• 🇩🇪🇺🇦 เยอรมนีทำลายตัวเองเพื่อยูเครน!

    รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนีอธิบายว่า เงินที่ส่งไปยังยูเครนถูกตัดจากโรงเรียนและศูนย์รับเลี้ยงเด็ก, และทางรถไฟของเยอรมนีก็ไม่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยเช่นกัน!

    -> ตอนนี้เซเลนสกีได้รับเงินมาโดยเปล่าประโยชน์ และเด็กเยอรมันและโครงสร้างพื้นฐานก็ไม่ได้รับการสนับสนุน

    ถ้าคุณถามฉัน, นี่คือการทรยศต่อคนเยอรมัน
    .
    🇩🇪🇺🇦 GERMANY DESTROYS ITSELF FOR UKRAINE!

    German foreign minister explains that the money they sent to Ukraine was cut from SCHOOLS AND DAYCARE centers, and also the German RAILWAYS were not modernized for example!

    -> Now Zelensky got the money for nothing and German kids and infrastructure is not funded.

    If you ask me, this is treason towards the German people.
    .
    7:19 PM · Nov 9, 2024 · 1.1M Views
    https://x.com/MyLordBebo/status/1855223717338493418
    🇩🇪🇺🇦 เยอรมนีทำลายตัวเองเพื่อยูเครน! รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนีอธิบายว่า เงินที่ส่งไปยังยูเครนถูกตัดจากโรงเรียนและศูนย์รับเลี้ยงเด็ก, และทางรถไฟของเยอรมนีก็ไม่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยเช่นกัน! -> ตอนนี้เซเลนสกีได้รับเงินมาโดยเปล่าประโยชน์ และเด็กเยอรมันและโครงสร้างพื้นฐานก็ไม่ได้รับการสนับสนุน ถ้าคุณถามฉัน, นี่คือการทรยศต่อคนเยอรมัน . 🇩🇪🇺🇦 GERMANY DESTROYS ITSELF FOR UKRAINE! German foreign minister explains that the money they sent to Ukraine was cut from SCHOOLS AND DAYCARE centers, and also the German RAILWAYS were not modernized for example! -> Now Zelensky got the money for nothing and German kids and infrastructure is not funded. If you ask me, this is treason towards the German people. . 7:19 PM · Nov 9, 2024 · 1.1M Views https://x.com/MyLordBebo/status/1855223717338493418
    Haha
    1
    1 Comments 0 Shares 135 Views 20 0 Reviews
  • รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี กำลังอธิบายว่าเศรษฐกิจเยอรมันพังเพราะอะไร

    37,000ล้านยูโร ที่ต้องส่งไปช่วยยูเครน ก็เพื่อรักษาสันติภาพของพวกเรา ซึ่งเป็นงบประมาณที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า จำเป็นต้องตัดมาจากเงินงบประมาณทางด้านสังคม เช่น งบทางด้านโรงเรียนและศูนย์รับเลี้ยงเด็ก เงินจากกองทุนต่างๆ จากและระบบขนส่งรถไฟของเยอรมนีด้วยเช่นกัน!
    นางอันนาเลนา แบร์บอค ร่ายยาว
    รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี กำลังอธิบายว่าเศรษฐกิจเยอรมันพังเพราะอะไร 37,000ล้านยูโร ที่ต้องส่งไปช่วยยูเครน ก็เพื่อรักษาสันติภาพของพวกเรา ซึ่งเป็นงบประมาณที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า จำเป็นต้องตัดมาจากเงินงบประมาณทางด้านสังคม เช่น งบทางด้านโรงเรียนและศูนย์รับเลี้ยงเด็ก เงินจากกองทุนต่างๆ จากและระบบขนส่งรถไฟของเยอรมนีด้วยเช่นกัน! นางอันนาเลนา แบร์บอค ร่ายยาว
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 Reviews
  • ใครคือ ริชาร์ด เกรเนลล์ รัฐมนตรีต่างประเทศที่ทรัมป์เลือก?

    อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติและเอกอัครราชทูตประจำเยอรมนี รายงานระบุว่า ริชาร์ด เกรเนลล์ ติดอยู่ในรายชื่อผู้รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ – ตำแหน่งที่มีหน้าที่ให้คำปรึกษาประธานาธิบดีเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศและดำเนินการตามการตัดสินใจ

    ถ้อยแถลงและการกระทำต่อสาธารณะของเกรเนลล์ ให้เบาะแสเกี่ยวกับแนวทางนโยบายต่างประเทศที่เขาอาจมอบให้โดนัลด์ ทรัมป์:

    🔸 ผู้สมัครรายนี้เชื่อว่ามีความปรารถนาเช่นเดียวกับทรัมป์ที่ต้องการยุติความขัดแย้งในยูเครน ในเดือนกรกฎาคม, เขาพูดถึง "เขตปกครองตนเอง" ในพื้นที่ขัดแย้ง, และกล่าวว่าเคียฟไม่ควรคาดหวังว่าจะเข้าร่วมนาโตในเร็วๆนี้

    🔸 มีรายงานว่า Grenell เข้าร่วมการประชุมระหว่างทรัมป์กับ Zelensky ในเดือนกันยายน

    🔸 “[ทรัมป์] ได้แสดงให้เห็นว่าเขารู้วิธีที่จะนำทั้งสองฝ่ายมาเจรจากัน เขาทำมาอย่างต่อเนื่อง อาหรับและอิสราเอล, รัสเซียและยูเครน จะเป็นรายต่อไป” เกรเนลล์กล่าวในบทความ FP ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์นี้เกี่ยวกับ “แผนนโยบายต่างประเทศของทรัมป์”

    🔸 สื่อของยูเครนเกรงว่าการแต่งตั้งเกรเนลล์จะ "ให้ความสำคัญกับความปรารถนาของทรัมป์ที่จะยุติสงครามอย่างรวดเร็ว, แม้ว่าจะหมายถึงการยอมประนีประนอมที่สำคัญสำหรับยูเครนก็ตาม"

    🔸 ตำแหน่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ Grenell หูเบากับรัสเซีย ในปี ๒๐๑๙, ขณะที่ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำเยอรมนี, Grenell ได้ขู่บริษัทในยุโรปซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยการคว่ำบาตรเนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการท่อส่งก๊าซ Nord Stream ๒ จนทำให้บรรดานักการเมืองเยอรมันประณามเขาว่าเป็น “เจ้าหน้าที่ยึดครอง” และเรียกร้องให้ขับไล่เขาออกไป

    “วิกฤตยูเครนยังคงเป็นประเด็นสำคัญในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ, โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทรัมป์อยู่ในอำนาจ” นักวิเคราะห์การเมือง Massimiliano Bonne กล่าวกับ Sputnik โดยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแต่งตั้ง Grenell ที่อาจเกิดขึ้น

    “ในช่วงบริหารชุดก่อน, ทรัมป์มีทัศนคติที่คลุมเครือต่อรัสเซีย แม้จะมีความตึงเครียดในยุโรปตะวันออกก็ตาม, รัฐบาลชุดใหม่นี้อาจพบว่าตัวเองต้องรับมือกับความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างเคียฟและมอสโกว์, ซึ่งต้องรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนยูเครนและหลีกเลี่ยงการยกระดับปัญหาโดยตรงกับรัสเซีย” บอนเน่กล่าว
    .
    WHO IS POTENTIAL TRUMP SEC. STATE PICK RICHARD GRENELL?

    Ex-director of national intelligence and ambassador to Germany Richard Grenell has reportedly made the shortlist of potential candidates for the job of secretary of state – a post entailing responsibility for advising the president on foreign policy and carrying out his decisions.

    Grenell’s public statements and actions provide clues about the kind of foreign policy guidance he might give Donald Trump:

    🔸 The candidate is thought to share Trump’s desire to end the conflict in Ukraine. In July, he spitballed so-called “autonomous regions” in the conflict area, and said Kiev shouldn’t expect to join NATO anytime soon.

    🔸 Grenell reportedly sat in on Trump’s meeting with Zelensky in September.

    🔸 “[Trump] has shown he knows how to bring both sides to the table. He’s done it consistently. Arabs and Israelis, Russians and Ukrainians will be next,” Grenell said in a FP piece published this week on “Trump’s foreign policy plan.”

    🔸 Ukrainian media fear Grenell’s appointment would “prioritize Trump’s desire to end the war quickly, even if it means making significant concessions for Ukraine.”

    🔸 These positions don’t make Grenell a softy on Russia. In 2019, while serving as ambassador to Germany, Grenell repeatedly threatened European companies with sanctions over their involvement in the Nord Stream 2 gas pipeline project, prompting German politicians to brand him an “occupation officer” and to demand his expulsion.

    “The Ukraine crisis remains a crucial issue in US foreign policy, especially with Trump in power,” political analyst Massimiliano Bonne told Sputnik, commenting on Grenell’s potential appointment.

    “During his previous administration, Trump had adopted an ambivalent attitude towards Russia, despite the tensions in Eastern Europe. The new administration could find itself dealing with a protracted conflict between Kiev and Moscow, striking a difficult balance between supporting Ukraine and avoiding a direct escalation with Russia,” Bonne said.
    .
    3:00 AM · Nov 9, 2024 · 3,855 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1854977191844385066
    ใครคือ ริชาร์ด เกรเนลล์ รัฐมนตรีต่างประเทศที่ทรัมป์เลือก? อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติและเอกอัครราชทูตประจำเยอรมนี รายงานระบุว่า ริชาร์ด เกรเนลล์ ติดอยู่ในรายชื่อผู้รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ – ตำแหน่งที่มีหน้าที่ให้คำปรึกษาประธานาธิบดีเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศและดำเนินการตามการตัดสินใจ ถ้อยแถลงและการกระทำต่อสาธารณะของเกรเนลล์ ให้เบาะแสเกี่ยวกับแนวทางนโยบายต่างประเทศที่เขาอาจมอบให้โดนัลด์ ทรัมป์: 🔸 ผู้สมัครรายนี้เชื่อว่ามีความปรารถนาเช่นเดียวกับทรัมป์ที่ต้องการยุติความขัดแย้งในยูเครน ในเดือนกรกฎาคม, เขาพูดถึง "เขตปกครองตนเอง" ในพื้นที่ขัดแย้ง, และกล่าวว่าเคียฟไม่ควรคาดหวังว่าจะเข้าร่วมนาโตในเร็วๆนี้ 🔸 มีรายงานว่า Grenell เข้าร่วมการประชุมระหว่างทรัมป์กับ Zelensky ในเดือนกันยายน 🔸 “[ทรัมป์] ได้แสดงให้เห็นว่าเขารู้วิธีที่จะนำทั้งสองฝ่ายมาเจรจากัน เขาทำมาอย่างต่อเนื่อง อาหรับและอิสราเอล, รัสเซียและยูเครน จะเป็นรายต่อไป” เกรเนลล์กล่าวในบทความ FP ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์นี้เกี่ยวกับ “แผนนโยบายต่างประเทศของทรัมป์” 🔸 สื่อของยูเครนเกรงว่าการแต่งตั้งเกรเนลล์จะ "ให้ความสำคัญกับความปรารถนาของทรัมป์ที่จะยุติสงครามอย่างรวดเร็ว, แม้ว่าจะหมายถึงการยอมประนีประนอมที่สำคัญสำหรับยูเครนก็ตาม" 🔸 ตำแหน่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ Grenell หูเบากับรัสเซีย ในปี ๒๐๑๙, ขณะที่ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำเยอรมนี, Grenell ได้ขู่บริษัทในยุโรปซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยการคว่ำบาตรเนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการท่อส่งก๊าซ Nord Stream ๒ จนทำให้บรรดานักการเมืองเยอรมันประณามเขาว่าเป็น “เจ้าหน้าที่ยึดครอง” และเรียกร้องให้ขับไล่เขาออกไป “วิกฤตยูเครนยังคงเป็นประเด็นสำคัญในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ, โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทรัมป์อยู่ในอำนาจ” นักวิเคราะห์การเมือง Massimiliano Bonne กล่าวกับ Sputnik โดยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแต่งตั้ง Grenell ที่อาจเกิดขึ้น “ในช่วงบริหารชุดก่อน, ทรัมป์มีทัศนคติที่คลุมเครือต่อรัสเซีย แม้จะมีความตึงเครียดในยุโรปตะวันออกก็ตาม, รัฐบาลชุดใหม่นี้อาจพบว่าตัวเองต้องรับมือกับความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างเคียฟและมอสโกว์, ซึ่งต้องรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนยูเครนและหลีกเลี่ยงการยกระดับปัญหาโดยตรงกับรัสเซีย” บอนเน่กล่าว . WHO IS POTENTIAL TRUMP SEC. STATE PICK RICHARD GRENELL? Ex-director of national intelligence and ambassador to Germany Richard Grenell has reportedly made the shortlist of potential candidates for the job of secretary of state – a post entailing responsibility for advising the president on foreign policy and carrying out his decisions. Grenell’s public statements and actions provide clues about the kind of foreign policy guidance he might give Donald Trump: 🔸 The candidate is thought to share Trump’s desire to end the conflict in Ukraine. In July, he spitballed so-called “autonomous regions” in the conflict area, and said Kiev shouldn’t expect to join NATO anytime soon. 🔸 Grenell reportedly sat in on Trump’s meeting with Zelensky in September. 🔸 “[Trump] has shown he knows how to bring both sides to the table. He’s done it consistently. Arabs and Israelis, Russians and Ukrainians will be next,” Grenell said in a FP piece published this week on “Trump’s foreign policy plan.” 🔸 Ukrainian media fear Grenell’s appointment would “prioritize Trump’s desire to end the war quickly, even if it means making significant concessions for Ukraine.” 🔸 These positions don’t make Grenell a softy on Russia. In 2019, while serving as ambassador to Germany, Grenell repeatedly threatened European companies with sanctions over their involvement in the Nord Stream 2 gas pipeline project, prompting German politicians to brand him an “occupation officer” and to demand his expulsion. “The Ukraine crisis remains a crucial issue in US foreign policy, especially with Trump in power,” political analyst Massimiliano Bonne told Sputnik, commenting on Grenell’s potential appointment. “During his previous administration, Trump had adopted an ambivalent attitude towards Russia, despite the tensions in Eastern Europe. The new administration could find itself dealing with a protracted conflict between Kiev and Moscow, striking a difficult balance between supporting Ukraine and avoiding a direct escalation with Russia,” Bonne said. . 3:00 AM · Nov 9, 2024 · 3,855 Views https://x.com/SputnikInt/status/1854977191844385066
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 259 Views 0 Reviews
  • รถถัง Leopard 2A6 ของเยอรมัน อีกคันหนึ่งถูกโจมตีจากโดรนของรัสเซีย ในภูมิภาคเคิร์สก์ ดินแดนรัสเซีย
    รถถัง Leopard 2A6 ของเยอรมัน อีกคันหนึ่งถูกโจมตีจากโดรนของรัสเซีย ในภูมิภาคเคิร์สก์ ดินแดนรัสเซีย
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 101 Views 101 0 Reviews
  • **ต้องอ่านให้จบ**หายนะกำลังมาเยือนประชาชนคนไทย!!

    ขอนำบทความที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งมาเสนอค่ะ
    เครดิต พิมพ์ชนก พิทักษ์ชัยยะบุตร

    Somkiat Osotsapa
    January 31 at 5:18am ·
    พาไปเที่ยวโรงพยาบาลจุฬาฯกัน
    -------------------------
    เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว ผมไปรพ. จุฬาฯ เป็นประสบการณ์ใหม่ของชีวิต
    ที่จริงแล้ว ผมไม่เคยป่วยนอนโรงพยาบาลเลย เคยแต่ไปเฝ้าไข้รพ.เอกชน ซื่งสบายมาก มีเชฟอาหาร ทั้งจีน อินเดีย ไทย ชั้นเลิศ ออกแนวบันเทิง มีร้านกาแฟแบรนด์เนม ที่จริงก็ไปตรวจนี่นั่น ที่รพ.เอกชนเหมือนกัน มันสะดวกมาก

    แล้วผมก็เกิดอยากจะรู้ว่าถ้าผมจะใช้สิทธิข้าราชการของผมบ้าง จะต้องทำอย่างไร ลองไปรพจุฬา

    แวะไปครั้งที่หนื่ง เข้าคิวอยู่ยาวช่วงบ่าย บอกว่าต้องมาเอาคิว ในวันรุ่งขึ้น

    สอบถามได้ความว่าถ้าจะตรวจในวันรุ่งขึ้น ต้องมาเข้าคิวเอาบัตรคิวที่ตู้ที่จะเปิดตอนตี 5 ครื่ง

    อ๊ะ! ถ้างั้นต้องตื่นตีสี่ ไปเข้าคิวตีห้า…

    เมื่อผมไปถึงตอนตีห้า มีคนอยู่ร่วมหนื่งพันคน ตั้งแต่บัตรประกันสังคม คนไข้ส่งต่อ แรงงานต่างด้าว ร่วม 12 ประเภท หลากหลายช่องมาก
    คิดถึงอารมณ์พระพุทธเจ้า เห็นทุกขเวทนาตัดสินใจออกบวชทันที
    เอาว่าคนเคยไปรพ.เอกชน จะช้อค
    แต่ผมอยากรู้ว่าคนเขาลำบากอย่างไร…ไม่เส้น…ตามคิว…

    แล้วก็รู้ว่า:-
    ๑ งานรพ.นี่เหนื่อยมากๆ คนมะรุมมะตุ้มถามโน่นนี่เยอะ
    แต่เจ้าหน้าที่ก็ใจเย็น สุภาพเท่าที่จะทำได้ รับความเครียด แรงกดดันได้ดีสุดๆ คนป่วย คนมาตรวจมากมาย แต่ทุกคนก็ช่วยตัวเองกันดีนะครับ หลายคนก็ทุกขเวทนาทีเดียว
    งานรพ.นี่สาหัสทีเดียว คิดในใจ

    ๒ สถานที่ของรพ.ดีขื้นกว่าแต่ก่อนมาก ขอบคุณเงินค่าเช่ามาบุญครอง และสยามสแควร์ มีตืกใหม่ มีแอร์ มีระบบคิวที่ดีงาม

    ๓ เนื่องจากคนไข้มาก รอกันนาน ทำใจเถอะ แต่คนไข้จำนวนมากที่ป่วยมีอาการ นั่งกระจุกกันเป็นหลายร้อยเนี่ย ทำให้รู้สืกว่าติดเชื้อง่ายมาก
    หมอ เจ้าหน้าที่สตรองมาก
    นักเรียนที่อยากเรียนแพทย์ พยาบาลควรมาหาประสบการณ์ ถ้าชอบและไหวก็เอา แต่ของผมลองนึกว่า ต้องไปทำงานห้องนั้น ทุกวัน จะให้เป็นหมอคงไม่เอา มันหดหู่นะ

    ๔ ดูเหมือนมีขบวนการของต่างชาติมาเอาคิวเป็นอาชีพ และมีคนจากประเทศเพื่อนบ้านมารักษาฟรี โดยทำบัตรต่างด้าวปลอม รัฐบาลควรส่งคนไปดูนะ เป็นขบวนการทีเดียว

    รพ.น่ะไม่รู้เห็นด้วยหรอก คิดรพ.ใหญ่ทั่วประเทศ รายจ่ายเยอะมาก

    นั่งเครื่องมาเลย มีทำบัตรปลอมขายแน่นอน งบปท.ไทยไม่น่าเอาอยู่ แต่งตัวกันดี๊ดี

    ๕ เห็นนักศืกษาแพทย์ปีห้าโดนอาจารย์เอาปากกาเคาะหัวตลอด เรียนแพทย์เนี่ยเครียดมากนะครับ บอกเลย

    ๖ ค่ายา รพ.เอกชนแพงกว่ารพ. รัฐ เกินสิบเท่า หมอจุฬานี่เก่งนะครับ ความรู้เยอะ…

    ดีใจที่ได้ใช้สิทธิอดีตข้าราชการ มันน่าจะดีกว่านี้
    แต่เอางบไปแบ่งให้ประชาชนก็ดีแล้ว ร่วมทุกข์สุขกัน
    ถ้ากระทรวงคลังเอาส่วนของข้าราชการไปแบ่งลงทุนไว้ น่าจะรักษาได้ระดับ รพ.เอกชน

    ก็อย่างว่า…ชีวิตคนในรพ.มันเหนื่อยนะ ใครไม่เคยตื่นไปเข้าคิวตีสี่เหมือนผม ห้ามวิจารณ์เรื่องงบสาธารณสุข

    นักการเมืองทุกคน ควรไปตอนตีสี่ จะเข้าใจชีวิตและปชช.มากขื้น

    นิสิตจุฬาทุกคนควรไปอย่างยิ่ง ขอบอก นี่คือมหาวิทยาลัยชีวิตครับ

    บัณฑิตต้องรู้จักประชาชน

    Somkiat Osotsapa
    February 5 at 12:31am ·

    เมื่อประเทศไทยถูกยึด ม้าอารีต้องออกมายืนตากฝน คนไทยจะเข้าหาหมอได้อย่างไร
    --------------------------
    อาชีพที่ทำรายได้สูงกว่าบุคลากรการแพทย์ในรพ.จุฬาฯ

    คือ ล่ามต่างชาติ ที่ขนคนไข้ประเทศเพื่อนบ้าน มารายละไม่ต่ำกว่าสิบคนต่อวันต่อล่ามหนื่งคน

    มีรายได้จากคนไข้ตปท.รายละ 500 บาท วันละเกิน5000 บาท

    ล่ามของแต่ละชาติมีมากมาย (หมอจุฬาผู้รักชาติหลังไมค์มาบอก)

    ด้วยเหตุนี้ คนไข้ที่นั่งรอหมอจึงเป็นคนจากปท.เพื่อนบ้านร่วม 50%

    คนไทยที่จะเข้ารพ.จุฬาฯ มีวิธีเข้ารักษาอย่างรวดเร็วได้ โดยอาศัยทางด่วน คือ รถของมูลนิธิปอเต๊กตื๊ง
    เช่น ถูกรถชน ถูกยิง แทง ฟัน งูกัด เข้าห้องอุบัติเหตุ ฝั่งสวนลุมได้เลย

    ที่รัฐมนตรีสาธารณสุขบอกว่าระบบประกัน ทำให้คนไทยไปรักษามาก ต้องเก็บเงินผู้ป่วยไทยเพิ่ม หมอไม่พอ อุปกรณ์ไม่พอ นี่…ไร้สาระมาก…

    รายจ่ายเพิ่มเพราะรับคนไข้จากตปท.มาตรึม…

    การทำคลอดทำให้ต่างชาติมากกว่าคนไทย…

    รู้กันทั้งภูมิภาคเอเชียว่ามารักษาที่เมืองไทย แค่บอกว่าไม่มีเงินก็ฟรี…

    ตอนนี้ข่าวสารกระจายไปทั่ว จัดเป็นธุรกิจข้ามชาติใหญ่โตมาก

    ทำบัตรเสร็จ ตรวจสุขภาพเสร็จ หางานทำได้เลย
    เศรษฐกิจดีมาก หางานง่าย

    ไปบีบให้คนไทยลาออก พวกเราเยอะ เครือข่ายเพียบ เบิกล่วงหน้าได้

    ผมมีรายงานต้นทุนการรักษาผู้ป่วยของรพ.ทุกประเภท ทั่วปท. รายกลุ่มโรค คลอดแบบไหนเท่าไร ค่าใช้จ่ายประเภทค่าแรง ค่าวัสดุ ค่าเสื่อม…รู้หมด

    งบประมาณแผ่นดินของรพ.จุฬาแห่งเดียว เพิ่มจากราวสองพันล้านมาเป็นหกพันล้าน

    เพิ่มสามเท่าในเวลา 3-4 ปี ศิริราชก็บอกว่าขาดทุน รพ.ศูนย์ รพ.ท้องถิ่น รพ.ชุมชนขาดแคลนไปหมด

    หมอ พยาบาล เภสัช รังสี บุคลากรอื่นๆทำงานกันหนักมาก เศรษฐกิจไทย ระบบสาธารณสุขไทยจะล่มในไม่กี่ปี

    ตอนนี้อุตสาหกรรมขนคนเข้าปท.ไทยกำลังเติบใหญ่ ทั้งในลาว กัมพูชา พม่า

    อาฟริกันยังมาเลย เขาพูดกันว่าเมืองไทยแม่งโง่ ชอบอวดรวย ทั้งๆที่คนไทยจนจะตายห่า ผู้นำบ้ายอ ชมๆแม่งไป
    --------------------------
    ผมรู้ว่าคนไทยกำลังเครียดรุนแรง แต่อายไม่กล้าพูด

    ระวังว่ามันจะระเบิด

    ทั้งถูกแย่งคิวรพ. แย่งงาน แย่งที่ขายของ แย่งที่นั่งในรถเมล์แดง รถไฟฟรี ยึดสวนสาธารณะ อิทธิพลขั้นสูง คนจนทั้งนั้น ทุกสีเสื้อ

    ผู้บริหารสภากาชาด ครม คสช สนช สปท อะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้
    ไม่เคยมายืนเข้าคิวตอนตี 4

    ปัญหาของประเทศนี้คือ ผู้นำ ผู้ตัดสินใจ ผู้วางแผน ไม่ได้ใช้ชีวิตสัมผัสทุกข์ยากของปชช. ตัดสินใจผิดมากๆ

    เมื่อเห็นต่างชาติเยอะมาก ผมก็ออกมาเดินดูรอบนอก แถวร้านกาแฟขายลาตเต้นั่นแหละครับ

    เจอเลย ขบวนการ มีผู้กำกับงาน แต่งตัวดีมาก ผมฟังภาษาออก เจ้าหน้าที่รบ.ปท.เพื่อนบ้านก็มี

    กำลังคุยถึงที่จะมาอีกหลายระลอก ผ่านด่านต่างๆ

    ดูรวย มีความสุข เขากำลังทำงานให้ชาติของเขา ส่งคนมารักษาที่ไทยฟรี…
    ขำที่คนไทยดูทุเรศ ทุกขเวทนา
    วันนี้ คุยกับพรรคพวกที่รู้เรื่องดี จะได้รู้ต้นน้ำ กลาง น้ำ ปลายน้ำ
    อือม์ มันน่ากลัว…
    เขื่อนความมั่นคงประเทศพังแล้ว
    --------------

    ความขัดแย้งรุนแรงเกิดขื้นเมื่อคนในชาติรู้สึกว่าพื้นที่ทำมาหากิน พื้นที่ชีวิตของเขาถูกรุกราน ถูกคุกคาม
    เยอรมัน เรียกว่า libensraum แปลว่า life space

    ตอนนี้หนักมาก สงครามเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ในทุกที่…
    สวีเดน เดนมาร์กจึงเอาผู้อพยพออก เศรษฐกิจยุโรปจะพังเอา ก็เพราะแบบไทยตอนนี้…คนไทยจะจ่ายเงินหนัก ขาดแคลน แล้วจะโวย แล้วจะระเบิด…

    ผมไปนั่งคุยกับพรรคพวก…
    ๑ คนในปท.รอบบ้านเราไม่ได้รวยแบบที่มีข่าวในไทยหรอก
    ค่าแรงคนทั่วๆไปในพม่าก็ราวเดือนละ 6-7ร้อย ค่าแรงขั้นต่ำที่สู้กันเต็มที่ก็ 2,200 ต่อเดือน

    ที่กัมพูชาสูงกว่านี้นิดนึง เวียดนามราวเดือนละ 3,000
    แต่ยังมีคนไม่ได้ทำงานในระบบที่ค่าจ้างระดับนี้เยอะ

    ตอนนี้คนต่างชาติ มาอยู่ในปท. ไทย ไม่ใช่ 3 ล้าน
    อาจถึง 6 ล้านแล้ว เขาบอกต้องไปดูที่ด่านที่เข้ามา…
    ราชการไม่มีตัวเลข - ที่มีก็ผิด

    มามาก ก็เข้ารพ.มาก ญาติพี่น้องเจ็บป่วยก็พามา ถูกกว่าไปพนมเปญ ย่างกุ้ง เวียงจันทร์ ซื่งหมอไม่เก่ง ยาไม่มี เครื่องมือไม่มี แพงกว่าเมืองไทยด้วย

    ๒ ตอนนี้ระบบจัดตั้ง เครือข่ายแน่นหนามาก คนทางโน้นก็รู้ว่ามาเมืองไทยแล้วรวย

    ผมถามว่าที่สำรวจบอกว่ามาแล้วจะกลับไป…เขาบอกกลับไปที่ไหน…มีแต่กำลังแห่กันมา! มาแล้วมีบริการหางาน หาที่พัก ทำบัตรแรงงาน มีนายจ้าง ทำบัตรสุขภาพ พาไปรพ. หักเงินทีหลังก็ได้
    มีนายทุน กองทุนระดับเป็นหมื่นล้าน มีตั้งแต่บริการขนส่ง ต้นทาง ถึงปลายทางแบบโรฮิงยา

    ได้สัญชาติกันเยอะ ซื้อบัตร เอาลูกมาใส่ชื่อพ่อคนไทย ทำกันเป็นล่ำเป็นสันมาก จะได้มาเรียนฟรีที่เมืองไทย ได้เข้ามหาวิทยาลัย รักษาฟรี อยู่ฟรีกับนายจ้าง อาหารพร้อม ไม่ต้องจ่ายแวต ส่งเงินกลับไปได้เยอะมาก

    มาคลอดเมืองไทย ค่าคลอด ดูแลทั้งปี 365.-บาทเท่านั้น ถ้าผ่าออกก็แค่นี้ ต้นทุนสองหมื่นกว่านะครับ
    จะหาที่ขายของ เปิดร้าน ใช้คนไทยเป็นโนมินีก็มี ทำแบบแบ่งเปอร์เซนต์ก็ได้

    มามากก็เข้ารพ.มาก ทำบัตรสุขภาพราวปีละ 1,300.- รักษาทุกโรค 55 ---------------

    ๓ เขาบอกว่าเมืองไทยโฆษณา AEC เกินจริง จนคนและขรก. เข้าใจว่าแรงงานคนต่างชาติเข้าไทยได้ฟรี คนไทยทั่วไปก็เข้าใจเช่นนั้น ด่านจืงเปิด

    ยุคนี้ป่วยรุนแรง เหมารถจากพนมเปญมาเลย นอนรพ.3เดือน ให้ออกซิเจนตลอด จ่าย2หมื่น ต้นทุนจริงๆหลายแสน รวมค่าอุปกรณ์

    ผ่าหัวใจฟรี ไปรพ.เอกชนสี่แสน ต้นทุนของรัฐแสนกว่า

    ไม่เจ๊งไงไหว
    ---------------------

    ๔ เดินทางมาไทยง่าย ถูก…
    เมืองไทยไม่มีระบบตรวจสอบคนที่มาแล้วไม่กลับ

    เงินซื้อได้ทุกอย่าง ตอนนี้เครือข่ายจัดหาคนเป็นพ่อ ทำงานดี เพราะรายได้มาก กำลังมากันเพียบ พลเมืองไทยจะเยอะมาก เตรียมงบไว้
    --------------
    ๕ อุตสาหกรรม(พาคนมาไทย) รุ่งเรืองมากในปท.เพื่อนบ้าน กำไรดี ลูกค้าเยอะมาก ช่วงนี้ข่าวไปทั่ว
    -------------------

    ๖ การจะรักษาในไทย ก็แค่หาชื่อนายจ้าง ซื่งจัดไว้แล้ว ไปซื้อบัตรสุขภาพ รบ.ไทยบริการดีมาก…

    ๗ ที่ผิดกฏหมายทำไง ก็จ่ายเดือนละพันต่อคนเหมือนเดิม 55 ก็ต้องมีรายได้อะไรสักอย่าง

    ไอ้คนที่ผมคุยด้วย มีหน้าที่แบ่งลูกน้องไปเก็บเงินรายหัวส่งทุกเดือน…วันนี้นั่งคุยละเอียด มึงจ่ายให้ใครกันบ้าง ไอ้นั่นย้ายแล้วเหรอ ตอนนี้ใครคุม…
    ชีวิตธรรมดาคุยกันยังงี้ครับ
    --------------
    ยังไม่บอกว่าจะแก้อย่างไรนะครับ ต้องเล่าสถานการณ์ก่อน
    --------------

    ผมแนะว่าต่อไป ถ้าป่วยไปรักษาแถวจังหวัดที่ไม่มีต่างด้าว เช่น ชัยภูมิ เลย น่าจะสะดวกกว่านะ
    ช่วงนี้ก็สตรองหน่อย ถ้าพ่อแม่ไม่ได้รับการรักษาที่ดี ยาลดลง ไม่มีเตียงก็ขอให้ทำใจ

    ผมจะไปเข้าคิวเป็นเพื่อน

    ตอนนี้เตรียมแผนจะไปศิริราช ติดต่อไว้แล้ว ต่อไปจะไปราชวิถี รามา วชิระ ไปขอนแก่น อุดร สุราษฏร์

    ที่จริง คสช ครม ควรส่งภรรยาไปเข้าคิวบ้างนะ

    กรรมการสภากาชาดด้วย

    ไปพรุ่งนี้เลย จะได้รับรู้ความรู้สืกคนไทย

    ผมเขียนไป ผมเศร้ามาก

    เงินที่รบ.สัญญาว่าจะดูแลพยาบาลผมตอนแก่ แบ่งไปให้คนไทยอื่นๆ ผมมีความสุขนะ เจ็บ ตายด้วยกัน

    แต่ตอนนี้ ผมแก่ ผมต้องนั่งรอคิวยาว

    ตอนใกล้จะถึงคิว มันแทรกเข้ามา เอาลูกค้ามาแซงสิบคนนี่ผมไม่พอใจมาก

    ถาม ขาใหญ่มันเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ เอาต่างชาติเข้ามา มันหัวเราะ บอกรายได้ของหลายคนจะดีมากทีเดียว
    มันถามว่าใครคิดวะ คนไทยได้อะไรบ้าง พวกนี้รักชาตินะครับ
    ------------------
    ต่างชาติบอกผู้นำไทยไม่ติดดิน บ้าลูกยอ บ้า AEC งี่เง่า ชอบเอาหน้า ไม่รู้เรื่อง สบาย หมูที่สุดในปท.ย่านนี้

    เพื่อนผมบอก ผมไม่ได้พูดนะ
    จะแก้ปัญหาต้องพูดกันให้เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้…

    วันนี้เขียนไม่เป็นระบบ มึนไวน์มานิดหน่อย
    ความรู้ที่เพื่อนเพจเล่ามา เป๊ะมาก ผมจึงพอมีภูมิไปคุยกับเขา
    เห็นอะไรช่วยบอกมานะครับ…ช่วยกัน…
    **ต้องอ่านให้จบ**หายนะกำลังมาเยือนประชาชนคนไทย!! ขอนำบทความที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งมาเสนอค่ะ เครดิต พิมพ์ชนก พิทักษ์ชัยยะบุตร Somkiat Osotsapa January 31 at 5:18am · พาไปเที่ยวโรงพยาบาลจุฬาฯกัน ------------------------- เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว ผมไปรพ. จุฬาฯ เป็นประสบการณ์ใหม่ของชีวิต ที่จริงแล้ว ผมไม่เคยป่วยนอนโรงพยาบาลเลย เคยแต่ไปเฝ้าไข้รพ.เอกชน ซื่งสบายมาก มีเชฟอาหาร ทั้งจีน อินเดีย ไทย ชั้นเลิศ ออกแนวบันเทิง มีร้านกาแฟแบรนด์เนม ที่จริงก็ไปตรวจนี่นั่น ที่รพ.เอกชนเหมือนกัน มันสะดวกมาก แล้วผมก็เกิดอยากจะรู้ว่าถ้าผมจะใช้สิทธิข้าราชการของผมบ้าง จะต้องทำอย่างไร ลองไปรพจุฬา แวะไปครั้งที่หนื่ง เข้าคิวอยู่ยาวช่วงบ่าย บอกว่าต้องมาเอาคิว ในวันรุ่งขึ้น สอบถามได้ความว่าถ้าจะตรวจในวันรุ่งขึ้น ต้องมาเข้าคิวเอาบัตรคิวที่ตู้ที่จะเปิดตอนตี 5 ครื่ง อ๊ะ! ถ้างั้นต้องตื่นตีสี่ ไปเข้าคิวตีห้า… เมื่อผมไปถึงตอนตีห้า มีคนอยู่ร่วมหนื่งพันคน ตั้งแต่บัตรประกันสังคม คนไข้ส่งต่อ แรงงานต่างด้าว ร่วม 12 ประเภท หลากหลายช่องมาก คิดถึงอารมณ์พระพุทธเจ้า เห็นทุกขเวทนาตัดสินใจออกบวชทันที เอาว่าคนเคยไปรพ.เอกชน จะช้อค แต่ผมอยากรู้ว่าคนเขาลำบากอย่างไร…ไม่เส้น…ตามคิว… แล้วก็รู้ว่า:- ๑ งานรพ.นี่เหนื่อยมากๆ คนมะรุมมะตุ้มถามโน่นนี่เยอะ แต่เจ้าหน้าที่ก็ใจเย็น สุภาพเท่าที่จะทำได้ รับความเครียด แรงกดดันได้ดีสุดๆ คนป่วย คนมาตรวจมากมาย แต่ทุกคนก็ช่วยตัวเองกันดีนะครับ หลายคนก็ทุกขเวทนาทีเดียว งานรพ.นี่สาหัสทีเดียว คิดในใจ ๒ สถานที่ของรพ.ดีขื้นกว่าแต่ก่อนมาก ขอบคุณเงินค่าเช่ามาบุญครอง และสยามสแควร์ มีตืกใหม่ มีแอร์ มีระบบคิวที่ดีงาม ๓ เนื่องจากคนไข้มาก รอกันนาน ทำใจเถอะ แต่คนไข้จำนวนมากที่ป่วยมีอาการ นั่งกระจุกกันเป็นหลายร้อยเนี่ย ทำให้รู้สืกว่าติดเชื้อง่ายมาก หมอ เจ้าหน้าที่สตรองมาก นักเรียนที่อยากเรียนแพทย์ พยาบาลควรมาหาประสบการณ์ ถ้าชอบและไหวก็เอา แต่ของผมลองนึกว่า ต้องไปทำงานห้องนั้น ทุกวัน จะให้เป็นหมอคงไม่เอา มันหดหู่นะ ๔ ดูเหมือนมีขบวนการของต่างชาติมาเอาคิวเป็นอาชีพ และมีคนจากประเทศเพื่อนบ้านมารักษาฟรี โดยทำบัตรต่างด้าวปลอม รัฐบาลควรส่งคนไปดูนะ เป็นขบวนการทีเดียว รพ.น่ะไม่รู้เห็นด้วยหรอก คิดรพ.ใหญ่ทั่วประเทศ รายจ่ายเยอะมาก นั่งเครื่องมาเลย มีทำบัตรปลอมขายแน่นอน งบปท.ไทยไม่น่าเอาอยู่ แต่งตัวกันดี๊ดี ๕ เห็นนักศืกษาแพทย์ปีห้าโดนอาจารย์เอาปากกาเคาะหัวตลอด เรียนแพทย์เนี่ยเครียดมากนะครับ บอกเลย ๖ ค่ายา รพ.เอกชนแพงกว่ารพ. รัฐ เกินสิบเท่า หมอจุฬานี่เก่งนะครับ ความรู้เยอะ… ดีใจที่ได้ใช้สิทธิอดีตข้าราชการ มันน่าจะดีกว่านี้ แต่เอางบไปแบ่งให้ประชาชนก็ดีแล้ว ร่วมทุกข์สุขกัน ถ้ากระทรวงคลังเอาส่วนของข้าราชการไปแบ่งลงทุนไว้ น่าจะรักษาได้ระดับ รพ.เอกชน ก็อย่างว่า…ชีวิตคนในรพ.มันเหนื่อยนะ ใครไม่เคยตื่นไปเข้าคิวตีสี่เหมือนผม ห้ามวิจารณ์เรื่องงบสาธารณสุข นักการเมืองทุกคน ควรไปตอนตีสี่ จะเข้าใจชีวิตและปชช.มากขื้น นิสิตจุฬาทุกคนควรไปอย่างยิ่ง ขอบอก นี่คือมหาวิทยาลัยชีวิตครับ บัณฑิตต้องรู้จักประชาชน Somkiat Osotsapa February 5 at 12:31am · เมื่อประเทศไทยถูกยึด ม้าอารีต้องออกมายืนตากฝน คนไทยจะเข้าหาหมอได้อย่างไร -------------------------- อาชีพที่ทำรายได้สูงกว่าบุคลากรการแพทย์ในรพ.จุฬาฯ คือ ล่ามต่างชาติ ที่ขนคนไข้ประเทศเพื่อนบ้าน มารายละไม่ต่ำกว่าสิบคนต่อวันต่อล่ามหนื่งคน มีรายได้จากคนไข้ตปท.รายละ 500 บาท วันละเกิน5000 บาท ล่ามของแต่ละชาติมีมากมาย (หมอจุฬาผู้รักชาติหลังไมค์มาบอก) ด้วยเหตุนี้ คนไข้ที่นั่งรอหมอจึงเป็นคนจากปท.เพื่อนบ้านร่วม 50% คนไทยที่จะเข้ารพ.จุฬาฯ มีวิธีเข้ารักษาอย่างรวดเร็วได้ โดยอาศัยทางด่วน คือ รถของมูลนิธิปอเต๊กตื๊ง เช่น ถูกรถชน ถูกยิง แทง ฟัน งูกัด เข้าห้องอุบัติเหตุ ฝั่งสวนลุมได้เลย ที่รัฐมนตรีสาธารณสุขบอกว่าระบบประกัน ทำให้คนไทยไปรักษามาก ต้องเก็บเงินผู้ป่วยไทยเพิ่ม หมอไม่พอ อุปกรณ์ไม่พอ นี่…ไร้สาระมาก… รายจ่ายเพิ่มเพราะรับคนไข้จากตปท.มาตรึม… การทำคลอดทำให้ต่างชาติมากกว่าคนไทย… รู้กันทั้งภูมิภาคเอเชียว่ามารักษาที่เมืองไทย แค่บอกว่าไม่มีเงินก็ฟรี… ตอนนี้ข่าวสารกระจายไปทั่ว จัดเป็นธุรกิจข้ามชาติใหญ่โตมาก ทำบัตรเสร็จ ตรวจสุขภาพเสร็จ หางานทำได้เลย เศรษฐกิจดีมาก หางานง่าย ไปบีบให้คนไทยลาออก พวกเราเยอะ เครือข่ายเพียบ เบิกล่วงหน้าได้ ผมมีรายงานต้นทุนการรักษาผู้ป่วยของรพ.ทุกประเภท ทั่วปท. รายกลุ่มโรค คลอดแบบไหนเท่าไร ค่าใช้จ่ายประเภทค่าแรง ค่าวัสดุ ค่าเสื่อม…รู้หมด งบประมาณแผ่นดินของรพ.จุฬาแห่งเดียว เพิ่มจากราวสองพันล้านมาเป็นหกพันล้าน เพิ่มสามเท่าในเวลา 3-4 ปี ศิริราชก็บอกว่าขาดทุน รพ.ศูนย์ รพ.ท้องถิ่น รพ.ชุมชนขาดแคลนไปหมด หมอ พยาบาล เภสัช รังสี บุคลากรอื่นๆทำงานกันหนักมาก เศรษฐกิจไทย ระบบสาธารณสุขไทยจะล่มในไม่กี่ปี ตอนนี้อุตสาหกรรมขนคนเข้าปท.ไทยกำลังเติบใหญ่ ทั้งในลาว กัมพูชา พม่า อาฟริกันยังมาเลย เขาพูดกันว่าเมืองไทยแม่งโง่ ชอบอวดรวย ทั้งๆที่คนไทยจนจะตายห่า ผู้นำบ้ายอ ชมๆแม่งไป -------------------------- ผมรู้ว่าคนไทยกำลังเครียดรุนแรง แต่อายไม่กล้าพูด ระวังว่ามันจะระเบิด ทั้งถูกแย่งคิวรพ. แย่งงาน แย่งที่ขายของ แย่งที่นั่งในรถเมล์แดง รถไฟฟรี ยึดสวนสาธารณะ อิทธิพลขั้นสูง คนจนทั้งนั้น ทุกสีเสื้อ ผู้บริหารสภากาชาด ครม คสช สนช สปท อะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้ ไม่เคยมายืนเข้าคิวตอนตี 4 ปัญหาของประเทศนี้คือ ผู้นำ ผู้ตัดสินใจ ผู้วางแผน ไม่ได้ใช้ชีวิตสัมผัสทุกข์ยากของปชช. ตัดสินใจผิดมากๆ เมื่อเห็นต่างชาติเยอะมาก ผมก็ออกมาเดินดูรอบนอก แถวร้านกาแฟขายลาตเต้นั่นแหละครับ เจอเลย ขบวนการ มีผู้กำกับงาน แต่งตัวดีมาก ผมฟังภาษาออก เจ้าหน้าที่รบ.ปท.เพื่อนบ้านก็มี กำลังคุยถึงที่จะมาอีกหลายระลอก ผ่านด่านต่างๆ ดูรวย มีความสุข เขากำลังทำงานให้ชาติของเขา ส่งคนมารักษาที่ไทยฟรี… ขำที่คนไทยดูทุเรศ ทุกขเวทนา วันนี้ คุยกับพรรคพวกที่รู้เรื่องดี จะได้รู้ต้นน้ำ กลาง น้ำ ปลายน้ำ อือม์ มันน่ากลัว… เขื่อนความมั่นคงประเทศพังแล้ว -------------- ความขัดแย้งรุนแรงเกิดขื้นเมื่อคนในชาติรู้สึกว่าพื้นที่ทำมาหากิน พื้นที่ชีวิตของเขาถูกรุกราน ถูกคุกคาม เยอรมัน เรียกว่า libensraum แปลว่า life space ตอนนี้หนักมาก สงครามเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ในทุกที่… สวีเดน เดนมาร์กจึงเอาผู้อพยพออก เศรษฐกิจยุโรปจะพังเอา ก็เพราะแบบไทยตอนนี้…คนไทยจะจ่ายเงินหนัก ขาดแคลน แล้วจะโวย แล้วจะระเบิด… ผมไปนั่งคุยกับพรรคพวก… ๑ คนในปท.รอบบ้านเราไม่ได้รวยแบบที่มีข่าวในไทยหรอก ค่าแรงคนทั่วๆไปในพม่าก็ราวเดือนละ 6-7ร้อย ค่าแรงขั้นต่ำที่สู้กันเต็มที่ก็ 2,200 ต่อเดือน ที่กัมพูชาสูงกว่านี้นิดนึง เวียดนามราวเดือนละ 3,000 แต่ยังมีคนไม่ได้ทำงานในระบบที่ค่าจ้างระดับนี้เยอะ ตอนนี้คนต่างชาติ มาอยู่ในปท. ไทย ไม่ใช่ 3 ล้าน อาจถึง 6 ล้านแล้ว เขาบอกต้องไปดูที่ด่านที่เข้ามา… ราชการไม่มีตัวเลข - ที่มีก็ผิด มามาก ก็เข้ารพ.มาก ญาติพี่น้องเจ็บป่วยก็พามา ถูกกว่าไปพนมเปญ ย่างกุ้ง เวียงจันทร์ ซื่งหมอไม่เก่ง ยาไม่มี เครื่องมือไม่มี แพงกว่าเมืองไทยด้วย ๒ ตอนนี้ระบบจัดตั้ง เครือข่ายแน่นหนามาก คนทางโน้นก็รู้ว่ามาเมืองไทยแล้วรวย ผมถามว่าที่สำรวจบอกว่ามาแล้วจะกลับไป…เขาบอกกลับไปที่ไหน…มีแต่กำลังแห่กันมา! มาแล้วมีบริการหางาน หาที่พัก ทำบัตรแรงงาน มีนายจ้าง ทำบัตรสุขภาพ พาไปรพ. หักเงินทีหลังก็ได้ มีนายทุน กองทุนระดับเป็นหมื่นล้าน มีตั้งแต่บริการขนส่ง ต้นทาง ถึงปลายทางแบบโรฮิงยา ได้สัญชาติกันเยอะ ซื้อบัตร เอาลูกมาใส่ชื่อพ่อคนไทย ทำกันเป็นล่ำเป็นสันมาก จะได้มาเรียนฟรีที่เมืองไทย ได้เข้ามหาวิทยาลัย รักษาฟรี อยู่ฟรีกับนายจ้าง อาหารพร้อม ไม่ต้องจ่ายแวต ส่งเงินกลับไปได้เยอะมาก มาคลอดเมืองไทย ค่าคลอด ดูแลทั้งปี 365.-บาทเท่านั้น ถ้าผ่าออกก็แค่นี้ ต้นทุนสองหมื่นกว่านะครับ จะหาที่ขายของ เปิดร้าน ใช้คนไทยเป็นโนมินีก็มี ทำแบบแบ่งเปอร์เซนต์ก็ได้ มามากก็เข้ารพ.มาก ทำบัตรสุขภาพราวปีละ 1,300.- รักษาทุกโรค 55 --------------- ๓ เขาบอกว่าเมืองไทยโฆษณา AEC เกินจริง จนคนและขรก. เข้าใจว่าแรงงานคนต่างชาติเข้าไทยได้ฟรี คนไทยทั่วไปก็เข้าใจเช่นนั้น ด่านจืงเปิด ยุคนี้ป่วยรุนแรง เหมารถจากพนมเปญมาเลย นอนรพ.3เดือน ให้ออกซิเจนตลอด จ่าย2หมื่น ต้นทุนจริงๆหลายแสน รวมค่าอุปกรณ์ ผ่าหัวใจฟรี ไปรพ.เอกชนสี่แสน ต้นทุนของรัฐแสนกว่า ไม่เจ๊งไงไหว --------------------- ๔ เดินทางมาไทยง่าย ถูก… เมืองไทยไม่มีระบบตรวจสอบคนที่มาแล้วไม่กลับ เงินซื้อได้ทุกอย่าง ตอนนี้เครือข่ายจัดหาคนเป็นพ่อ ทำงานดี เพราะรายได้มาก กำลังมากันเพียบ พลเมืองไทยจะเยอะมาก เตรียมงบไว้ -------------- ๕ อุตสาหกรรม(พาคนมาไทย) รุ่งเรืองมากในปท.เพื่อนบ้าน กำไรดี ลูกค้าเยอะมาก ช่วงนี้ข่าวไปทั่ว ------------------- ๖ การจะรักษาในไทย ก็แค่หาชื่อนายจ้าง ซื่งจัดไว้แล้ว ไปซื้อบัตรสุขภาพ รบ.ไทยบริการดีมาก… ๗ ที่ผิดกฏหมายทำไง ก็จ่ายเดือนละพันต่อคนเหมือนเดิม 55 ก็ต้องมีรายได้อะไรสักอย่าง ไอ้คนที่ผมคุยด้วย มีหน้าที่แบ่งลูกน้องไปเก็บเงินรายหัวส่งทุกเดือน…วันนี้นั่งคุยละเอียด มึงจ่ายให้ใครกันบ้าง ไอ้นั่นย้ายแล้วเหรอ ตอนนี้ใครคุม… ชีวิตธรรมดาคุยกันยังงี้ครับ -------------- ยังไม่บอกว่าจะแก้อย่างไรนะครับ ต้องเล่าสถานการณ์ก่อน -------------- ผมแนะว่าต่อไป ถ้าป่วยไปรักษาแถวจังหวัดที่ไม่มีต่างด้าว เช่น ชัยภูมิ เลย น่าจะสะดวกกว่านะ ช่วงนี้ก็สตรองหน่อย ถ้าพ่อแม่ไม่ได้รับการรักษาที่ดี ยาลดลง ไม่มีเตียงก็ขอให้ทำใจ ผมจะไปเข้าคิวเป็นเพื่อน ตอนนี้เตรียมแผนจะไปศิริราช ติดต่อไว้แล้ว ต่อไปจะไปราชวิถี รามา วชิระ ไปขอนแก่น อุดร สุราษฏร์ ที่จริง คสช ครม ควรส่งภรรยาไปเข้าคิวบ้างนะ กรรมการสภากาชาดด้วย ไปพรุ่งนี้เลย จะได้รับรู้ความรู้สืกคนไทย ผมเขียนไป ผมเศร้ามาก เงินที่รบ.สัญญาว่าจะดูแลพยาบาลผมตอนแก่ แบ่งไปให้คนไทยอื่นๆ ผมมีความสุขนะ เจ็บ ตายด้วยกัน แต่ตอนนี้ ผมแก่ ผมต้องนั่งรอคิวยาว ตอนใกล้จะถึงคิว มันแทรกเข้ามา เอาลูกค้ามาแซงสิบคนนี่ผมไม่พอใจมาก ถาม ขาใหญ่มันเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ เอาต่างชาติเข้ามา มันหัวเราะ บอกรายได้ของหลายคนจะดีมากทีเดียว มันถามว่าใครคิดวะ คนไทยได้อะไรบ้าง พวกนี้รักชาตินะครับ ------------------ ต่างชาติบอกผู้นำไทยไม่ติดดิน บ้าลูกยอ บ้า AEC งี่เง่า ชอบเอาหน้า ไม่รู้เรื่อง สบาย หมูที่สุดในปท.ย่านนี้ เพื่อนผมบอก ผมไม่ได้พูดนะ จะแก้ปัญหาต้องพูดกันให้เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้… วันนี้เขียนไม่เป็นระบบ มึนไวน์มานิดหน่อย ความรู้ที่เพื่อนเพจเล่ามา เป๊ะมาก ผมจึงพอมีภูมิไปคุยกับเขา เห็นอะไรช่วยบอกมานะครับ…ช่วยกัน…
    Sad
    2
    0 Comments 1 Shares 263 Views 0 Reviews
  • "รัฐบาลเยอรมันส่อล่ม หลังโชลซ์ปลดรัฐมนตรีคลังออกจากตำแหน่ง!"

    นายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี ประกาศปลดคริสเตียน ลินด์เนอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกจากตำแหน่ง ด้านลินด์เนอร์ ตอบโต้ด้วยการพาพรรคเอฟดีพีถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลทันที

    ทั้งชอลซ์และลินด์เนอร์ขัดแย้งกันมานานในเรื่องของการบริหารจัดการงบประมาณ ในที่สุดชอลซ์ต้องประกาศปลดลินด์เนอร์ออก โดยให้เหตุผลว่า "ขาดความไว้วางใจ" และ ลินด์เนอร์ไม่สนใจประโยชน์ส่วนรวมของชาติ “ใครก็ตามที่เข้าร่วมรัฐบาลต้องทำหน้าที่อย่างมีความรับผิดชอบและเชื่อถือได้ ไม่ใช่หาที่หลบภัยเมื่อสถานการณ์เลวร้าย” ชอลซ์กล่าวในการแถลงข่าว

    หลังการประกาศถอนตัวของพรรคเสรีประชาธิปไตย (FDP) ของลินด์เนอร์ ทำให้ขณะนี้รัฐบาลของชอลซ์เหลือเพียงสองพรรค คือ พรรคสังคมประชาธิปไตย (SPD) ของชอลซ์ และพรรคกรีน ทำให้ชอลซ์ไม่ได้ครองเสียงข้างมากในสภาอีกต่อไป

    ชอลซ์ยังเผยด้วยว่า เขาจะขอให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และลงมติเกี่ยวกับสถานภาพของรัฐบาล ภายในวันที่ 15 ม.ค. 2568 ซึ่งอาจทำให้เยอรมนีจะต้องมีการเลือกตั้งก่อนกำหนดภายในปลายเดือน มี.ค. 68 จากกำหนดการตามวาระของรัฐบาล ในเดือน ก.ย. 68

    "รัฐบาลเยอรมันส่อล่ม หลังโชลซ์ปลดรัฐมนตรีคลังออกจากตำแหน่ง!" นายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี ประกาศปลดคริสเตียน ลินด์เนอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกจากตำแหน่ง ด้านลินด์เนอร์ ตอบโต้ด้วยการพาพรรคเอฟดีพีถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลทันที ทั้งชอลซ์และลินด์เนอร์ขัดแย้งกันมานานในเรื่องของการบริหารจัดการงบประมาณ ในที่สุดชอลซ์ต้องประกาศปลดลินด์เนอร์ออก โดยให้เหตุผลว่า "ขาดความไว้วางใจ" และ ลินด์เนอร์ไม่สนใจประโยชน์ส่วนรวมของชาติ “ใครก็ตามที่เข้าร่วมรัฐบาลต้องทำหน้าที่อย่างมีความรับผิดชอบและเชื่อถือได้ ไม่ใช่หาที่หลบภัยเมื่อสถานการณ์เลวร้าย” ชอลซ์กล่าวในการแถลงข่าว หลังการประกาศถอนตัวของพรรคเสรีประชาธิปไตย (FDP) ของลินด์เนอร์ ทำให้ขณะนี้รัฐบาลของชอลซ์เหลือเพียงสองพรรค คือ พรรคสังคมประชาธิปไตย (SPD) ของชอลซ์ และพรรคกรีน ทำให้ชอลซ์ไม่ได้ครองเสียงข้างมากในสภาอีกต่อไป ชอลซ์ยังเผยด้วยว่า เขาจะขอให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และลงมติเกี่ยวกับสถานภาพของรัฐบาล ภายในวันที่ 15 ม.ค. 2568 ซึ่งอาจทำให้เยอรมนีจะต้องมีการเลือกตั้งก่อนกำหนดภายในปลายเดือน มี.ค. 68 จากกำหนดการตามวาระของรัฐบาล ในเดือน ก.ย. 68
    0 Comments 0 Shares 99 Views 31 0 Reviews
  • 🇷🇺🇩🇪 SMART: รัสเซียเชิญคนงาน Volkswagen ชาวเยอรมัน, เนื่องจากโรงงานในเยอรมนีปิดตัวลง!

    “รัสเซียจะเปิดโรงงาน Jetta, ซึ่งเป็นโรงงานในจีนที่เทียบได้กับ Volkswagen Audi Group, ให้กับพนักงานชาวเยอรมัน

    รัสเซียจะจัดหาตำแหน่งงานให้กับผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมัน ซึ่งจะสามารถขอสัญชาติรัสเซียได้หลังจากผ่านไป ๕ ปี

    เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นยักษ์ใหญ่ในเยอรมนีล้มละลาย รถยนต์ของ Volkswagen Audi Group มีคุณภาพดีที่สุดมาโดยตลอดและเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก”

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า แอนตัน อาลีคานอฟ ประกาศแผนการเปิดโรงงานผลิต Jetta แบรนด์จีน, ซึ่งผลิตรถยนต์ Volkswagen ภายใต้แบรนด์ของตนเอง, ใน ๕ เมืองของสหพันธรัฐรัสเซีย ท่ามกลางการปิดโรงงานในเยอรมนี

    “ขณะนี้มีการจัดตั้งนิติบุคคลเพื่อเปิดโรงงาน VAG ๕ แห่งในรัสเซีย

    นอกจากเมืองคาลูกาแล้ว, โรงงานผลิตยังจะตั้งอยู่ในเมืองวเซโวโลซสค์, คาลินินกราด, โนโวคูอีบีเชฟสค์ และนาเบเรจเนียเชลนี“
    — อาลีคานอฟ กล่าว
    .
    🇷🇺🇩🇪 Volkswagen ขายโรงงานประกอบรถยนต์ในรัสเซีย, รวมทั้งโรงงานประกอบรถยนต์

    โรงงานประกอบรถยนต์ Volkswagen ทางตะวันตกของรัสเซีย, เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีกำลังการผลิต ๒๒๕,๐๐๐ คันต่อปี

    Volkswagen ได้ขายโรงงานประกอบรถยนต์และโรงงานประกอบรถยนต์อื่นๆ ในรัสเซียให้กับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ หลังจากบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันแห่งนี้ยุติการผลิตในประเทศหลังการรุกรานยูเครน, บริษัทดังกล่าวเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

    ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว, ซึ่งต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลรัสเซีย, ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แห่งหนึ่งในมอสโกว์ที่ชื่อ Avilon ได้เข้าซื้อสินทรัพย์ของ Volkswagen Group Rus, บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายนี้กล่าว ทั้งสองบริษัทไม่ได้ระบุราคาขาย, แต่สื่อของรัสเซียอ้างข้อมูลในท้องถิ่นว่า Avilon จ่ายเงินไปประมาณ ๑๒๕ ล้านยูโร (๑๓๕ ล้านดอลลาร์)
    .
    โรงงาน Volkswagen ในคาลูกาแห่งเดิมกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง, เนื่องจากภาคส่วนรถยนต์ของรัสเซียฟื้นตัวเต็มที่จนกลับมาเท่ากับระดับการผลิตก่อน-สงคราม ในเดือนกรกฎาคม
    .
    🇷🇺🇩🇪 SMART: Russia invites German Volkswagen workers, because the German factories close!

    “Russia to open Jetta factories, the Chinese analogue of Volkswagen Audi Group, for German employees.

    Russia will be providing jobs for German specialists who will be able to obtain Russian citizenship after five years.

    It is impossible to watch a giant in Germany collapse. Volkswagen Audi Group’s cars have always been of the best quality and loved all over the world.”

    Minister of Industry and Trade Anton Alikhanov announced plans to open production facilities for the Chinese brand Jetta, which produces Volkswagen cars under its own brand, in five cities in the Russian Federation against the backdrop of the closure of factories in Germany.

    “A legal entity is currently being created to open five VAG factories in Russia.

    In addition to Kaluga, production facilities will appear in Vsevolozhsk, Kaliningrad, Novokuibyshevsk and Naberezhnye Chelny.“
    — Alikhanov said

    1/
    .
    🇷🇺🇩🇪 Volkswagen Sells Its Russia Operations, Including an Assembly Plant

    Volkswagen’s assembly plant in western Russia, in December. It had capacity to turn out 225,000 vehicles a year.

    Volkswagen has sold its assembly plant and other operations in Russia to a local auto dealership, more than a year after the German carmaker ceased production in the country following the invasion of Ukraine, the company said on Friday.

    Under the deal, which required approval from the Russian government, a Moscow-based dealership called Avilon acquired the assets of Volkswagen Group Rus, the carmaker said. Neither company specified a sales price, but Russia media citing local records said Avilon paid about 125 million euros ($135 million)

    2/
    .
    The former Volkswagen plant in Kaluga is back online, as Russia's car sector makes a full recovery to pre-war production levels in July

    3/
    .
    9:54 PM · Nov 3, 2024 · 339.6K Views
    https://x.com/MyLordBebo/status/1853088468412366868
    🇷🇺🇩🇪 SMART: รัสเซียเชิญคนงาน Volkswagen ชาวเยอรมัน, เนื่องจากโรงงานในเยอรมนีปิดตัวลง! “รัสเซียจะเปิดโรงงาน Jetta, ซึ่งเป็นโรงงานในจีนที่เทียบได้กับ Volkswagen Audi Group, ให้กับพนักงานชาวเยอรมัน รัสเซียจะจัดหาตำแหน่งงานให้กับผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมัน ซึ่งจะสามารถขอสัญชาติรัสเซียได้หลังจากผ่านไป ๕ ปี เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นยักษ์ใหญ่ในเยอรมนีล้มละลาย รถยนต์ของ Volkswagen Audi Group มีคุณภาพดีที่สุดมาโดยตลอดและเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า แอนตัน อาลีคานอฟ ประกาศแผนการเปิดโรงงานผลิต Jetta แบรนด์จีน, ซึ่งผลิตรถยนต์ Volkswagen ภายใต้แบรนด์ของตนเอง, ใน ๕ เมืองของสหพันธรัฐรัสเซีย ท่ามกลางการปิดโรงงานในเยอรมนี “ขณะนี้มีการจัดตั้งนิติบุคคลเพื่อเปิดโรงงาน VAG ๕ แห่งในรัสเซีย นอกจากเมืองคาลูกาแล้ว, โรงงานผลิตยังจะตั้งอยู่ในเมืองวเซโวโลซสค์, คาลินินกราด, โนโวคูอีบีเชฟสค์ และนาเบเรจเนียเชลนี“ — อาลีคานอฟ กล่าว . 🇷🇺🇩🇪 Volkswagen ขายโรงงานประกอบรถยนต์ในรัสเซีย, รวมทั้งโรงงานประกอบรถยนต์ โรงงานประกอบรถยนต์ Volkswagen ทางตะวันตกของรัสเซีย, เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีกำลังการผลิต ๒๒๕,๐๐๐ คันต่อปี Volkswagen ได้ขายโรงงานประกอบรถยนต์และโรงงานประกอบรถยนต์อื่นๆ ในรัสเซียให้กับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ หลังจากบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันแห่งนี้ยุติการผลิตในประเทศหลังการรุกรานยูเครน, บริษัทดังกล่าวเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว, ซึ่งต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลรัสเซีย, ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แห่งหนึ่งในมอสโกว์ที่ชื่อ Avilon ได้เข้าซื้อสินทรัพย์ของ Volkswagen Group Rus, บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายนี้กล่าว ทั้งสองบริษัทไม่ได้ระบุราคาขาย, แต่สื่อของรัสเซียอ้างข้อมูลในท้องถิ่นว่า Avilon จ่ายเงินไปประมาณ ๑๒๕ ล้านยูโร (๑๓๕ ล้านดอลลาร์) . โรงงาน Volkswagen ในคาลูกาแห่งเดิมกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง, เนื่องจากภาคส่วนรถยนต์ของรัสเซียฟื้นตัวเต็มที่จนกลับมาเท่ากับระดับการผลิตก่อน-สงคราม ในเดือนกรกฎาคม . 🇷🇺🇩🇪 SMART: Russia invites German Volkswagen workers, because the German factories close! “Russia to open Jetta factories, the Chinese analogue of Volkswagen Audi Group, for German employees. Russia will be providing jobs for German specialists who will be able to obtain Russian citizenship after five years. It is impossible to watch a giant in Germany collapse. Volkswagen Audi Group’s cars have always been of the best quality and loved all over the world.” Minister of Industry and Trade Anton Alikhanov announced plans to open production facilities for the Chinese brand Jetta, which produces Volkswagen cars under its own brand, in five cities in the Russian Federation against the backdrop of the closure of factories in Germany. “A legal entity is currently being created to open five VAG factories in Russia. In addition to Kaluga, production facilities will appear in Vsevolozhsk, Kaliningrad, Novokuibyshevsk and Naberezhnye Chelny.“ — Alikhanov said 1/ . 🇷🇺🇩🇪 Volkswagen Sells Its Russia Operations, Including an Assembly Plant Volkswagen’s assembly plant in western Russia, in December. It had capacity to turn out 225,000 vehicles a year. Volkswagen has sold its assembly plant and other operations in Russia to a local auto dealership, more than a year after the German carmaker ceased production in the country following the invasion of Ukraine, the company said on Friday. Under the deal, which required approval from the Russian government, a Moscow-based dealership called Avilon acquired the assets of Volkswagen Group Rus, the carmaker said. Neither company specified a sales price, but Russia media citing local records said Avilon paid about 125 million euros ($135 million) 2/ . The former Volkswagen plant in Kaluga is back online, as Russia's car sector makes a full recovery to pre-war production levels in July 3/ . 9:54 PM · Nov 3, 2024 · 339.6K Views https://x.com/MyLordBebo/status/1853088468412366868
    Like
    1
    2 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • “พี่อ้อย-จตุพร อุบลเลิศ” เป็นใคร มาจากไหน
    .
    วันนี้เรามาฟังความจริงที่มีหนึ่งเดียว จากผม สนธิ ลิ้มทองกุล ที่จะขอเปิดตัว "คุณอ้อย" จตุพร อุบลเลิศ ทุกคนสงสัยว่าคุณอ้อย รวยมาจากไหน ถึงหลงกลโอนเงินลงทุนไปให้ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ได้มากมายมหาศาลถึง 71 ล้านบาท แล้วทนายตั้ม ก็อ้างว่าให้โดยเสน่หา ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
    .
    "พี่อ้อย จตุพร" ทุกวันนี้อายุ 58-59 ปีแล้ว เป็นชาวอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยกำเนิด คุณพ่อเป็นตำรวจชั้นประทวน ยศจ่าสิบตำรวจ คุณแม่เป็นชาวนา ชื่อ สมพิศ อุบลเลิศ ชีวิตวัยเด็กเต็มไปด้วยความยากลำบาก พ่อแม่แยกทางกัน ส่วนตัวคุณอ้อยเองนั้นจบแค่ ป.6 จากโรงเรียนประถมในอำเภอปากช่อง ก่อนจะออกมาทำงานเร่ขายถั่วต้มกับเพื่อนสนิทที่รักกันมาก ก็คือ "พี่น้อย" ซึ่งปัจจุบันเป็นเลขาฯ คุณอ้อย
    .
    หลังจากนั้นแล้วต่างคนต่างแยกย้ายไป พี่อ้อย ได้สามีเป็นคนเยอรมัน ไปอยู่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่อายุ 21 ปี ส่วนพี่น้อยทำงานคุมบ่อทราย คุมรถเข้า-ออก ดูเอกสารหลักฐาน ดูบัญชี เขาทำอะไรละเอียดลออ จดจำวันที่ วัน ว. เวลา น. เก็บหลักฐานเอกสารต่างๆ ไว้ครบถ้วนหมด ด้วยเหตุนี้ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พี่อ้อยเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาเศรษฐินีขึ้นมา ก็เลยดึงพี่น้อยมาเป็นเลขาฯส่วนตัว มอบหมายให้จัดการเรื่องราวต่างๆ
    .
    แกร่ำรวยขึ้นมา มีข่าวจากสื่อฝรั่งเศสกรณีผู้ถูกรางวัลล็อตเตอรียูโร จำนวน 157 ล้านยูโร หรือราวๆ เกือบ 6,000 ล้านบาท เมื่อปี 2563 พอแกร่ำรวยขึ้นมาก็เกิดความสำนึกรักบ้านเกิดมาก เอาเงินซื้อวัคซีนที่มาฉีดให้คนปากช่อง กันโรคระบาด มีทั้งรถกู้ภัย รถพยาบาล แต่สิ่งที่พี่อ้อย หรือคุณจตุพร ทุ่มเทให้มากที่สุดนั้น คือโรงเรียนเก่าที่เคยเรียน ชื่อว่าโรงเรียนวัดขนงพระเหนือ จึงเริ่มการสนับสนุนโรงเรียนแห่งนี้ก่อนที่จะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีเสียด้วยซ้ำ รวมจากวันนั้นถึงวันนี้ ร้อยกว่าล้านบาท จนได้รับฉายาจากครูอาจารย์ ชาวบ้านในพื้นที่ ว่าเป็น "นางฟ้าเดินดิน"
    .
    คณะอาจารย์โรงเรียนวัดขนงพระเหนือได้พูดกับคุณนพรัฐ พรวนสุข ขอใช้สิทธิ์พาดพิงและขอชี้แจงไปยังสื่อ (คือคุณหมาแก่ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์) เพราะรู้ว่าออกข่าวด้อยค่าโรงเรียนอย่างขาดความเข้าใจ
    .
    นอกจากนี้ บนผนังอาคาร มีภาพถ่ายของษิทรา เบี้ยบังเกิด มาร่วมพิธีที่โรงเรียน พวกครู คณะครูเขาบอกว่ามั่นใจว่าจะไม่ได้เห็นทนายตั้มอีกแล้ว และกรุณาไม่อยากให้กลับมา เพราะสิ่งที่ทนายตั้มกระทำกับพี่อ้อยนั้น เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่สุด ทำไมคนดีๆระดับนางฟ้าเดินดิน ต้องมาถูกฉ้อโกงจากทนายตั้ม ที่พี่อ้อยให้ใจและไว้วางใจ
    .
    พี่อ้อยเป็นคนมีจิตสำนึกที่ดี จิตใจงดงามที่เป็นบุญเป็นกุศล และผมเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเป็นบุญหนุนส่งให้พี่อ้อยโชคดีขนาดนี้ ก่อนที่จะโชคร้ายมาเจอคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด และคนที่เจอคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด โชคร้ายทุกคน
    .
    คุณษิทรา คุณรู้หรือเปล่า สิ่งที่คุณทำกับเขาไม่ใช่การเนรคุณกับพี่อ้อย จตุพร คนที่เคยไว้ใจคุณ มีพระคุณกับคุณ อายบ้างไหม ว่าความโลภของคุณมันได้ทำร้ายตัวคุณเอง แต่ยังทำร้ายคนจำนวนมาก
    “พี่อ้อย-จตุพร อุบลเลิศ” เป็นใคร มาจากไหน . วันนี้เรามาฟังความจริงที่มีหนึ่งเดียว จากผม สนธิ ลิ้มทองกุล ที่จะขอเปิดตัว "คุณอ้อย" จตุพร อุบลเลิศ ทุกคนสงสัยว่าคุณอ้อย รวยมาจากไหน ถึงหลงกลโอนเงินลงทุนไปให้ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ได้มากมายมหาศาลถึง 71 ล้านบาท แล้วทนายตั้ม ก็อ้างว่าให้โดยเสน่หา ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด . "พี่อ้อย จตุพร" ทุกวันนี้อายุ 58-59 ปีแล้ว เป็นชาวอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยกำเนิด คุณพ่อเป็นตำรวจชั้นประทวน ยศจ่าสิบตำรวจ คุณแม่เป็นชาวนา ชื่อ สมพิศ อุบลเลิศ ชีวิตวัยเด็กเต็มไปด้วยความยากลำบาก พ่อแม่แยกทางกัน ส่วนตัวคุณอ้อยเองนั้นจบแค่ ป.6 จากโรงเรียนประถมในอำเภอปากช่อง ก่อนจะออกมาทำงานเร่ขายถั่วต้มกับเพื่อนสนิทที่รักกันมาก ก็คือ "พี่น้อย" ซึ่งปัจจุบันเป็นเลขาฯ คุณอ้อย . หลังจากนั้นแล้วต่างคนต่างแยกย้ายไป พี่อ้อย ได้สามีเป็นคนเยอรมัน ไปอยู่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่อายุ 21 ปี ส่วนพี่น้อยทำงานคุมบ่อทราย คุมรถเข้า-ออก ดูเอกสารหลักฐาน ดูบัญชี เขาทำอะไรละเอียดลออ จดจำวันที่ วัน ว. เวลา น. เก็บหลักฐานเอกสารต่างๆ ไว้ครบถ้วนหมด ด้วยเหตุนี้ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พี่อ้อยเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาเศรษฐินีขึ้นมา ก็เลยดึงพี่น้อยมาเป็นเลขาฯส่วนตัว มอบหมายให้จัดการเรื่องราวต่างๆ . แกร่ำรวยขึ้นมา มีข่าวจากสื่อฝรั่งเศสกรณีผู้ถูกรางวัลล็อตเตอรียูโร จำนวน 157 ล้านยูโร หรือราวๆ เกือบ 6,000 ล้านบาท เมื่อปี 2563 พอแกร่ำรวยขึ้นมาก็เกิดความสำนึกรักบ้านเกิดมาก เอาเงินซื้อวัคซีนที่มาฉีดให้คนปากช่อง กันโรคระบาด มีทั้งรถกู้ภัย รถพยาบาล แต่สิ่งที่พี่อ้อย หรือคุณจตุพร ทุ่มเทให้มากที่สุดนั้น คือโรงเรียนเก่าที่เคยเรียน ชื่อว่าโรงเรียนวัดขนงพระเหนือ จึงเริ่มการสนับสนุนโรงเรียนแห่งนี้ก่อนที่จะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีเสียด้วยซ้ำ รวมจากวันนั้นถึงวันนี้ ร้อยกว่าล้านบาท จนได้รับฉายาจากครูอาจารย์ ชาวบ้านในพื้นที่ ว่าเป็น "นางฟ้าเดินดิน" . คณะอาจารย์โรงเรียนวัดขนงพระเหนือได้พูดกับคุณนพรัฐ พรวนสุข ขอใช้สิทธิ์พาดพิงและขอชี้แจงไปยังสื่อ (คือคุณหมาแก่ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์) เพราะรู้ว่าออกข่าวด้อยค่าโรงเรียนอย่างขาดความเข้าใจ . นอกจากนี้ บนผนังอาคาร มีภาพถ่ายของษิทรา เบี้ยบังเกิด มาร่วมพิธีที่โรงเรียน พวกครู คณะครูเขาบอกว่ามั่นใจว่าจะไม่ได้เห็นทนายตั้มอีกแล้ว และกรุณาไม่อยากให้กลับมา เพราะสิ่งที่ทนายตั้มกระทำกับพี่อ้อยนั้น เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่สุด ทำไมคนดีๆระดับนางฟ้าเดินดิน ต้องมาถูกฉ้อโกงจากทนายตั้ม ที่พี่อ้อยให้ใจและไว้วางใจ . พี่อ้อยเป็นคนมีจิตสำนึกที่ดี จิตใจงดงามที่เป็นบุญเป็นกุศล และผมเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเป็นบุญหนุนส่งให้พี่อ้อยโชคดีขนาดนี้ ก่อนที่จะโชคร้ายมาเจอคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด และคนที่เจอคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด โชคร้ายทุกคน . คุณษิทรา คุณรู้หรือเปล่า สิ่งที่คุณทำกับเขาไม่ใช่การเนรคุณกับพี่อ้อย จตุพร คนที่เคยไว้ใจคุณ มีพระคุณกับคุณ อายบ้างไหม ว่าความโลภของคุณมันได้ทำร้ายตัวคุณเอง แต่ยังทำร้ายคนจำนวนมาก
    Like
    8
    0 Comments 0 Shares 673 Views 0 Reviews
  • เยอรมนีสั่งปิดสถานกงสุลอิหร่านในประเทศ เพื่อตอบโต้อิหร่านจากการสั่งประหารชีวิต "จามชิด ชาร์มาฮ์ด" วิศวกรซอฟท์แวร์ สองสัญชาติ "อิหร่าน-เยอรมัน"

    อันนาเลนา แบร์บ็อค (Annalena Baerbock) รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน มีคำสั่งปิดสถานกงสุลอิหร่านทั้งหมดในเยอรมันทั้ง 3 แห่ง ประกอบไปด้วย แฟรงเฟิร์ต ฮัมบูร์ก และมิวนิค ทำให้อิหร่านเหลือที่ตั้งทางการทูตของตัวเองเพียงแห่งเดียวคือ สถานทูตอิหร่านประจำกรุงเบอร์ลิน

    คำสั่งปิดสถานกงศุลครั้งนี้ เพื่อตอบโต้อิหร่านจากการสั่งประหารชีวิต "จามชิด ชาร์มาฮ์ด" (Jamshid Sharmahd) วัย 69 ปี ในคดีก่อการร้าย หลังการไต่สวนโดยกระบวนการยุติธรรมของอิหร่านเสร็จสิ้นลง

    เยอรมัน สหรัฐฯ และกลุ่มสิทธิมนุษยชนออกมาประณามการตัดสินครั้งนี้ว่าเป็นสิ่งที่ “น่าละอาย” ของอิหร่าน

    ชาร์มาฮ์ด มี 2 สัญชาติคือ "อิหร่าน-เยอรมัน" เป็นพวกต่อต้านรัฐบาลอิหร่าน และอาศัยอยู่ในเมืองเกลนโดรา (Glendora) รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาถูกจับกุมตัวในดูไบเมื่อปี 2020 และถูกพากลับมาดำเนินคดีในอิหร่าน

    ชาร์มาฮ์ดถูกรัฐบาลอิหร่านกล่าวหาว่า เป็นคนวางแผนโจมตีมัสยิดเมื่อปี 2008 ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 14 คน รวมผู้หญิง 5 คนและเด็ก 1 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 200 คน

    นอกจากนี้เขายังโดนกล่าวหาเพิ่มเติมอีกว่า แอบเปิดเผยข้อมูลความลับที่ตั้งมิสไซล์ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ในปี 2017

    อิหร่านออกมาโต้เยอรมัน หลังถูกประณามว่า “หนังสือเดินทางเยอรมันไม่ได้รับประกันว่าบุคคลใดๆ จะไม่ต้องได้รับการลงโทษ โดยเฉพาะพวกก่อการร้าย”
    เยอรมนีสั่งปิดสถานกงสุลอิหร่านในประเทศ เพื่อตอบโต้อิหร่านจากการสั่งประหารชีวิต "จามชิด ชาร์มาฮ์ด" วิศวกรซอฟท์แวร์ สองสัญชาติ "อิหร่าน-เยอรมัน" อันนาเลนา แบร์บ็อค (Annalena Baerbock) รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน มีคำสั่งปิดสถานกงสุลอิหร่านทั้งหมดในเยอรมันทั้ง 3 แห่ง ประกอบไปด้วย แฟรงเฟิร์ต ฮัมบูร์ก และมิวนิค ทำให้อิหร่านเหลือที่ตั้งทางการทูตของตัวเองเพียงแห่งเดียวคือ สถานทูตอิหร่านประจำกรุงเบอร์ลิน คำสั่งปิดสถานกงศุลครั้งนี้ เพื่อตอบโต้อิหร่านจากการสั่งประหารชีวิต "จามชิด ชาร์มาฮ์ด" (Jamshid Sharmahd) วัย 69 ปี ในคดีก่อการร้าย หลังการไต่สวนโดยกระบวนการยุติธรรมของอิหร่านเสร็จสิ้นลง เยอรมัน สหรัฐฯ และกลุ่มสิทธิมนุษยชนออกมาประณามการตัดสินครั้งนี้ว่าเป็นสิ่งที่ “น่าละอาย” ของอิหร่าน ชาร์มาฮ์ด มี 2 สัญชาติคือ "อิหร่าน-เยอรมัน" เป็นพวกต่อต้านรัฐบาลอิหร่าน และอาศัยอยู่ในเมืองเกลนโดรา (Glendora) รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาถูกจับกุมตัวในดูไบเมื่อปี 2020 และถูกพากลับมาดำเนินคดีในอิหร่าน ชาร์มาฮ์ดถูกรัฐบาลอิหร่านกล่าวหาว่า เป็นคนวางแผนโจมตีมัสยิดเมื่อปี 2008 ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 14 คน รวมผู้หญิง 5 คนและเด็ก 1 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 200 คน นอกจากนี้เขายังโดนกล่าวหาเพิ่มเติมอีกว่า แอบเปิดเผยข้อมูลความลับที่ตั้งมิสไซล์ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ในปี 2017 อิหร่านออกมาโต้เยอรมัน หลังถูกประณามว่า “หนังสือเดินทางเยอรมันไม่ได้รับประกันว่าบุคคลใดๆ จะไม่ต้องได้รับการลงโทษ โดยเฉพาะพวกก่อการร้าย”
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • 🇮🇷 อิหร่านประหารชีวิตจามชิด ชาร์มาฮ์ด พลเมืองอิหร่าน-เยอรมัน หลังจากเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานก่อเหตุโจมตีแบบ "ก่อการร้าย"
    .
    JUST IN: 🇮🇷 Iran executes Iranian-German national Jamshid Sharmahd after he was convicted of carrying out "terrorist" attacks.
    .
    12:38 AM · Oct 29, 2024 · 101.7K View
    https://x.com/BRICSinfo/status/1850955389690405013
    🇮🇷 อิหร่านประหารชีวิตจามชิด ชาร์มาฮ์ด พลเมืองอิหร่าน-เยอรมัน หลังจากเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานก่อเหตุโจมตีแบบ "ก่อการร้าย" . JUST IN: 🇮🇷 Iran executes Iranian-German national Jamshid Sharmahd after he was convicted of carrying out "terrorist" attacks. . 12:38 AM · Oct 29, 2024 · 101.7K View https://x.com/BRICSinfo/status/1850955389690405013
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • ฟาลโลว์ส เตรียมที่จะอำลาตำแหน่งของเขาในสิ้นปีนี้ และลิเวอร์พูล ได้ทำการมองหาตัวแทนที่เหมาะสมกับตำแหน่งของเขาแล้ว

    มาร์คัส พิลาว่า อดีตหัวหน้าแมวมองของ บาเยิร์น กลายเป็นตัวเต็งที่จะเข้ามารับตำแหน่งของ ฟาลโลว์ส

    พิลาว่า ถือว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลเยอรมันเป็นอย่างมาก เขาเคยทำงานให้กับ บาเยิร์น มิวนิค และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

    ที่ ดอร์ทมุนด์ เขามีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกผู้เล่นอย่าง จู๊ด เบลลิงแฮม, เออร์ลิง ฮาลันด์, จาดอน ซานโช และ มานูเอล อคานยี

    ปี 2022 เขาได้ย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค โดยได้รับตำแหน่งหัวหน้าแมวมอง ที่ บาเยิร์น เขามีส่วนสำคัญในการเซ็นสัญญากับผู้เล่นอย่าง แฮร์รี เคน ,ไมเคิล โอลิเซ่ และ คอนราด ไลเมอร์ และเป็นคนที่ผลักดันในการขาย ซาดิโอ มาเน่

    พิลาว่า ออกจาก บาเยิร์น มิวนิค เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และตอนนี้ เขากำลังว่างงาน และรอรับข้อเสนอที่น่าสนใจอยู่ในขณะนี้

    Source: Anfield Watch
    ฟาลโลว์ส เตรียมที่จะอำลาตำแหน่งของเขาในสิ้นปีนี้ และลิเวอร์พูล ได้ทำการมองหาตัวแทนที่เหมาะสมกับตำแหน่งของเขาแล้ว มาร์คัส พิลาว่า อดีตหัวหน้าแมวมองของ บาเยิร์น กลายเป็นตัวเต็งที่จะเข้ามารับตำแหน่งของ ฟาลโลว์ส พิลาว่า ถือว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลเยอรมันเป็นอย่างมาก เขาเคยทำงานให้กับ บาเยิร์น มิวนิค และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ ดอร์ทมุนด์ เขามีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกผู้เล่นอย่าง จู๊ด เบลลิงแฮม, เออร์ลิง ฮาลันด์, จาดอน ซานโช และ มานูเอล อคานยี ปี 2022 เขาได้ย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค โดยได้รับตำแหน่งหัวหน้าแมวมอง ที่ บาเยิร์น เขามีส่วนสำคัญในการเซ็นสัญญากับผู้เล่นอย่าง แฮร์รี เคน ,ไมเคิล โอลิเซ่ และ คอนราด ไลเมอร์ และเป็นคนที่ผลักดันในการขาย ซาดิโอ มาเน่ พิลาว่า ออกจาก บาเยิร์น มิวนิค เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และตอนนี้ เขากำลังว่างงาน และรอรับข้อเสนอที่น่าสนใจอยู่ในขณะนี้ Source: Anfield Watch
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
  • #พระราชวังนิมเฟนบูร์ก #NymphenburgPalace #มิวนิค #เยอรมัน
    #พระราชวังนิมเฟนบูร์ก #NymphenburgPalace #มิวนิค #เยอรมัน
    0 Comments 0 Shares 70 Views 26 0 Reviews
  • เทรนเนอร์จากเยอรมัน ไม่ธรรมดานะครับ 18/10/67 #กุนซือชาวเยอรมัน #โธมัส ทูเคิ่ล #ทีมชาติอังกฤษคน
    เทรนเนอร์จากเยอรมัน ไม่ธรรมดานะครับ 18/10/67 #กุนซือชาวเยอรมัน #โธมัส ทูเคิ่ล #ทีมชาติอังกฤษคน
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 1526 Views 443 0 Reviews
  • เจ้านายคนใหม่ มาแล้ว 17/10/67 #ทีมชาติอังกฤษ #โธมัส ทูเคิล #สิงโตคำราม #กุนซือชาวเยอรมัน
    เจ้านายคนใหม่ มาแล้ว 17/10/67 #ทีมชาติอังกฤษ #โธมัส ทูเคิล #สิงโตคำราม #กุนซือชาวเยอรมัน
    Like
    15
    0 Comments 0 Shares 1731 Views 906 0 Reviews
  • #marstallmuseum #nymphenburg #palace #มิวนิค #เยอรมัน #พระราชวัง #นิมเฟนบูร์ก #พิพิธภัณฑ์ #ราชรถ #รถลากเลื่อน
    #marstallmuseum #nymphenburg #palace #มิวนิค #เยอรมัน #พระราชวัง #นิมเฟนบูร์ก #พิพิธภัณฑ์ #ราชรถ #รถลากเลื่อน
    0 Comments 0 Shares 131 Views 87 0 Reviews
  • #ร้านอาหาร #hofbräuhaus #มิวนิค #เยอรมัน #ขาหมูเยอรมัน #ร้านดั้งเดิม #ร้านเก่าแก่
    #ร้านอาหาร #hofbräuhaus #มิวนิค #เยอรมัน #ขาหมูเยอรมัน #ร้านดั้งเดิม #ร้านเก่าแก่
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 124 Views 85 0 Reviews
  • 13/10/67

    คิดถึงพ่อ

    ในหลวง ร.9

    คลิปที่หลายๆคนไม่เคยเห็น ในหลวงเสด็จด้วยรถไฟใต้ดิน ชอบตอนที่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ท่าน...ตอนใกล้ๆจบ #แบ่งปันกันนะ


    พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรีและเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 53 ตามประวัติศาสตร์ไทย ครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ด้วยพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร จนสวรรคต เป็นประมุขแห่งรัฐที่ครองราชย์ยาวนานมากที่สุดตลอดกาลในประเทศไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปเอเชีย[1] พระองค์ยังเป็นประมุขแห่งรัฐที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดในโลกในขณะทรงพระชนม์ นับตั้งแต่การสวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะแห่งญี่ปุ่นใน พ.ศ. 2532 กระทั่งสวรรคตใน พ.ศ. 2559[2] อีกทั้งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดตลอดกาลอันดับที่ 3 ของโลก ด้วยระยะเวลาในราชสมบัติทั้งสิ้น 70 ปี 126 วัน[1]


    พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
    มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
    บรมนาถบพิตร
    พระภัทรมหาราช

    พระบรมฉายาลักษณ์ พ.ศ. 2503
    พระมหากษัตริย์ไทย
    ครองราชย์
    9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559
    (70 ปี 126 วัน)
    ราชาภิเษก
    5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493
    ก่อนหน้า
    พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
    ถัดไป
    พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
    ดูรายพระนามและรายชื่อ
    นายกรัฐมนตรี
    ดูรายชื่อ
    พระราชสมภพ
    5 ธันวาคม พ.ศ. 2470
    โรงพยาบาลเคมบริดจ์ เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ
    สวรรคต
    13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (88 พรรษา)
    โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
    ถวายพระเพลิง
    26 ตุลาคม พ.ศ. 2560
    พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง
    บรรจุพระอัฐิ
    พระวิมานทองกลาง
    บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
    พระอัครมเหสี
    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (สมรส 2493)
    พระราชบุตร
    รายละเอียด
    ดูรายพระนาม
    วัดประจำรัชกาล
    วัดบวรนิเวศวิหาร
    ราชวงศ์
    จักรี
    ราชสกุล
    มหิดล
    พระราชบิดา
    สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
    พระราชมารดา
    สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
    ศาสนา
    พุทธเถรวาท
    ลายพระอภิไธย

    พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
    มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
    บรมนาถบพิตร
    พระภัทรมหาราช

    พระบรมฉายาลักษณ์ พ.ศ. 2503
    พระมหากษัตริย์ไทย
    ครองราชย์
    9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559
    (70 ปี 126 วัน)
    ราชาภิเษก
    5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493
    ก่อนหน้า
    พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
    ถัดไป
    พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
    ดูรายพระนามและรายชื่อ
    นายกรัฐมนตรี
    ดูรายชื่อ
    พระราชสมภพ
    5 ธันวาคม พ.ศ. 2470
    โรงพยาบาลเคมบริดจ์ เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ
    สวรรคต
    13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (88 พรรษา)
    โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
    ถวายพระเพลิง
    26 ตุลาคม พ.ศ. 2560
    พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง
    บรรจุพระอัฐิ
    พระวิมานทองกลาง
    บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
    พระอัครมเหสี
    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (สมรส 2493)
    พระราชบุตร
    รายละเอียด
    ดูรายพระนาม
    วัดประจำรัชกาล
    วัดบวรนิเวศวิหาร
    ราชวงศ์
    จักรี
    ราชสกุล
    มหิดล
    พระราชบิดา
    สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
    พระราชมารดา
    สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
    ศาสนา
    พุทธเถรวาท
    ลายพระอภิไธย

    พระสุรเสียงของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
    ระยะเวลา: 1 minute and 31 seconds1:31
    พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ที่โรงพยาบาลเคมบริดจ์ (ปัจจุบัน โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ เป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า


    พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และได้ทรงหยุดยั้งการกบฏ เช่น กบฏเมษาฮาวายใน พ.ศ. 2524 และกบฏทหารนอกราชการใน พ.ศ. 2528 กระนั้น ในสมัยของพระองค์ได้มีการทำรัฐประหารโดยทหารหลายคณะ เช่น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใน พ.ศ. 2500 กับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ใน พ.ศ. 2549 ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ มีนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่ง 26 คน โดยเริ่มต้นที่ปรีดี พนมยงค์ และสิ้นสุดลงที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา[3]
    ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่เคารพพระองค์[4][5][6] อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ และผู้ใดจะละเมิดมิได้ ส่วนประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ว่า การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นความผิดอาญา[6] คณะรัฐมนตรีหลายชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาก็ถูกคณะทหารล้มล้างไปด้วยข้อกล่าวหาว่านักการเมืองผู้ใหญ่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ[7][8] กระนั้น พระองค์เองได้ตรัสเมื่อ พ.ศ. 2548 ว่า สาธารณชนพึงวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ได้[9]
    พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทยเกี่ยวกับพระราชดำริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์[10] ด้านสินทรัพย์ของพระองค์ นิตยสาร ฟอบส์ จัดอันดับให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลกตั้งแต่ พ.ศ. 2551 ถึง พ.ศ. 2556[11] เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 พระองค์มีพระราชทรัพย์ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ดูหมายเหตุด้านล่าง)[12] สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ใช้ทรัพย์สินเพื่อสวัสดิการสาธารณะ เช่น เพื่อพัฒนาเยาวชน แต่ได้รับการยกเว้นมิต้องจ่ายภาษีและให้เปิดเผยการเงินต่อพระองค์ผู้เดียว[13] พระองค์ยังทรงอุทิศพระราชทรัพย์ในโครงการพัฒนาประเทศไทยหลายโครงการ โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรัพยากรน้ำ สวัสดิการทางคมนาคม และสวัสดิการสาธารณะ[14]


    พระชนม์ชีพช่วงต้น
    พระราชสมภพ
    พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชสมภพในราชสกุลมหิดลอันเป็นสายหนึ่งในราชวงศ์จักรี ณ ที่โรงพยาบาลเคมบริดจ์ (ปัจจุบัน โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ อันเป็นที่ซึ่งพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนีกำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ เมื่อวันจันทร์ ขึ้น 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ นพศก จ.ศ. 1289 ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470
    พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระโอรสองค์ที่สามในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในกาลต่อมา) และหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (สกุลเดิม ตะละภัฎ, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในกาลต่อมา) มีพระนามเมื่อแรกประสูติอันปรากฏในสูติบัตรว่า "เบบี สงขลา" (อังกฤษ: Baby Songkla)[15] ต่อมาคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17]
    พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18]
    พระนามของพระองค์มีความหมายว่า
    ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน"
    อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19]
    เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา
    การศึกษา
    พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซาน (Chailly-sur-Lausanne)
    สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ

    รัชกาลที่ 8 (ซ้าย) และเจ้าฟ้าชายภูมิพล (ขวา) เสด็จพระราชดำเนินไปชมรถไฟจำลองที่สวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2481
    เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17]
    พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18]
    พระนามของพระองค์มีความหมายว่า
    ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน"
    อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19]
    เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา
    การศึกษา
    พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซาน (Chailly-sur-Lausanne)
    สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ

    รัชกาลที่ 8 (ซ้าย) และเจ้าฟ้าชายภูมิพล (ขวา) เสด็จพระราชดำเนินไปชมรถไฟจำลองที่สวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2481
    เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17]
    พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18]
    พระนามของพระองค์มีความหมายว่า
    ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน"
    อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19]
    เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา
    การศึกษา
    พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซาน (Chailly-sur-Lausanne)
    สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ

    รัชกาลที่ 8 (ซ้าย) และเจ้าฟ้าชายภูมิพล (ขวา) เสด็จพระราชดำเนินไปชมรถไฟจำลองที่สวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2481
    เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล
    อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17]
    พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18]
    พระนามของพระองค์มีความหมายว่า
    ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน"
    อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19]
    เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา
    การศึกษา
    พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซา น (Chailly-sur-Lausanne)
    13/10/67 คิดถึงพ่อ ในหลวง ร.9 คลิปที่หลายๆคนไม่เคยเห็น ในหลวงเสด็จด้วยรถไฟใต้ดิน ชอบตอนที่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ท่าน...ตอนใกล้ๆจบ #แบ่งปันกันนะ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรีและเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 53 ตามประวัติศาสตร์ไทย ครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ด้วยพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร จนสวรรคต เป็นประมุขแห่งรัฐที่ครองราชย์ยาวนานมากที่สุดตลอดกาลในประเทศไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปเอเชีย[1] พระองค์ยังเป็นประมุขแห่งรัฐที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดในโลกในขณะทรงพระชนม์ นับตั้งแต่การสวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะแห่งญี่ปุ่นใน พ.ศ. 2532 กระทั่งสวรรคตใน พ.ศ. 2559[2] อีกทั้งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดตลอดกาลอันดับที่ 3 ของโลก ด้วยระยะเวลาในราชสมบัติทั้งสิ้น 70 ปี 126 วัน[1] พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระภัทรมหาราช พระบรมฉายาลักษณ์ พ.ศ. 2503 พระมหากษัตริย์ไทย ครองราชย์ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (70 ปี 126 วัน) ราชาภิเษก 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ก่อนหน้า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ถัดไป พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ดูรายพระนามและรายชื่อ นายกรัฐมนตรี ดูรายชื่อ พระราชสมภพ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โรงพยาบาลเคมบริดจ์ เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ สวรรคต 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (88 พรรษา) โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ถวายพระเพลิง 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง บรรจุพระอัฐิ พระวิมานทองกลาง บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระอัครมเหสี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (สมรส 2493) พระราชบุตร รายละเอียด ดูรายพระนาม วัดประจำรัชกาล วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวงศ์ จักรี ราชสกุล มหิดล พระราชบิดา สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระราชมารดา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ศาสนา พุทธเถรวาท ลายพระอภิไธย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระภัทรมหาราช พระบรมฉายาลักษณ์ พ.ศ. 2503 พระมหากษัตริย์ไทย ครองราชย์ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (70 ปี 126 วัน) ราชาภิเษก 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ก่อนหน้า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ถัดไป พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ดูรายพระนามและรายชื่อ นายกรัฐมนตรี ดูรายชื่อ พระราชสมภพ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โรงพยาบาลเคมบริดจ์ เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ สวรรคต 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (88 พรรษา) โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ถวายพระเพลิง 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง บรรจุพระอัฐิ พระวิมานทองกลาง บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระอัครมเหสี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (สมรส 2493) พระราชบุตร รายละเอียด ดูรายพระนาม วัดประจำรัชกาล วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวงศ์ จักรี ราชสกุล มหิดล พระราชบิดา สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระราชมารดา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ศาสนา พุทธเถรวาท ลายพระอภิไธย พระสุรเสียงของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ระยะเวลา: 1 minute and 31 seconds1:31 พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ที่โรงพยาบาลเคมบริดจ์ (ปัจจุบัน โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ เป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และได้ทรงหยุดยั้งการกบฏ เช่น กบฏเมษาฮาวายใน พ.ศ. 2524 และกบฏทหารนอกราชการใน พ.ศ. 2528 กระนั้น ในสมัยของพระองค์ได้มีการทำรัฐประหารโดยทหารหลายคณะ เช่น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใน พ.ศ. 2500 กับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ใน พ.ศ. 2549 ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ มีนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่ง 26 คน โดยเริ่มต้นที่ปรีดี พนมยงค์ และสิ้นสุดลงที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา[3] ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่เคารพพระองค์[4][5][6] อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ และผู้ใดจะละเมิดมิได้ ส่วนประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ว่า การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นความผิดอาญา[6] คณะรัฐมนตรีหลายชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาก็ถูกคณะทหารล้มล้างไปด้วยข้อกล่าวหาว่านักการเมืองผู้ใหญ่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ[7][8] กระนั้น พระองค์เองได้ตรัสเมื่อ พ.ศ. 2548 ว่า สาธารณชนพึงวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ได้[9] พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทยเกี่ยวกับพระราชดำริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์[10] ด้านสินทรัพย์ของพระองค์ นิตยสาร ฟอบส์ จัดอันดับให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลกตั้งแต่ พ.ศ. 2551 ถึง พ.ศ. 2556[11] เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 พระองค์มีพระราชทรัพย์ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ดูหมายเหตุด้านล่าง)[12] สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ใช้ทรัพย์สินเพื่อสวัสดิการสาธารณะ เช่น เพื่อพัฒนาเยาวชน แต่ได้รับการยกเว้นมิต้องจ่ายภาษีและให้เปิดเผยการเงินต่อพระองค์ผู้เดียว[13] พระองค์ยังทรงอุทิศพระราชทรัพย์ในโครงการพัฒนาประเทศไทยหลายโครงการ โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรัพยากรน้ำ สวัสดิการทางคมนาคม และสวัสดิการสาธารณะ[14] พระชนม์ชีพช่วงต้น พระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชสมภพในราชสกุลมหิดลอันเป็นสายหนึ่งในราชวงศ์จักรี ณ ที่โรงพยาบาลเคมบริดจ์ (ปัจจุบัน โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ อันเป็นที่ซึ่งพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนีกำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ เมื่อวันจันทร์ ขึ้น 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ นพศก จ.ศ. 1289 ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระโอรสองค์ที่สามในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในกาลต่อมา) และหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (สกุลเดิม ตะละภัฎ, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในกาลต่อมา) มีพระนามเมื่อแรกประสูติอันปรากฏในสูติบัตรว่า "เบบี สงขลา" (อังกฤษ: Baby Songkla)[15] ต่อมาคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17] พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18] พระนามของพระองค์มีความหมายว่า ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน" อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19] เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา การศึกษา พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซาน (Chailly-sur-Lausanne) สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ รัชกาลที่ 8 (ซ้าย) และเจ้าฟ้าชายภูมิพล (ขวา) เสด็จพระราชดำเนินไปชมรถไฟจำลองที่สวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2481 เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17] พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18] พระนามของพระองค์มีความหมายว่า ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน" อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19] เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา การศึกษา พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซาน (Chailly-sur-Lausanne) สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ รัชกาลที่ 8 (ซ้าย) และเจ้าฟ้าชายภูมิพล (ขวา) เสด็จพระราชดำเนินไปชมรถไฟจำลองที่สวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2481 เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17] พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18] พระนามของพระองค์มีความหมายว่า ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน" อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19] เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา การศึกษา พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซาน (Chailly-sur-Lausanne) สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ รัชกาลที่ 8 (ซ้าย) และเจ้าฟ้าชายภูมิพล (ขวา) เสด็จพระราชดำเนินไปชมรถไฟจำลองที่สวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2481 เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17] พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18] พระนามของพระองค์มีความหมายว่า ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน" อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19] เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา การศึกษา พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซา น (Chailly-sur-Lausanne)
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 313 Views 91 0 Reviews
  • ตามหาฉันน่ะ ไม่ยากหรอก ฉันผู้ประดิษฐ์เครื่องมือ วัดไฟ ใช้ได้รอบคันรถยนต์ ..อุปกรณ์หอบมาทำจากเยอรมันไปสร้างทำ ที่เมืองไทยทุกๆอย่าง อยากได้อยากใช้ไรก็แจ้งจุดประสงค์ กันเข้ามา..เหอเหอ..ขายอะไรก็ถูกไปหมดเพราะสงสารช่างในไทย..ใครมากอปงานอะไรก็ยากไปหมด..เพราะใช้อะไหล่ห่วยๆกัน...เทียบฝีมือไม่ติดหรอก
    ตามหาฉันน่ะ ไม่ยากหรอก ฉันผู้ประดิษฐ์เครื่องมือ วัดไฟ ใช้ได้รอบคันรถยนต์ ..อุปกรณ์หอบมาทำจากเยอรมันไปสร้างทำ ที่เมืองไทยทุกๆอย่าง อยากได้อยากใช้ไรก็แจ้งจุดประสงค์ กันเข้ามา..เหอเหอ..ขายอะไรก็ถูกไปหมดเพราะสงสารช่างในไทย..ใครมากอปงานอะไรก็ยากไปหมด..เพราะใช้อะไหล่ห่วยๆกัน...เทียบฝีมือไม่ติดหรอก
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • เหงาๆกันหน่อยนะคะ แต่ก็เฉพาะพวกเราเท่านั้นแหละ แต่……พี่ปูเขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น………!!!

    ตอนยี่สิบสาม…………เอาจริงละนะ……แผ่นดินของข้า….ใครอย่าแตะ…!!!

    ในช่วงของความโอ่อ่าตระการตาจากพิธีโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi ที่รัสเซียทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพแห่งเทคโนโยลีสู่สายตาชาวโลกนั้น สิ่งที่กวนใจปูตินได้เกิดขึ้นที่ยูเครน ทั้งๆที่ปธน. Yanukovych ที่เพิ่งรับเงินไปหมื่นห้าพันล้านดอลล่าร์หมาดๆ นั่นคือการเดินขบวนของประชาชนที่เรียกร้องอยากจะเข้าสู่โลกของตะวันตก ที่คราวนี้ออกแนวทำลายตึกรามบ้านช่อง
    ซึ่งสภาพเหมือนสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที ทหาร ตำรวจ ต้องระดมกำลังกันปราบปราม ป้องกัน
    ภาพที่ปูตินเห็นจากข่าวในทีวี คือ องค์กรต่างๆจากนอกประเทศ นอกจากจะช่วยยุแยงจากใต้ดินแล้ว คราวนี้เปิดหน้าชกแบบขึ้นมาบนดิน เพราะตั้งเต้นท์แจกอาหารและเครื่องดื่มให้กับกลุ่มผู้ก่อการอยู่ทั่วไป

    สามชาติที่ส่งตัวแทนเข้ามาในกรุงเคียฟ คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ โปแลนด์ ใันวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และเจรจากับยานุโควิชในเรื่องขอให้ยุติการที่ใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มม็อบ
    ปูติน…ยังนิ่ง เพราะโอลิมปิกยังไม่จบ
    แต่ยานุโควิช……ได้ติดต่อไปหาทางโทรศัพท์ เพื่อบอกว่า เขาอ่อนแรงแล้ว
    พร้อมที่จะลาออก ไม่อยากอยู่ต่อจนจบเทอม (ในปี 2014) เขาอยากจะถอนกำลังในการคุมสถานการณ์ออกให้หมด ……
    แต่ปูตินเห็นว่า…นั่นคือสัญญาณของคนขี้แพ้ และ ถึงจะลาออกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะเป็นภาวะที่ล่มสลาย ประเทศจะกลายเป็นอนาธิปไตย……คิดดูใหม่ดีๆ…!!

    ยานุโควิชโอนเอียงไปทางการหวานล้อมของตะวันตกในที่สุด เขาประกาศลาออกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และหลบออกจากเมืองหลวงสู่ไครเมียก่อนที่จะเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย
    ปูตินเรียกประชุมคณะมนตรีฝ่ายความมั่นคงในกลางดึกของวันเดียวกัน
    เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ในยูเครนต่อไป เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การตั้งสมาชิกสภากันขึ้นมาใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ผูกพันกับรัสเซีย เช่นในเรื่องภาษา และเรื่องการที่จะเป็นเอกเทศ (เอียงไปทางตะวันตก)
    และสิ่งที่ปูตินเชื่อว่ามันคงจะเกิดขึ้น นั่นคือ การที่ฝ่ายชาตินิยมที่มีสหรัฐอเมริกาและฝั่งยุโรปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะไฮแจคการชุมนุมนี้……ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง……และหันมาทิ่มแทงรัสเซีย……!!

    วันที่ 23 เป็นพิธีปิดโอลิมปิก……ที่รัสเซียกวาดเหรียญทองไป 13 และ
    เหรียญอื่นๆทั้งหมด รวม 33 ………เป็นเวลารวม 16 วันที่รัสเซียได้เป็นดาราดวงเด่น ฉายแสงจ้าในโลกของศตวรรษที่ 21
    ภาพของปูตินที่ใครต่อใครเห็นคือ แจ่มเจิด……ทรงภูมิ และ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา
    แต่เบื้องหลังนั้น ……เขาได้เตรียมตัวพร้อมกับการที่จะรับมือและโต้กลับ
    โดยไม่ต้องไว้หน้าใครอีกแล้ว แม้แต่เพื่อนรัก อย่างนาง แอนเจล่า
    เมอร์เคิล ที่ทำทีโทรมาถามเรื่องยูเครน……
    เขาตอบกลับไปว่า……อย่ามาทำเป็นถาม…รู้ดีกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

    แต่นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากรู้ สื่อทุกสื่อรู้ดีว่า……ปูตินจะไม่เฉยแน่นอน…
    ทางฝ่ายโฆษกรัฐบาลของรัสเซีย……ได้ยืนยันชัดเจนว่า จะไม่แทรกแซงกิจการทางการเมืองของยูเครนอย่างแน่นอน……
    (ก็ปาวๆไปอย่างนั้นเอง……แต่ทางกลาโหมได้จัดทัพแล้ว…)
    แล้วจากนั้น……ก็มีการซ้อมรบที่ฝั่งรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครนพร้อมกันทั้งบกและอากาศ ……แบบว่าท้าทายนาโต้อย่างสุดฤทธิ์
    ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์……กลุ่มกองทัพและหน่วยคอมมานโดจากฐานที่ทะเลดำ เข้ายึดไครเมีย……!!!
    แต่ทหารทุกคน…แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มสีเขียวที่ไม่มีตราติดสัญชาติ
    จากนั้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อมา……ไครเมียได้ถูกควบคุมโดยกองทัพนับหมื่นๆนาย(ที่ไม่ปรากฎสัญชาติ) และไม่มีใครต่อต้าน……ทุกอย่างเกิดขึ้นในความสงบ สงบยิ่งกว่าการปฏิวัติเงียบ……
    เพราะทหารทุกคนช่างเรียบร้อยและแสนสุภาพกับประชาชน……

    ทางสภาเคียฟที่กำลังเฟ้นหาผู้นำ…ไม่มีน้ำยาที่จะทำอะไรได้ จึงเลือกที่จะไม่ทำการต่อต้านใดๆ ทุกคนต่างลงความเห็นว่าให้ปล่อยผ่านไปก่อน
    เพราะไครเมียก็คือดินแดนของยูเครน ใครจะมาเอาไปก็ไม่ได้…
    แต่นั่นใช้ไม่ได้กับปูติน……เพราะรัสเซียให้มีการลงคะแนนเสียงในไครเมีย ว่าจะเลือกเป็นเอกเทศ เป็นสาธารณรัฐ(ในสายของรัสเซีย) หรือเป็นจังหวัดหนึ่งของยูเครน ในวันที่ 25 มีนาคม
    แน่นอนว่า….คำว่า สาธารณรัฐ……ย่อมทำให้การเลือกตั้งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลาย……
    นี่คือการหักหน้าฝั่งตะวันตก….ที่ปูตินได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับตัวเองว่า พอกันที.………จะไม่ให้คนพวกนี้ก้าวล่วงเข้ามาได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว……!!

    เพราะในอดีตที่ซีเรีย……สองปีก่อนตอนที่ซีเรียเริ่มกรุ่นด้วยสงครามกลางเมือง
    ปูตินได้พบกับโอบามา ที่การประชุม G20 ที่โอบามาได้บอกเขาว่า
    “ถ้าเมื่อไหร่……ทางรัฐบาลซีเรียเล่น”สกปรก” ใช้อาวุธเคมีกับประชาชนละก้อ……ผมไม่เอามันไว้แน่……” (พล๊อตเก่าสมัยซัดดัม ฮูเซน)
    จากนั้นไม่นาน……ก็มีจรวดติดหัวสารพิษยิงเข้าไปในชนบทใกล้กับเมือง ดามัสกัส อันเป็นเมืองหลวงของซีเรีย ที่ทำให้มีคนตายถึง 1400 คน
    และจากนั้นทัพอเมริกันก็เข้ามาเพื่อโค่นประธานาธิบดี Bashar al-Assad
    ด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้อาวุธร้ายแรงผิดหลักของนาโต้
    ซึ่งปูตินรู้ดีว่า…ทางกองทัพซีเรียไม่มีอาวุธชนิดนี้ และถึงมีก็คงไม่ใช้กับประชาชนของตัวเองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงขนาดนั้น
    การสร้าง”แพะ” ของอเมริกาและพรรคพวกจึงไม่เนียน…!!

    ปูตินได้แต่สงสารอัล-อัสสาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะนาโต้ประกาศปิดน่านฟ้า……เพื่อที่พวกของตัวจะได้รุมถล่มซีเรียได้อย่างสะดวกๆนั่นเอง
    ฉะนั้น……การเป็นไปในยูเครน……จึงเป็นแค่ละครเรื่องใหม่ในพล๊อตเดิมๆ

    ปูตินได้เสนอไปทางสภาในเรื่องการส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมที่เคียฟ ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะเพราะตอนนี้คือสูญญากาศทางการเมืองของยูเครน
    ซึ่งทางสภาได้มีเสียงข้างมากในทางที่เห็นด้วย (ทั้งที่กองทัพนิรนามบุกไครเมียไปแล้ว……ตลกการเมืองจริงๆ)

    วันที่ 2 มีนาคม ปูตินได้เรียกยานุโควิชเข้ามาพบเพราะในทางกฏหมาย ยานุโควิชยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ ให้ร่างจดหมายเซ็นชื่อ (โดยไม่มีวันที่กำกับ ละเว้นไว้) ในเนื้อความของจดหมายคือการที่รัฐบาลยูเครนยินยอมและขอร้องให้รัสเซียส่งกองกำลังไปช่วย และอ้างถึงสาเหตุของการก่อความวุ่นวายเกิดขึ้นจากการแทรกแซงจากตะวันตก จึงจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากรัสเซียเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาชนชาวยูเครน……ลงชื่อ…!!!

    สองวันก่อนที่จะเกิดจดหมายฉบับนี้ ปูตินได้โทรศัพท์ติดต่อกับแองเจล่า เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี ที่เขาปฎิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับ
    การบุกไครเมีย (เลยจริงๆ……)
    แองเจล่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของปูติน เริ่มไม่พูดจาภาษาดอกไม้ด้วยแล้ว
    เพราะตอนนี้ ใครก็ไว้ใจใครไม่ได้ เธอได้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดการสนทนาทุกคำให้กับบารัค โอบามา ที่คำรามฮึ่มๆ บอกว่า
    “ในเมื่อไว้ใจกันไม่ได้……ก็คงต้องตัดรัสเซียออกไปจาก G8… “

    วันที่ 4 มีนาคม ที่ปูตินได้พบกับนักข่าว เขาก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของยูเครน แบบว่า…ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร และไม่มีศัตรูในยูเครน
    แต่เขาตีตรงๆไปที่สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกในเรื่องของอาฟกานิสถาน ลิเบีย และ ซีเรีย ที่สร้างแต่ความเดือดร้อน ทางเราก็เพียงแต่ซ้อมรบเตรียมพร้อมไว้เท่านั้น”
    เมื่อถูกถามเรื่องทหารที่ไครเมีย ที่อยู่ในชุดพรางพร้อมรบ ว่า……เหมือนกับชุดของทหารรัสเซีย
    ปูตินตอบว่า……ชุดแบบนี้……ไปหาซื้อที่ไหนก็ได้นี่นา……!!!

    ช่วงการดำเนินการลงเสียงของประชาชนในไครเมีย ที่ปูตินบอกว่า ไม่ขอยุ่ง……เป็นความตัดสินใจของประชาชนล้วนๆนั้น
    แต่ทางเครมลินได้จัดให้มีการเดินขบวน พาเหรดสวยงาม ทำเพลงปลุกใจรักชาติ ที่เน้นว่า…ไครเมียคือดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียแต่เก่าก่อน ป้ายและธง “Krim nash ! “ หรือ Crimea is ours ! ขึ้นพรึ่บไปทั่วทุกที่……
    มีการนำการเต้นรำ Sevastopol Waltz (1953) ได้นำขึ้นมาปัดฝุ่น
    เต้นมาร้องกันใหม่……

    การปฏิบัติการที่ไครเมีย คือการมองการณ์ไกลของปูตินที่เขาขยับงบประมาณทางทหารขึ้นมาสามสี่เท่าตัว จากสงครามที่จอร์เจีย
    นับว่ารัสเซียมีงบประมาณกองทัพที่สูสีกับสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่มีจำนวนเกือบแสนล้าน……
    นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาไม่กล้าขยับในเรื่องของไครเมีย
    เพียงแต่ยังงงๆ ในการปฏิบัติการที่เงียบเชียบ ไม่มีการสาดกระสุนหรือจับกุมทุบตีแต่อย่างใด ผิดกับที่กรุงเคียฟที่มีการนองเลือด
    ได้แต่หวังว่า……การลงมติของประชาชนจะออกมาในทางที่สวนกัน
    แต่เมื่อผิดคาด……ก็ได้แต่ขู่ฟ่อ.……

    ปูตินที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโอบามามาตั้งแต่เรื่องของ Edward Snowden
    แล้วก็เรื่องของซีเรีย……ต่อให้ขู่ยังไง……จะเป็นหนึ่งใน G8 หรือ จะเหลือกันแค่ G7 ……เขาก็ไม่แคร์
    สิ่งที่อเมริกาและยุโรปได้ทำคือ……การแซงชั่นทางการเงินและทางธนาคาร
    กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายชื่อของผู้ที่ใกล้ชิดกับปูตินออกมายาวเป็นหางว่าว ห้ามเข้าประเทศ และยึดทรัพย์สินในธุรกรรมที่อเมริกาและประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินดอลล่าร์

    เมื่อการลงมติที่ไครเมียผ่านไป.……ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย
    ไม่กี่วันต่อมา…ชาวยูเครนตะวันออก ได้เริ่มเดินขบวนในเมืองใหญ่สองเมือง คือ Donetsk และ Luhansk เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับเคียฟเพื่อที่จะขอแยกตัวเป็นอิสระ โดยจะมีการลงมติจากประชาชน (แบบไครเมีย) ในเดือนพฤษภาคม
    เพราะชนในเขตนี้ คือ ชาวรัสเซียที่ใกล้ชิดกับฝั่งตะวันออกมากกว่าทางยูเครน ซึ่งในระยะหลังๆมานี่ พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
    มีกลุ่มขวาจัดได้เข้ามาแทรกแซงทำร้าย และ หลายครั้งที่ถึงแก่ชีวิต
    ทางรัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมดูแล และเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า
    Novorossiya อันหมายถึง New Russia…

    ทางรัสเซีย……ก็เดินหน้าจัดการเรียกดินแดนคืนต่อไป จากโดเนทค์, ลูฮังค์
    ในเดือนพฤษภาคม……คราวนี้ใน Odessa ที่มีฝ่ายโปร-รัสเซียเดินขบวน
    ที่มีการนองเลือด……เผา……มีคนตาย 48 คน แกนนำถูกจับตัวไป……

    ยูเครนได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งคือ
    Viktor Yushchenko ( อดีตประธานาธิบดีคนที่สาม ที่โดนยาพิษ)

    วันที่ 6 มิถุนายน ปูตินได้ไปร่วมในงานระลึกครบรอบวันยกพลขึ้นบก (D-Day) ที่นอร์มังดี ……ผู้นำอื่นๆพร้อมใจกันทำทีท่าชาเย็น เฉยเมย เพราะบัดนี้รัสเซียไม่ได้อยู่ในกลุ่ม G อีกแล้ว
    แต่แองเจล่าและฟรองซัวส์ ออลลังด์ ปธน. ฝรั่งเศส ได้เข้ามาคุยด้วยในเรื่องการขอร้องให้มีสันติภาพในยูเครน…
    เดือนต่อมา ปูตินได้พบกับแองเจล่า เมอร์เคิลที่บราซิล ในการประชุม FIFA World Cup ระหว่างเยอรมันนี กับ อาร์เจนตินา ในฐานะที่รัสเซียเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป (2018) ที่ปูตินทุ่มทุนมหาศาลในการจัดสร้าง
    สเตเดี้ยมให้ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี
    จากการพบปะ……เธอยังขอร้องในเรื่องเดิม ปูตินก็ว่า……พร้อมที่จะถอยออกไป
    แต่ขณะที่สองผู้นำคุยกัน……… ข่าวออกมาว่า กองทัพรัสเซียได้ป้วนเปี้ยนอยู่แนวชายแดน
    วันต่อมา…มีข่าวว่า เครื่องบินลำเลียง AN-26 ของยูเครนที่บินสูงกว่าสองหมื่นฟุตได้ถูกยิงตกแถวลูฮังสค์
    ต่อมา…เครื่องบิน Sukhoi ของรัสเซียถูกสอยร่วงจากภาคพื้นดิน ด้วยขีปนาวุธที่ไม่ปรากฎสัญชาติ……!!

    ผลสะท้อนกลับคือ การสอย AN-26 แบบรัวๆ และ การประกาศตามมาจากรัสเซียว่า….อย่าบังอาจแม้แต่จะคิด……!!!


    Wiwanda W. Vichit
    เหงาๆกันหน่อยนะคะ แต่ก็เฉพาะพวกเราเท่านั้นแหละ แต่……พี่ปูเขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น………!!! ตอนยี่สิบสาม…………เอาจริงละนะ……แผ่นดินของข้า….ใครอย่าแตะ…!!! ในช่วงของความโอ่อ่าตระการตาจากพิธีโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi ที่รัสเซียทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพแห่งเทคโนโยลีสู่สายตาชาวโลกนั้น สิ่งที่กวนใจปูตินได้เกิดขึ้นที่ยูเครน ทั้งๆที่ปธน. Yanukovych ที่เพิ่งรับเงินไปหมื่นห้าพันล้านดอลล่าร์หมาดๆ นั่นคือการเดินขบวนของประชาชนที่เรียกร้องอยากจะเข้าสู่โลกของตะวันตก ที่คราวนี้ออกแนวทำลายตึกรามบ้านช่อง ซึ่งสภาพเหมือนสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที ทหาร ตำรวจ ต้องระดมกำลังกันปราบปราม ป้องกัน ภาพที่ปูตินเห็นจากข่าวในทีวี คือ องค์กรต่างๆจากนอกประเทศ นอกจากจะช่วยยุแยงจากใต้ดินแล้ว คราวนี้เปิดหน้าชกแบบขึ้นมาบนดิน เพราะตั้งเต้นท์แจกอาหารและเครื่องดื่มให้กับกลุ่มผู้ก่อการอยู่ทั่วไป สามชาติที่ส่งตัวแทนเข้ามาในกรุงเคียฟ คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ โปแลนด์ ใันวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และเจรจากับยานุโควิชในเรื่องขอให้ยุติการที่ใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มม็อบ ปูติน…ยังนิ่ง เพราะโอลิมปิกยังไม่จบ แต่ยานุโควิช……ได้ติดต่อไปหาทางโทรศัพท์ เพื่อบอกว่า เขาอ่อนแรงแล้ว พร้อมที่จะลาออก ไม่อยากอยู่ต่อจนจบเทอม (ในปี 2014) เขาอยากจะถอนกำลังในการคุมสถานการณ์ออกให้หมด …… แต่ปูตินเห็นว่า…นั่นคือสัญญาณของคนขี้แพ้ และ ถึงจะลาออกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะเป็นภาวะที่ล่มสลาย ประเทศจะกลายเป็นอนาธิปไตย……คิดดูใหม่ดีๆ…!! ยานุโควิชโอนเอียงไปทางการหวานล้อมของตะวันตกในที่สุด เขาประกาศลาออกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และหลบออกจากเมืองหลวงสู่ไครเมียก่อนที่จะเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย ปูตินเรียกประชุมคณะมนตรีฝ่ายความมั่นคงในกลางดึกของวันเดียวกัน เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ในยูเครนต่อไป เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การตั้งสมาชิกสภากันขึ้นมาใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ผูกพันกับรัสเซีย เช่นในเรื่องภาษา และเรื่องการที่จะเป็นเอกเทศ (เอียงไปทางตะวันตก) และสิ่งที่ปูตินเชื่อว่ามันคงจะเกิดขึ้น นั่นคือ การที่ฝ่ายชาตินิยมที่มีสหรัฐอเมริกาและฝั่งยุโรปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะไฮแจคการชุมนุมนี้……ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง……และหันมาทิ่มแทงรัสเซีย……!! วันที่ 23 เป็นพิธีปิดโอลิมปิก……ที่รัสเซียกวาดเหรียญทองไป 13 และ เหรียญอื่นๆทั้งหมด รวม 33 ………เป็นเวลารวม 16 วันที่รัสเซียได้เป็นดาราดวงเด่น ฉายแสงจ้าในโลกของศตวรรษที่ 21 ภาพของปูตินที่ใครต่อใครเห็นคือ แจ่มเจิด……ทรงภูมิ และ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา แต่เบื้องหลังนั้น ……เขาได้เตรียมตัวพร้อมกับการที่จะรับมือและโต้กลับ โดยไม่ต้องไว้หน้าใครอีกแล้ว แม้แต่เพื่อนรัก อย่างนาง แอนเจล่า เมอร์เคิล ที่ทำทีโทรมาถามเรื่องยูเครน…… เขาตอบกลับไปว่า……อย่ามาทำเป็นถาม…รู้ดีกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? แต่นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากรู้ สื่อทุกสื่อรู้ดีว่า……ปูตินจะไม่เฉยแน่นอน… ทางฝ่ายโฆษกรัฐบาลของรัสเซีย……ได้ยืนยันชัดเจนว่า จะไม่แทรกแซงกิจการทางการเมืองของยูเครนอย่างแน่นอน…… (ก็ปาวๆไปอย่างนั้นเอง……แต่ทางกลาโหมได้จัดทัพแล้ว…) แล้วจากนั้น……ก็มีการซ้อมรบที่ฝั่งรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครนพร้อมกันทั้งบกและอากาศ ……แบบว่าท้าทายนาโต้อย่างสุดฤทธิ์ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์……กลุ่มกองทัพและหน่วยคอมมานโดจากฐานที่ทะเลดำ เข้ายึดไครเมีย……!!! แต่ทหารทุกคน…แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มสีเขียวที่ไม่มีตราติดสัญชาติ จากนั้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อมา……ไครเมียได้ถูกควบคุมโดยกองทัพนับหมื่นๆนาย(ที่ไม่ปรากฎสัญชาติ) และไม่มีใครต่อต้าน……ทุกอย่างเกิดขึ้นในความสงบ สงบยิ่งกว่าการปฏิวัติเงียบ…… เพราะทหารทุกคนช่างเรียบร้อยและแสนสุภาพกับประชาชน…… ทางสภาเคียฟที่กำลังเฟ้นหาผู้นำ…ไม่มีน้ำยาที่จะทำอะไรได้ จึงเลือกที่จะไม่ทำการต่อต้านใดๆ ทุกคนต่างลงความเห็นว่าให้ปล่อยผ่านไปก่อน เพราะไครเมียก็คือดินแดนของยูเครน ใครจะมาเอาไปก็ไม่ได้… แต่นั่นใช้ไม่ได้กับปูติน……เพราะรัสเซียให้มีการลงคะแนนเสียงในไครเมีย ว่าจะเลือกเป็นเอกเทศ เป็นสาธารณรัฐ(ในสายของรัสเซีย) หรือเป็นจังหวัดหนึ่งของยูเครน ในวันที่ 25 มีนาคม แน่นอนว่า….คำว่า สาธารณรัฐ……ย่อมทำให้การเลือกตั้งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลาย…… นี่คือการหักหน้าฝั่งตะวันตก….ที่ปูตินได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับตัวเองว่า พอกันที.………จะไม่ให้คนพวกนี้ก้าวล่วงเข้ามาได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว……!! เพราะในอดีตที่ซีเรีย……สองปีก่อนตอนที่ซีเรียเริ่มกรุ่นด้วยสงครามกลางเมือง ปูตินได้พบกับโอบามา ที่การประชุม G20 ที่โอบามาได้บอกเขาว่า “ถ้าเมื่อไหร่……ทางรัฐบาลซีเรียเล่น”สกปรก” ใช้อาวุธเคมีกับประชาชนละก้อ……ผมไม่เอามันไว้แน่……” (พล๊อตเก่าสมัยซัดดัม ฮูเซน) จากนั้นไม่นาน……ก็มีจรวดติดหัวสารพิษยิงเข้าไปในชนบทใกล้กับเมือง ดามัสกัส อันเป็นเมืองหลวงของซีเรีย ที่ทำให้มีคนตายถึง 1400 คน และจากนั้นทัพอเมริกันก็เข้ามาเพื่อโค่นประธานาธิบดี Bashar al-Assad ด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้อาวุธร้ายแรงผิดหลักของนาโต้ ซึ่งปูตินรู้ดีว่า…ทางกองทัพซีเรียไม่มีอาวุธชนิดนี้ และถึงมีก็คงไม่ใช้กับประชาชนของตัวเองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงขนาดนั้น การสร้าง”แพะ” ของอเมริกาและพรรคพวกจึงไม่เนียน…!! ปูตินได้แต่สงสารอัล-อัสสาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะนาโต้ประกาศปิดน่านฟ้า……เพื่อที่พวกของตัวจะได้รุมถล่มซีเรียได้อย่างสะดวกๆนั่นเอง ฉะนั้น……การเป็นไปในยูเครน……จึงเป็นแค่ละครเรื่องใหม่ในพล๊อตเดิมๆ ปูตินได้เสนอไปทางสภาในเรื่องการส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมที่เคียฟ ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะเพราะตอนนี้คือสูญญากาศทางการเมืองของยูเครน ซึ่งทางสภาได้มีเสียงข้างมากในทางที่เห็นด้วย (ทั้งที่กองทัพนิรนามบุกไครเมียไปแล้ว……ตลกการเมืองจริงๆ) วันที่ 2 มีนาคม ปูตินได้เรียกยานุโควิชเข้ามาพบเพราะในทางกฏหมาย ยานุโควิชยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ ให้ร่างจดหมายเซ็นชื่อ (โดยไม่มีวันที่กำกับ ละเว้นไว้) ในเนื้อความของจดหมายคือการที่รัฐบาลยูเครนยินยอมและขอร้องให้รัสเซียส่งกองกำลังไปช่วย และอ้างถึงสาเหตุของการก่อความวุ่นวายเกิดขึ้นจากการแทรกแซงจากตะวันตก จึงจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากรัสเซียเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาชนชาวยูเครน……ลงชื่อ…!!! สองวันก่อนที่จะเกิดจดหมายฉบับนี้ ปูตินได้โทรศัพท์ติดต่อกับแองเจล่า เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี ที่เขาปฎิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับ การบุกไครเมีย (เลยจริงๆ……) แองเจล่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของปูติน เริ่มไม่พูดจาภาษาดอกไม้ด้วยแล้ว เพราะตอนนี้ ใครก็ไว้ใจใครไม่ได้ เธอได้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดการสนทนาทุกคำให้กับบารัค โอบามา ที่คำรามฮึ่มๆ บอกว่า “ในเมื่อไว้ใจกันไม่ได้……ก็คงต้องตัดรัสเซียออกไปจาก G8… “ วันที่ 4 มีนาคม ที่ปูตินได้พบกับนักข่าว เขาก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของยูเครน แบบว่า…ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร และไม่มีศัตรูในยูเครน แต่เขาตีตรงๆไปที่สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกในเรื่องของอาฟกานิสถาน ลิเบีย และ ซีเรีย ที่สร้างแต่ความเดือดร้อน ทางเราก็เพียงแต่ซ้อมรบเตรียมพร้อมไว้เท่านั้น” เมื่อถูกถามเรื่องทหารที่ไครเมีย ที่อยู่ในชุดพรางพร้อมรบ ว่า……เหมือนกับชุดของทหารรัสเซีย ปูตินตอบว่า……ชุดแบบนี้……ไปหาซื้อที่ไหนก็ได้นี่นา……!!! ช่วงการดำเนินการลงเสียงของประชาชนในไครเมีย ที่ปูตินบอกว่า ไม่ขอยุ่ง……เป็นความตัดสินใจของประชาชนล้วนๆนั้น แต่ทางเครมลินได้จัดให้มีการเดินขบวน พาเหรดสวยงาม ทำเพลงปลุกใจรักชาติ ที่เน้นว่า…ไครเมียคือดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียแต่เก่าก่อน ป้ายและธง “Krim nash ! “ หรือ Crimea is ours ! ขึ้นพรึ่บไปทั่วทุกที่…… มีการนำการเต้นรำ Sevastopol Waltz (1953) ได้นำขึ้นมาปัดฝุ่น เต้นมาร้องกันใหม่…… การปฏิบัติการที่ไครเมีย คือการมองการณ์ไกลของปูตินที่เขาขยับงบประมาณทางทหารขึ้นมาสามสี่เท่าตัว จากสงครามที่จอร์เจีย นับว่ารัสเซียมีงบประมาณกองทัพที่สูสีกับสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่มีจำนวนเกือบแสนล้าน…… นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาไม่กล้าขยับในเรื่องของไครเมีย เพียงแต่ยังงงๆ ในการปฏิบัติการที่เงียบเชียบ ไม่มีการสาดกระสุนหรือจับกุมทุบตีแต่อย่างใด ผิดกับที่กรุงเคียฟที่มีการนองเลือด ได้แต่หวังว่า……การลงมติของประชาชนจะออกมาในทางที่สวนกัน แต่เมื่อผิดคาด……ก็ได้แต่ขู่ฟ่อ.…… ปูตินที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโอบามามาตั้งแต่เรื่องของ Edward Snowden แล้วก็เรื่องของซีเรีย……ต่อให้ขู่ยังไง……จะเป็นหนึ่งใน G8 หรือ จะเหลือกันแค่ G7 ……เขาก็ไม่แคร์ สิ่งที่อเมริกาและยุโรปได้ทำคือ……การแซงชั่นทางการเงินและทางธนาคาร กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายชื่อของผู้ที่ใกล้ชิดกับปูตินออกมายาวเป็นหางว่าว ห้ามเข้าประเทศ และยึดทรัพย์สินในธุรกรรมที่อเมริกาและประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินดอลล่าร์ เมื่อการลงมติที่ไครเมียผ่านไป.……ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย ไม่กี่วันต่อมา…ชาวยูเครนตะวันออก ได้เริ่มเดินขบวนในเมืองใหญ่สองเมือง คือ Donetsk และ Luhansk เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับเคียฟเพื่อที่จะขอแยกตัวเป็นอิสระ โดยจะมีการลงมติจากประชาชน (แบบไครเมีย) ในเดือนพฤษภาคม เพราะชนในเขตนี้ คือ ชาวรัสเซียที่ใกล้ชิดกับฝั่งตะวันออกมากกว่าทางยูเครน ซึ่งในระยะหลังๆมานี่ พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม มีกลุ่มขวาจัดได้เข้ามาแทรกแซงทำร้าย และ หลายครั้งที่ถึงแก่ชีวิต ทางรัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมดูแล และเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า Novorossiya อันหมายถึง New Russia… ทางรัสเซีย……ก็เดินหน้าจัดการเรียกดินแดนคืนต่อไป จากโดเนทค์, ลูฮังค์ ในเดือนพฤษภาคม……คราวนี้ใน Odessa ที่มีฝ่ายโปร-รัสเซียเดินขบวน ที่มีการนองเลือด……เผา……มีคนตาย 48 คน แกนนำถูกจับตัวไป…… ยูเครนได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งคือ Viktor Yushchenko ( อดีตประธานาธิบดีคนที่สาม ที่โดนยาพิษ) วันที่ 6 มิถุนายน ปูตินได้ไปร่วมในงานระลึกครบรอบวันยกพลขึ้นบก (D-Day) ที่นอร์มังดี ……ผู้นำอื่นๆพร้อมใจกันทำทีท่าชาเย็น เฉยเมย เพราะบัดนี้รัสเซียไม่ได้อยู่ในกลุ่ม G อีกแล้ว แต่แองเจล่าและฟรองซัวส์ ออลลังด์ ปธน. ฝรั่งเศส ได้เข้ามาคุยด้วยในเรื่องการขอร้องให้มีสันติภาพในยูเครน… เดือนต่อมา ปูตินได้พบกับแองเจล่า เมอร์เคิลที่บราซิล ในการประชุม FIFA World Cup ระหว่างเยอรมันนี กับ อาร์เจนตินา ในฐานะที่รัสเซียเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป (2018) ที่ปูตินทุ่มทุนมหาศาลในการจัดสร้าง สเตเดี้ยมให้ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี จากการพบปะ……เธอยังขอร้องในเรื่องเดิม ปูตินก็ว่า……พร้อมที่จะถอยออกไป แต่ขณะที่สองผู้นำคุยกัน……… ข่าวออกมาว่า กองทัพรัสเซียได้ป้วนเปี้ยนอยู่แนวชายแดน วันต่อมา…มีข่าวว่า เครื่องบินลำเลียง AN-26 ของยูเครนที่บินสูงกว่าสองหมื่นฟุตได้ถูกยิงตกแถวลูฮังสค์ ต่อมา…เครื่องบิน Sukhoi ของรัสเซียถูกสอยร่วงจากภาคพื้นดิน ด้วยขีปนาวุธที่ไม่ปรากฎสัญชาติ……!! ผลสะท้อนกลับคือ การสอย AN-26 แบบรัวๆ และ การประกาศตามมาจากรัสเซียว่า….อย่าบังอาจแม้แต่จะคิด……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • ชาวเยอรมันยังคงได้รับ Lyules อันสูงส่งจากกองพลที่ 155 นาวิกโยธินตัดการต่อสู้ระยะประชิดไปมาก ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาส ละมั่งฉีกศัตรูเหมือนสิงโต แม่นยำยิ่งขึ้นเหมือนเสืออามูร์ของหมูป่า😁

    วิดีโอนี้แสดงผลการโจมตีครั้งหนึ่งที่ตำแหน่งฟริตซ์ในภูมิภาคเคิร์สต์
    ชาวเยอรมันยังคงได้รับ Lyules อันสูงส่งจากกองพลที่ 155 นาวิกโยธินตัดการต่อสู้ระยะประชิดไปมาก ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาส ละมั่งฉีกศัตรูเหมือนสิงโต แม่นยำยิ่งขึ้นเหมือนเสืออามูร์ของหมูป่า😁 วิดีโอนี้แสดงผลการโจมตีครั้งหนึ่งที่ตำแหน่งฟริตซ์ในภูมิภาคเคิร์สต์
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 167 Views 123 0 Reviews
  • TOM TAILOR DENIM
    DVSN Since. 2007
    Men’s Classic Suede Ankle Sneakers
    Size. EUR 45 /29 cm

    🔥 Price : 590฿

    รองเท้าผ้าใบลำลองแนวสตรีทสัญชาติเยอรมัน ดีไซน์เรียบๆแต่ดูเท่มีเสน่ห์ด้วยผ้ายีนส์ติดป้ายโลโก้ผ้า ทรงสวย ใส่สบายเข้ากับไลฟสไตล์การแต่งตัวได้หลากหลาย

    👉 เรื่องราว :-
    Tom Tailor เป็นแบรนด์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ที่ไม่เป็นทางการของเยอรมัน มีสำนักงานใหญ่อยู่ในฮัมบูร์ก สินค้า มีทั้งเสื้อผ้า รองเท้าและเครื่องประดับสำหรับบุรุษและสตรีทุกวัยในกลุ่มราคาระดับกลางจนถึงระดับบน มีสไตล์ที่โมเดิร์นด้วยรูปทรงและรายละเอียดที่ร่วมสมัย (ลุคสบายๆ)
    Tom Tailor ก่อตั้งขึ้นในปี 1962 ในฮัมบูร์ก ในชื่อ Henke & Co. และได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Tom Tailor ในปี 1989
    ปัจจุบันมีร้านค้าปลีกของตัวเอง 248 แห่ง ได้แก่ Tom Tailor E-Shop ในเยอรมนี ออสเตรีย และเนเธอร์แลนด์ ร้านค้าแฟรนไชส์ 155 แห่ง และร้านค้าในร้านค้า 1,786 แห่ง ใน 35 ประเทศทั่วโลก
    ตลาดหลักของบริษัทได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ กลุ่ม ประเทศ เบเนลักซ์และฝรั่งเศส
    TOM TAILOR DENIM DVSN Since. 2007 Men’s Classic Suede Ankle Sneakers Size. EUR 45 /29 cm 🔥 Price : 590฿ รองเท้าผ้าใบลำลองแนวสตรีทสัญชาติเยอรมัน ดีไซน์เรียบๆแต่ดูเท่มีเสน่ห์ด้วยผ้ายีนส์ติดป้ายโลโก้ผ้า ทรงสวย ใส่สบายเข้ากับไลฟสไตล์การแต่งตัวได้หลากหลาย 👉 เรื่องราว :- Tom Tailor เป็นแบรนด์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ที่ไม่เป็นทางการของเยอรมัน มีสำนักงานใหญ่อยู่ในฮัมบูร์ก สินค้า มีทั้งเสื้อผ้า รองเท้าและเครื่องประดับสำหรับบุรุษและสตรีทุกวัยในกลุ่มราคาระดับกลางจนถึงระดับบน มีสไตล์ที่โมเดิร์นด้วยรูปทรงและรายละเอียดที่ร่วมสมัย (ลุคสบายๆ) Tom Tailor ก่อตั้งขึ้นในปี 1962 ในฮัมบูร์ก ในชื่อ Henke & Co. และได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Tom Tailor ในปี 1989 ปัจจุบันมีร้านค้าปลีกของตัวเอง 248 แห่ง ได้แก่ Tom Tailor E-Shop ในเยอรมนี ออสเตรีย และเนเธอร์แลนด์ ร้านค้าแฟรนไชส์ 155 แห่ง และร้านค้าในร้านค้า 1,786 แห่ง ใน 35 ประเทศทั่วโลก ตลาดหลักของบริษัทได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ กลุ่ม ประเทศ เบเนลักซ์และฝรั่งเศส
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 Reviews
  • ที่ผ่านมาแฟนเพจคงจะเห็นผมวิจารณ์การเสนอข่าวของสื่อตะวันตกเกี่ยวกับสงครามยูเครนอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมผิดหวังมากที่สุดจากการอ่านข่าวในสื่อตะวันตกคือหลายครั้งที่มีข่าวอิหยังวะออกมา คนเขียนหรือแหล่งข่าวนั้นกลับไม่ใช่ตาสีตาสาหรือชาวเน็ตทั่วไป แต่เป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" ที่ถ้าเป็นภาวะปกติ คงไม่น่าเชื่อว่าจะเสนอข่าวแบบนั้นออกมา ยกตัวอย่างเช่น

    วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2022 พลโท Ben Hodges อดีตนายทหารสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์สื่อ Fox News บอกว่ากำลังรบของรัสเซียจะหมดเกลี้ยงภายใน 10 วัน เรื่องนี้ฟังดูยังไงก็โฆษณาชวนเชื่อชัดๆ ใช่ไหมครับ ประเด็นคือคนพูดเป็น "พลโท" กองทัพสหรัฐฯ เลยนะ

    วันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2022 นาย Antony Beevor นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 มีผลงานหนังสือเกี่ยวกับสมรภูมิต่างๆ หลายเล่มที่ผมเองก็อ่าน เช่นหนังสือ Stalingrad, D-Day, Arnhem, Ardennes, Berlin เป็นต้น เขียนบทความลงสื่อ The Atlantic วิจารณ์ยุทธวิธีการใช้รถถังของรัสเซีย โดยนำไปเปรียบเทียบกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อ้างว่าตอนบุกยึดเบอร์ลิน จอมพลชูคอฟก็ทำผิดพลาดแบบเดียวกัน ใช้แต่รถถังบุกเข้าเบอร์ลิน "โดยไม่มีทหารราบคุ้มกัน" ทำให้ตกเป็นเป้าของทหารเยอรมันที่ใช้อาวุธต่อสู้รถถัง Panzerfaust ผมอ่านเจอประโยคนี้อึ้งเลย ตอนบุกยึดเบอร์ลิน โซเวียตทุ่มกำลังทหารราบมากกว่า 2,500,000 นายและรถถังมากกว่า 6,000 คัน ในขณะที่ฝ่ายเยอรมัน มีทหารในเมืองแค่ 45,000 นาย โปรดฟังอีกครั้ง ในสมรภูมิเบอร์ลิน โซเวียตใช้ทหารราบ 2,500,000 นายปะทะทหารเยอรมัน 45,000 นาย น่าจะไม่มีสมรภูมิไหนที่กำลังทหารราบห่างชั้นกันขนาดนี้อีกแล้ว แล้วนาย Beevor "นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2" มาบิดเบือนว่าโซเวียตใช้แต่รถถังบุกเบอร์ลิน โดยไม่มีทหารราบเลยนี่คืออิหยังวะ

    วันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2023 สื่อ The Telegraph ของอังกฤษ ลงข่าวอวยรถถัง Challenger 2 ว่าเป็นรถถังเทพ ลงสนามรบเมื่อไหร่ ก็จะปราบทหารเกณฑ์รัสเซียเรียบวุธ ยูเครนชนะแน่นอน ที่น่าแปลกใจคือแหล่งข่าวของ The Telegraph ไม่ใช่เกรียนชาวเน็ตที่ไหน แต่เป็น "อดีต ผบ. รถถัง" เลยนะ

    ความจริงการใช้ "ผู้เชี่ยวชาญ" มาทำการโฆษณาชวนเชื่อไม่ใช่เรื่องใหม่เลยครับ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษก็มีหน่วยงานชื่อ Wellington House ที่รวบรวมนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ มาเขียนบทความ แผ่นพับ ใบปลิวต่างๆ เพื่อใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อ ใช้ประโยชน์จากคุณวุฒิของบุคคลเหล่านั้นชักจูงให้คนหลงเชื่อโฆษณาชวนเชื่อของอังกฤษ แต่โฆษณาชวนเชื่อของ Wellington House สมัยนั้นมีศิลปะ แนบเนียนกว่า "ผู้เชี่ยวชาญ" ในสื่อตะวันตกปัจจุบันเยอะเลย เป็นสิ่งที่ผมผิดหวังมากเลย แล้วต่อไปเราจะเชื่อข้อมูลข่าวสารจาก "พลโทกองทัพสหรัฐฯ" "นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2" "อดีต ผบ. รถถังอังกฤษ" เป็นต้น ได้อย่างไร ถ้าตะวันตกจะปัดฝุ่นวิธีการของ Wellington House มาใช้ใหม่ ก็ช่วยรักษาคุณภาพของต้นฉบับทีเถอะครับ

    สวัสดี

    การทูตและการทหาร
    Military and Diplomacy

    03.10.2024

    ที่ผ่านมาแฟนเพจคงจะเห็นผมวิจารณ์การเสนอข่าวของสื่อตะวันตกเกี่ยวกับสงครามยูเครนอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมผิดหวังมากที่สุดจากการอ่านข่าวในสื่อตะวันตกคือหลายครั้งที่มีข่าวอิหยังวะออกมา คนเขียนหรือแหล่งข่าวนั้นกลับไม่ใช่ตาสีตาสาหรือชาวเน็ตทั่วไป แต่เป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" ที่ถ้าเป็นภาวะปกติ คงไม่น่าเชื่อว่าจะเสนอข่าวแบบนั้นออกมา ยกตัวอย่างเช่น วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2022 พลโท Ben Hodges อดีตนายทหารสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์สื่อ Fox News บอกว่ากำลังรบของรัสเซียจะหมดเกลี้ยงภายใน 10 วัน เรื่องนี้ฟังดูยังไงก็โฆษณาชวนเชื่อชัดๆ ใช่ไหมครับ ประเด็นคือคนพูดเป็น "พลโท" กองทัพสหรัฐฯ เลยนะ วันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2022 นาย Antony Beevor นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 มีผลงานหนังสือเกี่ยวกับสมรภูมิต่างๆ หลายเล่มที่ผมเองก็อ่าน เช่นหนังสือ Stalingrad, D-Day, Arnhem, Ardennes, Berlin เป็นต้น เขียนบทความลงสื่อ The Atlantic วิจารณ์ยุทธวิธีการใช้รถถังของรัสเซีย โดยนำไปเปรียบเทียบกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อ้างว่าตอนบุกยึดเบอร์ลิน จอมพลชูคอฟก็ทำผิดพลาดแบบเดียวกัน ใช้แต่รถถังบุกเข้าเบอร์ลิน "โดยไม่มีทหารราบคุ้มกัน" ทำให้ตกเป็นเป้าของทหารเยอรมันที่ใช้อาวุธต่อสู้รถถัง Panzerfaust ผมอ่านเจอประโยคนี้อึ้งเลย ตอนบุกยึดเบอร์ลิน โซเวียตทุ่มกำลังทหารราบมากกว่า 2,500,000 นายและรถถังมากกว่า 6,000 คัน ในขณะที่ฝ่ายเยอรมัน มีทหารในเมืองแค่ 45,000 นาย โปรดฟังอีกครั้ง ในสมรภูมิเบอร์ลิน โซเวียตใช้ทหารราบ 2,500,000 นายปะทะทหารเยอรมัน 45,000 นาย น่าจะไม่มีสมรภูมิไหนที่กำลังทหารราบห่างชั้นกันขนาดนี้อีกแล้ว แล้วนาย Beevor "นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2" มาบิดเบือนว่าโซเวียตใช้แต่รถถังบุกเบอร์ลิน โดยไม่มีทหารราบเลยนี่คืออิหยังวะ วันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2023 สื่อ The Telegraph ของอังกฤษ ลงข่าวอวยรถถัง Challenger 2 ว่าเป็นรถถังเทพ ลงสนามรบเมื่อไหร่ ก็จะปราบทหารเกณฑ์รัสเซียเรียบวุธ ยูเครนชนะแน่นอน ที่น่าแปลกใจคือแหล่งข่าวของ The Telegraph ไม่ใช่เกรียนชาวเน็ตที่ไหน แต่เป็น "อดีต ผบ. รถถัง" เลยนะ ความจริงการใช้ "ผู้เชี่ยวชาญ" มาทำการโฆษณาชวนเชื่อไม่ใช่เรื่องใหม่เลยครับ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษก็มีหน่วยงานชื่อ Wellington House ที่รวบรวมนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ มาเขียนบทความ แผ่นพับ ใบปลิวต่างๆ เพื่อใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อ ใช้ประโยชน์จากคุณวุฒิของบุคคลเหล่านั้นชักจูงให้คนหลงเชื่อโฆษณาชวนเชื่อของอังกฤษ แต่โฆษณาชวนเชื่อของ Wellington House สมัยนั้นมีศิลปะ แนบเนียนกว่า "ผู้เชี่ยวชาญ" ในสื่อตะวันตกปัจจุบันเยอะเลย เป็นสิ่งที่ผมผิดหวังมากเลย แล้วต่อไปเราจะเชื่อข้อมูลข่าวสารจาก "พลโทกองทัพสหรัฐฯ" "นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2" "อดีต ผบ. รถถังอังกฤษ" เป็นต้น ได้อย่างไร ถ้าตะวันตกจะปัดฝุ่นวิธีการของ Wellington House มาใช้ใหม่ ก็ช่วยรักษาคุณภาพของต้นฉบับทีเถอะครับ สวัสดี การทูตและการทหาร Military and Diplomacy 03.10.2024
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • ช้าไปนิด ไม่ว่าอะไรนะติ่งขา………พี่ปูเขาเรื่องแยะ เลยต้องค้นหาข้อมูลมาเม้าท์กันเยอะหน่อยค่าาาา…!!!

    ตอนยี่สิบเอ็ด………งานหลวงงานราษฎร์……งานปราบปิดจ๊อบเป็นงานถนัด…!!!

    ในการกลับมาในครั้งนี้ ปูตินผ่านสารพัดม็อบมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในช่วงนี้ของชีวิตที่จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในยุคสังคมเปิดทางโลกออนไลน์……เขาพบว่ากลุ่มต่อต้านได้เติบโตไปมาก
    คราวนี้ เขามีอายุ ห้าสิบเก้า……สุขภาพดีเยี่ยม พร้อมที่จะนำพาประเทศไปยังจุดที่สูงสุด จะต้องเป็นมหาอำนาจในทุกด้าน
    และจะต้องเป็นศูนย์กลางของยูเรเชีย……
    เขาเดินออกมาจากพระวิหารในวันที่เข้าพบกับ
    พระอธิการคิริลล์ หลังจากการเข้าสาบานตน ด้วยท่าทางที่พร้อมที่จะรับมือกับฝ่ายตรงข้ามทุกหมู่เหล่า

    กลุ่มแรก…คือ กลุ่มที่ชุมนุมอยู่ที่จตุรัส Bolotnaya กลางกรุงมอสโคว์ ที่ปูตินต้องการแค่ผู้นำ Leonid Razvozzhayev (ซ้ายจัด) ที่ไหวตัวทัน หนีไปกบดานที่ยูเครน
    เพียงไม่กี่วันต่อมา ……ก็มีกลุ่มคนมา”อุ้ม” เขาไปจากที่พัก นำตัวกลับไปยังรัสเซีย ขึ้นศาล
    ถูกตัดสินให้ไปนอนเล่นที่ไซบีเรียห้าปี……

    กลุ่มหัวหอกอื่นๆ เช่น Aleksei Navalny ทนายความนักการเมืองที่มีฐานเสียงพอสมควร ที่ไม่ยอมรับผลเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะต้องรับข้อหาในการก่อความไม่สงบตามมา
    แต่.……สิ่งที่ไม่คาดคิด คือ หนึ่งในหัวหอกที่ต่อต้านปูตินในขบวนการเดียวกัน คือ Ksena Sobchak ธิดาสาวของ อนาโตลี
    เจ้านายและผู้สนับสนุนที่สำคัญของปูติน ที่ได้ช่วยเหลือและตอบแทนกันมาตั้งแต่สมัยที่ปูตินเพิ่มเริ่มเตาะแตะทางการเมือง ในกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ที่แม้แต่อนาโตลีจะจากโลกนี้ไปแล้ว ปูตินก็ยังคือว่าครอบครัวนี้เป็นผู้ที่เขาต้องให้ความสงเคราะห์ เช่น ภริยาของอนาโตลี ได้เป็นกรรมการบริหารในเทศบาล (ข้าราชการประจำ)
    แม้แต่ตัว เซน่าเอง……ก็ได้เข้ามาทำงานในสถานีโทรทัศน์ (ด้วยการสนับสนุนของปูติน) ตั้งแต่ปี 2014 ตามสายงานที่เรียนมา จนมาเป็นผู้ดำเนินรายการที่มีชื่อเสียงพอสมควร

    สรุปว่า…ชีวิตทางการงานของเธอและมารดา……ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น (2012) แต่เหมือนกับส่งเสือเข้าป่า เพราะเซน่าได้หันไปซบกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มตัว

    ส่วนเรื่องคดีสาวห่ามทั้งหลาย ที่ขึ้นไปเต้นเหยงๆอยู่บนพระวิหาร ได้ถูกตัดสินจำคุก ในข้อหา……ลบหลู่ศาสนาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์……และเนื่องจากหลายคนเป็นนักดนตรีแนวพั้งค์
    ข่าวในทางตะวันตกจึงตีไปในทิศทางที่ว่า “จำกัดอิสรภาพของศิลปิน…” ที่เหล่าดาราใหญ่ๆ เช่น Paul McCartney ก็พลอยบ้าจี้ตามไปด้วย

    ปูตินได้ไปร่วมประชุมในวาระงานโอลิมปิกภาคฤดูร้อนที่ลอนดอน
    นายกรัฐมนตรี David Cameron ได้เข้ามาถามถึงเรื่องนี้
    ปูตินตอบว่า……
    “เรื่องนี้ดูยังไงก็ผิด ไม่ว่าเขาจะแย้งว่าอะไร ชาติไหนก็ต้องมีขอบเขตในเรื่องศาสนา ถ้าพวกก่อการพวกนี้ลองไปเต้นที่มัสยิด….คุณคิดว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดออกมาหรือ..??
    แน่นอนว่า…ในวันที่ 17 สิงหาคม เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล การตัดสินคือ จำคุก 2 ปี (ติดจริงๆแค่ เจ็ดเดือน)
    จากนั้นกลุ่ม ***** Riot ก็สลายตัวลงไปจากบนดิน แต่ยังพอมีกระแสทางลับๆ

    ทางด้านการต่างประเทศระหว่างสหรัฐ เริ่มตึงเครียด เข้ามาทุกที เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า ในกลุ่มผู้ชุมนุมระดับหัวหน้า ได้มีกลุ่มตะวันตกสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสนับสนุนพวกนั้นมาในรูปแบบขององค์กร เช่น USAID, NGO
    ปูตินได้วางนโยบายไว้ว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในลิเบีย…
    ที่เขาได้เห็นกลุ่มนาโต้ได้เข้ารุมย่ำยีเพราะเพียงเพื่อหวังจะเอากัดดาฟีลงจากอำนาจนั้น เขาจะไม่ยอมให้สหรัฐและพรรคพวกที่เรียกว่า NATO มาเป็นคนชี้ชะตาของชาติไหนในโลกนี้อีก……พอกันที……!!

    การแก้และออกกฎหมายใหม่ได้ทำขึ้นรัวๆ เริ่มจาก……ห้ามการรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าจากรัสเซีย (จากต่างประเทศ ที่อเมริกาเป็นประเทศที่ขอไปเลี้ยงมากสุด) แม้ว่าบางรายที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการทางเอกสาร
    เมื่อถูกซักถามหนักๆจากสื่อ ในเรื่องว่าเป็นการดับอนาคตของเด็กหรือไม่…??
    เขาตอบว่า…”คุณคิดว่านี่คือการดับอนาคตหรือ มันน่าอับอายและเป็นรอยบาปให้กับเด็กของเราต่างหาก……นี่คุณบ้าไปหรือเปล่า…?!!

    ในวันคล้ายวันเกิดของปูตินที่ครบหกสิบปี………เขาเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ตัวเองอย่างรัวๆ เช่น ดำน้ำในทะเลดำ หาไหโบราณ (ถึงแม้จะเป็นการจัดฉาก ก็ดูเนียน……)
    ขี่ม้า เปลือยอก…(ถึงจะจัด……ก็โอเค) ขี่เครื่องร่อน……มีนกบินตาม (อันนี้ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ…) ไปสมทบกับกลุ่มบิ๊กไบค์ที่เป็นเกลอกัน ( ก็ดูแพง……เพราะใช้ Harley Davidson สามล้ออย่างใหญ่……)
    และที่ต้องกรี๊ดดด…คือ ปูตินไปแอบหัดเล่นไอซ์ ฮ๊อกกี้ ที่ค่อนข้างจะดูแอ๊บสักหน่อย แต่พอออกงานได้ มีสะดุดล้มพังพาบให้เห็น…ก็ยังน่าเอ็นดู (แต่คนถ่าย……ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้)

    มีการให้ทำคลิปรายการของความเป็นอยู่ในบ้านพัก ที่ให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า ท่านผู้นำตื่นในเวลาแปดโมงครึ่ง จากเตียงก็ออกกำลังกายเลย คือเข้าห้องยิม และดูข่าวไปด้วย จากนั้นไปว่ายน้ำระยะ 1000 เมตร เริ่มอาหารเช้าในเวลาเที่ยง
    เป็นพวกโจ๊กด้วยธัญพืช ไข่นกกระทา สลัดและน้ำผลไม้คั้นสดส่วนประกอบจะมาจากสวนในพระวิหารของพระอธิการ Kirill
    จากนั้นจะทำงานจนถึงดึก การประชุมมักจะเป็นในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้านอนไปแล้ว…
    ที่บ้าน…ไม่มีวี่แววของผู้อาศัยคนอื่น ไม่มีลุดมิลา และ บุตรสาวทั้งสอง นอกจาก Koni สุนัขข้างกายที่ตามติดไปทุกที่
    แต่…อย่างไรก็ตาม ในยุคเขานั้น รายได้ของประชาชนจากปีละจำนวนพันดอลล่าร์ พุ่งขึ้นมาเป็นหลักหมื่น

    ธิดาทั้งสองของปูติน คนโต คือ มาเรีย ได้แต่งงานกับนักธุรกิจชาวดัทช์ Jorrit Faassen ที่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในอนุกรรมการของ Gazprom แทบไม่มีใครรู้จักเขาเลยจนกระทั่ง วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2010 ที่เขาไปเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถอีกคันหนึ่งที่เป็นรถเบ๊นซ์ของมหาเศรษฐีหนุ่ม Matvei Urin
    เหล่าบอดี้การ์ดของมหาเศรษฐีที่ตามมาในรถตู้ ได้กรูกันมาทำร้าย Faassen จนถึงขั้นหาม…

    เรื่องได้ไปถึงปูติน (เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ผลคือ เหล่าบอดี้การ์ดติดคุกกันพร้อมหน้า ส่วน Urin โดนหลายคดี……
    ทำร้ายร่างกาย และ ยกเลิกใบอนุญาตทำธนาคาร เพราะตรวจสอบบัญชีในการดำเนินการพบว่ามีการทุจริต……ติดคุก สี่ปีครึ่ง
    ทั้งมาเรียและฟาสเซ่น ได้แต่งงานกันที่กรีซ ในปี 2012 และมีบุตรชาย ที่ปูตินได้เป็นพ่อทูนหัว
    ส่วนบุตรสาวคนเล็ก Katya มีข่าวลือว่ามีคู่รักเป็นลูกชายนายพลเกาหลีเหนือ (ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน) แต่เธอชอบศิลปการแสดง และเคยเป็นผู้อำนวยการในองค์กรพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยมอสโคว์

    ถึงแม้จะอยู่คนเดียว แต่บ่อยครั้งที่ปูตินจะรายล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนเก่าๆที่เคยกอดคอสู้กันมา จัดปาร์ตี้และได้มีคอนเสิร์ตเล็กๆจากวงดุริยางค์จากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มาขับกล่อม

    และในวันที่ปูตินเข้าสาบานตนในฐานะประธานาธิบดี ในเดือนพฤษภาคมนั้น คือวันที่ทุกคนได้เห็นลุดมิลายืนเคียงข้างกับเขา แต่ทุกคนก็ได้รับรู้แล้วว่า ทั้งคู่นี้แยกกันอยู่มานานแสนนาน
    จนในเดือนมิถุนายน ที่เขาทั้งคู่ไปในงานบัลเล่ต์ “Esmeralda”
    ที่นักข่าวได้ยิงคำถามตรง ว่า
    “ไม่เห็นท่านมาด้วยกันบ่อยๆ แล้วข่าวลือที่ว่าท่านได้แยกกันอยู่มันเท็จจริงประการใด?”
    ปูติน เหลือบไปมองลุดมิลา ก่อนที่จะตอบว่า
    “เป็นเรื่องจริง ลุดมิลาต้องทนกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นเวล่ำเวลาของผมมานานแสนนาน เราแทบไม่มีเวลาพบกันเลย ต่างคนต่างอยู่มาแปดเก้าปีแล้ว..”
    ลุดมิลาได้พูดขึ้นมาว่า…
    “เราหย่ากันก็จริง แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
    นั่นคือการยืนยันจากคนทั้งสองด้วยตัวเอง

    ปูตินมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้งานกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi เป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของรัสเซียสู่สายตาชาวโลก โดยทุ่มทุนถึง หกหมื่นล้านดอลล่าร์ (เทียบเท่า) ที่นับว่าเป็นงบที่ใช้สำหรับโอลิมปิกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (เจ็ดเท่าเหนือกว่าแคนาดาในปี 2010)
    ที่ทุกคนทางทีมฝ่ายเศรษฐกิจเริ่มอึดอัด เพราะยังไม่นับทางรถไฟเชื่อมสู่เขา และ เส้นทางถนน
    ผู้รับเหมาต่างพากันอิ่มเอมในการบวกราคา (เพราะยิ่งเร่งยิ่งแพง)
    เรื่องนี้ถึงหูปูติน……เขาเรียกคณะกรรมการมาถามว่า ใครเป็นคนรับผิดชอบส่วนที่ล่าช้า (คือ เส้นทางของสกีสลาลอม หรือ ลงเขาที่ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ……ที่ปูตินเห็นว่า……งานไม่เนี๊ยบ)
    คำตอบคือ Akhmed Bilalov รองประธานคณะมนตรี ที่มีผลประโยชน์แอบแฝงคือมีที่ทางอยู่ทางด้านล่างของภูเขา เลยกินเศษกินเลยกับบริษัทก่อสร้าง งบประมาณ 40 ล้านในทีแรก
    บานมาเป็น 260 ล้าน…
    ปูตินเรียกให้มาพบพร้อมกับประธานงานโอลิมปิก(ออกสื่อ)
    แล้วถามตรงๆว่า……อธิบายมา……ช้าแล้วยังไม่ดีสมราคา เพราะ…???
    คำอธิบายทั้งหมดที่ยกมา……ฟังไม่ขึ้น……!!
    ปูตินเลยสั่งแบบสั้นๆแต่ได้ใจความว่า……”งั้นก็คงต้องจัดการกันใหม่……”
    แล้วเขาก็เดินออกไป….

    วันรุ่งขึ้น…Akhmed ถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในคณะมนตรี
    ปูตินได้ให้ฝ่ายบัญชีทำการตรวจสอบย้อนหลังในทุกงานที่เขารับทำมา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ออกจะเว่อร์ในการไปดูงานประชุมที่ลอนดอน……
    ผู้ที่มารับหน้าที่แทนคือ ผู้ที่ชนะการประกวดราคาประมูล ธนาคาร Sberbank ที่มีประธานคือ German Greff
    (ที่งานนี้ต้องเข้าเนื้อไปอย่างมากมาย เพราะต้องยอมขาดทุน)

    ~~-ต้องเล่าต่อถึง Akhmed Bilalov ไม่งั้นจะค้างคาในใจ
    หลังจากที่โดนการตรวจสอบบัญชีแบบเข้ม อาเหมดถูกข้อหาฉ้อโกง คอรัปชั่น ตามมาติดๆ ที่มีโทษถึงจำคุกสี่ถึงสิบปี
    ไม่ใช่เขาคนเดียว ……แต่พี่น้องสองคนและผู้บริหารทุกคนในบริษัทโดนคดีหมด
    เขาหนีออกจากรัสเซีย ไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลโดยอ้างว่าจะถูกคุกคามเอาชีวิต เพราะในที่ทำงานของเขามีร่องรอยของผงยาพิษ
    เขาหนีไปที่เยอรมัน และ ไปปักหลักที่ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา
    ที่เขาถูกจับกุมเพราะไม่มีเอกสารการอนุญาตให้ต่อวีซ่า (2019) ที่ตามกฏแล้ว……เขาอาจจะต้องส่งกลับไปที่รัสเซีย
    แต่จากนั้น ข่าวของเขาก็เงียบหายไป………
    รัสเซียได้ทวงถามไปที่อเมริกา….ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร
    เชื่อว่า…คงใช้เงินซื้อเส้นทางใบเขียวไปแล้ว..


    Wiwanda W. Vichit
    ช้าไปนิด ไม่ว่าอะไรนะติ่งขา………พี่ปูเขาเรื่องแยะ เลยต้องค้นหาข้อมูลมาเม้าท์กันเยอะหน่อยค่าาาา…!!! ตอนยี่สิบเอ็ด………งานหลวงงานราษฎร์……งานปราบปิดจ๊อบเป็นงานถนัด…!!! ในการกลับมาในครั้งนี้ ปูตินผ่านสารพัดม็อบมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในช่วงนี้ของชีวิตที่จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในยุคสังคมเปิดทางโลกออนไลน์……เขาพบว่ากลุ่มต่อต้านได้เติบโตไปมาก คราวนี้ เขามีอายุ ห้าสิบเก้า……สุขภาพดีเยี่ยม พร้อมที่จะนำพาประเทศไปยังจุดที่สูงสุด จะต้องเป็นมหาอำนาจในทุกด้าน และจะต้องเป็นศูนย์กลางของยูเรเชีย…… เขาเดินออกมาจากพระวิหารในวันที่เข้าพบกับ พระอธิการคิริลล์ หลังจากการเข้าสาบานตน ด้วยท่าทางที่พร้อมที่จะรับมือกับฝ่ายตรงข้ามทุกหมู่เหล่า กลุ่มแรก…คือ กลุ่มที่ชุมนุมอยู่ที่จตุรัส Bolotnaya กลางกรุงมอสโคว์ ที่ปูตินต้องการแค่ผู้นำ Leonid Razvozzhayev (ซ้ายจัด) ที่ไหวตัวทัน หนีไปกบดานที่ยูเครน เพียงไม่กี่วันต่อมา ……ก็มีกลุ่มคนมา”อุ้ม” เขาไปจากที่พัก นำตัวกลับไปยังรัสเซีย ขึ้นศาล ถูกตัดสินให้ไปนอนเล่นที่ไซบีเรียห้าปี…… กลุ่มหัวหอกอื่นๆ เช่น Aleksei Navalny ทนายความนักการเมืองที่มีฐานเสียงพอสมควร ที่ไม่ยอมรับผลเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะต้องรับข้อหาในการก่อความไม่สงบตามมา แต่.……สิ่งที่ไม่คาดคิด คือ หนึ่งในหัวหอกที่ต่อต้านปูตินในขบวนการเดียวกัน คือ Ksena Sobchak ธิดาสาวของ อนาโตลี เจ้านายและผู้สนับสนุนที่สำคัญของปูติน ที่ได้ช่วยเหลือและตอบแทนกันมาตั้งแต่สมัยที่ปูตินเพิ่มเริ่มเตาะแตะทางการเมือง ในกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่แม้แต่อนาโตลีจะจากโลกนี้ไปแล้ว ปูตินก็ยังคือว่าครอบครัวนี้เป็นผู้ที่เขาต้องให้ความสงเคราะห์ เช่น ภริยาของอนาโตลี ได้เป็นกรรมการบริหารในเทศบาล (ข้าราชการประจำ) แม้แต่ตัว เซน่าเอง……ก็ได้เข้ามาทำงานในสถานีโทรทัศน์ (ด้วยการสนับสนุนของปูติน) ตั้งแต่ปี 2014 ตามสายงานที่เรียนมา จนมาเป็นผู้ดำเนินรายการที่มีชื่อเสียงพอสมควร สรุปว่า…ชีวิตทางการงานของเธอและมารดา……ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น (2012) แต่เหมือนกับส่งเสือเข้าป่า เพราะเซน่าได้หันไปซบกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มตัว ส่วนเรื่องคดีสาวห่ามทั้งหลาย ที่ขึ้นไปเต้นเหยงๆอยู่บนพระวิหาร ได้ถูกตัดสินจำคุก ในข้อหา……ลบหลู่ศาสนาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์……และเนื่องจากหลายคนเป็นนักดนตรีแนวพั้งค์ ข่าวในทางตะวันตกจึงตีไปในทิศทางที่ว่า “จำกัดอิสรภาพของศิลปิน…” ที่เหล่าดาราใหญ่ๆ เช่น Paul McCartney ก็พลอยบ้าจี้ตามไปด้วย ปูตินได้ไปร่วมประชุมในวาระงานโอลิมปิกภาคฤดูร้อนที่ลอนดอน นายกรัฐมนตรี David Cameron ได้เข้ามาถามถึงเรื่องนี้ ปูตินตอบว่า…… “เรื่องนี้ดูยังไงก็ผิด ไม่ว่าเขาจะแย้งว่าอะไร ชาติไหนก็ต้องมีขอบเขตในเรื่องศาสนา ถ้าพวกก่อการพวกนี้ลองไปเต้นที่มัสยิด….คุณคิดว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดออกมาหรือ..?? แน่นอนว่า…ในวันที่ 17 สิงหาคม เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล การตัดสินคือ จำคุก 2 ปี (ติดจริงๆแค่ เจ็ดเดือน) จากนั้นกลุ่ม Pussy Riot ก็สลายตัวลงไปจากบนดิน แต่ยังพอมีกระแสทางลับๆ ทางด้านการต่างประเทศระหว่างสหรัฐ เริ่มตึงเครียด เข้ามาทุกที เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า ในกลุ่มผู้ชุมนุมระดับหัวหน้า ได้มีกลุ่มตะวันตกสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสนับสนุนพวกนั้นมาในรูปแบบขององค์กร เช่น USAID, NGO ปูตินได้วางนโยบายไว้ว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในลิเบีย… ที่เขาได้เห็นกลุ่มนาโต้ได้เข้ารุมย่ำยีเพราะเพียงเพื่อหวังจะเอากัดดาฟีลงจากอำนาจนั้น เขาจะไม่ยอมให้สหรัฐและพรรคพวกที่เรียกว่า NATO มาเป็นคนชี้ชะตาของชาติไหนในโลกนี้อีก……พอกันที……!! การแก้และออกกฎหมายใหม่ได้ทำขึ้นรัวๆ เริ่มจาก……ห้ามการรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าจากรัสเซีย (จากต่างประเทศ ที่อเมริกาเป็นประเทศที่ขอไปเลี้ยงมากสุด) แม้ว่าบางรายที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการทางเอกสาร เมื่อถูกซักถามหนักๆจากสื่อ ในเรื่องว่าเป็นการดับอนาคตของเด็กหรือไม่…?? เขาตอบว่า…”คุณคิดว่านี่คือการดับอนาคตหรือ มันน่าอับอายและเป็นรอยบาปให้กับเด็กของเราต่างหาก……นี่คุณบ้าไปหรือเปล่า…?!! ในวันคล้ายวันเกิดของปูตินที่ครบหกสิบปี………เขาเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ตัวเองอย่างรัวๆ เช่น ดำน้ำในทะเลดำ หาไหโบราณ (ถึงแม้จะเป็นการจัดฉาก ก็ดูเนียน……) ขี่ม้า เปลือยอก…(ถึงจะจัด……ก็โอเค) ขี่เครื่องร่อน……มีนกบินตาม (อันนี้ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ…) ไปสมทบกับกลุ่มบิ๊กไบค์ที่เป็นเกลอกัน ( ก็ดูแพง……เพราะใช้ Harley Davidson สามล้ออย่างใหญ่……) และที่ต้องกรี๊ดดด…คือ ปูตินไปแอบหัดเล่นไอซ์ ฮ๊อกกี้ ที่ค่อนข้างจะดูแอ๊บสักหน่อย แต่พอออกงานได้ มีสะดุดล้มพังพาบให้เห็น…ก็ยังน่าเอ็นดู (แต่คนถ่าย……ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้) มีการให้ทำคลิปรายการของความเป็นอยู่ในบ้านพัก ที่ให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า ท่านผู้นำตื่นในเวลาแปดโมงครึ่ง จากเตียงก็ออกกำลังกายเลย คือเข้าห้องยิม และดูข่าวไปด้วย จากนั้นไปว่ายน้ำระยะ 1000 เมตร เริ่มอาหารเช้าในเวลาเที่ยง เป็นพวกโจ๊กด้วยธัญพืช ไข่นกกระทา สลัดและน้ำผลไม้คั้นสดส่วนประกอบจะมาจากสวนในพระวิหารของพระอธิการ Kirill จากนั้นจะทำงานจนถึงดึก การประชุมมักจะเป็นในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้านอนไปแล้ว… ที่บ้าน…ไม่มีวี่แววของผู้อาศัยคนอื่น ไม่มีลุดมิลา และ บุตรสาวทั้งสอง นอกจาก Koni สุนัขข้างกายที่ตามติดไปทุกที่ แต่…อย่างไรก็ตาม ในยุคเขานั้น รายได้ของประชาชนจากปีละจำนวนพันดอลล่าร์ พุ่งขึ้นมาเป็นหลักหมื่น ธิดาทั้งสองของปูติน คนโต คือ มาเรีย ได้แต่งงานกับนักธุรกิจชาวดัทช์ Jorrit Faassen ที่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในอนุกรรมการของ Gazprom แทบไม่มีใครรู้จักเขาเลยจนกระทั่ง วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2010 ที่เขาไปเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถอีกคันหนึ่งที่เป็นรถเบ๊นซ์ของมหาเศรษฐีหนุ่ม Matvei Urin เหล่าบอดี้การ์ดของมหาเศรษฐีที่ตามมาในรถตู้ ได้กรูกันมาทำร้าย Faassen จนถึงขั้นหาม… เรื่องได้ไปถึงปูติน (เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ผลคือ เหล่าบอดี้การ์ดติดคุกกันพร้อมหน้า ส่วน Urin โดนหลายคดี…… ทำร้ายร่างกาย และ ยกเลิกใบอนุญาตทำธนาคาร เพราะตรวจสอบบัญชีในการดำเนินการพบว่ามีการทุจริต……ติดคุก สี่ปีครึ่ง ทั้งมาเรียและฟาสเซ่น ได้แต่งงานกันที่กรีซ ในปี 2012 และมีบุตรชาย ที่ปูตินได้เป็นพ่อทูนหัว ส่วนบุตรสาวคนเล็ก Katya มีข่าวลือว่ามีคู่รักเป็นลูกชายนายพลเกาหลีเหนือ (ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน) แต่เธอชอบศิลปการแสดง และเคยเป็นผู้อำนวยการในองค์กรพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยมอสโคว์ ถึงแม้จะอยู่คนเดียว แต่บ่อยครั้งที่ปูตินจะรายล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนเก่าๆที่เคยกอดคอสู้กันมา จัดปาร์ตี้และได้มีคอนเสิร์ตเล็กๆจากวงดุริยางค์จากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มาขับกล่อม และในวันที่ปูตินเข้าสาบานตนในฐานะประธานาธิบดี ในเดือนพฤษภาคมนั้น คือวันที่ทุกคนได้เห็นลุดมิลายืนเคียงข้างกับเขา แต่ทุกคนก็ได้รับรู้แล้วว่า ทั้งคู่นี้แยกกันอยู่มานานแสนนาน จนในเดือนมิถุนายน ที่เขาทั้งคู่ไปในงานบัลเล่ต์ “Esmeralda” ที่นักข่าวได้ยิงคำถามตรง ว่า “ไม่เห็นท่านมาด้วยกันบ่อยๆ แล้วข่าวลือที่ว่าท่านได้แยกกันอยู่มันเท็จจริงประการใด?” ปูติน เหลือบไปมองลุดมิลา ก่อนที่จะตอบว่า “เป็นเรื่องจริง ลุดมิลาต้องทนกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นเวล่ำเวลาของผมมานานแสนนาน เราแทบไม่มีเวลาพบกันเลย ต่างคนต่างอยู่มาแปดเก้าปีแล้ว..” ลุดมิลาได้พูดขึ้นมาว่า… “เราหย่ากันก็จริง แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” นั่นคือการยืนยันจากคนทั้งสองด้วยตัวเอง ปูตินมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้งานกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi เป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของรัสเซียสู่สายตาชาวโลก โดยทุ่มทุนถึง หกหมื่นล้านดอลล่าร์ (เทียบเท่า) ที่นับว่าเป็นงบที่ใช้สำหรับโอลิมปิกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (เจ็ดเท่าเหนือกว่าแคนาดาในปี 2010) ที่ทุกคนทางทีมฝ่ายเศรษฐกิจเริ่มอึดอัด เพราะยังไม่นับทางรถไฟเชื่อมสู่เขา และ เส้นทางถนน ผู้รับเหมาต่างพากันอิ่มเอมในการบวกราคา (เพราะยิ่งเร่งยิ่งแพง) เรื่องนี้ถึงหูปูติน……เขาเรียกคณะกรรมการมาถามว่า ใครเป็นคนรับผิดชอบส่วนที่ล่าช้า (คือ เส้นทางของสกีสลาลอม หรือ ลงเขาที่ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ……ที่ปูตินเห็นว่า……งานไม่เนี๊ยบ) คำตอบคือ Akhmed Bilalov รองประธานคณะมนตรี ที่มีผลประโยชน์แอบแฝงคือมีที่ทางอยู่ทางด้านล่างของภูเขา เลยกินเศษกินเลยกับบริษัทก่อสร้าง งบประมาณ 40 ล้านในทีแรก บานมาเป็น 260 ล้าน… ปูตินเรียกให้มาพบพร้อมกับประธานงานโอลิมปิก(ออกสื่อ) แล้วถามตรงๆว่า……อธิบายมา……ช้าแล้วยังไม่ดีสมราคา เพราะ…??? คำอธิบายทั้งหมดที่ยกมา……ฟังไม่ขึ้น……!! ปูตินเลยสั่งแบบสั้นๆแต่ได้ใจความว่า……”งั้นก็คงต้องจัดการกันใหม่……” แล้วเขาก็เดินออกไป…. วันรุ่งขึ้น…Akhmed ถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในคณะมนตรี ปูตินได้ให้ฝ่ายบัญชีทำการตรวจสอบย้อนหลังในทุกงานที่เขารับทำมา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ออกจะเว่อร์ในการไปดูงานประชุมที่ลอนดอน…… ผู้ที่มารับหน้าที่แทนคือ ผู้ที่ชนะการประกวดราคาประมูล ธนาคาร Sberbank ที่มีประธานคือ German Greff (ที่งานนี้ต้องเข้าเนื้อไปอย่างมากมาย เพราะต้องยอมขาดทุน) ~~-ต้องเล่าต่อถึง Akhmed Bilalov ไม่งั้นจะค้างคาในใจ หลังจากที่โดนการตรวจสอบบัญชีแบบเข้ม อาเหมดถูกข้อหาฉ้อโกง คอรัปชั่น ตามมาติดๆ ที่มีโทษถึงจำคุกสี่ถึงสิบปี ไม่ใช่เขาคนเดียว ……แต่พี่น้องสองคนและผู้บริหารทุกคนในบริษัทโดนคดีหมด เขาหนีออกจากรัสเซีย ไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลโดยอ้างว่าจะถูกคุกคามเอาชีวิต เพราะในที่ทำงานของเขามีร่องรอยของผงยาพิษ เขาหนีไปที่เยอรมัน และ ไปปักหลักที่ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา ที่เขาถูกจับกุมเพราะไม่มีเอกสารการอนุญาตให้ต่อวีซ่า (2019) ที่ตามกฏแล้ว……เขาอาจจะต้องส่งกลับไปที่รัสเซีย แต่จากนั้น ข่าวของเขาก็เงียบหายไป……… รัสเซียได้ทวงถามไปที่อเมริกา….ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร เชื่อว่า…คงใช้เงินซื้อเส้นทางใบเขียวไปแล้ว.. Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • ฝรั่งเซ็ง! โวยเยอรมันก็มี "ฮิปโปแคระ" แต่ทำไม "หมูเด้ง" ดังอยู่ตัวเดียว?
    .
    ไม่กี่วันที่ผ่านมาหญิงสาวผู้ใช้บัญชีติ๊กต๊อกว่า also.steph ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ได้ทำคลิปวีดิโอความยาว 1.08 นาที พูดถึงเรื่อง "หมูเด้ง" ฮิปโปแคระ แห่งสวนสัตว์เขาเขียว จ.ชลบุรี ประเทศไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก โดยเธอพยายามวิเคราะห์ว่าเหตุใด "หมูเด้ง" ถึงเป็นฮิปโปแคระที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ตัวเดียว ทั้ง ๆ ที่สวนสัตว์ทั่วโลกมีฮิปโปแคระอยู่หลายตัว รวมถึงในสวนสัตว์กรุงเบอร์ลิน (Berlin Zoological Garden) ที่ก็เพิ่งเปิดตัว "โทนี (Toni)" สมาชิกฮิปโปแคระตัวใหม่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเช่นกัน แต่กลับไม่มีใครพูดถึง "โทนี" เท่าไรนัก
    .
    "โทนีเกิดเมื่อเดือนมิถุนายน ก่อนหน้าหมูเด้งประมาณหนึ่งเดือน แต่ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเรื่องโทนีเลย เพิ่งได้ยินก็วันนี้? ... ก็เพราะว่ามันชื่อ 'โทนี' ยังไงล่ะ! 'โทนี' มันเป็นชื่อแสนธรรมดาสามัญที่สุด ขณะที่ชื่อ 'หมูเด้ง?' ชื่อโคตรดี เพราะมันแปลว่า 'หมูเด้งดึ๋ง (bouncy pork)' คุณได้ฟังก็รู้เลยว่ามันน่ารัก และติดหูขนาดไหน ... ด้วยเหตุนี้ 'โทนี' จึงถูกขโมยซีนไปเต็ม ๆ
    "นอกจากนี้ด้วยเหตุนี้ ชื่อ 'โทนี' นั้นเป็นชื่อที่ถูกตั้งตามนักฟุตบอลผิวสีทีมชาติเยอรมนีที่ชื่อ 'โทนี' อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ... ทั้ง ๆ ที่คนเยอรมันสามารถตั้งชื่ออื่นได้ คล้าย ๆ กับที่คนไทยตั้ง เช่น บูเลทเทียน (Boulettchen) ภาษาเยอรมันที่แปลว่า ลูกชิ้นเนื้อจิ๋ว (Little Meatball) ทำไมไม่ตั้ง? แล้วไปตั้งชื่อลูกฮิปโปแคระว่า 'โทนี' ทั้ง ๆ ที่ บูเลทเทียน (Boulettchen) หรือ ลูกชิ้นเนื้อจิ๋ว มันน่ารักจะตาย" เธอระบุ และว่า
    .
    หากลูกฮิปโปแคระที่สวนสัตว์เบอร์ลิน ถูกตั้งชื่อว่า "ลูกชิ้นเนื้อจิ๋ว" มันก็จะมีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้ "หมูเด้ง" ของไทยแน่นอน ทั้งนี้เธอยังชื่นชมคนไทยด้วยว่า กรณีหมูเด้งพิสูจน์ให้เห็นว่า คนไทยเชี่ยวชาญวิธีทำการประชาสัมพันธ์มากกว่าคนเยอรมันจริง ๆ
    .
    สำหรับคลิปดังกล่าวของ steph นั้นมีผู้เข้าชมมากกว่า 280,000 ครั้งอย่างไรก็ตามมีผู้เข้าไปแสดงความเห็นต่อคลิปดังกล่าวโดยระบุว่า สาเหตุที่ "หมูเด้ง" โด่งดังกว่าลูกฮิปโปแคระตัวอื่น ๆ ก็เพราะว่า "แก้มสีชมพู" อันโดดเด่น และกิริยาอันแสบสันต์ ของมันด้วย ส่วนอีกคนก็บอกว่า ไม่ต้องเสียใจไปเพราะจริง ๆ "หมูเด้ง" ก็มีพี่น้องฮิปโปแคระที่โด่งดังไม่เท่ามันอีกหลายตัว
    .
    .
    .
    Cr : https://www.tiktok.com/@also.steph/video/7420095062907817248?_r=1&_t=8qCoV5CHjCU
    ฝรั่งเซ็ง! โวยเยอรมันก็มี "ฮิปโปแคระ" แต่ทำไม "หมูเด้ง" ดังอยู่ตัวเดียว? . ไม่กี่วันที่ผ่านมาหญิงสาวผู้ใช้บัญชีติ๊กต๊อกว่า also.steph ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ได้ทำคลิปวีดิโอความยาว 1.08 นาที พูดถึงเรื่อง "หมูเด้ง" ฮิปโปแคระ แห่งสวนสัตว์เขาเขียว จ.ชลบุรี ประเทศไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก โดยเธอพยายามวิเคราะห์ว่าเหตุใด "หมูเด้ง" ถึงเป็นฮิปโปแคระที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ตัวเดียว ทั้ง ๆ ที่สวนสัตว์ทั่วโลกมีฮิปโปแคระอยู่หลายตัว รวมถึงในสวนสัตว์กรุงเบอร์ลิน (Berlin Zoological Garden) ที่ก็เพิ่งเปิดตัว "โทนี (Toni)" สมาชิกฮิปโปแคระตัวใหม่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเช่นกัน แต่กลับไม่มีใครพูดถึง "โทนี" เท่าไรนัก . "โทนีเกิดเมื่อเดือนมิถุนายน ก่อนหน้าหมูเด้งประมาณหนึ่งเดือน แต่ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเรื่องโทนีเลย เพิ่งได้ยินก็วันนี้? ... ก็เพราะว่ามันชื่อ 'โทนี' ยังไงล่ะ! 'โทนี' มันเป็นชื่อแสนธรรมดาสามัญที่สุด ขณะที่ชื่อ 'หมูเด้ง?' ชื่อโคตรดี เพราะมันแปลว่า 'หมูเด้งดึ๋ง (bouncy pork)' คุณได้ฟังก็รู้เลยว่ามันน่ารัก และติดหูขนาดไหน ... ด้วยเหตุนี้ 'โทนี' จึงถูกขโมยซีนไปเต็ม ๆ "นอกจากนี้ด้วยเหตุนี้ ชื่อ 'โทนี' นั้นเป็นชื่อที่ถูกตั้งตามนักฟุตบอลผิวสีทีมชาติเยอรมนีที่ชื่อ 'โทนี' อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ... ทั้ง ๆ ที่คนเยอรมันสามารถตั้งชื่ออื่นได้ คล้าย ๆ กับที่คนไทยตั้ง เช่น บูเลทเทียน (Boulettchen) ภาษาเยอรมันที่แปลว่า ลูกชิ้นเนื้อจิ๋ว (Little Meatball) ทำไมไม่ตั้ง? แล้วไปตั้งชื่อลูกฮิปโปแคระว่า 'โทนี' ทั้ง ๆ ที่ บูเลทเทียน (Boulettchen) หรือ ลูกชิ้นเนื้อจิ๋ว มันน่ารักจะตาย" เธอระบุ และว่า . หากลูกฮิปโปแคระที่สวนสัตว์เบอร์ลิน ถูกตั้งชื่อว่า "ลูกชิ้นเนื้อจิ๋ว" มันก็จะมีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้ "หมูเด้ง" ของไทยแน่นอน ทั้งนี้เธอยังชื่นชมคนไทยด้วยว่า กรณีหมูเด้งพิสูจน์ให้เห็นว่า คนไทยเชี่ยวชาญวิธีทำการประชาสัมพันธ์มากกว่าคนเยอรมันจริง ๆ . สำหรับคลิปดังกล่าวของ steph นั้นมีผู้เข้าชมมากกว่า 280,000 ครั้งอย่างไรก็ตามมีผู้เข้าไปแสดงความเห็นต่อคลิปดังกล่าวโดยระบุว่า สาเหตุที่ "หมูเด้ง" โด่งดังกว่าลูกฮิปโปแคระตัวอื่น ๆ ก็เพราะว่า "แก้มสีชมพู" อันโดดเด่น และกิริยาอันแสบสันต์ ของมันด้วย ส่วนอีกคนก็บอกว่า ไม่ต้องเสียใจไปเพราะจริง ๆ "หมูเด้ง" ก็มีพี่น้องฮิปโปแคระที่โด่งดังไม่เท่ามันอีกหลายตัว . . . Cr : https://www.tiktok.com/@also.steph/video/7420095062907817248?_r=1&_t=8qCoV5CHjCU
    Haha
    Like
    Wow
    Yay
    Love
    23
    2 Comments 1 Shares 599 Views 0 Reviews
  • บทความน่าสนใจในเพจเฟซบุ๊กBrandThinkได้ตอบข้อสงสัยว่า “ทำไม The Voice ไทยปีนี้ไม่มี 'เพลงสากล'?และทำไม YouTube ถึงบล็อกเพลง Nirvana ในอเมริกา? ทั้งหมดเกี่ยวกันอย่างไร?

    เนื้อหาในบทความนี้มีดังต่อไปนี้
    “เรื่องลิขสิทธิ์เป็นเรื่องชวนปวดหัวที่หลายคนไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยนัก อย่างไรก็ดีในหลายๆ ครั้งมันก็ส่งผลมาสู่สิ่งที่เรา 'รู้สึก' ได้ในชีวิตประจำวัน
    .
    ถ้าใครได้ดูรายการ ‘The Voice Thailand’ ปีนี้ สิ่งหนึ่งที่อาจสังเกตได้คือ ปีนี้ไม่มีเพลงสากล ทั้งนี้หลังจากมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตั้งคำถามนี้ ทางผู้จัดรายการ The Voice จึงมาตอบให้ ซึ่งคำตอบนี้นักดนตรีมีชื่ออย่าง ‘หนึ่ง Mr. Drummer’ ก็ได้โพสต์บน Facebook ของตัวเอง จนคนแชร์เป็นไวรัลโพสต์ในวันที่ 30 กันยายน 2024 ซึ่งโพสต์ยาวมาก แต่สามารถสรุปใจความได้ว่า
    .
    ในปีก่อนๆ The Voice เวลาจะ 'เคลียร์ลิขสิทธิ์' เพลงสากล สมัยก่อนจะติดต่อผ่าน 'ตัวแทนลิขสิทธิ์' ในไทยเจ้าเดียวจบ แต่ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว จะขอเพลงมาร้องในรายการก็ต้องไปไล่ติดต่อ 'นักแต่งเพลง' โดยตรง ซึ่งกระบวนการ 'เคลียร์' นั้นยุ่งยากและใช้เวลามาก เพราะต้องไปหาคอนแท็กนักแต่งเพลงเป็นคนๆ และบางเพลงมีนักแต่งหลายคนก็ต้องไปไล่ขอทุกคนด้วย สุดท้ายเคลียร์ไม่ได้ทันเวลา ก็เลยต้องระงับการใช้ 'เพลงสากล' ในรายการ
    .
    ต่อมาไม่นาน วิชัย มาตกุล ผู้เป็น Creative Director แห่งบริษัทโฆษณาชื่อดัง Salmon House ก็ดูเหมือนจะโพสต์ขึ้นมาเพื่อเสริมประเด็นบทสนทนานี้ โดยเน้นไปที่ประเด็นค่าลิขสิทธิ์ในการใช้เพลงดังๆ ของต่างประเทศที่แพงมาก ซึ่งได้ยกตัวอย่างว่า หากเขาจะทำโฆษณาสักชิ้นหนึ่ง จะมีการใช้เพลงสากลสั้นๆ แบบให้คนในโฆษณาร้องเฉพาะท่อนฮุกของเพลงดังกล่าวเท่านั้น แต่หลังจากติดต่อไปที่เจ้าของลิขสิทธิ์ เขาเคาะมาว่าค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงโดยนำท่อนฮุกไปร้องในโฆษณาสั้นๆ อยู่ที่ 2.5 ล้านบาท ซึ่งแพงว่าค่าโปรเจกต์โฆษณาทั้งหมด แผนการเลยยุติไป
    .
    ทั้งนี้ถ้าใครตามข่าวต่างประเทศด้านดนตรี เราก็จะพบโดยบังเอิญว่าในวันเดียวกันนี้มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งว่า อยู่ดีๆ คนอเมริกันก็เข้าดู YouTube เพลงของวงดนตรีดังๆ อย่าง Nirvana, Green Day และนักร้องอีกจำนวนมากไม่ได้ สืบสาวราวเรื่องก็คือ YouTube ไม่สามารถดีลกับองค์กรบริหารลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงที่เป็นตัวแทนในการดีลเก็บค่าลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่ 'บทประพันธ์เพลง' เหล่านี้บน YouTube ได้ และพอดีลไม่สำเร็จ YouTube ก็จำต้องถอนเพลงออกจากแพลตฟอร์ม เพราะถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อนก็ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์
    .
    เรื่องทั้งหมดอาจฟังดูไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ มันเป็น 'เรื่องเดียวกัน' เลย แต่ก่อนอื่นเราอาจต้องย้อนทำความเข้าใจเบสิกเรื่องลิขสิทธิ์งานดนตรีกันก่อน
    .
    โดยทั่วๆ ไปในโลกปัจจุบัน ลิขสิทธิ์งานดนตรีจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ‘ลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลง’ ที่อยู่กับตัวนักประพันธ์เพลง กับ ‘ลิขสิทธิ์งานบันทึกเสียง’ ที่มักจะอยู่กับค่ายเพลงหรือบริษัทที่ผลิตงานบันทึกเสียงออกมาขาย
    .
    ในระบบไทยจะง่าย เพราะปกติค่ายเพลงจะรวบลิขสิทธิ์ทั้งสองมาเป็นของตัวเอง ทำให้เคลียร์ง่ายเวลามีคนเอาไปใช้ แต่จะมีปัญหาเวลานักร้องไปร้องเพลงตัวเองตามคอนเสิร์ต ก็ต้องขออนุญาตค่ายก่อน ซึ่งในไทยก็จะมีปัญหาถกเถียงกันว่า 'ไม่เป็นธรรม'
    .
    ระบบอเมริกาและโลกตะวันตกไม่เป็นแบบนั้น ลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงโดยทั่วไปจะอยู่กับตัวผู้แต่งเพลงเสมอ ทำให้คนเหล่านี้ใช้เพลงที่ตนเองแต่งไปเล่นสดได้เสมอแบบไม่ต้องขออนุญาตใคร หรือถ้าแตกกับค่ายเพลงเดิม ก็ยังสามารถนำเพลงตัวเองมาบันทึกเสียงใหม่ให้เป็นของตัวเองโดยตรงได้ ดังในกรณีที่โด่งดังของ Taylor Swift
    .
    ลิขสิทธิ์เป็นของนักแต่งเพลงมีข้อดีในแบบที่ว่ามานี้เอง แต่จากมุมผู้อื่นที่ต้องการนำเอาบทประพันธ์เพลงไปใช้ มันจะยุ่งยากมาก คือต้องไปขอนักแต่งเพลงโดยตรงจึงจะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งนี้อยากลองให้นึกถึงสมัยก่อนที่ไม่มีเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารแบบปัจจุบัน เราจะไปตามตัวขอใช้บทเพลงยังไง? ไม่ต้องพูดถึงเพลงในประเทศอื่น เพราะแค่เพลงในประเทศตัวเองยังยากเลย เพราะถึงเรารู้ว่าใครเป็นคนแต่งเพลงนี้ๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาได้อย่างไรอยู่ดี
    .
    จึงทำให้เกิดระบบ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' (Performance Right Society) ขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ระบบนี้ก็ง่ายๆ คือพวกนักแต่งเพลงก็ไปรวมตัวกันเป็นสมาคมและมอบอำนาจการ 'เก็บค่าลิขสิทธิ์' ทั้งประเทศให้กับสมาคมฯ และสมาคมฯ ก็จะไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์แล้วนำมาแจกจ่ายให้นักแต่งเพลงที่เป็นสมาชิกอีกที
    .
    บางคนอาจมีคำถามว่า เราจะเชื่อใจสมาคมฯ ได้อย่างไร? แต่ความเป็นจริงคือระบบนี้อยู่มาเกิน 100 ปี และประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็จะเชื่อใจสมาคมฯ ในประเทศตัวเองให้ไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ โดยแทบทุกประเทศในโลก สมาคมแบบนี้จะมีเพียงแห่งเดียว ทำให้ง่ายต่อการจัดการ ใครต้องการจะ 'เคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เพลง’ ของนักแต่งเพลงในประเทศนี้ก็ติดต่อสมาคมฯ จบ สมาคมฯ ก็จะมีเรตมาให้ ถ้าโอเคก็ลุยต่อ ไม่โอเค ถ้าไม่ถอยเลย ก็อาจไปคุยกับตัวนักแต่งเพลงเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรงก็ได้
    .
    และสมาคมฯ พวกนี้ในแต่ละประเทศก็จะมีดีลกันพอสมควร ทำให้การติดต่อเคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เป็นไปโดยง่าย เช่นถ้าเราเป็นคนฝรั่งเศส อยากใช้เพลงของนักแต่งเพลงเยอรมัน เราก็ติดต่อ SACEM ของฝรั่งเศส แล้วเขาก็จะให้คอนแท็ก GEMA มา เป็นต้น
    .
    ระบบแบบนี้ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่เทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยน คือในตอนแรก 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' เป้าหมายหลักที่ตั้งมาแรกสุดตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 คือการเก็บเงินค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงตามร้านอาหารและร้านเหล้า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่นักแต่งเพลงตามไปตรวจสอบและเก็บเองไม่ไหว เลยมอบอำนาจให้สมาคมฯ ไปจัดการแทน
    .
    แต่ในยุคปัจจุบัน บทประพันธ์เพลงไม่ได้ถูกใช้แค่เล่นตามร้านอาหารและร้านเหล้า แต่ยังถูกใช้ในโฆษณา ใช้ในหนัง ไปจนถึงใช้ในรายการทีวี ซึ่งเราไม่ต้องมีความรู้อะไรก็น่าจะพอเดาออกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจของกิจกรรมพวกนี้มันสูงมาก จึงทำให้บรรดานักแต่งเพลงเริ่ม 'ถอนสิทธิ์' ในการดีลเพลงเพื่อใช้ในการทำสื่อต่างๆ จากสมาคมฯ แล้วนำมาจัดการเอง เพราะพวกนักแต่งเพลงคิดว่าการดีลเองตรงๆ จะทำให้พวกเขาได้เงินเยอะกว่า และนี่เรากำลังพูดถึงอุตสาหกรรมดนตรีในยุค 'ขาลง' ที่ทุกฝ่ายต่างดิ้นรนหารายได้เพิ่ม
    .
    นี่จึงเป็นการตอบประเด็นที่ทั้ง หนึ่ง Mr. Drummer และ วิชัย มาตกุล พูดถึงว่าทำไมปัจจุบันลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงฝั่งอเมริกาถึงดีลยาก และทำไมมันจึงแพงนัก
    .
    แต่มากกว่านั้น ในกรณีของ YouTube ที่ไม่สามารถดีลกับ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' ได้ ก็เป็นภาพสะท้อนถึงปรากฏการณ์เดียวกัน คือพวกนักแต่งเพลงทั่วๆ ไปถึงจะโด่งดังแค่ไหน ก็มักจะไม่ห้าวหาญขนาดจะดีลกับ YouTube เองตรงๆ แต่เลือกดีลผ่านสมาคมฯ เหมือนเดิม เพราะดีลแบบนี้ 'อำนาจต่อรอง' มากกว่า แต่การที่ดีลไม่ผ่านล่าสุดที่เป็นข่าว ถ้าให้เดาก็คือ YouTube น่าจะยืนยันขอจ่ายค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเท่าเดิมแบบที่เคยจ่ายทุกปี แต่ฝั่งสมาคมฯ นั้นไม่ยอมอีกแล้ว จะเอาค่าลิขสิทธิ์เพิ่ม เพราะสมาชิกเรียกร้องมา ดีลเลยล่ม YouTube เลยต้องถอนเพลงจำนวนมากที่เคลียร์ลิขสิทธิ์ส่วนบทประพันธ์เพลงไม่สำเร็จออกจากแพลตฟอร์ม (โดยมีข้อยกเว้นสำคัญคือพวกบันทึกการแสดงสด เพราะในระบบกฎหมายลิขสิทธิ์อเมริกา นักแต่งเพลงไม่มีอำนาจลิขสิทธิ์เหนือ 'บันทึกการแสดงสด' ของเพลงตัวเอง)
    .
    ดังนั้นสรุปง่ายๆ เรื่องราวของความติดขัดในการใช้บทเพลงทั้งหมด เกิดจากฝั่ง 'นักแต่งเพลง' เรียกร้องอำนาจ (และผลตอบแทน) ในการควบคุมลิขสิทธิ์บทเพลงตัวเองมากขึ้นนั่นเอง
    .
    ถ้าจะถามว่ามันถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่ เราอาจต้องเข้าสู่บทสนทนาทางปรัชญาและนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับ 'สมดุล' ของลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาโดยรวมๆ ซึ่งจะวุ่นวายมาก แต่สิ่งที่เดาได้เลยแบบไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมากก็คือ ต่อจากนี้ไปจากมุมของไทย การใช้เพลงต่างประเทศจากฝั่งอเมริกาจะวุ่นวายและมีค่าใช้จ่ายเยอะมากๆ จนทั้งนักโฆษณา คนทำหนัง รวมถึงคนทำรายการทีวีจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้กันอีก แบบที่เราเห็นในรายการ The Voice Thailand ปีนี้“

    ที่มา : BrandThink https://www.facebook.com/share/8qKxnfVpQJ7WooWB/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    บทความน่าสนใจในเพจเฟซบุ๊กBrandThinkได้ตอบข้อสงสัยว่า “ทำไม The Voice ไทยปีนี้ไม่มี 'เพลงสากล'?และทำไม YouTube ถึงบล็อกเพลง Nirvana ในอเมริกา? ทั้งหมดเกี่ยวกันอย่างไร? เนื้อหาในบทความนี้มีดังต่อไปนี้ “เรื่องลิขสิทธิ์เป็นเรื่องชวนปวดหัวที่หลายคนไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยนัก อย่างไรก็ดีในหลายๆ ครั้งมันก็ส่งผลมาสู่สิ่งที่เรา 'รู้สึก' ได้ในชีวิตประจำวัน . ถ้าใครได้ดูรายการ ‘The Voice Thailand’ ปีนี้ สิ่งหนึ่งที่อาจสังเกตได้คือ ปีนี้ไม่มีเพลงสากล ทั้งนี้หลังจากมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตั้งคำถามนี้ ทางผู้จัดรายการ The Voice จึงมาตอบให้ ซึ่งคำตอบนี้นักดนตรีมีชื่ออย่าง ‘หนึ่ง Mr. Drummer’ ก็ได้โพสต์บน Facebook ของตัวเอง จนคนแชร์เป็นไวรัลโพสต์ในวันที่ 30 กันยายน 2024 ซึ่งโพสต์ยาวมาก แต่สามารถสรุปใจความได้ว่า . ในปีก่อนๆ The Voice เวลาจะ 'เคลียร์ลิขสิทธิ์' เพลงสากล สมัยก่อนจะติดต่อผ่าน 'ตัวแทนลิขสิทธิ์' ในไทยเจ้าเดียวจบ แต่ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว จะขอเพลงมาร้องในรายการก็ต้องไปไล่ติดต่อ 'นักแต่งเพลง' โดยตรง ซึ่งกระบวนการ 'เคลียร์' นั้นยุ่งยากและใช้เวลามาก เพราะต้องไปหาคอนแท็กนักแต่งเพลงเป็นคนๆ และบางเพลงมีนักแต่งหลายคนก็ต้องไปไล่ขอทุกคนด้วย สุดท้ายเคลียร์ไม่ได้ทันเวลา ก็เลยต้องระงับการใช้ 'เพลงสากล' ในรายการ . ต่อมาไม่นาน วิชัย มาตกุล ผู้เป็น Creative Director แห่งบริษัทโฆษณาชื่อดัง Salmon House ก็ดูเหมือนจะโพสต์ขึ้นมาเพื่อเสริมประเด็นบทสนทนานี้ โดยเน้นไปที่ประเด็นค่าลิขสิทธิ์ในการใช้เพลงดังๆ ของต่างประเทศที่แพงมาก ซึ่งได้ยกตัวอย่างว่า หากเขาจะทำโฆษณาสักชิ้นหนึ่ง จะมีการใช้เพลงสากลสั้นๆ แบบให้คนในโฆษณาร้องเฉพาะท่อนฮุกของเพลงดังกล่าวเท่านั้น แต่หลังจากติดต่อไปที่เจ้าของลิขสิทธิ์ เขาเคาะมาว่าค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงโดยนำท่อนฮุกไปร้องในโฆษณาสั้นๆ อยู่ที่ 2.5 ล้านบาท ซึ่งแพงว่าค่าโปรเจกต์โฆษณาทั้งหมด แผนการเลยยุติไป . ทั้งนี้ถ้าใครตามข่าวต่างประเทศด้านดนตรี เราก็จะพบโดยบังเอิญว่าในวันเดียวกันนี้มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งว่า อยู่ดีๆ คนอเมริกันก็เข้าดู YouTube เพลงของวงดนตรีดังๆ อย่าง Nirvana, Green Day และนักร้องอีกจำนวนมากไม่ได้ สืบสาวราวเรื่องก็คือ YouTube ไม่สามารถดีลกับองค์กรบริหารลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงที่เป็นตัวแทนในการดีลเก็บค่าลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่ 'บทประพันธ์เพลง' เหล่านี้บน YouTube ได้ และพอดีลไม่สำเร็จ YouTube ก็จำต้องถอนเพลงออกจากแพลตฟอร์ม เพราะถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อนก็ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์ . เรื่องทั้งหมดอาจฟังดูไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ มันเป็น 'เรื่องเดียวกัน' เลย แต่ก่อนอื่นเราอาจต้องย้อนทำความเข้าใจเบสิกเรื่องลิขสิทธิ์งานดนตรีกันก่อน . โดยทั่วๆ ไปในโลกปัจจุบัน ลิขสิทธิ์งานดนตรีจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ‘ลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลง’ ที่อยู่กับตัวนักประพันธ์เพลง กับ ‘ลิขสิทธิ์งานบันทึกเสียง’ ที่มักจะอยู่กับค่ายเพลงหรือบริษัทที่ผลิตงานบันทึกเสียงออกมาขาย . ในระบบไทยจะง่าย เพราะปกติค่ายเพลงจะรวบลิขสิทธิ์ทั้งสองมาเป็นของตัวเอง ทำให้เคลียร์ง่ายเวลามีคนเอาไปใช้ แต่จะมีปัญหาเวลานักร้องไปร้องเพลงตัวเองตามคอนเสิร์ต ก็ต้องขออนุญาตค่ายก่อน ซึ่งในไทยก็จะมีปัญหาถกเถียงกันว่า 'ไม่เป็นธรรม' . ระบบอเมริกาและโลกตะวันตกไม่เป็นแบบนั้น ลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงโดยทั่วไปจะอยู่กับตัวผู้แต่งเพลงเสมอ ทำให้คนเหล่านี้ใช้เพลงที่ตนเองแต่งไปเล่นสดได้เสมอแบบไม่ต้องขออนุญาตใคร หรือถ้าแตกกับค่ายเพลงเดิม ก็ยังสามารถนำเพลงตัวเองมาบันทึกเสียงใหม่ให้เป็นของตัวเองโดยตรงได้ ดังในกรณีที่โด่งดังของ Taylor Swift . ลิขสิทธิ์เป็นของนักแต่งเพลงมีข้อดีในแบบที่ว่ามานี้เอง แต่จากมุมผู้อื่นที่ต้องการนำเอาบทประพันธ์เพลงไปใช้ มันจะยุ่งยากมาก คือต้องไปขอนักแต่งเพลงโดยตรงจึงจะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งนี้อยากลองให้นึกถึงสมัยก่อนที่ไม่มีเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารแบบปัจจุบัน เราจะไปตามตัวขอใช้บทเพลงยังไง? ไม่ต้องพูดถึงเพลงในประเทศอื่น เพราะแค่เพลงในประเทศตัวเองยังยากเลย เพราะถึงเรารู้ว่าใครเป็นคนแต่งเพลงนี้ๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาได้อย่างไรอยู่ดี . จึงทำให้เกิดระบบ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' (Performance Right Society) ขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ระบบนี้ก็ง่ายๆ คือพวกนักแต่งเพลงก็ไปรวมตัวกันเป็นสมาคมและมอบอำนาจการ 'เก็บค่าลิขสิทธิ์' ทั้งประเทศให้กับสมาคมฯ และสมาคมฯ ก็จะไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์แล้วนำมาแจกจ่ายให้นักแต่งเพลงที่เป็นสมาชิกอีกที . บางคนอาจมีคำถามว่า เราจะเชื่อใจสมาคมฯ ได้อย่างไร? แต่ความเป็นจริงคือระบบนี้อยู่มาเกิน 100 ปี และประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็จะเชื่อใจสมาคมฯ ในประเทศตัวเองให้ไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ โดยแทบทุกประเทศในโลก สมาคมแบบนี้จะมีเพียงแห่งเดียว ทำให้ง่ายต่อการจัดการ ใครต้องการจะ 'เคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เพลง’ ของนักแต่งเพลงในประเทศนี้ก็ติดต่อสมาคมฯ จบ สมาคมฯ ก็จะมีเรตมาให้ ถ้าโอเคก็ลุยต่อ ไม่โอเค ถ้าไม่ถอยเลย ก็อาจไปคุยกับตัวนักแต่งเพลงเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรงก็ได้ . และสมาคมฯ พวกนี้ในแต่ละประเทศก็จะมีดีลกันพอสมควร ทำให้การติดต่อเคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เป็นไปโดยง่าย เช่นถ้าเราเป็นคนฝรั่งเศส อยากใช้เพลงของนักแต่งเพลงเยอรมัน เราก็ติดต่อ SACEM ของฝรั่งเศส แล้วเขาก็จะให้คอนแท็ก GEMA มา เป็นต้น . ระบบแบบนี้ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่เทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยน คือในตอนแรก 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' เป้าหมายหลักที่ตั้งมาแรกสุดตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 คือการเก็บเงินค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงตามร้านอาหารและร้านเหล้า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่นักแต่งเพลงตามไปตรวจสอบและเก็บเองไม่ไหว เลยมอบอำนาจให้สมาคมฯ ไปจัดการแทน . แต่ในยุคปัจจุบัน บทประพันธ์เพลงไม่ได้ถูกใช้แค่เล่นตามร้านอาหารและร้านเหล้า แต่ยังถูกใช้ในโฆษณา ใช้ในหนัง ไปจนถึงใช้ในรายการทีวี ซึ่งเราไม่ต้องมีความรู้อะไรก็น่าจะพอเดาออกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจของกิจกรรมพวกนี้มันสูงมาก จึงทำให้บรรดานักแต่งเพลงเริ่ม 'ถอนสิทธิ์' ในการดีลเพลงเพื่อใช้ในการทำสื่อต่างๆ จากสมาคมฯ แล้วนำมาจัดการเอง เพราะพวกนักแต่งเพลงคิดว่าการดีลเองตรงๆ จะทำให้พวกเขาได้เงินเยอะกว่า และนี่เรากำลังพูดถึงอุตสาหกรรมดนตรีในยุค 'ขาลง' ที่ทุกฝ่ายต่างดิ้นรนหารายได้เพิ่ม . นี่จึงเป็นการตอบประเด็นที่ทั้ง หนึ่ง Mr. Drummer และ วิชัย มาตกุล พูดถึงว่าทำไมปัจจุบันลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงฝั่งอเมริกาถึงดีลยาก และทำไมมันจึงแพงนัก . แต่มากกว่านั้น ในกรณีของ YouTube ที่ไม่สามารถดีลกับ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' ได้ ก็เป็นภาพสะท้อนถึงปรากฏการณ์เดียวกัน คือพวกนักแต่งเพลงทั่วๆ ไปถึงจะโด่งดังแค่ไหน ก็มักจะไม่ห้าวหาญขนาดจะดีลกับ YouTube เองตรงๆ แต่เลือกดีลผ่านสมาคมฯ เหมือนเดิม เพราะดีลแบบนี้ 'อำนาจต่อรอง' มากกว่า แต่การที่ดีลไม่ผ่านล่าสุดที่เป็นข่าว ถ้าให้เดาก็คือ YouTube น่าจะยืนยันขอจ่ายค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเท่าเดิมแบบที่เคยจ่ายทุกปี แต่ฝั่งสมาคมฯ นั้นไม่ยอมอีกแล้ว จะเอาค่าลิขสิทธิ์เพิ่ม เพราะสมาชิกเรียกร้องมา ดีลเลยล่ม YouTube เลยต้องถอนเพลงจำนวนมากที่เคลียร์ลิขสิทธิ์ส่วนบทประพันธ์เพลงไม่สำเร็จออกจากแพลตฟอร์ม (โดยมีข้อยกเว้นสำคัญคือพวกบันทึกการแสดงสด เพราะในระบบกฎหมายลิขสิทธิ์อเมริกา นักแต่งเพลงไม่มีอำนาจลิขสิทธิ์เหนือ 'บันทึกการแสดงสด' ของเพลงตัวเอง) . ดังนั้นสรุปง่ายๆ เรื่องราวของความติดขัดในการใช้บทเพลงทั้งหมด เกิดจากฝั่ง 'นักแต่งเพลง' เรียกร้องอำนาจ (และผลตอบแทน) ในการควบคุมลิขสิทธิ์บทเพลงตัวเองมากขึ้นนั่นเอง . ถ้าจะถามว่ามันถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่ เราอาจต้องเข้าสู่บทสนทนาทางปรัชญาและนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับ 'สมดุล' ของลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาโดยรวมๆ ซึ่งจะวุ่นวายมาก แต่สิ่งที่เดาได้เลยแบบไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมากก็คือ ต่อจากนี้ไปจากมุมของไทย การใช้เพลงต่างประเทศจากฝั่งอเมริกาจะวุ่นวายและมีค่าใช้จ่ายเยอะมากๆ จนทั้งนักโฆษณา คนทำหนัง รวมถึงคนทำรายการทีวีจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้กันอีก แบบที่เราเห็นในรายการ The Voice Thailand ปีนี้“ ที่มา : BrandThink https://www.facebook.com/share/8qKxnfVpQJ7WooWB/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 625 Views 0 Reviews
More Results