• การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU: ศึกใหญ่ระหว่าง Microsoft และ Apple

    การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU เปรียบเสมือนการเปลี่ยน "กระดูกสันหลัง" ของระบบคอมพิวเตอร์ เป็นภารกิจที่เสี่ยงแต่จำเป็นสำหรับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะ Microsoft และ Apple ซึ่งมีแนวทางแตกต่างกันชัดเจน บทความนี้จะวิเคราะห์ความท้าทาย กลยุทธ์ และผลลัพธ์ของทั้งสองบริษัท เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมบางการเปลี่ยนผ่านจึงสำเร็จ และบางครั้งก็กลายเป็นบทเรียนราคาแพง

    Microsoft Windows: เส้นทางแห่งบทเรียนและความพยายาม
    จาก x86 สู่ x64: ก้าวแรกที่มั่นคง
    Microsoft เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนจากสถาปัตยกรรม x86 (32-bit) สู่ x64 (64-bit) เพื่อตอบโจทย์การใช้หน่วยความจำและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น การเปลี่ยนผ่านนี้ประสบความสำเร็จเพราะใช้เทคโนโลยีจำลองอย่าง WoW64 ที่ช่วยให้แอปเก่าแบบ 32-bit ยังใช้งานได้บนระบบใหม่ ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกสะดุดในการใช้งาน

    แต่เบื้องหลังความราบรื่นนั้น คือภาระในการรักษาความเข้ากันได้ย้อนหลังที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

    Windows RT: ความพยายามที่ผิดพลาด
    ในปี 2012 Microsoft พยายามพา Windows สู่ชิป ARM ด้วย Windows RT แต่ล้มเหลวอย่างรุนแรง เพราะไม่สามารถรันแอป x86 เดิมได้เลย ทำให้ผู้ใช้สับสนและไม่ยอมรับ ผลที่ตามมาคือยอดขายต่ำและขาดทุนมหาศาลถึง 900 ล้านดอลลาร์ นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ Microsoft ตระหนักว่า "ความเข้ากันได้" ไม่ใช่แค่เรื่องรอง แต่เป็นหัวใจหลักของแพลตฟอร์ม Windows

    Windows on ARM (WoA): กลับมาอย่างมีแผน
    จากความล้มเหลวของ Windows RT, Microsoft ปรับกลยุทธ์ใหม่และพัฒนา Windows on ARM ที่ทันสมัย พร้อมตัวจำลองที่ทรงพลังอย่าง Prism Emulator และประสิทธิภาพที่น่าประทับใจจากชิป Snapdragon X Elite แม้จะมีความก้าวหน้า แต่ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไดรเวอร์ระดับลึกหรือเกมบางประเภทที่ยังทำงานไม่ได้หากไม่มีการพัฒนาให้รองรับ ARM โดยตรง

    Apple: การเปลี่ยนผ่านที่เด็ดขาดและชาญฉลาด
    PowerPC สู่ Intel: ข้ามผ่านความล้าหลัง
    ในปี 2005 Apple ตัดสินใจเปลี่ยนจาก PowerPC ไปสู่ Intel แม้จะมีอุปสรรคทางเทคนิค เช่น รูปแบบการจัดข้อมูลในหน่วยความจำที่ไม่เหมือนกัน (endianness) แต่ Apple ก็สามารถจัดการได้ด้วยตัวแปล Rosetta 1 ที่แปลงแอปเก่าให้รันบนสถาปัตยกรรมใหม่ได้

    สิ่งที่น่าสังเกตคือ Apple ยกเลิกการรองรับ Rosetta ภายในเวลาเพียง 5 ปี แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดในการเดินหน้าสู่อนาคต แม้จะแลกมาด้วยความไม่พอใจจากผู้ใช้บางส่วนที่ยังใช้ซอฟต์แวร์เก่าอยู่

    Apple Silicon: การเปลี่ยนผ่านที่ “ไร้รอยต่อ”
    ในปี 2020 Apple เปิดตัวชิป Apple Silicon (M1) ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติด้านฮาร์ดแวร์อย่างแท้จริง ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการวางแผนระยะยาว: Apple พัฒนาชิป ARM สำหรับ iPhone มาหลายปี, รวมฐานของ macOS และ iOS ให้เหมือนกัน, และเตรียม API ใหม่ให้รองรับ ARM ล่วงหน้าหลายปี

    Rosetta 2 ทำให้แอป Intel สามารถรันบนชิป M1 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่น่าทึ่งคือในบางกรณีแอปที่ถูกแปลยังทำงานได้ดีกว่าแอปต้นฉบับบนเครื่อง Intel เดิมด้วยซ้ำ การควบคุมทุกส่วนของระบบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างแนวดิ่ง ช่วยให้ Apple เคลื่อนไหวได้เร็วและเด็ดขาด

    Microsoft vs Apple: คนละแนวทาง สู่ผลลัพธ์ที่ต่างกัน
    แม้ทั้ง Microsoft และ Apple จะใช้ “การจำลอง” เป็นหัวใจในการเปลี่ยนผ่าน แต่ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง:

    Microsoft เน้น “ความเข้ากันได้ต้องมาก่อน” ซึ่งช่วยรักษาผู้ใช้เก่าไว้ได้ แต่ก็ต้องแบกรับความซับซ้อนและข้อจำกัดมากมาย เพราะต้องรองรับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เก่าให้ได้ทุกกรณี การเปลี่ยนผ่านจึงมักช้าและต้องค่อยๆ ปรับตัวไปทีละขั้น

    ในทางตรงกันข้าม Apple เลือก “ตัดของเก่าแล้วมุ่งหน้า” ใช้วิธีเด็ดขาดและเตรียมการล่วงหน้าอย่างดี ทั้งการออกแบบชิปเอง ควบคุม OS และกำหนดกรอบให้กับนักพัฒนา การเปลี่ยนผ่านจึงรวดเร็ว ราบรื่น และน่าประทับใจอย่างมากในสายตาผู้ใช้

    บทสรุป: เส้นทางต่าง สู่ความสำเร็จที่ไม่เหมือนกัน
    การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่มันคือ "การวางหมาก" เชิงกลยุทธ์ในระบบนิเวศซอฟต์แวร์และผู้ใช้นับล้าน

    Microsoft กำลังฟื้นตัวจากอดีตที่ผิดพลาด และก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ ARM ด้วยประสิทธิภาพและการจำลองที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
    ในขณะที่ Apple ได้กลายเป็นตัวอย่างระดับโลกของการเปลี่ยนผ่านที่ประสบความสำเร็จที่สุด ด้วยความกล้าที่จะตัดขาดจากอดีตและควบคุมอนาคตด้วยตนเอง

    คำถามที่น่าสนใจคือ: โลกคอมพิวเตอร์ในอนาคตจะให้คุณค่ากับ “ความยืดหยุ่นแบบเปิด” ของ Microsoft หรือ “ความเร็วและประสิทธิภาพแบบปิด” ของ Apple มากกว่ากัน?

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🧠 การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU: ศึกใหญ่ระหว่าง Microsoft และ Apple การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU เปรียบเสมือนการเปลี่ยน "กระดูกสันหลัง" ของระบบคอมพิวเตอร์ เป็นภารกิจที่เสี่ยงแต่จำเป็นสำหรับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะ Microsoft และ Apple ซึ่งมีแนวทางแตกต่างกันชัดเจน บทความนี้จะวิเคราะห์ความท้าทาย กลยุทธ์ และผลลัพธ์ของทั้งสองบริษัท เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมบางการเปลี่ยนผ่านจึงสำเร็จ และบางครั้งก็กลายเป็นบทเรียนราคาแพง 🪟 Microsoft Windows: เส้นทางแห่งบทเรียนและความพยายาม 🧱 จาก x86 สู่ x64: ก้าวแรกที่มั่นคง Microsoft เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนจากสถาปัตยกรรม x86 (32-bit) สู่ x64 (64-bit) เพื่อตอบโจทย์การใช้หน่วยความจำและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น การเปลี่ยนผ่านนี้ประสบความสำเร็จเพราะใช้เทคโนโลยีจำลองอย่าง WoW64 ที่ช่วยให้แอปเก่าแบบ 32-bit ยังใช้งานได้บนระบบใหม่ ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกสะดุดในการใช้งาน แต่เบื้องหลังความราบรื่นนั้น คือภาระในการรักษาความเข้ากันได้ย้อนหลังที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว 💥 Windows RT: ความพยายามที่ผิดพลาด ในปี 2012 Microsoft พยายามพา Windows สู่ชิป ARM ด้วย Windows RT แต่ล้มเหลวอย่างรุนแรง เพราะไม่สามารถรันแอป x86 เดิมได้เลย ทำให้ผู้ใช้สับสนและไม่ยอมรับ ผลที่ตามมาคือยอดขายต่ำและขาดทุนมหาศาลถึง 900 ล้านดอลลาร์ นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ Microsoft ตระหนักว่า "ความเข้ากันได้" ไม่ใช่แค่เรื่องรอง แต่เป็นหัวใจหลักของแพลตฟอร์ม Windows 🔄 Windows on ARM (WoA): กลับมาอย่างมีแผน จากความล้มเหลวของ Windows RT, Microsoft ปรับกลยุทธ์ใหม่และพัฒนา Windows on ARM ที่ทันสมัย พร้อมตัวจำลองที่ทรงพลังอย่าง Prism Emulator และประสิทธิภาพที่น่าประทับใจจากชิป Snapdragon X Elite แม้จะมีความก้าวหน้า แต่ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไดรเวอร์ระดับลึกหรือเกมบางประเภทที่ยังทำงานไม่ได้หากไม่มีการพัฒนาให้รองรับ ARM โดยตรง 🍎 Apple: การเปลี่ยนผ่านที่เด็ดขาดและชาญฉลาด 🔄 PowerPC สู่ Intel: ข้ามผ่านความล้าหลัง ในปี 2005 Apple ตัดสินใจเปลี่ยนจาก PowerPC ไปสู่ Intel แม้จะมีอุปสรรคทางเทคนิค เช่น รูปแบบการจัดข้อมูลในหน่วยความจำที่ไม่เหมือนกัน (endianness) แต่ Apple ก็สามารถจัดการได้ด้วยตัวแปล Rosetta 1 ที่แปลงแอปเก่าให้รันบนสถาปัตยกรรมใหม่ได้ สิ่งที่น่าสังเกตคือ Apple ยกเลิกการรองรับ Rosetta ภายในเวลาเพียง 5 ปี แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดในการเดินหน้าสู่อนาคต แม้จะแลกมาด้วยความไม่พอใจจากผู้ใช้บางส่วนที่ยังใช้ซอฟต์แวร์เก่าอยู่ 🚀 Apple Silicon: การเปลี่ยนผ่านที่ “ไร้รอยต่อ” ในปี 2020 Apple เปิดตัวชิป Apple Silicon (M1) ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติด้านฮาร์ดแวร์อย่างแท้จริง ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการวางแผนระยะยาว: Apple พัฒนาชิป ARM สำหรับ iPhone มาหลายปี, รวมฐานของ macOS และ iOS ให้เหมือนกัน, และเตรียม API ใหม่ให้รองรับ ARM ล่วงหน้าหลายปี Rosetta 2 ทำให้แอป Intel สามารถรันบนชิป M1 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่น่าทึ่งคือในบางกรณีแอปที่ถูกแปลยังทำงานได้ดีกว่าแอปต้นฉบับบนเครื่อง Intel เดิมด้วยซ้ำ การควบคุมทุกส่วนของระบบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างแนวดิ่ง ช่วยให้ Apple เคลื่อนไหวได้เร็วและเด็ดขาด ⚖️ Microsoft vs Apple: คนละแนวทาง สู่ผลลัพธ์ที่ต่างกัน แม้ทั้ง Microsoft และ Apple จะใช้ “การจำลอง” เป็นหัวใจในการเปลี่ยนผ่าน แต่ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง: 🎯 Microsoft เน้น “ความเข้ากันได้ต้องมาก่อน” ซึ่งช่วยรักษาผู้ใช้เก่าไว้ได้ แต่ก็ต้องแบกรับความซับซ้อนและข้อจำกัดมากมาย เพราะต้องรองรับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เก่าให้ได้ทุกกรณี การเปลี่ยนผ่านจึงมักช้าและต้องค่อยๆ ปรับตัวไปทีละขั้น 🛠️ ในทางตรงกันข้าม Apple เลือก “ตัดของเก่าแล้วมุ่งหน้า” ใช้วิธีเด็ดขาดและเตรียมการล่วงหน้าอย่างดี ทั้งการออกแบบชิปเอง ควบคุม OS และกำหนดกรอบให้กับนักพัฒนา การเปลี่ยนผ่านจึงรวดเร็ว ราบรื่น และน่าประทับใจอย่างมากในสายตาผู้ใช้ 🔚 บทสรุป: เส้นทางต่าง สู่ความสำเร็จที่ไม่เหมือนกัน การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่มันคือ "การวางหมาก" เชิงกลยุทธ์ในระบบนิเวศซอฟต์แวร์และผู้ใช้นับล้าน Microsoft กำลังฟื้นตัวจากอดีตที่ผิดพลาด และก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ ARM ด้วยประสิทธิภาพและการจำลองที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ Apple ได้กลายเป็นตัวอย่างระดับโลกของการเปลี่ยนผ่านที่ประสบความสำเร็จที่สุด ด้วยความกล้าที่จะตัดขาดจากอดีตและควบคุมอนาคตด้วยตนเอง 🧩 คำถามที่น่าสนใจคือ: โลกคอมพิวเตอร์ในอนาคตจะให้คุณค่ากับ “ความยืดหยุ่นแบบเปิด” ของ Microsoft หรือ “ความเร็วและประสิทธิภาพแบบปิด” ของ Apple มากกว่ากัน? #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 74 Views 1 Reviews
  • นายกฯ เขมรส่งหนังสือถึง UN ประณามไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ-หลักการอาเซียน ยันถูกบังคับตอบโต้ป้องกันตนเอง
    https://www.thai-tai.tv/news/20499/
    .
    #ฮุนมาเนต #UNSC #ชายแดนไทยกัมพูชา #การรุกราน #กฎบัตรสหประชาชาติ #ICJ #ปราสาทตาเมือนธม #สามเหลี่ยมมรกต #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #แถลงการณ์กัมพูชา
    นายกฯ เขมรส่งหนังสือถึง UN ประณามไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ-หลักการอาเซียน ยันถูกบังคับตอบโต้ป้องกันตนเอง https://www.thai-tai.tv/news/20499/ . #ฮุนมาเนต #UNSC #ชายแดนไทยกัมพูชา #การรุกราน #กฎบัตรสหประชาชาติ #ICJ #ปราสาทตาเมือนธม #สามเหลี่ยมมรกต #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #แถลงการณ์กัมพูชา
    0 Comments 0 Shares 43 Views 0 Reviews
  • ร้านข้าวหมูแดงมืออาชีพ #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #ร้านดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #อร่อย #อาหาร #food #eat #delicious #thaifood #streetfood #thailand #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute
    ร้านข้าวหมูแดงมืออาชีพ #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #ร้านดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #อร่อย #อาหาร #food #eat #delicious #thaifood #streetfood #thailand #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากชิปที่แพงขึ้นเพราะข้ามมหาสมุทร: เมื่อการผลิตในอเมริกายังไม่พร้อมสำหรับสงคราม AI

    TSMC ขยายโรงงานในสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในรัฐแอริโซนา หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ผลักดันให้ลดการพึ่งพาไต้หวันในยุคของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์

    แต่ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่า:
    - การผลิตชิปจากโรงงาน TSMC ในสหรัฐฯ มีต้นทุนสูงกว่าจากไต้หวันถึง 20%
    - สาเหตุหลักคือค่าแรงที่แพง, ค่าขนส่งอุปกรณ์, และความไม่พร้อมของห่วงโซ่อุปทานในประเทศ

    แม้จะมีต้นทุนสูง แต่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง AMD และ NVIDIA ก็ยังต้องสั่งผลิตจากโรงงานในสหรัฐฯ เพราะ:
    - โรงงานในไต้หวันผลิตเต็มกำลังแล้ว
    - ความต้องการชิป AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    - AMD คาดว่าตลาด accelerator จะมีมูลค่าถึง $500 พันล้านภายใน 5 ปี

    AMD เป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของ TSMC US โดย:
    - สั่งผลิตชิป 4nm สำหรับ EPYC Venice CPU
    - มีแผนขยายไปถึง 2nm ในอนาคต

    TSMC วางแผนจะผลิตชิปขั้นสูงกว่า 30% จากโรงงานในแอริโซนา และอาจใช้โดรนในการตรวจสอบโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าการผลิตชิปจาก TSMC US มีต้นทุนสูงกว่าจากไต้หวันถึง 20%
    สาเหตุหลักคือค่าแรง, ค่าขนส่งอุปกรณ์, และความไม่พร้อมของ supply chain

    TSMC ขยายโรงงานในรัฐแอริโซนาอย่างรวดเร็วหลังได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ
    เพื่อลดการพึ่งพาไต้หวันในด้านการผลิตชิปขั้นสูง

    AMD เป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของ TSMC US โดยสั่งผลิตชิป 4nm และมีแผนขยายไปถึง 2nm
    ใช้สำหรับ EPYC Venice CPU ในตลาด data center

    Lisa Su คาดว่าตลาด accelerator จะมีมูลค่าถึง $500 พันล้านภายใน 5 ปี
    สะท้อนความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    TSMC วางแผนจะผลิตชิปขั้นสูงกว่า 30% จากโรงงานในแอริโซนา
    และอาจใช้โดรนในการตรวจสอบโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    https://wccftech.com/amd-ceo-lisa-su-says-sourcing-ai-chips-from-tsmc-us-plants-is-more-expensive/
    🎙️ เรื่องเล่าจากชิปที่แพงขึ้นเพราะข้ามมหาสมุทร: เมื่อการผลิตในอเมริกายังไม่พร้อมสำหรับสงคราม AI TSMC ขยายโรงงานในสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในรัฐแอริโซนา หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ผลักดันให้ลดการพึ่งพาไต้หวันในยุคของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่า: - การผลิตชิปจากโรงงาน TSMC ในสหรัฐฯ มีต้นทุนสูงกว่าจากไต้หวันถึง 20% - สาเหตุหลักคือค่าแรงที่แพง, ค่าขนส่งอุปกรณ์, และความไม่พร้อมของห่วงโซ่อุปทานในประเทศ แม้จะมีต้นทุนสูง แต่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง AMD และ NVIDIA ก็ยังต้องสั่งผลิตจากโรงงานในสหรัฐฯ เพราะ: - โรงงานในไต้หวันผลิตเต็มกำลังแล้ว - ความต้องการชิป AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - AMD คาดว่าตลาด accelerator จะมีมูลค่าถึง $500 พันล้านภายใน 5 ปี AMD เป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของ TSMC US โดย: - สั่งผลิตชิป 4nm สำหรับ EPYC Venice CPU - มีแผนขยายไปถึง 2nm ในอนาคต TSMC วางแผนจะผลิตชิปขั้นสูงกว่า 30% จากโรงงานในแอริโซนา และอาจใช้โดรนในการตรวจสอบโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าการผลิตชิปจาก TSMC US มีต้นทุนสูงกว่าจากไต้หวันถึง 20% ➡️ สาเหตุหลักคือค่าแรง, ค่าขนส่งอุปกรณ์, และความไม่พร้อมของ supply chain ✅ TSMC ขยายโรงงานในรัฐแอริโซนาอย่างรวดเร็วหลังได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ เพื่อลดการพึ่งพาไต้หวันในด้านการผลิตชิปขั้นสูง ✅ AMD เป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของ TSMC US โดยสั่งผลิตชิป 4nm และมีแผนขยายไปถึง 2nm ➡️ ใช้สำหรับ EPYC Venice CPU ในตลาด data center ✅ Lisa Su คาดว่าตลาด accelerator จะมีมูลค่าถึง $500 พันล้านภายใน 5 ปี ➡️ สะท้อนความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ✅ TSMC วางแผนจะผลิตชิปขั้นสูงกว่า 30% จากโรงงานในแอริโซนา ➡️ และอาจใช้โดรนในการตรวจสอบโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ https://wccftech.com/amd-ceo-lisa-su-says-sourcing-ai-chips-from-tsmc-us-plants-is-more-expensive/
    WCCFTECH.COM
    AMD CEO Lisa Su Says Sourcing AI Chips From TSMC’s U.S. Plants Is 20% More Expensive, Highlighting the Complications of Building Supply Chains in America
    While TSMC US operations are seeing massive attraction from American clients, AMD's CEO Lisa Su says it is still a very expensive venture.
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากงานแต่งที่ไม่ใช่แค่เรื่องรัก: เมื่อลูกสาว Steve Jobs จัดงานแต่งที่สะท้อนทั้ง Silicon Valley และความหรูหราแบบอังกฤษ

    Eve Jobs วัย 27 ปี แม้จะเป็นทายาทของบุคคลที่เปลี่ยนโลกเทคโนโลยี แต่เธอเลือกเดินเส้นทางของตัวเองในวงการแฟชั่น และหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อเสียงของพ่อเพื่อเข้าสู่วงการไอที

    งานแต่งของเธอกับ Harry Charles นักกีฬาขี่ม้าทีมชาติอังกฤษ จะจัดขึ้นใน Oxfordshire ประเทศอังกฤษ โดยมี:
    - งบประมาณกว่า $6.7 ล้าน
    - ผู้จัดงานคือ Stanlee Gatti นักออกแบบงานอีเวนต์ชื่อดังจากแคลิฟอร์เนีย
    - คาดว่าจะมีการตกแต่งด้วยดอกไม้ immersive, สวนเทียน, และบรรยากาศแบบเทพนิยาย

    แขกที่ได้รับเชิญ ได้แก่:
    - Elton John (แสดงสด)
    - Kamala Harris (อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ)
    - เจ้าหญิง Beatrice
    - Jessica Springsteen
    - Jennifer และ Phoebe Gates
    - Matt Helders (Arctic Monkeys)

    แม้หลายคนจะคิดว่า Eve ใช้เงินจากมรดกของ Steve Jobs แต่ Laurene Powell Jobs แม่ของเธอเคยประกาศชัดว่าไม่เชื่อใน “การส่งต่อความมั่งคั่ง” และจะใช้ทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนงานการกุศลแทน

    งานแต่งนี้จึงสะท้อนว่า Eve กำลัง “นิยามใหม่” ของการสืบทอดชื่อ Jobs — ไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยี แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความสง่างามในแบบของเธอเอง

    https://wccftech.com/steve-jobs-daughter-to-host-6-7m-high-profile-tech-wedding-elton-john-performing-kamala-harris-attending-and-oxfordshire-bracing-for-a-star-studded-affair/
    🎙️ เรื่องเล่าจากงานแต่งที่ไม่ใช่แค่เรื่องรัก: เมื่อลูกสาว Steve Jobs จัดงานแต่งที่สะท้อนทั้ง Silicon Valley และความหรูหราแบบอังกฤษ Eve Jobs วัย 27 ปี แม้จะเป็นทายาทของบุคคลที่เปลี่ยนโลกเทคโนโลยี แต่เธอเลือกเดินเส้นทางของตัวเองในวงการแฟชั่น และหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อเสียงของพ่อเพื่อเข้าสู่วงการไอที งานแต่งของเธอกับ Harry Charles นักกีฬาขี่ม้าทีมชาติอังกฤษ จะจัดขึ้นใน Oxfordshire ประเทศอังกฤษ โดยมี: - งบประมาณกว่า $6.7 ล้าน - ผู้จัดงานคือ Stanlee Gatti นักออกแบบงานอีเวนต์ชื่อดังจากแคลิฟอร์เนีย - คาดว่าจะมีการตกแต่งด้วยดอกไม้ immersive, สวนเทียน, และบรรยากาศแบบเทพนิยาย แขกที่ได้รับเชิญ ได้แก่: - Elton John (แสดงสด) - Kamala Harris (อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ) - เจ้าหญิง Beatrice - Jessica Springsteen - Jennifer และ Phoebe Gates - Matt Helders (Arctic Monkeys) แม้หลายคนจะคิดว่า Eve ใช้เงินจากมรดกของ Steve Jobs แต่ Laurene Powell Jobs แม่ของเธอเคยประกาศชัดว่าไม่เชื่อใน “การส่งต่อความมั่งคั่ง” และจะใช้ทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนงานการกุศลแทน งานแต่งนี้จึงสะท้อนว่า Eve กำลัง “นิยามใหม่” ของการสืบทอดชื่อ Jobs — ไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยี แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความสง่างามในแบบของเธอเอง https://wccftech.com/steve-jobs-daughter-to-host-6-7m-high-profile-tech-wedding-elton-john-performing-kamala-harris-attending-and-oxfordshire-bracing-for-a-star-studded-affair/
    WCCFTECH.COM
    Steve Jobs’ Daughter To Host $6.7M High-Profile Tech Wedding - Elton John Performing, Kamala Harris Attending, And Oxfordshire Bracing For A Star-Studded Affair
    Eve Jobs, daughter of Apple's co-founder Steve Jobs is grabbing headlines for tying the knot in rather lavish wedding affair
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากกระเป๋าเงินดิจิทัลที่กิน SSD: เมื่อ MetaMask เขียนข้อมูลลงดิสก์แบบไม่หยุดพัก

    ผู้ใช้ชื่อ “ripper31337” รายงานผ่าน GitHub ว่า MetaMask เขียนข้อมูลลง SSD มากถึง 25TB ภายใน 3 เดือน โดยแม้จะไม่ได้ล็อกอินเข้าใช้งาน ส่วนขยายก็ยังเขียนข้อมูลต่อเนื่องที่ความเร็ว 5MB/s — เทียบเท่ากับ 420GB ต่อวัน หรือ 38TB ใน 3 เดือน

    นักพัฒนา MetaMask ชื่อ Mark “Gudahtt” Stacey ยืนยันว่าบั๊กนี้มีอยู่จริง และเกิดจากการจัดการ “state” ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติในบางผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อมต่อกับ dApps จำนวนมากหรือมี NFT/โทเคนจำนวนมากในบัญชี

    บริษัท Consensys เจ้าของ MetaMask ระบุว่า:

    “แม้การเขียน state ลงดิสก์จะเป็นพฤติกรรมปกติของ wallet แบบ browser extension แต่เรากำลังหาวิธีลดขนาด state เพื่อแก้ปัญหานี้”

    ผู้ใช้บางรายพบไฟล์ Synaptics.exe ที่ถูกสร้างใน C:\ProgramData\ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มัลแวร์มักใช้ซ่อนตัว — แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่า MetaMask มีมัลแวร์ แต่การเขียนข้อมูลจำนวนมากโดยไม่แจ้งเตือนถือเป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อ SSD และความปลอดภัยของระบบ

    MetaMask เวอร์ชัน Chrome extension มีบั๊กที่เขียนข้อมูลลง SSD หลายร้อย GB ต่อวัน
    แม้จะไม่ได้ล็อกอิน ส่วนขยายก็ยังทำงานอยู่เบื้องหลัง

    ผู้ใช้รายหนึ่งพบว่า SSD ของตนถูกเขียนข้อมูลถึง 25TB ภายใน 3 เดือน
    ความเร็วการเขียนอยู่ที่ประมาณ 5MB/s ตลอดเวลา

    นักพัฒนา MetaMask ยืนยันว่าบั๊กนี้มีอยู่จริง และเกิดจาก state ที่มีขนาดใหญ่
    โดยเฉพาะผู้ใช้ที่เชื่อมต่อกับ dApps หรือมี NFT จำนวนมาก

    Consensys ระบุว่ากำลังหาวิธีลดขนาด state เพื่อแก้ปัญหา
    และยอมรับว่าการเขียน state เป็นพฤติกรรมปกติของ wallet แบบ extension

    บั๊กนี้ส่งผลต่อผู้ใช้บน Chrome, Edge และ Opera ที่ใช้ MetaMask extension
    Firefox ไม่ได้รับผลกระทบในรายงานนี้

    SSD ที่ได้รับผลกระทบมีการเขียนข้อมูลถึง 26.5TB ตาม CrystalDiskInfo
    แม้จะไม่ถึง 38TB แต่ก็ถือว่าเป็นปริมาณที่สูงผิดปกติ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/metamask-crypto-wallet-chrome-extension-is-eating-ssd-storage-at-an-alarming-rate-owner-confirms-bug-has-been-writing-hundreds-of-gigabytes-of-data-per-day-into-users-solid-state-drives
    🎙️ เรื่องเล่าจากกระเป๋าเงินดิจิทัลที่กิน SSD: เมื่อ MetaMask เขียนข้อมูลลงดิสก์แบบไม่หยุดพัก ผู้ใช้ชื่อ “ripper31337” รายงานผ่าน GitHub ว่า MetaMask เขียนข้อมูลลง SSD มากถึง 25TB ภายใน 3 เดือน โดยแม้จะไม่ได้ล็อกอินเข้าใช้งาน ส่วนขยายก็ยังเขียนข้อมูลต่อเนื่องที่ความเร็ว 5MB/s — เทียบเท่ากับ 420GB ต่อวัน หรือ 38TB ใน 3 เดือน นักพัฒนา MetaMask ชื่อ Mark “Gudahtt” Stacey ยืนยันว่าบั๊กนี้มีอยู่จริง และเกิดจากการจัดการ “state” ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติในบางผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อมต่อกับ dApps จำนวนมากหรือมี NFT/โทเคนจำนวนมากในบัญชี บริษัท Consensys เจ้าของ MetaMask ระบุว่า: 🔖 “แม้การเขียน state ลงดิสก์จะเป็นพฤติกรรมปกติของ wallet แบบ browser extension แต่เรากำลังหาวิธีลดขนาด state เพื่อแก้ปัญหานี้” ผู้ใช้บางรายพบไฟล์ Synaptics.exe ที่ถูกสร้างใน C:\ProgramData\ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มัลแวร์มักใช้ซ่อนตัว — แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่า MetaMask มีมัลแวร์ แต่การเขียนข้อมูลจำนวนมากโดยไม่แจ้งเตือนถือเป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อ SSD และความปลอดภัยของระบบ ✅ MetaMask เวอร์ชัน Chrome extension มีบั๊กที่เขียนข้อมูลลง SSD หลายร้อย GB ต่อวัน ➡️ แม้จะไม่ได้ล็อกอิน ส่วนขยายก็ยังทำงานอยู่เบื้องหลัง ✅ ผู้ใช้รายหนึ่งพบว่า SSD ของตนถูกเขียนข้อมูลถึง 25TB ภายใน 3 เดือน ➡️ ความเร็วการเขียนอยู่ที่ประมาณ 5MB/s ตลอดเวลา ✅ นักพัฒนา MetaMask ยืนยันว่าบั๊กนี้มีอยู่จริง และเกิดจาก state ที่มีขนาดใหญ่ ➡️ โดยเฉพาะผู้ใช้ที่เชื่อมต่อกับ dApps หรือมี NFT จำนวนมาก ✅ Consensys ระบุว่ากำลังหาวิธีลดขนาด state เพื่อแก้ปัญหา ➡️ และยอมรับว่าการเขียน state เป็นพฤติกรรมปกติของ wallet แบบ extension ✅ บั๊กนี้ส่งผลต่อผู้ใช้บน Chrome, Edge และ Opera ที่ใช้ MetaMask extension ➡️ Firefox ไม่ได้รับผลกระทบในรายงานนี้ ✅ SSD ที่ได้รับผลกระทบมีการเขียนข้อมูลถึง 26.5TB ตาม CrystalDiskInfo ➡️ แม้จะไม่ถึง 38TB แต่ก็ถือว่าเป็นปริมาณที่สูงผิดปกติ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/metamask-crypto-wallet-chrome-extension-is-eating-ssd-storage-at-an-alarming-rate-owner-confirms-bug-has-been-writing-hundreds-of-gigabytes-of-data-per-day-into-users-solid-state-drives
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเมืองร้างในแคลิฟอร์เนีย: เมื่อ Fallout ภาคแรกกลับมาในรูปแบบ FPS

    ย้อนกลับไปปี 2020 Berezin เคยโพสต์ภาพ GIF แสดงแนวคิดว่า “ถ้า Fallout 1 เล่นแบบ Doom ได้จะเป็นยังไง” และในปี 2023 เขาเริ่มพัฒนาโปรเจกต์นี้จริงจัง โดยใช้ GZDoom engine ซึ่งเป็นเอนจินที่ใช้สร้าง mod เกม Doom แบบ 2.5D

    Fallout: Bakersfield เน้นพื้นที่ Necropolis จาก Fallout 1 โดย:
    - สร้างฉากใหม่ทั้งหมดในมุมมอง FPS
    - ออกแบบ HUD ให้เหมือน Pip-Boy 2000
    - มีบอสไฟต์กับซูเปอร์มิวแทนต์ Harry
    - รักษาเนื้อเรื่องและบรรยากาศของต้นฉบับ

    แม้จะเรียกว่า “total conversion” แต่จริง ๆ แล้วเน้นแค่พื้นที่ Necropolis และยังไม่ครอบคลุมทั้งเกม Berezin และ Denis (น้องชาย) เป็นผู้พัฒนาเพียงสองคน และโปรเจกต์ยังอยู่ที่ประมาณ 60% โดยไม่มีวันเปิดตัวแน่ชัด — แต่ในเทรลเลอร์มีการแอบใส่เลข “7” ในปีเปิดตัว ซึ่งอาจหมายถึง 2027

    ด้านกฎหมาย Bethesda สนับสนุน mod community มานาน และโปรเจกต์นี้ไม่น่าจะถูกฟ้อง ยกเว้นกรณีที่ ZeniMax หรือ Microsoft เปลี่ยนท่าที ซึ่งดูไม่น่าเป็นไปได้

    ผู้สนใจสามารถสนับสนุน Berezin ผ่าน Boosty (คล้าย Patreon) โดยจ่าย $2.66/เดือนเพื่อดูความคืบหน้า หรือ $266/เดือนเพื่อเข้าถึงข้อมูลก่อนใคร

    Fallout: Bakersfield เป็น mod ที่แปลง Fallout 1 ให้เล่นแบบ FPS ด้วย GZDoom
    พัฒนาโดย Alexander Berezin และ Denis น้องชาย

    เน้นพื้นที่ Necropolis และเนื้อเรื่องเฉพาะส่วนของเมืองร้าง
    มีบอสไฟต์กับซูเปอร์มิวแทนต์ Harry

    ใช้ HUD แบบ Pip-Boy 2000 และกราฟิก 2.5D ที่มีความขัดเงาแบบสมัยใหม่
    สร้างบรรยากาศ Fallout ได้อย่างสมจริง

    โปรเจกต์เริ่มจริงจังในปี 2023 และตอนนี้เสร็จไปประมาณ 60%
    เทรลเลอร์แอบใส่เลข “7” ซึ่งอาจหมายถึงปี 2027

    Bethesda สนับสนุน mod community และไม่น่าจะฟ้องโปรเจกต์นี้
    Fallout: London ก็เคยได้รับการสนับสนุน แม้จะถูกเลื่อนจาก patch โดยไม่ตั้งใจ

    Berezin เปิด Boosty ให้ผู้สนใจสนับสนุนและติดตามความคืบหน้า
    $2.66/เดือนสำหรับข้อมูลทั่วไป และ $266/เดือนสำหรับข้อมูลล่วงหน้า

    https://www.techspot.com/news/108783-3d-conversion-fallout-1-using-gzdoom-can-have.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเมืองร้างในแคลิฟอร์เนีย: เมื่อ Fallout ภาคแรกกลับมาในรูปแบบ FPS ย้อนกลับไปปี 2020 Berezin เคยโพสต์ภาพ GIF แสดงแนวคิดว่า “ถ้า Fallout 1 เล่นแบบ Doom ได้จะเป็นยังไง” และในปี 2023 เขาเริ่มพัฒนาโปรเจกต์นี้จริงจัง โดยใช้ GZDoom engine ซึ่งเป็นเอนจินที่ใช้สร้าง mod เกม Doom แบบ 2.5D Fallout: Bakersfield เน้นพื้นที่ Necropolis จาก Fallout 1 โดย: - สร้างฉากใหม่ทั้งหมดในมุมมอง FPS - ออกแบบ HUD ให้เหมือน Pip-Boy 2000 - มีบอสไฟต์กับซูเปอร์มิวแทนต์ Harry - รักษาเนื้อเรื่องและบรรยากาศของต้นฉบับ แม้จะเรียกว่า “total conversion” แต่จริง ๆ แล้วเน้นแค่พื้นที่ Necropolis และยังไม่ครอบคลุมทั้งเกม Berezin และ Denis (น้องชาย) เป็นผู้พัฒนาเพียงสองคน และโปรเจกต์ยังอยู่ที่ประมาณ 60% โดยไม่มีวันเปิดตัวแน่ชัด — แต่ในเทรลเลอร์มีการแอบใส่เลข “7” ในปีเปิดตัว ซึ่งอาจหมายถึง 2027 ด้านกฎหมาย Bethesda สนับสนุน mod community มานาน และโปรเจกต์นี้ไม่น่าจะถูกฟ้อง ยกเว้นกรณีที่ ZeniMax หรือ Microsoft เปลี่ยนท่าที ซึ่งดูไม่น่าเป็นไปได้ ผู้สนใจสามารถสนับสนุน Berezin ผ่าน Boosty (คล้าย Patreon) โดยจ่าย $2.66/เดือนเพื่อดูความคืบหน้า หรือ $266/เดือนเพื่อเข้าถึงข้อมูลก่อนใคร ✅ Fallout: Bakersfield เป็น mod ที่แปลง Fallout 1 ให้เล่นแบบ FPS ด้วย GZDoom ➡️ พัฒนาโดย Alexander Berezin และ Denis น้องชาย ✅ เน้นพื้นที่ Necropolis และเนื้อเรื่องเฉพาะส่วนของเมืองร้าง ➡️ มีบอสไฟต์กับซูเปอร์มิวแทนต์ Harry ✅ ใช้ HUD แบบ Pip-Boy 2000 และกราฟิก 2.5D ที่มีความขัดเงาแบบสมัยใหม่ ➡️ สร้างบรรยากาศ Fallout ได้อย่างสมจริง ✅ โปรเจกต์เริ่มจริงจังในปี 2023 และตอนนี้เสร็จไปประมาณ 60% ➡️ เทรลเลอร์แอบใส่เลข “7” ซึ่งอาจหมายถึงปี 2027 ✅ Bethesda สนับสนุน mod community และไม่น่าจะฟ้องโปรเจกต์นี้ ➡️ Fallout: London ก็เคยได้รับการสนับสนุน แม้จะถูกเลื่อนจาก patch โดยไม่ตั้งใจ ✅ Berezin เปิด Boosty ให้ผู้สนใจสนับสนุนและติดตามความคืบหน้า ➡️ $2.66/เดือนสำหรับข้อมูลทั่วไป และ $266/เดือนสำหรับข้อมูลล่วงหน้า https://www.techspot.com/news/108783-3d-conversion-fallout-1-using-gzdoom-can-have.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    This 3D conversion of Fallout 1 using GZDoom can have all my money right now
    Over the weekend, Berezin posted a video showcasing what he calls a "total conversion" of Fallout using the GZDoom engine – and it looks spectacular (below). He...
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเมาส์ที่ไม่ควรมีพิษ: เมื่อไฟล์จากเว็บทางการกลายเป็นช่องทางแพร่มัลแวร์

    เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อผู้ใช้ Reddit ดาวน์โหลดเครื่องมือปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 จากเว็บไซต์ของ Endgame Gear เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 แล้วพบพฤติกรรมผิดปกติในระบบ

    หลังตรวจสอบ พบว่าไฟล์นั้นถูกฝังมัลแวร์ XRed ซึ่งเป็น backdoor trojan ที่มีความสามารถขั้นสูง:
    - ขโมยข้อมูลระบบและส่งออกผ่าน SMTP
    - สร้างโฟลเดอร์ซ่อนที่ C:\ProgramData\Synaptics\
    - แก้ไข Windows Registry เพื่อให้มัลแวร์อยู่รอดหลังรีสตาร์ต
    - แพร่กระจายผ่าน USB เหมือนหนอน (worm)

    ผู้ใช้พบว่า Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือนใด ๆ และลบไฟล์ติดมัลแวร์ออกอย่างเงียบ ๆ

    แม้บริษัทจะออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์จริง และให้คำแนะนำในการตรวจสอบและลบออกจากระบบ แต่ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบกำลังเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO (Information Commissioner’s Office) ในสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที

    Endgame Gear แจกจ่ายไฟล์ปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 ที่มีมัลแวร์ XRed ฝังอยู่
    ไฟล์ถูกดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ ไม่ใช่ mirror หรือ third-party

    XRed เป็น backdoor trojan ที่สามารถขโมยข้อมูลและอยู่รอดในระบบ
    ใช้โฟลเดอร์ซ่อน, แก้ Registry, และแพร่ผ่าน USB

    ผู้ใช้พบไฟล์ Synaptics.exe ที่ติดมัลแวร์ใน C:\ProgramData\Synaptics\
    เป็นตำแหน่งที่มัลแวร์ใช้ซ่อนตัว

    Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือน
    ผู้ใช้พบว่าไฟล์ก่อนวันที่ 17 เป็นเวอร์ชันที่ติดมัลแวร์

    บริษัทออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์ และให้คำแนะนำในการลบออก
    ระบุว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะไฟล์นั้น และไฟล์อื่นปลอดภัย

    ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR
    เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที

    ไฟล์ติดมัลแวร์มาจากเว็บไซต์ทางการของ Endgame Gear
    แสดงถึงความเสี่ยงจาก supply chain compromise หรือการจัดการไฟล์ที่ประมาท

    บริษัทเปลี่ยนไฟล์โดยไม่แจ้งเตือนหรือออกประกาศต่อสาธารณะ
    อาจเข้าข่ายละเมิด GDPR ซึ่งกำหนดให้ต้องแจ้งเหตุการณ์ที่กระทบต่อข้อมูลส่วนตัว

    XRed มีความสามารถในการอยู่รอดหลังรีสตาร์ตและแพร่ผ่าน USB
    อาจทำให้มัลแวร์กระจายไปยังอุปกรณ์อื่นโดยไม่รู้ตัว

    การไม่ตรวจสอบไฟล์ก่อนปล่อยให้ดาวน์โหลดจาก CDN เป็นความเสี่ยงร้ายแรง
    อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ supply chain ในอนาคต

    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าระบบติดมัลแวร์ เพราะไม่มีการแจ้งเตือนจากบริษัท
    ควรตรวจสอบไฟล์ที่ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม และลบออกทันที

    https://www.techspot.com/news/108773-malware-found-endgame-gear-official-mouse-configuration-utility.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเมาส์ที่ไม่ควรมีพิษ: เมื่อไฟล์จากเว็บทางการกลายเป็นช่องทางแพร่มัลแวร์ เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อผู้ใช้ Reddit ดาวน์โหลดเครื่องมือปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 จากเว็บไซต์ของ Endgame Gear เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 แล้วพบพฤติกรรมผิดปกติในระบบ หลังตรวจสอบ พบว่าไฟล์นั้นถูกฝังมัลแวร์ XRed ซึ่งเป็น backdoor trojan ที่มีความสามารถขั้นสูง: - ขโมยข้อมูลระบบและส่งออกผ่าน SMTP - สร้างโฟลเดอร์ซ่อนที่ C:\ProgramData\Synaptics\ - แก้ไข Windows Registry เพื่อให้มัลแวร์อยู่รอดหลังรีสตาร์ต - แพร่กระจายผ่าน USB เหมือนหนอน (worm) ผู้ใช้พบว่า Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือนใด ๆ และลบไฟล์ติดมัลแวร์ออกอย่างเงียบ ๆ แม้บริษัทจะออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์จริง และให้คำแนะนำในการตรวจสอบและลบออกจากระบบ แต่ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบกำลังเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO (Information Commissioner’s Office) ในสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที ✅ Endgame Gear แจกจ่ายไฟล์ปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 ที่มีมัลแวร์ XRed ฝังอยู่ ➡️ ไฟล์ถูกดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ ไม่ใช่ mirror หรือ third-party ✅ XRed เป็น backdoor trojan ที่สามารถขโมยข้อมูลและอยู่รอดในระบบ ➡️ ใช้โฟลเดอร์ซ่อน, แก้ Registry, และแพร่ผ่าน USB ✅ ผู้ใช้พบไฟล์ Synaptics.exe ที่ติดมัลแวร์ใน C:\ProgramData\Synaptics\ ➡️ เป็นตำแหน่งที่มัลแวร์ใช้ซ่อนตัว ✅ Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือน ➡️ ผู้ใช้พบว่าไฟล์ก่อนวันที่ 17 เป็นเวอร์ชันที่ติดมัลแวร์ ✅ บริษัทออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์ และให้คำแนะนำในการลบออก ➡️ ระบุว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะไฟล์นั้น และไฟล์อื่นปลอดภัย ✅ ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR ➡️ เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที ‼️ ไฟล์ติดมัลแวร์มาจากเว็บไซต์ทางการของ Endgame Gear ⛔ แสดงถึงความเสี่ยงจาก supply chain compromise หรือการจัดการไฟล์ที่ประมาท ‼️ บริษัทเปลี่ยนไฟล์โดยไม่แจ้งเตือนหรือออกประกาศต่อสาธารณะ ⛔ อาจเข้าข่ายละเมิด GDPR ซึ่งกำหนดให้ต้องแจ้งเหตุการณ์ที่กระทบต่อข้อมูลส่วนตัว ‼️ XRed มีความสามารถในการอยู่รอดหลังรีสตาร์ตและแพร่ผ่าน USB ⛔ อาจทำให้มัลแวร์กระจายไปยังอุปกรณ์อื่นโดยไม่รู้ตัว ‼️ การไม่ตรวจสอบไฟล์ก่อนปล่อยให้ดาวน์โหลดจาก CDN เป็นความเสี่ยงร้ายแรง ⛔ อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ supply chain ในอนาคต ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าระบบติดมัลแวร์ เพราะไม่มีการแจ้งเตือนจากบริษัท ⛔ ควรตรวจสอบไฟล์ที่ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม และลบออกทันที https://www.techspot.com/news/108773-malware-found-endgame-gear-official-mouse-configuration-utility.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Malware found in Endgame's mouse config utility
    Endgame Gear recently distributed a malicious software package bundled with the official configuration tool for its OP1w 4K V2 wireless gaming mouse. Customers discovered the issue the...
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากศูนย์กลางใหม่ของ AI: เมื่ออินเดียกลายเป็น “สมองส่วนกลาง” ของบริษัทระดับโลก

    อินเดียเคยถูกมองว่าเป็นแหล่ง “แรงงานราคาถูก” สำหรับงาน back-office แต่ตอนนี้ GCCs กลายเป็นศูนย์กลางด้าน AI ที่มีบทบาทสำคัญ เช่น:
    - วิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์อุตสาหกรรม
    - แนะนำสินค้าแบบ personalized
    - ควบคุมระบบจากระยะไกล เช่น ตู้เย็นของ Tesco ทั่วโลก

    Tesco เป็นตัวอย่างชัดเจน: จากเดิมที่ใช้ศูนย์ Bengaluru เพื่อลดต้นทุน ตอนนี้มีพนักงาน 5,000 คนที่ใช้ AI วิเคราะห์อุณหภูมิตู้เย็นทั่วโลก และช่วยลดการสูญเสียอาหารได้หลายล้านปอนด์ต่อปี

    บริษัทอย่าง McDonald’s และ Bupa กำลังตั้ง GCCs เพื่อรับมือกับปัญหาการจ้างงานด้าน AI ในตลาดตะวันตกที่มีต้นทุนสูงและบุคลากรขาดแคลน

    แม้อินเดียจะยังตามหลังสหรัฐฯ และจีนในด้านนวัตกรรม AI แต่ GCCs สามารถใช้โมเดลจากบริษัทแม่ เช่น LLMs และเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูง เพื่อสร้างคุณค่าใหม่กลับไปยังสำนักงานใหญ่

    การเติบโตของ GCCs:
    - รายได้จาก back-office เพิ่มจาก $11.5B ในปี 2010 เป็น $65B ในปี 2021
    - พนักงานเพิ่มจาก 400,000 เป็น 1.8 ล้านคน
    - คาดว่าจะถึง $100B ในปี 2030
    - งานด้าน R&D เพิ่มจาก 45% เป็น 55% ของรายได้ในช่วง 8 ปี

    รัฐ Karnataka ซึ่งมี GCCs มากที่สุดในอินเดีย (40%) กำลังผลักดันให้ประเทศกลายเป็น “ระบบนิเวศแห่งนวัตกรรม” ไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการ

    https://www.techspot.com/news/108762-ai-hiring-woes-pushing-companies-like-mcdonald-bupa.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากศูนย์กลางใหม่ของ AI: เมื่ออินเดียกลายเป็น “สมองส่วนกลาง” ของบริษัทระดับโลก อินเดียเคยถูกมองว่าเป็นแหล่ง “แรงงานราคาถูก” สำหรับงาน back-office แต่ตอนนี้ GCCs กลายเป็นศูนย์กลางด้าน AI ที่มีบทบาทสำคัญ เช่น: - วิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์อุตสาหกรรม - แนะนำสินค้าแบบ personalized - ควบคุมระบบจากระยะไกล เช่น ตู้เย็นของ Tesco ทั่วโลก Tesco เป็นตัวอย่างชัดเจน: จากเดิมที่ใช้ศูนย์ Bengaluru เพื่อลดต้นทุน ตอนนี้มีพนักงาน 5,000 คนที่ใช้ AI วิเคราะห์อุณหภูมิตู้เย็นทั่วโลก และช่วยลดการสูญเสียอาหารได้หลายล้านปอนด์ต่อปี บริษัทอย่าง McDonald’s และ Bupa กำลังตั้ง GCCs เพื่อรับมือกับปัญหาการจ้างงานด้าน AI ในตลาดตะวันตกที่มีต้นทุนสูงและบุคลากรขาดแคลน แม้อินเดียจะยังตามหลังสหรัฐฯ และจีนในด้านนวัตกรรม AI แต่ GCCs สามารถใช้โมเดลจากบริษัทแม่ เช่น LLMs และเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูง เพื่อสร้างคุณค่าใหม่กลับไปยังสำนักงานใหญ่ การเติบโตของ GCCs: - รายได้จาก back-office เพิ่มจาก $11.5B ในปี 2010 เป็น $65B ในปี 2021 - พนักงานเพิ่มจาก 400,000 เป็น 1.8 ล้านคน - คาดว่าจะถึง $100B ในปี 2030 - งานด้าน R&D เพิ่มจาก 45% เป็น 55% ของรายได้ในช่วง 8 ปี รัฐ Karnataka ซึ่งมี GCCs มากที่สุดในอินเดีย (40%) กำลังผลักดันให้ประเทศกลายเป็น “ระบบนิเวศแห่งนวัตกรรม” ไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการ https://www.techspot.com/news/108762-ai-hiring-woes-pushing-companies-like-mcdonald-bupa.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI hiring woes are pushing some companies like McDonald's and Bupa to India's "tech hubs"
    The movement is not simply a play for lower labor costs; it reflects an escalating need for advanced AI abilities that are in short supply at home...
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังของ AI ที่เชื่อมต่อทุกอย่าง: เมื่อ MCP กลายเป็นช่องโหว่ใหม่ของโลก agentic AI

    MCP ทำหน้าที่คล้าย API โดยเป็นตัวกลางระหว่าง AI agent กับแหล่งข้อมูล เช่น PayPal, Zapier, Shopify หรือระบบภายในองค์กร เพื่อให้ AI ดึงข้อมูลหรือสั่งงานได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อเอง

    แต่การเปิด MCP server โดยไม่ระวัง อาจทำให้เกิดช่องโหว่ร้ายแรง เช่น:
    - การเข้าถึงข้อมูลข้าม tenant
    - การโจมตีแบบ prompt injection ที่แฝงมากับคำขอจากผู้ใช้
    - การใช้ MCP server ปลอมที่มีคำสั่งอันตรายฝังอยู่
    - การขโมย token และ takeover บัญชี
    - การใช้ MCP server ที่เชื่อมต่อกันแบบ “composability chaining” เพื่อหลบการตรวจจับ

    นักวิจัยจากหลายองค์กร เช่น UpGuard, Invariant Labs, CyberArk และ Palo Alto Networks ได้แสดงตัวอย่างการโจมตีจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และเตือนว่าองค์กรต้องมีมาตรการป้องกัน เช่น:
    - ตรวจสอบ source ของ MCP server
    - ใช้ least privilege และ human-in-the-loop
    - ตรวจสอบข้อความที่ส่งไปยัง LLM อย่างละเอียด
    - ไม่เปิด MCP server ให้ใช้งานภายนอกโดยไม่มีการยืนยันตัวตน

    10 อันดับช่องโหว่ของ MCP ที่องค์กรต้องระวัง
    1. Cross-tenant data exposure
    ผู้ใช้จาก tenant หนึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลของ tenant อื่นได้ หากไม่มีการแยกสิทธิ์อย่างชัดเจน
    ข้อมูลภายในองค์กรอาจรั่วไปยังลูกค้า หรือพันธมิตรโดยไม่ตั้งใจ
    ต้องใช้การแยก tenant และ least privilege อย่างเข้มงวด

    2. Living off AI attacks
    แฮกเกอร์แฝง prompt injection ในคำขอที่ดู harmless แล้วส่งผ่านมนุษย์ไปยัง AI agent
    AI อาจรันคำสั่งอันตรายโดยไม่รู้ตัว
    ต้องมีการตรวจสอบข้อความก่อนส่งไปยัง LLM และใช้ human-in-the-loop

    3. Tool poisoning
    MCP server ปลอมอาจมีคำสั่งอันตรายฝังใน metadata เช่น function name หรือ error message
    การติดตั้ง server โดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มาเสี่ยงต่อการโดน “rug pull”
    ต้องตรวจสอบ source, permissions และ source code ก่อนใช้งาน

    4. Toxic agent flows via trusted platforms
    ใช้แพลตฟอร์มที่ดูปลอดภัย เช่น GitHub เป็นช่องทางแฝง prompt injection
    AI agent อาจรันคำสั่งจาก public repo โดยไม่รู้ว่ามีคำสั่งอันตราย
    ต้องมีการยืนยัน tool call และตรวจสอบข้อความจากแหล่งภายนอก

    5. Token theft and account takeover
    หาก token ถูกเก็บแบบไม่เข้ารหัสใน config file อาจถูกขโมยและใช้สร้าง MCP server ปลอม
    การเข้าถึง Gmail หรือระบบอื่นผ่าน token จะไม่ถูกตรวจจับว่าเป็นการ login ผิดปกติ
    ต้องเข้ารหัส token และตรวจสอบการใช้งาน API อย่างสม่ำเสมอ

    6. Composability chaining
    MCP server ปลอมอาจเชื่อมต่อกับ server อื่นที่มีคำสั่งอันตราย แล้วรวมผลลัพธ์ส่งให้ AI
    แม้จะไม่ได้เชื่อมต่อกับ server ปลอมโดยตรง ก็ยังถูกโจมตีได้
    ต้องตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่ MCP server ใช้ และจำกัดการเชื่อมต่อแบบ chain

    7. User consent fatigue
    ผู้ใช้ถูกขออนุมัติหลายครั้งจนเริ่มกด “อนุมัติ” โดยไม่อ่าน
    คำขออันตรายอาจแฝงมากับคำขอ harmless
    ต้องออกแบบระบบอนุมัติให้มี context และจำกัดคำขอซ้ำซ้อน

    8. Admin bypass
    MCP server ไม่ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ ทำให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลเกินสิทธิ์
    อาจเกิดจาก insider หรือผู้ใช้ภายนอกที่เข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์ทุกคำขอ และจำกัดการเข้าถึงตาม role

    9. Command injection
    MCP server ส่ง input ไปยังระบบอื่นโดยไม่ตรวจสอบ ทำให้เกิดการ inject คำสั่ง
    คล้าย SQL injection แต่เกิดในระบบ AI agent
    ต้องใช้ input validation และ parameterized commands

    10. Tool shadowing
    MCP server ปลอม redirect ข้อมูลจาก server จริงไปยังผู้โจมตี
    การโจมตีอาจไม่ปรากฏใน audit log และตรวจจับได้ยาก
    ต้องตรวจสอบการใช้งานของ AI agent และจำกัดการเข้าถึง MCP หลายตัวพร้อมกัน

    https://www.csoonline.com/article/4023795/top-10-mcp-vulnerabilities.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังของ AI ที่เชื่อมต่อทุกอย่าง: เมื่อ MCP กลายเป็นช่องโหว่ใหม่ของโลก agentic AI MCP ทำหน้าที่คล้าย API โดยเป็นตัวกลางระหว่าง AI agent กับแหล่งข้อมูล เช่น PayPal, Zapier, Shopify หรือระบบภายในองค์กร เพื่อให้ AI ดึงข้อมูลหรือสั่งงานได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อเอง แต่การเปิด MCP server โดยไม่ระวัง อาจทำให้เกิดช่องโหว่ร้ายแรง เช่น: - การเข้าถึงข้อมูลข้าม tenant - การโจมตีแบบ prompt injection ที่แฝงมากับคำขอจากผู้ใช้ - การใช้ MCP server ปลอมที่มีคำสั่งอันตรายฝังอยู่ - การขโมย token และ takeover บัญชี - การใช้ MCP server ที่เชื่อมต่อกันแบบ “composability chaining” เพื่อหลบการตรวจจับ นักวิจัยจากหลายองค์กร เช่น UpGuard, Invariant Labs, CyberArk และ Palo Alto Networks ได้แสดงตัวอย่างการโจมตีจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และเตือนว่าองค์กรต้องมีมาตรการป้องกัน เช่น: - ตรวจสอบ source ของ MCP server - ใช้ least privilege และ human-in-the-loop - ตรวจสอบข้อความที่ส่งไปยัง LLM อย่างละเอียด - ไม่เปิด MCP server ให้ใช้งานภายนอกโดยไม่มีการยืนยันตัวตน 🧠 10 อันดับช่องโหว่ของ MCP ที่องค์กรต้องระวัง 1. ✅ Cross-tenant data exposure ➡️ ผู้ใช้จาก tenant หนึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลของ tenant อื่นได้ หากไม่มีการแยกสิทธิ์อย่างชัดเจน ‼️ ข้อมูลภายในองค์กรอาจรั่วไปยังลูกค้า หรือพันธมิตรโดยไม่ตั้งใจ ⛔ ต้องใช้การแยก tenant และ least privilege อย่างเข้มงวด 2. ✅ Living off AI attacks ➡️ แฮกเกอร์แฝง prompt injection ในคำขอที่ดู harmless แล้วส่งผ่านมนุษย์ไปยัง AI agent ‼️ AI อาจรันคำสั่งอันตรายโดยไม่รู้ตัว ⛔ ต้องมีการตรวจสอบข้อความก่อนส่งไปยัง LLM และใช้ human-in-the-loop 3. ✅ Tool poisoning ➡️ MCP server ปลอมอาจมีคำสั่งอันตรายฝังใน metadata เช่น function name หรือ error message ‼️ การติดตั้ง server โดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มาเสี่ยงต่อการโดน “rug pull” ⛔ ต้องตรวจสอบ source, permissions และ source code ก่อนใช้งาน 4. ✅ Toxic agent flows via trusted platforms ➡️ ใช้แพลตฟอร์มที่ดูปลอดภัย เช่น GitHub เป็นช่องทางแฝง prompt injection ‼️ AI agent อาจรันคำสั่งจาก public repo โดยไม่รู้ว่ามีคำสั่งอันตราย ⛔ ต้องมีการยืนยัน tool call และตรวจสอบข้อความจากแหล่งภายนอก 5. ✅ Token theft and account takeover ➡️ หาก token ถูกเก็บแบบไม่เข้ารหัสใน config file อาจถูกขโมยและใช้สร้าง MCP server ปลอม ‼️ การเข้าถึง Gmail หรือระบบอื่นผ่าน token จะไม่ถูกตรวจจับว่าเป็นการ login ผิดปกติ ⛔ ต้องเข้ารหัส token และตรวจสอบการใช้งาน API อย่างสม่ำเสมอ 6. ✅ Composability chaining ➡️ MCP server ปลอมอาจเชื่อมต่อกับ server อื่นที่มีคำสั่งอันตราย แล้วรวมผลลัพธ์ส่งให้ AI ‼️ แม้จะไม่ได้เชื่อมต่อกับ server ปลอมโดยตรง ก็ยังถูกโจมตีได้ ⛔ ต้องตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่ MCP server ใช้ และจำกัดการเชื่อมต่อแบบ chain 7. ✅ User consent fatigue ➡️ ผู้ใช้ถูกขออนุมัติหลายครั้งจนเริ่มกด “อนุมัติ” โดยไม่อ่าน ‼️ คำขออันตรายอาจแฝงมากับคำขอ harmless ⛔ ต้องออกแบบระบบอนุมัติให้มี context และจำกัดคำขอซ้ำซ้อน 8. ✅ Admin bypass ➡️ MCP server ไม่ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ ทำให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลเกินสิทธิ์ ‼️ อาจเกิดจาก insider หรือผู้ใช้ภายนอกที่เข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ⛔ ต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์ทุกคำขอ และจำกัดการเข้าถึงตาม role 9. ✅ Command injection ➡️ MCP server ส่ง input ไปยังระบบอื่นโดยไม่ตรวจสอบ ทำให้เกิดการ inject คำสั่ง ‼️ คล้าย SQL injection แต่เกิดในระบบ AI agent ⛔ ต้องใช้ input validation และ parameterized commands 10. ✅ Tool shadowing ➡️ MCP server ปลอม redirect ข้อมูลจาก server จริงไปยังผู้โจมตี ‼️ การโจมตีอาจไม่ปรากฏใน audit log และตรวจจับได้ยาก ⛔ ต้องตรวจสอบการใช้งานของ AI agent และจำกัดการเข้าถึง MCP หลายตัวพร้อมกัน https://www.csoonline.com/article/4023795/top-10-mcp-vulnerabilities.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Top 10 MCP vulnerabilities: The hidden risks of AI integrations
    Model Context Protocol (MCP) use is increasing in popularity for connecting AI agents to data sources, and other services. But so too are vulnerabilities that bring unique risks to agentic systems.
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากการเชื่อมต่อที่ไม่สะดุด: เมื่อ RDP Multipath ทำให้ Remote Desktop “ฉลาดขึ้น”

    Windows 365 เป็นบริการที่ให้ผู้ใช้เชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการ Windows บนคลาวด์ ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคทำงานแบบไฮบริด โดยเฉพาะช่วง COVID-19

    ล่าสุด Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ RDP Multipath ซึ่ง:
    - ประเมินเส้นทางเครือข่าย UDP หลายเส้นทางอย่างต่อเนื่อง
    - เลือกเส้นทางที่เสถียรที่สุดแบบเรียลไทม์
    - มีเส้นทางสำรองที่สลับอัตโนมัติเมื่อเส้นทางหลักล้มเหลว

    ข้อดีของ RDP Multipath ได้แก่:
    - ไม่ต้องเปลี่ยนค่าการตั้งค่ามาก
    - ลด latency และเพิ่มความเสถียร
    - มีระบบแสดงข้อมูลการเชื่อมต่อผ่าน connection bar
    - รองรับการจัดการแบบ dynamic โดยไม่ต้องรอให้การเชื่อมต่อล้มเหลวก่อน

    ฟีเจอร์นี้รองรับบน:
    - Microsoft Remote Desktop Client (MSRDC) เวอร์ชัน 1.2.6074
    - Windows App เวอร์ชัน 2.0.366.0 หรือใหม่กว่า

    Microsoft จะทยอยเปิดใช้งานใน Windows 365 และ AVD แบบ phased rollout เพื่อเก็บข้อมูลเชิงลึกจากการใช้งานจริงก่อนประกาศเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ

    https://www.neowin.net/news/windows-365-gets-big-rdp-upgrade/
    🎙️ เรื่องเล่าจากการเชื่อมต่อที่ไม่สะดุด: เมื่อ RDP Multipath ทำให้ Remote Desktop “ฉลาดขึ้น” Windows 365 เป็นบริการที่ให้ผู้ใช้เชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการ Windows บนคลาวด์ ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคทำงานแบบไฮบริด โดยเฉพาะช่วง COVID-19 ล่าสุด Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ RDP Multipath ซึ่ง: - ประเมินเส้นทางเครือข่าย UDP หลายเส้นทางอย่างต่อเนื่อง - เลือกเส้นทางที่เสถียรที่สุดแบบเรียลไทม์ - มีเส้นทางสำรองที่สลับอัตโนมัติเมื่อเส้นทางหลักล้มเหลว ข้อดีของ RDP Multipath ได้แก่: - ไม่ต้องเปลี่ยนค่าการตั้งค่ามาก - ลด latency และเพิ่มความเสถียร - มีระบบแสดงข้อมูลการเชื่อมต่อผ่าน connection bar - รองรับการจัดการแบบ dynamic โดยไม่ต้องรอให้การเชื่อมต่อล้มเหลวก่อน ฟีเจอร์นี้รองรับบน: - Microsoft Remote Desktop Client (MSRDC) เวอร์ชัน 1.2.6074 - Windows App เวอร์ชัน 2.0.366.0 หรือใหม่กว่า Microsoft จะทยอยเปิดใช้งานใน Windows 365 และ AVD แบบ phased rollout เพื่อเก็บข้อมูลเชิงลึกจากการใช้งานจริงก่อนประกาศเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ https://www.neowin.net/news/windows-365-gets-big-rdp-upgrade/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows 365 gets big RDP upgrade
    Microsoft has announced a major network upgrade for customers connecting to Windows 365 and Azure Virtual Desktop (AVD).
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากคลังภาพที่มีชีวิต: เมื่อ Google Photos เปลี่ยนภาพนิ่งให้กลายเป็นวิดีโอด้วย AI

    Google Photos เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ 3 อย่างที่ใช้ AI เพื่อให้ผู้ใช้ “เล่นกับภาพ” ได้มากขึ้น:

    1️⃣. Photo-to-Video Generator
    ผู้ใช้สามารถเลือกภาพจากแกลเลอรี แล้วใส่ prompt ง่าย ๆ เช่น “Subtle movements” หรือ “I’m feeling lucky” เพื่อให้ AI สร้างวิดีโอสั้นความยาว 6 วินาที — คล้ายกับฟีเจอร์ใน Gemini หรือ TikTok AI Alive แต่ควบคุมได้น้อยกว่า

    2️⃣. Remix
    ฟีเจอร์นี้ใช้ style transfer เพื่อเปลี่ยนภาพให้เป็นรูปแบบศิลปะ เช่น:
    - ภาพสัตว์เลี้ยงกลายเป็นอนิเมะ
    - ภาพคนกลายเป็นการ์ตูนหรือ 3D animation

    จะเริ่มทยอยเปิดให้ใช้ในสหรัฐฯ ทั้งบน Android และ iOS ภายในไม่กี่สัปดาห์

    3️⃣. Create Tab
    Google เพิ่มแท็บใหม่ชื่อ “Create” เป็นศูนย์รวมฟีเจอร์สร้างสรรค์ทั้งหมด เช่น:
    - Collage
    - Highlight video
    - Photo-to-video
    - Remix

    จะเริ่มปรากฏในแอปช่วงเดือนสิงหาคม

    เพื่อความโปร่งใส Google ใช้ SynthID watermark แบบมองไม่เห็นในเนื้อหาที่สร้างด้วย AI และเพิ่มลายน้ำที่มองเห็นในวิดีโอที่สร้างขึ้น — เหมือนกับที่ใช้ในฟีเจอร์ ReImagine

    https://www.neowin.net/news/google-photos-app-updated-with-ai-that-turns-your-pictures-into-short-videos/
    🎙️ เรื่องเล่าจากคลังภาพที่มีชีวิต: เมื่อ Google Photos เปลี่ยนภาพนิ่งให้กลายเป็นวิดีโอด้วย AI Google Photos เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ 3 อย่างที่ใช้ AI เพื่อให้ผู้ใช้ “เล่นกับภาพ” ได้มากขึ้น: 1️⃣. Photo-to-Video Generator ผู้ใช้สามารถเลือกภาพจากแกลเลอรี แล้วใส่ prompt ง่าย ๆ เช่น “Subtle movements” หรือ “I’m feeling lucky” เพื่อให้ AI สร้างวิดีโอสั้นความยาว 6 วินาที — คล้ายกับฟีเจอร์ใน Gemini หรือ TikTok AI Alive แต่ควบคุมได้น้อยกว่า 2️⃣. Remix ฟีเจอร์นี้ใช้ style transfer เพื่อเปลี่ยนภาพให้เป็นรูปแบบศิลปะ เช่น: - ภาพสัตว์เลี้ยงกลายเป็นอนิเมะ - ภาพคนกลายเป็นการ์ตูนหรือ 3D animation จะเริ่มทยอยเปิดให้ใช้ในสหรัฐฯ ทั้งบน Android และ iOS ภายในไม่กี่สัปดาห์ 3️⃣. Create Tab Google เพิ่มแท็บใหม่ชื่อ “Create” เป็นศูนย์รวมฟีเจอร์สร้างสรรค์ทั้งหมด เช่น: - Collage - Highlight video - Photo-to-video - Remix จะเริ่มปรากฏในแอปช่วงเดือนสิงหาคม เพื่อความโปร่งใส Google ใช้ SynthID watermark แบบมองไม่เห็นในเนื้อหาที่สร้างด้วย AI และเพิ่มลายน้ำที่มองเห็นในวิดีโอที่สร้างขึ้น — เหมือนกับที่ใช้ในฟีเจอร์ ReImagine https://www.neowin.net/news/google-photos-app-updated-with-ai-that-turns-your-pictures-into-short-videos/
    WWW.NEOWIN.NET
    Google Photos app updated with AI that turns your pictures into short videos
    Google has updated Photos with new AI features, including one that can transform images in your gallery into videos.
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • จะเป็นฟองสบู่ AI หรือเปล่านะ

    เรื่องเล่าจาก AI ที่ไม่ขอข้อมูลเรา: เมื่อ Proton สร้าง Lumo เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว

    Lumo เป็นแชตบอทคล้าย ChatGPT หรือ Copilot แต่เน้นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว:
    - ไม่เก็บ log การสนทนา
    - แชตถูกเข้ารหัสและเก็บไว้เฉพาะในอุปกรณ์ของผู้ใช้
    - ไม่แชร์ข้อมูลกับบุคคลที่สาม, โฆษณา หรือรัฐบาล
    - ไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการเทรนโมเดล AI

    แม้จะไม่มีฟีเจอร์ขั้นสูงอย่าง voice mode หรือ image generation แต่ Lumo รองรับ:
    - การวิเคราะห์ไฟล์ที่อัปโหลด
    - การเข้าถึงเอกสารใน Proton Drive
    - การค้นหาข้อมูลผ่าน search engine ที่เน้นความเป็นส่วนตัว (เปิดใช้งานได้ตามต้องการ)

    Lumo มีให้ใช้งานใน 3 ระดับ:

    1️⃣ Guest mode — ไม่ต้องสมัคร Proton แต่จำกัดจำนวนคำถามต่อสัปดาห์
    2️⃣ Free Proton account — ถามได้มากขึ้น, เข้าถึงประวัติแชต, อัปโหลดไฟล์ได้
    3️⃣ Lumo Plus — $12.99/เดือน หรือ $119.88/ปี พร้อมฟีเจอร์เต็ม เช่น unlimited chats, extended history, และอัปโหลดไฟล์ขนาดใหญ่

    Andy Yen ซีอีโอของ Proton กล่าวว่า:
    “AI ไม่ควรกลายเป็นเครื่องมือสอดแนมที่ทรงพลังที่สุดในโลก — เราสร้าง Lumo เพื่อให้ผู้ใช้มาก่อนผลกำไร”

    Proton เปิดตัวผู้ช่วย AI ชื่อ Lumo ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย
    ไม่เก็บ log, เข้ารหัสแชต, และไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการเทรนโมเดล

    Lumo รองรับการวิเคราะห์ไฟล์และเข้าถึง Proton Drive
    ช่วยให้ใช้งานกับเอกสารส่วนตัวได้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูล

    รองรับการค้นหาข้อมูลผ่าน search engine ที่เน้นความเป็นส่วนตัว
    เปิดใช้งานได้ตามต้องการเพื่อควบคุมความเสี่ยง

    มีให้ใช้งานใน 3 ระดับ: Guest, Free Account, และ Lumo Plus
    Lumo Plus ราคา $12.99/เดือน หรือ $119.88/ปี พร้อมฟีเจอร์เต็ม

    Andy Yen ซีอีโอของ Proton ย้ำว่า Lumo คือทางเลือกที่ไม่เอาข้อมูลผู้ใช้ไปแลกกับ AI
    เป็นการตอบโต้แนวทางของ Big Tech ที่ใช้ AI เพื่อเก็บข้อมูล

    Lumo ใช้โมเดล LLM แบบโอเพ่นซอร์ส
    เพิ่มความโปร่งใสและตรวจสอบได้

    Lumo ยังไม่มีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น voice mode หรือ image generation
    อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสามารถแบบมัลติมีเดีย

    Guest mode มีข้อจำกัดด้านจำนวนคำถามและฟีเจอร์
    ผู้ใช้ต้องสมัคร Proton เพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

    แม้จะไม่เก็บ log แต่การวิเคราะห์ไฟล์ยังต้องอาศัยความเชื่อมั่นในระบบ
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่าไฟล์ที่อัปโหลดไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่น

    การใช้ search engine ภายนอกแม้จะเน้นความเป็นส่วนตัว ก็ยังมีความเสี่ยงหากเปิดใช้งานโดยไม่ระวัง
    ควรเลือก search engine ที่มีนโยบายชัดเจน เช่น DuckDuckGo หรือ Startpage

    การใช้โมเดลโอเพ่นซอร์สอาจมีข้อจำกัดด้านความแม่นยำเมื่อเทียบกับโมเดลเชิงพาณิชย์
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบคำตอบก่อนนำไปใช้งานจริง โดยเฉพาะในบริบทสำคัญ

    https://www.neowin.net/news/proton-launches-lumo-privacy-focused-ai-assistant-with-encrypted-chats/
    จะเป็นฟองสบู่ AI หรือเปล่านะ 🎙️ เรื่องเล่าจาก AI ที่ไม่ขอข้อมูลเรา: เมื่อ Proton สร้าง Lumo เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว Lumo เป็นแชตบอทคล้าย ChatGPT หรือ Copilot แต่เน้นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว: - ไม่เก็บ log การสนทนา - แชตถูกเข้ารหัสและเก็บไว้เฉพาะในอุปกรณ์ของผู้ใช้ - ไม่แชร์ข้อมูลกับบุคคลที่สาม, โฆษณา หรือรัฐบาล - ไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการเทรนโมเดล AI แม้จะไม่มีฟีเจอร์ขั้นสูงอย่าง voice mode หรือ image generation แต่ Lumo รองรับ: - การวิเคราะห์ไฟล์ที่อัปโหลด - การเข้าถึงเอกสารใน Proton Drive - การค้นหาข้อมูลผ่าน search engine ที่เน้นความเป็นส่วนตัว (เปิดใช้งานได้ตามต้องการ) Lumo มีให้ใช้งานใน 3 ระดับ: 1️⃣ Guest mode — ไม่ต้องสมัคร Proton แต่จำกัดจำนวนคำถามต่อสัปดาห์ 2️⃣ Free Proton account — ถามได้มากขึ้น, เข้าถึงประวัติแชต, อัปโหลดไฟล์ได้ 3️⃣ Lumo Plus — $12.99/เดือน หรือ $119.88/ปี พร้อมฟีเจอร์เต็ม เช่น unlimited chats, extended history, และอัปโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ Andy Yen ซีอีโอของ Proton กล่าวว่า: 🔖 “AI ไม่ควรกลายเป็นเครื่องมือสอดแนมที่ทรงพลังที่สุดในโลก — เราสร้าง Lumo เพื่อให้ผู้ใช้มาก่อนผลกำไร” ✅ Proton เปิดตัวผู้ช่วย AI ชื่อ Lumo ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย ➡️ ไม่เก็บ log, เข้ารหัสแชต, และไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการเทรนโมเดล ✅ Lumo รองรับการวิเคราะห์ไฟล์และเข้าถึง Proton Drive ➡️ ช่วยให้ใช้งานกับเอกสารส่วนตัวได้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูล ✅ รองรับการค้นหาข้อมูลผ่าน search engine ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ➡️ เปิดใช้งานได้ตามต้องการเพื่อควบคุมความเสี่ยง ✅ มีให้ใช้งานใน 3 ระดับ: Guest, Free Account, และ Lumo Plus ➡️ Lumo Plus ราคา $12.99/เดือน หรือ $119.88/ปี พร้อมฟีเจอร์เต็ม ✅ Andy Yen ซีอีโอของ Proton ย้ำว่า Lumo คือทางเลือกที่ไม่เอาข้อมูลผู้ใช้ไปแลกกับ AI ➡️ เป็นการตอบโต้แนวทางของ Big Tech ที่ใช้ AI เพื่อเก็บข้อมูล ✅ Lumo ใช้โมเดล LLM แบบโอเพ่นซอร์ส ➡️ เพิ่มความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ‼️ Lumo ยังไม่มีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น voice mode หรือ image generation ⛔ อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสามารถแบบมัลติมีเดีย ‼️ Guest mode มีข้อจำกัดด้านจำนวนคำถามและฟีเจอร์ ⛔ ผู้ใช้ต้องสมัคร Proton เพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ‼️ แม้จะไม่เก็บ log แต่การวิเคราะห์ไฟล์ยังต้องอาศัยความเชื่อมั่นในระบบ ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่าไฟล์ที่อัปโหลดไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่น ‼️ การใช้ search engine ภายนอกแม้จะเน้นความเป็นส่วนตัว ก็ยังมีความเสี่ยงหากเปิดใช้งานโดยไม่ระวัง ⛔ ควรเลือก search engine ที่มีนโยบายชัดเจน เช่น DuckDuckGo หรือ Startpage ‼️ การใช้โมเดลโอเพ่นซอร์สอาจมีข้อจำกัดด้านความแม่นยำเมื่อเทียบกับโมเดลเชิงพาณิชย์ ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบคำตอบก่อนนำไปใช้งานจริง โดยเฉพาะในบริบทสำคัญ https://www.neowin.net/news/proton-launches-lumo-privacy-focused-ai-assistant-with-encrypted-chats/
    WWW.NEOWIN.NET
    Proton launches Lumo, privacy-focused AI assistant with encrypted chats
    In the sea of AI assistants and chatbots, Proton's new Lumo stands out by offering users privacy and confidentiality.
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากมัลแวร์ที่ปลอมตัวเป็น Chrome: เมื่อ Interlock แรนซัมแวร์ใช้ CAPTCHA หลอกให้รันคำสั่งเอง

    Interlock ถูกตรวจพบครั้งแรกในเดือนกันยายน 2024 และมีการโจมตีเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2025 โดย FBI พบว่า:
    - กลุ่มนี้พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับทั้ง Windows และ Linux
    - เน้นโจมตีระบบ virtual machine (VM) และใช้เทคนิคใหม่ในการเข้าถึงระบบ

    เทคนิคที่ใช้มีความแปลกใหม่ เช่น:
    - “Drive-by download” จากเว็บไซต์ที่ถูกแฮก โดยปลอมเป็นอัปเดตของ Chrome, Edge, FortiClient หรือ Cisco Secure Client
    - “ClickFix” — หลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วคัดลอกคำสั่งไปวางในหน้าต่าง Run ของระบบ

    เมื่อเข้าระบบได้แล้ว Interlock จะ:
    - ใช้ web shell และ Cobalt Strike เพื่อควบคุมระบบ
    - ขโมยข้อมูล เช่น username, password และใช้ keylogger บันทึกการพิมพ์
    - เข้ารหัสไฟล์และเปลี่ยนนามสกุลเป็น .interlock หรือ .1nt3rlock
    - ส่งโน้ตร้องขอค่าไถ่ผ่านเว็บไซต์ .onion โดยไม่ระบุจำนวนเงิน
    - ข่มขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่เป็น Bitcoin — และเคยทำจริงหลายครั้ง

    FBI, CISA, HHS และ MS-ISAC แนะนำให้ทุกองค์กรเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน เช่น:
    - ใช้ DNS filtering และ firewall เพื่อป้องกันการเข้าถึงเว็บอันตราย
    - อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ทั้งหมด
    - ใช้ MFA และจัดการสิทธิ์การเข้าถึงอย่างเข้มงวด
    - แบ่งเครือข่ายเพื่อลดการแพร่กระจาย
    - สำรองข้อมูลแบบ offline และไม่สามารถแก้ไขได้ (immutable backup)

    FBI และ CISA เตือนภัย Interlock ransomware ที่โจมตีองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
    ใช้เทคนิค double extortion คือทั้งเข้ารหัสและข่มขู่เปิดเผยข้อมูล

    Interlock พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับ Windows และ Linux โดยเน้นโจมตี VM
    ใช้เทคนิคใหม่ เช่น drive-by download และ ClickFix

    ClickFix คือการหลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วรันคำสั่งอันตรายเอง
    เป็นการใช้ social engineering ที่แยบยลและยากต่อการตรวจจับ

    หลังเข้าระบบ Interlock ใช้ Cobalt Strike และ web shell เพื่อควบคุมและขโมยข้อมูล
    รวมถึงการใช้ keylogger เพื่อดักจับการพิมพ์

    ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสจะมีนามสกุล .interlock หรือ .1nt3rlock
    โน้ตร้องขอค่าไถ่ไม่ระบุจำนวนเงิน แต่ให้ติดต่อผ่าน Tor

    หน่วยงานแนะนำให้ใช้ DNS filtering, MFA, network segmentation และ backup แบบ immutable
    พร้อมทรัพยากรฟรีจากโครงการ #StopRansomware

    https://hackread.com/fbi-cisa-interlock-ransomware-target-critical-infrastructure/
    🎙️ เรื่องเล่าจากมัลแวร์ที่ปลอมตัวเป็น Chrome: เมื่อ Interlock แรนซัมแวร์ใช้ CAPTCHA หลอกให้รันคำสั่งเอง Interlock ถูกตรวจพบครั้งแรกในเดือนกันยายน 2024 และมีการโจมตีเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2025 โดย FBI พบว่า: - กลุ่มนี้พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับทั้ง Windows และ Linux - เน้นโจมตีระบบ virtual machine (VM) และใช้เทคนิคใหม่ในการเข้าถึงระบบ เทคนิคที่ใช้มีความแปลกใหม่ เช่น: - “Drive-by download” จากเว็บไซต์ที่ถูกแฮก โดยปลอมเป็นอัปเดตของ Chrome, Edge, FortiClient หรือ Cisco Secure Client - “ClickFix” — หลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วคัดลอกคำสั่งไปวางในหน้าต่าง Run ของระบบ เมื่อเข้าระบบได้แล้ว Interlock จะ: - ใช้ web shell และ Cobalt Strike เพื่อควบคุมระบบ - ขโมยข้อมูล เช่น username, password และใช้ keylogger บันทึกการพิมพ์ - เข้ารหัสไฟล์และเปลี่ยนนามสกุลเป็น .interlock หรือ .1nt3rlock - ส่งโน้ตร้องขอค่าไถ่ผ่านเว็บไซต์ .onion โดยไม่ระบุจำนวนเงิน - ข่มขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่เป็น Bitcoin — และเคยทำจริงหลายครั้ง FBI, CISA, HHS และ MS-ISAC แนะนำให้ทุกองค์กรเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน เช่น: - ใช้ DNS filtering และ firewall เพื่อป้องกันการเข้าถึงเว็บอันตราย - อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ทั้งหมด - ใช้ MFA และจัดการสิทธิ์การเข้าถึงอย่างเข้มงวด - แบ่งเครือข่ายเพื่อลดการแพร่กระจาย - สำรองข้อมูลแบบ offline และไม่สามารถแก้ไขได้ (immutable backup) ✅ FBI และ CISA เตือนภัย Interlock ransomware ที่โจมตีองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ➡️ ใช้เทคนิค double extortion คือทั้งเข้ารหัสและข่มขู่เปิดเผยข้อมูล ✅ Interlock พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับ Windows และ Linux โดยเน้นโจมตี VM ➡️ ใช้เทคนิคใหม่ เช่น drive-by download และ ClickFix ✅ ClickFix คือการหลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วรันคำสั่งอันตรายเอง ➡️ เป็นการใช้ social engineering ที่แยบยลและยากต่อการตรวจจับ ✅ หลังเข้าระบบ Interlock ใช้ Cobalt Strike และ web shell เพื่อควบคุมและขโมยข้อมูล ➡️ รวมถึงการใช้ keylogger เพื่อดักจับการพิมพ์ ✅ ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสจะมีนามสกุล .interlock หรือ .1nt3rlock ➡️ โน้ตร้องขอค่าไถ่ไม่ระบุจำนวนเงิน แต่ให้ติดต่อผ่าน Tor ✅ หน่วยงานแนะนำให้ใช้ DNS filtering, MFA, network segmentation และ backup แบบ immutable ➡️ พร้อมทรัพยากรฟรีจากโครงการ #StopRansomware https://hackread.com/fbi-cisa-interlock-ransomware-target-critical-infrastructure/
    HACKREAD.COM
    FBI and CISA Warn of Interlock Ransomware Targeting Critical Infrastructure
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • ดาวมฤตยู โคจรเข้าภพราศีการเงินของโลก
    ยังไม่ได้หา vampire currency method ของสกุลเงิน กลุ่ม BRICS โดยคุณ เจมส์ ริคาร์ดส์

    Currency Wars: The Making of the Next Global Crisis - James Rickards - Google Books https://share.google/IOJU41PZsVylz1CiH
    ดาวมฤตยู โคจรเข้าภพราศีการเงินของโลก ยังไม่ได้หา vampire currency method ของสกุลเงิน กลุ่ม BRICS โดยคุณ เจมส์ ริคาร์ดส์ Currency Wars: The Making of the Next Global Crisis - James Rickards - Google Books https://share.google/IOJU41PZsVylz1CiH
    SHARE.GOOGLE
    Currency Wars
    Dive into the gripping world of international ecocomics through American lawyer, investment banker, media commentator, and author, James G. Rickards's expertise and thought-provoking insights.From collapsed paper currencies and hidden agendas of soveriegn wealth funds to the very real threats of national security, James G. Rickards scrutinizes the history and disastrous outcomes of currency wars, shedding light on the potential crisis that looms over the United States and the world. Rickards dissects failed paradigms and conventional theories while offering a course of action to steer away from impending disaster.
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • ผ่านวีคเอนด์แห่งความรักมาแล้ว วันนี้คุยกันเรื่องประเพณีงานแต่งงาน
    ความมีอยู่ว่า

    ... ครั้นกู้ถิงเยี่ยยกน้ำชาให้เสิ้งหงและฮูหยินจนเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว เจ้าสาวที่แต่งกายแต่งหน้าอย่างเต็มที่พร้อมผ้าคลุมหน้าก็ถูกแม่เฒ่าป๋าวพาก้าวเนิบๆ เข้าโถงใหญ่มา กู้ถิงเยี่ยไม่กระพริบตา เขาพาหมิงหลันค้อมกายลงคำนับอำลาเสิ้งหงและฮูหยิน ...

    - จากเรื่อง <หมิงหลัน บุปผาเคียงใจ> ผู้แต่ง กวนซินเจ๋อล่วน
    (หมายเหตุ ชื่อตามหนังสือฉบับแปลอย่างเป็นทางการ ละครเรื่องตำนานหมิงหลันดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ในหนังสือ (ตามความข้างบน) หมิงหลันมีผ้าคลุมหน้าตอนแต่งงาน แต่ในละครกลับใช้เป็นพัดกลมบังหน้า (ดูจากรูปของละคร เปรียบเทียบกับรูปเจ้าสาวคลุมหน้าทั่วไป) มีเพื่อนเพจสงสัยกันบ้างไหมว่า ต่างกันอย่างไร? และประเพณีที่ถูกต้องควรเป็นเช่นไร?

    ไม่ว่าจะเป็นพัดหรือผ้าคลุมหน้า ล้วนเป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นกุลสตรีของเจ้าสาว เพราะสมัยโบราณถือว่าการเผยหน้าต่อสาธารณะชนเป็นการประพฤติตนไม่งาม

    แต่ประเพณีแต่โบราณดั้งเดิมคือการถือพัด ว่ากันว่า เป็นไปตามตำนานปรำปราเรื่องของหนี่ว์วาและพี่ชายฝูซี สองพี่น้องเทพยดาผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนเขาคุนลุ้น ต่อมาแต่งงานกันและสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์จากดินเหนียว โดยตามตำนานนางรู้สึกเขินอายเมื่อต้องแต่งงานกับพี่ชาย จึงใช้พัดที่ถักจากหญ้ามาบังใบหน้าไว้ จึงเกิดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติขึ้น ต่อมาเพิ่มเติมเป็นเคล็ดใช้บังเจ้าสาวจากสิ่งอัปมงคล

    ประวัติศาสตร์มีจารึกไว้เรื่องประเพณีเจ้าสาวถือพัดมาแต่ราชวงศ์เหนือใต้ (ปีค.ศ. 420-589) โดยในสมัยราชวงศ์ซ่ง เจ้าสาวต้องถือพัดไว้ตลอดจนกว่าจะถูกส่งเข้าห้องหอ โดยพัดที่ใช้เป็นพัดรูปทรงกลมหรือทรงผีเสื้อ พออยู่ในห้องหอจึงวางพัดลงได้ ขั้นตอนวางพัดนี้มีชื่อเรียกว่า “เชวี่ยซ่าน” (却扇)

    และในยุคสมัยราชวงศ์ซ่งนี้เอง ได้เริ่มมีการใช้ผ้าคลุมหน้า ซึ่งเดิมเพียงพาดไว้บนศีรษะเพื่อบังความหนาว ต่อมากลายเป็นการคลุมทั้งหน้าลงมาและทดแทนการถือพัด และภายหลังจากราชวงศ์ซ่งเป็นต้นมา ก็เลิกใช้พัดปิดหน้า เปลี่ยนมาใช้ผ้าคลุมหน้าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติแทน

    เนื่องจากเรื่อง หมิงหลันฯ นี้เป็นเรื่องราวในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการถือพัดแบบในละคร หรือการคลุมผ้าปิดหน้าแบบในหนังสือ ล้วนถูกต้องตามประเพณีของสมัยนั้นทั้งคู่ค่ะ

    Credit รูปภาพจาก:
    https://dramapanda.com/2019/01/the-story-of-minglan-wedding-between.html
    http://www.bgushi.com/archives/2236
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://k.sina.cn/article_6482315882_182604a6a00100heft.html
    http://www.3yan.cn/question/982793

    #หมิงหลัน #ราชวงศ์ซ่ง #ประเพณีจินโบราณ #ชุดเจ้าสาวจีน #พัดบังหน้า #StoryfromStory
    ผ่านวีคเอนด์แห่งความรักมาแล้ว วันนี้คุยกันเรื่องประเพณีงานแต่งงาน ความมีอยู่ว่า ... ครั้นกู้ถิงเยี่ยยกน้ำชาให้เสิ้งหงและฮูหยินจนเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว เจ้าสาวที่แต่งกายแต่งหน้าอย่างเต็มที่พร้อมผ้าคลุมหน้าก็ถูกแม่เฒ่าป๋าวพาก้าวเนิบๆ เข้าโถงใหญ่มา กู้ถิงเยี่ยไม่กระพริบตา เขาพาหมิงหลันค้อมกายลงคำนับอำลาเสิ้งหงและฮูหยิน ... - จากเรื่อง <หมิงหลัน บุปผาเคียงใจ> ผู้แต่ง กวนซินเจ๋อล่วน (หมายเหตุ ชื่อตามหนังสือฉบับแปลอย่างเป็นทางการ ละครเรื่องตำนานหมิงหลันดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ในหนังสือ (ตามความข้างบน) หมิงหลันมีผ้าคลุมหน้าตอนแต่งงาน แต่ในละครกลับใช้เป็นพัดกลมบังหน้า (ดูจากรูปของละคร เปรียบเทียบกับรูปเจ้าสาวคลุมหน้าทั่วไป) มีเพื่อนเพจสงสัยกันบ้างไหมว่า ต่างกันอย่างไร? และประเพณีที่ถูกต้องควรเป็นเช่นไร? ไม่ว่าจะเป็นพัดหรือผ้าคลุมหน้า ล้วนเป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นกุลสตรีของเจ้าสาว เพราะสมัยโบราณถือว่าการเผยหน้าต่อสาธารณะชนเป็นการประพฤติตนไม่งาม แต่ประเพณีแต่โบราณดั้งเดิมคือการถือพัด ว่ากันว่า เป็นไปตามตำนานปรำปราเรื่องของหนี่ว์วาและพี่ชายฝูซี สองพี่น้องเทพยดาผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนเขาคุนลุ้น ต่อมาแต่งงานกันและสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์จากดินเหนียว โดยตามตำนานนางรู้สึกเขินอายเมื่อต้องแต่งงานกับพี่ชาย จึงใช้พัดที่ถักจากหญ้ามาบังใบหน้าไว้ จึงเกิดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติขึ้น ต่อมาเพิ่มเติมเป็นเคล็ดใช้บังเจ้าสาวจากสิ่งอัปมงคล ประวัติศาสตร์มีจารึกไว้เรื่องประเพณีเจ้าสาวถือพัดมาแต่ราชวงศ์เหนือใต้ (ปีค.ศ. 420-589) โดยในสมัยราชวงศ์ซ่ง เจ้าสาวต้องถือพัดไว้ตลอดจนกว่าจะถูกส่งเข้าห้องหอ โดยพัดที่ใช้เป็นพัดรูปทรงกลมหรือทรงผีเสื้อ พออยู่ในห้องหอจึงวางพัดลงได้ ขั้นตอนวางพัดนี้มีชื่อเรียกว่า “เชวี่ยซ่าน” (却扇) และในยุคสมัยราชวงศ์ซ่งนี้เอง ได้เริ่มมีการใช้ผ้าคลุมหน้า ซึ่งเดิมเพียงพาดไว้บนศีรษะเพื่อบังความหนาว ต่อมากลายเป็นการคลุมทั้งหน้าลงมาและทดแทนการถือพัด และภายหลังจากราชวงศ์ซ่งเป็นต้นมา ก็เลิกใช้พัดปิดหน้า เปลี่ยนมาใช้ผ้าคลุมหน้าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติแทน เนื่องจากเรื่อง หมิงหลันฯ นี้เป็นเรื่องราวในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการถือพัดแบบในละคร หรือการคลุมผ้าปิดหน้าแบบในหนังสือ ล้วนถูกต้องตามประเพณีของสมัยนั้นทั้งคู่ค่ะ Credit รูปภาพจาก: https://dramapanda.com/2019/01/the-story-of-minglan-wedding-between.html http://www.bgushi.com/archives/2236 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://k.sina.cn/article_6482315882_182604a6a00100heft.html http://www.3yan.cn/question/982793 #หมิงหลัน #ราชวงศ์ซ่ง #ประเพณีจินโบราณ #ชุดเจ้าสาวจีน #พัดบังหน้า #StoryfromStory
    DRAMAPANDA.COM
    The Story of Minglan wedding between Minglan and Gu Tingye - DramaPanda
    The latest developments in The Story of Minglan 知否知否应是绿肥红瘦 have been pure bliss and a stark contrast to the tragedy dealt in past episodes. With their separate storylines finally converging, Gu Tingye succeeds in pursuing Minglan and they get married (this happens on episode 40)! Truth be told, I started the show mainly for Zhao Liying, more so because it’s her drama with real-life hubby Feng Shaofeng though it didn’t take long before I was completely hooked to everything else about it. Despite complaints about the slow pace, I wouldn’t have it any other way because even as the characters go about dealing with the most
    1 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากช่องโหว่ที่ไม่มีใครรู้: เมื่อ SharePoint กลายเป็นประตูหลังของการจารกรรมไซเบอร์

    Microsoft ระบุว่า:
    - ช่องโหว่นี้เกิดใน SharePoint เวอร์ชัน on-premises (ที่องค์กรติดตั้งเอง) ไม่ใช่เวอร์ชัน cloud
    - กลุ่มแฮกเกอร์จีนที่ถูกกล่าวหาคือ Linen Typhoon, Violent Typhoon และ Storm-2603
    - ช่องโหว่ถูกใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2025 ก่อนที่ Microsoft จะเปิดเผยต่อสาธารณะ
    - แฮกเกอร์สามารถ bypass authentication และปลอมตัวเป็นผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิ์

    Google CTO ก็ออกมายืนยันว่าอย่างน้อยหนึ่งกลุ่มมีความเชื่อมโยงกับจีน และ Microsoft ประเมินว่า “กลุ่มอื่น ๆ จะเร่งนำช่องโหว่นี้ไปใช้ต่อ”

    แม้สถานทูตจีนจะออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มีหลักฐาน” และ “จีนต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ทุกรูปแบบ” แต่ Microsoft ยังคงเดินหน้าปล่อยแพตช์ฉุกเฉินเพื่ออุดช่องโหว่ และเตือนผู้ใช้ให้ตรวจสอบระบบอย่างเร่งด่วน

    Microsoft พบช่องโหว่ zero-day ใน SharePoint เวอร์ชัน on-premises ที่ถูกใช้โจมตีองค์กรทั่วโลก
    กลุ่มแฮกเกอร์สามารถปลอมตัวเป็นผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิ์โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    กลุ่มที่ถูกกล่าวหาคือ Linen Typhoon, Violent Typhoon และ Storm-2603
    มีประวัติเกี่ยวข้องกับ ransomware และการจารกรรมไซเบอร์

    ช่องโหว่ถูกใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม ก่อนที่ Microsoft จะเปิดเผยต่อสาธารณะ
    แสดงถึงการโจมตีแบบ targeted และมีการเตรียมการล่วงหน้า

    SharePoint เวอร์ชัน cloud-hosted ไม่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้
    ปัญหาเกิดเฉพาะในระบบที่องค์กรติดตั้งและดูแลเอง

    Microsoft ปล่อยแพตช์ฉุกเฉินและเตือนผู้ใช้ให้ตรวจสอบระบบทันที
    พร้อมประเมินว่ากลุ่มแฮกเกอร์อื่นจะนำช่องโหว่นี้ไปใช้ต่อ

    Google CTO ยืนยันว่ามีความเชื่อมโยงกับจีนในอย่างน้อยหนึ่งกลุ่ม
    เพิ่มน้ำหนักให้กับข้อกล่าวหาของ Microsoft

    https://wccftech.com/microsoft-accuses-chinese-hackers-of-exploiting-critical-sharepoint-zero-day-vulnerability-in-massive-global-cyberattack-targeting-government-agencies-businesses-and-sensitive-infrastructure/
    🎙️ เรื่องเล่าจากช่องโหว่ที่ไม่มีใครรู้: เมื่อ SharePoint กลายเป็นประตูหลังของการจารกรรมไซเบอร์ Microsoft ระบุว่า: - ช่องโหว่นี้เกิดใน SharePoint เวอร์ชัน on-premises (ที่องค์กรติดตั้งเอง) ไม่ใช่เวอร์ชัน cloud - กลุ่มแฮกเกอร์จีนที่ถูกกล่าวหาคือ Linen Typhoon, Violent Typhoon และ Storm-2603 - ช่องโหว่ถูกใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2025 ก่อนที่ Microsoft จะเปิดเผยต่อสาธารณะ - แฮกเกอร์สามารถ bypass authentication และปลอมตัวเป็นผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิ์ Google CTO ก็ออกมายืนยันว่าอย่างน้อยหนึ่งกลุ่มมีความเชื่อมโยงกับจีน และ Microsoft ประเมินว่า “กลุ่มอื่น ๆ จะเร่งนำช่องโหว่นี้ไปใช้ต่อ” แม้สถานทูตจีนจะออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มีหลักฐาน” และ “จีนต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ทุกรูปแบบ” แต่ Microsoft ยังคงเดินหน้าปล่อยแพตช์ฉุกเฉินเพื่ออุดช่องโหว่ และเตือนผู้ใช้ให้ตรวจสอบระบบอย่างเร่งด่วน ✅ Microsoft พบช่องโหว่ zero-day ใน SharePoint เวอร์ชัน on-premises ที่ถูกใช้โจมตีองค์กรทั่วโลก ➡️ กลุ่มแฮกเกอร์สามารถปลอมตัวเป็นผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิ์โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ✅ กลุ่มที่ถูกกล่าวหาคือ Linen Typhoon, Violent Typhoon และ Storm-2603 ➡️ มีประวัติเกี่ยวข้องกับ ransomware และการจารกรรมไซเบอร์ ✅ ช่องโหว่ถูกใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม ก่อนที่ Microsoft จะเปิดเผยต่อสาธารณะ ➡️ แสดงถึงการโจมตีแบบ targeted และมีการเตรียมการล่วงหน้า ✅ SharePoint เวอร์ชัน cloud-hosted ไม่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้ ➡️ ปัญหาเกิดเฉพาะในระบบที่องค์กรติดตั้งและดูแลเอง ✅ Microsoft ปล่อยแพตช์ฉุกเฉินและเตือนผู้ใช้ให้ตรวจสอบระบบทันที ➡️ พร้อมประเมินว่ากลุ่มแฮกเกอร์อื่นจะนำช่องโหว่นี้ไปใช้ต่อ ✅ Google CTO ยืนยันว่ามีความเชื่อมโยงกับจีนในอย่างน้อยหนึ่งกลุ่ม ➡️ เพิ่มน้ำหนักให้กับข้อกล่าวหาของ Microsoft https://wccftech.com/microsoft-accuses-chinese-hackers-of-exploiting-critical-sharepoint-zero-day-vulnerability-in-massive-global-cyberattack-targeting-government-agencies-businesses-and-sensitive-infrastructure/
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเกมเก่าที่เปล่งแสงใหม่: เมื่อ RTX Remix เปลี่ยนเกมยุค 2000 ให้กลายเป็นงานศิลป์

    Nvidia เปิดตัวชุดเครื่องมือ RTX Remix อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยให้ modder เข้าถึง SDK ที่สามารถเพิ่ม path tracing เข้าไปในเกมเก่า — ซึ่งต่างจาก ray tracing ทั่วไป เพราะ path tracing จำลองแสงแบบเต็มระบบ รวมถึงแสงสะท้อน, เงา, และแสงกระจายจากพื้นผิวต่าง ๆ

    การแข่งขันครั้งนี้มีเงินรางวัลรวม $50,000 โดยรางวัลสูงสุดคือ $20,000 ซึ่งจะประกาศผลในวันที่ 5 สิงหาคมนี้

    ตัวอย่างเกมที่ถูกปรับปรุงแล้ว:
    - Vampire: The Masquerade – Bloodlines: ใช้ Source Engine และได้รับการปรับแสงใหม่ทั้งหมด พร้อมรักษาบรรยากาศเดิม
    - Painkiller: เพิ่มแสงแบบ hand-placed, เปลี่ยน texture เป็นแบบ PBR, และเพิ่มเอฟเฟกต์ใหม่
    - Need for Speed: Underground และ Colin McRae Rally 3: ปรับแสง, เพิ่มโมเดลใหม่, และใส่ volumetric lighting
    - Sonic Adventure, Portal 2, Black Mesa, Republic Commando และ Jedi Outcast: อยู่ระหว่างการปรับปรุง

    แม้ path tracing จะใช้ในเกมใหม่อย่าง Cyberpunk 2077 และ Alan Wake 2 แต่ในเกมเก่าที่มี geometry ง่าย ๆ ผลลัพธ์กลับยิ่งน่าทึ่ง เพราะแสงสามารถเปลี่ยนบรรยากาศของเกมได้อย่างสิ้นเชิง

    Nvidia จัดการแข่งขัน RTX Remix Mod Contest เพื่อปรับปรุงเกมเก่าด้วย path tracing
    เงินรางวัลรวม $50,000 โดยรางวัลสูงสุดคือ $20,000

    RTX Remix เป็นเครื่องมือสำหรับเพิ่ม path tracing ในเกม DirectX 8 และ 9
    จำลองแสงแบบเต็มระบบ รวมถึงเงา, แสงสะท้อน, และแสงกระจาย

    เกมที่ถูกปรับปรุงแล้ว ได้แก่ Vampire: Bloodlines, Painkiller, NFS Underground, Colin McRae Rally 3
    มีการเปลี่ยน texture, เพิ่มแสง, และปรับโมเดลใหม่

    Path tracing มีผลชัดเจนในเกมเก่าที่มี geometry ง่าย
    เพราะแสงสามารถเปลี่ยนบรรยากาศของเกมได้อย่างสิ้นเชิง

    Modder ต้องปรับ texture และ material ใหม่เพื่อให้แสงทำงานได้ถูกต้อง
    ไม่ใช่แค่เปิดฟีเจอร์ แต่ต้องปรับโครงสร้างภาพทั้งหมด

    เกมอื่นที่อยู่ระหว่างการปรับปรุง ได้แก่ Portal 2, Sonic Adventure, Black Mesa, Jedi Outcast
    บางเกมสามารถเล่นได้แล้วในเวอร์ชัน mod

    https://www.techspot.com/news/108768-nvidia-rtx-remix-contest-shows-how-ray-tracing.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเกมเก่าที่เปล่งแสงใหม่: เมื่อ RTX Remix เปลี่ยนเกมยุค 2000 ให้กลายเป็นงานศิลป์ Nvidia เปิดตัวชุดเครื่องมือ RTX Remix อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยให้ modder เข้าถึง SDK ที่สามารถเพิ่ม path tracing เข้าไปในเกมเก่า — ซึ่งต่างจาก ray tracing ทั่วไป เพราะ path tracing จำลองแสงแบบเต็มระบบ รวมถึงแสงสะท้อน, เงา, และแสงกระจายจากพื้นผิวต่าง ๆ การแข่งขันครั้งนี้มีเงินรางวัลรวม $50,000 โดยรางวัลสูงสุดคือ $20,000 ซึ่งจะประกาศผลในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ ตัวอย่างเกมที่ถูกปรับปรุงแล้ว: - Vampire: The Masquerade – Bloodlines: ใช้ Source Engine และได้รับการปรับแสงใหม่ทั้งหมด พร้อมรักษาบรรยากาศเดิม - Painkiller: เพิ่มแสงแบบ hand-placed, เปลี่ยน texture เป็นแบบ PBR, และเพิ่มเอฟเฟกต์ใหม่ - Need for Speed: Underground และ Colin McRae Rally 3: ปรับแสง, เพิ่มโมเดลใหม่, และใส่ volumetric lighting - Sonic Adventure, Portal 2, Black Mesa, Republic Commando และ Jedi Outcast: อยู่ระหว่างการปรับปรุง แม้ path tracing จะใช้ในเกมใหม่อย่าง Cyberpunk 2077 และ Alan Wake 2 แต่ในเกมเก่าที่มี geometry ง่าย ๆ ผลลัพธ์กลับยิ่งน่าทึ่ง เพราะแสงสามารถเปลี่ยนบรรยากาศของเกมได้อย่างสิ้นเชิง ✅ Nvidia จัดการแข่งขัน RTX Remix Mod Contest เพื่อปรับปรุงเกมเก่าด้วย path tracing ➡️ เงินรางวัลรวม $50,000 โดยรางวัลสูงสุดคือ $20,000 ✅ RTX Remix เป็นเครื่องมือสำหรับเพิ่ม path tracing ในเกม DirectX 8 และ 9 ➡️ จำลองแสงแบบเต็มระบบ รวมถึงเงา, แสงสะท้อน, และแสงกระจาย ✅ เกมที่ถูกปรับปรุงแล้ว ได้แก่ Vampire: Bloodlines, Painkiller, NFS Underground, Colin McRae Rally 3 ➡️ มีการเปลี่ยน texture, เพิ่มแสง, และปรับโมเดลใหม่ ✅ Path tracing มีผลชัดเจนในเกมเก่าที่มี geometry ง่าย ➡️ เพราะแสงสามารถเปลี่ยนบรรยากาศของเกมได้อย่างสิ้นเชิง ✅ Modder ต้องปรับ texture และ material ใหม่เพื่อให้แสงทำงานได้ถูกต้อง ➡️ ไม่ใช่แค่เปิดฟีเจอร์ แต่ต้องปรับโครงสร้างภาพทั้งหมด ✅ เกมอื่นที่อยู่ระหว่างการปรับปรุง ได้แก่ Portal 2, Sonic Adventure, Black Mesa, Jedi Outcast ➡️ บางเกมสามารถเล่นได้แล้วในเวอร์ชัน mod https://www.techspot.com/news/108768-nvidia-rtx-remix-contest-shows-how-ray-tracing.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nvidia's RTX Remix contest shows how ray tracing can transform classic games, more mods become available
    Nvidia's $50,000 RTX Remix mod contest ends early next month, and around two dozen projects have taken up the challenge to demonstrate how the company's ray tracing...
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากบ้านที่ไม่ฉลาดอีกต่อไป: เมื่อ Google Home กลายเป็นระบบที่ผู้ใช้ต้อง “รีเซ็ตทั้งบ้าน” ทุก 48 ชั่วโมง

    ผู้ใช้ Reddit และ Google Support Forum หลายรายรายงานว่า:
    - Nest Hub ไม่สามารถระบุห้องหรืออุปกรณ์ได้
    - คำสั่งเสียงถูกส่งไปยังอุปกรณ์ผิด
    - กลุ่มอุปกรณ์หายไปจากระบบ
    - ต้องถอดปลั๊กทุกอุปกรณ์แล้วเสียบใหม่ทุก 2 วันเพื่อให้ระบบกลับมาใช้ได้

    โพสต์หนึ่งใน Reddit ชื่อ “The Enshittification of Google Home” ได้รับเกือบ 500 upvotes ภายใน 19 ชั่วโมง และมีผู้ร่วมแชร์ประสบการณ์จำนวนมาก — ทั้งหมดสะท้อนว่า Google Home กลายเป็นระบบที่ไม่เสถียรและขาดการดูแล

    ผู้ใช้บางคนตั้งข้อสงสัยว่า Google อาจ “ปล่อยให้ระบบเสื่อม” เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์รุ่นใหม่ที่ใช้ Gemini AI

    ปัญหานี้ไม่ได้เกิดกับ Google เท่านั้น:
    - Apple autocorrect เริ่มแก้คำผิดบ่อยขึ้น เช่น “bomb” กลายเป็น “Bob”
    - Amazon Alexa ลืมอุปกรณ์หรือไม่ตอบคำสั่งพื้นฐาน
    - ผู้ใช้ต้องหาทางแก้เอง เช่นใช้ระบบ homebrew หรือ workaround

    ผู้ใช้ Google Home รายงานปัญหาจำนวนมาก เช่นอุปกรณ์หาย, คำสั่งผิด, และระบบไม่เสถียร
    ต้องรีเซ็ตระบบทั้งบ้านทุก 48 ชั่วโมงเพื่อให้กลับมาใช้งานได้

    โพสต์ใน Reddit เรื่อง “enshittification” ได้รับความสนใจสูงและมีผู้ร่วมแชร์ประสบการณ์จำนวนมาก
    สะท้อนว่าปัญหาไม่ได้เกิดกับผู้ใช้บางราย แต่เป็นปัญหาเชิงระบบ

    Google ตอบกลับด้วยข้อความทั่วไป เช่น “เรากำลังตรวจสอบ” โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน
    ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าไม่มีการแก้ไขจริง

    ผู้ใช้บางคนสงสัยว่า Google อาจปล่อยให้ระบบเสื่อมเพื่อผลักดันอุปกรณ์ Gemini
    เป็นการสร้างแรงจูงใจให้เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ใหม่

    ปัญหานี้เกิดกับบริษัทเทคโนโลยีหลายราย เช่น Apple และ Amazon
    แสดงถึงการเสื่อมถอยของมาตรฐานในวงการสมาร์ตโฮม

    ผู้ใช้เริ่มหันไปใช้ระบบ homebrew หรือ workaround เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
    เช่นใช้ Home Assistant หรือระบบควบคุมแบบ local

    https://www.techspot.com/news/108767-redditors-fed-up-google-home-growing-list-glitches.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากบ้านที่ไม่ฉลาดอีกต่อไป: เมื่อ Google Home กลายเป็นระบบที่ผู้ใช้ต้อง “รีเซ็ตทั้งบ้าน” ทุก 48 ชั่วโมง ผู้ใช้ Reddit และ Google Support Forum หลายรายรายงานว่า: - Nest Hub ไม่สามารถระบุห้องหรืออุปกรณ์ได้ - คำสั่งเสียงถูกส่งไปยังอุปกรณ์ผิด - กลุ่มอุปกรณ์หายไปจากระบบ - ต้องถอดปลั๊กทุกอุปกรณ์แล้วเสียบใหม่ทุก 2 วันเพื่อให้ระบบกลับมาใช้ได้ โพสต์หนึ่งใน Reddit ชื่อ “The Enshittification of Google Home” ได้รับเกือบ 500 upvotes ภายใน 19 ชั่วโมง และมีผู้ร่วมแชร์ประสบการณ์จำนวนมาก — ทั้งหมดสะท้อนว่า Google Home กลายเป็นระบบที่ไม่เสถียรและขาดการดูแล ผู้ใช้บางคนตั้งข้อสงสัยว่า Google อาจ “ปล่อยให้ระบบเสื่อม” เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์รุ่นใหม่ที่ใช้ Gemini AI ปัญหานี้ไม่ได้เกิดกับ Google เท่านั้น: - Apple autocorrect เริ่มแก้คำผิดบ่อยขึ้น เช่น “bomb” กลายเป็น “Bob” - Amazon Alexa ลืมอุปกรณ์หรือไม่ตอบคำสั่งพื้นฐาน - ผู้ใช้ต้องหาทางแก้เอง เช่นใช้ระบบ homebrew หรือ workaround ✅ ผู้ใช้ Google Home รายงานปัญหาจำนวนมาก เช่นอุปกรณ์หาย, คำสั่งผิด, และระบบไม่เสถียร ➡️ ต้องรีเซ็ตระบบทั้งบ้านทุก 48 ชั่วโมงเพื่อให้กลับมาใช้งานได้ ✅ โพสต์ใน Reddit เรื่อง “enshittification” ได้รับความสนใจสูงและมีผู้ร่วมแชร์ประสบการณ์จำนวนมาก ➡️ สะท้อนว่าปัญหาไม่ได้เกิดกับผู้ใช้บางราย แต่เป็นปัญหาเชิงระบบ ✅ Google ตอบกลับด้วยข้อความทั่วไป เช่น “เรากำลังตรวจสอบ” โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน ➡️ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าไม่มีการแก้ไขจริง ✅ ผู้ใช้บางคนสงสัยว่า Google อาจปล่อยให้ระบบเสื่อมเพื่อผลักดันอุปกรณ์ Gemini ➡️ เป็นการสร้างแรงจูงใจให้เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ใหม่ ✅ ปัญหานี้เกิดกับบริษัทเทคโนโลยีหลายราย เช่น Apple และ Amazon ➡️ แสดงถึงการเสื่อมถอยของมาตรฐานในวงการสมาร์ตโฮม ✅ ผู้ใช้เริ่มหันไปใช้ระบบ homebrew หรือ workaround เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ➡️ เช่นใช้ Home Assistant หรือระบบควบคุมแบบ local https://www.techspot.com/news/108767-redditors-fed-up-google-home-growing-list-glitches.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Smart home, dumb problems: The enshittification of Google Home is real
    If your Nest Hub decided this week that your living room no longer exists, or your Google speaker insists on playing Spotify on every device in the...
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากใต้ดิน: เมื่อ Microsoft ใช้ “ขี้” เพื่อชดเชยคาร์บอนจาก AI

    Microsoft กำลังขยายศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับโมเดล AI ขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมหาศาลและปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก แต่แทนที่จะลดการปล่อยจริง บริษัทเลือกใช้วิธีซื้อ carbon credits จาก Vaulted Deep ซึ่งมีเทคนิคเฉพาะคือ:
    - นำของเสียอินทรีย์ เช่น มูลมนุษย์, เศษอาหาร, กระดาษเปียก, มูลสัตว์ และเศษเกษตร
    - ปั๊มลงใต้ดินลึกหลายพันฟุตในชั้นหินที่ไม่ซึมผ่าน
    - อ้างว่าเทคนิคนี้สามารถ “กักเก็บคาร์บอน” ได้อย่างถาวรถึง 1,000 ปี

    Microsoft วางแผนจะใช้วิธีนี้เพื่อชดเชยคาร์บอน 4.9 ล้านตันในช่วง 12 ปีข้างหน้า โดยยังคงเดินหน้าสร้างศูนย์ข้อมูล AI ต่อไป

    Vaulted Deep ระบุว่า:
    - ได้กักเก็บ CO₂ ไปแล้ว 18,000 ตัน
    - เบี่ยงเบนของเสียจากหลุมฝังกลบและเตาเผาไปกว่า 69,000 ตัน
    - ทุก carbon credit เป็น “การกำจัดคาร์บอนถาวรที่ผ่านการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์”

    แต่กลุ่มสิ่งแวดล้อมหลายแห่งไม่เห็นด้วย โดยเตือนว่า:
    - การฝังของเสียใต้ดินอาจปนเปื้อนน้ำใต้ดิน
    - การตรวจสอบระยะยาวยังไม่มีความชัดเจน
    - เป็นการ “ซื้อภาพลักษณ์สีเขียว” มากกว่าการลดคาร์บอนจริง

    Microsoft ลงนามข้อตกลงกับ Vaulted Deep เพื่อซื้อ carbon credits จากการฝังของเสียอินทรีย์ใต้ดิน
    ใช้เพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนจากศูนย์ข้อมูล AI ที่ใช้พลังงานสูง

    ของเสียที่ใช้รวมถึงมูลมนุษย์, เศษอาหาร, มูลสัตว์, กระดาษเปียก และเศษเกษตร
    ปั๊มลงใต้ดินลึกหลายพันฟุตในชั้นหินที่ไม่ซึมผ่าน

    Vaulted อ้างว่ากักเก็บ CO₂ ได้แล้ว 18,000 ตัน และเบี่ยงเบนของเสีย 69,000 ตัน
    ทุก carbon credit เป็นการกำจัดคาร์บอนถาวรที่ผ่านการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์

    Microsoft ตั้งเป้าชดเชยคาร์บอน 4.9 ล้านตันในช่วง 12 ปี
    โดยยังคงเดินหน้าขยายศูนย์ข้อมูล AI ต่อไป

    วิธีการนี้ได้รับการรับรองในกรอบ climate framework ระดับสากล
    จึงถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย แม้จะมีข้อถกเถียง

    https://www.techspot.com/news/108756-microsoft-turns-underground-waste-storage-offset-ai-carbon.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากใต้ดิน: เมื่อ Microsoft ใช้ “ขี้” เพื่อชดเชยคาร์บอนจาก AI Microsoft กำลังขยายศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับโมเดล AI ขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมหาศาลและปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก แต่แทนที่จะลดการปล่อยจริง บริษัทเลือกใช้วิธีซื้อ carbon credits จาก Vaulted Deep ซึ่งมีเทคนิคเฉพาะคือ: - นำของเสียอินทรีย์ เช่น มูลมนุษย์, เศษอาหาร, กระดาษเปียก, มูลสัตว์ และเศษเกษตร - ปั๊มลงใต้ดินลึกหลายพันฟุตในชั้นหินที่ไม่ซึมผ่าน - อ้างว่าเทคนิคนี้สามารถ “กักเก็บคาร์บอน” ได้อย่างถาวรถึง 1,000 ปี Microsoft วางแผนจะใช้วิธีนี้เพื่อชดเชยคาร์บอน 4.9 ล้านตันในช่วง 12 ปีข้างหน้า โดยยังคงเดินหน้าสร้างศูนย์ข้อมูล AI ต่อไป Vaulted Deep ระบุว่า: - ได้กักเก็บ CO₂ ไปแล้ว 18,000 ตัน - เบี่ยงเบนของเสียจากหลุมฝังกลบและเตาเผาไปกว่า 69,000 ตัน - ทุก carbon credit เป็น “การกำจัดคาร์บอนถาวรที่ผ่านการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์” แต่กลุ่มสิ่งแวดล้อมหลายแห่งไม่เห็นด้วย โดยเตือนว่า: - การฝังของเสียใต้ดินอาจปนเปื้อนน้ำใต้ดิน - การตรวจสอบระยะยาวยังไม่มีความชัดเจน - เป็นการ “ซื้อภาพลักษณ์สีเขียว” มากกว่าการลดคาร์บอนจริง ✅ Microsoft ลงนามข้อตกลงกับ Vaulted Deep เพื่อซื้อ carbon credits จากการฝังของเสียอินทรีย์ใต้ดิน ➡️ ใช้เพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนจากศูนย์ข้อมูล AI ที่ใช้พลังงานสูง ✅ ของเสียที่ใช้รวมถึงมูลมนุษย์, เศษอาหาร, มูลสัตว์, กระดาษเปียก และเศษเกษตร ➡️ ปั๊มลงใต้ดินลึกหลายพันฟุตในชั้นหินที่ไม่ซึมผ่าน ✅ Vaulted อ้างว่ากักเก็บ CO₂ ได้แล้ว 18,000 ตัน และเบี่ยงเบนของเสีย 69,000 ตัน ➡️ ทุก carbon credit เป็นการกำจัดคาร์บอนถาวรที่ผ่านการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ ✅ Microsoft ตั้งเป้าชดเชยคาร์บอน 4.9 ล้านตันในช่วง 12 ปี ➡️ โดยยังคงเดินหน้าขยายศูนย์ข้อมูล AI ต่อไป ✅ วิธีการนี้ได้รับการรับรองในกรอบ climate framework ระดับสากล ➡️ จึงถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย แม้จะมีข้อถกเถียง https://www.techspot.com/news/108756-microsoft-turns-underground-waste-storage-offset-ai-carbon.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft's climate math gets creative: AI emissions are out, sludge is in
    Microsoft has signed a long-term deal with Vaulted Deep to purchase carbon credits in an effort to offset emissions from its growing fleet of AI data centers....
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากรถเงียบที่ทำให้คนเวียนหัว: เมื่อ EV กลายเป็น “สภาพแวดล้อมใหม่” ที่สมองยังไม่ชิน

    ผู้โดยสารจำนวนมากรายงานว่าเกิดอาการเมารถเมื่อขึ้น EV โดยเฉพาะในเบาะหลัง ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัย เช่น:

    - สมองยังไม่คุ้นเคยกับ “สัญญาณการเคลื่อนไหว” แบบใหม่
    - EV ไม่มีเสียงเครื่องยนต์หรือแรงสั่นสะเทือนที่ช่วยเตือนสมองล่วงหน้า
    - ระบบ regenerative braking ทำให้การชะลอรถเป็นแบบนุ่มนวลและต่อเนื่อง ซึ่งต่างจากเบรกแบบเดิมที่หยุดรถอย่างฉับพลัน

    William Emond นักศึกษาปริญญาเอกด้าน motion sickness จากฝรั่งเศสอธิบายว่า:

    “สมองของเราคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวในรถที่มีเสียงเครื่องยนต์และแรงสั่นสะเทือน แต่ EV เป็นสภาพแวดล้อมใหม่ที่สมองยังไม่มีประสบการณ์มากพอในการประเมินแรงเคลื่อน”

    งานวิจัยหลายฉบับสนับสนุนแนวคิดนี้ เช่น:
    - งานปี 2024 พบว่าแรงสั่นสะเทือนในเบาะของ EV มีผลต่อความรุนแรงของอาการเมารถ
    - งานปี 2020 ชี้ว่า “ความเงียบ” ของ EV เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมองขาดข้อมูลในการคาดการณ์การเคลื่อนไหว

    นักวิจัยกำลังทดลองวิธีแก้ เช่น:
    - เพิ่มเสียงเครื่องยนต์จำลอง
    - ใช้แสงภายในรถแบบ interactive
    - เพิ่มแรงสั่นสะเทือนบางจุดเพื่อให้สมองรับรู้การเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

    ผู้โดยสารจำนวนมากรายงานว่าเกิดอาการเมารถเมื่อโดยสาร EV โดยเฉพาะในเบาะหลัง
    เกิดจากสมองไม่สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวได้แม่นยำ

    EV ไม่มีเสียงเครื่องยนต์หรือแรงสั่นสะเทือนที่ช่วยเตือนสมองล่วงหน้า
    ทำให้สมอง “เดา” การเปลี่ยนความเร็วหรือทิศทางผิดพลาด

    ระบบ regenerative braking ทำให้การชะลอรถเป็นแบบนุ่มนวลและต่อเนื่อง
    ต่างจากเบรกแบบเดิมที่หยุดรถอย่างฉับพลัน ซึ่งสมองคุ้นเคยมากกว่า

    งานวิจัยปี 2024 และ 2020 สนับสนุนว่าแรงสั่นสะเทือนและความเงียบของ EV เป็นปัจจัยหลัก
    ส่งผลให้เกิดอาการเมารถมากกว่ารถยนต์ทั่วไป

    นักวิจัยกำลังทดลองวิธีแก้ เช่นเสียงเครื่องยนต์จำลอง, แสง interactive, และแรงสั่นสะเทือน
    เพื่อช่วยให้สมองรับรู้การเคลื่อนไหวได้แม่นยำขึ้น

    อาการเมารถเกิดจากความขัดแย้งของสัญญาณจากตา, หูชั้นใน, และร่างกาย
    เมื่อสมองรับข้อมูลไม่ตรงกัน จะเกิดอาการคลื่นไส้ เวียนหัว และไม่สบาย

    https://www.techspot.com/news/108757-evs-triggering-wave-motion-sickness-claims-scientists-investigating.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากรถเงียบที่ทำให้คนเวียนหัว: เมื่อ EV กลายเป็น “สภาพแวดล้อมใหม่” ที่สมองยังไม่ชิน ผู้โดยสารจำนวนมากรายงานว่าเกิดอาการเมารถเมื่อขึ้น EV โดยเฉพาะในเบาะหลัง ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัย เช่น: - สมองยังไม่คุ้นเคยกับ “สัญญาณการเคลื่อนไหว” แบบใหม่ - EV ไม่มีเสียงเครื่องยนต์หรือแรงสั่นสะเทือนที่ช่วยเตือนสมองล่วงหน้า - ระบบ regenerative braking ทำให้การชะลอรถเป็นแบบนุ่มนวลและต่อเนื่อง ซึ่งต่างจากเบรกแบบเดิมที่หยุดรถอย่างฉับพลัน William Emond นักศึกษาปริญญาเอกด้าน motion sickness จากฝรั่งเศสอธิบายว่า: 🔖 “สมองของเราคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวในรถที่มีเสียงเครื่องยนต์และแรงสั่นสะเทือน แต่ EV เป็นสภาพแวดล้อมใหม่ที่สมองยังไม่มีประสบการณ์มากพอในการประเมินแรงเคลื่อน” งานวิจัยหลายฉบับสนับสนุนแนวคิดนี้ เช่น: - งานปี 2024 พบว่าแรงสั่นสะเทือนในเบาะของ EV มีผลต่อความรุนแรงของอาการเมารถ - งานปี 2020 ชี้ว่า “ความเงียบ” ของ EV เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมองขาดข้อมูลในการคาดการณ์การเคลื่อนไหว นักวิจัยกำลังทดลองวิธีแก้ เช่น: - เพิ่มเสียงเครื่องยนต์จำลอง - ใช้แสงภายในรถแบบ interactive - เพิ่มแรงสั่นสะเทือนบางจุดเพื่อให้สมองรับรู้การเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ✅ ผู้โดยสารจำนวนมากรายงานว่าเกิดอาการเมารถเมื่อโดยสาร EV โดยเฉพาะในเบาะหลัง ➡️ เกิดจากสมองไม่สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวได้แม่นยำ ✅ EV ไม่มีเสียงเครื่องยนต์หรือแรงสั่นสะเทือนที่ช่วยเตือนสมองล่วงหน้า ➡️ ทำให้สมอง “เดา” การเปลี่ยนความเร็วหรือทิศทางผิดพลาด ✅ ระบบ regenerative braking ทำให้การชะลอรถเป็นแบบนุ่มนวลและต่อเนื่อง ➡️ ต่างจากเบรกแบบเดิมที่หยุดรถอย่างฉับพลัน ซึ่งสมองคุ้นเคยมากกว่า ✅ งานวิจัยปี 2024 และ 2020 สนับสนุนว่าแรงสั่นสะเทือนและความเงียบของ EV เป็นปัจจัยหลัก ➡️ ส่งผลให้เกิดอาการเมารถมากกว่ารถยนต์ทั่วไป ✅ นักวิจัยกำลังทดลองวิธีแก้ เช่นเสียงเครื่องยนต์จำลอง, แสง interactive, และแรงสั่นสะเทือน ➡️ เพื่อช่วยให้สมองรับรู้การเคลื่อนไหวได้แม่นยำขึ้น ✅ อาการเมารถเกิดจากความขัดแย้งของสัญญาณจากตา, หูชั้นใน, และร่างกาย ➡️ เมื่อสมองรับข้อมูลไม่ตรงกัน จะเกิดอาการคลื่นไส้ เวียนหัว และไม่สบาย https://www.techspot.com/news/108757-evs-triggering-wave-motion-sickness-claims-scientists-investigating.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    EVs are triggering a wave of motion sickness claims, scientists are investigating why
    Because electric vehicles are still a new experience for many passengers, their unfamiliar motion may be one reason some people are more prone to motion sickness. "Greater...
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากรหัสผ่านเดียวที่ล้มบริษัท 158 ปี

    KNP เป็นบริษัทขนส่งที่มีรถบรรทุกกว่า 500 คัน และพนักงานราว 700 คน โดยมีมาตรการด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานอุตสาหกรรม รวมถึงประกันภัยไซเบอร์ แต่กลับถูกโจมตีด้วย ransomware ที่เริ่มต้นจากการ “เดารหัสผ่าน” ของพนักงานคนหนึ่ง

    แฮกเกอร์เข้าระบบได้และเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดของบริษัท — แม้จะมีประกัน แต่บริษัทประเมินว่าค่าไถ่อาจสูงถึง £5 ล้าน ซึ่งเกินกว่าที่จะจ่ายไหว สุดท้าย KNP ต้องปิดกิจการ และพนักงานทั้งหมดตกงาน

    Paul Abbott ผู้อำนวยการบริษัทบอกว่าเขาไม่เคยแจ้งพนักงานคนนั้นว่า “รหัสผ่านของเขาคือจุดเริ่มต้นของการล่มสลาย” เพราะไม่อยากให้ใครต้องแบกรับความรู้สึกผิดเพียงคนเดียว

    หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ของอังกฤษระบุว่า:
    - ปีที่ผ่านมา มีการโจมตี ransomware กว่า 19,000 ครั้ง
    - ค่าไถ่เฉลี่ยอยู่ที่ £4 ล้าน
    - หนึ่งในสามของบริษัทเลือก “จ่ายเงิน” เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อได้

    Suzanne Grimmer จาก National Crime Agency เตือนว่า:

    “ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ปีนี้จะเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดสำหรับ ransomware ในสหราชอาณาจักร”

    KNP Logistics Group ถูกโจมตีด้วย ransomware จากรหัสผ่านที่เดาง่ายของพนักงาน
    ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดถูกเข้ารหัส และบริษัทไม่สามารถจ่ายค่าไถ่ได้

    บริษัทมีพนักงานราว 700 คน และรถบรรทุกกว่า 500 คัน
    เป็นหนึ่งในบริษัทขนส่งเก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ

    ค่าไถ่ถูกประเมินว่าอาจสูงถึง £5 ล้าน แม้จะมีประกันภัยไซเบอร์
    เกินกว่าที่บริษัทจะรับไหว ทำให้ต้องปิดกิจการ

    หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของอังกฤษระบุว่ามี ransomware กว่า 19,000 ครั้งในปีที่ผ่านมา
    ค่าไถ่เฉลี่ยอยู่ที่ £4 ล้าน และหนึ่งในสามของบริษัทเลือกจ่ายเงิน

    Paul Abbott ไม่แจ้งพนักงานเจ้าของรหัสผ่านว่าเป็นต้นเหตุของการล่มสลาย
    เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกผิดที่รุนแรงเกินไป

    ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าแฮกเกอร์มัก “รอวันที่องค์กรอ่อนแอ” แล้วลงมือทันที
    ไม่จำเป็นต้องเจาะระบบซับซ้อน แค่รหัสผ่านอ่อนก็พอ

    https://www.techspot.com/news/108749-one-weak-password-brought-down-158-year-old.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากรหัสผ่านเดียวที่ล้มบริษัท 158 ปี KNP เป็นบริษัทขนส่งที่มีรถบรรทุกกว่า 500 คัน และพนักงานราว 700 คน โดยมีมาตรการด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานอุตสาหกรรม รวมถึงประกันภัยไซเบอร์ แต่กลับถูกโจมตีด้วย ransomware ที่เริ่มต้นจากการ “เดารหัสผ่าน” ของพนักงานคนหนึ่ง แฮกเกอร์เข้าระบบได้และเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดของบริษัท — แม้จะมีประกัน แต่บริษัทประเมินว่าค่าไถ่อาจสูงถึง £5 ล้าน ซึ่งเกินกว่าที่จะจ่ายไหว สุดท้าย KNP ต้องปิดกิจการ และพนักงานทั้งหมดตกงาน Paul Abbott ผู้อำนวยการบริษัทบอกว่าเขาไม่เคยแจ้งพนักงานคนนั้นว่า “รหัสผ่านของเขาคือจุดเริ่มต้นของการล่มสลาย” เพราะไม่อยากให้ใครต้องแบกรับความรู้สึกผิดเพียงคนเดียว หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ของอังกฤษระบุว่า: - ปีที่ผ่านมา มีการโจมตี ransomware กว่า 19,000 ครั้ง - ค่าไถ่เฉลี่ยอยู่ที่ £4 ล้าน - หนึ่งในสามของบริษัทเลือก “จ่ายเงิน” เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อได้ Suzanne Grimmer จาก National Crime Agency เตือนว่า: 🔖 “ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ปีนี้จะเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดสำหรับ ransomware ในสหราชอาณาจักร” ✅ KNP Logistics Group ถูกโจมตีด้วย ransomware จากรหัสผ่านที่เดาง่ายของพนักงาน ➡️ ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดถูกเข้ารหัส และบริษัทไม่สามารถจ่ายค่าไถ่ได้ ✅ บริษัทมีพนักงานราว 700 คน และรถบรรทุกกว่า 500 คัน ➡️ เป็นหนึ่งในบริษัทขนส่งเก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ ✅ ค่าไถ่ถูกประเมินว่าอาจสูงถึง £5 ล้าน แม้จะมีประกันภัยไซเบอร์ ➡️ เกินกว่าที่บริษัทจะรับไหว ทำให้ต้องปิดกิจการ ✅ หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของอังกฤษระบุว่ามี ransomware กว่า 19,000 ครั้งในปีที่ผ่านมา ➡️ ค่าไถ่เฉลี่ยอยู่ที่ £4 ล้าน และหนึ่งในสามของบริษัทเลือกจ่ายเงิน ✅ Paul Abbott ไม่แจ้งพนักงานเจ้าของรหัสผ่านว่าเป็นต้นเหตุของการล่มสลาย ➡️ เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกผิดที่รุนแรงเกินไป ✅ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าแฮกเกอร์มัก “รอวันที่องค์กรอ่อนแอ” แล้วลงมือทันที ➡️ ไม่จำเป็นต้องเจาะระบบซับซ้อน แค่รหัสผ่านอ่อนก็พอ https://www.techspot.com/news/108749-one-weak-password-brought-down-158-year-old.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    One weak password brought down a 158-year-old company
    A business is only as strong as its weakest link and when that weak point happens to be an employee's easy-to-guess password, the outcome can be devastating....
    0 Comments 0 Shares 106 Views 0 Reviews
  • ลุงนี้ร้อง "อ้าววววว..." เลย

    เรื่องเล่าจากชิปที่รอเวลา: เมื่อ AI PC ต้องรอทั้ง Windows และตลาดให้พร้อม

    N1X เป็นแพลตฟอร์ม AI PC ที่ร่วมพัฒนาโดย Nvidia และ MediaTek โดยมีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับ Intel, AMD และ Qualcomm ในตลาดพีซีที่รองรับการประมวลผล AI โดยตรง

    เดิมทีคาดว่าจะเปิดตัวใน Q3 ปี 2025 แต่กลับไม่ปรากฏในงาน Computex ล่าสุด ทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่องความพร้อมของผลิตภัณฑ์

    รายงานล่าสุดจาก DigiTimes ระบุว่า:
    - Microsoft ยังไม่พร้อมเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่รองรับฟีเจอร์ AI เต็มรูปแบบ
    - ความต้องการในตลาดโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อปยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
    - Nvidia ยังต้องปรับแก้ชิปจากข้อบกพร่องเดิมที่เคยมีรายงานจาก SemiAccurate

    Nvidia และ MediaTek จึงเลือกเน้นตลาดองค์กรก่อน โดยหวังว่าจะมีการยอมรับในกลุ่ม commercial ก่อนขยายไปยัง consumer

    นอกจากนี้ ทั้งสองบริษัทยังร่วมมือกันในหลายโครงการ เช่น:
    - Automotive AI ผ่านแพลตฟอร์ม Dimensity Auto
    - Edge AI ด้วย Nvidia TAO Toolkit และ MediaTek NeuroPilot
    - การพัฒนา DGX Spark — AI supercomputer ขนาดเล็ก
    - การร่วมมือในโครงการ Google v7e TPU ที่จะผลิตจริงในปี 2026

    Nvidia และ MediaTek เลื่อนเปิดตัวแพลตฟอร์ม N1X AI PC ไปเป็น Q1 ปี 2026
    เดิมคาดว่าจะเปิดตัวใน Q3 ปี 2025 แต่ไม่ปรากฏในงาน Computex

    สาเหตุหลักคือ Microsoft ยังไม่พร้อมเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่รองรับ AI เต็มรูปแบบ
    ส่งผลให้ ecosystem โดยรวมยังไม่พร้อมสำหรับการเปิดตัว N1X

    ความต้องการในตลาดโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อปยังอ่อนตัวลง
    ทำให้การเปิดตัวใน consumer segment ถูกเลื่อนออกไป

    Nvidia ยังต้องปรับแก้ชิปจากข้อบกพร่องเดิมที่เคยมีรายงาน
    รวมถึงการปรับกลยุทธ์ด้านการผลิตและการตลาด

    N1X มีพลังประมวลผล AI สูงถึง 180–200 TOPS
    ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดพีซีครั้งใหญ่ที่สุดของ MediaTek

    OEM และ ODM หลายรายเตรียมออกแบบผลิตภัณฑ์รองรับ N1X เช่น Dell, HP, Lenovo, Asus, MSI
    ทั้งในรูปแบบโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป

    Nvidia และ MediaTek ร่วมมือในหลายโครงการ เช่น automotive AI, edge AI, และ TPU ของ Google
    คาดว่าจะสร้างรายได้รวมกว่า $4 พันล้านดอลลาร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nvidias-desktop-pc-chip-holdup-purportedly-tied-to-windows-delays-ongoing-chip-revisions-and-weakening-demand-also-blamed
    ลุงนี้ร้อง "อ้าววววว..." เลย 🎙️ เรื่องเล่าจากชิปที่รอเวลา: เมื่อ AI PC ต้องรอทั้ง Windows และตลาดให้พร้อม N1X เป็นแพลตฟอร์ม AI PC ที่ร่วมพัฒนาโดย Nvidia และ MediaTek โดยมีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับ Intel, AMD และ Qualcomm ในตลาดพีซีที่รองรับการประมวลผล AI โดยตรง เดิมทีคาดว่าจะเปิดตัวใน Q3 ปี 2025 แต่กลับไม่ปรากฏในงาน Computex ล่าสุด ทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่องความพร้อมของผลิตภัณฑ์ รายงานล่าสุดจาก DigiTimes ระบุว่า: - Microsoft ยังไม่พร้อมเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่รองรับฟีเจอร์ AI เต็มรูปแบบ - ความต้องการในตลาดโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อปยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ - Nvidia ยังต้องปรับแก้ชิปจากข้อบกพร่องเดิมที่เคยมีรายงานจาก SemiAccurate Nvidia และ MediaTek จึงเลือกเน้นตลาดองค์กรก่อน โดยหวังว่าจะมีการยอมรับในกลุ่ม commercial ก่อนขยายไปยัง consumer นอกจากนี้ ทั้งสองบริษัทยังร่วมมือกันในหลายโครงการ เช่น: - Automotive AI ผ่านแพลตฟอร์ม Dimensity Auto - Edge AI ด้วย Nvidia TAO Toolkit และ MediaTek NeuroPilot - การพัฒนา DGX Spark — AI supercomputer ขนาดเล็ก - การร่วมมือในโครงการ Google v7e TPU ที่จะผลิตจริงในปี 2026 ✅ Nvidia และ MediaTek เลื่อนเปิดตัวแพลตฟอร์ม N1X AI PC ไปเป็น Q1 ปี 2026 ➡️ เดิมคาดว่าจะเปิดตัวใน Q3 ปี 2025 แต่ไม่ปรากฏในงาน Computex ✅ สาเหตุหลักคือ Microsoft ยังไม่พร้อมเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่รองรับ AI เต็มรูปแบบ ➡️ ส่งผลให้ ecosystem โดยรวมยังไม่พร้อมสำหรับการเปิดตัว N1X ✅ ความต้องการในตลาดโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อปยังอ่อนตัวลง ➡️ ทำให้การเปิดตัวใน consumer segment ถูกเลื่อนออกไป ✅ Nvidia ยังต้องปรับแก้ชิปจากข้อบกพร่องเดิมที่เคยมีรายงาน ➡️ รวมถึงการปรับกลยุทธ์ด้านการผลิตและการตลาด ✅ N1X มีพลังประมวลผล AI สูงถึง 180–200 TOPS ➡️ ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดพีซีครั้งใหญ่ที่สุดของ MediaTek ✅ OEM และ ODM หลายรายเตรียมออกแบบผลิตภัณฑ์รองรับ N1X เช่น Dell, HP, Lenovo, Asus, MSI ➡️ ทั้งในรูปแบบโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป ✅ Nvidia และ MediaTek ร่วมมือในหลายโครงการ เช่น automotive AI, edge AI, และ TPU ของ Google ➡️ คาดว่าจะสร้างรายได้รวมกว่า $4 พันล้านดอลลาร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nvidias-desktop-pc-chip-holdup-purportedly-tied-to-windows-delays-ongoing-chip-revisions-and-weakening-demand-also-blamed
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากกฎเกณฑ์ด้านเน็ต: เมื่อ “ความเร็วสูง” กลายเป็นเรื่องการเมืองและการพัฒนาเทคโนโลยี

    ในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ โดยฝ่ายบริหาร Biden เสนอให้มีการตั้งเป้าหมายระยะยาวเรื่อง “gigabit internet” สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม — โดยใช้เป็นกรอบในการออกนโยบายด้าน universal access และสนับสนุนผู้ให้บริการ

    แต่ในเอกสาร Fact Sheet ของ FCC เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2025 ที่เกี่ยวกับการทบทวนการเข้าถึงบริการโทรคมนาคมขั้นสูง (ตาม Section 706) Brendan Carr ได้แสดงความกังวลว่า:

    เป้าหมาย gigabit อาจเป็นการ “เลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยี” เช่นดาวเทียมหรือ wireless ที่ยังไม่สามารถวิ่งที่ 1,000/500 Mbps ได้

    อาจผิดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง” ที่กฎหมายกำหนดไว้

    ควรปรับเป้าหมายตาม “ความคืบหน้าเชิงเทคโนโลยี” ไม่ใช่กำหนดล่วงหน้าว่าทุกคนต้องใช้ความเร็วเดียวกัน

    นอกจากนี้ Carr ยังไม่เห็นด้วยกับการใช้เกณฑ์หลายด้านในการประเมิน เช่น:
    - ความสามารถในการเข้าถึง
    - ความสามารถในการใช้งาน
    - ความเท่าเทียมกัน
    - ราคาและการยอมรับใช้งาน

    โดยมองว่าอาจเบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของ Section 706 ที่เน้นความคืบหน้าในการเข้าถึงอย่างแท้จริง

    FCC เตรียมลงคะแนนข้อเสนอของ Brendan Carr ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025
    เพื่อตัดสินใจว่าจะปรับเป้าหมาย gigabit internet หรือไม่

    Carr เสนอให้ยกเลิกการกำหนดเป้าหมายระยะยาว 1,000/500 Mbps
    โดยมองว่าไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยีบางประเภทที่ยังไม่ถึงระดับนั้น

    FCC ระบุว่าการกำหนดเป้าหมายเร็วไปอาจขัดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง”
    เช่น satellite และ fixed wireless อาจได้รับผลกระทบทางนโยบาย

    เป้าหมาย gigabit มาจากแผนของรัฐบาล Biden ปี 2024 ที่เน้น universal access
    โดยใช้เป็นกรอบสำหรับการสนับสนุนเงินทุนจากภาครัฐ

    Carr เสนอให้การประเมินของ FCC เน้น “ความคืบหน้าในการ deploy” มากกว่า “การเข้าถึงครบ”
    เพื่อสะท้อนความจริงของการพัฒนาระบบแทนการตั้งมาตรฐานล่วงหน้า

    FCC ต้องทำการสอบสวนทุกปีตามกฎหมาย Telecommunications Act of 1996, Section 706
    การเปลี่ยนเป้าหมายในปีนี้อาจมีผลต่อการสนับสนุน ISP และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/fcc-proposal-aims-to-nix-long-term-gigabit-internet-speed-goals-pricing-analysis
    🎙️ เรื่องเล่าจากกฎเกณฑ์ด้านเน็ต: เมื่อ “ความเร็วสูง” กลายเป็นเรื่องการเมืองและการพัฒนาเทคโนโลยี ในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ โดยฝ่ายบริหาร Biden เสนอให้มีการตั้งเป้าหมายระยะยาวเรื่อง “gigabit internet” สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม — โดยใช้เป็นกรอบในการออกนโยบายด้าน universal access และสนับสนุนผู้ให้บริการ แต่ในเอกสาร Fact Sheet ของ FCC เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2025 ที่เกี่ยวกับการทบทวนการเข้าถึงบริการโทรคมนาคมขั้นสูง (ตาม Section 706) Brendan Carr ได้แสดงความกังวลว่า: เป้าหมาย gigabit อาจเป็นการ “เลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยี” เช่นดาวเทียมหรือ wireless ที่ยังไม่สามารถวิ่งที่ 1,000/500 Mbps ได้ อาจผิดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง” ที่กฎหมายกำหนดไว้ ควรปรับเป้าหมายตาม “ความคืบหน้าเชิงเทคโนโลยี” ไม่ใช่กำหนดล่วงหน้าว่าทุกคนต้องใช้ความเร็วเดียวกัน นอกจากนี้ Carr ยังไม่เห็นด้วยกับการใช้เกณฑ์หลายด้านในการประเมิน เช่น: - ความสามารถในการเข้าถึง - ความสามารถในการใช้งาน - ความเท่าเทียมกัน - ราคาและการยอมรับใช้งาน โดยมองว่าอาจเบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของ Section 706 ที่เน้นความคืบหน้าในการเข้าถึงอย่างแท้จริง ✅ FCC เตรียมลงคะแนนข้อเสนอของ Brendan Carr ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025 ➡️ เพื่อตัดสินใจว่าจะปรับเป้าหมาย gigabit internet หรือไม่ ✅ Carr เสนอให้ยกเลิกการกำหนดเป้าหมายระยะยาว 1,000/500 Mbps ➡️ โดยมองว่าไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยีบางประเภทที่ยังไม่ถึงระดับนั้น ✅ FCC ระบุว่าการกำหนดเป้าหมายเร็วไปอาจขัดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง” ➡️ เช่น satellite และ fixed wireless อาจได้รับผลกระทบทางนโยบาย ✅ เป้าหมาย gigabit มาจากแผนของรัฐบาล Biden ปี 2024 ที่เน้น universal access ➡️ โดยใช้เป็นกรอบสำหรับการสนับสนุนเงินทุนจากภาครัฐ ✅ Carr เสนอให้การประเมินของ FCC เน้น “ความคืบหน้าในการ deploy” มากกว่า “การเข้าถึงครบ” ➡️ เพื่อสะท้อนความจริงของการพัฒนาระบบแทนการตั้งมาตรฐานล่วงหน้า ✅ FCC ต้องทำการสอบสวนทุกปีตามกฎหมาย Telecommunications Act of 1996, Section 706 ➡️ การเปลี่ยนเป้าหมายในปีนี้อาจมีผลต่อการสนับสนุน ISP และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/fcc-proposal-aims-to-nix-long-term-gigabit-internet-speed-goals-pricing-analysis
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    FCC proposal aims to nix long-term gigabit internet speed goals, pricing analysis
    An FCC proposal seeks to undo the Biden administration's efforts to encourage increased availability of gigabit download speeds.
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • ภาพชาวยูเครนหลายพันคนออกมาประท้วงบนถนนในกรุงเคียฟเพื่อต่อต้านเซเลนสกี หลังทำสงครามกับรัสเซียมากว่าสามปี และมีท่าทีจะพ่ายแพ้ รวมทั้งยังเบื่อหน่ายกับข่าวการทุจริตเงินช่วยเหลือจากต่างชาติ

    ล่าสุดถึงขั้นทนไม่ไหว เมื่อรัฐบาลเซเลนสกีพยายามออกกฎหมายที่นักวิจารณ์มองว่าเป็นการบ่อนทำลายหน่วยงานต่อต้านการทุจริตของยูเครน


    ประเด็นสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่นี้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาและมีรายงานว่าลงนามโดยเซเลนสกีแล้ว ซึ่งจะทำให้อัยการสูงสุด (ได้รับการแต่งตั้งจากเซเลนสกี) มีอำนาจสั่งการเหนือสำนักงานป้องกันการทุจริตแห่งชาติยูเครน (NABU - National Anti-Corruption Bureau of Ukraine) และสำนักงานอัยการพิเศษเฉพาะกิจเพื่อต่อต้านการทุจริต (SAPO - Specialized Anti-Corruption Prosecutor's Office) ซึ่งจะทำให้ทั้งสององค์กรขาดความเป็นอิสระและความสามารถในการสืบสวนและดำเนินคดีการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับการตกอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ายการเมือง

    การประท้วงต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ของเซเลนสกี นับเป็นการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดครั้งตั้งแต่ปี 2022 ที่รัสเซียเริ่มบุกยูเครน

    มีประชาชน นักเคลื่อนไหว ทหารผ่านศึก และหน่วยงานเฝ้าระวังการทุจริต เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงอย่างกว้างขวาง เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย โดยเรียกร้องให้เซเลนสกีใช้อำนาจยับยั้งการประกาศใช้กฎหมายฉบับดังกล่าว เพื่อรักษาระบบการต่อต้านและตรวจสอบการทุจริตของยูเครนให้มีอิสระต่อไป

    การประท้วงสะท้อนให้เห็นถึงความคับข้องใจและความโกรธแค้นในหมู่ชาวยูเครนที่เหนื่อยล้าจากสงคราม โดยการนำของเซเลนสกีที่อ้างมาตลอดว่ากำลังสู้เพื่อประชาธิปไตยของยูเครน

    ทางด้านสหภาพยุโรปได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับกฎหมายฉบับดังกล่าวเช่นกัน โดยกรรมาธิการการขยายอำนาจของสหภาพยุโรปเรียกกฎหมายนี้ว่าเป็น "การก้าวถอยหลังครั้งใหญ่ของยูเครน" ซึ่งอาจส่งผลความปรารถนาของยูเครนที่จะเข้าร่วมสหภาพยุโรป รวมทั้งยังคงได้รับความช่วยเหลือทางการเงินและการทหารที่สำคัญจากชาติตะวันตกต่อไป

    สถานการณ์ขณะนี้มีความไม่แน่นอนและวุ่นวายอย่างมากในยูเครน หลายฝ่ายกำลังจับตาดูว่าเซเลนสกีจะจัดการกับการประท้วงและข้อกังวลของนานาชาติเกี่ยวกับกฎหมายใหม่นี้อย่างไร
    ภาพชาวยูเครนหลายพันคนออกมาประท้วงบนถนนในกรุงเคียฟเพื่อต่อต้านเซเลนสกี หลังทำสงครามกับรัสเซียมากว่าสามปี และมีท่าทีจะพ่ายแพ้ รวมทั้งยังเบื่อหน่ายกับข่าวการทุจริตเงินช่วยเหลือจากต่างชาติ ล่าสุดถึงขั้นทนไม่ไหว เมื่อรัฐบาลเซเลนสกีพยายามออกกฎหมายที่นักวิจารณ์มองว่าเป็นการบ่อนทำลายหน่วยงานต่อต้านการทุจริตของยูเครน 👉ประเด็นสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่นี้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาและมีรายงานว่าลงนามโดยเซเลนสกีแล้ว ซึ่งจะทำให้อัยการสูงสุด (ได้รับการแต่งตั้งจากเซเลนสกี) มีอำนาจสั่งการเหนือสำนักงานป้องกันการทุจริตแห่งชาติยูเครน (NABU - National Anti-Corruption Bureau of Ukraine) และสำนักงานอัยการพิเศษเฉพาะกิจเพื่อต่อต้านการทุจริต (SAPO - Specialized Anti-Corruption Prosecutor's Office) ซึ่งจะทำให้ทั้งสององค์กรขาดความเป็นอิสระและความสามารถในการสืบสวนและดำเนินคดีการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับการตกอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ายการเมือง 👉การประท้วงต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ของเซเลนสกี นับเป็นการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดครั้งตั้งแต่ปี 2022 ที่รัสเซียเริ่มบุกยูเครน 👉มีประชาชน นักเคลื่อนไหว ทหารผ่านศึก และหน่วยงานเฝ้าระวังการทุจริต เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงอย่างกว้างขวาง เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย โดยเรียกร้องให้เซเลนสกีใช้อำนาจยับยั้งการประกาศใช้กฎหมายฉบับดังกล่าว เพื่อรักษาระบบการต่อต้านและตรวจสอบการทุจริตของยูเครนให้มีอิสระต่อไป 👉การประท้วงสะท้อนให้เห็นถึงความคับข้องใจและความโกรธแค้นในหมู่ชาวยูเครนที่เหนื่อยล้าจากสงคราม โดยการนำของเซเลนสกีที่อ้างมาตลอดว่ากำลังสู้เพื่อประชาธิปไตยของยูเครน 👉ทางด้านสหภาพยุโรปได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับกฎหมายฉบับดังกล่าวเช่นกัน โดยกรรมาธิการการขยายอำนาจของสหภาพยุโรปเรียกกฎหมายนี้ว่าเป็น "การก้าวถอยหลังครั้งใหญ่ของยูเครน" ซึ่งอาจส่งผลความปรารถนาของยูเครนที่จะเข้าร่วมสหภาพยุโรป รวมทั้งยังคงได้รับความช่วยเหลือทางการเงินและการทหารที่สำคัญจากชาติตะวันตกต่อไป 👉สถานการณ์ขณะนี้มีความไม่แน่นอนและวุ่นวายอย่างมากในยูเครน หลายฝ่ายกำลังจับตาดูว่าเซเลนสกีจะจัดการกับการประท้วงและข้อกังวลของนานาชาติเกี่ยวกับกฎหมายใหม่นี้อย่างไร
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 0 Reviews
More Results