• “GIMP 3.0.6 มาแล้ว! รองรับแปรง Photoshop ดีขึ้น พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบสำหรับสายกราฟิก”

    GIMP 3.0.6 เวอร์ชันล่าสุดของโปรแกรมแต่งภาพโอเพ่นซอร์สชื่อดัง ได้เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมการปรับปรุงครั้งสำคัญ ทั้งในด้านการรองรับแปรง Photoshop (.ABR), การจัดการพาเลตสี, การส่งออก SVG และการใช้งานฟิลเตอร์แบบไม่ทำลายภาพ (non-destructive filters)

    หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่นคือการเพิ่ม toggle ในหน้าต่าง Brushes และ Fonts เพื่อให้พรีวิวของแปรงและฟอนต์สามารถปรับตามธีมสีของโปรแกรมได้ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการนำเข้าพาเลตสี เช่น รองรับค่า alpha, การนำเข้า ACB palettes แบบ CMYK และ Lab ได้ดีขึ้น รวมถึงการกรองรูปแบบไฟล์พาเลตในหน้าต่างนำเข้า

    GIMP 3.0.6 ยังปรับปรุงการใช้งานฟิลเตอร์ให้มีความไวต่อบริบทมากขึ้น เช่น ปิดการใช้งานฟิลเตอร์ที่ไม่สามารถใช้แบบ non-destructive ได้โดยอัตโนมัติ และเพิ่มความสามารถในการใช้ฟิลเตอร์กับช่องสีแบบไม่ทำลายภาพ

    ด้านการใช้งานทั่วไปก็มีการปรับปรุงหลายจุด เช่น การซูมใน grid และ list view ด้วย scroll หรือ gesture, การแสดง undo สำหรับการล็อกเนื้อหา, การปรับขนาดภาพให้ตรงกับเลเยอร์โดยไม่สนใจ selection, และการแก้ไขการสร้าง layer mask ให้มีความทึบเต็มเมื่อไม่มี alpha

    เครื่องมือ Text ก็ได้รับการปรับปรุงให้เปลี่ยนสีเฉพาะเมื่อผู้ใช้ยืนยันเท่านั้น ส่วนเครื่องมือ Transform ก็สามารถ preview แบบ multi-layer ได้แล้ว และเครื่องมือ Foreground Selection จะไม่สร้าง selection หากไม่มีการวาด stroke

    ปลั๊กอินต่าง ๆ ก็ได้รับการอัปเดต เช่น Print plug-in ที่มีหน้าต่างปรับแต่งใหม่สำหรับ Flatpak/Snap, Jigsaw plug-in ที่สามารถวาดบนเลเยอร์โปร่งใสได้, และ Sphere Designer ที่เปลี่ยนมาใช้ spin scale

    รองรับการนำเข้าไฟล์ภาพหลากหลายมากขึ้น เช่น JPEG 2000, TIFF, DDS, SVG, PSP, ICNS, DICOM, WBMP, Farbfeld, XWD และ ILBM รวมถึงการส่งออกไฟล์ FITS และ C Source/HTML แบบ non-interactive

    ในส่วนของ GUI มีการปรับปรุงการซูมพรีวิวข้อมูล, การตั้งชื่อที่สอดคล้องกันมากขึ้น, การจัดการหน้าต่าง และการปรับ CSS เพื่อให้สไตล์อินเทอร์เฟซดูดีขึ้น

    GIMP 3.0.6 พร้อมให้ดาวน์โหลดในรูปแบบ AppImage, Flatpak และ source tarball สำหรับผู้ที่ต้องการคอมไพล์เอง โดย AppImage เวอร์ชันนี้สร้างบน Debian 13 “Trixie” และ Flatpak มีการปรับปรุงระบบแคชด้วย ORAS รวมถึงมี nightly build สำหรับ AArch64 แล้ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    GIMP 3.0.6 เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วในเดือนตุลาคม 2025
    รองรับแปรง Photoshop (.ABR) ได้ดีขึ้น
    เพิ่ม toggle ให้พรีวิวแปรงและฟอนต์ปรับตามธีมสี
    ปรับปรุงการนำเข้าพาเลตสี เช่น รองรับ alpha และ ACB palettes แบบ CMYK/Lab
    ฟิลเตอร์สามารถใช้แบบ non-destructive กับช่องสีได้
    ปิดการใช้งานฟิลเตอร์ที่ไม่รองรับแบบ non-destructive โดยอัตโนมัติ
    ปรับปรุงการซูมใน grid/list view ด้วย scroll และ gesture
    เครื่องมือ Text และ Transform ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานแม่นยำขึ้น
    ปลั๊กอิน Print, Jigsaw, Sphere Designer ได้รับการอัปเดต
    รองรับการนำเข้าไฟล์ภาพหลากหลาย เช่น JPEG 2000, TIFF, SVG, ICNS
    ส่งออกไฟล์ FITS และ HTML/C Source แบบ non-interactive ได้
    GUI ปรับปรุงการซูมพรีวิว, การตั้งชื่อ, การจัดการหน้าต่าง และ CSS
    AppImage สร้างบน Debian 13 “Trixie” และ Flatpak ปรับปรุงระบบแคชด้วย ORAS
    มี nightly build สำหรับ AArch64 พร้อมให้ใช้งาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GIMP เป็นโปรแกรมแต่งภาพโอเพ่นซอร์สที่ใช้แทน Photoshop ได้ในหลายกรณี
    PhotoGIMP เป็นแพตช์ที่ปรับ GIMP ให้มีอินเทอร์เฟซคล้าย Photoshop มากขึ้น
    Flatpak เป็นระบบติดตั้งแอปแบบ sandbox ที่นิยมใน Linux
    AppImage เป็นไฟล์รันตรงที่ไม่ต้องติดตั้ง เหมาะกับผู้ใช้ Linux ทุก distro
    GIMP 3.0 ใช้ GTK3 และรองรับ Wayland, HiDPI, และ multi-layer selection

    https://9to5linux.com/gimp-3-0-6-is-now-available-for-download-with-improved-photoshop-brush-support
    🖌️ “GIMP 3.0.6 มาแล้ว! รองรับแปรง Photoshop ดีขึ้น พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบสำหรับสายกราฟิก” GIMP 3.0.6 เวอร์ชันล่าสุดของโปรแกรมแต่งภาพโอเพ่นซอร์สชื่อดัง ได้เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมการปรับปรุงครั้งสำคัญ ทั้งในด้านการรองรับแปรง Photoshop (.ABR), การจัดการพาเลตสี, การส่งออก SVG และการใช้งานฟิลเตอร์แบบไม่ทำลายภาพ (non-destructive filters) หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่นคือการเพิ่ม toggle ในหน้าต่าง Brushes และ Fonts เพื่อให้พรีวิวของแปรงและฟอนต์สามารถปรับตามธีมสีของโปรแกรมได้ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการนำเข้าพาเลตสี เช่น รองรับค่า alpha, การนำเข้า ACB palettes แบบ CMYK และ Lab ได้ดีขึ้น รวมถึงการกรองรูปแบบไฟล์พาเลตในหน้าต่างนำเข้า GIMP 3.0.6 ยังปรับปรุงการใช้งานฟิลเตอร์ให้มีความไวต่อบริบทมากขึ้น เช่น ปิดการใช้งานฟิลเตอร์ที่ไม่สามารถใช้แบบ non-destructive ได้โดยอัตโนมัติ และเพิ่มความสามารถในการใช้ฟิลเตอร์กับช่องสีแบบไม่ทำลายภาพ ด้านการใช้งานทั่วไปก็มีการปรับปรุงหลายจุด เช่น การซูมใน grid และ list view ด้วย scroll หรือ gesture, การแสดง undo สำหรับการล็อกเนื้อหา, การปรับขนาดภาพให้ตรงกับเลเยอร์โดยไม่สนใจ selection, และการแก้ไขการสร้าง layer mask ให้มีความทึบเต็มเมื่อไม่มี alpha เครื่องมือ Text ก็ได้รับการปรับปรุงให้เปลี่ยนสีเฉพาะเมื่อผู้ใช้ยืนยันเท่านั้น ส่วนเครื่องมือ Transform ก็สามารถ preview แบบ multi-layer ได้แล้ว และเครื่องมือ Foreground Selection จะไม่สร้าง selection หากไม่มีการวาด stroke ปลั๊กอินต่าง ๆ ก็ได้รับการอัปเดต เช่น Print plug-in ที่มีหน้าต่างปรับแต่งใหม่สำหรับ Flatpak/Snap, Jigsaw plug-in ที่สามารถวาดบนเลเยอร์โปร่งใสได้, และ Sphere Designer ที่เปลี่ยนมาใช้ spin scale รองรับการนำเข้าไฟล์ภาพหลากหลายมากขึ้น เช่น JPEG 2000, TIFF, DDS, SVG, PSP, ICNS, DICOM, WBMP, Farbfeld, XWD และ ILBM รวมถึงการส่งออกไฟล์ FITS และ C Source/HTML แบบ non-interactive ในส่วนของ GUI มีการปรับปรุงการซูมพรีวิวข้อมูล, การตั้งชื่อที่สอดคล้องกันมากขึ้น, การจัดการหน้าต่าง และการปรับ CSS เพื่อให้สไตล์อินเทอร์เฟซดูดีขึ้น GIMP 3.0.6 พร้อมให้ดาวน์โหลดในรูปแบบ AppImage, Flatpak และ source tarball สำหรับผู้ที่ต้องการคอมไพล์เอง โดย AppImage เวอร์ชันนี้สร้างบน Debian 13 “Trixie” และ Flatpak มีการปรับปรุงระบบแคชด้วย ORAS รวมถึงมี nightly build สำหรับ AArch64 แล้ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ GIMP 3.0.6 เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วในเดือนตุลาคม 2025 ➡️ รองรับแปรง Photoshop (.ABR) ได้ดีขึ้น ➡️ เพิ่ม toggle ให้พรีวิวแปรงและฟอนต์ปรับตามธีมสี ➡️ ปรับปรุงการนำเข้าพาเลตสี เช่น รองรับ alpha และ ACB palettes แบบ CMYK/Lab ➡️ ฟิลเตอร์สามารถใช้แบบ non-destructive กับช่องสีได้ ➡️ ปิดการใช้งานฟิลเตอร์ที่ไม่รองรับแบบ non-destructive โดยอัตโนมัติ ➡️ ปรับปรุงการซูมใน grid/list view ด้วย scroll และ gesture ➡️ เครื่องมือ Text และ Transform ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานแม่นยำขึ้น ➡️ ปลั๊กอิน Print, Jigsaw, Sphere Designer ได้รับการอัปเดต ➡️ รองรับการนำเข้าไฟล์ภาพหลากหลาย เช่น JPEG 2000, TIFF, SVG, ICNS ➡️ ส่งออกไฟล์ FITS และ HTML/C Source แบบ non-interactive ได้ ➡️ GUI ปรับปรุงการซูมพรีวิว, การตั้งชื่อ, การจัดการหน้าต่าง และ CSS ➡️ AppImage สร้างบน Debian 13 “Trixie” และ Flatpak ปรับปรุงระบบแคชด้วย ORAS ➡️ มี nightly build สำหรับ AArch64 พร้อมให้ใช้งาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GIMP เป็นโปรแกรมแต่งภาพโอเพ่นซอร์สที่ใช้แทน Photoshop ได้ในหลายกรณี ➡️ PhotoGIMP เป็นแพตช์ที่ปรับ GIMP ให้มีอินเทอร์เฟซคล้าย Photoshop มากขึ้น ➡️ Flatpak เป็นระบบติดตั้งแอปแบบ sandbox ที่นิยมใน Linux ➡️ AppImage เป็นไฟล์รันตรงที่ไม่ต้องติดตั้ง เหมาะกับผู้ใช้ Linux ทุก distro ➡️ GIMP 3.0 ใช้ GTK3 และรองรับ Wayland, HiDPI, และ multi-layer selection https://9to5linux.com/gimp-3-0-6-is-now-available-for-download-with-improved-photoshop-brush-support
    9TO5LINUX.COM
    GIMP 3.0.6 Is Now Available for Download with Improved Photoshop Brush Support - 9to5Linux
    GIMP 3.0.6 open-source image editor is now available for download with improved Photoshop brush support and many other changes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Alphawave Semi ผนึกกำลัง TSMC เปิดตัว UCIe 3D IP — ปลดล็อกขีดจำกัดการเชื่อมต่อชิปในยุค AI”

    Alphawave Semi บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อความเร็วสูง ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป UCIe 3D IP รุ่นใหม่บนแพลตฟอร์ม 3DFabric ของ TSMC โดยใช้เทคโนโลยี SoIC-X ซึ่งเป็นการบรรจุชิปแบบ 3D ขั้นสูงที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

    ชิปใหม่นี้รองรับการเชื่อมต่อแบบ face-to-face (F2F) และให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับการเชื่อมต่อแบบ 2.5D เดิม พร้อมเพิ่มความหนาแน่นของสัญญาณได้ถึง 5 เท่า ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์โดยตรงต่อความต้องการของระบบ AI และ HPC ที่ต้องการแบนด์วิดธ์สูงและการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ

    ในยุคที่ Moore’s Law เริ่มไม่สามารถรองรับความซับซ้อนของโมเดล AI ได้อีกต่อไป การออกแบบชิปแบบเดิมที่สื่อสารกันผ่านขอบของแพ็กเกจเริ่มกลายเป็นข้อจำกัด Alphawave จึงเลือกแนวทางใหม่ด้วยการออกแบบชิปแบบ disaggregated architecture โดยใช้การวางชิปหลายตัวในแนวนอน หรือซ้อนกันในแนวตั้ง เพื่อเพิ่มแบนด์วิดธ์และลดการใช้พลังงาน

    ชิป UCIe-3D รุ่นใหม่นี้ใช้ bottom die ขนาด 5nm ที่รองรับ TSVs (Through-Silicon Vias) เพื่อส่งพลังงานและกราวด์ไปยัง top die ขนาด 3nm ซึ่งช่วยให้การจัดการพลังงานภายในชิปมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Alphawave ยังมีชุดเครื่องมือ 3DIO ที่ช่วยให้การออกแบบและตรวจสอบชิปแบบ 3D เป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

    ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง Siemens ซึ่งนำแพลตฟอร์ม Calibre เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์พารามิเตอร์ไฟฟ้าและความร้อนในระยะเริ่มต้น เพื่อให้ระบบมีความเสถียรและเชื่อถือได้มากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Alphawave Semi ประสบความสำเร็จในการ tape-out ชิป UCIe 3D IP บนแพลตฟอร์ม TSMC 3DFabric
    ใช้เทคโนโลยี SoIC-X สำหรับการบรรจุชิปแบบ 3D ขั้นสูง
    รองรับการเชื่อมต่อแบบ face-to-face (F2F)
    ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้น 10 เท่า และความหนาแน่นของสัญญาณเพิ่มขึ้น 5 เท่า
    ใช้ bottom die ขนาด 5nm และ top die ขนาด 3nm โดยเชื่อมผ่าน TSVs
    ช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านแบนด์วิดธ์และพลังงานในระบบ AI และ HPC
    Siemens ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มการออกแบบและตรวจสอบร่วมกับ Alphawave
    ชุดเครื่องมือ 3DIO ช่วยให้การออกแบบและตรวจสอบชิปแบบ 3D มีประสิทธิภาพ
    การออกแบบแบบ disaggregated architecture เป็นแนวทางใหม่แทน SoC แบบเดิม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการเชื่อมต่อชิปแบบ chiplet
    SoIC-X ของ TSMC เป็นเทคโนโลยีการบรรจุชิปแบบ 3D ที่ใช้ในระดับองค์กรและ hyperscaler
    TSVs ช่วยให้การส่งพลังงานและข้อมูลระหว่างชิปมีความเร็วและประสิทธิภาพสูง
    การออกแบบแบบ chiplet ช่วยให้สามารถอัปเกรดเฉพาะส่วนของชิปได้โดยไม่ต้องสร้างใหม่ทั้งหมด
    Siemens Calibre เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้วิเคราะห์ความถูกต้องของวงจรในระดับนาโนเมตร

    https://www.techpowerup.com/341533/alphawave-semi-delivers-cutting-edge-ucie-chiplet-ip-on-tsmc-3dfabric-platform
    🔗 “Alphawave Semi ผนึกกำลัง TSMC เปิดตัว UCIe 3D IP — ปลดล็อกขีดจำกัดการเชื่อมต่อชิปในยุค AI” Alphawave Semi บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อความเร็วสูง ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป UCIe 3D IP รุ่นใหม่บนแพลตฟอร์ม 3DFabric ของ TSMC โดยใช้เทคโนโลยี SoIC-X ซึ่งเป็นการบรรจุชิปแบบ 3D ขั้นสูงที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ชิปใหม่นี้รองรับการเชื่อมต่อแบบ face-to-face (F2F) และให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับการเชื่อมต่อแบบ 2.5D เดิม พร้อมเพิ่มความหนาแน่นของสัญญาณได้ถึง 5 เท่า ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์โดยตรงต่อความต้องการของระบบ AI และ HPC ที่ต้องการแบนด์วิดธ์สูงและการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ในยุคที่ Moore’s Law เริ่มไม่สามารถรองรับความซับซ้อนของโมเดล AI ได้อีกต่อไป การออกแบบชิปแบบเดิมที่สื่อสารกันผ่านขอบของแพ็กเกจเริ่มกลายเป็นข้อจำกัด Alphawave จึงเลือกแนวทางใหม่ด้วยการออกแบบชิปแบบ disaggregated architecture โดยใช้การวางชิปหลายตัวในแนวนอน หรือซ้อนกันในแนวตั้ง เพื่อเพิ่มแบนด์วิดธ์และลดการใช้พลังงาน ชิป UCIe-3D รุ่นใหม่นี้ใช้ bottom die ขนาด 5nm ที่รองรับ TSVs (Through-Silicon Vias) เพื่อส่งพลังงานและกราวด์ไปยัง top die ขนาด 3nm ซึ่งช่วยให้การจัดการพลังงานภายในชิปมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Alphawave ยังมีชุดเครื่องมือ 3DIO ที่ช่วยให้การออกแบบและตรวจสอบชิปแบบ 3D เป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง Siemens ซึ่งนำแพลตฟอร์ม Calibre เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์พารามิเตอร์ไฟฟ้าและความร้อนในระยะเริ่มต้น เพื่อให้ระบบมีความเสถียรและเชื่อถือได้มากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Alphawave Semi ประสบความสำเร็จในการ tape-out ชิป UCIe 3D IP บนแพลตฟอร์ม TSMC 3DFabric ➡️ ใช้เทคโนโลยี SoIC-X สำหรับการบรรจุชิปแบบ 3D ขั้นสูง ➡️ รองรับการเชื่อมต่อแบบ face-to-face (F2F) ➡️ ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้น 10 เท่า และความหนาแน่นของสัญญาณเพิ่มขึ้น 5 เท่า ➡️ ใช้ bottom die ขนาด 5nm และ top die ขนาด 3nm โดยเชื่อมผ่าน TSVs ➡️ ช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านแบนด์วิดธ์และพลังงานในระบบ AI และ HPC ➡️ Siemens ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มการออกแบบและตรวจสอบร่วมกับ Alphawave ➡️ ชุดเครื่องมือ 3DIO ช่วยให้การออกแบบและตรวจสอบชิปแบบ 3D มีประสิทธิภาพ ➡️ การออกแบบแบบ disaggregated architecture เป็นแนวทางใหม่แทน SoC แบบเดิม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการเชื่อมต่อชิปแบบ chiplet ➡️ SoIC-X ของ TSMC เป็นเทคโนโลยีการบรรจุชิปแบบ 3D ที่ใช้ในระดับองค์กรและ hyperscaler ➡️ TSVs ช่วยให้การส่งพลังงานและข้อมูลระหว่างชิปมีความเร็วและประสิทธิภาพสูง ➡️ การออกแบบแบบ chiplet ช่วยให้สามารถอัปเกรดเฉพาะส่วนของชิปได้โดยไม่ต้องสร้างใหม่ทั้งหมด ➡️ Siemens Calibre เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้วิเคราะห์ความถูกต้องของวงจรในระดับนาโนเมตร https://www.techpowerup.com/341533/alphawave-semi-delivers-cutting-edge-ucie-chiplet-ip-on-tsmc-3dfabric-platform
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Alphawave Semi Delivers Cutting-Edge UCIe Chiplet IP on TSMC 3DFabric Platform
    Alphawave Semi (LSE: AWE), a global leader in high-speed connectivity and compute silicon for the world's technology infrastructure, has announced the successful tape-out of its cutting edge UCIe 3D IP on the advanced TSMC SoIC (SoIC-X) technology in the 3DFabric platform. This achievement builds on...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Django ออกแพตช์ด่วน! อุดช่องโหว่ SQL Injection ร้ายแรงใน MySQL/MariaDB พร้อมเตือนภัย Directory Traversal”

    ทีมพัฒนา Django ได้ออกอัปเดตความปลอดภัยครั้งสำคัญในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่สองรายการที่ส่งผลกระทบต่อระบบฐานข้อมูลและการตั้งค่าโปรเจกต์ โดยเฉพาะช่องโหว่ CVE-2025-59681 ซึ่งถูกจัดอยู่ในระดับ “ร้ายแรง” เนื่องจากเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่ง SQL ผ่านฟังก์ชันยอดนิยมของ Django ORM ได้แก่ annotate(), alias(), aggregate() และ extra() เมื่อใช้งานร่วมกับฐานข้อมูล MySQL หรือ MariaDB

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ dictionary expansion (**kwargs) ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างเหมาะสม ทำให้ attacker สามารถส่ง key ที่มีคำสั่ง SQL แฝงเข้าไปเป็น column alias ได้โดยตรง เช่น malicious_alias; DROP TABLE users; -- ซึ่งจะถูกแปลเป็นคำสั่ง SQL และรันทันทีหากระบบไม่มีการป้องกัน

    อีกหนึ่งช่องโหว่ CVE-2025-59682 แม้จะมีความรุนแรงต่ำกว่า แต่ก็อันตรายไม่น้อย โดยเกิดจากฟังก์ชัน django.utils.archive.extract() ที่ใช้ในการสร้างโปรเจกต์หรือแอปผ่าน template ซึ่งสามารถถูกใช้เพื่อโจมตีแบบ directory traversal ได้ หากไฟล์ใน archive มี path ที่คล้ายกับโฟลเดอร์เป้าหมาย เช่น ../../config.py อาจทำให้ไฟล์สำคัญถูกเขียนทับได้

    Django ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 5.2.7, 5.1.13 และ 4.2.25 รวมถึงสาขา main และ 6.0 alpha โดยแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันที และสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเดตได้ ควรตรวจสอบโค้ดที่ใช้ฟังก์ชันดังกล่าว และหลีกเลี่ยงการใช้ template ที่ไม่ได้รับความไว้วางใจ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Django ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2025-59681 และ CVE-2025-59682
    CVE-2025-59681 เป็นช่องโหว่ SQL Injection ในฟังก์ชัน ORM เช่น annotate(), alias(), aggregate(), extra()
    ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ dictionary expansion (**kwargs) ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ
    ส่งผลเฉพาะกับฐานข้อมูล MySQL และ MariaDB ไม่กระทบ PostgreSQL หรือ SQLite
    CVE-2025-59682 เป็นช่องโหว่ directory traversal ในฟังก์ชัน extract() ที่ใช้ใน startapp และ startproject
    Django ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 5.2.7, 5.1.13, 4.2.25 และสาขา main/6.0 alpha
    แนะนำให้อัปเดตทันที หรือหลีกเลี่ยงการใช้ template ที่ไม่ปลอดภัย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Django ORM เป็นหนึ่งในจุดแข็งของ framework ที่ช่วยป้องกัน SQL injection ได้ดี แต่ช่องโหว่นี้หลุดจากการตรวจสอบ alias
    การใช้ dictionary ที่มี key จาก user input เป็นความเสี่ยงที่พบได้บ่อยในระบบ dynamic query
    Directory traversal เป็นเทคนิคที่ใช้ path เช่น ../ เพื่อเข้าถึงไฟล์นอกโฟลเดอร์เป้าหมาย
    ช่องโหว่ลักษณะนี้สามารถใช้ร่วมกับ template ที่ฝังมัลแวร์เพื่อโจมตีในขั้นตอน setup
    Django มีระบบแจ้งช่องโหว่ผ่านอีเมล security@djangoproject.com เพื่อให้แก้ไขได้รวดเร็ว

    https://securityonline.info/django-security-alert-high-severity-sql-injection-flaw-cve-2025-59681-fixed-in-latest-updates/
    🛡️ “Django ออกแพตช์ด่วน! อุดช่องโหว่ SQL Injection ร้ายแรงใน MySQL/MariaDB พร้อมเตือนภัย Directory Traversal” ทีมพัฒนา Django ได้ออกอัปเดตความปลอดภัยครั้งสำคัญในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่สองรายการที่ส่งผลกระทบต่อระบบฐานข้อมูลและการตั้งค่าโปรเจกต์ โดยเฉพาะช่องโหว่ CVE-2025-59681 ซึ่งถูกจัดอยู่ในระดับ “ร้ายแรง” เนื่องจากเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่ง SQL ผ่านฟังก์ชันยอดนิยมของ Django ORM ได้แก่ annotate(), alias(), aggregate() และ extra() เมื่อใช้งานร่วมกับฐานข้อมูล MySQL หรือ MariaDB ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ dictionary expansion (**kwargs) ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างเหมาะสม ทำให้ attacker สามารถส่ง key ที่มีคำสั่ง SQL แฝงเข้าไปเป็น column alias ได้โดยตรง เช่น malicious_alias; DROP TABLE users; -- ซึ่งจะถูกแปลเป็นคำสั่ง SQL และรันทันทีหากระบบไม่มีการป้องกัน อีกหนึ่งช่องโหว่ CVE-2025-59682 แม้จะมีความรุนแรงต่ำกว่า แต่ก็อันตรายไม่น้อย โดยเกิดจากฟังก์ชัน django.utils.archive.extract() ที่ใช้ในการสร้างโปรเจกต์หรือแอปผ่าน template ซึ่งสามารถถูกใช้เพื่อโจมตีแบบ directory traversal ได้ หากไฟล์ใน archive มี path ที่คล้ายกับโฟลเดอร์เป้าหมาย เช่น ../../config.py อาจทำให้ไฟล์สำคัญถูกเขียนทับได้ Django ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 5.2.7, 5.1.13 และ 4.2.25 รวมถึงสาขา main และ 6.0 alpha โดยแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันที และสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเดตได้ ควรตรวจสอบโค้ดที่ใช้ฟังก์ชันดังกล่าว และหลีกเลี่ยงการใช้ template ที่ไม่ได้รับความไว้วางใจ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Django ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2025-59681 และ CVE-2025-59682 ➡️ CVE-2025-59681 เป็นช่องโหว่ SQL Injection ในฟังก์ชัน ORM เช่น annotate(), alias(), aggregate(), extra() ➡️ ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ dictionary expansion (**kwargs) ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ ➡️ ส่งผลเฉพาะกับฐานข้อมูล MySQL และ MariaDB ไม่กระทบ PostgreSQL หรือ SQLite ➡️ CVE-2025-59682 เป็นช่องโหว่ directory traversal ในฟังก์ชัน extract() ที่ใช้ใน startapp และ startproject ➡️ Django ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 5.2.7, 5.1.13, 4.2.25 และสาขา main/6.0 alpha ➡️ แนะนำให้อัปเดตทันที หรือหลีกเลี่ยงการใช้ template ที่ไม่ปลอดภัย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Django ORM เป็นหนึ่งในจุดแข็งของ framework ที่ช่วยป้องกัน SQL injection ได้ดี แต่ช่องโหว่นี้หลุดจากการตรวจสอบ alias ➡️ การใช้ dictionary ที่มี key จาก user input เป็นความเสี่ยงที่พบได้บ่อยในระบบ dynamic query ➡️ Directory traversal เป็นเทคนิคที่ใช้ path เช่น ../ เพื่อเข้าถึงไฟล์นอกโฟลเดอร์เป้าหมาย ➡️ ช่องโหว่ลักษณะนี้สามารถใช้ร่วมกับ template ที่ฝังมัลแวร์เพื่อโจมตีในขั้นตอน setup ➡️ Django มีระบบแจ้งช่องโหว่ผ่านอีเมล security@djangoproject.com เพื่อให้แก้ไขได้รวดเร็ว https://securityonline.info/django-security-alert-high-severity-sql-injection-flaw-cve-2025-59681-fixed-in-latest-updates/
    SECURITYONLINE.INFO
    Django Security Alert: High-Severity SQL Injection Flaw (CVE-2025-59681) Fixed in Latest Updates
    The Django team released urgent updates (v5.2.7, 5.1.13, 4.2.25) to fix a High-severity SQL Injection flaw (CVE-2025-59681) affecting QuerySet methods in MySQL/MariaDB.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OM System เปิดตัวกล้อง E-M1 Mark III Astro — เจาะลึกสีสันของเนบิวลาในแบบที่ตาเปล่ามองไม่เห็น”

    สำหรับสายถ่ายภาพดาราศาสตร์ ข่าวนี้คือการเปิดจักรวาลใหม่ให้คุณ OM System เปิดตัวกล้องรุ่นพิเศษ E-M1 Mark III Astro ซึ่งถูกปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อถ่ายภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนและวัตถุท้องฟ้าอย่างเนบิวลา โดยใช้พื้นฐานจากกล้อง E-M1 Mark III รุ่นเดิม แต่เพิ่มความสามารถด้วยการติดตั้งฟิลเตอร์ IR-cut ที่ปรับให้สามารถรับแสง Hα ได้ 100% ซึ่งเป็นแสงที่ปล่อยออกมาจากเนบิวลาสีแดงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น

    นอกจากตัวกล้องแล้ว OM System ยังเปิดตัวฟิลเตอร์เสริมอีกสองตัว ได้แก่
    BMF-LPC01 สำหรับลดแสงรบกวนจากเมือง
    BMF-SE01 สำหรับเพิ่มความนุ่มนวลและเน้นสีของดาว

    ฟิลเตอร์เหล่านี้สามารถติดตั้งระหว่างเมาท์เลนส์กับเซนเซอร์ ทำให้เปลี่ยนเลนส์ได้โดยไม่ต้องถอดฟิลเตอร์ออก และยังใช้ได้กับกล้อง OM รุ่นใหม่ ๆ เช่น OM-1 Mark II และ OM-3

    กล้องรุ่นนี้ยังรองรับโหมดถ่ายภาพพิเศษ เช่น
    Starry Sky Autofocus เพื่อโฟกัสดาวได้แม่นยำ
    Handheld High-Res Shot ที่สามารถเพิ่มความละเอียดจาก 20MP เป็น 50MP
    Live Composite สำหรับถ่ายเส้นทางการเคลื่อนที่ของดาว

    ราคาของชุดกล้องพร้อมฟิลเตอร์อยู่ที่ £1,899 ส่วนฟิลเตอร์แยกขายอยู่ที่ £259 และ £179 ตามลำดับ โดยวางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ OM System เท่านั้น

    https://www.techradar.com/cameras/mirrorless-cameras/om-system-just-launched-a-powerful-astrophotography-camera-that-can-reveal-the-stunning-colors-of-nebulae-and-it-doesnt-cost-the-earth
    🌌 “OM System เปิดตัวกล้อง E-M1 Mark III Astro — เจาะลึกสีสันของเนบิวลาในแบบที่ตาเปล่ามองไม่เห็น” สำหรับสายถ่ายภาพดาราศาสตร์ ข่าวนี้คือการเปิดจักรวาลใหม่ให้คุณ OM System เปิดตัวกล้องรุ่นพิเศษ E-M1 Mark III Astro ซึ่งถูกปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อถ่ายภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนและวัตถุท้องฟ้าอย่างเนบิวลา โดยใช้พื้นฐานจากกล้อง E-M1 Mark III รุ่นเดิม แต่เพิ่มความสามารถด้วยการติดตั้งฟิลเตอร์ IR-cut ที่ปรับให้สามารถรับแสง Hα ได้ 100% ซึ่งเป็นแสงที่ปล่อยออกมาจากเนบิวลาสีแดงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น นอกจากตัวกล้องแล้ว OM System ยังเปิดตัวฟิลเตอร์เสริมอีกสองตัว ได้แก่ 📷 BMF-LPC01 สำหรับลดแสงรบกวนจากเมือง 📷 BMF-SE01 สำหรับเพิ่มความนุ่มนวลและเน้นสีของดาว ฟิลเตอร์เหล่านี้สามารถติดตั้งระหว่างเมาท์เลนส์กับเซนเซอร์ ทำให้เปลี่ยนเลนส์ได้โดยไม่ต้องถอดฟิลเตอร์ออก และยังใช้ได้กับกล้อง OM รุ่นใหม่ ๆ เช่น OM-1 Mark II และ OM-3 กล้องรุ่นนี้ยังรองรับโหมดถ่ายภาพพิเศษ เช่น 📷 Starry Sky Autofocus เพื่อโฟกัสดาวได้แม่นยำ 📷 Handheld High-Res Shot ที่สามารถเพิ่มความละเอียดจาก 20MP เป็น 50MP 📷 Live Composite สำหรับถ่ายเส้นทางการเคลื่อนที่ของดาว ราคาของชุดกล้องพร้อมฟิลเตอร์อยู่ที่ £1,899 ส่วนฟิลเตอร์แยกขายอยู่ที่ £259 และ £179 ตามลำดับ โดยวางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ OM System เท่านั้น https://www.techradar.com/cameras/mirrorless-cameras/om-system-just-launched-a-powerful-astrophotography-camera-that-can-reveal-the-stunning-colors-of-nebulae-and-it-doesnt-cost-the-earth
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel พลิกเกมด้วยดีล 5 พันล้านจาก Nvidia — พร้อมเดินหน้าขอทุนจาก Apple, TSMC และกลุ่ม Magnificent 7”

    หลังจากเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจมาหลายปี Intel กำลังกลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง ด้วยการประกาศดีลมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์จาก Nvidia ซึ่งจะให้ Intel ออกแบบชิป x86 แบบคัสตอมสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI ของ Nvidia ดีลนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มทุนให้ Intel แต่ยังทำให้มูลค่าตลาดของ Nvidia พุ่งขึ้นถึง 150 พันล้านดอลลาร์ทันทีหลังประกาศ

    แต่ Intel ไม่หยุดแค่นั้น — รายงานจาก The Wall Street Journal และ Bloomberg ระบุว่า Intel ได้เริ่มเจรจากับ Apple และ TSMC เพื่อขอความร่วมมือและการลงทุนเพิ่มเติม โดยหวังว่าจะดึงดูดบริษัทในกลุ่ม “Magnificent 7” ซึ่งประกอบด้วย Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta และ Tesla ภายในสิ้นปีนี้

    แม้ Apple จะเคยใช้ชิปของ Intel ใน Mac แต่ได้เปลี่ยนไปใช้ Apple Silicon ตั้งแต่ปี 2020 และผลิตผ่าน TSMC ทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนจากพันธมิตรเป็นคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม Apple ยังมีความสนใจในบริการ foundry ของ Intel โดยเฉพาะในบริบทของการผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนภายในประเทศที่ Apple ขยายเป็น 600 พันล้านดอลลาร์

    ด้าน TSMC ปฏิเสธข่าวการเจรจา โดยระบุว่าไม่มีแผนร่วมทุนกับ Intel ในขณะนี้ แต่นักวิเคราะห์มองว่าแรงกดดันทางการเมืองอาจทำให้บริษัทต่างชาติหันมาพิจารณาการผลิตในสหรัฐฯ มากขึ้น

    Intel อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ โดยมีมูลค่าตลาดลดลงเหลือไม่ถึง 160 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ Nvidia พุ่งทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์ การหาพันธมิตรใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาโมเมนตัมและความมั่นคงในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nvidia ลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ใน Intel เพื่อพัฒนาชิป x86 สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI
    มูลค่าตลาดของ Nvidia เพิ่มขึ้น 150 พันล้านดอลลาร์หลังประกาศดีล
    Intel เริ่มเจรจากับ Apple และ TSMC เพื่อขอความร่วมมือและการลงทุน
    Apple เคยใช้ชิป Intel ใน Mac ก่อนเปลี่ยนไปใช้ Apple Silicon ที่ผลิตโดย TSMC
    Apple ขยายการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ อาจสนใจบริการ foundry ของ Intel
    TSMC ปฏิเสธข่าวการเจรจา โดยระบุว่าไม่มีแผนร่วมทุนกับ Intel
    Intel ตั้งเป้าขอความร่วมมือจากบริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 ภายในสิ้นปีนี้
    มูลค่าตลาดของ Intel ลดลงเหลือไม่ถึง 160 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ Nvidia พุ่งทะลุ 4 ล้านล้าน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กลุ่ม Magnificent 7 คือบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่มีอิทธิพลสูงในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
    Intel เคยขายธุรกิจโมเด็มให้ Apple หลังไม่สามารถผลิตชิป 5G ได้ตามมาตรฐาน
    SoftBank ลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ใน Intel ก่อนหน้าดีลกับ Nvidia
    รัฐบาลสหรัฐฯ ซื้อหุ้น 9.9% ของ Intel เพื่อเร่งการผลิตในรัฐโอไฮโอ
    การผลิตชิปในประเทศเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงของสหรัฐฯ

    https://www.techradar.com/pro/reports-claim-intel-approached-apple-for-collaboration-and-investment-i-predict-that-the-rest-of-the-magnificent-7-will-get-the-same-call-before-the-end-of-the-year
    💼 “Intel พลิกเกมด้วยดีล 5 พันล้านจาก Nvidia — พร้อมเดินหน้าขอทุนจาก Apple, TSMC และกลุ่ม Magnificent 7” หลังจากเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจมาหลายปี Intel กำลังกลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง ด้วยการประกาศดีลมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์จาก Nvidia ซึ่งจะให้ Intel ออกแบบชิป x86 แบบคัสตอมสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI ของ Nvidia ดีลนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มทุนให้ Intel แต่ยังทำให้มูลค่าตลาดของ Nvidia พุ่งขึ้นถึง 150 พันล้านดอลลาร์ทันทีหลังประกาศ แต่ Intel ไม่หยุดแค่นั้น — รายงานจาก The Wall Street Journal และ Bloomberg ระบุว่า Intel ได้เริ่มเจรจากับ Apple และ TSMC เพื่อขอความร่วมมือและการลงทุนเพิ่มเติม โดยหวังว่าจะดึงดูดบริษัทในกลุ่ม “Magnificent 7” ซึ่งประกอบด้วย Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta และ Tesla ภายในสิ้นปีนี้ แม้ Apple จะเคยใช้ชิปของ Intel ใน Mac แต่ได้เปลี่ยนไปใช้ Apple Silicon ตั้งแต่ปี 2020 และผลิตผ่าน TSMC ทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนจากพันธมิตรเป็นคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม Apple ยังมีความสนใจในบริการ foundry ของ Intel โดยเฉพาะในบริบทของการผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนภายในประเทศที่ Apple ขยายเป็น 600 พันล้านดอลลาร์ ด้าน TSMC ปฏิเสธข่าวการเจรจา โดยระบุว่าไม่มีแผนร่วมทุนกับ Intel ในขณะนี้ แต่นักวิเคราะห์มองว่าแรงกดดันทางการเมืองอาจทำให้บริษัทต่างชาติหันมาพิจารณาการผลิตในสหรัฐฯ มากขึ้น Intel อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ โดยมีมูลค่าตลาดลดลงเหลือไม่ถึง 160 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ Nvidia พุ่งทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์ การหาพันธมิตรใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาโมเมนตัมและความมั่นคงในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nvidia ลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ใน Intel เพื่อพัฒนาชิป x86 สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI ➡️ มูลค่าตลาดของ Nvidia เพิ่มขึ้น 150 พันล้านดอลลาร์หลังประกาศดีล ➡️ Intel เริ่มเจรจากับ Apple และ TSMC เพื่อขอความร่วมมือและการลงทุน ➡️ Apple เคยใช้ชิป Intel ใน Mac ก่อนเปลี่ยนไปใช้ Apple Silicon ที่ผลิตโดย TSMC ➡️ Apple ขยายการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ อาจสนใจบริการ foundry ของ Intel ➡️ TSMC ปฏิเสธข่าวการเจรจา โดยระบุว่าไม่มีแผนร่วมทุนกับ Intel ➡️ Intel ตั้งเป้าขอความร่วมมือจากบริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 ภายในสิ้นปีนี้ ➡️ มูลค่าตลาดของ Intel ลดลงเหลือไม่ถึง 160 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ Nvidia พุ่งทะลุ 4 ล้านล้าน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กลุ่ม Magnificent 7 คือบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่มีอิทธิพลสูงในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ➡️ Intel เคยขายธุรกิจโมเด็มให้ Apple หลังไม่สามารถผลิตชิป 5G ได้ตามมาตรฐาน ➡️ SoftBank ลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ใน Intel ก่อนหน้าดีลกับ Nvidia ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ซื้อหุ้น 9.9% ของ Intel เพื่อเร่งการผลิตในรัฐโอไฮโอ ➡️ การผลิตชิปในประเทศเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงของสหรัฐฯ https://www.techradar.com/pro/reports-claim-intel-approached-apple-for-collaboration-and-investment-i-predict-that-the-rest-of-the-magnificent-7-will-get-the-same-call-before-the-end-of-the-year
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Helium Browser: เบราว์เซอร์ที่ไม่ขอข้อมูลคุณแม้แต่บิตเดียว — เมื่อความเป็นส่วนตัวกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ไม่ใช่แค่ตัวเลือก”

    ในยุคที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยโฆษณา การติดตาม และการเก็บข้อมูลผู้ใช้ Helium Browser ได้เปิดตัวเวอร์ชัน ALPHA สำหรับ Windows 10/11 โดยชูจุดขายว่าเป็น “เบราว์เซอร์ที่เคารพผู้ใช้” อย่างแท้จริง ด้วยแนวคิดว่า “ความเป็นส่วนตัวควรเป็นค่าเริ่มต้น ไม่ใช่ตัวเลือกซ่อนอยู่ในเมนู”

    Helium ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Chromium แต่ตัดทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป — ไม่มีโฆษณา ไม่มีการติดตาม ไม่มีการส่งข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีการร้องขอสิทธิ์แปลก ๆ เมื่อเปิดใช้งานครั้งแรก แม้แต่การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็จะไม่เกิดขึ้นหากผู้ใช้ไม่อนุญาต

    เบราว์เซอร์นี้มาพร้อมกับ uBlock Origin ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า ซึ่งช่วยบล็อกโฆษณา ตัวติดตาม คุกกี้จากบุคคลที่สาม ฟิชชิง และแม้แต่ cryptominers โดยไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม และไม่มีข้อยกเว้นที่แอบแฝงเหมือนเบราว์เซอร์อื่น ๆ

    Helium ยังรองรับฟีเจอร์เฉพาะตัว เช่น split view สำหรับเปิดหลายหน้าเว็บพร้อมกัน, !bangs สำหรับเข้าถึงเว็บไซต์โดยตรงแบบไม่ผ่าน search engine, และการติดตั้งเว็บแอปให้เป็นแอปเดสก์ท็อปโดยไม่ต้องใช้ Chrome

    สำหรับนักพัฒนา Helium ยังรักษามาตรฐานเว็บทั้งหมด และปรับปรุง DevTools ให้สะอาด ไม่มีการแจ้งเตือนที่รบกวน พร้อมรองรับส่วนขยายแบบ MV2 โดยไม่ส่งข้อมูลไปยัง Chrome Web Store ทำให้ Google ไม่สามารถติดตามการดาวน์โหลดส่วนขยายได้

    ที่สำคัญคือ Helium เปิดซอร์สทั้งหมด — รวมถึงบริการออนไลน์ — และอนุญาตให้ผู้ใช้โฮสต์เองได้อย่างอิสระ พร้อมระบบอัปเดตที่ปลอดภัยผ่าน SignPath.io และการบังคับใช้ HTTPS ทุกเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Helium Browser เปิดตัวเวอร์ชัน ALPHA สำหรับ Windows 10/11
    สร้างบน Chromium แต่ไม่มีโฆษณา ตัวติดตาม หรือการส่งข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดใช้งานครั้งแรก
    ติดตั้ง uBlock Origin ล่วงหน้าเพื่อบล็อกโฆษณาและภัยคุกคามออนไลน์
    รองรับ split view, !bangs, และการติดตั้งเว็บแอปเป็นแอปเดสก์ท็อป
    รองรับส่วนขยาย MV2 โดยไม่ส่งข้อมูลไปยัง Chrome Web Store
    เปิดซอร์สทั้งหมด รวมถึงบริการออนไลน์ และสามารถโฮสต์เองได้
    ใช้ระบบอัปเดตผ่าน SignPath.io พร้อมการบังคับใช้ HTTPS ทุกเว็บไซต์
    ไม่มีระบบ sync หรือ password manager เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว
    อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ไม่รบกวนผู้ใช้ และไม่มีการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    !bangs เป็นฟีเจอร์ที่เริ่มต้นจาก DuckDuckGo แต่ Helium ทำให้ทำงานแบบออฟไลน์ได้
    การไม่ใช้ password manager ภายในเบราว์เซอร์ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกแฮกแบบ centralized
    การเปิดซอร์สทั้งหมดช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความปลอดภัยได้ด้วยตนเอง
    Helium ใช้แนวคิด “respectful by design” คือไม่ทำอะไรโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเร็ว ความเรียบง่าย และความเป็นส่วนตัวสูงสุด

    https://helium.computer/
    🛡️ “Helium Browser: เบราว์เซอร์ที่ไม่ขอข้อมูลคุณแม้แต่บิตเดียว — เมื่อความเป็นส่วนตัวกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ไม่ใช่แค่ตัวเลือก” ในยุคที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยโฆษณา การติดตาม และการเก็บข้อมูลผู้ใช้ Helium Browser ได้เปิดตัวเวอร์ชัน ALPHA สำหรับ Windows 10/11 โดยชูจุดขายว่าเป็น “เบราว์เซอร์ที่เคารพผู้ใช้” อย่างแท้จริง ด้วยแนวคิดว่า “ความเป็นส่วนตัวควรเป็นค่าเริ่มต้น ไม่ใช่ตัวเลือกซ่อนอยู่ในเมนู” Helium ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Chromium แต่ตัดทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป — ไม่มีโฆษณา ไม่มีการติดตาม ไม่มีการส่งข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีการร้องขอสิทธิ์แปลก ๆ เมื่อเปิดใช้งานครั้งแรก แม้แต่การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็จะไม่เกิดขึ้นหากผู้ใช้ไม่อนุญาต เบราว์เซอร์นี้มาพร้อมกับ uBlock Origin ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า ซึ่งช่วยบล็อกโฆษณา ตัวติดตาม คุกกี้จากบุคคลที่สาม ฟิชชิง และแม้แต่ cryptominers โดยไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม และไม่มีข้อยกเว้นที่แอบแฝงเหมือนเบราว์เซอร์อื่น ๆ Helium ยังรองรับฟีเจอร์เฉพาะตัว เช่น split view สำหรับเปิดหลายหน้าเว็บพร้อมกัน, !bangs สำหรับเข้าถึงเว็บไซต์โดยตรงแบบไม่ผ่าน search engine, และการติดตั้งเว็บแอปให้เป็นแอปเดสก์ท็อปโดยไม่ต้องใช้ Chrome สำหรับนักพัฒนา Helium ยังรักษามาตรฐานเว็บทั้งหมด และปรับปรุง DevTools ให้สะอาด ไม่มีการแจ้งเตือนที่รบกวน พร้อมรองรับส่วนขยายแบบ MV2 โดยไม่ส่งข้อมูลไปยัง Chrome Web Store ทำให้ Google ไม่สามารถติดตามการดาวน์โหลดส่วนขยายได้ ที่สำคัญคือ Helium เปิดซอร์สทั้งหมด — รวมถึงบริการออนไลน์ — และอนุญาตให้ผู้ใช้โฮสต์เองได้อย่างอิสระ พร้อมระบบอัปเดตที่ปลอดภัยผ่าน SignPath.io และการบังคับใช้ HTTPS ทุกเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Helium Browser เปิดตัวเวอร์ชัน ALPHA สำหรับ Windows 10/11 ➡️ สร้างบน Chromium แต่ไม่มีโฆษณา ตัวติดตาม หรือการส่งข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดใช้งานครั้งแรก ➡️ ติดตั้ง uBlock Origin ล่วงหน้าเพื่อบล็อกโฆษณาและภัยคุกคามออนไลน์ ➡️ รองรับ split view, !bangs, และการติดตั้งเว็บแอปเป็นแอปเดสก์ท็อป ➡️ รองรับส่วนขยาย MV2 โดยไม่ส่งข้อมูลไปยัง Chrome Web Store ➡️ เปิดซอร์สทั้งหมด รวมถึงบริการออนไลน์ และสามารถโฮสต์เองได้ ➡️ ใช้ระบบอัปเดตผ่าน SignPath.io พร้อมการบังคับใช้ HTTPS ทุกเว็บไซต์ ➡️ ไม่มีระบบ sync หรือ password manager เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ไม่รบกวนผู้ใช้ และไม่มีการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ !bangs เป็นฟีเจอร์ที่เริ่มต้นจาก DuckDuckGo แต่ Helium ทำให้ทำงานแบบออฟไลน์ได้ ➡️ การไม่ใช้ password manager ภายในเบราว์เซอร์ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกแฮกแบบ centralized ➡️ การเปิดซอร์สทั้งหมดช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความปลอดภัยได้ด้วยตนเอง ➡️ Helium ใช้แนวคิด “respectful by design” คือไม่ทำอะไรโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเร็ว ความเรียบง่าย และความเป็นส่วนตัวสูงสุด https://helium.computer/
    HELIUM.COMPUTER
    Helium Browser
    The web browser made for people, with love. Best privacy by default, unbiased ad-blocking, no bloat and no noise. Fully open source.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Cloudflare หนุนอนาคตเว็บเปิด ด้วยการสนับสนุน Ladybird และ Omarchy — สร้างเบราว์เซอร์ใหม่ และ Linux ที่นักพัฒนาควบคุมได้จริง”

    ในยุคที่เบราว์เซอร์ถูกครอบงำโดย Chromium และระบบปฏิบัติการนักพัฒนาถูกจำกัดอยู่ในไม่กี่ตัวเลือก Cloudflare ประกาศสนับสนุนสองโครงการโอเพ่นซอร์สที่กล้าท้าทายสถานการณ์นี้ ได้แก่ Ladybird และ Omarchy เพื่อผลักดันอนาคตของเว็บเปิดให้กลับมามีความหลากหลายอีกครั้ง

    Ladybird คือเบราว์เซอร์ใหม่ที่ไม่ใช้ Chromium เลยแม้แต่นิดเดียว โดยสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ rendering engine (LibWeb) ไปจนถึง JavaScript engine (LibJS) ซึ่งมี parser, interpreter และ bytecode execution engine ของตัวเอง จุดประสงค์คือเพื่อสร้างเบราว์เซอร์ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์เชิงพาณิชย์

    การสร้างเบราว์เซอร์จากศูนย์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องรองรับมาตรฐานเว็บที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ Ladybird กลับใช้โอกาสนี้ในการ “ทดสอบ” มาตรฐานเหล่านั้นจริง ๆ และรายงานบั๊กกลับไปยังองค์กรกำกับมาตรฐาน เช่น W3C และ WHATWG ซึ่งช่วยให้เว็บโดยรวมดีขึ้นสำหรับทุกคน

    อีกด้านหนึ่ง Omarchy คือระบบ Arch Linux ที่ถูกปรับแต่งมาเพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องตั้งค่าทุกอย่างเองตั้งแต่ต้น มาพร้อมเครื่องมือสำคัญอย่าง Neovim, Docker, Git และอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อม UI ที่สวยงามและปรับแต่งได้ง่าย จุดเด่นคือการทำให้ Linux เข้าถึงง่ายขึ้นสำหรับนักพัฒนาที่ไม่เชี่ยวชาญระบบปฏิบัติการ

    Cloudflare สนับสนุนทั้งสองโครงการโดยไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีของ Cloudflare และไม่มีเงื่อนไขแอบแฝง เพราะเชื่อว่าการมีตัวเลือกที่หลากหลายคือหัวใจของอินเทอร์เน็ตที่ดี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Cloudflare สนับสนุนโครงการโอเพ่นซอร์ส Ladybird และ Omarchy เพื่อส่งเสริมเว็บเปิด
    Ladybird เป็นเบราว์เซอร์ใหม่ที่ไม่ใช้ Chromium สร้าง engine ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
    Omarchy เป็น Arch Linux ที่ปรับแต่งมาเพื่อให้นักพัฒนาใช้งานได้ทันที
    Cloudflare สนับสนุนโดยไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีของตนเอง

    จุดเด่นของ Ladybird
    มี LibWeb เป็น rendering engine และ LibJS เป็น JavaScript engine ที่สร้างเอง
    ใช้โอกาสในการสร้างเบราว์เซอร์เพื่อทดสอบและปรับปรุงมาตรฐานเว็บ
    เน้นความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพโดยไม่พึ่งพาโมเดลธุรกิจ

    จุดเด่นของ Omarchy
    ติดตั้งง่าย มีเครื่องมือพัฒนาให้พร้อมใช้งานทันที เช่น Neovim, Docker, Git
    UI สวยงาม ปรับแต่งได้ง่าย เหมาะกับนักพัฒนาที่ไม่เชี่ยวชาญ Linux
    Omarchy 3.0 รองรับ MacBook ได้ดีขึ้น และติดตั้งเร็วขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Chromium ครองตลาดเบราว์เซอร์กว่า 65% ทำให้เกิดการรวมศูนย์ของเทคโนโลยีเว็บ
    Arch Linux เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง แต่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง
    Ladybird วางแผนเปิดตัวเวอร์ชัน alpha ในปี 2026
    Omarchy ใช้ Cloudflare CDN และ R2 storage เพื่อส่ง ISO และแพ็กเกจได้เร็วทั่วโลก

    https://blog.cloudflare.com/supporting-the-future-of-the-open-web/
    🌐 “Cloudflare หนุนอนาคตเว็บเปิด ด้วยการสนับสนุน Ladybird และ Omarchy — สร้างเบราว์เซอร์ใหม่ และ Linux ที่นักพัฒนาควบคุมได้จริง” ในยุคที่เบราว์เซอร์ถูกครอบงำโดย Chromium และระบบปฏิบัติการนักพัฒนาถูกจำกัดอยู่ในไม่กี่ตัวเลือก Cloudflare ประกาศสนับสนุนสองโครงการโอเพ่นซอร์สที่กล้าท้าทายสถานการณ์นี้ ได้แก่ Ladybird และ Omarchy เพื่อผลักดันอนาคตของเว็บเปิดให้กลับมามีความหลากหลายอีกครั้ง Ladybird คือเบราว์เซอร์ใหม่ที่ไม่ใช้ Chromium เลยแม้แต่นิดเดียว โดยสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ rendering engine (LibWeb) ไปจนถึง JavaScript engine (LibJS) ซึ่งมี parser, interpreter และ bytecode execution engine ของตัวเอง จุดประสงค์คือเพื่อสร้างเบราว์เซอร์ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ การสร้างเบราว์เซอร์จากศูนย์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องรองรับมาตรฐานเว็บที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ Ladybird กลับใช้โอกาสนี้ในการ “ทดสอบ” มาตรฐานเหล่านั้นจริง ๆ และรายงานบั๊กกลับไปยังองค์กรกำกับมาตรฐาน เช่น W3C และ WHATWG ซึ่งช่วยให้เว็บโดยรวมดีขึ้นสำหรับทุกคน อีกด้านหนึ่ง Omarchy คือระบบ Arch Linux ที่ถูกปรับแต่งมาเพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องตั้งค่าทุกอย่างเองตั้งแต่ต้น มาพร้อมเครื่องมือสำคัญอย่าง Neovim, Docker, Git และอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อม UI ที่สวยงามและปรับแต่งได้ง่าย จุดเด่นคือการทำให้ Linux เข้าถึงง่ายขึ้นสำหรับนักพัฒนาที่ไม่เชี่ยวชาญระบบปฏิบัติการ Cloudflare สนับสนุนทั้งสองโครงการโดยไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีของ Cloudflare และไม่มีเงื่อนไขแอบแฝง เพราะเชื่อว่าการมีตัวเลือกที่หลากหลายคือหัวใจของอินเทอร์เน็ตที่ดี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Cloudflare สนับสนุนโครงการโอเพ่นซอร์ส Ladybird และ Omarchy เพื่อส่งเสริมเว็บเปิด ➡️ Ladybird เป็นเบราว์เซอร์ใหม่ที่ไม่ใช้ Chromium สร้าง engine ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ➡️ Omarchy เป็น Arch Linux ที่ปรับแต่งมาเพื่อให้นักพัฒนาใช้งานได้ทันที ➡️ Cloudflare สนับสนุนโดยไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีของตนเอง ✅ จุดเด่นของ Ladybird ➡️ มี LibWeb เป็น rendering engine และ LibJS เป็น JavaScript engine ที่สร้างเอง ➡️ ใช้โอกาสในการสร้างเบราว์เซอร์เพื่อทดสอบและปรับปรุงมาตรฐานเว็บ ➡️ เน้นความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพโดยไม่พึ่งพาโมเดลธุรกิจ ✅ จุดเด่นของ Omarchy ➡️ ติดตั้งง่าย มีเครื่องมือพัฒนาให้พร้อมใช้งานทันที เช่น Neovim, Docker, Git ➡️ UI สวยงาม ปรับแต่งได้ง่าย เหมาะกับนักพัฒนาที่ไม่เชี่ยวชาญ Linux ➡️ Omarchy 3.0 รองรับ MacBook ได้ดีขึ้น และติดตั้งเร็วขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Chromium ครองตลาดเบราว์เซอร์กว่า 65% ทำให้เกิดการรวมศูนย์ของเทคโนโลยีเว็บ ➡️ Arch Linux เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง แต่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง ➡️ Ladybird วางแผนเปิดตัวเวอร์ชัน alpha ในปี 2026 ➡️ Omarchy ใช้ Cloudflare CDN และ R2 storage เพื่อส่ง ISO และแพ็กเกจได้เร็วทั่วโลก https://blog.cloudflare.com/supporting-the-future-of-the-open-web/
    BLOG.CLOUDFLARE.COM
    Supporting the future of the open web: Cloudflare is sponsoring Ladybird and Omarchy
    We're excited to announce our support of two independent, open source projects: Ladybird, an ambitious project to build a completely independent browser from the ground up, and Omarchy, an opinionated Arch Linux setup for developers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows NT 3.5: จุดเปลี่ยนที่ทำให้ Microsoft ก้าวสู่โลกองค์กร — จาก “Daytona” สู่รากฐานของ Windows ยุคใหม่

    ย้อนกลับไปเมื่อ 31 ปีก่อน วันที่ 21 กันยายน 1994 Microsoft ได้เปิดตัว Windows NT 3.5 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Windows จากระบบสำหรับผู้ใช้ทั่วไป สู่ระบบปฏิบัติการที่องค์กรเริ่มให้ความสนใจอย่างจริงจัง โดยใช้โค้ดเนมว่า “Daytona” เพื่อสื่อถึงความเร็วและประสิทธิภาพที่เหนือกว่าเวอร์ชันก่อนหน้า

    Windows NT 3.5 ถูกออกแบบใหม่จากรากฐาน โดยทีมของ Dave Cutler ที่เคยพัฒนา VMS จาก DEC ได้สร้างระบบ fully 32-bit พร้อม kernel แบบ hybrid, memory protection และ preemptive multitasking ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ระบบปฏิบัติการระดับองค์กรต้องการในยุคนั้น

    แม้หน้าตาจะยังคล้าย Windows 3.1 ด้วย Program Manager และ File Manager แบบเดิม แต่ภายใน NT 3.5 ได้ปรับปรุงระบบเครือข่ายครั้งใหญ่ เช่น TCP/IP stack ที่เขียนใหม่ทั้งหมด พร้อม Winsock, FTP, Telnet และ Remote Access Service ทำให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มเข้าสู่สาธารณะ

    ที่สำคัญ NT 3.5 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สถาปัตยกรรม x86 แต่ยังรองรับ MIPS, Alpha และ PowerPC ผ่านระบบ HAL (Hardware Abstraction Layer) ซึ่งเป็นแนวคิดล้ำยุคในตอนนั้น และกลายเป็นรากฐานของความสามารถ cross-platform ใน Windows ยุคหลัง

    แม้จะยังไม่เหมาะกับโน้ตบุ๊กในยุคนั้นเพราะขาด driver สำหรับ PCMCIA และต้องการ RAM สูงกว่ามาตรฐานทั่วไป แต่ NT 3.5 ก็ได้รับการยอมรับในฐานะระบบที่ “จริงจัง” และเป็นจุดเริ่มต้นของสาย Windows NT ที่นำไปสู่ Windows 2000, XP และ Windows 11 ในปัจจุบัน

    Windows NT 3.5 เปิดตัวเมื่อ 21 กันยายน 1994
    ใช้โค้ดเนม “Daytona” เพื่อสื่อถึงความเร็วและประสิทธิภาพ
    เป็นเวอร์ชันที่เปลี่ยน NT จากแนวคิดสู่ผลิตภัณฑ์จริง

    พัฒนาโดยทีมของ Dave Cutler จาก DEC
    ใช้สถาปัตยกรรม fully 32-bit / kernel แบบ hybrid
    มี memory protection และ preemptive multitasking

    ปรับปรุงระบบเครือข่ายครั้งใหญ่
    TCP/IP stack ใหม่ / Winsock / FTP / Telnet / RAS
    รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น

    รองรับหลายสถาปัตยกรรมผ่าน HAL
    x86, MIPS, Alpha, PowerPC
    แนวคิด cross-platform ที่นำไปสู่ Windows ยุคใหม่

    มีสองรุ่น: Workstation และ Server
    Workstation รองรับผู้ใช้พร้อมกัน 10 คน / ไม่รองรับ Mac
    Server รองรับฟีเจอร์เครือข่ายเต็มรูปแบบ

    เป็นรากฐานของ Windows XP และ Windows 11
    NT 3.5 ปูทางสู่ NT 4.0, Windows 2000 และ XP
    โค้ดเบส NT ยังคงใช้ใน Windows 11 ปัจจุบัน

    https://www.tomshardware.com/software/windows/microsofts-pivotal-windows-nt-3-5-release-made-it-a-serious-contender-31-years-ago-today
    📰 Windows NT 3.5: จุดเปลี่ยนที่ทำให้ Microsoft ก้าวสู่โลกองค์กร — จาก “Daytona” สู่รากฐานของ Windows ยุคใหม่ ย้อนกลับไปเมื่อ 31 ปีก่อน วันที่ 21 กันยายน 1994 Microsoft ได้เปิดตัว Windows NT 3.5 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Windows จากระบบสำหรับผู้ใช้ทั่วไป สู่ระบบปฏิบัติการที่องค์กรเริ่มให้ความสนใจอย่างจริงจัง โดยใช้โค้ดเนมว่า “Daytona” เพื่อสื่อถึงความเร็วและประสิทธิภาพที่เหนือกว่าเวอร์ชันก่อนหน้า Windows NT 3.5 ถูกออกแบบใหม่จากรากฐาน โดยทีมของ Dave Cutler ที่เคยพัฒนา VMS จาก DEC ได้สร้างระบบ fully 32-bit พร้อม kernel แบบ hybrid, memory protection และ preemptive multitasking ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ระบบปฏิบัติการระดับองค์กรต้องการในยุคนั้น แม้หน้าตาจะยังคล้าย Windows 3.1 ด้วย Program Manager และ File Manager แบบเดิม แต่ภายใน NT 3.5 ได้ปรับปรุงระบบเครือข่ายครั้งใหญ่ เช่น TCP/IP stack ที่เขียนใหม่ทั้งหมด พร้อม Winsock, FTP, Telnet และ Remote Access Service ทำให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มเข้าสู่สาธารณะ ที่สำคัญ NT 3.5 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สถาปัตยกรรม x86 แต่ยังรองรับ MIPS, Alpha และ PowerPC ผ่านระบบ HAL (Hardware Abstraction Layer) ซึ่งเป็นแนวคิดล้ำยุคในตอนนั้น และกลายเป็นรากฐานของความสามารถ cross-platform ใน Windows ยุคหลัง แม้จะยังไม่เหมาะกับโน้ตบุ๊กในยุคนั้นเพราะขาด driver สำหรับ PCMCIA และต้องการ RAM สูงกว่ามาตรฐานทั่วไป แต่ NT 3.5 ก็ได้รับการยอมรับในฐานะระบบที่ “จริงจัง” และเป็นจุดเริ่มต้นของสาย Windows NT ที่นำไปสู่ Windows 2000, XP และ Windows 11 ในปัจจุบัน ✅ Windows NT 3.5 เปิดตัวเมื่อ 21 กันยายน 1994 ➡️ ใช้โค้ดเนม “Daytona” เพื่อสื่อถึงความเร็วและประสิทธิภาพ ➡️ เป็นเวอร์ชันที่เปลี่ยน NT จากแนวคิดสู่ผลิตภัณฑ์จริง ✅ พัฒนาโดยทีมของ Dave Cutler จาก DEC ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม fully 32-bit / kernel แบบ hybrid ➡️ มี memory protection และ preemptive multitasking ✅ ปรับปรุงระบบเครือข่ายครั้งใหญ่ ➡️ TCP/IP stack ใหม่ / Winsock / FTP / Telnet / RAS ➡️ รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น ✅ รองรับหลายสถาปัตยกรรมผ่าน HAL ➡️ x86, MIPS, Alpha, PowerPC ➡️ แนวคิด cross-platform ที่นำไปสู่ Windows ยุคใหม่ ✅ มีสองรุ่น: Workstation และ Server ➡️ Workstation รองรับผู้ใช้พร้อมกัน 10 คน / ไม่รองรับ Mac ➡️ Server รองรับฟีเจอร์เครือข่ายเต็มรูปแบบ ✅ เป็นรากฐานของ Windows XP และ Windows 11 ➡️ NT 3.5 ปูทางสู่ NT 4.0, Windows 2000 และ XP ➡️ โค้ดเบส NT ยังคงใช้ใน Windows 11 ปัจจุบัน https://www.tomshardware.com/software/windows/microsofts-pivotal-windows-nt-3-5-release-made-it-a-serious-contender-31-years-ago-today
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Microsoft’s pivotal Windows NT 3.5 release made it a serious contender, 31 years ago today
    'Daytona' tuned, trimmed, and accelerated Microsoft's clean-slate fully-32-bit OS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • “LightSolver เปิดตัว LPU — คอมพิวเตอร์เลเซอร์ที่อาจแซง GPU และควอนตัมในงานจำลองฟิสิกส์”

    ในโลกที่การประมวลผลระดับสูงยังคงพึ่งพา CPU, GPU และควอนตัมคอมพิวเตอร์เป็นหลัก บริษัทสตาร์ทอัพจากอิสราเอลชื่อ LightSolver ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมทั้งหมด — Laser Processing Unit หรือ LPU ซึ่งใช้เลเซอร์ในการคำนวณโดยตรงแทนการประมวลผลแบบดิจิทัล

    LPU ถูกออกแบบมาเพื่อแก้สมการเชิงอนุพันธ์ย่อย (Partial Differential Equations หรือ PDEs) ซึ่งเป็นหัวใจของการจำลองฟิสิกส์ เช่น สมการความร้อน สมการคลื่น และสมการชโรดิงเงอร์ โดยใช้คุณสมบัติธรรมชาติของเลเซอร์ในฐานะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้สามารถจำลองพฤติกรรมของระบบจริงได้โดยไม่ต้องแปลงเป็นดิจิทัลก่อน

    ต่างจากระบบควอนตัมที่ต้องใช้การทดลองซ้ำหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ LPU ของ LightSolver ใช้หน่วยความจำแบบออปติกฝังตัว ซึ่งช่วยให้สถานะของเลเซอร์ถูกเก็บไว้ใน resonator และสามารถคำนวณต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องย้ายข้อมูลออกไป ทำให้การคำนวณแต่ละรอบใช้เวลาในระดับนาโนวินาที และไม่ขึ้นอยู่กับขนาดของปัญหา

    ที่น่าสนใจคือ LPU ไม่ได้ใช้ชิปโฟโตนิกแบบ 2D เหมือนที่หลายบริษัทพัฒนา แต่ใช้การออกแบบแบบ 3D ซึ่งช่วยให้ขยายขนาดได้ง่ายกว่า และมีศักยภาพในการรองรับตัวแปรถึง 1 ล้านตัวภายในปี 2029 โดยเริ่มจาก 100,000 ตัวในปี 2027

    LightSolver ได้เปิดให้เข้าถึง LPU Lab สำหรับนักวิจัยและวิศวกร โดยมีทั้งฮาร์ดแวร์เวอร์ชัน Alpha และ emulator ดิจิทัล พร้อมคอมไพเลอร์ที่แปลงสมการ PDE เป็นคำสั่งสำหรับเลเซอร์โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเข้าใจฟิสิกส์ของเลเซอร์เอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    LightSolver เปิดตัว Laser Processing Unit (LPU) สำหรับแก้สมการ PDE โดยตรง
    ใช้เลเซอร์แบบ grid ทำงานร่วมกันแทนการประมวลผลแบบดิจิทัล
    หน่วยความจำแบบออปติกช่วยลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลและเพิ่มความเร็ว
    การคำนวณใช้เวลาในระดับนาโนวินาที และไม่ขึ้นอยู่กับขนาดปัญหา

    ความสามารถและแผนการพัฒนา
    รองรับการจำลองสมการความร้อน คลื่น และชโรดิงเงอร์
    ออกแบบแบบ 3D ต่างจากชิปโฟโตนิกทั่วไปที่เป็น 2D
    ตั้งเป้ารองรับ 100,000 ตัวแปรในปี 2027 และ 1 ล้านตัวในปี 2029
    เปิดให้เข้าถึง LPU Lab พร้อม emulator และคอมไพเลอร์สำหรับนักวิจัย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PDE เป็นหัวใจของการจำลองในวิศวกรรม เช่น fluid dynamics และ structural mechanics
    คอมพิวเตอร์ควอนตัมยังมีข้อจำกัดด้าน I/O และต้องใช้การทดลองซ้ำหลายครั้ง
    LPU ได้รับความสนใจจาก HPC centers และห้องทดลองระดับชาติ
    มีการร่วมมือกับผู้พัฒนาซอฟต์แวร์จำลอง เช่น Ansys เพื่อเร่งการประมวลผล

    https://www.techradar.com/pro/laser-processing-units-could-give-traditional-cpus-gpus-and-quantum-computers-a-run-for-their-money-but-dont-expect-them-to-run-windows-anytime-soon
    💡 “LightSolver เปิดตัว LPU — คอมพิวเตอร์เลเซอร์ที่อาจแซง GPU และควอนตัมในงานจำลองฟิสิกส์” ในโลกที่การประมวลผลระดับสูงยังคงพึ่งพา CPU, GPU และควอนตัมคอมพิวเตอร์เป็นหลัก บริษัทสตาร์ทอัพจากอิสราเอลชื่อ LightSolver ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมทั้งหมด — Laser Processing Unit หรือ LPU ซึ่งใช้เลเซอร์ในการคำนวณโดยตรงแทนการประมวลผลแบบดิจิทัล LPU ถูกออกแบบมาเพื่อแก้สมการเชิงอนุพันธ์ย่อย (Partial Differential Equations หรือ PDEs) ซึ่งเป็นหัวใจของการจำลองฟิสิกส์ เช่น สมการความร้อน สมการคลื่น และสมการชโรดิงเงอร์ โดยใช้คุณสมบัติธรรมชาติของเลเซอร์ในฐานะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้สามารถจำลองพฤติกรรมของระบบจริงได้โดยไม่ต้องแปลงเป็นดิจิทัลก่อน ต่างจากระบบควอนตัมที่ต้องใช้การทดลองซ้ำหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ LPU ของ LightSolver ใช้หน่วยความจำแบบออปติกฝังตัว ซึ่งช่วยให้สถานะของเลเซอร์ถูกเก็บไว้ใน resonator และสามารถคำนวณต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องย้ายข้อมูลออกไป ทำให้การคำนวณแต่ละรอบใช้เวลาในระดับนาโนวินาที และไม่ขึ้นอยู่กับขนาดของปัญหา ที่น่าสนใจคือ LPU ไม่ได้ใช้ชิปโฟโตนิกแบบ 2D เหมือนที่หลายบริษัทพัฒนา แต่ใช้การออกแบบแบบ 3D ซึ่งช่วยให้ขยายขนาดได้ง่ายกว่า และมีศักยภาพในการรองรับตัวแปรถึง 1 ล้านตัวภายในปี 2029 โดยเริ่มจาก 100,000 ตัวในปี 2027 LightSolver ได้เปิดให้เข้าถึง LPU Lab สำหรับนักวิจัยและวิศวกร โดยมีทั้งฮาร์ดแวร์เวอร์ชัน Alpha และ emulator ดิจิทัล พร้อมคอมไพเลอร์ที่แปลงสมการ PDE เป็นคำสั่งสำหรับเลเซอร์โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเข้าใจฟิสิกส์ของเลเซอร์เอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ LightSolver เปิดตัว Laser Processing Unit (LPU) สำหรับแก้สมการ PDE โดยตรง ➡️ ใช้เลเซอร์แบบ grid ทำงานร่วมกันแทนการประมวลผลแบบดิจิทัล ➡️ หน่วยความจำแบบออปติกช่วยลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลและเพิ่มความเร็ว ➡️ การคำนวณใช้เวลาในระดับนาโนวินาที และไม่ขึ้นอยู่กับขนาดปัญหา ✅ ความสามารถและแผนการพัฒนา ➡️ รองรับการจำลองสมการความร้อน คลื่น และชโรดิงเงอร์ ➡️ ออกแบบแบบ 3D ต่างจากชิปโฟโตนิกทั่วไปที่เป็น 2D ➡️ ตั้งเป้ารองรับ 100,000 ตัวแปรในปี 2027 และ 1 ล้านตัวในปี 2029 ➡️ เปิดให้เข้าถึง LPU Lab พร้อม emulator และคอมไพเลอร์สำหรับนักวิจัย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PDE เป็นหัวใจของการจำลองในวิศวกรรม เช่น fluid dynamics และ structural mechanics ➡️ คอมพิวเตอร์ควอนตัมยังมีข้อจำกัดด้าน I/O และต้องใช้การทดลองซ้ำหลายครั้ง ➡️ LPU ได้รับความสนใจจาก HPC centers และห้องทดลองระดับชาติ ➡️ มีการร่วมมือกับผู้พัฒนาซอฟต์แวร์จำลอง เช่น Ansys เพื่อเร่งการประมวลผล https://www.techradar.com/pro/laser-processing-units-could-give-traditional-cpus-gpus-and-quantum-computers-a-run-for-their-money-but-dont-expect-them-to-run-windows-anytime-soon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • “WISPIT 2b: ภาพแรกของดาวเคราะห์ที่กำลังถือกำเนิด — เมื่อช่องว่างในวงแหวนกลายเป็นรังแห่งชีวิตใหม่”

    ในปี 2025 นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแอริโซนาและหอดูดาว Leiden ในเนเธอร์แลนด์ ได้บันทึกภาพของดาวเคราะห์ที่กำลังถือกำเนิดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นามว่า “WISPIT 2b” ซึ่งกำลังดูดซับก๊าซและฝุ่นจากวงแหวนรอบดาวฤกษ์ที่มีขนาดใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์ของเรา

    สิ่งที่ทำให้การค้นพบนี้พิเศษคือ WISPIT 2b อยู่ในช่องว่างระหว่างวงแหวนของแผ่นจานดาวเคราะห์ (protoplanetary disk) ซึ่งก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เคยตั้งสมมติฐานว่าช่องว่างเหล่านี้เกิดจากดาวเคราะห์ที่กำลังสร้างตัว แต่ไม่เคยมีใครพบหลักฐานโดยตรงมาก่อน จนกระทั่งการค้นพบครั้งนี้ได้ยืนยันว่า “ดาวเคราะห์สามารถสร้างช่องว่างในวงแหวนได้จริง”

    ดาวเคราะห์ WISPIT 2b มีมวลประมาณ 5 เท่าของดาวพฤหัสบดี และยังอยู่ในช่วงวัยเยาว์ทางดาราศาสตร์ หากเปรียบเทียบกับระบบสุริยะของเราเมื่อ 4.5 พันล้านปีก่อน นี่คือภาพที่ดาวพฤหัสบดีอาจเคยเป็น

    การตรวจพบ WISPIT 2b ใช้เทคโนโลยี MagAO-X (Magellan Adaptive Optics System eXtreme) ซึ่งสามารถตรวจจับแสงจากก๊าซไฮโดรเจนชนิด H-alpha ที่เกิดขึ้นเมื่อก๊าซตกลงบนดาวเคราะห์และกลายเป็นพลาสมา นอกจากนี้ยังใช้กล้องโทรทรรศน์ VLT ที่หอดูดาวยุโรปในชิลี และกล้อง LBT ในรัฐแอริโซนา

    https://www.slashgear.com/1969205/new-planet-birth-first-time-photographed/
    🪐 “WISPIT 2b: ภาพแรกของดาวเคราะห์ที่กำลังถือกำเนิด — เมื่อช่องว่างในวงแหวนกลายเป็นรังแห่งชีวิตใหม่” ในปี 2025 นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแอริโซนาและหอดูดาว Leiden ในเนเธอร์แลนด์ ได้บันทึกภาพของดาวเคราะห์ที่กำลังถือกำเนิดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นามว่า “WISPIT 2b” ซึ่งกำลังดูดซับก๊าซและฝุ่นจากวงแหวนรอบดาวฤกษ์ที่มีขนาดใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์ของเรา สิ่งที่ทำให้การค้นพบนี้พิเศษคือ WISPIT 2b อยู่ในช่องว่างระหว่างวงแหวนของแผ่นจานดาวเคราะห์ (protoplanetary disk) ซึ่งก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เคยตั้งสมมติฐานว่าช่องว่างเหล่านี้เกิดจากดาวเคราะห์ที่กำลังสร้างตัว แต่ไม่เคยมีใครพบหลักฐานโดยตรงมาก่อน จนกระทั่งการค้นพบครั้งนี้ได้ยืนยันว่า “ดาวเคราะห์สามารถสร้างช่องว่างในวงแหวนได้จริง” ดาวเคราะห์ WISPIT 2b มีมวลประมาณ 5 เท่าของดาวพฤหัสบดี และยังอยู่ในช่วงวัยเยาว์ทางดาราศาสตร์ หากเปรียบเทียบกับระบบสุริยะของเราเมื่อ 4.5 พันล้านปีก่อน นี่คือภาพที่ดาวพฤหัสบดีอาจเคยเป็น การตรวจพบ WISPIT 2b ใช้เทคโนโลยี MagAO-X (Magellan Adaptive Optics System eXtreme) ซึ่งสามารถตรวจจับแสงจากก๊าซไฮโดรเจนชนิด H-alpha ที่เกิดขึ้นเมื่อก๊าซตกลงบนดาวเคราะห์และกลายเป็นพลาสมา นอกจากนี้ยังใช้กล้องโทรทรรศน์ VLT ที่หอดูดาวยุโรปในชิลี และกล้อง LBT ในรัฐแอริโซนา https://www.slashgear.com/1969205/new-planet-birth-first-time-photographed/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    We Finally Know What It Looks Like When A Brand-New Planet Is Born - SlashGear
    Long had the scientific community searched space for signs of a newly formed planet, and it has now seen one.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • KDE Linux เปิดตัวเวอร์ชัน Alpha — ระบบปฏิบัติการใหม่จากทีม KDE ที่เน้นความเสถียร ปลอดภัย และทันสมัย

    หลังจากประกาศแนวคิดเมื่อปลายปี 2024 ทีม KDE ก็ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการของตัวเองในชื่อ “KDE Linux” ซึ่งพัฒนาภายใต้โค้ดเนม “Project Banana” โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นแพลตฟอร์มอ้างอิงอย่างเป็นทางการสำหรับเดสก์ท็อป Plasma และแอปพลิเคชันของ KDE ทั้งหมด

    KDE Linux ใช้พื้นฐานจาก Arch Linux แต่ไม่ใช่ดิสโทรแบบ Arch ทั่วไป เพราะมีการออกแบบให้เป็นระบบ “immutable” หรือระบบที่แกนหลักไม่สามารถแก้ไขได้โดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรและลดความเสี่ยงจากการอัปเดตที่ผิดพลาด โดยใช้การอัปเดตแบบ image-based และสามารถย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้ง่าย

    ระบบนี้ยังเน้นการติดตั้งแอปผ่าน Flatpak, Snap และ AppImage โดยไม่ใช้แพ็กเกจแบบดั้งเดิมอย่าง pacman, RPM หรือ DEB แต่หากต้องการก็สามารถใช้ container tools เช่น Distrobox และ Toolbx ได้

    KDE Linux Alpha ยังไม่รองรับ Secure Boot และมีปัญหากับ GPU NVIDIA รุ่นก่อน GTX 1630 รวมถึงการใช้งานบางฟีเจอร์ใน Flatpak ที่ยังไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ผู้พัฒนาเช่น Nate Graham และ Harald Sitter ยืนยันว่าแม้จะเป็นเวอร์ชันทดสอบ แต่ก็สามารถใช้งานจริงได้ในชีวิตประจำวัน โดยมีการติดตั้งแอปพื้นฐานมาให้ เช่น Firefox, Konsole, Haruna, KDE Connect และ KWallet Manager

    ระบบใช้ Wayland เป็น session หลัก ไม่มี X11 รองรับ และใช้ PipeWire สำหรับระบบเสียง พร้อมระบบไฟล์ Btrfs ที่รองรับการย้อนกลับ OS ได้ถึง 5 เวอร์ชันก่อนหน้า

    KDE Linux เปิดตัวเวอร์ชัน Alpha ภายใต้ชื่อ Project Banana
    เป็นระบบปฏิบัติการแบบ immutable ที่เน้นเสถียรภาพและความปลอดภัย
    พัฒนาโดยทีม KDE เพื่อเป็นแพลตฟอร์มอ้างอิงสำหรับ Plasma และแอป KDE

    ใช้พื้นฐานจาก Arch Linux แต่ไม่ใช่ Arch-based แบบดั้งเดิม
    ไม่มี pacman / ใช้ Flatpak, Snap, AppImage เป็นหลัก
    รองรับ container tools เช่น Distrobox และ Toolbx

    ระบบอัปเดตแบบ image-based พร้อมฟีเจอร์ rollback
    เก็บ OS image ได้ถึง 5 เวอร์ชันเพื่อย้อนกลับ
    ลดความเสี่ยงจากการอัปเดตที่ไม่สมบูรณ์

    ใช้ Wayland เป็น session หลัก / ไม่มี X11
    ใช้ PipeWire สำหรับระบบเสียง
    ใช้ Btrfs เป็นระบบไฟล์หลัก

    แอปพื้นฐานที่ติดตั้งมาแล้ว
    Firefox, Konsole, Haruna, KDE Connect, KWallet Manager
    มี Welcome Center และระบบ telemetry opt-in

    นักพัฒนา KDE ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน
    Nate Graham ใช้บนเครื่องหลักและพัฒนา KDE บนระบบนี้
    ยืนยันว่า “ไม่ใช่ของเล่น” แต่เป็นระบบที่ใช้งานได้จริง

    คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของเวอร์ชัน Alpha
    ยังไม่รองรับ Secure Boot
    GPU NVIDIA รุ่นก่อน GTX 1630 ต้องแก้ไขด้วยตนเอง
    Flatpak ยังมีปัญหาเรื่องการแสดงผลและการเชื่อมต่อกับฮาร์ดแวร์บางชนิด
    การอัปเดตระบบยังไม่มี delta update ทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่
    Manual partitioning ยังไม่ทำงาน / DisplayLink ยังไม่รองรับ
    ระบบ QA ยังไม่สมบูรณ์ อาจมี build ที่ต้อง rollback

    https://news.itsfoss.com/kde-linux-alpha/
    📰 KDE Linux เปิดตัวเวอร์ชัน Alpha — ระบบปฏิบัติการใหม่จากทีม KDE ที่เน้นความเสถียร ปลอดภัย และทันสมัย หลังจากประกาศแนวคิดเมื่อปลายปี 2024 ทีม KDE ก็ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการของตัวเองในชื่อ “KDE Linux” ซึ่งพัฒนาภายใต้โค้ดเนม “Project Banana” โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นแพลตฟอร์มอ้างอิงอย่างเป็นทางการสำหรับเดสก์ท็อป Plasma และแอปพลิเคชันของ KDE ทั้งหมด KDE Linux ใช้พื้นฐานจาก Arch Linux แต่ไม่ใช่ดิสโทรแบบ Arch ทั่วไป เพราะมีการออกแบบให้เป็นระบบ “immutable” หรือระบบที่แกนหลักไม่สามารถแก้ไขได้โดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรและลดความเสี่ยงจากการอัปเดตที่ผิดพลาด โดยใช้การอัปเดตแบบ image-based และสามารถย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้ง่าย ระบบนี้ยังเน้นการติดตั้งแอปผ่าน Flatpak, Snap และ AppImage โดยไม่ใช้แพ็กเกจแบบดั้งเดิมอย่าง pacman, RPM หรือ DEB แต่หากต้องการก็สามารถใช้ container tools เช่น Distrobox และ Toolbx ได้ KDE Linux Alpha ยังไม่รองรับ Secure Boot และมีปัญหากับ GPU NVIDIA รุ่นก่อน GTX 1630 รวมถึงการใช้งานบางฟีเจอร์ใน Flatpak ที่ยังไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ผู้พัฒนาเช่น Nate Graham และ Harald Sitter ยืนยันว่าแม้จะเป็นเวอร์ชันทดสอบ แต่ก็สามารถใช้งานจริงได้ในชีวิตประจำวัน โดยมีการติดตั้งแอปพื้นฐานมาให้ เช่น Firefox, Konsole, Haruna, KDE Connect และ KWallet Manager ระบบใช้ Wayland เป็น session หลัก ไม่มี X11 รองรับ และใช้ PipeWire สำหรับระบบเสียง พร้อมระบบไฟล์ Btrfs ที่รองรับการย้อนกลับ OS ได้ถึง 5 เวอร์ชันก่อนหน้า ✅ KDE Linux เปิดตัวเวอร์ชัน Alpha ภายใต้ชื่อ Project Banana ➡️ เป็นระบบปฏิบัติการแบบ immutable ที่เน้นเสถียรภาพและความปลอดภัย ➡️ พัฒนาโดยทีม KDE เพื่อเป็นแพลตฟอร์มอ้างอิงสำหรับ Plasma และแอป KDE ✅ ใช้พื้นฐานจาก Arch Linux แต่ไม่ใช่ Arch-based แบบดั้งเดิม ➡️ ไม่มี pacman / ใช้ Flatpak, Snap, AppImage เป็นหลัก ➡️ รองรับ container tools เช่น Distrobox และ Toolbx ✅ ระบบอัปเดตแบบ image-based พร้อมฟีเจอร์ rollback ➡️ เก็บ OS image ได้ถึง 5 เวอร์ชันเพื่อย้อนกลับ ➡️ ลดความเสี่ยงจากการอัปเดตที่ไม่สมบูรณ์ ✅ ใช้ Wayland เป็น session หลัก / ไม่มี X11 ➡️ ใช้ PipeWire สำหรับระบบเสียง ➡️ ใช้ Btrfs เป็นระบบไฟล์หลัก ✅ แอปพื้นฐานที่ติดตั้งมาแล้ว ➡️ Firefox, Konsole, Haruna, KDE Connect, KWallet Manager ➡️ มี Welcome Center และระบบ telemetry opt-in ✅ นักพัฒนา KDE ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ➡️ Nate Graham ใช้บนเครื่องหลักและพัฒนา KDE บนระบบนี้ ➡️ ยืนยันว่า “ไม่ใช่ของเล่น” แต่เป็นระบบที่ใช้งานได้จริง ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของเวอร์ชัน Alpha ⛔ ยังไม่รองรับ Secure Boot ⛔ GPU NVIDIA รุ่นก่อน GTX 1630 ต้องแก้ไขด้วยตนเอง ⛔ Flatpak ยังมีปัญหาเรื่องการแสดงผลและการเชื่อมต่อกับฮาร์ดแวร์บางชนิด ⛔ การอัปเดตระบบยังไม่มี delta update ทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่ ⛔ Manual partitioning ยังไม่ทำงาน / DisplayLink ยังไม่รองรับ ⛔ ระบบ QA ยังไม่สมบูรณ์ อาจมี build ที่ต้อง rollback https://news.itsfoss.com/kde-linux-alpha/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    I Briefly Tried KDE's Very Own Linux Distro
    I am still livid that they didn't name it KLinux or Kinux.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Waymo ได้ไฟเขียวให้วิ่งในสนามบิน SFO — ยกระดับการเดินทางด้วยรถไร้คนขับสู่จุดเริ่มต้นใหม่ของซานฟรานซิสโก”

    Waymo บริษัทเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับในเครือ Alphabet ได้รับใบอนุญาตนำร่องให้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ที่สนามบินนานาชาติซานฟรานซิสโก (SFO) แล้วอย่างเป็นทางการ โดยจะเริ่มต้นด้วยการทดสอบภายในก่อนเปิดให้บริการแก่ผู้โดยสารทั่วไปในพื้นที่ Bay Area

    การดำเนินงานจะเริ่มที่จุดรับ-ส่ง “Kiss & Fly” ซึ่งอยู่ห่างจากอาคารผู้โดยสารเล็กน้อยและสามารถเดินทางด้วย AirTrain ได้ โดย Waymo วางแผนจะขยายจุดให้บริการในสนามบินเพิ่มเติมในอนาคต

    นี่ถือเป็นก้าวสำคัญของ Waymo หลังจากประสบความสำเร็จในการให้บริการที่สนามบิน Phoenix Sky Harbor และได้รับอนุญาตให้เริ่มดำเนินการที่สนามบิน San Jose Mineta International Airport เมื่อไม่นานมานี้

    นายกเทศมนตรี Daniel Lurie กล่าวว่านี่คือส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของเมือง โดยหวังให้ผู้มาเยือนสามารถใช้บริการ Waymo ได้ทันทีเมื่อเดินทางมาถึงซานฟรานซิสโก

    Waymo จะดำเนินงานใน 3 ระยะ ได้แก่
    1️⃣ ทดสอบรถในโหมดอัตโนมัติพร้อมผู้ควบคุม
    2️⃣ ให้บริการแก่พนักงาน Waymo และเจ้าหน้าที่สนามบิน
    3️⃣ เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์แก่ผู้โดยสารทั่วไป

    แม้จะยังไม่มีการประกาศกรอบเวลาที่ชัดเจน แต่การอนุมัติครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเตรียมความพร้อมของเมืองสำหรับงานใหญ่ เช่น Super Bowl LX และ FIFA World Cup ที่จะจัดขึ้นในปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เดินทางมากกว่า 500,000 คน

    https://waymo.com/blog/#short-all-systems-go-at-sfo-waymo-has-received-our-pilot-permit
    🚗 “Waymo ได้ไฟเขียวให้วิ่งในสนามบิน SFO — ยกระดับการเดินทางด้วยรถไร้คนขับสู่จุดเริ่มต้นใหม่ของซานฟรานซิสโก” Waymo บริษัทเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับในเครือ Alphabet ได้รับใบอนุญาตนำร่องให้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ที่สนามบินนานาชาติซานฟรานซิสโก (SFO) แล้วอย่างเป็นทางการ โดยจะเริ่มต้นด้วยการทดสอบภายในก่อนเปิดให้บริการแก่ผู้โดยสารทั่วไปในพื้นที่ Bay Area การดำเนินงานจะเริ่มที่จุดรับ-ส่ง “Kiss & Fly” ซึ่งอยู่ห่างจากอาคารผู้โดยสารเล็กน้อยและสามารถเดินทางด้วย AirTrain ได้ โดย Waymo วางแผนจะขยายจุดให้บริการในสนามบินเพิ่มเติมในอนาคต นี่ถือเป็นก้าวสำคัญของ Waymo หลังจากประสบความสำเร็จในการให้บริการที่สนามบิน Phoenix Sky Harbor และได้รับอนุญาตให้เริ่มดำเนินการที่สนามบิน San Jose Mineta International Airport เมื่อไม่นานมานี้ นายกเทศมนตรี Daniel Lurie กล่าวว่านี่คือส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของเมือง โดยหวังให้ผู้มาเยือนสามารถใช้บริการ Waymo ได้ทันทีเมื่อเดินทางมาถึงซานฟรานซิสโก Waymo จะดำเนินงานใน 3 ระยะ ได้แก่ 1️⃣ ทดสอบรถในโหมดอัตโนมัติพร้อมผู้ควบคุม 2️⃣ ให้บริการแก่พนักงาน Waymo และเจ้าหน้าที่สนามบิน 3️⃣ เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์แก่ผู้โดยสารทั่วไป แม้จะยังไม่มีการประกาศกรอบเวลาที่ชัดเจน แต่การอนุมัติครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเตรียมความพร้อมของเมืองสำหรับงานใหญ่ เช่น Super Bowl LX และ FIFA World Cup ที่จะจัดขึ้นในปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เดินทางมากกว่า 500,000 คน https://waymo.com/blog/#short-all-systems-go-at-sfo-waymo-has-received-our-pilot-permit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเรื่องสุขภาพประชาชน ด้วยศาสตร์ต่างๆ ดังนี้
    1.ศาสตร์แพทย์แผนไทย (Traditional Thai Medicine)
    ยาเบญจโลกวิเชียร(ห้าราก),ยาขาว,ยาใบมะขาม,ยาตรีผลา,ยาจันทลีลา,ยาเขียวหอม,ยาแสงหมึก,ยาประสะจันทน์แดง,ยามหานิลแท่งทอง,ยาสิงฆาณิกา,ยาธาตุบรรจบ,ยาเหลืองปิดสมุทร,ยาธาตุอบเชย,ยาปราบชมพูทวีป,ยาประสะมะแว้ง,ยาอัมฤควาที,ยาบำรุงโลหิต,ยาเลือดงาม,ยาถ่าย,ยาชุมเห็ดเทศ,ยาธรณีสัณฑฆาต,ยาตรีหอม,ยาลม300จำพวก,ยาหอม,ยาดองมะกรูด,ยาประสะกะเพรา,ยาประสะกานพลู,ยาวิสัมพยาใหญ่,ยามันทธาตุ,ยามหาจักรใหญ่,ยาประสะเจตพังคี,ยามะฮอกกานี,ยาแก้ไอมะขามป้อม,ยาพญายอ,สมุนไพรถ่ายพยาธิต่างๆ เช่น เมล็ดฟักทอง,เมล็ดมะขาม,เมล็ดเล็บมือนาง,เมล็ดสแก,ผงปวกหาด(มะหาด),ผลมะเกลือ,ยาเปลือกมังคุด,รางจืด,ฟ้าทลายโจร,โกฐจุฬาลัมพา,พลูคาว,ใบหนุมานประสานกาย,กระชาย,กัญชา,ขมิ้นชัน,อ้อยดำ,ฝาง,ผักบุ้งแดง,ดอกเกลือ,สมุนไพร ลมปราณ,ปัตจัตตัง เป็นต้น
    2.ศาสตร์แพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine)
    ยกตัวอย่าง สมุนไพรฉั่งฉิก ยาเขียวธรรมดา ยาเขียวพิเศษชิงเฟ่ยซองสีส้ม ยาชะลอวัย ยาวาสคิวล่าร์
    ถ้าเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันใช้ยา 脑心通胶囊 เหน่า ซิน ทง
    ถ้าก้อนเนื้องอกกำเริบ ใช้温胆汤加减 เวิน ต่าน ทัง เจีย เจี่ยน และศาสตร์การฝังเข็ม เป็นต้น
    3.ศาสตร์โฮมิโอพาธีร์ (Homeophathy) ยาสกัดพลังธรมชาติ จาก พืช สัตว์ แร่ธาตุ ได้แก่ ตำรับโฮมิโอพาธีร์ต่างๆ ตำรับยาหมออมร ดังนี้ Isopathy ของวัคซีน AstraZeneca และ Sinopharm ตำรับ Benjalo แก้แพ้วัคซีนและลองโควิด,TotalTox ล้างพิษที่ตกค้างในอาหาร,RJHT ล้างพิษฟอร์มาลีนและสารเคมีการเกษตร,CKDMHT ขจัดพิษตกค้างจากสารเคมีปรุงรส,CBZA ช่วยล้างพิษสารเคมีกันบูดในอาหาร
    4.การครอบแก้ว,กรอกเลือด (Wet Cupping) เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เอาเลือดที่
    คั่งค้างออก ซึ่งส่งผลทำให้ลดอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อและสามารถบรรเทาได้หลายโรค
    5.ศาสตร์ผสมผสาน (Integrative Medicine)
    การเหยียบดิน/หญ้า(Grounding),การอบตัว,อดอาหารเป็นระยะ(Intermittent Fasting),ศาสตร์ยา9เม็ดหมอเขียว,สวนล้างลำไส้(Enema),ล้างลำไส้แบบลึก(Colonics),Vitamin C Flush,เสียงบำบัด(Sound Therapy),ความถี่บำบัด(Frequency Therapy),ใช้แสงแดงFar Infrared,Reiki,แช่เท้า(Herbal Foot Bath),ล้างพิษตับ(Liver Compression,Castor Oil Pack,การใช้ทองแดง(Copper Tensor Rings),Crystals,การเขียนบันทึก (Journaling),Art Therapy,ภูษาบำบัด(Twisting Tourniquet Technique),การทำสมาธิ Pasitive Affirmations,ฝึกการหายใจ(Breathing Exercises),การตากแดด,เข้าใกล้มังสวิรัติ,คลอรีนไดออกไซด์โซลูชัน(CDS),ไฮดรอกซีคลอโรควีน(HCQ),เมทาลีนบลู(Methylene Blue),ดินภูเขาไฟเบนโทไนท์(Bentonite Clay),ซีโอไลท์(Zeolite),ซิลเวอร์คอลลอยด์(ColloidalSilver),DMSO,ไอโอดีน(Iodine),ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์(Hydrogen Peroxide),ไอเวอร์เมคติน(Ivermectin),เฟนเบนดาโซล (Fenbendazole),แอสไพลิน(Aspirin),น้ำเสริมไฮโดรเจน(hydrogen-rich water),บอแรกซ์(Borax),นัตโตะไคเนส(Nattokinase),โบรมิเลน(Bromelain),Magnesium Antisense(แมกนีเซียมแอนไทเซนส์),เพนท็อกซิฟิลลีน(Pentoxifylline),แมกนีเซียม(Magnesium),กลูตาไธโอน(Glutathione),สังกะสี(Zinc),แอสตาแซนธิน(Astaxanthin),ซิลิมาริน(Sillymarin),กรดอัลฟาไลโปอิก(Alpha Lipoic Acid),เมลาโทนิน(Melatonin),วิตามินดี(Vitamin D),NACหรือN-Acetylcysteine,CoQ10,ซิลิเนียม(Selenium),กรดฟูลวิค(Fulvic Acid),ผักชี(coriander),มะระขี้นก(Bitter gourd),สาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina),มิลค์ทิสเซิล(Milk Thistle-Silymarin),พริกคาเยน(Chayenne Peper),ชาเขียว(Green Tea),เห็ดถั่งเช่า(Cordyceps Mushrooms),อาติโช๊ค(Artichoke),คลอเรลลา(Chlorella),สาหร่าย Dulse,Shilajit และอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆที่โลกมี เป็นต้น

    โอเพนแชท "ล้างพิษ ยาฉีด"
    https://line.me/ti/g2/wTvY1gxHGpGKCt15sQN1jMHw02XoSC1uXsjUsQ?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
    กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    ✅กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเรื่องสุขภาพประชาชน ด้วยศาสตร์ต่างๆ ดังนี้ 🧐1.ศาสตร์แพทย์แผนไทย (Traditional Thai Medicine) ยาเบญจโลกวิเชียร(ห้าราก),ยาขาว,ยาใบมะขาม,ยาตรีผลา,ยาจันทลีลา,ยาเขียวหอม,ยาแสงหมึก,ยาประสะจันทน์แดง,ยามหานิลแท่งทอง,ยาสิงฆาณิกา,ยาธาตุบรรจบ,ยาเหลืองปิดสมุทร,ยาธาตุอบเชย,ยาปราบชมพูทวีป,ยาประสะมะแว้ง,ยาอัมฤควาที,ยาบำรุงโลหิต,ยาเลือดงาม,ยาถ่าย,ยาชุมเห็ดเทศ,ยาธรณีสัณฑฆาต,ยาตรีหอม,ยาลม300จำพวก,ยาหอม,ยาดองมะกรูด,ยาประสะกะเพรา,ยาประสะกานพลู,ยาวิสัมพยาใหญ่,ยามันทธาตุ,ยามหาจักรใหญ่,ยาประสะเจตพังคี,ยามะฮอกกานี,ยาแก้ไอมะขามป้อม,ยาพญายอ,สมุนไพรถ่ายพยาธิต่างๆ เช่น เมล็ดฟักทอง,เมล็ดมะขาม,เมล็ดเล็บมือนาง,เมล็ดสแก,ผงปวกหาด(มะหาด),ผลมะเกลือ,ยาเปลือกมังคุด,รางจืด,ฟ้าทลายโจร,โกฐจุฬาลัมพา,พลูคาว,ใบหนุมานประสานกาย,กระชาย,กัญชา,ขมิ้นชัน,อ้อยดำ,ฝาง,ผักบุ้งแดง,ดอกเกลือ,สมุนไพร ลมปราณ,ปัตจัตตัง เป็นต้น 🧐2.ศาสตร์แพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine) ยกตัวอย่าง สมุนไพรฉั่งฉิก ยาเขียวธรรมดา ยาเขียวพิเศษชิงเฟ่ยซองสีส้ม ยาชะลอวัย ยาวาสคิวล่าร์ ถ้าเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันใช้ยา 脑心通胶囊 เหน่า ซิน ทง ถ้าก้อนเนื้องอกกำเริบ ใช้温胆汤加减 เวิน ต่าน ทัง เจีย เจี่ยน และศาสตร์การฝังเข็ม เป็นต้น 🧐3.ศาสตร์โฮมิโอพาธีร์ (Homeophathy) ยาสกัดพลังธรมชาติ จาก พืช สัตว์ แร่ธาตุ ได้แก่ ตำรับโฮมิโอพาธีร์ต่างๆ ตำรับยาหมออมร ดังนี้ Isopathy ของวัคซีน AstraZeneca และ Sinopharm ตำรับ Benjalo แก้แพ้วัคซีนและลองโควิด,TotalTox ล้างพิษที่ตกค้างในอาหาร,RJHT ล้างพิษฟอร์มาลีนและสารเคมีการเกษตร,CKDMHT ขจัดพิษตกค้างจากสารเคมีปรุงรส,CBZA ช่วยล้างพิษสารเคมีกันบูดในอาหาร 🧐4.การครอบแก้ว,กรอกเลือด (Wet Cupping) เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เอาเลือดที่ คั่งค้างออก ซึ่งส่งผลทำให้ลดอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อและสามารถบรรเทาได้หลายโรค 🧐5.ศาสตร์ผสมผสาน (Integrative Medicine) การเหยียบดิน/หญ้า(Grounding),การอบตัว,อดอาหารเป็นระยะ(Intermittent Fasting),ศาสตร์ยา9เม็ดหมอเขียว,สวนล้างลำไส้(Enema),ล้างลำไส้แบบลึก(Colonics),Vitamin C Flush,เสียงบำบัด(Sound Therapy),ความถี่บำบัด(Frequency Therapy),ใช้แสงแดงFar Infrared,Reiki,แช่เท้า(Herbal Foot Bath),ล้างพิษตับ(Liver Compression,Castor Oil Pack,การใช้ทองแดง(Copper Tensor Rings),Crystals,การเขียนบันทึก (Journaling),Art Therapy,ภูษาบำบัด(Twisting Tourniquet Technique),การทำสมาธิ Pasitive Affirmations,ฝึกการหายใจ(Breathing Exercises),การตากแดด,เข้าใกล้มังสวิรัติ,คลอรีนไดออกไซด์โซลูชัน(CDS),ไฮดรอกซีคลอโรควีน(HCQ),เมทาลีนบลู(Methylene Blue),ดินภูเขาไฟเบนโทไนท์(Bentonite Clay),ซีโอไลท์(Zeolite),ซิลเวอร์คอลลอยด์(ColloidalSilver),DMSO,ไอโอดีน(Iodine),ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์(Hydrogen Peroxide),ไอเวอร์เมคติน(Ivermectin),เฟนเบนดาโซล (Fenbendazole),แอสไพลิน(Aspirin),น้ำเสริมไฮโดรเจน(hydrogen-rich water),บอแรกซ์(Borax),นัตโตะไคเนส(Nattokinase),โบรมิเลน(Bromelain),Magnesium Antisense(แมกนีเซียมแอนไทเซนส์),เพนท็อกซิฟิลลีน(Pentoxifylline),แมกนีเซียม(Magnesium),กลูตาไธโอน(Glutathione),สังกะสี(Zinc),แอสตาแซนธิน(Astaxanthin),ซิลิมาริน(Sillymarin),กรดอัลฟาไลโปอิก(Alpha Lipoic Acid),เมลาโทนิน(Melatonin),วิตามินดี(Vitamin D),NACหรือN-Acetylcysteine,CoQ10,ซิลิเนียม(Selenium),กรดฟูลวิค(Fulvic Acid),ผักชี(coriander),มะระขี้นก(Bitter gourd),สาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina),มิลค์ทิสเซิล(Milk Thistle-Silymarin),พริกคาเยน(Chayenne Peper),ชาเขียว(Green Tea),เห็ดถั่งเช่า(Cordyceps Mushrooms),อาติโช๊ค(Artichoke),คลอเรลลา(Chlorella),สาหร่าย Dulse,Shilajit และอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆที่โลกมี เป็นต้น โอเพนแชท "ล้างพิษ ยาฉีด" https://line.me/ti/g2/wTvY1gxHGpGKCt15sQN1jMHw02XoSC1uXsjUsQ?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก microkernel ถึง reactive UI: เมื่อ OS กลายเป็นงานศิลปะที่เขียนด้วย C++

    skiftOS ไม่ได้พยายามเลียนแบบระบบปฏิบัติการที่มีอยู่ แต่สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดด้วย C++ สมัยใหม่ เพื่อให้เป็นพื้นที่เรียนรู้และทดลองสำหรับคนที่อยากเข้าใจแก่นแท้ของ OS โดยไม่ต้องแบกภาระของ legacy code หรือข้อจำกัดของ POSIX

    ระบบนี้ใช้ microkernel แบบ capability-based ที่เน้นความปลอดภัยและความเป็นโมดูล พร้อม UI แบบ reactive ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก SwiftUI และ Flutter ทำให้ทุกแอปมีธีมและการจัดวางที่สอดคล้องกันอย่างสวยงาม

    แม้จะยังอยู่ในสถานะ alpha และไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน แต่ skiftOS ก็มีแอปพื้นฐานครบถ้วน เช่น terminal, text editor, media player, paint, calculator และแม้แต่เกมงู! ทั้งหมดนี้ถูกออกแบบให้เล็ก สร้างง่าย และเหมาะสำหรับผู้ที่อยากเรียนรู้การพัฒนา OS

    นอกจากนี้ skiftOS ยังมี browser engine แบบเบา ๆ ที่รองรับ HTML/CSS สำหรับการจัดวางหน้าเว็บ และระบบ build ที่รองรับ ARM, x86 และ RISC-V ทำให้สามารถทดลองบนฮาร์ดแวร์หลากหลายได้

    สิ่งที่น่าสนใจคือ skiftOS ไม่ใช่ *NIX และไม่ยึดติดกับ API แบบเดิม แต่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Plan 9, Haiku และ Fuchsia ซึ่งเน้นความเรียบง่าย ความสอดคล้อง และการออกแบบใหม่หมด

    แนวคิดและเป้าหมายของ skiftOS
    สร้างขึ้นเพื่อเรียนรู้ OS internals และพัฒนาทักษะระบบ
    ไม่พยายามเลียนแบบ Windows หรือ Linux
    เป็นระบบที่เขียนด้วย C++ สมัยใหม่ทั้งหมด

    สถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีหลัก
    ใช้ capability-based microkernel เพื่อความปลอดภัยและความเป็นโมดูล
    มี reactive UI framework ที่สวยงามและสอดคล้องกัน
    มี UEFI bootloader ที่ปรับแต่งได้และมีกราฟิกสวยงาม

    แอปและระบบพื้นฐาน
    มีแอปพื้นฐานครบ เช่น terminal, text editor, media player, paint, calculator
    มี browser engine ที่รองรับ HTML/CSS แบบเบา ๆ
    รองรับการ build บน ARM, x86 และ RISC-V

    ความแตกต่างจากระบบปฏิบัติการทั่วไป
    ไม่ใช่ POSIX และไม่ใช่ *NIX
    ได้แรงบันดาลใจจาก Plan 9, Haiku และ Fuchsia
    มี API และ userland ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด

    ชุมชนและการมีส่วนร่วม
    เปิดให้ร่วมพัฒนาผ่าน GitHub
    มีช่องทางสื่อสารผ่าน Discord, Reddit และ Bluesky
    ได้รับการสนับสนุนจากนักพัฒนาหลายคนในวงการ OS

    ความเสี่ยงจากการใช้งานจริง
    skiftOS ยังอยู่ในสถานะ alpha และไม่เหมาะกับการใช้งานจริง
    อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ที่ยังไม่สมบูรณ์

    ความเปราะบางของ ecosystem
    ไม่รองรับซอฟต์แวร์หรือไลบรารีจาก Linux หรือ Windows
    ต้องเรียนรู้ API ใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้เริ่มต้น

    ความไม่แน่นอนของการพัฒนาในระยะยาว
    เป็นโปรเจกต์ส่วนตัวที่ขึ้นอยู่กับเวลาของผู้พัฒนา
    อาจไม่มีการอัปเดตหรือสนับสนุนในระยะยาว

    https://skiftos.org/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก microkernel ถึง reactive UI: เมื่อ OS กลายเป็นงานศิลปะที่เขียนด้วย C++ skiftOS ไม่ได้พยายามเลียนแบบระบบปฏิบัติการที่มีอยู่ แต่สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดด้วย C++ สมัยใหม่ เพื่อให้เป็นพื้นที่เรียนรู้และทดลองสำหรับคนที่อยากเข้าใจแก่นแท้ของ OS โดยไม่ต้องแบกภาระของ legacy code หรือข้อจำกัดของ POSIX ระบบนี้ใช้ microkernel แบบ capability-based ที่เน้นความปลอดภัยและความเป็นโมดูล พร้อม UI แบบ reactive ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก SwiftUI และ Flutter ทำให้ทุกแอปมีธีมและการจัดวางที่สอดคล้องกันอย่างสวยงาม แม้จะยังอยู่ในสถานะ alpha และไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน แต่ skiftOS ก็มีแอปพื้นฐานครบถ้วน เช่น terminal, text editor, media player, paint, calculator และแม้แต่เกมงู! ทั้งหมดนี้ถูกออกแบบให้เล็ก สร้างง่าย และเหมาะสำหรับผู้ที่อยากเรียนรู้การพัฒนา OS นอกจากนี้ skiftOS ยังมี browser engine แบบเบา ๆ ที่รองรับ HTML/CSS สำหรับการจัดวางหน้าเว็บ และระบบ build ที่รองรับ ARM, x86 และ RISC-V ทำให้สามารถทดลองบนฮาร์ดแวร์หลากหลายได้ สิ่งที่น่าสนใจคือ skiftOS ไม่ใช่ *NIX และไม่ยึดติดกับ API แบบเดิม แต่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Plan 9, Haiku และ Fuchsia ซึ่งเน้นความเรียบง่าย ความสอดคล้อง และการออกแบบใหม่หมด ✅ แนวคิดและเป้าหมายของ skiftOS ➡️ สร้างขึ้นเพื่อเรียนรู้ OS internals และพัฒนาทักษะระบบ ➡️ ไม่พยายามเลียนแบบ Windows หรือ Linux ➡️ เป็นระบบที่เขียนด้วย C++ สมัยใหม่ทั้งหมด ✅ สถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีหลัก ➡️ ใช้ capability-based microkernel เพื่อความปลอดภัยและความเป็นโมดูล ➡️ มี reactive UI framework ที่สวยงามและสอดคล้องกัน ➡️ มี UEFI bootloader ที่ปรับแต่งได้และมีกราฟิกสวยงาม ✅ แอปและระบบพื้นฐาน ➡️ มีแอปพื้นฐานครบ เช่น terminal, text editor, media player, paint, calculator ➡️ มี browser engine ที่รองรับ HTML/CSS แบบเบา ๆ ➡️ รองรับการ build บน ARM, x86 และ RISC-V ✅ ความแตกต่างจากระบบปฏิบัติการทั่วไป ➡️ ไม่ใช่ POSIX และไม่ใช่ *NIX ➡️ ได้แรงบันดาลใจจาก Plan 9, Haiku และ Fuchsia ➡️ มี API และ userland ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด ✅ ชุมชนและการมีส่วนร่วม ➡️ เปิดให้ร่วมพัฒนาผ่าน GitHub ➡️ มีช่องทางสื่อสารผ่าน Discord, Reddit และ Bluesky ➡️ ได้รับการสนับสนุนจากนักพัฒนาหลายคนในวงการ OS ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้งานจริง ⛔ skiftOS ยังอยู่ในสถานะ alpha และไม่เหมาะกับการใช้งานจริง ⛔ อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ที่ยังไม่สมบูรณ์ ‼️ ความเปราะบางของ ecosystem ⛔ ไม่รองรับซอฟต์แวร์หรือไลบรารีจาก Linux หรือ Windows ⛔ ต้องเรียนรู้ API ใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้เริ่มต้น ‼️ ความไม่แน่นอนของการพัฒนาในระยะยาว ⛔ เป็นโปรเจกต์ส่วนตัวที่ขึ้นอยู่กับเวลาของผู้พัฒนา ⛔ อาจไม่มีการอัปเดตหรือสนับสนุนในระยะยาว https://skiftos.org/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากฝุ่นถึงฟันเฟืองสมอง: เมื่ออากาศสกปรกกลายเป็นตัวเร่งโรคที่เราไม่เคยคาดคิด

    งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 56.5 ล้านคนในสหรัฐฯ และพบว่าการสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเกิดภาวะสมองเสื่อมแบบ Lewy body และพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อมร่วมด้วย โดยเฉพาะในผู้ที่มีพันธุกรรมที่โน้มเอียงต่อโรคเหล่านี้

    PM2.5 คือฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดได้ง่าย และในงานวิจัยนี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่าในหนูทดลองที่ได้รับ PM2.5 ผ่านทางจมูกเป็นเวลา 10 เดือน มีการสะสมของโปรตีน α-synuclein (αSyn) ในสมอง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของโรค Lewy body dementia

    ที่น่าตกใจคือ หนูที่ได้รับ PM2.5 มีพฤติกรรมคล้ายภาวะสมองเสื่อม เช่น ความจำเสื่อมในการทดสอบเขาวงกต และการจำวัตถุใหม่ไม่ได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเนื้อสมองบริเวณ medial temporal lobe ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างและเรียกคืนความทรงจำ มีการหดตัวอย่างชัดเจน

    ทีมวิจัยยังพบว่า αSyn ไม่ได้สะสมแค่ในสมอง แต่ยังพบในลำไส้และปอดของหนูที่ได้รับ PM2.5 ซึ่งชี้ว่าอาจมีการแพร่กระจายของโปรตีนผ่าน “gut–brain axis” หรือเส้นทางลำไส้สู่สมอง ซึ่งเป็นกลไกที่เชื่อมโยงกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์และ Lewy body dementia

    เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้ไม่มีโปรตีน αSyn พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสมองเลย ซึ่งยืนยันว่าโปรตีนนี้เป็นตัวกลางสำคัญในการเกิดโรคจากฝุ่น PM2.5

    ความเชื่อมโยงระหว่าง PM2.5 กับภาวะสมองเสื่อม
    การสัมผัส PM2.5 ระยะยาวเพิ่มความเสี่ยงต่อ Lewy body dementia และพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อม
    ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 12% สำหรับผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
    ผู้ที่มีพันธุกรรมโน้มเอียงจะได้รับผลกระทบชัดเจนมากกว่า

    กลไกของโรคที่พบในหนูทดลอง
    พบการสะสมของโปรตีน αSyn ในสมอง ลำไส้ และปอด
    หนูมีพฤติกรรมคล้ายภาวะสมองเสื่อม เช่น ความจำเสื่อม
    สมองบริเวณ medial temporal lobe หดตัวอย่างมีนัยสำคัญ

    การเปรียบเทียบกับหนูที่ไม่มีโปรตีน αSyn
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสมองหรือพฤติกรรม
    ยืนยันว่า αSyn เป็นตัวกลางสำคัญในการเกิดโรคจาก PM2.5

    การเปลี่ยนแปลงระดับยีนในสมอง
    พบการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของยีนใน anterior cingulate cortex
    การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับที่พบในผู้ป่วย Lewy body dementia
    ไม่พบความคล้ายกันในผู้ป่วยพาร์กินสันที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อม

    https://www.nature.com/articles/d41586-025-02844-9
    🎙️ เรื่องเล่าจากฝุ่นถึงฟันเฟืองสมอง: เมื่ออากาศสกปรกกลายเป็นตัวเร่งโรคที่เราไม่เคยคาดคิด งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 56.5 ล้านคนในสหรัฐฯ และพบว่าการสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเกิดภาวะสมองเสื่อมแบบ Lewy body และพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อมร่วมด้วย โดยเฉพาะในผู้ที่มีพันธุกรรมที่โน้มเอียงต่อโรคเหล่านี้ PM2.5 คือฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดได้ง่าย และในงานวิจัยนี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่าในหนูทดลองที่ได้รับ PM2.5 ผ่านทางจมูกเป็นเวลา 10 เดือน มีการสะสมของโปรตีน α-synuclein (αSyn) ในสมอง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของโรค Lewy body dementia ที่น่าตกใจคือ หนูที่ได้รับ PM2.5 มีพฤติกรรมคล้ายภาวะสมองเสื่อม เช่น ความจำเสื่อมในการทดสอบเขาวงกต และการจำวัตถุใหม่ไม่ได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเนื้อสมองบริเวณ medial temporal lobe ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างและเรียกคืนความทรงจำ มีการหดตัวอย่างชัดเจน ทีมวิจัยยังพบว่า αSyn ไม่ได้สะสมแค่ในสมอง แต่ยังพบในลำไส้และปอดของหนูที่ได้รับ PM2.5 ซึ่งชี้ว่าอาจมีการแพร่กระจายของโปรตีนผ่าน “gut–brain axis” หรือเส้นทางลำไส้สู่สมอง ซึ่งเป็นกลไกที่เชื่อมโยงกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์และ Lewy body dementia เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้ไม่มีโปรตีน αSyn พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสมองเลย ซึ่งยืนยันว่าโปรตีนนี้เป็นตัวกลางสำคัญในการเกิดโรคจากฝุ่น PM2.5 ✅ ความเชื่อมโยงระหว่าง PM2.5 กับภาวะสมองเสื่อม ➡️ การสัมผัส PM2.5 ระยะยาวเพิ่มความเสี่ยงต่อ Lewy body dementia และพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อม ➡️ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 12% สำหรับผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ➡️ ผู้ที่มีพันธุกรรมโน้มเอียงจะได้รับผลกระทบชัดเจนมากกว่า ✅ กลไกของโรคที่พบในหนูทดลอง ➡️ พบการสะสมของโปรตีน αSyn ในสมอง ลำไส้ และปอด ➡️ หนูมีพฤติกรรมคล้ายภาวะสมองเสื่อม เช่น ความจำเสื่อม ➡️ สมองบริเวณ medial temporal lobe หดตัวอย่างมีนัยสำคัญ ✅ การเปรียบเทียบกับหนูที่ไม่มีโปรตีน αSyn ➡️ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสมองหรือพฤติกรรม ➡️ ยืนยันว่า αSyn เป็นตัวกลางสำคัญในการเกิดโรคจาก PM2.5 ✅ การเปลี่ยนแปลงระดับยีนในสมอง ➡️ พบการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของยีนใน anterior cingulate cortex ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับที่พบในผู้ป่วย Lewy body dementia ➡️ ไม่พบความคล้ายกันในผู้ป่วยพาร์กินสันที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อม https://www.nature.com/articles/d41586-025-02844-9
    WWW.NATURE.COM
    Air pollution directly linked to increased dementia risk
    Long-term exposure accelerates the development of Lewy body dementia and Parkinson’s disease with dementia in people who are predisposed to the conditions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก EEG: เมื่อ ChatGPT ไม่ได้แค่ช่วยเขียน แต่กำลัง “เขียนใหม่” ระบบประสาทของเรา

    งานวิจัยล่าสุดจาก MIT Media Lab ชื่อว่า “Your Brain on ChatGPT” ได้ทดลองให้ผู้เข้าร่วม 54 คนแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม: กลุ่มที่เขียนด้วยสมองตัวเอง, กลุ่มที่ใช้ Search Engine, และกลุ่มที่ใช้ LLM (เช่น ChatGPT หรือ Grok) เพื่อช่วยเขียนเรียงความ SAT โดยใช้ EEG สแกนสมองระหว่างทำงาน

    ผลลัพธ์ชัดเจน: กลุ่มที่ใช้ LLM มีการเชื่อมต่อของสมองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในคลื่น alpha, beta, delta และ theta ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจดจ่อ, การมองเห็น, และการประมวลผลเชิงลึก

    ที่น่าตกใจคือ เมื่อให้เขียนโดยไม่ใช้ AI ใน Session 4 ผู้ที่เคยใช้ LLM กลับไม่สามารถฟื้นฟูการทำงานของสมองได้เหมือนเดิม—แสดงถึง “ความเสียหายตกค้าง” ที่อาจกลายเป็นภาวะถดถอยทางปัญญาระยะยาว

    นอกจากนี้ 83.3% ของผู้ใช้ LLM ไม่สามารถจำแม้แต่ประโยคเดียวจากเรียงความที่เพิ่งเขียนได้ ขณะที่กลุ่มที่ใช้สมองหรือ Search Engine สามารถอ้างอิงได้อย่างแม่นยำ และยังรู้สึกเป็นเจ้าของงานเขียนของตัวเองมากกว่า

    นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “cognitive offloading” คือสมองเริ่มปรับตัวให้ใช้พลังงานน้อยลงเมื่อมีเครื่องมือช่วย—แต่ผลที่ตามมาคือการลดลงของการเรียนรู้เชิงลึก, การสังเคราะห์ข้อมูล, และความพยายามในการแก้ปัญหา

    ผลกระทบของการใช้ LLM ต่อสมอง
    EEG แสดงการลดลงของการเชื่อมต่อสมองในหลายคลื่นความถี่
    การใช้ LLM ทำให้สมองไม่กระตุ้นเครือข่ายการมองเห็นและความสนใจ
    ผู้ใช้ LLM มีความจำและการจดจำเนื้อหาลดลงอย่างชัดเจน

    ความรู้สึกของผู้ใช้ต่อผลงานของตัวเอง
    ผู้ใช้ LLM มักตอบว่า “50/50” หรือ “ไม่แน่ใจว่าเป็นของตัวเอง”
    กลุ่มที่ใช้สมองเองรายงานความรู้สึกเป็นเจ้าของงานอย่างชัดเจน
    การใช้ AI ทำให้เกิดความรู้สึกแยกตัวจากกระบวนการสร้างสรรค์

    ผลกระทบระยะยาวจากการใช้ AI
    ผู้ใช้ LLM ที่เปลี่ยนกลับมาเขียนเองยังคงมีการทำงานของสมองต่ำกว่าปกติ
    สมองปรับตัวให้ “ประหยัดพลังงาน” แต่แลกด้วยการลดความสามารถในการเรียนรู้
    งานเขียนจาก LLM มักสั้นลง, มีโครงสร้างจำกัด, และขาดการบูรณาการเชิงกลยุทธ์

    ข้อเสนอจากนักวิจัย
    ควรใช้ AI อย่างมีขอบเขต และให้สมองได้ทำงานจริงเป็นระยะ
    การใช้ AI เพื่อความสะดวกอาจนำไปสู่ “หนี้ทางปัญญา” ที่สะสมเรื่อย ๆ
    การเรียนรู้ที่แท้จริงต้องใช้ความพยายาม ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ดูดี

    https://publichealthpolicyjournal.com/mit-study-finds-artificial-intelligence-use-reprograms-the-brain-leading-to-cognitive-decline/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก EEG: เมื่อ ChatGPT ไม่ได้แค่ช่วยเขียน แต่กำลัง “เขียนใหม่” ระบบประสาทของเรา งานวิจัยล่าสุดจาก MIT Media Lab ชื่อว่า “Your Brain on ChatGPT” ได้ทดลองให้ผู้เข้าร่วม 54 คนแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม: กลุ่มที่เขียนด้วยสมองตัวเอง, กลุ่มที่ใช้ Search Engine, และกลุ่มที่ใช้ LLM (เช่น ChatGPT หรือ Grok) เพื่อช่วยเขียนเรียงความ SAT โดยใช้ EEG สแกนสมองระหว่างทำงาน ผลลัพธ์ชัดเจน: กลุ่มที่ใช้ LLM มีการเชื่อมต่อของสมองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในคลื่น alpha, beta, delta และ theta ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจดจ่อ, การมองเห็น, และการประมวลผลเชิงลึก ที่น่าตกใจคือ เมื่อให้เขียนโดยไม่ใช้ AI ใน Session 4 ผู้ที่เคยใช้ LLM กลับไม่สามารถฟื้นฟูการทำงานของสมองได้เหมือนเดิม—แสดงถึง “ความเสียหายตกค้าง” ที่อาจกลายเป็นภาวะถดถอยทางปัญญาระยะยาว นอกจากนี้ 83.3% ของผู้ใช้ LLM ไม่สามารถจำแม้แต่ประโยคเดียวจากเรียงความที่เพิ่งเขียนได้ ขณะที่กลุ่มที่ใช้สมองหรือ Search Engine สามารถอ้างอิงได้อย่างแม่นยำ และยังรู้สึกเป็นเจ้าของงานเขียนของตัวเองมากกว่า นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “cognitive offloading” คือสมองเริ่มปรับตัวให้ใช้พลังงานน้อยลงเมื่อมีเครื่องมือช่วย—แต่ผลที่ตามมาคือการลดลงของการเรียนรู้เชิงลึก, การสังเคราะห์ข้อมูล, และความพยายามในการแก้ปัญหา ✅ ผลกระทบของการใช้ LLM ต่อสมอง ➡️ EEG แสดงการลดลงของการเชื่อมต่อสมองในหลายคลื่นความถี่ ➡️ การใช้ LLM ทำให้สมองไม่กระตุ้นเครือข่ายการมองเห็นและความสนใจ ➡️ ผู้ใช้ LLM มีความจำและการจดจำเนื้อหาลดลงอย่างชัดเจน ✅ ความรู้สึกของผู้ใช้ต่อผลงานของตัวเอง ➡️ ผู้ใช้ LLM มักตอบว่า “50/50” หรือ “ไม่แน่ใจว่าเป็นของตัวเอง” ➡️ กลุ่มที่ใช้สมองเองรายงานความรู้สึกเป็นเจ้าของงานอย่างชัดเจน ➡️ การใช้ AI ทำให้เกิดความรู้สึกแยกตัวจากกระบวนการสร้างสรรค์ ✅ ผลกระทบระยะยาวจากการใช้ AI ➡️ ผู้ใช้ LLM ที่เปลี่ยนกลับมาเขียนเองยังคงมีการทำงานของสมองต่ำกว่าปกติ ➡️ สมองปรับตัวให้ “ประหยัดพลังงาน” แต่แลกด้วยการลดความสามารถในการเรียนรู้ ➡️ งานเขียนจาก LLM มักสั้นลง, มีโครงสร้างจำกัด, และขาดการบูรณาการเชิงกลยุทธ์ ✅ ข้อเสนอจากนักวิจัย ➡️ ควรใช้ AI อย่างมีขอบเขต และให้สมองได้ทำงานจริงเป็นระยะ ➡️ การใช้ AI เพื่อความสะดวกอาจนำไปสู่ “หนี้ทางปัญญา” ที่สะสมเรื่อย ๆ ➡️ การเรียนรู้ที่แท้จริงต้องใช้ความพยายาม ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ดูดี https://publichealthpolicyjournal.com/mit-study-finds-artificial-intelligence-use-reprograms-the-brain-leading-to-cognitive-decline/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากคดีผูกขาด: เมื่อ Google รอดจากการถูกแยกบริษัท แต่ต้องยอมปล่อยข้อมูลให้คู่แข่ง

    ย้อนกลับไปในปี 2024 ศาลแขวงสหรัฐฯ ตัดสินว่า Google มีพฤติกรรมผูกขาดในตลาดการค้นหาออนไลน์ โดยใช้สัญญาแบบผูกขาดกับ Apple, Samsung และผู้ให้บริการมือถือ เพื่อให้ Google Search เป็นค่าเริ่มต้นบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้คู่แข่งไม่มีโอกาสเข้าถึงผู้ใช้

    ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ผู้พิพากษา Amit Mehta ได้ออกคำตัดสินเกี่ยวกับ “บทลงโทษ” ที่ Google ต้องรับผิดชอบ โดยปฏิเสธข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมที่ต้องการให้ Google ขาย Chrome และ Android ออกไป โดยระบุว่า “เป็นการลงโทษเกินขอบเขต” และอาจทำให้ผู้บริโภคเสียประโยชน์

    แต่ Google ก็ไม่ได้รอดทั้งหมด—ศาลสั่งให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลบางส่วนจากระบบค้นหา เช่น index และข้อมูลการคลิกของผู้ใช้ ให้กับคู่แข่งภายใต้เงื่อนไขทางการค้าแบบปกติ เพื่อเปิดตลาดให้มีการแข่งขันมากขึ้น และห้ามทำสัญญาแบบ exclusive ที่ผูกการจ่ายเงินกับการติดตั้ง Search, Chrome หรือ Gemini บนอุปกรณ์

    ที่น่าสนใจคือ ศาลยังระบุว่า “Generative AI” เช่น Gemini ก็อยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกัน เพราะถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อาจใช้กลยุทธ์ผูกขาดแบบเดียวกับ Search ได้ในอนาคต

    ผลการตัดสินของศาลกลางสหรัฐฯ
    Google ไม่ต้องขาย Chrome หรือ Android ออกไป
    ศาลเห็นว่าการบังคับขายจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภคและคู่ค้า
    แต่ Google ต้องเปิดเผยข้อมูล index และ user interaction ให้คู่แข่ง

    ข้อจำกัดใหม่ที่ Google ต้องปฏิบัติตาม
    ห้ามทำสัญญาแบบ exclusive ที่ผูกการจ่ายเงินกับการติดตั้ง Search หรือ Chrome
    ห้ามผูกการติดตั้ง Gemini หรือ GenAI กับการเข้าถึง Play Store หรือแอปอื่น
    ข้อจำกัดเหล่านี้มีผลบังคับใช้เป็นเวลา 6 ปี

    ผลกระทบต่อตลาดและหุ้น
    หุ้น Alphabet พุ่งขึ้น 7–8% หลังข่าวออก
    หุ้น Apple ก็ขึ้น 3–4% เพราะดีลกับ Google ยังอยู่
    นักลงทุนมองว่าคำตัดสินนี้เป็น “ชัยชนะเชิงกลยุทธ์” สำหรับทั้งสองบริษัท

    การขยายผลไปยัง GenAI
    ศาลระบุว่า GenAI เช่น Gemini ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกับ Search
    ป้องกันไม่ให้ Google ใช้กลยุทธ์ผูกขาดแบบเดิมในตลาด AI
    เป็นครั้งแรกที่ GenAI ถูกพิจารณาในบริบทของกฎหมายผูกขาด

    https://www.cnbc.com/2025/09/02/google-antitrust-search-ruling.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากคดีผูกขาด: เมื่อ Google รอดจากการถูกแยกบริษัท แต่ต้องยอมปล่อยข้อมูลให้คู่แข่ง ย้อนกลับไปในปี 2024 ศาลแขวงสหรัฐฯ ตัดสินว่า Google มีพฤติกรรมผูกขาดในตลาดการค้นหาออนไลน์ โดยใช้สัญญาแบบผูกขาดกับ Apple, Samsung และผู้ให้บริการมือถือ เพื่อให้ Google Search เป็นค่าเริ่มต้นบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้คู่แข่งไม่มีโอกาสเข้าถึงผู้ใช้ ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ผู้พิพากษา Amit Mehta ได้ออกคำตัดสินเกี่ยวกับ “บทลงโทษ” ที่ Google ต้องรับผิดชอบ โดยปฏิเสธข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมที่ต้องการให้ Google ขาย Chrome และ Android ออกไป โดยระบุว่า “เป็นการลงโทษเกินขอบเขต” และอาจทำให้ผู้บริโภคเสียประโยชน์ แต่ Google ก็ไม่ได้รอดทั้งหมด—ศาลสั่งให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลบางส่วนจากระบบค้นหา เช่น index และข้อมูลการคลิกของผู้ใช้ ให้กับคู่แข่งภายใต้เงื่อนไขทางการค้าแบบปกติ เพื่อเปิดตลาดให้มีการแข่งขันมากขึ้น และห้ามทำสัญญาแบบ exclusive ที่ผูกการจ่ายเงินกับการติดตั้ง Search, Chrome หรือ Gemini บนอุปกรณ์ ที่น่าสนใจคือ ศาลยังระบุว่า “Generative AI” เช่น Gemini ก็อยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกัน เพราะถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อาจใช้กลยุทธ์ผูกขาดแบบเดียวกับ Search ได้ในอนาคต ✅ ผลการตัดสินของศาลกลางสหรัฐฯ ➡️ Google ไม่ต้องขาย Chrome หรือ Android ออกไป ➡️ ศาลเห็นว่าการบังคับขายจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภคและคู่ค้า ➡️ แต่ Google ต้องเปิดเผยข้อมูล index และ user interaction ให้คู่แข่ง ✅ ข้อจำกัดใหม่ที่ Google ต้องปฏิบัติตาม ➡️ ห้ามทำสัญญาแบบ exclusive ที่ผูกการจ่ายเงินกับการติดตั้ง Search หรือ Chrome ➡️ ห้ามผูกการติดตั้ง Gemini หรือ GenAI กับการเข้าถึง Play Store หรือแอปอื่น ➡️ ข้อจำกัดเหล่านี้มีผลบังคับใช้เป็นเวลา 6 ปี ✅ ผลกระทบต่อตลาดและหุ้น ➡️ หุ้น Alphabet พุ่งขึ้น 7–8% หลังข่าวออก ➡️ หุ้น Apple ก็ขึ้น 3–4% เพราะดีลกับ Google ยังอยู่ ➡️ นักลงทุนมองว่าคำตัดสินนี้เป็น “ชัยชนะเชิงกลยุทธ์” สำหรับทั้งสองบริษัท ✅ การขยายผลไปยัง GenAI ➡️ ศาลระบุว่า GenAI เช่น Gemini ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกับ Search ➡️ ป้องกันไม่ให้ Google ใช้กลยุทธ์ผูกขาดแบบเดิมในตลาด AI ➡️ เป็นครั้งแรกที่ GenAI ถูกพิจารณาในบริบทของกฎหมายผูกขาด https://www.cnbc.com/2025/09/02/google-antitrust-search-ruling.html
    WWW.CNBC.COM
    Google stock jumps 8% after search giant avoids worst-case penalties in antitrust case
    The ruling comes nearly a year after a U.S. judge ruled that Google holds an illegal monopoly in its core market of internet search.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อคำด่าหุ่นยนต์กลายเป็นเสียงต้านเทคโนโลยี

    ในอดีต หุ่นยนต์ในหนังไซไฟถูกเรียกด้วยคำดูถูกอย่าง “toaster” ใน Battlestar Galactica หรือ “skinjob” ใน Blade Runner แต่ในปี 2025 คำว่า “clanker” ได้กลายเป็นคำด่าหุ่นยนต์และ AI ที่แพร่หลายที่สุดในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในหมู่ Gen Z และ Gen Alpha ที่ใช้มันเป็นสัญลักษณ์ของความไม่พอใจต่อการรุกคืบของเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน

    คำว่า “clanker” มีต้นกำเนิดจาก Star Wars: The Clone Wars ซึ่งเป็นคำที่ clone trooper ใช้เรียกดรอยด์ฝ่ายศัตรูด้วยน้ำเสียงดูถูก เช่น “OK, clankers. Suck lasers!” แต่ในยุคปัจจุบัน มันถูกนำกลับมาใช้ใหม่ในบริบทของการต่อต้าน AI ที่แทรกซึมเข้ามาในงานบริการ, การสื่อสาร, และแม้แต่การให้คำปรึกษาทางจิตใจ

    ผู้คนเริ่มใช้ “clanker” ในโพสต์ TikTok, Instagram และ X เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อ chatbot ที่ตอบไม่ตรงคำถาม, หุ่นยนต์ส่งของที่ขวางทางบนทางเท้า, หรือระบบอัตโนมัติที่แทนที่แรงงานมนุษย์ โดยมีทั้งมุกตลกและการประท้วงจริง เช่น การชุมนุมหน้าสำนักงาน OpenAI ในซานฟรานซิสโก

    นักภาษาศาสตร์มองว่า “clanker” เป็นการสร้างภาษาต่อต้านที่สะท้อนความรู้สึกของคนที่รู้สึกถูกแทนที่หรือถูกลดคุณค่าด้วยเทคโนโลยี และแม้จะเป็นคำที่ดูขำ ๆ แต่ก็มีพลังในการรวมกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการพัฒนา AI แบบไร้ขอบเขต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/02/how-clanker-became-an-anti-ai-rallying-cry
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อคำด่าหุ่นยนต์กลายเป็นเสียงต้านเทคโนโลยี ในอดีต หุ่นยนต์ในหนังไซไฟถูกเรียกด้วยคำดูถูกอย่าง “toaster” ใน Battlestar Galactica หรือ “skinjob” ใน Blade Runner แต่ในปี 2025 คำว่า “clanker” ได้กลายเป็นคำด่าหุ่นยนต์และ AI ที่แพร่หลายที่สุดในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในหมู่ Gen Z และ Gen Alpha ที่ใช้มันเป็นสัญลักษณ์ของความไม่พอใจต่อการรุกคืบของเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน คำว่า “clanker” มีต้นกำเนิดจาก Star Wars: The Clone Wars ซึ่งเป็นคำที่ clone trooper ใช้เรียกดรอยด์ฝ่ายศัตรูด้วยน้ำเสียงดูถูก เช่น “OK, clankers. Suck lasers!” แต่ในยุคปัจจุบัน มันถูกนำกลับมาใช้ใหม่ในบริบทของการต่อต้าน AI ที่แทรกซึมเข้ามาในงานบริการ, การสื่อสาร, และแม้แต่การให้คำปรึกษาทางจิตใจ ผู้คนเริ่มใช้ “clanker” ในโพสต์ TikTok, Instagram และ X เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อ chatbot ที่ตอบไม่ตรงคำถาม, หุ่นยนต์ส่งของที่ขวางทางบนทางเท้า, หรือระบบอัตโนมัติที่แทนที่แรงงานมนุษย์ โดยมีทั้งมุกตลกและการประท้วงจริง เช่น การชุมนุมหน้าสำนักงาน OpenAI ในซานฟรานซิสโก นักภาษาศาสตร์มองว่า “clanker” เป็นการสร้างภาษาต่อต้านที่สะท้อนความรู้สึกของคนที่รู้สึกถูกแทนที่หรือถูกลดคุณค่าด้วยเทคโนโลยี และแม้จะเป็นคำที่ดูขำ ๆ แต่ก็มีพลังในการรวมกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการพัฒนา AI แบบไร้ขอบเขต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/02/how-clanker-became-an-anti-ai-rallying-cry
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How 'clanker' became an anti-AI rallying cry
    The term, which was popularised by a "Star Wars" show and is rooted in real frustrations with technology, has become a go-to slur against artificial intelligence and robots.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเรื่องสุขภาพประชาชน ด้วยศาสตร์ต่างๆ ดังนี้
    1.ศาสตร์แพทย์แผนไทย (Traditional Thai Medicine)
    ยาเบญจโลกวิเชียร(ห้าราก),ยาขาว,ยาใบมะขาม,ยาตรีผลา,ยาจันทลีลา,ยาเขียวหอม,ยาแสงหมึก,ยาประสะจันทน์แดง,ยามหานิลแท่งทอง,ยาสิงฆาณิกา,ยาธาตุบรรจบ,ยาเหลืองปิดสมุทร,ยาธาตุอบเชย,ยาปราบชมพูทวีป,ยาประสะมะแว้ง,ยาอัมฤควาที,ยาบำรุงโลหิต,ยาเลือดงาม,ยาถ่าย,ยาชุมเห็ดเทศ,ยาธรณีสัณฑฆาต,ยาตรีหอม,ยาลม300จำพวก,ยาหอม,ยาดองมะกรูด,ยาประสะกะเพรา,ยาประสะกานพลู,ยาวิสัมพยาใหญ่,ยามันทธาตุ,ยามหาจักรใหญ่,ยาประสะเจตพังคี,ยามะฮอกกานี,ยาแก้ไอมะขามป้อม,ยาพญายอ,สมุนไพรถ่ายพยาธิต่างๆ เช่น เมล็ดฟักทอง,เมล็ดมะขาม,เมล็ดเล็บมือนาง,เมล็ดสแก,ผงปวกหาด(มะหาด),ผลมะเกลือ,ยาเปลือกมังคุด,รางจืด,ฟ้าทลายโจร,โกฐจุฬาลัมพา,พลูคาว,ใบหนุมานประสานกาย,กระชาย,กัญชา,ขมิ้นชัน,อ้อยดำ,ฝาง,ผักบุ้งแดง,ดอกเกลือ,สมุนไพร ลมปราณ,ปัตจัตตัง เป็นต้น
    2.ศาสตร์แพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine)
    ยกตัวอย่าง สมุนไพรฉั่งฉิก ยาเขียวธรรมดา ยาเขียวพิเศษชิงเฟ่ยซองสีส้ม ยาชะลอวัย ยาวาสคิวล่าร์
    ถ้าเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันใช้ยา 脑心通胶囊 เหน่า ซิน ทง
    ถ้าก้อนเนื้องอกกำเริบ ใช้温胆汤加减 เวิน ต่าน ทัง เจีย เจี่ยน และศาสตร์การฝังเข็ม เป็นต้น
    3.ศาสตร์โฮมิโอพาธีร์ (Homeophathy) ยาสกัดพลังธรมชาติ จาก พืช สัตว์ แร่ธาตุ ได้แก่ ตำรับโฮมิโอพาธีร์ต่างๆ ตำรับยาหมออมร ดังนี้ Isopathy ของวัคซีน AstraZeneca และ Sinopharm ตำรับ Benjalo แก้แพ้วัคซีนและลองโควิด,TotalTox ล้างพิษที่ตกค้างในอาหาร,RJHT ล้างพิษฟอร์มาลีนและสารเคมีการเกษตร,CKDMHT ขจัดพิษตกค้างจากสารเคมีปรุงรส,CBZA ช่วยล้างพิษสารเคมีกันบูดในอาหาร
    4.การครอบแก้ว,กรอกเลือด (Wet Cupping) เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เอาเลือดที่
    คั่งค้างออก ซึ่งส่งผลทำให้ลดอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อและสามารถบรรเทาได้หลายโรค
    5.ศาสตร์ผสมผสาน (Integrative Medicine)
    การเหยียบดิน/หญ้า(Grounding),การอบตัว,อดอาหารเป็นระยะ(Intermittent Fasting),ศาสตร์ยา9เม็ดหมอเขียว,สวนล้างลำไส้(Enema),ล้างลำไส้แบบลึก(Colonics),Vitamin C Flush,เสียงบำบัด(Sound Therapy),ความถี่บำบัด(Frequency Therapy),ใช้แสงแดงFar Infrared,Reiki,แช่เท้า(Herbal Foot Bath),ล้างพิษตับ(Liver Compression,Castor Oil Pack,การใช้ทองแดง(Copper Tensor Rings),Crystals,การเขียนบันทึก (Journaling),Art Therapy,การทำสมาธิ Pasitive Affirmations,ฝึกการหายใจ(Breathing Exercises),การตากแดด,เข้าใกล้มังสวิรัติ,คลอรีนไดออกไซด์โซลูชัน(CDS),ไฮดรอกซีคลอโรควีน(HCQ),เมทาลีนบลู(Methylene Blue),ดินภูเขาไฟเบนโทไนท์(Bentonite Clay),ซีโอไลท์(Zeolite),ซิลเวอร์คอลลอยด์(ColloidalSilver),DMSO,ไอโอดีน(Iodine),ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์(Hydrogen Peroxide),ไอเวอร์เมคติน(Ivermectin),เฟนเบนดาโซล (Fenbendazole),แอสไพลิน(Aspirin),น้ำเสริมไฮโดรเจน(hydrogen-rich water),บอแรกซ์(Borax),นัตโตะไคเนส(Nattokinase),โบรมิเลน(Bromelain),Magnesium Antisense(แมกนีเซียมแอนไทเซนส์),เพนท็อกซิฟิลลีน(Pentoxifylline),แมกนีเซียม(Magnesium),กลูตาไธโอน(Glutathione),สังกะสี(Zinc),แอสตาแซนธิน(Astaxanthin),ซิลิมาริน(Sillymarin),กรดอัลฟาไลโปอิก(Alpha Lipoic Acid),เมลาโทนิน(Melatonin),วิตามินดี(Vitamin D),NACหรือN-Acetylcysteine,CoQ10,ซิลิเนียม(Selenium),กรดฟูลวิค(Fulvic Acid),ผักชี(coriander),มะระขี้นก(Bitter gourd),สาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina),มิลค์ทิสเซิล(Milk Thistle-Silymarin),พริกคาเยน(Chayenne Peper),ชาเขียว(Green Tea),เห็ดถั่งเช่า(Cordyceps Mushrooms),อาติโช๊ค(Artichoke),คลอเรลลา(Chlorella),สาหร่าย Dulse,Shilajit และอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆที่โลกมี เป็นต้น

    โอเพนแชท "ล้างพิษ ยาฉีด"
    https://line.me/ti/g2/wTvY1gxHGpGKCt15sQN1jMHw02XoSC1uXsjUsQ?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
    ✅กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเรื่องสุขภาพประชาชน ด้วยศาสตร์ต่างๆ ดังนี้ 🧐1.ศาสตร์แพทย์แผนไทย (Traditional Thai Medicine) ยาเบญจโลกวิเชียร(ห้าราก),ยาขาว,ยาใบมะขาม,ยาตรีผลา,ยาจันทลีลา,ยาเขียวหอม,ยาแสงหมึก,ยาประสะจันทน์แดง,ยามหานิลแท่งทอง,ยาสิงฆาณิกา,ยาธาตุบรรจบ,ยาเหลืองปิดสมุทร,ยาธาตุอบเชย,ยาปราบชมพูทวีป,ยาประสะมะแว้ง,ยาอัมฤควาที,ยาบำรุงโลหิต,ยาเลือดงาม,ยาถ่าย,ยาชุมเห็ดเทศ,ยาธรณีสัณฑฆาต,ยาตรีหอม,ยาลม300จำพวก,ยาหอม,ยาดองมะกรูด,ยาประสะกะเพรา,ยาประสะกานพลู,ยาวิสัมพยาใหญ่,ยามันทธาตุ,ยามหาจักรใหญ่,ยาประสะเจตพังคี,ยามะฮอกกานี,ยาแก้ไอมะขามป้อม,ยาพญายอ,สมุนไพรถ่ายพยาธิต่างๆ เช่น เมล็ดฟักทอง,เมล็ดมะขาม,เมล็ดเล็บมือนาง,เมล็ดสแก,ผงปวกหาด(มะหาด),ผลมะเกลือ,ยาเปลือกมังคุด,รางจืด,ฟ้าทลายโจร,โกฐจุฬาลัมพา,พลูคาว,ใบหนุมานประสานกาย,กระชาย,กัญชา,ขมิ้นชัน,อ้อยดำ,ฝาง,ผักบุ้งแดง,ดอกเกลือ,สมุนไพร ลมปราณ,ปัตจัตตัง เป็นต้น 🧐2.ศาสตร์แพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine) ยกตัวอย่าง สมุนไพรฉั่งฉิก ยาเขียวธรรมดา ยาเขียวพิเศษชิงเฟ่ยซองสีส้ม ยาชะลอวัย ยาวาสคิวล่าร์ ถ้าเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันใช้ยา 脑心通胶囊 เหน่า ซิน ทง ถ้าก้อนเนื้องอกกำเริบ ใช้温胆汤加减 เวิน ต่าน ทัง เจีย เจี่ยน และศาสตร์การฝังเข็ม เป็นต้น 🧐3.ศาสตร์โฮมิโอพาธีร์ (Homeophathy) ยาสกัดพลังธรมชาติ จาก พืช สัตว์ แร่ธาตุ ได้แก่ ตำรับโฮมิโอพาธีร์ต่างๆ ตำรับยาหมออมร ดังนี้ Isopathy ของวัคซีน AstraZeneca และ Sinopharm ตำรับ Benjalo แก้แพ้วัคซีนและลองโควิด,TotalTox ล้างพิษที่ตกค้างในอาหาร,RJHT ล้างพิษฟอร์มาลีนและสารเคมีการเกษตร,CKDMHT ขจัดพิษตกค้างจากสารเคมีปรุงรส,CBZA ช่วยล้างพิษสารเคมีกันบูดในอาหาร 🧐4.การครอบแก้ว,กรอกเลือด (Wet Cupping) เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เอาเลือดที่ คั่งค้างออก ซึ่งส่งผลทำให้ลดอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อและสามารถบรรเทาได้หลายโรค 🧐5.ศาสตร์ผสมผสาน (Integrative Medicine) การเหยียบดิน/หญ้า(Grounding),การอบตัว,อดอาหารเป็นระยะ(Intermittent Fasting),ศาสตร์ยา9เม็ดหมอเขียว,สวนล้างลำไส้(Enema),ล้างลำไส้แบบลึก(Colonics),Vitamin C Flush,เสียงบำบัด(Sound Therapy),ความถี่บำบัด(Frequency Therapy),ใช้แสงแดงFar Infrared,Reiki,แช่เท้า(Herbal Foot Bath),ล้างพิษตับ(Liver Compression,Castor Oil Pack,การใช้ทองแดง(Copper Tensor Rings),Crystals,การเขียนบันทึก (Journaling),Art Therapy,การทำสมาธิ Pasitive Affirmations,ฝึกการหายใจ(Breathing Exercises),การตากแดด,เข้าใกล้มังสวิรัติ,คลอรีนไดออกไซด์โซลูชัน(CDS),ไฮดรอกซีคลอโรควีน(HCQ),เมทาลีนบลู(Methylene Blue),ดินภูเขาไฟเบนโทไนท์(Bentonite Clay),ซีโอไลท์(Zeolite),ซิลเวอร์คอลลอยด์(ColloidalSilver),DMSO,ไอโอดีน(Iodine),ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์(Hydrogen Peroxide),ไอเวอร์เมคติน(Ivermectin),เฟนเบนดาโซล (Fenbendazole),แอสไพลิน(Aspirin),น้ำเสริมไฮโดรเจน(hydrogen-rich water),บอแรกซ์(Borax),นัตโตะไคเนส(Nattokinase),โบรมิเลน(Bromelain),Magnesium Antisense(แมกนีเซียมแอนไทเซนส์),เพนท็อกซิฟิลลีน(Pentoxifylline),แมกนีเซียม(Magnesium),กลูตาไธโอน(Glutathione),สังกะสี(Zinc),แอสตาแซนธิน(Astaxanthin),ซิลิมาริน(Sillymarin),กรดอัลฟาไลโปอิก(Alpha Lipoic Acid),เมลาโทนิน(Melatonin),วิตามินดี(Vitamin D),NACหรือN-Acetylcysteine,CoQ10,ซิลิเนียม(Selenium),กรดฟูลวิค(Fulvic Acid),ผักชี(coriander),มะระขี้นก(Bitter gourd),สาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina),มิลค์ทิสเซิล(Milk Thistle-Silymarin),พริกคาเยน(Chayenne Peper),ชาเขียว(Green Tea),เห็ดถั่งเช่า(Cordyceps Mushrooms),อาติโช๊ค(Artichoke),คลอเรลลา(Chlorella),สาหร่าย Dulse,Shilajit และอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆที่โลกมี เป็นต้น โอเพนแชท "ล้างพิษ ยาฉีด" https://line.me/ti/g2/wTvY1gxHGpGKCt15sQN1jMHw02XoSC1uXsjUsQ?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 497 มุมมอง 0 รีวิว
  • Siri จะฉลาดขึ้นด้วย Gemini จาก Google?

    Apple กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุค AI หลังจากที่ Siri ซึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิกด้านผู้ช่วยเสียง กลับกลายเป็นผู้ตามในยุคที่ Google Assistant และ Alexa พัฒนาไปไกลกว่าเดิมมาก

    ล่าสุดมีรายงานว่า Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดที่ล้ำสมัยที่สุดของ Google มาเป็น “สมองใหม่” ให้กับ Siri โดยอาจเปิดตัวในปี 2026 พร้อมกับ iOS 26

    เดิมที Apple ตั้งใจจะใช้โมเดลของตัวเองภายใต้ชื่อ Apple Intelligence แต่หลังจากพบข้อจำกัดด้านคุณภาพและความล่าช้าในการพัฒนา จึงเริ่มเปิดรับแนวคิดจากภายนอก โดยก่อนหน้านี้ก็เคยเจรจากับ OpenAI และ Anthropic แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้

    หาก Apple ตัดสินใจใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ AI ของบริษัท และอาจเป็นครั้งแรกที่ Siri ได้รับการยกระดับให้เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ลึกซึ้งขึ้น ตอบคำถามซับซ้อนได้ดีขึ้น และรองรับการใช้งานแบบมัลติโหมด เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ

    แม้จะยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ แต่การที่ Apple เปิดใจรับเทคโนโลยีจากคู่แข่งอย่าง Google ก็สะท้อนถึงความจริงที่ว่า “การตามให้ทัน” ในยุค AI ต้องอาศัยความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันเพียงอย่างเดียว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini AI ในการยกระดับ Siri
    การเจรจาอยู่ในขั้นต้น และยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ
    เดิม Apple ตั้งใจใช้โมเดลของตัวเองใน Apple Intelligence แต่พบข้อจำกัดด้านคุณภาพ
    เคยเจรจากับ Anthropic และ OpenAI แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้
    หากใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ AI ของ Apple
    Siri รุ่นใหม่อาจเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 พร้อม iOS 26
    Gemini เป็นโมเดลมัลติโหมดที่รองรับข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ
    Apple จะใช้ Gemini บนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว
    หุ้นของ Alphabet และ Apple เพิ่มขึ้นหลังมีข่าวการเจรจา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini เป็นโมเดลที่ใช้ใน Android และ Samsung แล้วในหลายฟีเจอร์
    Apple กำลังทดสอบโมเดลภายในที่มีพารามิเตอร์ระดับ “ล้านล้าน” เพื่อแข่งกับคู่แข่ง
    Siri รุ่นใหม่จะมีสองเวอร์ชัน: แบบใช้โมเดลของ Apple และแบบใช้โมเดลภายนอก
    Apple มีประวัติความร่วมมือกับ Google เช่น การใช้ Google เป็น search engine ใน Safari
    หากใช้ Gemini จริง Siri อาจเข้าใจบริบทซับซ้อนและตอบโต้ได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/report-apple-considers-squeezing-gemini-into-the-siri-brain
    🎙️ Siri จะฉลาดขึ้นด้วย Gemini จาก Google? Apple กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุค AI หลังจากที่ Siri ซึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิกด้านผู้ช่วยเสียง กลับกลายเป็นผู้ตามในยุคที่ Google Assistant และ Alexa พัฒนาไปไกลกว่าเดิมมาก ล่าสุดมีรายงานว่า Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดที่ล้ำสมัยที่สุดของ Google มาเป็น “สมองใหม่” ให้กับ Siri โดยอาจเปิดตัวในปี 2026 พร้อมกับ iOS 26 เดิมที Apple ตั้งใจจะใช้โมเดลของตัวเองภายใต้ชื่อ Apple Intelligence แต่หลังจากพบข้อจำกัดด้านคุณภาพและความล่าช้าในการพัฒนา จึงเริ่มเปิดรับแนวคิดจากภายนอก โดยก่อนหน้านี้ก็เคยเจรจากับ OpenAI และ Anthropic แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้ หาก Apple ตัดสินใจใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ AI ของบริษัท และอาจเป็นครั้งแรกที่ Siri ได้รับการยกระดับให้เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ลึกซึ้งขึ้น ตอบคำถามซับซ้อนได้ดีขึ้น และรองรับการใช้งานแบบมัลติโหมด เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ แม้จะยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ แต่การที่ Apple เปิดใจรับเทคโนโลยีจากคู่แข่งอย่าง Google ก็สะท้อนถึงความจริงที่ว่า “การตามให้ทัน” ในยุค AI ต้องอาศัยความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันเพียงอย่างเดียว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini AI ในการยกระดับ Siri ➡️ การเจรจาอยู่ในขั้นต้น และยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ ➡️ เดิม Apple ตั้งใจใช้โมเดลของตัวเองใน Apple Intelligence แต่พบข้อจำกัดด้านคุณภาพ ➡️ เคยเจรจากับ Anthropic และ OpenAI แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้ ➡️ หากใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ AI ของ Apple ➡️ Siri รุ่นใหม่อาจเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 พร้อม iOS 26 ➡️ Gemini เป็นโมเดลมัลติโหมดที่รองรับข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ ➡️ Apple จะใช้ Gemini บนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ หุ้นของ Alphabet และ Apple เพิ่มขึ้นหลังมีข่าวการเจรจา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini เป็นโมเดลที่ใช้ใน Android และ Samsung แล้วในหลายฟีเจอร์ ➡️ Apple กำลังทดสอบโมเดลภายในที่มีพารามิเตอร์ระดับ “ล้านล้าน” เพื่อแข่งกับคู่แข่ง ➡️ Siri รุ่นใหม่จะมีสองเวอร์ชัน: แบบใช้โมเดลของ Apple และแบบใช้โมเดลภายนอก ➡️ Apple มีประวัติความร่วมมือกับ Google เช่น การใช้ Google เป็น search engine ใน Safari ➡️ หากใช้ Gemini จริง Siri อาจเข้าใจบริบทซับซ้อนและตอบโต้ได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/report-apple-considers-squeezing-gemini-into-the-siri-brain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเซิร์ฟเวอร์: Qualcomm เตรียมบุกตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI

    หลังจากอยู่ในตลาดมือถือมานานหลายปี Qualcomm กำลังเตรียมก้าวครั้งใหญ่สู่โลกดาต้าเซ็นเตอร์ โดยในรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด CEO Cristiano Amon ยืนยันว่าบริษัทกำลังอยู่ใน “ขั้นตอนเจรจาขั้นสูง” กับลูกค้าระดับ hyperscaler เพื่อพัฒนา CPU แบบ ARM สำหรับใช้งานในคลัสเตอร์ AI โดยเฉพาะ

    Qualcomm เคยพยายามเข้าสู่ตลาดเซิร์ฟเวอร์ในอดีต แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และถอนตัวไปในปี 2018 เพื่อโฟกัสกับมือถือ แต่ตอนนี้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เน้น “tokens per watt” และ “tokens per dollar” มากกว่าความแรงเพียว ๆ Qualcomm มองเห็นโอกาสใหม่ในการสร้าง CPU ที่เน้นประสิทธิภาพพลังงานสำหรับงาน inference

    นอกจาก CPU แล้ว Qualcomm ยังพัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบสำหรับ AI โดยใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ

    อย่างไรก็ตาม รายได้จากโครงการนี้จะเริ่มในปีงบประมาณ 2028 ซึ่งอาจช้าเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Broadcom และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว และนักลงทุนก็ยังไม่มั่นใจนัก เพราะราคาหุ้น Qualcomm ร่วงลงหลังประกาศข่าวนี้

    Qualcomm เตรียมเข้าสู่ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM สำหรับ hyperscaler
    อยู่ในขั้นตอนเจรจาขั้นสูงกับลูกค้ารายใหญ่

    CPU ใหม่จะเน้นงาน AI inference และประสิทธิภาพพลังงาน
    ใช้เกณฑ์ tokens per watt และ tokens per dollar เป็นตัวชี้วัด

    Qualcomm พัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI
    ไม่ใช่แค่ขาย CPU แต่สร้างโซลูชันครบวงจร

    รายได้จากโครงการนี้คาดว่าจะเริ่มในปีงบประมาณ 2028
    ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา

    Qualcomm เซ็นสัญญาร่วมมือกับ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ
    เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล edge และ cloud ทั่วโลก

    ใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ในโครงการนี้
    ขยายจากมือถือสู่โครงสร้างพื้นฐาน AI

    ตลาดกำลังเปลี่ยนจาก x86 ไปสู่ ARM-based CPU สำหรับงาน AI
    เพราะ ARM มีประสิทธิภาพพลังงานดีกว่าในงาน inference

    Broadcom และ Nvidia มี accelerator สำหรับ AI ที่พร้อมใช้งานแล้ว
    ทำให้ Qualcomm ต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ตกขบวน

    Qualcomm เคยล้มเหลวในการพัฒนา CPU เซิร์ฟเวอร์ในปี 2018
    แต่กลับมาใหม่ด้วยแนวทางที่เน้น AI และพลังงาน

    Alphawave IP Group จะถูก Qualcomm เข้าซื้อในปี 2026
    เพื่อเสริมความสามารถด้านการออกแบบระบบดาต้าเซ็นเตอร์

    https://www.techradar.com/pro/is-qualcomm-finally-about-to-take-the-data-center-plunge-report-claims-new-cpus-could-be-on-offer-soon
    🧠🏭 เรื่องเล่าจากโลกเซิร์ฟเวอร์: Qualcomm เตรียมบุกตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI หลังจากอยู่ในตลาดมือถือมานานหลายปี Qualcomm กำลังเตรียมก้าวครั้งใหญ่สู่โลกดาต้าเซ็นเตอร์ โดยในรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด CEO Cristiano Amon ยืนยันว่าบริษัทกำลังอยู่ใน “ขั้นตอนเจรจาขั้นสูง” กับลูกค้าระดับ hyperscaler เพื่อพัฒนา CPU แบบ ARM สำหรับใช้งานในคลัสเตอร์ AI โดยเฉพาะ Qualcomm เคยพยายามเข้าสู่ตลาดเซิร์ฟเวอร์ในอดีต แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และถอนตัวไปในปี 2018 เพื่อโฟกัสกับมือถือ แต่ตอนนี้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เน้น “tokens per watt” และ “tokens per dollar” มากกว่าความแรงเพียว ๆ Qualcomm มองเห็นโอกาสใหม่ในการสร้าง CPU ที่เน้นประสิทธิภาพพลังงานสำหรับงาน inference นอกจาก CPU แล้ว Qualcomm ยังพัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบสำหรับ AI โดยใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ อย่างไรก็ตาม รายได้จากโครงการนี้จะเริ่มในปีงบประมาณ 2028 ซึ่งอาจช้าเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Broadcom และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว และนักลงทุนก็ยังไม่มั่นใจนัก เพราะราคาหุ้น Qualcomm ร่วงลงหลังประกาศข่าวนี้ ✅ Qualcomm เตรียมเข้าสู่ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM สำหรับ hyperscaler ➡️ อยู่ในขั้นตอนเจรจาขั้นสูงกับลูกค้ารายใหญ่ ✅ CPU ใหม่จะเน้นงาน AI inference และประสิทธิภาพพลังงาน ➡️ ใช้เกณฑ์ tokens per watt และ tokens per dollar เป็นตัวชี้วัด ✅ Qualcomm พัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI ➡️ ไม่ใช่แค่ขาย CPU แต่สร้างโซลูชันครบวงจร ✅ รายได้จากโครงการนี้คาดว่าจะเริ่มในปีงบประมาณ 2028 ➡️ ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา ✅ Qualcomm เซ็นสัญญาร่วมมือกับ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ ➡️ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล edge และ cloud ทั่วโลก ✅ ใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ในโครงการนี้ ➡️ ขยายจากมือถือสู่โครงสร้างพื้นฐาน AI ✅ ตลาดกำลังเปลี่ยนจาก x86 ไปสู่ ARM-based CPU สำหรับงาน AI ➡️ เพราะ ARM มีประสิทธิภาพพลังงานดีกว่าในงาน inference ✅ Broadcom และ Nvidia มี accelerator สำหรับ AI ที่พร้อมใช้งานแล้ว ➡️ ทำให้ Qualcomm ต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ตกขบวน ✅ Qualcomm เคยล้มเหลวในการพัฒนา CPU เซิร์ฟเวอร์ในปี 2018 ➡️ แต่กลับมาใหม่ด้วยแนวทางที่เน้น AI และพลังงาน ✅ Alphawave IP Group จะถูก Qualcomm เข้าซื้อในปี 2026 ➡️ เพื่อเสริมความสามารถด้านการออกแบบระบบดาต้าเซ็นเตอร์ https://www.techradar.com/pro/is-qualcomm-finally-about-to-take-the-data-center-plunge-report-claims-new-cpus-could-be-on-offer-soon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • DDR4 ยังไม่ตาย! เรื่องเล่าจากโลกหน่วยความจำที่ยังไม่ยอมลาจาก

    แม้ว่า DDR5 จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโลกของหน่วยความจำ แต่ DDR4 ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะผู้ผลิตรายใหญ่ทั้ง Samsung, SK hynix และ Micron ต่างประกาศว่าจะยังคงผลิต DDR4 ต่อไปจนถึงปี 2026 เพื่อรองรับลูกค้าในอุตสาหกรรมที่ยังต้องพึ่งพาหน่วยความจำรุ่นเก่า

    สาเหตุหลักคือความต้องการที่ยังคงสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและองค์กรที่ยังใช้แพลตฟอร์มที่รองรับ DDR4 เช่น Intel Gen 13/14 และ AMD รุ่นก่อนหน้า อีกทั้งราคาของ DDR4 ก็พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ผลิตยังสามารถทำกำไรจากสายการผลิตที่ถูกหักค่าเสื่อมราคาไปแล้ว

    Micron ได้แจ้งลูกค้าล่วงหน้าว่าจะสิ้นสุดการส่ง DDR4 ภายในไตรมาสแรกของปี 2026 ขณะที่ Samsung และ SK hynix จะทยอยหยุดการผลิตในช่วงปลายปี 2025 ถึงกลางปี 2026 อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรายเล็กและกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะทางจะยังคงได้รับการสนับสนุนต่อไปอีกหลายปี

    Samsung จะผลิต DDR4 ต่อถึงปลายปี 2025
    ใช้เทคโนโลยี 1z node ที่ต้นทุนต่ำและยังทำกำไรได้

    SK hynix จะหยุดผลิต DDR4 ในช่วง Q2 ปี 2026
    อาจเป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายสุดท้ายที่ยังผลิต DDR4

    Micron จะส่งมอบ DDR4 ชุดสุดท้ายในต้นปี 2026
    แจ้ง EOL (End-of-Life) ให้ลูกค้าในกลุ่ม PC, data center และมือถือ

    DDR4 ยังมีความต้องการสูงในตลาด PC และเซิร์ฟเวอร์
    ราคาสัญญา DDR4 พุ่งขึ้น 38–45% ใน Q3 ปี 2025

    DDR4 จะยังคงใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์, โทรคมนาคม และการทหาร
    Micron จะยังผลิต DDR4 บน 1α node สำหรับลูกค้าระยะยาว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ddr4/ddr4-production-expected-to-continue-until-2026-samsung-sk-hynix-and-micron-will-continue-serving-industry-clients-for-longer
    🧠💾 DDR4 ยังไม่ตาย! เรื่องเล่าจากโลกหน่วยความจำที่ยังไม่ยอมลาจาก แม้ว่า DDR5 จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโลกของหน่วยความจำ แต่ DDR4 ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะผู้ผลิตรายใหญ่ทั้ง Samsung, SK hynix และ Micron ต่างประกาศว่าจะยังคงผลิต DDR4 ต่อไปจนถึงปี 2026 เพื่อรองรับลูกค้าในอุตสาหกรรมที่ยังต้องพึ่งพาหน่วยความจำรุ่นเก่า สาเหตุหลักคือความต้องการที่ยังคงสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและองค์กรที่ยังใช้แพลตฟอร์มที่รองรับ DDR4 เช่น Intel Gen 13/14 และ AMD รุ่นก่อนหน้า อีกทั้งราคาของ DDR4 ก็พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ผลิตยังสามารถทำกำไรจากสายการผลิตที่ถูกหักค่าเสื่อมราคาไปแล้ว Micron ได้แจ้งลูกค้าล่วงหน้าว่าจะสิ้นสุดการส่ง DDR4 ภายในไตรมาสแรกของปี 2026 ขณะที่ Samsung และ SK hynix จะทยอยหยุดการผลิตในช่วงปลายปี 2025 ถึงกลางปี 2026 อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรายเล็กและกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะทางจะยังคงได้รับการสนับสนุนต่อไปอีกหลายปี ✅ Samsung จะผลิต DDR4 ต่อถึงปลายปี 2025 ➡️ ใช้เทคโนโลยี 1z node ที่ต้นทุนต่ำและยังทำกำไรได้ ✅ SK hynix จะหยุดผลิต DDR4 ในช่วง Q2 ปี 2026 ➡️ อาจเป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายสุดท้ายที่ยังผลิต DDR4 ✅ Micron จะส่งมอบ DDR4 ชุดสุดท้ายในต้นปี 2026 ➡️ แจ้ง EOL (End-of-Life) ให้ลูกค้าในกลุ่ม PC, data center และมือถือ ✅ DDR4 ยังมีความต้องการสูงในตลาด PC และเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ราคาสัญญา DDR4 พุ่งขึ้น 38–45% ใน Q3 ปี 2025 ✅ DDR4 จะยังคงใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์, โทรคมนาคม และการทหาร ➡️ Micron จะยังผลิต DDR4 บน 1α node สำหรับลูกค้าระยะยาว https://www.tomshardware.com/pc-components/ddr4/ddr4-production-expected-to-continue-until-2026-samsung-sk-hynix-and-micron-will-continue-serving-industry-clients-for-longer
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามโอลิมปิกคณิตศาสตร์: เมื่อ AI ได้เหรียญทองในสนามมนุษย์

    IMO เป็นการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับโลกที่จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1959 โดยแต่ละประเทศส่งนักเรียนมัธยมปลาย 6 คนมาแข่งขันกันในโจทย์ที่ยากมากในสาขา:
    - พีชคณิต (Algebra)
    - ทฤษฎีจำนวน (Number Theory)
    - เรขาคณิต (Geometry)
    - คอมบิเนอริกส์ (Combinatorics)

    ปีนี้ Google DeepMind ส่งโมเดล Gemini Deep Think เข้าร่วมในฐานะ AI system ที่ถูกประเมินโดยกรรมการ IMO จริง — และสามารถแก้โจทย์ได้ 5 จาก 6 ข้ออย่างถูกต้อง ได้คะแนนรวม 35 จาก 42 คะแนน ซึ่งเทียบเท่ากับระดับเหรียญทองของมนุษย์

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ:
    - ปีที่แล้ว AlphaGeometry + AlphaProof ทำได้แค่ระดับเหรียญเงิน (28 คะแนน)
    - ต้องใช้การแปลโจทย์เป็นภาษาสัญลักษณ์ (เช่น Lean) และใช้เวลาคำนวณ 2–3 วัน
    - ปีนี้ Gemini Deep Think ทำงานแบบ end-to-end ด้วยภาษาอังกฤษธรรมดา
    - ใช้เวลาเท่ากับการแข่งขันจริง (4.5 ชั่วโมง) และให้คำตอบที่ตรวจสอบได้

    เบื้องหลังความสำเร็จคือการใช้เทคนิคใหม่ เช่น:
    - Parallel Thinking: คิดหลายแนวทางพร้อมกันก่อนเลือกคำตอบ
    - Reinforcement Learning: ฝึกจากข้อมูลการแก้โจทย์หลายขั้นตอน
    - Corpus คุณภาพสูง: รวมคำแนะนำและตัวอย่างการแก้โจทย์ IMO

    Gemini Deep Think ทำคะแนน 35/42 ใน IMO 2025 เทียบเท่าระดับเหรียญทอง
    แก้โจทย์ 5 จาก 6 ข้อได้อย่างถูกต้องภายในเวลาแข่งขันจริง

    เป็นครั้งแรกที่ AI ได้รับการประเมินโดยกรรมการ IMO อย่างเป็นทางการ
    ใช้เกณฑ์เดียวกับนักเรียนมนุษย์ในการตรวจคำตอบ

    ปีที่แล้ว AlphaGeometry + AlphaProof ได้แค่ระดับเหรียญเงิน
    ต้องใช้การแปลโจทย์และคำนวณหลายวัน ไม่ใช่แบบ end-to-end

    Gemini Deep Think ทำงานแบบ natural language ทั้งหมด
    ไม่ต้องแปลเป็นภาษาสัญลักษณ์ และให้คำตอบที่ตรวจสอบได้ทันที

    ใช้เทคนิค Parallel Thinking เพื่อคิดหลายแนวทางพร้อมกัน
    เพิ่มความสามารถในการเลือกวิธีแก้ที่ดีที่สุด

    ฝึกด้วย reinforcement learning บนข้อมูลการพิสูจน์และแก้โจทย์หลายขั้นตอน
    ทำให้เข้าใจตรรกะเชิงลึกและการให้เหตุผลแบบมนุษย์

    จะเปิดให้กลุ่มนักคณิตศาสตร์ทดลองใช้ก่อนปล่อยสู่ผู้ใช้ Google AI Ultra
    เพื่อรับฟีดแบ็กและปรับปรุงก่อนใช้งานจริง

    การตรวจคำตอบของ IMO ไม่ได้ประเมินระบบหรือโมเดลเบื้องหลัง
    หมายความว่าแม้คำตอบจะถูก แต่ยังไม่รับรองความน่าเชื่อถือของกระบวนการทั้งหมด

    การใช้ AI ในการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ยังต้องการการตรวจสอบจากมนุษย์
    เพราะบางคำตอบอาจดูถูกต้องแต่ขาดตรรกะหรือหลักฐานที่ชัดเจน

    การฝึกด้วย corpus เฉพาะทางอาจทำให้โมเดลเก่งเฉพาะโจทย์ IMO
    ไม่สามารถสรุปว่า AI เข้าใจคณิตศาสตร์ทั่วไปหรือสามารถสอนคนได้จริง

    การใช้ AI ในการแก้โจทย์อาจทำให้เกิดการพึ่งพาโดยไม่เข้าใจพื้นฐาน
    ต้องมีการออกแบบให้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ตัวแทนความเข้าใจ

    https://deepmind.google/discover/blog/advanced-version-of-gemini-with-deep-think-officially-achieves-gold-medal-standard-at-the-international-mathematical-olympiad/
    🎙️ เรื่องเล่าจากสนามโอลิมปิกคณิตศาสตร์: เมื่อ AI ได้เหรียญทองในสนามมนุษย์ IMO เป็นการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับโลกที่จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1959 โดยแต่ละประเทศส่งนักเรียนมัธยมปลาย 6 คนมาแข่งขันกันในโจทย์ที่ยากมากในสาขา: - พีชคณิต (Algebra) - ทฤษฎีจำนวน (Number Theory) - เรขาคณิต (Geometry) - คอมบิเนอริกส์ (Combinatorics) ปีนี้ Google DeepMind ส่งโมเดล Gemini Deep Think เข้าร่วมในฐานะ AI system ที่ถูกประเมินโดยกรรมการ IMO จริง — และสามารถแก้โจทย์ได้ 5 จาก 6 ข้ออย่างถูกต้อง ได้คะแนนรวม 35 จาก 42 คะแนน ซึ่งเทียบเท่ากับระดับเหรียญทองของมนุษย์ สิ่งที่น่าทึ่งคือ: - ปีที่แล้ว AlphaGeometry + AlphaProof ทำได้แค่ระดับเหรียญเงิน (28 คะแนน) - ต้องใช้การแปลโจทย์เป็นภาษาสัญลักษณ์ (เช่น Lean) และใช้เวลาคำนวณ 2–3 วัน - ปีนี้ Gemini Deep Think ทำงานแบบ end-to-end ด้วยภาษาอังกฤษธรรมดา - ใช้เวลาเท่ากับการแข่งขันจริง (4.5 ชั่วโมง) และให้คำตอบที่ตรวจสอบได้ เบื้องหลังความสำเร็จคือการใช้เทคนิคใหม่ เช่น: - Parallel Thinking: คิดหลายแนวทางพร้อมกันก่อนเลือกคำตอบ - Reinforcement Learning: ฝึกจากข้อมูลการแก้โจทย์หลายขั้นตอน - Corpus คุณภาพสูง: รวมคำแนะนำและตัวอย่างการแก้โจทย์ IMO ✅ Gemini Deep Think ทำคะแนน 35/42 ใน IMO 2025 เทียบเท่าระดับเหรียญทอง ➡️ แก้โจทย์ 5 จาก 6 ข้อได้อย่างถูกต้องภายในเวลาแข่งขันจริง ✅ เป็นครั้งแรกที่ AI ได้รับการประเมินโดยกรรมการ IMO อย่างเป็นทางการ ➡️ ใช้เกณฑ์เดียวกับนักเรียนมนุษย์ในการตรวจคำตอบ ✅ ปีที่แล้ว AlphaGeometry + AlphaProof ได้แค่ระดับเหรียญเงิน ➡️ ต้องใช้การแปลโจทย์และคำนวณหลายวัน ไม่ใช่แบบ end-to-end ✅ Gemini Deep Think ทำงานแบบ natural language ทั้งหมด ➡️ ไม่ต้องแปลเป็นภาษาสัญลักษณ์ และให้คำตอบที่ตรวจสอบได้ทันที ✅ ใช้เทคนิค Parallel Thinking เพื่อคิดหลายแนวทางพร้อมกัน ➡️ เพิ่มความสามารถในการเลือกวิธีแก้ที่ดีที่สุด ✅ ฝึกด้วย reinforcement learning บนข้อมูลการพิสูจน์และแก้โจทย์หลายขั้นตอน ➡️ ทำให้เข้าใจตรรกะเชิงลึกและการให้เหตุผลแบบมนุษย์ ✅ จะเปิดให้กลุ่มนักคณิตศาสตร์ทดลองใช้ก่อนปล่อยสู่ผู้ใช้ Google AI Ultra ➡️ เพื่อรับฟีดแบ็กและปรับปรุงก่อนใช้งานจริง ‼️ การตรวจคำตอบของ IMO ไม่ได้ประเมินระบบหรือโมเดลเบื้องหลัง ⛔ หมายความว่าแม้คำตอบจะถูก แต่ยังไม่รับรองความน่าเชื่อถือของกระบวนการทั้งหมด ‼️ การใช้ AI ในการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ยังต้องการการตรวจสอบจากมนุษย์ ⛔ เพราะบางคำตอบอาจดูถูกต้องแต่ขาดตรรกะหรือหลักฐานที่ชัดเจน ‼️ การฝึกด้วย corpus เฉพาะทางอาจทำให้โมเดลเก่งเฉพาะโจทย์ IMO ⛔ ไม่สามารถสรุปว่า AI เข้าใจคณิตศาสตร์ทั่วไปหรือสามารถสอนคนได้จริง ‼️ การใช้ AI ในการแก้โจทย์อาจทำให้เกิดการพึ่งพาโดยไม่เข้าใจพื้นฐาน ⛔ ต้องมีการออกแบบให้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ตัวแทนความเข้าใจ https://deepmind.google/discover/blog/advanced-version-of-gemini-with-deep-think-officially-achieves-gold-medal-standard-at-the-international-mathematical-olympiad/
    DEEPMIND.GOOGLE
    Advanced version of Gemini with Deep Think officially achieves gold-medal standard at the International Mathematical Olympiad
    Our advanced model officially achieved a gold-medal level performance on problems from the International Mathematical Olympiad (IMO), the world’s most prestigious competition for young...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 379 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามแม่เหล็ก: GPS ไม่จำเป็นอีกต่อไป เมื่อควอนตัมบอกได้ว่าคุณอยู่ตรงไหน

    GPS แม้จะเป็นระบบที่มั่นคง แต่เริ่มมีจุดอ่อน:
    - ถูก แทรกแซง (jamming) ได้จากสัญญาณรบกวน
    - ถูก หลอก (spoofing) โดยส่งข้อมูลตำแหน่งปลอม
    - เกิดบ่อยใน “พื้นที่ความขัดแย้ง” เช่นตะวันออกกลางและชายแดนยุโรป

    Airbus และ SandboxAQ จึงทดสอบระบบ MagNav บนเครื่องบินทดสอบกว่า 150 ชั่วโมง เหนือสหรัฐ โดยเซนเซอร์จะอ่าน “ลายเซ็นสนามแม่เหล็ก” จากพื้นโลก (คล้ายลายนิ้วมือของแต่ละพื้นที่) แล้วเทียบกับแผนที่แม่เหล็กด้วย AI — ผลคือ:
    - ความแม่นยำเทียบเท่า FAA (องค์กรควบคุมการบินสหรัฐ)
    - บางครั้งแม่นยำกว่า inertial navigation ที่ใช้ในภารกิจทหาร
    - หาค่าพิกัดได้ในระดับ 550 เมตร

    ระบบควอนตัมนี้ทำงานโดยยิงเลเซอร์ไปยังอิเล็กตรอน → สะท้อนพลังงานกลับ → ได้ค่าพลังงานที่สะท้อนสนามแม่เหล็กเฉพาะจุด — ข้อมูลทั้งหมดมาจากภายในเครื่องบินเอง จึงไม่มีสัญญาณให้แฮกเลย

    อนาคตเทคโนโลยีนี้อาจนำไปใช้ได้หลายทาง:
    - ตรวจจับสิ่งของใต้ดิน เช่น อุโมงค์หรือเรือดำน้ำ
    - ใช้ในระบบการแพทย์ เพื่ออ่าน “สนามแม่เหล็กหัวใจหรือสมอง” ที่อ่อนมาก
    - วางเป็นโครงสร้างนำทางในรถยนต์, เรือ หรือแม้แต่เครื่องบินไร้คนขับ

    Joe Depa ผู้บริหารจาก Ernst & Young กล่าวว่า:

    “นี่ไม่ใช่อนาคต 20 ปีข้างหน้า — แต่มันคือปัจจุบันแล้ว”

    MagNav ใช้เซนเซอร์ควอนตัมอ่านสนามแม่เหล็กโลกเพื่อระบุตำแหน่ง
    ยิงเลเซอร์ใส่อิเล็กตรอนและวัดพลังงานที่สะท้อนกลับ

    เครื่องบินทดสอบของ Airbus บินกว่า 150 ชั่วโมงทั่วสหรัฐ
    วิเคราะห์ลายเซ็นแม่เหล็กแต่ละพื้นที่เพื่อหาพิกัดด้วย AI

    ความแม่นยำอยู่ในระดับ 2 ไมล์ตลอดเวลา และ 550 เมตรในหลายจุด
    เทียบได้กับระบบการบินระดับพาณิชย์และทหาร

    MagNav ไม่ใช้สัญญาณภายนอก ไม่มีการส่งออกข้อมูล
    จึง “ไม่สามารถแฮกหรือหลอกได้” แบบ GPS

    SandboxAQ เป็นบริษัทใน Silicon Valley ที่เชี่ยวชาญ AI + ควอนตัมเซนซิ่ง
    เป็นบริษัทในเครือ Alphabet (กลุ่มเดียวกับ Google)

    อาจนำไปใช้ในด้านการแพทย์และความมั่นคงระดับชาติในอนาคต
    เช่นการวัดสนามแม่เหล็กหัวใจหรือสมองแบบไม่รุกล้ำ

    https://www.techspot.com/news/108735-engineers-turn-quantum-tech-replace-gps-flight-navigation.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากสนามแม่เหล็ก: GPS ไม่จำเป็นอีกต่อไป เมื่อควอนตัมบอกได้ว่าคุณอยู่ตรงไหน GPS แม้จะเป็นระบบที่มั่นคง แต่เริ่มมีจุดอ่อน: - ถูก แทรกแซง (jamming) ได้จากสัญญาณรบกวน - ถูก หลอก (spoofing) โดยส่งข้อมูลตำแหน่งปลอม - เกิดบ่อยใน “พื้นที่ความขัดแย้ง” เช่นตะวันออกกลางและชายแดนยุโรป Airbus และ SandboxAQ จึงทดสอบระบบ MagNav บนเครื่องบินทดสอบกว่า 150 ชั่วโมง เหนือสหรัฐ โดยเซนเซอร์จะอ่าน “ลายเซ็นสนามแม่เหล็ก” จากพื้นโลก (คล้ายลายนิ้วมือของแต่ละพื้นที่) แล้วเทียบกับแผนที่แม่เหล็กด้วย AI — ผลคือ: - ความแม่นยำเทียบเท่า FAA (องค์กรควบคุมการบินสหรัฐ) - บางครั้งแม่นยำกว่า inertial navigation ที่ใช้ในภารกิจทหาร - หาค่าพิกัดได้ในระดับ 550 เมตร ระบบควอนตัมนี้ทำงานโดยยิงเลเซอร์ไปยังอิเล็กตรอน → สะท้อนพลังงานกลับ → ได้ค่าพลังงานที่สะท้อนสนามแม่เหล็กเฉพาะจุด — ข้อมูลทั้งหมดมาจากภายในเครื่องบินเอง จึงไม่มีสัญญาณให้แฮกเลย อนาคตเทคโนโลยีนี้อาจนำไปใช้ได้หลายทาง: - ตรวจจับสิ่งของใต้ดิน เช่น อุโมงค์หรือเรือดำน้ำ - ใช้ในระบบการแพทย์ เพื่ออ่าน “สนามแม่เหล็กหัวใจหรือสมอง” ที่อ่อนมาก - วางเป็นโครงสร้างนำทางในรถยนต์, เรือ หรือแม้แต่เครื่องบินไร้คนขับ Joe Depa ผู้บริหารจาก Ernst & Young กล่าวว่า: 🔖 “นี่ไม่ใช่อนาคต 20 ปีข้างหน้า — แต่มันคือปัจจุบันแล้ว” ✅ MagNav ใช้เซนเซอร์ควอนตัมอ่านสนามแม่เหล็กโลกเพื่อระบุตำแหน่ง ➡️ ยิงเลเซอร์ใส่อิเล็กตรอนและวัดพลังงานที่สะท้อนกลับ ✅ เครื่องบินทดสอบของ Airbus บินกว่า 150 ชั่วโมงทั่วสหรัฐ ➡️ วิเคราะห์ลายเซ็นแม่เหล็กแต่ละพื้นที่เพื่อหาพิกัดด้วย AI ✅ ความแม่นยำอยู่ในระดับ 2 ไมล์ตลอดเวลา และ 550 เมตรในหลายจุด ➡️ เทียบได้กับระบบการบินระดับพาณิชย์และทหาร ✅ MagNav ไม่ใช้สัญญาณภายนอก ไม่มีการส่งออกข้อมูล ➡️ จึง “ไม่สามารถแฮกหรือหลอกได้” แบบ GPS ✅ SandboxAQ เป็นบริษัทใน Silicon Valley ที่เชี่ยวชาญ AI + ควอนตัมเซนซิ่ง ➡️ เป็นบริษัทในเครือ Alphabet (กลุ่มเดียวกับ Google) ✅ อาจนำไปใช้ในด้านการแพทย์และความมั่นคงระดับชาติในอนาคต ➡️ เช่นการวัดสนามแม่เหล็กหัวใจหรือสมองแบบไม่รุกล้ำ https://www.techspot.com/news/108735-engineers-turn-quantum-tech-replace-gps-flight-navigation.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Engineers turn to quantum tech to replace GPS in flight navigation
    Airbus has teamed with SandboxAQ, a Silicon Valley company specializing in artificial intelligence and quantum sensing, to field-test a new approach to navigation. Their collaboration focuses on...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพว่า SSD หรือ RAM ในอนาคตจะไม่เพียงแค่เร็วจัด แต่ยัง ไม่ต้องจ่ายไฟตลอดเวลาเพื่อเก็บข้อมูล, ไม่ต้องกลัวข้อมูลหายตอนปิดเครื่อง และยังใช้พลังงานน้อยลงอีกด้วย → เทคโนโลยีแบบนั้นเรียกว่า “Spintronics” หรืออุปกรณ์ที่ใช้อิเล็กตรอนทั้ง “ประจุ” และ “สปินแม่เหล็ก” ในการประมวลผล

    แต่ปัญหาหลักคือ วัสดุ ferromagnetic semiconductor (FMS) ที่ใช้สร้างอุปกรณ์เหล่านี้มักจะใช้งานได้แค่ที่อุณหภูมิต่ำ (ต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง) → ทำให้ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้

    ล่าสุดทีมนักวิจัยจากโตเกียว นำโดย ศ. Pham Nam Hai แก้ปัญหานี้ได้ → พวกเขาสร้างวัสดุ (Ga₀.₇₆Fe₀.₂₄)Sb ที่มี Curie Temperature สูงถึง 530 เคลวิน (≒ 256°C) → สูงกว่าสถิติก่อนหน้า (420 K) และสามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมปกติสบาย ๆ

    พวกเขาใช้เทคนิค "step-flow growth" บนแผ่นเวเฟอร์ GaAs ที่เอียงเล็กน้อย → ทำให้สามารถเติมเหล็ก (Fe) ได้ถึง 24% โดยไม่ทำลายโครงสร้างผลึก → ส่งผลให้ตัวอย่างบางเพียง 9.8 นาโนเมตรสามารถ “คงคุณสมบัติแม่เหล็กไว้ได้นานกว่า 1.5 ปีแม้เปิดทิ้งในอากาศ”

    ทั้งหมดนี้อาจปูทางสู่การผลิตหน่วยความจำ MRAM หรือหน่วยประมวลผล Spintronic ที่ใช้ได้จริงแบบ mass production ในอนาคตอันใกล้

    นักวิจัยจาก Institute of Science Tokyo พัฒนา FMS ที่ทำงานได้ที่อุณหภูมิสูงสุดเท่าที่มีการรายงาน (530 K / ~256°C)  
    • วัสดุที่ใช้คือ (Ga₀.₇₆Fe₀.₂₄)Sb  
    • สูงกว่าอุณหภูมิห้องมาก → เหมาะกับการใช้งานจริง

    ใช้เทคนิค step-flow growth บนแผ่น GaAs ที่เอียง 10 องศา เพื่อควบคุมโครงสร้าง  
    • เติม Fe ได้มากโดยไม่เสีย crystalline quality  
    • ได้ผลึกคุณภาพสูงที่ยังมีคุณสมบัติแม่เหล็กครบถ้วน

    ยืนยันคุณสมบัติด้วย Magnetic Circular Dichroism และ Arrott plots  
    • ค่าพลังแม่เหล็กต่ออะตอม Fe = 4.5 µB ใกล้เคียงทฤษฎี  
    • ดีกว่าแม่เหล็กโลหะทั่วไปอย่าง α-Fe

    ทดสอบเก็บตัวอย่างในอากาศ 1.5 ปี พบว่ายังรักษาคุณสมบัติได้ดี (TC เหลือ ~470 K)  
    • บ่งชี้ถึงความเสถียรสูง เหมาะกับการใช้งานในเชิงอุตสาหกรรม

    สามารถนำไปใช้พัฒนาอุปกรณ์ Spintronic เช่น MRAM ได้ในระดับ CMOS-compatible  
    • ลด leakage, เพิ่ม endurance, ไม่ volatile, เร็วระดับ SSD, ใช้ไฟต่ำ

    https://www.neowin.net/news/extraordinary-next-gen-ssd--ram-could-be-awaiting-as-scientists-hit-a-milestone-temperature/
    ลองนึกภาพว่า SSD หรือ RAM ในอนาคตจะไม่เพียงแค่เร็วจัด แต่ยัง ไม่ต้องจ่ายไฟตลอดเวลาเพื่อเก็บข้อมูล, ไม่ต้องกลัวข้อมูลหายตอนปิดเครื่อง และยังใช้พลังงานน้อยลงอีกด้วย → เทคโนโลยีแบบนั้นเรียกว่า “Spintronics” หรืออุปกรณ์ที่ใช้อิเล็กตรอนทั้ง “ประจุ” และ “สปินแม่เหล็ก” ในการประมวลผล แต่ปัญหาหลักคือ วัสดุ ferromagnetic semiconductor (FMS) ที่ใช้สร้างอุปกรณ์เหล่านี้มักจะใช้งานได้แค่ที่อุณหภูมิต่ำ (ต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง) → ทำให้ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้ ล่าสุดทีมนักวิจัยจากโตเกียว นำโดย ศ. Pham Nam Hai แก้ปัญหานี้ได้ → พวกเขาสร้างวัสดุ (Ga₀.₇₆Fe₀.₂₄)Sb ที่มี Curie Temperature สูงถึง 530 เคลวิน (≒ 256°C) → สูงกว่าสถิติก่อนหน้า (420 K) และสามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมปกติสบาย ๆ พวกเขาใช้เทคนิค "step-flow growth" บนแผ่นเวเฟอร์ GaAs ที่เอียงเล็กน้อย → ทำให้สามารถเติมเหล็ก (Fe) ได้ถึง 24% โดยไม่ทำลายโครงสร้างผลึก → ส่งผลให้ตัวอย่างบางเพียง 9.8 นาโนเมตรสามารถ “คงคุณสมบัติแม่เหล็กไว้ได้นานกว่า 1.5 ปีแม้เปิดทิ้งในอากาศ” ทั้งหมดนี้อาจปูทางสู่การผลิตหน่วยความจำ MRAM หรือหน่วยประมวลผล Spintronic ที่ใช้ได้จริงแบบ mass production ในอนาคตอันใกล้ ✅ นักวิจัยจาก Institute of Science Tokyo พัฒนา FMS ที่ทำงานได้ที่อุณหภูมิสูงสุดเท่าที่มีการรายงาน (530 K / ~256°C)   • วัสดุที่ใช้คือ (Ga₀.₇₆Fe₀.₂₄)Sb   • สูงกว่าอุณหภูมิห้องมาก → เหมาะกับการใช้งานจริง ✅ ใช้เทคนิค step-flow growth บนแผ่น GaAs ที่เอียง 10 องศา เพื่อควบคุมโครงสร้าง   • เติม Fe ได้มากโดยไม่เสีย crystalline quality   • ได้ผลึกคุณภาพสูงที่ยังมีคุณสมบัติแม่เหล็กครบถ้วน ✅ ยืนยันคุณสมบัติด้วย Magnetic Circular Dichroism และ Arrott plots   • ค่าพลังแม่เหล็กต่ออะตอม Fe = 4.5 µB ใกล้เคียงทฤษฎี   • ดีกว่าแม่เหล็กโลหะทั่วไปอย่าง α-Fe ✅ ทดสอบเก็บตัวอย่างในอากาศ 1.5 ปี พบว่ายังรักษาคุณสมบัติได้ดี (TC เหลือ ~470 K)   • บ่งชี้ถึงความเสถียรสูง เหมาะกับการใช้งานในเชิงอุตสาหกรรม ✅ สามารถนำไปใช้พัฒนาอุปกรณ์ Spintronic เช่น MRAM ได้ในระดับ CMOS-compatible   • ลด leakage, เพิ่ม endurance, ไม่ volatile, เร็วระดับ SSD, ใช้ไฟต่ำ https://www.neowin.net/news/extraordinary-next-gen-ssd--ram-could-be-awaiting-as-scientists-hit-a-milestone-temperature/
    WWW.NEOWIN.NET
    Extraordinary next-gen SSD & RAM could be awaiting as scientists hit a milestone temperature
    Scientists have managed to hit a major milestone in terms of temperature, thus making them excited about the possibility of some amazing future SSD and RAM innovations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 313 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts