• หัวข้อข่าว: “Elecom Huge Plus – แทร็กบอลยักษ์รุ่นใหม่พร้อมการเชื่อมต่อไร้สาย”

    คุณสมบัติเด่น
    ลูกบอลขนาด 52 มม. ใหญ่กว่ามาตรฐานราว 52% ทำให้ควบคุมได้ละเอียด เหมาะกับงาน CAD และตัดต่อวิดีโอ
    Tri-mode connectivity: รองรับ Bluetooth, 2.4 GHz wireless, และ USB-C แบบมีสาย
    ลูกปืนเหล็กถอดเปลี่ยนได้ ลดแรงเสียดทานและบำรุงรักษาง่าย
    แบตเตอรี่ใช้งานได้ 3–5 เดือน ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
    ปุ่มโปรแกรมได้ 10 ปุ่ม สำหรับตั้งค่า shortcut ที่ใช้บ่อย
    รองรับหลายระบบปฏิบัติการ: Windows, macOS, iPadOS, ChromeOS และ Android

    ขนาดและราคา
    ขนาด: 4.5 x 7.2 x 2.3 นิ้ว
    น้ำหนัก: 10.3 ออนซ์
    ราคาเปิดตัว: US$139.99 (แพงกว่ารุ่น MX Master 4 ของ Logitech แต่ถูกกว่า G502 X Plus ที่ US$180)

    จุดเด่นและข้อจำกัด
    เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น CAD และงานตัดต่อ
    ปุ่มเยอะและลูกบอลใหญ่ ทำให้ใช้งานสะดวกสำหรับ Productivity

    ไม่เหมาะกับการเล่นเกมแบบ Hardcore
    ราคาแพงเมื่อเทียบกับเมาส์ทั่วไป

    https://www.tomshardware.com/peripherals/mice/elecom-releases-huge-plus-trackball-mouse-with-massive-52mm-ball-and-10-programmable-buttons-now-comes-with-wireless-connectivity
    🖱️ หัวข้อข่าว: “Elecom Huge Plus – แทร็กบอลยักษ์รุ่นใหม่พร้อมการเชื่อมต่อไร้สาย” 🔧 คุณสมบัติเด่น 🔰 ลูกบอลขนาด 52 มม. ใหญ่กว่ามาตรฐานราว 52% ทำให้ควบคุมได้ละเอียด เหมาะกับงาน CAD และตัดต่อวิดีโอ 🔰 Tri-mode connectivity: รองรับ Bluetooth, 2.4 GHz wireless, และ USB-C แบบมีสาย 🔰 ลูกปืนเหล็กถอดเปลี่ยนได้ ลดแรงเสียดทานและบำรุงรักษาง่าย 🔰 แบตเตอรี่ใช้งานได้ 3–5 เดือน ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง 🔰 ปุ่มโปรแกรมได้ 10 ปุ่ม สำหรับตั้งค่า shortcut ที่ใช้บ่อย 🔰 รองรับหลายระบบปฏิบัติการ: Windows, macOS, iPadOS, ChromeOS และ Android 📏 ขนาดและราคา 📍 ขนาด: 4.5 x 7.2 x 2.3 นิ้ว 📍 น้ำหนัก: 10.3 ออนซ์ 📍 ราคาเปิดตัว: US$139.99 (แพงกว่ารุ่น MX Master 4 ของ Logitech แต่ถูกกว่า G502 X Plus ที่ US$180) 🏆 จุดเด่นและข้อจำกัด ✅ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น CAD และงานตัดต่อ ✅ ปุ่มเยอะและลูกบอลใหญ่ ทำให้ใช้งานสะดวกสำหรับ Productivity ⛔ ไม่เหมาะกับการเล่นเกมแบบ Hardcore ⛔ ราคาแพงเมื่อเทียบกับเมาส์ทั่วไป https://www.tomshardware.com/peripherals/mice/elecom-releases-huge-plus-trackball-mouse-with-massive-52mm-ball-and-10-programmable-buttons-now-comes-with-wireless-connectivity
    0 Comments 0 Shares 1 Views 0 Reviews
  • “MP944 – ไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกที่ถูกซ่อนอยู่ใน F-14 Tomcat”

    ไมโครโปรเซสเซอร์ MP944 ถูกออกแบบโดยทีมวิศวกรประมาณ 25 คน นำโดย Steve Geller และ Ray Holt เพื่อใช้ใน Central Air Data Computer (CADC) ของเครื่องบินรบ F-14 Tomcat จุดเด่นคือสามารถคำนวณพารามิเตอร์การบินแบบเรียลไทม์ เช่น ความสูง ความเร็ว และ Mach number เพื่อควบคุมระบบปีกกวาดของ F-14 ได้อย่างแม่นยำ

    สิ่งที่ทำให้ MP944 น่าทึ่งคือมันถูกสร้างขึ้น ก่อน Intel 4004 กว่าหนึ่งปี โดยเริ่มใช้งานจริงในเดือนมิถุนายน 1970 ขณะที่ Intel 4004 เปิดตัวเชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 1971 และยังมีประสิทธิภาพสูงกว่า โดยสามารถทำงานได้เร็วกว่า 8 เท่า เพื่อรองรับการคำนวณเชิงซับซ้อนของระบบการบิน

    อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นโครงการลับทางทหาร ข้อมูลของ MP944 ถูกปิดเป็นความลับจนถึงปี 1998 เมื่อเอกสารถูกปลดชั้นความลับ ทำให้โลกเพิ่งรู้ว่ามีไมโครโปรเซสเซอร์ที่เกิดขึ้นก่อน Intel 4004 และมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีการบิน

    คุณสมบัติทางเทคนิคที่โดดเด่น
    ใช้สถาปัตยกรรม 20-bit pipelined parallel multi-microprocessor
    ความเร็วสัญญาณนาฬิกา 375 kHz
    ประสิทธิภาพการประมวลผล 9,375 คำสั่งต่อวินาที
    ทนต่ออุณหภูมิสุดขั้วตั้งแต่ -55°C ถึง +125°C
    มีระบบ self-diagnosis และสามารถสลับไปยังหน่วยสำรองภายใน 1/18 วินาทีเมื่อพบความผิดพลาด

    สรุปสาระสำคัญ
    การพัฒนาและการใช้งาน
    พัฒนาโดย Steve Geller และ Ray Holt สำหรับ F-14 Tomcat
    เริ่มใช้งานจริงในปี 1970 ก่อน Intel 4004

    ความเหนือกว่า Intel 4004
    เร็วกว่าถึง 8 เท่า
    รองรับการคำนวณซับซ้อนของระบบการบิน

    คุณสมบัติพิเศษ
    สถาปัตยกรรม 20-bit pipelined parallel
    ระบบ self-diagnosis และสลับหน่วยสำรองอัตโนมัติ

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ถูกเก็บเป็นความลับทางทหารนานกว่า 25 ปี
    ไม่ถูกนับรวมในประวัติศาสตร์เชิงพาณิชย์ของไมโครโปรเซสเซอร์
    หากถูกเปิดเผยตั้งแต่ต้น อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์อาจมีเส้นทางพัฒนาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/the-mp944-was-the-real-worlds-first-microprocessor-and-key-to-the-flight-of-the-f-14-tomcat-but-it-lived-in-the-shadow-of-the-intel-4004-for-nearly-30-years
    ✈️ “MP944 – ไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกที่ถูกซ่อนอยู่ใน F-14 Tomcat” ไมโครโปรเซสเซอร์ MP944 ถูกออกแบบโดยทีมวิศวกรประมาณ 25 คน นำโดย Steve Geller และ Ray Holt เพื่อใช้ใน Central Air Data Computer (CADC) ของเครื่องบินรบ F-14 Tomcat จุดเด่นคือสามารถคำนวณพารามิเตอร์การบินแบบเรียลไทม์ เช่น ความสูง ความเร็ว และ Mach number เพื่อควบคุมระบบปีกกวาดของ F-14 ได้อย่างแม่นยำ สิ่งที่ทำให้ MP944 น่าทึ่งคือมันถูกสร้างขึ้น ก่อน Intel 4004 กว่าหนึ่งปี โดยเริ่มใช้งานจริงในเดือนมิถุนายน 1970 ขณะที่ Intel 4004 เปิดตัวเชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 1971 และยังมีประสิทธิภาพสูงกว่า โดยสามารถทำงานได้เร็วกว่า 8 เท่า เพื่อรองรับการคำนวณเชิงซับซ้อนของระบบการบิน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นโครงการลับทางทหาร ข้อมูลของ MP944 ถูกปิดเป็นความลับจนถึงปี 1998 เมื่อเอกสารถูกปลดชั้นความลับ ทำให้โลกเพิ่งรู้ว่ามีไมโครโปรเซสเซอร์ที่เกิดขึ้นก่อน Intel 4004 และมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีการบิน 🔧 คุณสมบัติทางเทคนิคที่โดดเด่น 🔰 ใช้สถาปัตยกรรม 20-bit pipelined parallel multi-microprocessor 🔰 ความเร็วสัญญาณนาฬิกา 375 kHz 🔰 ประสิทธิภาพการประมวลผล 9,375 คำสั่งต่อวินาที 🔰 ทนต่ออุณหภูมิสุดขั้วตั้งแต่ -55°C ถึง +125°C 🔰 มีระบบ self-diagnosis และสามารถสลับไปยังหน่วยสำรองภายใน 1/18 วินาทีเมื่อพบความผิดพลาด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การพัฒนาและการใช้งาน ➡️ พัฒนาโดย Steve Geller และ Ray Holt สำหรับ F-14 Tomcat ➡️ เริ่มใช้งานจริงในปี 1970 ก่อน Intel 4004 ✅ ความเหนือกว่า Intel 4004 ➡️ เร็วกว่าถึง 8 เท่า ➡️ รองรับการคำนวณซับซ้อนของระบบการบิน ✅ คุณสมบัติพิเศษ ➡️ สถาปัตยกรรม 20-bit pipelined parallel ➡️ ระบบ self-diagnosis และสลับหน่วยสำรองอัตโนมัติ ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ถูกเก็บเป็นความลับทางทหารนานกว่า 25 ปี ⛔ ไม่ถูกนับรวมในประวัติศาสตร์เชิงพาณิชย์ของไมโครโปรเซสเซอร์ ⛔ หากถูกเปิดเผยตั้งแต่ต้น อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์อาจมีเส้นทางพัฒนาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/the-mp944-was-the-real-worlds-first-microprocessor-and-key-to-the-flight-of-the-f-14-tomcat-but-it-lived-in-the-shadow-of-the-intel-4004-for-nearly-30-years
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    The MP944 was the ‘real’ world’s first microprocessor, but it was top secret for nearly 30 years — F-14 Tomcat's chip lived in the shadow of the Intel 4004, but was eight times faster
    This pioneering microprocessor was a classified military secret from 1970 to 1989, as a vital part of an advanced fighter aircraft’s control systems.
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • “โอเวอร์คล็อก RTX 5050 ด้วยตู้แช่ – ทำลายสถิติโลก”

    Trashbench นักโอเวอร์คล็อกสายทดลองสุดขั้ว ได้ทำการปรับแต่งการ์ดจอ Gigabyte RTX 5050 ด้วยการ shunt-mod เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดด้านพลังงาน จากนั้นนำไปแช่ในตู้แช่แคมป์ปิ้งที่ใช้สารผสม glycol 60/40 ทำให้สามารถรักษาอุณหภูมิ GPU ให้อยู่ระหว่าง -12°C ถึง 15°C ขณะทำงาน

    ผลลัพธ์คือความเร็วสัญญาณนาฬิกาเพิ่มขึ้นจาก 2820 MHz (ค่าเดิม) ไปถึง 3468 MHz ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 23% และทำให้การ์ดรุ่นเล็กที่ใช้ชิป GB207 ขึ้นไปอยู่บนสุดของตารางคะแนน 3DMark benchmark กลายเป็น GPU ที่เร็วที่สุดในโลกสำหรับรุ่นนี้

    เทคนิคที่ใช้
    Shunt mod: การเปลี่ยนหรือลัดวงจรตัวต้านทานตรวจจับกระแสไฟบนการ์ด เพื่อให้ GPU ไม่สามารถตรวจจับการใช้พลังงานจริงได้ ทำให้สามารถดันแรงดันและความเร็วได้สูงกว่าปกติ

    Freezer cooling: ใช้ตู้แช่แคมป์ปิ้งร่วมกับสาร glycol เพื่อทำให้ GPU อยู่ในสภาพ sub-zero โดยไม่เกิดการควบแน่นที่เป็นอันตรายต่อวงจร

    แม้ GPU รายงานการใช้พลังงานเพียง 78W แต่ตัวเลขนี้ไม่ถูกต้องเพราะถูกดัดแปลงด้วย shunt mod จริง ๆ แล้วการ์ดใช้พลังงานสูงกว่ามาก

    ผลลัพธ์และความสำคัญ
    Trashbench สามารถเอาชนะคู่แข่ง ClockBench ในการแข่งขันโอเวอร์คล็อกบน YouTube และสร้างสถิติใหม่ที่ยากจะทำลายได้ เนื่องจาก GPU รุ่นใหม่มักโอเวอร์คล็อกได้เพียง 10% แม้จะใช้การดัดแปลงขั้นสูง การเพิ่มขึ้นถึง 23% จึงถือว่าเป็นความสำเร็จที่โดดเด่น

    นอกจากนี้ เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมของนักโอเวอร์คล็อกที่พร้อมจะทดลองวิธีสุดขั้ว ตั้งแต่การใช้สารทำความเย็น ไปจนถึงการดัดแปลงวงจร เพื่อผลักดันขีดจำกัดของฮาร์ดแวร์ให้ไปไกลกว่าที่ผู้ผลิตตั้งใจ

    สรุปสาระสำคัญ
    การทดลองโอเวอร์คล็อก
    ใช้ตู้แช่แคมป์ปิ้งและสาร glycol
    ทำให้ RTX 5050 ทำงานที่ 3468 MHz (เพิ่มขึ้น 23%)
    ทำลายสถิติ benchmark หลายรายการ

    เทคนิคที่ใช้
    Shunt mod เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดพลังงาน
    Freezer cooling เพื่อรักษาอุณหภูมิ sub-zero

    คำเตือน
    การดัดแปลงเช่นนี้ทำให้การ์ดรายงานค่าพลังงานผิดพลาด
    เสี่ยงต่อการเสียหายของวงจรหากเกิดการควบแน่นหรือแรงดันเกิน
    ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป เพราะอาจทำให้การ์ดเสียหายถาวร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/ambitious-overclocker-pushes-rtx-5050-to-nearly-3-5-ghz-with-a-camping-freezer-smashes-world-records-smallest-blackwell-gpu-yields-23-percent-clock-boost
    ❄️ “โอเวอร์คล็อก RTX 5050 ด้วยตู้แช่ – ทำลายสถิติโลก” Trashbench นักโอเวอร์คล็อกสายทดลองสุดขั้ว ได้ทำการปรับแต่งการ์ดจอ Gigabyte RTX 5050 ด้วยการ shunt-mod เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดด้านพลังงาน จากนั้นนำไปแช่ในตู้แช่แคมป์ปิ้งที่ใช้สารผสม glycol 60/40 ทำให้สามารถรักษาอุณหภูมิ GPU ให้อยู่ระหว่าง -12°C ถึง 15°C ขณะทำงาน ผลลัพธ์คือความเร็วสัญญาณนาฬิกาเพิ่มขึ้นจาก 2820 MHz (ค่าเดิม) ไปถึง 3468 MHz ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 23% และทำให้การ์ดรุ่นเล็กที่ใช้ชิป GB207 ขึ้นไปอยู่บนสุดของตารางคะแนน 3DMark benchmark กลายเป็น GPU ที่เร็วที่สุดในโลกสำหรับรุ่นนี้ 🔧 เทคนิคที่ใช้ 🔰 Shunt mod: การเปลี่ยนหรือลัดวงจรตัวต้านทานตรวจจับกระแสไฟบนการ์ด เพื่อให้ GPU ไม่สามารถตรวจจับการใช้พลังงานจริงได้ ทำให้สามารถดันแรงดันและความเร็วได้สูงกว่าปกติ 🔰 Freezer cooling: ใช้ตู้แช่แคมป์ปิ้งร่วมกับสาร glycol เพื่อทำให้ GPU อยู่ในสภาพ sub-zero โดยไม่เกิดการควบแน่นที่เป็นอันตรายต่อวงจร แม้ GPU รายงานการใช้พลังงานเพียง 78W แต่ตัวเลขนี้ไม่ถูกต้องเพราะถูกดัดแปลงด้วย shunt mod จริง ๆ แล้วการ์ดใช้พลังงานสูงกว่ามาก 🏆 ผลลัพธ์และความสำคัญ Trashbench สามารถเอาชนะคู่แข่ง ClockBench ในการแข่งขันโอเวอร์คล็อกบน YouTube และสร้างสถิติใหม่ที่ยากจะทำลายได้ เนื่องจาก GPU รุ่นใหม่มักโอเวอร์คล็อกได้เพียง 10% แม้จะใช้การดัดแปลงขั้นสูง การเพิ่มขึ้นถึง 23% จึงถือว่าเป็นความสำเร็จที่โดดเด่น นอกจากนี้ เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมของนักโอเวอร์คล็อกที่พร้อมจะทดลองวิธีสุดขั้ว ตั้งแต่การใช้สารทำความเย็น ไปจนถึงการดัดแปลงวงจร เพื่อผลักดันขีดจำกัดของฮาร์ดแวร์ให้ไปไกลกว่าที่ผู้ผลิตตั้งใจ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การทดลองโอเวอร์คล็อก ➡️ ใช้ตู้แช่แคมป์ปิ้งและสาร glycol ➡️ ทำให้ RTX 5050 ทำงานที่ 3468 MHz (เพิ่มขึ้น 23%) ➡️ ทำลายสถิติ benchmark หลายรายการ ✅ เทคนิคที่ใช้ ➡️ Shunt mod เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดพลังงาน ➡️ Freezer cooling เพื่อรักษาอุณหภูมิ sub-zero ‼️ คำเตือน ⛔ การดัดแปลงเช่นนี้ทำให้การ์ดรายงานค่าพลังงานผิดพลาด ⛔ เสี่ยงต่อการเสียหายของวงจรหากเกิดการควบแน่นหรือแรงดันเกิน ⛔ ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป เพราะอาจทำให้การ์ดเสียหายถาวร https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/ambitious-overclocker-pushes-rtx-5050-to-nearly-3-5-ghz-with-a-camping-freezer-smashes-world-records-smallest-blackwell-gpu-yields-23-percent-clock-boost
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • “Selective Agency – ทำไมเราถึงไม่พยายามจริงในบางเรื่องของชีวิต”

    บทความเริ่มจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Cate Hall ที่เผชิญกับการถูกสตอล์กออนไลน์อย่างรุนแรง เธอเลือกที่จะ “นิ่งเฉย” อยู่หลายปี แม้จะมีความสามารถและทรัพยากรในการแก้ปัญหา แต่กลับไม่ลงมือจริงจัง จนกระทั่งสามีเข้ามาช่วยติดต่อ FBI และตำรวจต่างประเทศ ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง เหตุการณ์นี้ทำให้เธอตระหนักว่า ที่ผ่านมาเธอไม่ได้ “Actually Trying” หรือพยายามจริง ๆ

    Cate อธิบายว่า คนเรามักจะมี Selective Agency คือมีความสามารถสูงในบางด้าน เช่น การทำงานหรือการสร้างนวัตกรรม แต่กลับใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ที่ไม่ก้าวหน้าในอีกด้านหนึ่ง เช่น ความสัมพันธ์หรือสุขภาพจิต เรามักจะติดอยู่กับแนวทางที่เคยใช้เมื่อยังไม่โตเต็มที่ และไม่กลับมาทบทวนใหม่เมื่อเรามีศักยภาพมากขึ้น

    เธอยกตัวอย่างว่า หลายคนที่เป็นนักนวัตกรรมเก่ง ๆ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ระดับโลก แต่กลับบ่นว่า “ไม่มีคนดี ๆ ในแอปหาคู่” หรือคนที่เคยลองบำบัดเมื่ออายุ 20 แล้วไม่เวิร์ก ก็ยอมรับว่า “ฉันเป็นคนวิตกกังวลตลอดไป” โดยไม่กลับมาลองวิธีใหม่ ๆ ทั้งที่ในงาน พวกเขาใช้ความพยายามและความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง

    แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับ Alexander Technique เรื่อง “Faulty sensory appreciation” ที่บอกว่า สิ่งที่เรารู้สึกว่า “ถูกต้อง” อาจเป็นเพียงความเคยชินที่ผิด เช่น การเกร็งร่างกายจนรู้สึกเหมือนยืนตัวตรง ทั้งที่จริง ๆ ไม่ใช่ เช่นเดียวกัน ความพยายามที่ใช้แรงใจมาก ๆ อาจทำให้เราหลงคิดว่าเรากำลัง “พยายามจริง” ทั้งที่จริงแล้วเรายังไม่ได้ใช้ทรัพยากรและความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่เต็มที่

    สรุปสาระสำคัญ
    แนวคิด Selective Agency
    คนเรามีความสามารถสูงในบางด้าน แต่ไม่ใช้ศักยภาพเต็มที่ในอีกด้าน
    มักติดอยู่กับวิธีแก้ปัญหาเดิม ๆ ที่เคยใช้เมื่อยังไม่โตเต็มที่

    ตัวอย่างจากชีวิตจริง
    Cate Hall ถูกสตอล์กออนไลน์ แต่เลือกนิ่งเฉยหลายปี
    สามีเข้ามาช่วยติดต่อ FBI และตำรวจ ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย

    การเปรียบเทียบกับชีวิตคนทั่วไป
    นักนวัตกรรมเก่ง ๆ แต่ไม่พยายามจริงในความสัมพันธ์
    คนที่เคยลองบำบัดแล้วไม่เวิร์ก ก็ยอมรับปัญหาเป็นนิสัยถาวร

    คำเตือนและข้อคิด
    ความรู้สึกว่า “พยายามแล้ว” อาจเป็นเพียงการใช้แรงใจ ไม่ใช่การใช้ทรัพยากรจริง
    การไม่กลับมาทบทวนวิธีแก้ปัญหาใหม่ อาจทำให้เราติดอยู่กับปัญหาเดิมไปตลอด

    https://usefulfictions.substack.com/p/maybe-youre-not-actually-trying
    📰 “Selective Agency – ทำไมเราถึงไม่พยายามจริงในบางเรื่องของชีวิต” บทความเริ่มจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Cate Hall ที่เผชิญกับการถูกสตอล์กออนไลน์อย่างรุนแรง เธอเลือกที่จะ “นิ่งเฉย” อยู่หลายปี แม้จะมีความสามารถและทรัพยากรในการแก้ปัญหา แต่กลับไม่ลงมือจริงจัง จนกระทั่งสามีเข้ามาช่วยติดต่อ FBI และตำรวจต่างประเทศ ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง เหตุการณ์นี้ทำให้เธอตระหนักว่า ที่ผ่านมาเธอไม่ได้ “Actually Trying” หรือพยายามจริง ๆ Cate อธิบายว่า คนเรามักจะมี Selective Agency คือมีความสามารถสูงในบางด้าน เช่น การทำงานหรือการสร้างนวัตกรรม แต่กลับใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ที่ไม่ก้าวหน้าในอีกด้านหนึ่ง เช่น ความสัมพันธ์หรือสุขภาพจิต เรามักจะติดอยู่กับแนวทางที่เคยใช้เมื่อยังไม่โตเต็มที่ และไม่กลับมาทบทวนใหม่เมื่อเรามีศักยภาพมากขึ้น เธอยกตัวอย่างว่า หลายคนที่เป็นนักนวัตกรรมเก่ง ๆ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ระดับโลก แต่กลับบ่นว่า “ไม่มีคนดี ๆ ในแอปหาคู่” หรือคนที่เคยลองบำบัดเมื่ออายุ 20 แล้วไม่เวิร์ก ก็ยอมรับว่า “ฉันเป็นคนวิตกกังวลตลอดไป” โดยไม่กลับมาลองวิธีใหม่ ๆ ทั้งที่ในงาน พวกเขาใช้ความพยายามและความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับ Alexander Technique เรื่อง “Faulty sensory appreciation” ที่บอกว่า สิ่งที่เรารู้สึกว่า “ถูกต้อง” อาจเป็นเพียงความเคยชินที่ผิด เช่น การเกร็งร่างกายจนรู้สึกเหมือนยืนตัวตรง ทั้งที่จริง ๆ ไม่ใช่ เช่นเดียวกัน ความพยายามที่ใช้แรงใจมาก ๆ อาจทำให้เราหลงคิดว่าเรากำลัง “พยายามจริง” ทั้งที่จริงแล้วเรายังไม่ได้ใช้ทรัพยากรและความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่เต็มที่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แนวคิด Selective Agency ➡️ คนเรามีความสามารถสูงในบางด้าน แต่ไม่ใช้ศักยภาพเต็มที่ในอีกด้าน ➡️ มักติดอยู่กับวิธีแก้ปัญหาเดิม ๆ ที่เคยใช้เมื่อยังไม่โตเต็มที่ ✅ ตัวอย่างจากชีวิตจริง ➡️ Cate Hall ถูกสตอล์กออนไลน์ แต่เลือกนิ่งเฉยหลายปี ➡️ สามีเข้ามาช่วยติดต่อ FBI และตำรวจ ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย ✅ การเปรียบเทียบกับชีวิตคนทั่วไป ➡️ นักนวัตกรรมเก่ง ๆ แต่ไม่พยายามจริงในความสัมพันธ์ ➡️ คนที่เคยลองบำบัดแล้วไม่เวิร์ก ก็ยอมรับปัญหาเป็นนิสัยถาวร ‼️ คำเตือนและข้อคิด ⛔ ความรู้สึกว่า “พยายามแล้ว” อาจเป็นเพียงการใช้แรงใจ ไม่ใช่การใช้ทรัพยากรจริง ⛔ การไม่กลับมาทบทวนวิธีแก้ปัญหาใหม่ อาจทำให้เราติดอยู่กับปัญหาเดิมไปตลอด https://usefulfictions.substack.com/p/maybe-youre-not-actually-trying
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • “Coinbase ถูกโจมตีข้อมูลครั้งใหญ่ – Insider Threat และการเรียกค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์”

    ในเดือนมกราคม 2025 มีผู้ใช้ Coinbase รายหนึ่งถูกโจมตีด้วยอีเมลและโทรศัพท์ที่ดูเหมือนมาจากฝ่ายป้องกันการฉ้อโกงของบริษัท โดยผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขประกันสังคม ยอดคงเหลือ Bitcoin และรายละเอียดบัญชีที่ไม่ควรเปิดเผยได้ เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าการโจมตีไม่ได้เป็นเพียง Phishing ธรรมดา แต่เป็นการใช้ข้อมูลภายในที่ถูกขโมยมาอย่างชัดเจน

    ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2025 Coinbase ได้รับอีเมลจากกลุ่มแฮกเกอร์ที่อ้างว่ามีข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก พร้อมเรียกค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์เพื่อไม่ให้เปิดเผยข้อมูล บริษัทเลือกที่จะไม่จ่ายเงิน แต่กลับแจ้งต่อสาธารณะและยื่นรายงานต่อ SEC โดยยืนยันว่ามีผู้ใช้กว่า 69,000 รายได้รับผลกระทบ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ภาพบัตรประชาชน และประวัติธุรกรรม

    สิ่งที่น่ากังวลคือการโจมตีครั้งนี้เกิดจากการที่พนักงาน Outsource ในต่างประเทศถูกติดสินบนให้เปิดเผยข้อมูลภายในระบบบริการลูกค้า การรั่วไหลเช่นนี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้างการหลอกลวงที่สมจริงมากขึ้น เช่น โทรศัพท์ปลอมที่ดูเหมือนจาก Coinbase และอีเมลที่มีการตรวจสอบ DKIM ผ่าน ทำให้ผู้ใช้หลงเชื่อได้ง่าย

    แม้ Coinbase จะยืนยันว่าไม่มีรหัสผ่านหรือ Private Key ถูกขโมย แต่ข้อมูลส่วนตัวที่รั่วไหลสามารถนำไปใช้โจมตีแบบ Social Engineering ได้ในอนาคต เช่น การหลอกให้ผู้ใช้ย้ายเงินไปยัง Wallet ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์ หรือการโจมตีแบบ SIM-swap เพื่อยึดการยืนยันตัวตนสองชั้น เหตุการณ์นี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญว่าการรักษาความปลอดภัยไม่ใช่แค่การป้องกันระบบ แต่ต้องควบคุมการเข้าถึงข้อมูลของบุคลากรด้วย

    สรุปสาระสำคัญ
    เหตุการณ์การโจมตีและการรั่วไหลข้อมูล
    เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 โดยมีการใช้ข้อมูลภายในโจมตีผู้ใช้
    Coinbase เปิดเผยอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม 2025 หลังถูกเรียกค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์
    มีผู้ใช้กว่า 69,000 รายได้รับผลกระทบ ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึงชื่อ เบอร์โทร อีเมล และภาพบัตรประชาชน

    การตอบสนองของ Coinbase
    ปฏิเสธการจ่ายค่าไถ่ และเลือกเปิดเผยต่อสาธารณะ
    เสนอเงินรางวัล 20 ล้านดอลลาร์สำหรับข้อมูลนำไปสู่การจับกุมผู้โจมตี
    ยืนยันว่าไม่มีรหัสผ่านหรือ Private Key ถูกขโมย

    ความเสี่ยงและคำเตือนต่อผู้ใช้
    ข้อมูลส่วนตัวที่รั่วไหลสามารถนำไปใช้โจมตีแบบ Social Engineering ได้
    ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกหลอกให้ย้ายเงินไปยัง Wallet ของแฮกเกอร์
    การโจมตีแบบ SIM-swap และการปลอมแปลงอีเมล/โทรศัพท์ยังคงเป็นภัยที่ต้องระวัง

    https://jonathanclark.com/posts/coinbase-breach-timeline.html
    🛡️ “Coinbase ถูกโจมตีข้อมูลครั้งใหญ่ – Insider Threat และการเรียกค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์” ในเดือนมกราคม 2025 มีผู้ใช้ Coinbase รายหนึ่งถูกโจมตีด้วยอีเมลและโทรศัพท์ที่ดูเหมือนมาจากฝ่ายป้องกันการฉ้อโกงของบริษัท โดยผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขประกันสังคม ยอดคงเหลือ Bitcoin และรายละเอียดบัญชีที่ไม่ควรเปิดเผยได้ เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าการโจมตีไม่ได้เป็นเพียง Phishing ธรรมดา แต่เป็นการใช้ข้อมูลภายในที่ถูกขโมยมาอย่างชัดเจน ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2025 Coinbase ได้รับอีเมลจากกลุ่มแฮกเกอร์ที่อ้างว่ามีข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก พร้อมเรียกค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์เพื่อไม่ให้เปิดเผยข้อมูล บริษัทเลือกที่จะไม่จ่ายเงิน แต่กลับแจ้งต่อสาธารณะและยื่นรายงานต่อ SEC โดยยืนยันว่ามีผู้ใช้กว่า 69,000 รายได้รับผลกระทบ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ภาพบัตรประชาชน และประวัติธุรกรรม สิ่งที่น่ากังวลคือการโจมตีครั้งนี้เกิดจากการที่พนักงาน Outsource ในต่างประเทศถูกติดสินบนให้เปิดเผยข้อมูลภายในระบบบริการลูกค้า การรั่วไหลเช่นนี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้างการหลอกลวงที่สมจริงมากขึ้น เช่น โทรศัพท์ปลอมที่ดูเหมือนจาก Coinbase และอีเมลที่มีการตรวจสอบ DKIM ผ่าน ทำให้ผู้ใช้หลงเชื่อได้ง่าย แม้ Coinbase จะยืนยันว่าไม่มีรหัสผ่านหรือ Private Key ถูกขโมย แต่ข้อมูลส่วนตัวที่รั่วไหลสามารถนำไปใช้โจมตีแบบ Social Engineering ได้ในอนาคต เช่น การหลอกให้ผู้ใช้ย้ายเงินไปยัง Wallet ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์ หรือการโจมตีแบบ SIM-swap เพื่อยึดการยืนยันตัวตนสองชั้น เหตุการณ์นี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญว่าการรักษาความปลอดภัยไม่ใช่แค่การป้องกันระบบ แต่ต้องควบคุมการเข้าถึงข้อมูลของบุคลากรด้วย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เหตุการณ์การโจมตีและการรั่วไหลข้อมูล ➡️ เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 โดยมีการใช้ข้อมูลภายในโจมตีผู้ใช้ ➡️ Coinbase เปิดเผยอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม 2025 หลังถูกเรียกค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์ ➡️ มีผู้ใช้กว่า 69,000 รายได้รับผลกระทบ ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึงชื่อ เบอร์โทร อีเมล และภาพบัตรประชาชน ✅ การตอบสนองของ Coinbase ➡️ ปฏิเสธการจ่ายค่าไถ่ และเลือกเปิดเผยต่อสาธารณะ ➡️ เสนอเงินรางวัล 20 ล้านดอลลาร์สำหรับข้อมูลนำไปสู่การจับกุมผู้โจมตี ➡️ ยืนยันว่าไม่มีรหัสผ่านหรือ Private Key ถูกขโมย ‼️ ความเสี่ยงและคำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ ข้อมูลส่วนตัวที่รั่วไหลสามารถนำไปใช้โจมตีแบบ Social Engineering ได้ ⛔ ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกหลอกให้ย้ายเงินไปยัง Wallet ของแฮกเกอร์ ⛔ การโจมตีแบบ SIM-swap และการปลอมแปลงอีเมล/โทรศัพท์ยังคงเป็นภัยที่ต้องระวัง https://jonathanclark.com/posts/coinbase-breach-timeline.html
    JONATHANCLARK.COM
    Coinbase Data Breach Timeline Doesn't Add Up
    I have recordings and emails showing attacks months before Coinbase's 'discovery'. Timeline, headers, and audio evidence.
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Granny และโรงอาหาร

    ผู้เขียนเล่าถึงคุณยาย Beulah Culpepper หรือ Granny ที่เริ่มทำงานเป็นแม่ครัวโรงเรียนตั้งแต่อายุ 43 ปี หลังจากเลี้ยงลูก 8 คน เธอใช้ทักษะการทำอาหารพื้นบ้าน เช่น ซุปผัก ขนมปังยีสต์ และคุกกี้เนยถั่ว เพื่อดูแลเด็ก ๆ ใน Blue Ridge, Georgia แม้ต้องใช้วัตถุดิบราคาถูกอย่าง “government cheese” แต่ Granny เชื่อในหลักการ “ไม่มีเด็กคนไหนควรออกจากโรงอาหารไปอย่างหิวโหย”.

    บทบาทแม่ครัวโรงเรียนยุคใหม่
    บทความยังสะท้อนถึงแม่ครัวโรงเรียนรุ่นใหม่ เช่น Stephanie Dillard ที่ทำงานเพื่อให้เด็ก ๆ ได้กินอาหารสดจากท้องถิ่น เช่น ส้ม satsuma, สตรอว์เบอร์รี และไส้กรอก Conecuh เธอเน้นว่า “ความสุขที่สุดคือการได้รู้ว่าเราให้อาหารที่ดีต่อสุขภาพแก่เด็ก ๆ” แต่ก็ยอมรับว่าการทำอาหารสดต้องการ งบประมาณและการสนับสนุนมากขึ้น.

    การเมืองและอาหารกลางวัน
    นโยบายอาหารกลางวันในสหรัฐฯ ถูกกำหนดโดยกฎหมายและการเมือง เช่น National School Lunch Act ปี 1946 และโครงการ Healthy, Hunger-Free Kids Act ของ Michelle Obama ที่เคยถูกวิจารณ์และลดทอนโดยฝ่ายอนุรักษ์นิยม ปัจจุบันแม้มีการผลักดันให้ใช้วัตถุดิบสดและลดอาหารแปรรูป แต่การตัดงบประมาณของรัฐบาลกลางกลับทำให้โครงการ “farm-to-school” หลายแห่งต้องหยุดชะงัก.

    ความคิดสร้างสรรค์เพื่อชุมชน
    แม่ครัวบางคนยังหาวิธีใหม่ ๆ เช่น “Chow Bus” ที่ดัดแปลงรถโรงเรียนเป็นครัวเคลื่อนที่ แจกอาหารและหนังสือให้เด็ก ๆ ในช่วงฤดูร้อน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ความพยายามเหล่านี้สะท้อนว่าโรงอาหารไม่ใช่แค่ที่กินข้าว แต่คือ หัวใจของโรงเรียนและชุมชน.

    สรุปสาระสำคัญ
    Granny และแม่ครัวรุ่นเก่า
    ใช้ทักษะพื้นบ้านทำอาหารให้เด็ก ๆ
    ยึดหลัก “ไม่มีเด็กคนไหนควรหิวโหย”

    แม่ครัวรุ่นใหม่
    ผลักดันอาหารสดจากท้องถิ่น
    ต้องการงบประมาณเพิ่มเพื่อทำอาหารจากวัตถุดิบสด

    การเมืองและนโยบาย
    กฎหมายอาหารกลางวันมีผลต่อเมนูและงบประมาณ
    การตัดงบทำให้โครงการ farm-to-school สะดุด

    ความคิดสร้างสรรค์เพื่อชุมชน
    โครงการ Chow Bus แจกอาหารและหนังสือ
    โรงอาหารคือหัวใจของโรงเรียนและชุมชน

    ความท้าทาย
    งบประมาณไม่เพียงพอสำหรับอาหารสด
    การเมืองทำให้โครงการดี ๆ ถูกยกเลิก

    https://bittersoutherner.com/issue-no-12/all-praise-to-the-lunch-ladies
    🍲 เรื่องเล่าจาก Granny และโรงอาหาร ผู้เขียนเล่าถึงคุณยาย Beulah Culpepper หรือ Granny ที่เริ่มทำงานเป็นแม่ครัวโรงเรียนตั้งแต่อายุ 43 ปี หลังจากเลี้ยงลูก 8 คน เธอใช้ทักษะการทำอาหารพื้นบ้าน เช่น ซุปผัก ขนมปังยีสต์ และคุกกี้เนยถั่ว เพื่อดูแลเด็ก ๆ ใน Blue Ridge, Georgia แม้ต้องใช้วัตถุดิบราคาถูกอย่าง “government cheese” แต่ Granny เชื่อในหลักการ “ไม่มีเด็กคนไหนควรออกจากโรงอาหารไปอย่างหิวโหย”. 🏫 บทบาทแม่ครัวโรงเรียนยุคใหม่ บทความยังสะท้อนถึงแม่ครัวโรงเรียนรุ่นใหม่ เช่น Stephanie Dillard ที่ทำงานเพื่อให้เด็ก ๆ ได้กินอาหารสดจากท้องถิ่น เช่น ส้ม satsuma, สตรอว์เบอร์รี และไส้กรอก Conecuh เธอเน้นว่า “ความสุขที่สุดคือการได้รู้ว่าเราให้อาหารที่ดีต่อสุขภาพแก่เด็ก ๆ” แต่ก็ยอมรับว่าการทำอาหารสดต้องการ งบประมาณและการสนับสนุนมากขึ้น. 🌱 การเมืองและอาหารกลางวัน นโยบายอาหารกลางวันในสหรัฐฯ ถูกกำหนดโดยกฎหมายและการเมือง เช่น National School Lunch Act ปี 1946 และโครงการ Healthy, Hunger-Free Kids Act ของ Michelle Obama ที่เคยถูกวิจารณ์และลดทอนโดยฝ่ายอนุรักษ์นิยม ปัจจุบันแม้มีการผลักดันให้ใช้วัตถุดิบสดและลดอาหารแปรรูป แต่การตัดงบประมาณของรัฐบาลกลางกลับทำให้โครงการ “farm-to-school” หลายแห่งต้องหยุดชะงัก. 🚍 ความคิดสร้างสรรค์เพื่อชุมชน แม่ครัวบางคนยังหาวิธีใหม่ ๆ เช่น “Chow Bus” ที่ดัดแปลงรถโรงเรียนเป็นครัวเคลื่อนที่ แจกอาหารและหนังสือให้เด็ก ๆ ในช่วงฤดูร้อน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ความพยายามเหล่านี้สะท้อนว่าโรงอาหารไม่ใช่แค่ที่กินข้าว แต่คือ หัวใจของโรงเรียนและชุมชน. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Granny และแม่ครัวรุ่นเก่า ➡️ ใช้ทักษะพื้นบ้านทำอาหารให้เด็ก ๆ ➡️ ยึดหลัก “ไม่มีเด็กคนไหนควรหิวโหย” ✅ แม่ครัวรุ่นใหม่ ➡️ ผลักดันอาหารสดจากท้องถิ่น ➡️ ต้องการงบประมาณเพิ่มเพื่อทำอาหารจากวัตถุดิบสด ✅ การเมืองและนโยบาย ➡️ กฎหมายอาหารกลางวันมีผลต่อเมนูและงบประมาณ ➡️ การตัดงบทำให้โครงการ farm-to-school สะดุด ✅ ความคิดสร้างสรรค์เพื่อชุมชน ➡️ โครงการ Chow Bus แจกอาหารและหนังสือ ➡️ โรงอาหารคือหัวใจของโรงเรียนและชุมชน ‼️ ความท้าทาย ⛔ งบประมาณไม่เพียงพอสำหรับอาหารสด ⛔ การเมืองทำให้โครงการดี ๆ ถูกยกเลิก https://bittersoutherner.com/issue-no-12/all-praise-to-the-lunch-ladies
    BITTERSOUTHERNER.COM
    All Praise to the Lunch Ladies — THE BITTER SOUTHERNER
    Blessed are the women who watch over America’s children.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • ข้อมูลรั่วไหลจาก AIPAC – กระทบผู้ใช้งานหลายร้อยราย

    องค์กร AIPAC (American Israel Public Affairs Committee) เปิดเผยว่าเกิดเหตุ ข้อมูลรั่วไหล (data breach) หลังมีการเข้าถึงระบบจากบุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2025 และพบว่ามีการเข้าถึงไฟล์ตั้งแต่ ตุลาคม 2024 ถึงกุมภาพันธ์ 2025

    รายละเอียดการรั่วไหล
    ไฟล์ที่ถูกเข้าถึงมีข้อมูลระบุตัวบุคคล (Personally Identifiable Information – PII) เช่น ชื่อ, ที่อยู่, อีเมล, หมายเลขบัตรประชาชน, พาสปอร์ต, ข้อมูลการชำระเงิน และข้อมูลธนาคาร รวมถึงข้อมูลที่อาจใช้ในการโจรกรรมทางการเงินหรือการปลอมแปลงตัวตน เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน 810 คน โดยมีผู้ที่อาศัยอยู่ในรัฐ Maine รวมอยู่ด้วย

    การตอบสนองของ AIPAC
    องค์กรได้เริ่มแจ้งผู้ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025 และยืนยันว่า ยังไม่พบหลักฐานการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย AIPAC ได้เสนอแพ็กเกจ Identity Protection ผ่าน IDX เป็นเวลา 12 เดือน ครอบคลุมการตรวจสอบเครดิต, CyberScan monitoring, ประกันภัย และบริการกู้คืนตัวตน

    มาตรการเสริมความปลอดภัย
    หลังเหตุการณ์นี้ AIPAC ได้เพิ่มมาตรการใหม่ เช่น posture controls, non-human identity controls, email data loss prevention, Microsoft 365 access controls, privilege alerts, geolocation restrictions และ audit functions เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก

    รายละเอียดเหตุการณ์
    เกิดการเข้าถึงไฟล์โดยไม่ได้รับอนุญาตระหว่าง ต.ค. 2024 – ก.พ. 2025
    ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึง PII และข้อมูลทางการเงิน
    ผู้ได้รับผลกระทบรวม 810 คน

    การตอบสนองของ AIPAC
    แจ้งผู้ได้รับผลกระทบตั้งแต่ 13 พ.ย. 2025
    เสนอแพ็กเกจ Identity Protection ฟรี 12 เดือน

    มาตรการใหม่เพื่อความปลอดภัย
    เพิ่มระบบตรวจสอบสิทธิ์, การป้องกันข้อมูลสูญหาย และการจำกัดการเข้าถึง

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ข้อมูลที่รั่วไหลอาจถูกนำไปใช้ในการโจรกรรมทางการเงินหรือปลอมแปลงตัวตน
    แม้ยังไม่พบการใช้งานข้อมูล แต่ความเสี่ยงยังคงอยู่
    ผู้ได้รับผลกระทบควรตรวจสอบเครดิตและธุรกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง

    https://hackread.com/aipac-data-breach-hundreds-affected/
    🔓 ข้อมูลรั่วไหลจาก AIPAC – กระทบผู้ใช้งานหลายร้อยราย องค์กร AIPAC (American Israel Public Affairs Committee) เปิดเผยว่าเกิดเหตุ ข้อมูลรั่วไหล (data breach) หลังมีการเข้าถึงระบบจากบุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2025 และพบว่ามีการเข้าถึงไฟล์ตั้งแต่ ตุลาคม 2024 ถึงกุมภาพันธ์ 2025 📑 รายละเอียดการรั่วไหล ไฟล์ที่ถูกเข้าถึงมีข้อมูลระบุตัวบุคคล (Personally Identifiable Information – PII) เช่น ชื่อ, ที่อยู่, อีเมล, หมายเลขบัตรประชาชน, พาสปอร์ต, ข้อมูลการชำระเงิน และข้อมูลธนาคาร รวมถึงข้อมูลที่อาจใช้ในการโจรกรรมทางการเงินหรือการปลอมแปลงตัวตน เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน 810 คน โดยมีผู้ที่อาศัยอยู่ในรัฐ Maine รวมอยู่ด้วย 🛡️ การตอบสนองของ AIPAC องค์กรได้เริ่มแจ้งผู้ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025 และยืนยันว่า ยังไม่พบหลักฐานการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย AIPAC ได้เสนอแพ็กเกจ Identity Protection ผ่าน IDX เป็นเวลา 12 เดือน ครอบคลุมการตรวจสอบเครดิต, CyberScan monitoring, ประกันภัย และบริการกู้คืนตัวตน 🔧 มาตรการเสริมความปลอดภัย หลังเหตุการณ์นี้ AIPAC ได้เพิ่มมาตรการใหม่ เช่น posture controls, non-human identity controls, email data loss prevention, Microsoft 365 access controls, privilege alerts, geolocation restrictions และ audit functions เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก ✅ รายละเอียดเหตุการณ์ ➡️ เกิดการเข้าถึงไฟล์โดยไม่ได้รับอนุญาตระหว่าง ต.ค. 2024 – ก.พ. 2025 ➡️ ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึง PII และข้อมูลทางการเงิน ➡️ ผู้ได้รับผลกระทบรวม 810 คน ✅ การตอบสนองของ AIPAC ➡️ แจ้งผู้ได้รับผลกระทบตั้งแต่ 13 พ.ย. 2025 ➡️ เสนอแพ็กเกจ Identity Protection ฟรี 12 เดือน ✅ มาตรการใหม่เพื่อความปลอดภัย ➡️ เพิ่มระบบตรวจสอบสิทธิ์, การป้องกันข้อมูลสูญหาย และการจำกัดการเข้าถึง ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ข้อมูลที่รั่วไหลอาจถูกนำไปใช้ในการโจรกรรมทางการเงินหรือปลอมแปลงตัวตน ⛔ แม้ยังไม่พบการใช้งานข้อมูล แต่ความเสี่ยงยังคงอยู่ ⛔ ผู้ได้รับผลกระทบควรตรวจสอบเครดิตและธุรกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง https://hackread.com/aipac-data-breach-hundreds-affected/
    HACKREAD.COM
    AIPAC Discloses Data Breach, Says Hundreds Affected
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • 5 แอปฟรีที่ช่วยให้ Windows 11 ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

    หลังจาก Microsoft ประกาศยุติการสนับสนุน Windows 10 อย่างเป็นทางการ ผู้ใช้จึงจำเป็นต้องอัปเกรดสู่ Windows 11 หรือเปลี่ยนไปใช้ Linux แต่เพื่อให้การใช้งาน Windows 11 ราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความจาก SlashGear ได้แนะนำ 5 แอปฟรีที่ควรติดตั้งทันที

    Microsoft PowerToys
    เป็นชุดเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มฟีเจอร์พิเศษให้ Windows 11 เช่น Advanced Paste สำหรับจัดการข้อความที่คัดลอก, Awake ป้องกันเครื่องเข้าสู่ Sleep Mode, Peek สำหรับดูไฟล์แบบด่วน และ Text Extractor ที่สามารถดึงข้อความจากวิดีโอหรือภาพได้ ฟีเจอร์เหล่านี้ทำให้ Windows 11 มีความสามารถใกล้เคียง macOS มากขึ้น

    Blip
    แอปสำหรับ ส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์ ได้อย่างง่ายและรวดเร็ว รองรับทั้ง Windows, macOS, Android และ iOS จุดเด่นคือสามารถส่งไฟล์ขนาดใหญ่โดยไม่สะดุด แม้การเชื่อมต่อจะหลุดก็สามารถกลับมาส่งต่อได้ทันที อย่างไรก็ตาม Blip ใช้ TLS 1.3 ในการเข้ารหัส ซึ่งไม่ใช่ end-to-end encryption จึงควรระวังเมื่อส่งไฟล์ที่มีข้อมูลสำคัญ

    QuickLook
    เป็นแอปที่เลียนแบบฟีเจอร์ Quick Look ของ macOS เพียงกด Spacebar ก็สามารถดูตัวอย่างไฟล์ได้ทันที รองรับไฟล์หลากหลายประเภท เช่น รูปภาพ วิดีโอ เอกสาร และเพลง ทำให้การทำงานกับไฟล์สะดวกและรวดเร็วขึ้น

    VLC Media Player
    โปรแกรมเล่นสื่อที่ครองใจผู้ใช้มานาน สามารถเล่นไฟล์ได้แทบทุกชนิด รวมถึง Blu-ray, DVD และไฟล์ .mkv ที่มีหลายซับไตเติล จุดเด่นคือ ฟรีและโอเพ่นซอร์ส พร้อมฟีเจอร์ซ่อน เช่น ดาวน์โหลดวิดีโอจาก YouTube หรือ Instagram

    Revo Uninstaller
    ช่วยลบโปรแกรมออกจากระบบได้หมดจด รวมถึงไฟล์และ registry ที่เหลืออยู่หลังการถอนการติดตั้ง ลดการกินพื้นที่และปัญหาความเสถียรของระบบ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการจัดการเครื่องให้สะอาดและมีประสิทธิภาพ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    แอปที่ควรติดตั้งหลังอัปเกรด Windows 11
    Microsoft PowerToys: เพิ่มฟีเจอร์พิเศษ เช่น Advanced Paste, Peek, Text Extractor
    Blip: ส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์ได้ง่ายและเร็ว
    QuickLook: ดูตัวอย่างไฟล์ทันทีด้วย Spacebar
    VLC: เล่นไฟล์สื่อทุกชนิด ฟรีและโอเพ่นซอร์ส
    Revo Uninstaller: ลบโปรแกรมและไฟล์ตกค้างได้หมดจด

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    Blip ใช้ TLS 1.3 ไม่ใช่ end-to-end encryption เสี่ยงต่อการส่งไฟล์สำคัญ
    PowerToys ใช้ทรัพยากรเครื่องมากขึ้นเมื่อเปิดหลายฟีเจอร์
    QuickLook และ Revo Uninstaller ใช้งาน background processes ที่อาจกินทรัพยากรเครื่อง

    https://www.slashgear.com/2024273/must-have-windows-11-apps-install-after-upgrade/
    💻 5 แอปฟรีที่ช่วยให้ Windows 11 ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ หลังจาก Microsoft ประกาศยุติการสนับสนุน Windows 10 อย่างเป็นทางการ ผู้ใช้จึงจำเป็นต้องอัปเกรดสู่ Windows 11 หรือเปลี่ยนไปใช้ Linux แต่เพื่อให้การใช้งาน Windows 11 ราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความจาก SlashGear ได้แนะนำ 5 แอปฟรีที่ควรติดตั้งทันที ⚙️ Microsoft PowerToys เป็นชุดเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มฟีเจอร์พิเศษให้ Windows 11 เช่น Advanced Paste สำหรับจัดการข้อความที่คัดลอก, Awake ป้องกันเครื่องเข้าสู่ Sleep Mode, Peek สำหรับดูไฟล์แบบด่วน และ Text Extractor ที่สามารถดึงข้อความจากวิดีโอหรือภาพได้ ฟีเจอร์เหล่านี้ทำให้ Windows 11 มีความสามารถใกล้เคียง macOS มากขึ้น 📤 Blip แอปสำหรับ ส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์ ได้อย่างง่ายและรวดเร็ว รองรับทั้ง Windows, macOS, Android และ iOS จุดเด่นคือสามารถส่งไฟล์ขนาดใหญ่โดยไม่สะดุด แม้การเชื่อมต่อจะหลุดก็สามารถกลับมาส่งต่อได้ทันที อย่างไรก็ตาม Blip ใช้ TLS 1.3 ในการเข้ารหัส ซึ่งไม่ใช่ end-to-end encryption จึงควรระวังเมื่อส่งไฟล์ที่มีข้อมูลสำคัญ 👀 QuickLook เป็นแอปที่เลียนแบบฟีเจอร์ Quick Look ของ macOS เพียงกด Spacebar ก็สามารถดูตัวอย่างไฟล์ได้ทันที รองรับไฟล์หลากหลายประเภท เช่น รูปภาพ วิดีโอ เอกสาร และเพลง ทำให้การทำงานกับไฟล์สะดวกและรวดเร็วขึ้น 🎬 VLC Media Player โปรแกรมเล่นสื่อที่ครองใจผู้ใช้มานาน สามารถเล่นไฟล์ได้แทบทุกชนิด รวมถึง Blu-ray, DVD และไฟล์ .mkv ที่มีหลายซับไตเติล จุดเด่นคือ ฟรีและโอเพ่นซอร์ส พร้อมฟีเจอร์ซ่อน เช่น ดาวน์โหลดวิดีโอจาก YouTube หรือ Instagram 🗑️ Revo Uninstaller ช่วยลบโปรแกรมออกจากระบบได้หมดจด รวมถึงไฟล์และ registry ที่เหลืออยู่หลังการถอนการติดตั้ง ลดการกินพื้นที่และปัญหาความเสถียรของระบบ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการจัดการเครื่องให้สะอาดและมีประสิทธิภาพ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ แอปที่ควรติดตั้งหลังอัปเกรด Windows 11 ➡️ Microsoft PowerToys: เพิ่มฟีเจอร์พิเศษ เช่น Advanced Paste, Peek, Text Extractor ➡️ Blip: ส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์ได้ง่ายและเร็ว ➡️ QuickLook: ดูตัวอย่างไฟล์ทันทีด้วย Spacebar ➡️ VLC: เล่นไฟล์สื่อทุกชนิด ฟรีและโอเพ่นซอร์ส ➡️ Revo Uninstaller: ลบโปรแกรมและไฟล์ตกค้างได้หมดจด ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ Blip ใช้ TLS 1.3 ไม่ใช่ end-to-end encryption เสี่ยงต่อการส่งไฟล์สำคัญ ⛔ PowerToys ใช้ทรัพยากรเครื่องมากขึ้นเมื่อเปิดหลายฟีเจอร์ ⛔ QuickLook และ Revo Uninstaller ใช้งาน background processes ที่อาจกินทรัพยากรเครื่อง https://www.slashgear.com/2024273/must-have-windows-11-apps-install-after-upgrade/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Free Apps You Should Install As Soon As You Upgrade To Windows 11 - SlashGear
    There’s no shortage of great apps for Windows 11, but we’ve narrowed our list to five standouts.
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน pgAdmin เสี่ยง RCE ผ่าน Dump Files

    ทีมพัฒนา pgAdmin ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่หลายรายการที่กระทบต่อเวอร์ชัน ≤ 9.9 โดยช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-12762 (CVSS 9.1) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ pgAdmin ทำงานใน server mode และผู้ใช้ทำการ restore ไฟล์ PostgreSQL dump แบบ PLAIN-format หากไฟล์ถูกปรับแต่งโดยผู้โจมตี จะสามารถฝังคำสั่งระบบและรันบนเซิร์ฟเวอร์ได้ทันที ส่งผลให้เกิดการ ยึดครองระบบเต็มรูปแบบ

    นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่อื่น ๆ ที่ถูกเปิดเผยพร้อมกัน เช่น

    CVE-2025-12763 (CVSS 6.8): Command Injection บน Windows เนื่องจากการใช้ shell=True ในการ backup/restore

    CVE-2025-12764 (CVSS 7.5): LDAP Injection ในขั้นตอน authentication ทำให้เกิด DoS

    CVE-2025-12765 (CVSS 7.5): TLS Certificate Verification Bypass ใน LDAP ทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ Man-in-the-Middle

    สิ่งที่น่ากังวลคือ ช่องโหว่เหล่านี้กระทบต่อ ทุกเวอร์ชัน ≤ 9.9 และมีผลต่อทั้ง Windows และระบบที่ใช้ LDAP authentication หากไม่อัปเดต อาจทำให้ข้อมูลในฐานข้อมูลถูกขโมยหรือระบบถูกควบคุมจากระยะไกล

    ทีมพัฒนาแนะนำให้อัปเดตเป็น pgAdmin v9.10 ทันที เพื่อปิดช่องโหว่ทั้งหมด และองค์กรที่ใช้ LDAP หรือ Windows environment ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ที่ค้นพบใน pgAdmin
    CVE-2025-12762 (CVSS 9.1): RCE ผ่าน PLAIN-format dump files
    CVE-2025-12763 (CVSS 6.8): Command Injection บน Windows
    CVE-2025-12764 (CVSS 7.5): LDAP Injection ทำให้เกิด DoS
    CVE-2025-12765 (CVSS 7.5): TLS Certificate Verification Bypass

    ผลกระทบต่อระบบ
    เสี่ยงต่อการถูกยึดครองเซิร์ฟเวอร์
    ข้อมูลฐานข้อมูลอาจถูกขโมยหรือถูกแก้ไข
    LDAP และ Windows environment มีความเสี่ยงสูง

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ทุกเวอร์ชัน ≤ 9.9 ได้รับผลกระทบ
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีแบบ RCE หรือ MITM
    องค์กรที่ใช้ LDAP authentication ต้องเร่งอัปเดตเพื่อป้องกันการรั่วไหลของ credentials

    https://securityonline.info/critical-pgadmin-flaws-cve-2025-12762-cvss-9-1-allow-remote-code-execution-via-postgresql-dump-files/
    🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน pgAdmin เสี่ยง RCE ผ่าน Dump Files ทีมพัฒนา pgAdmin ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่หลายรายการที่กระทบต่อเวอร์ชัน ≤ 9.9 โดยช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-12762 (CVSS 9.1) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ pgAdmin ทำงานใน server mode และผู้ใช้ทำการ restore ไฟล์ PostgreSQL dump แบบ PLAIN-format หากไฟล์ถูกปรับแต่งโดยผู้โจมตี จะสามารถฝังคำสั่งระบบและรันบนเซิร์ฟเวอร์ได้ทันที ส่งผลให้เกิดการ ยึดครองระบบเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่อื่น ๆ ที่ถูกเปิดเผยพร้อมกัน เช่น CVE-2025-12763 (CVSS 6.8): Command Injection บน Windows เนื่องจากการใช้ shell=True ในการ backup/restore CVE-2025-12764 (CVSS 7.5): LDAP Injection ในขั้นตอน authentication ทำให้เกิด DoS CVE-2025-12765 (CVSS 7.5): TLS Certificate Verification Bypass ใน LDAP ทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ Man-in-the-Middle สิ่งที่น่ากังวลคือ ช่องโหว่เหล่านี้กระทบต่อ ทุกเวอร์ชัน ≤ 9.9 และมีผลต่อทั้ง Windows และระบบที่ใช้ LDAP authentication หากไม่อัปเดต อาจทำให้ข้อมูลในฐานข้อมูลถูกขโมยหรือระบบถูกควบคุมจากระยะไกล ทีมพัฒนาแนะนำให้อัปเดตเป็น pgAdmin v9.10 ทันที เพื่อปิดช่องโหว่ทั้งหมด และองค์กรที่ใช้ LDAP หรือ Windows environment ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่ค้นพบใน pgAdmin ➡️ CVE-2025-12762 (CVSS 9.1): RCE ผ่าน PLAIN-format dump files ➡️ CVE-2025-12763 (CVSS 6.8): Command Injection บน Windows ➡️ CVE-2025-12764 (CVSS 7.5): LDAP Injection ทำให้เกิด DoS ➡️ CVE-2025-12765 (CVSS 7.5): TLS Certificate Verification Bypass ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ เสี่ยงต่อการถูกยึดครองเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ข้อมูลฐานข้อมูลอาจถูกขโมยหรือถูกแก้ไข ➡️ LDAP และ Windows environment มีความเสี่ยงสูง ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ทุกเวอร์ชัน ≤ 9.9 ได้รับผลกระทบ ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีแบบ RCE หรือ MITM ⛔ องค์กรที่ใช้ LDAP authentication ต้องเร่งอัปเดตเพื่อป้องกันการรั่วไหลของ credentials https://securityonline.info/critical-pgadmin-flaws-cve-2025-12762-cvss-9-1-allow-remote-code-execution-via-postgresql-dump-files/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical pgAdmin Flaws (CVE-2025-12762, CVSS 9.1) Allow Remote Code Execution via PostgreSQL Dump Files
    pgAdmin patched four flaws. The Critical RCE (CVE-2025-12762) risks arbitrary code execution via malicious PostgreSQL dump files. LDAP Injection (CVE-2025-12764) and TLS Bypass were also fixed. Update to v9.10.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ Memos ทำให้ผู้โจมตีอยู่ในระบบแม้เปลี่ยนรหัสผ่าน

    ทีมพัฒนา Memos ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม knowledge base แบบ self-hosted ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ CVE-2024-21635 ที่มีความรุนแรงสูง (CVSS 7.1) โดยปัญหานี้เกิดจากการที่ระบบ ไม่ยกเลิก Access Tokens หลังจากผู้ใช้เปลี่ยนรหัสผ่าน ส่งผลให้ผู้โจมตีที่มี token อยู่แล้วสามารถเข้าถึงบัญชีต่อไปได้แม้เจ้าของบัญชีจะทำการ reset password

    การทดสอบ Proof of Concept (PoC) แสดงให้เห็นว่า หากผู้ใช้ล็อกอินจากสองอุปกรณ์ แล้วเปลี่ยนรหัสผ่านจากอุปกรณ์หนึ่ง อีกอุปกรณ์ยังคงสามารถใช้งานบัญชีได้ตามปกติ ซึ่งขัดกับมาตรฐานความปลอดภัยทั่วไปที่คาดว่าการเปลี่ยนรหัสผ่านจะทำให้ทุก session ถูกยกเลิกทันที

    สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงคือ รายการ Access Tokens ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน ทำให้ผู้ใช้ยากต่อการตรวจสอบว่า token ใดเป็นของผู้โจมตี และไม่สามารถ pinpoint ได้ว่าใครยังคงมีสิทธิ์เข้าถึงอยู่

    ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ ทุกเวอร์ชันจนถึง v0.18.1 โดยทีม Memos ได้แก้ไขใน v0.25.2 ซึ่งบังคับให้ Access Tokens ทั้งหมดถูกยกเลิกเมื่อมีการเปลี่ยนรหัสผ่าน เพื่อให้ผู้ใช้ต้องล็อกอินใหม่ทุกครั้ง และป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2024-21635
    ระบบไม่ยกเลิก Access Tokens หลังจากเปลี่ยนรหัสผ่าน
    ผู้โจมตีที่มี token อยู่แล้วสามารถเข้าถึงบัญชีต่อไปได้

    Proof of Concept
    ล็อกอินจากสองอุปกรณ์
    เปลี่ยนรหัสผ่านจากอุปกรณ์หนึ่ง อีกอุปกรณ์ยังคงใช้งานได้

    การแก้ไข
    แก้ไขในเวอร์ชัน v0.25.2
    บังคับให้ Access Tokens ถูกยกเลิกทุกครั้งที่เปลี่ยนรหัสผ่าน

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ผู้โจมตีสามารถคงการเข้าถึงแม้ผู้ใช้จะเปลี่ยนรหัสผ่าน
    รายการ Access Tokens ไม่มีรายละเอียด ทำให้ตรวจสอบยาก
    ผู้ใช้ที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าเสี่ยงต่อการถูกเข้ายึดบัญชี

    https://securityonline.info/high-severity-memos-flaw-cve-2024-21635-allows-hackers-to-stay-logged-in-after-password-change/
    🔐 ช่องโหว่ Memos ทำให้ผู้โจมตีอยู่ในระบบแม้เปลี่ยนรหัสผ่าน ทีมพัฒนา Memos ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม knowledge base แบบ self-hosted ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ CVE-2024-21635 ที่มีความรุนแรงสูง (CVSS 7.1) โดยปัญหานี้เกิดจากการที่ระบบ ไม่ยกเลิก Access Tokens หลังจากผู้ใช้เปลี่ยนรหัสผ่าน ส่งผลให้ผู้โจมตีที่มี token อยู่แล้วสามารถเข้าถึงบัญชีต่อไปได้แม้เจ้าของบัญชีจะทำการ reset password การทดสอบ Proof of Concept (PoC) แสดงให้เห็นว่า หากผู้ใช้ล็อกอินจากสองอุปกรณ์ แล้วเปลี่ยนรหัสผ่านจากอุปกรณ์หนึ่ง อีกอุปกรณ์ยังคงสามารถใช้งานบัญชีได้ตามปกติ ซึ่งขัดกับมาตรฐานความปลอดภัยทั่วไปที่คาดว่าการเปลี่ยนรหัสผ่านจะทำให้ทุก session ถูกยกเลิกทันที สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงคือ รายการ Access Tokens ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน ทำให้ผู้ใช้ยากต่อการตรวจสอบว่า token ใดเป็นของผู้โจมตี และไม่สามารถ pinpoint ได้ว่าใครยังคงมีสิทธิ์เข้าถึงอยู่ ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ ทุกเวอร์ชันจนถึง v0.18.1 โดยทีม Memos ได้แก้ไขใน v0.25.2 ซึ่งบังคับให้ Access Tokens ทั้งหมดถูกยกเลิกเมื่อมีการเปลี่ยนรหัสผ่าน เพื่อให้ผู้ใช้ต้องล็อกอินใหม่ทุกครั้ง และป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2024-21635 ➡️ ระบบไม่ยกเลิก Access Tokens หลังจากเปลี่ยนรหัสผ่าน ➡️ ผู้โจมตีที่มี token อยู่แล้วสามารถเข้าถึงบัญชีต่อไปได้ ✅ Proof of Concept ➡️ ล็อกอินจากสองอุปกรณ์ ➡️ เปลี่ยนรหัสผ่านจากอุปกรณ์หนึ่ง อีกอุปกรณ์ยังคงใช้งานได้ ✅ การแก้ไข ➡️ แก้ไขในเวอร์ชัน v0.25.2 ➡️ บังคับให้ Access Tokens ถูกยกเลิกทุกครั้งที่เปลี่ยนรหัสผ่าน ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ผู้โจมตีสามารถคงการเข้าถึงแม้ผู้ใช้จะเปลี่ยนรหัสผ่าน ⛔ รายการ Access Tokens ไม่มีรายละเอียด ทำให้ตรวจสอบยาก ⛔ ผู้ใช้ที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าเสี่ยงต่อการถูกเข้ายึดบัญชี https://securityonline.info/high-severity-memos-flaw-cve-2024-21635-allows-hackers-to-stay-logged-in-after-password-change/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity Memos Flaw (CVE-2024-21635) Allows Hackers to Stay Logged In After Password Change
    A High-severity flaw (CVE-2024-21635) in Memos fails to invalidate Access Tokens upon password change, allowing attackers to maintain access to the knowledge base. Update to v0.25.2.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน IBM AIX – เสี่ยง RCE และการขโมย Private Keys

    IBM ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรงหลายรายการในระบบปฏิบัติการ AIX 7.2, AIX 7.3 และ VIOS 3.1/4.1 โดยหนึ่งในนั้นคือ CVE-2025-36250 ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด CVSS 10.0 สามารถทำให้ผู้โจมตีจากระยะไกลรันคำสั่งอันตรายบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยตรง

    นอกจากนั้นยังมีช่องโหว่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Network Installation Manager (NIM) เช่นการจัดเก็บ Private Keys ในรูปแบบที่ไม่ปลอดภัย (CVE-2025-36096) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถดักจับและปลอมตัวเป็นระบบที่ถูกต้องได้ อีกทั้งยังมีช่องโหว่ Directory Traversal (CVE-2025-36236) ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเขียนไฟล์อันตรายลงในระบบได้

    สิ่งที่น่ากังวลคือ ช่องโหว่เหล่านี้เกิดขึ้นในบริการสำคัญของ AIX เช่น nimsh และ nimesis ซึ่งถูกใช้ในการจัดการติดตั้งและปรับปรุงระบบ หากถูกโจมตี อาจนำไปสู่การเข้าควบคุมระบบทั้งหมด รวมถึงการเคลื่อนย้ายไปยังระบบอื่นในเครือข่ายองค์กร

    IBM ได้ออก APARs และแพ็กเกจแก้ไข สำหรับ AIX และ VIOS พร้อมคำแนะนำให้ผู้ใช้งานตรวจสอบเวอร์ชันที่ติดตั้งด้วยคำสั่ง:

    lslpp -L | grep -i bos.sysmgt.nim.client

    เพื่อยืนยันว่าระบบได้รับการอัปเดตแล้ว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ที่ค้นพบใน IBM AIX
    CVE-2025-36250 (CVSS 10.0): Remote Code Execution ผ่านบริการ nimesis
    CVE-2025-36251 (CVSS 9.6): RCE ผ่านบริการ nimsh
    CVE-2025-36096 (CVSS 9.0): การจัดเก็บ NIM Private Keys ไม่ปลอดภัย
    CVE-2025-36236 (CVSS 8.2): Directory Traversal เขียนไฟล์อันตรายลงระบบ

    ผลกระทบต่อระบบ
    เสี่ยงต่อการถูกควบคุมระบบจากระยะไกล
    Private Keys อาจถูกขโมยและนำไปใช้ปลอมตัว
    อาจเกิดการเคลื่อนย้ายการโจมตีไปยังระบบอื่นในองค์กร

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ช่องโหว่ทั้งหมดต้องการเพียงการเชื่อมต่อเครือข่ายเพื่อโจมตี
    หากไม่อัปเดตแพตช์ อาจถูกเข้าควบคุมระบบทั้งหมด
    การใช้ Directory Traversal อาจนำไปสู่การ defacement หรือการฝัง backdoor

    https://securityonline.info/critical-ibm-aix-rce-cve-2025-36250-cvss-10-0-flaw-exposes-nim-private-keys-and-risks-directory-traversal/
    🖥️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน IBM AIX – เสี่ยง RCE และการขโมย Private Keys IBM ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรงหลายรายการในระบบปฏิบัติการ AIX 7.2, AIX 7.3 และ VIOS 3.1/4.1 โดยหนึ่งในนั้นคือ CVE-2025-36250 ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด CVSS 10.0 สามารถทำให้ผู้โจมตีจากระยะไกลรันคำสั่งอันตรายบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยตรง นอกจากนั้นยังมีช่องโหว่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Network Installation Manager (NIM) เช่นการจัดเก็บ Private Keys ในรูปแบบที่ไม่ปลอดภัย (CVE-2025-36096) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถดักจับและปลอมตัวเป็นระบบที่ถูกต้องได้ อีกทั้งยังมีช่องโหว่ Directory Traversal (CVE-2025-36236) ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเขียนไฟล์อันตรายลงในระบบได้ สิ่งที่น่ากังวลคือ ช่องโหว่เหล่านี้เกิดขึ้นในบริการสำคัญของ AIX เช่น nimsh และ nimesis ซึ่งถูกใช้ในการจัดการติดตั้งและปรับปรุงระบบ หากถูกโจมตี อาจนำไปสู่การเข้าควบคุมระบบทั้งหมด รวมถึงการเคลื่อนย้ายไปยังระบบอื่นในเครือข่ายองค์กร IBM ได้ออก APARs และแพ็กเกจแก้ไข สำหรับ AIX และ VIOS พร้อมคำแนะนำให้ผู้ใช้งานตรวจสอบเวอร์ชันที่ติดตั้งด้วยคำสั่ง: lslpp -L | grep -i bos.sysmgt.nim.client เพื่อยืนยันว่าระบบได้รับการอัปเดตแล้ว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่ค้นพบใน IBM AIX ➡️ CVE-2025-36250 (CVSS 10.0): Remote Code Execution ผ่านบริการ nimesis ➡️ CVE-2025-36251 (CVSS 9.6): RCE ผ่านบริการ nimsh ➡️ CVE-2025-36096 (CVSS 9.0): การจัดเก็บ NIM Private Keys ไม่ปลอดภัย ➡️ CVE-2025-36236 (CVSS 8.2): Directory Traversal เขียนไฟล์อันตรายลงระบบ ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ เสี่ยงต่อการถูกควบคุมระบบจากระยะไกล ➡️ Private Keys อาจถูกขโมยและนำไปใช้ปลอมตัว ➡️ อาจเกิดการเคลื่อนย้ายการโจมตีไปยังระบบอื่นในองค์กร ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ช่องโหว่ทั้งหมดต้องการเพียงการเชื่อมต่อเครือข่ายเพื่อโจมตี ⛔ หากไม่อัปเดตแพตช์ อาจถูกเข้าควบคุมระบบทั้งหมด ⛔ การใช้ Directory Traversal อาจนำไปสู่การ defacement หรือการฝัง backdoor https://securityonline.info/critical-ibm-aix-rce-cve-2025-36250-cvss-10-0-flaw-exposes-nim-private-keys-and-risks-directory-traversal/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical IBM AIX RCE (CVE-2025-36250, CVSS 10.0) Flaw Exposes NIM Private Keys and Risks Directory Traversal
    IBM patched four critical flaws in AIX/VIOS. The RCE (CVSS 10.0) in nimesis and CVE-2025-36096 allow remote attackers to execute commands and obtain NIM private keys. Update immediately.
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ CVSS 10.0 ใน Lynx+ Gateway

    หน่วยงาน Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่หลายรายการในอุปกรณ์ Lynx+ Gateway ที่ใช้ในระบบอุตสาหกรรมและ OT (Operational Technology) โดยหนึ่งในนั้นคือ CVE-2025-58083 ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุด มีคะแนน CVSS 10.0 เนื่องจากไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ในฟังก์ชันสำคัญ ทำให้ผู้โจมตีสามารถ รีเซ็ตอุปกรณ์จากระยะไกลได้ทันที

    นอกจากนั้นยังมีช่องโหว่อื่น ๆ เช่น
    CVE-2025-55034 (CVSS 8.2): การตั้งรหัสผ่านที่อ่อนแอ เสี่ยงต่อการ brute-force
    CVE-2025-59780 (CVSS 7.5): ขาดการตรวจสอบสิทธิ์ในการดึงข้อมูล ทำให้เข้าถึงข้อมูลภายในได้
    CVE-2025-62765 (CVSS 7.5): การส่งข้อมูลสำคัญแบบ cleartext ทำให้ผู้โจมตีสามารถดักจับรหัสผ่านและข้อมูลได้

    สิ่งที่น่ากังวลคือ GIC ไม่ตอบสนองต่อการประสานงานกับ CISA ทำให้ผู้ใช้งานต้องหาวิธีป้องกันเอง เช่น การจำกัดการเข้าถึงเครือข่าย, ใช้ firewall, และตรวจสอบ traffic อย่างเข้มงวด เนื่องจากอุปกรณ์นี้ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในระบบควบคุมอุตสาหกรรม การโจมตีอาจนำไปสู่การหยุดชะงักของการผลิตหรือการสูญเสียข้อมูลสำคัญ

    ในภาพรวม เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ IoT และ OT devices ที่มักมีการออกแบบโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และเมื่อผู้ผลิตไม่ตอบสนองต่อการแก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้จะกลายเป็นภัยถาวรที่องค์กรต้องรับมือเอง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ที่ค้นพบใน Lynx+ Gateway
    CVE-2025-58083 (CVSS 10.0): รีเซ็ตอุปกรณ์จากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    CVE-2025-55034 (CVSS 8.2): รหัสผ่านอ่อนแอ เสี่ยง brute-force
    CVE-2025-59780 (CVSS 7.5): ดึงข้อมูลภายในโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    CVE-2025-62765 (CVSS 7.5): ส่งข้อมูลสำคัญแบบ cleartext

    ผลกระทบต่อระบบอุตสาหกรรม
    เสี่ยงต่อการหยุดชะงักของการผลิต
    ข้อมูลภายในและ credentials อาจถูกขโมย

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ผู้ผลิต GIC ไม่ตอบสนองต่อการเปิดเผยช่องโหว่
    ผู้ใช้งานต้องหาวิธีป้องกันเอง เช่น firewall และ network segmentation
    ช่องโหว่ใน IoT/OT devices มักถูกละเลยด้านความปลอดภัย ทำให้เป็นเป้าหมายโจมตีถาวร

    https://securityonline.info/cisa-warns-critical-lynx-gateway-flaw-cvss-10-0-allows-unauthenticated-remote-reset-vendor-non-responsive/
    ⚠️ ช่องโหว่ CVSS 10.0 ใน Lynx+ Gateway หน่วยงาน Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่หลายรายการในอุปกรณ์ Lynx+ Gateway ที่ใช้ในระบบอุตสาหกรรมและ OT (Operational Technology) โดยหนึ่งในนั้นคือ CVE-2025-58083 ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุด มีคะแนน CVSS 10.0 เนื่องจากไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ในฟังก์ชันสำคัญ ทำให้ผู้โจมตีสามารถ รีเซ็ตอุปกรณ์จากระยะไกลได้ทันที นอกจากนั้นยังมีช่องโหว่อื่น ๆ เช่น 🪲 CVE-2025-55034 (CVSS 8.2): การตั้งรหัสผ่านที่อ่อนแอ เสี่ยงต่อการ brute-force 🪲 CVE-2025-59780 (CVSS 7.5): ขาดการตรวจสอบสิทธิ์ในการดึงข้อมูล ทำให้เข้าถึงข้อมูลภายในได้ 🪲 CVE-2025-62765 (CVSS 7.5): การส่งข้อมูลสำคัญแบบ cleartext ทำให้ผู้โจมตีสามารถดักจับรหัสผ่านและข้อมูลได้ สิ่งที่น่ากังวลคือ GIC ไม่ตอบสนองต่อการประสานงานกับ CISA ทำให้ผู้ใช้งานต้องหาวิธีป้องกันเอง เช่น การจำกัดการเข้าถึงเครือข่าย, ใช้ firewall, และตรวจสอบ traffic อย่างเข้มงวด เนื่องจากอุปกรณ์นี้ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในระบบควบคุมอุตสาหกรรม การโจมตีอาจนำไปสู่การหยุดชะงักของการผลิตหรือการสูญเสียข้อมูลสำคัญ ในภาพรวม เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ IoT และ OT devices ที่มักมีการออกแบบโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และเมื่อผู้ผลิตไม่ตอบสนองต่อการแก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้จะกลายเป็นภัยถาวรที่องค์กรต้องรับมือเอง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่ค้นพบใน Lynx+ Gateway ➡️ CVE-2025-58083 (CVSS 10.0): รีเซ็ตอุปกรณ์จากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ CVE-2025-55034 (CVSS 8.2): รหัสผ่านอ่อนแอ เสี่ยง brute-force ➡️ CVE-2025-59780 (CVSS 7.5): ดึงข้อมูลภายในโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ CVE-2025-62765 (CVSS 7.5): ส่งข้อมูลสำคัญแบบ cleartext ✅ ผลกระทบต่อระบบอุตสาหกรรม ➡️ เสี่ยงต่อการหยุดชะงักของการผลิต ➡️ ข้อมูลภายในและ credentials อาจถูกขโมย ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ผู้ผลิต GIC ไม่ตอบสนองต่อการเปิดเผยช่องโหว่ ⛔ ผู้ใช้งานต้องหาวิธีป้องกันเอง เช่น firewall และ network segmentation ⛔ ช่องโหว่ใน IoT/OT devices มักถูกละเลยด้านความปลอดภัย ทำให้เป็นเป้าหมายโจมตีถาวร https://securityonline.info/cisa-warns-critical-lynx-gateway-flaw-cvss-10-0-allows-unauthenticated-remote-reset-vendor-non-responsive/
    SECURITYONLINE.INFO
    CISA Warns: Critical Lynx+ Gateway Flaw (CVSS 10.0) Allows Unauthenticated Remote Reset; Vendor Non-Responsive
    CISA warned of four flaws in Lynx+ Gateway. The Critical (CVSS 10.0) Auth Bypass allows unauthenticated remote reset and cleartext credential theft. Vendor GIC has not responded to CISA.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • การโจมตีซัพพลายเชนครั้งประวัติศาสตร์ใน npm Registry

    นักวิจัยจาก Amazon Inspector เปิดเผยว่า มีการเผยแพร่แพ็กเกจ npm ที่เป็นอันตรายกว่า 150,000 รายการในช่วงเดือนตุลาคม–พฤศจิกายน 2025 โดยทั้งหมดถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากระบบรางวัลของ tea.xyz ไม่ใช่เพื่อแพร่มัลแวร์แบบดั้งเดิม แต่เพื่อทำกำไรจากการปลอมตัวเป็นการมีส่วนร่วมในระบบ open-source

    สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์นี้แตกต่างคือ แพ็กเกจเหล่านี้ไม่มีฟังก์ชันการทำงานจริง แต่ถูกสร้างขึ้นโดย automation tools ที่สามารถทำซ้ำตัวเองได้ และฝังไฟล์ tea.yaml เพื่อเชื่อมโยงกับกระเป๋าเงิน blockchain ของผู้โจมตี การโจมตีนี้จึงไม่ใช่การขโมยข้อมูลหรือการฝัง backdoor แต่เป็นการ pollution ของ ecosystem ที่ทำให้คุณภาพของ npm registry ลดลงอย่างมาก

    นักวิจัยยังพบว่า ผู้โจมตีใช้วิธีการเผยแพร่แพ็กเกจจำนวนมหาศาลจากหลายบัญชีในเวลาใกล้เคียงกัน เพื่อสร้าง dependency chains ที่ทำให้ระบบตรวจสอบยากขึ้น และเพิ่มคะแนนการมีส่วนร่วมในระบบ tea.xyz อย่างผิดปกติ การโจมตีนี้จึงเป็นการใช้ช่องโหว่ของระบบรางวัล blockchain เพื่อสร้างรายได้ โดยไม่ต้องสร้างซอฟต์แวร์จริง

    ผลกระทบที่ตามมาคือ ความเสี่ยงต่อการเกิด dependency confusion และความไม่เสถียรของ ecosystem แม้แพ็กเกจจะไม่เป็นมัลแวร์โดยตรง แต่การมีอยู่ของมันจำนวนมหาศาลทำให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อาจเผลอใช้งาน และเกิดความผิดพลาดในการ build หรือ deploy ระบบ นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดประตูให้ผู้โจมตีรายอื่นเลียนแบบแนวทางนี้ต่อไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบครั้งใหญ่
    พบแพ็กเกจ npm ที่เป็นอันตรายกว่า 150,000 รายการ
    ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำ token farming บน tea.xyz

    วิธีการโจมตี
    ใช้ automation tools สร้างแพ็กเกจซ้ำตัวเอง
    ฝัง tea.yaml เชื่อมโยงกับ blockchain wallets
    เผยแพร่จากหลายบัญชีพร้อมกันเพื่อสร้าง dependency chains

    ผลกระทบต่อ ecosystem
    ทำให้เกิด registry pollution ลดคุณภาพของ npm
    เสี่ยงต่อ dependency confusion และความไม่เสถียรของระบบ

    คำเตือนและความเสี่ยง
    แม้ไม่ใช่มัลแวร์ แต่แพ็กเกจเหล่านี้อาจทำให้ระบบ build ล้มเหลว
    การโจมตีเชิงการเงินแบบนี้อาจกลายเป็นแนวทางใหม่ที่ผู้โจมตีรายอื่นเลียนแบบ
    ผู้พัฒนาควรตรวจสอบ dependency อย่างเข้มงวด และใช้เครื่องมือสแกนความปลอดภัยเสมอ

    https://securityonline.info/record-supply-chain-attack-150000-malicious-npm-packages-flooded-registry-for-token-farming-rewards/
    🚨 การโจมตีซัพพลายเชนครั้งประวัติศาสตร์ใน npm Registry นักวิจัยจาก Amazon Inspector เปิดเผยว่า มีการเผยแพร่แพ็กเกจ npm ที่เป็นอันตรายกว่า 150,000 รายการในช่วงเดือนตุลาคม–พฤศจิกายน 2025 โดยทั้งหมดถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากระบบรางวัลของ tea.xyz ไม่ใช่เพื่อแพร่มัลแวร์แบบดั้งเดิม แต่เพื่อทำกำไรจากการปลอมตัวเป็นการมีส่วนร่วมในระบบ open-source สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์นี้แตกต่างคือ แพ็กเกจเหล่านี้ไม่มีฟังก์ชันการทำงานจริง แต่ถูกสร้างขึ้นโดย automation tools ที่สามารถทำซ้ำตัวเองได้ และฝังไฟล์ tea.yaml เพื่อเชื่อมโยงกับกระเป๋าเงิน blockchain ของผู้โจมตี การโจมตีนี้จึงไม่ใช่การขโมยข้อมูลหรือการฝัง backdoor แต่เป็นการ pollution ของ ecosystem ที่ทำให้คุณภาพของ npm registry ลดลงอย่างมาก นักวิจัยยังพบว่า ผู้โจมตีใช้วิธีการเผยแพร่แพ็กเกจจำนวนมหาศาลจากหลายบัญชีในเวลาใกล้เคียงกัน เพื่อสร้าง dependency chains ที่ทำให้ระบบตรวจสอบยากขึ้น และเพิ่มคะแนนการมีส่วนร่วมในระบบ tea.xyz อย่างผิดปกติ การโจมตีนี้จึงเป็นการใช้ช่องโหว่ของระบบรางวัล blockchain เพื่อสร้างรายได้ โดยไม่ต้องสร้างซอฟต์แวร์จริง ผลกระทบที่ตามมาคือ ความเสี่ยงต่อการเกิด dependency confusion และความไม่เสถียรของ ecosystem แม้แพ็กเกจจะไม่เป็นมัลแวร์โดยตรง แต่การมีอยู่ของมันจำนวนมหาศาลทำให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อาจเผลอใช้งาน และเกิดความผิดพลาดในการ build หรือ deploy ระบบ นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดประตูให้ผู้โจมตีรายอื่นเลียนแบบแนวทางนี้ต่อไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบครั้งใหญ่ ➡️ พบแพ็กเกจ npm ที่เป็นอันตรายกว่า 150,000 รายการ ➡️ ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำ token farming บน tea.xyz ✅ วิธีการโจมตี ➡️ ใช้ automation tools สร้างแพ็กเกจซ้ำตัวเอง ➡️ ฝัง tea.yaml เชื่อมโยงกับ blockchain wallets ➡️ เผยแพร่จากหลายบัญชีพร้อมกันเพื่อสร้าง dependency chains ✅ ผลกระทบต่อ ecosystem ➡️ ทำให้เกิด registry pollution ลดคุณภาพของ npm ➡️ เสี่ยงต่อ dependency confusion และความไม่เสถียรของระบบ ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ แม้ไม่ใช่มัลแวร์ แต่แพ็กเกจเหล่านี้อาจทำให้ระบบ build ล้มเหลว ⛔ การโจมตีเชิงการเงินแบบนี้อาจกลายเป็นแนวทางใหม่ที่ผู้โจมตีรายอื่นเลียนแบบ ⛔ ผู้พัฒนาควรตรวจสอบ dependency อย่างเข้มงวด และใช้เครื่องมือสแกนความปลอดภัยเสมอ https://securityonline.info/record-supply-chain-attack-150000-malicious-npm-packages-flooded-registry-for-token-farming-rewards/
    SECURITYONLINE.INFO
    Record Supply Chain Attack: 150,000+ Malicious npm Packages Flooded Registry for Token Farming Rewards
    AWS Inspector exposed the largest npm supply chain incident ever: 150,000+ malicious packages were uploaded in a coordinated campaign to exploit tea.xyz token rewards via tea.yaml files.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • เมื่อสหรัฐอเมริกาไม่ผ่อนปรนอัตราภาษี เข้าข้างกัมพูชา ดังนั้นสนธิสัญญาต่างๆ จัสแมค เอเชียแปซิฟิก ก็ควรจะยกเลิก เขาไม่ใช่มหามิตร ยามไทยเดือดร้อน สัญญาไม่มีความหมาย สหรัฐอเมริกาทำเพื่อประโยชน์ตนเองทั้งสิ้น ขอซื้อแร่ ให้ไทยซื้อถั่วเหลืองแบบไม่คิดภาษีนำเข้า มันเอาแต่ได้ กับทุกประเทศ

    Leave USA alone, revoke all accords

    https://www.youtube.com/live/64ofqehu11Q?si=H40QrOeI3mt91kJO
    เมื่อสหรัฐอเมริกาไม่ผ่อนปรนอัตราภาษี เข้าข้างกัมพูชา ดังนั้นสนธิสัญญาต่างๆ จัสแมค เอเชียแปซิฟิก ก็ควรจะยกเลิก เขาไม่ใช่มหามิตร ยามไทยเดือดร้อน สัญญาไม่มีความหมาย สหรัฐอเมริกาทำเพื่อประโยชน์ตนเองทั้งสิ้น ขอซื้อแร่ ให้ไทยซื้อถั่วเหลืองแบบไม่คิดภาษีนำเข้า มันเอาแต่ได้ กับทุกประเทศ Leave USA alone, revoke all accords https://www.youtube.com/live/64ofqehu11Q?si=H40QrOeI3mt91kJO
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
  • SPF Checker คืออะไร

    SPF (Sender Policy Framework) เป็นมาตรฐานที่ช่วยให้เจ้าของโดเมนกำหนดได้ว่าเซิร์ฟเวอร์ใดมีสิทธิ์ส่งอีเมลในนามของโดเมนนั้น ๆ เครื่องมือ SPF Checker หรือ SPF Validator จะทำหน้าที่ตรวจสอบว่า SPF Record ที่ตั้งค่าไว้ถูกต้องตามมาตรฐาน RFC 7208 หรือไม่ รวมถึงรายงานข้อผิดพลาดที่อาจทำให้การส่งอีเมลล้มเหลว

    วิธีการทำงานของ SPF Checker
    เมื่อผู้ใช้เรียกใช้งาน SPF Checker เครื่องมือจะทำการ DNS Lookup เพื่อดึงค่า TXT Record ของโดเมน จากนั้นจะวิเคราะห์โครงสร้าง SPF Record เช่น include, redirect, และ all พร้อมจำลองการตรวจสอบว่าอีเมลจากเซิร์ฟเวอร์ที่กำหนดจะผ่านหรือไม่ หากพบข้อผิดพลาด เช่น syntax ไม่ถูกต้อง หรือมีการใช้กลไกที่ล้าสมัย เครื่องมือจะรายงานเพื่อให้ผู้ดูแลแก้ไขทันที

    ประโยชน์ของการตรวจสอบ SPF
    การตรวจสอบ SPF อย่างสม่ำเสมอช่วยเพิ่มความปลอดภัย ป้องกันการปลอมแปลงอีเมลที่มักใช้ในการโจมตีแบบฟิชชิ่ง นอกจากนี้ยังช่วยให้ อีเมลที่ถูกต้องมีโอกาสเข้าถึงกล่องจดหมาย (Inbox) ได้มากขึ้น ไม่ถูกจัดเป็นสแปมโดยผู้ให้บริการ เช่น Google หรือ Microsoft อีกทั้งยังเสริมความน่าเชื่อถือของโดเมนเมื่อนำไปใช้ร่วมกับมาตรฐานอื่น ๆ เช่น DKIM และ DMARC

    ปัญหาที่พบบ่อย
    หลายองค์กรตั้งค่า SPF Record ไม่ถูกต้อง เช่น การใช้ +all ที่เปิดกว้างเกินไป หรือการมีหลาย TXT Record สำหรับ SPF ในโดเมนเดียว ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนและลดประสิทธิภาพการตรวจสอบ การตรวจสอบด้วย SPF Checker จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในระบบอีเมล

    สรุปประเด็นสำคัญและคำเตือน
    SPF Checker ตรวจสอบความถูกต้องของ SPF Record
    ป้องกันการปลอมแปลงอีเมลและเพิ่มความปลอดภัย

    ทำงานโดยการดึงค่า TXT Record ผ่าน DNS Lookup
    วิเคราะห์โครงสร้างและจำลองการตรวจสอบการส่งอีเมล

    ช่วยให้อีเมลถูกต้องเข้าถึง Inbox ได้มากขึ้น
    ลดโอกาสถูกจัดเป็นสแปมโดยผู้ให้บริการอีเมล

    เสริมความน่าเชื่อถือเมื่อใช้ร่วมกับ DKIM และ DMARC
    สร้างระบบการยืนยันตัวตนของอีเมลที่แข็งแรง

    การตั้งค่า SPF Record ไม่ถูกต้องอาจสร้างช่องโหว่
    เช่น การใช้ +all ที่เปิดกว้างเกินไป

    หลาย TXT Record ในโดเมนเดียวทำให้เกิดความสับสน
    ส่งผลให้การตรวจสอบ SPF ไม่เสถียรและอีเมลถูกปฏิเสธ

    การละเลยการตรวจสอบ SPF อย่างสม่ำเสมอ
    อาจทำให้โดเมนถูกใช้ในการโจมตีฟิชชิ่งโดยไม่รู้ตัว


    https://securityonline.info/what-is-an-spf-checker-benefits-of-spf-validation-for-your-domain/
    🔐 SPF Checker คืออะไร SPF (Sender Policy Framework) เป็นมาตรฐานที่ช่วยให้เจ้าของโดเมนกำหนดได้ว่าเซิร์ฟเวอร์ใดมีสิทธิ์ส่งอีเมลในนามของโดเมนนั้น ๆ เครื่องมือ SPF Checker หรือ SPF Validator จะทำหน้าที่ตรวจสอบว่า SPF Record ที่ตั้งค่าไว้ถูกต้องตามมาตรฐาน RFC 7208 หรือไม่ รวมถึงรายงานข้อผิดพลาดที่อาจทำให้การส่งอีเมลล้มเหลว 📡 วิธีการทำงานของ SPF Checker เมื่อผู้ใช้เรียกใช้งาน SPF Checker เครื่องมือจะทำการ DNS Lookup เพื่อดึงค่า TXT Record ของโดเมน จากนั้นจะวิเคราะห์โครงสร้าง SPF Record เช่น include, redirect, และ all พร้อมจำลองการตรวจสอบว่าอีเมลจากเซิร์ฟเวอร์ที่กำหนดจะผ่านหรือไม่ หากพบข้อผิดพลาด เช่น syntax ไม่ถูกต้อง หรือมีการใช้กลไกที่ล้าสมัย เครื่องมือจะรายงานเพื่อให้ผู้ดูแลแก้ไขทันที 🌍 ประโยชน์ของการตรวจสอบ SPF การตรวจสอบ SPF อย่างสม่ำเสมอช่วยเพิ่มความปลอดภัย ป้องกันการปลอมแปลงอีเมลที่มักใช้ในการโจมตีแบบฟิชชิ่ง นอกจากนี้ยังช่วยให้ อีเมลที่ถูกต้องมีโอกาสเข้าถึงกล่องจดหมาย (Inbox) ได้มากขึ้น ไม่ถูกจัดเป็นสแปมโดยผู้ให้บริการ เช่น Google หรือ Microsoft อีกทั้งยังเสริมความน่าเชื่อถือของโดเมนเมื่อนำไปใช้ร่วมกับมาตรฐานอื่น ๆ เช่น DKIM และ DMARC ⚠️ ปัญหาที่พบบ่อย หลายองค์กรตั้งค่า SPF Record ไม่ถูกต้อง เช่น การใช้ +all ที่เปิดกว้างเกินไป หรือการมีหลาย TXT Record สำหรับ SPF ในโดเมนเดียว ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนและลดประสิทธิภาพการตรวจสอบ การตรวจสอบด้วย SPF Checker จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในระบบอีเมล 📌 สรุปประเด็นสำคัญและคำเตือน ✅ SPF Checker ตรวจสอบความถูกต้องของ SPF Record ➡️ ป้องกันการปลอมแปลงอีเมลและเพิ่มความปลอดภัย ✅ ทำงานโดยการดึงค่า TXT Record ผ่าน DNS Lookup ➡️ วิเคราะห์โครงสร้างและจำลองการตรวจสอบการส่งอีเมล ✅ ช่วยให้อีเมลถูกต้องเข้าถึง Inbox ได้มากขึ้น ➡️ ลดโอกาสถูกจัดเป็นสแปมโดยผู้ให้บริการอีเมล ✅ เสริมความน่าเชื่อถือเมื่อใช้ร่วมกับ DKIM และ DMARC ➡️ สร้างระบบการยืนยันตัวตนของอีเมลที่แข็งแรง ‼️ การตั้งค่า SPF Record ไม่ถูกต้องอาจสร้างช่องโหว่ ⛔ เช่น การใช้ +all ที่เปิดกว้างเกินไป ‼️ หลาย TXT Record ในโดเมนเดียวทำให้เกิดความสับสน ⛔ ส่งผลให้การตรวจสอบ SPF ไม่เสถียรและอีเมลถูกปฏิเสธ ‼️ การละเลยการตรวจสอบ SPF อย่างสม่ำเสมอ ⛔ อาจทำให้โดเมนถูกใช้ในการโจมตีฟิชชิ่งโดยไม่รู้ตัว https://securityonline.info/what-is-an-spf-checker-benefits-of-spf-validation-for-your-domain/
    SECURITYONLINE.INFO
    What Is An SPF Checker? Benefits Of SPF Validation For Your Domain
    Sender Policy Framework (SPF) is a vital component of modern email authentication protocols, designed to combat email spoofing
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • Doxing, Sealioning, and Rage Farming: The Language of Online Harassment and Disinformation

    We know all too well that the internet isn’t all fun memes and hamster videos. The darker side of online life is home to trolls, spammers, and many varieties of toxic behavior, spanning from tactics intended to harass one person to nefarious attempts to spread harmful disinformation as widely as possible. For many of the practices that play out exclusively online, specialized terms have emerged, allowing us to name and shine a light on some of these actions—and their real-life consequences.

    sealioning
    Sealioning is a specific type of trolling. The general term trolling refers to harassing someone online with the intent of getting a (negative) reaction out of them. In the case of sealioning, a troll will relentlessly harass someone with questions or requests for evidence in an attempt to upset them and make their position or viewpoint seem weak or unreasonable. Sealioning is often disguised as earnest curiosity or interest in debate, but the real goal is to troll someone until they get angry or upset.

    Sealioning is a common trolling tactic used on social media. For example, a Twitter user might say that they support a higher minimum wage. In response, a sealioning troll might repeatedly and relentlessly ask them for sources that would prove the merits of higher pay scales or demand that they write detailed explanations of how increased wages have affected the economies of the world. The troll will not stop until the other person angrily lashes out (or blocks them), thus allowing the troll to paint themselves as the victim and then claim to have won the “debate” over the issue. Those who engage in sealioning are never actually interested in legitimately debating—the point is to harass and attempt to diminish.

    doxing
    Doxing, or doxxing, is the act of publishing someone’s personal information or revealing their identity without their consent. The term comes from the word docs (short for documents). Doxing is often done in an attempt to intimidate someone by invading their privacy and causing them to fear for their safety, especially due to the threats they often receive after having been doxed.

    In many cases, doxing involves revealing the identity and information of people who were otherwise anonymous or using an alias. For example, a hacker might post the real name and home address of a popular streamer or influencer who is otherwise known by a fake name. Sometimes, celebrities are the target of doxing. In one prominent incident in 2013, several high-profile celebrities, including Beyoncé and Kim Kardashian, were the victims of doxing after a hacker publicly revealed their addresses, social security numbers, and financial documents online. In a more recent instance, a Twitch gaming streamer known online as XQc was doxed and then repeatedly targeted with the practice known as swatting.

    swatting
    The term swatting refers to the practice of initiating a law enforcement response on an unsuspecting victim. Though swatting results in real-world actions, it often originates online or with the aid of digital means, such as by using software to anonymously contact 911 and report a threat or illegal activity at the target’s residence. The practice is especially used to target public figures. The word is based on the term SWAT, referring to the special police tactical units that respond to emergencies. Obviously, swatting is extremely dangerous due to the unpredictable nature of such scenarios, when law enforcement officials believe they are entering a highly dangerous situation.

    brigading
    In online contexts, the word brigading refers to a practice in which people join together to perform a coordinated action, such as rigging an online poll, downvoting or disliking content, or harassing a specific individual or group. Brigading is similar to the online practice known as dogpiling, which involves many people joining in on the act of insulting or harassing someone. Unlike dogpiling, which may be spontaneous, brigading typically follows a coordinated plan.

    Both the practice and the name for it are often traced to the forum website Reddit, where brigading (which is explicitly against the site’s rules) typically involves one community joining together to mass downvote content or to disrupt a community by posting a large amount of spam, abuse, or trolling comments. For example, a person who posts a negative review of a TV show may be targeted by users of that show’s fan forum, whose brigading might consist of messaging the original poster with abusive comments.

    firehosing
    Firehosing is a propaganda tactic that involves releasing a large amount of false information in a very short amount of time. Due to the resources often needed to pull off such an expansive disinformation strategy, the term firehosing is most often used to refer to the alleged actions of large organizations or governments.

    For example, the term firehosing has been used to describe Russian propaganda during the 2014 annexation of Crimea and the 2022 invasion of Ukraine; Chinese propaganda in response to reporting on Uyghur Muslims in 2021; and numerous incidents in which President Donald Trump and members of his administration were accused of spreading false information.

    astroturfing
    Astroturfing is a deception tactic in which an organized effort is used to create the illusion of widespread, spontaneous support for something. The goal of astroturfing is to give the false impression that something has wide support from a passionate grassroots campaign when in reality the effort is (secretly) motivated by a person or group’s personal interest. Like firehosing, the term astroturfing is often used in the context of large organizations and governments due to the resources needed to perform it.

    For example, the term has been repeatedly applied to the deceptive information practices allegedly used by the Russian government, such as attempts to create the perception of universal support for Russian president Vladimir Putin or to create the illusion of widespread opposition to Ukrainian president Volodymyr Zelenskyy during the 2022 Russian invasion of Ukraine. Elsewhere, astroturfing has been used by the media and public figures to describe attempts by businesses and special interest groups to falsely create the impression of popular support, such as for fracking, vaping, and denial of the existence of climate change.

    rage farming
    Rage farming is a slang term that refers to the practice of posting intentionally provocative political content in order to take advantage of a negative reaction that garners exposure and media attention.

    The term rage farming emerged in early 2022, first being used to describe a social media tactic used by conservative groups, such as the Texas Republican Party. The term was applied to the practice of purposefully posting provocative memes and other content in order to anger liberal opponents. The word farming in the term refers to its apparent goal of generating a large amount of critical and angry comments in hopes that the negative response draws media exposure and attention and attracts support—and donations—from like-minded people.

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    Doxing, Sealioning, and Rage Farming: The Language of Online Harassment and Disinformation We know all too well that the internet isn’t all fun memes and hamster videos. The darker side of online life is home to trolls, spammers, and many varieties of toxic behavior, spanning from tactics intended to harass one person to nefarious attempts to spread harmful disinformation as widely as possible. For many of the practices that play out exclusively online, specialized terms have emerged, allowing us to name and shine a light on some of these actions—and their real-life consequences. sealioning Sealioning is a specific type of trolling. The general term trolling refers to harassing someone online with the intent of getting a (negative) reaction out of them. In the case of sealioning, a troll will relentlessly harass someone with questions or requests for evidence in an attempt to upset them and make their position or viewpoint seem weak or unreasonable. Sealioning is often disguised as earnest curiosity or interest in debate, but the real goal is to troll someone until they get angry or upset. Sealioning is a common trolling tactic used on social media. For example, a Twitter user might say that they support a higher minimum wage. In response, a sealioning troll might repeatedly and relentlessly ask them for sources that would prove the merits of higher pay scales or demand that they write detailed explanations of how increased wages have affected the economies of the world. The troll will not stop until the other person angrily lashes out (or blocks them), thus allowing the troll to paint themselves as the victim and then claim to have won the “debate” over the issue. Those who engage in sealioning are never actually interested in legitimately debating—the point is to harass and attempt to diminish. doxing Doxing, or doxxing, is the act of publishing someone’s personal information or revealing their identity without their consent. The term comes from the word docs (short for documents). Doxing is often done in an attempt to intimidate someone by invading their privacy and causing them to fear for their safety, especially due to the threats they often receive after having been doxed. In many cases, doxing involves revealing the identity and information of people who were otherwise anonymous or using an alias. For example, a hacker might post the real name and home address of a popular streamer or influencer who is otherwise known by a fake name. Sometimes, celebrities are the target of doxing. In one prominent incident in 2013, several high-profile celebrities, including Beyoncé and Kim Kardashian, were the victims of doxing after a hacker publicly revealed their addresses, social security numbers, and financial documents online. In a more recent instance, a Twitch gaming streamer known online as XQc was doxed and then repeatedly targeted with the practice known as swatting. swatting The term swatting refers to the practice of initiating a law enforcement response on an unsuspecting victim. Though swatting results in real-world actions, it often originates online or with the aid of digital means, such as by using software to anonymously contact 911 and report a threat or illegal activity at the target’s residence. The practice is especially used to target public figures. The word is based on the term SWAT, referring to the special police tactical units that respond to emergencies. Obviously, swatting is extremely dangerous due to the unpredictable nature of such scenarios, when law enforcement officials believe they are entering a highly dangerous situation. brigading In online contexts, the word brigading refers to a practice in which people join together to perform a coordinated action, such as rigging an online poll, downvoting or disliking content, or harassing a specific individual or group. Brigading is similar to the online practice known as dogpiling, which involves many people joining in on the act of insulting or harassing someone. Unlike dogpiling, which may be spontaneous, brigading typically follows a coordinated plan. Both the practice and the name for it are often traced to the forum website Reddit, where brigading (which is explicitly against the site’s rules) typically involves one community joining together to mass downvote content or to disrupt a community by posting a large amount of spam, abuse, or trolling comments. For example, a person who posts a negative review of a TV show may be targeted by users of that show’s fan forum, whose brigading might consist of messaging the original poster with abusive comments. firehosing Firehosing is a propaganda tactic that involves releasing a large amount of false information in a very short amount of time. Due to the resources often needed to pull off such an expansive disinformation strategy, the term firehosing is most often used to refer to the alleged actions of large organizations or governments. For example, the term firehosing has been used to describe Russian propaganda during the 2014 annexation of Crimea and the 2022 invasion of Ukraine; Chinese propaganda in response to reporting on Uyghur Muslims in 2021; and numerous incidents in which President Donald Trump and members of his administration were accused of spreading false information. astroturfing Astroturfing is a deception tactic in which an organized effort is used to create the illusion of widespread, spontaneous support for something. The goal of astroturfing is to give the false impression that something has wide support from a passionate grassroots campaign when in reality the effort is (secretly) motivated by a person or group’s personal interest. Like firehosing, the term astroturfing is often used in the context of large organizations and governments due to the resources needed to perform it. For example, the term has been repeatedly applied to the deceptive information practices allegedly used by the Russian government, such as attempts to create the perception of universal support for Russian president Vladimir Putin or to create the illusion of widespread opposition to Ukrainian president Volodymyr Zelenskyy during the 2022 Russian invasion of Ukraine. Elsewhere, astroturfing has been used by the media and public figures to describe attempts by businesses and special interest groups to falsely create the impression of popular support, such as for fracking, vaping, and denial of the existence of climate change. rage farming Rage farming is a slang term that refers to the practice of posting intentionally provocative political content in order to take advantage of a negative reaction that garners exposure and media attention. The term rage farming emerged in early 2022, first being used to describe a social media tactic used by conservative groups, such as the Texas Republican Party. The term was applied to the practice of purposefully posting provocative memes and other content in order to anger liberal opponents. The word farming in the term refers to its apparent goal of generating a large amount of critical and angry comments in hopes that the negative response draws media exposure and attention and attracts support—and donations—from like-minded people. สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • “Hello” ของ Lionel Richie: เพลงรักในตำนานที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แล้วกลายเป็นความรู้สึกจริงจัง

    เคยไหม…แอบชอบใครสักคนแต่ไม่กล้าบอก? แค่สบตาก็ใจสั่น แต่ก็ได้แค่คิดในใจว่า “เธอจะรู้ไหมนะ?” ถ้าเคย—งั้นคุณเข้าใจเพลง “Hello” ของ Lionel Richie ได้แน่นอน
    เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงรักธรรมดา แต่มันคือเสียงของความรู้สึกที่ไม่กล้าพูดออกไป เป็นบทเพลงที่อยู่ในใจคนฟังมาหลายสิบปี และยังคงโดนใจวัยรุ่นยุคนี้ไม่แพ้กัน เพราะมันพูดแทนใจของคนที่กำลังตกหลุมรักแบบเงียบๆ ได้อย่างตรงจุด

    🏃‍➡️ จุดเริ่มต้นของเพลงที่มาจากความเขิน
    ย้อนกลับไปในยุค 80s Lionel Richie ศิลปินหนุ่มจากเมือง Tuskegee รัฐ Alabama กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต เขาเพิ่งแยกตัวจากวง Commodores และเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว
    วันหนึ่งในสตูดิโอ เขาพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจว่า “Hello… is it me you’re looking for?” ซึ่งเป็นประโยคที่เขามักคิดในใจเวลาสบตากับผู้หญิงที่เขาแอบชอบในวัยเรียน แต่ไม่เคยกล้าพูดออกไปจริงๆ
    โปรดิวเซอร์ของเขา James Anthony Carmichael ได้ยินเข้าและรีบกระตุ้นให้เขาแต่งเพลงจากประโยคนั้น แม้ Richie จะลังเล เพราะคิดว่ามันดูเชยและธรรมดาเกินไป แต่ภรรยาในตอนนั้นกลับเห็นว่า มันคือประโยคที่จริงใจและกินใจที่สุด สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเขียนเพลงนี้ขึ้นมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “Hello”

    ความสำเร็จที่ไม่มีใครคาดคิด
    เมื่อ “Hello” ถูกปล่อยออกมาในปี 1984 มันกลายเป็นเพลงที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน ขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 และครองอันดับ 1 บน UK Singles Chart ถึง 6 สัปดาห์ติดต่อกัน เพลงนี้ยังได้รับการรับรองยอดขายระดับ Gold และ Platinum ในหลายประเทศทั่วโลก
    แต่สิ่งที่ทำให้ “Hello” กลายเป็นมากกว่าแค่เพลงฮิต คือความสามารถในการเชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่กำลังแอบรัก หรือคนที่เคยมีความรักที่ไม่สมหวัง ทุกคนล้วนเคยมีช่วงเวลาที่อยากพูดอะไรบางอย่างกับใครสักคน แต่ก็ไม่กล้าพอจะพูดออกไป
    วลี “Hello, is it me you’re looking for?” กลายเป็นประโยคอมตะที่ถูกนำไปใช้ในโฆษณา มีม คลิปวิดีโอ และบทสนทนาในชีวิตประจำวัน มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่อ่อนโยนและเปราะบาง

    มิวสิกวิดีโอที่ทั้งเชยและน่าจดจำ
    มิวสิกวิดีโอของเพลงนี้กำกับโดย Bob Giraldi ผู้กำกับชื่อดังที่เคยร่วมงานกับ Michael Jackson ใน “Beat It” วิดีโอเล่าเรื่องครูสอนการแสดงที่แอบหลงรักนักเรียนสาวตาบอด ซึ่งแอบปั้นรูปปั้นศีรษะของเขาออกมาได้อย่างเหมือนจริง
    แม้วิดีโอจะถูกล้อเลียนว่าเชยและติดอันดับ “มิวสิกวิดีโอที่แย่ที่สุด” ในบางโพล แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันกลายเป็นภาพจำที่คนทั่วโลกรู้จัก และช่วยให้เพลงนี้เป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น
    ในยุคที่มิวสิกวิดีโอเพิ่งเริ่มได้รับความนิยม “Hello” คือหนึ่งในตัวอย่างของการใช้ภาพเล่าเรื่องเพื่อเสริมพลังให้กับเพลง และแม้จะดูเชยในสายตาบางคน แต่มันก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้คนดูยิ้มได้เสมอ

    Lionel Richie: จากเด็กขี้อายสู่ศิลปินระดับโลก
    Lionel Richie ไม่ใช่แค่เจ้าของเสียงนุ่มๆ ที่ทำให้คนฟังใจละลาย แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลงมือทองที่อยู่เบื้องหลังเพลงฮิตมากมาย
    เขาเริ่มต้นเส้นทางดนตรีกับวง Commodores วงโซล–ฟังก์ชื่อดังในยุค 70s ที่มีเพลงฮิตอย่าง “Easy” และ “Three Times a Lady” ก่อนจะออกอัลบั้มเดี่ยวในปี 1982 และกลายเป็นศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
    นอกจาก “Hello” แล้ว เขายังมีเพลงดังอีกมากมาย เช่น “All Night Long”, “Say You, Say Me”, “Endless Love” (ร้องคู่กับ Diana Ross) และ “We Are the World” ที่เขาร่วมเขียนกับ Michael Jackson เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในแอฟริกา
    ด้วยยอดขายกว่า 100 ล้านชุดทั่วโลก และรางวัลมากมายทั้ง Grammy, Oscar, Golden Globe รวมถึงการได้เข้าหอเกียรติยศ Rock & Roll Hall of Fame Richie จึงถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี
    แม้วันนี้เขาจะอายุเกิน 70 ปีแล้ว แต่ยังคงแสดงสดทั่วโลก และเป็นกรรมการในรายการ American Idol ซึ่งทำให้เขายังคงเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ฟังรุ่นใหม่

    “Hello” กับความหมายที่ไม่เคยเก่า
    สิ่งที่ทำให้ “Hello” ยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่เพราะเสียงร้องของ Richie หรือทำนองที่ไพเราะเท่านั้น แต่เป็นเพราะเนื้อหาของเพลงที่พูดถึงความรู้สึกที่เป็นสากล—ความรักที่ไม่กล้าบอก
    มันคือเพลงของคนที่กำลังแอบรัก เพลงของคนที่อยากพูดบางอย่างแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง เพลงของคนที่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย
    และนั่นคือเหตุผลที่ “Hello” ยังคงถูกเปิดฟังอยู่ทุกวันใน Spotify, YouTube และแพลตฟอร์มอื่นๆ มันยังถูกใช้ในหนัง ซีรีส์ รายการทีวี และคอนเสิร์ตมากมาย เพราะมันคือเพลงที่ไม่ว่าใครก็สามารถอินได้

    จากอดีตถึงปัจจุบัน: เพลงที่เชื่อมใจคนรุ่นใหม่
    แม้จะเป็นเพลงจากยุค 80s แต่ “Hello” ก็ยังมีพลังพิเศษที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกเชื่อมโยงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    ในยุคที่การสื่อสารรวดเร็วผ่านแชตและโซเชียลมีเดีย บางครั้งเราก็ยังรู้สึก “พูดไม่ออก” เวลาจะสารภาพความในใจ เพลงนี้จึงยังคงสะท้อนความรู้สึกของคนยุคนี้ได้อย่างตรงจุด
    หลายคนอาจเคยใช้วลี “Hello, is it me you’re looking for?” เป็นแคปชันในไอจี หรือแซวเพื่อนในแชต แต่ลึกๆ แล้ว มันคือเสียงของความรู้สึกที่เราทุกคนเคยมี—ความหวังเล็กๆ ว่าใครสักคนจะมองเห็นเรา

    “Hello” ของ Lionel Richie คือเพลงที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แต่กลายเป็นความรู้สึกจริงจัง เป็นเพลงที่ไม่ต้องมีบีตแรง ไม่ต้องมีแร็ปเท่ๆ แค่ประโยคเดียวก็พอจะทำให้ใจสั่น—
    “Hello… is it me you’re looking for?”
    และนั่นแหละ คือความโรแมนติกที่ไม่มีวันตกยุค

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=mHONNcZbwDY
    💿🕺 “Hello” ของ Lionel Richie: เพลงรักในตำนานที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แล้วกลายเป็นความรู้สึกจริงจัง 💘 เคยไหม…แอบชอบใครสักคนแต่ไม่กล้าบอก? แค่สบตาก็ใจสั่น แต่ก็ได้แค่คิดในใจว่า “เธอจะรู้ไหมนะ?” ถ้าเคย—งั้นคุณเข้าใจเพลง “Hello” ของ Lionel Richie ได้แน่นอน เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงรักธรรมดา แต่มันคือเสียงของความรู้สึกที่ไม่กล้าพูดออกไป เป็นบทเพลงที่อยู่ในใจคนฟังมาหลายสิบปี และยังคงโดนใจวัยรุ่นยุคนี้ไม่แพ้กัน เพราะมันพูดแทนใจของคนที่กำลังตกหลุมรักแบบเงียบๆ ได้อย่างตรงจุด 🏃‍➡️ จุดเริ่มต้นของเพลงที่มาจากความเขิน ย้อนกลับไปในยุค 80s Lionel Richie ศิลปินหนุ่มจากเมือง Tuskegee รัฐ Alabama กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต เขาเพิ่งแยกตัวจากวง Commodores และเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว วันหนึ่งในสตูดิโอ เขาพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจว่า “Hello… is it me you’re looking for?” ซึ่งเป็นประโยคที่เขามักคิดในใจเวลาสบตากับผู้หญิงที่เขาแอบชอบในวัยเรียน แต่ไม่เคยกล้าพูดออกไปจริงๆ โปรดิวเซอร์ของเขา James Anthony Carmichael ได้ยินเข้าและรีบกระตุ้นให้เขาแต่งเพลงจากประโยคนั้น แม้ Richie จะลังเล เพราะคิดว่ามันดูเชยและธรรมดาเกินไป แต่ภรรยาในตอนนั้นกลับเห็นว่า มันคือประโยคที่จริงใจและกินใจที่สุด สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเขียนเพลงนี้ขึ้นมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “Hello” 🎖️ ความสำเร็จที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ “Hello” ถูกปล่อยออกมาในปี 1984 มันกลายเป็นเพลงที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน ขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 และครองอันดับ 1 บน UK Singles Chart ถึง 6 สัปดาห์ติดต่อกัน เพลงนี้ยังได้รับการรับรองยอดขายระดับ Gold และ Platinum ในหลายประเทศทั่วโลก แต่สิ่งที่ทำให้ “Hello” กลายเป็นมากกว่าแค่เพลงฮิต คือความสามารถในการเชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่กำลังแอบรัก หรือคนที่เคยมีความรักที่ไม่สมหวัง ทุกคนล้วนเคยมีช่วงเวลาที่อยากพูดอะไรบางอย่างกับใครสักคน แต่ก็ไม่กล้าพอจะพูดออกไป วลี “Hello, is it me you’re looking for?” กลายเป็นประโยคอมตะที่ถูกนำไปใช้ในโฆษณา มีม คลิปวิดีโอ และบทสนทนาในชีวิตประจำวัน มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่อ่อนโยนและเปราะบาง 📺 มิวสิกวิดีโอที่ทั้งเชยและน่าจดจำ 📝 มิวสิกวิดีโอของเพลงนี้กำกับโดย Bob Giraldi ผู้กำกับชื่อดังที่เคยร่วมงานกับ Michael Jackson ใน “Beat It” วิดีโอเล่าเรื่องครูสอนการแสดงที่แอบหลงรักนักเรียนสาวตาบอด ซึ่งแอบปั้นรูปปั้นศีรษะของเขาออกมาได้อย่างเหมือนจริง แม้วิดีโอจะถูกล้อเลียนว่าเชยและติดอันดับ “มิวสิกวิดีโอที่แย่ที่สุด” ในบางโพล แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันกลายเป็นภาพจำที่คนทั่วโลกรู้จัก และช่วยให้เพลงนี้เป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น ในยุคที่มิวสิกวิดีโอเพิ่งเริ่มได้รับความนิยม “Hello” คือหนึ่งในตัวอย่างของการใช้ภาพเล่าเรื่องเพื่อเสริมพลังให้กับเพลง และแม้จะดูเชยในสายตาบางคน แต่มันก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้คนดูยิ้มได้เสมอ 🧑‍🎤 Lionel Richie: จากเด็กขี้อายสู่ศิลปินระดับโลก Lionel Richie ไม่ใช่แค่เจ้าของเสียงนุ่มๆ ที่ทำให้คนฟังใจละลาย แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลงมือทองที่อยู่เบื้องหลังเพลงฮิตมากมาย เขาเริ่มต้นเส้นทางดนตรีกับวง Commodores วงโซล–ฟังก์ชื่อดังในยุค 70s ที่มีเพลงฮิตอย่าง “Easy” และ “Three Times a Lady” ก่อนจะออกอัลบั้มเดี่ยวในปี 1982 และกลายเป็นศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง นอกจาก “Hello” แล้ว เขายังมีเพลงดังอีกมากมาย เช่น “All Night Long”, “Say You, Say Me”, “Endless Love” (ร้องคู่กับ Diana Ross) และ “We Are the World” ที่เขาร่วมเขียนกับ Michael Jackson เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในแอฟริกา ด้วยยอดขายกว่า 100 ล้านชุดทั่วโลก และรางวัลมากมายทั้ง Grammy, Oscar, Golden Globe รวมถึงการได้เข้าหอเกียรติยศ Rock & Roll Hall of Fame Richie จึงถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี แม้วันนี้เขาจะอายุเกิน 70 ปีแล้ว แต่ยังคงแสดงสดทั่วโลก และเป็นกรรมการในรายการ American Idol ซึ่งทำให้เขายังคงเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ฟังรุ่นใหม่ 🎵 “Hello” กับความหมายที่ไม่เคยเก่า สิ่งที่ทำให้ “Hello” ยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่เพราะเสียงร้องของ Richie หรือทำนองที่ไพเราะเท่านั้น แต่เป็นเพราะเนื้อหาของเพลงที่พูดถึงความรู้สึกที่เป็นสากล—ความรักที่ไม่กล้าบอก มันคือเพลงของคนที่กำลังแอบรัก เพลงของคนที่อยากพูดบางอย่างแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง เพลงของคนที่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย และนั่นคือเหตุผลที่ “Hello” ยังคงถูกเปิดฟังอยู่ทุกวันใน Spotify, YouTube และแพลตฟอร์มอื่นๆ มันยังถูกใช้ในหนัง ซีรีส์ รายการทีวี และคอนเสิร์ตมากมาย เพราะมันคือเพลงที่ไม่ว่าใครก็สามารถอินได้ 🛣️ จากอดีตถึงปัจจุบัน: เพลงที่เชื่อมใจคนรุ่นใหม่ แม้จะเป็นเพลงจากยุค 80s แต่ “Hello” ก็ยังมีพลังพิเศษที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกเชื่อมโยงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในยุคที่การสื่อสารรวดเร็วผ่านแชตและโซเชียลมีเดีย บางครั้งเราก็ยังรู้สึก “พูดไม่ออก” เวลาจะสารภาพความในใจ เพลงนี้จึงยังคงสะท้อนความรู้สึกของคนยุคนี้ได้อย่างตรงจุด หลายคนอาจเคยใช้วลี “Hello, is it me you’re looking for?” เป็นแคปชันในไอจี หรือแซวเพื่อนในแชต แต่ลึกๆ แล้ว มันคือเสียงของความรู้สึกที่เราทุกคนเคยมี—ความหวังเล็กๆ ว่าใครสักคนจะมองเห็นเรา “Hello” ของ Lionel Richie คือเพลงที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แต่กลายเป็นความรู้สึกจริงจัง เป็นเพลงที่ไม่ต้องมีบีตแรง ไม่ต้องมีแร็ปเท่ๆ แค่ประโยคเดียวก็พอจะทำให้ใจสั่น— “Hello… is it me you’re looking for?” และนั่นแหละ คือความโรแมนติกที่ไม่มีวันตกยุค #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=mHONNcZbwDY
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจาก TechRadar ประจำวัน
    #20251115 #techradar

    SanDisk เปิดตัวแฟลชไดรฟ์ 1TB ขนาดจิ๋ว
    SanDisk ออกแฟลชไดรฟ์ USB-C รุ่นใหม่ Extreme Fit ที่มีความจุสูงสุดถึง 1TB แต่ตัวเล็กมากจนสามารถเสียบติดเครื่องไว้ตลอดเวลาโดยไม่เกะกะ เหมาะกับคนที่ใช้โน้ตบุ๊กหรือแท็บเล็ตบ่อย ๆ ต้องการพื้นที่เพิ่มโดยไม่ต้องพกฮาร์ดดิสก์พกพา ความเร็วอ่านสูงสุด 400MB/s ใกล้เคียง SSD ราคาก็จับต้องได้ เริ่มต้นเพียงสิบกว่าดอลลาร์ ไปจนถึงรุ่นท็อป 1TB ราวร้อยดอลลาร์ ถือเป็นการผสมผสานความสะดวกกับประสิทธิภาพในอุปกรณ์เล็ก ๆ

    PNY ยกเลิกดีล Black Friday สะท้อนวิกฤตวงการชิป
    ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายใหญ่ PNY ประกาศหยุดโปรโมชันลดราคาสินค้าจัดเก็บข้อมูลในช่วง Black Friday เพราะต้นทุน NAND และ DRAM พุ่งสูงขึ้นมากจนกระทบตลาด SSD และแฟลชไดรฟ์ สถานการณ์นี้สะท้อนว่าตลาดหน่วยความจำกำลังตึงตัวอย่างหนัก และอาจทำให้การประกอบคอมพิวเตอร์หรืออัปเกรดเครื่องมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในปีถัดไป

    IBM เปิดตัวชิปควอนตัมใหม่ Nighthawk และ Loon
    IBM ก้าวหน้าอีกขั้นในเส้นทางควอนตัมคอมพิวติ้ง ด้วยการเปิดตัวชิป Nighthawk ที่มี 120 qubits และสามารถทำงานซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม 30% พร้อมชิป Loon ที่ทดลองสถาปัตยกรรมใหม่เพื่อรองรับการแก้ไขข้อผิดพลาดในระดับใหญ่ จุดมุ่งหมายคือการทำให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้งานได้จริงในธุรกิจและวิทยาศาสตร์ภายในทศวรรษนี้

    CTO บริษัท Checkout.com ปฏิเสธจ่ายค่าไถ่ไซเบอร์
    บริษัท Checkout.com ถูกกลุ่มแฮ็กเกอร์ ShinyHunters เจาะระบบเก่าและเรียกค่าไถ่ แต่ CTO ตัดสินใจไม่จ่ายเงินให้คนร้าย กลับนำเงินจำนวนดังกล่าวไปบริจาคให้มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon และ Oxford เพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่สนับสนุนอาชญากรรมออนไลน์

    ExpressVPN จับมือ Brooklyn Nets มอบดีลพิเศษแฟนบาส
    ExpressVPN กลายเป็นพาร์ทเนอร์ด้านความเป็นส่วนตัวดิจิทัลของทีมบาส NBA Brooklyn Nets พร้อมมอบส่วนลดสูงสุดถึง 73% ให้แฟน ๆ ถือเป็นการนำโลกไซเบอร์กับกีฬาเข้ามาเชื่อมโยงกัน และช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงการป้องกันข้อมูลในราคาที่คุ้มค่า

    Apple เปิดตัว Digital ID จุดประกายกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว
    Apple เพิ่มฟีเจอร์ Digital ID ในแอป Wallet ให้ผู้ใช้แสดงพาสปอร์ตผ่านมือถือที่สนามบินในสหรัฐฯ แม้จะสะดวก แต่หลายฝ่ายกังวลว่าการใช้ข้อมูลอัตลักษณ์ดิจิทัลอาจนำไปสู่การถูกติดตามหรือการละเมิดความเป็นส่วนตัว Apple ยืนยันว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในเครื่องเท่านั้นและใช้การเข้ารหัสขั้นสูง แต่เสียงวิจารณ์ก็ยังดังอยู่

    Intel Panther Lake CPU หลุดผลทดสอบ กราฟิกแรงเกินคาด
    มีข้อมูลหลุดของซีพียู Intel Panther Lake รุ่น Core Ultra X7 358H ที่มาพร้อมกราฟิก Xe3 ในตัว ผลทดสอบออกมาดีกว่า GPU แยกอย่าง RTX 3050 ถึงกว่า 10% ทำให้โน้ตบุ๊กบางเบาและเครื่องเกมพกพาในอนาคตอาจไม่ต้องพึ่งการ์ดจอแยกอีกต่อไป ทั้งแรงและประหยัดพลังงานมากขึ้น

    Akira Ransomware ขยายโจมตี Nutanix VMs
    แรนซัมแวร์ Akira ถูกพบว่าเริ่มโจมตีระบบ Nutanix AHV VM โดยใช้ช่องโหว่ SonicWall และ Veeam เพื่อเข้าถึงและเข้ารหัสไฟล์ ทำให้บริษัทต่าง ๆ เสียหายหนัก ยอดเงินที่คนร้ายรีดไถได้รวมแล้วกว่า 240 ล้านดอลลาร์ หน่วยงานความปลอดภัยเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตระบบและเปิดใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้น

    Operation Endgame 3.0 ยึดเซิร์ฟเวอร์อาชญากรรมไซเบอร์
    Europol และหน่วยงานยุโรปเปิดปฏิบัติการ Endgame 3.0 ปราบปรามเครือข่ายมัลแวร์ใหญ่ เช่น Rhadamanthys, VenomRAT และ Elysium ยึดเซิร์ฟเวอร์กว่า 1,000 เครื่อง และโดเมนกว่า 20 แห่ง พร้อมจับผู้ต้องสงสัยหนึ่งราย แม้จะเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากไม่มีการจับกุมต่อเนื่อง เครือข่ายเหล่านี้อาจกลับมาอีก
    📰📌 รวมข่าวจาก TechRadar ประจำวัน 📌 📰 #20251115 #techradar 🗂️ SanDisk เปิดตัวแฟลชไดรฟ์ 1TB ขนาดจิ๋ว SanDisk ออกแฟลชไดรฟ์ USB-C รุ่นใหม่ Extreme Fit ที่มีความจุสูงสุดถึง 1TB แต่ตัวเล็กมากจนสามารถเสียบติดเครื่องไว้ตลอดเวลาโดยไม่เกะกะ เหมาะกับคนที่ใช้โน้ตบุ๊กหรือแท็บเล็ตบ่อย ๆ ต้องการพื้นที่เพิ่มโดยไม่ต้องพกฮาร์ดดิสก์พกพา ความเร็วอ่านสูงสุด 400MB/s ใกล้เคียง SSD ราคาก็จับต้องได้ เริ่มต้นเพียงสิบกว่าดอลลาร์ ไปจนถึงรุ่นท็อป 1TB ราวร้อยดอลลาร์ ถือเป็นการผสมผสานความสะดวกกับประสิทธิภาพในอุปกรณ์เล็ก ๆ 💸 PNY ยกเลิกดีล Black Friday สะท้อนวิกฤตวงการชิป ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายใหญ่ PNY ประกาศหยุดโปรโมชันลดราคาสินค้าจัดเก็บข้อมูลในช่วง Black Friday เพราะต้นทุน NAND และ DRAM พุ่งสูงขึ้นมากจนกระทบตลาด SSD และแฟลชไดรฟ์ สถานการณ์นี้สะท้อนว่าตลาดหน่วยความจำกำลังตึงตัวอย่างหนัก และอาจทำให้การประกอบคอมพิวเตอร์หรืออัปเกรดเครื่องมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในปีถัดไป ⚛️ IBM เปิดตัวชิปควอนตัมใหม่ Nighthawk และ Loon IBM ก้าวหน้าอีกขั้นในเส้นทางควอนตัมคอมพิวติ้ง ด้วยการเปิดตัวชิป Nighthawk ที่มี 120 qubits และสามารถทำงานซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม 30% พร้อมชิป Loon ที่ทดลองสถาปัตยกรรมใหม่เพื่อรองรับการแก้ไขข้อผิดพลาดในระดับใหญ่ จุดมุ่งหมายคือการทำให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้งานได้จริงในธุรกิจและวิทยาศาสตร์ภายในทศวรรษนี้ 🔐 CTO บริษัท Checkout.com ปฏิเสธจ่ายค่าไถ่ไซเบอร์ บริษัท Checkout.com ถูกกลุ่มแฮ็กเกอร์ ShinyHunters เจาะระบบเก่าและเรียกค่าไถ่ แต่ CTO ตัดสินใจไม่จ่ายเงินให้คนร้าย กลับนำเงินจำนวนดังกล่าวไปบริจาคให้มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon และ Oxford เพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่สนับสนุนอาชญากรรมออนไลน์ 🏀 ExpressVPN จับมือ Brooklyn Nets มอบดีลพิเศษแฟนบาส ExpressVPN กลายเป็นพาร์ทเนอร์ด้านความเป็นส่วนตัวดิจิทัลของทีมบาส NBA Brooklyn Nets พร้อมมอบส่วนลดสูงสุดถึง 73% ให้แฟน ๆ ถือเป็นการนำโลกไซเบอร์กับกีฬาเข้ามาเชื่อมโยงกัน และช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงการป้องกันข้อมูลในราคาที่คุ้มค่า 🍏 Apple เปิดตัว Digital ID จุดประกายกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว Apple เพิ่มฟีเจอร์ Digital ID ในแอป Wallet ให้ผู้ใช้แสดงพาสปอร์ตผ่านมือถือที่สนามบินในสหรัฐฯ แม้จะสะดวก แต่หลายฝ่ายกังวลว่าการใช้ข้อมูลอัตลักษณ์ดิจิทัลอาจนำไปสู่การถูกติดตามหรือการละเมิดความเป็นส่วนตัว Apple ยืนยันว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในเครื่องเท่านั้นและใช้การเข้ารหัสขั้นสูง แต่เสียงวิจารณ์ก็ยังดังอยู่ 💻 Intel Panther Lake CPU หลุดผลทดสอบ กราฟิกแรงเกินคาด มีข้อมูลหลุดของซีพียู Intel Panther Lake รุ่น Core Ultra X7 358H ที่มาพร้อมกราฟิก Xe3 ในตัว ผลทดสอบออกมาดีกว่า GPU แยกอย่าง RTX 3050 ถึงกว่า 10% ทำให้โน้ตบุ๊กบางเบาและเครื่องเกมพกพาในอนาคตอาจไม่ต้องพึ่งการ์ดจอแยกอีกต่อไป ทั้งแรงและประหยัดพลังงานมากขึ้น 🦠 Akira Ransomware ขยายโจมตี Nutanix VMs แรนซัมแวร์ Akira ถูกพบว่าเริ่มโจมตีระบบ Nutanix AHV VM โดยใช้ช่องโหว่ SonicWall และ Veeam เพื่อเข้าถึงและเข้ารหัสไฟล์ ทำให้บริษัทต่าง ๆ เสียหายหนัก ยอดเงินที่คนร้ายรีดไถได้รวมแล้วกว่า 240 ล้านดอลลาร์ หน่วยงานความปลอดภัยเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตระบบและเปิดใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้น 🚔 Operation Endgame 3.0 ยึดเซิร์ฟเวอร์อาชญากรรมไซเบอร์ Europol และหน่วยงานยุโรปเปิดปฏิบัติการ Endgame 3.0 ปราบปรามเครือข่ายมัลแวร์ใหญ่ เช่น Rhadamanthys, VenomRAT และ Elysium ยึดเซิร์ฟเวอร์กว่า 1,000 เครื่อง และโดเมนกว่า 20 แห่ง พร้อมจับผู้ต้องสงสัยหนึ่งราย แม้จะเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากไม่มีการจับกุมต่อเนื่อง เครือข่ายเหล่านี้อาจกลับมาอีก
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 Reviews
  • Google เตือนเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะ

    Google ได้ออกคำเตือนล่าสุดในรายงาน Android: Behind the Screen ว่าเครือข่าย Wi-Fi สาธารณะ เช่น ที่สนามบิน โรงแรม หรือร้านกาแฟ กำลังกลายเป็นช่องทางหลักที่แฮกเกอร์ใช้ในการโจมตีผู้ใช้สมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายเหล่านี้อาจถูกดักข้อมูลสำคัญโดยไม่รู้ตัว ทั้งรหัสผ่าน บัญชีธนาคาร และการสนทนาส่วนตัว

    รายงานระบุว่าอุตสาหกรรมอาชญากรรมไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีผ่านมือถือมีมูลค่ามหาศาลถึง 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยอาชญากรไซเบอร์ใช้วิธีการใหม่ ๆ เช่น phishing-as-a-service ที่สามารถสร้างเว็บไซต์ปลอมเลียนแบบของจริงเพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูล

    Google แนะนำให้ผู้ใช้ หลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อทำธุรกรรมทางการเงินหรือกรอกข้อมูลส่วนตัว หากจำเป็นต้องใช้ ควรตรวจสอบว่าเครือข่ายมีการเข้ารหัส ปิดการเชื่อมต่ออัตโนมัติ และอัปเดตระบบปฏิบัติการให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

    คำเตือนนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่การโจมตีทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและแพร่หลายมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่การเลือกเครือข่าย แต่ยังรวมถึงการจัดการพฤติกรรมการใช้งานออนไลน์ในชีวิตประจำวันด้วย

    สรุปสาระสำคัญ
    รายงานจาก Google
    เครือข่าย Wi-Fi สาธารณะเป็นช่องทางเสี่ยงต่อการโจมตี
    อาชญากรไซเบอร์สามารถดักข้อมูลส่วนตัวได้ง่าย

    ข้อมูลที่ถูกโจมตีบ่อย
    บัญชีธนาคาร
    รหัสผ่านและข้อมูลส่วนตัว
    การสนทนาส่วนตัว

    มูลค่าอุตสาหกรรมอาชญากรรมไซเบอร์
    สูงถึง 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    ใช้เทคนิคใหม่ เช่น phishing-as-a-service

    คำเตือนจาก Google
    หลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะเมื่อทำธุรกรรมสำคัญ
    ปิดการเชื่อมต่ออัตโนมัติและตรวจสอบการเข้ารหัส
    อัปเดตระบบและแอปพลิเคชันให้ทันสมัยอยู่เสมอ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/15/heres-why-google-is-warning-you-to-avoid-using-public-wifi-at-all-costs
    🔐 Google เตือนเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะ Google ได้ออกคำเตือนล่าสุดในรายงาน Android: Behind the Screen ว่าเครือข่าย Wi-Fi สาธารณะ เช่น ที่สนามบิน โรงแรม หรือร้านกาแฟ กำลังกลายเป็นช่องทางหลักที่แฮกเกอร์ใช้ในการโจมตีผู้ใช้สมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายเหล่านี้อาจถูกดักข้อมูลสำคัญโดยไม่รู้ตัว ทั้งรหัสผ่าน บัญชีธนาคาร และการสนทนาส่วนตัว 📊 รายงานระบุว่าอุตสาหกรรมอาชญากรรมไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีผ่านมือถือมีมูลค่ามหาศาลถึง 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยอาชญากรไซเบอร์ใช้วิธีการใหม่ ๆ เช่น phishing-as-a-service ที่สามารถสร้างเว็บไซต์ปลอมเลียนแบบของจริงเพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูล 🌍 Google แนะนำให้ผู้ใช้ หลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อทำธุรกรรมทางการเงินหรือกรอกข้อมูลส่วนตัว หากจำเป็นต้องใช้ ควรตรวจสอบว่าเครือข่ายมีการเข้ารหัส ปิดการเชื่อมต่ออัตโนมัติ และอัปเดตระบบปฏิบัติการให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น ⚠️ คำเตือนนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่การโจมตีทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและแพร่หลายมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่การเลือกเครือข่าย แต่ยังรวมถึงการจัดการพฤติกรรมการใช้งานออนไลน์ในชีวิตประจำวันด้วย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายงานจาก Google ➡️ เครือข่าย Wi-Fi สาธารณะเป็นช่องทางเสี่ยงต่อการโจมตี ➡️ อาชญากรไซเบอร์สามารถดักข้อมูลส่วนตัวได้ง่าย ✅ ข้อมูลที่ถูกโจมตีบ่อย ➡️ บัญชีธนาคาร ➡️ รหัสผ่านและข้อมูลส่วนตัว ➡️ การสนทนาส่วนตัว ✅ มูลค่าอุตสาหกรรมอาชญากรรมไซเบอร์ ➡️ สูงถึง 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ➡️ ใช้เทคนิคใหม่ เช่น phishing-as-a-service ‼️ คำเตือนจาก Google ⛔ หลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะเมื่อทำธุรกรรมสำคัญ ⛔ ปิดการเชื่อมต่ออัตโนมัติและตรวจสอบการเข้ารหัส ⛔ อัปเดตระบบและแอปพลิเคชันให้ทันสมัยอยู่เสมอ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/15/heres-why-google-is-warning-you-to-avoid-using-public-wifi-at-all-costs
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Here’s why Google is warning you to avoid using public WiFi at all costs
    Google has issued a blaring warning, telling all smartphone users to abstain from using the public WiFi that's available in such shared areas as hotel lobbies, airports, cafés, and other spaces.
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • Mesa 25.3 อัปเดตใหม่ เพิ่มการรองรับเกมจำนวนมากบน Linux

    ทีมพัฒนา Mesa ได้ปล่อย Mesa 25.3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ Open-Source Graphics Stack โดยมาพร้อมการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งในด้าน Vulkan และ OpenGL drivers รวมถึงการรองรับเกมใหม่ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ Linux สามารถเล่นเกมที่เคยมีปัญหากับการเรนเดอร์หรือประสิทธิภาพได้อย่างราบรื่นกว่าเดิม

    หนึ่งในไฮไลท์คือการเพิ่มการรองรับ Vulkan 1.2 สำหรับ PVR driver, การปรับปรุง NVK driver ให้รองรับ Blackwell GPUs, และการเพิ่ม Vulkan extensions ใน PanVK, ANV, RADV, NVK, HoneyKrisp และ PVR drivers นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง OpenGL extensions สำหรับ V3D, Panfrost, R300, Zink และ RadeonSI drivers ซึ่งช่วยให้การทำงานของเกมและแอปพลิเคชันที่ใช้กราฟิกขั้นสูงมีความเสถียรมากขึ้น

    ในด้านการเล่นเกม Mesa 25.3 ได้เพิ่มการรองรับเกมใหม่ๆ เช่น Indiana Jones and the Great Circle, Borderlands 4, Resident Evil 4: Separate Ways DLC, Doom: The Dark Ages, Baldur’s Gate 3, Final Fantasy XVI, Hades 2, Cyberpunk 2077, Ghost of Tsushima และ Red Dead Redemption 2 รวมถึงเกมอินดี้และเกม AAA อีกหลายรายการที่ผู้ใช้ Linux รอคอย

    ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Mesa 25.3 source tarball ได้จากเว็บไซต์ทางการ หรือรอให้เวอร์ชันนี้เข้าสู่ stable repositories ของดิสทริบิวชัน Linux ต่างๆ เช่น Ubuntu, Fedora และ Arch Linux เพื่อใช้งานได้ทันที

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การปรับปรุงใน Mesa 25.3
    รองรับ Vulkan 1.2 สำหรับ PVR driver
    เพิ่ม Vulkan และ OpenGL extensions ในหลาย driver

    การรองรับเกมใหม่
    Indiana Jones and the Great Circle, Borderlands 4, Resident Evil 4 DLC
    Doom: The Dark Ages, Baldur’s Gate 3, Final Fantasy XVI, Cyberpunk 2077

    การใช้งานและการติดตั้ง
    ดาวน์โหลด source tarball ได้จากเว็บไซต์ทางการ
    รออัปเดตใน stable repositories ของ Linux distros

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากยังใช้ Mesa เวอร์ชันเก่า อาจพบปัญหากับเกมใหม่และประสิทธิภาพต่ำ
    การละเลยการอัปเดตอาจทำให้ไม่สามารถเล่นเกมที่รองรับใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    https://9to5linux.com/mesa-25-3-open-source-graphics-stack-improves-support-for-many-video-games
    🎮 Mesa 25.3 อัปเดตใหม่ เพิ่มการรองรับเกมจำนวนมากบน Linux ทีมพัฒนา Mesa ได้ปล่อย Mesa 25.3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ Open-Source Graphics Stack โดยมาพร้อมการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งในด้าน Vulkan และ OpenGL drivers รวมถึงการรองรับเกมใหม่ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ Linux สามารถเล่นเกมที่เคยมีปัญหากับการเรนเดอร์หรือประสิทธิภาพได้อย่างราบรื่นกว่าเดิม หนึ่งในไฮไลท์คือการเพิ่มการรองรับ Vulkan 1.2 สำหรับ PVR driver, การปรับปรุง NVK driver ให้รองรับ Blackwell GPUs, และการเพิ่ม Vulkan extensions ใน PanVK, ANV, RADV, NVK, HoneyKrisp และ PVR drivers นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง OpenGL extensions สำหรับ V3D, Panfrost, R300, Zink และ RadeonSI drivers ซึ่งช่วยให้การทำงานของเกมและแอปพลิเคชันที่ใช้กราฟิกขั้นสูงมีความเสถียรมากขึ้น ในด้านการเล่นเกม Mesa 25.3 ได้เพิ่มการรองรับเกมใหม่ๆ เช่น Indiana Jones and the Great Circle, Borderlands 4, Resident Evil 4: Separate Ways DLC, Doom: The Dark Ages, Baldur’s Gate 3, Final Fantasy XVI, Hades 2, Cyberpunk 2077, Ghost of Tsushima และ Red Dead Redemption 2 รวมถึงเกมอินดี้และเกม AAA อีกหลายรายการที่ผู้ใช้ Linux รอคอย ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Mesa 25.3 source tarball ได้จากเว็บไซต์ทางการ หรือรอให้เวอร์ชันนี้เข้าสู่ stable repositories ของดิสทริบิวชัน Linux ต่างๆ เช่น Ubuntu, Fedora และ Arch Linux เพื่อใช้งานได้ทันที 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การปรับปรุงใน Mesa 25.3 ➡️ รองรับ Vulkan 1.2 สำหรับ PVR driver ➡️ เพิ่ม Vulkan และ OpenGL extensions ในหลาย driver ✅ การรองรับเกมใหม่ ➡️ Indiana Jones and the Great Circle, Borderlands 4, Resident Evil 4 DLC ➡️ Doom: The Dark Ages, Baldur’s Gate 3, Final Fantasy XVI, Cyberpunk 2077 ✅ การใช้งานและการติดตั้ง ➡️ ดาวน์โหลด source tarball ได้จากเว็บไซต์ทางการ ➡️ รออัปเดตใน stable repositories ของ Linux distros ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากยังใช้ Mesa เวอร์ชันเก่า อาจพบปัญหากับเกมใหม่และประสิทธิภาพต่ำ ⛔ การละเลยการอัปเดตอาจทำให้ไม่สามารถเล่นเกมที่รองรับใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ https://9to5linux.com/mesa-25-3-open-source-graphics-stack-improves-support-for-many-video-games
    9TO5LINUX.COM
    Mesa 25.3 Open-Source Graphics Stack Improves Support for Many Video Games - 9to5Linux
    Mesa 25.3 open-source graphics stack is now available for download with numerous new features and improvements for existing graphics drivers.
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • Proton 10 เปิดตัว รองรับเกมใหม่หลากหลายบน Linux

    Valve ได้ประกาศเปิดตัว Proton 10 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของเครื่องมือ Steam Play Compatibility Layer ที่ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถเล่นเกม Windows ได้อย่างราบรื่น การอัปเดตครั้งนี้ถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่มการรองรับเกมใหม่จำนวนมาก รวมถึงแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน

    หนึ่งในเกมที่ถูกเพิ่มการรองรับคือ Far Horizon, Grim Fandango Remastered, The Crew Motorfest, Viking Rise: Valhalla และ Starlight Re:Volver นอกจากนี้ยังมีเกมอื่นๆ เช่น Mary Skelter: Nightmares, Fairy Fencer F Advent Dark Force และ Gemstones ที่สามารถเล่นได้บน Linux ผ่าน Proton 10 แล้ว

    Proton 10 ยังแก้ไขปัญหาการทำงานของเกมยอดนิยมหลายเกม เช่น Diablo IV, Doom Eternal, Resident Evil Village, God of War: Ragnarok และ Rocket League รวมถึงปรับปรุงการรองรับคอนโทรลเลอร์ DualSense และแก้ไขปัญหาการเปิดใช้งาน Epic Games Store บน Proton

    ภายใน Proton 10 ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เช่น Wine 10, DXVK 2.6.2, vkd3d-proton 2.14.1 และการปรับปรุงอื่นๆ ที่ช่วยให้การเล่นเกมบน Linux มีความเสถียรและใกล้เคียงกับประสบการณ์บน Windows มากขึ้น ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Valve ในการผลักดัน Linux ให้เป็นแพลตฟอร์มเกมที่แข็งแกร่ง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Proton 10 เปิดตัว
    รองรับเกมใหม่ เช่น Far Horizon, Grim Fandango Remastered, The Crew Motorfest
    เพิ่มความสามารถในการเล่นเกม Windows บน Linux

    การแก้ไขและปรับปรุง
    แก้บั๊กในเกมดัง เช่น Diablo IV, Doom Eternal, Resident Evil Village
    ปรับปรุงการรองรับ DualSense และ Epic Games Store

    เทคโนโลยีภายใน
    ใช้ Wine 10, DXVK 2.6.2, vkd3d-proton 2.14.1
    เพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพในการเล่นเกม

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากไม่อัปเดต Proton อาจไม่สามารถเล่นเกมใหม่หรือแก้บั๊กที่มีอยู่ได้
    ผู้ใช้ที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าอาจพบปัญหาความเข้ากันได้และประสิทธิภาพต่ำ

    https://9to5linux.com/proton-10-released-with-support-for-far-horizon-the-riftbreaker-and-other-games
    🎮 Proton 10 เปิดตัว รองรับเกมใหม่หลากหลายบน Linux Valve ได้ประกาศเปิดตัว Proton 10 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของเครื่องมือ Steam Play Compatibility Layer ที่ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถเล่นเกม Windows ได้อย่างราบรื่น การอัปเดตครั้งนี้ถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่มการรองรับเกมใหม่จำนวนมาก รวมถึงแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน หนึ่งในเกมที่ถูกเพิ่มการรองรับคือ Far Horizon, Grim Fandango Remastered, The Crew Motorfest, Viking Rise: Valhalla และ Starlight Re:Volver นอกจากนี้ยังมีเกมอื่นๆ เช่น Mary Skelter: Nightmares, Fairy Fencer F Advent Dark Force และ Gemstones ที่สามารถเล่นได้บน Linux ผ่าน Proton 10 แล้ว Proton 10 ยังแก้ไขปัญหาการทำงานของเกมยอดนิยมหลายเกม เช่น Diablo IV, Doom Eternal, Resident Evil Village, God of War: Ragnarok และ Rocket League รวมถึงปรับปรุงการรองรับคอนโทรลเลอร์ DualSense และแก้ไขปัญหาการเปิดใช้งาน Epic Games Store บน Proton ภายใน Proton 10 ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เช่น Wine 10, DXVK 2.6.2, vkd3d-proton 2.14.1 และการปรับปรุงอื่นๆ ที่ช่วยให้การเล่นเกมบน Linux มีความเสถียรและใกล้เคียงกับประสบการณ์บน Windows มากขึ้น ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Valve ในการผลักดัน Linux ให้เป็นแพลตฟอร์มเกมที่แข็งแกร่ง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Proton 10 เปิดตัว ➡️ รองรับเกมใหม่ เช่น Far Horizon, Grim Fandango Remastered, The Crew Motorfest ➡️ เพิ่มความสามารถในการเล่นเกม Windows บน Linux ✅ การแก้ไขและปรับปรุง ➡️ แก้บั๊กในเกมดัง เช่น Diablo IV, Doom Eternal, Resident Evil Village ➡️ ปรับปรุงการรองรับ DualSense และ Epic Games Store ✅ เทคโนโลยีภายใน ➡️ ใช้ Wine 10, DXVK 2.6.2, vkd3d-proton 2.14.1 ➡️ เพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพในการเล่นเกม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากไม่อัปเดต Proton อาจไม่สามารถเล่นเกมใหม่หรือแก้บั๊กที่มีอยู่ได้ ⛔ ผู้ใช้ที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าอาจพบปัญหาความเข้ากันได้และประสิทธิภาพต่ำ https://9to5linux.com/proton-10-released-with-support-for-far-horizon-the-riftbreaker-and-other-games
    9TO5LINUX.COM
    Proton 10 Released with Support for Far Horizon, The Riftbreaker, and Other Games - 9to5Linux
    Proton 10 is now available with support for Mary Skelter: Nightmares, Fairy Fencer F Advent Dark Force, Far Horizon, and many other games.
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • ส่วนขยาย Chrome ปลอมขโมย Seed Phrase ผ่าน Sui Blockchain

    ทีมวิจัยจาก Socket Threat Research พบส่วนขยาย Chrome ที่อ้างว่าเป็นกระเป๋าเงิน Ethereum ชื่อ Safery: Ethereum Wallet ซึ่งถูกเผยแพร่ใน Chrome Web Store และปรากฏใกล้เคียงกับกระเป๋าเงินที่ถูกต้องอย่าง MetaMask และ Enkrypt จุดอันตรายคือส่วนขยายนี้สามารถ ขโมย Seed Phrase ของผู้ใช้ ได้ทันทีที่มีการสร้างหรือ Import Wallet

    สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้แตกต่างคือ การซ่อนข้อมูลในธุรกรรมบล็อกเชน Sui โดยส่วนขยายจะเข้ารหัส Seed Phrase ของเหยื่อเป็นที่อยู่ปลอมบน Sui และส่งธุรกรรมเล็กๆ (0.000001 SUI) ไปยังที่อยู่นั้น จากนั้นผู้โจมตีสามารถถอดรหัสกลับมาเป็น Seed Phrase ได้โดยตรงจากข้อมูลบนบล็อกเชน โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์กลางหรือการส่งข้อมูลผ่าน HTTP

    การทำงานเช่นนี้ทำให้การโจมตี ยากต่อการตรวจจับ เพราะทุกอย่างดูเหมือนธุรกรรมปกติบนบล็อกเชน ไม่มีการติดต่อกับ Command & Control Server และไม่มีการส่งข้อมูลแบบ plaintext ออกไปนอกเบราว์เซอร์

    แม้ Socket ได้แจ้ง Google แล้ว แต่ในช่วงเวลาที่รายงานเผยแพร่ ส่วนขยายนี้ยังคงสามารถดาวน์โหลดได้ใน Chrome Web Store ทำให้ผู้ใช้ที่กำลังมองหากระเป๋าเงินเบาๆ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีและสูญเสียสินทรัพย์ดิจิทัล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบส่วนขยายปลอม Safery: Ethereum Wallet
    ปรากฏใน Chrome Web Store ใกล้กับกระเป๋าเงินที่ถูกต้อง
    ทำงานเหมือนกระเป๋าเงินปกติ แต่แอบขโมย Seed Phrase

    วิธีการโจมตี
    เข้ารหัส Seed Phrase เป็นที่อยู่ปลอมบน Sui Blockchain
    ส่งธุรกรรมเล็กๆ เพื่อซ่อนข้อมูลโดยไม่ใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง

    ความยากในการตรวจจับ
    ไม่มีการส่งข้อมูลผ่าน HTTP หรือ C2 Server
    ทุกอย่างดูเหมือนธุรกรรมปกติบนบล็อกเชน

    คำเตือนต่อผู้ใช้งาน
    ผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดส่วนขยายนี้เสี่ยงต่อการสูญเสียคริปโตทั้งหมด
    ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของส่วนขยายก่อนติดตั้ง และใช้กระเป๋าเงินจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น

    https://securityonline.info/sui-blockchain-seed-stealer-malicious-chrome-extension-hides-mnemonic-exfiltration-in-microtransactions/
    🕵️‍♂️ ส่วนขยาย Chrome ปลอมขโมย Seed Phrase ผ่าน Sui Blockchain ทีมวิจัยจาก Socket Threat Research พบส่วนขยาย Chrome ที่อ้างว่าเป็นกระเป๋าเงิน Ethereum ชื่อ Safery: Ethereum Wallet ซึ่งถูกเผยแพร่ใน Chrome Web Store และปรากฏใกล้เคียงกับกระเป๋าเงินที่ถูกต้องอย่าง MetaMask และ Enkrypt จุดอันตรายคือส่วนขยายนี้สามารถ ขโมย Seed Phrase ของผู้ใช้ ได้ทันทีที่มีการสร้างหรือ Import Wallet สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้แตกต่างคือ การซ่อนข้อมูลในธุรกรรมบล็อกเชน Sui โดยส่วนขยายจะเข้ารหัส Seed Phrase ของเหยื่อเป็นที่อยู่ปลอมบน Sui และส่งธุรกรรมเล็กๆ (0.000001 SUI) ไปยังที่อยู่นั้น จากนั้นผู้โจมตีสามารถถอดรหัสกลับมาเป็น Seed Phrase ได้โดยตรงจากข้อมูลบนบล็อกเชน โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์กลางหรือการส่งข้อมูลผ่าน HTTP การทำงานเช่นนี้ทำให้การโจมตี ยากต่อการตรวจจับ เพราะทุกอย่างดูเหมือนธุรกรรมปกติบนบล็อกเชน ไม่มีการติดต่อกับ Command & Control Server และไม่มีการส่งข้อมูลแบบ plaintext ออกไปนอกเบราว์เซอร์ แม้ Socket ได้แจ้ง Google แล้ว แต่ในช่วงเวลาที่รายงานเผยแพร่ ส่วนขยายนี้ยังคงสามารถดาวน์โหลดได้ใน Chrome Web Store ทำให้ผู้ใช้ที่กำลังมองหากระเป๋าเงินเบาๆ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีและสูญเสียสินทรัพย์ดิจิทัล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบส่วนขยายปลอม Safery: Ethereum Wallet ➡️ ปรากฏใน Chrome Web Store ใกล้กับกระเป๋าเงินที่ถูกต้อง ➡️ ทำงานเหมือนกระเป๋าเงินปกติ แต่แอบขโมย Seed Phrase ✅ วิธีการโจมตี ➡️ เข้ารหัส Seed Phrase เป็นที่อยู่ปลอมบน Sui Blockchain ➡️ ส่งธุรกรรมเล็กๆ เพื่อซ่อนข้อมูลโดยไม่ใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง ✅ ความยากในการตรวจจับ ➡️ ไม่มีการส่งข้อมูลผ่าน HTTP หรือ C2 Server ➡️ ทุกอย่างดูเหมือนธุรกรรมปกติบนบล็อกเชน ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้งาน ⛔ ผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดส่วนขยายนี้เสี่ยงต่อการสูญเสียคริปโตทั้งหมด ⛔ ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของส่วนขยายก่อนติดตั้ง และใช้กระเป๋าเงินจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น https://securityonline.info/sui-blockchain-seed-stealer-malicious-chrome-extension-hides-mnemonic-exfiltration-in-microtransactions/
    SECURITYONLINE.INFO
    Sui Blockchain Seed Stealer: Malicious Chrome Extension Hides Mnemonic Exfiltration in Microtransactions
    A malicious Chrome extension, Safery: Ethereum Wallet, steals BIP-39 seed phrases by encoding them into synthetic Sui blockchain addresses and broadcasting microtransactions, bypassing HTTP/C2 detection.
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน ASUS DSL Router (CVE-2025-59367)

    ASUS ได้ประกาศเตือนผู้ใช้งานเกี่ยวกับช่องโหว่ Authentication Bypass ในเราเตอร์ตระกูล DSL ซึ่งถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-59367 โดยมีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.3 ถือว่าอยู่ในระดับ Critical ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ทำให้สามารถแก้ไขการตั้งค่า, ดักจับข้อมูล, ติดตั้งมัลแวร์ หรือแม้กระทั่งนำอุปกรณ์ไปเข้าร่วมใน Botnet

    ASUS ได้ออกเฟิร์มแวร์ใหม่เพื่อแก้ไขปัญหานี้สำหรับรุ่นที่ยังได้รับการสนับสนุน เช่น DSL-AC51, DSL-N16 และ DSL-AC750 โดยผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้จากหน้า Support ของ ASUS เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

    สำหรับรุ่นที่หมดอายุการสนับสนุน (EOL) ASUS แนะนำให้ผู้ใช้ปิดบริการที่เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต เช่น Remote Access, Port Forwarding, DDNS, VPN Server, DMZ และ FTP เพื่อจำกัดความเสี่ยง แม้จะไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยลดโอกาสการถูกโจมตีลง

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการอัปเดตเฟิร์มแวร์และการจัดการความปลอดภัยในอุปกรณ์เครือข่ายภายในบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก เพราะการละเลยเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลหรือการถูกควบคุมระบบโดยผู้ไม่หวังดี

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-59367
    เป็นช่องโหว่ Authentication Bypass ที่เปิดให้เข้าถึงระบบโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน
    มีคะแนน CVSS 9.3 ระดับ Critical

    การแก้ไขจาก ASUS
    ออกเฟิร์มแวร์ใหม่สำหรับรุ่น DSL-AC51, DSL-N16 และ DSL-AC750
    ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    คำแนะนำสำหรับรุ่น EOL
    ปิดบริการที่เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต เช่น Remote Access และ Port Forwarding
    ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและไม่ซ้ำกับบริการอื่น

    คำเตือนต่อผู้ใช้งาน
    หากไม่อัปเดตหรือไม่ปิดบริการเสี่ยง อุปกรณ์อาจถูกโจมตีและเข้าร่วม Botnet
    การละเลยการจัดการความปลอดภัยอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลและการถูกควบคุมระบบ

    https://securityonline.info/critical-asus-dsl-router-flaw-cve-2025-59367-cvss-9-3-allows-unauthenticated-remote-access/
    🚨 ช่องโหว่ร้ายแรงใน ASUS DSL Router (CVE-2025-59367) ASUS ได้ประกาศเตือนผู้ใช้งานเกี่ยวกับช่องโหว่ Authentication Bypass ในเราเตอร์ตระกูล DSL ซึ่งถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-59367 โดยมีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.3 ถือว่าอยู่ในระดับ Critical ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ทำให้สามารถแก้ไขการตั้งค่า, ดักจับข้อมูล, ติดตั้งมัลแวร์ หรือแม้กระทั่งนำอุปกรณ์ไปเข้าร่วมใน Botnet ASUS ได้ออกเฟิร์มแวร์ใหม่เพื่อแก้ไขปัญหานี้สำหรับรุ่นที่ยังได้รับการสนับสนุน เช่น DSL-AC51, DSL-N16 และ DSL-AC750 โดยผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้จากหน้า Support ของ ASUS เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น สำหรับรุ่นที่หมดอายุการสนับสนุน (EOL) ASUS แนะนำให้ผู้ใช้ปิดบริการที่เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต เช่น Remote Access, Port Forwarding, DDNS, VPN Server, DMZ และ FTP เพื่อจำกัดความเสี่ยง แม้จะไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยลดโอกาสการถูกโจมตีลง เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการอัปเดตเฟิร์มแวร์และการจัดการความปลอดภัยในอุปกรณ์เครือข่ายภายในบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก เพราะการละเลยเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลหรือการถูกควบคุมระบบโดยผู้ไม่หวังดี 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-59367 ➡️ เป็นช่องโหว่ Authentication Bypass ที่เปิดให้เข้าถึงระบบโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ➡️ มีคะแนน CVSS 9.3 ระดับ Critical ✅ การแก้ไขจาก ASUS ➡️ ออกเฟิร์มแวร์ใหม่สำหรับรุ่น DSL-AC51, DSL-N16 และ DSL-AC750 ➡️ ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ✅ คำแนะนำสำหรับรุ่น EOL ➡️ ปิดบริการที่เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต เช่น Remote Access และ Port Forwarding ➡️ ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและไม่ซ้ำกับบริการอื่น ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้งาน ⛔ หากไม่อัปเดตหรือไม่ปิดบริการเสี่ยง อุปกรณ์อาจถูกโจมตีและเข้าร่วม Botnet ⛔ การละเลยการจัดการความปลอดภัยอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลและการถูกควบคุมระบบ https://securityonline.info/critical-asus-dsl-router-flaw-cve-2025-59367-cvss-9-3-allows-unauthenticated-remote-access/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical ASUS DSL Router Flaw (CVE-2025-59367, CVSS 9.3) Allows Unauthenticated Remote Access
    ASUS released an urgent patch for a Critical (CVSS 9.3) Auth Bypass flaw (CVE-2025-59367) in its DSL Series Routers. The bug allows remote attackers to gain unauthorized access without credentials. Update firmware immediately.
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน Fortinet FortiWeb: เสี่ยงถูกยึดสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องล็อกอิน

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ Zero-Day ในผลิตภัณฑ์ Fortinet FortiWeb ซึ่งเป็น Web Application Firewall (WAF) ที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีผู้ใช้เดิม ช่องโหว่ถูกพบว่ามีการโจมตีจริงแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 และมีโค้ด PoC (Proof-of-Concept) เผยแพร่สู่สาธารณะ ทำให้ความเสี่ยงในการถูกโจมตีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

    การโจมตีเริ่มต้นจากการส่ง HTTP POST request ที่ถูกปรับแต่งไปยัง FortiWeb Manager ซึ่งทำให้ระบบสร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่โดยอัตโนมัติ นักวิจัยจาก Rapid7 ยืนยันว่าโค้ด PoC สามารถทำงานได้กับ FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.1 แต่ไม่สามารถใช้ได้กับเวอร์ชัน 8.0.2 ซึ่งอาจบ่งชี้ว่า Fortinet ได้แก้ไขช่องโหว่โดยไม่ประกาศอย่างเป็นทางการในตอนแรก

    สิ่งที่น่ากังวลคือมีการพบการซื้อขายช่องโหว่นี้ในฟอรั่มใต้ดิน ทำให้ผู้โจมตีทั่วไปสามารถเข้าถึงเครื่องมือโจมตีได้ง่ายขึ้น องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าจึงตกอยู่ในความเสี่ยงสูง หากไม่รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อสร้างบัญชีแอดมินปลอม ยึดระบบ และเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ถูกตรวจจับ

    Fortinet ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการในภายหลัง โดยกำหนดรหัสช่องโหว่เป็น CVE-2025-64446 และให้คะแนนความรุนแรง CVSS 9.1 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับวิกฤติ พร้อมแนะนำให้องค์กรที่ใช้ FortiWeb รุ่น 7.0 ถึง 8.0.1 รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.0.2 ทันที เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในวงกว้าง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ Zero-Day ใน Fortinet FortiWeb
    เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องมีบัญชีผู้ใช้

    Proof-of-Concept (PoC) ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ
    ใช้งานได้กับ FortiWeb 8.0.1 แต่ไม่ทำงานกับ 8.0.2

    Fortinet ออกประกาศอย่างเป็นทางการ
    กำหนดรหัส CVE-2025-64446 และให้คะแนน CVSS 9.1

    แนวทางแก้ไข
    อัปเดตเป็น FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.2 เพื่อปิดช่องโหว่

    ความเสี่ยงจากการโจมตี
    มีการพบการซื้อขายช่องโหว่ในฟอรั่มใต้ดิน เพิ่มโอกาสการโจมตีวงกว้าง

    องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า
    เสี่ยงถูกยึดระบบและสร้างบัญชีแอดมินปลอมโดยไม่ถูกตรวจจับ

    https://securityonline.info/zero-day-attack-warning-fortinet-fortiweb-exploit-grants-unauthenticated-admin-access/
    🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Fortinet FortiWeb: เสี่ยงถูกยึดสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องล็อกอิน นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ Zero-Day ในผลิตภัณฑ์ Fortinet FortiWeb ซึ่งเป็น Web Application Firewall (WAF) ที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีผู้ใช้เดิม ช่องโหว่ถูกพบว่ามีการโจมตีจริงแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 และมีโค้ด PoC (Proof-of-Concept) เผยแพร่สู่สาธารณะ ทำให้ความเสี่ยงในการถูกโจมตีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก การโจมตีเริ่มต้นจากการส่ง HTTP POST request ที่ถูกปรับแต่งไปยัง FortiWeb Manager ซึ่งทำให้ระบบสร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่โดยอัตโนมัติ นักวิจัยจาก Rapid7 ยืนยันว่าโค้ด PoC สามารถทำงานได้กับ FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.1 แต่ไม่สามารถใช้ได้กับเวอร์ชัน 8.0.2 ซึ่งอาจบ่งชี้ว่า Fortinet ได้แก้ไขช่องโหว่โดยไม่ประกาศอย่างเป็นทางการในตอนแรก สิ่งที่น่ากังวลคือมีการพบการซื้อขายช่องโหว่นี้ในฟอรั่มใต้ดิน ทำให้ผู้โจมตีทั่วไปสามารถเข้าถึงเครื่องมือโจมตีได้ง่ายขึ้น องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าจึงตกอยู่ในความเสี่ยงสูง หากไม่รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อสร้างบัญชีแอดมินปลอม ยึดระบบ และเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ถูกตรวจจับ Fortinet ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการในภายหลัง โดยกำหนดรหัสช่องโหว่เป็น CVE-2025-64446 และให้คะแนนความรุนแรง CVSS 9.1 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับวิกฤติ พร้อมแนะนำให้องค์กรที่ใช้ FortiWeb รุ่น 7.0 ถึง 8.0.1 รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.0.2 ทันที เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในวงกว้าง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ Zero-Day ใน Fortinet FortiWeb ➡️ เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์แอดมินโดยไม่ต้องมีบัญชีผู้ใช้ ✅ Proof-of-Concept (PoC) ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ ➡️ ใช้งานได้กับ FortiWeb 8.0.1 แต่ไม่ทำงานกับ 8.0.2 ✅ Fortinet ออกประกาศอย่างเป็นทางการ ➡️ กำหนดรหัส CVE-2025-64446 และให้คะแนน CVSS 9.1 ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ อัปเดตเป็น FortiWeb เวอร์ชัน 8.0.2 เพื่อปิดช่องโหว่ ‼️ ความเสี่ยงจากการโจมตี ⛔ มีการพบการซื้อขายช่องโหว่ในฟอรั่มใต้ดิน เพิ่มโอกาสการโจมตีวงกว้าง ‼️ องค์กรที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า ⛔ เสี่ยงถูกยึดระบบและสร้างบัญชีแอดมินปลอมโดยไม่ถูกตรวจจับ https://securityonline.info/zero-day-attack-warning-fortinet-fortiweb-exploit-grants-unauthenticated-admin-access/
    SECURITYONLINE.INFO
    ZERO-DAY ATTACK WARNING: Fortinet FortiWeb Exploit Grants Unauthenticated Admin Access!
    Cybersecurity firms warn of a Critical, actively exploited FortiWeb flaw that allows unauthenticated attackers to create a new administrator account on the FortiWeb Manager panel. Update to v8.0.2 immediately.
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • AMD ก้าวขึ้นสู่ 25% ของตลาด x86 CPU

    ข้อมูลจาก Mercury Research ระบุว่า AMD มีส่วนแบ่งตลาดรวมของ x86 CPU อยู่ที่ 25.6% เพิ่มขึ้นจาก 24.2% ในไตรมาสก่อน และจาก 24% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการบรรลุ milestone สำคัญที่สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

    เดสก์ท็อป: จุดแข็งของ AMD
    ในตลาดเดสก์ท็อป AMD ทำผลงานโดดเด่นด้วยซีรีส์ Ryzen 9000 “Granite Ridge” ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ระดับ enthusiast และ performance ทำให้ AMD ครองส่วนแบ่งถึง 33.6% เพิ่มขึ้นจาก 32.2% ในไตรมาสก่อน และมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2024

    ตลาดโน้ตบุ๊กและเซิร์ฟเวอร์
    แม้ AMD จะเสียส่วนแบ่งเล็กน้อยในตลาดโน้ตบุ๊กเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็เริ่มกลับมาแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมีส่วนแบ่ง 21.9% ขณะที่ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ AMD ยังคงขยายตัวอย่างช้า ๆ โดยมีส่วนแบ่ง 27.8% ซึ่งสะท้อนถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นของซีรีส์ EPYC Turin

    Intel ยังคงครองตลาดแต่ถูกกดดัน
    Intel ยังคงครองส่วนแบ่งใหญ่กว่า 74% ของตลาดรวม แต่กำลังเผชิญปัญหาการจัดหาชิป entry-level และการเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์ ทำให้ AMD สามารถแทรกตัวเข้ามาได้มากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเดสก์ท็อปที่ Intel สูญเสียความนิยมในรุ่น Core Raptor Lake

    สรุปประเด็นสำคัญ
    AMD ครอง 25.6% ของตลาด x86 CPU รวม
    เพิ่มขึ้นทั้งเมื่อเทียบ QoQ และ YoY

    AMD ครอง 33.6% ของตลาดเดสก์ท็อป
    Ryzen 9000 “Granite Ridge” ได้รับความนิยมสูง

    AMD มีส่วนแบ่ง 21.9% ในตลาดโน้ตบุ๊ก
    เริ่มกลับมาแข็งแกร่งหลังจากเสียส่วนแบ่งก่อนหน้านี้

    AMD มีส่วนแบ่ง 27.8% ในตลาดเซิร์ฟเวอร์
    EPYC Turin ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้น

    Intel สูญเสียความนิยมในบางเซ็กเมนต์
    ปัญหาการจัดหาชิป entry-level และการเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์

    การแข่งขันรุนแรงในตลาดเดสก์ท็อป
    Intel ถูกกดดันจาก Ryzen รุ่นใหม่ที่ครองใจผู้ใช้ enthusiast

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-continues-to-chip-away-at-intels-x86-market-share-company-now-sells-over-25-percent-of-all-x86-chips-and-powers-33-percent-of-all-desktop-systems
    📊 AMD ก้าวขึ้นสู่ 25% ของตลาด x86 CPU ข้อมูลจาก Mercury Research ระบุว่า AMD มีส่วนแบ่งตลาดรวมของ x86 CPU อยู่ที่ 25.6% เพิ่มขึ้นจาก 24.2% ในไตรมาสก่อน และจาก 24% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการบรรลุ milestone สำคัญที่สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 🖥️ เดสก์ท็อป: จุดแข็งของ AMD ในตลาดเดสก์ท็อป AMD ทำผลงานโดดเด่นด้วยซีรีส์ Ryzen 9000 “Granite Ridge” ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ระดับ enthusiast และ performance ทำให้ AMD ครองส่วนแบ่งถึง 33.6% เพิ่มขึ้นจาก 32.2% ในไตรมาสก่อน และมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2024 💻 ตลาดโน้ตบุ๊กและเซิร์ฟเวอร์ แม้ AMD จะเสียส่วนแบ่งเล็กน้อยในตลาดโน้ตบุ๊กเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็เริ่มกลับมาแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมีส่วนแบ่ง 21.9% ขณะที่ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ AMD ยังคงขยายตัวอย่างช้า ๆ โดยมีส่วนแบ่ง 27.8% ซึ่งสะท้อนถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นของซีรีส์ EPYC Turin ⚡ Intel ยังคงครองตลาดแต่ถูกกดดัน Intel ยังคงครองส่วนแบ่งใหญ่กว่า 74% ของตลาดรวม แต่กำลังเผชิญปัญหาการจัดหาชิป entry-level และการเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์ ทำให้ AMD สามารถแทรกตัวเข้ามาได้มากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเดสก์ท็อปที่ Intel สูญเสียความนิยมในรุ่น Core Raptor Lake 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ AMD ครอง 25.6% ของตลาด x86 CPU รวม ➡️ เพิ่มขึ้นทั้งเมื่อเทียบ QoQ และ YoY ✅ AMD ครอง 33.6% ของตลาดเดสก์ท็อป ➡️ Ryzen 9000 “Granite Ridge” ได้รับความนิยมสูง ✅ AMD มีส่วนแบ่ง 21.9% ในตลาดโน้ตบุ๊ก ➡️ เริ่มกลับมาแข็งแกร่งหลังจากเสียส่วนแบ่งก่อนหน้านี้ ✅ AMD มีส่วนแบ่ง 27.8% ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ ➡️ EPYC Turin ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้น ‼️ Intel สูญเสียความนิยมในบางเซ็กเมนต์ ⛔ ปัญหาการจัดหาชิป entry-level และการเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์ ‼️ การแข่งขันรุนแรงในตลาดเดสก์ท็อป ⛔ Intel ถูกกดดันจาก Ryzen รุ่นใหม่ที่ครองใจผู้ใช้ enthusiast https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-continues-to-chip-away-at-intels-x86-market-share-company-now-sells-over-25-percent-of-all-x86-chips-and-powers-33-percent-of-all-desktop-systems
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
More Results