• In the cloud of golden dust.
    In the cloud of golden dust.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกชิป: จาก 4 บิตสู่ 10 ล้านล้านพารามิเตอร์

    ย้อนกลับไปปี 1971 Intel เปิดตัวชิป 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ด้วยความเร็วเพียง 740kHz และประมวลผลได้ 92,600 คำสั่งต่อวินาที (IPS) ใช้หน่วยความจำแค่ 4KB ROM และ 640 bytes RAM—เล็กจนเทียบไม่ได้กับมือถือยุคนี้

    แต่ในปี 2025 NVIDIA เปิดตัว Blackwell ซึ่งเป็นชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ด้วยพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU รองรับโมเดลขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ และใช้เทคโนโลยี NVLink รุ่นที่ 5 ที่เชื่อมต่อ GPU ได้ถึง 576 ตัวในคลัสเตอร์เดียว

    เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว Blackwell มีประสิทธิภาพมากกว่า Intel 4004 ถึง 217 ล้านเท่า! นี่คือผลลัพธ์ของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามกฎของ Moore’s Law และความต้องการด้าน AI ที่เติบโตแบบทวีคูณ

    Intel 4004 คือจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์ในปี 1971
    ความเร็ว 740kHz, 4-bit CPU, 2,300 ทรานซิสเตอร์
    ใช้ในเครื่องคิดเลขของบริษัท Busicom

    NVIDIA Blackwell คือชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในปี 2025
    มี 208 พันล้านทรานซิสเตอร์
    รองรับโมเดล AI ขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์
    ใช้เทคโนโลยี NVLink 5.0 ที่มีแบนด์วิดธ์ 1.8TB/s ต่อ GPU

    Blackwell มีพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU
    ใช้หน่วยความจำ HBM3e สูงสุด 192GB
    มี Tensor Core รุ่นใหม่ที่รองรับ FP4 สำหรับ AI inference

    การพัฒนาใน 50 ปีทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 217 ล้านเท่า
    จาก 92,600 IPS ของ 4004 สู่ระดับ ExaFLOPS ของ Blackwell
    สะท้อนความก้าวหน้าของมนุษยชาติในด้านคอมพิวเตอร์

    Blackwell ถูกนำไปใช้ในระบบ AI ของบริษัทชั้นนำทั่วโลก
    เช่น Microsoft Azure, Google DeepMind, Meta, Tesla และ OpenAI
    ใช้ในงาน LLM, quantum computing, และ data analytics

    https://wccftech.com/computing-power-has-skyrocketed-over-the-last-50-years-with-a-whopping-217-million-times-increase/
    🧠 เรื่องเล่าจากโลกชิป: จาก 4 บิตสู่ 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ ย้อนกลับไปปี 1971 Intel เปิดตัวชิป 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ด้วยความเร็วเพียง 740kHz และประมวลผลได้ 92,600 คำสั่งต่อวินาที (IPS) ใช้หน่วยความจำแค่ 4KB ROM และ 640 bytes RAM—เล็กจนเทียบไม่ได้กับมือถือยุคนี้ แต่ในปี 2025 NVIDIA เปิดตัว Blackwell ซึ่งเป็นชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ด้วยพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU รองรับโมเดลขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ และใช้เทคโนโลยี NVLink รุ่นที่ 5 ที่เชื่อมต่อ GPU ได้ถึง 576 ตัวในคลัสเตอร์เดียว เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว Blackwell มีประสิทธิภาพมากกว่า Intel 4004 ถึง 217 ล้านเท่า! นี่คือผลลัพธ์ของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามกฎของ Moore’s Law และความต้องการด้าน AI ที่เติบโตแบบทวีคูณ ✅ Intel 4004 คือจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์ในปี 1971 ➡️ ความเร็ว 740kHz, 4-bit CPU, 2,300 ทรานซิสเตอร์ ➡️ ใช้ในเครื่องคิดเลขของบริษัท Busicom ✅ NVIDIA Blackwell คือชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในปี 2025 ➡️ มี 208 พันล้านทรานซิสเตอร์ ➡️ รองรับโมเดล AI ขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ ➡️ ใช้เทคโนโลยี NVLink 5.0 ที่มีแบนด์วิดธ์ 1.8TB/s ต่อ GPU ✅ Blackwell มีพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU ➡️ ใช้หน่วยความจำ HBM3e สูงสุด 192GB ➡️ มี Tensor Core รุ่นใหม่ที่รองรับ FP4 สำหรับ AI inference ✅ การพัฒนาใน 50 ปีทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 217 ล้านเท่า ➡️ จาก 92,600 IPS ของ 4004 สู่ระดับ ExaFLOPS ของ Blackwell ➡️ สะท้อนความก้าวหน้าของมนุษยชาติในด้านคอมพิวเตอร์ ✅ Blackwell ถูกนำไปใช้ในระบบ AI ของบริษัทชั้นนำทั่วโลก ➡️ เช่น Microsoft Azure, Google DeepMind, Meta, Tesla และ OpenAI ➡️ ใช้ในงาน LLM, quantum computing, และ data analytics https://wccftech.com/computing-power-has-skyrocketed-over-the-last-50-years-with-a-whopping-217-million-times-increase/
    WCCFTECH.COM
    Computing Power Has Skyrocketed Over the Last 50 Years, With a Whopping 217 Million Times Increase in Performance — From the Humble Intel 4004 to Cutting-Edge NVIDIA Blackwell Chip
    The evolution of humans has been the "talk of the town," but in the computing segment, we have achieved a lot in just five decades.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚡️ เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันชิป AI: เมื่อ Positron และ Groq ลุกขึ้นสู้ Nvidia ด้วยพลังงานที่น้อยกว่าแต่เร็วกว่า

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของทุกอุตสาหกรรม ความต้องการพลังงานในการประมวลผลก็พุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากังวล โดยเฉพาะในขั้นตอน “inference” หรือการนำโมเดลที่ฝึกแล้วมาใช้งานจริง เช่น การตอบคำถามหรือสร้างภาพ ซึ่งใช้พลังงานมหาศาล

    Positron บริษัทสตาร์ทอัพจากสหรัฐฯ ก่อตั้งในปี 2023 ได้พัฒนาชิปที่เน้นเฉพาะการ inference โดยตัดฟังก์ชันที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้ประหยัดพลังงานได้ถึง 6 เท่าเมื่อเทียบกับชิป Vera Rubin รุ่นใหม่ของ Nvidia และมีประสิทธิภาพต่อราคาดีกว่า 2–3 เท่า

    Groq อีกหนึ่งผู้ท้าชิง ใช้แนวคิด “assembly line” ในการประมวลผล AI โดยฝังหน่วยความจำไว้ในตัวชิป ทำให้ลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างชิป ซึ่งเป็นต้นเหตุของการใช้พลังงานสูง ชิปของ Groq ใช้พลังงานเพียง 1/3 ของ Nvidia แต่ให้ผลลัพธ์เร็วกว่า

    แม้ Nvidia จะยังครองตลาดด้วยชิป Blackwell และ Vera Rubin ที่มีประสิทธิภาพสูง แต่บริษัทหน้าใหม่เหล่านี้กำลังได้รับความสนใจจากผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ เช่น Cloudflare ที่เริ่มทดลองใช้งานจริงแล้ว

    Positron พัฒนาชิป AI inference ที่ประหยัดพลังงานและต้นทุนต่ำกว่าชิป Nvidia Vera Rubin
    ประหยัดพลังงานได้มากถึง 6 เท่า
    ประสิทธิภาพต่อราคาดีกว่า 2–3 เท่า

    Groq ใช้สถาปัตยกรรมแบบ assembly line พร้อมฝังหน่วยความจำในตัวชิป
    ลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างชิป
    ใช้พลังงานเพียง 1/3 ของ Nvidia แต่ให้ผลลัพธ์เร็วกว่า

    Cloudflare เริ่มทดลองใช้งานชิปของ Positron และ Groq ในระดับจริงจัง
    เป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่ทดสอบชิปนอกเหนือจาก Nvidia อย่างจริงจัง
    หากผลลัพธ์เป็นไปตามที่โฆษณา จะขยายการใช้งานทั่วโลก

    Nvidia เปิดตัวชิป Vera Rubin และ Blackwell ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 30 เท่า
    Vera Rubin มีหน่วยความจำ 288 GB และเชื่อมต่อด้วย NVLink ความเร็วสูง
    Blackwell Ultra ให้ประสิทธิภาพ inference สูงถึง 3.6 exaFLOPS

    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น Google, Amazon, Microsoft กำลังพัฒนาชิป inference ของตัวเอง
    เพื่อลดต้นทุนและพึ่งพา Nvidia ให้น้อยลง
    ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในชิปเฉพาะทาง

    แม้ชิปใหม่จะประหยัดพลังงาน แต่ความต้องการ AI ยังเติบโตเร็วกว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพ
    คาดว่าการใช้พลังงานของ AI จะเพิ่มขึ้น 50% ต่อปีจนถึงปี 2030
    อาจทำให้โครงข่ายไฟฟ้ากลายเป็นคอขวดของการพัฒนา AI

    การพึ่งพา Nvidia มากเกินไปอาจสร้าง “Nvidia tax” ให้กับอุตสาหกรรม
    Nvidia มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 60% จากการขายชิป
    ทำให้ต้นทุนการประมวลผล AI สูงเกินจำเป็น

    ชิปที่เน้น inference อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง
    Positron และ Groq เน้นเฉพาะงาน inference ไม่ครอบคลุมทุก workload
    อาจต้องใช้ร่วมกับชิปอื่นในระบบที่ซับซ้อน

    การเปลี่ยนมาใช้ชิปใหม่ต้องใช้เวลาในการปรับระบบและทดสอบความเข้ากันได้
    ต้องพิจารณาความเข้ากันได้กับ API และโครงสร้างคลาวด์เดิม
    อาจมีความเสี่ยงด้านการลงทุนหากชิปไม่ผ่านการทดสอบในระยะยาว

    https://www.techspot.com/news/108831-next-gen-chipmakers-aim-rein-ai-runaway-power.html
    ⚡️ เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันชิป AI: เมื่อ Positron และ Groq ลุกขึ้นสู้ Nvidia ด้วยพลังงานที่น้อยกว่าแต่เร็วกว่า ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของทุกอุตสาหกรรม ความต้องการพลังงานในการประมวลผลก็พุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากังวล โดยเฉพาะในขั้นตอน “inference” หรือการนำโมเดลที่ฝึกแล้วมาใช้งานจริง เช่น การตอบคำถามหรือสร้างภาพ ซึ่งใช้พลังงานมหาศาล Positron บริษัทสตาร์ทอัพจากสหรัฐฯ ก่อตั้งในปี 2023 ได้พัฒนาชิปที่เน้นเฉพาะการ inference โดยตัดฟังก์ชันที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้ประหยัดพลังงานได้ถึง 6 เท่าเมื่อเทียบกับชิป Vera Rubin รุ่นใหม่ของ Nvidia และมีประสิทธิภาพต่อราคาดีกว่า 2–3 เท่า Groq อีกหนึ่งผู้ท้าชิง ใช้แนวคิด “assembly line” ในการประมวลผล AI โดยฝังหน่วยความจำไว้ในตัวชิป ทำให้ลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างชิป ซึ่งเป็นต้นเหตุของการใช้พลังงานสูง ชิปของ Groq ใช้พลังงานเพียง 1/3 ของ Nvidia แต่ให้ผลลัพธ์เร็วกว่า แม้ Nvidia จะยังครองตลาดด้วยชิป Blackwell และ Vera Rubin ที่มีประสิทธิภาพสูง แต่บริษัทหน้าใหม่เหล่านี้กำลังได้รับความสนใจจากผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ เช่น Cloudflare ที่เริ่มทดลองใช้งานจริงแล้ว ✅ Positron พัฒนาชิป AI inference ที่ประหยัดพลังงานและต้นทุนต่ำกว่าชิป Nvidia Vera Rubin ➡️ ประหยัดพลังงานได้มากถึง 6 เท่า ➡️ ประสิทธิภาพต่อราคาดีกว่า 2–3 เท่า ✅ Groq ใช้สถาปัตยกรรมแบบ assembly line พร้อมฝังหน่วยความจำในตัวชิป ➡️ ลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างชิป ➡️ ใช้พลังงานเพียง 1/3 ของ Nvidia แต่ให้ผลลัพธ์เร็วกว่า ✅ Cloudflare เริ่มทดลองใช้งานชิปของ Positron และ Groq ในระดับจริงจัง ➡️ เป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่ทดสอบชิปนอกเหนือจาก Nvidia อย่างจริงจัง ➡️ หากผลลัพธ์เป็นไปตามที่โฆษณา จะขยายการใช้งานทั่วโลก ✅ Nvidia เปิดตัวชิป Vera Rubin และ Blackwell ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 30 เท่า ➡️ Vera Rubin มีหน่วยความจำ 288 GB และเชื่อมต่อด้วย NVLink ความเร็วสูง ➡️ Blackwell Ultra ให้ประสิทธิภาพ inference สูงถึง 3.6 exaFLOPS ✅ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น Google, Amazon, Microsoft กำลังพัฒนาชิป inference ของตัวเอง ➡️ เพื่อลดต้นทุนและพึ่งพา Nvidia ให้น้อยลง ➡️ ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในชิปเฉพาะทาง ‼️ แม้ชิปใหม่จะประหยัดพลังงาน แต่ความต้องการ AI ยังเติบโตเร็วกว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพ ⛔ คาดว่าการใช้พลังงานของ AI จะเพิ่มขึ้น 50% ต่อปีจนถึงปี 2030 ⛔ อาจทำให้โครงข่ายไฟฟ้ากลายเป็นคอขวดของการพัฒนา AI ‼️ การพึ่งพา Nvidia มากเกินไปอาจสร้าง “Nvidia tax” ให้กับอุตสาหกรรม ⛔ Nvidia มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 60% จากการขายชิป ⛔ ทำให้ต้นทุนการประมวลผล AI สูงเกินจำเป็น ‼️ ชิปที่เน้น inference อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง ⛔ Positron และ Groq เน้นเฉพาะงาน inference ไม่ครอบคลุมทุก workload ⛔ อาจต้องใช้ร่วมกับชิปอื่นในระบบที่ซับซ้อน ‼️ การเปลี่ยนมาใช้ชิปใหม่ต้องใช้เวลาในการปรับระบบและทดสอบความเข้ากันได้ ⛔ ต้องพิจารณาความเข้ากันได้กับ API และโครงสร้างคลาวด์เดิม ⛔ อาจมีความเสี่ยงด้านการลงทุนหากชิปไม่ผ่านการทดสอบในระยะยาว https://www.techspot.com/news/108831-next-gen-chipmakers-aim-rein-ai-runaway-power.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Positron bets on energy-efficient AI chips to challenge Nvidia's dominance
    Founded in 2023, Positron has rapidly attracted investment and attention from major cloud providers. The startup recently raised $51.6 million in new funding, bringing its total to...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเงามืด: เมื่อ Scattered Spider ใช้โทรศัพท์แทนมัลแวร์เพื่อยึดระบบเสมือน

    Scattered Spider เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียงจากการโจมตีองค์กรใหญ่ เช่น MGM Resorts และ Harrods โดยใช้เทคนิคที่ไม่ต้องพึ่งช่องโหว่ซอฟต์แวร์ แต่ใช้ “social engineering” ผ่านการโทรศัพท์ไปยัง Help Desk เพื่อขอรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชี Active Directory

    เมื่อได้สิทธิ์เข้าระบบแล้ว พวกเขาจะค้นหาข้อมูลภายใน เช่น รายชื่อผู้ดูแลระบบ vSphere และกลุ่มสิทธิ์ระดับสูง แล้วโทรอีกครั้งเพื่อขอรีเซ็ตรหัสของผู้ดูแลระบบ จากนั้นใช้สิทธิ์ที่ได้เข้าไปยึด VMware vCenter Server Appliance (VCSA) และเปิดช่องทาง SSH บน ESXi hypervisor เพื่อควบคุมระบบทั้งหมด

    พวกเขายังใช้เครื่องมือถูกกฎหมายอย่าง Teleport เพื่อสร้างช่องทางสื่อสารแบบเข้ารหัสที่หลบเลี่ยงไฟร์วอลล์ และทำการโจมตีแบบ “disk-swap” โดยปิด VM ของ Domain Controller แล้วถอดดิสก์ไปติดตั้งบน VM ที่ควบคุมเอง เพื่อขโมยฐานข้อมูล NTDS.dit ของ Active Directory

    ก่อนจะปล่อยแรนซัมแวร์ พวกเขายังลบงานสำรองข้อมูลและ snapshot ทั้งหมด เพื่อให้เหยื่อไม่มีทางกู้คืนได้ และสุดท้ายก็เข้ารหัสไฟล์ VM ทั้งหมดจากระดับ hypervisor โดยใช้สิทธิ์ root ผ่าน SSH

    Scattered Spider (UNC3944) ใช้ social engineering เพื่อยึดระบบ VMware vSphere
    เริ่มจากโทรหา Help Desk เพื่อขอรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชี AD
    ใช้ข้อมูลจากการเจาะระบบภายในเพื่อยกระดับสิทธิ์

    กลุ่มนี้ใช้เครื่องมือถูกกฎหมาย เช่น Teleport เพื่อสร้างช่องทางควบคุมแบบเข้ารหัส
    ติดตั้งบน VCSA เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจาก firewall และ EDR
    สร้างช่องทางควบคุมระยะไกลแบบถาวร

    เทคนิค “disk-swap” ใช้ในการขโมยฐานข้อมูล Active Directory โดยไม่ถูกตรวจจับ
    ปิด VM ของ Domain Controller แล้วถอดดิสก์ไปติดตั้งบน VM ที่ควบคุม
    ขโมยไฟล์ NTDS.dit โดยไม่ผ่านระบบปฏิบัติการของ VM

    ก่อนปล่อยแรนซัมแวร์ กลุ่มนี้จะลบงานสำรองข้อมูลทั้งหมด
    ลบ backup jobs และ repositories เพื่อป้องกันการกู้คืน
    ใช้ SSH บน ESXi hosts เพื่อเข้ารหัสไฟล์ VM โดยตรง

    Google แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางป้องกันจาก EDR เป็น “infrastructure-centric defense”
    เน้นการตรวจสอบระดับ hypervisor และการควบคุมสิทธิ์
    ใช้ MFA ที่ต้าน phishing, แยกโครงสร้างสำรองข้อมูล, และตรวจสอบ log อย่างต่อเนื่อง

    การโจมตีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
    จากการโทรครั้งแรกถึงการเข้ารหัสข้อมูลใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
    ทำให้ระบบตรวจจับแบบเดิมไม่ทันต่อเหตุการณ์

    ระบบ VMware ESXi และ VCSA มีช่องว่างด้านการตรวจสอบที่ EDR มองไม่เห็น
    ไม่มี agent รันใน hypervisor ทำให้การโจมตีไม่ถูกตรวจจับ
    ต้องใช้การตรวจสอบ log จากระดับระบบเสมือนโดยตรง

    การใช้ Active Directory ร่วมกับ vSphere เป็นจุดอ่อนสำคัญ
    เมื่อ AD ถูกยึด สิทธิ์ใน vSphere ก็ถูกยึดตามไปด้วย
    ควรแยกโครงสร้างสิทธิ์และใช้ MFA ที่ไม่พึ่ง AD

    Help Desk กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตี
    การรีเซ็ตรหัสผ่านผ่านโทรศัพท์เป็นช่องทางที่ถูกใช้บ่อย
    ควรมีขั้นตอนตรวจสอบตัวตนที่เข้มงวดและห้ามรีเซ็ตบัญชีระดับสูงผ่านโทรศัพท์

    https://hackread.com/scattered-spider-ransomware-hijack-vmware-systems-google/
    🕷️ เรื่องเล่าจากเงามืด: เมื่อ Scattered Spider ใช้โทรศัพท์แทนมัลแวร์เพื่อยึดระบบเสมือน Scattered Spider เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียงจากการโจมตีองค์กรใหญ่ เช่น MGM Resorts และ Harrods โดยใช้เทคนิคที่ไม่ต้องพึ่งช่องโหว่ซอฟต์แวร์ แต่ใช้ “social engineering” ผ่านการโทรศัพท์ไปยัง Help Desk เพื่อขอรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชี Active Directory เมื่อได้สิทธิ์เข้าระบบแล้ว พวกเขาจะค้นหาข้อมูลภายใน เช่น รายชื่อผู้ดูแลระบบ vSphere และกลุ่มสิทธิ์ระดับสูง แล้วโทรอีกครั้งเพื่อขอรีเซ็ตรหัสของผู้ดูแลระบบ จากนั้นใช้สิทธิ์ที่ได้เข้าไปยึด VMware vCenter Server Appliance (VCSA) และเปิดช่องทาง SSH บน ESXi hypervisor เพื่อควบคุมระบบทั้งหมด พวกเขายังใช้เครื่องมือถูกกฎหมายอย่าง Teleport เพื่อสร้างช่องทางสื่อสารแบบเข้ารหัสที่หลบเลี่ยงไฟร์วอลล์ และทำการโจมตีแบบ “disk-swap” โดยปิด VM ของ Domain Controller แล้วถอดดิสก์ไปติดตั้งบน VM ที่ควบคุมเอง เพื่อขโมยฐานข้อมูล NTDS.dit ของ Active Directory ก่อนจะปล่อยแรนซัมแวร์ พวกเขายังลบงานสำรองข้อมูลและ snapshot ทั้งหมด เพื่อให้เหยื่อไม่มีทางกู้คืนได้ และสุดท้ายก็เข้ารหัสไฟล์ VM ทั้งหมดจากระดับ hypervisor โดยใช้สิทธิ์ root ผ่าน SSH ✅ Scattered Spider (UNC3944) ใช้ social engineering เพื่อยึดระบบ VMware vSphere ➡️ เริ่มจากโทรหา Help Desk เพื่อขอรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชี AD ➡️ ใช้ข้อมูลจากการเจาะระบบภายในเพื่อยกระดับสิทธิ์ ✅ กลุ่มนี้ใช้เครื่องมือถูกกฎหมาย เช่น Teleport เพื่อสร้างช่องทางควบคุมแบบเข้ารหัส ➡️ ติดตั้งบน VCSA เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจาก firewall และ EDR ➡️ สร้างช่องทางควบคุมระยะไกลแบบถาวร ✅ เทคนิค “disk-swap” ใช้ในการขโมยฐานข้อมูล Active Directory โดยไม่ถูกตรวจจับ ➡️ ปิด VM ของ Domain Controller แล้วถอดดิสก์ไปติดตั้งบน VM ที่ควบคุม ➡️ ขโมยไฟล์ NTDS.dit โดยไม่ผ่านระบบปฏิบัติการของ VM ✅ ก่อนปล่อยแรนซัมแวร์ กลุ่มนี้จะลบงานสำรองข้อมูลทั้งหมด ➡️ ลบ backup jobs และ repositories เพื่อป้องกันการกู้คืน ➡️ ใช้ SSH บน ESXi hosts เพื่อเข้ารหัสไฟล์ VM โดยตรง ✅ Google แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางป้องกันจาก EDR เป็น “infrastructure-centric defense” ➡️ เน้นการตรวจสอบระดับ hypervisor และการควบคุมสิทธิ์ ➡️ ใช้ MFA ที่ต้าน phishing, แยกโครงสร้างสำรองข้อมูล, และตรวจสอบ log อย่างต่อเนื่อง ‼️ การโจมตีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ⛔ จากการโทรครั้งแรกถึงการเข้ารหัสข้อมูลใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ⛔ ทำให้ระบบตรวจจับแบบเดิมไม่ทันต่อเหตุการณ์ ‼️ ระบบ VMware ESXi และ VCSA มีช่องว่างด้านการตรวจสอบที่ EDR มองไม่เห็น ⛔ ไม่มี agent รันใน hypervisor ทำให้การโจมตีไม่ถูกตรวจจับ ⛔ ต้องใช้การตรวจสอบ log จากระดับระบบเสมือนโดยตรง ‼️ การใช้ Active Directory ร่วมกับ vSphere เป็นจุดอ่อนสำคัญ ⛔ เมื่อ AD ถูกยึด สิทธิ์ใน vSphere ก็ถูกยึดตามไปด้วย ⛔ ควรแยกโครงสร้างสิทธิ์และใช้ MFA ที่ไม่พึ่ง AD ‼️ Help Desk กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตี ⛔ การรีเซ็ตรหัสผ่านผ่านโทรศัพท์เป็นช่องทางที่ถูกใช้บ่อย ⛔ ควรมีขั้นตอนตรวจสอบตัวตนที่เข้มงวดและห้ามรีเซ็ตบัญชีระดับสูงผ่านโทรศัพท์ https://hackread.com/scattered-spider-ransomware-hijack-vmware-systems-google/
    HACKREAD.COM
    Scattered Spider Launching Ransomware on Hijacked VMware Systems, Google
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังจอ: เมื่อ Albavisión ถูกโจมตีโดย GLOBAL GROUP

    Albavisión คือเครือข่ายสื่อขนาดใหญ่ที่มีสถานีโทรทัศน์ 45 ช่อง, สถานีวิทยุ 68 แห่ง, โรงภาพยนตร์กว่า 65 แห่ง และสื่อสิ่งพิมพ์ในกว่า 14 ประเทศทั่วละตินอเมริกา ก่อตั้งโดย Remigio Ángel González นักธุรกิจผู้พลิกฟื้นสื่อที่กำลังล้มให้กลับมาทำกำไรด้วยละครท้องถิ่นและภาพยนตร์ฮอลลีวูด

    แต่ในเดือนกรกฎาคม 2025 GLOBAL GROUP ซึ่งเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ได้อ้างว่าเจาะระบบของ Albavisión และขโมยข้อมูลกว่า 400 GB โดยใช้เทคนิคการเจรจาแบบใหม่ผ่านแชตบอท AI ที่รองรับหลายภาษา

    กลุ่มนี้ยังเคยเรียกค่าไถ่สูงถึง 9.5 BTC (ประมาณ 1 ล้านดอลลาร์) จากเหยื่อรายอื่น และมีประวัติการโจมตีองค์กรสื่ออื่น ๆ เช่น RTC ในอิตาลี และ RTE ที่อาจหมายถึงสถานีในไอร์แลนด์

    Albavisión ถูกโจมตีโดยกลุ่ม GLOBAL GROUP และถูกขโมยข้อมูล 400 GB
    เป็นบริษัทสื่อภาษาสเปนขนาดใหญ่ มีฐานอยู่ที่ไมอามี
    ดำเนินกิจการในกว่า 14 ประเทศในละตินอเมริกา

    GLOBAL GROUP เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS ที่เปิดตัวในมิถุนายน 2025
    ใช้แชตบอท AI เพื่อเจรจากับเหยื่อโดยอัตโนมัติ
    รองรับหลายภาษาเพื่อขยายเป้าหมายทั่วโลก

    กลุ่มนี้ขู่จะเปิดเผยข้อมูลหาก Albavisión ไม่เจรจาภายใน 15 วัน
    ใช้เว็บไซต์บนเครือข่าย Tor สำหรับการเจรจาและเผยแพร่ข้อมูล
    มีประวัติการเปิดเผยข้อมูลเหยื่อแล้ว 18 ราย รวมถึงโรงพยาบาล

    GLOBAL GROUP มีแนวโน้มมุ่งเป้าไปที่องค์กรสื่อโดยเฉพาะ
    รายชื่อเหยื่อรวมถึง RTC (อิตาลี) และ RTE (อาจเป็นไอร์แลนด์)
    สะท้อนความพยายามในการโจมตีโครงสร้างสื่อสารมวลชน

    ผู้ก่อตั้ง Albavisión คือ Remigio Ángel González มูลค่าส่วนตัวราว 2 พันล้านดอลลาร์
    เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในการซื้อกิจการสื่อที่ล้มเหลวแล้วพลิกฟื้นให้ทำกำไร
    การโจมตีจึงอาจเป็นการเลือกเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ

    https://hackread.com/global-group-ransomware-media-giant-albavision-breach/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังจอ: เมื่อ Albavisión ถูกโจมตีโดย GLOBAL GROUP Albavisión คือเครือข่ายสื่อขนาดใหญ่ที่มีสถานีโทรทัศน์ 45 ช่อง, สถานีวิทยุ 68 แห่ง, โรงภาพยนตร์กว่า 65 แห่ง และสื่อสิ่งพิมพ์ในกว่า 14 ประเทศทั่วละตินอเมริกา ก่อตั้งโดย Remigio Ángel González นักธุรกิจผู้พลิกฟื้นสื่อที่กำลังล้มให้กลับมาทำกำไรด้วยละครท้องถิ่นและภาพยนตร์ฮอลลีวูด แต่ในเดือนกรกฎาคม 2025 GLOBAL GROUP ซึ่งเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ได้อ้างว่าเจาะระบบของ Albavisión และขโมยข้อมูลกว่า 400 GB โดยใช้เทคนิคการเจรจาแบบใหม่ผ่านแชตบอท AI ที่รองรับหลายภาษา กลุ่มนี้ยังเคยเรียกค่าไถ่สูงถึง 9.5 BTC (ประมาณ 1 ล้านดอลลาร์) จากเหยื่อรายอื่น และมีประวัติการโจมตีองค์กรสื่ออื่น ๆ เช่น RTC ในอิตาลี และ RTE ที่อาจหมายถึงสถานีในไอร์แลนด์ ✅ Albavisión ถูกโจมตีโดยกลุ่ม GLOBAL GROUP และถูกขโมยข้อมูล 400 GB ➡️ เป็นบริษัทสื่อภาษาสเปนขนาดใหญ่ มีฐานอยู่ที่ไมอามี ➡️ ดำเนินกิจการในกว่า 14 ประเทศในละตินอเมริกา ✅ GLOBAL GROUP เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS ที่เปิดตัวในมิถุนายน 2025 ➡️ ใช้แชตบอท AI เพื่อเจรจากับเหยื่อโดยอัตโนมัติ ➡️ รองรับหลายภาษาเพื่อขยายเป้าหมายทั่วโลก ✅ กลุ่มนี้ขู่จะเปิดเผยข้อมูลหาก Albavisión ไม่เจรจาภายใน 15 วัน ➡️ ใช้เว็บไซต์บนเครือข่าย Tor สำหรับการเจรจาและเผยแพร่ข้อมูล ➡️ มีประวัติการเปิดเผยข้อมูลเหยื่อแล้ว 18 ราย รวมถึงโรงพยาบาล ✅ GLOBAL GROUP มีแนวโน้มมุ่งเป้าไปที่องค์กรสื่อโดยเฉพาะ ➡️ รายชื่อเหยื่อรวมถึง RTC (อิตาลี) และ RTE (อาจเป็นไอร์แลนด์) ➡️ สะท้อนความพยายามในการโจมตีโครงสร้างสื่อสารมวลชน ✅ ผู้ก่อตั้ง Albavisión คือ Remigio Ángel González มูลค่าส่วนตัวราว 2 พันล้านดอลลาร์ ➡️ เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในการซื้อกิจการสื่อที่ล้มเหลวแล้วพลิกฟื้นให้ทำกำไร ➡️ การโจมตีจึงอาจเป็นการเลือกเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ https://hackread.com/global-group-ransomware-media-giant-albavision-breach/
    HACKREAD.COM
    GLOBAL GROUP Ransomware Claims Breach of Media Giant Albavisión
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • เริ่มธุรกิจใหม่ ไม่ต้องลงทุนแรง! เครื่องปอกเปลือกช่วยคุณประหยัดทั้งเงินและเวลา!
    สำหรับเจ้าของธุรกิจมือใหม่ที่กำลังมองหาเครื่องมือช่วยทุ่นแรง แต่ยังกังวลเรื่องงบประมาณอยู่ใช่ไหมคะ? เครื่องปอกเปลือกแบบใช้น้ำขนาด 10 ลิตร ของเราคือคำตอบ! เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า คืนทุนเร็วแน่นอน!

    ทำไมเครื่องนี้ถึงเหมาะกับธุรกิจเริ่มต้น?
    ราคาไม่แรง! เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้เริ่มต้นธุรกิจ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนก้อนแรก

    เพิ่มกำลังผลิตได้ทันที! ไม่ต้องจ้างคนเพิ่ม ไม่ต้องเสียเวลามาปอกมือเองอีกต่อไป เครื่องนี้ช่วยให้คุณผลิตวัตถุดิบได้เร็วขึ้นมาก!

    ประหยัดเวลาและแรงงาน! ปอกหอมแดง หอมแขก หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง หรือกระเทียม ได้มากถึง 5-7 กก. ต่อครั้ง! ทำให้คุณมีเวลาไปโฟกัสกับส่วนอื่น ๆ ของธุรกิจได้เต็มที่

    คุณภาพดี ทนทาน! แม้ราคาจะเข้าถึงง่าย แต่คุณภาพไม่เป็นรองใคร! ตัวเครื่องทำจากสเตนเลสทั้งเครื่อง แข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน

    ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก! ไม่ต้องมีทักษะเฉพาะทาง แค่เสียบปลั๊ก ใส่ของ กดปุ่ม ก็พร้อมใช้งานได้เลย

    รับประกัน 1 ปี! มั่นใจได้ในบริการหลังการขาย เราพร้อมดูแลธุรกิจของคุณให้ก้าวไปข้างหน้า

    รายละเอียดเครื่อง:
    ขนาด: 50 x 74.5 x 85 ซม.
    มอเตอร์: 1 แรงม้า
    ใช้ไฟบ้าน: 220V
    น้ำหนัก: 58 กก.

    อย่าปล่อยให้การเตรียมวัตถุดิบเป็นอุปสรรคในการเริ่มต้นธุรกิจของคุณ! ลงทุนกับเครื่องปอกเปลือกวันนี้ เพื่ออนาคตที่เติบโต!

    สนใจสินค้า? แวะมาดูเครื่องจริงได้เลย!
    เรายินดีให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ประกอบการมือใหม่ทุกท่านค่ะ

    เวลาทำการ:
    จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น.
    เสาร์: 8.00 - 16.00 น.

    แผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/4ppsHfy3NYb1uPPu6

    ช่องทางติดต่อสอบถาม:
    Facebook Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE Official Account: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก https://lin.ee/HV4lSKp

    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com, yonghahheng@gmail.com

    #เครื่องปอกเปลือก #เริ่มต้นธุรกิจ #ลงทุนน้อย #คืนทุนเร็ว #ผู้ประกอบการ #SME #ร้านอาหารเล็กๆ #ธุรกิจอาหาร #ประหยัดต้นทุน #เครื่องจักรอาหาร #อุปกรณ์ครัว #ทำอาหารขาย #หอมใหญ่ #กระเทียม #มันฝรั่ง #เครื่องทุ่นแรง #yonghahheng #คุ้มค่า #ธุรกิจร้านอาหาร
    🚀 เริ่มธุรกิจใหม่ ไม่ต้องลงทุนแรง! ✨ เครื่องปอกเปลือกช่วยคุณประหยัดทั้งเงินและเวลา! 🧅🥔🧄 สำหรับเจ้าของธุรกิจมือใหม่ที่กำลังมองหาเครื่องมือช่วยทุ่นแรง แต่ยังกังวลเรื่องงบประมาณอยู่ใช่ไหมคะ? 🎉 เครื่องปอกเปลือกแบบใช้น้ำขนาด 10 ลิตร ของเราคือคำตอบ! เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า คืนทุนเร็วแน่นอน! 🔥 ทำไมเครื่องนี้ถึงเหมาะกับธุรกิจเริ่มต้น? 🔥 💰 ราคาไม่แรง! เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้เริ่มต้นธุรกิจ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนก้อนแรก 📈 เพิ่มกำลังผลิตได้ทันที! ไม่ต้องจ้างคนเพิ่ม ไม่ต้องเสียเวลามาปอกมือเองอีกต่อไป เครื่องนี้ช่วยให้คุณผลิตวัตถุดิบได้เร็วขึ้นมาก! ⏰ ประหยัดเวลาและแรงงาน! ปอกหอมแดง หอมแขก หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง หรือกระเทียม ได้มากถึง 5-7 กก. ต่อครั้ง! ทำให้คุณมีเวลาไปโฟกัสกับส่วนอื่น ๆ ของธุรกิจได้เต็มที่ 💯 คุณภาพดี ทนทาน! แม้ราคาจะเข้าถึงง่าย แต่คุณภาพไม่เป็นรองใคร! ตัวเครื่องทำจากสเตนเลสทั้งเครื่อง แข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน 🛠️ ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก! ไม่ต้องมีทักษะเฉพาะทาง แค่เสียบปลั๊ก ใส่ของ กดปุ่ม ก็พร้อมใช้งานได้เลย 🛡️ รับประกัน 1 ปี! มั่นใจได้ในบริการหลังการขาย เราพร้อมดูแลธุรกิจของคุณให้ก้าวไปข้างหน้า รายละเอียดเครื่อง: ขนาด: 50 x 74.5 x 85 ซม. มอเตอร์: 1 แรงม้า ใช้ไฟบ้าน: 220V น้ำหนัก: 58 กก. ✨ อย่าปล่อยให้การเตรียมวัตถุดิบเป็นอุปสรรคในการเริ่มต้นธุรกิจของคุณ! ลงทุนกับเครื่องปอกเปลือกวันนี้ เพื่ออนาคตที่เติบโต! ✨ 📍 สนใจสินค้า? แวะมาดูเครื่องจริงได้เลย! เรายินดีให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ประกอบการมือใหม่ทุกท่านค่ะ 🗓️ เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น. เสาร์: 8.00 - 16.00 น. 🗺️ แผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/4ppsHfy3NYb1uPPu6 💬 ช่องทางติดต่อสอบถาม: Facebook Messenger: m.me/yonghahheng LINE Official Account: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก https://lin.ee/HV4lSKp 📞 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 🌐 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com 📧 อีเมล: sales@yoryonghahheng.com, yonghahheng@gmail.com #เครื่องปอกเปลือก #เริ่มต้นธุรกิจ #ลงทุนน้อย #คืนทุนเร็ว #ผู้ประกอบการ #SME #ร้านอาหารเล็กๆ #ธุรกิจอาหาร #ประหยัดต้นทุน #เครื่องจักรอาหาร #อุปกรณ์ครัว #ทำอาหารขาย #หอมใหญ่ #กระเทียม #มันฝรั่ง #เครื่องทุ่นแรง #yonghahheng #คุ้มค่า #ธุรกิจร้านอาหาร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน! ผู้ว่าศรีสะเกษประกาศฉุกเฉิน 3 อำเภอ กระทบประชาชนมากกว่า 3 แสนคน
    (Urgent! Sisaket governor declares emergency in 3 districts — over 300,000 people affected.) [28/7/68]

    #ด่วนศรีสะเกษ #ประกาศฉุกเฉิน3อำเภอ #ผู้ว่าศรีสะเกษ #วิกฤตชายแดน #กระทบประชาชนกว่า3แสน #สถานการณ์ฉุกเฉิน #ข่าวจังหวัดศรีสะเกษ #แนวหน้าเดือด #ThaiEmergencyAlert #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ข่าวด่วนภาคอีสาน
    #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 #カンボジアが先に発砲 #캄보디아가먼저발포 #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #thaitimes #news1 #shorts
    ด่วน! ผู้ว่าศรีสะเกษประกาศฉุกเฉิน 3 อำเภอ กระทบประชาชนมากกว่า 3 แสนคน (Urgent! Sisaket governor declares emergency in 3 districts — over 300,000 people affected.) [28/7/68] #ด่วนศรีสะเกษ #ประกาศฉุกเฉิน3อำเภอ #ผู้ว่าศรีสะเกษ #วิกฤตชายแดน #กระทบประชาชนกว่า3แสน #สถานการณ์ฉุกเฉิน #ข่าวจังหวัดศรีสะเกษ #แนวหน้าเดือด #ThaiEmergencyAlert #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ข่าวด่วนภาคอีสาน #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 #カンボジアが先に発砲 #캄보디아가먼저발포 #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #thaitimes #news1 #shorts
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 0 รีวิว

  • สามารถตั้งศูนย์ช่วยเหลือคนเขมรลักษณะนี้ได้ในประเทศไทย เพราะอาจถูกหมานหัวไว้แล้วนั่นเอง,คนเขมรลักษณะนี้ ประชาชนเขมรคนธรรมดาลักษณะนี้ไม่พอใจถูกใจฮุนเซนมีไม่น้อยในไทยเรา,และถูกอำนาจรัฐบาลฮุนเซนเข้ามากระทำชั่วเลวกับประชาชนเขมรตนในไทยเราที่เป็นฝ่ายตรงข้ามฮุนเซนก็ว่า,รัฐบาลไทยต้องดูแลพิเศษในภาวะสงครามกับเขมรนี้ด้วย,เพราะศูนย์ฯนี้จะควบคุมดูแลความปลอดภัยได้ที่คนต่อต้านฮุนเซนสามารถมาอยู่รักษาชีวิตไว้ได้ จนกว่าจะสงบศึกจึงจัดการต่อไป,เสี่ยงตายมากที่กล้ามาพูดแบบนี้,เพราะสามารถปลุกใจคนภายในเขมรต่อต้านฮุนเซนทั้งประเทศได้,ออกมาแฉค่าจริงผ่านคนเขมรในไทยเราเองที่เขมรภายในประเทศเขมรเองยังผีบ้าคลั่งผิดคนอยู่นั้นเอง,แบบคนไทยผีบ้ายังคลั่งโทนี่พี่ตู่นั้นล่ะ.คนที่ไปกาเลือกเพื่อไทย กาเลือกพรรคร่วมรัฐบาลนั้นๆพึ่งสำนึกในใจตลอดไปได้เลยว่าพวกนี้เสมือนเป็นภัยความมั่นคงต่ออธิปไตยชาติไทยตนชัดเจน ปกป้องร่วมกันกับฝ่ายเขมรมิให้กระทบเขมรกระทบผลประโยชน์ใดๆของเดอะแก๊งพวกมันอ้างมุกสายสัมพันธ์บังหน้าค้าขายค้าเศรษฐกิจนั้นเอง.

    #ฮุนเซนฮุนมาเนตคืออาชญากรสงคราม



    https://youtube.com/watch?v=RifaJUmZI1I&si=dQ_HRaGOHN6OgWtM
    สามารถตั้งศูนย์ช่วยเหลือคนเขมรลักษณะนี้ได้ในประเทศไทย เพราะอาจถูกหมานหัวไว้แล้วนั่นเอง,คนเขมรลักษณะนี้ ประชาชนเขมรคนธรรมดาลักษณะนี้ไม่พอใจถูกใจฮุนเซนมีไม่น้อยในไทยเรา,และถูกอำนาจรัฐบาลฮุนเซนเข้ามากระทำชั่วเลวกับประชาชนเขมรตนในไทยเราที่เป็นฝ่ายตรงข้ามฮุนเซนก็ว่า,รัฐบาลไทยต้องดูแลพิเศษในภาวะสงครามกับเขมรนี้ด้วย,เพราะศูนย์ฯนี้จะควบคุมดูแลความปลอดภัยได้ที่คนต่อต้านฮุนเซนสามารถมาอยู่รักษาชีวิตไว้ได้ จนกว่าจะสงบศึกจึงจัดการต่อไป,เสี่ยงตายมากที่กล้ามาพูดแบบนี้,เพราะสามารถปลุกใจคนภายในเขมรต่อต้านฮุนเซนทั้งประเทศได้,ออกมาแฉค่าจริงผ่านคนเขมรในไทยเราเองที่เขมรภายในประเทศเขมรเองยังผีบ้าคลั่งผิดคนอยู่นั้นเอง,แบบคนไทยผีบ้ายังคลั่งโทนี่พี่ตู่นั้นล่ะ.คนที่ไปกาเลือกเพื่อไทย กาเลือกพรรคร่วมรัฐบาลนั้นๆพึ่งสำนึกในใจตลอดไปได้เลยว่าพวกนี้เสมือนเป็นภัยความมั่นคงต่ออธิปไตยชาติไทยตนชัดเจน ปกป้องร่วมกันกับฝ่ายเขมรมิให้กระทบเขมรกระทบผลประโยชน์ใดๆของเดอะแก๊งพวกมันอ้างมุกสายสัมพันธ์บังหน้าค้าขายค้าเศรษฐกิจนั้นเอง. #ฮุนเซนฮุนมาเนตคืออาชญากรสงคราม https://youtube.com/watch?v=RifaJUmZI1I&si=dQ_HRaGOHN6OgWtM
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากวอชิงตัน: เมื่อ AI ถูกใช้เพื่อลบครึ่งหนึ่งของกฎระเบียบรัฐบาลกลาง

    ในปีแรกของการกลับมาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายสุดโต่ง—ลบกฎระเบียบของรัฐบาลกลางให้ได้ถึง 50%! และเครื่องมือหลักที่ใช้คือ “DOGE AI Deregulation Decision Tool” ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาโดยหน่วยงานใหม่ชื่อ DOGE (Department of Government Efficiency) ที่เคยมี Elon Musk เป็นผู้นำ

    AI ตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์กฎระเบียบกว่า 200,000 ฉบับ และคัดเลือก 100,000 ฉบับที่ “ไม่จำเป็นตามกฎหมาย” เพื่อเสนอให้ลบออก โดยอ้างว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ลงจาก 3.6 ล้านชั่วโมงเหลือแค่ 36 ชั่วโมง!

    แต่การใช้ AI แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีรายงานว่าเครื่องมือนี้เข้าใจภาษากฎหมายผิดพลาดหลายครั้ง และอาจนำไปสู่การลบกฎที่ยังจำเป็นอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ

    DOGE AI Deregulation Decision Tool ตั้งเป้าลบ 100,000 กฎระเบียบภายในปีแรกของรัฐบาลทรัมป์
    วิเคราะห์กฎระเบียบกว่า 200,000 ฉบับเพื่อคัดเลือกสิ่งที่ไม่จำเป็นตามกฎหมาย
    ใช้แล้วใน HUD และ CFPB โดยเขียน “100% ของการยกเลิกกฎ” ที่ CFPB

    ระบบนี้อ้างว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณและเวลาอย่างมหาศาล
    ประหยัดงบประมาณได้ถึง $1.5 ล้านล้านต่อปี
    ลดภาระงานจาก 3.6 ล้านชั่วโมงเหลือเพียง 36 ชั่วโมง

    DOGE ใช้กลยุทธ์ “AI-first” ตั้งแต่ต้นปี 2025
    เริ่มฝัง AI ในหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งตั้งแต่เดือนมีนาคม
    เปิดตัวแชตบอท GSAi ให้พนักงานกว่า 1,500 คนใช้งาน

    แผนนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาในการลดกฎระเบียบของทรัมป์
    มาจากคำสั่งผู้บริหารเมื่อ 31 มกราคม 2025 ที่เรียกร้องให้ยกเลิกกฎ 10 ฉบับต่อการออกใหม่ 1 ฉบับ
    DOGE ถูกตั้งขึ้นเพื่อผลักดันเป้าหมายนี้โดยตรง

    AI เข้าใจภาษากฎหมายผิดพลาดหลายครั้ง
    เจ้าหน้าที่ HUD รายงานว่า AI เข้าใจผิดว่ากฎที่ถูกต้องเป็นกฎที่ผิด
    อาจนำไปสู่การลบกฎที่ยังจำเป็นอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ

    การใช้ AI เพื่อลบกฎระเบียบอาจขัดต่อกฎหมายปกครอง (Administrative Procedure Act)
    กฎหมายกำหนดให้ต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงกฎ
    การอ้างว่า “AI บอกให้ลบ” อาจไม่ผ่านการตรวจสอบของศาล

    การใช้ระบบอัตโนมัติในระดับนี้อาจลดบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐและผู้เชี่ยวชาญ
    เกิดความกังวลว่าการตัดสินใจสำคัญจะถูกแทนที่ด้วยอัลกอริธึม
    อาจกระทบต่อความโปร่งใสและความรับผิดชอบของรัฐบาล

    DOGE เคยมีปัญหาด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
    เว็บไซต์ของ DOGE เคยถูกเจาะระบบและปล่อยข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจ
    พนักงานบางคนมีประวัติที่น่าสงสัยและอุปกรณ์ถูกมัลแวร์โจมตี

    https://www.techspot.com/news/108826-doge-wants-use-ai-tool-eliminate-half-all.html
    🧠 เรื่องเล่าจากวอชิงตัน: เมื่อ AI ถูกใช้เพื่อลบครึ่งหนึ่งของกฎระเบียบรัฐบาลกลาง ในปีแรกของการกลับมาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายสุดโต่ง—ลบกฎระเบียบของรัฐบาลกลางให้ได้ถึง 50%! และเครื่องมือหลักที่ใช้คือ “DOGE AI Deregulation Decision Tool” ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาโดยหน่วยงานใหม่ชื่อ DOGE (Department of Government Efficiency) ที่เคยมี Elon Musk เป็นผู้นำ AI ตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์กฎระเบียบกว่า 200,000 ฉบับ และคัดเลือก 100,000 ฉบับที่ “ไม่จำเป็นตามกฎหมาย” เพื่อเสนอให้ลบออก โดยอ้างว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ลงจาก 3.6 ล้านชั่วโมงเหลือแค่ 36 ชั่วโมง! แต่การใช้ AI แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีรายงานว่าเครื่องมือนี้เข้าใจภาษากฎหมายผิดพลาดหลายครั้ง และอาจนำไปสู่การลบกฎที่ยังจำเป็นอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ ✅ DOGE AI Deregulation Decision Tool ตั้งเป้าลบ 100,000 กฎระเบียบภายในปีแรกของรัฐบาลทรัมป์ ➡️ วิเคราะห์กฎระเบียบกว่า 200,000 ฉบับเพื่อคัดเลือกสิ่งที่ไม่จำเป็นตามกฎหมาย ➡️ ใช้แล้วใน HUD และ CFPB โดยเขียน “100% ของการยกเลิกกฎ” ที่ CFPB ✅ ระบบนี้อ้างว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณและเวลาอย่างมหาศาล ➡️ ประหยัดงบประมาณได้ถึง $1.5 ล้านล้านต่อปี ➡️ ลดภาระงานจาก 3.6 ล้านชั่วโมงเหลือเพียง 36 ชั่วโมง ✅ DOGE ใช้กลยุทธ์ “AI-first” ตั้งแต่ต้นปี 2025 ➡️ เริ่มฝัง AI ในหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งตั้งแต่เดือนมีนาคม ➡️ เปิดตัวแชตบอท GSAi ให้พนักงานกว่า 1,500 คนใช้งาน ✅ แผนนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาในการลดกฎระเบียบของทรัมป์ ➡️ มาจากคำสั่งผู้บริหารเมื่อ 31 มกราคม 2025 ที่เรียกร้องให้ยกเลิกกฎ 10 ฉบับต่อการออกใหม่ 1 ฉบับ ➡️ DOGE ถูกตั้งขึ้นเพื่อผลักดันเป้าหมายนี้โดยตรง ‼️ AI เข้าใจภาษากฎหมายผิดพลาดหลายครั้ง ⛔ เจ้าหน้าที่ HUD รายงานว่า AI เข้าใจผิดว่ากฎที่ถูกต้องเป็นกฎที่ผิด ⛔ อาจนำไปสู่การลบกฎที่ยังจำเป็นอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ ‼️ การใช้ AI เพื่อลบกฎระเบียบอาจขัดต่อกฎหมายปกครอง (Administrative Procedure Act) ⛔ กฎหมายกำหนดให้ต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงกฎ ⛔ การอ้างว่า “AI บอกให้ลบ” อาจไม่ผ่านการตรวจสอบของศาล ‼️ การใช้ระบบอัตโนมัติในระดับนี้อาจลดบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐและผู้เชี่ยวชาญ ⛔ เกิดความกังวลว่าการตัดสินใจสำคัญจะถูกแทนที่ด้วยอัลกอริธึม ⛔ อาจกระทบต่อความโปร่งใสและความรับผิดชอบของรัฐบาล ‼️ DOGE เคยมีปัญหาด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ ⛔ เว็บไซต์ของ DOGE เคยถูกเจาะระบบและปล่อยข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจ ⛔ พนักงานบางคนมีประวัติที่น่าสงสัยและอุปกรณ์ถูกมัลแวร์โจมตี https://www.techspot.com/news/108826-doge-wants-use-ai-tool-eliminate-half-all.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    DOGE's AI tool misreads law, still tasked with deleting half of US regulations
    The Doge AI Deregulation Decision Tool will be analyzing around 200,000 federal regulations, according to the Washington Post, which cites documents it obtained and four government officials.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกออนไลน์: เมื่อ “เกม” และ “VPN” กลายเป็นเครื่องมือหลบกฎหมาย

    ลองจินตนาการว่าคุณอยู่ในสหราชอาณาจักรและต้องการเข้าถึงเว็บไซต์ผู้ใหญ่หรือเนื้อหาที่จำกัดอายุ แต่ระบบใหม่ภายใต้กฎหมาย Online Safety Act บังคับให้คุณต้องส่งภาพใบหน้า, บัตรประชาชน หรือแม้แต่เปิดปากต่อหน้ากล้องเพื่อพิสูจน์ว่าคุณเป็นผู้ใหญ่จริงๆ

    ผู้ใช้จำนวนมากไม่พอใจและเริ่มหาทางหลบเลี่ยง—บางคนใช้ VPN เพื่อเปลี่ยนตำแหน่ง IP ไปยังประเทศอื่น แต่ที่สร้างเสียงฮือฮาคือการใช้ “ภาพจากเกม Death Stranding” โดยปรับสีหน้าในโหมดถ่ายภาพของตัวละคร Sam Porter Bridges แล้วใช้ภาพนั้นแทนใบหน้าจริงในการยืนยันอายุบน Discord และแพลตฟอร์มอื่น

    กฎหมาย Online Safety Act เริ่มบังคับใช้ในสหราชอาณาจักรเมื่อ 25 กรกฎาคม 2025
    บังคับให้เว็บไซต์ผู้ใหญ่และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใช้ระบบตรวจสอบอายุที่เข้มงวด
    ไม่สามารถใช้แค่การคลิก “ฉันอายุเกิน 18” ได้อีกต่อไป

    ระบบตรวจสอบอายุต้องใช้ข้อมูลจริง เช่น ภาพใบหน้า, วิดีโอ, บัตรประชาชน หรือข้อมูลธนาคาร
    Discord ใช้ระบบ K-ID ที่ต้องให้ผู้ใช้เปิดปากต่อหน้ากล้องเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นคนจริง
    Reddit, Pornhub, XHamster และแพลตฟอร์มอื่นเริ่มใช้ระบบนี้แล้ว

    ผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ VPN เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ
    Proton VPN รายงานการสมัครใช้งานจาก UK เพิ่มขึ้น 1,400% ภายในวันเดียว
    Google Search คำว่า “Proton” เพิ่มขึ้นเกือบ 100 เท่าในวันเดียว

    ผู้ใช้บางคนใช้ภาพจากเกม Death Stranding เพื่อหลอกระบบตรวจสอบอายุ
    ใช้โหมดถ่ายภาพปรับสีหน้าตัวละครให้เหมือนคนจริง
    PC Gamer ยืนยันว่าเทคนิคนี้ใช้ได้จริง โดยถือกล้องมือถือถ่ายภาพจากหน้าจอเกม

    ผู้ใช้ยังใช้ภาพจากโมเดลมีมชื่อดัง “Hide the Pain Harold” เพื่อผ่านการตรวจสอบเบื้องต้น
    แต่ระบบยังต้องการการเคลื่อนไหว เช่น การเปิดปาก เพื่อยืนยันว่าเป็นคนจริง

    การใช้ VPN หรือภาพปลอมเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบอายุอาจละเมิดข้อกำหนดของแพลตฟอร์ม
    Ofcom ระบุว่าการส่งเสริมการใช้ VPN เพื่อหลบเลี่ยงกฎหมายเป็นสิ่งต้องห้าม
    แพลตฟอร์มอาจแบนบัญชีที่ใช้วิธีหลอกลวง

    ระบบตรวจสอบอายุอาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
    ต้องส่งข้อมูลส่วนตัว เช่น ภาพใบหน้า, บัตรประชาชน หรือข้อมูลทางการเงิน
    ผู้ใช้บางคนไม่มั่นใจว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัย

    การใช้ภาพจากเกมหรือโมเดลปลอมอาจทำให้ระบบตรวจสอบผิดพลาด
    อาจเปิดช่องให้ผู้เยาว์เข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
    ลดความน่าเชื่อถือของระบบตรวจสอบอายุโดยรวม

    การบังคับใช้กฎหมายอาจกระทบเสรีภาพในการเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์
    มีผู้ลงชื่อในคำร้องขอให้ยกเลิกกฎหมายนี้มากกว่า 280,000 คน
    บางเว็บไซต์เลือกปิดบริการใน UK แทนที่จะปรับตัวตามกฎหมาย

    https://www.techspot.com/news/108819-brits-circumventing-uk-age-verification-vpns-death-stranding.html
    🕵️‍♂️ เรื่องเล่าจากโลกออนไลน์: เมื่อ “เกม” และ “VPN” กลายเป็นเครื่องมือหลบกฎหมาย ลองจินตนาการว่าคุณอยู่ในสหราชอาณาจักรและต้องการเข้าถึงเว็บไซต์ผู้ใหญ่หรือเนื้อหาที่จำกัดอายุ แต่ระบบใหม่ภายใต้กฎหมาย Online Safety Act บังคับให้คุณต้องส่งภาพใบหน้า, บัตรประชาชน หรือแม้แต่เปิดปากต่อหน้ากล้องเพื่อพิสูจน์ว่าคุณเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ผู้ใช้จำนวนมากไม่พอใจและเริ่มหาทางหลบเลี่ยง—บางคนใช้ VPN เพื่อเปลี่ยนตำแหน่ง IP ไปยังประเทศอื่น แต่ที่สร้างเสียงฮือฮาคือการใช้ “ภาพจากเกม Death Stranding” โดยปรับสีหน้าในโหมดถ่ายภาพของตัวละคร Sam Porter Bridges แล้วใช้ภาพนั้นแทนใบหน้าจริงในการยืนยันอายุบน Discord และแพลตฟอร์มอื่น ✅ กฎหมาย Online Safety Act เริ่มบังคับใช้ในสหราชอาณาจักรเมื่อ 25 กรกฎาคม 2025 ➡️ บังคับให้เว็บไซต์ผู้ใหญ่และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใช้ระบบตรวจสอบอายุที่เข้มงวด ➡️ ไม่สามารถใช้แค่การคลิก “ฉันอายุเกิน 18” ได้อีกต่อไป ✅ ระบบตรวจสอบอายุต้องใช้ข้อมูลจริง เช่น ภาพใบหน้า, วิดีโอ, บัตรประชาชน หรือข้อมูลธนาคาร ➡️ Discord ใช้ระบบ K-ID ที่ต้องให้ผู้ใช้เปิดปากต่อหน้ากล้องเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นคนจริง ➡️ Reddit, Pornhub, XHamster และแพลตฟอร์มอื่นเริ่มใช้ระบบนี้แล้ว ✅ ผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ VPN เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ➡️ Proton VPN รายงานการสมัครใช้งานจาก UK เพิ่มขึ้น 1,400% ภายในวันเดียว ➡️ Google Search คำว่า “Proton” เพิ่มขึ้นเกือบ 100 เท่าในวันเดียว ✅ ผู้ใช้บางคนใช้ภาพจากเกม Death Stranding เพื่อหลอกระบบตรวจสอบอายุ ➡️ ใช้โหมดถ่ายภาพปรับสีหน้าตัวละครให้เหมือนคนจริง ➡️ PC Gamer ยืนยันว่าเทคนิคนี้ใช้ได้จริง โดยถือกล้องมือถือถ่ายภาพจากหน้าจอเกม ✅ ผู้ใช้ยังใช้ภาพจากโมเดลมีมชื่อดัง “Hide the Pain Harold” เพื่อผ่านการตรวจสอบเบื้องต้น ➡️ แต่ระบบยังต้องการการเคลื่อนไหว เช่น การเปิดปาก เพื่อยืนยันว่าเป็นคนจริง ‼️ การใช้ VPN หรือภาพปลอมเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบอายุอาจละเมิดข้อกำหนดของแพลตฟอร์ม ⛔ Ofcom ระบุว่าการส่งเสริมการใช้ VPN เพื่อหลบเลี่ยงกฎหมายเป็นสิ่งต้องห้าม ⛔ แพลตฟอร์มอาจแบนบัญชีที่ใช้วิธีหลอกลวง ‼️ ระบบตรวจสอบอายุอาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ⛔ ต้องส่งข้อมูลส่วนตัว เช่น ภาพใบหน้า, บัตรประชาชน หรือข้อมูลทางการเงิน ⛔ ผู้ใช้บางคนไม่มั่นใจว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัย ‼️ การใช้ภาพจากเกมหรือโมเดลปลอมอาจทำให้ระบบตรวจสอบผิดพลาด ⛔ อาจเปิดช่องให้ผู้เยาว์เข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ⛔ ลดความน่าเชื่อถือของระบบตรวจสอบอายุโดยรวม ‼️ การบังคับใช้กฎหมายอาจกระทบเสรีภาพในการเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์ ⛔ มีผู้ลงชื่อในคำร้องขอให้ยกเลิกกฎหมายนี้มากกว่า 280,000 คน ⛔ บางเว็บไซต์เลือกปิดบริการใน UK แทนที่จะปรับตัวตามกฎหมาย https://www.techspot.com/news/108819-brits-circumventing-uk-age-verification-vpns-death-stranding.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Brits are circumventing UK age verification with VPNs and Death Stranding photos
    Proton VPN reported a 1,400% increase in logins from the UK on Friday. The company attributed the surge to the stricter enforcement of the Online Safety Act,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก Linux: เมื่อ “Greenboot” เปลี่ยนภาษาเพื่อความปลอดภัยที่เหนือกว่า

    ลองจินตนาการว่าคุณอัปเดตระบบปฏิบัติการแล้วเครื่องบูตไม่ขึ้น—Greenboot คือเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบสุขภาพระบบทุกครั้งที่บูต เพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนั้น โดยเดิมทีเขียนด้วย Bash แต่ตอนนี้ Red Hat กำลังรีไรต์ใหม่ด้วยภาษา Rust ซึ่งปลอดภัยกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า

    Greenboot ทำงานร่วมกับ systemd โดยรันสคริปต์ตรวจสอบในโฟลเดอร์ต่างๆ เช่น required.d, red.d, และ green.d หากสคริปต์สำคัญล้มเหลว ระบบจะรีบูตและอาจย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าเพื่อความเสถียร

    การรีไรต์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนภาษา แต่เป็นการขยายการรองรับจาก rpm-ostree ไปยัง bootc ซึ่งเป็นระบบใหม่ที่เน้นความปลอดภัยและการอัปเดตแบบ atomic ใน Fedora IoT

    Greenboot ถูกรีไรต์จาก Bash เป็น Rust โดยทีมงาน Red Hat2
    โครงการเริ่มต้นในปี 2018 จาก Google Summer of Code
    เวอร์ชันใหม่ชื่อ “Greenboot-RS” จะรวมอยู่ใน Fedora 43

    Greenboot ทำหน้าที่ตรวจสอบสุขภาพระบบทุกครั้งที่บูต
    รันสคริปต์ใน /etc/greenboot/check/required.d/ หากล้มเหลวจะรีบูต
    หากล้มเหลวหลายครั้งจะรันสคริปต์ใน red.d และย้อนกลับไปยัง deployment ก่อนหน้า

    เมื่อระบบผ่านการตรวจสอบ จะรันสคริปต์ใน green.d และตั้ง GRUB ว่า boot สำเร็จ
    ใช้ GRUB environment variable เพื่อบันทึกสถานะการบูต
    แสดงข้อความ “Boot Status is GREEN – Health Check SUCCESS” ใน MOTD

    การเปลี่ยนมาใช้ Rust ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดช่องโหว่ด้านหน่วยความจำ
    Rust เป็นภาษา memory-safe ที่ช่วยลดบั๊กประเภท buffer overflow และ use-after-free
    เป็นแนวโน้มเดียวกับโครงการอื่น เช่น sudo-rs และ systemd-rs

    Greenboot-RS รองรับทั้ง rpm-ostree และ bootc systems
    bootc เป็นระบบใหม่ที่เน้นการอัปเดตแบบปลอดภัยและย้อนกลับได้
    ช่วยให้ Fedora IoT มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้น

    การอัปเกรดจาก Greenboot เดิมเป็น Greenboot-RS จะเป็นไปอย่างราบรื่น
    ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่ง rpm-ostree upgrade หรือ bootc upgrade ได้ทันที
    ไม่มีผลกระทบต่อผู้ใช้เดิม

    การเปลี่ยนภาษาอาจทำให้เกิดบั๊กใหม่หรือปัญหาความเข้ากันได้
    แม้จะพยายามรักษาฟังก์ชันเดิม แต่การเขียนใหม่อาจมีพฤติกรรมต่างออกไป
    ต้องมีการทดสอบอย่างละเอียดก่อนใช้งานในระบบจริง

    ผู้ดูแลระบบต้องเข้าใจการทำงานของ Greenboot-RS เพื่อแก้ไขปัญหาได้ทันที
    หากสคริปต์ใน required.d ล้มเหลว ระบบจะรีบูตซ้ำ อาจทำให้เข้าใช้งานไม่ได้
    ต้องรู้วิธีตรวจสอบ MOTD และ GRUB variable เพื่อวิเคราะห์ปัญหา

    การใช้ bootc ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม
    ผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ rpm-ostree อาจต้องปรับตัวกับแนวคิดของ bootc
    การจัดการ deployment และ rollback อาจซับซ้อนขึ้น

    https://www.neowin.net/news/another-linux-utility-is-being-rewritten-in-rust/
    🛠️ เรื่องเล่าจากโลก Linux: เมื่อ “Greenboot” เปลี่ยนภาษาเพื่อความปลอดภัยที่เหนือกว่า ลองจินตนาการว่าคุณอัปเดตระบบปฏิบัติการแล้วเครื่องบูตไม่ขึ้น—Greenboot คือเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบสุขภาพระบบทุกครั้งที่บูต เพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนั้น โดยเดิมทีเขียนด้วย Bash แต่ตอนนี้ Red Hat กำลังรีไรต์ใหม่ด้วยภาษา Rust ซึ่งปลอดภัยกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า Greenboot ทำงานร่วมกับ systemd โดยรันสคริปต์ตรวจสอบในโฟลเดอร์ต่างๆ เช่น required.d, red.d, และ green.d หากสคริปต์สำคัญล้มเหลว ระบบจะรีบูตและอาจย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าเพื่อความเสถียร การรีไรต์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนภาษา แต่เป็นการขยายการรองรับจาก rpm-ostree ไปยัง bootc ซึ่งเป็นระบบใหม่ที่เน้นความปลอดภัยและการอัปเดตแบบ atomic ใน Fedora IoT ✅ Greenboot ถูกรีไรต์จาก Bash เป็น Rust โดยทีมงาน Red Hat2 ➡️ โครงการเริ่มต้นในปี 2018 จาก Google Summer of Code ➡️ เวอร์ชันใหม่ชื่อ “Greenboot-RS” จะรวมอยู่ใน Fedora 43 ✅ Greenboot ทำหน้าที่ตรวจสอบสุขภาพระบบทุกครั้งที่บูต ➡️ รันสคริปต์ใน /etc/greenboot/check/required.d/ หากล้มเหลวจะรีบูต ➡️ หากล้มเหลวหลายครั้งจะรันสคริปต์ใน red.d และย้อนกลับไปยัง deployment ก่อนหน้า ✅ เมื่อระบบผ่านการตรวจสอบ จะรันสคริปต์ใน green.d และตั้ง GRUB ว่า boot สำเร็จ ➡️ ใช้ GRUB environment variable เพื่อบันทึกสถานะการบูต ➡️ แสดงข้อความ “Boot Status is GREEN – Health Check SUCCESS” ใน MOTD ✅ การเปลี่ยนมาใช้ Rust ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดช่องโหว่ด้านหน่วยความจำ ➡️ Rust เป็นภาษา memory-safe ที่ช่วยลดบั๊กประเภท buffer overflow และ use-after-free ➡️ เป็นแนวโน้มเดียวกับโครงการอื่น เช่น sudo-rs และ systemd-rs ✅ Greenboot-RS รองรับทั้ง rpm-ostree และ bootc systems ➡️ bootc เป็นระบบใหม่ที่เน้นการอัปเดตแบบปลอดภัยและย้อนกลับได้ ➡️ ช่วยให้ Fedora IoT มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้น ✅ การอัปเกรดจาก Greenboot เดิมเป็น Greenboot-RS จะเป็นไปอย่างราบรื่น ➡️ ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่ง rpm-ostree upgrade หรือ bootc upgrade ได้ทันที ➡️ ไม่มีผลกระทบต่อผู้ใช้เดิม ‼️ การเปลี่ยนภาษาอาจทำให้เกิดบั๊กใหม่หรือปัญหาความเข้ากันได้ ⛔ แม้จะพยายามรักษาฟังก์ชันเดิม แต่การเขียนใหม่อาจมีพฤติกรรมต่างออกไป ⛔ ต้องมีการทดสอบอย่างละเอียดก่อนใช้งานในระบบจริง ‼️ ผู้ดูแลระบบต้องเข้าใจการทำงานของ Greenboot-RS เพื่อแก้ไขปัญหาได้ทันที ⛔ หากสคริปต์ใน required.d ล้มเหลว ระบบจะรีบูตซ้ำ อาจทำให้เข้าใช้งานไม่ได้ ⛔ ต้องรู้วิธีตรวจสอบ MOTD และ GRUB variable เพื่อวิเคราะห์ปัญหา ‼️ การใช้ bootc ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ⛔ ผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ rpm-ostree อาจต้องปรับตัวกับแนวคิดของ bootc ⛔ การจัดการ deployment และ rollback อาจซับซ้อนขึ้น https://www.neowin.net/news/another-linux-utility-is-being-rewritten-in-rust/
    WWW.NEOWIN.NET
    Another Linux utility is being rewritten in Rust
    Rust continues to shine in the Linux world, with yet another core utility now being rewritten in the language.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกดิจิทัล: เมื่อ “บ้านของเรา” อาจไม่ใช่ที่ดีที่สุดสำหรับข้อมูลของเรา

    ลองจินตนาการว่าคุณซื้อหนังสือดิจิทัลจาก Kindle มา 400 เล่ม แล้ววันหนึ่ง Amazon ประกาศว่าไม่สามารถดาวน์โหลดไฟล์เหล่านั้นมาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ได้อีกต่อไป คุณยังเข้าถึงหนังสือได้ผ่านแอป Kindle เท่านั้น—แปลว่าคุณไม่ได้ “เป็นเจ้าของ” หนังสือเหล่านั้นจริงๆ แต่แค่ “เช่า” สิทธิ์ในการอ่าน

    นี่คือจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามว่า “เรายังเป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเองอยู่หรือเปล่า?” และนำไปสู่การทดลองของผู้เขียนบทความ ที่ตัดสินใจสร้าง “คลาวด์ส่วนตัว” ขึ้นมาเองในบ้าน โดยใช้เซิร์ฟเวอร์เก่าและซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส เช่น Immich (แทน Google Photos), Nextcloud (แทน Google Drive), Jellyfin (แทน Netflix) และ Audiobookshelf (แทน Audible)

    แต่หลังจากลงทุนลงแรงไปหลายสัปดาห์ เขากลับพบว่าแม้จะได้อิสระและความเป็นเจ้าของ แต่การดูแลระบบทั้งหมดด้วยตัวเองนั้น “ไม่ใช่อนาคตที่เหมาะกับทุกคน”

    Amazon ปรับนโยบาย Kindle: ผู้ใช้ไม่สามารถดาวน์โหลดไฟล์หนังสือได้อีก
    ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหนังสือได้ผ่านแอป Kindle เท่านั้น
    Amazon เปลี่ยนคำว่า “ซื้อหนังสือ” เป็น “ซื้อสิทธิ์การใช้งาน”

    แนวคิด Self-Hosting คือการตั้งเซิร์ฟเวอร์และบริการต่างๆ ด้วยตัวเอง
    ใช้ฮาร์ดแวร์ของตนเอง ติดตั้งระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชัน
    ดูแลความปลอดภัย การสำรองข้อมูล และการอัปเดตทั้งหมดด้วยตัวเอง

    ผู้เขียนสร้างคลาวด์ส่วนตัวด้วยเซิร์ฟเวอร์ Lenovo และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส
    ใช้ Proxmox, Docker, Snapraid, MergerFS และ Tailscale
    ติดตั้งบริการต่างๆ เช่น Immich, Jellyfin, Nextcloud และ Audiobookshelf

    ข้อดีของ Self-Hosting คือความเป็นเจ้าของและความยืดหยุ่น
    ไม่มีการเก็บข้อมูลโดยบริษัทใหญ่
    สามารถปรับแต่งระบบได้ตามต้องการ

    Self-Hosting ต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคสูงและเวลามาก
    การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์และบริการต่างๆ ใช้เวลาหลายสัปดาห์
    ต้องเข้าใจ Docker, Linux, VPN และระบบไฟล์

    ความผิดพลาดในการตั้งค่าอาจทำให้ข้อมูลสูญหายหรือระบบล่ม
    ไม่มีทีมซัพพอร์ตเหมือนบริการคลาวด์
    ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเองเมื่อเกิดปัญหา

    การดูแลระบบอย่างต่อเนื่องเป็นภาระที่ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป
    ต้องอัปเดตซอฟต์แวร์และตรวจสอบความปลอดภัยสม่ำเสมอ
    หากไม่มีเวลาหรือความรู้ อาจกลายเป็นภาระมากกว่าประโยชน์

    แม้จะปลอดภัยจากบริษัทใหญ่ แต่ก็เสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์หากตั้งค่าไม่ดี
    การเปิดพอร์ตหรือใช้รหัสผ่านอ่อนอาจถูกแฮกได้ง่าย
    ต้องมีระบบสำรองข้อมูลและไฟร์วอลล์ที่ดี

    https://www.drewlyton.com/story/the-future-is-not-self-hosted/
    🏠 เรื่องเล่าจากโลกดิจิทัล: เมื่อ “บ้านของเรา” อาจไม่ใช่ที่ดีที่สุดสำหรับข้อมูลของเรา ลองจินตนาการว่าคุณซื้อหนังสือดิจิทัลจาก Kindle มา 400 เล่ม แล้ววันหนึ่ง Amazon ประกาศว่าไม่สามารถดาวน์โหลดไฟล์เหล่านั้นมาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ได้อีกต่อไป คุณยังเข้าถึงหนังสือได้ผ่านแอป Kindle เท่านั้น—แปลว่าคุณไม่ได้ “เป็นเจ้าของ” หนังสือเหล่านั้นจริงๆ แต่แค่ “เช่า” สิทธิ์ในการอ่าน นี่คือจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามว่า “เรายังเป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเองอยู่หรือเปล่า?” และนำไปสู่การทดลองของผู้เขียนบทความ ที่ตัดสินใจสร้าง “คลาวด์ส่วนตัว” ขึ้นมาเองในบ้าน โดยใช้เซิร์ฟเวอร์เก่าและซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส เช่น Immich (แทน Google Photos), Nextcloud (แทน Google Drive), Jellyfin (แทน Netflix) และ Audiobookshelf (แทน Audible) แต่หลังจากลงทุนลงแรงไปหลายสัปดาห์ เขากลับพบว่าแม้จะได้อิสระและความเป็นเจ้าของ แต่การดูแลระบบทั้งหมดด้วยตัวเองนั้น “ไม่ใช่อนาคตที่เหมาะกับทุกคน” ✅ Amazon ปรับนโยบาย Kindle: ผู้ใช้ไม่สามารถดาวน์โหลดไฟล์หนังสือได้อีก ➡️ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหนังสือได้ผ่านแอป Kindle เท่านั้น ➡️ Amazon เปลี่ยนคำว่า “ซื้อหนังสือ” เป็น “ซื้อสิทธิ์การใช้งาน” ✅ แนวคิด Self-Hosting คือการตั้งเซิร์ฟเวอร์และบริการต่างๆ ด้วยตัวเอง ➡️ ใช้ฮาร์ดแวร์ของตนเอง ติดตั้งระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชัน ➡️ ดูแลความปลอดภัย การสำรองข้อมูล และการอัปเดตทั้งหมดด้วยตัวเอง ✅ ผู้เขียนสร้างคลาวด์ส่วนตัวด้วยเซิร์ฟเวอร์ Lenovo และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ➡️ ใช้ Proxmox, Docker, Snapraid, MergerFS และ Tailscale ➡️ ติดตั้งบริการต่างๆ เช่น Immich, Jellyfin, Nextcloud และ Audiobookshelf ✅ ข้อดีของ Self-Hosting คือความเป็นเจ้าของและความยืดหยุ่น ➡️ ไม่มีการเก็บข้อมูลโดยบริษัทใหญ่ ➡️ สามารถปรับแต่งระบบได้ตามต้องการ ‼️ Self-Hosting ต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคสูงและเวลามาก ⛔ การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์และบริการต่างๆ ใช้เวลาหลายสัปดาห์ ⛔ ต้องเข้าใจ Docker, Linux, VPN และระบบไฟล์ ‼️ ความผิดพลาดในการตั้งค่าอาจทำให้ข้อมูลสูญหายหรือระบบล่ม ⛔ ไม่มีทีมซัพพอร์ตเหมือนบริการคลาวด์ ⛔ ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเองเมื่อเกิดปัญหา ‼️ การดูแลระบบอย่างต่อเนื่องเป็นภาระที่ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ ต้องอัปเดตซอฟต์แวร์และตรวจสอบความปลอดภัยสม่ำเสมอ ⛔ หากไม่มีเวลาหรือความรู้ อาจกลายเป็นภาระมากกว่าประโยชน์ ‼️ แม้จะปลอดภัยจากบริษัทใหญ่ แต่ก็เสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์หากตั้งค่าไม่ดี ⛔ การเปิดพอร์ตหรือใช้รหัสผ่านอ่อนอาจถูกแฮกได้ง่าย ⛔ ต้องมีระบบสำรองข้อมูลและไฟร์วอลล์ที่ดี https://www.drewlyton.com/story/the-future-is-not-self-hosted/
    WWW.DREWLYTON.COM
    The Future is NOT Self-Hosted
    Hey friends 👋, A few months ago, Amazon announced that Kindle users would no longer be able to download and back up their book libraries to their computers. Thankfully, I still have access to my library because I saw this video by Jared Henderson warning of the change and downloaded all
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก AI: “ราคาคำตอบ” ที่คุณอาจไม่เคยคิด

    ลองจินตนาการว่า AI ที่คุณใช้ตอบคำถามหรือเขียนบทความนั้น คิดค่าบริการเป็น “จำนวนคำ” ที่มันอ่านและเขียนออกมา—หรือที่เรียกว่า “token” ซึ่งแต่ละ token คือเศษคำประมาณ 3–4 ตัวอักษร

    ในปี 2025 นี้ ตลาด LLM API แข่งขันกันดุเดือด ผู้ให้บริการอย่าง OpenAI, Google, Anthropic และ xAI ต่างออกโมเดลใหม่พร้อมราคาที่หลากหลาย ตั้งแต่ราคาถูกสุดเพียง $0.07 ต่อ 1 ล้าน token ไปจนถึง $600 ต่อ 1 ล้าน token สำหรับโมเดลระดับสูงสุด!

    สิ่งที่น่าสนใจคือ “ราคาสำหรับการตอบ” (output token) มักแพงกว่าการถาม (input token) ถึง 3–5 เท่า ทำให้การออกแบบ prompt ที่กระชับและฉลาดกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดต้นทุน

    โมเดลราคาถูกที่สุดในตลาดตอนนี้ ได้แก่ Google Gemini 2.0 Flash-Lite และ OpenAI GPT-4.1-nano
    ราคา input token อยู่ที่ $0.07–$0.10 ต่อ 1 ล้าน token
    ราคา output token อยู่ที่ $0.30–$0.40 ต่อ 1 ล้าน token

    โมเดลระดับกลางที่คุ้มค่า เช่น GPT-4o-mini และ Claude Haiku 3
    ราคา input token อยู่ที่ $0.15–$0.25
    ราคา output token อยู่ที่ $0.60–$1.25

    โมเดลระดับสูง เช่น Claude Opus 4 และ GPT-o1-pro มีราคาสูงมาก
    Claude Opus 4: $15 (input) / $75 (output)
    GPT-o1-pro: $150 (input) / $600 (output)

    แนวโน้มการตั้งราคาคือการแยก input กับ output token อย่างชัดเจน
    output token แพงกว่า input token หลายเท่า
    ส่งเสริมการใช้เทคนิค RAG (Retrieval-Augmented Generation) เพื่อประหยัด

    ข้อมูลอัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2025
    แหล่งข้อมูลมาจากเว็บไซต์ทางการของผู้ให้บริการแต่ละราย
    มีการเปรียบเทียบมากกว่า 30 โมเดลจากหลายค่าย

    การใช้โมเดลที่มี output token แพงอาจทำให้ต้นทุนพุ่งสูงโดยไม่รู้ตัว
    หากไม่จำกัดความยาวคำตอบหรือใช้ prompt ที่ไม่กระชับ อาจเสียเงินมากเกินจำเป็น
    ควรตั้งค่า max_tokens และ temperature ให้เหมาะสม

    การเปรียบเทียบราคาโดยไม่ดูคุณภาพอาจทำให้เลือกโมเดลไม่เหมาะกับงาน
    โมเดลราคาถูกอาจไม่เหมาะกับงาน reasoning หรือการเขียนเชิงลึก
    ควรพิจารณาความสามารถของโมเดลควบคู่กับราคา

    การเปลี่ยนแปลงราคาบ่อยครั้งอาจทำให้ข้อมูลล้าสมัยเร็ว
    ควรตรวจสอบราคาจากเว็บไซต์ทางการก่อนใช้งานจริง
    การใช้ข้อมูลเก่าอาจทำให้คำนวณต้นทุนผิดพลาด

    การใช้โมเดลที่มี context window ใหญ่เกินความจำเป็นอาจสิ้นเปลือง
    โมเดลที่รองรับ context 1M tokens มักมีราคาสูง
    หากงานไม่ต้องการ context ยาว ควรเลือกโมเดลที่เล็กลง

    https://pricepertoken.com/
    💸 เรื่องเล่าจากโลก AI: “ราคาคำตอบ” ที่คุณอาจไม่เคยคิด ลองจินตนาการว่า AI ที่คุณใช้ตอบคำถามหรือเขียนบทความนั้น คิดค่าบริการเป็น “จำนวนคำ” ที่มันอ่านและเขียนออกมา—หรือที่เรียกว่า “token” ซึ่งแต่ละ token คือเศษคำประมาณ 3–4 ตัวอักษร ในปี 2025 นี้ ตลาด LLM API แข่งขันกันดุเดือด ผู้ให้บริการอย่าง OpenAI, Google, Anthropic และ xAI ต่างออกโมเดลใหม่พร้อมราคาที่หลากหลาย ตั้งแต่ราคาถูกสุดเพียง $0.07 ต่อ 1 ล้าน token ไปจนถึง $600 ต่อ 1 ล้าน token สำหรับโมเดลระดับสูงสุด! สิ่งที่น่าสนใจคือ “ราคาสำหรับการตอบ” (output token) มักแพงกว่าการถาม (input token) ถึง 3–5 เท่า ทำให้การออกแบบ prompt ที่กระชับและฉลาดกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดต้นทุน ✅ โมเดลราคาถูกที่สุดในตลาดตอนนี้ ได้แก่ Google Gemini 2.0 Flash-Lite และ OpenAI GPT-4.1-nano ➡️ ราคา input token อยู่ที่ $0.07–$0.10 ต่อ 1 ล้าน token ➡️ ราคา output token อยู่ที่ $0.30–$0.40 ต่อ 1 ล้าน token ✅ โมเดลระดับกลางที่คุ้มค่า เช่น GPT-4o-mini และ Claude Haiku 3 ➡️ ราคา input token อยู่ที่ $0.15–$0.25 ➡️ ราคา output token อยู่ที่ $0.60–$1.25 ✅ โมเดลระดับสูง เช่น Claude Opus 4 และ GPT-o1-pro มีราคาสูงมาก ➡️ Claude Opus 4: $15 (input) / $75 (output) ➡️ GPT-o1-pro: $150 (input) / $600 (output) ✅ แนวโน้มการตั้งราคาคือการแยก input กับ output token อย่างชัดเจน ➡️ output token แพงกว่า input token หลายเท่า ➡️ ส่งเสริมการใช้เทคนิค RAG (Retrieval-Augmented Generation) เพื่อประหยัด ✅ ข้อมูลอัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2025 ➡️ แหล่งข้อมูลมาจากเว็บไซต์ทางการของผู้ให้บริการแต่ละราย ➡️ มีการเปรียบเทียบมากกว่า 30 โมเดลจากหลายค่าย ‼️ การใช้โมเดลที่มี output token แพงอาจทำให้ต้นทุนพุ่งสูงโดยไม่รู้ตัว ⛔ หากไม่จำกัดความยาวคำตอบหรือใช้ prompt ที่ไม่กระชับ อาจเสียเงินมากเกินจำเป็น ⛔ ควรตั้งค่า max_tokens และ temperature ให้เหมาะสม ‼️ การเปรียบเทียบราคาโดยไม่ดูคุณภาพอาจทำให้เลือกโมเดลไม่เหมาะกับงาน ⛔ โมเดลราคาถูกอาจไม่เหมาะกับงาน reasoning หรือการเขียนเชิงลึก ⛔ ควรพิจารณาความสามารถของโมเดลควบคู่กับราคา ‼️ การเปลี่ยนแปลงราคาบ่อยครั้งอาจทำให้ข้อมูลล้าสมัยเร็ว ⛔ ควรตรวจสอบราคาจากเว็บไซต์ทางการก่อนใช้งานจริง ⛔ การใช้ข้อมูลเก่าอาจทำให้คำนวณต้นทุนผิดพลาด ‼️ การใช้โมเดลที่มี context window ใหญ่เกินความจำเป็นอาจสิ้นเปลือง ⛔ โมเดลที่รองรับ context 1M tokens มักมีราคาสูง ⛔ หากงานไม่ต้องการ context ยาว ควรเลือกโมเดลที่เล็กลง https://pricepertoken.com/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sun. Jul. 27, 2025

    #เอาแค่4คนนี้พอ
    #มันสมองเลวริยำกับหุ่นเชิดชาติชั่ว
    #goodnight
    Sun. Jul. 27, 2025 #เอาแค่4คนนี้พอ #มันสมองเลวริยำกับหุ่นเชิดชาติชั่ว #goodnight
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • Goodnight my dear friends
    Hope you sleep well and have sweet dreams
    Goodnight my dear friends 🥱 Hope you sleep well and have sweet dreams 😇😴
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/nU7xaGorj84?si=b1npV8NmpPXctvne
    https://www.youtube.com/live/nU7xaGorj84?si=b1npV8NmpPXctvne
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • ** Apna Khata Bhulekh A Step Towards Digital Land Records **

    In the ultramodern digital age, governance systems across India have been witnessing rapid-fire metamorphosis. One significant action in this direction is ** “ Apna Khata Bhulekh ” **, a government- driven platform aimed at digitizing land records and furnishing easy access to citizens. Particularly active in countries like Rajasthan, Bihar, and Uttar Pradesh, this system enables coproprietors and growers to pierce important land- related documents online, reducing the need for physical visits to government services.

    What's Apna Khata Bhulekh?

    “ Apna Khata Bhulekh ” is a digital portal launched by colorful state governments to allow druggies to view and download land records online. The term" Bhulekh" translates to ** land records ** or ** land description **, and “ Apna Khata ” means ** your account **, pertaining to a person's land power account. The system provides translucency in land dealings and reduces the chances of land fraud and manipulation.

    These online platforms are state-specific but operate under the common thing of ** profit department digitization **. Citizens can pierce Jamabandi Nakal( Record of Rights), Khasra figures, Khata figures, and charts of their lands from anywhere with an internet connection.

    ---

    crucial Features of Apna Khata Bhulekh

    1. ** Ease of Access **
    druggies can log in to the separate state gate using introductory details like quarter, tehsil, vill name, and Khata or Khasra number to pierce their land details.

    2. ** translucency **
    With all land records available online, the compass of corruption, illegal land occupation, and fraudulent deals is significantly reduced.

    3. ** Time- Saving **
    before, carrying land records meant long ranges at profit services. With Apna Khata Bhulekh, it can now be done within twinkles.

    4. ** Legal mileage **
    These digital land documents are fairly valid and can be used for colorful purposes similar as loan operations, land deals, and court cases.

    5. ** Map Access **
    druggies can view or download ** Bhu- Naksha **( land chart) and get visual representations of plots.

    ---

    How to Access Apna Khata Bhulekh Online

    Although the exact interface varies slightly from state to state, the general process remains the same

    1. Visit the sanctioned Bhulekh or Apna Khata website of your separate state.
    2. Choose your ** quarter **, ** tehsil **, and ** vill **.
    3. Enter details like ** Khata number **, ** Khasra number **, or ** squatter name **.
    4. Click on “ Submit ” or “ View Report ” to get the land record.

    For illustration, in ** Rajasthan **, druggies can go to( apnakhata.raj.nic.in)( http// apnakhata.raj.nic.in) to pierce the gate. also, in ** Uttar Pradesh **, the point is( upbhulekh.gov.in)( http// upbhulekh.gov.in), while ** Bihar ** residers can use( biharbhumi.bihar.gov.in)( http// biharbhumi.bihar.gov.in).

    ---

    Benefits to Farmers and Coproprietors

    * ** Loan blessing ** growers frequently need land records to get crop loans from banks. Digital Bhulekh ensures timely access to vindicated documents.
    * ** disagreement Resolution ** Land controversies can now be resolved briskly with sanctioned digital substantiation available at the click of a button.
    * ** Land Deals and Purchases ** Buyers can corroborate land power and history before making purchases, leading to safer deals.

    ---

    Challenges and the Way Forward

    While the action is estimable, certain challenges remain. In pastoral areas, numerous people are still ignorant of how to use these doors. Internet connectivity and digital knowledge also pose walls. also, some old land records are yet to be digitized, leading to gaps in data vacuity.

    To overcome these issues, state governments need to conduct mindfulness juggernauts, offer backing at ** Common Service Centers( CSCs) **, and insure that all old records are digitized and vindicated.

    ---

    Conclusion

    “ Apna Khata Bhulekh ” is a transformative step in making governance further citizen-friendly. It empowers coproprietors by giving them direct access to pivotal information and promotes translucency in land dealings. As further people embrace digital platforms, Apna Khata Bhulekh will play an indeed more critical part in icing land security and effective land operation across India. https://apnakhataonline.com

    ** Apna Khata Bhulekh A Step Towards Digital Land Records ** In the ultramodern digital age, governance systems across India have been witnessing rapid-fire metamorphosis. One significant action in this direction is ** “ Apna Khata Bhulekh ” **, a government- driven platform aimed at digitizing land records and furnishing easy access to citizens. Particularly active in countries like Rajasthan, Bihar, and Uttar Pradesh, this system enables coproprietors and growers to pierce important land- related documents online, reducing the need for physical visits to government services. What's Apna Khata Bhulekh? “ Apna Khata Bhulekh ” is a digital portal launched by colorful state governments to allow druggies to view and download land records online. The term" Bhulekh" translates to ** land records ** or ** land description **, and “ Apna Khata ” means ** your account **, pertaining to a person's land power account. The system provides translucency in land dealings and reduces the chances of land fraud and manipulation. These online platforms are state-specific but operate under the common thing of ** profit department digitization **. Citizens can pierce Jamabandi Nakal( Record of Rights), Khasra figures, Khata figures, and charts of their lands from anywhere with an internet connection. --- crucial Features of Apna Khata Bhulekh 1. ** Ease of Access ** druggies can log in to the separate state gate using introductory details like quarter, tehsil, vill name, and Khata or Khasra number to pierce their land details. 2. ** translucency ** With all land records available online, the compass of corruption, illegal land occupation, and fraudulent deals is significantly reduced. 3. ** Time- Saving ** before, carrying land records meant long ranges at profit services. With Apna Khata Bhulekh, it can now be done within twinkles. 4. ** Legal mileage ** These digital land documents are fairly valid and can be used for colorful purposes similar as loan operations, land deals, and court cases. 5. ** Map Access ** druggies can view or download ** Bhu- Naksha **( land chart) and get visual representations of plots. --- How to Access Apna Khata Bhulekh Online Although the exact interface varies slightly from state to state, the general process remains the same 1. Visit the sanctioned Bhulekh or Apna Khata website of your separate state. 2. Choose your ** quarter **, ** tehsil **, and ** vill **. 3. Enter details like ** Khata number **, ** Khasra number **, or ** squatter name **. 4. Click on “ Submit ” or “ View Report ” to get the land record. For illustration, in ** Rajasthan **, druggies can go to( apnakhata.raj.nic.in)( http// apnakhata.raj.nic.in) to pierce the gate. also, in ** Uttar Pradesh **, the point is( upbhulekh.gov.in)( http// upbhulekh.gov.in), while ** Bihar ** residers can use( biharbhumi.bihar.gov.in)( http// biharbhumi.bihar.gov.in). --- Benefits to Farmers and Coproprietors * ** Loan blessing ** growers frequently need land records to get crop loans from banks. Digital Bhulekh ensures timely access to vindicated documents. * ** disagreement Resolution ** Land controversies can now be resolved briskly with sanctioned digital substantiation available at the click of a button. * ** Land Deals and Purchases ** Buyers can corroborate land power and history before making purchases, leading to safer deals. --- Challenges and the Way Forward While the action is estimable, certain challenges remain. In pastoral areas, numerous people are still ignorant of how to use these doors. Internet connectivity and digital knowledge also pose walls. also, some old land records are yet to be digitized, leading to gaps in data vacuity. To overcome these issues, state governments need to conduct mindfulness juggernauts, offer backing at ** Common Service Centers( CSCs) **, and insure that all old records are digitized and vindicated. --- Conclusion “ Apna Khata Bhulekh ” is a transformative step in making governance further citizen-friendly. It empowers coproprietors by giving them direct access to pivotal information and promotes translucency in land dealings. As further people embrace digital platforms, Apna Khata Bhulekh will play an indeed more critical part in icing land security and effective land operation across India. https://apnakhataonline.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ “การรู้เร็ว” คืออาวุธลับขององค์กร

    ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณมีระบบความปลอดภัยครบครัน แต่กลับรู้ว่าข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานถูกแฮก...จากอีเมลเรียกค่าไถ่ หรือจากฝ่ายซัพพอร์ตที่แจ้งว่ามีคนล็อกอินผิดปกติ!

    นั่นคือปัญหาที่ xonPlus ต้องการแก้—แพลตฟอร์มใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวจากทีมเบื้องหลัง XposedOrNot ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลที่มีผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก

    xonPlus ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถรู้ได้ทันทีเมื่ออีเมลหรือโดเมนขององค์กรปรากฏในฐานข้อมูลรั่วไหลหรือฟอรั่มในดาร์กเว็บ พร้อมแจ้งเตือนภายในไม่กี่นาทีหลังจากพบข้อมูลรั่วจริง

    ระบบนี้ไม่เพียงแค่ตรวจจับ แต่ยังเชื่อมต่อกับเครื่องมือที่องค์กรใช้อยู่แล้ว เช่น SIEM, Slack, Microsoft Teams และอีเมล เพื่อให้การตอบสนองเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

    จุดเด่นของ xonPlus ที่ปรากฏในข่าว
    แจ้งเตือนการรั่วไหลของข้อมูลแบบเรียลไทม์
    ตรวจพบข้อมูลบัญชีที่รั่วใน breach dumps หรือ dark web
    แจ้งเตือนภายในไม่กี่นาที พร้อมแหล่งที่มาและคำแนะนำ

    สร้างบนฐานข้อมูลของ XposedOrNot
    ใช้ข้อมูลจากการติดตาม breach กว่า 10 พันล้านรายการใน 8 ปี
    รองรับการค้นหาหลายล้านครั้งทั่วโลก

    โครงสร้างที่ปลอดภัยระดับองค์กร
    ใช้ Cloudflare และ Google Cloud เป็นโครงสร้างพื้นฐาน
    รองรับการใช้งานระดับ enterprise ด้วยความเร็วและความเสถียรสูง

    เชื่อมต่อกับระบบที่องค์กรใช้อยู่แล้ว
    รองรับการเชื่อมต่อกับ SIEM, Slack, Microsoft Teams และอีเมล
    มี API สำหรับนักพัฒนา พร้อมระบบ log และ token

    รองรับการตรวจสอบหลายโดเมนและอีเมลจำนวนมาก
    ตั้งค่า threshold การแจ้งเตือนได้ตามต้องการ
    ใช้งานได้ทั้งองค์กรใหญ่และทีมเล็กที่ไม่มี SOC

    มีโมเดลการใช้งานที่ยืดหยุ่นและราคาคุ้มค่า
    ค่าบริการแบบรายเดือนที่โปร่งใส
    ประหยัดกว่าระบบ threat intel แบบเดิมถึง 5–10 เท่า

    องค์กรที่ไม่มีระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์เสี่ยงสูง
    อาจรู้ตัวช้าเมื่อข้อมูลบัญชีถูกแฮก
    การตอบสนองล่าช้าอาจนำไปสู่การเข้าถึงระบบภายในโดยผู้ไม่หวังดี

    การพึ่งพาเครื่องมือแบบเดิมอาจไม่ทันต่อภัยคุกคามยุคใหม่
    ระบบที่ต้องตั้งค่าซับซ้อนและสัญญาระยะยาวอาจไม่เหมาะกับทีมเล็ก
    การไม่มี API หรือการเชื่อมต่อกับระบบที่ใช้อยู่แล้วทำให้การตอบสนองช้า

    การไม่ตรวจสอบข้อมูลใน dark web เป็นช่องโหว่สำคัญ
    ข้อมูลที่รั่วอาจถูกใช้โจมตีแบบ account takeover หรือ ransomware
    การไม่รู้ว่าข้อมูลขององค์กรอยู่ในมือใครคือความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้

    https://hackread.com/xonplus-launches-real-time-breach-alerting-platform-for-enterprise-credential-exposure/
    🧠 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ “การรู้เร็ว” คืออาวุธลับขององค์กร ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณมีระบบความปลอดภัยครบครัน แต่กลับรู้ว่าข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานถูกแฮก...จากอีเมลเรียกค่าไถ่ หรือจากฝ่ายซัพพอร์ตที่แจ้งว่ามีคนล็อกอินผิดปกติ! นั่นคือปัญหาที่ xonPlus ต้องการแก้—แพลตฟอร์มใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวจากทีมเบื้องหลัง XposedOrNot ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลที่มีผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก xonPlus ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถรู้ได้ทันทีเมื่ออีเมลหรือโดเมนขององค์กรปรากฏในฐานข้อมูลรั่วไหลหรือฟอรั่มในดาร์กเว็บ พร้อมแจ้งเตือนภายในไม่กี่นาทีหลังจากพบข้อมูลรั่วจริง ระบบนี้ไม่เพียงแค่ตรวจจับ แต่ยังเชื่อมต่อกับเครื่องมือที่องค์กรใช้อยู่แล้ว เช่น SIEM, Slack, Microsoft Teams และอีเมล เพื่อให้การตอบสนองเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ⭕ จุดเด่นของ xonPlus ที่ปรากฏในข่าว ✅ แจ้งเตือนการรั่วไหลของข้อมูลแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจพบข้อมูลบัญชีที่รั่วใน breach dumps หรือ dark web ➡️ แจ้งเตือนภายในไม่กี่นาที พร้อมแหล่งที่มาและคำแนะนำ ✅ สร้างบนฐานข้อมูลของ XposedOrNot ➡️ ใช้ข้อมูลจากการติดตาม breach กว่า 10 พันล้านรายการใน 8 ปี ➡️ รองรับการค้นหาหลายล้านครั้งทั่วโลก ✅ โครงสร้างที่ปลอดภัยระดับองค์กร ➡️ ใช้ Cloudflare และ Google Cloud เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ รองรับการใช้งานระดับ enterprise ด้วยความเร็วและความเสถียรสูง ✅ เชื่อมต่อกับระบบที่องค์กรใช้อยู่แล้ว ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับ SIEM, Slack, Microsoft Teams และอีเมล ➡️ มี API สำหรับนักพัฒนา พร้อมระบบ log และ token ✅ รองรับการตรวจสอบหลายโดเมนและอีเมลจำนวนมาก ➡️ ตั้งค่า threshold การแจ้งเตือนได้ตามต้องการ ➡️ ใช้งานได้ทั้งองค์กรใหญ่และทีมเล็กที่ไม่มี SOC ✅ มีโมเดลการใช้งานที่ยืดหยุ่นและราคาคุ้มค่า ➡️ ค่าบริการแบบรายเดือนที่โปร่งใส ➡️ ประหยัดกว่าระบบ threat intel แบบเดิมถึง 5–10 เท่า ‼️ องค์กรที่ไม่มีระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์เสี่ยงสูง ⛔ อาจรู้ตัวช้าเมื่อข้อมูลบัญชีถูกแฮก ⛔ การตอบสนองล่าช้าอาจนำไปสู่การเข้าถึงระบบภายในโดยผู้ไม่หวังดี ‼️ การพึ่งพาเครื่องมือแบบเดิมอาจไม่ทันต่อภัยคุกคามยุคใหม่ ⛔ ระบบที่ต้องตั้งค่าซับซ้อนและสัญญาระยะยาวอาจไม่เหมาะกับทีมเล็ก ⛔ การไม่มี API หรือการเชื่อมต่อกับระบบที่ใช้อยู่แล้วทำให้การตอบสนองช้า ‼️ การไม่ตรวจสอบข้อมูลใน dark web เป็นช่องโหว่สำคัญ ⛔ ข้อมูลที่รั่วอาจถูกใช้โจมตีแบบ account takeover หรือ ransomware ⛔ การไม่รู้ว่าข้อมูลขององค์กรอยู่ในมือใครคือความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ https://hackread.com/xonplus-launches-real-time-breach-alerting-platform-for-enterprise-credential-exposure/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็น “เจ้านายใหม่” ที่ทำให้คนตกงาน

    ปี 2025 กลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องเผชิญกับคลื่นพายุแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ — มากกว่า 100,000 คนถูกเลิกจ้างภายในครึ่งปีแรก และตัวเลขยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Intel, Microsoft, Meta, Google, Amazon และ Cisco ต่างทยอยปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมีเหตุผลหลักคือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว

    Intel ซึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิป PC กำลังเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ และหันไปเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI แทน โดยคาดว่าจะปลดพนักงานถึง 75,000 คนภายในสิ้นปีนี้

    Microsoft ก็ไม่ต่างกัน — ปลดพนักงานไปแล้ว 15,000 คน แม้จะมีกำไรดี แต่กลับเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และใช้ Copilot เขียนโค้ดแทนมนุษย์ถึง 30% แล้ว

    หลายบริษัทอ้างว่า AI ไม่ได้ “แทนที่” คน แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้าง” เพื่อให้มีงบลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ แต่สำหรับพนักงานที่ถูกปลด คำอธิบายนี้อาจฟังดูเย็นชาเกินไป

    ยอดปลดพนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปี 2025 ทะลุ 100,000 คนแล้ว
    เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
    เป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในหลายบริษัท

    Intel มีแผนปลดพนักงานมากที่สุด
    ประกาศปลด 24,000 คน และคาดว่าจะถึง 75,000 คนภายในสิ้นปี
    สาเหตุหลักคือยอดขาย CPU ลดลง และหันไปเน้นธุรกิจ AI

    Microsoft ปลดพนักงาน 15,000 คน
    ครอบคลุมหลายแผนก เช่น cloud, gaming, hardware
    ใช้ AI เขียนโค้ดถึง 30% และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $80 พันล้าน

    บริษัทอื่น ๆ ก็ปรับตัวเช่นกัน
    Meta, Google, Amazon, Cisco ปลดพนักงานหลายพันคน
    นำงบไปลงทุนในโมเดล AI และระบบอัตโนมัติ

    สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการปลดพนักงาน
    การจ้างงานเกินในช่วงโควิดที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้
    ความไม่แน่นอนจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

    AI กลายเป็นปัจจัยหลักในการปรับโครงสร้าง
    งานที่เคยทำโดยมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ
    บริษัทเน้น “การจ้างงานแบบแม่นยำ” มากกว่าการจ้างงานจำนวนมาก

    https://www.techspot.com/news/108818-layoffs-surge-tech-more-than-100000-jobs-cut.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็น “เจ้านายใหม่” ที่ทำให้คนตกงาน ปี 2025 กลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องเผชิญกับคลื่นพายุแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ — มากกว่า 100,000 คนถูกเลิกจ้างภายในครึ่งปีแรก และตัวเลขยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Intel, Microsoft, Meta, Google, Amazon และ Cisco ต่างทยอยปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมีเหตุผลหลักคือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว Intel ซึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิป PC กำลังเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ และหันไปเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI แทน โดยคาดว่าจะปลดพนักงานถึง 75,000 คนภายในสิ้นปีนี้ Microsoft ก็ไม่ต่างกัน — ปลดพนักงานไปแล้ว 15,000 คน แม้จะมีกำไรดี แต่กลับเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และใช้ Copilot เขียนโค้ดแทนมนุษย์ถึง 30% แล้ว หลายบริษัทอ้างว่า AI ไม่ได้ “แทนที่” คน แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้าง” เพื่อให้มีงบลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ แต่สำหรับพนักงานที่ถูกปลด คำอธิบายนี้อาจฟังดูเย็นชาเกินไป ✅ ยอดปลดพนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปี 2025 ทะลุ 100,000 คนแล้ว ➡️ เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ➡️ เป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในหลายบริษัท ✅ Intel มีแผนปลดพนักงานมากที่สุด ➡️ ประกาศปลด 24,000 คน และคาดว่าจะถึง 75,000 คนภายในสิ้นปี ➡️ สาเหตุหลักคือยอดขาย CPU ลดลง และหันไปเน้นธุรกิจ AI ✅ Microsoft ปลดพนักงาน 15,000 คน ➡️ ครอบคลุมหลายแผนก เช่น cloud, gaming, hardware ➡️ ใช้ AI เขียนโค้ดถึง 30% และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $80 พันล้าน ✅ บริษัทอื่น ๆ ก็ปรับตัวเช่นกัน ➡️ Meta, Google, Amazon, Cisco ปลดพนักงานหลายพันคน ➡️ นำงบไปลงทุนในโมเดล AI และระบบอัตโนมัติ ✅ สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการปลดพนักงาน ➡️ การจ้างงานเกินในช่วงโควิดที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ➡️ ความไม่แน่นอนจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ✅ AI กลายเป็นปัจจัยหลักในการปรับโครงสร้าง ➡️ งานที่เคยทำโดยมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ➡️ บริษัทเน้น “การจ้างงานแบบแม่นยำ” มากกว่าการจ้างงานจำนวนมาก https://www.techspot.com/news/108818-layoffs-surge-tech-more-than-100000-jobs-cut.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Layoffs surge in tech: More than 100,000 jobs cut in 2025 so far
    We've now entered the second half of the year, and tech-related layoffs have already skyrocketed past the 100,000 mark. The Bridge Chronicle has compiled a list of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “แพนด้าน่ารัก” ที่แอบขุดคริปโตในเครื่องคุณ

    ลองจินตนาการว่าคุณเปิดภาพแพนด้าน่ารักจากเว็บแชร์รูปภาพ แล้วเบื้องหลังภาพนั้นกลับมีมัลแวร์ที่กำลังใช้ CPU และ GPU ของคุณขุดคริปโตอยู่เงียบ ๆ — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า Koske

    Koske เป็นมัลแวร์บน Linux ที่ใช้เทคนิค “polyglot file” คือไฟล์ที่สามารถเป็นได้ทั้งภาพและโค้ดในเวลาเดียวกัน โดยแฮกเกอร์จะฝัง shell script และโค้ด C สำหรับ rootkit ไว้ท้ายไฟล์ JPEG ที่ดูเหมือนภาพแพนด้าธรรมดา เมื่อเปิดด้วยโปรแกรม interpreter มันจะรันโค้ดในหน่วยความจำทันที โดยไม่ทิ้งร่องรอยบนดิสก์

    เป้าหมายของ Koske คือการขุดคริปโตมากกว่า 18 สกุล เช่น Monero, Ravencoin, Nexa และ Zano โดยเลือกใช้ miner ที่เหมาะกับฮาร์ดแวร์ของเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็น CPU หรือ GPU และสามารถสลับเหรียญหรือพูลได้อัตโนมัติหากมีปัญหา

    ที่น่ากลัวคือ Koske แสดงพฤติกรรมที่ “คล้าย AI” เช่น การตรวจสอบการเชื่อมต่อ GitHub หลายชั้น การแก้ไข DNS และ proxy อัตโนมัติ และการค้นหา proxy ที่ใช้งานได้จาก GitHub — ทั้งหมดนี้ชี้ว่าอาจมีการใช้ LLM หรือระบบอัตโนมัติช่วยพัฒนาโค้ด

    Koske เป็นมัลแวร์ Linux ที่ใช้ภาพแพนด้าเป็นตัวหลอก
    ใช้เทคนิค polyglot file ฝังโค้ดไว้ท้ายไฟล์ JPEG
    เมื่อเปิดด้วย interpreter จะรันโค้ดในหน่วยความจำทันที

    เป้าหมายหลักคือการขุดคริปโต
    รองรับมากกว่า 18 สกุล เช่น Monero, Ravencoin, Nexa, Zano
    เลือก miner ตามฮาร์ดแวร์ของเหยื่อ (CPU/GPU)
    สลับพูลหรือเหรียญอัตโนมัติหากมีปัญหา

    ใช้ภาพจากเว็บแชร์รูปภาพที่ถูกต้องตามกฎหมาย
    เช่น OVH images, freeimage, postimage
    ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับได้ง่าย

    แสดงพฤติกรรมคล้าย AI ในการปรับตัว
    ตรวจสอบการเชื่อมต่อ GitHub ด้วย curl, wget, TCP
    รีเซ็ต proxy, flush iptables, เปลี่ยน DNS เป็น Cloudflare/Google
    ค้นหา proxy ที่ใช้งานได้จาก GitHub lists

    พบร่องรอยของต้นทางจากเซอร์เบียและสโลวัก
    IP จากเซอร์เบีย, สคริปต์มีคำเซอร์เบีย, GitHub repo ใช้ภาษาสโลวัก
    ชื่อ “Koske” อาจมาจากคำว่า “กระดูก” ในภาษาท้องถิ่น

    นักวิจัยเชื่อว่าโค้ดถูกช่วยเขียนโดย AI
    โค้ดมีโครงสร้างดี ความเห็นชัดเจน และใช้เทคนิคป้องกันตัวเอง
    ทำให้การวิเคราะห์และระบุผู้เขียนยากขึ้น

    มัลแวร์ Koske สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    รันในหน่วยความจำโดยไม่เขียนลงดิสก์
    ใช้ rootkit ซ่อน process และไฟล์จากเครื่องมือทั่วไป

    การเปิดภาพจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถืออาจเป็นช่องทางติดมัลแวร์
    ภาพที่ดู “น่ารัก” อาจมีโค้ดอันตรายซ่อนอยู่
    ไม่ควรเปิดไฟล์จาก URL ที่ไม่รู้จักผ่าน interpreter หรือ shell

    มัลแวร์นี้ใช้ทรัพยากรเครื่องอย่างหนัก
    ทำให้ค่าไฟและค่า cloud compute สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
    ส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบและความปลอดภัย

    เป็นตัวอย่างของภัยคุกคามยุคใหม่ที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือ
    การใช้ LLM ในการสร้างมัลแวร์ทำให้มันปรับตัวได้ดีขึ้น
    อาจเป็นจุดเริ่มต้นของมัลแวร์ที่ “เรียนรู้” และ “ปรับตัว” ได้แบบเรียลไทม์

    https://www.techradar.com/pro/security/a-damaging-new-linux-malware-is-hiding-in-cute-animal-photos
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “แพนด้าน่ารัก” ที่แอบขุดคริปโตในเครื่องคุณ ลองจินตนาการว่าคุณเปิดภาพแพนด้าน่ารักจากเว็บแชร์รูปภาพ แล้วเบื้องหลังภาพนั้นกลับมีมัลแวร์ที่กำลังใช้ CPU และ GPU ของคุณขุดคริปโตอยู่เงียบ ๆ — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า Koske Koske เป็นมัลแวร์บน Linux ที่ใช้เทคนิค “polyglot file” คือไฟล์ที่สามารถเป็นได้ทั้งภาพและโค้ดในเวลาเดียวกัน โดยแฮกเกอร์จะฝัง shell script และโค้ด C สำหรับ rootkit ไว้ท้ายไฟล์ JPEG ที่ดูเหมือนภาพแพนด้าธรรมดา เมื่อเปิดด้วยโปรแกรม interpreter มันจะรันโค้ดในหน่วยความจำทันที โดยไม่ทิ้งร่องรอยบนดิสก์ เป้าหมายของ Koske คือการขุดคริปโตมากกว่า 18 สกุล เช่น Monero, Ravencoin, Nexa และ Zano โดยเลือกใช้ miner ที่เหมาะกับฮาร์ดแวร์ของเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็น CPU หรือ GPU และสามารถสลับเหรียญหรือพูลได้อัตโนมัติหากมีปัญหา ที่น่ากลัวคือ Koske แสดงพฤติกรรมที่ “คล้าย AI” เช่น การตรวจสอบการเชื่อมต่อ GitHub หลายชั้น การแก้ไข DNS และ proxy อัตโนมัติ และการค้นหา proxy ที่ใช้งานได้จาก GitHub — ทั้งหมดนี้ชี้ว่าอาจมีการใช้ LLM หรือระบบอัตโนมัติช่วยพัฒนาโค้ด ✅ Koske เป็นมัลแวร์ Linux ที่ใช้ภาพแพนด้าเป็นตัวหลอก ➡️ ใช้เทคนิค polyglot file ฝังโค้ดไว้ท้ายไฟล์ JPEG ➡️ เมื่อเปิดด้วย interpreter จะรันโค้ดในหน่วยความจำทันที ✅ เป้าหมายหลักคือการขุดคริปโต ➡️ รองรับมากกว่า 18 สกุล เช่น Monero, Ravencoin, Nexa, Zano ➡️ เลือก miner ตามฮาร์ดแวร์ของเหยื่อ (CPU/GPU) ➡️ สลับพูลหรือเหรียญอัตโนมัติหากมีปัญหา ✅ ใช้ภาพจากเว็บแชร์รูปภาพที่ถูกต้องตามกฎหมาย ➡️ เช่น OVH images, freeimage, postimage ➡️ ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับได้ง่าย ✅ แสดงพฤติกรรมคล้าย AI ในการปรับตัว ➡️ ตรวจสอบการเชื่อมต่อ GitHub ด้วย curl, wget, TCP ➡️ รีเซ็ต proxy, flush iptables, เปลี่ยน DNS เป็น Cloudflare/Google ➡️ ค้นหา proxy ที่ใช้งานได้จาก GitHub lists ✅ พบร่องรอยของต้นทางจากเซอร์เบียและสโลวัก ➡️ IP จากเซอร์เบีย, สคริปต์มีคำเซอร์เบีย, GitHub repo ใช้ภาษาสโลวัก ➡️ ชื่อ “Koske” อาจมาจากคำว่า “กระดูก” ในภาษาท้องถิ่น ✅ นักวิจัยเชื่อว่าโค้ดถูกช่วยเขียนโดย AI ➡️ โค้ดมีโครงสร้างดี ความเห็นชัดเจน และใช้เทคนิคป้องกันตัวเอง ➡️ ทำให้การวิเคราะห์และระบุผู้เขียนยากขึ้น ‼️ มัลแวร์ Koske สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ⛔ รันในหน่วยความจำโดยไม่เขียนลงดิสก์ ⛔ ใช้ rootkit ซ่อน process และไฟล์จากเครื่องมือทั่วไป ‼️ การเปิดภาพจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถืออาจเป็นช่องทางติดมัลแวร์ ⛔ ภาพที่ดู “น่ารัก” อาจมีโค้ดอันตรายซ่อนอยู่ ⛔ ไม่ควรเปิดไฟล์จาก URL ที่ไม่รู้จักผ่าน interpreter หรือ shell ‼️ มัลแวร์นี้ใช้ทรัพยากรเครื่องอย่างหนัก ⛔ ทำให้ค่าไฟและค่า cloud compute สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบและความปลอดภัย ‼️ เป็นตัวอย่างของภัยคุกคามยุคใหม่ที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือ ⛔ การใช้ LLM ในการสร้างมัลแวร์ทำให้มันปรับตัวได้ดีขึ้น ⛔ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของมัลแวร์ที่ “เรียนรู้” และ “ปรับตัว” ได้แบบเรียลไทม์ https://www.techradar.com/pro/security/a-damaging-new-linux-malware-is-hiding-in-cute-animal-photos
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtube.com/shorts/7ze4d1iKmgo?si=pnIUe91bohJd02jg
    https://youtube.com/shorts/7ze4d1iKmgo?si=pnIUe91bohJd02jg
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/WGOQx0WlTTU?si=sOjtfJ2uxV7sueoc
    https://youtu.be/WGOQx0WlTTU?si=sOjtfJ2uxV7sueoc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • การศึกษาโดย Sabat และคณะพบว่าผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน 41% มีอาการแย่ลงหลังจากฉีด mRNA โดยมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแย่ลงถึง 2,300%
    น่าเศร้าที่ Ozzy Osbourne ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากผลกระทบนี้
    https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC10278957/
    https://www.facebook.com/share/p/18wp78fNtT/
    📌การศึกษาโดย Sabat และคณะพบว่าผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน 41% มีอาการแย่ลงหลังจากฉีด mRNA โดยมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแย่ลงถึง 2,300% 😔น่าเศร้าที่ Ozzy Osbourne ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากผลกระทบนี้ https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC10278957/ https://www.facebook.com/share/p/18wp78fNtT/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอกสารการพบ ป่วยเบาหวานหลังฉีด mRNA vaccine
    https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC9282628/
    ตามนี้แหละ มีแพทย์บางคนยังบอกว่ามันปลอดภัย ก็เอาตามที่ชอบได้เลย
    📌เอกสารการพบ ป่วยเบาหวานหลังฉีด mRNA vaccine https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC9282628/ 😒 ตามนี้แหละ มีแพทย์บางคนยังบอกว่ามันปลอดภัย ก็เอาตามที่ชอบได้เลย
    PMC.NCBI.NLM.NIH.GOV
    Type 1 diabetes mellitus following SARS-CoV-2 mRNA vaccination
    Severe Acute Respiratory Syndrome Coronavirus 2 (SARS-CoV-2) vaccines have been reported to trigger immune side effects. Type 1 diabetes as a manifestation of autoimmune/inflammatory syndrome induced by adjuvants has been reported in a limited ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..นักข่าวนี้ดูแปลกๆนะ เหมือนๆเห็นใจเขมรแบบบอกไม่ถูก ถ้าไปเป็นนักข่าวอ่านข่าวในเขมรน่าจะเข้าตาได้ใจคนเขมรแน่ๆ,เห็นๆหลายๆข่าว หลายๆประเด็นแล้ว.
    ..มรึงไปเหี้ยทำซากอะไรในเขมร มันต้องเป็นแบบนี้แน่นอน คนไทยก็เตือนแล้วอย่าอยู่อย่าไปทำอะไรๆทั้งสิ้น เขาพยายายเตือนมาตลอด,นอกจากพวกนี้ถูกพวกค้ามนุษย์จับตัวขังเอาไว้ ออกมาไม่ได้ รู้เป็นคนไทยจึงให้มาเดินถนน แล้วทำทีชี้หน้าบอกวัยรุ่นคนเขมรว่านี้คือคนไทย มันอาจจะเป็นแบบนี้มากกว่า เพราะคนไทยถูกหลอกลวงไปค้าแรงงานค้ามนุษย์เถื่อนแบบเดอะแก๊งคอลเซนเตอร์ไม่น้อยนะ.
    ..เขมรเป็นประเทศที่ชั่วเลวนะ ระเบิดทิ้งเถอะ.

    https://youtube.com/watch?v=L0_H267gOxY&si=kqTRHsC0LGf_q87d
    ..นักข่าวนี้ดูแปลกๆนะ เหมือนๆเห็นใจเขมรแบบบอกไม่ถูก ถ้าไปเป็นนักข่าวอ่านข่าวในเขมรน่าจะเข้าตาได้ใจคนเขมรแน่ๆ,เห็นๆหลายๆข่าว หลายๆประเด็นแล้ว. ..มรึงไปเหี้ยทำซากอะไรในเขมร มันต้องเป็นแบบนี้แน่นอน คนไทยก็เตือนแล้วอย่าอยู่อย่าไปทำอะไรๆทั้งสิ้น เขาพยายายเตือนมาตลอด,นอกจากพวกนี้ถูกพวกค้ามนุษย์จับตัวขังเอาไว้ ออกมาไม่ได้ รู้เป็นคนไทยจึงให้มาเดินถนน แล้วทำทีชี้หน้าบอกวัยรุ่นคนเขมรว่านี้คือคนไทย มันอาจจะเป็นแบบนี้มากกว่า เพราะคนไทยถูกหลอกลวงไปค้าแรงงานค้ามนุษย์เถื่อนแบบเดอะแก๊งคอลเซนเตอร์ไม่น้อยนะ. ..เขมรเป็นประเทศที่ชั่วเลวนะ ระเบิดทิ้งเถอะ. https://youtube.com/watch?v=L0_H267gOxY&si=kqTRHsC0LGf_q87d
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts