodlow Wilson International Centre for Scholars และนาย Ryan Crocker อดีตฑูตอเมริกันในอิรัก
    นอกเหนือ จากผู้เข้าประชุมข้างต้น ซึ่งใหญ่คับห้องและน่าสนใจแล้ว Washington Post ยังบอกว่า ในการประชุม มีแขกพิเศษ 2 คน เข้าร่วมด้วย คนหนึ่งคือฑูตจาก UAE อีกคนคือ ฑูตของอังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่านิ้วก้อยข้างซ้าย ฯ !!!
    หลัง จากการประชุมลับจบ นักข่าวถามนาย Hamre ว่า ประชุมเรื่องอะไรกัน เห็นต่างชาติเข้ามาประชุมเกี่ยวกับความมั่นคงของอเมริกาด้วย นาย Hamre ตอบว่า รมว.กลาโหม ขอให้คณะนโยบายฯ(ของผม) พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของประเทศที่มีความสำคัญยิ่ง และผมก็เชิญคนที่เก่งที่สุด (ในเรื่องนี้) มาเข้าประชุม
    Washington Post บอกว่า UAE และอังกฤษ เป็นพันธมิตรต่างชาติ ที่มีบทบาทสำคัญ ที่ร่วมกับรัฐบาล Obama ในการวางนโยบายต้านกลุ่มกองกำลังต่างๆ (Islamic State, the Jihadist ฯลฯ) ที่กำลังครอบครองส่วนใหญ่ของอิรักและซีเรียขณะนี้
    Washington Post อ้างด้วยว่า New York Times เองก็แสดงความเป็นห่วงว่า รัฐบาลของต่างประเทศ กำลังใช้เงินอุดหนุนแก่พวก think tank เป็นใบเบิกทาง เข้ามาในประตูของ Washington โดยผ่านการวิเคราะห์ของพวก think tank ที่มีส่วนในการเสนอนโยบาย (UAE และหลายประเทศในตะวันออกกลาง เป็นผู้สนับสนุนกระเป๋าหนักของ CSIS และอีกหลายถังความคิด)
    Washington Post รายงานต่อว่า ข่าวนี้ทำให้ นาย Hamre ควันออกจมูก เขาอีเมล์แถลงอย่างเป็นทางการว่า เป็นเรื่องไร้สาระ ที่จะคิดว่าฑูต UAE นาย Yousef al-Otaiba ได้รับเชิญมาเข้าร่วมประชุมที่ ไม่เปิดเผย เพราะ UAE เป็นผู้บริจาคเงินให้ CSIS แต่เขายอมรับว่า การที่ผู้มาเข้าประชุม มีบทบาททับซ้อนกัน อาจทำให้รู้สึกเกิดความไม่สบายใจ
    “ผมเชิญเขามา หารือใน เรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างสูง และสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา (ฑูต UAE ) แต่เขาเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ในบริเวณนั้นมากที่สุด ที่ผมจะหาได้ และเขารู้ว่า UAE และรัฐอื่นๆ จะมีบทบาทอย่างไร ในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอิรัก”
    ส่วนนาย Otaiba บอกว่า ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน “ผมพบหรือคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงใน Pentagon เกือบทุกวันอยู่แล้ว”
    ส่วน โฆษกของสถานฑูตอังกฤษ ยืนยันว่า นาย Peter Westmacott ฑูตอังกฤษ เข้าร่วมในการประชุมที่เป็นข่าวด้วย “แต่เราไม่สามารถแจ้งรายละเอียดของการประชุมที่เป็นส่วนตัวของฑูตได้”
    นาย Hamre บอกในคำแถลงของเขาว่า เขาเชิญ นาย Westmacott เพราะ “เขาเคยเป็นฑูตในอิหร่านและตุรกี และน่าจะมีมุมมองจากทางกลุ่มยุโรป เกี่ยวกับตะวันออกกลาง”
    Washington Post ระบุอีกด้วยว่า คณะที่ปรึกษาเช่นคณะ Defense Policy นี้ ตามกฏหมายต้องประกาศการประชุมล่วงหน้า 15 วัน แต่การประชุมที่เป็นข่าวนี่ ไม่มีการประกาศล่วงหน้า มีเพียงการแจ้งในวันประชุมนั้น เองว่า จะมีการประชุมภายใน ที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ และได้รับการอนุญาตจาก Pentagon ไม่ต้องประกาศล่วงหน้า เนื่องจากความยากลำบากในการสรุปวาระการประชุม “due to diffcultics finalizing the meeting agenda”
    นอกจากนี้ ก่อนที่นาย Obama จะประกาศ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 เกี่ยวกับการรวมกำลังกับพรรคพวกอาหรับ เพื่อปฏิบัติการโจมตีทางอากาศจัดการ ต่อกลุ่มติดอาวุธรัฐอิลาม IS ในซีเรีย
    CSIS ได้นำเอกสารชื่อ The Islamic State Campaign : Key Strategic and Tactical Challenges ลงวันที่ 9 กันยายน ค.ศ.2014 มาว่อนให้อ่านกัน ถึงยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งเป็นการเขียนอย่างคร่าวๆ แต่มีตารางการสำรวจความเห็น น่าเอามาเล่าสู่กันฟัง เป็นตารางที่อ้างว่าทำโดย Washington Post ร่วมกับ ABC
    สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนการให้อเมริกาใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกก่อความไม่สงบโดยพวกสุนหนี่ในอิรักหรือไม่
คำตอบในเดือน มิถุนายน 45% สนับสนุน
คำตอบในเดือน สิงหาคม 54% สนับสนุน
คำตอบในเดือน ปัจจุบัน 71% สนับสนุน
    สำหรับคำถามเกี่ยวกับ Isalamic State ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) เห็นว่า Isalamic State คุกคามต่อผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน
คำตอบ คุกคามอย่างรุนแรง 59%
คำตอบ รุนแรงเหมือนกัน 31%
คำตอบ ไม่รุนแรง 5%
คำตอบ ไม่รุนแรงเลย 2% ไม่ออกความเห็น 2%
    สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนหรือคัดค้าน……..
การที่อเมริกาจะใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกสุนหนี่ย์ที่ก่อความไม่สงบในอิรัก เห็นด้วย 71%
ขยายการใช้กำลังไปถึงพวกก่อความไม่สงบในซีเรีย เห็นด้วย 65%
ให้อเมริกาติดอาวุธให้กับพวกกองกำลังชาว Kurd ที่ต่อต้านพวกก่อความไม่สงบ เห็นด้วย 55%
    เห็นตัวเลขการสำรวจที่ถังความคิดค่ายนี้ เอามาแจงแล้ว ก็คงพอเดากันออก ถึงที่มาและที่จะไปกันนะครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
การ ปรับนโยบาย Right Sizing ของอเมริกา น่าจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน พิจารณาจากข่าวของ นสพ. วอชิงตันโพสต์ที่รายงานเมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ.2014 ว่า ได้มีการประชุมลับที่ Pentagon ในช่วงดังกล่าว เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐในอิรัก และตะวันออกลาง โดยมีนาย John J. Hamre ประธาน ของ The Defense Policy Board ซึ่งทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ รมว.กลาโหม Chuck Hagel เกี่ยวกับเรื่องละเอียดอ่อนทั้งปวง รวมทั้งรวบรวมข้อมูลระดับสุดยอดให้ด้วย นาย Hamre ยังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของถังความคิด think tank ทรงอิทธิพลของอเมริกาคือ Centre for Strategic and International Studies (CSIS) อีกด้วย การประชุมดังกล่าวกำหนดไว้ 2 วัน ผู้เข้าร่วมประชุม มีระดับหัวกะทิข้นคลั่กของอเมริกาเข้าร่วมด้วยคือ นาย Zbigniew Brzezinski ตัวแสบ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง สมัยประธานาธิบดี Carter คนขายถั่ว และเป็น trustee ของ CSIS และประธานร่วมของคณะที่ปรึกษา CSIS (ตำแหน่งมันยาวเหยียด เขียนไม่หมด เอาแค่นี้ก็พอเห็นฤทธิ์ และความใหญ่ของมันนะครับ) นอกจากนี้ ยังมีอดีต รมว.ต่างประเทศ Madeleine K. Albright (ซึ่งแม้จะเป็น รมว ต่างประเทศสมัย Clinton แต่เมื่อคาวบอย Bush จะขี่ช้างไปขยี้อิรัก เขาได้เชิญให้ Albright เป็นที่ปรึกษาด้วย) อดีตวุฒิสมาชิก Sam Nunn ประธาน Board of Trustee ของ CSIS และปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถาบัน Nuclear Threat Initiative (NTI) อืม น่าสนใจ! (มีเมียเป็น CIA ตัวใหญ่ และเขาเคยเป็นตัวเลือกที่จะเป็นผู้เข้าแข่งเป็นรองประธานาธิบดี คู่กับ Obama แต่ Obama กลับเลือก Joe Biden แทน) นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมประชุมยังมี Jane Harman ประธานถังความคิด think tank อีกใบ ที่มีอิทธิพลไม่น้อยกว่ากันคือ the Woodlow Wilson International Centre for Scholars และนาย Ryan Crocker อดีตฑูตอเมริกันในอิรัก นอกเหนือ จากผู้เข้าประชุมข้างต้น ซึ่งใหญ่คับห้องและน่าสนใจแล้ว Washington Post ยังบอกว่า ในการประชุม มีแขกพิเศษ 2 คน เข้าร่วมด้วย คนหนึ่งคือฑูตจาก UAE อีกคนคือ ฑูตของอังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่านิ้วก้อยข้างซ้าย ฯ !!! หลัง จากการประชุมลับจบ นักข่าวถามนาย Hamre ว่า ประชุมเรื่องอะไรกัน เห็นต่างชาติเข้ามาประชุมเกี่ยวกับความมั่นคงของอเมริกาด้วย นาย Hamre ตอบว่า รมว.กลาโหม ขอให้คณะนโยบายฯ(ของผม) พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของประเทศที่มีความสำคัญยิ่ง และผมก็เชิญคนที่เก่งที่สุด (ในเรื่องนี้) มาเข้าประชุม Washington Post บอกว่า UAE และอังกฤษ เป็นพันธมิตรต่างชาติ ที่มีบทบาทสำคัญ ที่ร่วมกับรัฐบาล Obama ในการวางนโยบายต้านกลุ่มกองกำลังต่างๆ (Islamic State, the Jihadist ฯลฯ) ที่กำลังครอบครองส่วนใหญ่ของอิรักและซีเรียขณะนี้ Washington Post อ้างด้วยว่า New York Times เองก็แสดงความเป็นห่วงว่า รัฐบาลของต่างประเทศ กำลังใช้เงินอุดหนุนแก่พวก think tank เป็นใบเบิกทาง เข้ามาในประตูของ Washington โดยผ่านการวิเคราะห์ของพวก think tank ที่มีส่วนในการเสนอนโยบาย (UAE และหลายประเทศในตะวันออกกลาง เป็นผู้สนับสนุนกระเป๋าหนักของ CSIS และอีกหลายถังความคิด) Washington Post รายงานต่อว่า ข่าวนี้ทำให้ นาย Hamre ควันออกจมูก เขาอีเมล์แถลงอย่างเป็นทางการว่า เป็นเรื่องไร้สาระ ที่จะคิดว่าฑูต UAE นาย Yousef al-Otaiba ได้รับเชิญมาเข้าร่วมประชุมที่ ไม่เปิดเผย เพราะ UAE เป็นผู้บริจาคเงินให้ CSIS แต่เขายอมรับว่า การที่ผู้มาเข้าประชุม มีบทบาททับซ้อนกัน อาจทำให้รู้สึกเกิดความไม่สบายใจ “ผมเชิญเขามา หารือใน เรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างสูง และสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา (ฑูต UAE ) แต่เขาเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ในบริเวณนั้นมากที่สุด ที่ผมจะหาได้ และเขารู้ว่า UAE และรัฐอื่นๆ จะมีบทบาทอย่างไร ในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอิรัก” ส่วนนาย Otaiba บอกว่า ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน “ผมพบหรือคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงใน Pentagon เกือบทุกวันอยู่แล้ว” ส่วน โฆษกของสถานฑูตอังกฤษ ยืนยันว่า นาย Peter Westmacott ฑูตอังกฤษ เข้าร่วมในการประชุมที่เป็นข่าวด้วย “แต่เราไม่สามารถแจ้งรายละเอียดของการประชุมที่เป็นส่วนตัวของฑูตได้” นาย Hamre บอกในคำแถลงของเขาว่า เขาเชิญ นาย Westmacott เพราะ “เขาเคยเป็นฑูตในอิหร่านและตุรกี และน่าจะมีมุมมองจากทางกลุ่มยุโรป เกี่ยวกับตะวันออกกลาง” Washington Post ระบุอีกด้วยว่า คณะที่ปรึกษาเช่นคณะ Defense Policy นี้ ตามกฏหมายต้องประกาศการประชุมล่วงหน้า 15 วัน แต่การประชุมที่เป็นข่าวนี่ ไม่มีการประกาศล่วงหน้า มีเพียงการแจ้งในวันประชุมนั้น เองว่า จะมีการประชุมภายใน ที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ และได้รับการอนุญาตจาก Pentagon ไม่ต้องประกาศล่วงหน้า เนื่องจากความยากลำบากในการสรุปวาระการประชุม “due to diffcultics finalizing the meeting agenda” นอกจากนี้ ก่อนที่นาย Obama จะประกาศ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 เกี่ยวกับการรวมกำลังกับพรรคพวกอาหรับ เพื่อปฏิบัติการโจมตีทางอากาศจัดการ ต่อกลุ่มติดอาวุธรัฐอิลาม IS ในซีเรีย CSIS ได้นำเอกสารชื่อ The Islamic State Campaign : Key Strategic and Tactical Challenges ลงวันที่ 9 กันยายน ค.ศ.2014 มาว่อนให้อ่านกัน ถึงยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งเป็นการเขียนอย่างคร่าวๆ แต่มีตารางการสำรวจความเห็น น่าเอามาเล่าสู่กันฟัง เป็นตารางที่อ้างว่าทำโดย Washington Post ร่วมกับ ABC สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนการให้อเมริกาใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกก่อความไม่สงบโดยพวกสุนหนี่ในอิรักหรือไม่
คำตอบในเดือน มิถุนายน 45% สนับสนุน
คำตอบในเดือน สิงหาคม 54% สนับสนุน
คำตอบในเดือน ปัจจุบัน 71% สนับสนุน สำหรับคำถามเกี่ยวกับ Isalamic State ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) เห็นว่า Isalamic State คุกคามต่อผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน
คำตอบ คุกคามอย่างรุนแรง 59%
คำตอบ รุนแรงเหมือนกัน 31%
คำตอบ ไม่รุนแรง 5%
คำตอบ ไม่รุนแรงเลย 2% ไม่ออกความเห็น 2% สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนหรือคัดค้าน……..
การที่อเมริกาจะใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกสุนหนี่ย์ที่ก่อความไม่สงบในอิรัก เห็นด้วย 71%
ขยายการใช้กำลังไปถึงพวกก่อความไม่สงบในซีเรีย เห็นด้วย 65%
ให้อเมริกาติดอาวุธให้กับพวกกองกำลังชาว Kurd ที่ต่อต้านพวกก่อความไม่สงบ เห็นด้วย 55% เห็นตัวเลขการสำรวจที่ถังความคิดค่ายนี้ เอามาแจงแล้ว ก็คงพอเดากันออก ถึงที่มาและที่จะไปกันนะครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
    ตอนที่ 2
ก่อน หน้าวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 อเมริกาบอกยังไม่มียุทธศาสตร์ เกี่ยวกับตะวันออกกลางประกาศอ อกมาให้โลกรู้ แต่โลกก็รู้ว่า อเมริกากำลังอึดอัดเต็มแก่ บรรดาถังความคิด think tank ต่างๆ ออกมาบอกว่า ขณะนี้อเมริกาใช้นโยบาย “Right Sizing” ขนาดกำลังดี คือกระบวนท่าที่อเมริกาใช้เกี่ยวกับตะวันออกกลาง พูดแบบนี้ชาวบ้านที่ไม่ใช่ตาสีตาสาก็เดาออก ว่าอเมริกากำลังอาการหนัก กระเป๋าแห้ง และน่าจะยังรักษาแผล จากการไปถล่มอิรักและล้มละลายกลับมาไม่หายดี มันเป็นการล้มละลายทางสังคม ทางการเมือง ทางการเงิน และทางยุทธศาสตร์ ครบทุกประการ แผลนี้น่าจะใหญ่และลึก ถึงขนาดคุณโอบามา หน้าดำ โทรม ผมหงอกโผล่กระจายเต็มหัว หมดราศีคนเป็นประธานาธิบดีหมายเลขหนึ่งของโลก เมื่อถูกถามว่าเรื่องซีเรียจะเอายังไง 3 ปีมาแล้วยังตีกรรเชียงไม่เลิก เรื่องซีเรียยังจัดการไม่ได้ เรื่องอิรักรอบสองกำลังจะโผล่มา คุณโอบามาแทบจะอยากกลับไปนุ่งโสร่งนอนเล่นที่อินโดนีเซียเหมือนตอนเป็นรุ่น กะทง
    รัฐบาล โอบามาถอนทหารประมาณ 100,000 นาย ออกจากอิรัก ลดขนาดกองกำลังในอาฟกานิสถาน เป็นการใช้ยุทธศาสตร์ตรงกันข้ามกับคาวบอย Bush ทั้งๆที่รู้ว่าขณะนี้ มีเจ้าพ่อทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ อย่างคุณพี่ปูตินกับอาเฮียกระเป๋าหนัก กำลังยืนจ้องดูตาเขม็งอยู่ แม้จะยังไม่ขยับหมาก แต่อเมริกาอย่าได้เผลอเชียว
    การเดินหมาก ขี่ช้างจับตั้กกะแตนที่อิรัก ของสายเหยี่ยวคาวบอย Bush ทำให้อเมริกาต้องกลับมาใช้นโยบาย Right Sizing บวกกับนโยบาย ให้คนในบ้านเขาจัดการกันเอง ตามที่เรายุ แผน Arab Spring จึงเกิดขึ้น แต่ใช่ว่า คาวบอย Bush จะพลาดรายเดียว รัฐบาล Obama ก็พลาด เช่นเดียวกัน แม้คนละแบบ แต่ผลลัพธ์สาหัสไม่แพ้กัน Arab Spring ทำให้เกิดกลุ่มต่อต้านอเมริกา และตะวันตกมากขึ้น และ Arab Spring ทำให้เกิดผึ้งแตกรัง ที่อิยิปต์ และ ลิเบีย และที่กำลังตามมา คือ ซีเรีย และ อิรัก อาจกลายเป็นสนามฆ่าที่โหดน่ากลัว
    และถึงบัดนี้ แม้คนในบ้านอเมริกาจะออกมาส่งเสียงว่า เรื่องตะวันออกกลางให้คนตะวันออกกลางจัดการกันเอง แต่ดูเหมือนโอบามาจะน้ำท่วมปาก หรือเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อคนตะวันออกกลาง อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง เป็นค่ายที่สนับสนุนอเมริกา เรียกร้องให้อเมริกาจัดการ เรื่องซีเรียกับอิรักให้ “เรียบร้อย” เรียบร้อยแบบไหนล่ะ ก็แบบที่คาวบอย Bush เคยทำไงล่ะ ถล่มมันให้เหี้ยนเลย
    เสี่ย ใหญ่ซาอุดิ ยื่นรายการต่อว่า ยาวเป็นหางว่าว ตะแคงข้างส่งให้ลูกพี่ด้วยความขัดใจ เรื่องอะไรบ้าง ก็ทุกเรื่องที่เล่ามาข้างต้นนั่นแหละ เสี่ยใหญ่ไม่ถูกใจเลยสักเรื่อง อเมริกายังจะเดินหน้าใช้ Right Sizing ขนาดกำลังพอดีอยู่อีกหรือ อย่างนี้พวกเราก็ม่อยกระรอกแหลกเกลื่อนกันหมด
    อเมริกาคิดหนัก ไม่ใช่ห่วงเสี่ยใหญ่ซาอุดิกับพวกหรอก อเมริกาห่วงไอ้ที่อยู่ใต้ดินของพวกเสี่ยใหญ่ซาอุดิกับพวกต่างหาก เรื่องลามมาถึงตรงนี้ ไม่ยกทัพกรีฑาไปกวาดทะเลทรายอีกรอบ ก็คงมีหวังเสร็จกลุ่ม เสี่ยนิวเคลียร์กับพวก และเพื่อนตัวใหญ่ที่กอดอกดูอยู่เงียบๆ อีก 2 ราย คุณพี่ปูตินและอาเฮีย จะปล่อยให้โอกาสทอง ลอยผ่านหน้าไปเฉยๆอย่างงั้นหรือ แต่ถ้าจะรบ อเมริกาจะไปแบบ Right Sizing ก็นอนอยู่บ้าน กอดคุณนายมิเชล (ถ้าคุณนายแกยอมนะ) ดีกว่า เพราะมันสู้เขาไม่ได้แน่ ถ้าจะไป มันต้องให้ใหญ่โต อลังการ กระเทือนโลก สมฐานะ ของพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก แล้วจะไปเดี่ยวๆได้อย่างอย่างไร เรามันคนใหญ่คนโต จะไปไหนที่ยังต้องมีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง บางทีมากกว่าประชาชนที่ถูกเกณท์มาคอยรับซะอีก นี่จะยกทัพไปชิงแเดน อาจยาวไปถึงชิงโลก แบบนี้ต้องสั่งให้พรรคพวกและลูกกระเป๋ง ไม่ว่า หัวทอง หัวดำ หัวด่าง หัวล้าน ขานชื่อเอาไปให้ครบ เอ้อ เขียนแล้วเหนื่อยใจแทน
    แล้วก็เหมือนฉากหนัง Hollywood สร้าง ทยอยออกมาแสดงให้ดูกัน
    เมื่อ วันที่ 12 ,13 พฤษภาคม ค.ศ.2014 สถาบันข่าวกรองเกี่ยวกับความมั่นคงของแคนาดา Canadian Security Intelligence Service (CSIS) หน่วยงานของรัฐบาลแคนาดา จัดรายการสัมมนาใหญ่เกี่ยวกับตะวัน ออกกลาง โดยบอกว่า เป็นการจัดตามการกำกับของ Chatham House ถ้ายังจำกันได้ Chatham House เป็น think tank ที่มีอิทธิพลสูงสุดของอังกฤษ ที่เกิดคู่กับ Council for Foreign Relation (CFR) ของอเมริกา เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1919
    หลัง จากการสัมมนา CSIS แคนาดา เพิ่งออกรายงานเผยแพร่เมื่อกลางเดือนสิงหาคมนี้เอง กระดาษพิมพ์ยังร้อนอยู่เลย ยาวประมาณ 100 หน้า ส่วนที่วิเคราะห์อื่นๆ ส่วนใหญ่ เหมือนที่ค่ายต่างๆวิเคราะห์กัน ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ที่น่าสนใจคือ รายงานนี้ระบุว่า ขบวนการ Al-Qaeda ยังไม่ตาย นอกจากยังไม่ตายแล้ว ยังฟื้นคืนชีพอย่างน่าทึ่ง !! ว้าว มาแล้ว หนังตื่นเต้น
    ตลอดช่วงปี ค.ศ.2009-2012 อเมริกาบอกว่าใช้ drone ถล่มฐานที่มั่นของกลุ่ม Al-Qaeda จนทำให้ระดับหัวหน้าของขบวนการตายเกลื่อน รวมทั้งลูกน้องระดับสำคัญอีกก ว่า 200 นาย ทำให้ขบวนการแตกกระเจิง ที่ไหนได้ ถึงถูกตัดหัวทิ้ง แต่ตัวยังอยู่ พวกที่เหลือ ค่อยๆย้ายฐาน แอบไปซ่อนตัว กระจายอยู่บริเวณอาฟริกาเหนือ อาฟริกาตะวันตก Sinai และที่ Levant
    Levant คือส่วนที่ชาวคริสต์เคยอยู่ในออตโตมาน ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณที่ประกอบด้วย ไซปรัส อิสราเอล จอร์แดน เลบานอน ปาเลสไตน์ ซีเรีย และทางใต้ของตุรกี อืม! แดนเดือดเกือบทั้งนั้น
    ซีเรีย กำลังเป็นหัวหาดใหม่ของ Al-Qaeda เพื่อบุกกลับเข้าไปในตะวันออกกลาง ซีเรีย กลายเป็นแดนเดือดเหมือนที่อาฟกานิสถานเคยเป็นเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นแม่เหล็กดึงดูด ให้พวกนักสู้หัวเห็ดกระหายเลือดทั้งหลาย หลั่งไหลเข้าไปจับจองพื้นที่ เพื่อสำแดงอิทธิฤทธิ์
    แม้จะมี ข่าวว่ากลุ่ม Al-Qaeda เอง ก็ไม่ได้ลงรอยกันนัก ระหว่างกลุ่มที่เป็นซีอ่ะห์กับสุนหนี่ แตกแยกเป็นกลุ่ม Jabhat al-Nusra และ Islamic State of Iraq and the Levant (ISIL) และกลุ่มเดิมคือพวกที่อยู่ในความดูแลของ Aymarn al-Zawahiri ซึ่งขึ้นมาเป็นหัวหน้าขบวนการแทนหลัง Bin Laden ถูกเก็บ แต่การแตกแยก กลับกลายเป็นการแข่งขัน สร้างความรุนแรงให้เพิ่มขึ้น
    นอกจากนี้ รายงานยังบอกว่า ขบวนการ Al-Qaeda ได้เริ่มมีการแตกหน่อรับสมาชิกเพิ่ม โดยเล็งไปที่กลุ่มชนชั้นกลางและ ชั้นสูงในปากีสถาน โดนเฉพาะพวกมีปริญญา วิศวฯ และวิทยาศาสตร์ Ahmad Faruq, Asim Lumar และ Abu Zar Assami ซึ่งเป็นชาวปากีสถาน ได้ก้าวขึ้นเป็นระดับหัวหน้าของขบวนการแล้ว พวกเขาคิดจะทำอะไรกันนะ
    รายงาน บอกว่าขณะนี้แม้ Al-Qaeda จะมีฐานใหม่ อยู่ที่ตะวันออกกลาง (Levant) และฐานที่เอเซียใต้ (South Asian) แต่เป้าหมายเดิม ที่จะทำลายล้างอเมริกาและตะวัน ตกไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่า การที่ Al-Qaeda สร้างฉากตื่นเต้นขึ้นที่ North Africa และ Levant เป็นการออกบัตรเชิญ พวกหนุ่มห้าวทั้งหลายให้มาร่วม รายการ ขณะนี้มีหนุ่มห้าวประมาณ 8,000 คน จากอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เยอรมัน และสวีเดน เข้ามาร่วมขบวนการด้วย และเป็นไปได้ว่าพวกหนุ่มห้าวนี้แหละ เมื่อกลับไปบ้าน ก็จะสร้างแผน เตรียมการในการก่อการร้ายในประเทศที่ตนเองพำนักอยู่ เพราะกลุ่มหนุ่มห้าว 8,000 คนนี้ สามารถเดินทางเข้าออกผ่านประเทศในสหภาพยุโรป และอเมริกาได้ อย่างยากต่อการตรวจสอบของฝ่ายความมั่นคง
    นี่! อย่างนี้ต้องปรบมือให้ ดังๆ ถือว่าเป็นการออกรายงาน ที่ใช้เรื่องและเวลาที่เหมาะสม แก่ยุทธศาสตร์ เพื่อการเปลี่ยนนโยบาย Right Sizing ยิ่งนัก แบบนี้ทั้งคนอเมริกา คนยุโรป ไม่แคล้วหน้าซีด หูตก หางจุก จมูกชื้น กันหมด ไม่มีทางเลือกอื่น จำเป็นต้องให้รัฐบาลโอบามา เดินหน้าถล่มซีเรียลูกเดียว แถมย้อนหลังมาแถมอิรัก และบวกอิหร่านรายสำคัญ หมากจริงด้วย ไม่งั้นอาจโดนขบวนการ Al-Qaeda ถล่มตึกอีกรอบ ถ้าเกิดจริง รอบนี้น่าเป็นห่วง กลัวหวยจะออกที่ทำเนียบขาว และรัฐสภาอังกฤษเหลือเกินครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตอนที่ 2
ก่อน หน้าวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 อเมริกาบอกยังไม่มียุทธศาสตร์ เกี่ยวกับตะวันออกกลางประกาศอ อกมาให้โลกรู้ แต่โลกก็รู้ว่า อเมริกากำลังอึดอัดเต็มแก่ บรรดาถังความคิด think tank ต่างๆ ออกมาบอกว่า ขณะนี้อเมริกาใช้นโยบาย “Right Sizing” ขนาดกำลังดี คือกระบวนท่าที่อเมริกาใช้เกี่ยวกับตะวันออกกลาง พูดแบบนี้ชาวบ้านที่ไม่ใช่ตาสีตาสาก็เดาออก ว่าอเมริกากำลังอาการหนัก กระเป๋าแห้ง และน่าจะยังรักษาแผล จากการไปถล่มอิรักและล้มละลายกลับมาไม่หายดี มันเป็นการล้มละลายทางสังคม ทางการเมือง ทางการเงิน และทางยุทธศาสตร์ ครบทุกประการ แผลนี้น่าจะใหญ่และลึก ถึงขนาดคุณโอบามา หน้าดำ โทรม ผมหงอกโผล่กระจายเต็มหัว หมดราศีคนเป็นประธานาธิบดีหมายเลขหนึ่งของโลก เมื่อถูกถามว่าเรื่องซีเรียจะเอายังไง 3 ปีมาแล้วยังตีกรรเชียงไม่เลิก เรื่องซีเรียยังจัดการไม่ได้ เรื่องอิรักรอบสองกำลังจะโผล่มา คุณโอบามาแทบจะอยากกลับไปนุ่งโสร่งนอนเล่นที่อินโดนีเซียเหมือนตอนเป็นรุ่น กะทง รัฐบาล โอบามาถอนทหารประมาณ 100,000 นาย ออกจากอิรัก ลดขนาดกองกำลังในอาฟกานิสถาน เป็นการใช้ยุทธศาสตร์ตรงกันข้ามกับคาวบอย Bush ทั้งๆที่รู้ว่าขณะนี้ มีเจ้าพ่อทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ อย่างคุณพี่ปูตินกับอาเฮียกระเป๋าหนัก กำลังยืนจ้องดูตาเขม็งอยู่ แม้จะยังไม่ขยับหมาก แต่อเมริกาอย่าได้เผลอเชียว การเดินหมาก ขี่ช้างจับตั้กกะแตนที่อิรัก ของสายเหยี่ยวคาวบอย Bush ทำให้อเมริกาต้องกลับมาใช้นโยบาย Right Sizing บวกกับนโยบาย ให้คนในบ้านเขาจัดการกันเอง ตามที่เรายุ แผน Arab Spring จึงเกิดขึ้น แต่ใช่ว่า คาวบอย Bush จะพลาดรายเดียว รัฐบาล Obama ก็พลาด เช่นเดียวกัน แม้คนละแบบ แต่ผลลัพธ์สาหัสไม่แพ้กัน Arab Spring ทำให้เกิดกลุ่มต่อต้านอเมริกา และตะวันตกมากขึ้น และ Arab Spring ทำให้เกิดผึ้งแตกรัง ที่อิยิปต์ และ ลิเบีย และที่กำลังตามมา คือ ซีเรีย และ อิรัก อาจกลายเป็นสนามฆ่าที่โหดน่ากลัว และถึงบัดนี้ แม้คนในบ้านอเมริกาจะออกมาส่งเสียงว่า เรื่องตะวันออกกลางให้คนตะวันออกกลางจัดการกันเอง แต่ดูเหมือนโอบามาจะน้ำท่วมปาก หรือเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อคนตะวันออกกลาง อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง เป็นค่ายที่สนับสนุนอเมริกา เรียกร้องให้อเมริกาจัดการ เรื่องซีเรียกับอิรักให้ “เรียบร้อย” เรียบร้อยแบบไหนล่ะ ก็แบบที่คาวบอย Bush เคยทำไงล่ะ ถล่มมันให้เหี้ยนเลย เสี่ย ใหญ่ซาอุดิ ยื่นรายการต่อว่า ยาวเป็นหางว่าว ตะแคงข้างส่งให้ลูกพี่ด้วยความขัดใจ เรื่องอะไรบ้าง ก็ทุกเรื่องที่เล่ามาข้างต้นนั่นแหละ เสี่ยใหญ่ไม่ถูกใจเลยสักเรื่อง อเมริกายังจะเดินหน้าใช้ Right Sizing ขนาดกำลังพอดีอยู่อีกหรือ อย่างนี้พวกเราก็ม่อยกระรอกแหลกเกลื่อนกันหมด อเมริกาคิดหนัก ไม่ใช่ห่วงเสี่ยใหญ่ซาอุดิกับพวกหรอก อเมริกาห่วงไอ้ที่อยู่ใต้ดินของพวกเสี่ยใหญ่ซาอุดิกับพวกต่างหาก เรื่องลามมาถึงตรงนี้ ไม่ยกทัพกรีฑาไปกวาดทะเลทรายอีกรอบ ก็คงมีหวังเสร็จกลุ่ม เสี่ยนิวเคลียร์กับพวก และเพื่อนตัวใหญ่ที่กอดอกดูอยู่เงียบๆ อีก 2 ราย คุณพี่ปูตินและอาเฮีย จะปล่อยให้โอกาสทอง ลอยผ่านหน้าไปเฉยๆอย่างงั้นหรือ แต่ถ้าจะรบ อเมริกาจะไปแบบ Right Sizing ก็นอนอยู่บ้าน กอดคุณนายมิเชล (ถ้าคุณนายแกยอมนะ) ดีกว่า เพราะมันสู้เขาไม่ได้แน่ ถ้าจะไป มันต้องให้ใหญ่โต อลังการ กระเทือนโลก สมฐานะ ของพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก แล้วจะไปเดี่ยวๆได้อย่างอย่างไร เรามันคนใหญ่คนโต จะไปไหนที่ยังต้องมีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง บางทีมากกว่าประชาชนที่ถูกเกณท์มาคอยรับซะอีก นี่จะยกทัพไปชิงแเดน อาจยาวไปถึงชิงโลก แบบนี้ต้องสั่งให้พรรคพวกและลูกกระเป๋ง ไม่ว่า หัวทอง หัวดำ หัวด่าง หัวล้าน ขานชื่อเอาไปให้ครบ เอ้อ เขียนแล้วเหนื่อยใจแทน แล้วก็เหมือนฉากหนัง Hollywood สร้าง ทยอยออกมาแสดงให้ดูกัน เมื่อ วันที่ 12 ,13 พฤษภาคม ค.ศ.2014 สถาบันข่าวกรองเกี่ยวกับความมั่นคงของแคนาดา Canadian Security Intelligence Service (CSIS) หน่วยงานของรัฐบาลแคนาดา จัดรายการสัมมนาใหญ่เกี่ยวกับตะวัน ออกกลาง โดยบอกว่า เป็นการจัดตามการกำกับของ Chatham House ถ้ายังจำกันได้ Chatham House เป็น think tank ที่มีอิทธิพลสูงสุดของอังกฤษ ที่เกิดคู่กับ Council for Foreign Relation (CFR) ของอเมริกา เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1919 หลัง จากการสัมมนา CSIS แคนาดา เพิ่งออกรายงานเผยแพร่เมื่อกลางเดือนสิงหาคมนี้เอง กระดาษพิมพ์ยังร้อนอยู่เลย ยาวประมาณ 100 หน้า ส่วนที่วิเคราะห์อื่นๆ ส่วนใหญ่ เหมือนที่ค่ายต่างๆวิเคราะห์กัน ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ที่น่าสนใจคือ รายงานนี้ระบุว่า ขบวนการ Al-Qaeda ยังไม่ตาย นอกจากยังไม่ตายแล้ว ยังฟื้นคืนชีพอย่างน่าทึ่ง !! ว้าว มาแล้ว หนังตื่นเต้น ตลอดช่วงปี ค.ศ.2009-2012 อเมริกาบอกว่าใช้ drone ถล่มฐานที่มั่นของกลุ่ม Al-Qaeda จนทำให้ระดับหัวหน้าของขบวนการตายเกลื่อน รวมทั้งลูกน้องระดับสำคัญอีกก ว่า 200 นาย ทำให้ขบวนการแตกกระเจิง ที่ไหนได้ ถึงถูกตัดหัวทิ้ง แต่ตัวยังอยู่ พวกที่เหลือ ค่อยๆย้ายฐาน แอบไปซ่อนตัว กระจายอยู่บริเวณอาฟริกาเหนือ อาฟริกาตะวันตก Sinai และที่ Levant Levant คือส่วนที่ชาวคริสต์เคยอยู่ในออตโตมาน ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณที่ประกอบด้วย ไซปรัส อิสราเอล จอร์แดน เลบานอน ปาเลสไตน์ ซีเรีย และทางใต้ของตุรกี อืม! แดนเดือดเกือบทั้งนั้น ซีเรีย กำลังเป็นหัวหาดใหม่ของ Al-Qaeda เพื่อบุกกลับเข้าไปในตะวันออกกลาง ซีเรีย กลายเป็นแดนเดือดเหมือนที่อาฟกานิสถานเคยเป็นเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นแม่เหล็กดึงดูด ให้พวกนักสู้หัวเห็ดกระหายเลือดทั้งหลาย หลั่งไหลเข้าไปจับจองพื้นที่ เพื่อสำแดงอิทธิฤทธิ์ แม้จะมี ข่าวว่ากลุ่ม Al-Qaeda เอง ก็ไม่ได้ลงรอยกันนัก ระหว่างกลุ่มที่เป็นซีอ่ะห์กับสุนหนี่ แตกแยกเป็นกลุ่ม Jabhat al-Nusra และ Islamic State of Iraq and the Levant (ISIL) และกลุ่มเดิมคือพวกที่อยู่ในความดูแลของ Aymarn al-Zawahiri ซึ่งขึ้นมาเป็นหัวหน้าขบวนการแทนหลัง Bin Laden ถูกเก็บ แต่การแตกแยก กลับกลายเป็นการแข่งขัน สร้างความรุนแรงให้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รายงานยังบอกว่า ขบวนการ Al-Qaeda ได้เริ่มมีการแตกหน่อรับสมาชิกเพิ่ม โดยเล็งไปที่กลุ่มชนชั้นกลางและ ชั้นสูงในปากีสถาน โดนเฉพาะพวกมีปริญญา วิศวฯ และวิทยาศาสตร์ Ahmad Faruq, Asim Lumar และ Abu Zar Assami ซึ่งเป็นชาวปากีสถาน ได้ก้าวขึ้นเป็นระดับหัวหน้าของขบวนการแล้ว พวกเขาคิดจะทำอะไรกันนะ รายงาน บอกว่าขณะนี้แม้ Al-Qaeda จะมีฐานใหม่ อยู่ที่ตะวันออกกลาง (Levant) และฐานที่เอเซียใต้ (South Asian) แต่เป้าหมายเดิม ที่จะทำลายล้างอเมริกาและตะวัน ตกไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่า การที่ Al-Qaeda สร้างฉากตื่นเต้นขึ้นที่ North Africa และ Levant เป็นการออกบัตรเชิญ พวกหนุ่มห้าวทั้งหลายให้มาร่วม รายการ ขณะนี้มีหนุ่มห้าวประมาณ 8,000 คน จากอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เยอรมัน และสวีเดน เข้ามาร่วมขบวนการด้วย และเป็นไปได้ว่าพวกหนุ่มห้าวนี้แหละ เมื่อกลับไปบ้าน ก็จะสร้างแผน เตรียมการในการก่อการร้ายในประเทศที่ตนเองพำนักอยู่ เพราะกลุ่มหนุ่มห้าว 8,000 คนนี้ สามารถเดินทางเข้าออกผ่านประเทศในสหภาพยุโรป และอเมริกาได้ อย่างยากต่อการตรวจสอบของฝ่ายความมั่นคง นี่! อย่างนี้ต้องปรบมือให้ ดังๆ ถือว่าเป็นการออกรายงาน ที่ใช้เรื่องและเวลาที่เหมาะสม แก่ยุทธศาสตร์ เพื่อการเปลี่ยนนโยบาย Right Sizing ยิ่งนัก แบบนี้ทั้งคนอเมริกา คนยุโรป ไม่แคล้วหน้าซีด หูตก หางจุก จมูกชื้น กันหมด ไม่มีทางเลือกอื่น จำเป็นต้องให้รัฐบาลโอบามา เดินหน้าถล่มซีเรียลูกเดียว แถมย้อนหลังมาแถมอิรัก และบวกอิหร่านรายสำคัญ หมากจริงด้วย ไม่งั้นอาจโดนขบวนการ Al-Qaeda ถล่มตึกอีกรอบ ถ้าเกิดจริง รอบนี้น่าเป็นห่วง กลัวหวยจะออกที่ทำเนียบขาว และรัฐสภาอังกฤษเหลือเกินครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • “Athena1: ซีพียูสายพันธุ์ยุโรปเพื่อความมั่นคง — SiPearl เปิดตัวชิปสำหรับงานพลเรือนและกลาโหม พร้อมชนคู่แข่งโลกในปี 2027”

    SiPearl บริษัทออกแบบชิปจากฝรั่งเศสประกาศเปิดตัว “Athena1” ซีพียูรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน “dual-use” ทั้งพลเรือนและกลาโหม โดยเน้นความปลอดภัยระดับสูงสำหรับการใช้งานในภาครัฐ การสื่อสารลับ ระบบข่าวกรอง และอุตสาหกรรมอวกาศ

    Athena1 เป็นรุ่นปรับแต่งจาก Rhea1 ซึ่งเป็นชิปรุ่นแรกของบริษัท โดยใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 และมีให้เลือกตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์ ขึ้นอยู่กับความต้องการด้านประสิทธิภาพและข้อจำกัดด้านความร้อนของแต่ละงาน

    แม้จะเป็นชิปที่ออกแบบในยุโรป แต่การผลิต die ยังต้องพึ่งพา TSMC จากไต้หวัน โดยการบรรจุ (packaging) จะเริ่มต้นในเอเชียก่อนจะย้ายกลับมาทำในยุโรป เพื่อสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมภายในภูมิภาค

    Athena1 มีกำหนดวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2027 โดยจะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “อธิปไตยทางเทคโนโลยี” ของยุโรป ที่ต้องการลดการพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภัยไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Athena1 เป็นซีพียูรุ่นใหม่จาก SiPearl สำหรับงานพลเรือนและกลาโหม
    ใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 มีให้เลือกตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์
    รองรับงานด้านการสื่อสารลับ, ข่าวกรอง, อุตสาหกรรมอวกาศ และระบบตรวจจับ
    เป็นรุ่นปรับแต่งจาก Rhea1 ซึ่งเป็นชิปรุ่นแรกของบริษัท
    ผลิต die โดย TSMC และเริ่ม packaging ในไต้หวันก่อนย้ายกลับยุโรป
    วางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในครึ่งหลังของปี 2027
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อธิปไตยทางเทคโนโลยีของยุโรป
    ออกแบบมาให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น อุณหภูมิ, ความชื้น, รังสี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rhea1 ถูกพัฒนาภายใต้โครงการ European Processor Initiative (EPI)
    Athena1 ไม่มี HBM2e บนตัวชิป ใช้ DDR5 แทนเพื่อลดต้นทุน
    การใช้ Arm Neoverse V1 ช่วยให้รองรับงาน HPC และ AI ได้ดี
    SiPearl ได้รับเงินลงทุน €130 ล้านจากรัฐฝรั่งเศสและกองทุนยุโรปในปี 2025
    การย้าย packaging กลับยุโรปช่วยสร้าง ecosystem อุตสาหกรรมภายในภูมิภาค

    https://www.techradar.com/pro/athena-1-is-probably-the-most-secure-cpu-ever-designed-but-i-dont-think-the-only-european-cpu-will-be-good-enough-to-challenge-rivals-when-it-launches-in-2027
    🛡️ “Athena1: ซีพียูสายพันธุ์ยุโรปเพื่อความมั่นคง — SiPearl เปิดตัวชิปสำหรับงานพลเรือนและกลาโหม พร้อมชนคู่แข่งโลกในปี 2027” SiPearl บริษัทออกแบบชิปจากฝรั่งเศสประกาศเปิดตัว “Athena1” ซีพียูรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน “dual-use” ทั้งพลเรือนและกลาโหม โดยเน้นความปลอดภัยระดับสูงสำหรับการใช้งานในภาครัฐ การสื่อสารลับ ระบบข่าวกรอง และอุตสาหกรรมอวกาศ Athena1 เป็นรุ่นปรับแต่งจาก Rhea1 ซึ่งเป็นชิปรุ่นแรกของบริษัท โดยใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 และมีให้เลือกตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์ ขึ้นอยู่กับความต้องการด้านประสิทธิภาพและข้อจำกัดด้านความร้อนของแต่ละงาน แม้จะเป็นชิปที่ออกแบบในยุโรป แต่การผลิต die ยังต้องพึ่งพา TSMC จากไต้หวัน โดยการบรรจุ (packaging) จะเริ่มต้นในเอเชียก่อนจะย้ายกลับมาทำในยุโรป เพื่อสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมภายในภูมิภาค Athena1 มีกำหนดวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2027 โดยจะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “อธิปไตยทางเทคโนโลยี” ของยุโรป ที่ต้องการลดการพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภัยไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Athena1 เป็นซีพียูรุ่นใหม่จาก SiPearl สำหรับงานพลเรือนและกลาโหม ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 มีให้เลือกตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์ ➡️ รองรับงานด้านการสื่อสารลับ, ข่าวกรอง, อุตสาหกรรมอวกาศ และระบบตรวจจับ ➡️ เป็นรุ่นปรับแต่งจาก Rhea1 ซึ่งเป็นชิปรุ่นแรกของบริษัท ➡️ ผลิต die โดย TSMC และเริ่ม packaging ในไต้หวันก่อนย้ายกลับยุโรป ➡️ วางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในครึ่งหลังของปี 2027 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อธิปไตยทางเทคโนโลยีของยุโรป ➡️ ออกแบบมาให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น อุณหภูมิ, ความชื้น, รังสี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rhea1 ถูกพัฒนาภายใต้โครงการ European Processor Initiative (EPI) ➡️ Athena1 ไม่มี HBM2e บนตัวชิป ใช้ DDR5 แทนเพื่อลดต้นทุน ➡️ การใช้ Arm Neoverse V1 ช่วยให้รองรับงาน HPC และ AI ได้ดี ➡️ SiPearl ได้รับเงินลงทุน €130 ล้านจากรัฐฝรั่งเศสและกองทุนยุโรปในปี 2025 ➡️ การย้าย packaging กลับยุโรปช่วยสร้าง ecosystem อุตสาหกรรมภายในภูมิภาค https://www.techradar.com/pro/athena-1-is-probably-the-most-secure-cpu-ever-designed-but-i-dont-think-the-only-european-cpu-will-be-good-enough-to-challenge-rivals-when-it-launches-in-2027
    WWW.TECHRADAR.COM
    SiPearl’s Athena1 promises dual-use security for European defense and aerospace
    SiPearl's chip is designed to serve both civil and defense purposes
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • “ดาวเทียม Starlink ตกทุกวัน — นักวิทยาศาสตร์เตือนภัยเงียบจากขยะอวกาศและผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ”

    ในปี 2025 นี้ นักดาราศาสตร์จาก Harvard–Smithsonian Center for Astrophysics อย่าง Dr. Jonathan McDowell เปิดเผยว่า “มีดาวเทียม Starlink ตกกลับสู่โลกวันละ 1–2 ดวง และอาจเพิ่มเป็น 5 ดวงต่อวันในอนาคต” เนื่องจากอายุการใช้งานเฉลี่ยของดาวเทียมเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 5 ปี ก่อนจะถูกลดวงโคจรและเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ

    แม้ SpaceX จะออกแบบให้ดาวเทียม Starlink เผาไหม้หมดก่อนถึงพื้นโลก แต่ก็มีบางกรณีที่ชิ้นส่วนหลงเหลือ เช่น แคปซูล Dragon ที่เคยตกลงในพื้นที่ห่างไกลของ North Carolina ซึ่ง NASA ยืนยันว่าเป็นเศษซากจากภารกิจจริง

    ปัจจุบันมีดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ประมาณ 12,000 ดวง โดย 8,500 ดวงเป็นของ Starlink และมีแผนจะเพิ่มเป็น 30,000 ดวงในไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่บริษัทอื่น เช่น Amazon Kuiper และ ESpace ก็มีแผนส่งดาวเทียมหลายหมื่นดวงเช่นกัน รวมถึงจีนที่มีแผนสร้างระบบสื่อสารอิสระในอวกาศ

    นอกจากดาวเทียม ยังมีเศษขยะอวกาศขนาดเซนติเมตรอีกกว่า 1 ล้านชิ้นที่ไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งอาจเป็นตัวจุดชนวนให้เกิด “Kessler Syndrome” หรือปรากฏการณ์ที่การชนกันของวัตถุในอวกาศทำให้เกิดเศษซากเพิ่มขึ้นแบบลูกโซ่ จนวงโคจรกลายเป็นพื้นที่อันตราย

    แม้การตกของ Starlink จะไม่เป็นอันตรายโดยตรงต่อมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์เริ่มกังวลถึงผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ เช่น อนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงเคมีและอุณหภูมิของชั้นบรรยากาศในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มีดาวเทียม Starlink ตกกลับสู่โลกวันละ 1–2 ดวงในปี 2025
    คาดว่าอาจเพิ่มเป็น 5 ดวงต่อวันเมื่อมีการส่งดาวเทียมเพิ่ม
    อายุการใช้งานเฉลี่ยของดาวเทียมคือ 5 ปี ก่อนถูกลดวงโคจรและเผาไหม้
    ปัจจุบันมีดาวเทียมในวงโคจรต่ำประมาณ 12,000 ดวง โดย 8,500 ดวงเป็นของ Starlink
    บริษัทอื่น เช่น Amazon Kuiper และจีน มีแผนส่งดาวเทียมหลายหมื่นดวง
    มีเศษขยะอวกาศขนาดเซนติเมตรกว่า 1 ล้านชิ้นที่ไม่สามารถติดตามได้
    Starlink ออกแบบให้เผาไหม้หมดก่อนถึงพื้นโลก แต่บางชิ้นส่วนอาจตกถึงพื้น
    NASA ยืนยันว่ามีชิ้นส่วนจากแคปซูล Dragon ตกลงใน North Carolina
    นักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษาผลกระทบจากอนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ต่อชั้นบรรยากาศ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Kessler Syndrome คือปรากฏการณ์ที่การชนกันของวัตถุในอวกาศทำให้เกิดเศษซากเพิ่มขึ้นแบบลูกโซ่
    การเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศเกิดที่ระดับประมาณ 40 ไมล์เหนือพื้นโลก
    ดาวเทียม Starlink มีขนาดประมาณ 30 เมตร และหนักถึง 1 ตัน
    การแยกแยะดาวเทียมกับอุกกาบาตในท้องฟ้าทำได้จากความเร็วและทิศทางการเคลื่อนที่
    การควบคุมการตกของดาวเทียมยังเป็น “การช่วยเหลือแบบไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่”

    https://www.tomshardware.com/networking/concerns-grow-after-spate-of-social-media-posts-showing-spacex-starlink-satellites-burning-in-the-sky-we-are-currently-seeing-a-couple-of-satellite-re-entries-a-day-says-respected-astrophysicist
    🌌 “ดาวเทียม Starlink ตกทุกวัน — นักวิทยาศาสตร์เตือนภัยเงียบจากขยะอวกาศและผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ” ในปี 2025 นี้ นักดาราศาสตร์จาก Harvard–Smithsonian Center for Astrophysics อย่าง Dr. Jonathan McDowell เปิดเผยว่า “มีดาวเทียม Starlink ตกกลับสู่โลกวันละ 1–2 ดวง และอาจเพิ่มเป็น 5 ดวงต่อวันในอนาคต” เนื่องจากอายุการใช้งานเฉลี่ยของดาวเทียมเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 5 ปี ก่อนจะถูกลดวงโคจรและเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ แม้ SpaceX จะออกแบบให้ดาวเทียม Starlink เผาไหม้หมดก่อนถึงพื้นโลก แต่ก็มีบางกรณีที่ชิ้นส่วนหลงเหลือ เช่น แคปซูล Dragon ที่เคยตกลงในพื้นที่ห่างไกลของ North Carolina ซึ่ง NASA ยืนยันว่าเป็นเศษซากจากภารกิจจริง ปัจจุบันมีดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ประมาณ 12,000 ดวง โดย 8,500 ดวงเป็นของ Starlink และมีแผนจะเพิ่มเป็น 30,000 ดวงในไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่บริษัทอื่น เช่น Amazon Kuiper และ ESpace ก็มีแผนส่งดาวเทียมหลายหมื่นดวงเช่นกัน รวมถึงจีนที่มีแผนสร้างระบบสื่อสารอิสระในอวกาศ นอกจากดาวเทียม ยังมีเศษขยะอวกาศขนาดเซนติเมตรอีกกว่า 1 ล้านชิ้นที่ไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งอาจเป็นตัวจุดชนวนให้เกิด “Kessler Syndrome” หรือปรากฏการณ์ที่การชนกันของวัตถุในอวกาศทำให้เกิดเศษซากเพิ่มขึ้นแบบลูกโซ่ จนวงโคจรกลายเป็นพื้นที่อันตราย แม้การตกของ Starlink จะไม่เป็นอันตรายโดยตรงต่อมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์เริ่มกังวลถึงผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ เช่น อนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงเคมีและอุณหภูมิของชั้นบรรยากาศในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มีดาวเทียม Starlink ตกกลับสู่โลกวันละ 1–2 ดวงในปี 2025 ➡️ คาดว่าอาจเพิ่มเป็น 5 ดวงต่อวันเมื่อมีการส่งดาวเทียมเพิ่ม ➡️ อายุการใช้งานเฉลี่ยของดาวเทียมคือ 5 ปี ก่อนถูกลดวงโคจรและเผาไหม้ ➡️ ปัจจุบันมีดาวเทียมในวงโคจรต่ำประมาณ 12,000 ดวง โดย 8,500 ดวงเป็นของ Starlink ➡️ บริษัทอื่น เช่น Amazon Kuiper และจีน มีแผนส่งดาวเทียมหลายหมื่นดวง ➡️ มีเศษขยะอวกาศขนาดเซนติเมตรกว่า 1 ล้านชิ้นที่ไม่สามารถติดตามได้ ➡️ Starlink ออกแบบให้เผาไหม้หมดก่อนถึงพื้นโลก แต่บางชิ้นส่วนอาจตกถึงพื้น ➡️ NASA ยืนยันว่ามีชิ้นส่วนจากแคปซูล Dragon ตกลงใน North Carolina ➡️ นักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษาผลกระทบจากอนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ต่อชั้นบรรยากาศ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Kessler Syndrome คือปรากฏการณ์ที่การชนกันของวัตถุในอวกาศทำให้เกิดเศษซากเพิ่มขึ้นแบบลูกโซ่ ➡️ การเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศเกิดที่ระดับประมาณ 40 ไมล์เหนือพื้นโลก ➡️ ดาวเทียม Starlink มีขนาดประมาณ 30 เมตร และหนักถึง 1 ตัน ➡️ การแยกแยะดาวเทียมกับอุกกาบาตในท้องฟ้าทำได้จากความเร็วและทิศทางการเคลื่อนที่ ➡️ การควบคุมการตกของดาวเทียมยังเป็น “การช่วยเหลือแบบไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่” https://www.tomshardware.com/networking/concerns-grow-after-spate-of-social-media-posts-showing-spacex-starlink-satellites-burning-in-the-sky-we-are-currently-seeing-a-couple-of-satellite-re-entries-a-day-says-respected-astrophysicist
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • “AMD เปิดเกมรุก! ส่ง MI450 บนเทคโนโลยี 2nm ล้ำหน้า Nvidia — OpenAI เตรียมรับล็อตแรกกลางปีหน้า”

    AMD ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ Instinct MI450 ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2 นาโนเมตรจาก TSMC ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ AMD ใช้กระบวนการผลิตระดับนี้กับชิป AI โดยจะเริ่มส่งมอบให้กับ OpenAI ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ตามข้อตกลงความร่วมมือระยะยาวที่ครอบคลุมถึง 6 กิกะวัตต์ของกำลังประมวลผล

    MI450 ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 5 และเป็น GPU ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ รองรับรูปแบบข้อมูลและคำสั่งที่เหมาะกับการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานได้ถึง 25–30% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

    ในด้านฮาร์ดแวร์ AMD เตรียมเปิดตัว Helios rack ที่บรรจุ MI450 ถึง 72 ตัว พร้อมหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 51TB และแบนด์วิดธ์สูงถึง 1,400 TB/s ซึ่งเหนือกว่า Nvidia Rubin NVL144 ที่ใช้เทคโนโลยี 3nm และมี HBM4 เพียง 21TB กับแบนด์วิดธ์ 936 TB/s อย่างไรก็ตาม Nvidia ยังมีจุดแข็งด้าน FP4 performance ที่สูงกว่า (3,600 PFLOPS เทียบกับ 1,440 PFLOPS ของ AMD)

    ข้อตกลงกับ OpenAI ยังรวมถึงการออก warrant ให้ซื้อหุ้น AMD ได้สูงสุด 160 ล้านหุ้น โดยจะทยอย vest ตาม milestone เช่น การติดตั้งครบ 1 กิกะวัตต์ และการบรรลุเป้าหมายด้านเทคนิคและเชิงพาณิชย์

    Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่า “นี่คือการรวมพลังของทั้งสองบริษัทเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ขณะที่ Sam Altman จาก OpenAI กล่าวว่า “AMD จะช่วยเราสร้างความก้าวหน้าใน AI ได้เร็วขึ้น และนำประโยชน์ไปสู่ทุกคน”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD เปิดตัว Instinct MI450 บนเทคโนโลยี 2nm จาก TSMC
    ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 5 และออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ
    ใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ลดการใช้พลังงานได้ 25–30% และเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ 15%
    Helios rack มี MI450 จำนวน 72 ตัว พร้อม HBM4 ขนาด 51TB และแบนด์วิดธ์ 1,400 TB/s
    Nvidia Rubin NVL144 มี HBM4 21TB และแบนด์วิดธ์ 936 TB/s แต่ FP4 performance สูงกว่า
    OpenAI จะได้รับ MI450 ล็อตแรกในครึ่งหลังของปี 2026
    ข้อตกลงรวมการออก warrant ให้ OpenAI ซื้อหุ้น AMD สูงสุด 160 ล้านหุ้น
    การ vest ขึ้นอยู่กับ milestone เช่น การติดตั้งครบ 1GW และเป้าหมายด้านเทคนิค

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TSMC N2 เป็นเทคโนโลยีการผลิตระดับ 2nm ที่ใช้ GAA transistor เป็นครั้งแรก
    GAA transistor ช่วยลด leakage และเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบชิป
    HBM4 เป็นหน่วยความจำความเร็วสูงที่ใช้ในงาน AI และ HPC
    FP4 เป็นรูปแบบการประมวลผลที่ใช้ในการฝึกโมเดล LLM ขนาดใหญ่
    การออก warrant เป็นกลยุทธ์ทางการเงินที่ใช้สร้างพันธมิตรระยะยาว

    คำเตือนและข้อจำกัด
    MI450 ยังมี FP4 performance ต่ำกว่า Nvidia Rubin NVL144 อย่างชัดเจน
    การเชื่อมต่อแบบ UALink ยังไม่แน่นอนว่าจะ scale ได้ดีใน MI450
    การผลิตชิป 2nm มีความซับซ้อนและต้นทุนสูง อาจกระทบ timeline
    การ vest หุ้นของ OpenAI ขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไขที่อาจไม่บรรลุ
    การเปรียบเทียบประสิทธิภาพยังต้องรอผลการใช้งานจริงใน data center

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/amd-could-beat-nvidia-to-launching-ai-gpus-on-the-cutting-edge-2nm-node-instinct-mi450-is-officially-the-first-amd-gpu-to-launch-with-tsmcs-finest-tech
    ⚙️ “AMD เปิดเกมรุก! ส่ง MI450 บนเทคโนโลยี 2nm ล้ำหน้า Nvidia — OpenAI เตรียมรับล็อตแรกกลางปีหน้า” AMD ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ Instinct MI450 ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2 นาโนเมตรจาก TSMC ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ AMD ใช้กระบวนการผลิตระดับนี้กับชิป AI โดยจะเริ่มส่งมอบให้กับ OpenAI ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ตามข้อตกลงความร่วมมือระยะยาวที่ครอบคลุมถึง 6 กิกะวัตต์ของกำลังประมวลผล MI450 ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 5 และเป็น GPU ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ รองรับรูปแบบข้อมูลและคำสั่งที่เหมาะกับการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานได้ถึง 25–30% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ในด้านฮาร์ดแวร์ AMD เตรียมเปิดตัว Helios rack ที่บรรจุ MI450 ถึง 72 ตัว พร้อมหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 51TB และแบนด์วิดธ์สูงถึง 1,400 TB/s ซึ่งเหนือกว่า Nvidia Rubin NVL144 ที่ใช้เทคโนโลยี 3nm และมี HBM4 เพียง 21TB กับแบนด์วิดธ์ 936 TB/s อย่างไรก็ตาม Nvidia ยังมีจุดแข็งด้าน FP4 performance ที่สูงกว่า (3,600 PFLOPS เทียบกับ 1,440 PFLOPS ของ AMD) ข้อตกลงกับ OpenAI ยังรวมถึงการออก warrant ให้ซื้อหุ้น AMD ได้สูงสุด 160 ล้านหุ้น โดยจะทยอย vest ตาม milestone เช่น การติดตั้งครบ 1 กิกะวัตต์ และการบรรลุเป้าหมายด้านเทคนิคและเชิงพาณิชย์ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่า “นี่คือการรวมพลังของทั้งสองบริษัทเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ขณะที่ Sam Altman จาก OpenAI กล่าวว่า “AMD จะช่วยเราสร้างความก้าวหน้าใน AI ได้เร็วขึ้น และนำประโยชน์ไปสู่ทุกคน” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD เปิดตัว Instinct MI450 บนเทคโนโลยี 2nm จาก TSMC ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 5 และออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ ➡️ ใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ลดการใช้พลังงานได้ 25–30% และเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ 15% ➡️ Helios rack มี MI450 จำนวน 72 ตัว พร้อม HBM4 ขนาด 51TB และแบนด์วิดธ์ 1,400 TB/s ➡️ Nvidia Rubin NVL144 มี HBM4 21TB และแบนด์วิดธ์ 936 TB/s แต่ FP4 performance สูงกว่า ➡️ OpenAI จะได้รับ MI450 ล็อตแรกในครึ่งหลังของปี 2026 ➡️ ข้อตกลงรวมการออก warrant ให้ OpenAI ซื้อหุ้น AMD สูงสุด 160 ล้านหุ้น ➡️ การ vest ขึ้นอยู่กับ milestone เช่น การติดตั้งครบ 1GW และเป้าหมายด้านเทคนิค ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TSMC N2 เป็นเทคโนโลยีการผลิตระดับ 2nm ที่ใช้ GAA transistor เป็นครั้งแรก ➡️ GAA transistor ช่วยลด leakage และเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบชิป ➡️ HBM4 เป็นหน่วยความจำความเร็วสูงที่ใช้ในงาน AI และ HPC ➡️ FP4 เป็นรูปแบบการประมวลผลที่ใช้ในการฝึกโมเดล LLM ขนาดใหญ่ ➡️ การออก warrant เป็นกลยุทธ์ทางการเงินที่ใช้สร้างพันธมิตรระยะยาว ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ MI450 ยังมี FP4 performance ต่ำกว่า Nvidia Rubin NVL144 อย่างชัดเจน ⛔ การเชื่อมต่อแบบ UALink ยังไม่แน่นอนว่าจะ scale ได้ดีใน MI450 ⛔ การผลิตชิป 2nm มีความซับซ้อนและต้นทุนสูง อาจกระทบ timeline ⛔ การ vest หุ้นของ OpenAI ขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไขที่อาจไม่บรรลุ ⛔ การเปรียบเทียบประสิทธิภาพยังต้องรอผลการใช้งานจริงใน data center https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/amd-could-beat-nvidia-to-launching-ai-gpus-on-the-cutting-edge-2nm-node-instinct-mi450-is-officially-the-first-amd-gpu-to-launch-with-tsmcs-finest-tech
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • “ฟองสบู่ AI ใกล้แตก? IMF และธนาคารอังกฤษเตือนแรง — นักลงทุนเริ่มซื้อทองคำหนีความเสี่ยง”

    ในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับการเติบโตของเทคโนโลยี AI รายงานล่าสุดจาก IMF และธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) กลับส่งสัญญาณเตือนว่า “ฟองสบู่ AI” อาจกำลังเข้าสู่ระยะอันตราย คล้ายกับเหตุการณ์ dotcom crash ในปี 2000

    Kristalina Georgieva ผู้อำนวยการ IMF กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ความไม่แน่นอนคือความปกติใหม่” พร้อมชี้ว่าการซื้อทองคำที่พุ่งขึ้นถึง $4,000 ต่อออนซ์ เป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังป้องกันความเสี่ยงจากการปรับฐานครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่ม AI ที่มีมูลค่าพุ่งสูงเกินจริง

    ธนาคารอังกฤษเสริมว่า ความเสี่ยงของการ “ปรับฐานรุนแรง” เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อความสามารถของ AI ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่คาด หรือเมื่อการแข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้การประเมินรายได้ในอนาคตต้องถูกปรับลดลง

    Goldman Sachs แม้จะมองว่าฟองสบู่ยังไม่แตก แต่ก็ยอมรับว่า “เราน่าจะอยู่ในระยะที่สามของฟองสบู่” จากทั้งหมดห้าระยะ โดยเฉพาะเมื่อมีการลงทุนแบบ “หมุนเวียน” ที่บริษัท AI ซื้อหุ้นกันเองเพื่อดันมูลค่าให้สูงขึ้น

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ OpenAI ซึ่งยังไม่เข้าตลาดหุ้น แต่มีมูลค่าประเมินกว่า $500 พันล้าน ขณะที่รายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ $4.3 พันล้าน และไม่มีแนวโน้มจะมีกำไรในเร็ว ๆ นี้ ตามคำกล่าวของ CEO Sam Altman

    นักวิเคราะห์จาก Van Lanschot Kempen ระบุว่า “การที่บริษัท AI ซื้อหุ้นกันเอง และสร้างรายได้จากการลงทุนข้ามกัน เป็นสัญญาณของฟองสบู่ที่ชัดเจน” และหากเกิดการปรับฐานจริง อาจกระทบต่อโครงสร้างอุตสาหกรรม AI ทั้งระบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    IMF และ Bank of England เตือนว่าฟองสบู่ AI อาจใกล้แตก
    ราคาทองคำพุ่งถึง $4,000 ต่อออนซ์ เป็นสัญญาณการป้องกันความเสี่ยง
    ความสามารถของ AI ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่คาด และการแข่งขันเพิ่มขึ้น
    การประเมินรายได้ในอนาคตของบริษัท AI อาจต้องถูกปรับลด
    Goldman Sachs ระบุว่าเราอยู่ใน “ระยะที่สาม” ของฟองสบู่
    มีการลงทุนแบบหมุนเวียนระหว่างบริษัท AI เพื่อดันมูลค่าหุ้น
    OpenAI มีมูลค่าประเมิน $500 พันล้าน แต่ยังไม่มีกำไร
    นักวิเคราะห์ชี้ว่าการซื้อหุ้นกันเองเป็นสัญญาณฟองสบู่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฟองสบู่ dotcom ในปี 2000 เกิดจากการลงทุนเกินจริงในบริษัทเทคโนโลยี
    ระยะที่สามของฟองสบู่คือช่วงที่ตลาดยังคึกคัก แต่เริ่มมีสัญญาณความไม่สมเหตุสมผล
    การซื้อทองคำมักเกิดเมื่อมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจหรือการลงทุน
    การประเมินมูลค่าบริษัท AI มักอิงจาก “ศักยภาพในอนาคต” มากกว่ารายได้จริง
    การปรับฐานในตลาดหุ้นอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในความเชื่อมั่นของนักลงทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/bank-of-england-imf-warn-ai-bubble-risk-has-shades-of-2000-dotcom-crash-goldman-sachs-cautions-were-not-there-yet
    📉 “ฟองสบู่ AI ใกล้แตก? IMF และธนาคารอังกฤษเตือนแรง — นักลงทุนเริ่มซื้อทองคำหนีความเสี่ยง” ในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับการเติบโตของเทคโนโลยี AI รายงานล่าสุดจาก IMF และธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) กลับส่งสัญญาณเตือนว่า “ฟองสบู่ AI” อาจกำลังเข้าสู่ระยะอันตราย คล้ายกับเหตุการณ์ dotcom crash ในปี 2000 Kristalina Georgieva ผู้อำนวยการ IMF กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ความไม่แน่นอนคือความปกติใหม่” พร้อมชี้ว่าการซื้อทองคำที่พุ่งขึ้นถึง $4,000 ต่อออนซ์ เป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังป้องกันความเสี่ยงจากการปรับฐานครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่ม AI ที่มีมูลค่าพุ่งสูงเกินจริง ธนาคารอังกฤษเสริมว่า ความเสี่ยงของการ “ปรับฐานรุนแรง” เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อความสามารถของ AI ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่คาด หรือเมื่อการแข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้การประเมินรายได้ในอนาคตต้องถูกปรับลดลง Goldman Sachs แม้จะมองว่าฟองสบู่ยังไม่แตก แต่ก็ยอมรับว่า “เราน่าจะอยู่ในระยะที่สามของฟองสบู่” จากทั้งหมดห้าระยะ โดยเฉพาะเมื่อมีการลงทุนแบบ “หมุนเวียน” ที่บริษัท AI ซื้อหุ้นกันเองเพื่อดันมูลค่าให้สูงขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ OpenAI ซึ่งยังไม่เข้าตลาดหุ้น แต่มีมูลค่าประเมินกว่า $500 พันล้าน ขณะที่รายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ $4.3 พันล้าน และไม่มีแนวโน้มจะมีกำไรในเร็ว ๆ นี้ ตามคำกล่าวของ CEO Sam Altman นักวิเคราะห์จาก Van Lanschot Kempen ระบุว่า “การที่บริษัท AI ซื้อหุ้นกันเอง และสร้างรายได้จากการลงทุนข้ามกัน เป็นสัญญาณของฟองสบู่ที่ชัดเจน” และหากเกิดการปรับฐานจริง อาจกระทบต่อโครงสร้างอุตสาหกรรม AI ทั้งระบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ IMF และ Bank of England เตือนว่าฟองสบู่ AI อาจใกล้แตก ➡️ ราคาทองคำพุ่งถึง $4,000 ต่อออนซ์ เป็นสัญญาณการป้องกันความเสี่ยง ➡️ ความสามารถของ AI ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่คาด และการแข่งขันเพิ่มขึ้น ➡️ การประเมินรายได้ในอนาคตของบริษัท AI อาจต้องถูกปรับลด ➡️ Goldman Sachs ระบุว่าเราอยู่ใน “ระยะที่สาม” ของฟองสบู่ ➡️ มีการลงทุนแบบหมุนเวียนระหว่างบริษัท AI เพื่อดันมูลค่าหุ้น ➡️ OpenAI มีมูลค่าประเมิน $500 พันล้าน แต่ยังไม่มีกำไร ➡️ นักวิเคราะห์ชี้ว่าการซื้อหุ้นกันเองเป็นสัญญาณฟองสบู่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฟองสบู่ dotcom ในปี 2000 เกิดจากการลงทุนเกินจริงในบริษัทเทคโนโลยี ➡️ ระยะที่สามของฟองสบู่คือช่วงที่ตลาดยังคึกคัก แต่เริ่มมีสัญญาณความไม่สมเหตุสมผล ➡️ การซื้อทองคำมักเกิดเมื่อมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจหรือการลงทุน ➡️ การประเมินมูลค่าบริษัท AI มักอิงจาก “ศักยภาพในอนาคต” มากกว่ารายได้จริง ➡️ การปรับฐานในตลาดหุ้นอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในความเชื่อมั่นของนักลงทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/bank-of-england-imf-warn-ai-bubble-risk-has-shades-of-2000-dotcom-crash-goldman-sachs-cautions-were-not-there-yet
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Bank of England, IMF, warn AI bubble risk has shades of 2000 dotcom crash — Goldman Sachs cautions we're not there 'yet'
    Of the five stages of a bubble, we're already in stage three, according to one investment strategist.
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • “จากเด็กอายุ 12 สู่ผู้ร่วมพัฒนาเคอร์เนล: Lifebook S2110 จุดประกายการแก้ไขไดรเวอร์ Linux ครั้งแรก”

    Valtteri Koskivuori นักพัฒนาสาย Linux ได้แชร์ประสบการณ์การส่ง patch แรกเข้าสู่เคอร์เนล Linux อย่างเป็นทางการ โดยเริ่มต้นจากความหลงใหลในโน้ตบุ๊กเก่ารุ่น Fujitsu Lifebook S2110 ที่เขาใช้มาตั้งแต่ปี 2005 แม้เครื่องจะมี RAM เพียง 2GB และใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน แต่ยังสามารถรัน Arch Linux รุ่นล่าสุดได้อย่างลื่นไหล

    แรงบันดาลใจของเขาเริ่มจากการสังเกตว่า “ปุ่ม hotkey” บนเครื่องทำงานได้เพียงครึ่งเดียว — โหมด Application ใช้งานได้ แต่โหมด Player กลับไม่มีการตอบสนองใด ๆ และมีข้อความแปลก ๆ ปรากฏใน kernel log ซึ่งนำไปสู่การสืบค้นโค้ดของไดรเวอร์ fujitsu-laptop.c ในเคอร์เนล

    หลังจากวิเคราะห์โค้ดอย่างละเอียด เขาพบว่าเครื่องของเขาไม่ได้อยู่ใน DMI table ที่ใช้เลือก keymap เฉพาะรุ่น จึงตัดสินใจสร้าง keymap ใหม่สำหรับ S2110 โดยเพิ่ม scancode ที่หายไป และแมปปุ่มให้ตรงกับฟังก์ชัน เช่น เล่นเพลง หยุดเพลง ย้อนเพลง และข้ามเพลง

    เมื่อทดสอบกับ xev และ playerctl พบว่าปุ่มทั้งหมดทำงานได้สมบูรณ์ เขาจึงส่ง patch นี้ไปยัง maintainer ของเคอร์เนลผ่านระบบ mailing list และในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ patch ก็ถูก merge เข้าสู่ Linux 6.15 และถูก backport ไปยังเวอร์ชัน LTS หลายรุ่น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Valtteri Koskivuori ส่ง patch แรกเข้าสู่เคอร์เนล Linux เพื่อแก้ไข hotkey บน Lifebook S2110
    ปุ่ม hotkey ทำงานได้ในโหมด Application แต่ไม่ตอบสนองในโหมด Player
    พบข้อความ “Unknown GIRB result” ใน kernel log เมื่อกดปุ่มในโหมด Player
    วิเคราะห์โค้ดใน fujitsu-laptop.c และพบว่าเครื่องไม่ได้อยู่ใน DMI table
    สร้าง keymap ใหม่ keymap_s2110 และเพิ่ม scancode สำหรับปุ่มที่หายไป
    ทดสอบด้วย xev และ playerctl พบว่าปุ่มทำงานได้ครบทุกฟังก์ชัน
    ส่ง patch ผ่าน git send-email ไปยัง maintainer และ mailing list
    Patch ถูก merge เข้าสู่ Linux 6.15 และ backport ไปยัง LTS หลายรุ่น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DMI table ใช้ระบุรุ่นของเครื่องเพื่อเลือก keymap ที่เหมาะสม
    sparse_keymap_setup() เป็นฟังก์ชันที่ใช้แมป scancode กับ keycode
    ACPI notify ใช้รับเหตุการณ์จาก firmware และส่งไปยัง input subsystem
    playerctl ใช้ควบคุม media player ผ่าน D-Bus ด้วยโปรโตคอล MPRIS
    การส่ง patch ผ่าน mailing list เป็นวิธีดั้งเดิมที่ยังใช้ในเคอร์เนล Linux

    https://vkoskiv.com/first-linux-patch/
    🧑‍💻 “จากเด็กอายุ 12 สู่ผู้ร่วมพัฒนาเคอร์เนล: Lifebook S2110 จุดประกายการแก้ไขไดรเวอร์ Linux ครั้งแรก” Valtteri Koskivuori นักพัฒนาสาย Linux ได้แชร์ประสบการณ์การส่ง patch แรกเข้าสู่เคอร์เนล Linux อย่างเป็นทางการ โดยเริ่มต้นจากความหลงใหลในโน้ตบุ๊กเก่ารุ่น Fujitsu Lifebook S2110 ที่เขาใช้มาตั้งแต่ปี 2005 แม้เครื่องจะมี RAM เพียง 2GB และใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน แต่ยังสามารถรัน Arch Linux รุ่นล่าสุดได้อย่างลื่นไหล แรงบันดาลใจของเขาเริ่มจากการสังเกตว่า “ปุ่ม hotkey” บนเครื่องทำงานได้เพียงครึ่งเดียว — โหมด Application ใช้งานได้ แต่โหมด Player กลับไม่มีการตอบสนองใด ๆ และมีข้อความแปลก ๆ ปรากฏใน kernel log ซึ่งนำไปสู่การสืบค้นโค้ดของไดรเวอร์ fujitsu-laptop.c ในเคอร์เนล หลังจากวิเคราะห์โค้ดอย่างละเอียด เขาพบว่าเครื่องของเขาไม่ได้อยู่ใน DMI table ที่ใช้เลือก keymap เฉพาะรุ่น จึงตัดสินใจสร้าง keymap ใหม่สำหรับ S2110 โดยเพิ่ม scancode ที่หายไป และแมปปุ่มให้ตรงกับฟังก์ชัน เช่น เล่นเพลง หยุดเพลง ย้อนเพลง และข้ามเพลง เมื่อทดสอบกับ xev และ playerctl พบว่าปุ่มทั้งหมดทำงานได้สมบูรณ์ เขาจึงส่ง patch นี้ไปยัง maintainer ของเคอร์เนลผ่านระบบ mailing list และในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ patch ก็ถูก merge เข้าสู่ Linux 6.15 และถูก backport ไปยังเวอร์ชัน LTS หลายรุ่น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Valtteri Koskivuori ส่ง patch แรกเข้าสู่เคอร์เนล Linux เพื่อแก้ไข hotkey บน Lifebook S2110 ➡️ ปุ่ม hotkey ทำงานได้ในโหมด Application แต่ไม่ตอบสนองในโหมด Player ➡️ พบข้อความ “Unknown GIRB result” ใน kernel log เมื่อกดปุ่มในโหมด Player ➡️ วิเคราะห์โค้ดใน fujitsu-laptop.c และพบว่าเครื่องไม่ได้อยู่ใน DMI table ➡️ สร้าง keymap ใหม่ keymap_s2110 และเพิ่ม scancode สำหรับปุ่มที่หายไป ➡️ ทดสอบด้วย xev และ playerctl พบว่าปุ่มทำงานได้ครบทุกฟังก์ชัน ➡️ ส่ง patch ผ่าน git send-email ไปยัง maintainer และ mailing list ➡️ Patch ถูก merge เข้าสู่ Linux 6.15 และ backport ไปยัง LTS หลายรุ่น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DMI table ใช้ระบุรุ่นของเครื่องเพื่อเลือก keymap ที่เหมาะสม ➡️ sparse_keymap_setup() เป็นฟังก์ชันที่ใช้แมป scancode กับ keycode ➡️ ACPI notify ใช้รับเหตุการณ์จาก firmware และส่งไปยัง input subsystem ➡️ playerctl ใช้ควบคุม media player ผ่าน D-Bus ด้วยโปรโตคอล MPRIS ➡️ การส่ง patch ผ่าน mailing list เป็นวิธีดั้งเดิมที่ยังใช้ในเคอร์เนล Linux https://vkoskiv.com/first-linux-patch/
    VKOSKIV.COM
    My First Contribution to Linux
    I upstreamed my first kernel patch, and it was easier than I thought it would be.
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • “MAME ปลดล็อก Hyper Neo Geo 64 หลังรอคอย 21 ปี — เสียงมาแล้ว เกมพร้อมเล่นจริง!”

    หลังจากใช้เวลากว่า 2 ทศวรรษในการพยายามแกะระบบ Hyper Neo Geo 64 ซึ่งเป็นเครื่องอาร์เคด 3D ที่ SNK เปิดตัวช่วงปี 1997–1999 ทีมพัฒนา MAME ก็สามารถทำให้ระบบนี้ “ทำงานได้จริง” พร้อมเสียงที่สมบูรณ์ในเวอร์ชันล่าสุด MAME 0.282 ที่จะเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025

    David “MameHaze” Haywood เริ่มต้นการพัฒนา Hyper Neo Geo 64 ตั้งแต่ปี 2004 โดยในตอนนั้น MAME ยังไม่รองรับระบบ 3D และไม่มีข้อมูล MCU หรือ CPU ที่ใช้ในระบบเลย แม้จะมีความพยายามหลายครั้ง แต่เสียงยังคงเป็นปัญหาใหญ่ จนกระทั่งในปี 2023 มีการ dump ข้อมูล I/O MCU ได้สำเร็จ และเริ่มมีความคืบหน้าอย่างจริงจัง

    เมื่อ Haywood ประกาศว่า Hyper Neo Geo 64 “ทำงานได้” แม้เสียงยังไม่สมบูรณ์ ก็กลายเป็นแรงผลักดันให้ทีมอื่นเข้ามาช่วยแก้ไข โดย R. Belmont, Happy และ Olivier Galibert ได้ร่วมกันปรับปรุงระบบเสียงอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนกันยายน–ตุลาคม โดยใช้ความรู้จากการพัฒนา synthesizer และการแกะโปรแกรมเสียงแบบละเอียด

    ผลลัพธ์คือเสียงของเกมอย่าง Samurai Shodown 64, Beast Busters: Second Nightmare และ Xtreme Rally ได้รับการปรับปรุงจนใกล้เคียงต้นฉบับมากขึ้น โดยเฉพาะ Xtreme Rally ที่เคยมีปัญหาเสียงหายและเสียงติดค้าง ก็ได้รับการแก้ไขให้สมบูรณ์ในเวอร์ชัน 0.282

    Hyper Neo Geo 64 มีเกมเพียง 7 เกมเท่านั้น แต่การที่ระบบนี้สามารถเล่นได้พร้อมเสียง ถือเป็นชัยชนะของวงการ emulation ที่ไม่ยอมแพ้แม้จะใช้เวลานานถึง 21 ปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    MAME เวอร์ชัน 0.282 รองรับ Hyper Neo Geo 64 พร้อมเสียงสมบูรณ์
    David Haywood เริ่มพัฒนา Hyper Neo Geo 64 ตั้งแต่ปี 2004
    มีการ dump ข้อมูล I/O MCU สำเร็จในปี 2023
    ทีม Belmont, Happy และ Galibert ร่วมกันแก้ไขระบบเสียง
    ใช้เทคนิคจากการพัฒนา synthesizer เพื่อปรับปรุงเสียง
    เกมที่ได้รับการปรับปรุงเสียง ได้แก่ Samurai Shodown 64, Beast Busters และ Xtreme Rally
    ปัญหาเสียงหายและเสียงติดค้างใน Xtreme Rally ได้รับการแก้ไข
    Hyper Neo Geo 64 มีเกมเพียง 7 เกม แต่ถือเป็นระบบที่ซับซ้อนและท้าทายในการ emulate

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Hyper Neo Geo 64 เป็นระบบอาร์เคด 3D ที่ SNK พัฒนาเพื่อเปลี่ยนผ่านจากยุค 2D
    MAME เป็นโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สที่มีเป้าหมายในการอนุรักษ์เกมอาร์เคดทุกระบบ
    การ emulate ระบบเสียงต้องเข้าใจการทำงานของ DSP และ CPU เฉพาะทาง
    การแกะโปรแกรมเสียงต้องใช้การ disassembly และการวิเคราะห์ waveform
    การพัฒนา MAME อาศัยความร่วมมือจากนักพัฒนาทั่วโลกที่ทำงานแบบสมัครใจ

    https://www.readonlymemo.com/mame-hyper-neo-geo-support-sound-emulation/
    🕹️ “MAME ปลดล็อก Hyper Neo Geo 64 หลังรอคอย 21 ปี — เสียงมาแล้ว เกมพร้อมเล่นจริง!” หลังจากใช้เวลากว่า 2 ทศวรรษในการพยายามแกะระบบ Hyper Neo Geo 64 ซึ่งเป็นเครื่องอาร์เคด 3D ที่ SNK เปิดตัวช่วงปี 1997–1999 ทีมพัฒนา MAME ก็สามารถทำให้ระบบนี้ “ทำงานได้จริง” พร้อมเสียงที่สมบูรณ์ในเวอร์ชันล่าสุด MAME 0.282 ที่จะเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 David “MameHaze” Haywood เริ่มต้นการพัฒนา Hyper Neo Geo 64 ตั้งแต่ปี 2004 โดยในตอนนั้น MAME ยังไม่รองรับระบบ 3D และไม่มีข้อมูล MCU หรือ CPU ที่ใช้ในระบบเลย แม้จะมีความพยายามหลายครั้ง แต่เสียงยังคงเป็นปัญหาใหญ่ จนกระทั่งในปี 2023 มีการ dump ข้อมูล I/O MCU ได้สำเร็จ และเริ่มมีความคืบหน้าอย่างจริงจัง เมื่อ Haywood ประกาศว่า Hyper Neo Geo 64 “ทำงานได้” แม้เสียงยังไม่สมบูรณ์ ก็กลายเป็นแรงผลักดันให้ทีมอื่นเข้ามาช่วยแก้ไข โดย R. Belmont, Happy และ Olivier Galibert ได้ร่วมกันปรับปรุงระบบเสียงอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนกันยายน–ตุลาคม โดยใช้ความรู้จากการพัฒนา synthesizer และการแกะโปรแกรมเสียงแบบละเอียด ผลลัพธ์คือเสียงของเกมอย่าง Samurai Shodown 64, Beast Busters: Second Nightmare และ Xtreme Rally ได้รับการปรับปรุงจนใกล้เคียงต้นฉบับมากขึ้น โดยเฉพาะ Xtreme Rally ที่เคยมีปัญหาเสียงหายและเสียงติดค้าง ก็ได้รับการแก้ไขให้สมบูรณ์ในเวอร์ชัน 0.282 Hyper Neo Geo 64 มีเกมเพียง 7 เกมเท่านั้น แต่การที่ระบบนี้สามารถเล่นได้พร้อมเสียง ถือเป็นชัยชนะของวงการ emulation ที่ไม่ยอมแพ้แม้จะใช้เวลานานถึง 21 ปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ MAME เวอร์ชัน 0.282 รองรับ Hyper Neo Geo 64 พร้อมเสียงสมบูรณ์ ➡️ David Haywood เริ่มพัฒนา Hyper Neo Geo 64 ตั้งแต่ปี 2004 ➡️ มีการ dump ข้อมูล I/O MCU สำเร็จในปี 2023 ➡️ ทีม Belmont, Happy และ Galibert ร่วมกันแก้ไขระบบเสียง ➡️ ใช้เทคนิคจากการพัฒนา synthesizer เพื่อปรับปรุงเสียง ➡️ เกมที่ได้รับการปรับปรุงเสียง ได้แก่ Samurai Shodown 64, Beast Busters และ Xtreme Rally ➡️ ปัญหาเสียงหายและเสียงติดค้างใน Xtreme Rally ได้รับการแก้ไข ➡️ Hyper Neo Geo 64 มีเกมเพียง 7 เกม แต่ถือเป็นระบบที่ซับซ้อนและท้าทายในการ emulate ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Hyper Neo Geo 64 เป็นระบบอาร์เคด 3D ที่ SNK พัฒนาเพื่อเปลี่ยนผ่านจากยุค 2D ➡️ MAME เป็นโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สที่มีเป้าหมายในการอนุรักษ์เกมอาร์เคดทุกระบบ ➡️ การ emulate ระบบเสียงต้องเข้าใจการทำงานของ DSP และ CPU เฉพาะทาง ➡️ การแกะโปรแกรมเสียงต้องใช้การ disassembly และการวิเคราะห์ waveform ➡️ การพัฒนา MAME อาศัยความร่วมมือจากนักพัฒนาทั่วโลกที่ทำงานแบบสมัครใจ https://www.readonlymemo.com/mame-hyper-neo-geo-support-sound-emulation/
    WWW.READONLYMEMO.COM
    After 2 decades of tinkering, MAME finally cracks the Hyper Neo Geo 64
    How MAME devs finally got sound working for the 3D arcade system. Plus: PC Engine LaserActive support gets fast-tracked.
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • “สงครามใต้ดินในวงการบูตแคมป์: เมื่อ Reddit กลายเป็นอาวุธทำลายชื่อเสียง Codesmith ด้วยมือของคู่แข่ง”

    เรื่องราวสุดดาร์กของ Codesmith บูตแคมป์สายซอฟต์แวร์ที่เคยรุ่งเรืองด้วยรายได้กว่า $23.5 ล้าน กลับถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องผ่าน Reddit โดยผู้ก่อเหตุคือ Michael Novati — ผู้ร่วมก่อตั้ง Formation ซึ่งเป็นบูตแคมป์คู่แข่ง และยังเป็นผู้ดูแลหลักของ subreddit r/codingbootcamp

    Michael ใช้ตำแหน่ง moderator เป็นเครื่องมือในการบิดเบือนข้อมูล ลบโพสต์เชิงบวกของ Codesmith และปล่อยคอมเมนต์เชิงลบทุกวันตลอด 487 วัน รวมกว่า 425 โพสต์ โดยใช้เทคนิคการเปรียบเทียบกับลัทธิ NXIVM, กล่าวหาว่ามีการโกงข้อมูล CIRR, และแม้กระทั่งตามรอยลูกของพนักงานบน LinkedIn เพื่อกล่าวหาว่ามีการเล่นเส้น

    ผลกระทบไม่ใช่แค่ชื่อเสียง แต่รวมถึงรายได้ที่ลดลงกว่า 40% จากการโจมตีบน Reddit และอีก 40% จากภาวะตลาด ทำให้ Codesmithต้องปลดพนักงานหลายรอบ เหลือเพียง 15 คน และผู้ก่อตั้งต้องลาออกเพราะความเครียด

    แม้จะมีการตรวจสอบจากหลายฝ่าย รวมถึงผู้ร่วมก่อตั้งบูตแคมป์อื่น ๆ ที่ยืนยันว่า Codesmith เป็นหนึ่งในโปรแกรมที่ดีที่สุดในวงการ แต่การควบคุม narrative บน Reddit ทำให้ผู้สนใจเรียนรู้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นกลางได้

    การโจมตีนี้ยังลามไปถึง Google และ LLM อย่าง ChatGPT ซึ่งดึงข้อมูลจาก Reddit ทำให้คำค้นหา “Codesmith ดีไหม” กลายเป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาและความสงสัย


    ธุรกิจของ “coding bootcamp” คือการให้บริการฝึกอบรมเข้มข้นด้านการเขียนโปรแกรมและทักษะเทคโนโลยี เพื่อเตรียมผู้เรียนเข้าสู่สายงานไอที โดยเฉพาะตำแหน่งอย่าง software engineer, full-stack developer, data analyst ฯลฯ ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน

    โมเดลธุรกิจของ bootcamp
    หลักสูตรแบบเร่งรัด (Intensive Program) Bootcamp มักจัดหลักสูตร 8–16 สัปดาห์ ที่เน้นการเรียนรู้แบบลงมือทำจริง เช่น สร้างโปรเจกต์, pair programming, mock interview
    คัดเลือกผู้เรียนอย่างเข้มงวด หลายแห่ง เช่น Codesmith หรือ AppAcademy จะคัดเลือกผู้เรียนที่มีพื้นฐานหรือความมุ่งมั่นสูง เพื่อให้ผลลัพธ์หลังเรียนดีขึ้น
    รายได้หลักมาจากค่าเรียน ค่าเรียนมักอยู่ระหว่าง $10,000–$20,000 ต่อคน โดยบางแห่งมีระบบ “Income Share Agreement” (ISA) ที่ให้เรียนฟรีก่อน แล้วจ่ายเมื่อได้งาน
    บริการเสริมหลังเรียน เช่น การช่วยเขียน resume, mock interview, career coaching ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสได้งานและสร้างชื่อเสียงให้ bootcamp
    ความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยี บาง bootcamp มีดีลกับบริษัทเพื่อส่งนักเรียนไปฝึกงานหรือสมัครงานโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและผลลัพธ์

    จุดที่สร้างกำไร
    ค่าเรียนต่อหัวสูง เมื่อ bootcamp มีชื่อเสียงและผลลัพธ์ดี ก็สามารถตั้งราคาสูงได้ เช่น Codesmith เคยมีรายได้ $23.5M จากนักเรียนไม่กี่พันคน
    ต้นทุนคงที่ต่ำ แม้จะมีค่าใช้จ่ายด้านครูและระบบ แต่เมื่อหลักสูตรถูกออกแบบแล้ว สามารถใช้ซ้ำได้หลายรุ่นโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มมาก
    การขยายแบบออนไลน์ หลาย bootcamp เปลี่ยนจาก onsite เป็น remote ทำให้ลดค่าเช่าสถานที่ และขยายตลาดได้ทั่วโลก
    การใช้ alumni เป็น brand ambassador ผู้เรียนที่ได้งานดีจะช่วยสร้างชื่อเสียงให้ bootcamp โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาโดยตรง


    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Reddit เป็นแหล่งข้อมูลหลักของ LLM และปรากฏในผลการค้นหาของ Google
    CIRR เป็นองค์กรกลางที่เก็บข้อมูลผลลัพธ์ของบูตแคมป์อย่างเป็นกลาง
    การควบคุม subreddit ทำให้สามารถลบโพสต์, ปักหมุด, และแบนผู้ใช้ได้ตามใจ
    Formation เคยระดมทุน $4M จาก Andreessen Horowitz
    ผู้ร่วมก่อตั้งบูตแคมป์อื่น เช่น Tech Elevator และ AppAcademy ยืนยันว่า Codesmith มีคุณภาพสูง

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การควบคุม subreddit โดยคู่แข่งสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อธุรกิจ
    ผู้ใช้ทั่วไปไม่รู้ว่า moderator มีผลประโยชน์ทับซ้อน
    LLM และ Google ดึงข้อมูลจาก Reddit โดยไม่ตรวจสอบความเป็นกลาง
    การโจมตีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นกับธุรกิจใดก็ได้ที่มี subreddit อุตสาหกรรม
    ไม่มีระบบตรวจสอบหรือถ่วงดุลอำนาจของ moderator บน Reddit

    https://larslofgren.com/codesmith-reddit-reputation-attack/
    🔥 “สงครามใต้ดินในวงการบูตแคมป์: เมื่อ Reddit กลายเป็นอาวุธทำลายชื่อเสียง Codesmith ด้วยมือของคู่แข่ง” เรื่องราวสุดดาร์กของ Codesmith บูตแคมป์สายซอฟต์แวร์ที่เคยรุ่งเรืองด้วยรายได้กว่า $23.5 ล้าน กลับถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องผ่าน Reddit โดยผู้ก่อเหตุคือ Michael Novati — ผู้ร่วมก่อตั้ง Formation ซึ่งเป็นบูตแคมป์คู่แข่ง และยังเป็นผู้ดูแลหลักของ subreddit r/codingbootcamp Michael ใช้ตำแหน่ง moderator เป็นเครื่องมือในการบิดเบือนข้อมูล ลบโพสต์เชิงบวกของ Codesmith และปล่อยคอมเมนต์เชิงลบทุกวันตลอด 487 วัน รวมกว่า 425 โพสต์ โดยใช้เทคนิคการเปรียบเทียบกับลัทธิ NXIVM, กล่าวหาว่ามีการโกงข้อมูล CIRR, และแม้กระทั่งตามรอยลูกของพนักงานบน LinkedIn เพื่อกล่าวหาว่ามีการเล่นเส้น ผลกระทบไม่ใช่แค่ชื่อเสียง แต่รวมถึงรายได้ที่ลดลงกว่า 40% จากการโจมตีบน Reddit และอีก 40% จากภาวะตลาด ทำให้ Codesmithต้องปลดพนักงานหลายรอบ เหลือเพียง 15 คน และผู้ก่อตั้งต้องลาออกเพราะความเครียด แม้จะมีการตรวจสอบจากหลายฝ่าย รวมถึงผู้ร่วมก่อตั้งบูตแคมป์อื่น ๆ ที่ยืนยันว่า Codesmith เป็นหนึ่งในโปรแกรมที่ดีที่สุดในวงการ แต่การควบคุม narrative บน Reddit ทำให้ผู้สนใจเรียนรู้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นกลางได้ การโจมตีนี้ยังลามไปถึง Google และ LLM อย่าง ChatGPT ซึ่งดึงข้อมูลจาก Reddit ทำให้คำค้นหา “Codesmith ดีไหม” กลายเป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาและความสงสัย 🔖🔖 ธุรกิจของ “coding bootcamp” คือการให้บริการฝึกอบรมเข้มข้นด้านการเขียนโปรแกรมและทักษะเทคโนโลยี เพื่อเตรียมผู้เรียนเข้าสู่สายงานไอที โดยเฉพาะตำแหน่งอย่าง software engineer, full-stack developer, data analyst ฯลฯ ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ✅ โมเดลธุรกิจของ bootcamp ➡️ หลักสูตรแบบเร่งรัด (Intensive Program) Bootcamp มักจัดหลักสูตร 8–16 สัปดาห์ ที่เน้นการเรียนรู้แบบลงมือทำจริง เช่น สร้างโปรเจกต์, pair programming, mock interview ➡️ คัดเลือกผู้เรียนอย่างเข้มงวด หลายแห่ง เช่น Codesmith หรือ AppAcademy จะคัดเลือกผู้เรียนที่มีพื้นฐานหรือความมุ่งมั่นสูง เพื่อให้ผลลัพธ์หลังเรียนดีขึ้น ➡️ รายได้หลักมาจากค่าเรียน ค่าเรียนมักอยู่ระหว่าง $10,000–$20,000 ต่อคน โดยบางแห่งมีระบบ “Income Share Agreement” (ISA) ที่ให้เรียนฟรีก่อน แล้วจ่ายเมื่อได้งาน ➡️ บริการเสริมหลังเรียน เช่น การช่วยเขียน resume, mock interview, career coaching ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสได้งานและสร้างชื่อเสียงให้ bootcamp ➡️ ความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยี บาง bootcamp มีดีลกับบริษัทเพื่อส่งนักเรียนไปฝึกงานหรือสมัครงานโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและผลลัพธ์ ✅ จุดที่สร้างกำไร ➡️ ค่าเรียนต่อหัวสูง เมื่อ bootcamp มีชื่อเสียงและผลลัพธ์ดี ก็สามารถตั้งราคาสูงได้ เช่น Codesmith เคยมีรายได้ $23.5M จากนักเรียนไม่กี่พันคน ➡️ ต้นทุนคงที่ต่ำ แม้จะมีค่าใช้จ่ายด้านครูและระบบ แต่เมื่อหลักสูตรถูกออกแบบแล้ว สามารถใช้ซ้ำได้หลายรุ่นโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มมาก ➡️ การขยายแบบออนไลน์ หลาย bootcamp เปลี่ยนจาก onsite เป็น remote ทำให้ลดค่าเช่าสถานที่ และขยายตลาดได้ทั่วโลก ➡️ การใช้ alumni เป็น brand ambassador ผู้เรียนที่ได้งานดีจะช่วยสร้างชื่อเสียงให้ bootcamp โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาโดยตรง 🔖🔖🔖 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Reddit เป็นแหล่งข้อมูลหลักของ LLM และปรากฏในผลการค้นหาของ Google ➡️ CIRR เป็นองค์กรกลางที่เก็บข้อมูลผลลัพธ์ของบูตแคมป์อย่างเป็นกลาง ➡️ การควบคุม subreddit ทำให้สามารถลบโพสต์, ปักหมุด, และแบนผู้ใช้ได้ตามใจ ➡️ Formation เคยระดมทุน $4M จาก Andreessen Horowitz ➡️ ผู้ร่วมก่อตั้งบูตแคมป์อื่น เช่น Tech Elevator และ AppAcademy ยืนยันว่า Codesmith มีคุณภาพสูง ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การควบคุม subreddit โดยคู่แข่งสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อธุรกิจ ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปไม่รู้ว่า moderator มีผลประโยชน์ทับซ้อน ⛔ LLM และ Google ดึงข้อมูลจาก Reddit โดยไม่ตรวจสอบความเป็นกลาง ⛔ การโจมตีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นกับธุรกิจใดก็ได้ที่มี subreddit อุตสาหกรรม ⛔ ไม่มีระบบตรวจสอบหรือถ่วงดุลอำนาจของ moderator บน Reddit https://larslofgren.com/codesmith-reddit-reputation-attack/
    LARSLOFGREN.COM
    The Story of Codesmith: How a Competitor Crippled a $23.5M Bootcamp By Becoming a Reddit Moderator
    Let’s say you decide to start a coding bootcamp. Your background is in pedagogy and you love teaching. Your parents were teachers. You find a co-founder, raise a bit of money, and pour your soul into your company. The first couple of years, students love your program. Positive feedback, extraordinary student outcomes, employees love the mission. You are quite literally […]
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • “พบช่องโหว่ร้ายแรงในเราเตอร์ TP-Link AX1800 — แฮกเกอร์บน LAN เข้าควบคุมระบบแบบ root ได้ทันที”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัย Rocco Calvi ได้เปิดเผยช่องโหว่ระดับสูงในเราเตอร์ TP-Link AX1800 WiFi 6 รุ่น Archer AX21 และ AX20 ซึ่งเปิดทางให้ผู้โจมตีที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันสามารถรันคำสั่งในระดับ root ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้ถูกระบุเป็น CVE-2023-28760 และได้รับคะแนน CVSS 7.5 (ระดับสูง)

    ช่องโหว่เกิดจากบริการ MiniDLNA ที่ใช้สำหรับแชร์ไฟล์มีเดียผ่าน USB ซึ่งเมื่อผู้ใช้เสียบ USB เพื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์ Media Sharing ระบบจะเปิดบริการ Samba, FTP และ MiniDLNA โดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงไฟล์ฐานข้อมูล .TPDLNA/files.db ผ่าน SMB หรือ FTP ได้

    จุดอ่อนอยู่ที่การตรวจสอบขอบเขตข้อมูลในไฟล์ upnpsoap.c ของ MiniDLNA ซึ่งมีการคัดลอกข้อมูล metadata ไปยัง buffer แบบ fixed-size โดยไม่มีการตรวจสอบขนาดอย่างเหมาะสม หากผู้โจมตีใส่ข้อมูลในฟิลด์ dlna_pn ที่เกินขนาด buffer จะเกิด buffer overflow และสามารถนำไปสู่การรันคำสั่งแบบ root ได้

    นักวิจัยสามารถใช้เทคนิค “one gadget” เพื่อหลบเลี่ยงการป้องกันของระบบ เช่น ASLR และ NX bit โดยเปลี่ยนทิศทางการทำงานของระบบไปยังฟังก์ชัน system() ใน firmware ของเราเตอร์ และได้แสดงการโจมตีจริงในงาน Pwn2Own โดยสามารถเปิด shell แบบ interactive บนเราเตอร์ได้สำเร็จ

    TP-Link ได้รับแจ้งตามกระบวนการ responsible disclosure และได้ออก firmware เวอร์ชัน Archer AX20(EU)_V3_1.1.4 Build 20230219 เพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2023-28760 ส่งผลต่อ TP-Link AX1800 WiFi 6 รุ่น Archer AX21 และ AX20
    ผู้โจมตีบน LAN สามารถรันคำสั่งแบบ root ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    ช่องโหว่เกิดจากบริการ MiniDLNA ที่เปิดเมื่อเสียบ USB เพื่อแชร์ไฟล์
    ผู้โจมตีสามารถแก้ไขไฟล์ .TPDLNA/files.db ผ่าน SMB หรือ FTP
    เกิด buffer overflow จากการคัดลอกข้อมูล dlna_pn ที่เกินขนาด buffer
    ใช้เทคนิค “one gadget” เพื่อหลบเลี่ยง ASLR และ NX bit
    นักวิจัยแสดงการโจมตีจริงในงาน Pwn2Own และเปิด shell บนเราเตอร์ได้
    TP-Link ออก firmware เวอร์ชันใหม่เพื่อแก้ไขช่องโหว่แล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MiniDLNA เป็นบริการแชร์มีเดียที่นิยมใช้ในเราเตอร์สำหรับบ้าน
    ASLR และ NX bit เป็นเทคนิคป้องกันการโจมตีแบบ buffer overflow
    “one gadget” คือการใช้คำสั่งเดียวเพื่อเปลี่ยน flow ของโปรแกรมไปยังจุดเป้าหมาย
    Pwn2Own เป็นงานแข่งขันด้าน cybersecurity ที่แสดงการโจมตีจริงอย่างปลอดภัย
    การใช้ USB เพื่อแชร์ไฟล์ในบ้านเป็นการตั้งค่าที่พบได้ทั่วไป

    https://securityonline.info/tp-link-router-flaw-cve-2023-28760-allows-root-rce-via-lan-poc-available/
    🛡️ “พบช่องโหว่ร้ายแรงในเราเตอร์ TP-Link AX1800 — แฮกเกอร์บน LAN เข้าควบคุมระบบแบบ root ได้ทันที” นักวิจัยด้านความปลอดภัย Rocco Calvi ได้เปิดเผยช่องโหว่ระดับสูงในเราเตอร์ TP-Link AX1800 WiFi 6 รุ่น Archer AX21 และ AX20 ซึ่งเปิดทางให้ผู้โจมตีที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันสามารถรันคำสั่งในระดับ root ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้ถูกระบุเป็น CVE-2023-28760 และได้รับคะแนน CVSS 7.5 (ระดับสูง) ช่องโหว่เกิดจากบริการ MiniDLNA ที่ใช้สำหรับแชร์ไฟล์มีเดียผ่าน USB ซึ่งเมื่อผู้ใช้เสียบ USB เพื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์ Media Sharing ระบบจะเปิดบริการ Samba, FTP และ MiniDLNA โดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงไฟล์ฐานข้อมูล .TPDLNA/files.db ผ่าน SMB หรือ FTP ได้ จุดอ่อนอยู่ที่การตรวจสอบขอบเขตข้อมูลในไฟล์ upnpsoap.c ของ MiniDLNA ซึ่งมีการคัดลอกข้อมูล metadata ไปยัง buffer แบบ fixed-size โดยไม่มีการตรวจสอบขนาดอย่างเหมาะสม หากผู้โจมตีใส่ข้อมูลในฟิลด์ dlna_pn ที่เกินขนาด buffer จะเกิด buffer overflow และสามารถนำไปสู่การรันคำสั่งแบบ root ได้ นักวิจัยสามารถใช้เทคนิค “one gadget” เพื่อหลบเลี่ยงการป้องกันของระบบ เช่น ASLR และ NX bit โดยเปลี่ยนทิศทางการทำงานของระบบไปยังฟังก์ชัน system() ใน firmware ของเราเตอร์ และได้แสดงการโจมตีจริงในงาน Pwn2Own โดยสามารถเปิด shell แบบ interactive บนเราเตอร์ได้สำเร็จ TP-Link ได้รับแจ้งตามกระบวนการ responsible disclosure และได้ออก firmware เวอร์ชัน Archer AX20(EU)_V3_1.1.4 Build 20230219 เพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2023-28760 ส่งผลต่อ TP-Link AX1800 WiFi 6 รุ่น Archer AX21 และ AX20 ➡️ ผู้โจมตีบน LAN สามารถรันคำสั่งแบบ root ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ ช่องโหว่เกิดจากบริการ MiniDLNA ที่เปิดเมื่อเสียบ USB เพื่อแชร์ไฟล์ ➡️ ผู้โจมตีสามารถแก้ไขไฟล์ .TPDLNA/files.db ผ่าน SMB หรือ FTP ➡️ เกิด buffer overflow จากการคัดลอกข้อมูล dlna_pn ที่เกินขนาด buffer ➡️ ใช้เทคนิค “one gadget” เพื่อหลบเลี่ยง ASLR และ NX bit ➡️ นักวิจัยแสดงการโจมตีจริงในงาน Pwn2Own และเปิด shell บนเราเตอร์ได้ ➡️ TP-Link ออก firmware เวอร์ชันใหม่เพื่อแก้ไขช่องโหว่แล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MiniDLNA เป็นบริการแชร์มีเดียที่นิยมใช้ในเราเตอร์สำหรับบ้าน ➡️ ASLR และ NX bit เป็นเทคนิคป้องกันการโจมตีแบบ buffer overflow ➡️ “one gadget” คือการใช้คำสั่งเดียวเพื่อเปลี่ยน flow ของโปรแกรมไปยังจุดเป้าหมาย ➡️ Pwn2Own เป็นงานแข่งขันด้าน cybersecurity ที่แสดงการโจมตีจริงอย่างปลอดภัย ➡️ การใช้ USB เพื่อแชร์ไฟล์ในบ้านเป็นการตั้งค่าที่พบได้ทั่วไป https://securityonline.info/tp-link-router-flaw-cve-2023-28760-allows-root-rce-via-lan-poc-available/
    SECURITYONLINE.INFO
    TP-Link Router Flaw CVE-2023-28760 Allows Root RCE via LAN, PoC Available
    A flaw (CVE-2023-28760) in TP-Link AX1800 routers allows unauthenticated attackers on the LAN to gain root RCE by manipulating the MiniDLNA service via a USB drive.
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • “SquareX เตือนภัยเบราว์เซอร์ AI — Comet ถูกหลอกให้ส่งมัลแวร์, แชร์ไฟล์ลับ และเปิดช่อง OAuth โดยไม่รู้ตัว”

    ในวันที่เบราว์เซอร์ AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักของผู้ใช้ทั่วโลก SquareX ได้เปิดเผยงานวิจัยด้านความปลอดภัยที่ชี้ให้เห็นช่องโหว่ร้ายแรงในเบราว์เซอร์ AI โดยเฉพาะ Comet ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์จาก Perplexity ที่มีความสามารถในการทำงานแทนผู้ใช้แบบอัตโนมัติ

    SquareX พบว่า Comet สามารถถูกโจมตีผ่านหลายวิธี เช่น:

    การโจมตีแบบ OAuth ที่ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงอีเมลและ Google Drive ของเหยื่อได้ทั้งหมด
    การฝังลิงก์อันตรายในคำเชิญปฏิทินที่ส่งไปยังเพื่อนร่วมงานของเหยื่อ
    การหลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์โดยปลอมเป็นไฟล์ที่จำเป็นต่อ workflow
    การส่งไฟล์ลับไปยังผู้โจมตีผ่านอีเมลโดยไม่ตั้งใจ

    ปัญหาหลักคือ AI Browser อย่าง Comet ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือคำสั่งที่ปลอดภัย และอะไรคือคำสั่งที่ถูกแฮกเกอร์แทรกเข้ามาใน workflow โดยเฉพาะเมื่อเบราว์เซอร์มีสิทธิ์เท่ากับผู้ใช้ และทำงานแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ

    SquareX ระบุว่าโซลูชันด้านความปลอดภัยแบบเดิม เช่น EDR หรือ SASE/SSE ไม่สามารถตรวจจับพฤติกรรมของ AI Browser ได้อย่างแม่นยำ เพราะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าการกระทำมาจากผู้ใช้จริงหรือจาก AI agent

    Stephen Bennett, CISO ของ Domino’s Pizza Enterprises กล่าวเสริมว่า “เบราว์เซอร์เคยเป็นหน้าต่างของผู้ใช้ แต่ AI Browser กำลังเปลี่ยนให้ผู้ใช้กลายเป็นผู้โดยสาร” ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ผู้ใช้อาจไม่สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ได้อีกต่อไป

    SquareX เสนอให้มีการพัฒนาโซลูชันแบบ browser-native ที่สามารถแยกแยะตัวตนของ AI agent กับผู้ใช้จริง และกำหนดขอบเขตการเข้าถึงข้อมูลและการกระทำได้อย่างชัดเจน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SquareX เปิดเผยช่องโหว่ในเบราว์เซอร์ AI โดยเฉพาะ Comet จาก Perplexity
    Comet ถูกโจมตีผ่าน OAuth ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงอีเมลและ Google Drive
    ถูกหลอกให้ฝังลิงก์อันตรายในคำเชิญปฏิทิน
    ถูกหลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์โดยปลอมเป็นไฟล์ workflow
    ส่งไฟล์ลับไปยังผู้โจมตีโดยไม่ตั้งใจ
    AI Browser ทำงานแทนผู้ใช้โดยมีสิทธิ์เท่ากัน ทำให้ถูกหลอกได้ง่าย
    โซลูชัน EDR/SASE ไม่สามารถแยกแยะพฤติกรรมของ AI agent ได้
    SquareX เสนอให้มีระบบ browser-native ที่แยกแยะตัวตนและควบคุมการเข้าถึง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Comet เป็นเบราว์เซอร์ AI ที่สามารถทำงานใน inbox, ปฏิทิน และระบบ cloud
    OAuth เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูล โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน
    Prompt injection คือการแทรกคำสั่งอันตรายเข้าไปใน workflow ของ AI
    AI Browser กำลังถูกนำมาใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่ม productivity
    SquareX มีระบบ Browser Detection and Response (BDR) ที่ช่วยป้องกันภัยจากเบราว์เซอร์

    https://securityonline.info/squarex-shows-ai-browsers-fall-prey-to-oauth-attacks-malware-downloads-and-malicious-link-distribution/
    🕷️ “SquareX เตือนภัยเบราว์เซอร์ AI — Comet ถูกหลอกให้ส่งมัลแวร์, แชร์ไฟล์ลับ และเปิดช่อง OAuth โดยไม่รู้ตัว” ในวันที่เบราว์เซอร์ AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักของผู้ใช้ทั่วโลก SquareX ได้เปิดเผยงานวิจัยด้านความปลอดภัยที่ชี้ให้เห็นช่องโหว่ร้ายแรงในเบราว์เซอร์ AI โดยเฉพาะ Comet ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์จาก Perplexity ที่มีความสามารถในการทำงานแทนผู้ใช้แบบอัตโนมัติ SquareX พบว่า Comet สามารถถูกโจมตีผ่านหลายวิธี เช่น: 🐛 การโจมตีแบบ OAuth ที่ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงอีเมลและ Google Drive ของเหยื่อได้ทั้งหมด 🐛 การฝังลิงก์อันตรายในคำเชิญปฏิทินที่ส่งไปยังเพื่อนร่วมงานของเหยื่อ 🐛 การหลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์โดยปลอมเป็นไฟล์ที่จำเป็นต่อ workflow 🐛 การส่งไฟล์ลับไปยังผู้โจมตีผ่านอีเมลโดยไม่ตั้งใจ ปัญหาหลักคือ AI Browser อย่าง Comet ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือคำสั่งที่ปลอดภัย และอะไรคือคำสั่งที่ถูกแฮกเกอร์แทรกเข้ามาใน workflow โดยเฉพาะเมื่อเบราว์เซอร์มีสิทธิ์เท่ากับผู้ใช้ และทำงานแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ SquareX ระบุว่าโซลูชันด้านความปลอดภัยแบบเดิม เช่น EDR หรือ SASE/SSE ไม่สามารถตรวจจับพฤติกรรมของ AI Browser ได้อย่างแม่นยำ เพราะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าการกระทำมาจากผู้ใช้จริงหรือจาก AI agent Stephen Bennett, CISO ของ Domino’s Pizza Enterprises กล่าวเสริมว่า “เบราว์เซอร์เคยเป็นหน้าต่างของผู้ใช้ แต่ AI Browser กำลังเปลี่ยนให้ผู้ใช้กลายเป็นผู้โดยสาร” ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ผู้ใช้อาจไม่สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ได้อีกต่อไป SquareX เสนอให้มีการพัฒนาโซลูชันแบบ browser-native ที่สามารถแยกแยะตัวตนของ AI agent กับผู้ใช้จริง และกำหนดขอบเขตการเข้าถึงข้อมูลและการกระทำได้อย่างชัดเจน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SquareX เปิดเผยช่องโหว่ในเบราว์เซอร์ AI โดยเฉพาะ Comet จาก Perplexity ➡️ Comet ถูกโจมตีผ่าน OAuth ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงอีเมลและ Google Drive ➡️ ถูกหลอกให้ฝังลิงก์อันตรายในคำเชิญปฏิทิน ➡️ ถูกหลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์โดยปลอมเป็นไฟล์ workflow ➡️ ส่งไฟล์ลับไปยังผู้โจมตีโดยไม่ตั้งใจ ➡️ AI Browser ทำงานแทนผู้ใช้โดยมีสิทธิ์เท่ากัน ทำให้ถูกหลอกได้ง่าย ➡️ โซลูชัน EDR/SASE ไม่สามารถแยกแยะพฤติกรรมของ AI agent ได้ ➡️ SquareX เสนอให้มีระบบ browser-native ที่แยกแยะตัวตนและควบคุมการเข้าถึง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Comet เป็นเบราว์เซอร์ AI ที่สามารถทำงานใน inbox, ปฏิทิน และระบบ cloud ➡️ OAuth เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูล โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ➡️ Prompt injection คือการแทรกคำสั่งอันตรายเข้าไปใน workflow ของ AI ➡️ AI Browser กำลังถูกนำมาใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่ม productivity ➡️ SquareX มีระบบ Browser Detection and Response (BDR) ที่ช่วยป้องกันภัยจากเบราว์เซอร์ https://securityonline.info/squarex-shows-ai-browsers-fall-prey-to-oauth-attacks-malware-downloads-and-malicious-link-distribution/
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • https://youtube.com/shorts/YyTooMnk_rs?si=6oVhTunb5SSFOcwj
    https://youtube.com/shorts/YyTooMnk_rs?si=6oVhTunb5SSFOcwj
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • “Sam Altman ชี้ชัด: TSMC คือคำตอบของโลก AI — ยังไม่ถึงเวลาพึ่ง Intel ในการผลิตชิป”

    ในบทสัมภาษณ์ล่าสุดกับ Stratechery เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกพันธมิตรในการผลิตชิปสำหรับยุค AI โดยระบุว่า “อยากให้ TSMC ขยายกำลังการผลิตมากขึ้น” แทนที่จะหันไปพึ่ง Intel Foundry ในตอนนี้ แม้จะไม่ใช่การปฏิเสธโดยสิ้นเชิง แต่ก็สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความเสถียรและความต่อเนื่องของ TSMC

    Altman ยอมรับว่า OpenAI ไม่ได้มีโรงงานผลิตชิปเอง แต่กำลังพัฒนาชิป AI เฉพาะทางที่ใช้เทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการผลิตที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก โดยเขาเน้นว่า “การขยายกำลังผลิตของ TSMC” คือสิ่งที่จำเป็นต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม AI

    แม้ Intel จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และลงทุนกว่า $90 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 18A node แต่ Altman และผู้บริหารรายอื่น เช่น Jensen Huang (NVIDIA) และ Lisa Su (AMD) ยังไม่แสดงความมั่นใจเต็มที่ใน Intel Foundry สำหรับงานเร่งด่วนในตอนนี้

    อย่างไรก็ตาม Altman ไม่ปิดโอกาสในอนาคต โดยระบุว่า “โอกาสยังมีอยู่เสมอ” และการมีผู้ผลิตชิปหลายรายจะช่วยลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะเมื่อ TSMC ต้องใช้เวลาและโลจิสติกส์จำนวนมากในการขยายกำลังผลิตจากไต้หวันไปยังสหรัฐฯ

    ในขณะเดียวกัน Altman ยังมีการเดินทางลับไปยังไต้หวันเพื่อหารือกับ TSMC และ Foxconn เกี่ยวกับการออกแบบชิปและโครงสร้างพื้นฐานของเซิร์ฟเวอร์ AI ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ในการสร้าง “โรงงาน AI” ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Sam Altman ระบุว่าอยากให้ TSMC ขยายกำลังการผลิต มากกว่าพึ่ง Intel ในตอนนี้
    OpenAI กำลังพัฒนาชิป AI ที่ใช้เทคโนโลยี 3nm ของ TSMC
    Intel ลงทุนกว่า $90 พันล้านใน 4 ปีเพื่อพัฒนา 18A node
    Altman ไม่ปฏิเสธ Intel แต่ยังไม่เห็นว่าเหมาะกับงานเร่งด่วน
    ผู้บริหารรายอื่น เช่น Jensen Huang และ Lisa Su ก็ยังไม่มั่นใจใน Intel Foundry
    Altman เดินทางไปไต้หวันเพื่อหารือกับ TSMC และ Foxconn
    โครงการ Stargate ของ OpenAI ต้องการชิปจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างโรงงาน AI
    Foxconn จะผลิตฮาร์ดแวร์ให้ Softbank ที่ลงทุนใน OpenAI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TSMC เป็นผู้ผลิตชิปที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก โดยมีลูกค้าหลักคือ Apple, NVIDIA, AMD
    Intel 18A node เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังอยู่ในช่วงทดสอบด้านประสิทธิภาพและปริมาณ
    การผลิตชิปในสหรัฐฯ ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและแรงงานเมื่อเทียบกับไต้หวัน
    Foxconn เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของ Oracle ซึ่งมีดีล $300 พันล้านกับ OpenAI
    Softbank ลงทุนใน OpenAI และมีแผนสร้างศูนย์ข้อมูลร่วมกับ Foxconn ในสหรัฐฯ

    https://wccftech.com/openai-ceo-says-he-would-prefer-tsmc-to-build-up-chip-production-rather-than-collaborating-with-intel/
    🔧 “Sam Altman ชี้ชัด: TSMC คือคำตอบของโลก AI — ยังไม่ถึงเวลาพึ่ง Intel ในการผลิตชิป” ในบทสัมภาษณ์ล่าสุดกับ Stratechery เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกพันธมิตรในการผลิตชิปสำหรับยุค AI โดยระบุว่า “อยากให้ TSMC ขยายกำลังการผลิตมากขึ้น” แทนที่จะหันไปพึ่ง Intel Foundry ในตอนนี้ แม้จะไม่ใช่การปฏิเสธโดยสิ้นเชิง แต่ก็สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความเสถียรและความต่อเนื่องของ TSMC Altman ยอมรับว่า OpenAI ไม่ได้มีโรงงานผลิตชิปเอง แต่กำลังพัฒนาชิป AI เฉพาะทางที่ใช้เทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการผลิตที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก โดยเขาเน้นว่า “การขยายกำลังผลิตของ TSMC” คือสิ่งที่จำเป็นต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม AI แม้ Intel จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และลงทุนกว่า $90 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 18A node แต่ Altman และผู้บริหารรายอื่น เช่น Jensen Huang (NVIDIA) และ Lisa Su (AMD) ยังไม่แสดงความมั่นใจเต็มที่ใน Intel Foundry สำหรับงานเร่งด่วนในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม Altman ไม่ปิดโอกาสในอนาคต โดยระบุว่า “โอกาสยังมีอยู่เสมอ” และการมีผู้ผลิตชิปหลายรายจะช่วยลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะเมื่อ TSMC ต้องใช้เวลาและโลจิสติกส์จำนวนมากในการขยายกำลังผลิตจากไต้หวันไปยังสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน Altman ยังมีการเดินทางลับไปยังไต้หวันเพื่อหารือกับ TSMC และ Foxconn เกี่ยวกับการออกแบบชิปและโครงสร้างพื้นฐานของเซิร์ฟเวอร์ AI ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ในการสร้าง “โรงงาน AI” ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Sam Altman ระบุว่าอยากให้ TSMC ขยายกำลังการผลิต มากกว่าพึ่ง Intel ในตอนนี้ ➡️ OpenAI กำลังพัฒนาชิป AI ที่ใช้เทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ➡️ Intel ลงทุนกว่า $90 พันล้านใน 4 ปีเพื่อพัฒนา 18A node ➡️ Altman ไม่ปฏิเสธ Intel แต่ยังไม่เห็นว่าเหมาะกับงานเร่งด่วน ➡️ ผู้บริหารรายอื่น เช่น Jensen Huang และ Lisa Su ก็ยังไม่มั่นใจใน Intel Foundry ➡️ Altman เดินทางไปไต้หวันเพื่อหารือกับ TSMC และ Foxconn ➡️ โครงการ Stargate ของ OpenAI ต้องการชิปจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างโรงงาน AI ➡️ Foxconn จะผลิตฮาร์ดแวร์ให้ Softbank ที่ลงทุนใน OpenAI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TSMC เป็นผู้ผลิตชิปที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก โดยมีลูกค้าหลักคือ Apple, NVIDIA, AMD ➡️ Intel 18A node เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังอยู่ในช่วงทดสอบด้านประสิทธิภาพและปริมาณ ➡️ การผลิตชิปในสหรัฐฯ ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและแรงงานเมื่อเทียบกับไต้หวัน ➡️ Foxconn เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของ Oracle ซึ่งมีดีล $300 พันล้านกับ OpenAI ➡️ Softbank ลงทุนใน OpenAI และมีแผนสร้างศูนย์ข้อมูลร่วมกับ Foxconn ในสหรัฐฯ https://wccftech.com/openai-ceo-says-he-would-prefer-tsmc-to-build-up-chip-production-rather-than-collaborating-with-intel/
    WCCFTECH.COM
    OpenAI CEO Sam Altman Says Tech Giants Should Rely on TSMC to Expand Chip Capacity, Rather Than Turning to Intel For Now
    OpenAI's CEO has given his verdict on whether the tech giants should look towards an alternative to TSMC, such as Intel Foundry.
    0 Comments 0 Shares 106 Views 0 Reviews
  • “CodeMender จาก DeepMind — AI ผู้พิทักษ์โค้ดที่ตรวจจับและซ่อมช่องโหว่ก่อนถูกโจมตี”

    Google DeepMind เปิดตัว CodeMender เครื่องมือ AI ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อค้นหาและแก้ไขช่องโหว่ในซอฟต์แวร์แบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะในโครงการโอเพ่นซอร์สที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อน จุดเด่นของ CodeMender คือความสามารถในการทำงานเชิงรุกและเชิงรับ — ทั้งการแก้ไขช่องโหว่ที่พบ และการเขียนโค้ดใหม่เพื่อป้องกันช่องโหว่ในอนาคต

    CodeMender ใช้โมเดล Gemini Deep Think ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์โค้ดหลายประเภท เช่น static analysis, dynamic analysis, fuzzing, differential testing และ SMT solvers เพื่อระบุสาเหตุของช่องโหว่และสร้าง patch ที่ผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอน ก่อนจะส่งให้มนุษย์ตรวจสอบอีกครั้ง

    ในช่วง 6 เดือนแรกของการใช้งาน CodeMender ได้ส่ง patch ความปลอดภัยจำนวน 72 รายการไปยังโครงการโอเพ่นซอร์ส รวมถึงโค้ดที่มีมากกว่า 4.5 ล้านบรรทัด หนึ่งในตัวอย่างคือการเพิ่ม annotation “-fbounds-safety” ให้กับไลบรารี libwebp ซึ่งเคยถูกใช้โจมตีแบบ zero-click บน iOS ในปี 2023

    DeepMind ย้ำว่า CodeMender ไม่ได้มาแทนที่นักพัฒนา แต่เป็นผู้ช่วยที่สามารถลดภาระงานด้านความปลอดภัย โดยระบบจะตรวจสอบ patch ด้วยตัวเองก่อนส่งให้มนุษย์ และสามารถแก้ไขตัวเองได้หากพบข้อผิดพลาดระหว่างการตรวจสอบ

    การเปิดตัว CodeMender ยังมาพร้อมกับการอัปเดต Secure AI Framework เป็นเวอร์ชัน 2.0 และการเปิดตัว AI Vulnerability Reward Program เพื่อส่งเสริมการรายงานช่องโหว่ในระบบ AI โดยมีการจ่ายเงินรางวัลรวมแล้วกว่า $430,000

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DeepMind เปิดตัว CodeMender เครื่องมือ AI สำหรับตรวจจับและแก้ไขช่องโหว่ในซอฟต์แวร์
    ใช้ Gemini Deep Think ร่วมกับ static/dynamic analysis, fuzzing และ SMT solvers
    ทำงานแบบ proactive และ reactive — ทั้งแก้ไขและป้องกันช่องโหว่
    ส่ง patch แล้ว 72 รายการในช่วง 6 เดือนแรก รวมถึงโค้ดขนาด 4.5 ล้านบรรทัด
    ตัวอย่างการใช้งานคือการเพิ่ม “-fbounds-safety” ใน libwebp เพื่อป้องกัน buffer overflow
    ระบบตรวจสอบ patch ด้วยตัวเองก่อนส่งให้มนุษย์ตรวจสอบ
    สามารถแก้ไขตัวเองได้หากพบข้อผิดพลาดระหว่างการตรวจสอบ
    เปิดตัวควบคู่กับ Secure AI Framework 2.0 และ AI Vulnerability Reward Program
    มีการจ่ายเงินรางวัลรวมกว่า $430,000 สำหรับการรายงานช่องโหว่ AI
    DeepMind ย้ำว่า CodeMender เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ตัวแทนของนักพัฒนา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini Deep Think เป็นโมเดลที่เน้นการวางแผนและการให้เหตุผลเชิงลึก
    SMT solvers ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องเชิงตรรกะของโค้ด
    libwebp เคยถูกใช้โจมตีใน CVE-2023-4863 ซึ่งเป็นช่องโหว่ zero-click บน iOS
    differential testing ช่วยเปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อนและหลังการแก้ไขเพื่อหาข้อผิดพลาด
    Secure AI Framework 2.0 เน้นการควบคุม agentic systems ให้ปลอดภัยและตรวจสอบได้

    https://www.techradar.com/pro/security/deepminds-latest-ai-tool-wants-to-detect-and-repair-software-vulnerabilities-before-they-get-attacked
    🛡️ “CodeMender จาก DeepMind — AI ผู้พิทักษ์โค้ดที่ตรวจจับและซ่อมช่องโหว่ก่อนถูกโจมตี” Google DeepMind เปิดตัว CodeMender เครื่องมือ AI ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อค้นหาและแก้ไขช่องโหว่ในซอฟต์แวร์แบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะในโครงการโอเพ่นซอร์สที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อน จุดเด่นของ CodeMender คือความสามารถในการทำงานเชิงรุกและเชิงรับ — ทั้งการแก้ไขช่องโหว่ที่พบ และการเขียนโค้ดใหม่เพื่อป้องกันช่องโหว่ในอนาคต CodeMender ใช้โมเดล Gemini Deep Think ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์โค้ดหลายประเภท เช่น static analysis, dynamic analysis, fuzzing, differential testing และ SMT solvers เพื่อระบุสาเหตุของช่องโหว่และสร้าง patch ที่ผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอน ก่อนจะส่งให้มนุษย์ตรวจสอบอีกครั้ง ในช่วง 6 เดือนแรกของการใช้งาน CodeMender ได้ส่ง patch ความปลอดภัยจำนวน 72 รายการไปยังโครงการโอเพ่นซอร์ส รวมถึงโค้ดที่มีมากกว่า 4.5 ล้านบรรทัด หนึ่งในตัวอย่างคือการเพิ่ม annotation “-fbounds-safety” ให้กับไลบรารี libwebp ซึ่งเคยถูกใช้โจมตีแบบ zero-click บน iOS ในปี 2023 DeepMind ย้ำว่า CodeMender ไม่ได้มาแทนที่นักพัฒนา แต่เป็นผู้ช่วยที่สามารถลดภาระงานด้านความปลอดภัย โดยระบบจะตรวจสอบ patch ด้วยตัวเองก่อนส่งให้มนุษย์ และสามารถแก้ไขตัวเองได้หากพบข้อผิดพลาดระหว่างการตรวจสอบ การเปิดตัว CodeMender ยังมาพร้อมกับการอัปเดต Secure AI Framework เป็นเวอร์ชัน 2.0 และการเปิดตัว AI Vulnerability Reward Program เพื่อส่งเสริมการรายงานช่องโหว่ในระบบ AI โดยมีการจ่ายเงินรางวัลรวมแล้วกว่า $430,000 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DeepMind เปิดตัว CodeMender เครื่องมือ AI สำหรับตรวจจับและแก้ไขช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ ➡️ ใช้ Gemini Deep Think ร่วมกับ static/dynamic analysis, fuzzing และ SMT solvers ➡️ ทำงานแบบ proactive และ reactive — ทั้งแก้ไขและป้องกันช่องโหว่ ➡️ ส่ง patch แล้ว 72 รายการในช่วง 6 เดือนแรก รวมถึงโค้ดขนาด 4.5 ล้านบรรทัด ➡️ ตัวอย่างการใช้งานคือการเพิ่ม “-fbounds-safety” ใน libwebp เพื่อป้องกัน buffer overflow ➡️ ระบบตรวจสอบ patch ด้วยตัวเองก่อนส่งให้มนุษย์ตรวจสอบ ➡️ สามารถแก้ไขตัวเองได้หากพบข้อผิดพลาดระหว่างการตรวจสอบ ➡️ เปิดตัวควบคู่กับ Secure AI Framework 2.0 และ AI Vulnerability Reward Program ➡️ มีการจ่ายเงินรางวัลรวมกว่า $430,000 สำหรับการรายงานช่องโหว่ AI ➡️ DeepMind ย้ำว่า CodeMender เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ตัวแทนของนักพัฒนา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini Deep Think เป็นโมเดลที่เน้นการวางแผนและการให้เหตุผลเชิงลึก ➡️ SMT solvers ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องเชิงตรรกะของโค้ด ➡️ libwebp เคยถูกใช้โจมตีใน CVE-2023-4863 ซึ่งเป็นช่องโหว่ zero-click บน iOS ➡️ differential testing ช่วยเปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อนและหลังการแก้ไขเพื่อหาข้อผิดพลาด ➡️ Secure AI Framework 2.0 เน้นการควบคุม agentic systems ให้ปลอดภัยและตรวจสอบได้ https://www.techradar.com/pro/security/deepminds-latest-ai-tool-wants-to-detect-and-repair-software-vulnerabilities-before-they-get-attacked
    WWW.TECHRADAR.COM
    DeepMind’s CodeMender uses AI to fix software flaws
    CodeMender can even loop in humans to check its work
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6”
    ซาอุดิ 5
การป้อน เหยื่อของอเมริกาแบบไม่อั้น ทำให้อังกฤษทนดูไม่ไหว เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1944 นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Winston Churchill ลงทุนบินไปหาประธานาธิบดี Roosevelt เพื่อถามว่าอเมริกาจะเอาอย่างไรในตะวันออกกลาง อังกฤษพร้อมจะถอยจากการแย่งกันป้อนเหยื่อในซาอุดิอารเบีย ถ้า อเมริกา ถอยจากอิหร่านและอิรักเช่นกัน
    หลอด Churchill คงได้คำตอบกลับไปชัดเจน เพราะหลังจากนั้น Aramco Camp ที่อยู่ในเมือง Casoc ของซาอุดิ ก็เปลี่ยนโฉมหน้า กลายเป็นรัฐใหม่ของอเมริกา
    นัก ล่าหน้าใหม่ เรียนรู้จากวิธีการล่าเหยื่อ ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วฯ ว่า แม้จะได้อาณาจักรเขามา แต่ไม่ได้ใจชาวเมือง การดูถูก กดขี่ แบ่งชั้น มีให้เห็นอยู่ตลอด แล้วมันจะกินเหยื่อได้นานอย่างไร
    อเมริกา เปลี่ยนรูปแบบอาณานิคม โดยป้อนวัฒนธรรมอเมริกันให้แทน เหยื่อเสพเข้าไปทุกเมนู โดยไม่รู้ว่านั่นเป็นกับดักการล่าชนิดใหม่ ที่มีอานุภาพรุนแรงเกินต้านทาน อเมริกาเอา International Telephone and Telegraph (ITT) และ Trans World Airways (TWA) เข้าไปให้การสื่อสารและการเดินทางในซาอุดิอารเบียสะดวกขึ้น อูฐและนกพิราบจะได้มีเวลาหยุดพักร้อน อเมริกาส่งความสะดวกทุกอย่างให้เหยื่อ เสพจนติดใจอย่างไม่รู้ตัว ถึงรู้ตัวก็สายเกินถอน
    ในช่วง ค.ศ.1940 กว่าเป็นต้นมา อเมริกาเลี้ยงซาอุดิอารเบีย ด้วยกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์จนอิ่มแปร้ เจ้าหน้าที่สถานฑูตและกองทัพของอเมริกาที่อยู่ในซาอุดิเปิดเผยว่า หน้าที่หลักของพวกเขาคือ ทำอะไรก็ได้ ที่จะทำให้ซาอุดิอาราเบียพอใจและอยู่ใน(กำ) มือของอเมริกาตลอดกาล
    ค.ศ.1945 อเมริกาตั้งฐานทัพที่ Dhahram เป็นฐานทัพที่มีทหารอเมริกันประจำการอยู่เต็มอัตรา Aramco ได้รับอนุญาตให้ใช้ฐานทัพ เพื่อธุรกิจน้ำมันอย่างสะดวกเช่นกัน เสียงนกเสียงกาบอกว่า ฐานทัพนี้จัดขึ้นเพื่อ Aramco แท้ๆ อย่าไปฟัง มันเป็นเสียงของความอิจฉาหมั่นไส้ทั้งนั้น ด้านทหารบอก ฐานทัพนี้มีไว้เพื่อยุทธศาสตร์การป้องกันตะวันออกกลางและเมดิเตอร์เรเนียน ต่างหาก เป็นการดูแลเชื่อมกันระหว่างยุโรปกับตะวันออกไกล
ไม่รู้ว่าทหารก็ แถเก่ง ไม่ว่าชาติไหน
    วัน หนึ่งใน ค.ศ.1945 กษัตริย์ซาอุดิ จับเข่าถามประธานาธิบดี Roosevelt ที่ Great Bitter Lake (ชื่อไม่เป็นมงคลเลย ! ) กษัตริย์ต้องการคำมั่นในการสนับสนุนจากอเมริกา ประธานาธิบดีรับปากว่า อเมริกาจะป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ให้กับประเทศท่านตลอดไป และจะสนับสนุนฝ่ายอาหรับในกรณีปาเลสไตน์ รับปากเสร็จ ไม่นานประธานาธิบดี Roosevelt ก็เสียชีวิต
    ประธานาธิบดี Truman มารับงานต่อ เขาไม่ลืมคำรับปากของ Roosevelt เขาป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ให้ซาอุดิอารเบียต่อ เพียงแต่ขอเปลี่ยนแหล่งส่งกระ ดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ จากกระทรวงต่างประเทศ เป็น Export Import Bank (EXIM) แต่ท่านก็ได้กระดาษสีเขียว ตรานกอินทรีย์เหมือนกันแหละ ไม่ต้องตกใจนะ
    เหยื่อ เสพติดกระดาษสีเขียว จนถอนตัวไม่ขึ้น ก็ยอมรับ เงินให้กู้ ของ EXIM ที่มีเงื่อนไขติดมา ว่าเงินกู้นี้ ต้องใช้ ในการซื้อสินค้า หรือการจ้างงานสัญชาติอเมริกันเท่านั้น !
    การป้อนเหยื่อด้วยวิธีการนี้ ทำให้เศรษฐกิจของซาอุดิอารเบีย ตกอยู่ในวงล้อมและกำมือของอเมริกาโดยสมบูรณ์ ซาอุดิอารเบียกลัวตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ อยากให้อเมริกาเข้ามาช่วย อเมริกาก็มาช่วยสมใจ แต่ซาอุดิอารเบียจะรู้ไหมว่า อาณานิคมแบบใหม่ กับแบบเก่า มันก็เป็นเหยื่อเขาเช่นเดียวกัน
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6” ซาอุดิ 5
การป้อน เหยื่อของอเมริกาแบบไม่อั้น ทำให้อังกฤษทนดูไม่ไหว เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1944 นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Winston Churchill ลงทุนบินไปหาประธานาธิบดี Roosevelt เพื่อถามว่าอเมริกาจะเอาอย่างไรในตะวันออกกลาง อังกฤษพร้อมจะถอยจากการแย่งกันป้อนเหยื่อในซาอุดิอารเบีย ถ้า อเมริกา ถอยจากอิหร่านและอิรักเช่นกัน หลอด Churchill คงได้คำตอบกลับไปชัดเจน เพราะหลังจากนั้น Aramco Camp ที่อยู่ในเมือง Casoc ของซาอุดิ ก็เปลี่ยนโฉมหน้า กลายเป็นรัฐใหม่ของอเมริกา นัก ล่าหน้าใหม่ เรียนรู้จากวิธีการล่าเหยื่อ ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วฯ ว่า แม้จะได้อาณาจักรเขามา แต่ไม่ได้ใจชาวเมือง การดูถูก กดขี่ แบ่งชั้น มีให้เห็นอยู่ตลอด แล้วมันจะกินเหยื่อได้นานอย่างไร อเมริกา เปลี่ยนรูปแบบอาณานิคม โดยป้อนวัฒนธรรมอเมริกันให้แทน เหยื่อเสพเข้าไปทุกเมนู โดยไม่รู้ว่านั่นเป็นกับดักการล่าชนิดใหม่ ที่มีอานุภาพรุนแรงเกินต้านทาน อเมริกาเอา International Telephone and Telegraph (ITT) และ Trans World Airways (TWA) เข้าไปให้การสื่อสารและการเดินทางในซาอุดิอารเบียสะดวกขึ้น อูฐและนกพิราบจะได้มีเวลาหยุดพักร้อน อเมริกาส่งความสะดวกทุกอย่างให้เหยื่อ เสพจนติดใจอย่างไม่รู้ตัว ถึงรู้ตัวก็สายเกินถอน ในช่วง ค.ศ.1940 กว่าเป็นต้นมา อเมริกาเลี้ยงซาอุดิอารเบีย ด้วยกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์จนอิ่มแปร้ เจ้าหน้าที่สถานฑูตและกองทัพของอเมริกาที่อยู่ในซาอุดิเปิดเผยว่า หน้าที่หลักของพวกเขาคือ ทำอะไรก็ได้ ที่จะทำให้ซาอุดิอาราเบียพอใจและอยู่ใน(กำ) มือของอเมริกาตลอดกาล ค.ศ.1945 อเมริกาตั้งฐานทัพที่ Dhahram เป็นฐานทัพที่มีทหารอเมริกันประจำการอยู่เต็มอัตรา Aramco ได้รับอนุญาตให้ใช้ฐานทัพ เพื่อธุรกิจน้ำมันอย่างสะดวกเช่นกัน เสียงนกเสียงกาบอกว่า ฐานทัพนี้จัดขึ้นเพื่อ Aramco แท้ๆ อย่าไปฟัง มันเป็นเสียงของความอิจฉาหมั่นไส้ทั้งนั้น ด้านทหารบอก ฐานทัพนี้มีไว้เพื่อยุทธศาสตร์การป้องกันตะวันออกกลางและเมดิเตอร์เรเนียน ต่างหาก เป็นการดูแลเชื่อมกันระหว่างยุโรปกับตะวันออกไกล
ไม่รู้ว่าทหารก็ แถเก่ง ไม่ว่าชาติไหน วัน หนึ่งใน ค.ศ.1945 กษัตริย์ซาอุดิ จับเข่าถามประธานาธิบดี Roosevelt ที่ Great Bitter Lake (ชื่อไม่เป็นมงคลเลย ! ) กษัตริย์ต้องการคำมั่นในการสนับสนุนจากอเมริกา ประธานาธิบดีรับปากว่า อเมริกาจะป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ให้กับประเทศท่านตลอดไป และจะสนับสนุนฝ่ายอาหรับในกรณีปาเลสไตน์ รับปากเสร็จ ไม่นานประธานาธิบดี Roosevelt ก็เสียชีวิต ประธานาธิบดี Truman มารับงานต่อ เขาไม่ลืมคำรับปากของ Roosevelt เขาป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ให้ซาอุดิอารเบียต่อ เพียงแต่ขอเปลี่ยนแหล่งส่งกระ ดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ จากกระทรวงต่างประเทศ เป็น Export Import Bank (EXIM) แต่ท่านก็ได้กระดาษสีเขียว ตรานกอินทรีย์เหมือนกันแหละ ไม่ต้องตกใจนะ เหยื่อ เสพติดกระดาษสีเขียว จนถอนตัวไม่ขึ้น ก็ยอมรับ เงินให้กู้ ของ EXIM ที่มีเงื่อนไขติดมา ว่าเงินกู้นี้ ต้องใช้ ในการซื้อสินค้า หรือการจ้างงานสัญชาติอเมริกันเท่านั้น ! การป้อนเหยื่อด้วยวิธีการนี้ ทำให้เศรษฐกิจของซาอุดิอารเบีย ตกอยู่ในวงล้อมและกำมือของอเมริกาโดยสมบูรณ์ ซาอุดิอารเบียกลัวตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ อยากให้อเมริกาเข้ามาช่วย อเมริกาก็มาช่วยสมใจ แต่ซาอุดิอารเบียจะรู้ไหมว่า อาณานิคมแบบใหม่ กับแบบเก่า มันก็เป็นเหยื่อเขาเช่นเดียวกัน สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/R23Wz5XQY0c?si=PGpiCdfNkVxyQeN_
    https://youtu.be/R23Wz5XQY0c?si=PGpiCdfNkVxyQeN_
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • “Maxsun เปิดตัวการ์ดจอ Dual Arc Pro B60 รุ่นระบายความร้อนด้วยน้ำ — VRAM 48GB ต่อใบ พร้อมรองรับ AI รุ่นใหญ่ในเครื่องเดียว”

    Maxsun ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จากจีนสร้างความฮือฮาอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Intel Arc Pro B60 สองตัวในใบเดียว พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำแบบ single-slot ซึ่งถือเป็นการออกแบบที่บางและทรงพลังที่สุดในกลุ่มการ์ดจอระดับ workstation ณ ขณะนี้

    การ์ดรุ่นนี้มีหน่วยความจำรวม 48GB (24GB ต่อ GPU) และสามารถติดตั้งได้สูงสุดถึง 7 ใบในเครื่องเดียวบนเมนบอร์ด Maxsun W790 ซึ่งหมายถึง VRAM รวม 336GB — มากพอสำหรับการรันโมเดล AI ขนาดหลายร้อยพันล้านพารามิเตอร์แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    Maxsun ร่วมมือกับบริษัทญี่ปุ่นชื่อ abee ในการออกแบบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งช่วยให้การ์ดมีขนาดบางลงและสามารถติดตั้งในช่อง PCIe ได้ครบทุกช่องแบบเต็มสปีด โดยไม่ต้องใช้ bridge chip แต่ใช้เทคโนโลยี PCIe 5.0 x8 แบบ native จากชิป BMG-G21 ของ Intel

    นอกจากนี้ Maxsun ยังอ้างถึง “Project Battlematrix” ของ Intel ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ GPU หลายตัวสามารถแชร์หน่วยความจำและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะไม่มี NVLink แบบของ NVIDIA ก็ตาม

    การ์ดรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในงาน AI inference, การเรนเดอร์ระดับสูง และการประมวลผลแบบ edge โดยมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มสตาร์ทอัพด้าน AI และห้องวิจัยที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในพื้นที่จำกัด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Maxsun เปิดตัวการ์ดจอ Dual Arc Pro B60 รุ่นระบายความร้อนด้วยน้ำแบบ single-slot
    ใช้ชิป Intel Arc Pro B60 สองตัวต่อใบ รวม VRAM 48GB
    สามารถติดตั้งได้สูงสุด 7 ใบในเครื่องเดียว รวม VRAM 336GB
    ใช้ระบบระบายความร้อนจาก abee ช่วยให้การ์ดบางลงและติดตั้งได้ครบทุกช่อง
    ไม่ใช้ bridge chip แต่ใช้ PCIe 5.0 x8 แบบ native จากชิป BMG-G21
    รองรับการทำงานร่วมกันของ GPU ผ่าน Project Battlematrix ของ Intel
    มี DisplayPort 2.1 และ HDMI 2.1b แยกสำหรับแต่ละ GPU
    ใช้พลังงานจากหัวต่อ 12V-2x6 pin รองรับสูงสุด 600W
    เหมาะสำหรับงาน AI inference, การเรนเดอร์ และ edge computing
    วางเป้าหมายที่กลุ่ม AI startup และห้องวิจัยที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Project Battlematrix เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ GPU หลายตัวทำงานร่วมกันผ่าน CPU-level coherency
    Intel ยังไม่มี NVLink แบบ NVIDIA แต่ใช้ PCIe Gen 5 และ CXL เพื่อแชร์ทรัพยากร
    การ์ดแบบ dual-GPU เคยเป็นที่นิยมในยุค Radeon HD 5970 และ GTX 690
    การ์ดรุ่นนี้สามารถประมวลผล inference ได้ถึง 2758 INT8 TOPS — สูงกว่า RTX 5090 ถึง 66%
    ราคาต่อใบคาดว่าจะอยู่ที่ $1300–$1500 หากติดตั้ง 7 ใบจะอยู่ที่ราว $10,000

    https://www.techpowerup.com/341639/maxsun-liquid-cools-dual-arc-pro-b60-with-48-gb-of-total-vram
    🧠 “Maxsun เปิดตัวการ์ดจอ Dual Arc Pro B60 รุ่นระบายความร้อนด้วยน้ำ — VRAM 48GB ต่อใบ พร้อมรองรับ AI รุ่นใหญ่ในเครื่องเดียว” Maxsun ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จากจีนสร้างความฮือฮาอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Intel Arc Pro B60 สองตัวในใบเดียว พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำแบบ single-slot ซึ่งถือเป็นการออกแบบที่บางและทรงพลังที่สุดในกลุ่มการ์ดจอระดับ workstation ณ ขณะนี้ การ์ดรุ่นนี้มีหน่วยความจำรวม 48GB (24GB ต่อ GPU) และสามารถติดตั้งได้สูงสุดถึง 7 ใบในเครื่องเดียวบนเมนบอร์ด Maxsun W790 ซึ่งหมายถึง VRAM รวม 336GB — มากพอสำหรับการรันโมเดล AI ขนาดหลายร้อยพันล้านพารามิเตอร์แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ Maxsun ร่วมมือกับบริษัทญี่ปุ่นชื่อ abee ในการออกแบบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งช่วยให้การ์ดมีขนาดบางลงและสามารถติดตั้งในช่อง PCIe ได้ครบทุกช่องแบบเต็มสปีด โดยไม่ต้องใช้ bridge chip แต่ใช้เทคโนโลยี PCIe 5.0 x8 แบบ native จากชิป BMG-G21 ของ Intel นอกจากนี้ Maxsun ยังอ้างถึง “Project Battlematrix” ของ Intel ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ GPU หลายตัวสามารถแชร์หน่วยความจำและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะไม่มี NVLink แบบของ NVIDIA ก็ตาม การ์ดรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในงาน AI inference, การเรนเดอร์ระดับสูง และการประมวลผลแบบ edge โดยมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มสตาร์ทอัพด้าน AI และห้องวิจัยที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในพื้นที่จำกัด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Maxsun เปิดตัวการ์ดจอ Dual Arc Pro B60 รุ่นระบายความร้อนด้วยน้ำแบบ single-slot ➡️ ใช้ชิป Intel Arc Pro B60 สองตัวต่อใบ รวม VRAM 48GB ➡️ สามารถติดตั้งได้สูงสุด 7 ใบในเครื่องเดียว รวม VRAM 336GB ➡️ ใช้ระบบระบายความร้อนจาก abee ช่วยให้การ์ดบางลงและติดตั้งได้ครบทุกช่อง ➡️ ไม่ใช้ bridge chip แต่ใช้ PCIe 5.0 x8 แบบ native จากชิป BMG-G21 ➡️ รองรับการทำงานร่วมกันของ GPU ผ่าน Project Battlematrix ของ Intel ➡️ มี DisplayPort 2.1 และ HDMI 2.1b แยกสำหรับแต่ละ GPU ➡️ ใช้พลังงานจากหัวต่อ 12V-2x6 pin รองรับสูงสุด 600W ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI inference, การเรนเดอร์ และ edge computing ➡️ วางเป้าหมายที่กลุ่ม AI startup และห้องวิจัยที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Project Battlematrix เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ GPU หลายตัวทำงานร่วมกันผ่าน CPU-level coherency ➡️ Intel ยังไม่มี NVLink แบบ NVIDIA แต่ใช้ PCIe Gen 5 และ CXL เพื่อแชร์ทรัพยากร ➡️ การ์ดแบบ dual-GPU เคยเป็นที่นิยมในยุค Radeon HD 5970 และ GTX 690 ➡️ การ์ดรุ่นนี้สามารถประมวลผล inference ได้ถึง 2758 INT8 TOPS — สูงกว่า RTX 5090 ถึง 66% ➡️ ราคาต่อใบคาดว่าจะอยู่ที่ $1300–$1500 หากติดตั้ง 7 ใบจะอยู่ที่ราว $10,000 https://www.techpowerup.com/341639/maxsun-liquid-cools-dual-arc-pro-b60-with-48-gb-of-total-vram
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • “CISO ยุคใหม่ต้องคิดใหม่ — เมื่อ AI เปลี่ยนเกมความปลอดภัยจากพื้นฐานสู่กลยุทธ์”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจทั่วโลก ผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ในด้านเทคโนโลยี แต่รวมถึงบทบาทในองค์กรและวิธีคิดเชิงกลยุทธ์ โดยรายงานจาก CSO Online ระบุว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่ระบบความปลอดภัยเดิม แต่กลับขยายช่องว่างระหว่างองค์กรที่เตรียมพร้อมกับองค์กรที่ยังล้าหลัง

    Joe Oleksak จาก Plante Moran ชี้ว่า AI เร่งทั้งการโจมตีและการป้องกัน ทำให้ “ความเร็ว” กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด และย้ำว่า “AI ไม่ใช่กระสุนวิเศษ” เพราะมันขยายผลของทุกข้อผิดพลาด เช่น การตั้งสิทธิ์ผิด การแบ่งเครือข่ายไม่ดี หรือการเก็บข้อมูลในโฟลเดอร์ที่ไม่ปลอดภัย

    ในองค์กรที่มีการลงทุนด้านความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง AI กลายเป็นเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพ แต่ในองค์กรที่ละเลยเรื่องนี้ AI กลับทำให้ช่องโหว่เดิมรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแฮกเกอร์ใช้ AI สร้าง phishing, deepfake และการสแกนระบบได้เร็วและถูกลง

    Deneen DeFiore จาก United Airlines ระบุว่า AI ทำให้ CISO มีบทบาทในระดับกลยุทธ์มากขึ้น โดยต้องร่วมมือกับผู้บริหารทุกฝ่ายตั้งแต่ต้น เพื่อให้การใช้ AI เป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปลอดภัย

    Jason Lander จาก Aya Healthcare เสริมว่า AI เปลี่ยนวิธีทำงานของทีม IT และทีมความปลอดภัยให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยเน้นการทำงานเชิงรุกและการวางระบบที่ยืดหยุ่น พร้อมทั้งใช้ AI เพื่อจัดการงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ

    Jill Knesek จาก BlackLine มองว่า AI ช่วยลดภาระของทีม SOC (Security Operations Center) โดยสามารถใช้ AI แทนการจ้างคนเพิ่มในบางช่วงเวลา เช่น กลางคืนหรือวันหยุด พร้อมเน้นว่าการฝึกอบรมและวัฒนธรรมองค์กรยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัย

    สุดท้าย Oleksak เตือนว่า AI ไม่ใช่กลยุทธ์ แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจ โดยแนะนำให้เริ่มจากการประเมินความเสี่ยง แล้วค่อยเลือกใช้ AI ในจุดที่เหมาะสม เช่น การวิเคราะห์ log หรือการตรวจจับ phishing พร้อมเน้นว่า “การตัดสินใจของมนุษย์” ยังเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AI เร่งทั้งการโจมตีและการป้องกัน ทำให้ความเร็วกลายเป็นปัจจัยสำคัญ
    AI ขยายผลของข้อผิดพลาด เช่น การตั้งสิทธิ์ผิดหรือการจัดการข้อมูลไม่ดี
    องค์กรที่ลงทุนด้านความปลอดภัยมาแล้วจะได้ประโยชน์จาก AI มากกว่า
    แฮกเกอร์ใช้ AI สร้าง phishing และ deepfake ได้เร็วและถูกลง
    CISO มีบทบาทเชิงกลยุทธ์มากขึ้นในองค์กรยุค AI
    United Airlines ใช้ AI อย่างโปร่งใสและเน้นความรับผิดชอบร่วมกัน
    Aya Healthcare ใช้ AI เพื่อจัดการงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ
    BlackLine ใช้ AI ลดภาระทีม SOC และวางแผนจ้างงานแบบกระจาย
    การฝึกอบรมและวัฒนธรรมองค์กรยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัย
    Oleksak แนะนำให้ใช้ AI แบบมีเป้าหมาย เช่น การวิเคราะห์ log หรือ phishing

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Deloitte พบว่า 43% ขององค์กรในสหรัฐฯ ใช้ AI ในโปรแกรมความปลอดภัย
    โมเดล federated learning ถูกใช้เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในการพัฒนา AI
    การใช้ AI ใน SOC ช่วยลด false positives และเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับภัยคุกคาม
    หลายองค์กรเริ่มจัดทีมแบบ agile ที่รวม threat analyst, engineer และ data scientist
    การใช้ AI อย่างมีจริยธรรมกลายเป็นหัวข้อสำคัญในระดับผู้บริหารทั่วโลก

    https://www.csoonline.com/article/4066733/cisos-rethink-the-security-organization-for-the-ai-era.html
    🛡️ “CISO ยุคใหม่ต้องคิดใหม่ — เมื่อ AI เปลี่ยนเกมความปลอดภัยจากพื้นฐานสู่กลยุทธ์” ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจทั่วโลก ผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ในด้านเทคโนโลยี แต่รวมถึงบทบาทในองค์กรและวิธีคิดเชิงกลยุทธ์ โดยรายงานจาก CSO Online ระบุว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่ระบบความปลอดภัยเดิม แต่กลับขยายช่องว่างระหว่างองค์กรที่เตรียมพร้อมกับองค์กรที่ยังล้าหลัง Joe Oleksak จาก Plante Moran ชี้ว่า AI เร่งทั้งการโจมตีและการป้องกัน ทำให้ “ความเร็ว” กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด และย้ำว่า “AI ไม่ใช่กระสุนวิเศษ” เพราะมันขยายผลของทุกข้อผิดพลาด เช่น การตั้งสิทธิ์ผิด การแบ่งเครือข่ายไม่ดี หรือการเก็บข้อมูลในโฟลเดอร์ที่ไม่ปลอดภัย ในองค์กรที่มีการลงทุนด้านความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง AI กลายเป็นเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพ แต่ในองค์กรที่ละเลยเรื่องนี้ AI กลับทำให้ช่องโหว่เดิมรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแฮกเกอร์ใช้ AI สร้าง phishing, deepfake และการสแกนระบบได้เร็วและถูกลง Deneen DeFiore จาก United Airlines ระบุว่า AI ทำให้ CISO มีบทบาทในระดับกลยุทธ์มากขึ้น โดยต้องร่วมมือกับผู้บริหารทุกฝ่ายตั้งแต่ต้น เพื่อให้การใช้ AI เป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปลอดภัย Jason Lander จาก Aya Healthcare เสริมว่า AI เปลี่ยนวิธีทำงานของทีม IT และทีมความปลอดภัยให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยเน้นการทำงานเชิงรุกและการวางระบบที่ยืดหยุ่น พร้อมทั้งใช้ AI เพื่อจัดการงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ Jill Knesek จาก BlackLine มองว่า AI ช่วยลดภาระของทีม SOC (Security Operations Center) โดยสามารถใช้ AI แทนการจ้างคนเพิ่มในบางช่วงเวลา เช่น กลางคืนหรือวันหยุด พร้อมเน้นว่าการฝึกอบรมและวัฒนธรรมองค์กรยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัย สุดท้าย Oleksak เตือนว่า AI ไม่ใช่กลยุทธ์ แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจ โดยแนะนำให้เริ่มจากการประเมินความเสี่ยง แล้วค่อยเลือกใช้ AI ในจุดที่เหมาะสม เช่น การวิเคราะห์ log หรือการตรวจจับ phishing พร้อมเน้นว่า “การตัดสินใจของมนุษย์” ยังเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AI เร่งทั้งการโจมตีและการป้องกัน ทำให้ความเร็วกลายเป็นปัจจัยสำคัญ ➡️ AI ขยายผลของข้อผิดพลาด เช่น การตั้งสิทธิ์ผิดหรือการจัดการข้อมูลไม่ดี ➡️ องค์กรที่ลงทุนด้านความปลอดภัยมาแล้วจะได้ประโยชน์จาก AI มากกว่า ➡️ แฮกเกอร์ใช้ AI สร้าง phishing และ deepfake ได้เร็วและถูกลง ➡️ CISO มีบทบาทเชิงกลยุทธ์มากขึ้นในองค์กรยุค AI ➡️ United Airlines ใช้ AI อย่างโปร่งใสและเน้นความรับผิดชอบร่วมกัน ➡️ Aya Healthcare ใช้ AI เพื่อจัดการงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ ➡️ BlackLine ใช้ AI ลดภาระทีม SOC และวางแผนจ้างงานแบบกระจาย ➡️ การฝึกอบรมและวัฒนธรรมองค์กรยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัย ➡️ Oleksak แนะนำให้ใช้ AI แบบมีเป้าหมาย เช่น การวิเคราะห์ log หรือ phishing ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Deloitte พบว่า 43% ขององค์กรในสหรัฐฯ ใช้ AI ในโปรแกรมความปลอดภัย ➡️ โมเดล federated learning ถูกใช้เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในการพัฒนา AI ➡️ การใช้ AI ใน SOC ช่วยลด false positives และเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับภัยคุกคาม ➡️ หลายองค์กรเริ่มจัดทีมแบบ agile ที่รวม threat analyst, engineer และ data scientist ➡️ การใช้ AI อย่างมีจริยธรรมกลายเป็นหัวข้อสำคัญในระดับผู้บริหารทั่วโลก https://www.csoonline.com/article/4066733/cisos-rethink-the-security-organization-for-the-ai-era.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs rethink the security organization for the AI era
    As AI becomes more ingrained in business strategies, CISOs are re-examining their security organizations to keep up with the pace and potential of the technology.
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • “AstraZeneca ทุ่ม 555 ล้านดอลลาร์ จับมือ Algen พัฒนาเทคโนโลยีตัดต่อยีนด้วย AI — เป้าหมายใหม่ของการรักษาโรคภูมิคุ้มกัน”

    AstraZeneca บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ-สวีเดน ได้ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies บริษัทไบโอเทคจากซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคด้วยการตัดต่อยีนแบบ CRISPR โดยใช้แพลตฟอร์ม AI ที่ชื่อว่า “AlgenBrain” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับโรคได้อย่างแม่นยำ

    ข้อตกลงนี้ให้ AstraZeneca สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการพัฒนาและจำหน่ายยาที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ โดยเน้นไปที่โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคอักเสบเรื้อรัง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดย Algen จะได้รับเงินล่วงหน้าและเงินตามเป้าหมายการพัฒนาและการอนุมัติ ซึ่งรวมกันแล้วอาจสูงถึง 555 ล้านดอลลาร์

    Algen เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจากห้องวิจัยของมหาวิทยาลัย UC Berkeley ซึ่งเป็นที่ที่ Jennifer Doudna ผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้พัฒนาเทคโนโลยี CRISPR ขึ้นมา โดยแพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การวิเคราะห์ RNA แบบไดนามิกในเซลล์มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับโรค เพื่อหาจุดแทรกแซงที่สามารถย้อนกลับกระบวนการของโรคได้

    แม้ AstraZeneca จะไม่ซื้อหุ้นของ Algen ในข้อตกลงนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเป้าหมายของบริษัทในการเพิ่มยอดขายเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025

    ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมยา ที่หันมาใช้ AI และการตัดต่อยีนเพื่อเร่งการค้นพบยาใหม่ ๆ โดยมีบริษัทใหญ่อื่น ๆ เช่น Roche, BMS และ J&J ที่ร่วมมือกันพัฒนาโมเดล AI แบบ federated เพื่อค้นหายาโดยไม่ต้องแชร์ข้อมูลดิบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AstraZeneca ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies
    ข้อตกลงให้สิทธิ์พัฒนาและจำหน่ายยาจากเทคโนโลยี CRISPR โดยใช้ AI
    เน้นการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
    Algen ใช้แพลตฟอร์ม AlgenBrain วิเคราะห์ RNA ในเซลล์มนุษย์
    ข้อมูล RNA ถูกเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางชีวภาพเพื่อหาจุดแทรกแซงของโรค
    AstraZeneca ไม่ซื้อหุ้นของ Algen แต่ให้เงินล่วงหน้าและตาม milestone
    เป้าหมายของ AstraZeneca คือยอดขาย 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
    กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันสร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Algen แยกตัวจากห้องวิจัยของ Jennifer Doudna ผู้พัฒนา CRISPR
    แพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การตัดต่อยีนแบบ single-cell และการเรียนรู้เชิงลึก
    AstraZeneca เคยร่วมมือกับ BenevolentAI และ Tempus AI ในการพัฒนายา
    อุตสาหกรรมยาเริ่มใช้โมเดล federated learning เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
    การใช้ AI ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการค้นคว้ายาใหม่ แต่ยังต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ในระยะยาว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/astrazeneca-inks-555-million-gene-editing-technology-deal-with-algen-ft-reports
    🧬 “AstraZeneca ทุ่ม 555 ล้านดอลลาร์ จับมือ Algen พัฒนาเทคโนโลยีตัดต่อยีนด้วย AI — เป้าหมายใหม่ของการรักษาโรคภูมิคุ้มกัน” AstraZeneca บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ-สวีเดน ได้ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies บริษัทไบโอเทคจากซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคด้วยการตัดต่อยีนแบบ CRISPR โดยใช้แพลตฟอร์ม AI ที่ชื่อว่า “AlgenBrain” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับโรคได้อย่างแม่นยำ ข้อตกลงนี้ให้ AstraZeneca สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการพัฒนาและจำหน่ายยาที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ โดยเน้นไปที่โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคอักเสบเรื้อรัง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดย Algen จะได้รับเงินล่วงหน้าและเงินตามเป้าหมายการพัฒนาและการอนุมัติ ซึ่งรวมกันแล้วอาจสูงถึง 555 ล้านดอลลาร์ Algen เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจากห้องวิจัยของมหาวิทยาลัย UC Berkeley ซึ่งเป็นที่ที่ Jennifer Doudna ผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้พัฒนาเทคโนโลยี CRISPR ขึ้นมา โดยแพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การวิเคราะห์ RNA แบบไดนามิกในเซลล์มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับโรค เพื่อหาจุดแทรกแซงที่สามารถย้อนกลับกระบวนการของโรคได้ แม้ AstraZeneca จะไม่ซื้อหุ้นของ Algen ในข้อตกลงนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเป้าหมายของบริษัทในการเพิ่มยอดขายเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025 ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมยา ที่หันมาใช้ AI และการตัดต่อยีนเพื่อเร่งการค้นพบยาใหม่ ๆ โดยมีบริษัทใหญ่อื่น ๆ เช่น Roche, BMS และ J&J ที่ร่วมมือกันพัฒนาโมเดล AI แบบ federated เพื่อค้นหายาโดยไม่ต้องแชร์ข้อมูลดิบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AstraZeneca ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies ➡️ ข้อตกลงให้สิทธิ์พัฒนาและจำหน่ายยาจากเทคโนโลยี CRISPR โดยใช้ AI ➡️ เน้นการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน ➡️ Algen ใช้แพลตฟอร์ม AlgenBrain วิเคราะห์ RNA ในเซลล์มนุษย์ ➡️ ข้อมูล RNA ถูกเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางชีวภาพเพื่อหาจุดแทรกแซงของโรค ➡️ AstraZeneca ไม่ซื้อหุ้นของ Algen แต่ให้เงินล่วงหน้าและตาม milestone ➡️ เป้าหมายของ AstraZeneca คือยอดขาย 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ➡️ กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันสร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Algen แยกตัวจากห้องวิจัยของ Jennifer Doudna ผู้พัฒนา CRISPR ➡️ แพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การตัดต่อยีนแบบ single-cell และการเรียนรู้เชิงลึก ➡️ AstraZeneca เคยร่วมมือกับ BenevolentAI และ Tempus AI ในการพัฒนายา ➡️ อุตสาหกรรมยาเริ่มใช้โมเดล federated learning เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ➡️ การใช้ AI ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการค้นคว้ายาใหม่ แต่ยังต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ในระยะยาว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/astrazeneca-inks-555-million-gene-editing-technology-deal-with-algen-ft-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AstraZeneca inks $555 million gene-editing technology deal with Algen, FT reports
    (Reuters) -AstraZeneca has signed a $555 million deal with a San Francisco-based biotech business Algen Biotechnologies, The Financial Times reported on Monday.
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • “CEO ใหญ่ชี้ AI จะนำไปสู่การทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ — แต่คำถามคือ ใครจะได้ประโยชน์จริง?”

    ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนโฉมโลกการทำงานอย่างรวดเร็ว บรรดาผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกต่างออกมาแสดงความเห็นว่า “การทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์” อาจกลายเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะเมื่อ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดงานซ้ำซ้อน และปลดล็อกเวลาส่วนตัวให้กับมนุษย์

    Eric Yuan ซีอีโอของ Zoom กล่าวกับ New York Times ว่า “ทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3 หรือ 4 วันต่อสัปดาห์” เพราะ AI จะช่วยให้ทุกคนมีเวลามากขึ้น ขณะที่ Bill Gates ก็เคยพูดในหลายเวทีว่า AI อาจทำให้มนุษย์ไม่ต้องทำงานเต็มสัปดาห์อีกต่อไป แม้จะเตือนว่าอาชีพที่เคยคิดว่า AI ทำแทนไม่ได้ เช่น แพทย์หรือครู ก็อาจถูกแทนที่ได้

    Jensen Huang จาก Nvidia เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนพฤติกรรมทางสังคม และอาจนำไปสู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ส่วน Jamie Dimon จาก JPMorgan และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มนี้เช่นกัน

    แต่ในอีกด้านหนึ่ง หลายงานวิจัยกลับตั้งคำถามว่า AI จะเพิ่มประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เช่น รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่สามารถเพิ่มกำไรได้ และ MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว ขณะที่พนักงานจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายและหมดแรงจากการต้องแก้ “งานที่ AI ทำผิด” หรือที่เรียกว่า “AI Workslop”

    แม้จะมีความหวังเรื่องการลดวันทำงาน แต่ก็มีคำถามว่า AI จะลดชั่วโมงทำงาน หรือจะลดจำนวนพนักงานกันแน่ เพราะมีบริษัทอย่าง Klarna ที่ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI แทน ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพและต้องถอยกลับ ขณะที่ IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานโปรแกรมเมอร์และฝ่ายขาย

    สุดท้ายแล้ว คำถามสำคัญคือ: AI จะช่วยให้เราทำงานน้อยลง หรือแค่ทำให้เราทำงานหนักขึ้นในเวลาที่สั้นลง?

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Eric Yuan (Zoom) เชื่อว่าทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3–4 วันต่อสัปดาห์
    Bill Gates เคยพูดว่า AI อาจทำให้มนุษย์ทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์
    Jensen Huang (Nvidia) เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเชื่อว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมสังคม
    Jamie Dimon และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มการลดวันทำงาน
    รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่เพิ่มกำไร
    MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว
    พนักงานบางส่วนรู้สึกเบื่อและหมดแรงจากการแก้งานที่ AI ทำผิด
    Klarna ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพ
    IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานเทคโนโลยี
    รายงานจาก Tech.co ระบุว่า 93% ของบริษัทที่ใช้ AI เปิดรับแนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในหลายประเทศพบว่าพนักงานมีความสุขและประสิทธิภาพดีขึ้น
    AI สามารถช่วยลดงานซ้ำซ้อน เช่น การจัดการเอกสาร การตอบอีเมล หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
    แนวคิด “digital twin” อาจช่วยให้พนักงานมีตัวแทน AI ทำงานแทนในบางส่วน
    การลดวันทำงานอาจช่วยลดภาวะหมดไฟ (burnout) และเพิ่มคุณภาพชีวิต
    การใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกอบรมและการปรับโครงสร้างองค์กร

    https://www.slashgear.com/1984496/eric-yuan-bill-gates-ceo-three-day-work-week-thanks-to-ai/
    🧠 “CEO ใหญ่ชี้ AI จะนำไปสู่การทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ — แต่คำถามคือ ใครจะได้ประโยชน์จริง?” ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนโฉมโลกการทำงานอย่างรวดเร็ว บรรดาผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกต่างออกมาแสดงความเห็นว่า “การทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์” อาจกลายเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะเมื่อ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดงานซ้ำซ้อน และปลดล็อกเวลาส่วนตัวให้กับมนุษย์ Eric Yuan ซีอีโอของ Zoom กล่าวกับ New York Times ว่า “ทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3 หรือ 4 วันต่อสัปดาห์” เพราะ AI จะช่วยให้ทุกคนมีเวลามากขึ้น ขณะที่ Bill Gates ก็เคยพูดในหลายเวทีว่า AI อาจทำให้มนุษย์ไม่ต้องทำงานเต็มสัปดาห์อีกต่อไป แม้จะเตือนว่าอาชีพที่เคยคิดว่า AI ทำแทนไม่ได้ เช่น แพทย์หรือครู ก็อาจถูกแทนที่ได้ Jensen Huang จาก Nvidia เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนพฤติกรรมทางสังคม และอาจนำไปสู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ส่วน Jamie Dimon จาก JPMorgan และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มนี้เช่นกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง หลายงานวิจัยกลับตั้งคำถามว่า AI จะเพิ่มประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เช่น รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่สามารถเพิ่มกำไรได้ และ MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว ขณะที่พนักงานจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายและหมดแรงจากการต้องแก้ “งานที่ AI ทำผิด” หรือที่เรียกว่า “AI Workslop” แม้จะมีความหวังเรื่องการลดวันทำงาน แต่ก็มีคำถามว่า AI จะลดชั่วโมงทำงาน หรือจะลดจำนวนพนักงานกันแน่ เพราะมีบริษัทอย่าง Klarna ที่ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI แทน ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพและต้องถอยกลับ ขณะที่ IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานโปรแกรมเมอร์และฝ่ายขาย สุดท้ายแล้ว คำถามสำคัญคือ: AI จะช่วยให้เราทำงานน้อยลง หรือแค่ทำให้เราทำงานหนักขึ้นในเวลาที่สั้นลง? ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Eric Yuan (Zoom) เชื่อว่าทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3–4 วันต่อสัปดาห์ ➡️ Bill Gates เคยพูดว่า AI อาจทำให้มนุษย์ทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ ➡️ Jensen Huang (Nvidia) เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเชื่อว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมสังคม ➡️ Jamie Dimon และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มการลดวันทำงาน ➡️ รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่เพิ่มกำไร ➡️ MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว ➡️ พนักงานบางส่วนรู้สึกเบื่อและหมดแรงจากการแก้งานที่ AI ทำผิด ➡️ Klarna ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพ ➡️ IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานเทคโนโลยี ➡️ รายงานจาก Tech.co ระบุว่า 93% ของบริษัทที่ใช้ AI เปิดรับแนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในหลายประเทศพบว่าพนักงานมีความสุขและประสิทธิภาพดีขึ้น ➡️ AI สามารถช่วยลดงานซ้ำซ้อน เช่น การจัดการเอกสาร การตอบอีเมล หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ➡️ แนวคิด “digital twin” อาจช่วยให้พนักงานมีตัวแทน AI ทำงานแทนในบางส่วน ➡️ การลดวันทำงานอาจช่วยลดภาวะหมดไฟ (burnout) และเพิ่มคุณภาพชีวิต ➡️ การใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกอบรมและการปรับโครงสร้างองค์กร https://www.slashgear.com/1984496/eric-yuan-bill-gates-ceo-three-day-work-week-thanks-to-ai/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These Big Tech CEOs Think A 3-Day Work Week Is Coming, Thanks To AI - SlashGear
    AI promises productivity gains, and one way that could manifest is by shortening the work week. These tech CEOs think it'll happen, but others are skeptical.
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • “Jensen Huang ชี้ช่างไฟและช่างประปาจะเป็นฮีโร่แห่งยุค AI — เมื่อการสร้างศูนย์ข้อมูลกลายเป็นภารกิจระดับชาติ”

    ในขณะที่หลายคนกังวลว่า AI จะเข้ามาแทนที่งานมนุษย์ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia กลับมองต่างออกไป เขาเชื่อว่า “งานช่างฝีมือ” อย่างช่างไฟฟ้าและช่างประปาจะกลายเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความต้องการสูงที่สุดในยุค AI โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมาเพื่อรองรับการประมวลผลของโมเดลอัจฉริยะ

    Huang กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Channel 4 News ว่า “เราจะต้องการช่างไฟฟ้า ช่างประปา และช่างไม้เป็นจำนวนหลายแสนคน เพื่อสร้างโรงงานและศูนย์ข้อมูลเหล่านี้” พร้อมย้ำว่าเศรษฐกิจทุกประเทศจะเห็นการเติบโตของภาคแรงงานฝีมืออย่างชัดเจน

    การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ไม่ใช่เรื่องเล็ก — Huang ระบุว่าการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี และจะดำเนินต่อเนื่องไปอีกเป็นทศวรรษ โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรที่เขาเชื่อว่าจะกลายเป็นศูนย์กลางของการขยายโครงสร้าง AI

    ไม่ใช่แค่ Huang ที่มองเห็นปัญหานี้ Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock ก็เคยเตือนว่า “เรากำลังจะขาดช่างไฟฟ้าอย่างรุนแรง” และ Brad Smith จาก Microsoft ก็ชี้ว่าการขยายศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับวิกฤตแรงงานฝีมืออย่างหนัก

    เพื่อแก้ปัญหา Google ได้ลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในโครงการฝึกอบรมช่างไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายผลิตแรงงานใหม่กว่า 130,000 คนภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่การวิเคราะห์จาก CSIS ระบุว่า สหรัฐฯ ต้องการแรงงานฝีมือเพิ่มอีกกว่า 140,000 คนภายในปี 2030 ซึ่งไม่สามารถบรรลุได้หากไม่ปรับปรุงระบบการฝึกอบรมและการออกใบอนุญาต

    แม้จะมีคำเตือนจากหลายฝ่ายว่า AI จะทำให้พนักงานออฟฟิศจำนวนมากตกงาน แต่ Huang กลับมองว่า “คนจะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI แต่จะถูกแทนที่ด้วยคนที่ใช้ AI ได้” และหากเขาอายุ 20 ปีอีกครั้ง เขาจะเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์กายภาพมากกว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jensen Huang เชื่อว่าช่างไฟฟ้าและช่างประปาจะเป็นอาชีพที่เติบโตมากที่สุดในยุค AI
    การสร้างศูนย์ข้อมูลต้องใช้แรงงานฝีมือหลายแสนคนทั่วโลก
    การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี
    สหราชอาณาจักรจะเป็นศูนย์กลางการขยายโครงสร้าง AI ในทศวรรษหน้า
    Larry Fink และ Brad Smith เตือนถึงวิกฤตแรงงานฝีมือในสหรัฐฯ
    Google ลงทุนฝึกอบรมช่างไฟฟ้า 130,000 คนเพื่อรองรับความต้องการ
    CSIS ระบุว่าต้องเพิ่มแรงงานฝีมืออีก 140,000 คนภายในปี 2030
    Huang มองว่า AI จะเปลี่ยนทุกงาน แต่คนที่ใช้ AI ได้จะเป็นผู้ได้เปรียบ
    เขาแนะนำให้คนรุ่นใหม่หันไปเรียนสายวิทยาศาสตร์กายภาพ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 250,000 ตารางฟุตต้องใช้แรงงานก่อสร้างถึง 1,500 คน
    งานช่างฝีมือในศูนย์ข้อมูลมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า $100,000 ต่อปี
    การขาดแรงงานฝีมือเกิดจากการลดการฝึกอบรมและนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวด
    การขยายศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอาจใช้เงินลงทุนรวมกว่า $7 ล้านล้านภายในปี 2030
    การสร้างงานในศูนย์ข้อมูลหนึ่งแห่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรอบได้ถึง 3.5 เท่า

    https://www.slashgear.com/1987555/nvidia-ceo-ai-trade-jobs-electrians-plumbers/
    🔧 “Jensen Huang ชี้ช่างไฟและช่างประปาจะเป็นฮีโร่แห่งยุค AI — เมื่อการสร้างศูนย์ข้อมูลกลายเป็นภารกิจระดับชาติ” ในขณะที่หลายคนกังวลว่า AI จะเข้ามาแทนที่งานมนุษย์ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia กลับมองต่างออกไป เขาเชื่อว่า “งานช่างฝีมือ” อย่างช่างไฟฟ้าและช่างประปาจะกลายเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความต้องการสูงที่สุดในยุค AI โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมาเพื่อรองรับการประมวลผลของโมเดลอัจฉริยะ Huang กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Channel 4 News ว่า “เราจะต้องการช่างไฟฟ้า ช่างประปา และช่างไม้เป็นจำนวนหลายแสนคน เพื่อสร้างโรงงานและศูนย์ข้อมูลเหล่านี้” พร้อมย้ำว่าเศรษฐกิจทุกประเทศจะเห็นการเติบโตของภาคแรงงานฝีมืออย่างชัดเจน การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ไม่ใช่เรื่องเล็ก — Huang ระบุว่าการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี และจะดำเนินต่อเนื่องไปอีกเป็นทศวรรษ โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรที่เขาเชื่อว่าจะกลายเป็นศูนย์กลางของการขยายโครงสร้าง AI ไม่ใช่แค่ Huang ที่มองเห็นปัญหานี้ Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock ก็เคยเตือนว่า “เรากำลังจะขาดช่างไฟฟ้าอย่างรุนแรง” และ Brad Smith จาก Microsoft ก็ชี้ว่าการขยายศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับวิกฤตแรงงานฝีมืออย่างหนัก เพื่อแก้ปัญหา Google ได้ลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในโครงการฝึกอบรมช่างไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายผลิตแรงงานใหม่กว่า 130,000 คนภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่การวิเคราะห์จาก CSIS ระบุว่า สหรัฐฯ ต้องการแรงงานฝีมือเพิ่มอีกกว่า 140,000 คนภายในปี 2030 ซึ่งไม่สามารถบรรลุได้หากไม่ปรับปรุงระบบการฝึกอบรมและการออกใบอนุญาต แม้จะมีคำเตือนจากหลายฝ่ายว่า AI จะทำให้พนักงานออฟฟิศจำนวนมากตกงาน แต่ Huang กลับมองว่า “คนจะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI แต่จะถูกแทนที่ด้วยคนที่ใช้ AI ได้” และหากเขาอายุ 20 ปีอีกครั้ง เขาจะเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์กายภาพมากกว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jensen Huang เชื่อว่าช่างไฟฟ้าและช่างประปาจะเป็นอาชีพที่เติบโตมากที่สุดในยุค AI ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลต้องใช้แรงงานฝีมือหลายแสนคนทั่วโลก ➡️ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี ➡️ สหราชอาณาจักรจะเป็นศูนย์กลางการขยายโครงสร้าง AI ในทศวรรษหน้า ➡️ Larry Fink และ Brad Smith เตือนถึงวิกฤตแรงงานฝีมือในสหรัฐฯ ➡️ Google ลงทุนฝึกอบรมช่างไฟฟ้า 130,000 คนเพื่อรองรับความต้องการ ➡️ CSIS ระบุว่าต้องเพิ่มแรงงานฝีมืออีก 140,000 คนภายในปี 2030 ➡️ Huang มองว่า AI จะเปลี่ยนทุกงาน แต่คนที่ใช้ AI ได้จะเป็นผู้ได้เปรียบ ➡️ เขาแนะนำให้คนรุ่นใหม่หันไปเรียนสายวิทยาศาสตร์กายภาพ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 250,000 ตารางฟุตต้องใช้แรงงานก่อสร้างถึง 1,500 คน ➡️ งานช่างฝีมือในศูนย์ข้อมูลมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า $100,000 ต่อปี ➡️ การขาดแรงงานฝีมือเกิดจากการลดการฝึกอบรมและนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวด ➡️ การขยายศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอาจใช้เงินลงทุนรวมกว่า $7 ล้านล้านภายในปี 2030 ➡️ การสร้างงานในศูนย์ข้อมูลหนึ่งแห่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรอบได้ถึง 3.5 เท่า https://www.slashgear.com/1987555/nvidia-ceo-ai-trade-jobs-electrians-plumbers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Nvidia CEO Says These Two Trade Jobs Will Be Crucial To The AI Boom - SlashGear
    Nvidia CEO Jensen Huang says trades like electricians and plumbers will be crucial in building the data center infrastructure behind the AI boom.
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้”

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง

    ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก

    ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง

    แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ

    ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ
    ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน
    ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน
    รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง
    มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน
    ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี
    ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน
    การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
    เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ
    ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง
    ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้
    ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง
    การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง

    https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    ☀️ “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ ➡️ ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน ➡️ ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน ➡️ รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง ➡️ มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน ➡️ ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ➡️ ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน ➡️ การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ ➡️ ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง ➡️ ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้ ➡️ ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง ➡️ การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    GRIST.ORG
    How Germany outfitted half a million balconies with solar panels
    Meet balkonkraftwerk, the simple technology putting solar power in the hands of renters and nudging Germany toward its clean energy goals.
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • SET50
    1Day BULL
    1Hour BULL
    15Min BEAR

    แนวต้าน 834 / 841
    แนวรับ 827 / 818

    sSET 1 Hour BEAR
    15 Min BEAR

    07/10/2568
    สภาพตลาดหุ้นไทยโดยรวม ยังไม่ค่อยดีอยู่

    มีการถอยลงมา 13 แท่งเทียนแล้ว
    ในกรณีที่ดี... อาจจะใกล้จุดฟื้นต้วแล้ว (ที่การถอย 15 แท่งเทียน)
    แต่ ถ้าไม่ใช่กรณีดี มันก็จะใช้รอบเวลาที่นานกว่านั้น

    หากไม่รีบ ต้องรอการฟื้นตัวที่ชัดเจนก่อน การเล่นทางขึ้นจึงจะได้เปรียบ
    ส่วน การเข้าจังหวะสวนเทรนด์ ก็ลองหาตัวที่ถอยลงมามาก ถึงแนวรับล่างแล้ว

    ติดตามข้อมูลการเทรด การลงทุน ประจำวัน ได้ที่ไลน์ "100Per by ของดี"

    โปรดแตะลิงก์ด้านล่างเพื่อเข้าร่วมโอเพนแชทนี้
    https://line.me/ti/g2/W8kfAjEr152TggKzNe5m-gwfOQ3sOnq-0d7YiQ?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
    SET50 1Day BULL🪴 1Hour BULL🪴 15Min BEAR🔥 แนวต้าน 834 / 841 แนวรับ 827 / 818 sSET 1 Hour BEAR🔥 15 Min BEAR🔥 07/10/2568 สภาพตลาดหุ้นไทยโดยรวม ยังไม่ค่อยดีอยู่ มีการถอยลงมา 13 แท่งเทียนแล้ว ในกรณีที่ดี... อาจจะใกล้จุดฟื้นต้วแล้ว (ที่การถอย 15 แท่งเทียน) แต่ ถ้าไม่ใช่กรณีดี มันก็จะใช้รอบเวลาที่นานกว่านั้น หากไม่รีบ ต้องรอการฟื้นตัวที่ชัดเจนก่อน การเล่นทางขึ้นจึงจะได้เปรียบ ส่วน การเข้าจังหวะสวนเทรนด์ ก็ลองหาตัวที่ถอยลงมามาก ถึงแนวรับล่างแล้ว 🌟ติดตามข้อมูลการเทรด การลงทุน ประจำวัน ได้ที่ไลน์ "100Per by ของดี" โปรดแตะลิงก์ด้านล่างเพื่อเข้าร่วมโอเพนแชทนี้ https://line.me/ti/g2/W8kfAjEr152TggKzNe5m-gwfOQ3sOnq-0d7YiQ?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
    LINE.ME
    ของดี
    สิ่งดีๆสำหรับทุกคน
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • “Zaxxon กลับมาอีกครั้งในรูปแบบสุดล้ำ — เล่นเกมอาร์เคดผ่าน BIOS โดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการ”

    Inkbox Software ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเกมและการเขียนโปรแกรม ด้วยการนำเกมอาร์เคดคลาสสิก “Zaxxon” จากปี 1982 กลับมาในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน — เกมที่สามารถบูตได้โดยตรงจากระบบ UEFI firmware โดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการใด ๆ ทั้งสิ้น

    เกมนี้ถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมดด้วยภาษา Assembly สำหรับสถาปัตยกรรม x86-64 และเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้สัญญาอนุญาต GPLv3 ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถดาวน์โหลด แก้ไข และทดลองได้ฟรี

    ต่างจากเกม UEFI ที่เคยมีมาก่อนซึ่งมักเป็นเดโมหรือ payload ที่ต้องเรียกผ่านระบบอื่น เกม Zaxxon เวอร์ชันนี้สามารถบูตตรงจาก BIOS ได้ทันที โดยผู้พัฒนาอธิบายว่า “นี่คืออิสรภาพจาก Big Tech อย่างแท้จริง” เพราะไม่ต้องพึ่งพาระบบปฏิบัติการใด ๆ เลย

    แน่นอนว่าการเขียนเกมในระดับ low-level แบบนี้ไม่ง่ายเลย Inkbox ต้องแก้ปัญหาหลายอย่าง เช่น การจัดการ input จากคีย์บอร์ดที่มีดีเลย์สูงใน UEFI, การสร้างระบบกราฟิกที่จำลอง Picture Processing Unit (PPU) แบบเครื่องเกมยุคเก่า และการทำให้เกมรันได้ลื่นไหลถึง 128FPS

    แม้จะไม่มีเสียงในเกม แต่ภาพกราฟิกแบบ isometric และการควบคุมผ่านเมาส์หรือจอยสติ๊กทำให้ประสบการณ์การเล่นยังคงน่าประทับใจ และสามารถรันได้บนเครื่อง x86_64 ทุกเครื่องที่รองรับ UEFI โดยต้องปิด secure boot และตั้งค่าให้บูตจากไฟล์ BOOTX64.EFI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Inkbox Software สร้างเกม Zaxxon เวอร์ชันใหม่ที่รันจาก UEFI โดยตรง
    เขียนด้วยภาษา Assembly สำหรับ x86-64 โดยไม่ใช้ระบบปฏิบัติการ
    เปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้ GPLv3
    เกมสามารถบูตตรงจาก BIOS โดยใช้ไฟล์ BOOTX64.EFI
    ต้องปิด secure boot และตั้งค่าบูตจาก EFI partition
    เกมรันได้ลื่นไหลถึง 128FPS แม้ไม่มีระบบเสียง
    ใช้เมาส์หรือจอยสติ๊กแทนคีย์บอร์ดที่มีดีเลย์สูงใน UEFI
    สร้างระบบกราฟิกจำลอง PPU แบบเครื่องเกมยุคเก่า
    รองรับการแสดงผลแบบ 256x256 หรือ upscale เป็น 1024x1024
    เปิดให้ดาวน์โหลดและทดลองผ่าน GitHub: spacegamex64

    https://www.tomshardware.com/software/programming/developer-recreates-classic-shoot-em-up-zaxxon-as-a-uefi-firmware-isometric-arcade-game-coded-in-x86-assembly-for-no-os-represents-total-freedom-from-big-tech
    🕹️ “Zaxxon กลับมาอีกครั้งในรูปแบบสุดล้ำ — เล่นเกมอาร์เคดผ่าน BIOS โดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการ” Inkbox Software ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเกมและการเขียนโปรแกรม ด้วยการนำเกมอาร์เคดคลาสสิก “Zaxxon” จากปี 1982 กลับมาในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน — เกมที่สามารถบูตได้โดยตรงจากระบบ UEFI firmware โดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการใด ๆ ทั้งสิ้น เกมนี้ถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมดด้วยภาษา Assembly สำหรับสถาปัตยกรรม x86-64 และเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้สัญญาอนุญาต GPLv3 ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถดาวน์โหลด แก้ไข และทดลองได้ฟรี ต่างจากเกม UEFI ที่เคยมีมาก่อนซึ่งมักเป็นเดโมหรือ payload ที่ต้องเรียกผ่านระบบอื่น เกม Zaxxon เวอร์ชันนี้สามารถบูตตรงจาก BIOS ได้ทันที โดยผู้พัฒนาอธิบายว่า “นี่คืออิสรภาพจาก Big Tech อย่างแท้จริง” เพราะไม่ต้องพึ่งพาระบบปฏิบัติการใด ๆ เลย แน่นอนว่าการเขียนเกมในระดับ low-level แบบนี้ไม่ง่ายเลย Inkbox ต้องแก้ปัญหาหลายอย่าง เช่น การจัดการ input จากคีย์บอร์ดที่มีดีเลย์สูงใน UEFI, การสร้างระบบกราฟิกที่จำลอง Picture Processing Unit (PPU) แบบเครื่องเกมยุคเก่า และการทำให้เกมรันได้ลื่นไหลถึง 128FPS แม้จะไม่มีเสียงในเกม แต่ภาพกราฟิกแบบ isometric และการควบคุมผ่านเมาส์หรือจอยสติ๊กทำให้ประสบการณ์การเล่นยังคงน่าประทับใจ และสามารถรันได้บนเครื่อง x86_64 ทุกเครื่องที่รองรับ UEFI โดยต้องปิด secure boot และตั้งค่าให้บูตจากไฟล์ BOOTX64.EFI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Inkbox Software สร้างเกม Zaxxon เวอร์ชันใหม่ที่รันจาก UEFI โดยตรง ➡️ เขียนด้วยภาษา Assembly สำหรับ x86-64 โดยไม่ใช้ระบบปฏิบัติการ ➡️ เปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้ GPLv3 ➡️ เกมสามารถบูตตรงจาก BIOS โดยใช้ไฟล์ BOOTX64.EFI ➡️ ต้องปิด secure boot และตั้งค่าบูตจาก EFI partition ➡️ เกมรันได้ลื่นไหลถึง 128FPS แม้ไม่มีระบบเสียง ➡️ ใช้เมาส์หรือจอยสติ๊กแทนคีย์บอร์ดที่มีดีเลย์สูงใน UEFI ➡️ สร้างระบบกราฟิกจำลอง PPU แบบเครื่องเกมยุคเก่า ➡️ รองรับการแสดงผลแบบ 256x256 หรือ upscale เป็น 1024x1024 ➡️ เปิดให้ดาวน์โหลดและทดลองผ่าน GitHub: spacegamex64 https://www.tomshardware.com/software/programming/developer-recreates-classic-shoot-em-up-zaxxon-as-a-uefi-firmware-isometric-arcade-game-coded-in-x86-assembly-for-no-os-represents-total-freedom-from-big-tech
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • “Social Cooling — เมื่อคะแนนดิจิทัลกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้สังคมเย็นชา”

    ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของเศรษฐกิจดิจิทัล เว็บไซต์ SocialCooling.com ได้เปิดเผยผลกระทบที่ซ่อนอยู่ของ Big Data ต่อพฤติกรรมมนุษย์ โดยเปรียบเทียบว่า “น้ำมันทำให้โลกร้อน แต่ข้อมูลทำให้สังคมเย็น” เพราะเมื่อเรารู้ว่ากำลังถูกจับตามอง เราจะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม — ลดความกล้า เสี่ยงน้อยลง และเซ็นเซอร์ตัวเองมากขึ้น

    แนวคิด “Social Cooling” หมายถึงผลกระทบระยะยาวจากการใช้ระบบคะแนนดิจิทัล เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้าง “คะแนนชื่อเสียง” ที่บริษัทหรือรัฐบาลใช้ตัดสินคุณค่าของบุคคล โดยอิงจากพฤติกรรมออนไลน์ เช่น การกดไลก์ การซื้อสินค้า หรือแม้แต่เพื่อนที่คุณมีในโซเชียลมีเดีย

    ข้อมูลของคุณถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ระบบรู้จักมากกว่า เพื่อคาดเดาว่าคุณอาจเป็นคนแบบไหน เช่น มีแนวโน้มเป็นผู้มีภาวะซึมเศร้า เป็นผู้วางแผนมีลูก หรือแม้แต่เป็นเจ้าของปืน โดยที่คุณไม่เคยเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้เลย

    ผลลัพธ์คือผู้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ได้คะแนนดีขึ้น เช่น ไม่กล้าแสดงความเห็นทางการเมือง ไม่กล้าคลิกลิงก์ที่อาจดูไม่ดี หรือแม้แต่แพทย์ที่หลีกเลี่ยงการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพราะกลัวคะแนนต่ำจากอัตราการเสียชีวิต

    ในประเทศจีน ระบบ “Social Credit Score” ถูกใช้จริง โดยวัดพฤติกรรมของประชาชนจากการซื้อของ การโพสต์บนโซเชียล และแม้แต่คะแนนของเพื่อน หากคะแนนต่ำจะถูกจำกัดสิทธิ์ เช่น ไม่สามารถสมัครงานราชการ ขอวีซ่า หรือแม้แต่หาคู่ทางออนไลน์

    คำถามใหญ่ที่ตามมาคือ — เรากำลังกลายเป็นคนดีขึ้น หรือแค่ “เชื่องขึ้น”? และในโลกที่ทุกการกระทำถูกเก็บไว้ตลอดกาล เราจะยังมีสิทธิ์ “ผิดพลาด” ได้อีกหรือไม่?

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Social Cooling คือผลกระทบจากระบบคะแนนดิจิทัลที่ทำให้คนเซ็นเซอร์ตัวเอง
    ข้อมูลของผู้ใช้ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นเพื่อคาดเดาพฤติกรรมที่ไม่เปิดเผย
    ตัวอย่างการคาดเดา ได้แก่ แนวโน้มทางเพศ ภาวะสุขภาพ ความเห็นทางการเมือง
    ผู้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ได้คะแนนดี เช่น ไม่กล้าแสดงความเห็นหรือคลิกลิงก์
    แพทย์บางคนหลีกเลี่ยงการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพราะกลัวคะแนนต่ำ
    ประเทศจีนใช้ระบบ Social Credit Score เพื่อควบคุมพฤติกรรมประชาชน
    คะแนนต่ำส่งผลต่อสิทธิ์ในการทำงาน ขอวีซ่า หรือแม้แต่การหาคู่
    ระบบนี้สร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัว ความเชื่อง และการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Databrokers คือบริษัทที่รวบรวมข้อมูลเพื่อขายให้กับองค์กรต่าง ๆ
    ระบบคะแนนชื่อเสียงถูกใช้ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Tinder, LinkedIn, Amazon
    Cambridge Analytica เคยใช้ข้อมูลเพื่อโน้มน้าวพฤติกรรมการลงคะแนนเสียง
    การคืนสินค้าบ่อยอาจทำให้คุณถูกจัดอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่ไม่น่าเชื่อถือ
    บริษัทประกันสุขภาพบางแห่งใช้ข้อมูลไลฟ์สไตล์ในการประเมินเบี้ยประกัน

    https://www.socialcooling.com/
    🧊 “Social Cooling — เมื่อคะแนนดิจิทัลกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้สังคมเย็นชา” ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของเศรษฐกิจดิจิทัล เว็บไซต์ SocialCooling.com ได้เปิดเผยผลกระทบที่ซ่อนอยู่ของ Big Data ต่อพฤติกรรมมนุษย์ โดยเปรียบเทียบว่า “น้ำมันทำให้โลกร้อน แต่ข้อมูลทำให้สังคมเย็น” เพราะเมื่อเรารู้ว่ากำลังถูกจับตามอง เราจะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม — ลดความกล้า เสี่ยงน้อยลง และเซ็นเซอร์ตัวเองมากขึ้น แนวคิด “Social Cooling” หมายถึงผลกระทบระยะยาวจากการใช้ระบบคะแนนดิจิทัล เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้าง “คะแนนชื่อเสียง” ที่บริษัทหรือรัฐบาลใช้ตัดสินคุณค่าของบุคคล โดยอิงจากพฤติกรรมออนไลน์ เช่น การกดไลก์ การซื้อสินค้า หรือแม้แต่เพื่อนที่คุณมีในโซเชียลมีเดีย ข้อมูลของคุณถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ระบบรู้จักมากกว่า เพื่อคาดเดาว่าคุณอาจเป็นคนแบบไหน เช่น มีแนวโน้มเป็นผู้มีภาวะซึมเศร้า เป็นผู้วางแผนมีลูก หรือแม้แต่เป็นเจ้าของปืน โดยที่คุณไม่เคยเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้เลย ผลลัพธ์คือผู้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ได้คะแนนดีขึ้น เช่น ไม่กล้าแสดงความเห็นทางการเมือง ไม่กล้าคลิกลิงก์ที่อาจดูไม่ดี หรือแม้แต่แพทย์ที่หลีกเลี่ยงการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพราะกลัวคะแนนต่ำจากอัตราการเสียชีวิต ในประเทศจีน ระบบ “Social Credit Score” ถูกใช้จริง โดยวัดพฤติกรรมของประชาชนจากการซื้อของ การโพสต์บนโซเชียล และแม้แต่คะแนนของเพื่อน หากคะแนนต่ำจะถูกจำกัดสิทธิ์ เช่น ไม่สามารถสมัครงานราชการ ขอวีซ่า หรือแม้แต่หาคู่ทางออนไลน์ คำถามใหญ่ที่ตามมาคือ — เรากำลังกลายเป็นคนดีขึ้น หรือแค่ “เชื่องขึ้น”? และในโลกที่ทุกการกระทำถูกเก็บไว้ตลอดกาล เราจะยังมีสิทธิ์ “ผิดพลาด” ได้อีกหรือไม่? ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Social Cooling คือผลกระทบจากระบบคะแนนดิจิทัลที่ทำให้คนเซ็นเซอร์ตัวเอง ➡️ ข้อมูลของผู้ใช้ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นเพื่อคาดเดาพฤติกรรมที่ไม่เปิดเผย ➡️ ตัวอย่างการคาดเดา ได้แก่ แนวโน้มทางเพศ ภาวะสุขภาพ ความเห็นทางการเมือง ➡️ ผู้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ได้คะแนนดี เช่น ไม่กล้าแสดงความเห็นหรือคลิกลิงก์ ➡️ แพทย์บางคนหลีกเลี่ยงการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพราะกลัวคะแนนต่ำ ➡️ ประเทศจีนใช้ระบบ Social Credit Score เพื่อควบคุมพฤติกรรมประชาชน ➡️ คะแนนต่ำส่งผลต่อสิทธิ์ในการทำงาน ขอวีซ่า หรือแม้แต่การหาคู่ ➡️ ระบบนี้สร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัว ความเชื่อง และการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Databrokers คือบริษัทที่รวบรวมข้อมูลเพื่อขายให้กับองค์กรต่าง ๆ ➡️ ระบบคะแนนชื่อเสียงถูกใช้ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Tinder, LinkedIn, Amazon ➡️ Cambridge Analytica เคยใช้ข้อมูลเพื่อโน้มน้าวพฤติกรรมการลงคะแนนเสียง ➡️ การคืนสินค้าบ่อยอาจทำให้คุณถูกจัดอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่ไม่น่าเชื่อถือ ➡️ บริษัทประกันสุขภาพบางแห่งใช้ข้อมูลไลฟ์สไตล์ในการประเมินเบี้ยประกัน https://www.socialcooling.com/
    WWW.SOCIALCOOLING.COM
    Social Cooling - big data's unintended side effect
    Thousands of hidden scores influence your chance to get a job, a loan, insurance or even a date. Social Cooling describes how this increases pressure to conform, and asks how this will change society.
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 Reviews
More Results