• จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia — ผลักดันใช้โปรเซสเซอร์ในประเทศแทน

    ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ล่าสุดมีรายงานว่า รัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศ เช่น Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent ทำการจัดซื้อชิป AI จาก Nvidia แม้จะเป็นรุ่นที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีนอย่าง H800 และ A800 ก็ตาม

    คำสั่งนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้บริษัทจีนหันมาใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตภายในประเทศ เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads ซึ่งทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro ของ Nvidia

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง ซึ่งอาจนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่อ่อนไหว

    แม้บริษัทจีนจะยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้ แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูงในระยะยาว

    จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia
    รวมถึงชิปรุ่น H800 และ A800 ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน
    บริษัทที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent

    ผลักดันให้ใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตในประเทศ
    เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads
    ทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่าชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro

    สหรัฐฯ มีมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน
    โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง
    หวั่นว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือเทคโนโลยีอ่อนไหว

    บริษัทจีนยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้
    แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ในระยะยาว

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ในจีน
    การจำกัดการเข้าถึงชิปอาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีล่าช้า
    อาจกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในด้าน AI และการประมวลผลขั้นสูง
    บริษัทจีนอาจต้องลงทุนเพิ่มในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-bans-its-biggest-tech-companies-from-acquiring-nvidia-chips-says-report-beijing-claims-its-homegrown-ai-processors-now-match-h20-and-rtx-pro-6000d
    📰 จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia — ผลักดันใช้โปรเซสเซอร์ในประเทศแทน ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ล่าสุดมีรายงานว่า รัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศ เช่น Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent ทำการจัดซื้อชิป AI จาก Nvidia แม้จะเป็นรุ่นที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีนอย่าง H800 และ A800 ก็ตาม คำสั่งนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้บริษัทจีนหันมาใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตภายในประเทศ เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads ซึ่งทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro ของ Nvidia การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง ซึ่งอาจนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่อ่อนไหว แม้บริษัทจีนจะยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้ แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูงในระยะยาว ✅ จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia ➡️ รวมถึงชิปรุ่น H800 และ A800 ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน ➡️ บริษัทที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent ✅ ผลักดันให้ใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตในประเทศ ➡️ เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads ➡️ ทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่าชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro ✅ สหรัฐฯ มีมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน ➡️ โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง ➡️ หวั่นว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือเทคโนโลยีอ่อนไหว ✅ บริษัทจีนยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้ ➡️ แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ในระยะยาว ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ในจีน ⛔ การจำกัดการเข้าถึงชิปอาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีล่าช้า ⛔ อาจกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในด้าน AI และการประมวลผลขั้นสูง ⛔ บริษัทจีนอาจต้องลงทุนเพิ่มในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-bans-its-biggest-tech-companies-from-acquiring-nvidia-chips-says-report-beijing-claims-its-homegrown-ai-processors-now-match-h20-and-rtx-pro-6000d
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ฮ่องกงเตรียมปรับแนวทางการใช้หน้าจอของเด็ก — แก้ปัญาสายตาสั้นและสุขภาพจิตในยุคดิจิทัล”

    รัฐบาลฮ่องกงเตรียมประกาศแนวทางใหม่ในการจำกัดเวลาใช้หน้าจอของเด็กในนโยบายสุขภาพที่จะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ โดยจะเน้นการลดการใช้มือถือและโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กเล็ก ทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน โดยไม่ใช้มาตรการทางกฎหมาย แต่จะปรับปรุงแนวทางแนะนำให้ชัดเจนและทันสมัยมากขึ้น

    การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นจากความกังวลเรื่องอัตราสายตาสั้นในเด็กฮ่องกงที่สูงที่สุดในโลก และแนวโน้มการใช้หน้าจอเพื่อความบันเทิงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนประถมและมัธยม ซึ่งมีการใช้มือถือเพื่อเรียนและเล่นในระดับที่เกินคำแนะนำเดิมของกรมอนามัย

    ปัจจุบันฮ่องกงไม่มีข้อบังคับทางกฎหมายเกี่ยวกับเวลาใช้หน้าจอ แต่มีแนวทางแนะนำ เช่น เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีควรหลีกเลี่ยงหน้าจอ ยกเว้นการวิดีโอคอลกับผู้ปกครอง เด็กอายุ 2–5 ปีควรจำกัดไว้ที่ 1 ชั่วโมงต่อวัน และเด็กอายุ 6–12 ปีไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน

    รัฐบาลจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและการศึกษาเพื่อปรับปรุงแนวทางให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน โดยอาจพิจารณาให้โรงเรียนจำกัดการใช้มือถือในชั้นเรียน และตั้งคำถามว่าเด็กประถมควรเข้าถึงโซเชียลมีเดียหรือไม่

    ในระดับโลก หลายประเทศเริ่มใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น เช่น จีนจำกัดเวลาเล่นเกมออนไลน์ของเด็กไว้แค่ 1 ชั่วโมงต่อวันในวันหยุด, ออสเตรเลียเตรียมแบนโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี และฝรั่งเศสออกกฎหมายให้แพลตฟอร์มต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้และขอความยินยอมจากผู้ปกครอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ฮ่องกงเตรียมปรับแนวทางการใช้หน้าจอของเด็กในนโยบายสุขภาพ
    เน้นลดการใช้มือถือและโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กเล็ก
    ไม่มีการออกกฎหมาย แต่จะปรับปรุงแนวทางแนะนำให้ทันสมัย
    ปัจจุบันแนวทางแนะนำคือ 1–2 ชั่วโมงต่อวันตามช่วงอายุ

    เหตุผลและแรงจูงใจ
    เด็กฮ่องกงมีอัตราสายตาสั้นสูงที่สุดในโลก
    การใช้หน้าจอเพื่อความบันเทิงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    นักเรียนใช้มือถือเพื่อเรียนและเล่นเกินคำแนะนำเดิม
    รัฐบาลจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและการศึกษา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    จีนจำกัดเวลาเล่นเกมออนไลน์ของเด็กไว้ที่ 1 ชั่วโมงต่อวันในวันหยุด
    ออสเตรเลียเตรียมแบนโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี
    ฝรั่งเศสออกกฎหมายให้แพลตฟอร์มต้องตรวจสอบอายุและขอความยินยอม
    สหรัฐฯ เสนอร่างกฎหมาย Kids Off Social Media Act เพื่อแบนเด็กต่ำกว่า 13 ปี

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/17/how-much-screen-time-should-kids-have-hong-kong-leader-to-seek-expert-advice
    📱 “ฮ่องกงเตรียมปรับแนวทางการใช้หน้าจอของเด็ก — แก้ปัญาสายตาสั้นและสุขภาพจิตในยุคดิจิทัล” รัฐบาลฮ่องกงเตรียมประกาศแนวทางใหม่ในการจำกัดเวลาใช้หน้าจอของเด็กในนโยบายสุขภาพที่จะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ โดยจะเน้นการลดการใช้มือถือและโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กเล็ก ทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน โดยไม่ใช้มาตรการทางกฎหมาย แต่จะปรับปรุงแนวทางแนะนำให้ชัดเจนและทันสมัยมากขึ้น การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นจากความกังวลเรื่องอัตราสายตาสั้นในเด็กฮ่องกงที่สูงที่สุดในโลก และแนวโน้มการใช้หน้าจอเพื่อความบันเทิงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนประถมและมัธยม ซึ่งมีการใช้มือถือเพื่อเรียนและเล่นในระดับที่เกินคำแนะนำเดิมของกรมอนามัย ปัจจุบันฮ่องกงไม่มีข้อบังคับทางกฎหมายเกี่ยวกับเวลาใช้หน้าจอ แต่มีแนวทางแนะนำ เช่น เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีควรหลีกเลี่ยงหน้าจอ ยกเว้นการวิดีโอคอลกับผู้ปกครอง เด็กอายุ 2–5 ปีควรจำกัดไว้ที่ 1 ชั่วโมงต่อวัน และเด็กอายุ 6–12 ปีไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน รัฐบาลจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและการศึกษาเพื่อปรับปรุงแนวทางให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน โดยอาจพิจารณาให้โรงเรียนจำกัดการใช้มือถือในชั้นเรียน และตั้งคำถามว่าเด็กประถมควรเข้าถึงโซเชียลมีเดียหรือไม่ ในระดับโลก หลายประเทศเริ่มใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น เช่น จีนจำกัดเวลาเล่นเกมออนไลน์ของเด็กไว้แค่ 1 ชั่วโมงต่อวันในวันหยุด, ออสเตรเลียเตรียมแบนโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี และฝรั่งเศสออกกฎหมายให้แพลตฟอร์มต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้และขอความยินยอมจากผู้ปกครอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ฮ่องกงเตรียมปรับแนวทางการใช้หน้าจอของเด็กในนโยบายสุขภาพ ➡️ เน้นลดการใช้มือถือและโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กเล็ก ➡️ ไม่มีการออกกฎหมาย แต่จะปรับปรุงแนวทางแนะนำให้ทันสมัย ➡️ ปัจจุบันแนวทางแนะนำคือ 1–2 ชั่วโมงต่อวันตามช่วงอายุ ✅ เหตุผลและแรงจูงใจ ➡️ เด็กฮ่องกงมีอัตราสายตาสั้นสูงที่สุดในโลก ➡️ การใช้หน้าจอเพื่อความบันเทิงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ➡️ นักเรียนใช้มือถือเพื่อเรียนและเล่นเกินคำแนะนำเดิม ➡️ รัฐบาลจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและการศึกษา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ จีนจำกัดเวลาเล่นเกมออนไลน์ของเด็กไว้ที่ 1 ชั่วโมงต่อวันในวันหยุด ➡️ ออสเตรเลียเตรียมแบนโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ➡️ ฝรั่งเศสออกกฎหมายให้แพลตฟอร์มต้องตรวจสอบอายุและขอความยินยอม ➡️ สหรัฐฯ เสนอร่างกฎหมาย Kids Off Social Media Act เพื่อแบนเด็กต่ำกว่า 13 ปี https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/17/how-much-screen-time-should-kids-have-hong-kong-leader-to-seek-expert-advice
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How much screen time should kids have? Hong Kong leader to seek expert advice
    Government source rules out bans but backs tougher restrictions on device use in schools and homes under new initiative within policy address.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี
    ------------------------------------------------------------
    ช่องทางการติดตามจันทศิษฐ์ทนายความ
    Instagram : https://www.instagram.com/jantasit_lawyer/...#
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCYy2exOkFMr_k62i0a_vbCQ
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@jantasit_law36?is_from_webapp=1...
    Thaitimes : https://thaitimes.co/pages/jtslawyer
    Blockdit : https://www.blockdit.com/pages/684063179fb20fd9a69d4639
    Line Offcial : https://lin.ee/HfQHAph
    ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี ------------------------------------------------------------ ช่องทางการติดตามจันทศิษฐ์ทนายความ Instagram : https://www.instagram.com/jantasit_lawyer/...# Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCYy2exOkFMr_k62i0a_vbCQ Tiktok : https://www.tiktok.com/@jantasit_law36?is_from_webapp=1... Thaitimes : https://thaitimes.co/pages/jtslawyer Blockdit : https://www.blockdit.com/pages/684063179fb20fd9a69d4639 Line Offcial : https://lin.ee/HfQHAph
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “SMIC ทดสอบเครื่อง DUV ฝีมือจีนครั้งแรก — ความหวังใหม่สู่การผลิตชิป 5nm โดยไม่ต้องพึ่ง ASML”

    ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2025 มีรายงานจาก Financial Times ว่า SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corporation) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของจีน กำลังทดสอบเครื่อง lithography แบบ DUV (Deep Ultraviolet) ที่ผลิตโดยบริษัทสตาร์ทอัพในประเทศชื่อ Yuliangsheng ซึ่งตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่จีนสามารถผลิตเครื่อง DUV ได้เอง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาตนเองด้านอุปกรณ์ผลิตชิปขั้นสูง

    เดิมที SMIC ต้องพึ่งพาเครื่องจักรจาก ASML บริษัทเนเธอร์แลนด์ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี lithography แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ ทำให้จีนไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet) ได้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตชิประดับ 5nm และต่ำกว่า

    แม้เครื่อง DUV ของ Yuliangsheng จะยังไม่สามารถเทียบเท่า EUV ได้ แต่มีการระบุว่าสามารถ “scale” การผลิตได้ถึงระดับ 5nm ด้วยเทคนิคการทำ pattern ซ้ำหลายชั้น (multi-patterning) อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีความเสี่ยงด้าน yield หรืออัตราการผลิตชิปที่ใช้งานได้จริง เนื่องจากการจัดตำแหน่งหลายชั้นอาจเกิดข้อผิดพลาดสะสม

    SMIC เคยใช้วิธีนี้ในการผลิตชิป 7nm มาก่อน และยอมรับ yield ที่ต่ำเพื่อให้สามารถผลิตได้ในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นแนวทางเดียวกันสำหรับการผลิต 5nm ด้วยเครื่อง DUV ภายในประเทศ โดยเฉพาะเมื่อความต้องการชิป AI ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    การพัฒนาเครื่อง DUV นี้ยังมีความท้าทาย เพราะแม้ส่วนใหญ่ของชิ้นส่วนจะผลิตในประเทศ แต่บางส่วนยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม Yuliangsheng กำลังพยายามพัฒนาให้ทุกชิ้นส่วนสามารถผลิตในจีนได้ในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SMIC กำลังทดสอบเครื่อง DUV ที่ผลิตโดยบริษัทจีน Yuliangsheng
    เป็นครั้งแรกที่จีนสามารถผลิตเครื่อง lithography แบบ DUV ได้เอง
    เครื่องนี้อาจสามารถ scale การผลิตชิปได้ถึงระดับ 5nm ด้วยเทคนิค multi-patterning
    SMIC เคยใช้วิธีนี้ในการผลิตชิป 7nm โดยยอมรับ yield ต่ำเพื่อให้ผลิตได้

    ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรม
    ความต้องการชิป AI ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเร่งพัฒนาอุปกรณ์ภายในประเทศ
    SMIC ไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV จาก ASML เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออก
    เครื่อง DUV ของ Yuliangsheng ใช้เทคโนโลยี immersion คล้ายกับของ ASML
    ส่วนประกอบบางส่วนยังนำเข้าจากต่างประเทศ แต่มีแผนพัฒนาให้ผลิตในจีนทั้งหมด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SMIC เคยผลิตชิป 5nm โดยใช้เทคนิค SAQP (Self-Aligned Quadruple Patterning) บนเครื่อง DUV
    Huawei ใช้ชิปจาก SMIC ใน Ascend 920 ที่ผลิตบนกระบวนการ 6nm และให้ประสิทธิภาพสูงถึง 900 TFLOPS1
    บริษัทจีนอย่าง AMEC และ NAURA เริ่มแข่งขันกับ Lam Research และ TEL ในด้านอุปกรณ์ประกอบการผลิตชิป
    จีนตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกภายในปี 2030 โดยเน้นการพึ่งพาตนเองในทุกขั้นตอน

    https://wccftech.com/china-smic-reportedly-testing-nations-first-self-built-duv-machine/
    🔬 “SMIC ทดสอบเครื่อง DUV ฝีมือจีนครั้งแรก — ความหวังใหม่สู่การผลิตชิป 5nm โดยไม่ต้องพึ่ง ASML” ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2025 มีรายงานจาก Financial Times ว่า SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corporation) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของจีน กำลังทดสอบเครื่อง lithography แบบ DUV (Deep Ultraviolet) ที่ผลิตโดยบริษัทสตาร์ทอัพในประเทศชื่อ Yuliangsheng ซึ่งตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่จีนสามารถผลิตเครื่อง DUV ได้เอง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาตนเองด้านอุปกรณ์ผลิตชิปขั้นสูง เดิมที SMIC ต้องพึ่งพาเครื่องจักรจาก ASML บริษัทเนเธอร์แลนด์ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี lithography แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ ทำให้จีนไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet) ได้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตชิประดับ 5nm และต่ำกว่า แม้เครื่อง DUV ของ Yuliangsheng จะยังไม่สามารถเทียบเท่า EUV ได้ แต่มีการระบุว่าสามารถ “scale” การผลิตได้ถึงระดับ 5nm ด้วยเทคนิคการทำ pattern ซ้ำหลายชั้น (multi-patterning) อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีความเสี่ยงด้าน yield หรืออัตราการผลิตชิปที่ใช้งานได้จริง เนื่องจากการจัดตำแหน่งหลายชั้นอาจเกิดข้อผิดพลาดสะสม SMIC เคยใช้วิธีนี้ในการผลิตชิป 7nm มาก่อน และยอมรับ yield ที่ต่ำเพื่อให้สามารถผลิตได้ในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นแนวทางเดียวกันสำหรับการผลิต 5nm ด้วยเครื่อง DUV ภายในประเทศ โดยเฉพาะเมื่อความต้องการชิป AI ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การพัฒนาเครื่อง DUV นี้ยังมีความท้าทาย เพราะแม้ส่วนใหญ่ของชิ้นส่วนจะผลิตในประเทศ แต่บางส่วนยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม Yuliangsheng กำลังพยายามพัฒนาให้ทุกชิ้นส่วนสามารถผลิตในจีนได้ในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SMIC กำลังทดสอบเครื่อง DUV ที่ผลิตโดยบริษัทจีน Yuliangsheng ➡️ เป็นครั้งแรกที่จีนสามารถผลิตเครื่อง lithography แบบ DUV ได้เอง ➡️ เครื่องนี้อาจสามารถ scale การผลิตชิปได้ถึงระดับ 5nm ด้วยเทคนิค multi-patterning ➡️ SMIC เคยใช้วิธีนี้ในการผลิตชิป 7nm โดยยอมรับ yield ต่ำเพื่อให้ผลิตได้ ✅ ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรม ➡️ ความต้องการชิป AI ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเร่งพัฒนาอุปกรณ์ภายในประเทศ ➡️ SMIC ไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV จาก ASML เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออก ➡️ เครื่อง DUV ของ Yuliangsheng ใช้เทคโนโลยี immersion คล้ายกับของ ASML ➡️ ส่วนประกอบบางส่วนยังนำเข้าจากต่างประเทศ แต่มีแผนพัฒนาให้ผลิตในจีนทั้งหมด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SMIC เคยผลิตชิป 5nm โดยใช้เทคนิค SAQP (Self-Aligned Quadruple Patterning) บนเครื่อง DUV ➡️ Huawei ใช้ชิปจาก SMIC ใน Ascend 920 ที่ผลิตบนกระบวนการ 6nm และให้ประสิทธิภาพสูงถึง 900 TFLOPS1 ➡️ บริษัทจีนอย่าง AMEC และ NAURA เริ่มแข่งขันกับ Lam Research และ TEL ในด้านอุปกรณ์ประกอบการผลิตชิป ➡️ จีนตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกภายในปี 2030 โดยเน้นการพึ่งพาตนเองในทุกขั้นตอน https://wccftech.com/china-smic-reportedly-testing-nations-first-self-built-duv-machine/
    WCCFTECH.COM
    China's SMIC Reportedly Testing Nation's First Self-Built DUV Machine in a Major Breakthrough That Could Scale Production to 5nm
    China's chip segment might have witnessed another breakthrough, as a new report claims that SMIC is trialing the first in-house DUV machine.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • “IonQ ท้าชน NVIDIA — ชิปควอนตัม 10,000 qubit จะทำให้ Blackwell ‘ล้าสมัย’ ภายในปี 2027”

    ในโลกที่การประมวลผลด้วย GPU ครองตลาด AI และ HPC มานานหลายปี ล่าสุด IonQ บริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งจากสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศอย่างมั่นใจว่า “ชิปควอนตัมของเราในปี 2027 จะทำให้ GPU อย่าง NVIDIA Blackwell ดูล้าสมัย” โดย CEO ของบริษัท Niccolo de Masi ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่าชิปควอนตัมรุ่นใหม่จะมีจำนวน qubit สูงถึง 10,000 ตัว และสามารถทำงานได้เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนโลก

    การเปรียบเทียบนี้อาจฟังดูเกินจริง แต่มีพื้นฐานจากความสามารถของควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่สามารถแก้ปัญหาบางประเภท เช่น optimization, เคมีคำนวณ และการเข้ารหัส ได้ดีกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อปัญหาเหล่านั้นมีความซับซ้อนแบบ exponential ซึ่ง GPU แม้จะเร็วแค่ไหนก็ยังไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    IonQ ได้เร่งแผนพัฒนาอย่างหนักหลังการเข้าซื้อกิจการของ Oxford Ionics ซึ่งมีเทคโนโลยี photonic interconnect ที่ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อ qubit ได้อย่างแม่นยำและเสถียร โดยเป้าหมายคือการสร้าง logical qubit ที่มีการแก้ไขข้อผิดพลาดในตัว ซึ่งเป็นหัวใจของการประมวลผลควอนตัมที่ใช้งานได้จริง

    แม้จะมีความหวังสูง แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ของการใช้งานจริงในระดับ commercial โดยเฉพาะเมื่อ quantum chip ยังมีข้อจำกัดด้านเสถียรภาพ, การควบคุม noise และการ scale ระบบให้ใหญ่ขึ้นโดยไม่สูญเสียความแม่นยำ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    IonQ ประกาศแผนเปิดตัวชิปควอนตัม 10,000 qubit ภายในปี 2027
    CEO ระบุว่า GPU อย่าง NVIDIA Blackwell จะ “ล้าสมัย” เมื่อเทียบกับชิปควอนตัม
    การเข้าซื้อ Oxford Ionics ช่วยเร่งแผนพัฒนา logical qubit และ photonic interconnect
    ชิปควอนตัมเหมาะกับงาน optimization, เคมีคำนวณ, และการเข้ารหัส

    จุดเด่นของเทคโนโลยีควอนตัม
    ใช้ qubit ที่สามารถอยู่ในหลายสถานะพร้อมกัน (superposition)
    logical qubit มีระบบแก้ไขข้อผิดพลาดในตัว ทำให้ใช้งานได้จริง
    หากถึงระดับ 2 ล้าน qubit ในปี 2030 จะสามารถแก้ปัญหาที่ GPU ไม่สามารถทำได้
    การเปรียบเทียบกับ GPU เหมือนเปรียบรถ F1 กับรถบรรทุก — ต่างวัตถุประสงค์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NVIDIA Blackwell เป็น GPU รุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาสำหรับงาน AI และ HPC
    Quantum computing ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการใช้งานเชิงพาณิชย์
    IonQ ใช้เทคโนโลยี “trapped ion” ซึ่งมีความแม่นยำสูงแต่ scale ยาก
    ตลาด quantum computing คาดว่าจะเติบโตถึง $65 พันล้านภายในปี 2030

    https://wccftech.com/ionq-ceo-claims-that-their-quantum-chips-will-make-gpus-like-nvidia-blackwell-look-outdated/
    🧠 “IonQ ท้าชน NVIDIA — ชิปควอนตัม 10,000 qubit จะทำให้ Blackwell ‘ล้าสมัย’ ภายในปี 2027” ในโลกที่การประมวลผลด้วย GPU ครองตลาด AI และ HPC มานานหลายปี ล่าสุด IonQ บริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งจากสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศอย่างมั่นใจว่า “ชิปควอนตัมของเราในปี 2027 จะทำให้ GPU อย่าง NVIDIA Blackwell ดูล้าสมัย” โดย CEO ของบริษัท Niccolo de Masi ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่าชิปควอนตัมรุ่นใหม่จะมีจำนวน qubit สูงถึง 10,000 ตัว และสามารถทำงานได้เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนโลก การเปรียบเทียบนี้อาจฟังดูเกินจริง แต่มีพื้นฐานจากความสามารถของควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่สามารถแก้ปัญหาบางประเภท เช่น optimization, เคมีคำนวณ และการเข้ารหัส ได้ดีกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อปัญหาเหล่านั้นมีความซับซ้อนแบบ exponential ซึ่ง GPU แม้จะเร็วแค่ไหนก็ยังไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ IonQ ได้เร่งแผนพัฒนาอย่างหนักหลังการเข้าซื้อกิจการของ Oxford Ionics ซึ่งมีเทคโนโลยี photonic interconnect ที่ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อ qubit ได้อย่างแม่นยำและเสถียร โดยเป้าหมายคือการสร้าง logical qubit ที่มีการแก้ไขข้อผิดพลาดในตัว ซึ่งเป็นหัวใจของการประมวลผลควอนตัมที่ใช้งานได้จริง แม้จะมีความหวังสูง แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ของการใช้งานจริงในระดับ commercial โดยเฉพาะเมื่อ quantum chip ยังมีข้อจำกัดด้านเสถียรภาพ, การควบคุม noise และการ scale ระบบให้ใหญ่ขึ้นโดยไม่สูญเสียความแม่นยำ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ IonQ ประกาศแผนเปิดตัวชิปควอนตัม 10,000 qubit ภายในปี 2027 ➡️ CEO ระบุว่า GPU อย่าง NVIDIA Blackwell จะ “ล้าสมัย” เมื่อเทียบกับชิปควอนตัม ➡️ การเข้าซื้อ Oxford Ionics ช่วยเร่งแผนพัฒนา logical qubit และ photonic interconnect ➡️ ชิปควอนตัมเหมาะกับงาน optimization, เคมีคำนวณ, และการเข้ารหัส ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยีควอนตัม ➡️ ใช้ qubit ที่สามารถอยู่ในหลายสถานะพร้อมกัน (superposition) ➡️ logical qubit มีระบบแก้ไขข้อผิดพลาดในตัว ทำให้ใช้งานได้จริง ➡️ หากถึงระดับ 2 ล้าน qubit ในปี 2030 จะสามารถแก้ปัญหาที่ GPU ไม่สามารถทำได้ ➡️ การเปรียบเทียบกับ GPU เหมือนเปรียบรถ F1 กับรถบรรทุก — ต่างวัตถุประสงค์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NVIDIA Blackwell เป็น GPU รุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาสำหรับงาน AI และ HPC ➡️ Quantum computing ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการใช้งานเชิงพาณิชย์ ➡️ IonQ ใช้เทคโนโลยี “trapped ion” ซึ่งมีความแม่นยำสูงแต่ scale ยาก ➡️ ตลาด quantum computing คาดว่าจะเติบโตถึง $65 พันล้านภายในปี 2030 https://wccftech.com/ionq-ceo-claims-that-their-quantum-chips-will-make-gpus-like-nvidia-blackwell-look-outdated/
    WCCFTECH.COM
    IonQ's CEO Claims That Their Quantum Chips Will Make Classical GPUs Like NVIDIA's 'Blackwell' Look Outdated By 2027
    The quantum narrative is ramping up, and IonQ's CEO claims that the firm's quantum chips will 'wipe out' the competition with NVIDIA.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google ปลดพนักงาน AI กว่า 200 คน — เบื้องหลังไม่ใช่แค่ ‘ลดโปรเจกต์’ แต่คือความไม่มั่นคงและแรงต้านจากแรงงาน”

    กลางเดือนสิงหาคม 2025 Google ได้ปลดพนักงานสัญญาจ้างกว่า 200 คนที่ทำงานเกี่ยวกับโครงการ AI เช่น Gemini และ AI Overviews โดยอ้างว่าเป็นการ “ลดขนาดโปรเจกต์” แต่เสียงจากคนทำงานกลับสะท้อนอีกด้าน—ว่าการปลดครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และความพยายามรวมตัวเพื่อสร้างสหภาพแรงงาน

    พนักงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานผ่านบริษัท GlobalLogic ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Hitachi โดยมีหน้าที่เป็น “super raters” คือผู้ตรวจสอบและปรับแต่งคำตอบที่สร้างโดย AI ให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมชาติ หลายคนมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทหรือเอก และทำงานในสาขาวิชาชีพ เช่น การศึกษา การเขียน และการวิจัย

    แม้จะมีความเชี่ยวชาญสูง แต่พวกเขากลับได้รับค่าตอบแทนต่ำ โดยผู้ที่จ้างตรงจาก GlobalLogic ได้รับ $28–$32 ต่อชั่วโมง ขณะที่ผู้รับเหมาผ่านบริษัทตัวกลางได้เพียง $18–$22 ต่อชั่วโมงสำหรับงานเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการห้ามทำงานจากระยะไกล และจำกัดการเข้าถึงช่องทางสื่อสารภายในที่ใช้พูดคุยเรื่องความเหลื่อมล้ำ

    หลายคนเชื่อว่าการปลดครั้งนี้เป็นการตอบโต้ต่อความพยายามรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน โดยมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานแห่งชาติของสหรัฐฯ (NLRB) แล้วอย่างน้อยสองราย และมีรายงานว่า GlobalLogic กำลังพัฒนา AI ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในด้านการให้คะแนนคำตอบ ซึ่งทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองกำลัง “ฝึก AI เพื่อมาแทนที่ตัวเอง”

    เหตุการณ์นี้สะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรม AI ที่แม้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีความไม่มั่นคงในระดับแรงงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูล เช่น การจัดหมวดหมู่ การให้คะแนน และการตรวจสอบคำตอบ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นงานระดับล่าง ทั้งที่มีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพของระบบ AI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/google-terminates-200-ai-contractors-ramp-down-blamed-but-workers-claim-questions-over-pay-and-job-insecurity-are-the-real-reason-behind-layoffs
    🧠 “Google ปลดพนักงาน AI กว่า 200 คน — เบื้องหลังไม่ใช่แค่ ‘ลดโปรเจกต์’ แต่คือความไม่มั่นคงและแรงต้านจากแรงงาน” กลางเดือนสิงหาคม 2025 Google ได้ปลดพนักงานสัญญาจ้างกว่า 200 คนที่ทำงานเกี่ยวกับโครงการ AI เช่น Gemini และ AI Overviews โดยอ้างว่าเป็นการ “ลดขนาดโปรเจกต์” แต่เสียงจากคนทำงานกลับสะท้อนอีกด้าน—ว่าการปลดครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และความพยายามรวมตัวเพื่อสร้างสหภาพแรงงาน พนักงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานผ่านบริษัท GlobalLogic ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Hitachi โดยมีหน้าที่เป็น “super raters” คือผู้ตรวจสอบและปรับแต่งคำตอบที่สร้างโดย AI ให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมชาติ หลายคนมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทหรือเอก และทำงานในสาขาวิชาชีพ เช่น การศึกษา การเขียน และการวิจัย แม้จะมีความเชี่ยวชาญสูง แต่พวกเขากลับได้รับค่าตอบแทนต่ำ โดยผู้ที่จ้างตรงจาก GlobalLogic ได้รับ $28–$32 ต่อชั่วโมง ขณะที่ผู้รับเหมาผ่านบริษัทตัวกลางได้เพียง $18–$22 ต่อชั่วโมงสำหรับงานเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการห้ามทำงานจากระยะไกล และจำกัดการเข้าถึงช่องทางสื่อสารภายในที่ใช้พูดคุยเรื่องความเหลื่อมล้ำ หลายคนเชื่อว่าการปลดครั้งนี้เป็นการตอบโต้ต่อความพยายามรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน โดยมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานแห่งชาติของสหรัฐฯ (NLRB) แล้วอย่างน้อยสองราย และมีรายงานว่า GlobalLogic กำลังพัฒนา AI ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในด้านการให้คะแนนคำตอบ ซึ่งทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองกำลัง “ฝึก AI เพื่อมาแทนที่ตัวเอง” เหตุการณ์นี้สะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรม AI ที่แม้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีความไม่มั่นคงในระดับแรงงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูล เช่น การจัดหมวดหมู่ การให้คะแนน และการตรวจสอบคำตอบ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นงานระดับล่าง ทั้งที่มีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพของระบบ AI https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/google-terminates-200-ai-contractors-ramp-down-blamed-but-workers-claim-questions-over-pay-and-job-insecurity-are-the-real-reason-behind-layoffs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI ในศูนย์รักษาความปลอดภัยองค์กร: ผู้ช่วยอัจฉริยะหรือแค่เสียงรบกวน? — เมื่อ CISO ต้องเผชิญความจริงของการใช้งานจริง”

    ในปี 2025 การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยองค์กร (Security Operations Center – SOC) กลายเป็นประเด็นหลักของผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) ทั่วโลก หลายองค์กรหวังว่า AI จะเป็นตัวพลิกเกมในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรวดเร็วขึ้น แต่เมื่อเริ่มใช้งานจริง กลับพบว่าความหวังนั้นต้องผ่านบทเรียนมากมายก่อนจะได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง

    Myke Lyons จากบริษัท Cribl ชี้ว่า AI และระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองเหตุการณ์ได้จริง แต่ต้องอาศัยการจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง โดยเฉพาะ telemetry ที่มีความสำคัญสูง เช่น log การยืนยันตัวตนและการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งต้องถูกส่งไปยังระบบที่มีความมั่นใจสูงเพื่อการตรวจจับแบบเรียลไทม์ ส่วนข้อมูลรองลงมาถูกเก็บไว้ใน data lake เพื่อใช้วิเคราะห์ย้อนหลังและลดต้นทุน

    Erin Rogers จาก BOK Financial เสริมว่า AI แบบ “agentic” ซึ่งสามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เอง กำลังช่วยให้ระบบตรวจจับภัยคุกคามสามารถตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น เช่น การป้องกันการโจมตีแบบ Business Email Compromise แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอมนุษย์เข้ามาแทรกแซง

    แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย Shaila Rana จาก IEEE เตือนว่า AI ยังไม่แม่นยำพอ โดยอ้างผลการทดลองจาก Microsoft Research ที่พบว่า AI ตรวจจับมัลแวร์ได้เพียง 26% ภายใต้เงื่อนไขที่ยากที่สุด แม้จะมีความแม่นยำถึง 89% ในสถานการณ์ทั่วไปก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจเกินจริงและลดการเฝ้าระวังที่จำเป็น

    Anar Israfilov จาก Cyberoon Enterprise ย้ำว่า AI ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ เพราะหากไม่มีการตั้งค่าข้อมูลที่เหมาะสม ระบบอาจสร้าง “ghost alert” หรือการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก ทำให้ทีมงานเสียเวลาไล่ตามสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

    Denida Grow จาก LeMareschal ก็เห็นด้วยว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้บริบท เช่น การตอบสนองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายท้องถิ่น หรือความเสี่ยงเฉพาะขององค์กร ซึ่ง AI ยังไม่สามารถเข้าใจได้ลึกพอ

    Jonathan Garini จาก fifthelement.ai สรุปว่า AI ควรถูกใช้เพื่อช่วยลดภาระงานซ้ำซาก เช่น การวิเคราะห์ log หรือการกรอง alert เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญมีเวลามากขึ้นในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการผสาน AI เข้ากับความรู้ภายในองค์กร เช่น ประวัติภัยคุกคามและ workflow ที่มีอยู่ จะช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    AI ถูกนำมาใช้ใน SOC เพื่อเพิ่มความเร็วและลดภาระงานของนักวิเคราะห์
    ระบบ agentic AI สามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เองในบางกรณี เช่น การป้องกันอีเมลหลอกลวง
    การจัดการ telemetry อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับ
    AI ช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์และลดต้นทุนในการดำเนินงาน

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยง ghost alert
    AI ยังไม่สามารถเข้าใจบริบทเฉพาะ เช่น กฎหมายท้องถิ่นหรือความเสี่ยงเฉพาะองค์กร
    การผสาน AI กับความรู้ภายในองค์กรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
    AI เหมาะกับงานซ้ำซาก เช่น การกรอง alert และการวิเคราะห์ log

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cisco และ Splunk เปิดตัว SOC รุ่นใหม่ที่ใช้ agentic AI เพื่อรวมการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม
    SANS Institute พบว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังใช้ AI ในระดับสนับสนุน ไม่ใช่การตัดสินใจอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
    ปัญหาหลักของ AI ในความปลอดภัยคือ false positive และการขาดบริบท
    การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบต้องมี “guardrails” เช่น rule-based automation เพื่อควบคุมพฤติกรรมของระบบ

    https://www.csoonline.com/article/4054301/cisos-grapple-with-the-realities-of-applying-ai-to-security-functions.html
    🤖 “AI ในศูนย์รักษาความปลอดภัยองค์กร: ผู้ช่วยอัจฉริยะหรือแค่เสียงรบกวน? — เมื่อ CISO ต้องเผชิญความจริงของการใช้งานจริง” ในปี 2025 การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยองค์กร (Security Operations Center – SOC) กลายเป็นประเด็นหลักของผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) ทั่วโลก หลายองค์กรหวังว่า AI จะเป็นตัวพลิกเกมในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรวดเร็วขึ้น แต่เมื่อเริ่มใช้งานจริง กลับพบว่าความหวังนั้นต้องผ่านบทเรียนมากมายก่อนจะได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง Myke Lyons จากบริษัท Cribl ชี้ว่า AI และระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองเหตุการณ์ได้จริง แต่ต้องอาศัยการจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง โดยเฉพาะ telemetry ที่มีความสำคัญสูง เช่น log การยืนยันตัวตนและการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งต้องถูกส่งไปยังระบบที่มีความมั่นใจสูงเพื่อการตรวจจับแบบเรียลไทม์ ส่วนข้อมูลรองลงมาถูกเก็บไว้ใน data lake เพื่อใช้วิเคราะห์ย้อนหลังและลดต้นทุน Erin Rogers จาก BOK Financial เสริมว่า AI แบบ “agentic” ซึ่งสามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เอง กำลังช่วยให้ระบบตรวจจับภัยคุกคามสามารถตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น เช่น การป้องกันการโจมตีแบบ Business Email Compromise แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอมนุษย์เข้ามาแทรกแซง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย Shaila Rana จาก IEEE เตือนว่า AI ยังไม่แม่นยำพอ โดยอ้างผลการทดลองจาก Microsoft Research ที่พบว่า AI ตรวจจับมัลแวร์ได้เพียง 26% ภายใต้เงื่อนไขที่ยากที่สุด แม้จะมีความแม่นยำถึง 89% ในสถานการณ์ทั่วไปก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจเกินจริงและลดการเฝ้าระวังที่จำเป็น Anar Israfilov จาก Cyberoon Enterprise ย้ำว่า AI ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ เพราะหากไม่มีการตั้งค่าข้อมูลที่เหมาะสม ระบบอาจสร้าง “ghost alert” หรือการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก ทำให้ทีมงานเสียเวลาไล่ตามสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง Denida Grow จาก LeMareschal ก็เห็นด้วยว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้บริบท เช่น การตอบสนองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายท้องถิ่น หรือความเสี่ยงเฉพาะขององค์กร ซึ่ง AI ยังไม่สามารถเข้าใจได้ลึกพอ Jonathan Garini จาก fifthelement.ai สรุปว่า AI ควรถูกใช้เพื่อช่วยลดภาระงานซ้ำซาก เช่น การวิเคราะห์ log หรือการกรอง alert เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญมีเวลามากขึ้นในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการผสาน AI เข้ากับความรู้ภายในองค์กร เช่น ประวัติภัยคุกคามและ workflow ที่มีอยู่ จะช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ AI ถูกนำมาใช้ใน SOC เพื่อเพิ่มความเร็วและลดภาระงานของนักวิเคราะห์ ➡️ ระบบ agentic AI สามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เองในบางกรณี เช่น การป้องกันอีเมลหลอกลวง ➡️ การจัดการ telemetry อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับ ➡️ AI ช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์และลดต้นทุนในการดำเนินงาน ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยง ghost alert ➡️ AI ยังไม่สามารถเข้าใจบริบทเฉพาะ เช่น กฎหมายท้องถิ่นหรือความเสี่ยงเฉพาะองค์กร ➡️ การผสาน AI กับความรู้ภายในองค์กรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ AI เหมาะกับงานซ้ำซาก เช่น การกรอง alert และการวิเคราะห์ log ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cisco และ Splunk เปิดตัว SOC รุ่นใหม่ที่ใช้ agentic AI เพื่อรวมการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม ➡️ SANS Institute พบว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังใช้ AI ในระดับสนับสนุน ไม่ใช่การตัดสินใจอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ➡️ ปัญหาหลักของ AI ในความปลอดภัยคือ false positive และการขาดบริบท ➡️ การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบต้องมี “guardrails” เช่น rule-based automation เพื่อควบคุมพฤติกรรมของระบบ https://www.csoonline.com/article/4054301/cisos-grapple-with-the-realities-of-applying-ai-to-security-functions.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs grapple with the realities of applying AI to security functions
    Viewed as a copilot to augment rather than revolutionize security operations, well-governed AI can deliver incremental results, according to security leaders’ early returns.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • “กราฟิกไดรเวอร์ไม่ใช่อาวุธลับ — คดี Rockenhaus สะท้อนความเข้าใจผิดทางเทคนิคในกระบวนการยุติธรรมสหรัฐฯ”

    เรื่องราวของ Conrad Rockenhaus อดีตผู้ดูแลโหนด Tor ที่เคยให้บริการ exit node ความเร็วสูง กลายเป็นประเด็นร้อนในชุมชนความเป็นส่วนตัวออนไลน์ หลังจากภรรยาของเขาโพสต์ว่าเขาถูกควบคุมตัวก่อนการพิจารณาคดีนานถึง 3 ปี โดยอ้างว่า FBI ไม่สามารถบังคับให้เขาถอดรหัสทราฟฟิกจาก Tor ได้ จึงใช้ข้อหาเก่าเกี่ยวกับการละเมิด CFAA (Computer Fraud and Abuse Act) จากเหตุการณ์ในที่ทำงานเมื่อหลายปีก่อนเป็นข้ออ้างในการจับกุม

    สิ่งที่ทำให้คดีนี้กลายเป็นที่สนใจคือคำให้การของเจ้าหน้าที่คุมประพฤติที่อ้างว่า Rockenhaus ใช้ “Linux OS ชื่อ Spice” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบและเข้าถึง “dark web” ซึ่งในความเป็นจริง Spice เป็นเพียงกราฟิกไดรเวอร์สำหรับการแสดงผลจาก virtual machine ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการ และไม่สามารถ “ปิดการตรวจสอบ” ได้ตามที่กล่าวอ้าง

    แต่เมื่อดูจากเอกสารของศาลและคำให้การของเจ้าหน้าที่ FBI พบว่า Rockenhaus ได้ติดตั้ง Spice เพื่อเชื่อมต่อกับ VM ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การตรวจสอบ ซึ่งถือเป็นการละเมิดเงื่อนไขการปล่อยตัวก่อนพิจารณาคดี โดยเฉพาะเมื่อเขาใช้ iPhone ที่ไม่ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ตรวจสอบ และมีการเข้าถึงเว็บไซต์ Tor รวมถึงการค้นหาข้อมูลที่อ่อนไหวในช่วงเวลาเดียวกัน

    นอกจากนี้ ยังมีประเด็นจากอดีตที่เกี่ยวข้องกับการเข้าไปทำลายระบบของบริษัทเก่าที่เขาเคยทำงาน โดยใช้ VPN ที่หมดอายุเพื่อเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ และสร้างความเสียหายกว่า $500,000 ซึ่งเป็นต้นเหตุของการถูกตั้งข้อหาในครั้งแรก

    แม้ภรรยาของเขาจะยืนยันว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากรัฐและมีการใช้ “หมายจับเท็จ” แต่ข้อมูลจากหลายแหล่ง รวมถึงเอกสารของศาลและการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญในชุมชนออนไลน์ แสดงให้เห็นว่าคดีนี้มีความซับซ้อน และไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้ Tor หรือการปฏิเสธการถอดรหัสเท่านั้น

    ข้อมูลจากคดี Rockenhaus
    ถูกควบคุมตัวก่อนพิจารณาคดีนาน 3 ปีจากข้อหา CFAA เก่า
    เจ้าหน้าที่คุมประพฤติอ้างว่าใช้ “Linux OS ชื่อ Spice” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ
    Spice เป็นกราฟิกไดรเวอร์สำหรับ VM ไม่ใช่ OS และไม่เกี่ยวข้องกับ dark web
    FBI ให้การว่า Rockenhaus ใช้ VM เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจริง

    พฤติกรรมที่ละเมิดเงื่อนไขการปล่อยตัว
    ใช้ iPhone ที่ไม่ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ตรวจสอบ
    เข้าถึงเว็บไซต์ Tor และดาวน์โหลด Spice ในช่วงเวลาเดียวกัน
    การใช้ VM ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การตรวจสอบถือเป็นการละเมิดเงื่อนไข
    มีการค้นหาข้อมูลอ่อนไหวในช่วงเวลาเดียวกันกับการติดตั้ง Spice

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tor exit node สามารถเห็นทราฟฟิกที่ไม่ได้เข้ารหัส เช่น HTTP แต่ไม่สามารถถอดรหัส HTTPS ได้
    การใช้ VM เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบเป็นเทคนิคที่รู้จักในวงการ IT
    การควบคุมตัวก่อนพิจารณาคดีในสหรัฐฯ มีผู้ถูกควบคุมมากกว่า 450,000 คนในปี 2025
    คดีนี้สะท้อนความเข้าใจผิดทางเทคนิคในกระบวนการยุติธรรม และการใช้คำศัพท์ผิดพลาดในศาล

    กลุ่มที่สนับสนุนและเห็นใจ
    หลายคนรู้สึกว่าการควบคุมตัวก่อนพิจารณาคดีนานถึง 3 ปีเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน
    มีการวิจารณ์การใช้คำว่า “graphics driver” เพื่อกล่าวหาทางเทคนิคที่ไม่สมเหตุสมผล
    ผู้ใช้จำนวนมากแนะนำให้ติดต่อองค์กรช่วยเหลือ เช่น EFF, สื่อมวลชน, หรือทนายความที่เชี่ยวชาญ
    มีการแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับระบบยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรม เช่น การถูกกดดันให้รับข้อเสนอ plea bargain

    กลุ่มที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือวิเคราะห์เชิงเทคนิค
    มีผู้ใช้ที่อธิบายว่า SPICE เป็นซอฟต์แวร์สำหรับ remote VM ไม่ใช่ OS และไม่เกี่ยวกับ dark web
    บางคนอธิบายโครงสร้างของ Tor exit node และการเข้ารหัสอย่างถูกต้อง
    มีการอ้างอิงเอกสารจาก PACER และ CourtListener เพื่อชี้ให้เห็นว่า Rockenhaus เคยมีคดี CFAA มาก่อน
    มีการวิเคราะห์ว่าการใช้ VM และ iPhone ที่ไม่ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ตรวจสอบเป็นการละเมิดเงื่อนไขการปล่อยตัว

    กลุ่มที่ตั้งข้อสงสัยหรือไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างของ OP
    มีผู้ใช้ที่ระบุว่าโพสต์นี้เป็นการ “เล่นบทเหยื่อ” โดยละเลยข้อเท็จจริงสำคัญ เช่น ความเสียหายที่เคยก่อไว้กับบริษัทเก่า
    บางคนชี้ว่า OP เลือกนำเสนอเฉพาะด้านที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตน และละเลยข้อมูลที่อยู่ใน transcript
    มีการตั้งข้อสังเกตว่า OP อาจใช้ภาษาที่คล้ายกับการเขียนโดย LLM (AI) และหลีกเลี่ยงการตอบคำถามตรง ๆ
    มีการกล่าวถึงการค้นหา “North American Man/Boy Love Association” ใน log ซึ่งสร้างข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจตนา

    https://old.reddit.com/r/TOR/comments/1ni5drm/the_fbi_couldnt_get_my_husband_to_decrypt_his_tor/
    ⚖️ “กราฟิกไดรเวอร์ไม่ใช่อาวุธลับ — คดี Rockenhaus สะท้อนความเข้าใจผิดทางเทคนิคในกระบวนการยุติธรรมสหรัฐฯ” เรื่องราวของ Conrad Rockenhaus อดีตผู้ดูแลโหนด Tor ที่เคยให้บริการ exit node ความเร็วสูง กลายเป็นประเด็นร้อนในชุมชนความเป็นส่วนตัวออนไลน์ หลังจากภรรยาของเขาโพสต์ว่าเขาถูกควบคุมตัวก่อนการพิจารณาคดีนานถึง 3 ปี โดยอ้างว่า FBI ไม่สามารถบังคับให้เขาถอดรหัสทราฟฟิกจาก Tor ได้ จึงใช้ข้อหาเก่าเกี่ยวกับการละเมิด CFAA (Computer Fraud and Abuse Act) จากเหตุการณ์ในที่ทำงานเมื่อหลายปีก่อนเป็นข้ออ้างในการจับกุม สิ่งที่ทำให้คดีนี้กลายเป็นที่สนใจคือคำให้การของเจ้าหน้าที่คุมประพฤติที่อ้างว่า Rockenhaus ใช้ “Linux OS ชื่อ Spice” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบและเข้าถึง “dark web” ซึ่งในความเป็นจริง Spice เป็นเพียงกราฟิกไดรเวอร์สำหรับการแสดงผลจาก virtual machine ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการ และไม่สามารถ “ปิดการตรวจสอบ” ได้ตามที่กล่าวอ้าง แต่เมื่อดูจากเอกสารของศาลและคำให้การของเจ้าหน้าที่ FBI พบว่า Rockenhaus ได้ติดตั้ง Spice เพื่อเชื่อมต่อกับ VM ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การตรวจสอบ ซึ่งถือเป็นการละเมิดเงื่อนไขการปล่อยตัวก่อนพิจารณาคดี โดยเฉพาะเมื่อเขาใช้ iPhone ที่ไม่ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ตรวจสอบ และมีการเข้าถึงเว็บไซต์ Tor รวมถึงการค้นหาข้อมูลที่อ่อนไหวในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีประเด็นจากอดีตที่เกี่ยวข้องกับการเข้าไปทำลายระบบของบริษัทเก่าที่เขาเคยทำงาน โดยใช้ VPN ที่หมดอายุเพื่อเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ และสร้างความเสียหายกว่า $500,000 ซึ่งเป็นต้นเหตุของการถูกตั้งข้อหาในครั้งแรก แม้ภรรยาของเขาจะยืนยันว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากรัฐและมีการใช้ “หมายจับเท็จ” แต่ข้อมูลจากหลายแหล่ง รวมถึงเอกสารของศาลและการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญในชุมชนออนไลน์ แสดงให้เห็นว่าคดีนี้มีความซับซ้อน และไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้ Tor หรือการปฏิเสธการถอดรหัสเท่านั้น ✅ ข้อมูลจากคดี Rockenhaus ➡️ ถูกควบคุมตัวก่อนพิจารณาคดีนาน 3 ปีจากข้อหา CFAA เก่า ➡️ เจ้าหน้าที่คุมประพฤติอ้างว่าใช้ “Linux OS ชื่อ Spice” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ➡️ Spice เป็นกราฟิกไดรเวอร์สำหรับ VM ไม่ใช่ OS และไม่เกี่ยวข้องกับ dark web ➡️ FBI ให้การว่า Rockenhaus ใช้ VM เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจริง ✅ พฤติกรรมที่ละเมิดเงื่อนไขการปล่อยตัว ➡️ ใช้ iPhone ที่ไม่ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ตรวจสอบ ➡️ เข้าถึงเว็บไซต์ Tor และดาวน์โหลด Spice ในช่วงเวลาเดียวกัน ➡️ การใช้ VM ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การตรวจสอบถือเป็นการละเมิดเงื่อนไข ➡️ มีการค้นหาข้อมูลอ่อนไหวในช่วงเวลาเดียวกันกับการติดตั้ง Spice ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tor exit node สามารถเห็นทราฟฟิกที่ไม่ได้เข้ารหัส เช่น HTTP แต่ไม่สามารถถอดรหัส HTTPS ได้ ➡️ การใช้ VM เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบเป็นเทคนิคที่รู้จักในวงการ IT ➡️ การควบคุมตัวก่อนพิจารณาคดีในสหรัฐฯ มีผู้ถูกควบคุมมากกว่า 450,000 คนในปี 2025 ➡️ คดีนี้สะท้อนความเข้าใจผิดทางเทคนิคในกระบวนการยุติธรรม และการใช้คำศัพท์ผิดพลาดในศาล ✅ กลุ่มที่สนับสนุนและเห็นใจ ➡️ หลายคนรู้สึกว่าการควบคุมตัวก่อนพิจารณาคดีนานถึง 3 ปีเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน ➡️ มีการวิจารณ์การใช้คำว่า “graphics driver” เพื่อกล่าวหาทางเทคนิคที่ไม่สมเหตุสมผล ➡️ ผู้ใช้จำนวนมากแนะนำให้ติดต่อองค์กรช่วยเหลือ เช่น EFF, สื่อมวลชน, หรือทนายความที่เชี่ยวชาญ ➡️ มีการแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับระบบยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรม เช่น การถูกกดดันให้รับข้อเสนอ plea bargain ✅ กลุ่มที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือวิเคราะห์เชิงเทคนิค ➡️ มีผู้ใช้ที่อธิบายว่า SPICE เป็นซอฟต์แวร์สำหรับ remote VM ไม่ใช่ OS และไม่เกี่ยวกับ dark web ➡️ บางคนอธิบายโครงสร้างของ Tor exit node และการเข้ารหัสอย่างถูกต้อง ➡️ มีการอ้างอิงเอกสารจาก PACER และ CourtListener เพื่อชี้ให้เห็นว่า Rockenhaus เคยมีคดี CFAA มาก่อน ➡️ มีการวิเคราะห์ว่าการใช้ VM และ iPhone ที่ไม่ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ตรวจสอบเป็นการละเมิดเงื่อนไขการปล่อยตัว ‼️ กลุ่มที่ตั้งข้อสงสัยหรือไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างของ OP ⛔ มีผู้ใช้ที่ระบุว่าโพสต์นี้เป็นการ “เล่นบทเหยื่อ” โดยละเลยข้อเท็จจริงสำคัญ เช่น ความเสียหายที่เคยก่อไว้กับบริษัทเก่า ⛔ บางคนชี้ว่า OP เลือกนำเสนอเฉพาะด้านที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตน และละเลยข้อมูลที่อยู่ใน transcript ⛔ มีการตั้งข้อสังเกตว่า OP อาจใช้ภาษาที่คล้ายกับการเขียนโดย LLM (AI) และหลีกเลี่ยงการตอบคำถามตรง ๆ ⛔ มีการกล่าวถึงการค้นหา “North American Man/Boy Love Association” ใน log ซึ่งสร้างข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจตนา https://old.reddit.com/r/TOR/comments/1ni5drm/the_fbi_couldnt_get_my_husband_to_decrypt_his_tor/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • Château Christophe ตอนที่ 6
    นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 6 (ตอนจบ)
    ฝ่ายที่จู่โจมสถานกงสุลอเมริกันที่ Benghazi คาดเดากันว่าน่าจะเป็นพวกทหารอิสลาม แต่มันไม่น่าเชื่อว่า พวกเขาจะไม่รู้ว่า “ใคร” ที่อยู่ในบริเวณที่พวกเขาจัดการเผาจนเรียบวุธขนาดนั้น ถ้า Chris Stevens เป็นเป้าหมาย มันน่าจะง่ายกว่า ถ้าจะโจมตีขบวนรถเขาหรือชิงตัวเขาขณะออกไปวิ่งตอนเช้า หรือชิงตัวจากที่นัดพบและที่สำคัญ ฑูตอเมริกันที่มีชีวิตย่อมเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าฑูตที่ตายแล้ว
    แต่เพราะ Chris Stevens ถูกฆ่าตาย 56 วันก่อนมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี การตายเขาจึงกลายเป็นส่วนประกอบของฉากการเมือง ที่ทุกฝ่ายอยากเอาไปประกอบให้มีคะแนนเพิ่มขึ้น หรือเอาไปลดคะแนนคู่ต่อสู้
    รัฐบาล Obama ถูกวิจารณ์อย่างหนัก เมื่ออ้างในตอนแรกอย่างไม่มีน้ำหนักว่าการโจมตีสถานกงสุลเกิดขึ้นเพราะการประท้วงเรื่อง วีดีโอ แต่หลังจากนั้นประมาณเดือนตุลาคม เมื่อ New York Times รายงานว่า ชาวพื้นเมืองบอกว่าพวกที่บุกรุกเข้าไปในสถานกงสุลเป็นพวกอิสลามที่แค้นเรื่อง วีดีโอ มันก็เลยทำให้ข้อแก้ตัวของรัฐบาลพอฟังขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ทำให้หลายๆ ฝ่ายหายสงสัย
    นอกจากนี้ภาพของฑูต Stevens ที่แพร่ทางสื่อต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน มีหลายสื่อที่ออกข่าวว่า ฑูต Stevens ถูกทารุณและถูกชำเราทางทวารหนัก โดยมีภาพกึ่งเปลือยของเขาถูกชาวเมืองกำลังแบกอยู่ ในขณะที่สื่อฝั่งตะวันตก แพร่ภาพของฑูต Stevens นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและบอกเพียงว่า Stevens เสียชีวิตเพราะสำลักควัน ไม่ได้ถูกทำร้ายทารุณ เขามีบาดแผลเพียงเล็กน้อยที่หน้าผากเท่านั้น
    ข่าวนี้ออกมาใกล้เคียงกับการที่สภาสูง ของอเมริกาได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนสาเหตุการตายของ Stevens และตรวจสอบประเด็นเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้วย ผลของการตรวจสอบ ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ ข้อมูลที่ออกมาสับสนและขัดแย้งกันเอง (จนถึงทุกวันนี้) ยากแก่การลงความเห็นว่าฑูต Stevens เสียชีวิตจากการสำลักควัน โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และกำลังเสริมที่อยู่ห่างไปเพียง 1.2 ไมล์ ซึ่งมาถึงช้าอย่าผิดปกติ จนบริเวณกงสุลไหม้ไปเกือบหมดแล้ว
    ขณะเดียวกันก็เริ่มมีข่าวแพร่ออกมาว่า CIA มีส่วนเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของฑูต Stevens ข่าวรายงานว่า จุดยืนอย่างเป็นทางการของอเมริกา คือ ไม่มีการส่งอาวุธไปช่วยพวกกบฏในซีเรีย แต่ก็มีหลักฐานโผล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่าตัวแทนของอเมริกาโดยเฉพาะ ฑูต Stevens ที่เพิ่งถูกฆาตกรรมไปนั่นแหละ อย่างน้อยมีส่วนรู้เห็นกับการขนย้ายอาวุธจากลิเบียไปให้พวกกบฎ Jihadist ของซีเรีย
    เดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 นาย Stevens ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของอเมริกา เพื่อประสานงานกับ al-Qaeda-linked ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลลิเบีย โดยติดต่อโดยตรงกับ Abdelhakim Belhadj ของ Libyan Islamic Fighting Group ซึ่งกลุ่มนี้ต่อมายกเลิกไป หลังจากมีรายงานว่ามีส่วนร่วมในการโจมตีกงสุลอเมริกันและทำให้นาย Stevens เสียชีวิต !
    เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Time of London รายงานว่าเรือสัญชาติ Libya ขนสินค้าจำนวนมากเป็นอาวุธไปให้ซีเรีย โดยเทียบท่าที่ตุรกี รายงานข่าวว่าสินค้าหนักถึง 400 ตันนั้น มีจรวดประเภท SA-7 surface-to air anti-craft และ rocket-propelled grenade (ขีปนาวุธ ประเภทขับเคลื่อน) จำนวนมาก อาวุธทั้งหมดน่าจะมาจากส่วนที่ เก็บอยู่ในกองทัพของ Qaddafi ซึ่งมีประมาณ 20,000 ชิ้น สื่อ Reuters รายงานว่าฝ่ายกบฎซีเรีย ใช้อาวุธเหล่านี้ ยิงเครื่องเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินรบของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย
    เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Telegraph รายงานว่า Belhadj ในฐานะหัวหน้า Tripoli Military Council ได้พบกับบรรดาหัวหน้าของ Free Serian Army (FSA) ที่ Istanbul และแถบชายแดนของตุรกี โดยเป็นความพยายามของรัฐบาลใหม่ของลิเบียที่จะให้ความสนับสนุนทางด้านเงินและอาวุธแก่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ซึ่งกำลังเริ่มเกิดขึ้น
    นี่หมายความว่า ฑูต Stevens มีบุคคลเดียว คือ Belhadj ที่โยงระหว่างเขากับคน Benghazi ที่ขนอาวุธให้กบฎซีเรีย และถ้ารัฐบาลใหม่ของลิเบีย ส่งอาวุธให้กับกบฎซีเรีย ผ่านทางท่าเรือของตุรกี โดยมี Stevens เป็นตัวกลางให้กับพวกกบฎลิเบีย รัฐบาลตุรกีและรัฐบาลอเมริกันก็น่าจะรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย
    และอย่าลืมว่า มีหน่วยงานที่ขึ้นกับ CIA ประจำอยู่ที่เมือง Benghazi ซึ่งห่างจากสถานกงสุลแค่ 1.2 ไมล์ หน่วยงานนี้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลของการกระจายอาวุธที่ยึดมาจากรัฐบาลลิเบีย และปฏิบัติภาระกิจอะไรอีกบ้าง ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่เป็นที่รู้กันว่า การรักษาความปลอดภัยของหน่วยงานนี้ หนาแน่นมั่นคงและมีอาวุธที่ก้าวหน้าว่าที่สถานกงสุลมากนัก
    มาถึงจุดนี้มันค่อนข้างชัดเจนว่า อเมริกาต้องมีอะไรซ่อนอยู่ที่ Benghazi มันถึงทำให้รายงาน ต่าง ๆ สับสน และเมื่อถูกสอบถาม คุณนาย Clinton ถึงกับลมจับใบ้รับประทาน
    อย่าลืมว่านัดสุดท้ายของฑูต Stevens เมื่อวันที่ 11 กันยายน คือ การพบกับกงสุลตุรกี ชื่อ General Ali Sait Akin ซึ่ง Fox News บอกว่าเพื่อเป็นการเจรจาเกี่ยว กับการส่งมอบ ขีปนาวุธ SA-7 Business Insider รายงานเพิ่มว่า Stevens และลูกน้องเขา ทำหน้าที่เป็น “diplomatic cover” ให้แก่ CIA จากจำนวน 30 คน ที่อพยพมาจาก Benghazi มีเพียง 7 คน เท่านั้นที่ทำงานให้กับกระทรวงต่างประเทศและถ้า Stevens รู้ว่าอาวุธที่ส่งให้กบฎซีเรียมาจากไหน จะเป็นไปได้หรือที่ CIA จะไม่รู้ ไม่เห็นด้วย มันคงจะเป็นเรื่องที่ทำให้วอชิงตันลำบากใจอย่างยิ่ง ในการตอบคำถามที่เกี่ยวข้อง
    ไม่ว่าจะมีข่าวออกไปทางใด การตายของนาย Stevens คงจะเป็นปริศนาค้างคาอยู่กันต่อไป แต่จากเรื่องที่สื่อต่างชาติเขียนมานี้ น่าจะทำให้เราเห็นอะไรหลายอย่างว่า อเมริกาแท้จริงเป็นอย่างไร
    ในการสร้างสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ละประเทศต่างก็ส่งคนของตนไปทั่วโลก เพื่อหาข้อมูลและเพื่อดูแลผลประโยชน์ของประเทศตน และแน่นอนที่สุด เพื่อสร้างมิตร สร้างสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อกัน การที่อเมริกันเข้าไปในบ้านเมืองอื่นๆ ด้วยวิธีการอย่างที่อเมริกาเข้าไปในลิเบีย หรือส่งของขวัญพิเศษให้กับกบฎซีเรีย หรือที่กำลังทำอยู่ในหลายๆประเทศ และรวมทั้งที่กำลังทำอยู่กับราช อาณาจักรไทยด้วยนั้น การฑูตผ่านรั้วสูง กำแพงเหล็ก โกหก จุ้นจ้าน จาบจ้วง ทวงบุญคุณ และการส่ง “ของขวัญ” แบบพิเศษนี้ ฯลฯ คงจะสร้าง หรือรักษา “มิตร” ได้ยาก
    คนเล่านิทาน
7 มิย. 57
    Château Christophe ตอนที่ 6 นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 6 (ตอนจบ) ฝ่ายที่จู่โจมสถานกงสุลอเมริกันที่ Benghazi คาดเดากันว่าน่าจะเป็นพวกทหารอิสลาม แต่มันไม่น่าเชื่อว่า พวกเขาจะไม่รู้ว่า “ใคร” ที่อยู่ในบริเวณที่พวกเขาจัดการเผาจนเรียบวุธขนาดนั้น ถ้า Chris Stevens เป็นเป้าหมาย มันน่าจะง่ายกว่า ถ้าจะโจมตีขบวนรถเขาหรือชิงตัวเขาขณะออกไปวิ่งตอนเช้า หรือชิงตัวจากที่นัดพบและที่สำคัญ ฑูตอเมริกันที่มีชีวิตย่อมเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าฑูตที่ตายแล้ว แต่เพราะ Chris Stevens ถูกฆ่าตาย 56 วันก่อนมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี การตายเขาจึงกลายเป็นส่วนประกอบของฉากการเมือง ที่ทุกฝ่ายอยากเอาไปประกอบให้มีคะแนนเพิ่มขึ้น หรือเอาไปลดคะแนนคู่ต่อสู้ รัฐบาล Obama ถูกวิจารณ์อย่างหนัก เมื่ออ้างในตอนแรกอย่างไม่มีน้ำหนักว่าการโจมตีสถานกงสุลเกิดขึ้นเพราะการประท้วงเรื่อง วีดีโอ แต่หลังจากนั้นประมาณเดือนตุลาคม เมื่อ New York Times รายงานว่า ชาวพื้นเมืองบอกว่าพวกที่บุกรุกเข้าไปในสถานกงสุลเป็นพวกอิสลามที่แค้นเรื่อง วีดีโอ มันก็เลยทำให้ข้อแก้ตัวของรัฐบาลพอฟังขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ทำให้หลายๆ ฝ่ายหายสงสัย นอกจากนี้ภาพของฑูต Stevens ที่แพร่ทางสื่อต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน มีหลายสื่อที่ออกข่าวว่า ฑูต Stevens ถูกทารุณและถูกชำเราทางทวารหนัก โดยมีภาพกึ่งเปลือยของเขาถูกชาวเมืองกำลังแบกอยู่ ในขณะที่สื่อฝั่งตะวันตก แพร่ภาพของฑูต Stevens นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและบอกเพียงว่า Stevens เสียชีวิตเพราะสำลักควัน ไม่ได้ถูกทำร้ายทารุณ เขามีบาดแผลเพียงเล็กน้อยที่หน้าผากเท่านั้น ข่าวนี้ออกมาใกล้เคียงกับการที่สภาสูง ของอเมริกาได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนสาเหตุการตายของ Stevens และตรวจสอบประเด็นเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้วย ผลของการตรวจสอบ ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ ข้อมูลที่ออกมาสับสนและขัดแย้งกันเอง (จนถึงทุกวันนี้) ยากแก่การลงความเห็นว่าฑูต Stevens เสียชีวิตจากการสำลักควัน โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และกำลังเสริมที่อยู่ห่างไปเพียง 1.2 ไมล์ ซึ่งมาถึงช้าอย่าผิดปกติ จนบริเวณกงสุลไหม้ไปเกือบหมดแล้ว ขณะเดียวกันก็เริ่มมีข่าวแพร่ออกมาว่า CIA มีส่วนเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของฑูต Stevens ข่าวรายงานว่า จุดยืนอย่างเป็นทางการของอเมริกา คือ ไม่มีการส่งอาวุธไปช่วยพวกกบฏในซีเรีย แต่ก็มีหลักฐานโผล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่าตัวแทนของอเมริกาโดยเฉพาะ ฑูต Stevens ที่เพิ่งถูกฆาตกรรมไปนั่นแหละ อย่างน้อยมีส่วนรู้เห็นกับการขนย้ายอาวุธจากลิเบียไปให้พวกกบฎ Jihadist ของซีเรีย เดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 นาย Stevens ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของอเมริกา เพื่อประสานงานกับ al-Qaeda-linked ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลลิเบีย โดยติดต่อโดยตรงกับ Abdelhakim Belhadj ของ Libyan Islamic Fighting Group ซึ่งกลุ่มนี้ต่อมายกเลิกไป หลังจากมีรายงานว่ามีส่วนร่วมในการโจมตีกงสุลอเมริกันและทำให้นาย Stevens เสียชีวิต ! เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Time of London รายงานว่าเรือสัญชาติ Libya ขนสินค้าจำนวนมากเป็นอาวุธไปให้ซีเรีย โดยเทียบท่าที่ตุรกี รายงานข่าวว่าสินค้าหนักถึง 400 ตันนั้น มีจรวดประเภท SA-7 surface-to air anti-craft และ rocket-propelled grenade (ขีปนาวุธ ประเภทขับเคลื่อน) จำนวนมาก อาวุธทั้งหมดน่าจะมาจากส่วนที่ เก็บอยู่ในกองทัพของ Qaddafi ซึ่งมีประมาณ 20,000 ชิ้น สื่อ Reuters รายงานว่าฝ่ายกบฎซีเรีย ใช้อาวุธเหล่านี้ ยิงเครื่องเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินรบของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Telegraph รายงานว่า Belhadj ในฐานะหัวหน้า Tripoli Military Council ได้พบกับบรรดาหัวหน้าของ Free Serian Army (FSA) ที่ Istanbul และแถบชายแดนของตุรกี โดยเป็นความพยายามของรัฐบาลใหม่ของลิเบียที่จะให้ความสนับสนุนทางด้านเงินและอาวุธแก่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ซึ่งกำลังเริ่มเกิดขึ้น นี่หมายความว่า ฑูต Stevens มีบุคคลเดียว คือ Belhadj ที่โยงระหว่างเขากับคน Benghazi ที่ขนอาวุธให้กบฎซีเรีย และถ้ารัฐบาลใหม่ของลิเบีย ส่งอาวุธให้กับกบฎซีเรีย ผ่านทางท่าเรือของตุรกี โดยมี Stevens เป็นตัวกลางให้กับพวกกบฎลิเบีย รัฐบาลตุรกีและรัฐบาลอเมริกันก็น่าจะรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย และอย่าลืมว่า มีหน่วยงานที่ขึ้นกับ CIA ประจำอยู่ที่เมือง Benghazi ซึ่งห่างจากสถานกงสุลแค่ 1.2 ไมล์ หน่วยงานนี้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลของการกระจายอาวุธที่ยึดมาจากรัฐบาลลิเบีย และปฏิบัติภาระกิจอะไรอีกบ้าง ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่เป็นที่รู้กันว่า การรักษาความปลอดภัยของหน่วยงานนี้ หนาแน่นมั่นคงและมีอาวุธที่ก้าวหน้าว่าที่สถานกงสุลมากนัก มาถึงจุดนี้มันค่อนข้างชัดเจนว่า อเมริกาต้องมีอะไรซ่อนอยู่ที่ Benghazi มันถึงทำให้รายงาน ต่าง ๆ สับสน และเมื่อถูกสอบถาม คุณนาย Clinton ถึงกับลมจับใบ้รับประทาน อย่าลืมว่านัดสุดท้ายของฑูต Stevens เมื่อวันที่ 11 กันยายน คือ การพบกับกงสุลตุรกี ชื่อ General Ali Sait Akin ซึ่ง Fox News บอกว่าเพื่อเป็นการเจรจาเกี่ยว กับการส่งมอบ ขีปนาวุธ SA-7 Business Insider รายงานเพิ่มว่า Stevens และลูกน้องเขา ทำหน้าที่เป็น “diplomatic cover” ให้แก่ CIA จากจำนวน 30 คน ที่อพยพมาจาก Benghazi มีเพียง 7 คน เท่านั้นที่ทำงานให้กับกระทรวงต่างประเทศและถ้า Stevens รู้ว่าอาวุธที่ส่งให้กบฎซีเรียมาจากไหน จะเป็นไปได้หรือที่ CIA จะไม่รู้ ไม่เห็นด้วย มันคงจะเป็นเรื่องที่ทำให้วอชิงตันลำบากใจอย่างยิ่ง ในการตอบคำถามที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะมีข่าวออกไปทางใด การตายของนาย Stevens คงจะเป็นปริศนาค้างคาอยู่กันต่อไป แต่จากเรื่องที่สื่อต่างชาติเขียนมานี้ น่าจะทำให้เราเห็นอะไรหลายอย่างว่า อเมริกาแท้จริงเป็นอย่างไร ในการสร้างสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ละประเทศต่างก็ส่งคนของตนไปทั่วโลก เพื่อหาข้อมูลและเพื่อดูแลผลประโยชน์ของประเทศตน และแน่นอนที่สุด เพื่อสร้างมิตร สร้างสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อกัน การที่อเมริกันเข้าไปในบ้านเมืองอื่นๆ ด้วยวิธีการอย่างที่อเมริกาเข้าไปในลิเบีย หรือส่งของขวัญพิเศษให้กับกบฎซีเรีย หรือที่กำลังทำอยู่ในหลายๆประเทศ และรวมทั้งที่กำลังทำอยู่กับราช อาณาจักรไทยด้วยนั้น การฑูตผ่านรั้วสูง กำแพงเหล็ก โกหก จุ้นจ้าน จาบจ้วง ทวงบุญคุณ และการส่ง “ของขวัญ” แบบพิเศษนี้ ฯลฯ คงจะสร้าง หรือรักษา “มิตร” ได้ยาก คนเล่านิทาน
7 มิย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • Château Christophe ตอนที่ 5
    นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 5
    เมื่อความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุ มสถานกงสุลที่ Benghazi ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 Sean Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว ยังนั่งเล่นเกมส์ Eve Online อยู่หน้าจอ เขาอายุ 34 ปี มาจากกองทัพอากาศและอยู่กระทรวงการต่างประเทศมากว่า 10 ปีแล้ว เมียและลูก 2 คน อยู่ที่ประเทศ Netherlands เขาเป็นคนที่เล่นเกมส์ Eve นี้อย่างติดพันโดยใช้ชื่อว่า vile_rat เขาพิมพ์ถึงคู่เล่นเขา6 นาที ก่อน 2 ทุ่ม ว่า “สมมุติว่าเรารอดตายจากคืนนี้” มันดูเป็นตลกโหด แต่ Smith ผ่านสถานการณ์หนักกว่า Benghazi มาเยอะแล้ว เขาพิมพ์ข้อความเพิ่ม “เราเห็นตำรวจคนหนึ่งที่ดูแลบริเวณ กำลังถ่ายรูป”
เขาคงจะหมายความถึง ชาวลิเบียพวกที่เดินตรวจการณ์อยู่รอบบริเวณกงสุล แต่ยังมีการ์ดอีก 9 คน อยู่ในบริเวณกงสุล 5 คนเป็นคนอเมริกันติดอาวุธพร้อม และอีก 4 คน เป็นทหารชาวลิเบียจากหน่วย 17th of February Martyrs Brigade เป็นทหารพวกเดียวกับที่ดูแล Stevens เมื่อเขามาอยู่ที่ Benghazi ในตอนแรก
    สองชั่วโมงต่อมา เวลา 9.40 น. vile_rat พิมพ์ว่า “ฉิบหายแล้ว เสียงปืนยิง” แล้วเขาก็เลิกติดต่อไป
    จากรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเห็นจากจอที่ monitor ประตูหน้ากงสุลว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากติดอาวุธกำลังบุกเข้ามา เป็นคนกลุ่มใหญ่มากจนนับไม่ไหว เขากดปุ่มเตือนภัย คว้าไมค์แล้วตะโกนว่า “ถูกโจมตี ! ถูกโจมตี !”
    เจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยอีก 4 คนอยู่ในเรือนใหญ่กับ Stevens และ Smith คนหนึ่งรีบพา Stevens และ Smith เข้าไปที่ส่วนหลังของตึกและปลดแผงเหล็กปิดตึกในส่วนที่เป็นห้องนิรภัย เจ้าหน้าที่อีก 3 คน กระโดดไปคว้าปืนออโตเมติกและเสื้อเกราะ เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับ Stevens และ Smith พูดวิทยุบอกว่าพวกเขาปลอดภัยดีและอยู่ในห้องนิรภัย
    ซุ้มทหารด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้าเริ่มถูกไฟเผา และผู้โจมตีได้กระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณ พวกเขาพังประตูหน้าเข้ามาได้ และพยายามทำลายล็อคแผ่นเหล็กเพื่อเข้ามายังส่วนใน แต่ทำลายไม่สำเร็จ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลซุ่มเงียบอยู่ใต้เงามืด เตรียมพร้อมที่จะยิงถ้ามีใครบุกรุกเข้ามาในห้องนิรภัย แต่ไม่มีใครบุกรุกเข้ามา พวกจู่โจมกลับเอาน้ำมันดีเซลจากซุ้มทหารมาเทราดพื้นและเครื่องเรือน แล้วจุดไฟ หลังจากนั้นทั้งเรือนก็มีแต่ไฟลุกโชน
    ควันไฟผสมน้ำมันผสมเครื่องเรือนที่เริ่มละลาย เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณกงสุล ทำให้พวกที่ซ่อนตัวเองอยู่ข้างในเริ่มสำลักควัน Stevens, Smith และผู้คุ้มกันย้ายไปที่ห้องน้ำ พยายามไปที่หน้าต่างที่มีลูกกรงติดอยู่ ควันเริ่มเป็นหมอกสีดำ พวกเขานอนลงกับพื้นพยายามสูดอากาศที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตึก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกมานอกห้องนิรภัย จึงคลานมาที่ห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างที่สามารถเปิดจากในห้องได้
    เจ้าหน้าที่คุ้มกันเริ่มหายใจไม่ออก และมองเห็นไม่ชัดเจนจากควันไฟ เขาพยายามกระโดดออกไปที่ระเบียง โดยเอากระสอบทรายคลุมตัว ยังไม่ทันไรเขาก็เจอไฟไหม้ทั้งตัว และพวกจู่โจมก็โหมยิงใส่เขานับไม่ถ้วน พวกจู่โจมมีเป็นสิบๆคน ทั้ง Stevens และ Smith ไม่ได้ตามเจ้าหน้าที่คุ้มกันไปที่หน้าต่าง เจ้าหน้าที่จึงปืนย้อนกลับมาหาทั้งสองคนใหม่ เขาหาทั้งสองคนไม่เจอ เขากลับออกไปใหม่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาปีนเข้าปีนออกอยู่หลายรอบ ก็ยังหาทั้งสองคนไม่เจอ คอและปอดเขาแสบไปหมด เขาพยายามปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคา และก็หมดสติไปหลังจากที่วิทยุเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นให้มาช่วย
    เจ้าหน้าที่อเมริกันอีก 4 คน ฟังเสียงพูดทางวิทยุเกือบไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันพวกจู่โจมก็บุกเข้ามาในตึก B ตึกเล็กที่อยู่ในบริเวณ แต่ไม่สามารถฝ่าแท่งกั้นเข้ามายังด้านในของห้องได้ และก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาในศูนย์ปฏิบัติการกลางได้
    ที่ตึก B และศูนย์ปฏิบัติการกลางดูเหมือนจะไม่มีโทรศัพท์สายตรง แต่พวกเขามองเห็นควันดำลอยขึ้นมา พวกเขาคิดว่าจะต้องไปที่ห้องนิรภัยของตึกกลางให้ได้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามเปิดประตูตึกกลาง โดยการโยนระเบิดใส่พวกจู่โจมเพื่อเปิดทาง เขากลับเข้ามาที่ตึก B ใหม่ รวมตัวกับอีก 2 คน แล้วทั้ง 3 ก็ไปที่รถ SUV หุ้มเกราะค่อยๆขับมาที่ตึกกลาง 2 คนพยายามยิงตรึงพวกจู่โจม ขณะที่อีก 1 คนพยายามเข้าไปที่ตึกกลาง เขาควานหา Stevens และ Smith และเมื่อควันหนาขึ้นเขาก็คลานออกมา เขาทำอยู่อย่างนี้จนหมดสภาพ เจ้าหน้าที่อีกคนเข้าไปแทน และก็อีกคน คนหนึ่งเจอ Smith และลากออกมา ปรากฏว่า Smith เสียชีวิตแล้วจากควันไฟ แต่พวกเขาก็ยังหา Stevens ยังไม่เจอ
    หน่วยกำลังเสริมมาถึง (ในรายงานไม่ได้ระบุว่ามาถึงเวลาใด) เจ้าหน้าที่อเมริกัน 6 คน จากหน่วยประจำการที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 ไมล์ มาพร้อมด้วยทหารอีก 16 คนจากหน่วยที่ 17th February Martyrs Brigade พวกเขาเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ 1 คน ในศูนย์ปฏิบัติการกลาง ซึ่งพยายามโทรศัพท์เรียกหน่วยเสริมจากทุกแห่งรวมทั้งจาก Tripoli หลังจากนั้นพวกเขารวมตัวกันที่ประตูหน้าและจัดการหาตัว Stevens ใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่พบ พวกอเมริกันและทหารลิเบียที่เป็นฝ่ายเดียวกันพยายามจะรักษากงสุลไว้ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งกงสุลและอพยพออกไป เจ้าหน้าที่อัดตัวรวมกันอยู่ในรถ SUV พร้อมด้วยร่างของ Smith
    พวกอเมริกันที่หลบหนีออกมาโดนทั้งไฟเผาและถูกยิง พวกเขาพยายามฝ่าดงกระสุนออกมาจากบริเวณกงสุล รถวิ่งไปตามถนนเพื่อไปยังหน่วยเสริมกำลังของอเมริกัน ระหว่างทางพวกเขายังโดนไล่ยิงและปาระเบิดใส่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน่วยเสริมกำลังจนได้ พวกเขาเข้าประจำที่และยิงต่อสู้กับพวกจู่โจมต่อ เช้ามืดกองกำลังอเมริกันจาก Tripoli บินมาสมทบ การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป พวกอเมริกันเจ็บและตายเพิ่มขึ้น (ในจำนวนผู้ตาย มีเจ้าหน้าที่ CIA อีก 2 คน ชื่อ Tyrone S. Woods และ Glen Doherty เจ้าหน้าที่ Woods คือ คนที่อยู่กับฑูต Stevens ในห้องนิรภัยตอนแรก) ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจหนีออกไปจากเมือง พวกเขาได้จัดขบวนรถ SUV วิ่งไปทางสนามบินโดยความช่วยเหลือของทหารลิเบียที่เป็นพวก ในที่สุดก็ขึ้นเครื่องบิน 2 ลำ ออกมาได้หมดตอนเช้ามืดของวันนั้น
    ในที่สุดไฟที่สถานกงสุลก็เริ่มมอด พวกจู่โจมหายไปหมด ชาวลิเบียซึ่งอาจจะเป็นพวกที่ตั้งใจเข้าไปขโมยของ หรือเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น พาตัวเข้าไปที่ห้องนิรภัยจนได้ และพวกเขาก็พบ Stevens พวกเขาลากร่าง Stevens ออกมา แบกไปขึ้นรถและนำไปส่งโรงพยาบาล
    แพทย์ฉุกเฉินพยายามช่วยกู้ชีวิต Stevens อยู่ประมาณ 45 นาที แต่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาเจอมือถือที่กระเป๋าของ Stevens จึงเรียกหมายเลขต่างๆ ซึ่งกลายเป็นการพูดโทรศัพท์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก
    คนเล่านิทาน
7 มิย. 57
    Château Christophe ตอนที่ 5 นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 5 เมื่อความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุ มสถานกงสุลที่ Benghazi ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 Sean Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว ยังนั่งเล่นเกมส์ Eve Online อยู่หน้าจอ เขาอายุ 34 ปี มาจากกองทัพอากาศและอยู่กระทรวงการต่างประเทศมากว่า 10 ปีแล้ว เมียและลูก 2 คน อยู่ที่ประเทศ Netherlands เขาเป็นคนที่เล่นเกมส์ Eve นี้อย่างติดพันโดยใช้ชื่อว่า vile_rat เขาพิมพ์ถึงคู่เล่นเขา6 นาที ก่อน 2 ทุ่ม ว่า “สมมุติว่าเรารอดตายจากคืนนี้” มันดูเป็นตลกโหด แต่ Smith ผ่านสถานการณ์หนักกว่า Benghazi มาเยอะแล้ว เขาพิมพ์ข้อความเพิ่ม “เราเห็นตำรวจคนหนึ่งที่ดูแลบริเวณ กำลังถ่ายรูป”
เขาคงจะหมายความถึง ชาวลิเบียพวกที่เดินตรวจการณ์อยู่รอบบริเวณกงสุล แต่ยังมีการ์ดอีก 9 คน อยู่ในบริเวณกงสุล 5 คนเป็นคนอเมริกันติดอาวุธพร้อม และอีก 4 คน เป็นทหารชาวลิเบียจากหน่วย 17th of February Martyrs Brigade เป็นทหารพวกเดียวกับที่ดูแล Stevens เมื่อเขามาอยู่ที่ Benghazi ในตอนแรก สองชั่วโมงต่อมา เวลา 9.40 น. vile_rat พิมพ์ว่า “ฉิบหายแล้ว เสียงปืนยิง” แล้วเขาก็เลิกติดต่อไป จากรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเห็นจากจอที่ monitor ประตูหน้ากงสุลว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากติดอาวุธกำลังบุกเข้ามา เป็นคนกลุ่มใหญ่มากจนนับไม่ไหว เขากดปุ่มเตือนภัย คว้าไมค์แล้วตะโกนว่า “ถูกโจมตี ! ถูกโจมตี !” เจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยอีก 4 คนอยู่ในเรือนใหญ่กับ Stevens และ Smith คนหนึ่งรีบพา Stevens และ Smith เข้าไปที่ส่วนหลังของตึกและปลดแผงเหล็กปิดตึกในส่วนที่เป็นห้องนิรภัย เจ้าหน้าที่อีก 3 คน กระโดดไปคว้าปืนออโตเมติกและเสื้อเกราะ เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับ Stevens และ Smith พูดวิทยุบอกว่าพวกเขาปลอดภัยดีและอยู่ในห้องนิรภัย ซุ้มทหารด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้าเริ่มถูกไฟเผา และผู้โจมตีได้กระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณ พวกเขาพังประตูหน้าเข้ามาได้ และพยายามทำลายล็อคแผ่นเหล็กเพื่อเข้ามายังส่วนใน แต่ทำลายไม่สำเร็จ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลซุ่มเงียบอยู่ใต้เงามืด เตรียมพร้อมที่จะยิงถ้ามีใครบุกรุกเข้ามาในห้องนิรภัย แต่ไม่มีใครบุกรุกเข้ามา พวกจู่โจมกลับเอาน้ำมันดีเซลจากซุ้มทหารมาเทราดพื้นและเครื่องเรือน แล้วจุดไฟ หลังจากนั้นทั้งเรือนก็มีแต่ไฟลุกโชน ควันไฟผสมน้ำมันผสมเครื่องเรือนที่เริ่มละลาย เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณกงสุล ทำให้พวกที่ซ่อนตัวเองอยู่ข้างในเริ่มสำลักควัน Stevens, Smith และผู้คุ้มกันย้ายไปที่ห้องน้ำ พยายามไปที่หน้าต่างที่มีลูกกรงติดอยู่ ควันเริ่มเป็นหมอกสีดำ พวกเขานอนลงกับพื้นพยายามสูดอากาศที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตึก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกมานอกห้องนิรภัย จึงคลานมาที่ห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างที่สามารถเปิดจากในห้องได้ เจ้าหน้าที่คุ้มกันเริ่มหายใจไม่ออก และมองเห็นไม่ชัดเจนจากควันไฟ เขาพยายามกระโดดออกไปที่ระเบียง โดยเอากระสอบทรายคลุมตัว ยังไม่ทันไรเขาก็เจอไฟไหม้ทั้งตัว และพวกจู่โจมก็โหมยิงใส่เขานับไม่ถ้วน พวกจู่โจมมีเป็นสิบๆคน ทั้ง Stevens และ Smith ไม่ได้ตามเจ้าหน้าที่คุ้มกันไปที่หน้าต่าง เจ้าหน้าที่จึงปืนย้อนกลับมาหาทั้งสองคนใหม่ เขาหาทั้งสองคนไม่เจอ เขากลับออกไปใหม่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาปีนเข้าปีนออกอยู่หลายรอบ ก็ยังหาทั้งสองคนไม่เจอ คอและปอดเขาแสบไปหมด เขาพยายามปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคา และก็หมดสติไปหลังจากที่วิทยุเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นให้มาช่วย เจ้าหน้าที่อเมริกันอีก 4 คน ฟังเสียงพูดทางวิทยุเกือบไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันพวกจู่โจมก็บุกเข้ามาในตึก B ตึกเล็กที่อยู่ในบริเวณ แต่ไม่สามารถฝ่าแท่งกั้นเข้ามายังด้านในของห้องได้ และก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาในศูนย์ปฏิบัติการกลางได้ ที่ตึก B และศูนย์ปฏิบัติการกลางดูเหมือนจะไม่มีโทรศัพท์สายตรง แต่พวกเขามองเห็นควันดำลอยขึ้นมา พวกเขาคิดว่าจะต้องไปที่ห้องนิรภัยของตึกกลางให้ได้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามเปิดประตูตึกกลาง โดยการโยนระเบิดใส่พวกจู่โจมเพื่อเปิดทาง เขากลับเข้ามาที่ตึก B ใหม่ รวมตัวกับอีก 2 คน แล้วทั้ง 3 ก็ไปที่รถ SUV หุ้มเกราะค่อยๆขับมาที่ตึกกลาง 2 คนพยายามยิงตรึงพวกจู่โจม ขณะที่อีก 1 คนพยายามเข้าไปที่ตึกกลาง เขาควานหา Stevens และ Smith และเมื่อควันหนาขึ้นเขาก็คลานออกมา เขาทำอยู่อย่างนี้จนหมดสภาพ เจ้าหน้าที่อีกคนเข้าไปแทน และก็อีกคน คนหนึ่งเจอ Smith และลากออกมา ปรากฏว่า Smith เสียชีวิตแล้วจากควันไฟ แต่พวกเขาก็ยังหา Stevens ยังไม่เจอ หน่วยกำลังเสริมมาถึง (ในรายงานไม่ได้ระบุว่ามาถึงเวลาใด) เจ้าหน้าที่อเมริกัน 6 คน จากหน่วยประจำการที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 ไมล์ มาพร้อมด้วยทหารอีก 16 คนจากหน่วยที่ 17th February Martyrs Brigade พวกเขาเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ 1 คน ในศูนย์ปฏิบัติการกลาง ซึ่งพยายามโทรศัพท์เรียกหน่วยเสริมจากทุกแห่งรวมทั้งจาก Tripoli หลังจากนั้นพวกเขารวมตัวกันที่ประตูหน้าและจัดการหาตัว Stevens ใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่พบ พวกอเมริกันและทหารลิเบียที่เป็นฝ่ายเดียวกันพยายามจะรักษากงสุลไว้ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งกงสุลและอพยพออกไป เจ้าหน้าที่อัดตัวรวมกันอยู่ในรถ SUV พร้อมด้วยร่างของ Smith พวกอเมริกันที่หลบหนีออกมาโดนทั้งไฟเผาและถูกยิง พวกเขาพยายามฝ่าดงกระสุนออกมาจากบริเวณกงสุล รถวิ่งไปตามถนนเพื่อไปยังหน่วยเสริมกำลังของอเมริกัน ระหว่างทางพวกเขายังโดนไล่ยิงและปาระเบิดใส่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน่วยเสริมกำลังจนได้ พวกเขาเข้าประจำที่และยิงต่อสู้กับพวกจู่โจมต่อ เช้ามืดกองกำลังอเมริกันจาก Tripoli บินมาสมทบ การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป พวกอเมริกันเจ็บและตายเพิ่มขึ้น (ในจำนวนผู้ตาย มีเจ้าหน้าที่ CIA อีก 2 คน ชื่อ Tyrone S. Woods และ Glen Doherty เจ้าหน้าที่ Woods คือ คนที่อยู่กับฑูต Stevens ในห้องนิรภัยตอนแรก) ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจหนีออกไปจากเมือง พวกเขาได้จัดขบวนรถ SUV วิ่งไปทางสนามบินโดยความช่วยเหลือของทหารลิเบียที่เป็นพวก ในที่สุดก็ขึ้นเครื่องบิน 2 ลำ ออกมาได้หมดตอนเช้ามืดของวันนั้น ในที่สุดไฟที่สถานกงสุลก็เริ่มมอด พวกจู่โจมหายไปหมด ชาวลิเบียซึ่งอาจจะเป็นพวกที่ตั้งใจเข้าไปขโมยของ หรือเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น พาตัวเข้าไปที่ห้องนิรภัยจนได้ และพวกเขาก็พบ Stevens พวกเขาลากร่าง Stevens ออกมา แบกไปขึ้นรถและนำไปส่งโรงพยาบาล แพทย์ฉุกเฉินพยายามช่วยกู้ชีวิต Stevens อยู่ประมาณ 45 นาที แต่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาเจอมือถือที่กระเป๋าของ Stevens จึงเรียกหมายเลขต่างๆ ซึ่งกลายเป็นการพูดโทรศัพท์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก คนเล่านิทาน
7 มิย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ASRock เปิดตัว AI QuickSet WSL — ติดตั้งแอป AI บน Windows ง่ายเหมือนใช้วิซาร์ด พร้อมรองรับ GPU AMD รุ่นใหม่”

    ในยุคที่แอปพลิเคชัน AI ส่วนใหญ่ถูกออกแบบให้ทำงานบน Linux การใช้งานบน Windows กลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผู้ใช้ทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านการตั้งค่าสภาพแวดล้อม ASRock จึงเปิดตัวเครื่องมือเวอร์ชันใหม่ชื่อว่า “AI QuickSet WSL” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งและใช้งานแอป AI บน Windows ได้ง่ายขึ้น ผ่านระบบ Windows Subsystem for Linux (WSL)

    AI QuickSet WSL เป็นการต่อยอดจากเวอร์ชันแรกที่รองรับการติดตั้งแอป AI ทั้งบน Windows และ Linux โดยเวอร์ชันใหม่นี้เน้นการใช้งาน Linux-based AI บน Windows โดยเฉพาะ ด้วยการใช้แพลตฟอร์ม AMD ROCm ที่รองรับการเร่งความเร็วด้วย GPU จาก ASRock Radeon RX 7900 Series หรือใหม่กว่า

    ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอป AI ได้ผ่าน GUI แบบวิซาร์ดที่มีขั้นตอนชัดเจน ไม่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง เช่น การเลือก runtime, การปรับแต่ง LLM หรือการจัดการ container โดยแอปจะจัดการให้ทั้งหมด พร้อมแอป AI ที่ติดตั้งมาให้ล่วงหน้า เช่น Audiocraft สำหรับสร้างเสียงจากข้อความ, PixtoonLab สำหรับแปลงภาพเป็นการ์ตูน, และ Video Background Remover สำหรับลบพื้นหลังวิดีโอ

    แม้จะรองรับทั้ง CPU Intel และ AMD แต่เครื่องมือนี้มีข้อกำหนดฮาร์ดแวร์ที่ค่อนข้างสูง เช่น RAM 64GB, Windows 11 เวอร์ชัน 24H2, และพื้นที่ว่างบนไดรฟ์ C: อย่างน้อย 150GB ซึ่งสะท้อนว่าเครื่องมือนี้ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ระดับจริงจังที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดในการประมวลผล AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ASRock เปิดตัว AI QuickSet WSL สำหรับติดตั้งแอป AI Linux บน Windows
    ใช้แพลตฟอร์ม AMD ROCm เพื่อเร่งความเร็วด้วย GPU Radeon RX 7900 Series ขึ้นไป
    รองรับการติดตั้งผ่าน GUI แบบวิซาร์ด — ไม่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง
    มีแอป AI ติดตั้งล่วงหน้า เช่น Audiocraft, PixtoonLab, Video Background Remover

    ความสามารถและการใช้งาน
    รองรับ CPU Intel Gen 12 ขึ้นไป และ AMD Ryzen 5000 ขึ้นไป
    ต้องใช้ RAM 64GB และ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2
    ต้องติดตั้งบนไดรฟ์ C: โดยมีพื้นที่ว่างอย่างน้อย 150GB
    รองรับเฉพาะ GPU ที่ผลิตโดย ASRock — ไม่รองรับการ์ด MBA จาก AMD

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    WSL เป็นระบบ virtualization ที่ไม่มี GUI — ทำให้เบาและเร็ว
    ROCm เป็นแพลตฟอร์มของ AMD สำหรับงาน HPC และ AI โดยเฉพาะ
    การใช้ GUI ช่วยลดอุปสรรคสำหรับผู้เริ่มต้นที่ไม่ถนัดคำสั่ง CLI
    แอป AI ที่ติดตั้งล่วงหน้าครอบคลุมงานเสียง ภาพ วิดีโอ และข้อความ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/asrocks-revamped-ai-quickset-wsl-virtualization-tool-makes-it-easy-to-run-linux-ai-apps-on-windows
    🖥️ “ASRock เปิดตัว AI QuickSet WSL — ติดตั้งแอป AI บน Windows ง่ายเหมือนใช้วิซาร์ด พร้อมรองรับ GPU AMD รุ่นใหม่” ในยุคที่แอปพลิเคชัน AI ส่วนใหญ่ถูกออกแบบให้ทำงานบน Linux การใช้งานบน Windows กลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผู้ใช้ทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านการตั้งค่าสภาพแวดล้อม ASRock จึงเปิดตัวเครื่องมือเวอร์ชันใหม่ชื่อว่า “AI QuickSet WSL” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งและใช้งานแอป AI บน Windows ได้ง่ายขึ้น ผ่านระบบ Windows Subsystem for Linux (WSL) AI QuickSet WSL เป็นการต่อยอดจากเวอร์ชันแรกที่รองรับการติดตั้งแอป AI ทั้งบน Windows และ Linux โดยเวอร์ชันใหม่นี้เน้นการใช้งาน Linux-based AI บน Windows โดยเฉพาะ ด้วยการใช้แพลตฟอร์ม AMD ROCm ที่รองรับการเร่งความเร็วด้วย GPU จาก ASRock Radeon RX 7900 Series หรือใหม่กว่า ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอป AI ได้ผ่าน GUI แบบวิซาร์ดที่มีขั้นตอนชัดเจน ไม่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง เช่น การเลือก runtime, การปรับแต่ง LLM หรือการจัดการ container โดยแอปจะจัดการให้ทั้งหมด พร้อมแอป AI ที่ติดตั้งมาให้ล่วงหน้า เช่น Audiocraft สำหรับสร้างเสียงจากข้อความ, PixtoonLab สำหรับแปลงภาพเป็นการ์ตูน, และ Video Background Remover สำหรับลบพื้นหลังวิดีโอ แม้จะรองรับทั้ง CPU Intel และ AMD แต่เครื่องมือนี้มีข้อกำหนดฮาร์ดแวร์ที่ค่อนข้างสูง เช่น RAM 64GB, Windows 11 เวอร์ชัน 24H2, และพื้นที่ว่างบนไดรฟ์ C: อย่างน้อย 150GB ซึ่งสะท้อนว่าเครื่องมือนี้ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ระดับจริงจังที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดในการประมวลผล AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ASRock เปิดตัว AI QuickSet WSL สำหรับติดตั้งแอป AI Linux บน Windows ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม AMD ROCm เพื่อเร่งความเร็วด้วย GPU Radeon RX 7900 Series ขึ้นไป ➡️ รองรับการติดตั้งผ่าน GUI แบบวิซาร์ด — ไม่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง ➡️ มีแอป AI ติดตั้งล่วงหน้า เช่น Audiocraft, PixtoonLab, Video Background Remover ✅ ความสามารถและการใช้งาน ➡️ รองรับ CPU Intel Gen 12 ขึ้นไป และ AMD Ryzen 5000 ขึ้นไป ➡️ ต้องใช้ RAM 64GB และ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ➡️ ต้องติดตั้งบนไดรฟ์ C: โดยมีพื้นที่ว่างอย่างน้อย 150GB ➡️ รองรับเฉพาะ GPU ที่ผลิตโดย ASRock — ไม่รองรับการ์ด MBA จาก AMD ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ WSL เป็นระบบ virtualization ที่ไม่มี GUI — ทำให้เบาและเร็ว ➡️ ROCm เป็นแพลตฟอร์มของ AMD สำหรับงาน HPC และ AI โดยเฉพาะ ➡️ การใช้ GUI ช่วยลดอุปสรรคสำหรับผู้เริ่มต้นที่ไม่ถนัดคำสั่ง CLI ➡️ แอป AI ที่ติดตั้งล่วงหน้าครอบคลุมงานเสียง ภาพ วิดีโอ และข้อความ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/asrocks-revamped-ai-quickset-wsl-virtualization-tool-makes-it-easy-to-run-linux-ai-apps-on-windows
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    ASRock's revamped AI Quickset WSL virtualization tool makes it easy to run Linux AI apps on Windows
    ASRock's tool takes all the guesswork out of installing AI models on PC, including ones designed to work primarily in Linux.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชำแหละซอฟต์พาวเวอร์ รัฐบาลอุ๊งอิ๊งผลาญ 8 พันล้าน!

    เมื่อวันก่อนแพลตฟอร์ม X บัญชี @thaccaofficial ของสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ หรือทักก้า (THACCA) ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ยังไม่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เนื่องจากกฎหมายยังไม่ผ่าน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "จริงๆ มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะระบาย ไหนๆ ก็ใกล้จะลากันแล้ว จำได้ไหมปีแรกๆ ที่เรา THACCA โดนด่าว่า ซอฟต์เพาเวอร์ 5,000 ล้านๆ โดนล้อ โดนด่ามาตลอด รู้ไหมจริงๆ งบปี 67 เราไม่ได้เงินสักบาทเลย เราเลยต้องมาของบกลาง แต่ก็โดนตัดแล้วตัดอีกจนเหลือ 635 ล้านบาท แค่ 12% จากที่เขาด่าเราเท่านั้น แต่เราก็พยายามทำงานเท่าที่เราได้งบมาให้ดีที่สุด มากที่สุด แล้วก็คุ้มที่สุด กับทุกอุตสาหกรรม ถ้าเราได้งบ 5,000 ล้านจริงตามที่เขาด่าเรา ตอนนี้ผลงานเราคงเยอะกว่านี้อีกหลายเท่าตัว"

    ปรากฎว่าถูกตั้งคำถามจากสังคมถึงนโยบายเรือธงของรัฐบาลแพทองธารว่า มีอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง นอกจากการจัดอีเวนต์ ทำไมไม่ผ่านกฎหมายทักก้า 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำอะไรอยู่ ขณะเดียวกัน นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แฉว่าแม้จะได้งบประมาณจากงบกลาง 635 ล้านบาท แต่ก็ไปของบจัดมหาสงกรานต์และอีเวนต์อีก ในปี 2567 ได้งบประมาณรวม 3,229.36 ล้านบาท ส่วนปี 2568 ได้งบประมาณไป 2,318.42 ล้านบาท บวกกับงบกลาง 1,336.72 ล้านบาท และงบที่ซ้ำในกระทรวงอื่นๆ 2,082.85 ล้านบาท เท่ากับ 5,737.99 ล้านบาท รวม 2 ปีใช้เงินไป 8,967.35 ล้านบาท หน่วยงานนี้ยังไม่มีเพราะไม่มีกฎหมายเข้าสภาฯ มีเพียงสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ดูแลประสานงานเท่านั้น

    ด้านนายอภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อดีตผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ (TCDC) ระบุเพิ่มเติมว่า THACCA ยังไม่ได้จัดตั้งเป็นหน่วยงานส่วนราชการ ไม่มีงบประมาณเป็นของตัวเอง ไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นการกระจายงบประมาณไปยังกระทรวงและกรมต่างๆ โครงการสำคัญอย่าง OFOS (One family one soft power) มีเป้าหมายอบรมคนไทยให้ได้ 20 ล้านคนภายใน 4 ปี แต่พบว่า 2 ปีที่ผ่านมามีผู้อบรมเพียง 20,355 คน และโครงการ OFOS อาหาร ตั้งเป้าหมาย 10,000 คน แต่มีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมเพียง 1,300 คน ส่วนในปี 2569 ได้ของบประมาณอีก 3,900 ล้านบาท แต่หลังจาก น.ส.แพทองธารพ้นตำแหน่ง ทำให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์สิ้นสภาพไปด้วย แต่งบฯ ยังคงกระจายไปหน่วยงานอื่น ตนในฐานะ สส. จะติดตามตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณก้อนนี้ต่อไป

    #Newskit
    ชำแหละซอฟต์พาวเวอร์ รัฐบาลอุ๊งอิ๊งผลาญ 8 พันล้าน! เมื่อวันก่อนแพลตฟอร์ม X บัญชี @thaccaofficial ของสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ หรือทักก้า (THACCA) ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ยังไม่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เนื่องจากกฎหมายยังไม่ผ่าน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "จริงๆ มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะระบาย ไหนๆ ก็ใกล้จะลากันแล้ว จำได้ไหมปีแรกๆ ที่เรา THACCA โดนด่าว่า ซอฟต์เพาเวอร์ 5,000 ล้านๆ โดนล้อ โดนด่ามาตลอด รู้ไหมจริงๆ งบปี 67 เราไม่ได้เงินสักบาทเลย เราเลยต้องมาของบกลาง แต่ก็โดนตัดแล้วตัดอีกจนเหลือ 635 ล้านบาท แค่ 12% จากที่เขาด่าเราเท่านั้น แต่เราก็พยายามทำงานเท่าที่เราได้งบมาให้ดีที่สุด มากที่สุด แล้วก็คุ้มที่สุด กับทุกอุตสาหกรรม ถ้าเราได้งบ 5,000 ล้านจริงตามที่เขาด่าเรา ตอนนี้ผลงานเราคงเยอะกว่านี้อีกหลายเท่าตัว" ปรากฎว่าถูกตั้งคำถามจากสังคมถึงนโยบายเรือธงของรัฐบาลแพทองธารว่า มีอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง นอกจากการจัดอีเวนต์ ทำไมไม่ผ่านกฎหมายทักก้า 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำอะไรอยู่ ขณะเดียวกัน นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แฉว่าแม้จะได้งบประมาณจากงบกลาง 635 ล้านบาท แต่ก็ไปของบจัดมหาสงกรานต์และอีเวนต์อีก ในปี 2567 ได้งบประมาณรวม 3,229.36 ล้านบาท ส่วนปี 2568 ได้งบประมาณไป 2,318.42 ล้านบาท บวกกับงบกลาง 1,336.72 ล้านบาท และงบที่ซ้ำในกระทรวงอื่นๆ 2,082.85 ล้านบาท เท่ากับ 5,737.99 ล้านบาท รวม 2 ปีใช้เงินไป 8,967.35 ล้านบาท หน่วยงานนี้ยังไม่มีเพราะไม่มีกฎหมายเข้าสภาฯ มีเพียงสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ดูแลประสานงานเท่านั้น ด้านนายอภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อดีตผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ (TCDC) ระบุเพิ่มเติมว่า THACCA ยังไม่ได้จัดตั้งเป็นหน่วยงานส่วนราชการ ไม่มีงบประมาณเป็นของตัวเอง ไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นการกระจายงบประมาณไปยังกระทรวงและกรมต่างๆ โครงการสำคัญอย่าง OFOS (One family one soft power) มีเป้าหมายอบรมคนไทยให้ได้ 20 ล้านคนภายใน 4 ปี แต่พบว่า 2 ปีที่ผ่านมามีผู้อบรมเพียง 20,355 คน และโครงการ OFOS อาหาร ตั้งเป้าหมาย 10,000 คน แต่มีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมเพียง 1,300 คน ส่วนในปี 2569 ได้ของบประมาณอีก 3,900 ล้านบาท แต่หลังจาก น.ส.แพทองธารพ้นตำแหน่ง ทำให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์สิ้นสภาพไปด้วย แต่งบฯ ยังคงกระจายไปหน่วยงานอื่น ตนในฐานะ สส. จะติดตามตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณก้อนนี้ต่อไป #Newskit
    Like
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Mini SSD ขนาดเท่าเหรียญแต่เร็วทะลุ 3,700MB/s — Biwin อาจเปลี่ยนโลกการ์ดความจำ หากยื่นขอมาตรฐานทันเวลา”

    Biwin ผู้ผลิตหน่วยความจำจากจีนเปิดตัว “Mini SSD” ที่มีขนาดเล็กกว่าเหรียญ 1 บาท แต่ให้ความจุสูงถึง 2TB และความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 3,700MB/s ซึ่งเหนือกว่าการ์ด MicroSD Express ที่เร็วสุดเพียง 985MB/s โดยใช้การเชื่อมต่อแบบ PCIe Gen4 x2 และเทคโนโลยี NVMe 1.4 ทำให้ Mini SSD เข้าใกล้ประสิทธิภาพของ SD Express ที่ใหญ่กว่าหลายเท่า

    ตัว Mini SSD มีขนาดเพียง 15 x 17 x 1.4 มม. และสามารถถอดเปลี่ยนได้เหมือนซิมการ์ด ด้วยถาดแบบ eject tray พร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 และทนต่อแรงกระแทกจากการตกสูงถึง 3 เมตร เหมาะกับอุปกรณ์พกพา เช่น แท็บเล็ต กล้อง และเกมคอนโซลแบบ handheld ซึ่งมีผู้ผลิตบางรายเริ่มนำไปใช้แล้ว เช่น GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X

    อย่างไรก็ตาม แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ Mini SSD ยังไม่มีการยื่นขอรับรองจากองค์กรมาตรฐานอย่าง SDA (Secure Digital Association) หรือ PCI-SIG ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานการ์ดความจำและการเชื่อมต่อ หาก Biwin ไม่ดำเนินการในจุดนี้ Mini SSD อาจกลายเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถใช้งานได้อย่างแพร่หลายเหมือน MicroSD ที่เคยประสบความสำเร็จจากการยื่นขอมาตรฐานตั้งแต่ปี 2005

    จุดเด่นของ Mini SSD จาก Biwin
    ขนาดเล็กมาก: 15 x 17 x 1.4 มม. — เล็กกว่าเหรียญ US penny
    ความจุสูงถึง 2TB และความเร็วอ่าน/เขียน 3,700MB/s / 3,400MB/s
    ใช้ PCIe Gen4 x2 และ NVMe 1.4 — ใกล้เคียง SD Express
    ถอดเปลี่ยนได้แบบถาดซิม พร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่น IP68

    การใช้งานและการนำไปใช้
    เหมาะกับอุปกรณ์พกพา เช่น แท็บเล็ต กล้อง และเกมคอนโซล
    มีผู้ผลิตเริ่มนำไปใช้แล้ว เช่น GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X
    ทนต่อแรงกระแทกจากการตกสูงถึง 3 เมตร — เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง
    รองรับการใช้งานในระบบ edge computing และ NAS ขนาดเล็ก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MicroSD Express มีความเร็วสูงสุดเพียง 985MB/s — ต่ำกว่า Mini SSD เกือบ 4 เท่า
    SD Express มีความเร็วใกล้เคียง Mini SSD แต่มีขนาดใหญ่กว่า
    การยื่นขอมาตรฐานกับ SDA หรือ PCI-SIG จะเปิดทางให้ผู้ผลิตรายอื่นนำไปใช้
    เทคโนโลยี LGA packaging ช่วยให้ Mini SSD มีความทนทานและประสิทธิภาพสูง

    https://www.techradar.com/pro/the-smallest-ssd-ever-could-replace-universal-microsd-memory-cards-permanently-if-its-inventor-does-one-thing
    📦 “Mini SSD ขนาดเท่าเหรียญแต่เร็วทะลุ 3,700MB/s — Biwin อาจเปลี่ยนโลกการ์ดความจำ หากยื่นขอมาตรฐานทันเวลา” Biwin ผู้ผลิตหน่วยความจำจากจีนเปิดตัว “Mini SSD” ที่มีขนาดเล็กกว่าเหรียญ 1 บาท แต่ให้ความจุสูงถึง 2TB และความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 3,700MB/s ซึ่งเหนือกว่าการ์ด MicroSD Express ที่เร็วสุดเพียง 985MB/s โดยใช้การเชื่อมต่อแบบ PCIe Gen4 x2 และเทคโนโลยี NVMe 1.4 ทำให้ Mini SSD เข้าใกล้ประสิทธิภาพของ SD Express ที่ใหญ่กว่าหลายเท่า ตัว Mini SSD มีขนาดเพียง 15 x 17 x 1.4 มม. และสามารถถอดเปลี่ยนได้เหมือนซิมการ์ด ด้วยถาดแบบ eject tray พร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 และทนต่อแรงกระแทกจากการตกสูงถึง 3 เมตร เหมาะกับอุปกรณ์พกพา เช่น แท็บเล็ต กล้อง และเกมคอนโซลแบบ handheld ซึ่งมีผู้ผลิตบางรายเริ่มนำไปใช้แล้ว เช่น GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X อย่างไรก็ตาม แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ Mini SSD ยังไม่มีการยื่นขอรับรองจากองค์กรมาตรฐานอย่าง SDA (Secure Digital Association) หรือ PCI-SIG ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานการ์ดความจำและการเชื่อมต่อ หาก Biwin ไม่ดำเนินการในจุดนี้ Mini SSD อาจกลายเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถใช้งานได้อย่างแพร่หลายเหมือน MicroSD ที่เคยประสบความสำเร็จจากการยื่นขอมาตรฐานตั้งแต่ปี 2005 ✅ จุดเด่นของ Mini SSD จาก Biwin ➡️ ขนาดเล็กมาก: 15 x 17 x 1.4 มม. — เล็กกว่าเหรียญ US penny ➡️ ความจุสูงถึง 2TB และความเร็วอ่าน/เขียน 3,700MB/s / 3,400MB/s ➡️ ใช้ PCIe Gen4 x2 และ NVMe 1.4 — ใกล้เคียง SD Express ➡️ ถอดเปลี่ยนได้แบบถาดซิม พร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่น IP68 ✅ การใช้งานและการนำไปใช้ ➡️ เหมาะกับอุปกรณ์พกพา เช่น แท็บเล็ต กล้อง และเกมคอนโซล ➡️ มีผู้ผลิตเริ่มนำไปใช้แล้ว เช่น GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X ➡️ ทนต่อแรงกระแทกจากการตกสูงถึง 3 เมตร — เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง ➡️ รองรับการใช้งานในระบบ edge computing และ NAS ขนาดเล็ก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MicroSD Express มีความเร็วสูงสุดเพียง 985MB/s — ต่ำกว่า Mini SSD เกือบ 4 เท่า ➡️ SD Express มีความเร็วใกล้เคียง Mini SSD แต่มีขนาดใหญ่กว่า ➡️ การยื่นขอมาตรฐานกับ SDA หรือ PCI-SIG จะเปิดทางให้ผู้ผลิตรายอื่นนำไปใช้ ➡️ เทคโนโลยี LGA packaging ช่วยให้ Mini SSD มีความทนทานและประสิทธิภาพสูง https://www.techradar.com/pro/the-smallest-ssd-ever-could-replace-universal-microsd-memory-cards-permanently-if-its-inventor-does-one-thing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • “โซเชียลมีเดียไม่ได้แค่แบ่งขั้วการเมือง — แต่มันกำลังเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจทางการเมืองผ่าน ‘การสุดโต่งของชนชั้นนำ’”

    บทความโดย Nathan Witkin ใน Arachne Magazine ได้โต้แย้งแนวคิดของนักปรัชญา Dan Williams ที่มองว่า “โซเชียลมีเดียไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด” โดย Witkin เสนอว่า แม้หลักฐานเรื่อง “การแบ่งขั้วทางอารมณ์” (affective polarization) จะยังไม่ชัดเจน แต่ผลกระทบทางการเมืองจากโซเชียลมีเดียกลับรุนแรงและลึกซึ้งกว่าที่หลายคนเข้าใจ

    Witkin เสนอทฤษฎีใหม่ชื่อ “การสุดโต่งของชนชั้นนำ” (Elite Radicalization Theory) ซึ่งชี้ว่าโซเชียลมีเดียไม่ได้ทำให้คนทั่วไปแบ่งขั้วกันมากขึ้นโดยตรง แต่กลับส่งเสริมให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมือง — ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักข่าว หรืออินฟลูเอนเซอร์ — ผลิตเนื้อหาที่รุนแรง อารมณ์จัด และแบ่งขั้ว เพื่อเรียกความสนใจและรายได้จากแพลตฟอร์มที่ให้รางวัลกับ engagement

    ผลคือ คนทั่วไปที่เสพเนื้อหาเหล่านี้เริ่มมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสังคมรอบตัว เช่น คิดว่าคนอื่นสุดโต่งกว่าความเป็นจริง และอาจเริ่มแสดงออกทางการเมืองที่รุนแรงขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง การก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชัง หรือการเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกตั้ง

    งานวิจัยหลายชิ้นจากยุโรปและรัสเซียพบว่า การเข้าถึงโซเชียลมีเดียในระดับเมืองสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของความรุนแรง การเลือกพรรคประชานิยม และการลดความไว้วางใจในสถาบันต่าง ๆ ซึ่ง Witkin มองว่าเป็นผลกระทบที่ “หลุดกรอบ” จากการวัดแบบเดิม เช่น affective polarization

    นอกจากนี้ เขายังชี้ว่าโซเชียลมีเดียอาจทำให้คนจำนวนมากเลิกยึดโยงกับพรรคการเมืองหลัก และหันไปเป็น “อิสระ” มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้การวัดความแบ่งขั้วแบบเดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    Witkin เสนอว่าโซเชียลมีเดียส่งผลร้ายต่อการเมืองผ่านการสุดโต่งของชนชั้นนำ
    อินฟลูเอนเซอร์ทางการเมืองผลิตเนื้อหาที่รุนแรงเพื่อเรียก engagement
    คนทั่วไปเสพเนื้อหาเหล่านี้และเข้าใจผิดว่าคนอื่นสุดโต่งกว่าความจริง
    ผลคือเกิดพฤติกรรมทางการเมืองที่รุนแรง เช่น การประท้วงและ hate crime

    งานวิจัยที่สนับสนุนทฤษฎี
    การเข้าถึงโซเชียลมีเดียสัมพันธ์กับการเลือกพรรคประชานิยมในยุโรป
    เมืองที่ใช้ VK ในรัสเซียมีอัตรา hate crime และการประท้วงสูงขึ้น
    การทดลองให้ unfollow อินฟลูเอนเซอร์สุดโต่งช่วยลดความเกลียดชังทางการเมือง
    โซเชียลมีเดียกระตุ้นการแสดงออกทางอารมณ์ เช่น ความโกรธ ความกลัว และความขยะแขยง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โซเชียลมีเดียให้รางวัลกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์มากกว่าเนื้อหากลาง ๆ
    คนที่โพสต์การเมืองบ่อยมักเป็นกลุ่มสุดโต่ง ซึ่งไม่สะท้อนประชากรส่วนใหญ่
    ความเข้าใจผิดนี้อาจกลายเป็น “คำทำนายที่ทำให้เกิดจริง” เมื่อคนเริ่มสุดโต่งตาม
    จำนวนคนที่ระบุว่าเป็น “อิสระ” ทางการเมืองในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นหลังปี 2010

    https://arachnemag.substack.com/p/the-case-against-social-media-is
    📱 “โซเชียลมีเดียไม่ได้แค่แบ่งขั้วการเมือง — แต่มันกำลังเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจทางการเมืองผ่าน ‘การสุดโต่งของชนชั้นนำ’” บทความโดย Nathan Witkin ใน Arachne Magazine ได้โต้แย้งแนวคิดของนักปรัชญา Dan Williams ที่มองว่า “โซเชียลมีเดียไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด” โดย Witkin เสนอว่า แม้หลักฐานเรื่อง “การแบ่งขั้วทางอารมณ์” (affective polarization) จะยังไม่ชัดเจน แต่ผลกระทบทางการเมืองจากโซเชียลมีเดียกลับรุนแรงและลึกซึ้งกว่าที่หลายคนเข้าใจ Witkin เสนอทฤษฎีใหม่ชื่อ “การสุดโต่งของชนชั้นนำ” (Elite Radicalization Theory) ซึ่งชี้ว่าโซเชียลมีเดียไม่ได้ทำให้คนทั่วไปแบ่งขั้วกันมากขึ้นโดยตรง แต่กลับส่งเสริมให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมือง — ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักข่าว หรืออินฟลูเอนเซอร์ — ผลิตเนื้อหาที่รุนแรง อารมณ์จัด และแบ่งขั้ว เพื่อเรียกความสนใจและรายได้จากแพลตฟอร์มที่ให้รางวัลกับ engagement ผลคือ คนทั่วไปที่เสพเนื้อหาเหล่านี้เริ่มมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสังคมรอบตัว เช่น คิดว่าคนอื่นสุดโต่งกว่าความเป็นจริง และอาจเริ่มแสดงออกทางการเมืองที่รุนแรงขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง การก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชัง หรือการเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกตั้ง งานวิจัยหลายชิ้นจากยุโรปและรัสเซียพบว่า การเข้าถึงโซเชียลมีเดียในระดับเมืองสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของความรุนแรง การเลือกพรรคประชานิยม และการลดความไว้วางใจในสถาบันต่าง ๆ ซึ่ง Witkin มองว่าเป็นผลกระทบที่ “หลุดกรอบ” จากการวัดแบบเดิม เช่น affective polarization นอกจากนี้ เขายังชี้ว่าโซเชียลมีเดียอาจทำให้คนจำนวนมากเลิกยึดโยงกับพรรคการเมืองหลัก และหันไปเป็น “อิสระ” มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้การวัดความแบ่งขั้วแบบเดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ Witkin เสนอว่าโซเชียลมีเดียส่งผลร้ายต่อการเมืองผ่านการสุดโต่งของชนชั้นนำ ➡️ อินฟลูเอนเซอร์ทางการเมืองผลิตเนื้อหาที่รุนแรงเพื่อเรียก engagement ➡️ คนทั่วไปเสพเนื้อหาเหล่านี้และเข้าใจผิดว่าคนอื่นสุดโต่งกว่าความจริง ➡️ ผลคือเกิดพฤติกรรมทางการเมืองที่รุนแรง เช่น การประท้วงและ hate crime ✅ งานวิจัยที่สนับสนุนทฤษฎี ➡️ การเข้าถึงโซเชียลมีเดียสัมพันธ์กับการเลือกพรรคประชานิยมในยุโรป ➡️ เมืองที่ใช้ VK ในรัสเซียมีอัตรา hate crime และการประท้วงสูงขึ้น ➡️ การทดลองให้ unfollow อินฟลูเอนเซอร์สุดโต่งช่วยลดความเกลียดชังทางการเมือง ➡️ โซเชียลมีเดียกระตุ้นการแสดงออกทางอารมณ์ เช่น ความโกรธ ความกลัว และความขยะแขยง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โซเชียลมีเดียให้รางวัลกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์มากกว่าเนื้อหากลาง ๆ ➡️ คนที่โพสต์การเมืองบ่อยมักเป็นกลุ่มสุดโต่ง ซึ่งไม่สะท้อนประชากรส่วนใหญ่ ➡️ ความเข้าใจผิดนี้อาจกลายเป็น “คำทำนายที่ทำให้เกิดจริง” เมื่อคนเริ่มสุดโต่งตาม ➡️ จำนวนคนที่ระบุว่าเป็น “อิสระ” ทางการเมืองในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นหลังปี 2010 https://arachnemag.substack.com/p/the-case-against-social-media-is
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟอกเงินแน่นอน,สะสมอาวุธแน่นอน,เปลี่ยนเงินดำเป็นเงินขาวจากนั้นไปซื้ออาวุธญี่ปุ่น เกาหลีใต้ทางลับ ซื้ออาวุธอาหรับลูกน้องอเมริกาทางลับเครือข่ายบิลลาเดนที่ซ่อนตัวในเขมรอีก,อย่าลืมว่าISหนีตายมาอาเชียนเราไม่น้อย1ในนั้นคือเขมรซึ่งฮุนเซนคือฮับอาชญากรโลกอยู่แล้ว,ขี้ข้าciaต่างจากมุสลิมฝั่งศัตรูอเมริกาแน่นอนเพราะอเมริกาฝ่ายมืดเลี้ยงพวกนี้ไว้ใช้งานนั้นเอง เขมรก็ถูกเลี้ยงเพื่อให้ทำเงินสายดำส่งให้เครือข่ายตาอเมริกานี้ล่ะ อเมริกาแกล้งว่าอายัดตังเขมรกว่าแสนล้านเหรียญก็บอกใบ้ว่ากูได้รับตังมรึงเขมรแล้วนะ,ออสเตรเลียก็ด้วยธรรมดาที่ไหนยาเสพติดตรึมค้าอวัยวะค้ามนุษย์ก็ชาติตัวพ่อเอาลงไปแดกใต้ดินใต้อุโมงค์ออสเตรเลียด้วย ประเทศนี้คนหายเป็นว่าเล่นเพราะดึงตัวคนลงไปแดกนั้นเอง.,เขมรคือฮับเชื่อมต่อไม่แพ้พม่ายุคอ่องชานตัวแม่,จากนั้นเพื่อบรรลุเป้าหมายนายใหญ่ฝรั่งยุโรปอเมริกสั่งมาต้องเอาบ่อน้ำมันและที่ดินไทยมาให้ได้ ทองคำแร่เอิร์ธเต็มภูเขาไทย รวมสาระพัดอาจตังกว่า100ล้านล้านบาทกันเลยจากปิดตัวเลขแค่10-20ล้านล้านบาท,ญี่ปุ่นจึงออกตัวแรงผ่านนอมินีนักลงทุนญี่ปุ่นบังหน้า,จากมุกมาเลย์อเมริกาหยุดยิงแทรกแซงไม่ได้ ไทยเล่นมุกปิดด่านเขมรอาจแพ้ ญี่ปุ่นจงรีบกระโดดไปช่วยเขมรเปิดด่านต่ออายุฮุนเซนให้ได้,จะได้ใช้ฮุนเซนยึดกิจการจีนท่าเรือเรียมจีนเลย,จะไปเสียเวลากับสมรังสีไม่ได้ เอาเดี๋ยวนี้ก่อน,ญี่ปุ่นจึงเป็นตัวเลือกรองสุดท้ายเปิดหน้า,ใครเชียร์ญี่ปุ่นว่าไปเข้าใจปิดญี่ปุ่นคือกากมาก ญี่ปุ่นอเมริกาฝรั่งเศสคือเดอะแก๊งตาอีลิทอเมริกายิวหมดพวกเดียวกันตัวพ่อพิมพ์ตังใช้เองแบบอเมริกาโน้นมีทองคำค้ำห่าเหวจริงอะไร,มันมาเอาเงินบาทที่มีทองคำค้ำประกันแลกตังกระดาษมัน มันคุ้มจะตาย,
    ..ญี่ปุ่นขี้โกงตั้งแต่ผูกขาดห้ามไทยสร้างรถยนต์เองได้แล้วโดยข้าราชการเลวและนักการเมืองชั่วในอดีตไปลงนามห้ามคนไทยผ่านกฎหมายกดคนไทยห้ามสร้างรถยนต์ประดิษฐ์รถยนต์แข่งญี่ปุ่นได้,ข้าราชการไทยโง่บวกนักการเมืองทั้งโง่และขายชาติทรยศคนไทยด้วยไม่บังคับญี่ปุ่นถ้าจะลงทุนในไทยต้องถ่ายทอดนวัตกรรมเทคโนโลยีผลิตรถยนต์ด้วยและอิสระให้คนไทยคิค้นสร้างสรรค์ประดิษฐ์สร้างทำรถยนต์ได้,
    ..ญี่ปุ่นเอาเปรียบประเทศมาโดยตลอดผ่านวิถีปกครองที่นักการเมืองคตโกง,สมุนไพรไทยมากมายก็แอบไปจดลิขสิทธิ์เองจากไทย,ตั้งโรงงานในไทยทำสาระพัดเอาเปรียบคนไทยพืชพันธ์มากมายมันตู่ว่าเป็นของมันโน้นกูจดสิทธิหมดแล้วมันว่า,และอื่นๆตรึมที่ลูกพี่มันไม่ทำ กากเดนที่เหลือแดกแบบบ่อน้ำมันทั่วไทย บ่อทองคำตาออสเตรเลียลูกน้องอเมริกาก็มาผูกขาดบ่อทองคำหาแดกบนแผ่นดินไทยจนคนไทยยากจนเป็นอันมากไม่ต่างจากแอฟริกาหรอก,
    ..เอเชียเราจึงมาร่วมสามัคคีกันกำจัดขี้ข้าอเมริกาฝรั่งยุโรปนี้กันจริงๆจังๆ อย่าให้พวกมันฝรั่งและลูกน้องมันแบบญี่ปุ่น ออสเตรเลียใช้เป็นฐานมากอบโกยคนเอเชียชาติอาเชียนแบบเราอีกเลยต้องกำจัดถีบออกจากเอเชียเราทั้งหมด,ประเทศไหนทำลายได้ต้องทำลายเลย,แบบเขมรทำลายสิ้นชาติก็ต้องทำลาย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย มาเลย์ สิงคโปร์ หากมาเอาเปรียบชาติอาเชียนเอเชียปกติอีกก็สมควรถูกทำลาย ทำงานให้ฝรั่งยุโรปอเมริกา ใช้ไม่ได้,โดยไทยเราด้วยทหารพระราชาเราต้องกำจัดนักการเมืองระบบการปกครองฝรั่งนี้ให้สิ้นซากก่อน มีมาตลอดทศวรรษเหี้ยทรัพยากรแบบบ่อน้ำมันหาใช่เป็นของคนไทยแผ่นดินไทย มันบีบบังคับผ่านระบบส่งออกการปกครองมันเอาทรัพยากรไทยเราไปเกือบหมดแผ่นดินไทย,ทหารไทยต้องตัดสินใจใหม่ทั้งหมด กำจัดทหารเลวนอกแถวก็ต้องกำจัดศัตรูภายในเรานี้ทิ้งให้สิ้นซาก ทำลายเพื่อเกิดใหม่.,ยุคใหม่คนไทยเราจะสร้างร่วมกันเองกับทหารไทยพระราชาเรา.

    https://youtube.com/watch?v=Jixc2JITJJk&si=Vdi8LQdZ1g0Oa37H
    ฟอกเงินแน่นอน,สะสมอาวุธแน่นอน,เปลี่ยนเงินดำเป็นเงินขาวจากนั้นไปซื้ออาวุธญี่ปุ่น เกาหลีใต้ทางลับ ซื้ออาวุธอาหรับลูกน้องอเมริกาทางลับเครือข่ายบิลลาเดนที่ซ่อนตัวในเขมรอีก,อย่าลืมว่าISหนีตายมาอาเชียนเราไม่น้อย1ในนั้นคือเขมรซึ่งฮุนเซนคือฮับอาชญากรโลกอยู่แล้ว,ขี้ข้าciaต่างจากมุสลิมฝั่งศัตรูอเมริกาแน่นอนเพราะอเมริกาฝ่ายมืดเลี้ยงพวกนี้ไว้ใช้งานนั้นเอง เขมรก็ถูกเลี้ยงเพื่อให้ทำเงินสายดำส่งให้เครือข่ายตาอเมริกานี้ล่ะ อเมริกาแกล้งว่าอายัดตังเขมรกว่าแสนล้านเหรียญก็บอกใบ้ว่ากูได้รับตังมรึงเขมรแล้วนะ,ออสเตรเลียก็ด้วยธรรมดาที่ไหนยาเสพติดตรึมค้าอวัยวะค้ามนุษย์ก็ชาติตัวพ่อเอาลงไปแดกใต้ดินใต้อุโมงค์ออสเตรเลียด้วย ประเทศนี้คนหายเป็นว่าเล่นเพราะดึงตัวคนลงไปแดกนั้นเอง.,เขมรคือฮับเชื่อมต่อไม่แพ้พม่ายุคอ่องชานตัวแม่,จากนั้นเพื่อบรรลุเป้าหมายนายใหญ่ฝรั่งยุโรปอเมริกสั่งมาต้องเอาบ่อน้ำมันและที่ดินไทยมาให้ได้ ทองคำแร่เอิร์ธเต็มภูเขาไทย รวมสาระพัดอาจตังกว่า100ล้านล้านบาทกันเลยจากปิดตัวเลขแค่10-20ล้านล้านบาท,ญี่ปุ่นจึงออกตัวแรงผ่านนอมินีนักลงทุนญี่ปุ่นบังหน้า,จากมุกมาเลย์อเมริกาหยุดยิงแทรกแซงไม่ได้ ไทยเล่นมุกปิดด่านเขมรอาจแพ้ ญี่ปุ่นจงรีบกระโดดไปช่วยเขมรเปิดด่านต่ออายุฮุนเซนให้ได้,จะได้ใช้ฮุนเซนยึดกิจการจีนท่าเรือเรียมจีนเลย,จะไปเสียเวลากับสมรังสีไม่ได้ เอาเดี๋ยวนี้ก่อน,ญี่ปุ่นจึงเป็นตัวเลือกรองสุดท้ายเปิดหน้า,ใครเชียร์ญี่ปุ่นว่าไปเข้าใจปิดญี่ปุ่นคือกากมาก ญี่ปุ่นอเมริกาฝรั่งเศสคือเดอะแก๊งตาอีลิทอเมริกายิวหมดพวกเดียวกันตัวพ่อพิมพ์ตังใช้เองแบบอเมริกาโน้นมีทองคำค้ำห่าเหวจริงอะไร,มันมาเอาเงินบาทที่มีทองคำค้ำประกันแลกตังกระดาษมัน มันคุ้มจะตาย, ..ญี่ปุ่นขี้โกงตั้งแต่ผูกขาดห้ามไทยสร้างรถยนต์เองได้แล้วโดยข้าราชการเลวและนักการเมืองชั่วในอดีตไปลงนามห้ามคนไทยผ่านกฎหมายกดคนไทยห้ามสร้างรถยนต์ประดิษฐ์รถยนต์แข่งญี่ปุ่นได้,ข้าราชการไทยโง่บวกนักการเมืองทั้งโง่และขายชาติทรยศคนไทยด้วยไม่บังคับญี่ปุ่นถ้าจะลงทุนในไทยต้องถ่ายทอดนวัตกรรมเทคโนโลยีผลิตรถยนต์ด้วยและอิสระให้คนไทยคิค้นสร้างสรรค์ประดิษฐ์สร้างทำรถยนต์ได้, ..ญี่ปุ่นเอาเปรียบประเทศมาโดยตลอดผ่านวิถีปกครองที่นักการเมืองคตโกง,สมุนไพรไทยมากมายก็แอบไปจดลิขสิทธิ์เองจากไทย,ตั้งโรงงานในไทยทำสาระพัดเอาเปรียบคนไทยพืชพันธ์มากมายมันตู่ว่าเป็นของมันโน้นกูจดสิทธิหมดแล้วมันว่า,และอื่นๆตรึมที่ลูกพี่มันไม่ทำ กากเดนที่เหลือแดกแบบบ่อน้ำมันทั่วไทย บ่อทองคำตาออสเตรเลียลูกน้องอเมริกาก็มาผูกขาดบ่อทองคำหาแดกบนแผ่นดินไทยจนคนไทยยากจนเป็นอันมากไม่ต่างจากแอฟริกาหรอก, ..เอเชียเราจึงมาร่วมสามัคคีกันกำจัดขี้ข้าอเมริกาฝรั่งยุโรปนี้กันจริงๆจังๆ อย่าให้พวกมันฝรั่งและลูกน้องมันแบบญี่ปุ่น ออสเตรเลียใช้เป็นฐานมากอบโกยคนเอเชียชาติอาเชียนแบบเราอีกเลยต้องกำจัดถีบออกจากเอเชียเราทั้งหมด,ประเทศไหนทำลายได้ต้องทำลายเลย,แบบเขมรทำลายสิ้นชาติก็ต้องทำลาย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย มาเลย์ สิงคโปร์ หากมาเอาเปรียบชาติอาเชียนเอเชียปกติอีกก็สมควรถูกทำลาย ทำงานให้ฝรั่งยุโรปอเมริกา ใช้ไม่ได้,โดยไทยเราด้วยทหารพระราชาเราต้องกำจัดนักการเมืองระบบการปกครองฝรั่งนี้ให้สิ้นซากก่อน มีมาตลอดทศวรรษเหี้ยทรัพยากรแบบบ่อน้ำมันหาใช่เป็นของคนไทยแผ่นดินไทย มันบีบบังคับผ่านระบบส่งออกการปกครองมันเอาทรัพยากรไทยเราไปเกือบหมดแผ่นดินไทย,ทหารไทยต้องตัดสินใจใหม่ทั้งหมด กำจัดทหารเลวนอกแถวก็ต้องกำจัดศัตรูภายในเรานี้ทิ้งให้สิ้นซาก ทำลายเพื่อเกิดใหม่.,ยุคใหม่คนไทยเราจะสร้างร่วมกันเองกับทหารไทยพระราชาเรา. https://youtube.com/watch?v=Jixc2JITJJk&si=Vdi8LQdZ1g0Oa37H
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 12 – ชีวิตในคอก (ตอนจบ)
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 12 : ชีวิตในคอก (ตอนจบ)
    แล้วเขาสร้าง engineering consent นี้กันอย่างไร จะสร้างคอกล้อมคนยาวไปทั่วโลก มันต้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม คอกมันจะได้มั่นคง เดี๋ยวจะแหกกันง่ายๆ
    ประมาณปี ค.ศ.1889 ตระกูล Rockefeller ได้ตั้งมหาวิทยาลัย Chicago ขึ้น โดยเจรจาให้นาย Federic T. Gates ซึ่งเป็นนักวิชาการ และเป็นสาธุคุณของ Baptist Church มาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย และคิดโครงการที่จะนำวิธีสร้างความเชื่อความศรัทธาที่ใช้ในการเผยแพร่ศาสนา มาปรับใช้ในการเผยแพร่กิจกรรมทางสังคม เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ พูดง่ายๆก็คือใช้วิธีที่หมอสอนศาสนาใช้ในการเผยแพร่ศาสนา เปลี่ยนเป็นเผยแพร่ลัทธิใหม่ของนักล่า ( CFR !?) การจัดระเบียบสังคมใหม่นั่นแหละ เฉียบแหลมจริงๆความคิดของพวกเขา
    ปี ค.ศ.1892 มหาวิทยาลัย Chicago ก็ตั้งแผนก Sociology Department สังคมวิทยาขึ้นเป็นแห่งแรกในโลก แผนกสังคมวิทยานี้ ได้สร้างนักส้งคมวิทยาที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับรุ่นแรกๆคือ George Horbert Mead และ W.I. Thomas ทั้งสองคนนี้เป็นบรมครูในการศึกษา วิธี ควบคุมสังคม Social Control นอกจากนี้มหาวิทยาลัย Chicago ยังออกวารสาร The American Journal of Sociology ในช่วงปี ค.ศ.1915-1940 แผนกสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัยนี้โดดเด่นมาก ได้ผลิตหลักสูตร แนวความคิดเกี่ยวกับการศึกษาและควบคุมพฤติกรรมสังคมอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับและใช้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ถือเป็นตัวจักรสำคัญที่สุดในการสร้างคอกล้อมความคิดและพฤติกรรมสังคม
    ระหว่างที่มหาวิทยาลัย Chicago เดินหน้าขยายหลักสูตรในแผนกสังคมวิทยา มูลนิธิ Rockefeller ก็ให้เงินทุนสนับสนุนแก่มหาวิทยาลัย Yale เพื่อตั้ง Yale Institute of Human Relations (HR) ประมาณปี ค.ศ.1929 เพื่อสร้างหลักสูตรต่อเนื่องในการดูแลสังคม เพื่อให้สังคมเข้าใจในสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคม ( การจัดระเบียบโลกใหม่ การเปลี่ยนตัวเองจากสังคมแบบสันโดษของอเมริกา เป็นสังคมโลก ) ว่ามันเป็นอย่างไร นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศและคนอเมริกันและประชาคมโลกขนาดไหน
    แม้จะคิดหลักสูตรการศึกษาใหม่ๆ สร้างตำรา พิมพ์หนังสือ แจกสิ่งพิมพ์ แต่สิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เร็ว ถ้าไม่มีเครื่องมือสำคัญอีกอย่างมาช่วย มันต้องมีสื่อมีกระบอกเสียง ค.ศ.1930 Princeton Radio Project ก็เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิ Rockefeller (อย่างเคย !) เขาไปเอานาย Frank Stanton ซึ่งเดิมทำงานอยู่ในวงการโฆษณา มาทำการวิเคราะห์รายการวิทยุว่า คนชอบฟังวิทยุรายการใด เพราะอะไร และจะทำให้คนชอบรายการใด ได้อย่างไร (ทำให้นึกถึงการทำข่าวบ้านเราประเภทเล่าข่าว ที่ชาวโลกสวยติดใจนั่งฟังกันอ้าปากหวอ เชื่อฟังแบบต้องมนต์ ทำเอาหัวกลวงกันเป็นแถวๆ)
    หลังจากควบคุมสื่อทางวิทยุแล้ว พวกพี่เลี้ยงนักล่าก็เข้าไป ซื้อบริษัทสร้างหนังใหญ่ ในหนังสือ Money Behind the Screen ระบุว่า ประมาณปี ค.ศ.1930 บริษัทสร้างหนังใหญ่ๆสมัยนั้นเช่น Paramount, Warner, 20th Century Fox, MGM, United Artist, Universal, Columbia, และ R.K.O. ถูกถือหุ้นหรืออยู่ในอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่เช่น Rockefeller, Morgan รวมทั้ง Lehman Brother จากนั้นกลุ่มทุนใหญ่ๆ ก็เข้าไปครอบงำสื่อทางด้านสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์ต่อไป ประมาณปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา สื่อยักษ์ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ล้วนตกอยู่ในมือกลุ่มทุนใหญ่นี้เกือบทั้งหมด
    ด้วยการวางแผนทางด้านระบบการศึกษา การใช้กระบวนการย้อมความคิดของสังคม ผ่านมูลนิธิที่อ้างว่าทำเพื่อมนุษยชาติ การโฆษณาชวนเชื่อ การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การตลาด และใช้สื่อทุกรูปแบบ เพื่อสร้างให้เป็นจักรวรรดิอเมริกา นักล่าผู้ครองโลกรุ่นใหม่ เพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่โดยการ สร้างวงล้อมอุบาทว์ที่ใช้ระบบ และรูปแบบที่ดูเหมือนซับซ้อน หลอกให้เราเป็นเหยื่อ โดยการฟอกย้อมความคิดเรา ให้เราเห็นดีเห็นงามกับระบบและรูปแบบใหม่นั้น จนทำให้ทัศนคติของเราที่มีต่อ ความเชื่อในคุณธรรม คุณค่าของสังคม ความผูกพันต่อแผ่นดินเกิด ความภูมิใจในประเทศชาติและประวัติศาสตร์ชาติของตน การเห็นคุณค่าของสถาบันและศาสนา ฯลฯ หลายๆอย่างถูกบิดเบือนไปจนเกือบหมดสิ้น นี่ยังไม่นับรสนิยมความชอบด้านวัฒนธรรม และระดับของศีลธรรม ที่เปลี่ยนไปเพราะถูกฟอกย้อมความคิดนั้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้า น่าสลดใจอย่างยิ่ง
    อ่านนิทานมาถึงตรงนี้ คงตัดสินใจกันได้เอง ตกลงอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์โลกสวยที่เราจำเป็นต้องคอยจูบมือ ให้เขาตบหัวลูบหลัง สั่งให้ยิ้มให้กลิ้งตามใจเขา หรือเห็นเขาเป็นนักล่าโคตรเหี้ยมที่เราต้องทำความรู้จักกันให้ดี และระวังตัวรักษาบ้านรักษาเมืองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา หากยังตัดสินใจไม่ได้ ยังไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อเอาเลย ก็อย่าพึ่งโยนนิทานนี้ทิ้งไปจากสมอง ไปลองคิดต่อ ศึกษาต่อกันเองบ้าง บ้านเมืองนี้ก็ของเราทุกคน คนเล่านิทานทำหน้าที่พลเมืองอาสา ค้นคว้าหาเอกสารข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง เพียงหวังให้นำไปคิด ทำความเข้าใจ ช่วยให้บ้านเมืองเราหลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อ หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ มาช่วยกันแหกคอกเถอะครับ
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 12 – ชีวิตในคอก (ตอนจบ) นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 12 : ชีวิตในคอก (ตอนจบ) แล้วเขาสร้าง engineering consent นี้กันอย่างไร จะสร้างคอกล้อมคนยาวไปทั่วโลก มันต้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม คอกมันจะได้มั่นคง เดี๋ยวจะแหกกันง่ายๆ ประมาณปี ค.ศ.1889 ตระกูล Rockefeller ได้ตั้งมหาวิทยาลัย Chicago ขึ้น โดยเจรจาให้นาย Federic T. Gates ซึ่งเป็นนักวิชาการ และเป็นสาธุคุณของ Baptist Church มาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย และคิดโครงการที่จะนำวิธีสร้างความเชื่อความศรัทธาที่ใช้ในการเผยแพร่ศาสนา มาปรับใช้ในการเผยแพร่กิจกรรมทางสังคม เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ พูดง่ายๆก็คือใช้วิธีที่หมอสอนศาสนาใช้ในการเผยแพร่ศาสนา เปลี่ยนเป็นเผยแพร่ลัทธิใหม่ของนักล่า ( CFR !?) การจัดระเบียบสังคมใหม่นั่นแหละ เฉียบแหลมจริงๆความคิดของพวกเขา ปี ค.ศ.1892 มหาวิทยาลัย Chicago ก็ตั้งแผนก Sociology Department สังคมวิทยาขึ้นเป็นแห่งแรกในโลก แผนกสังคมวิทยานี้ ได้สร้างนักส้งคมวิทยาที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับรุ่นแรกๆคือ George Horbert Mead และ W.I. Thomas ทั้งสองคนนี้เป็นบรมครูในการศึกษา วิธี ควบคุมสังคม Social Control นอกจากนี้มหาวิทยาลัย Chicago ยังออกวารสาร The American Journal of Sociology ในช่วงปี ค.ศ.1915-1940 แผนกสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัยนี้โดดเด่นมาก ได้ผลิตหลักสูตร แนวความคิดเกี่ยวกับการศึกษาและควบคุมพฤติกรรมสังคมอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับและใช้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ถือเป็นตัวจักรสำคัญที่สุดในการสร้างคอกล้อมความคิดและพฤติกรรมสังคม ระหว่างที่มหาวิทยาลัย Chicago เดินหน้าขยายหลักสูตรในแผนกสังคมวิทยา มูลนิธิ Rockefeller ก็ให้เงินทุนสนับสนุนแก่มหาวิทยาลัย Yale เพื่อตั้ง Yale Institute of Human Relations (HR) ประมาณปี ค.ศ.1929 เพื่อสร้างหลักสูตรต่อเนื่องในการดูแลสังคม เพื่อให้สังคมเข้าใจในสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคม ( การจัดระเบียบโลกใหม่ การเปลี่ยนตัวเองจากสังคมแบบสันโดษของอเมริกา เป็นสังคมโลก ) ว่ามันเป็นอย่างไร นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศและคนอเมริกันและประชาคมโลกขนาดไหน แม้จะคิดหลักสูตรการศึกษาใหม่ๆ สร้างตำรา พิมพ์หนังสือ แจกสิ่งพิมพ์ แต่สิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เร็ว ถ้าไม่มีเครื่องมือสำคัญอีกอย่างมาช่วย มันต้องมีสื่อมีกระบอกเสียง ค.ศ.1930 Princeton Radio Project ก็เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิ Rockefeller (อย่างเคย !) เขาไปเอานาย Frank Stanton ซึ่งเดิมทำงานอยู่ในวงการโฆษณา มาทำการวิเคราะห์รายการวิทยุว่า คนชอบฟังวิทยุรายการใด เพราะอะไร และจะทำให้คนชอบรายการใด ได้อย่างไร (ทำให้นึกถึงการทำข่าวบ้านเราประเภทเล่าข่าว ที่ชาวโลกสวยติดใจนั่งฟังกันอ้าปากหวอ เชื่อฟังแบบต้องมนต์ ทำเอาหัวกลวงกันเป็นแถวๆ) หลังจากควบคุมสื่อทางวิทยุแล้ว พวกพี่เลี้ยงนักล่าก็เข้าไป ซื้อบริษัทสร้างหนังใหญ่ ในหนังสือ Money Behind the Screen ระบุว่า ประมาณปี ค.ศ.1930 บริษัทสร้างหนังใหญ่ๆสมัยนั้นเช่น Paramount, Warner, 20th Century Fox, MGM, United Artist, Universal, Columbia, และ R.K.O. ถูกถือหุ้นหรืออยู่ในอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่เช่น Rockefeller, Morgan รวมทั้ง Lehman Brother จากนั้นกลุ่มทุนใหญ่ๆ ก็เข้าไปครอบงำสื่อทางด้านสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์ต่อไป ประมาณปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา สื่อยักษ์ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ล้วนตกอยู่ในมือกลุ่มทุนใหญ่นี้เกือบทั้งหมด ด้วยการวางแผนทางด้านระบบการศึกษา การใช้กระบวนการย้อมความคิดของสังคม ผ่านมูลนิธิที่อ้างว่าทำเพื่อมนุษยชาติ การโฆษณาชวนเชื่อ การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การตลาด และใช้สื่อทุกรูปแบบ เพื่อสร้างให้เป็นจักรวรรดิอเมริกา นักล่าผู้ครองโลกรุ่นใหม่ เพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่โดยการ สร้างวงล้อมอุบาทว์ที่ใช้ระบบ และรูปแบบที่ดูเหมือนซับซ้อน หลอกให้เราเป็นเหยื่อ โดยการฟอกย้อมความคิดเรา ให้เราเห็นดีเห็นงามกับระบบและรูปแบบใหม่นั้น จนทำให้ทัศนคติของเราที่มีต่อ ความเชื่อในคุณธรรม คุณค่าของสังคม ความผูกพันต่อแผ่นดินเกิด ความภูมิใจในประเทศชาติและประวัติศาสตร์ชาติของตน การเห็นคุณค่าของสถาบันและศาสนา ฯลฯ หลายๆอย่างถูกบิดเบือนไปจนเกือบหมดสิ้น นี่ยังไม่นับรสนิยมความชอบด้านวัฒนธรรม และระดับของศีลธรรม ที่เปลี่ยนไปเพราะถูกฟอกย้อมความคิดนั้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้า น่าสลดใจอย่างยิ่ง อ่านนิทานมาถึงตรงนี้ คงตัดสินใจกันได้เอง ตกลงอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์โลกสวยที่เราจำเป็นต้องคอยจูบมือ ให้เขาตบหัวลูบหลัง สั่งให้ยิ้มให้กลิ้งตามใจเขา หรือเห็นเขาเป็นนักล่าโคตรเหี้ยมที่เราต้องทำความรู้จักกันให้ดี และระวังตัวรักษาบ้านรักษาเมืองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา หากยังตัดสินใจไม่ได้ ยังไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อเอาเลย ก็อย่าพึ่งโยนนิทานนี้ทิ้งไปจากสมอง ไปลองคิดต่อ ศึกษาต่อกันเองบ้าง บ้านเมืองนี้ก็ของเราทุกคน คนเล่านิทานทำหน้าที่พลเมืองอาสา ค้นคว้าหาเอกสารข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง เพียงหวังให้นำไปคิด ทำความเข้าใจ ช่วยให้บ้านเมืองเราหลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อ หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ มาช่วยกันแหกคอกเถอะครับ คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก “คลิกเพื่อดูรูปฟรี” ถึง “เราสร้างพื้นที่ของเราเอง”: เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครอยากอยู่

    ในยุคแรกของโซเชียลมีเดีย เราเข้ามาเพื่อดูรูปงานแต่งของเพื่อน, สุนัขของญาติ, หรือโพสต์ที่มีความหมายจากคนที่เรารู้จักจริง ๆ แต่วันนี้ ฟีดของเรากลับเต็มไปด้วยโพสต์ซ้ำ ๆ จากบอท, รูปโปรไฟล์ปลอม, และคลิป AI ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดคลิก ไม่ใช่เพื่อสื่อสาร

    AI ไม่ได้แค่สร้างเนื้อหา แต่ยังสร้าง “ตัวตน” ที่ดูเหมือนมนุษย์—สาวสวยที่ตอบกลับโพสต์ด้วยคำพูดหวาน ๆ พร้อมลิงก์ไปยัง OnlyFans หรือบริการคล้ายกัน ซึ่งบางครั้งเธอเป็นคนจริง บางครั้งเป็นบอท และบางครั้งเป็นผู้ชายในห้องทำงานที่เมียนมาร์

    ในขณะที่เนื้อหาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การมีส่วนร่วมกลับลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้ไม่ได้พูดคุยกันอีกต่อไป แต่แค่เลื่อนผ่านเนื้อหาที่ดูเหมือนภาษาแต่ไม่มีความหมาย ความจริงถูกแทนที่ด้วยความบันเทิงแบบไร้ราก และความสัมพันธ์ถูกแทนที่ด้วยการตลาดแบบอัลกอริธึม

    ผู้คนเริ่มหนีออกจากแพลตฟอร์มใหญ่ ไปสู่พื้นที่เล็ก ๆ ที่มีความตั้งใจ เช่น Discord, Substack, Patreon และกลุ่มแชตส่วนตัว ที่เน้นความสัมพันธ์มากกว่าการเติบโตแบบไวรัล

    แม้แต่ผู้สร้างเนื้อหาเองก็เริ่มเหนื่อยล้า เพราะต้องแข่งขันกับ AI ที่ไม่หลับไม่พัก และสามารถสร้างโพสต์ที่ “ดูดี” ได้ในไม่กี่วินาที หลายคนจึงเลือกหยุด หรือหันไปใช้ Dumbphone เพื่อหลีกหนีจากการเสพติดหน้าจอ

    การเปลี่ยนแปลงของเนื้อหาในโซเชียลมีเดีย
    เนื้อหาจริงจากมนุษย์ถูกลดความสำคัญลงโดยอัลกอริธึม
    บอทและ AI สร้างโพสต์ซ้ำ ๆ เพื่อดึงดูดคลิก
    ความแตกต่างระหว่างคนจริงกับบอทเริ่มเลือนลาง

    การเกิดขึ้นของ “เศรษฐกิจสาวบอท”
    บอทที่ดูเหมือนมนุษย์ใช้เพื่อดึงดูดผู้ชายเข้าสู่บริการแบบเสียเงิน
    ผู้สร้างเนื้อหาบางคนเริ่มทำตัวเหมือนอัลกอริธึมเพื่อรักษาการมีส่วนร่วม
    ความสัมพันธ์กลายเป็นธุรกรรมที่แลกเปลี่ยนความสนใจกับเงิน

    การลดลงของการมีส่วนร่วม
    อัตราการมีส่วนร่วมใน Facebook และ X เหลือเพียง 0.15% โดยเฉลี่ย
    Instagram ลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน
    ผู้ใช้เลื่อนฟีดแบบครึ่งรู้สึกครึ่งหลงลืม ไม่ได้มีเป้าหมายจริง

    การย้ายไปสู่พื้นที่ที่มีความตั้งใจ
    ผู้ใช้เริ่มหันไปใช้กลุ่มแชต, Discord, Substack และ Patreon
    พื้นที่เหล่านี้เน้นความสัมพันธ์และความไว้วางใจมากกว่าการเติบโต
    แพลตฟอร์มใหญ่เริ่มปรับตัว เช่น Instagram เน้น DMs, TikTok ทดลองกลุ่มส่วนตัว

    แนวคิดใหม่ในการออกแบบแพลตฟอร์ม
    เสนอให้เพิ่ม “friction” เช่น หน่วงเวลาโพสต์, แสดงเวลาที่ใช้ก่อนอัปโหลด
    แพลตฟอร์มอย่าง Are.na ไม่มีฟีดอัลกอริธึมหรือระบบ engagement
    การออกแบบเพื่อเจตนาแทนการเสพติด

    การผลักดันให้โซเชียลมีเดียเป็นสาธารณูปโภค
    เสนอให้มีการตรวจสอบอัลกอริธึมแบบโปร่งใส
    ให้ผู้ใช้เลือกอัลกอริธึมที่ต้องการ เช่น ฟีดตามเวลา, ฟีดจาก mutuals
    สร้างแพลตฟอร์มที่มี governance แบบประชาธิปไตย

    การส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัล
    เสนอให้สอน digital literacy ตั้งแต่เด็ก
    เน้นความเข้าใจอัลกอริธึมและการจัดการข้อมูลส่วนตัว
    สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน

    https://www.noemamag.com/the-last-days-of-social-media/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก “คลิกเพื่อดูรูปฟรี” ถึง “เราสร้างพื้นที่ของเราเอง”: เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครอยากอยู่ ในยุคแรกของโซเชียลมีเดีย เราเข้ามาเพื่อดูรูปงานแต่งของเพื่อน, สุนัขของญาติ, หรือโพสต์ที่มีความหมายจากคนที่เรารู้จักจริง ๆ แต่วันนี้ ฟีดของเรากลับเต็มไปด้วยโพสต์ซ้ำ ๆ จากบอท, รูปโปรไฟล์ปลอม, และคลิป AI ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดคลิก ไม่ใช่เพื่อสื่อสาร AI ไม่ได้แค่สร้างเนื้อหา แต่ยังสร้าง “ตัวตน” ที่ดูเหมือนมนุษย์—สาวสวยที่ตอบกลับโพสต์ด้วยคำพูดหวาน ๆ พร้อมลิงก์ไปยัง OnlyFans หรือบริการคล้ายกัน ซึ่งบางครั้งเธอเป็นคนจริง บางครั้งเป็นบอท และบางครั้งเป็นผู้ชายในห้องทำงานที่เมียนมาร์ ในขณะที่เนื้อหาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การมีส่วนร่วมกลับลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้ไม่ได้พูดคุยกันอีกต่อไป แต่แค่เลื่อนผ่านเนื้อหาที่ดูเหมือนภาษาแต่ไม่มีความหมาย ความจริงถูกแทนที่ด้วยความบันเทิงแบบไร้ราก และความสัมพันธ์ถูกแทนที่ด้วยการตลาดแบบอัลกอริธึม ผู้คนเริ่มหนีออกจากแพลตฟอร์มใหญ่ ไปสู่พื้นที่เล็ก ๆ ที่มีความตั้งใจ เช่น Discord, Substack, Patreon และกลุ่มแชตส่วนตัว ที่เน้นความสัมพันธ์มากกว่าการเติบโตแบบไวรัล แม้แต่ผู้สร้างเนื้อหาเองก็เริ่มเหนื่อยล้า เพราะต้องแข่งขันกับ AI ที่ไม่หลับไม่พัก และสามารถสร้างโพสต์ที่ “ดูดี” ได้ในไม่กี่วินาที หลายคนจึงเลือกหยุด หรือหันไปใช้ Dumbphone เพื่อหลีกหนีจากการเสพติดหน้าจอ ✅ การเปลี่ยนแปลงของเนื้อหาในโซเชียลมีเดีย ➡️ เนื้อหาจริงจากมนุษย์ถูกลดความสำคัญลงโดยอัลกอริธึม ➡️ บอทและ AI สร้างโพสต์ซ้ำ ๆ เพื่อดึงดูดคลิก ➡️ ความแตกต่างระหว่างคนจริงกับบอทเริ่มเลือนลาง ✅ การเกิดขึ้นของ “เศรษฐกิจสาวบอท” ➡️ บอทที่ดูเหมือนมนุษย์ใช้เพื่อดึงดูดผู้ชายเข้าสู่บริการแบบเสียเงิน ➡️ ผู้สร้างเนื้อหาบางคนเริ่มทำตัวเหมือนอัลกอริธึมเพื่อรักษาการมีส่วนร่วม ➡️ ความสัมพันธ์กลายเป็นธุรกรรมที่แลกเปลี่ยนความสนใจกับเงิน ✅ การลดลงของการมีส่วนร่วม ➡️ อัตราการมีส่วนร่วมใน Facebook และ X เหลือเพียง 0.15% โดยเฉลี่ย ➡️ Instagram ลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน ➡️ ผู้ใช้เลื่อนฟีดแบบครึ่งรู้สึกครึ่งหลงลืม ไม่ได้มีเป้าหมายจริง ✅ การย้ายไปสู่พื้นที่ที่มีความตั้งใจ ➡️ ผู้ใช้เริ่มหันไปใช้กลุ่มแชต, Discord, Substack และ Patreon ➡️ พื้นที่เหล่านี้เน้นความสัมพันธ์และความไว้วางใจมากกว่าการเติบโต ➡️ แพลตฟอร์มใหญ่เริ่มปรับตัว เช่น Instagram เน้น DMs, TikTok ทดลองกลุ่มส่วนตัว ✅ แนวคิดใหม่ในการออกแบบแพลตฟอร์ม ➡️ เสนอให้เพิ่ม “friction” เช่น หน่วงเวลาโพสต์, แสดงเวลาที่ใช้ก่อนอัปโหลด ➡️ แพลตฟอร์มอย่าง Are.na ไม่มีฟีดอัลกอริธึมหรือระบบ engagement ➡️ การออกแบบเพื่อเจตนาแทนการเสพติด ✅ การผลักดันให้โซเชียลมีเดียเป็นสาธารณูปโภค ➡️ เสนอให้มีการตรวจสอบอัลกอริธึมแบบโปร่งใส ➡️ ให้ผู้ใช้เลือกอัลกอริธึมที่ต้องการ เช่น ฟีดตามเวลา, ฟีดจาก mutuals ➡️ สร้างแพลตฟอร์มที่มี governance แบบประชาธิปไตย ✅ การส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัล ➡️ เสนอให้สอน digital literacy ตั้งแต่เด็ก ➡️ เน้นความเข้าใจอัลกอริธึมและการจัดการข้อมูลส่วนตัว ➡️ สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน https://www.noemamag.com/the-last-days-of-social-media/
    WWW.NOEMAMAG.COM
    The Last Days Of Social Media
    Social media promised connection, but it has delivered exhaustion.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 9 – สร้างคอก
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 9 : สร้างคอก
    เมื่อมีใบสั่งออกมาว่า อเมริกาจะต้องเป็นผู้ครองโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เลี้ยงก็เริ่มเตรียมการ จะให้นักล่าครองโลก ไปแต่หัวได้อย่างไร แขนขามือเท้าก็ต้องไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีการจัดเตรียมหลักสูตรการศึกษา ภายใน ประเทศเสียใหม่ เพื่อเตรียมตัว พวก technocrat และพวกชนชั้นระดับสูงในสังคม elites ให้เข้าใจให้รู้จักกันไว้ว่า ระดับประเทศเขาจะทำอะไร เมื่ออเมริกาจะควบคุม Grand Area ก็จำเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับ area พวกนี้ไว้ ให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผู้คนมีหน้าตาอย่างไร มีอะไรน่าขะโมย น่าเคี้ยวบ้าง ไม่ใช่พูดถึง area ไหน แล้วนั่งเซ่อ ยังขี่ช้างอยู่หรือเปล่า งูบ้านยูแยะไหม แบบนั้นไม่เอานะ หลักสูตรและโครงการศึกษาที่เรียกว่า Area Studies จึงเกิดขึ้น โดยการนำเอาปัญญาชน นักวิชาการ นักผู้เชี่ยวชาญจากทุกแหล่ง มาช่วยจัดสร้างหลักสูตร สำหรับ Area Studies นี้ และนาย Kenneth ตัวแสบของเรา จึงน่าจะได้รับภาระกิจให้ไปเป็นนักสำรวจรุ่นแรกๆ ที่นำข้อมูลมาร่วมในการจัดทำหลักสูตร Area Studies นี้ด้วย
    มูลนิธิ Rockefeller รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง ใหญ่ ในการจับอเมริกามาแต่งตัว แต่งหน้าใหม่ (ทำ face lift !) จากอยู่ในสังคมแบบสันโดษ isolist society เปลี่ยนมาเป็นอยู่ในสังคมโลก globalist society (จริงๆ จะกำหนดสังคมโลกใหม่น่ะ แต่มันต้องค่อยๆ ทำ จากคุณลุงวัย 60 พุงห้อย กล้ามเหี่ยว เป็นหนุ่มแน่นกล้ามท้องเรียงเป็นตับ มันต้องใช้เวลาสร้างนะ)
    ขบวนการแต่งตัวใหม่ให้อเมริกา เริ่มดำเนินการโดย CFR มาตั้งแต่ ค.ศ.1921 เป็นต้นมา แต่มาเห็นเด่นชัด เมื่อมีการศึกษา War and Peace Studies ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างทีม CFR กับทีม State Department โดยมูลนิธิ Rockefeller เป็นผู้อุปถัมภ์ควักกระเป๋าจ่ายเองทั้งหมด นอกจากนี้มูลนิธิยังให้ทำการศึกษาวิจัยอีกหลายโครงการ ในช่วง ค.ศ.1930 – 1940 ในช่วงนักล่าตั้งไข่หัดเดิน เพื่อช่วยให้ผู้บริหารของรัฐบาลระดับวางนโยบายและฝ่ายวิชาการ มีความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมโลกและเป้าหมายการครองโลกของอเมริกาในทิศทางเดียวกัน
    นอกจากนี้ระหว่างปี ค.ศ.1927-1945 มูลนิธิยังตั้ง study group เพื่อเตรียมออกสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้มากในช่วงเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ การจัดทำสิ่งพิมพ์ publications นี้ ก็เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง CFR กับ State Department อีกเช่นเดียวกัน นาย William P. Bundy ถึงกับเอ่ยปากว่ายังไม่เคยมีหน่วยงานเอกชนใด ก็มีโอกาสทำงานกับฝ่ายรัฐอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนเลย ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา (ตกลงใครเป็นผู้นำประเทศกันแน่ รัฐบาลหรือ CFR ?) นาย Bundy ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กในคาถาที่ CFR แอบส่งมาประกบรัฐบาลตั้งแต่ต้น ต่อมาปี ค.ศ.1950 เขาได้เป็นนักวิเคราะห์สังกัดหน่วยงาน CIA และเป็นที่ปรึกษาให้ประธานาธิบดี Kennedy และเป็นผช.รมว.ใน State Department เป็นผู้ดูแลงานด้าน East Asian and Pacific Affairs ในสมัยรัฐบาล Lyndon Johnson ทำให้เขากลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของประธานาธิบดี ในการตัดสินใจในสมัยสงครามเวี ยตนาม เมื่อนาย David Rockefeller ลงมาคุม CFR เต็มตัวในตำแหน่งประธาน CFR เมื่อปี ค.ศ.1970 เขาได้ขอ (สั่ง !) ให้นาย William Bundy มาเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Foreign Affairs ของ CFR ซึ่งเป็นนิตยสารที่ได้รับการยอมรับและมีอิทธิพลสูงมากในวง การเมืองระหว่างประเทศ นาย Bundy ทำหน้าที่นี้อยู่ตั้งแต่ปี 1972 ถึง 1984 ส่วนพี่ชายของเขา นาย McGeorge Bundy ก็มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงให้แก่ประธานาธิบดี Kennedy ประธานาธิบดี Johnson รวมทั้งรับตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิ Ford ด้วย ตั้งแต่ ค.ศ.1966-1979 (เอาว่าเด็กในคาถาของ CFR เข้ายึดตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลเกือบหมด)
    นอกจากจัดหลักสูตรติวเข้มให้กับสังคมระดับไข่แดงแล้ว มูลนิธิ Rockefeller ก็ได้เตรียมการสำหรับสังคมระดับไข่ขาวด้วย เพื่อให้สังคมทั่วไปรู้จักการก้าวเข้าไปสู่สังคมนานาชาติของอเมริกา โดยเขาตั้ง Foreign Policy Association (FPA) และ Institute of Pacifics Relations (IPR) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการสร้างความเห็นของมวลชน (เริ่มรายการฟอกย้อม ความคิดคนในประเทศก่อน) โดยย้อมความคิดทางสิ่งพิมพ์หนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง ให้ตั้งแต่ระดับเด็กนักเรียนมัธยม นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ครู โรงเรียน สหภาพ นักธุรกิจ และสมาคมสตรีทั้งหลาย และสังคมทั่วไป โครงการนี้เพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศ ยุคใหม่ของอเมริกานั่นแหละ แต่ขณะเดียวกัน ทางมูลนิธิได้ระบุไว้ในการเสนอโครงการนี้ว่า เป็นโครงการที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในทางการเมือง (เขาเขียนกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ !)
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 9 – สร้างคอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 9 : สร้างคอก เมื่อมีใบสั่งออกมาว่า อเมริกาจะต้องเป็นผู้ครองโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เลี้ยงก็เริ่มเตรียมการ จะให้นักล่าครองโลก ไปแต่หัวได้อย่างไร แขนขามือเท้าก็ต้องไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีการจัดเตรียมหลักสูตรการศึกษา ภายใน ประเทศเสียใหม่ เพื่อเตรียมตัว พวก technocrat และพวกชนชั้นระดับสูงในสังคม elites ให้เข้าใจให้รู้จักกันไว้ว่า ระดับประเทศเขาจะทำอะไร เมื่ออเมริกาจะควบคุม Grand Area ก็จำเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับ area พวกนี้ไว้ ให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผู้คนมีหน้าตาอย่างไร มีอะไรน่าขะโมย น่าเคี้ยวบ้าง ไม่ใช่พูดถึง area ไหน แล้วนั่งเซ่อ ยังขี่ช้างอยู่หรือเปล่า งูบ้านยูแยะไหม แบบนั้นไม่เอานะ หลักสูตรและโครงการศึกษาที่เรียกว่า Area Studies จึงเกิดขึ้น โดยการนำเอาปัญญาชน นักวิชาการ นักผู้เชี่ยวชาญจากทุกแหล่ง มาช่วยจัดสร้างหลักสูตร สำหรับ Area Studies นี้ และนาย Kenneth ตัวแสบของเรา จึงน่าจะได้รับภาระกิจให้ไปเป็นนักสำรวจรุ่นแรกๆ ที่นำข้อมูลมาร่วมในการจัดทำหลักสูตร Area Studies นี้ด้วย มูลนิธิ Rockefeller รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง ใหญ่ ในการจับอเมริกามาแต่งตัว แต่งหน้าใหม่ (ทำ face lift !) จากอยู่ในสังคมแบบสันโดษ isolist society เปลี่ยนมาเป็นอยู่ในสังคมโลก globalist society (จริงๆ จะกำหนดสังคมโลกใหม่น่ะ แต่มันต้องค่อยๆ ทำ จากคุณลุงวัย 60 พุงห้อย กล้ามเหี่ยว เป็นหนุ่มแน่นกล้ามท้องเรียงเป็นตับ มันต้องใช้เวลาสร้างนะ) ขบวนการแต่งตัวใหม่ให้อเมริกา เริ่มดำเนินการโดย CFR มาตั้งแต่ ค.ศ.1921 เป็นต้นมา แต่มาเห็นเด่นชัด เมื่อมีการศึกษา War and Peace Studies ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างทีม CFR กับทีม State Department โดยมูลนิธิ Rockefeller เป็นผู้อุปถัมภ์ควักกระเป๋าจ่ายเองทั้งหมด นอกจากนี้มูลนิธิยังให้ทำการศึกษาวิจัยอีกหลายโครงการ ในช่วง ค.ศ.1930 – 1940 ในช่วงนักล่าตั้งไข่หัดเดิน เพื่อช่วยให้ผู้บริหารของรัฐบาลระดับวางนโยบายและฝ่ายวิชาการ มีความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมโลกและเป้าหมายการครองโลกของอเมริกาในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ระหว่างปี ค.ศ.1927-1945 มูลนิธิยังตั้ง study group เพื่อเตรียมออกสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้มากในช่วงเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ การจัดทำสิ่งพิมพ์ publications นี้ ก็เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง CFR กับ State Department อีกเช่นเดียวกัน นาย William P. Bundy ถึงกับเอ่ยปากว่ายังไม่เคยมีหน่วยงานเอกชนใด ก็มีโอกาสทำงานกับฝ่ายรัฐอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนเลย ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา (ตกลงใครเป็นผู้นำประเทศกันแน่ รัฐบาลหรือ CFR ?) นาย Bundy ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กในคาถาที่ CFR แอบส่งมาประกบรัฐบาลตั้งแต่ต้น ต่อมาปี ค.ศ.1950 เขาได้เป็นนักวิเคราะห์สังกัดหน่วยงาน CIA และเป็นที่ปรึกษาให้ประธานาธิบดี Kennedy และเป็นผช.รมว.ใน State Department เป็นผู้ดูแลงานด้าน East Asian and Pacific Affairs ในสมัยรัฐบาล Lyndon Johnson ทำให้เขากลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของประธานาธิบดี ในการตัดสินใจในสมัยสงครามเวี ยตนาม เมื่อนาย David Rockefeller ลงมาคุม CFR เต็มตัวในตำแหน่งประธาน CFR เมื่อปี ค.ศ.1970 เขาได้ขอ (สั่ง !) ให้นาย William Bundy มาเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Foreign Affairs ของ CFR ซึ่งเป็นนิตยสารที่ได้รับการยอมรับและมีอิทธิพลสูงมากในวง การเมืองระหว่างประเทศ นาย Bundy ทำหน้าที่นี้อยู่ตั้งแต่ปี 1972 ถึง 1984 ส่วนพี่ชายของเขา นาย McGeorge Bundy ก็มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงให้แก่ประธานาธิบดี Kennedy ประธานาธิบดี Johnson รวมทั้งรับตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิ Ford ด้วย ตั้งแต่ ค.ศ.1966-1979 (เอาว่าเด็กในคาถาของ CFR เข้ายึดตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลเกือบหมด) นอกจากจัดหลักสูตรติวเข้มให้กับสังคมระดับไข่แดงแล้ว มูลนิธิ Rockefeller ก็ได้เตรียมการสำหรับสังคมระดับไข่ขาวด้วย เพื่อให้สังคมทั่วไปรู้จักการก้าวเข้าไปสู่สังคมนานาชาติของอเมริกา โดยเขาตั้ง Foreign Policy Association (FPA) และ Institute of Pacifics Relations (IPR) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการสร้างความเห็นของมวลชน (เริ่มรายการฟอกย้อม ความคิดคนในประเทศก่อน) โดยย้อมความคิดทางสิ่งพิมพ์หนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง ให้ตั้งแต่ระดับเด็กนักเรียนมัธยม นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ครู โรงเรียน สหภาพ นักธุรกิจ และสมาคมสตรีทั้งหลาย และสังคมทั่วไป โครงการนี้เพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศ ยุคใหม่ของอเมริกานั่นแหละ แต่ขณะเดียวกัน ทางมูลนิธิได้ระบุไว้ในการเสนอโครงการนี้ว่า เป็นโครงการที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในทางการเมือง (เขาเขียนกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ !) คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 6 – พระเจ้าเงินตรา

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 6 : พระเจ้าเงินตรา
    ไม่นานเกินรอ ทางฝั่งอเมริกาในปี ค.ศ.1907 การเงินประเทศเกิดอาการสะอึก จากฝีมือที่มองไม่เห็น ทำให้วงการธนาคารเกิดอาการซวนเซ ข่าวลือว่าเป็นแผนการของ J.P Morgan นก 2 หัว พยายามกดดันให้รัฐบาลอเมริกัน สร้างระบบการธนาคารที่มั่นคง ปี ค.ศ.1910 ได้มีการประชุมกันที่ Jekyll Island ซึ่งมีการวางแผนที่จะตั้ง National Reserve Association มีสาขา 15 แห่ง ควบคุมโดยนายธนาคาร ซึ่งได้รับมอบอำนาจมาจากรัฐบาลกลาง เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลาง สามารถพิมพ์เงินเองได้ และให้เงินยืมแก่ธนาคารเอกชนได้ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ยินยอมเดินตามแผนนี้เกือบทุกอ ย่าง ในที่สุด ปี ค.ศ.1913 Federal Reserve หรือ Fed ก็ก่อตั้งขึ้น สามารถหารายได้เองได้ กำหนดงบประมาณของตนเองได้ โดยไม่ต้องผ่านสภาสูง Fed มีสาขา 12 แห่ง แต่ละแห่งถือหุ้นโดยธนาคารพาณิชย์ (ผมได้เคยเล่านิทานตอนนี้ไว้อย่างละเอียด อยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ ท่านใดยังไม่เคยอ่าน ช่วยกลับไปอ่านหน่อยนะครับ จะได้ไม่ต้องเขียนซ้ำ)
    แล้วอำนาจที่แท้จริงในการครองโลก ก็อยู่ในกำมือของกลุ่มผู้ถือหุ้นเอกชน Anglo American Establishment ไม่กี่ตระกูล ซึ่งเป็นเจ้าของธนาคารระหว่างประเทศ ที่เข้าไปถือหุ้นในธนาคารกลางของโลกทั้งนั้นแหละ คือผู้มีอำนาจควบคุมโลกตัวจริง เป็นผู้สร้างผู้ปกครองผู้บริหารประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ ใครมันจะทำอะไรได้ถ้าไม่มีเงิน เงินเท่านั้น ที่มนุษย์ทั่วไปมองเห็นและให้ความเคารพนับถือ เชื่อ ใช้ บูชา ทุนคืออำนาจ อำนาจคือทุน จริงหรือไม่
    ที่ว่าไม่กี่ตระกูลที่ครองโลกอยู่ขณะนี้เป็นใครบ้างล่ะ มารู้จักชื่อแซ่พระเจ้าเงินตรากันหน่อย เขาว่ามี 8 ตระกูล หรือกลุ่ม หรือก๊วน แล้วแต่จะเรียก 4 ก๊วนอยู่ทางฝั่งอเมริกา อีก 4 อยู่ทางอังกฤษและยุโรป
    ฝั่งอเมริกา
    – Goldman Sachs
    – Rockefellers
    – Lehman of New York
    – Kuhn Loebs of New York
    ฝั่งอังกฤษและยุโรป
    – Rothschilds of Paris, London
    – Warburg of Hamburg
    – Lazards of Paris
    – Israel Moses Seifs of Rome
    กว่าจะมาเป็น 8 ก๊วนคนโคตรรวย เขาผ่านการหักหลัง หักคอ ควบรวม ไปจนถึงคลุมถุงให้แต่งงาน เพื่อจะรักษาความรวยและเลือดเนื้อ เชื้อไข คนรวย ให้อยู่แต่ในกลุ่มก้อนเดียวกัน ส่วน BIS ซึ่งเป็นธนาคารกลางตัวแม่ มีอิทธิพลสูงสุด ควบคุมธนาคารเกือบทั้งหมดในประเทศ แถบตะวันตก และประเทศที่กำลังพัฒนา (อย่างเราๆ ) ก็ถือหุ้นโดย Federal Reserve (ของอเมริกา), Bank of England, Bank of Italy, Bank of Canada, Swiss National Bank, Nederlandsche Bank, Bundesbank และ Bank of France โดยมี 8 ก๊วนคนโคตรรวย ต่างถือหุ้นใน 8 ธนาคารกลางดังกล่าวอีกต่อหนึ่ง
    ประธาน BIS คนแรกคือ นาย Gates McGarrah ซึ่งมาจาก Chase Manhatton Bank ของตระกูล Rockefeller และเป็นเจ้าหน้าที่ของ Federal Reserve ด้วย นาย McGarrah นี้ เป็นปู่ของนาย Richard McGarrah Helmes หัวหน้า CIA ตัวใหญ่ สมัย ค.ศ.1966-1973
    รัฐบาลอเมริกาเอง ในประวัติศาสตร์ก็ขยาด BIS และพยายามที่จะล้ม BIS มาแล้ว ในการประชุมที่ Bretton Woods เมื่อปี ค.ศ.1944 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถูก 8 ก๊วนโคตรรวยจับมือกันป่วน นอกจากล้ม BIS ไม่ได้แล้ว 8 ก๊วน ยังท้าทายด้วยการตั้ง IMF และ World Bank ตามแผนของพวกเขา เพื่อสั่งสอนรัฐบาลอเมริกันอีก
    BIS ถือ 10% ของเงินสำรอง (Reserves) ในประมาณ 80 ธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งใน IMF และสถาบันการเงินนานาชาติอีกหลายแห่ง BIS นอกจากเป็นแม่ใหญ่ของธนาคารกลางของ 8 ก๊วนแล้ว ยังแอบทำกิจกรรมสำคัญด้วยคือ เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการเงินและเศรษฐกิจของทั้งโลก (รู้มากที่สุด ได้เปรียบมากที่สุด) และเป็นแหล่งเงินกู้ให้ธนาคารพาณิชย์กู้ ในเวลาวิกฤติเพื่อไม่ให้สถาบันการเงินโลกล้มระเนระนาดด้วย ยังมีข้อมูลน่าศึกษาเกี่ยวกับ BIS อีกแยะ วันนี้เอาแค่ให้เห็นภาพกว้างๆ ก่อน
    คนเล่านิทาน
    30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 6 – พระเจ้าเงินตรา นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 6 : พระเจ้าเงินตรา ไม่นานเกินรอ ทางฝั่งอเมริกาในปี ค.ศ.1907 การเงินประเทศเกิดอาการสะอึก จากฝีมือที่มองไม่เห็น ทำให้วงการธนาคารเกิดอาการซวนเซ ข่าวลือว่าเป็นแผนการของ J.P Morgan นก 2 หัว พยายามกดดันให้รัฐบาลอเมริกัน สร้างระบบการธนาคารที่มั่นคง ปี ค.ศ.1910 ได้มีการประชุมกันที่ Jekyll Island ซึ่งมีการวางแผนที่จะตั้ง National Reserve Association มีสาขา 15 แห่ง ควบคุมโดยนายธนาคาร ซึ่งได้รับมอบอำนาจมาจากรัฐบาลกลาง เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลาง สามารถพิมพ์เงินเองได้ และให้เงินยืมแก่ธนาคารเอกชนได้ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ยินยอมเดินตามแผนนี้เกือบทุกอ ย่าง ในที่สุด ปี ค.ศ.1913 Federal Reserve หรือ Fed ก็ก่อตั้งขึ้น สามารถหารายได้เองได้ กำหนดงบประมาณของตนเองได้ โดยไม่ต้องผ่านสภาสูง Fed มีสาขา 12 แห่ง แต่ละแห่งถือหุ้นโดยธนาคารพาณิชย์ (ผมได้เคยเล่านิทานตอนนี้ไว้อย่างละเอียด อยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ ท่านใดยังไม่เคยอ่าน ช่วยกลับไปอ่านหน่อยนะครับ จะได้ไม่ต้องเขียนซ้ำ) แล้วอำนาจที่แท้จริงในการครองโลก ก็อยู่ในกำมือของกลุ่มผู้ถือหุ้นเอกชน Anglo American Establishment ไม่กี่ตระกูล ซึ่งเป็นเจ้าของธนาคารระหว่างประเทศ ที่เข้าไปถือหุ้นในธนาคารกลางของโลกทั้งนั้นแหละ คือผู้มีอำนาจควบคุมโลกตัวจริง เป็นผู้สร้างผู้ปกครองผู้บริหารประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ ใครมันจะทำอะไรได้ถ้าไม่มีเงิน เงินเท่านั้น ที่มนุษย์ทั่วไปมองเห็นและให้ความเคารพนับถือ เชื่อ ใช้ บูชา ทุนคืออำนาจ อำนาจคือทุน จริงหรือไม่ ที่ว่าไม่กี่ตระกูลที่ครองโลกอยู่ขณะนี้เป็นใครบ้างล่ะ มารู้จักชื่อแซ่พระเจ้าเงินตรากันหน่อย เขาว่ามี 8 ตระกูล หรือกลุ่ม หรือก๊วน แล้วแต่จะเรียก 4 ก๊วนอยู่ทางฝั่งอเมริกา อีก 4 อยู่ทางอังกฤษและยุโรป ฝั่งอเมริกา – Goldman Sachs – Rockefellers – Lehman of New York – Kuhn Loebs of New York ฝั่งอังกฤษและยุโรป – Rothschilds of Paris, London – Warburg of Hamburg – Lazards of Paris – Israel Moses Seifs of Rome กว่าจะมาเป็น 8 ก๊วนคนโคตรรวย เขาผ่านการหักหลัง หักคอ ควบรวม ไปจนถึงคลุมถุงให้แต่งงาน เพื่อจะรักษาความรวยและเลือดเนื้อ เชื้อไข คนรวย ให้อยู่แต่ในกลุ่มก้อนเดียวกัน ส่วน BIS ซึ่งเป็นธนาคารกลางตัวแม่ มีอิทธิพลสูงสุด ควบคุมธนาคารเกือบทั้งหมดในประเทศ แถบตะวันตก และประเทศที่กำลังพัฒนา (อย่างเราๆ ) ก็ถือหุ้นโดย Federal Reserve (ของอเมริกา), Bank of England, Bank of Italy, Bank of Canada, Swiss National Bank, Nederlandsche Bank, Bundesbank และ Bank of France โดยมี 8 ก๊วนคนโคตรรวย ต่างถือหุ้นใน 8 ธนาคารกลางดังกล่าวอีกต่อหนึ่ง ประธาน BIS คนแรกคือ นาย Gates McGarrah ซึ่งมาจาก Chase Manhatton Bank ของตระกูล Rockefeller และเป็นเจ้าหน้าที่ของ Federal Reserve ด้วย นาย McGarrah นี้ เป็นปู่ของนาย Richard McGarrah Helmes หัวหน้า CIA ตัวใหญ่ สมัย ค.ศ.1966-1973 รัฐบาลอเมริกาเอง ในประวัติศาสตร์ก็ขยาด BIS และพยายามที่จะล้ม BIS มาแล้ว ในการประชุมที่ Bretton Woods เมื่อปี ค.ศ.1944 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถูก 8 ก๊วนโคตรรวยจับมือกันป่วน นอกจากล้ม BIS ไม่ได้แล้ว 8 ก๊วน ยังท้าทายด้วยการตั้ง IMF และ World Bank ตามแผนของพวกเขา เพื่อสั่งสอนรัฐบาลอเมริกันอีก BIS ถือ 10% ของเงินสำรอง (Reserves) ในประมาณ 80 ธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งใน IMF และสถาบันการเงินนานาชาติอีกหลายแห่ง BIS นอกจากเป็นแม่ใหญ่ของธนาคารกลางของ 8 ก๊วนแล้ว ยังแอบทำกิจกรรมสำคัญด้วยคือ เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการเงินและเศรษฐกิจของทั้งโลก (รู้มากที่สุด ได้เปรียบมากที่สุด) และเป็นแหล่งเงินกู้ให้ธนาคารพาณิชย์กู้ ในเวลาวิกฤติเพื่อไม่ให้สถาบันการเงินโลกล้มระเนระนาดด้วย ยังมีข้อมูลน่าศึกษาเกี่ยวกับ BIS อีกแยะ วันนี้เอาแค่ให้เห็นภาพกว้างๆ ก่อน คนเล่านิทาน 30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องบดแห้ง BONNY (Pin Type) เครื่องเดียวจบทุกการบด!
    บดสมุนไพรแห้งให้เป็นผงละเอียด รวดเร็วทันใจ กำลังการผลิตสูง
    ตัวเครื่องสแตนเลสแท้ 100%
    บดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรแห้ง พริก ข้าวสาร หรือธัญพืชต่างๆ
    ใช้งานง่าย ทำความสะอาดสะดวก
    เหมาะสำหรับธุรกิจอาหารและสมุนไพรทุกขนาด! สนใจเครื่องบดคุณภาพดี ทักเลย!
    สนใจสินค้า? แวะมาดูเครื่องจริงได้เลย! เรายินดีให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกท่านค่ะ
    เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น. | เสาร์: 8.00 - 16.00 น.
    แผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/4ppsHfy3NYb1uPPu6
    ช่องทางติดต่อสอบถาม:
    Facebook Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE Official Account: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก https://lin.ee/HV4lSKp
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com, yonghahheng@gmail.com
    #เครื่องบด #เครื่องบดสมุนไพร #เครื่องบดแห้ง #เครื่องบดผง #เครื่องบดอุตสาหกรรม #เครื่องบดอาหาร #เครื่องปั่นแห้ง #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ธุรกิจสมุนไพร #ธุรกิจอาหาร #สมุนไพร #บดสมุนไพร #ผงสมุนไพร #เครื่องเทศ #ผงเครื่องเทศ #ขมิ้น #ขิง #พริกไทย #ใบชา #BonnyPulverizer #โรงงานสมุนไพร #โรงงานอาหาร #เครื่องจักร #เครื่องมือ #ผู้ประกอบการ #เกษตรแปรรูป #แปรรูปสมุนไพร #ครัวเรือน #ผงชงดื่ม #YongHahHeng
    เครื่องบดแห้ง BONNY (Pin Type) เครื่องเดียวจบทุกการบด! บดสมุนไพรแห้งให้เป็นผงละเอียด รวดเร็วทันใจ กำลังการผลิตสูง ✅ ตัวเครื่องสแตนเลสแท้ 100% ✅ บดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรแห้ง พริก ข้าวสาร หรือธัญพืชต่างๆ ✅ ใช้งานง่าย ทำความสะอาดสะดวก เหมาะสำหรับธุรกิจอาหารและสมุนไพรทุกขนาด! สนใจเครื่องบดคุณภาพดี ทักเลย! สนใจสินค้า? แวะมาดูเครื่องจริงได้เลย! เรายินดีให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกท่านค่ะ เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น. | เสาร์: 8.00 - 16.00 น. แผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/4ppsHfy3NYb1uPPu6 ช่องทางติดต่อสอบถาม: Facebook Messenger: m.me/yonghahheng LINE Official Account: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก https://lin.ee/HV4lSKp โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com, yonghahheng@gmail.com #เครื่องบด #เครื่องบดสมุนไพร #เครื่องบดแห้ง #เครื่องบดผง #เครื่องบดอุตสาหกรรม #เครื่องบดอาหาร #เครื่องปั่นแห้ง #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ธุรกิจสมุนไพร #ธุรกิจอาหาร #สมุนไพร #บดสมุนไพร #ผงสมุนไพร #เครื่องเทศ #ผงเครื่องเทศ #ขมิ้น #ขิง #พริกไทย #ใบชา #BonnyPulverizer #โรงงานสมุนไพร #โรงงานอาหาร #เครื่องจักร #เครื่องมือ #ผู้ประกอบการ #เกษตรแปรรูป #แปรรูปสมุนไพร #ครัวเรือน #ผงชงดื่ม #YongHahHeng
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนควรเลิกใช้ GPU จากสหรัฐฯ — ผู้เชี่ยวชาญเตือนโมเดลพัฒนา AI ปัจจุบันอาจ ‘อันตรายถึงชีวิต’ หากไม่เปลี่ยนแนวทาง”

    Wei Shaojun รองประธานสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน และที่ปรึกษาระดับสูงของรัฐบาลจีน ได้ออกมาเรียกร้องให้จีนและประเทศในเอเชียหยุดพึ่งพา GPU จาก Nvidia และ AMD ในการพัฒนา AI โดยเฉพาะการฝึกโมเดลภาษาใหญ่ (LLM) เช่น ChatGPT และ DeepSeek ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นการเลียนแบบแนวทางของสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงระยะยาวทั้งด้านเทคโนโลยีและความมั่นคง

    Wei กล่าวในเวทีที่สิงคโปร์ว่า โมเดลการพัฒนา AI แบบอิง GPU นั้น “อาจถึงขั้นอันตราย” หากไม่เปลี่ยนแนวทาง เพราะมันทำให้ประเทศในเอเชียขาดอำนาจในการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานของตนเอง และติดกับดักการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ประสิทธิภาพสูงไปยังจีนตั้งแต่ปี 2023

    แม้จีนจะยังตามหลังสหรัฐฯ และไต้หวันในด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ Wei ยกตัวอย่าง DeepSeek ซึ่งสามารถพัฒนาโมเดล AI ที่แข่งขันกับ OpenAI ได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูงเป็นหลักฐานว่า “อัลกอริธึมที่ดี” สำคัญกว่าฮาร์ดแวร์ล้ำสมัย

    เขาเสนอให้จีนพัฒนาโปรเซสเซอร์เฉพาะทางสำหรับการฝึกโมเดล AI แทนการใช้ GPU ที่เดิมออกแบบมาเพื่อกราฟิก พร้อมย้ำว่าจีนมีเงินทุนและความมุ่งมั่นเพียงพอที่จะสร้างระบบนิเวศด้านเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง แม้จะเผชิญแรงกดดันจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ มาหลายปี

    ข้อมูลสำคัญจากคำแถลงของ Wei Shaojun
    เรียกร้องให้จีนและเอเชียหยุดใช้ GPU จาก Nvidia และ AMD ในการพัฒนา AI
    วิจารณ์ว่าการเลียนแบบแนวทางสหรัฐฯ ทำให้ขาดอำนาจควบคุมเทคโนโลยี
    เสนอให้พัฒนาโปรเซสเซอร์เฉพาะทางสำหรับ LLM แทน GPU ที่ออกแบบเพื่อกราฟิก
    ยกตัวอย่าง DeepSeek เป็นหลักฐานว่าจีนสามารถพัฒนาอัลกอริธึมได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง

    สถานการณ์ด้านฮาร์ดแวร์และการส่งออก
    สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI และ HPC ไปยังจีนตั้งแต่ปี 2023
    Nvidia H20 ถูกลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อจำกัด แต่จีนยังไม่ไว้วางใจ
    จีนมีความคืบหน้าในการผลิตชิป แต่ยังตามหลังสหรัฐฯ และไต้หวันหลายปี
    รัฐบาลจีนผลักดันให้บริษัทในประเทศหลีกเลี่ยงการใช้ GPU จากสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nvidia ครองตลาด AI ด้วย CUDA และ Tensor Core ที่ออกแบบมาเพื่อ deep learning
    GPU ของ Nvidia กลายเป็นมาตรฐานในวงการ AI เพราะประสิทธิภาพสูงและ ecosystem ครบ
    ASIC เฉพาะทางสำหรับ AI ยังไม่แพร่หลาย แต่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต
    DeepSeek และ Meituan เป็นตัวอย่างของบริษัทจีนที่พัฒนาโมเดล AI โดยเน้นอัลกอริธึมมากกว่าฮาร์ดแวร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/top-china-silicon-figure-calls-on-country-to-stop-using-nvidia-gpus-for-ai-says-current-ai-development-model-could-become-lethal-if-not-addressed
    🇨🇳 “จีนควรเลิกใช้ GPU จากสหรัฐฯ — ผู้เชี่ยวชาญเตือนโมเดลพัฒนา AI ปัจจุบันอาจ ‘อันตรายถึงชีวิต’ หากไม่เปลี่ยนแนวทาง” Wei Shaojun รองประธานสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน และที่ปรึกษาระดับสูงของรัฐบาลจีน ได้ออกมาเรียกร้องให้จีนและประเทศในเอเชียหยุดพึ่งพา GPU จาก Nvidia และ AMD ในการพัฒนา AI โดยเฉพาะการฝึกโมเดลภาษาใหญ่ (LLM) เช่น ChatGPT และ DeepSeek ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นการเลียนแบบแนวทางของสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงระยะยาวทั้งด้านเทคโนโลยีและความมั่นคง Wei กล่าวในเวทีที่สิงคโปร์ว่า โมเดลการพัฒนา AI แบบอิง GPU นั้น “อาจถึงขั้นอันตราย” หากไม่เปลี่ยนแนวทาง เพราะมันทำให้ประเทศในเอเชียขาดอำนาจในการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานของตนเอง และติดกับดักการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ประสิทธิภาพสูงไปยังจีนตั้งแต่ปี 2023 แม้จีนจะยังตามหลังสหรัฐฯ และไต้หวันในด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ Wei ยกตัวอย่าง DeepSeek ซึ่งสามารถพัฒนาโมเดล AI ที่แข่งขันกับ OpenAI ได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูงเป็นหลักฐานว่า “อัลกอริธึมที่ดี” สำคัญกว่าฮาร์ดแวร์ล้ำสมัย เขาเสนอให้จีนพัฒนาโปรเซสเซอร์เฉพาะทางสำหรับการฝึกโมเดล AI แทนการใช้ GPU ที่เดิมออกแบบมาเพื่อกราฟิก พร้อมย้ำว่าจีนมีเงินทุนและความมุ่งมั่นเพียงพอที่จะสร้างระบบนิเวศด้านเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง แม้จะเผชิญแรงกดดันจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ มาหลายปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากคำแถลงของ Wei Shaojun ➡️ เรียกร้องให้จีนและเอเชียหยุดใช้ GPU จาก Nvidia และ AMD ในการพัฒนา AI ➡️ วิจารณ์ว่าการเลียนแบบแนวทางสหรัฐฯ ทำให้ขาดอำนาจควบคุมเทคโนโลยี ➡️ เสนอให้พัฒนาโปรเซสเซอร์เฉพาะทางสำหรับ LLM แทน GPU ที่ออกแบบเพื่อกราฟิก ➡️ ยกตัวอย่าง DeepSeek เป็นหลักฐานว่าจีนสามารถพัฒนาอัลกอริธึมได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง ✅ สถานการณ์ด้านฮาร์ดแวร์และการส่งออก ➡️ สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI และ HPC ไปยังจีนตั้งแต่ปี 2023 ➡️ Nvidia H20 ถูกลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อจำกัด แต่จีนยังไม่ไว้วางใจ ➡️ จีนมีความคืบหน้าในการผลิตชิป แต่ยังตามหลังสหรัฐฯ และไต้หวันหลายปี ➡️ รัฐบาลจีนผลักดันให้บริษัทในประเทศหลีกเลี่ยงการใช้ GPU จากสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nvidia ครองตลาด AI ด้วย CUDA และ Tensor Core ที่ออกแบบมาเพื่อ deep learning ➡️ GPU ของ Nvidia กลายเป็นมาตรฐานในวงการ AI เพราะประสิทธิภาพสูงและ ecosystem ครบ ➡️ ASIC เฉพาะทางสำหรับ AI ยังไม่แพร่หลาย แต่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ➡️ DeepSeek และ Meituan เป็นตัวอย่างของบริษัทจีนที่พัฒนาโมเดล AI โดยเน้นอัลกอริธึมมากกว่าฮาร์ดแวร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/top-china-silicon-figure-calls-on-country-to-stop-using-nvidia-gpus-for-ai-says-current-ai-development-model-could-become-lethal-if-not-addressed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ByteDance เปิดตัว Seedream 4.0 ท้าชน Nano Banana ของ Google — เมื่อ AI สร้างภาพกลายเป็นสนามแข่งระดับโลก”

    ByteDance เจ้าของ TikTok เปิดตัวเครื่องมือ AI สร้างภาพรุ่นใหม่ชื่อว่า “Seedream 4.0” โดยตั้งเป้าแข่งขันโดยตรงกับ Gemini 2.5 Flash Image ของ Google DeepMind ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อเล่นว่า “Nano Banana” ที่โด่งดังจากการสร้างภาพ 3D สุดสร้างสรรค์บนโซเชียล Seedream 4.0 ได้รับการพัฒนาโดยแผนก Seed ของ ByteDance และเปิดตัวเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025

    ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 มีประสิทธิภาพเหนือกว่า Nano Banana ในการสร้างภาพและแก้ไขภาพ โดยเฉพาะด้านความแม่นยำของ prompt, ความสอดคล้องขององค์ประกอบ และความสวยงามของภาพ ซึ่งวัดจาก benchmark ภายในชื่อว่า MagicBench แม้ผลการทดสอบจะยังไม่ถูกเผยแพร่ในรายงานทางเทคนิคอย่างเป็นทางการ

    Seedream 4.0 เป็นการรวมจุดแข็งของ Seedream 3.0 (ด้าน text-to-image) และ SeedEdit 3.0 (ด้าน image editing) เข้าด้วยกัน พร้อมปรับสถาปัตยกรรมใหม่ให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 10 เท่า โดยยังคงราคาเดิมที่ $30 ต่อ 1,000 ภาพ และมีราคาต่อภาพต่ำกว่า Gemini 2.5 Flash Image บนแพลตฟอร์ม Fal.ai

    เครื่องมือนี้เปิดให้ใช้งานแล้วในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao รวมถึงลูกค้าองค์กรผ่าน Volcano Engine ขณะที่ตลาด AI สร้างภาพในจีนกำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง Tencent, Kuaishou และ Vidu จาก Tsinghua University ที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับการสร้างภาพจากหลาย reference

    จุดเด่นของ Seedream 4.0 จาก ByteDance
    เปิดตัวเมื่อ 10 กันยายน 2025 โดยแผนก Seed ของ ByteDance
    รวมความสามารถของ Seedream 3.0 และ SeedEdit 3.0 เข้าด้วยกัน
    ปรับสถาปัตยกรรมใหม่ ทำให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า
    ราคา $30 ต่อ 1,000 ภาพ หรือ $0.03 ต่อภาพ บน Fal.ai — ถูกกว่า Nano Banana

    การเปรียบเทียบกับ Gemini 2.5 Flash Image (Nano Banana)
    ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 เหนือกว่าใน prompt adherence, alignment และ aesthetics
    ใช้ benchmark ภายในชื่อ MagicBench แต่ยังไม่มีรายงานเทคนิคเผยแพร่
    Nano Banana ได้รับความนิยมจากการสร้างภาพ 3D ที่แชร์ได้ง่ายและสนุก
    Gemini 2.5 ยังครองอันดับสูงสุดใน text-to-image และ image editing บน Artificial Analysis

    การใช้งานและการเข้าถึง
    เปิดให้ใช้งานในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao
    ลูกค้าองค์กรสามารถใช้ผ่าน Volcano Engine ของ ByteDance
    ได้รับคำชมจากผู้ใช้เรื่องความแม่นยำในการแก้ไขภาพผ่าน text prompt
    รองรับการใช้งานแบบ bulk สำหรับลูกค้าเชิงพาณิชย์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ตลาด AI สร้างภาพในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เล่นหลายราย
    Vidu จาก Tsinghua University เปิดตัวฟีเจอร์สร้างภาพจาก 7 reference
    Gemini 2.5 รองรับการสร้างภาพจาก 9 reference
    รัฐบาลจีนรับรองลิขสิทธิ์ของภาพที่สร้างด้วย AI ตั้งแต่ปลายปี 2023 พร้อมบังคับติดป้ายกำกับ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/bytedance-unveils-new-ai-image-model-to-rival-google-deepminds-nano-banana
    🖼️ “ByteDance เปิดตัว Seedream 4.0 ท้าชน Nano Banana ของ Google — เมื่อ AI สร้างภาพกลายเป็นสนามแข่งระดับโลก” ByteDance เจ้าของ TikTok เปิดตัวเครื่องมือ AI สร้างภาพรุ่นใหม่ชื่อว่า “Seedream 4.0” โดยตั้งเป้าแข่งขันโดยตรงกับ Gemini 2.5 Flash Image ของ Google DeepMind ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อเล่นว่า “Nano Banana” ที่โด่งดังจากการสร้างภาพ 3D สุดสร้างสรรค์บนโซเชียล Seedream 4.0 ได้รับการพัฒนาโดยแผนก Seed ของ ByteDance และเปิดตัวเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 มีประสิทธิภาพเหนือกว่า Nano Banana ในการสร้างภาพและแก้ไขภาพ โดยเฉพาะด้านความแม่นยำของ prompt, ความสอดคล้องขององค์ประกอบ และความสวยงามของภาพ ซึ่งวัดจาก benchmark ภายในชื่อว่า MagicBench แม้ผลการทดสอบจะยังไม่ถูกเผยแพร่ในรายงานทางเทคนิคอย่างเป็นทางการ Seedream 4.0 เป็นการรวมจุดแข็งของ Seedream 3.0 (ด้าน text-to-image) และ SeedEdit 3.0 (ด้าน image editing) เข้าด้วยกัน พร้อมปรับสถาปัตยกรรมใหม่ให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 10 เท่า โดยยังคงราคาเดิมที่ $30 ต่อ 1,000 ภาพ และมีราคาต่อภาพต่ำกว่า Gemini 2.5 Flash Image บนแพลตฟอร์ม Fal.ai เครื่องมือนี้เปิดให้ใช้งานแล้วในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao รวมถึงลูกค้าองค์กรผ่าน Volcano Engine ขณะที่ตลาด AI สร้างภาพในจีนกำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง Tencent, Kuaishou และ Vidu จาก Tsinghua University ที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับการสร้างภาพจากหลาย reference ✅ จุดเด่นของ Seedream 4.0 จาก ByteDance ➡️ เปิดตัวเมื่อ 10 กันยายน 2025 โดยแผนก Seed ของ ByteDance ➡️ รวมความสามารถของ Seedream 3.0 และ SeedEdit 3.0 เข้าด้วยกัน ➡️ ปรับสถาปัตยกรรมใหม่ ทำให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า ➡️ ราคา $30 ต่อ 1,000 ภาพ หรือ $0.03 ต่อภาพ บน Fal.ai — ถูกกว่า Nano Banana ✅ การเปรียบเทียบกับ Gemini 2.5 Flash Image (Nano Banana) ➡️ ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 เหนือกว่าใน prompt adherence, alignment และ aesthetics ➡️ ใช้ benchmark ภายในชื่อ MagicBench แต่ยังไม่มีรายงานเทคนิคเผยแพร่ ➡️ Nano Banana ได้รับความนิยมจากการสร้างภาพ 3D ที่แชร์ได้ง่ายและสนุก ➡️ Gemini 2.5 ยังครองอันดับสูงสุดใน text-to-image และ image editing บน Artificial Analysis ✅ การใช้งานและการเข้าถึง ➡️ เปิดให้ใช้งานในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao ➡️ ลูกค้าองค์กรสามารถใช้ผ่าน Volcano Engine ของ ByteDance ➡️ ได้รับคำชมจากผู้ใช้เรื่องความแม่นยำในการแก้ไขภาพผ่าน text prompt ➡️ รองรับการใช้งานแบบ bulk สำหรับลูกค้าเชิงพาณิชย์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ตลาด AI สร้างภาพในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เล่นหลายราย ➡️ Vidu จาก Tsinghua University เปิดตัวฟีเจอร์สร้างภาพจาก 7 reference ➡️ Gemini 2.5 รองรับการสร้างภาพจาก 9 reference ➡️ รัฐบาลจีนรับรองลิขสิทธิ์ของภาพที่สร้างด้วย AI ตั้งแต่ปลายปี 2023 พร้อมบังคับติดป้ายกำกับ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/bytedance-unveils-new-ai-image-model-to-rival-google-deepminds-nano-banana
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ByteDance unveils new AI image model to rival Google DeepMind’s ‘Nano Banana’
    ByteDance claims that Seedream 4.0 beat Gemini 2.5 Flash Image for image generation and editing on its internal evaluation benchmark.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft–OpenAI เซ็น MOU เปิดทางสู่การปรับโครงสร้างใหม่ — จุดเปลี่ยนจากองค์กรไม่แสวงกำไรสู่บริษัทมหาชน”

    Microsoft และ OpenAI ประกาศร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับใหม่เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือในระยะถัดไป โดยมีเป้าหมายหลักคือการเปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างจากองค์กรไม่แสวงกำไรไปสู่บริษัทแบบ for-profit ซึ่งจะสามารถระดมทุนและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ในอนาคต

    แม้ข้อตกลงนี้ยังไม่เป็นสัญญาผูกพัน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัทที่มีบทบาทสูงสุดในวงการ AI โดยเฉพาะในยุคที่ ChatGPT และโมเดลภาษาขนาดใหญ่กลายเป็นเครื่องมือหลักในหลายภาคส่วน

    OpenAI ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และลดการพึ่งพา Microsoft ทั้งในด้านเงินทุนและโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการเซ็นสัญญา cloud computing กับ Oracle และ Google เพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างนี้ยังเผชิญกับแรงต้านจากหลายฝ่าย เช่น อัยการรัฐแคลิฟอร์เนียและเดลาแวร์ที่เปิดการสอบสวน รวมถึง Elon Musk ที่ยื่นฟ้องเพื่อหยุดการเปลี่ยนแปลง โดยอ้างว่า OpenAI ละทิ้งพันธกิจเดิมในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ

    รายละเอียดของข้อตกลงระหว่าง Microsoft และ OpenAI
    ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อกำหนดความร่วมมือระยะใหม่
    เปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทแบบ for-profit
    ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินหรือสัดส่วนการถือหุ้น
    Microsoft ยังคงเข้าถึงเทคโนโลยีของ OpenAI แม้บริษัทจะบรรลุ AGI

    เป้าหมายของการปรับโครงสร้าง
    OpenAI ต้องการระดมทุนเพิ่มเติมและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น
    เปลี่ยนจาก nonprofit เป็น public benefit corporation โดย nonprofit ยังคงถือหุ้นใหญ่
    ลดการพึ่งพา Microsoft โดยเซ็นสัญญา cloud กับ Oracle และ Google
    เพิ่มความคล่องตัวในการแข่งขันกับบริษัท AI อื่น ๆ เช่น xAI และ Anthropic

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OpenAI มีมูลค่าประเมินในตลาดเอกชนกว่า $500 พันล้าน
    Microsoft ลงทุนใน OpenAI มากกว่า $13 พันล้านตั้งแต่ปี 2019
    AGI (Artificial General Intelligence) ถูกนิยามใหม่เป็นระบบที่สร้างรายได้เกิน $100 พันล้าน
    การเปลี่ยนโครงสร้างต้องได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/microsoft-openai-sign-mou-for-next-phase-of-partnership
    💼 “Microsoft–OpenAI เซ็น MOU เปิดทางสู่การปรับโครงสร้างใหม่ — จุดเปลี่ยนจากองค์กรไม่แสวงกำไรสู่บริษัทมหาชน” Microsoft และ OpenAI ประกาศร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับใหม่เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือในระยะถัดไป โดยมีเป้าหมายหลักคือการเปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างจากองค์กรไม่แสวงกำไรไปสู่บริษัทแบบ for-profit ซึ่งจะสามารถระดมทุนและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ในอนาคต แม้ข้อตกลงนี้ยังไม่เป็นสัญญาผูกพัน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัทที่มีบทบาทสูงสุดในวงการ AI โดยเฉพาะในยุคที่ ChatGPT และโมเดลภาษาขนาดใหญ่กลายเป็นเครื่องมือหลักในหลายภาคส่วน OpenAI ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และลดการพึ่งพา Microsoft ทั้งในด้านเงินทุนและโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการเซ็นสัญญา cloud computing กับ Oracle และ Google เพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างนี้ยังเผชิญกับแรงต้านจากหลายฝ่าย เช่น อัยการรัฐแคลิฟอร์เนียและเดลาแวร์ที่เปิดการสอบสวน รวมถึง Elon Musk ที่ยื่นฟ้องเพื่อหยุดการเปลี่ยนแปลง โดยอ้างว่า OpenAI ละทิ้งพันธกิจเดิมในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ ✅ รายละเอียดของข้อตกลงระหว่าง Microsoft และ OpenAI ➡️ ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อกำหนดความร่วมมือระยะใหม่ ➡️ เปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทแบบ for-profit ➡️ ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินหรือสัดส่วนการถือหุ้น ➡️ Microsoft ยังคงเข้าถึงเทคโนโลยีของ OpenAI แม้บริษัทจะบรรลุ AGI ✅ เป้าหมายของการปรับโครงสร้าง ➡️ OpenAI ต้องการระดมทุนเพิ่มเติมและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น ➡️ เปลี่ยนจาก nonprofit เป็น public benefit corporation โดย nonprofit ยังคงถือหุ้นใหญ่ ➡️ ลดการพึ่งพา Microsoft โดยเซ็นสัญญา cloud กับ Oracle และ Google ➡️ เพิ่มความคล่องตัวในการแข่งขันกับบริษัท AI อื่น ๆ เช่น xAI และ Anthropic ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OpenAI มีมูลค่าประเมินในตลาดเอกชนกว่า $500 พันล้าน ➡️ Microsoft ลงทุนใน OpenAI มากกว่า $13 พันล้านตั้งแต่ปี 2019 ➡️ AGI (Artificial General Intelligence) ถูกนิยามใหม่เป็นระบบที่สร้างรายได้เกิน $100 พันล้าน ➡️ การเปลี่ยนโครงสร้างต้องได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/microsoft-openai-sign-mou-for-next-phase-of-partnership
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft, OpenAI reach non-binding deal to allow OpenAI to restructure
    (Reuters) - Microsoft and OpenAI said on Thursday they have signed a non-binding deal for new relationship terms that would allow OpenAI to proceed to restructure itself into a for-profit company, marking a new phase of the most high-profile partnerships to fund the ChatGPT frenzy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Thinking Machines แก้ปัญหา LLM ตอบไม่เหมือนกัน — เผยต้นเหตุจาก batch-size ไม่คงที่ ไม่ใช่แค่เรื่อง floating point”

    หลายคนอาจเคยสงสัยว่า ทำไมเวลาใช้โมเดลภาษาอย่าง ChatGPT ถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ แล้วได้คำตอบไม่เหมือนกัน ทั้งที่ตั้งค่า temperature เป็น 0 ซึ่งควรจะได้คำตอบที่ “แน่นอน” ทุกครั้ง ล่าสุดทีมวิจัยจาก Thinking Machines Lab ได้ออกบทความเจาะลึกถึงสาเหตุของความไม่แน่นอน (nondeterminism) ในการทำ inference ของ LLM และเสนอแนวทางแก้ไขที่อาจเปลี่ยนมาตรฐานของวงการ AI ไปตลอดกาล.

    บทความนี้ชี้ว่า สาเหตุที่แท้จริงไม่ใช่แค่เรื่อง “floating-point non-associativity” หรือการคำนวณแบบขนานบน GPU ที่ทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนไปตามลำดับการรวมค่า แต่เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า “batch-size variance” — กล่าวคือ ผลลัพธ์ของแต่ละคำขอ (request) ขึ้นอยู่กับว่ามีคำขออื่น ๆ เข้ามาพร้อมกันมากแค่ไหน ซึ่งส่งผลให้ batch-size ที่ใช้ใน kernel เปลี่ยนไป และทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนตาม

    เพื่อแก้ปัญหานี้ ทีมงานได้พัฒนา kernel แบบใหม่ที่เรียกว่า “batch-invariant kernels” ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ของแต่ละคำขอไม่ขึ้นอยู่กับ batch-size ที่ใช้ในระบบ โดยปรับปรุงการคำนวณใน RMSNorm, matrix multiplication และ attention ให้มีลำดับการรวมค่าที่คงที่ไม่ว่าจะมีคำขอมากหรือน้อย

    ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า เมื่อใช้ batch-invariant kernels แล้ว โมเดลสามารถให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันทุกครั้งแม้จะมีคำขอหลายชุดเข้ามาพร้อมกัน และยังสามารถนำไปใช้ในงาน reinforcement learning แบบ on-policy ได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

    สาเหตุของความไม่แน่นอนในการทำ inference ของ LLM
    ไม่ได้เกิดจาก floating-point หรือ atomic add โดยตรง
    เกิดจาก batch-size ที่เปลี่ยนไปตามจำนวนคำขอที่เข้ามาพร้อมกัน
    ทำให้ลำดับการคำนวณใน kernel เปลี่ยนไป และผลลัพธ์เปลี่ยนตาม
    ส่งผลให้แม้จะตั้ง temperature = 0 ก็ยังได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน

    แนวทางแก้ไขโดย Thinking Machines
    พัฒนา batch-invariant kernels สำหรับ RMSNorm, matmul และ attention
    ใช้ data-parallel strategy เพื่อให้ลำดับการรวมค่าคงที่
    ปรับ attention kernel ให้ลดค่าจาก KV cache และ current KV อย่างสม่ำเสมอ
    ใช้ fixed-size split แทน fixed-number split เพื่อรักษาลำดับการคำนวณ

    ผลลัพธ์จากการทดลอง
    เมื่อใช้ batch-invariant kernels แล้ว ได้ผลลัพธ์เหมือนกันทุกครั้ง
    สามารถใช้ใน RL แบบ on-policy ได้จริง โดยไม่มี KL divergence
    ลดความจำเป็นในการใช้ importance weighting ใน RL
    แม้จะช้ากว่า kernel ปกติ ~20% แต่ยังอยู่ในระดับที่ใช้งานได้จริง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Thinking Machines ก่อตั้งโดยอดีต CTO ของ OpenAI และมีมูลค่ากว่า $12 พันล้าน
    โครงการนี้ใช้โมเดล Qwen3-8B และ Qwen3-235B ในการทดลอง
    batch-invariant ops ถูกเผยแพร่ผ่าน PyTorch library และ vLLM integration
    แนวคิดนี้อาจเปลี่ยนมาตรฐานของการ deploy LLM ในระดับ production

    https://thinkingmachines.ai/blog/defeating-nondeterminism-in-llm-inference/
    🧠 “Thinking Machines แก้ปัญหา LLM ตอบไม่เหมือนกัน — เผยต้นเหตุจาก batch-size ไม่คงที่ ไม่ใช่แค่เรื่อง floating point” หลายคนอาจเคยสงสัยว่า ทำไมเวลาใช้โมเดลภาษาอย่าง ChatGPT ถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ แล้วได้คำตอบไม่เหมือนกัน ทั้งที่ตั้งค่า temperature เป็น 0 ซึ่งควรจะได้คำตอบที่ “แน่นอน” ทุกครั้ง ล่าสุดทีมวิจัยจาก Thinking Machines Lab ได้ออกบทความเจาะลึกถึงสาเหตุของความไม่แน่นอน (nondeterminism) ในการทำ inference ของ LLM และเสนอแนวทางแก้ไขที่อาจเปลี่ยนมาตรฐานของวงการ AI ไปตลอดกาล. บทความนี้ชี้ว่า สาเหตุที่แท้จริงไม่ใช่แค่เรื่อง “floating-point non-associativity” หรือการคำนวณแบบขนานบน GPU ที่ทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนไปตามลำดับการรวมค่า แต่เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า “batch-size variance” — กล่าวคือ ผลลัพธ์ของแต่ละคำขอ (request) ขึ้นอยู่กับว่ามีคำขออื่น ๆ เข้ามาพร้อมกันมากแค่ไหน ซึ่งส่งผลให้ batch-size ที่ใช้ใน kernel เปลี่ยนไป และทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนตาม เพื่อแก้ปัญหานี้ ทีมงานได้พัฒนา kernel แบบใหม่ที่เรียกว่า “batch-invariant kernels” ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ของแต่ละคำขอไม่ขึ้นอยู่กับ batch-size ที่ใช้ในระบบ โดยปรับปรุงการคำนวณใน RMSNorm, matrix multiplication และ attention ให้มีลำดับการรวมค่าที่คงที่ไม่ว่าจะมีคำขอมากหรือน้อย ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า เมื่อใช้ batch-invariant kernels แล้ว โมเดลสามารถให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันทุกครั้งแม้จะมีคำขอหลายชุดเข้ามาพร้อมกัน และยังสามารถนำไปใช้ในงาน reinforcement learning แบบ on-policy ได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ✅ สาเหตุของความไม่แน่นอนในการทำ inference ของ LLM ➡️ ไม่ได้เกิดจาก floating-point หรือ atomic add โดยตรง ➡️ เกิดจาก batch-size ที่เปลี่ยนไปตามจำนวนคำขอที่เข้ามาพร้อมกัน ➡️ ทำให้ลำดับการคำนวณใน kernel เปลี่ยนไป และผลลัพธ์เปลี่ยนตาม ➡️ ส่งผลให้แม้จะตั้ง temperature = 0 ก็ยังได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน ✅ แนวทางแก้ไขโดย Thinking Machines ➡️ พัฒนา batch-invariant kernels สำหรับ RMSNorm, matmul และ attention ➡️ ใช้ data-parallel strategy เพื่อให้ลำดับการรวมค่าคงที่ ➡️ ปรับ attention kernel ให้ลดค่าจาก KV cache และ current KV อย่างสม่ำเสมอ ➡️ ใช้ fixed-size split แทน fixed-number split เพื่อรักษาลำดับการคำนวณ ✅ ผลลัพธ์จากการทดลอง ➡️ เมื่อใช้ batch-invariant kernels แล้ว ได้ผลลัพธ์เหมือนกันทุกครั้ง ➡️ สามารถใช้ใน RL แบบ on-policy ได้จริง โดยไม่มี KL divergence ➡️ ลดความจำเป็นในการใช้ importance weighting ใน RL ➡️ แม้จะช้ากว่า kernel ปกติ ~20% แต่ยังอยู่ในระดับที่ใช้งานได้จริง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Thinking Machines ก่อตั้งโดยอดีต CTO ของ OpenAI และมีมูลค่ากว่า $12 พันล้าน ➡️ โครงการนี้ใช้โมเดล Qwen3-8B และ Qwen3-235B ในการทดลอง ➡️ batch-invariant ops ถูกเผยแพร่ผ่าน PyTorch library และ vLLM integration ➡️ แนวคิดนี้อาจเปลี่ยนมาตรฐานของการ deploy LLM ในระดับ production https://thinkingmachines.ai/blog/defeating-nondeterminism-in-llm-inference/
    THINKINGMACHINES.AI
    Defeating Nondeterminism in LLM Inference
    Reproducibility is a bedrock of scientific progress. However, it’s remarkably difficult to get reproducible results out of large language models. For example, you might observe that asking ChatGPT the same question multiple times provides different results. This by itself is not surprising, since getting a result from a language model involves “sampling”, a process that converts the language model’s output into a probability distribution and probabilistically selects a token. What might be more surprising is that even when we adjust the temperature down to 0This means that the LLM always chooses the highest probability token, which is called greedy sampling. (thus making the sampling theoretically deterministic), LLM APIs are still not deterministic in practice (see past discussions here, here, or here). Even when running inference on your own hardware with an OSS inference library like vLLM or SGLang, sampling still isn’t deterministic (see here or here).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..อ.ปานเทพ ทำถูกต้องมาก ต้องแบบนี้ แฉชื่อประเทศที่สามอย่างตรงไปตรงมา มันกล้าสั่งมันกล้ามาบีบมากดดัน ต้องกล้าถูกคนไทยทั้งประเทศมารับรู้การกระทำของมัน
    .. เลิกปกปิดเลิกปิดบังชื่อประเทศที่สามกันอีกต่อไป แฉความจริงแบบลักษณะนี้ออกมา เรา..ประชาชนก็สามารถร่วมแก้ไขต้นเหตุของปัญหาร่วมกันได้.
    ..ญี่ปุ่นเป็นประเทศสันดานหมามาแต่ใดมาตั้งแต่ก่อการอยากใหญ่ก่อสงครามโลก
    ..ญี่ปุ่นไม่ใช่ประเทศที่สามเจ้าเดียวแน่นอน แต่เมื่อแฉว่าญี่ปุ่นก็คือชาติญี่ปุ่น นักลงทุนญี่ปุ่นนี้นั้นเอง.
    ..ใจหมามาแทรกแซงอธิปไตยไทย เกาหลีเหนือสมควรยิงขีปนาวุธถล่มญี่ปุ่นเลย,เกาะผีบ้าจะจมทะเลทั้งประเทศเวลาไหนก็ไม่รู้ เกาะซาตานแรปทีเลียนเสพกามทั้งเกาะเอามันส์บ้ากามสารพัดตามสันดานแรปทีเลี่ยนสัตว์เลื้อยคลาน กษัตริย์มันในอดีตก่อนระเบิดสองเกาะนางากับฮิโรชิมันก็สัตว์เลื้อยคลานขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองจนมีกฎห้ามมองหน้ากษัตริย์เกิดขึ้นเพราะหน้าตากษัตริย์คือพวกสัตว์เลื้อยคลาน ประชาชนรับรู้จะล้มล้างมัน จึงฆ่าทุกๆคนที่ไปเห็นใบหน้าพวกมัน,ใต้เกาะญี่ปุ่นคืออุโมงค์ขนาดใหญ่ยักษ์เผ่าสัตว์เลื้อยคลานแดกมนุษย์เป็นอันมาก เพาะมนุษย์โคลนมนุษย์เป็นฟาร์มใต้ดินไว้แดกเป็นจำนวนมาก.ญี่ปุ่นคือตาอเมริกาตัวพ่อ ตัวกดขี่ไทยคือญี่ปุ่นนี้ล่ะ, ฝรั่งเศสก็ตาอเมริกา,อย่าแปลกใจทำไมเราเสียมลฑลบูรพาเราคือพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณเพราะญี่ปุ่นนี้คือฝ่ายพวกมันกับฝรั่งเศสอังกฤษอเมริกา ญี่ปุ่นคือไส้ศึกตัวพ่ออีกตัว,ตัวแทนอเมริกาเป็นceoตัวแทนฝรั่งมาปกครองดูแลสายพานผลประโยชน์ของฝรั่งทั้งประเทศไทย ดูตัวอย่างที่ชัดเจนคือการผลิตรถยนต์ มันกดขี่ห้ามคนไทยสามารถผลิตมาแข่งกับมันอิสระได้,ซื้อข้าราชการนักการเมืองขายชาติไว้ทำงานทุกๆวงการให้มัน,ชาติไทยเราจึงไม่เจริญไปไหน,แถมเสื่อมศีลธรรมคู่ขนานเจริญเพียงวัตถุแค่นั้น,ง่ายๆญี่ปุ่นไม่ใช่มิตรจริงอะไรหรอก,นอมินีอีลิทdeep stateแรปทีเลี่ยนดีๆนี้ล่ะ,สังเกตุมันใช้มุกแบบอเมริกาพิมพ์แบงค์ใช้เองได้สิ,อเมริกาก็พิมพ์แบงค์ใช้เองตามอำเภอใจ,ญี่ปุ่นขี้ข้ามือขวาในฝั่งเอเชียเลยก็ได้ สันดานเดียวกับอเมริกานั้นล่ะ,สันดานนี้ดูง่ายๆคือมวยไทยไปชกที่ญี่ปุ่น มันโกงคนไทยสารพัดรูปแบบเพื่อเอาชนะนักมวยไทยเรา ยุคล่าสุดคือบัวขวาK-1มันนั้นล่ะ,เราถูกสื่อในไทยเราที่มันซื้อสื่อหลักเราด้วยเงินได้มาล้างสมองคนไทยเราให้ชอบญี่ปุ่นแบบมัน,
    ..ธาตุแท้ญี่ปุ่นมันก็สันดานเดียวกับเขมรนั้นล่ะ,
    ..คนไทยเราจึงต้องช่วยเหลือกันเองเท่านั้น,สามัคคีเราคนไทยเท่านั้นจึงจะรอดในวิกฤติยุคนี้,เรามิอาจพึงใครนอกประเทศจริงจังเป็นหลักได้,พระเจ้าสอนให้เองพึงตนเองให้ได้ก่อนนั้นถูกต้องที่สุด,
    ..ญี่ปุ่นมาแทรกแซงภัยคุกคามรุกรานไทย,สันดานไม่ต่างจากอเมริการีบมาแทรกให้ต้องหยุดยิงนั้นล่ะ มุกเดียวกัน
    ..แต่ญี่ปุ่นมาแทรกมาแซงมาแทรกแซงขัดขวางในการจัดการเขมรด้วยการบีบไทยให้ต้องเปิดด่าน,บริบทพื้นฐานเพื่ออีลิทไม่ต้องการให้ไทยจัดการเขมรให้เด็ดขาดได้เพราะถ้าจัดการเขมรเด็ดขาดได้ ภูมิภาคนี้จะสงบสุขทันที ซึ่งอีลิทdeep stateยอมรับไม่ได้จะเสียแผนทั้งหมด,ต้องทำลายกลยุทธทางสงครามของไทยด้านการแทรกแซงบีบำทยต้องเปิดด่านให้ได้โดยส่งญี่ปุ่นกล้าตายมารับบทรับงานหน้างานครั้งนี้แทนมาเลย์อเมริกาที่เล่นไปแล้ว,กำกับงานละครโดยCIAประจำภูมิภาคนี้อีกล่ะ,งานสร้างความวุ่นวายไม่สงบสุขงานสร้างความโกลาหลแตกแยกต้องCIAยุยงปลุกปั่นเสมอ,มือที่สามตัวพ่อกำกับมือที่สามสำรองอีกที.
    ..ประเทศที่สามไม่น่าจะแค่ชาติญี่ปุ่น มีอเมริกา มีฝรั่งเศส ชาติอาหรับเลว ชาติยุโรปชั่วอีกตรึม งานหลักคือสร้างความไม่สงบสุขสันติในภูมิภาคนี้ ห้ามไทยจัดการเขมรให้เด็ดขาดได้ แหล่งอาหาร เนื้อมนุษย์ค้ามนุษย์ค้าอวัยวะมนุษย์จะหายไปทันที อาหารดีๆเนื้อคนเนื้อเด็กๆจะหายไปทันทีจะขาดตลาดทั่วโลกในลัทธิตาเดียวแดกมนุษย์นี้ ตลอดฮับฟอกเงิน ฮับอาชญากรรมสากลข้ามชาติทำเงินในเขมรจะหายไปด้วย สแกมเมอร์เดอะแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหายไปทันที บ่อนคาสิโน ค้ายาเถื่อน ค้าอาวุธชีวภาพตัวพ่อด้วยที่แอบซ่อนไว้อีกตรึมไม่ต่างจากฝั่งยูเครนเลยล่ะ,ใต้ดินใต้อุโมงค์ในเขมรอีกขุดไว้ขนาดใหญ่เป็นฐานจะถูกทำลายทันที,ไม่ต่างจากพวกขายชาติที่ให้อเมริกาสร้างอุโมงค์ขนาดใหญ่ฐานขนาดใหญ่ที่เชียงใหม่แก่อเมริกานั้นล่ะ,ฮับรวบรวมเนื้อสดค้ามนุษย์จากฝั่งพม่าได้มากมายกันเลย ,ทะลุรถไฟฟ้าใต้เปลือกโลกใต้ดินวิ่งไปยุโรปอเมริกาความเร็วกว่า3,000กม.ถึง8,000กม.ต่อชม.อีก,
    ..สรุปญี่ปุ่นเหี้ยทำลายความมั่นคงสงบสุขในภูมิภาคเรานี้ก็ด้วย ในไทยยิ่งชัดเจน,ญี่ปุ่นใช้เวียดนามส่งสินค้าบรรทุกสินค้าไปค้าขายได้,เห็นว่าไทยปิดด่าน สามารถใช้ฐานลาว เวียดนามค้าขายแทนได้,ไม่จำเป็นใช้อ้างไทย หากมิตรสหายที่ดีจริงจะไม่ทำแบบนี้,เอาภัยรุกรานคุกคามอธิปไตยไทยที่เขมรกำลังโจมตีไทย ยิงระเบิดใส่ไทยก่อนใส่ประชาชนไทยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก่อน ใส่โรงพยาบาลไทยที่ไม่รู้ห่าอะไรด้วยเลยก่อน สายข่าวสืบทราบชัดเจนว่ามันล็อกวิถีระเยิดยิงตกของการตกได้ ความน่าจะเป็นจะถึงจะตกระเบิดได้หรือการตกถูกได้,ญี่ปุ่นทำในจังหวะนี้ผิดวิสัยผิดปกติด้วย.ไส้ศึกศัตรูคือญี่ปุ่นนี้ก็ด้วย.หากข่าวนี้จริง,ญี่ปุ่นถ้าไปตกลงเจรจาทางลับกับอเมริกากับฝรั่งเศสหากขนเสบียงอาวุธช่วยเขมรชนะไทย ญี่ปุ่นก็มีส่วนได้ทรัพยากรมีค่ามากมายกว่า20ล้านล้านบาทอาจถึง100ล้านล้านบาทในอ่าวไทยและตลอดแนวพรมแดนไทยกับเขมรด้วย,สถานะญี่ปุ่นกับไทยจึงดูเหมาะสมยุ่งเกี่ยวออกตัวไม่น่าเกียจแบบอเมริกาฝรั่งเศสมาเลย์เพราะอ้างการลงทุนในเขมรอ้างการค้าขายไม่ได้แบบใก้ไทยเช่นญี่ปุ่นกว่าก็ไม่ได้,ญี่ปุ่นจึงเป็นตัวเลือกการแทรกแซงหน้างานครั้งนี้ดีที่สุดเนียนๆที่สุดนิ่มนวลที่สุด,ไม่มีใครออกมากล้าแฉชื่อประเทศที่สามได้หรอก รัฐบาลนายกฯหนูปกปิดให้อย่างดีแน่นอน,สามารถแทรกแซงยุทธการยุทธวิธีการเด็ดศึกเขมรได้แน่นอน ขัดขวางทหารไทยทำลายศักยภาพทางสงครามทหารเขมรได้แน่นอน,การเปิดด่าน ชาติที่สนับสนุนเขมร ขายอาวุธให้เขมรได้ขายได้ค้าแน่นอนจากเงินมืดเงินบ่อนของเขมรจากเงินแก๊งสแกมเมอร์ในเขมรมันซื้ออาวุธซื้อเสบียงพร้อมส่งตรงเวลาตามไส้ศึกในไทยเปิดจุดผ่อนปรนเปิดด่านให้เราขนส่งกำลังพลช่วยทหารเขมรชนะไทยได้แน่นอน.,ต้องฝากประเทศที่สามแบบญี่ปุ่นแล้วนะ เราฝรั่งเศสจะล่มละลายแล้ว อเมริกาก็ด้วย ญี่ปุ่นแกก็อักเสบทางการเงินด้วยนี้,มาจัดการไทยปล้นไทยอย่างชอบธรรมแดกได้จริงไม่อับอายโลกแค่เชียร์เขมรยึด1:200,000,สั่งไส้ศึกในไทยจะเปลี่ยนใครก็กอดmou43,44,tor46ไว้ให้แน่นด้วย,รับรองว่ามือที่สามประเทศสร้างความแตกแยกวุ่นวายแทรกแซงชาตินั้นแทรกแซงชาตินี้แบบเราสบายแน่นอน.ตังมหาศาลจากไทยเลย.แกญี่ปุ่นบีบไทยเปิดด่านให้ได้ ส่งสินค้าอาวุธและเสบียงให้ทหารเขมรรบชนะไทยให้ได้ ตุนอาวุธตุนเสบียงก่อน ยอมๆตกลงรับปากลมๆใสกระดาษกับไทยก่อนนะเขมร,ชนะไทยแน่นอนจากไส้ศึกภายในประเทศไทยมันเองคนในกองทัพไทยมันเอง.

    https://youtube.com/shorts/8br86PtN-yg?si=OtkRfTsleWOCTPaP
    ..อ.ปานเทพ ทำถูกต้องมาก ต้องแบบนี้ แฉชื่อประเทศที่สามอย่างตรงไปตรงมา มันกล้าสั่งมันกล้ามาบีบมากดดัน ต้องกล้าถูกคนไทยทั้งประเทศมารับรู้การกระทำของมัน .. เลิกปกปิดเลิกปิดบังชื่อประเทศที่สามกันอีกต่อไป แฉความจริงแบบลักษณะนี้ออกมา เรา..ประชาชนก็สามารถร่วมแก้ไขต้นเหตุของปัญหาร่วมกันได้. ..ญี่ปุ่นเป็นประเทศสันดานหมามาแต่ใดมาตั้งแต่ก่อการอยากใหญ่ก่อสงครามโลก ..ญี่ปุ่นไม่ใช่ประเทศที่สามเจ้าเดียวแน่นอน แต่เมื่อแฉว่าญี่ปุ่นก็คือชาติญี่ปุ่น นักลงทุนญี่ปุ่นนี้นั้นเอง. ..ใจหมามาแทรกแซงอธิปไตยไทย เกาหลีเหนือสมควรยิงขีปนาวุธถล่มญี่ปุ่นเลย,เกาะผีบ้าจะจมทะเลทั้งประเทศเวลาไหนก็ไม่รู้ เกาะซาตานแรปทีเลียนเสพกามทั้งเกาะเอามันส์บ้ากามสารพัดตามสันดานแรปทีเลี่ยนสัตว์เลื้อยคลาน กษัตริย์มันในอดีตก่อนระเบิดสองเกาะนางากับฮิโรชิมันก็สัตว์เลื้อยคลานขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองจนมีกฎห้ามมองหน้ากษัตริย์เกิดขึ้นเพราะหน้าตากษัตริย์คือพวกสัตว์เลื้อยคลาน ประชาชนรับรู้จะล้มล้างมัน จึงฆ่าทุกๆคนที่ไปเห็นใบหน้าพวกมัน,ใต้เกาะญี่ปุ่นคืออุโมงค์ขนาดใหญ่ยักษ์เผ่าสัตว์เลื้อยคลานแดกมนุษย์เป็นอันมาก เพาะมนุษย์โคลนมนุษย์เป็นฟาร์มใต้ดินไว้แดกเป็นจำนวนมาก.ญี่ปุ่นคือตาอเมริกาตัวพ่อ ตัวกดขี่ไทยคือญี่ปุ่นนี้ล่ะ, ฝรั่งเศสก็ตาอเมริกา,อย่าแปลกใจทำไมเราเสียมลฑลบูรพาเราคือพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณเพราะญี่ปุ่นนี้คือฝ่ายพวกมันกับฝรั่งเศสอังกฤษอเมริกา ญี่ปุ่นคือไส้ศึกตัวพ่ออีกตัว,ตัวแทนอเมริกาเป็นceoตัวแทนฝรั่งมาปกครองดูแลสายพานผลประโยชน์ของฝรั่งทั้งประเทศไทย ดูตัวอย่างที่ชัดเจนคือการผลิตรถยนต์ มันกดขี่ห้ามคนไทยสามารถผลิตมาแข่งกับมันอิสระได้,ซื้อข้าราชการนักการเมืองขายชาติไว้ทำงานทุกๆวงการให้มัน,ชาติไทยเราจึงไม่เจริญไปไหน,แถมเสื่อมศีลธรรมคู่ขนานเจริญเพียงวัตถุแค่นั้น,ง่ายๆญี่ปุ่นไม่ใช่มิตรจริงอะไรหรอก,นอมินีอีลิทdeep stateแรปทีเลี่ยนดีๆนี้ล่ะ,สังเกตุมันใช้มุกแบบอเมริกาพิมพ์แบงค์ใช้เองได้สิ,อเมริกาก็พิมพ์แบงค์ใช้เองตามอำเภอใจ,ญี่ปุ่นขี้ข้ามือขวาในฝั่งเอเชียเลยก็ได้ สันดานเดียวกับอเมริกานั้นล่ะ,สันดานนี้ดูง่ายๆคือมวยไทยไปชกที่ญี่ปุ่น มันโกงคนไทยสารพัดรูปแบบเพื่อเอาชนะนักมวยไทยเรา ยุคล่าสุดคือบัวขวาK-1มันนั้นล่ะ,เราถูกสื่อในไทยเราที่มันซื้อสื่อหลักเราด้วยเงินได้มาล้างสมองคนไทยเราให้ชอบญี่ปุ่นแบบมัน, ..ธาตุแท้ญี่ปุ่นมันก็สันดานเดียวกับเขมรนั้นล่ะ, ..คนไทยเราจึงต้องช่วยเหลือกันเองเท่านั้น,สามัคคีเราคนไทยเท่านั้นจึงจะรอดในวิกฤติยุคนี้,เรามิอาจพึงใครนอกประเทศจริงจังเป็นหลักได้,พระเจ้าสอนให้เองพึงตนเองให้ได้ก่อนนั้นถูกต้องที่สุด, ..ญี่ปุ่นมาแทรกแซงภัยคุกคามรุกรานไทย,สันดานไม่ต่างจากอเมริการีบมาแทรกให้ต้องหยุดยิงนั้นล่ะ มุกเดียวกัน ..แต่ญี่ปุ่นมาแทรกมาแซงมาแทรกแซงขัดขวางในการจัดการเขมรด้วยการบีบไทยให้ต้องเปิดด่าน,บริบทพื้นฐานเพื่ออีลิทไม่ต้องการให้ไทยจัดการเขมรให้เด็ดขาดได้เพราะถ้าจัดการเขมรเด็ดขาดได้ ภูมิภาคนี้จะสงบสุขทันที ซึ่งอีลิทdeep stateยอมรับไม่ได้จะเสียแผนทั้งหมด,ต้องทำลายกลยุทธทางสงครามของไทยด้านการแทรกแซงบีบำทยต้องเปิดด่านให้ได้โดยส่งญี่ปุ่นกล้าตายมารับบทรับงานหน้างานครั้งนี้แทนมาเลย์อเมริกาที่เล่นไปแล้ว,กำกับงานละครโดยCIAประจำภูมิภาคนี้อีกล่ะ,งานสร้างความวุ่นวายไม่สงบสุขงานสร้างความโกลาหลแตกแยกต้องCIAยุยงปลุกปั่นเสมอ,มือที่สามตัวพ่อกำกับมือที่สามสำรองอีกที. ..ประเทศที่สามไม่น่าจะแค่ชาติญี่ปุ่น มีอเมริกา มีฝรั่งเศส ชาติอาหรับเลว ชาติยุโรปชั่วอีกตรึม งานหลักคือสร้างความไม่สงบสุขสันติในภูมิภาคนี้ ห้ามไทยจัดการเขมรให้เด็ดขาดได้ แหล่งอาหาร เนื้อมนุษย์ค้ามนุษย์ค้าอวัยวะมนุษย์จะหายไปทันที อาหารดีๆเนื้อคนเนื้อเด็กๆจะหายไปทันทีจะขาดตลาดทั่วโลกในลัทธิตาเดียวแดกมนุษย์นี้ ตลอดฮับฟอกเงิน ฮับอาชญากรรมสากลข้ามชาติทำเงินในเขมรจะหายไปด้วย สแกมเมอร์เดอะแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหายไปทันที บ่อนคาสิโน ค้ายาเถื่อน ค้าอาวุธชีวภาพตัวพ่อด้วยที่แอบซ่อนไว้อีกตรึมไม่ต่างจากฝั่งยูเครนเลยล่ะ,ใต้ดินใต้อุโมงค์ในเขมรอีกขุดไว้ขนาดใหญ่เป็นฐานจะถูกทำลายทันที,ไม่ต่างจากพวกขายชาติที่ให้อเมริกาสร้างอุโมงค์ขนาดใหญ่ฐานขนาดใหญ่ที่เชียงใหม่แก่อเมริกานั้นล่ะ,ฮับรวบรวมเนื้อสดค้ามนุษย์จากฝั่งพม่าได้มากมายกันเลย ,ทะลุรถไฟฟ้าใต้เปลือกโลกใต้ดินวิ่งไปยุโรปอเมริกาความเร็วกว่า3,000กม.ถึง8,000กม.ต่อชม.อีก, ..สรุปญี่ปุ่นเหี้ยทำลายความมั่นคงสงบสุขในภูมิภาคเรานี้ก็ด้วย ในไทยยิ่งชัดเจน,ญี่ปุ่นใช้เวียดนามส่งสินค้าบรรทุกสินค้าไปค้าขายได้,เห็นว่าไทยปิดด่าน สามารถใช้ฐานลาว เวียดนามค้าขายแทนได้,ไม่จำเป็นใช้อ้างไทย หากมิตรสหายที่ดีจริงจะไม่ทำแบบนี้,เอาภัยรุกรานคุกคามอธิปไตยไทยที่เขมรกำลังโจมตีไทย ยิงระเบิดใส่ไทยก่อนใส่ประชาชนไทยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก่อน ใส่โรงพยาบาลไทยที่ไม่รู้ห่าอะไรด้วยเลยก่อน สายข่าวสืบทราบชัดเจนว่ามันล็อกวิถีระเยิดยิงตกของการตกได้ ความน่าจะเป็นจะถึงจะตกระเบิดได้หรือการตกถูกได้,ญี่ปุ่นทำในจังหวะนี้ผิดวิสัยผิดปกติด้วย.ไส้ศึกศัตรูคือญี่ปุ่นนี้ก็ด้วย.หากข่าวนี้จริง,ญี่ปุ่นถ้าไปตกลงเจรจาทางลับกับอเมริกากับฝรั่งเศสหากขนเสบียงอาวุธช่วยเขมรชนะไทย ญี่ปุ่นก็มีส่วนได้ทรัพยากรมีค่ามากมายกว่า20ล้านล้านบาทอาจถึง100ล้านล้านบาทในอ่าวไทยและตลอดแนวพรมแดนไทยกับเขมรด้วย,สถานะญี่ปุ่นกับไทยจึงดูเหมาะสมยุ่งเกี่ยวออกตัวไม่น่าเกียจแบบอเมริกาฝรั่งเศสมาเลย์เพราะอ้างการลงทุนในเขมรอ้างการค้าขายไม่ได้แบบใก้ไทยเช่นญี่ปุ่นกว่าก็ไม่ได้,ญี่ปุ่นจึงเป็นตัวเลือกการแทรกแซงหน้างานครั้งนี้ดีที่สุดเนียนๆที่สุดนิ่มนวลที่สุด,ไม่มีใครออกมากล้าแฉชื่อประเทศที่สามได้หรอก รัฐบาลนายกฯหนูปกปิดให้อย่างดีแน่นอน,สามารถแทรกแซงยุทธการยุทธวิธีการเด็ดศึกเขมรได้แน่นอน ขัดขวางทหารไทยทำลายศักยภาพทางสงครามทหารเขมรได้แน่นอน,การเปิดด่าน ชาติที่สนับสนุนเขมร ขายอาวุธให้เขมรได้ขายได้ค้าแน่นอนจากเงินมืดเงินบ่อนของเขมรจากเงินแก๊งสแกมเมอร์ในเขมรมันซื้ออาวุธซื้อเสบียงพร้อมส่งตรงเวลาตามไส้ศึกในไทยเปิดจุดผ่อนปรนเปิดด่านให้เราขนส่งกำลังพลช่วยทหารเขมรชนะไทยได้แน่นอน.,ต้องฝากประเทศที่สามแบบญี่ปุ่นแล้วนะ เราฝรั่งเศสจะล่มละลายแล้ว อเมริกาก็ด้วย ญี่ปุ่นแกก็อักเสบทางการเงินด้วยนี้,มาจัดการไทยปล้นไทยอย่างชอบธรรมแดกได้จริงไม่อับอายโลกแค่เชียร์เขมรยึด1:200,000,สั่งไส้ศึกในไทยจะเปลี่ยนใครก็กอดmou43,44,tor46ไว้ให้แน่นด้วย,รับรองว่ามือที่สามประเทศสร้างความแตกแยกวุ่นวายแทรกแซงชาตินั้นแทรกแซงชาตินี้แบบเราสบายแน่นอน.ตังมหาศาลจากไทยเลย.แกญี่ปุ่นบีบไทยเปิดด่านให้ได้ ส่งสินค้าอาวุธและเสบียงให้ทหารเขมรรบชนะไทยให้ได้ ตุนอาวุธตุนเสบียงก่อน ยอมๆตกลงรับปากลมๆใสกระดาษกับไทยก่อนนะเขมร,ชนะไทยแน่นอนจากไส้ศึกภายในประเทศไทยมันเองคนในกองทัพไทยมันเอง. https://youtube.com/shorts/8br86PtN-yg?si=OtkRfTsleWOCTPaP
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts