• คนไทยใจหล่น แม่ทัพเรือคนใหม่อย่าแสดงท่าทีแบบนี้! (8/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #แม่ทัพเรือ
    #กองทัพไทย
    #ความมั่นคง
    #ชายแดนไทยกัมพูชา
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวtiktok
    #newsupdate
    คนไทยใจหล่น แม่ทัพเรือคนใหม่อย่าแสดงท่าทีแบบนี้! (8/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #แม่ทัพเรือ #กองทัพไทย #ความมั่นคง #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าววันนี้ #ข่าวtiktok #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 0 Reviews
  • เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม”
    (1)

The Three Pasha ที่โค่นสุลต่าน Abdulhamid ในปี ค.ศ. 1908 และจัดการตัวเองขึ้นปกครองออตโตมาน ปาชา พวกนี้คือรุ่นแรกของกลุ่ม Young Turk ที่โด่งดัง เหล่ายังเตอร์กพวกนี้ ส่วนใหญ่เรียนจบมาจากลอนดอนหรือปารีส (แปลกใจไหมครับ ? !) เมื่อสงครามโลกใกล้จะเกิดเต็มแก่ และอังกฤษแสดงท่ารังเกียจ (จริง ๆ คืออิจฉาน่ะ) เยอรมัน อย่างออกนอกหน้า สามปาชาก็ร้อนใจ พยายามจะเอาใจอังกฤษ โดยแสดงอาการผลักหลังดันไหล่ ให้เยอรมันออกไปห่าง ๆ อีกประมาณหนึ่งช่วงแขน แล้วกลับไปทอดสะพานยาวเพิ่มขึ้นให้กับอังกฤษ
    สามปาชา ยินยอมทำสัญญาให้อังกฤษต่อเรือรบให้ออตโตมาน การต่อเรือนี้จะอำนวยการแสดงโดยท่านหลอด Winston Churchill เอง ในฐานะท่านแม่ทัพเรือ (ฉากใหญ่มาก !) แต่อู่ต่อเรือนี้ อังกฤษบอกต้องอยู่ที่กรุงคอนแสตนติโนเบิลนะ
    สามปาชาให้เกียรติยกย่อง อังกฤษ ให้มีอำนาจเหนือออตโตมาน อย่างที่ไม่เคยมีชาติไหนได้รับมาก่อน ยอมให้อังกฤษเข้านอกออกใน ร่วมตัดสินปัญหาราชการร่วมกับรัฐบาลตุรกี ที่สำคัญ อังกฤษส่งนายพลเรือ Gamble และนายพลเรือ Limpus มาดูแลกองทัพเรือให้ออตโตมาน โดยเฉพาะเกี่ยวกับการวางระเบิดใต้น้ำแถวช่องแคบ Golden Horn รวมทั้งเส้นทางที่ควรยิงตอร์ปิโด โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันตุรกี
    เป็น การวางแผนยุทธศาสตร์แบบเซียนเหยียบเมฆ ไร้ร่องรอย ความชั่วร้ายไม่มีหลุดออกมาให้เห็น (เท่าไหร่เลย) ฉากหน้าเหมือนมาดูแลออตโตมานคนป่วยด้วยความห่วงใย ระวังนะลมแรงใส่เสื้อหนาวซะนะ เดี๋ยวเป็นหวัด แต่แท้จริงหมออังกฤษเอายาพิษมาผสมอาหารให้คนป่วยกิน เพื่อจะได้ไปเร็วขึ้น
    การ ที่อังกฤษโหมทั้งมาต่อเรือให้ตุรกี และมาดูแลกองทัพเรือให้ตุรกี แน่นอน เป็นการเร่งเครื่องให้เยอรมันทนไม่ได้ ละครฉากนี้เนียนมาก ปาชาศิษย์เอก จะทันเหลี่ยมของครูที่สอนลูกศิษย์มาเองหรือ บางทีครูเขาก็ไม่ได้สอนมาหมดหรอกนะ (เอะ ! หรือเขาร่วมมือกัน ไม่น่า! คงไม่ใช่กรณีออตโตมาน!)
    ก่อนหน้าที่ออตโตมานจะตัดสินใจ ประกาศเข้าสู่สงครามโลก โดยอยู่ฝ่ายเยอรมัน นาย Edward Grey รมต.ต่างประเทศของอังกฤษขณะนั้น ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เตรียมขั้นตอนการส่งมอบกรุงแสตนติโนเปิล ให้กับรัสเซียหลังสงครามเลิก เป็นค่าสินบนตามสัญญาที่ตกลงกันไว้นั้น นาย Grey ได้ทำบันทึกถึงกระทรวงต่างประเทศว่า “จงถ่วงเวลาที่จะทำให้สงครามโลกระเบิด ให้นานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลานานที่สุด ในการที่จะบอกกับทุกฝ่าย เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้นแล้วว่า เราได้พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะไม่ให้สงครามโลกเกิดขึ้น แต่ออตโตมานเป็นฝ่ายที่ทำให้มันเกิดขึ้น”
    นี่ ก็น่าจะเป็นใบเสร็จ ให้เห็นถึงความร้ายกาจของการฑูตของอังกฤษ ที่สามารถแสดงการปลิ้นปล้อน ตอแหล ได้อย่างเยี่ยมยอด นอกเหนือจากสัญญา ซ้งกะบ๊วย Sykes-Picot และ Balfour Declaration ที่ทำไว้ก่อนหน้าแล้ว ฝีมือการใช้ไม้เสี้ยมจากสำนักชาวเกาะ ใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยเท้าซ้าย นี่ถือว่าเยี่ยมยุทธจริง ๆ เยี่ยงนี้ออตโตมานหรือจะรอดพ้น จากการหลอกไปขึ้นเขียง แล้วสับละเอียดเป็นหมูบะช่อ
    ไม้เสี้ยมมีเท่านี้หรือ คงไม่ใช่! จอมยุทธระดับนี้แล้วต้องพกมาหลายไม้ ขณะที่อังกฤษแพ้หมดรูปในการรบที่ Gallipoli ระหว่างทาง แทนที่จะรีบเคลื่อนพลกลับเกาะ กองทัพเรืออังกฤษกลับแวะพักเลียแผลอยู่ที่อียิปต์และกรีก ซึ่งประกาศตัวเป็นกลาง ส่วนกองทัพภาคพื้นดินของอังกฤษ ก็มุ่งหน้าไปทางปาเลสไตน์ และเมโสโปเตเมีย (อีรัค) และยึดเมืองทั้ง 2 มาจากชาวพื้นเมืองที่มีอาวุธ อานุภาพต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม้สุดท้ายนี้เป็นไปตามแผน หาบ้านให้ยิว
    แผนการหาบ้านให้ยิวนี้ ดูเหมือนจะเป็นการซ้อนแผน คนโคตรรวย Rothschild ที่ขุนนางอังกฤษมองว่า ถึงจะโคตรรวย แต่ก็เป็นแค่พ่อค้า จะคิดมาเป็นระดับผู้ปกครองประเทศ (ruling class) คงเป็นการคิดใหญ่เกินสถานะไปหน่อย พวกขุนนางบอกว่า พวกยิวไม่มีสำนึกของความเป็นชาติ เพราะฉะนั้นย่อมเป็นอันตราย ถ้าให้มาเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองในประเทศ หวังว่าสมันน้อยจะอ่านความตรงนี้ให้แตก
    เมื่อสงครามโลกเริ่มติด เครื่อง อเมริกาประกาศวางตัวเป็นกลาง แถมออกจะมองอังกฤษอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ว่าจะมีแผนลวงล่อ อะไรอีกเกี่ยวกับการเข้าสู่สงคราม ถึงเขี้ยวจะเพิ่งงอก แต่นักล่าหน้าใหม่ก็มีพี่เลี้ยงดูแล ติวเข้มกันมานานแล้ว คนอ่านนิทานแกะรอยนักล่าคงจะจำกันได้
    เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 อังกฤษ ตั้งหน่วยงาน ชื่อ War Propaganda Bureau ซึ่งตั้งอยู่ที่ Wellington House หน่วยงานนี้ จึงเป็นที่รู้จักกัน ในชื่อของ Wellington House หน่วยงานนี้ ขึ้นตรงกับกระทรวงต่างประเทศ มีหน้าที่ชัดเจนคือปฏิบัติการใส่สีต่อเป้าหมาย ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม และฟอกย้อมความคิดของฝ่ายเป็นกลาง โดยเฉพาะอเมริกาที่แม้จะพยายามทำตัวเป็นกลาง แต่น้ำหนักมาก พอที่จะทำให้ตาชั่งหมุนกลับได้ กลางแบบนี้ จึงทิ้งไว้ข้างสนามไม่ได้ ให้ใครมาฉกไปไม่ได้
    กระทรวง ต่างประเทศมอบหมายให้ นาย David Lloyd George เป็นผู้รับผิดชอบดูแลหน่วยงานนี้ Lloyd George มอบให้นักเขียนและสมาชิกรัฐสภาพรรคลิเบอรัล Charles Masterman เป็นหัวหน้าดูแลอีกต่อหนึ่ง
    นาย Masterman ได้เชิญนักเขียนชื่อดังของอังกฤษขณะนั้นมา 25 คน มาประชุม เพื่อช่วยกันคิดแผนใส่สีฟ้อกย้อมเป้าหมาย เพื่อประโยชน์ในการทำสงครามของ อังกฤษ ผู้ที่เข้ามาร่วมมี ทั้ง William Archer, Arthur Conan Doyle (คนเขียนนิยาย เชอร์ลอคโฮม) Arnold Bennett, John Masefield, Ford Madox Ford, G. K. Chesterton, Henry Newbolt, John Galsworthy, Thomas Hardy, Rudyard Kipling (คนเขียนนิยายชื่อดัง ระดับได้รางวัล Noble) Gilbert Parker, G. M. Trevelyan and H. G. Wells (คนเขียนหนังสือดัง เช่น the Time Machine, the Invisible Man เป็นต้น)
    ทั้งหมด ตกลงที่จะเก็บเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความลับ (ความลับเพิ่งมาแตกเอาปี 1935) แต่ละคนต่างรับหน้าที่ไปเขียนเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับเยอร มัน จริงบ้าง เท็จบ้าง และมีสำนักพิมพ์อย่าง Hodder & Stoughton, Methuen, Oxford University Press, John Murray, Macmillan and Thomas Nelson เป็นผู้รับหน้าที่พิมพ์ จำชื่อสำนักพิมพ์พวกนี้ไว้บ้างนะครับ ใครที่เป็นนักอ่านหนังสือรุ่นเก่า จะได้รู้ว่าเรื่องไหนมันถูกย้อมมาแล้วหรือเปล่า หน่วยงาน War Prepaganda นี้ ผลิตงานทั้งหมด 1,160 รายการ ระหว่างสงคราม ผู้ที่โดนใส่สีย้อมหนักที่สุด คงไม่มีใครเกินเยอรมันและตุรกี
    หนังสือ กว่า 2.5 ล้านเล่ม รวมทั้งแผ่นพับส่งไป 13,000 จุดหมายและหน่วยงานสำคัญในอเมริกา ขณะนั้นอเมริกาไม่ไว้ใจว่าอังกฤษ กำลังเล่นละครเรื่องใดในตะวันออกกลาง เบื้องหน้าฉากเป็นอย่าง แล้วเบื้องหลังฉากเป็นอย่างไร อเมริกาจึงยังไม่เข้าร่วมสงครามรายการถล่มตุรกี
    แต่หลังจากมีสื่อ และแผ่นพับทยอยไปสู่ประชาชนชาวอเมริกันมากขึ้น คนอเมริกันเริ่มมีความเห็นออกมาว่า ตุรกีน่าจะป่วยหนัก ร่างกายและความคิด คงหลวมหลุดไปแยะ ไม่สมควรจะปกครองอาณาจักรออตโตมานต่อไป และการที่อังกฤษจะเข้าไปในอาหรับ ก็เหมือนเป็นพระผู้มาโปรดคนอาหรับ น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะคนอาหรับไม่ฉลาดไม่มั่นคง ไม่เหมาะที่จะปกครองดินแดนของตัวเองอย่างยิ่ง !
    แล้วความเป็นกลางของอเมริกาก็เริ่มจะเอียง และเอียงมากขึ้นไปทางสนับสนุนฝ่ายอังกฤษ
    อเมริกาเริ่มด้วยการส่งเสบียงสนับสนุนฝ่ายอังกฤษ แท้จริงแล้ว มันเป็นโอกาสทอง ของการทำมาค้าขายครั้งสำคัญของอเมริกานั่นแหละ
    ใน ที่สุดอเมริกา ก็ประกาศอย่างเป็นทางการเข้าร่วมสงคราม สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อเมษายน ค.ศ. 1917 เหล่าพี่เลี้ยงและผู้อยู่หลังฉากของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา ต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่ แหม ! ลุ้นกันเกือบตาย กว่าจะเป็นตามแผน!
    ไม่รู้ใครหลอกใคร ใครต้มใคร ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่องแหกคอก อีกรอบนะครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม” (1)

The Three Pasha ที่โค่นสุลต่าน Abdulhamid ในปี ค.ศ. 1908 และจัดการตัวเองขึ้นปกครองออตโตมาน ปาชา พวกนี้คือรุ่นแรกของกลุ่ม Young Turk ที่โด่งดัง เหล่ายังเตอร์กพวกนี้ ส่วนใหญ่เรียนจบมาจากลอนดอนหรือปารีส (แปลกใจไหมครับ ? !) เมื่อสงครามโลกใกล้จะเกิดเต็มแก่ และอังกฤษแสดงท่ารังเกียจ (จริง ๆ คืออิจฉาน่ะ) เยอรมัน อย่างออกนอกหน้า สามปาชาก็ร้อนใจ พยายามจะเอาใจอังกฤษ โดยแสดงอาการผลักหลังดันไหล่ ให้เยอรมันออกไปห่าง ๆ อีกประมาณหนึ่งช่วงแขน แล้วกลับไปทอดสะพานยาวเพิ่มขึ้นให้กับอังกฤษ สามปาชา ยินยอมทำสัญญาให้อังกฤษต่อเรือรบให้ออตโตมาน การต่อเรือนี้จะอำนวยการแสดงโดยท่านหลอด Winston Churchill เอง ในฐานะท่านแม่ทัพเรือ (ฉากใหญ่มาก !) แต่อู่ต่อเรือนี้ อังกฤษบอกต้องอยู่ที่กรุงคอนแสตนติโนเบิลนะ สามปาชาให้เกียรติยกย่อง อังกฤษ ให้มีอำนาจเหนือออตโตมาน อย่างที่ไม่เคยมีชาติไหนได้รับมาก่อน ยอมให้อังกฤษเข้านอกออกใน ร่วมตัดสินปัญหาราชการร่วมกับรัฐบาลตุรกี ที่สำคัญ อังกฤษส่งนายพลเรือ Gamble และนายพลเรือ Limpus มาดูแลกองทัพเรือให้ออตโตมาน โดยเฉพาะเกี่ยวกับการวางระเบิดใต้น้ำแถวช่องแคบ Golden Horn รวมทั้งเส้นทางที่ควรยิงตอร์ปิโด โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันตุรกี เป็น การวางแผนยุทธศาสตร์แบบเซียนเหยียบเมฆ ไร้ร่องรอย ความชั่วร้ายไม่มีหลุดออกมาให้เห็น (เท่าไหร่เลย) ฉากหน้าเหมือนมาดูแลออตโตมานคนป่วยด้วยความห่วงใย ระวังนะลมแรงใส่เสื้อหนาวซะนะ เดี๋ยวเป็นหวัด แต่แท้จริงหมออังกฤษเอายาพิษมาผสมอาหารให้คนป่วยกิน เพื่อจะได้ไปเร็วขึ้น การ ที่อังกฤษโหมทั้งมาต่อเรือให้ตุรกี และมาดูแลกองทัพเรือให้ตุรกี แน่นอน เป็นการเร่งเครื่องให้เยอรมันทนไม่ได้ ละครฉากนี้เนียนมาก ปาชาศิษย์เอก จะทันเหลี่ยมของครูที่สอนลูกศิษย์มาเองหรือ บางทีครูเขาก็ไม่ได้สอนมาหมดหรอกนะ (เอะ ! หรือเขาร่วมมือกัน ไม่น่า! คงไม่ใช่กรณีออตโตมาน!) ก่อนหน้าที่ออตโตมานจะตัดสินใจ ประกาศเข้าสู่สงครามโลก โดยอยู่ฝ่ายเยอรมัน นาย Edward Grey รมต.ต่างประเทศของอังกฤษขณะนั้น ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เตรียมขั้นตอนการส่งมอบกรุงแสตนติโนเปิล ให้กับรัสเซียหลังสงครามเลิก เป็นค่าสินบนตามสัญญาที่ตกลงกันไว้นั้น นาย Grey ได้ทำบันทึกถึงกระทรวงต่างประเทศว่า “จงถ่วงเวลาที่จะทำให้สงครามโลกระเบิด ให้นานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลานานที่สุด ในการที่จะบอกกับทุกฝ่าย เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้นแล้วว่า เราได้พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะไม่ให้สงครามโลกเกิดขึ้น แต่ออตโตมานเป็นฝ่ายที่ทำให้มันเกิดขึ้น” นี่ ก็น่าจะเป็นใบเสร็จ ให้เห็นถึงความร้ายกาจของการฑูตของอังกฤษ ที่สามารถแสดงการปลิ้นปล้อน ตอแหล ได้อย่างเยี่ยมยอด นอกเหนือจากสัญญา ซ้งกะบ๊วย Sykes-Picot และ Balfour Declaration ที่ทำไว้ก่อนหน้าแล้ว ฝีมือการใช้ไม้เสี้ยมจากสำนักชาวเกาะ ใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยเท้าซ้าย นี่ถือว่าเยี่ยมยุทธจริง ๆ เยี่ยงนี้ออตโตมานหรือจะรอดพ้น จากการหลอกไปขึ้นเขียง แล้วสับละเอียดเป็นหมูบะช่อ ไม้เสี้ยมมีเท่านี้หรือ คงไม่ใช่! จอมยุทธระดับนี้แล้วต้องพกมาหลายไม้ ขณะที่อังกฤษแพ้หมดรูปในการรบที่ Gallipoli ระหว่างทาง แทนที่จะรีบเคลื่อนพลกลับเกาะ กองทัพเรืออังกฤษกลับแวะพักเลียแผลอยู่ที่อียิปต์และกรีก ซึ่งประกาศตัวเป็นกลาง ส่วนกองทัพภาคพื้นดินของอังกฤษ ก็มุ่งหน้าไปทางปาเลสไตน์ และเมโสโปเตเมีย (อีรัค) และยึดเมืองทั้ง 2 มาจากชาวพื้นเมืองที่มีอาวุธ อานุภาพต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม้สุดท้ายนี้เป็นไปตามแผน หาบ้านให้ยิว แผนการหาบ้านให้ยิวนี้ ดูเหมือนจะเป็นการซ้อนแผน คนโคตรรวย Rothschild ที่ขุนนางอังกฤษมองว่า ถึงจะโคตรรวย แต่ก็เป็นแค่พ่อค้า จะคิดมาเป็นระดับผู้ปกครองประเทศ (ruling class) คงเป็นการคิดใหญ่เกินสถานะไปหน่อย พวกขุนนางบอกว่า พวกยิวไม่มีสำนึกของความเป็นชาติ เพราะฉะนั้นย่อมเป็นอันตราย ถ้าให้มาเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองในประเทศ หวังว่าสมันน้อยจะอ่านความตรงนี้ให้แตก เมื่อสงครามโลกเริ่มติด เครื่อง อเมริกาประกาศวางตัวเป็นกลาง แถมออกจะมองอังกฤษอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ว่าจะมีแผนลวงล่อ อะไรอีกเกี่ยวกับการเข้าสู่สงคราม ถึงเขี้ยวจะเพิ่งงอก แต่นักล่าหน้าใหม่ก็มีพี่เลี้ยงดูแล ติวเข้มกันมานานแล้ว คนอ่านนิทานแกะรอยนักล่าคงจะจำกันได้ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 อังกฤษ ตั้งหน่วยงาน ชื่อ War Propaganda Bureau ซึ่งตั้งอยู่ที่ Wellington House หน่วยงานนี้ จึงเป็นที่รู้จักกัน ในชื่อของ Wellington House หน่วยงานนี้ ขึ้นตรงกับกระทรวงต่างประเทศ มีหน้าที่ชัดเจนคือปฏิบัติการใส่สีต่อเป้าหมาย ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม และฟอกย้อมความคิดของฝ่ายเป็นกลาง โดยเฉพาะอเมริกาที่แม้จะพยายามทำตัวเป็นกลาง แต่น้ำหนักมาก พอที่จะทำให้ตาชั่งหมุนกลับได้ กลางแบบนี้ จึงทิ้งไว้ข้างสนามไม่ได้ ให้ใครมาฉกไปไม่ได้ กระทรวง ต่างประเทศมอบหมายให้ นาย David Lloyd George เป็นผู้รับผิดชอบดูแลหน่วยงานนี้ Lloyd George มอบให้นักเขียนและสมาชิกรัฐสภาพรรคลิเบอรัล Charles Masterman เป็นหัวหน้าดูแลอีกต่อหนึ่ง นาย Masterman ได้เชิญนักเขียนชื่อดังของอังกฤษขณะนั้นมา 25 คน มาประชุม เพื่อช่วยกันคิดแผนใส่สีฟ้อกย้อมเป้าหมาย เพื่อประโยชน์ในการทำสงครามของ อังกฤษ ผู้ที่เข้ามาร่วมมี ทั้ง William Archer, Arthur Conan Doyle (คนเขียนนิยาย เชอร์ลอคโฮม) Arnold Bennett, John Masefield, Ford Madox Ford, G. K. Chesterton, Henry Newbolt, John Galsworthy, Thomas Hardy, Rudyard Kipling (คนเขียนนิยายชื่อดัง ระดับได้รางวัล Noble) Gilbert Parker, G. M. Trevelyan and H. G. Wells (คนเขียนหนังสือดัง เช่น the Time Machine, the Invisible Man เป็นต้น) ทั้งหมด ตกลงที่จะเก็บเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความลับ (ความลับเพิ่งมาแตกเอาปี 1935) แต่ละคนต่างรับหน้าที่ไปเขียนเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับเยอร มัน จริงบ้าง เท็จบ้าง และมีสำนักพิมพ์อย่าง Hodder & Stoughton, Methuen, Oxford University Press, John Murray, Macmillan and Thomas Nelson เป็นผู้รับหน้าที่พิมพ์ จำชื่อสำนักพิมพ์พวกนี้ไว้บ้างนะครับ ใครที่เป็นนักอ่านหนังสือรุ่นเก่า จะได้รู้ว่าเรื่องไหนมันถูกย้อมมาแล้วหรือเปล่า หน่วยงาน War Prepaganda นี้ ผลิตงานทั้งหมด 1,160 รายการ ระหว่างสงคราม ผู้ที่โดนใส่สีย้อมหนักที่สุด คงไม่มีใครเกินเยอรมันและตุรกี หนังสือ กว่า 2.5 ล้านเล่ม รวมทั้งแผ่นพับส่งไป 13,000 จุดหมายและหน่วยงานสำคัญในอเมริกา ขณะนั้นอเมริกาไม่ไว้ใจว่าอังกฤษ กำลังเล่นละครเรื่องใดในตะวันออกกลาง เบื้องหน้าฉากเป็นอย่าง แล้วเบื้องหลังฉากเป็นอย่างไร อเมริกาจึงยังไม่เข้าร่วมสงครามรายการถล่มตุรกี แต่หลังจากมีสื่อ และแผ่นพับทยอยไปสู่ประชาชนชาวอเมริกันมากขึ้น คนอเมริกันเริ่มมีความเห็นออกมาว่า ตุรกีน่าจะป่วยหนัก ร่างกายและความคิด คงหลวมหลุดไปแยะ ไม่สมควรจะปกครองอาณาจักรออตโตมานต่อไป และการที่อังกฤษจะเข้าไปในอาหรับ ก็เหมือนเป็นพระผู้มาโปรดคนอาหรับ น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะคนอาหรับไม่ฉลาดไม่มั่นคง ไม่เหมาะที่จะปกครองดินแดนของตัวเองอย่างยิ่ง ! แล้วความเป็นกลางของอเมริกาก็เริ่มจะเอียง และเอียงมากขึ้นไปทางสนับสนุนฝ่ายอังกฤษ อเมริกาเริ่มด้วยการส่งเสบียงสนับสนุนฝ่ายอังกฤษ แท้จริงแล้ว มันเป็นโอกาสทอง ของการทำมาค้าขายครั้งสำคัญของอเมริกานั่นแหละ ใน ที่สุดอเมริกา ก็ประกาศอย่างเป็นทางการเข้าร่วมสงคราม สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อเมษายน ค.ศ. 1917 เหล่าพี่เลี้ยงและผู้อยู่หลังฉากของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา ต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่ แหม ! ลุ้นกันเกือบตาย กว่าจะเป็นตามแผน! ไม่รู้ใครหลอกใคร ใครต้มใคร ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่องแหกคอก อีกรอบนะครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 296 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 2”
    Istanbul ฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1914 เมืองหลวงของจักรวรรดิออตโตมาน เหมือนอยู่ไกลไปครึ่งโลกห่างวัง ฤดูร้อนใน Ischi ที่ Emperor Franz Joseph ที่ 1 ลงนามในแถลงการณ์ “To My People” เมื่อวันที่ 28 ก.ค 1914 แจ้งให้ชาวออสเตรียรู้ว่า ออสเตรียได้ประกาศสงครามกับ Serbia อย่างเป็นทางการแล้ว !
    เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว ที่อาณาจักรออตโตมานควบคุมทางใต้และตะวันออกของเมดิเตอเรเนียน ตั้งแต่เมือง Alexandretta ถึง Arish และจาก Maghreb ไปถึง Suez ส่วน Algeria และ Tunesia ตกอยู่ในการดูแลของฝรั่งเศส ในขณะที่อังกฤษงาบ อียิปต์ไปเรียบร้อยแล้ว
    ในปี ค.ศ. 1911 อิตาลีได้ยึดหัวหาดอยู่ที่ลิเบีย ก่อนที่จะเกิดสงครามโลก อาณาจักรออตโตมานถูกรุมทึ้งจนเหลือเพียงตุรกี (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) ตะวันออกกลางและอิรัค (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) และดินแดนยาวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่แถบคาบสมุทรอารเบียยาวไปถึงเยเมน
    ตรงบริเวณนี้แหละ ตรงที่เป็นภาคใต้ของตุรกีปัจจุบัน ที่เป็นศูนย์กลางของสงครามในตะวันออกกลางในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนส่วนนี้ได้พยุงตัวด้วยความยากลำบาก เป็นเวลากว่า 400 ปี ที่จะให้อยู่รอดพ้นจากการเหลือแต่ชื่อ แต่แล้วพอถึงต้นศตวรรษที่ 20 ดินแดนส่วนนี้ก็ยิ่งอาการสาหัส กลายเป็นแดนวิกฤติ อย่างที่เรารู้อยู่ในปัจจุบัน บริเวณที่เมืองต่าง ๆ ในแถบนั้นต้องประสบกับความทุกข์ทรมานยาวหลายชั่วคน เช่น Basra, Bagdad, Aleppo, Damascus, Beirut, Gaza และ Suez ฯลฯ เมืองที่เราเห็นชื่อตามสื่อและ breaking news ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนแทบจะเลิกสนใจเพราะนึกว่าเอาเทปของเก่ามาเล่นซ้ำ
    โชคดีที่พวกชักใยหรือตัวละครเอกที่แสดงอยู่ในฉากสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะนั้นยังไม่รู้ว่า ที่สนามหลังบ้านของอาณาจักรออตโตมาน มีแหล่งพลังงานน้ำมันใหญ่ที่สุด ซ่อนตัวอยู่ ถ้าไอ้พวกนั้นได้รู้ การต่อสู้ที่ตะวันออกกลางช่วงนั้นคงจะยิ่งดุเดือดและทารุณโหดร้าย ป่าเถื่อนกว่าที่ได้เกิดขึ้นอีกมากมาย ในขณะนั้น คู่สงครามต่างแสดงบทที่ดูเหมือนจะต้องการเพียงแค่ กำจัดอีกฝ่ายหนึ่งให้หมดไปจากทางเดินของตน ไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอิทธิพล มีอำนาจมากกว่า ยิ่งใหญ่กว่า ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ และพยายามทุกอย่างที่จะขัดขวางกันและกันเท่านั้น
    อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าข้างซ้าย สบโอกาสที่จะสลายอาณาจักรออตโตมาน ของนักไต่ลวดชาวตุรกี และยึดเอามาเป็นของตน เพื่อขยายอิทธิพลของตนไปทางตะวันออกกลางมากขึ้น ขณะนั้นอังกฤษมีอิทธิพลเหนืออียิปต์ อยู่แล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 และเหนืออินเดีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1857 ยังเหลืออาณาจักรออตโตมาน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่าง 2 อาณานิคมสำคัญ นี่ถ้าได้อาณาจักรออตโตมานอีกรายการ อาการฟันห่างระหว่างอียิปต์กับอินเดียก็จะแคบเข้ามา อังกฤษจะนั่งรอให้โอกาสวิ่งผ่านไป โดยไม่ฉวยได้อย่างไร ความคิดที่จะใช้สงครามโลกเป็นเครื่องมือถอนราก ถอนโคน อาณาจักรของนักไต่ลวด พร้อมกับการสกัดและทำลายเยอรมันที่คิดทาบรัศมีด้วยการสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ไปพร้อมกันจึงเกิดขึ้น
    อาณาจักรออตโตมาน ตัดสินใจว่าจะวางตัวเป็นกลาง ก็เป็นคนป่วยนี่ ไม่แข็งแรงพอที่จะไปต่อสู้กับใครได้ อยู่เฉย ๆ น่าจะดีและเหมาะกับสภาพของออตโตมานตอนนั้นมากกว่า สุลต่านผู้ครองจักรวรรดิออตโตมาน เป็นเสมือนหุ่นไม่มีอำนาจจริง หลังจากสุลต่าน Abdulhamid II ซึ่งเป็นสุลต่านที่มีอำนาจคนสุด ท้าย ถูกโค่นลงเมื่อปี 1908 แล้ว สุลต่านคนต่อ ๆ มา ก็หมกตัวอยู่แต่ในฮาเร็ม ให้รัฐบาลทหาร ซึ่งนำโดย Three Pasha เป็นผู้บริหารแทน ปาชาไม่ใช่พวกเคร่งศาสนาและออกจะเป็นพวกนิยมตะวันตกด้วยซ้ำ
    เป็นทหารจะไปรู้เรื่องการค้ามากมายอะไร (ผมหมายถึงปาชานะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าเขียนถึงทหารอื่น ซึ่งเก่งทั้งการทหาร การค้า การปกครอง และอื่น ๆ อีกมากมาย) แล้วอาณาจักรออตโตมานก็ถึงเวลากระเป๋าแห้ง และฉีกขาดต่อมา เป็นหนี้ฝรั่งตะวันตกบานตะเกียง ชนิดไม่มีทางจะใช้คืน นอกจากเบี้ยวเขา หรือเป็นทาสเขาไปเท่านั้น แล้วไงล่ะ ขอไปร่วมอยู่ฝั่งเดียวกับเขา เขาก็ถีบทิ้ง นักไต่ลวดจึงถลาลงพื้น หัวฟาดอย่างเดียวไม่พอ กระเป๋าฉีกขาดอีกด้วย ทั้งเจ็บ ทั้งจนขนาดนี้ จะมีทางเลือกอะไร จึงจำใจไปเข้ากับอีกฝ่ายหนึ่ง
    ตุลาคม ค.ศ. 1914 ตุรกี (หรืออาณาจักรออตโตมานขณะนั้น) จึงประกาศตัวอยู่ฝ่ายเยอรมันกับพวก ที่น่าจะกระเป๋าตุงเพราะทำซ่า ว่าจะสร้างทางรถไฟข้ามทวีป เบอร์ลิน แบกแดด ท้าทายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่ก่อนประกาศตัวอยู่กับฝ่ายเยอรมันเป็นทางการ คนป่วยตุรกีแอบทำสัญญาลับกับ คุณหมอเยอรมัน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม หลังจากนั้นไม่นาน เรือรบสัญชาติเยอรมัน 2 ลำ SMS Goeben และ SMS Breslau ก็วิ่งมาเงียบ ๆ จากฝั่งตะวันตกของเมดิเตอริเรเนียน ถึงกรุงคอนสแตนติโนเบิล เมื่อเทียบท่าเรียบร้อย ก็ทำพิธีส่งมอบให้ออตโตมาน ซึ่งขณะนั้นบอกว่ายังเป็นกลางอยู่ ออตโตมานตั้งชื่อเรือเสียใหม่ว่า Yavuz และ Midilli ให้มีกลิ่นแกะตุรกีติดเรือ แทนกลิ่นไส้กรอกกับผักดองเปรี้ยวของเยอรมัน พลประจำเรือชาวเยอรมันยังไม่ได้หายตัวไปไหน แค่เปลี่ยนชุดและใส่หมวกตุรกีแทนเท่านั้น เป็นคนป่วยที่ดูเหมือน ยังมีเหลี่ยมติดตัวอยู่ไม่น้อย
    หลังจากนั่นเรือรบ 2 ลำ เดินทางต่อไปถึง Golden Horn และต่อไปที่เมือง Dardanelles ปฏิบัติการยั่วยวนก็เกิดขึ้นทันที ออตโตมานและเยอรมัน ได้ปิดทางเชื่อมระหว่างรัสเซียออกจากพวก คือ ฝรั่งเศส และอังกฤษ หลังจากนั้น เครื่องบินรบติดธงออตโตมาน ก็บินขึ้นจากเรือรบ Goeben ถล่มท่าเรือรัสเซียที่ทะเลดำ การยั่วยวนได้ผล ต้นเดือนพฤศจิกายน รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ก็ประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมาน
    อังกฤษพยายามที่จะทลายการปิดกั้นเส้นทางที่ Dardanelles และยึดเมืองคอนสแตนติโนเบิล ยกโขยงกองทัพเรือมาพร้อมกับของฝรั่งเศสมาทางแหลม Gallipoli การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งทางเรือและทางบก ผลสุดท้ายคนป่วย ออตโตมานที่มีหมอดียาดี ยี่ห้อเยอรมัน ลุกขึ้นกวาดกองทัพอังกฤษแตกกลับ ลงทะเล ผลของคนป่วยได้ยาดี ทำให้ท่านหลอด Winston Churchill แม่ทัพเรือ ยื่นใบลาออกเพราะแพ้คนป่วย จะแก้ตัวยังไงดี ลาออกง่ายกว่า ผลการประเมินคนป่วยผิดคาดนี้ ทำให้เกิดบาดแผลมากมาย ทหารของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ลูกกระเป๋งของอังกฤษตายเป็นเบือ จนเดี๋ยวนี้ทั้ง 2 ชาติ ก็ไม่มีวันลืมสงครามคนป่วย
    ความพ่ายแพ้ที่ Gallipoli ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอังกฤษ เปลี่ยนยุทธศาสตร์การรบใหม่ หลังจากแผนการตีกล่องดวงใจ ของออตโตมานล้มเหลว อังกฤษเปลี่ยนแผนเป็น ไล่เซิ้งเมืองรอบนอกให้ยับเยินแทน เป้าหมายมุ่งไปที่เมืองที่มีชาวอาหรับอ่อนแอดูแลอยู่
    กลยุทธที่อังกฤษถนัดใช้และพกติดตัวไว้เสมอ คือไม้เสี้ยม ไม่ต้องลงทุนมาก ใช้ความคิดชั่ว ๆ กับปากก็พอ อังกฤษตั้งใจจะใช้ชาวอาหรับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน เป็นเครื่องมือในการช่วยทลายออตโตมานเอง ในที่สุดก็หาเครื่องมือนี้เจอที่เมือง Hejaz ที่บริเวณตะวันตกของคาบสมุทรอารเบีย
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 ส.ค. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 2” Istanbul ฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1914 เมืองหลวงของจักรวรรดิออตโตมาน เหมือนอยู่ไกลไปครึ่งโลกห่างวัง ฤดูร้อนใน Ischi ที่ Emperor Franz Joseph ที่ 1 ลงนามในแถลงการณ์ “To My People” เมื่อวันที่ 28 ก.ค 1914 แจ้งให้ชาวออสเตรียรู้ว่า ออสเตรียได้ประกาศสงครามกับ Serbia อย่างเป็นทางการแล้ว ! เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว ที่อาณาจักรออตโตมานควบคุมทางใต้และตะวันออกของเมดิเตอเรเนียน ตั้งแต่เมือง Alexandretta ถึง Arish และจาก Maghreb ไปถึง Suez ส่วน Algeria และ Tunesia ตกอยู่ในการดูแลของฝรั่งเศส ในขณะที่อังกฤษงาบ อียิปต์ไปเรียบร้อยแล้ว ในปี ค.ศ. 1911 อิตาลีได้ยึดหัวหาดอยู่ที่ลิเบีย ก่อนที่จะเกิดสงครามโลก อาณาจักรออตโตมานถูกรุมทึ้งจนเหลือเพียงตุรกี (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) ตะวันออกกลางและอิรัค (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) และดินแดนยาวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่แถบคาบสมุทรอารเบียยาวไปถึงเยเมน ตรงบริเวณนี้แหละ ตรงที่เป็นภาคใต้ของตุรกีปัจจุบัน ที่เป็นศูนย์กลางของสงครามในตะวันออกกลางในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนส่วนนี้ได้พยุงตัวด้วยความยากลำบาก เป็นเวลากว่า 400 ปี ที่จะให้อยู่รอดพ้นจากการเหลือแต่ชื่อ แต่แล้วพอถึงต้นศตวรรษที่ 20 ดินแดนส่วนนี้ก็ยิ่งอาการสาหัส กลายเป็นแดนวิกฤติ อย่างที่เรารู้อยู่ในปัจจุบัน บริเวณที่เมืองต่าง ๆ ในแถบนั้นต้องประสบกับความทุกข์ทรมานยาวหลายชั่วคน เช่น Basra, Bagdad, Aleppo, Damascus, Beirut, Gaza และ Suez ฯลฯ เมืองที่เราเห็นชื่อตามสื่อและ breaking news ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนแทบจะเลิกสนใจเพราะนึกว่าเอาเทปของเก่ามาเล่นซ้ำ โชคดีที่พวกชักใยหรือตัวละครเอกที่แสดงอยู่ในฉากสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะนั้นยังไม่รู้ว่า ที่สนามหลังบ้านของอาณาจักรออตโตมาน มีแหล่งพลังงานน้ำมันใหญ่ที่สุด ซ่อนตัวอยู่ ถ้าไอ้พวกนั้นได้รู้ การต่อสู้ที่ตะวันออกกลางช่วงนั้นคงจะยิ่งดุเดือดและทารุณโหดร้าย ป่าเถื่อนกว่าที่ได้เกิดขึ้นอีกมากมาย ในขณะนั้น คู่สงครามต่างแสดงบทที่ดูเหมือนจะต้องการเพียงแค่ กำจัดอีกฝ่ายหนึ่งให้หมดไปจากทางเดินของตน ไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอิทธิพล มีอำนาจมากกว่า ยิ่งใหญ่กว่า ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ และพยายามทุกอย่างที่จะขัดขวางกันและกันเท่านั้น อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าข้างซ้าย สบโอกาสที่จะสลายอาณาจักรออตโตมาน ของนักไต่ลวดชาวตุรกี และยึดเอามาเป็นของตน เพื่อขยายอิทธิพลของตนไปทางตะวันออกกลางมากขึ้น ขณะนั้นอังกฤษมีอิทธิพลเหนืออียิปต์ อยู่แล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 และเหนืออินเดีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1857 ยังเหลืออาณาจักรออตโตมาน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่าง 2 อาณานิคมสำคัญ นี่ถ้าได้อาณาจักรออตโตมานอีกรายการ อาการฟันห่างระหว่างอียิปต์กับอินเดียก็จะแคบเข้ามา อังกฤษจะนั่งรอให้โอกาสวิ่งผ่านไป โดยไม่ฉวยได้อย่างไร ความคิดที่จะใช้สงครามโลกเป็นเครื่องมือถอนราก ถอนโคน อาณาจักรของนักไต่ลวด พร้อมกับการสกัดและทำลายเยอรมันที่คิดทาบรัศมีด้วยการสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ไปพร้อมกันจึงเกิดขึ้น อาณาจักรออตโตมาน ตัดสินใจว่าจะวางตัวเป็นกลาง ก็เป็นคนป่วยนี่ ไม่แข็งแรงพอที่จะไปต่อสู้กับใครได้ อยู่เฉย ๆ น่าจะดีและเหมาะกับสภาพของออตโตมานตอนนั้นมากกว่า สุลต่านผู้ครองจักรวรรดิออตโตมาน เป็นเสมือนหุ่นไม่มีอำนาจจริง หลังจากสุลต่าน Abdulhamid II ซึ่งเป็นสุลต่านที่มีอำนาจคนสุด ท้าย ถูกโค่นลงเมื่อปี 1908 แล้ว สุลต่านคนต่อ ๆ มา ก็หมกตัวอยู่แต่ในฮาเร็ม ให้รัฐบาลทหาร ซึ่งนำโดย Three Pasha เป็นผู้บริหารแทน ปาชาไม่ใช่พวกเคร่งศาสนาและออกจะเป็นพวกนิยมตะวันตกด้วยซ้ำ เป็นทหารจะไปรู้เรื่องการค้ามากมายอะไร (ผมหมายถึงปาชานะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าเขียนถึงทหารอื่น ซึ่งเก่งทั้งการทหาร การค้า การปกครอง และอื่น ๆ อีกมากมาย) แล้วอาณาจักรออตโตมานก็ถึงเวลากระเป๋าแห้ง และฉีกขาดต่อมา เป็นหนี้ฝรั่งตะวันตกบานตะเกียง ชนิดไม่มีทางจะใช้คืน นอกจากเบี้ยวเขา หรือเป็นทาสเขาไปเท่านั้น แล้วไงล่ะ ขอไปร่วมอยู่ฝั่งเดียวกับเขา เขาก็ถีบทิ้ง นักไต่ลวดจึงถลาลงพื้น หัวฟาดอย่างเดียวไม่พอ กระเป๋าฉีกขาดอีกด้วย ทั้งเจ็บ ทั้งจนขนาดนี้ จะมีทางเลือกอะไร จึงจำใจไปเข้ากับอีกฝ่ายหนึ่ง ตุลาคม ค.ศ. 1914 ตุรกี (หรืออาณาจักรออตโตมานขณะนั้น) จึงประกาศตัวอยู่ฝ่ายเยอรมันกับพวก ที่น่าจะกระเป๋าตุงเพราะทำซ่า ว่าจะสร้างทางรถไฟข้ามทวีป เบอร์ลิน แบกแดด ท้าทายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่ก่อนประกาศตัวอยู่กับฝ่ายเยอรมันเป็นทางการ คนป่วยตุรกีแอบทำสัญญาลับกับ คุณหมอเยอรมัน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม หลังจากนั้นไม่นาน เรือรบสัญชาติเยอรมัน 2 ลำ SMS Goeben และ SMS Breslau ก็วิ่งมาเงียบ ๆ จากฝั่งตะวันตกของเมดิเตอริเรเนียน ถึงกรุงคอนสแตนติโนเบิล เมื่อเทียบท่าเรียบร้อย ก็ทำพิธีส่งมอบให้ออตโตมาน ซึ่งขณะนั้นบอกว่ายังเป็นกลางอยู่ ออตโตมานตั้งชื่อเรือเสียใหม่ว่า Yavuz และ Midilli ให้มีกลิ่นแกะตุรกีติดเรือ แทนกลิ่นไส้กรอกกับผักดองเปรี้ยวของเยอรมัน พลประจำเรือชาวเยอรมันยังไม่ได้หายตัวไปไหน แค่เปลี่ยนชุดและใส่หมวกตุรกีแทนเท่านั้น เป็นคนป่วยที่ดูเหมือน ยังมีเหลี่ยมติดตัวอยู่ไม่น้อย หลังจากนั่นเรือรบ 2 ลำ เดินทางต่อไปถึง Golden Horn และต่อไปที่เมือง Dardanelles ปฏิบัติการยั่วยวนก็เกิดขึ้นทันที ออตโตมานและเยอรมัน ได้ปิดทางเชื่อมระหว่างรัสเซียออกจากพวก คือ ฝรั่งเศส และอังกฤษ หลังจากนั้น เครื่องบินรบติดธงออตโตมาน ก็บินขึ้นจากเรือรบ Goeben ถล่มท่าเรือรัสเซียที่ทะเลดำ การยั่วยวนได้ผล ต้นเดือนพฤศจิกายน รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ก็ประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมาน อังกฤษพยายามที่จะทลายการปิดกั้นเส้นทางที่ Dardanelles และยึดเมืองคอนสแตนติโนเบิล ยกโขยงกองทัพเรือมาพร้อมกับของฝรั่งเศสมาทางแหลม Gallipoli การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งทางเรือและทางบก ผลสุดท้ายคนป่วย ออตโตมานที่มีหมอดียาดี ยี่ห้อเยอรมัน ลุกขึ้นกวาดกองทัพอังกฤษแตกกลับ ลงทะเล ผลของคนป่วยได้ยาดี ทำให้ท่านหลอด Winston Churchill แม่ทัพเรือ ยื่นใบลาออกเพราะแพ้คนป่วย จะแก้ตัวยังไงดี ลาออกง่ายกว่า ผลการประเมินคนป่วยผิดคาดนี้ ทำให้เกิดบาดแผลมากมาย ทหารของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ลูกกระเป๋งของอังกฤษตายเป็นเบือ จนเดี๋ยวนี้ทั้ง 2 ชาติ ก็ไม่มีวันลืมสงครามคนป่วย ความพ่ายแพ้ที่ Gallipoli ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอังกฤษ เปลี่ยนยุทธศาสตร์การรบใหม่ หลังจากแผนการตีกล่องดวงใจ ของออตโตมานล้มเหลว อังกฤษเปลี่ยนแผนเป็น ไล่เซิ้งเมืองรอบนอกให้ยับเยินแทน เป้าหมายมุ่งไปที่เมืองที่มีชาวอาหรับอ่อนแอดูแลอยู่ กลยุทธที่อังกฤษถนัดใช้และพกติดตัวไว้เสมอ คือไม้เสี้ยม ไม่ต้องลงทุนมาก ใช้ความคิดชั่ว ๆ กับปากก็พอ อังกฤษตั้งใจจะใช้ชาวอาหรับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน เป็นเครื่องมือในการช่วยทลายออตโตมานเอง ในที่สุดก็หาเครื่องมือนี้เจอที่เมือง Hejaz ที่บริเวณตะวันตกของคาบสมุทรอารเบีย สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 287 Views 0 Reviews
  • ตอน 16
    จิ๊กโก๋๋ประกบติดไทยแลนด์สยามเมืองยิ้ม ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามเวียตนามเลิก (ค.ศ.1950 – 1976) เพราะแผนของจิ๊กโก๋๋ ฉากหน้า กูเป็นจิ๊กโก๋๋ใหญ่ ปกป้องชาวซอย ที่ถูกจิ๊กโก๋๋ตาตี่หน้าเหลือง คือ ระบอบคอมมิวนิสต์ แผ่ขยายมากลืนกินประชาชาติแถบนี้
    แต่ฉากของจริง คือ ไอ้จิ๊กโก๋๋ผมทอง มันกลัวว่า ไอ้ตาตี่มันจะมาชิงลูกค้าเราไป เราจะยอมมันได้ไง หมดสงครามเวียตนาม ความต้องการใช้ไทยแลนด์ แดนสยามก็หยุดลงชั่วคราว
    จิ๊กโก๋๋จำเป็นต้องไปหากินซอยอื่น เพราะว่า การใช้น้ำมันทั่วโลกกำลังพุ่งแรงจากการขยายตัวของอุตสาหกรรม หรือพูดให้ชัดจากทุนนิยมที่เร่งขยายตัว
    จิ๊กโก๋๋ก็ต้องหาทางเอาน้ำมัน มาเป็นของตนเองให้มากที่สุด ก็เลยไปขุดเผือกขุดน้ำมันแถวบ้านคุณอาที่มีน้ำมัน จำได้ไหม แล้วก็เผ่นไปยุ่งถึงอเมริกาใต้ เกิดเรื่องอิหร่าน คอนทร้า (Iran Contra) จนวุ่นไปหมด
    มันไปหมดทุกแห่งที่จะล้วงกระเป๋าเขาได้ มาจนถึงปี ค.ศ.1997 จิ๊กโก๋๋เองขนาดล้วงกระเป๋าเขามา 50 ปี ก็จนเป็นเหมือนกัน เกิดภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด การเพ่นพ่านของจิ๊กโก๋๋ ก็สงบลงเล็กน้อย เพราะมัวแต่จัดระเบียบบ้านตัวเอง
    ขณะเดียวกันประเทศที่ได้เอกราชใหม่ๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น อินเดีย หรือประเทศที่เปลี่ยน แปลงวิธีบริหารประเทศของตัวเอง เช่น ประเทศจีน ก็ก้มหน้าก้มตาพัฒนาประเทศตัวเอง อย่างเร่งรีบ แต่เงียบเชียบ
    อเมริกาไม่เคยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา จับมืออยู่กันแต่ในกลุ่มหัว 3 เกลอหัวแข็งเท่านั้น บวกเอาญาติโยม และพวกฝ่ายผมทองเข้าไปด้วยเฉพาะที่ เห็นว่าพอจะคุยกันรู้เรื่อง ถึงได้เกิด EU สหภาพยุโรป G7, G8 อะไรนู่น เอาญี่ปุ่นตาตี่ไปรวมด้วย (เพราะเป็นภาระของสหรัฐโดยตรง ก็ทะลึ่งไปบอมบ์เขานี่นะ ก็เลยต้องพ่วงเป็นลูก บุญธรรมไปด้วยตลอดเวลา) ที่เหลือมันเหยื่อนักล่านักล้วงทั้งนั้นแหละ
    อเมริกาเมินภูมิภาคแถบนี้ไปนาน เพราะคิดว่าเหลือแต่ซากหลังสงครามเวียตนาม เหมือนแถบยุโรปตะวันออกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
    หันมาอีกที ต๊กกะใจ ว้าย ตาเถร ไอ้ตาตี่ทำไมมันโตเร็วกลายเป็น อาเฮียพุงพลุ้ยเดินโปรยเงินไปทั่ว จีนโตเร็วและทำท่าจะโตไปเรื่อยๆ บวกกับอินเดียและที่รวมตัวกันเรียกว่า กลุ่มประเทศที่เกิดใหม่ทางเศรษฐกิจ คือ กลุ่ม BRICS บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน อาฟริกาใต้
    คิดง่ายๆ แค่จีนกับอินเดียรวมกันมีประชากร 3 พันกว่าล้านคน ทั้งโลกนี้มีประชากร 7 พันกว่าล้านคน แค่ 2 ประเทศ ก็เกือบครึ่งโลกแล้ว กำลังซื้อมันจะขนาดไหน แค่นัดกระทืบเท้าพร้อมกัน โลกก็เอียงแล้ว (น่าลองดูนะ ซ่ามากๆ ก็ถล่มมันชะเลย)
    จิ๊กโก๋๋คิดแล้วก็หัวหมุนกลับ หันมาไทยแลนด์แดนสยามอีกครั้ง ในปี พ.ศ.2542 /ค.ศ.1999 ตรงกับปีที่เศรษฐกิจจีนเริ่มโตอย่างชัดเจน
    แล้วทำไงดีล่ะ ตัวทิ้งเค้าไปตั้งนาน อยู่ๆ จะกลับมา จ้ะๆ จ๋าๆ เหมือนเดิมกันง่ายๆ แบบนั้น เค้าไม่ใช่ หญิงคนชั่วเร่ขายชาตินะยะ แล้วตัวจำได้มั้ย ตอนเค้าตูดขาดเหลือแต่คลัง เงินไม่มีให้คงไว้น่ะ เพราะรัฐบาลน้าจิ๋ว กะรัฐบาลปี๋ชวนทำซะบักโกรกน่ะ เขาส่งอ้ายน้อยไปหาตัว ตัวทำอะไรกับเขา เขาจำได้นะ ให้ไอ้ IMF มันโหดกะเค้ายังไง ไปถามพวกเจ้าของธนาคาร หวั่งหลี ล่ำซำ หรือคุณป๋าประชัยแห่ง TPI หรือเฮียหวัดเจ้าของวลี ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ดูก็แล้วกันว่าหายช้ำหรือยัง
    อเมริกาจะกลับมาภูมิภาคนี้ใหม่ ก็ต้องกลับมาแบบไม่ให้เสียเชิง ไม่เสียฟอร์มนักทฤษฎี นักสร้างฉาก ลองทายดูซิ จิ๊กโก๋๋จะกลับมาแบบไหน กลับมาแบบเท่ห์ๆ น่ะ ฮา
    ช่วงสงครามเวียตนาม อเมริกาคบกับทหารไทย นักวิ่งผลัดจนรู้เช่นเห็นชาติ ว่าชอบกินอาหารจานด่วนแบบไหน หลอกล่อ ต่อรอง เห่กล่อม อย่างไร ถึงจะไม่งอแง พอเลิกใช้บริการนักวิ่งผลัด พี่เบิ้มก็ไปใช้พวกเด็กในคาถา good boy technocrat
    ดังนั้นเวลาหวนกลับ มันก็ไม่พ้นประตู 2 ช่องนี่แหละ จะพูดกับใครรู้เรื่องไปกว่าพวกที่เคยมือ รู้ใจกัน
    ว่าแล้วจิ๊กโก๋๋ก็เรียก good boy มาสัมภาษณ์ทีละคน โดยทำเป็นเชิญมาทานข้าวบ้าง ดื่มน้ำชาบ้าง ไล่ไปตั้งกะใหญ่โต ระดับองคมนตรี ข้าราชการ นักวิชาการ นักการเมืองทุกค่าย นักธุรกิจ จนถึงสื่อ
    ถามทุกเรื่องลับแบบเจาะลึก ท่านต่างๆ ก็ช่างตอบกันดีนัก อย่างกะขึ้นสังกัดกับเขา บางเรื่องเป็นเรื่องในบ้านเราแท้ๆ ไม่เห็นเกี่ยวกับคนนอกเลย ก็ตอบเขาเอา ตอบเอา (ขอขอบคุณ อภินันทนาการ เอกสารรั่ววิกิลีกส์ ทำให้รู้ว่า ใครช่างจ้อ ขนาดไหน)
    นอกจากนี้ก็ให้พวกซี ในคราบเจ้าหน้าที่สถานทูต เดินไปตามงานเลี้ยงไฮโซต่างๆ เก็บข่าวทุกวัน ใครกำลังขึ้น ใครกำลังลง พระราชวงศ์จะเป็นอย่างไร ใบไม้ใบไหนกำลังออกใหม่ ใบไหนกำลังจะร่วง ถามมันไปหมดทุกเรื่องนะแหละ
    เขาเล่ากันว่าสถานทูตสหรัฐในไทยนะใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อันดับ 1 อยู่ที่อียิปต์ ที่ประเทศไทยนี้มีพนักงานประจำการอยู่กว่า 2 พันคน และที่ไม่ประจำอีกกว่า 2 พันคน โว้ย! มันเอามาทำไรแยะขนาดนี้ กะจะนับใบไม้ทุกใบหรือไงวะ ก็คงตกค้างตั้งกะสมัยรบสงครามเวียตนามน่ะนะ ตอนนั้นใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์ กลางบัญชาการรบ ก็จะให้พวกพี่เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ แถบนี้ ใครมันจะเจริญ แถมแสงสีเสียงครบแบบไทยแลนด์ล่ะ
    หลังจากทั้งซัก ทั้งฟอก เด็กในคาถา เดินสำรวจตามงานหรู ไม่ว่าของราชการ ไฮโซ สปอร์ตคลับฯลฯ หลายรอบ พี่เบิ้มก็ถอนใจ
    อู้ย จากไปไม่เท่าไหร่ ไม่คุมเอง ทำไม ไทยแลนด์ มันไม่ใช่แดนสยามเมืองยิ้ม อย่างเมื่อก่อนนะ นี่มันดันกลายเป็นสนามประลองกีฬาสีนี่นา แต่กีฬาสีนี้มันหนักน่ะ ใครจะอยู่ใครจะไป ไอยังไม่แน่ใจ
    อย่ากระนั้นเลย เอาที่แน่ๆ กลับไปที่นักกีฬาวิ่งผลัดดีกว่า เออ! เพิ่งนึกออก บ้านเรานี่มันนักกีฬาแยะนะ ไม่วิ่งผลัด ก็กีฬาสี 5 5 5
    อเมริกาส่งแม่ทัพเรือภาคที่ 7 ที่ประจำอยู่ที่โอกินาวาของลูกกะเป๋ง มาเยี่ยมไทยแลนด์ ทบทวนความ สัมพันธ์ที่มีมานานกว่า 50 ปี เรียกว่าเป็นมิตรรักระดับเดียวกับ พวกนาโต (NATO) ร่วมซ้อมรบด้วยกัน ทุกปีในนามของคอบบร้า โกลด์ (Cobra Gold) ขึ้นบกทีไร น้องหนูแถวพัทยา ภูเก็ตก็แฮ้ปปี้กระดี้กระด้า นอกจากนั้นในช่วงเกิดเหตุการณ์ ซึนามิ ไทยแลนด์ก็ใจดีให้ใช้อู่ตะเภาเป็นสนามบินที่ใช้ในการช่วยบรรเทาทุก แต่ข่าวที่ไม่เปิดเผยคือ ช่วงรัฐบาลทักษิณ ไทยเราอนุญาตให้เครื่องบินอเมริกัน บินขึ้นลงจากอู่ตะเภาเพื่อไปปฏิบัติการรบในอิรักและอาฟกานิสถานด้วยนะ (สมันน้อยไม่เข็ด!)
    แล้วอเมริกาทำไมถึงอยากกลับมายุ่งในภูมิภาคนี้ใหม่ โดยเฉพาะเข้ามาเดินกร่างในไทยแลนด์เหมือน เดิม แค่เรื่องอาเฮีย จากนั่งแทะเม็ดกวยจี๋ กลายเป็นเจ้าสัวกระเป๋าหนัก มันเกี่ยวอะไรกะสมันน้อยด้วยล่ะ

    คนเล่านิทาน
    ตอน 16 จิ๊กโก๋๋ประกบติดไทยแลนด์สยามเมืองยิ้ม ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามเวียตนามเลิก (ค.ศ.1950 – 1976) เพราะแผนของจิ๊กโก๋๋ ฉากหน้า กูเป็นจิ๊กโก๋๋ใหญ่ ปกป้องชาวซอย ที่ถูกจิ๊กโก๋๋ตาตี่หน้าเหลือง คือ ระบอบคอมมิวนิสต์ แผ่ขยายมากลืนกินประชาชาติแถบนี้ แต่ฉากของจริง คือ ไอ้จิ๊กโก๋๋ผมทอง มันกลัวว่า ไอ้ตาตี่มันจะมาชิงลูกค้าเราไป เราจะยอมมันได้ไง หมดสงครามเวียตนาม ความต้องการใช้ไทยแลนด์ แดนสยามก็หยุดลงชั่วคราว จิ๊กโก๋๋จำเป็นต้องไปหากินซอยอื่น เพราะว่า การใช้น้ำมันทั่วโลกกำลังพุ่งแรงจากการขยายตัวของอุตสาหกรรม หรือพูดให้ชัดจากทุนนิยมที่เร่งขยายตัว จิ๊กโก๋๋ก็ต้องหาทางเอาน้ำมัน มาเป็นของตนเองให้มากที่สุด ก็เลยไปขุดเผือกขุดน้ำมันแถวบ้านคุณอาที่มีน้ำมัน จำได้ไหม แล้วก็เผ่นไปยุ่งถึงอเมริกาใต้ เกิดเรื่องอิหร่าน คอนทร้า (Iran Contra) จนวุ่นไปหมด มันไปหมดทุกแห่งที่จะล้วงกระเป๋าเขาได้ มาจนถึงปี ค.ศ.1997 จิ๊กโก๋๋เองขนาดล้วงกระเป๋าเขามา 50 ปี ก็จนเป็นเหมือนกัน เกิดภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด การเพ่นพ่านของจิ๊กโก๋๋ ก็สงบลงเล็กน้อย เพราะมัวแต่จัดระเบียบบ้านตัวเอง ขณะเดียวกันประเทศที่ได้เอกราชใหม่ๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น อินเดีย หรือประเทศที่เปลี่ยน แปลงวิธีบริหารประเทศของตัวเอง เช่น ประเทศจีน ก็ก้มหน้าก้มตาพัฒนาประเทศตัวเอง อย่างเร่งรีบ แต่เงียบเชียบ อเมริกาไม่เคยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา จับมืออยู่กันแต่ในกลุ่มหัว 3 เกลอหัวแข็งเท่านั้น บวกเอาญาติโยม และพวกฝ่ายผมทองเข้าไปด้วยเฉพาะที่ เห็นว่าพอจะคุยกันรู้เรื่อง ถึงได้เกิด EU สหภาพยุโรป G7, G8 อะไรนู่น เอาญี่ปุ่นตาตี่ไปรวมด้วย (เพราะเป็นภาระของสหรัฐโดยตรง ก็ทะลึ่งไปบอมบ์เขานี่นะ ก็เลยต้องพ่วงเป็นลูก บุญธรรมไปด้วยตลอดเวลา) ที่เหลือมันเหยื่อนักล่านักล้วงทั้งนั้นแหละ อเมริกาเมินภูมิภาคแถบนี้ไปนาน เพราะคิดว่าเหลือแต่ซากหลังสงครามเวียตนาม เหมือนแถบยุโรปตะวันออกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หันมาอีกที ต๊กกะใจ ว้าย ตาเถร ไอ้ตาตี่ทำไมมันโตเร็วกลายเป็น อาเฮียพุงพลุ้ยเดินโปรยเงินไปทั่ว จีนโตเร็วและทำท่าจะโตไปเรื่อยๆ บวกกับอินเดียและที่รวมตัวกันเรียกว่า กลุ่มประเทศที่เกิดใหม่ทางเศรษฐกิจ คือ กลุ่ม BRICS บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน อาฟริกาใต้ คิดง่ายๆ แค่จีนกับอินเดียรวมกันมีประชากร 3 พันกว่าล้านคน ทั้งโลกนี้มีประชากร 7 พันกว่าล้านคน แค่ 2 ประเทศ ก็เกือบครึ่งโลกแล้ว กำลังซื้อมันจะขนาดไหน แค่นัดกระทืบเท้าพร้อมกัน โลกก็เอียงแล้ว (น่าลองดูนะ ซ่ามากๆ ก็ถล่มมันชะเลย) จิ๊กโก๋๋คิดแล้วก็หัวหมุนกลับ หันมาไทยแลนด์แดนสยามอีกครั้ง ในปี พ.ศ.2542 /ค.ศ.1999 ตรงกับปีที่เศรษฐกิจจีนเริ่มโตอย่างชัดเจน แล้วทำไงดีล่ะ ตัวทิ้งเค้าไปตั้งนาน อยู่ๆ จะกลับมา จ้ะๆ จ๋าๆ เหมือนเดิมกันง่ายๆ แบบนั้น เค้าไม่ใช่ หญิงคนชั่วเร่ขายชาตินะยะ แล้วตัวจำได้มั้ย ตอนเค้าตูดขาดเหลือแต่คลัง เงินไม่มีให้คงไว้น่ะ เพราะรัฐบาลน้าจิ๋ว กะรัฐบาลปี๋ชวนทำซะบักโกรกน่ะ เขาส่งอ้ายน้อยไปหาตัว ตัวทำอะไรกับเขา เขาจำได้นะ ให้ไอ้ IMF มันโหดกะเค้ายังไง ไปถามพวกเจ้าของธนาคาร หวั่งหลี ล่ำซำ หรือคุณป๋าประชัยแห่ง TPI หรือเฮียหวัดเจ้าของวลี ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ดูก็แล้วกันว่าหายช้ำหรือยัง อเมริกาจะกลับมาภูมิภาคนี้ใหม่ ก็ต้องกลับมาแบบไม่ให้เสียเชิง ไม่เสียฟอร์มนักทฤษฎี นักสร้างฉาก ลองทายดูซิ จิ๊กโก๋๋จะกลับมาแบบไหน กลับมาแบบเท่ห์ๆ น่ะ ฮา ช่วงสงครามเวียตนาม อเมริกาคบกับทหารไทย นักวิ่งผลัดจนรู้เช่นเห็นชาติ ว่าชอบกินอาหารจานด่วนแบบไหน หลอกล่อ ต่อรอง เห่กล่อม อย่างไร ถึงจะไม่งอแง พอเลิกใช้บริการนักวิ่งผลัด พี่เบิ้มก็ไปใช้พวกเด็กในคาถา good boy technocrat ดังนั้นเวลาหวนกลับ มันก็ไม่พ้นประตู 2 ช่องนี่แหละ จะพูดกับใครรู้เรื่องไปกว่าพวกที่เคยมือ รู้ใจกัน ว่าแล้วจิ๊กโก๋๋ก็เรียก good boy มาสัมภาษณ์ทีละคน โดยทำเป็นเชิญมาทานข้าวบ้าง ดื่มน้ำชาบ้าง ไล่ไปตั้งกะใหญ่โต ระดับองคมนตรี ข้าราชการ นักวิชาการ นักการเมืองทุกค่าย นักธุรกิจ จนถึงสื่อ ถามทุกเรื่องลับแบบเจาะลึก ท่านต่างๆ ก็ช่างตอบกันดีนัก อย่างกะขึ้นสังกัดกับเขา บางเรื่องเป็นเรื่องในบ้านเราแท้ๆ ไม่เห็นเกี่ยวกับคนนอกเลย ก็ตอบเขาเอา ตอบเอา (ขอขอบคุณ อภินันทนาการ เอกสารรั่ววิกิลีกส์ ทำให้รู้ว่า ใครช่างจ้อ ขนาดไหน) นอกจากนี้ก็ให้พวกซี ในคราบเจ้าหน้าที่สถานทูต เดินไปตามงานเลี้ยงไฮโซต่างๆ เก็บข่าวทุกวัน ใครกำลังขึ้น ใครกำลังลง พระราชวงศ์จะเป็นอย่างไร ใบไม้ใบไหนกำลังออกใหม่ ใบไหนกำลังจะร่วง ถามมันไปหมดทุกเรื่องนะแหละ เขาเล่ากันว่าสถานทูตสหรัฐในไทยนะใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อันดับ 1 อยู่ที่อียิปต์ ที่ประเทศไทยนี้มีพนักงานประจำการอยู่กว่า 2 พันคน และที่ไม่ประจำอีกกว่า 2 พันคน โว้ย! มันเอามาทำไรแยะขนาดนี้ กะจะนับใบไม้ทุกใบหรือไงวะ ก็คงตกค้างตั้งกะสมัยรบสงครามเวียตนามน่ะนะ ตอนนั้นใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์ กลางบัญชาการรบ ก็จะให้พวกพี่เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ แถบนี้ ใครมันจะเจริญ แถมแสงสีเสียงครบแบบไทยแลนด์ล่ะ หลังจากทั้งซัก ทั้งฟอก เด็กในคาถา เดินสำรวจตามงานหรู ไม่ว่าของราชการ ไฮโซ สปอร์ตคลับฯลฯ หลายรอบ พี่เบิ้มก็ถอนใจ อู้ย จากไปไม่เท่าไหร่ ไม่คุมเอง ทำไม ไทยแลนด์ มันไม่ใช่แดนสยามเมืองยิ้ม อย่างเมื่อก่อนนะ นี่มันดันกลายเป็นสนามประลองกีฬาสีนี่นา แต่กีฬาสีนี้มันหนักน่ะ ใครจะอยู่ใครจะไป ไอยังไม่แน่ใจ อย่ากระนั้นเลย เอาที่แน่ๆ กลับไปที่นักกีฬาวิ่งผลัดดีกว่า เออ! เพิ่งนึกออก บ้านเรานี่มันนักกีฬาแยะนะ ไม่วิ่งผลัด ก็กีฬาสี 5 5 5 อเมริกาส่งแม่ทัพเรือภาคที่ 7 ที่ประจำอยู่ที่โอกินาวาของลูกกะเป๋ง มาเยี่ยมไทยแลนด์ ทบทวนความ สัมพันธ์ที่มีมานานกว่า 50 ปี เรียกว่าเป็นมิตรรักระดับเดียวกับ พวกนาโต (NATO) ร่วมซ้อมรบด้วยกัน ทุกปีในนามของคอบบร้า โกลด์ (Cobra Gold) ขึ้นบกทีไร น้องหนูแถวพัทยา ภูเก็ตก็แฮ้ปปี้กระดี้กระด้า นอกจากนั้นในช่วงเกิดเหตุการณ์ ซึนามิ ไทยแลนด์ก็ใจดีให้ใช้อู่ตะเภาเป็นสนามบินที่ใช้ในการช่วยบรรเทาทุก แต่ข่าวที่ไม่เปิดเผยคือ ช่วงรัฐบาลทักษิณ ไทยเราอนุญาตให้เครื่องบินอเมริกัน บินขึ้นลงจากอู่ตะเภาเพื่อไปปฏิบัติการรบในอิรักและอาฟกานิสถานด้วยนะ (สมันน้อยไม่เข็ด!) แล้วอเมริกาทำไมถึงอยากกลับมายุ่งในภูมิภาคนี้ใหม่ โดยเฉพาะเข้ามาเดินกร่างในไทยแลนด์เหมือน เดิม แค่เรื่องอาเฮีย จากนั่งแทะเม็ดกวยจี๋ กลายเป็นเจ้าสัวกระเป๋าหนัก มันเกี่ยวอะไรกะสมันน้อยด้วยล่ะ คนเล่านิทาน
    2 Comments 0 Shares 565 Views 0 Reviews
  • จีนเรียกทูตฟิลิปปินส์ประท้วงหลังแม่ทัพเรือฟิลิปปิสน์เผยแผนลาดตระเวนร่วมไต้หวัน "ผู้เล่นกับไฟจะพินาศเพราะไฟ" พร้อมแนวโน้มตอบโต้ทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางมาร์กอสผ่อนปรนข้อจำกัดเดินทางไปไต้หวัน 38 ปี-ปรับนโยบายเข้าใกล้สหรัฐ การเผชิญหน้าทะเลจีนใต้ทวีความรุนแรง กองทัพจีนส่งเรือรบสกัดกั้นฝ่ายฟิลิปปินส์-สหรัฐฯกระทรวงการต่างประเทศจีนเรียกเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์เข้าพบเมื่อวันอังคาร ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการหลังพลเรือเอกทรินิแดดแห่งกองทัพเรือฟิลิปปินส์เปิดเผยการหารือความร่วมมือกับไต้หวัน โดยระบุว่ากำลังพิจารณาการลาดตระเวนร่วมในช่องแคบลูซอน และอาจมีกิจกรรมทางทหารร่วมกันในอนาคต นับเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพฟิลิปปินส์ยอมรับความร่วมมือทางทหารที่อาจเกิดขึ้น แม้ภายหลังทรินิแดดจะชี้แจงว่าหมายถึงความร่วมมือระหว่างประเทศโดยทั่วไป ไม่เฉพาะฟิลิปปินส์-ไต้หวัน สถานทูตจีนในมะนิลาเตือนฟิลิปปินส์ให้ยึดมั่นในหลักการจีนเดียว หยุดการติดต่ออย่างเป็นทางการกับไต้หวัน และระบุว่า "ผู้ที่เล่นกับไฟจะพินาศเพราะไฟ" นักวิเคราะห์จีนระบุว่าการปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นทางการใดๆ กับไต้หวันจะถูกตีความว่าสนับสนุนเอกราชไต้หวัน ฟิลิปปินส์กำลังก้าวในเส้นทางอันตราย อาจนำไปสู่การตอบโต้อย่างรุนแรงรวมถึงทางเศรษฐกิจ ความตึงเครียดยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อประธานาธิบดีมาร์กอสผ่อนปรนข้อจำกัดการเดินทางที่มีมา 38 ปี ให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลส่วนใหญ่สามารถเยือนไต้หวันเพื่อวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนได้ ความสัมพันธ์จีน-ฟิลิปปินส์เสื่อมถอยลงตั้งแต่มาร์กอสปรับนโยบายให้สอดคล้องกับสหรัฐฯ มีการเผชิญหน้าที่รุนแรงขึ้นในทะเลจีนใต้ ล่าสุดหน่วยยามชายฝั่งจีนเพิ่มการลาดตระเวนบริเวณหมู่เกาะสการ์โบโรห์ และกองทัพจีนส่งเรือรบตอบโต้การลาดตระเวนร่วมระหว่างฟิลิปปินส์-สหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ความตึงเครียดเคยเกิดขึ้นเมื่อมาร์กอสแสดงความยินดีกับผู้นำไต้หวันที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว #imctnews รายงาน
    จีนเรียกทูตฟิลิปปินส์ประท้วง📌หลังแม่ทัพเรือฟิลิปปิสน์เผยแผนลาดตระเวนร่วมไต้หวัน "ผู้เล่นกับไฟจะพินาศเพราะไฟ" พร้อมแนวโน้มตอบโต้ทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางมาร์กอสผ่อนปรนข้อจำกัดเดินทางไปไต้หวัน 38 ปี-ปรับนโยบายเข้าใกล้สหรัฐ การเผชิญหน้าทะเลจีนใต้ทวีความรุนแรง กองทัพจีนส่งเรือรบสกัดกั้นฝ่ายฟิลิปปินส์-สหรัฐฯ👉กระทรวงการต่างประเทศจีนเรียกเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์เข้าพบเมื่อวันอังคาร ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการหลังพลเรือเอกทรินิแดดแห่งกองทัพเรือฟิลิปปินส์เปิดเผยการหารือความร่วมมือกับไต้หวัน โดยระบุว่ากำลังพิจารณาการลาดตระเวนร่วมในช่องแคบลูซอน และอาจมีกิจกรรมทางทหารร่วมกันในอนาคต นับเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพฟิลิปปินส์ยอมรับความร่วมมือทางทหารที่อาจเกิดขึ้น แม้ภายหลังทรินิแดดจะชี้แจงว่าหมายถึงความร่วมมือระหว่างประเทศโดยทั่วไป ไม่เฉพาะฟิลิปปินส์-ไต้หวัน สถานทูตจีนในมะนิลาเตือนฟิลิปปินส์ให้ยึดมั่นในหลักการจีนเดียว หยุดการติดต่ออย่างเป็นทางการกับไต้หวัน และระบุว่า "ผู้ที่เล่นกับไฟจะพินาศเพราะไฟ" นักวิเคราะห์จีนระบุว่าการปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นทางการใดๆ กับไต้หวันจะถูกตีความว่าสนับสนุนเอกราชไต้หวัน ฟิลิปปินส์กำลังก้าวในเส้นทางอันตราย อาจนำไปสู่การตอบโต้อย่างรุนแรงรวมถึงทางเศรษฐกิจ ความตึงเครียดยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อประธานาธิบดีมาร์กอสผ่อนปรนข้อจำกัดการเดินทางที่มีมา 38 ปี ให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลส่วนใหญ่สามารถเยือนไต้หวันเพื่อวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนได้ ความสัมพันธ์จีน-ฟิลิปปินส์เสื่อมถอยลงตั้งแต่มาร์กอสปรับนโยบายให้สอดคล้องกับสหรัฐฯ มีการเผชิญหน้าที่รุนแรงขึ้นในทะเลจีนใต้ ล่าสุดหน่วยยามชายฝั่งจีนเพิ่มการลาดตระเวนบริเวณหมู่เกาะสการ์โบโรห์ และกองทัพจีนส่งเรือรบตอบโต้การลาดตระเวนร่วมระหว่างฟิลิปปินส์-สหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ความตึงเครียดเคยเกิดขึ้นเมื่อมาร์กอสแสดงความยินดีกับผู้นำไต้หวันที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว #imctnews รายงาน
    Like
    2
    0 Comments 1 Shares 687 Views 0 Reviews
  • ติ่งขา….เส้นทางของพี่ปูไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนะคะ คราวนี้เจอหนามเพียบเลยค่าาาา….

    ตอนสิบเอ็ด.……ผู้นำหน้าใหม่……ที่แทบม้วยเพราะพิษสื่อ…!!!!!

    หลังจากที่พิธีเข้ารับการสาบานตนรับตำแหน่งที่สมเกียรติได้ผ่านไป ปูตินต้องจัดระเบียบครอบครัวใหม่ มาชาและแคทยา
    ธิดาทั้งสอง เข้าเรียนภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส นอกเหนือไปจากเยอรมันที่ใช้เป็นภาษาที่สอง ลุดมิลาลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ที่ Telekominvest
    อาคันตุกะรายแรกที่มาเยี่ยมประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Tony Blair นายกรัฐมนตรีจากอังกฤษ
    ที่ลุดมิลาได้ทำหน้าที่ของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งได้อย่างเต็มภาคภูมิ

    ในส่วนของการแสดงทรัพย์สิน…ปูตินมีอสังหาริมทรัพย์สามแห่ง แห่งหนึ่งคือบ้านพักตามอากาศที่เพิ่งซ่อมเสร็จจากไฟไหม้
    และอีกสองแห่งที่รับมาจากพ่อแม่เขา และ พ่อตา
    เงินในธนาคาร มีอยู่ประมาณ 13,000 ดอลล่าร์ ที่นับว่าพอประมาณ แต่ไม่ใช่ขั้นเศรษฐี

    ด้านบุคลากร ปูตินได้นำเพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงานจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก เข้ามาทั้งทีม เช่น Dmitri Medvedev (ต่อมาคือนายกรัฐมนตรี) Aleksei Kudrin (ต่อมาคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง)
    รวมไปถึงทีมจาก FSB
    กลุ่มนี้ เป็นที่รู้จักกันว่า คณะปีเตอร์สเบอร์ก ที่เริ่มจะไม่กินเส้นกับกลุ่มมอสโคว์
    ปูติน……ไม่ไว้ใจกลุ่มมอสโคว์ เพราะพวกนี้ต่างมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่จะมีธุรกิจแอบแฝงในเบื้องหลัง อีกทั้งมีความสนิทสนมกับกลุ่มทุน
    ส่วนกลุ่มข้าเก่าเต่าเลี้ยงของเยลซิน……เขายังเก็บไว้บางคน เช่น Alexandr Voloshin และ Anatoly Chubais
    ปูตินพูดเสมอว่า “ผมมีเพื่อนเยอะแยะ แต่ที่สนิทจริงๆมีไม่กี่คน
    กลุ่มนี้จะไม่ทิ้งผมไปไหน และผมก็จะไม่ทิ้งเขาเช่นกัน”

    นายกรัฐมนตรีที่เขาเลือก คือ Mikhail Kasyanov

    ทางด้านเศรษฐกิจ……ปูตินปรับระบบภาษี คือ 13% สำหรับประชาชนทั่วไป และ 24% จากธุรกิจห้างร้าน ลดจากเมื่อก่อนที่เคยเก็บ 35% ที่เก็บไม่ค่อยได้เพราะคนเลี่ยงจ่าย
    แต่นโยบายใหม่นี้ ……จะเก็บถึงที่ และเก็บทุกราย
    เริ่มต้นในเดือนมกราคม 2002
    นอกจากนั้น คือการชำระสะสางการใช้จ่ายของรัฐบาล
    กำจัดพวกที่อิงผลประโยชน์ และ สั่งให้กลุ่มจากตะวันตกจัดระเบียบใหม่ในเรื่องค่าแรง
    ในรัฐบาลชองปูตินเป็นผสมผสานระหว่าง ประชาธิปไตยสมัยใหม่กับระบบโซเวียต ที่ขึ้นอยู่กับปูตินว่าเขาจะเอาส่วนไหนมาใช้

    วันที่ 11 พฤษภาคม สี่วันหลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีหมาดๆ งานเก็บกวาดได้เริ่มขึ้น นั่นคือ
    กลุ่ม FSB ได้บุกเข้าไปค้นสำนักพิมพ์ Media-Most
    ต้อนพนักงานทั้งหมดไปรวมตัวกันที่ห้องอาหาร
    เหล่าเจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดเอาเอกสาร เครื่องคอมพิวเตอร์
    และ…ปืนพก(แบบสั่งทำขึ้น ประเภทสวยงาม สำหรับสะสม)
    ที่เป็นของ Vladimir Gusinsky เจ้าของและบรรณาธิการ
    นายกัสซินสกี้ เป็นเจ้าของช่องโทรทัศน์ NTV ซึ่งเป็นช่องเอกชนรายแรกของรัสเซีย
    ไม่ว่าจะเป็นสิ่งพิมพ์ หรือ ช่องทีวี ทั้งสองรายการคือ ไม่โปรปูติน แถมยังทำการ์ตูนล้อเลียน เช่นลักษณะหูกาง ตาโรย ที่ใครๆก็รู้ว่า นั่นคือปูติน
    ที่เขาล้อเลียนหนักข้อเข้าทุกที
    นอกจากเข้าค้นสำนักงานแล้ว หน่วยเก็บภาษีได้ทำการตรวจย้อนหลังสมทบอีก
    FSB ได้ทำการยึดปืนพกกระบอกนั้นไป และ กัสซินสกี้ได้ตกเป็นผู้ต้องหา

    ในช่วงที่เกิดขึ้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่ ประธานาธิบดี บิล คลินตัน ได้มาเยี่ยมเยียนเป็นอาคันตุกะพอดี คลินตันได้พยายาม
    ถามถึงเรื่องคดีนี้ (กัสซินสกี้เป็นมหาเศรษฐียิว ที่มีธุรกิจอยู่ในอเมริกาด้วยเช่นกัน)
    แต่ปูตินได้อ้างว่า เขาไม่ทราบเรื่องเพราะในช่วงที่เกิดขึ้น เขาอยู่ที่สเปน

    สาเหตุที่บิล คลินตันไปรัสเซีย คือเรื่องการเจรจาถอยคนละก้าวในเรื่องของนิวเคลียร์ที่ต้องจำกัดจำนวนให้น้อยที่สุด
    แต่ไม่ได้ผลอะไรกับปูติน เพราะมันเป็นการใส่หน้ากากเข้าหากัน เพราะความขัดแย้งในพื้นที่รอบรัสเซียที่งัดกันอยู่ ก็เพราะอเมริกาสนับสนุนอยู่อย่างลับๆ……ใครๆก็รู้
    หลังจากที่คลินตันกลับไป เก้าวันต่อมา……กัสซินสกี้ก็ถูกจับด้วยข้อหามีปืนในครอบครองโดยไม่มีใบอนุญาต

    **กัสซินสกี้ได้มีหลายคดีตามมา จนเขาต้องขอแลกอิสรภาพด้วยการขายหุ้นทุกอย่างคืนให้กับรัฐบาล เมื่อเขาออกไปอยู่ที่สเปน ก็ได้ทำการฟ้องร้องรัฐบาลรัสเซียในเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน…คดียาวนานมาเป็นยี่สิบปี ในระหว่างนั้น เขาก็ยังทำธุรกิจหนังสือพิมพ์และช่องทีวีในต่างประเทศ แน่นอนว่า……
    ไม่เป็นมิตรกับรัสเซียและปูติน

    วันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงของการพักร้อน พักผ่อนหย่อนใจ
    ปูตินและครอบครัวไปยังรีสอร์ตที่ Sochi ชายฝั่งทะเลดำ
    เมื่อไปถึง เขายังไม่ทันได้วางกระเป๋าเสื้อผ้า เสียงโทรศัพท์ด่วนเข้ามา ข่าวร้าย……คือ เรือดำน้ำบรรทุกนิวเคลียร์ “the Kursk”
    ได้เกิดระเบิดขึ้นในขณะที่มีการซ้อมรบที่ Barents Sea, Murmansk
    เรือดำน้ำนิวเคลียร์ เคอร์สค์ ได้สร้างขึ้นในสมัยโซเวียต มาเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 1994 ที่นับว่าทันสมัยที่สุด สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐอเมริกา (ถ้ามีสงคราม)
    ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า เกิดอะไรขึ้น

    แต่เหตุได้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ปูตินเพิ่งออกจากมอสโคว์ มีการระเบิดขึ้นสองครั้ง เรือจมดิ่งลงก้นสมุทร ลูกเรือ 113 คน เสียชีวิตหมด
    เมื่อปูตินได้ทราบข่าว……ทุกอย่างก็สายไปแล้ว
    อย่างเดียวที่ทำได้ คือ ปิดข่าวไว้ก่อน แล้วส่งทีมไปค้นหา
    เขายังทำตัวปรกติ……เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่รอฟังข่าว
    อย่างใจจดใจจ่อ
    Boris Berezovsky โทรมาหาเขาจากปารีส ถามว่า
    “มาทำอะไรอยู่ในโซชิ…ทำไมไม่กลับไปที่มอสโคว์ หรือไปที่เกิดเหตุ……?”
    มาถึงตอนนี้……ปูตินเริ่มฉุน เพราะไม่ใช่หน้าที่อะไรของนายแบเรซอฟสกี้ ที่เป็นเพียงกลุ่มทุนที่อิงมาตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ แต่ชอบเสนอหน้าไปทุกสิ่ง ประมาณตัวว่าเป็นนักการเมืองใหญ่ จะสั่งใครก็ได้
    ในตอนนั้น……หลายประเทศเสนอตัวมาช่วยค้นหา แต่แม่ทัพเรือปฏิเสธ เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นสอดแนมดูพิมพ์เขียว

    จนบิล คลินตันโทรมาหาปูตินเป็นการส่วนตัว เขาจึงยอมให้มีการช่วยเหลือร่วมมือจาก ทีมอังกฤษและทีมนอร์เวย์ ที่มาช่วยกัน ในวันที่ 21
    ที่ทีมทั้งสองนี้ สามารถเปิดฝาปิดเรือดำน้ำได้ภายใน 6 ชั่วโมง
    ในขณะที่รัสเซียได้พยายามอยู่ถึงเก้าวันยังเปิดไม่ได้
    ทันทีที่ปูตินกลับถึงมอสโคว์……เสียงตำหนิ ก่นด่ามาจากทุกสารทิศ โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวของทหารผู้เสียชีวิต
    ซ้ำร้าย……สื่อตีซ้ำด้วยในเรื่องที่ประธานาธิบดีไม่ได้สนใจกับ
    เรื่องนี้ เพราะกำลังไปสนุกสนานพักร้อนริมชายหาด……
    โดยเฉพาะช่องทีวีของ Boris Berezovsky ที่เป็นฝ่ายประโคมข่าว…

    ปูตินโกรธจัด เพราะข่าวจากสายในกองทัพบอกมาว่า บอริสได้จ้างหน้าม้าที่เป็นผู้หญิงมาอ้างตัวว่าเป็นภรรยาของทหารที่ตาย มาร้องห่มร้องไห้ ด่าปูตินออกอากาศ
    บอริสได้เข้าพบกับปูติน เพื่อแก้ข้อหา พร้อมตะโดนใส่ปูตินว่า
    “นั่นเป็นเรื่องจริง…ไม่ใช่หน้าม้า……ไอ้พวกนั้นมันโกหก……!!”
    วันที่ 22 สิงหาคม……ปูตินได้ไปที่ที่เกิดเหตุ พร้อมพบปะกับเหล่าครอบครัวผู้สูญเสีย ที่อยู่ในสภาพโกรธแค้น
    เขาพยายามเยียวยาด้วยการจ่ายเงินเดือนยาวไปสิบปี
    และจัดหาที่อยู่ให้อย่างสะดวกสะบาย พร้อมสวัสดิการเต็มที่
    แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก
    เมื่อหนึ่งในนั้น……ได้ตะโกนถามเขาว่า
    “ทำไมไม่มาช่วยกู้อย่างทันที ……”
    ปูตินตอบไปอย่างตรงๆว่า……
    “เพราะเราไม่มีเครื่องมืออะไรอย่างนั้นเหลือใช้ในชาติเราไง…”

    ปูตินรู้ดีแก่ใจว่า……ไม่ใช่ความผิดของแม่ทัพเรือ (ที่โบ้ยว่าเป็นความผิดของอเมริกา ) ไม่ใช่ความผิดของหน่วยข่าวกรอง
    แต่ทุกอย่างที่มันเลวร้ายได้ขนาดนี้ เพราะ “สื่อ” ทั้งสิ่งพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ล้วนๆ ที่มีอำนาจทำลายล้างได้เทียบเท่ากับกองทัพขนาดใหญ่

    วันต่อมา..ปูตินได้ออกแถลงการทางโทรทัศน์ ที่เขาถอดใจพูดออกมาว่า ประเทศชาติได้ผ่านวิกฤติมาทุกรูปแบบ ทั้งในและนอกประเทศ แต่สิ่งที่ซ้ำเติมเรา คือ กลุ่มคนที่แสวงหาผลประโยชน์จากความเดือดร้อนของชาติ โดยการให้ข่าวบิดเบือนสร้างความเจ็บช้ำ แล้วมาทำดีโดยการระดมทุนเพื่อให้ผู้เสียหาย เพื่อเอาการค้ามาอิงร่วม การระดมทุนที่อ้างว่ามีถึงล้านเหรียญ (โดยประมาณ) มันแค่เป็นเศษน้อยนิด จากสิ่งที่เขารีดไปจากเรา ไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์หรูที่เมดิเตอร์เรเนียน ฝั่งฝรั่งเศส และฝั่งสเปน ไปช่วยกันถามหน่อยซิ ว่าเขาเอาเงินจากที่ไหนไปซื้อ……??

    เรื่องนี้……คือการกระทบ Boris Berezovsky โดยตรง เพราะเขาเป็นคนระดมทุนที่ว่า
    จากวันนั้น……ปูตินได้ทำการรุกเอาสมบัติของชาติคืนอย่างเอาจริงเอาจัง
    ยึดหุ้น Aeroflot คืนจากบอริส ที่หนีออกนอกประเทศไป
    ก่อนหนี……เขาได้ลุกลี้ลุกลนขายหุ้นสถานีโทรทัศน์ให้กับ
    Roman Abramovich (ที่คืนให้กับรัฐบาลในต่อมา)
    ส่วนนาย Gusinsky ได้ถูกยึดหุ้นทั้งหมดของ NTV เพราะมีหนี้ติดค้างกับ Gazprom หลังจากที่หนีไปสเปน
    เท่ากับว่า……ช่องทีวีเอกชนทั้งหมดได้ไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาลอย่างเรียบร้อย

    วันที่ 11 กันยายน…ปูตินได้เรียกประชุมนักข่าวจาก 48 สำนัก
    ให้เข้ามารับนโยบายของรัฐบาล และจะมีการให้ข่าวในเรื่องการปฎิบัติการทางทหารที่เชเชน…
    ทันทีที่จบการบันทึกภาพการประชุม ……เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้รีบเข้ามารายงานให้เขาเข้าไปดู”อะไรบางอย่าง” โดยด่วนที่หน้าจอมอนิเตอร์ทีวี
    ภาพที่เขาเห็นคือ ภาพของเหตุการณ์ 9/11 ที่นครนิวยอร์ค
    ที่เป็นฝีมือของ Al-Queda ที่มีประวัติแทรกแซงฟาดฟันกับรัสเซียในเชเชนด้วยเช่นกัน
    สิ่งแรกที่ปูตินทำ คือ เขาหันไปถาม Sergei Ivanov ว่า..
    “เราจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง…??”
    เขาไม่ได้พูดเฉยๆ ปูตินยกหูไปหาประธานาธิบดีบุชทันที
    และได้พูดกับ นาง Condoleeza Rice (ฝ่ายความมั่นคง)
    เขาได้ยืนยันกับเธอว่า รัสเซียจะยกเลิกเรื่องการซ้อมรบทางฝั่งแปซิฟิค (ที่เพิ่งเริ่มไปเมื่อวาน) และ จะพักเรื่องการเจรจานิวเคลียร์ไปก่อน ทางอเมริกามีอะไรให้เราช่วยได้ ขอให้บอกมาได้เลย ทางเรายินดีให้ความร่วมมือเต็มที่…”

    ทันทีที่วางหูโทรศัพท์ไป.……ความรู้สึกอย่างหนึ่งได้บอกกับ
    เขาว่า………สงครามเย็นได้จบสิ้นลงแล้ว………!!!
    เพราะจากนี้ไป รัสเซียและอเมริกาจะต้องร่วมมือกัน เพราะมีศัตรูคนเดียวกัน
    คือ….กลุ่มผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ (The Terrorists) ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า……พวกเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน…?!!

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งขา….เส้นทางของพี่ปูไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนะคะ คราวนี้เจอหนามเพียบเลยค่าาาา…. ตอนสิบเอ็ด.……ผู้นำหน้าใหม่……ที่แทบม้วยเพราะพิษสื่อ…!!!!! หลังจากที่พิธีเข้ารับการสาบานตนรับตำแหน่งที่สมเกียรติได้ผ่านไป ปูตินต้องจัดระเบียบครอบครัวใหม่ มาชาและแคทยา ธิดาทั้งสอง เข้าเรียนภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส นอกเหนือไปจากเยอรมันที่ใช้เป็นภาษาที่สอง ลุดมิลาลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ที่ Telekominvest อาคันตุกะรายแรกที่มาเยี่ยมประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Tony Blair นายกรัฐมนตรีจากอังกฤษ ที่ลุดมิลาได้ทำหน้าที่ของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งได้อย่างเต็มภาคภูมิ ในส่วนของการแสดงทรัพย์สิน…ปูตินมีอสังหาริมทรัพย์สามแห่ง แห่งหนึ่งคือบ้านพักตามอากาศที่เพิ่งซ่อมเสร็จจากไฟไหม้ และอีกสองแห่งที่รับมาจากพ่อแม่เขา และ พ่อตา เงินในธนาคาร มีอยู่ประมาณ 13,000 ดอลล่าร์ ที่นับว่าพอประมาณ แต่ไม่ใช่ขั้นเศรษฐี ด้านบุคลากร ปูตินได้นำเพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงานจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก เข้ามาทั้งทีม เช่น Dmitri Medvedev (ต่อมาคือนายกรัฐมนตรี) Aleksei Kudrin (ต่อมาคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) รวมไปถึงทีมจาก FSB กลุ่มนี้ เป็นที่รู้จักกันว่า คณะปีเตอร์สเบอร์ก ที่เริ่มจะไม่กินเส้นกับกลุ่มมอสโคว์ ปูติน……ไม่ไว้ใจกลุ่มมอสโคว์ เพราะพวกนี้ต่างมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่จะมีธุรกิจแอบแฝงในเบื้องหลัง อีกทั้งมีความสนิทสนมกับกลุ่มทุน ส่วนกลุ่มข้าเก่าเต่าเลี้ยงของเยลซิน……เขายังเก็บไว้บางคน เช่น Alexandr Voloshin และ Anatoly Chubais ปูตินพูดเสมอว่า “ผมมีเพื่อนเยอะแยะ แต่ที่สนิทจริงๆมีไม่กี่คน กลุ่มนี้จะไม่ทิ้งผมไปไหน และผมก็จะไม่ทิ้งเขาเช่นกัน” นายกรัฐมนตรีที่เขาเลือก คือ Mikhail Kasyanov ทางด้านเศรษฐกิจ……ปูตินปรับระบบภาษี คือ 13% สำหรับประชาชนทั่วไป และ 24% จากธุรกิจห้างร้าน ลดจากเมื่อก่อนที่เคยเก็บ 35% ที่เก็บไม่ค่อยได้เพราะคนเลี่ยงจ่าย แต่นโยบายใหม่นี้ ……จะเก็บถึงที่ และเก็บทุกราย เริ่มต้นในเดือนมกราคม 2002 นอกจากนั้น คือการชำระสะสางการใช้จ่ายของรัฐบาล กำจัดพวกที่อิงผลประโยชน์ และ สั่งให้กลุ่มจากตะวันตกจัดระเบียบใหม่ในเรื่องค่าแรง ในรัฐบาลชองปูตินเป็นผสมผสานระหว่าง ประชาธิปไตยสมัยใหม่กับระบบโซเวียต ที่ขึ้นอยู่กับปูตินว่าเขาจะเอาส่วนไหนมาใช้ วันที่ 11 พฤษภาคม สี่วันหลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีหมาดๆ งานเก็บกวาดได้เริ่มขึ้น นั่นคือ กลุ่ม FSB ได้บุกเข้าไปค้นสำนักพิมพ์ Media-Most ต้อนพนักงานทั้งหมดไปรวมตัวกันที่ห้องอาหาร เหล่าเจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดเอาเอกสาร เครื่องคอมพิวเตอร์ และ…ปืนพก(แบบสั่งทำขึ้น ประเภทสวยงาม สำหรับสะสม) ที่เป็นของ Vladimir Gusinsky เจ้าของและบรรณาธิการ นายกัสซินสกี้ เป็นเจ้าของช่องโทรทัศน์ NTV ซึ่งเป็นช่องเอกชนรายแรกของรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งพิมพ์ หรือ ช่องทีวี ทั้งสองรายการคือ ไม่โปรปูติน แถมยังทำการ์ตูนล้อเลียน เช่นลักษณะหูกาง ตาโรย ที่ใครๆก็รู้ว่า นั่นคือปูติน ที่เขาล้อเลียนหนักข้อเข้าทุกที นอกจากเข้าค้นสำนักงานแล้ว หน่วยเก็บภาษีได้ทำการตรวจย้อนหลังสมทบอีก FSB ได้ทำการยึดปืนพกกระบอกนั้นไป และ กัสซินสกี้ได้ตกเป็นผู้ต้องหา ในช่วงที่เกิดขึ้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่ ประธานาธิบดี บิล คลินตัน ได้มาเยี่ยมเยียนเป็นอาคันตุกะพอดี คลินตันได้พยายาม ถามถึงเรื่องคดีนี้ (กัสซินสกี้เป็นมหาเศรษฐียิว ที่มีธุรกิจอยู่ในอเมริกาด้วยเช่นกัน) แต่ปูตินได้อ้างว่า เขาไม่ทราบเรื่องเพราะในช่วงที่เกิดขึ้น เขาอยู่ที่สเปน สาเหตุที่บิล คลินตันไปรัสเซีย คือเรื่องการเจรจาถอยคนละก้าวในเรื่องของนิวเคลียร์ที่ต้องจำกัดจำนวนให้น้อยที่สุด แต่ไม่ได้ผลอะไรกับปูติน เพราะมันเป็นการใส่หน้ากากเข้าหากัน เพราะความขัดแย้งในพื้นที่รอบรัสเซียที่งัดกันอยู่ ก็เพราะอเมริกาสนับสนุนอยู่อย่างลับๆ……ใครๆก็รู้ หลังจากที่คลินตันกลับไป เก้าวันต่อมา……กัสซินสกี้ก็ถูกจับด้วยข้อหามีปืนในครอบครองโดยไม่มีใบอนุญาต **กัสซินสกี้ได้มีหลายคดีตามมา จนเขาต้องขอแลกอิสรภาพด้วยการขายหุ้นทุกอย่างคืนให้กับรัฐบาล เมื่อเขาออกไปอยู่ที่สเปน ก็ได้ทำการฟ้องร้องรัฐบาลรัสเซียในเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน…คดียาวนานมาเป็นยี่สิบปี ในระหว่างนั้น เขาก็ยังทำธุรกิจหนังสือพิมพ์และช่องทีวีในต่างประเทศ แน่นอนว่า…… ไม่เป็นมิตรกับรัสเซียและปูติน วันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงของการพักร้อน พักผ่อนหย่อนใจ ปูตินและครอบครัวไปยังรีสอร์ตที่ Sochi ชายฝั่งทะเลดำ เมื่อไปถึง เขายังไม่ทันได้วางกระเป๋าเสื้อผ้า เสียงโทรศัพท์ด่วนเข้ามา ข่าวร้าย……คือ เรือดำน้ำบรรทุกนิวเคลียร์ “the Kursk” ได้เกิดระเบิดขึ้นในขณะที่มีการซ้อมรบที่ Barents Sea, Murmansk เรือดำน้ำนิวเคลียร์ เคอร์สค์ ได้สร้างขึ้นในสมัยโซเวียต มาเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 1994 ที่นับว่าทันสมัยที่สุด สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐอเมริกา (ถ้ามีสงคราม) ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า เกิดอะไรขึ้น แต่เหตุได้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ปูตินเพิ่งออกจากมอสโคว์ มีการระเบิดขึ้นสองครั้ง เรือจมดิ่งลงก้นสมุทร ลูกเรือ 113 คน เสียชีวิตหมด เมื่อปูตินได้ทราบข่าว……ทุกอย่างก็สายไปแล้ว อย่างเดียวที่ทำได้ คือ ปิดข่าวไว้ก่อน แล้วส่งทีมไปค้นหา เขายังทำตัวปรกติ……เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่รอฟังข่าว อย่างใจจดใจจ่อ Boris Berezovsky โทรมาหาเขาจากปารีส ถามว่า “มาทำอะไรอยู่ในโซชิ…ทำไมไม่กลับไปที่มอสโคว์ หรือไปที่เกิดเหตุ……?” มาถึงตอนนี้……ปูตินเริ่มฉุน เพราะไม่ใช่หน้าที่อะไรของนายแบเรซอฟสกี้ ที่เป็นเพียงกลุ่มทุนที่อิงมาตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ แต่ชอบเสนอหน้าไปทุกสิ่ง ประมาณตัวว่าเป็นนักการเมืองใหญ่ จะสั่งใครก็ได้ ในตอนนั้น……หลายประเทศเสนอตัวมาช่วยค้นหา แต่แม่ทัพเรือปฏิเสธ เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นสอดแนมดูพิมพ์เขียว จนบิล คลินตันโทรมาหาปูตินเป็นการส่วนตัว เขาจึงยอมให้มีการช่วยเหลือร่วมมือจาก ทีมอังกฤษและทีมนอร์เวย์ ที่มาช่วยกัน ในวันที่ 21 ที่ทีมทั้งสองนี้ สามารถเปิดฝาปิดเรือดำน้ำได้ภายใน 6 ชั่วโมง ในขณะที่รัสเซียได้พยายามอยู่ถึงเก้าวันยังเปิดไม่ได้ ทันทีที่ปูตินกลับถึงมอสโคว์……เสียงตำหนิ ก่นด่ามาจากทุกสารทิศ โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวของทหารผู้เสียชีวิต ซ้ำร้าย……สื่อตีซ้ำด้วยในเรื่องที่ประธานาธิบดีไม่ได้สนใจกับ เรื่องนี้ เพราะกำลังไปสนุกสนานพักร้อนริมชายหาด…… โดยเฉพาะช่องทีวีของ Boris Berezovsky ที่เป็นฝ่ายประโคมข่าว… ปูตินโกรธจัด เพราะข่าวจากสายในกองทัพบอกมาว่า บอริสได้จ้างหน้าม้าที่เป็นผู้หญิงมาอ้างตัวว่าเป็นภรรยาของทหารที่ตาย มาร้องห่มร้องไห้ ด่าปูตินออกอากาศ บอริสได้เข้าพบกับปูติน เพื่อแก้ข้อหา พร้อมตะโดนใส่ปูตินว่า “นั่นเป็นเรื่องจริง…ไม่ใช่หน้าม้า……ไอ้พวกนั้นมันโกหก……!!” วันที่ 22 สิงหาคม……ปูตินได้ไปที่ที่เกิดเหตุ พร้อมพบปะกับเหล่าครอบครัวผู้สูญเสีย ที่อยู่ในสภาพโกรธแค้น เขาพยายามเยียวยาด้วยการจ่ายเงินเดือนยาวไปสิบปี และจัดหาที่อยู่ให้อย่างสะดวกสะบาย พร้อมสวัสดิการเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เมื่อหนึ่งในนั้น……ได้ตะโกนถามเขาว่า “ทำไมไม่มาช่วยกู้อย่างทันที ……” ปูตินตอบไปอย่างตรงๆว่า…… “เพราะเราไม่มีเครื่องมืออะไรอย่างนั้นเหลือใช้ในชาติเราไง…” ปูตินรู้ดีแก่ใจว่า……ไม่ใช่ความผิดของแม่ทัพเรือ (ที่โบ้ยว่าเป็นความผิดของอเมริกา ) ไม่ใช่ความผิดของหน่วยข่าวกรอง แต่ทุกอย่างที่มันเลวร้ายได้ขนาดนี้ เพราะ “สื่อ” ทั้งสิ่งพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ล้วนๆ ที่มีอำนาจทำลายล้างได้เทียบเท่ากับกองทัพขนาดใหญ่ วันต่อมา..ปูตินได้ออกแถลงการทางโทรทัศน์ ที่เขาถอดใจพูดออกมาว่า ประเทศชาติได้ผ่านวิกฤติมาทุกรูปแบบ ทั้งในและนอกประเทศ แต่สิ่งที่ซ้ำเติมเรา คือ กลุ่มคนที่แสวงหาผลประโยชน์จากความเดือดร้อนของชาติ โดยการให้ข่าวบิดเบือนสร้างความเจ็บช้ำ แล้วมาทำดีโดยการระดมทุนเพื่อให้ผู้เสียหาย เพื่อเอาการค้ามาอิงร่วม การระดมทุนที่อ้างว่ามีถึงล้านเหรียญ (โดยประมาณ) มันแค่เป็นเศษน้อยนิด จากสิ่งที่เขารีดไปจากเรา ไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์หรูที่เมดิเตอร์เรเนียน ฝั่งฝรั่งเศส และฝั่งสเปน ไปช่วยกันถามหน่อยซิ ว่าเขาเอาเงินจากที่ไหนไปซื้อ……?? เรื่องนี้……คือการกระทบ Boris Berezovsky โดยตรง เพราะเขาเป็นคนระดมทุนที่ว่า จากวันนั้น……ปูตินได้ทำการรุกเอาสมบัติของชาติคืนอย่างเอาจริงเอาจัง ยึดหุ้น Aeroflot คืนจากบอริส ที่หนีออกนอกประเทศไป ก่อนหนี……เขาได้ลุกลี้ลุกลนขายหุ้นสถานีโทรทัศน์ให้กับ Roman Abramovich (ที่คืนให้กับรัฐบาลในต่อมา) ส่วนนาย Gusinsky ได้ถูกยึดหุ้นทั้งหมดของ NTV เพราะมีหนี้ติดค้างกับ Gazprom หลังจากที่หนีไปสเปน เท่ากับว่า……ช่องทีวีเอกชนทั้งหมดได้ไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาลอย่างเรียบร้อย วันที่ 11 กันยายน…ปูตินได้เรียกประชุมนักข่าวจาก 48 สำนัก ให้เข้ามารับนโยบายของรัฐบาล และจะมีการให้ข่าวในเรื่องการปฎิบัติการทางทหารที่เชเชน… ทันทีที่จบการบันทึกภาพการประชุม ……เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้รีบเข้ามารายงานให้เขาเข้าไปดู”อะไรบางอย่าง” โดยด่วนที่หน้าจอมอนิเตอร์ทีวี ภาพที่เขาเห็นคือ ภาพของเหตุการณ์ 9/11 ที่นครนิวยอร์ค ที่เป็นฝีมือของ Al-Queda ที่มีประวัติแทรกแซงฟาดฟันกับรัสเซียในเชเชนด้วยเช่นกัน สิ่งแรกที่ปูตินทำ คือ เขาหันไปถาม Sergei Ivanov ว่า.. “เราจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง…??” เขาไม่ได้พูดเฉยๆ ปูตินยกหูไปหาประธานาธิบดีบุชทันที และได้พูดกับ นาง Condoleeza Rice (ฝ่ายความมั่นคง) เขาได้ยืนยันกับเธอว่า รัสเซียจะยกเลิกเรื่องการซ้อมรบทางฝั่งแปซิฟิค (ที่เพิ่งเริ่มไปเมื่อวาน) และ จะพักเรื่องการเจรจานิวเคลียร์ไปก่อน ทางอเมริกามีอะไรให้เราช่วยได้ ขอให้บอกมาได้เลย ทางเรายินดีให้ความร่วมมือเต็มที่…” ทันทีที่วางหูโทรศัพท์ไป.……ความรู้สึกอย่างหนึ่งได้บอกกับ เขาว่า………สงครามเย็นได้จบสิ้นลงแล้ว………!!! เพราะจากนี้ไป รัสเซียและอเมริกาจะต้องร่วมมือกัน เพราะมีศัตรูคนเดียวกัน คือ….กลุ่มผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ (The Terrorists) ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า……พวกเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน…?!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 1020 Views 0 Reviews