• "บลิงเคนพยายามจุดชนวนสงครามระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย"
    ทักเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวชาวอเมริกัน กล่าวระหว่างการสัมภาษณ์กับแมตต์ ไทบี

    “ผมรู้ว่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา บลิงเคนทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อเร่งให้เกิดสงครามระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย และความพยายามนี้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน”

    "บลิงเคนเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายมาก และโง่เขลาอย่างเห็นได้ชัด ร่องรอยของเขามีอยู่ในทุกเหตุการณ์"

    คาร์ลสันยังกล่าวอีกว่า โดยพฤตินัยแล้ว บลิงเคนคือผู้นำฝ่ายบริหารของไบเดนอย่างแท้จริง เขามีบทบาทอย่างสูงในฐานะตำแหน่งตัวแทนของไบเดนซึ่งแทบจะไม่เห็นเขาในตำแหน่งประธานาธิบดีเลยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

    ทักเกอร์ คาร์ลสัน ยังกล่าวอีกว่าความพยายามของแอนโธนี บลิงเคน อาจถึงขั้นวางแผนลอบสังหารวลาดิมีร์ ปูติน เพื่อเร่งให้เกิดสงครามกับรัสเซีย

    แม้ว่าคาร์ลสันจะไม่มีหลักฐานมาสนับสนุนคำพูดของเขา แต่เราทุกคนทราบดีว่า นี่คือวิธีที่ทำเนียบขาวมักจะใช้วางแผนเพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ โดยใช้ความโกลาหลที่เกิดขึ้นเป็นฉากบังหน้า

    เขายังกล่าวอีกว่าวอชิงตันอยู่เบื้องหลังการโจมตีท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม ซึ่งเรื่องนี้คนทั้งโลกทราบกันดี มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เชื่อว่ารัสเซียคือตัวการ!
    "บลิงเคนพยายามจุดชนวนสงครามระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย" ทักเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวชาวอเมริกัน กล่าวระหว่างการสัมภาษณ์กับแมตต์ ไทบี “ผมรู้ว่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา บลิงเคนทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อเร่งให้เกิดสงครามระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย และความพยายามนี้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน” "บลิงเคนเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายมาก และโง่เขลาอย่างเห็นได้ชัด ร่องรอยของเขามีอยู่ในทุกเหตุการณ์" คาร์ลสันยังกล่าวอีกว่า โดยพฤตินัยแล้ว บลิงเคนคือผู้นำฝ่ายบริหารของไบเดนอย่างแท้จริง เขามีบทบาทอย่างสูงในฐานะตำแหน่งตัวแทนของไบเดนซึ่งแทบจะไม่เห็นเขาในตำแหน่งประธานาธิบดีเลยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทักเกอร์ คาร์ลสัน ยังกล่าวอีกว่าความพยายามของแอนโธนี บลิงเคน อาจถึงขั้นวางแผนลอบสังหารวลาดิมีร์ ปูติน เพื่อเร่งให้เกิดสงครามกับรัสเซีย แม้ว่าคาร์ลสันจะไม่มีหลักฐานมาสนับสนุนคำพูดของเขา แต่เราทุกคนทราบดีว่า นี่คือวิธีที่ทำเนียบขาวมักจะใช้วางแผนเพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ โดยใช้ความโกลาหลที่เกิดขึ้นเป็นฉากบังหน้า เขายังกล่าวอีกว่าวอชิงตันอยู่เบื้องหลังการโจมตีท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม ซึ่งเรื่องนี้คนทั้งโลกทราบกันดี มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เชื่อว่ารัสเซียคือตัวการ!
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 25 0 รีวิว
  • ฟังข่าวเมื่อวาน จากจุดเดียวกันกับที่เคยมีตำรวจขี่รถมอเตอร์ไซค์ชนหมอกระต่ายที่กำลังเดินข้ามทางม้าลายจนลอยกระเด็นไปไกลและเสียชีวิต

    ไรเดอร์หนุ่มซิ่งมอเตอร์ไซค์ชนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีขณะกำลังข้ามถนน เคราะห์ดียังไม่ถึงตาย

    ฟังคำอ้างของไรเดอร์แล้วได้แต่อนาถใจ เพราะเขาให้เหตุผลว่ามองไม่เห็นสัญญาณไฟคนข้าม

    หากให้พูดสำนวนนักเลงหน่อยคงต้องใช้ประโยคประมาณว่า

    "อะไรของมึง ตอบมาได้อย่างไร ใบขับขี่ซื้อมาเหรอ กฎหมายจราจรชัดเจนมีมานานตั้งแต่ไรเดอร์ยังไม่เกิดเลย"

    ข้อหนึ่งใจความประมาณว่าเมื่อผู้ขับขี่ขับมาถึงบริเวณที่มีทางข้ามอย่างทางม้าลาย ให้ระมัดระวัง เตรียมชะลอ หากมีคนรอข้าม ให้จอดรถสนิทห่างจากทางม้าลายอย่างน้อย 3 เมตร แต่ถ้าดูดีแล้วว่าไม่มีคนจึงค่อยออกรถวิ่งต่อได้ ฝ่าฝืนคือผิดกฎหมาย

    ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวถือว่าไรเดอร์ทำผิดกฎแล้ว 100% มันน่าอับอายคนทั่วโลกเหลือเกิน ที่คนขับขี่รถในประเทศนี้ คุณภาพโดยรวมต่ำย่ำแย่ติดลบสุด ๆ

    ใน 100 คน หาสักคนที่จะชะลอจอดยังหาไม่ได้เลยมั้ง คนเหล่านี้ไม่สำนึก ผ่านวันนี้ไปก็คงลืมแล้ว วันต่อไปก็เป็นเช่นเดิม การบังคับใช้กฎหมายของ จนท.ก็ย่ำแย่พอกับคุณภาพคนขับขี่ ไม่ควรให้ออกมาขี่รถตลอดชีวิตด้วยซ้ำ มีโอกาสสูงมากที่สักวันต้องทำคนตายบนถนนแน่

    คิดถึงที่ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ขอรีโพสต์อีกครั้งแล้วกัน ดังมีเนื้อหาต่อไปนี้

    ...........

    #ทางม้าลายหรือทางตายแน่

    ทางม้าลายในไทยนี้มีก็ไม่แตกต่างจากไม่มีจริงนะ เคยพูดเรื่องนี้หลายหน ข้าพเจ้าเดินข้ามถนนมาตั้งแต่เด็กที่ต้องกลับบ้านเอง และการข้ามถนนในกรุงเทพสำหรับเด็กแล้ว มันคือการเสี่ยงดวงทุกครั้ง

    ถ้ามีสะพานลอย นั่นคือทางเลือกแรก แต่ในหลายที่ไม่มี ก็ต้องมองหาทางม้าลายแทน แต่แม้นจะหาเจอ บอกได้เลยว่าเจ้าลายขาวดำบนพื้นนั้น ไม่ได้ช่วยให้คนข้ามรู้สึกถึงความปลอดภัยเพิ่มขึ้นกว่าพื้นถนนที่ไม่มีลายแม้แต่นิดเดียว สำหรับในเมืองไทยนี้

    หลายครั้งก็หวุดหวิดเกือบโดนเฉี่ยวชน แต่ยังบุญรักษาที่รอดมาได้ถึงปัจจุบัน

    ข้ามมาไม่รู้กี่พันครั้งในชีวิตนี้ เชื่อไหมว่าที่มีคนขับมีน้ำใจ มีมารยาทตามกฎจราจร หยุดจอดให้โดยดีก่อนถึงเส้นขาวดำนั้นมีไม่น่าจะถึง 10 ครั้ง

    เกือบทั้งหมดคือไม่สนเลยว่าใครจะข้าม จะมีคนแก่ คนท้อง เด็ก ผู้หญิง คนพิการ หรือแค่คนปกติธรรมดาที่เขายืนรอจังหวะหวังว่าจะพอมีช่วงที่รถชะลอให้พอข้ามได้

    ล้วนแล้วแต่อยากจะรีบไปของตัวเองกันแทบทั้งนั้น อย่าว่าแต่หยุดรถให้เลย แค่ลดความเร็วยังหายากมากถึงมากที่สุด จะข้ามได้คือต้องช่วงที่รถอยู่ห่างจากตัวหลายสิบเมตร แล้วกะจังหวะเวลาให้ดี ใหม่ๆก็วิ่งหน้าตั้ง หลังๆประสบการณ์พอตัว ก็ไม่วิ่ง ก้าวเร็วๆเอา

    แต่บางถนนที่มีการจราจรแน่นหนาคับคั่ง การข้ามทางม้าลายนี่ยังกับปีนไต่ต้นถั่วขึ้นไปบนฟ้า โอกาสร่วงลงมาตายสูง เผลอๆมีสิ่งคาดไม่ถึงเกิดขึ้นด้วย

    อาทิเรากะว่าน่าจะวิ่งข้ามทัน แต่รถดันมาไวมาก ถึงจวนตัวกระชั้นชิด ก็จะโดนบีบแตรไล่ยาว พอเราตกใจหยุดกะทันหันคนขับจะหัวเสียที่ต้องเบรกเอี๊ยด ทำหน้ายักษ์ใส่ แล้วยกมือขึ้นมาทำท่าโบกเหมือนไล่ให้รีบไปเร็วๆ อย่ามาเกะกะกู ครั้นพอเราได้สติ จะรีบข้ามต่อ แต่รถคันที่มาเลนกลางดันไม่สนใจว่าคันทางซ้ายนั้นจำใจจอดแล้ว ตัวเองควรต้องจอดด้วยเพื่อให้คนข้าม

    เขากลับทำตรงข้ามกับสิ่งที่ควรทำ คือยิ่งเร่งความเร็วจะผ่านตรงม้าลายนี้ไป ดังนั้นถ้าหากเราไม่ตาไวและระวังเพียงพอ ก็มีสิทธิถูกเสยกระเด็นไปเหมือนว่าวขาดลอย

    นี่คือจุดตายของคนข้ามทางม้าลายมานักต่อนัก อย่าชะล่าใจเป็นอันขาดที่คิดว่าคันแรกจอดให้เราข้าม แล้วคันอื่นๆที่วิ่งตามมาเลนอื่นจะจอดให้เราไปง่ายๆ

    น้ำใจบนท้องถนนของคนขับรถในบ้านเมืองนี้ ต้องบอกว่าแห้งแล้งยิ่งกว่าแผ่นดินอีสานเมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นเช่นนั้นจริงๆ และนับวันจะเป็นมากขึ้น

    ที่จอดให้นั้น จำใจจอดซะเป็นส่วนใหญ่ ที่จะตั้งใจจอดให้เองอย่างยินดีตั้งแต่รถยังไม่ทันทับเส้นขาวดำนี่น่าจะเหมือนฝัน หากใครพบเจอในไทยนะ ขอแนะนำให้หันไปยิ้มให้และไหว้ขอบคุณคนขับอย่างงามๆเป็นการให้กำลังใจในสิ่งที่เขาทำสักหน่อยเถิด

    คนมีรถยนต์ส่วนตัวนั้น ที่จะขับขี่โดยไม่เห็นแก่ตัว และมองเห็นหัวคนเดินถนนบ้างนั้น หาได้น้อยแสนน้อยยิ่งนัก

    เอาง่ายๆ ใครมีรถ ลองถามใจตัวเอง ทุกครั้งที่วิ่งผ่านทางม้าลาย ต่อให้ไม่มีคนรอข้ามเลย เคยไหมที่จะชะลอลดความเร็วลง หรือว่าห้อตะบึงไปอย่างไม่ไยดี

    หรือหากมีคน แล้วกี่ครั้งกันที่คุณหยุดรถให้เขาเหล่านั้นได้เดินข้ามอย่างไม่ต้องวิ่งตาลีตาเหลือก

    หรือมีแต่บีบแตรกันไม่ให้เขาข้ามมา ทั้งที่ตัวเองก็ยังอยู่ห่างจากทางม้าลายพอสมควร แต่ไม่คิดจะหยุด จึงต้องบีบแตรไว้ก่อน เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าฉันจะไปยาวนะ ไม่จอด อย่าสะเออะข้ามมา

    ชนตายไม่รู้นะมึง

    ใช่เป็นแบบนั้นหรือไม่?

    น่าเศร้าใจนะไทยแลนด์

    ทำไมคนขับรถถึงใจดำได้เพียงนี้

    ช่วงหน้าฝนชัดเจนที่สุด คนยืนรอข้ามถนน รอขึ้นรถเมล์ หรือกำลังเดินริมถนน รถแต่ละคันวิ่งฝ่าน้ำบนพื้น กระฉูดใส่คนบนทางเท้าราวกับคลื่นทะเลที่มาเป็นอุโมงค์น้ำ

    คนเหล่านั้นเขาน่าสงสาร น่าเห็นใจขนาดไหน เด็กเล็กๆกับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไปรับกลับบ้าน หรือมาโรงเรียน คนทำงานที่เหน็ดเหนื่อยรอที่จะกลับบ้านหรือกำลังจะไปที่ทำงาน ฝนตกยืนกางร่มก็ลำบากไม่น้อยแล้ว ยังต้องมาถูกซัดโครมเดียวด้วยน้ำสกปรกสีขุ่นและตะกอนฝุ่นผงดินโคลนทั้งหลายก็กระเด็น กระจัดกระจาย สร้างลวดลายไปบนชุดและร่างกายของเขาทั่วหัวยันตีน เข้าตา เข้าจมูก เข้าหู เข้าปากด้วยก็ไม่แน่

    เขาต้องทนไปจนกว่าจะกลับถึงบ้านจึงได้อาบน้ำ ถ้ากำลังไปเรียน ไปทำงาน ไปสอบ จะทำอย่างไร แต่คนขับที่ทำอุโมงค์น้ำซัดใส่นั้น หายไปไหนแล้วไม่รู้

    แล้วรู้อะไรไหม คนขับพวกนี้ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำร้ายใครไปแล้วบ้างกี่คน กว่าที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางของตัวเอง

    จากประสบการณ์จริงที่เคยเจอมาทั้งกับตัวเอง และเห็นคนที่โดนกระทำในขณะที่เราเป็นผู้โดยสารอยู่บนรถคันที่ก่อเหตุ

    เพราะเราเป็นคนเดินดินริมถนน เหมือนกันกับเขา จึงเข้าใจ แต่หลายคนที่เคยเป็นคนเดินถนน พอเริ่มมีรถเป็นของตนเองแล้วเมื่อไร ก็เหมือนโดนคำสาปสิงสู่ใจ ทำให้ลืมไปหมดในเรื่องที่ตนเคยประสบพบเจอมา แล้วก็กลายร่างเป็นคนชนิดเดียวกันกับคนที่เคยเบียดเบียนตนเองมาก่อนเช่นกัน

    อย่าลืมว่าเขาที่เดินเท้าบนถนนก็คือคนที่มีศักดิ์ มีศรี ควรต่อการให้ความใส่ใจ และปฏิบัติต่อกันเฉกเช่นคนในครอบครัวของเรา หาใช่ก้อนอิฐ หิน ดิน ทราย ที่ไร้ชีวิต

    ขอบคุณภาพฟรีจาก pixabay.com

    #บทความ
    #thaitimes
    #แง่คิด
    #รถชนนักท่องเที่ยว
    #ข้ามทางม้าลาย
    ฟังข่าวเมื่อวาน จากจุดเดียวกันกับที่เคยมีตำรวจขี่รถมอเตอร์ไซค์ชนหมอกระต่ายที่กำลังเดินข้ามทางม้าลายจนลอยกระเด็นไปไกลและเสียชีวิต ไรเดอร์หนุ่มซิ่งมอเตอร์ไซค์ชนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีขณะกำลังข้ามถนน เคราะห์ดียังไม่ถึงตาย ฟังคำอ้างของไรเดอร์แล้วได้แต่อนาถใจ เพราะเขาให้เหตุผลว่ามองไม่เห็นสัญญาณไฟคนข้าม หากให้พูดสำนวนนักเลงหน่อยคงต้องใช้ประโยคประมาณว่า "อะไรของมึง ตอบมาได้อย่างไร ใบขับขี่ซื้อมาเหรอ กฎหมายจราจรชัดเจนมีมานานตั้งแต่ไรเดอร์ยังไม่เกิดเลย" ข้อหนึ่งใจความประมาณว่าเมื่อผู้ขับขี่ขับมาถึงบริเวณที่มีทางข้ามอย่างทางม้าลาย ให้ระมัดระวัง เตรียมชะลอ หากมีคนรอข้าม ให้จอดรถสนิทห่างจากทางม้าลายอย่างน้อย 3 เมตร แต่ถ้าดูดีแล้วว่าไม่มีคนจึงค่อยออกรถวิ่งต่อได้ ฝ่าฝืนคือผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวถือว่าไรเดอร์ทำผิดกฎแล้ว 100% มันน่าอับอายคนทั่วโลกเหลือเกิน ที่คนขับขี่รถในประเทศนี้ คุณภาพโดยรวมต่ำย่ำแย่ติดลบสุด ๆ ใน 100 คน หาสักคนที่จะชะลอจอดยังหาไม่ได้เลยมั้ง คนเหล่านี้ไม่สำนึก ผ่านวันนี้ไปก็คงลืมแล้ว วันต่อไปก็เป็นเช่นเดิม การบังคับใช้กฎหมายของ จนท.ก็ย่ำแย่พอกับคุณภาพคนขับขี่ ไม่ควรให้ออกมาขี่รถตลอดชีวิตด้วยซ้ำ มีโอกาสสูงมากที่สักวันต้องทำคนตายบนถนนแน่ คิดถึงที่ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ขอรีโพสต์อีกครั้งแล้วกัน ดังมีเนื้อหาต่อไปนี้ ........... #ทางม้าลายหรือทางตายแน่ ทางม้าลายในไทยนี้มีก็ไม่แตกต่างจากไม่มีจริงนะ เคยพูดเรื่องนี้หลายหน ข้าพเจ้าเดินข้ามถนนมาตั้งแต่เด็กที่ต้องกลับบ้านเอง และการข้ามถนนในกรุงเทพสำหรับเด็กแล้ว มันคือการเสี่ยงดวงทุกครั้ง ถ้ามีสะพานลอย นั่นคือทางเลือกแรก แต่ในหลายที่ไม่มี ก็ต้องมองหาทางม้าลายแทน แต่แม้นจะหาเจอ บอกได้เลยว่าเจ้าลายขาวดำบนพื้นนั้น ไม่ได้ช่วยให้คนข้ามรู้สึกถึงความปลอดภัยเพิ่มขึ้นกว่าพื้นถนนที่ไม่มีลายแม้แต่นิดเดียว สำหรับในเมืองไทยนี้ หลายครั้งก็หวุดหวิดเกือบโดนเฉี่ยวชน แต่ยังบุญรักษาที่รอดมาได้ถึงปัจจุบัน ข้ามมาไม่รู้กี่พันครั้งในชีวิตนี้ เชื่อไหมว่าที่มีคนขับมีน้ำใจ มีมารยาทตามกฎจราจร หยุดจอดให้โดยดีก่อนถึงเส้นขาวดำนั้นมีไม่น่าจะถึง 10 ครั้ง เกือบทั้งหมดคือไม่สนเลยว่าใครจะข้าม จะมีคนแก่ คนท้อง เด็ก ผู้หญิง คนพิการ หรือแค่คนปกติธรรมดาที่เขายืนรอจังหวะหวังว่าจะพอมีช่วงที่รถชะลอให้พอข้ามได้ ล้วนแล้วแต่อยากจะรีบไปของตัวเองกันแทบทั้งนั้น อย่าว่าแต่หยุดรถให้เลย แค่ลดความเร็วยังหายากมากถึงมากที่สุด จะข้ามได้คือต้องช่วงที่รถอยู่ห่างจากตัวหลายสิบเมตร แล้วกะจังหวะเวลาให้ดี ใหม่ๆก็วิ่งหน้าตั้ง หลังๆประสบการณ์พอตัว ก็ไม่วิ่ง ก้าวเร็วๆเอา แต่บางถนนที่มีการจราจรแน่นหนาคับคั่ง การข้ามทางม้าลายนี่ยังกับปีนไต่ต้นถั่วขึ้นไปบนฟ้า โอกาสร่วงลงมาตายสูง เผลอๆมีสิ่งคาดไม่ถึงเกิดขึ้นด้วย อาทิเรากะว่าน่าจะวิ่งข้ามทัน แต่รถดันมาไวมาก ถึงจวนตัวกระชั้นชิด ก็จะโดนบีบแตรไล่ยาว พอเราตกใจหยุดกะทันหันคนขับจะหัวเสียที่ต้องเบรกเอี๊ยด ทำหน้ายักษ์ใส่ แล้วยกมือขึ้นมาทำท่าโบกเหมือนไล่ให้รีบไปเร็วๆ อย่ามาเกะกะกู ครั้นพอเราได้สติ จะรีบข้ามต่อ แต่รถคันที่มาเลนกลางดันไม่สนใจว่าคันทางซ้ายนั้นจำใจจอดแล้ว ตัวเองควรต้องจอดด้วยเพื่อให้คนข้าม เขากลับทำตรงข้ามกับสิ่งที่ควรทำ คือยิ่งเร่งความเร็วจะผ่านตรงม้าลายนี้ไป ดังนั้นถ้าหากเราไม่ตาไวและระวังเพียงพอ ก็มีสิทธิถูกเสยกระเด็นไปเหมือนว่าวขาดลอย นี่คือจุดตายของคนข้ามทางม้าลายมานักต่อนัก อย่าชะล่าใจเป็นอันขาดที่คิดว่าคันแรกจอดให้เราข้าม แล้วคันอื่นๆที่วิ่งตามมาเลนอื่นจะจอดให้เราไปง่ายๆ น้ำใจบนท้องถนนของคนขับรถในบ้านเมืองนี้ ต้องบอกว่าแห้งแล้งยิ่งกว่าแผ่นดินอีสานเมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นเช่นนั้นจริงๆ และนับวันจะเป็นมากขึ้น ที่จอดให้นั้น จำใจจอดซะเป็นส่วนใหญ่ ที่จะตั้งใจจอดให้เองอย่างยินดีตั้งแต่รถยังไม่ทันทับเส้นขาวดำนี่น่าจะเหมือนฝัน หากใครพบเจอในไทยนะ ขอแนะนำให้หันไปยิ้มให้และไหว้ขอบคุณคนขับอย่างงามๆเป็นการให้กำลังใจในสิ่งที่เขาทำสักหน่อยเถิด คนมีรถยนต์ส่วนตัวนั้น ที่จะขับขี่โดยไม่เห็นแก่ตัว และมองเห็นหัวคนเดินถนนบ้างนั้น หาได้น้อยแสนน้อยยิ่งนัก เอาง่ายๆ ใครมีรถ ลองถามใจตัวเอง ทุกครั้งที่วิ่งผ่านทางม้าลาย ต่อให้ไม่มีคนรอข้ามเลย เคยไหมที่จะชะลอลดความเร็วลง หรือว่าห้อตะบึงไปอย่างไม่ไยดี หรือหากมีคน แล้วกี่ครั้งกันที่คุณหยุดรถให้เขาเหล่านั้นได้เดินข้ามอย่างไม่ต้องวิ่งตาลีตาเหลือก หรือมีแต่บีบแตรกันไม่ให้เขาข้ามมา ทั้งที่ตัวเองก็ยังอยู่ห่างจากทางม้าลายพอสมควร แต่ไม่คิดจะหยุด จึงต้องบีบแตรไว้ก่อน เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าฉันจะไปยาวนะ ไม่จอด อย่าสะเออะข้ามมา ชนตายไม่รู้นะมึง ใช่เป็นแบบนั้นหรือไม่? น่าเศร้าใจนะไทยแลนด์ ทำไมคนขับรถถึงใจดำได้เพียงนี้ ช่วงหน้าฝนชัดเจนที่สุด คนยืนรอข้ามถนน รอขึ้นรถเมล์ หรือกำลังเดินริมถนน รถแต่ละคันวิ่งฝ่าน้ำบนพื้น กระฉูดใส่คนบนทางเท้าราวกับคลื่นทะเลที่มาเป็นอุโมงค์น้ำ คนเหล่านั้นเขาน่าสงสาร น่าเห็นใจขนาดไหน เด็กเล็กๆกับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไปรับกลับบ้าน หรือมาโรงเรียน คนทำงานที่เหน็ดเหนื่อยรอที่จะกลับบ้านหรือกำลังจะไปที่ทำงาน ฝนตกยืนกางร่มก็ลำบากไม่น้อยแล้ว ยังต้องมาถูกซัดโครมเดียวด้วยน้ำสกปรกสีขุ่นและตะกอนฝุ่นผงดินโคลนทั้งหลายก็กระเด็น กระจัดกระจาย สร้างลวดลายไปบนชุดและร่างกายของเขาทั่วหัวยันตีน เข้าตา เข้าจมูก เข้าหู เข้าปากด้วยก็ไม่แน่ เขาต้องทนไปจนกว่าจะกลับถึงบ้านจึงได้อาบน้ำ ถ้ากำลังไปเรียน ไปทำงาน ไปสอบ จะทำอย่างไร แต่คนขับที่ทำอุโมงค์น้ำซัดใส่นั้น หายไปไหนแล้วไม่รู้ แล้วรู้อะไรไหม คนขับพวกนี้ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำร้ายใครไปแล้วบ้างกี่คน กว่าที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางของตัวเอง จากประสบการณ์จริงที่เคยเจอมาทั้งกับตัวเอง และเห็นคนที่โดนกระทำในขณะที่เราเป็นผู้โดยสารอยู่บนรถคันที่ก่อเหตุ เพราะเราเป็นคนเดินดินริมถนน เหมือนกันกับเขา จึงเข้าใจ แต่หลายคนที่เคยเป็นคนเดินถนน พอเริ่มมีรถเป็นของตนเองแล้วเมื่อไร ก็เหมือนโดนคำสาปสิงสู่ใจ ทำให้ลืมไปหมดในเรื่องที่ตนเคยประสบพบเจอมา แล้วก็กลายร่างเป็นคนชนิดเดียวกันกับคนที่เคยเบียดเบียนตนเองมาก่อนเช่นกัน อย่าลืมว่าเขาที่เดินเท้าบนถนนก็คือคนที่มีศักดิ์ มีศรี ควรต่อการให้ความใส่ใจ และปฏิบัติต่อกันเฉกเช่นคนในครอบครัวของเรา หาใช่ก้อนอิฐ หิน ดิน ทราย ที่ไร้ชีวิต ขอบคุณภาพฟรีจาก pixabay.com #บทความ #thaitimes #แง่คิด #รถชนนักท่องเที่ยว #ข้ามทางม้าลาย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • เดี๋ยวๆ ก่อนว้าวุ่นที่พระเอกออกแฉ๋อะ ไปเคลียเรื่องสาวเททุยไทยไปเวียดนามก่อนเชื่อกรู ลำดับความสำคัญหน่อย อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    เดี๋ยวๆ ก่อนว้าวุ่นที่พระเอกออกแฉ๋อะ ไปเคลียเรื่องสาวเททุยไทยไปเวียดนามก่อนเชื่อกรู ลำดับความสำคัญหน่อย อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงนี้อ่านเล่มไหนก็รู้สึกชอบและสนุกไปหมดเลยครับ อาจเพราะเป็นคนเลือกที่อยากอ่านเองจริง ๆ และก็มักไม่พบความผิดหวังกับเล่มที่เลือกนั้น ล่าสุดก็เรื่องนี้ที่สะดุดตาตั้งแต่ปกหน้า พอเจอในแอป hibrary ที่คนจองคิวไม่มาก และระบุว่าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญกลางกรุงโตเกียว คิดว่าน่าสนใจจึงต่อคิวจอง และเมื่อวันก่อนครบกำหนดต้องคืน จึงรีบอ่านแบบติดเทอร์โบรวดเดียวจนจบทันก่อนเวลาเส้นตายแบบเฉียดฉิว เมื่ออ่านจบก็พบว่า

    "ดีจริงที่ตัดสินใจที่จะลองอ่าน ถ้าไม่งั้นคงน่าเสียดายยิ่ง"

    #silenttokyoandsothisisxmas
    สนพ.ไดฟุกุ (อ่านหนังสือของไดฟุกุติดกันหลายเล่ม เป็นสนพ.หนึ่งที่ผลิตหนังสือค่อนข้างคุณภาพทีเดียว แต่ผมอ่านแบบอีบุ๊ก)
    ฮาตะ ทาเคฮิโตะ เขียน
    เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ แปล
    248 หน้า 280 บาท
    พิมพ์ในญี่ปุ่นครั้งแรก 2559 ในไทยพิมพ์ครั้งแรกปี 2564

    คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเมืองที่ตนอาศัยอยู่กำลังจะเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุง?

    เริ่มเรื่องก็ระทึกขวัญแต่ต้น ด้วยการที่แม่บ้านวัยสี่สิบกว่ารายหนึ่งตั้งใจจะออกไปซื้อของขวัญให้สามี เพราะใกล้จะถึงคริสต์มาส เธอจึงออกจากบ้านไปยังย่านกลางเมือง หลังซื้อของแล้วจึงมานั่งรับแดดกะจะกินแซนด์วิช บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ลานสาธารณะหน้าสถานีรถไฟเอบิสุ ครู่หนึ่งชายที่ไหนไม่รู้ เข้ามาคุยกับเธอพูดจาแปลก ๆ บอกว่าใต้ม้านั่งมีระเบิด ห้ามเธอลุกขึ้นไม่งั้นระเบิดจะทำงาน เพราะเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า30กิโลกรัมกดทับ วงจรจะเริ่มเตรียมพร้อม ทางเดียวที่จะรอด เธอต้องนั่งรอจนกว่าจะมีคนจากสถานทีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาที่นี่ แล้วให้เขานั่งลงข้าง ๆ จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นได้ แต่ให้บอกสิ่งที่เธอได้ยินนี้กับเขาด้วยเพื่อจะได้ไม่ตายเพราะระเบิด และสุดท้ายให้บอกเขาว่า นี่คือสงคราม!

    🧨

    จากจุดเริ่มนั้นเอง ที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น มีสายโทรแจ้งว่าจะมีการระเบิดขึ้นที่...หนุ่มทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีที่ได้รับงานเป็นเบ๊ทั่วไป ถูกสั่งให้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมจนท.อีกคนที่ติดอุปกรณ์การถ่ายทำไปด้วย ทั้งสองจำใจไปแต่เชื่อว่าคงเป็นการล้อกันเล่น เมื่อไปถึงพบหญิงที่นั่งอยู่ข้างม้านั่งที่คนในสายแจ้ง ทั้งสองเข้าไปใกล้กะจะไปนั่งม้านั่งใกล้กันเพื่อสังเกต แต่เธอกลับเรียกให้ชายที่ถือกล้องนั่งลงถามว่ามาจากสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม เขาแปลกใจจึงนั่งลงจะสอบถาม เธอรีบกระโดดขึ้นทันทีพลางบอกรายละเอียดทั้งหมด

    🧨

    ชายที่นั่งไม่เชื่อจะลุก เธอรีบกดไหล่และหว่านล้อมว่าวิธีเดียวที่จะรอดคือต้องทำตามคำบอกของชายคนที่แจ้งรายละเอียดกับเธอไว้ในตอนแรก นั่นคือให้เขาใช้กล้องบันทึกสิ่งที่ตัวเองประสบแล้วเผยแพร่ออกไป จากนั้นเธอเอาของที่คล้ายนาฬิกาข้อมือดิจิทัลมาคล้องกับข้อมือของหนุ่มพาร์ตไทม์โดยเขาไม่ทันตั้งตัว พลางเธอชูให้ดูว่าที่ข้อมือตัวเองก็มี บอกว่านี่เป็นระเบิดด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับเธอ เขาจะสั่งงานระยะไกลให้นาฬิการะเบิด แล้วรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่าต้องไปต่อที่แห่งหนึ่งตามคำสั่ง จากนั้นทิ้งชายที่น่าสงสารไว้ตามลำพัง ซึ่งเขาก็กลัวมากจึงรีบทำตามที่เธอบอก ในที่สุดเรื่องก็ทราบถึงตำรวจ จนแห่กันมากู้ระเบิดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวกะให้หยุดการทำงานของระบบ ปรากฏว่าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น

    🧨

    ที่แท้เป็นการข่มขู่ แค่ระเบิดเสียงแต่ยังไม่มีอำนาจทำลายล้าง ทว่าด้วยเหตุนี้ทางตำรวจสืบสวนกลางจึงตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลและสืบเรื่องนี้ขึ้น จากการวิเคราะห์ทำให้ตำรวจทราบว่า ระเบิดนั้นถูกติดตั้งตัวจับอุณหภูมิไว้ด้วย แสดงว่าคนที่ประกอบระเบิดเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ด้านนี้และคาดเดาได้ว่าตำรวจจะใช้ไนโตรเจนเหลว จึงดักทางด้วยการติดตั้งระบบให้ไม่อาจกู้ด้วยวิธีที่ตำรวจใช้ ในทีมสืบสวน มีการจับคู่ของนายตำรวจมากประสบการณ์วัยสี่สิบกว่ากับตำรวจหนุ่มไฟแรงคู่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดครั้งนี้อย่างกัดติด ด้วยตำรวจวัยกลางคนนั้นเคยแต่งงานกับลูกสาวของระดับสูงของหัวหน้าที่ตั้งทีมครั้งนี้ ทว่ามีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ต้องหย่ากันไป อย่างไรเขาคือผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเกี่ยวกับสถานการณ์อันตราย

    🧨

    ด้านหญิงกลางคนกับหนุ่มพาร์ตไทม์ เดินทางไปยังอาคารหลังหนึ่งเป็นห้องเช่า ที่ภายในมีทีวีและอุปกรณ์กล้อง พร้อมซองสีขาวที่เขียนรายละเอียดบอกไว้ให้เด็กหนุ่มต้องอ่านข้อความตามที่มีบทพูดไว้ให้ โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำหน้าที่บันทึกภาพ จากนั้นให้นำโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นในยูทูปเห็น เนื้อหาสรุปคือให้บอกว่าผมคือผู้ที่วางระเบิดนั้นเอง และยื่นข้อเสนอขอคุยกับนายกถ่ายทอดออกทางสถานีโทรทัศน์ ถ้าไม่ทำตาม จะมีการวางระเบิดในย่านใจกลางชิบูย่า หน้ารูปปั้นหมาฮาจิโกะ เส้นตายคือ18.30น. ปรากฏว่านายกฯออกข่าวตอบโต้ว่าไม่ต้องการเจรจาใดกับผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น และจะทำสงครามกับคนไม่หวังดีอย่างถึงที่สุด

    🧨

    ด้านหนุ่มพาร์ตไทม์ได้รับคำสั่งต่อไปให้ไปทำคนเดียว จึงต้องแยกกับหญิงกลางคนที่ถูกให้เฝ้ารอคำสั่งอยู่ในห้องแห่งนั้น ส่วนตำรวจก็วิ่งขาขวิด ล้อมรั้วด้วยแถบเหลืองรอบรูปปั้นฮาจิโกะด้วยรัศมีประมาณหนึ่ง และให้หน่วยกอบกู้ระเบิดพยายามเร่งค้นหาวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ แต่คนโตเกียวและชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจว่าคลิปที่เผยแพร่ น่าจะเป็นการหลอกลวงเหมือนเช่นระเบิดก่อนหน้าที่สถานีเอบิสุ จึงไม่รู้สึกกลัวแถมยังแห่มายังบริเวณลานอันเป็นสถานที่ถูกระบุ ด้วยต้องการมาเซลฟี่ตนเอง บ้างมาเป็นกลุ่ม เพื่ออัปโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นเห็น

    🧨

    มีหญิงสาวพนักงานบริษัทธรรมดาสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนหนึ่งเป็นชู้กับสามีของคนอื่นและคะยั้นคะยอชวนเพื่อนไปนัดบอดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพื่อนของเธอเพิ่งอกหักจากแฟนที่รักกันมากว่าสิบปี แล้วทิ้งไปอยู่กับกิ๊กที่ตั้งท้องไม่กี่เดือน เพื่อนสาวคนนี้กำลังคิดจะเริ่มต้นใหม่และรู้สึกดีกับหนุ่มคนหนึ่งในงานนัดบอด โดยเขาคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างแอปพลิเคชันที่เปิดตัวดีและมีคนใช้เยอะ ธุรกิจไปได้สวยทั้งที่ยังอายุไม่มาก แต่ค่อนข้างเย็นชาไม่สนใจคนรอบข้าง สองสาวตั้งใจจะมากินอาหารฉลองก่อนคริสต์มาส แล้วเห็นหนุ่มคนที่ตนสนใจเข้าพอดีในสถานที่ใกล้รูปปั้นฮาจิโกะ เพื่อนคนที่ใจกล้าจึงชวนอีกคนว่าให้ลองตามไปดูเขาว่าทำไมถึงมาอยู่แถวชิบูย่า ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเธอชวนมากินข้าวด้วยกัน ปฏิเสธว่ามีนัดสำคัญที่อื่น เธอไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนลากไปจนได้

    🧨

    ด้านตำรวจยังคงพยายามตามหาว่าระเบิดถูกซ่อนตรงไหน เวลากระชั้นสั้นเข้าใกล้ถึงกำหนดที่ถูกประกาศว่าจะมีการระเบิด แต่ผู้คนยิ่งมาออกันอย่างเนืองแน่นด้วยความสนุกสนาน

    สุดท้ายจึงเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ เพราะมีการระเบิดขึ้นจริง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่เรื่องราวไม่จบเท่านี้ เพราะหลังเหตุร้ายแรง นายกฯยังคงยืนยันคำพูดแข็งกร้าวเช่นเดิม ดังนั้นจึงมีข้อความต่อมาของคนร้ายที่แจ้งให้ทราบว่า ถ้านายกยังไม่ทำตามข้อเสนอ ระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คราวนี้บอกแค่เวลา แต่ไม่ระบุจุดที่จะระเบิด บอกเพียงว่าในกรุงโตเกียว

    🧨

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป..

    ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอไหม ..

    สถานที่ใดจะเกิดระเบิดครั้งต่อไป..

    หญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงบริเวณย่านชิบูย่าตายหรือไม่..

    ชายคนที่หญิงสาวรู้สึกสนใจ ทำไมโกหกเธอ แล้วเขามาทำอะไร รอดตายหรือไม่..

    หญิงวัยกลางคนที่ประสบเหตุคนแรกเล่า ที่ข้อมือยังมีนาฬิกาที่พร้อมระเบิดถ้าขัดคำสั่งคนร้าย เธอถูกให้ทำเรื่องใดต่อไป..

    หนุ่มพาร์ตไทม์ที่ได้รับมอบหมายงานไปทำตามลำพัง จะรอดหรือไม่ ใคร ๆ ต่างเข้าใจว่าเขาคือคนร้ายไปหมดแล้ว ...

    ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง ที่ผมเล่าได้ไม่หมด ต้องไปหาอ่านกันต่อแล้วล่ะ

    .......

    ภาควิเคราะห์✒️

    ตัวละครเยอะ และโผล่มาเรื่อย ๆ เฉพาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักก็เกือบสิบคน ยังมีประเภทโผล่มาประปรายเพราะมีความสัมพันธ์กับตัวละครที่เกี่ยวข้องอีกพอสมควร แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดที่ต้องอ่านให้จบทันก่อนหนังสือจะคืนเข้าระบบตามกำหนด จึงไม่สามารถค่อย ๆ เสพอ่านอย่างละเมียดบรรจง แต่ใช้วิธีอ่านแบบกวาดตาโดยไว ซึ่งปกติจะไม่อยากอ่านแบบนี้ถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากจะจดจำชื่อตัวละคร หรือดื่มด่ำกับสำนวนและการบรรยายของผู้เขียนได้น้อย

    ✒️

    ดีที่เล่มนี้ไม่เน้นการบรรยายเยอะ แต่สนทนามากกว่า มีบรรยายบ้างแต่ไม่ยาวเป็นหน้า ค่อนข้างเดินเรื่องกระชับฉับไว ให้รายละเอียดเท่าที่จำเป็น ตัวละครคุยกันเยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังครับ ยิ่งอ่านประวัติคนเขียนด้วยจึงเข้าใจ เพราะเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ มิน่าล่ะจึงสะท้อนความเชี่ยวชาญและแนวคิดการทำงานในการผลิตหนัง มาใช้ในงานเขียนด้วย

    ✒️

    อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง pulp fiction เมื่อปี 2537 ครับ ลักษณะการเล่ามีความเดินเรื่องคล้ายอย่างในหนัง คือไม่ได้เล่าไปทีละลำดับ แต่สลับระหว่างตัวละครหลักกลับไปกลับมา ฉากโน้นฉากนี้ แล้วพอตัวละครเยอะ ก็จะเข้าใจยากหน่อย แต่พอนำมาร้อยเรียงกันเองในหัวแล้วจะเริ่มมองภาพใหญ่ออก เพียงแค่ผู้เขียนเลือกหยิบเล่าในบริเวณจำกัดของ jigsaw บางส่วนในภาพทั้งหมด แล้วกระโดดไปเล่ามุมอื่นของชีวิตตัวละครตัวอื่น วนไปวนมาแบบนี้ จนค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่ต่อสำเร็จเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ✒️

    อ่านไปเหมือนจะงง แล้วพาลทำให้ไม่เข้าใจและไม่ชอบ หมดสนุกได้หากเราไม่คุ้นเคยกับการเล่าแบบนี้ ผมนึกถึงตัวเองตอนได้ดู pulp fiction ในโรงหนังลิโด้ครั้งแรกสมัยก่อน ถึงกับอุทานในใจ

    แหม..หนังอะไรวะเนี่ย ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ตัวละครต่าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีต้น ไม่มีปลาย มาทำบ้าอะไรของมันเดี๋ยวเดียวก็ตัดไป กลายเป็นตัวอื่นโผล่มาแล้วก็ลักษณะเดียวกันคือไม่มีรายละเอียดให้รู้ งงไปจนแทบเลยกลางเรื่องไปพอสมควรแล้วนั่นแหละ แบบดูไปด่าไปในใจ แต่ก็ทนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่

    ✒️

    พอดูจบถึงกับแทบโห่ร้องออกมาแบบไม่มีเสียง นี่มันหนังโคตรดี สุดยอดอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดได้ยังไง ถ้าดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังที่ควรจะเป็น เราก็เข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นละ แต่นี่ดันตัดเอาแค่บางช่วงสลับไปมาจนงงไปหมด ให้ไปต่อเอาเองในหัว

    หนังสือเล่มนี้ก็มีความคล้ายในการเล่าแบบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้มากเท่าและไม่ได้ชัดเจนเท่า ยังมีความเล่าตามลำดับในโครงสร้างใหญ่ไปตามวันที่เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม จนถึงก่อนวันคริสต์มาส แต่ทว่าจะมีช่วงที่เล่าให้ทราบถึงความเป็นไปในตัวละครบางตัวในอดีต เป็นเชิงภาคขยายจากในคราวแรกที่ไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครอะไรมากมาย

    ✒️

    กลางเล่มไปแล้วที่หลังเกิดเหตุระเบิดใหญ่อันน่าตกใจและมีการสูญเสียทำได้ดีทีเดียว ฉากกลางย่านชิบูย่าในภาพก่อนหน้าที่กำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความเอะอะของเหล่าผู้คน ที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายใดแล้วไม่สนใจคำเตือนตำรวจ กับภายหลังเหตุระเบิด รวมถึงความไต่ระดับของการเดินเรื่องที่บางตัวละครพยายามตามหาความจริง จิกกัดไม่ปล่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ตำรวจและยังเป็นผู้หญิง มีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ว่า

    "อยากตายนักหรือไง"

    เพราะเธอไปจี้ถาม คุ้ยแคะแกะแผลจะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่น่าสงสัยให้ได้ ช่วงบทสนทนาตอนนั้นคือลุ้นมาก นางปากดีคนนี้จะถูกหมกตายไหมเนี่ย ช่างปากกล้า ปากเก่งในเวลาที่ไม่ควรจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ต่อจากฉากนั้น ก็ทำเอาแทบกลั้นลมหายใจอ่านทีเดียว

    ✒️

    ผู้เขียนฉลาดในการหลอกล่อคนอ่านมาตั้งแต่ต้นเริ่มเรื่องทีเดียว เรียกว่าเอาอยู่ หัวปั่นเพราะเบาะแสที่ให้มาทีละนิด เราก็คิดว่าเออ คนนี้หรือคนนั้นมีแววนะว่าอาจจะใช่คนร้ายที่เจ้าแผนการทั้งหมด เพียงเพื่อสุดท้ายจะพบกับความพลิกเหมือนลูกรูบิกที่บิดที สีที่เหมือนจะเรียงกันได้ครบ แต่ทำเอาแทบสลบเพราะนอกจากไม่เรียงสำเร็จทุกสี ยังเหมือนวิ่งหนีออกไปไกลกว่าเก่า

    อ้าว..ที่แท้คนนี้เองเหรอ..เราหมุนไปผิดทางตั้งแต่แรกเลยเหรอเนี่ย

    พอย้อนไปเก็บรายละเอียดหลังอ่านจบ โดยทวนเนื้อหาใหม่ในบางช่วงบางบทสนทนา การบรรยายรายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ไว้ใหม่ จึงเกิดความรู้สึกเหมือน อะไรที่มันขัดกันในหัว หมุนเคลื่อนตัวลงล็อกดัง "กริ๊ก" ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป๊ะ

    ✒️

    เราอ่านไม่ดีเองตั้งแต่แรก ละเลยส่วนสำคัญไปเพราะไม่ละเอียดและไม่คิดตามมากพอ แท้จริงร่องรอยของความจริงได้วางไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เล่มนี้ขายดีในญี่ปุ่น รวมถึงตอนสร้างเป็นหนังก็มีผลตอบรับดีด้วย (ตามที่ในหนังสือระบุไว้ในช่วงคำนำสำนักพิมพ์ หรือความในใจของผู้แปลก็ไม่แน่ใจ)

    ชอบที่ตอนจบ บทสรุปที่ให้คนอ่านได้เก็บไปคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการสื่อไปถึงชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือที่จริงชาวโลกก็ว่าได้ เกี่ยวกับสงครามว่าคือสิ่งที่นักการเมือง ผู้มีอำนาจ และพลเมืองที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ควรจะปฏิบัติเช่นไร หรือไม่ควรปฏิบัติเช่นไร

    ✒️บทสรุปของคนร้ายจะตายหรือไม่

    ตอนที่เรื่องเฉลยโดยให้คนร้ายบอกเล่าความจริงในใจกับใครคนหนึ่งนั้น รู้สึกชอบวิธีเฉลยที่ผู้เขียนเลือกใช้ครับ รูปแบบเรียบง่ายแต่เข้ากับนิสัยของตัวละครตัวนี้ดี บ่งบอกตัวตนของคนคนนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน

    คนอ่านหลายคนอาจไม่ชอบเหตุผลและแรงจูงใจของคนร้าย และไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนร้ายเลือกกระทำ คนเราเมื่อยึดติดในสิ่งใด สัตว์ใด คนใด ความเชื่อใดมากจนฝังแน่นไปถึงจิต

    ✒️

    มันยากเหลือเกินที่จะลบล้างเอาเจ้าความคิดนั้นให้หลุดออกไปได้ ในแง่นี้ผมจึงคิดว่าเข้าใจและเห็นใจสงสารคนร้ายพอสมควร ส่วนประชาชนคนที่ตายไปมากมายนั้น หากพูดกันอย่างไม่อคติ จะไปโทษคนร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ แท้จริงเหล่าคนที่ตายไป จะมากน้อยเพราะเขาทำตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย ทั้งที่ทางตำรวจก็แจ้งเตือน ห้ามปราม แต่ก็ไม่สนใจ รวมถึงพวกสื่อต่าง ๆ ที่เอาแต่อยากทำข่าวโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมหรือเป็นอันตรายต่อสังคม ประชาชนและประเทศชาติหรือไม่

    ผมว่าเล่มนี้สะท้อนมุมมองเรื่องเหล่านี้ได้ดี

    แต่เหนืออื่นใดคือฉากจบที่ตัวละครหนึ่งที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก แต่กลับเป็นฝ่ายพูดและให้กำลังใจกับตัวละครอีกตัวที่บาดเจ็บทางใจอย่างร้ายแรงได้อย่างเข้าถึงจิตใจภายใน ราวกับคำพูดนั้นไปสัมผัสและลูบไล้ที่หัวใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด

    ช่างอบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบมา

    สำนวนแปลอ่านได้อย่างไม่รู้สึกสะดุด

    ..........

    อ่านจบ ไปลองค้นข้อมูลที่มีการสร้างเป็นหนังต่อ พอเห็นภาพโปสเตอร์ยิ่งอยากดูมาก เพราะมีนักแสดงคนโปรดเล่นด้วยนั่นคือ อิชิดะ ยูริโกะ และคนอื่น ๆ ก็ต่างเป็นนักแสดงคุณภาพทั้งนั้น สุดท้ายเจอที่มีคนทำซับบรรยายไทย จึงโหลดมาชม แต่ดูจบแล้วพบว่า ฉบับหนังสือดีกว่าพอสมควร คือหนังสร้างออกมาได้โอเคอยู่ นักแสดงก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี แต่มันมีอยู่หลายช่วงที่รู้สึกว่าน่าจะเล่าได้ดีกว่านี้ อาจเพราะเวลาจำกัด รายละเอียดมากมายจึงใส่มาได้ไม่หมด จึงทำให้ลดความสนุกลงไปจากฉบับหนังสือเยอะเลย

    แต่ฉากสำคัญที่เกิดระเบิดกลางย่านชิบูย่าทำออกมาได้ดี

    ใครสนใจลองไปหาชมดูครับ

    สุดท้ายขอจบด้วยประโยคที่ตัวละครสองตัวในเรื่องเอ่ยไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยระบุว่าเป็นคำกล่าวของนักเขียนนิยายที่มีชื่อว่า Stephen King

    "ผู้ชนะในการแข่งขันปาขี้คือคนที่มือเปื้อนน้อยที่สุด คนมีคุณภาพคือคนที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อนจากอะไรไร้สาระอย่างการขว้างปาเจตนาร้ายใส่คนอื่น"

    #หนังญี่ปุ่น
    #หนังน่าดู
    #หนังสือน่าอ่าน
    #บทความ
    #รีววิหนังสือ
    #thaitimes
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #ระเบิดกลางกรุง
    #โตเกียว
    #สงคราม
    #แง่คิด
    #ระทึกขวัญ
    #สืบสวน
    #ก่อการร้าย
    ช่วงนี้อ่านเล่มไหนก็รู้สึกชอบและสนุกไปหมดเลยครับ อาจเพราะเป็นคนเลือกที่อยากอ่านเองจริง ๆ และก็มักไม่พบความผิดหวังกับเล่มที่เลือกนั้น ล่าสุดก็เรื่องนี้ที่สะดุดตาตั้งแต่ปกหน้า พอเจอในแอป hibrary ที่คนจองคิวไม่มาก และระบุว่าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญกลางกรุงโตเกียว คิดว่าน่าสนใจจึงต่อคิวจอง และเมื่อวันก่อนครบกำหนดต้องคืน จึงรีบอ่านแบบติดเทอร์โบรวดเดียวจนจบทันก่อนเวลาเส้นตายแบบเฉียดฉิว เมื่ออ่านจบก็พบว่า "ดีจริงที่ตัดสินใจที่จะลองอ่าน ถ้าไม่งั้นคงน่าเสียดายยิ่ง" #silenttokyoandsothisisxmas สนพ.ไดฟุกุ (อ่านหนังสือของไดฟุกุติดกันหลายเล่ม เป็นสนพ.หนึ่งที่ผลิตหนังสือค่อนข้างคุณภาพทีเดียว แต่ผมอ่านแบบอีบุ๊ก) ฮาตะ ทาเคฮิโตะ เขียน เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ แปล 248 หน้า 280 บาท พิมพ์ในญี่ปุ่นครั้งแรก 2559 ในไทยพิมพ์ครั้งแรกปี 2564 คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเมืองที่ตนอาศัยอยู่กำลังจะเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุง? เริ่มเรื่องก็ระทึกขวัญแต่ต้น ด้วยการที่แม่บ้านวัยสี่สิบกว่ารายหนึ่งตั้งใจจะออกไปซื้อของขวัญให้สามี เพราะใกล้จะถึงคริสต์มาส เธอจึงออกจากบ้านไปยังย่านกลางเมือง หลังซื้อของแล้วจึงมานั่งรับแดดกะจะกินแซนด์วิช บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ลานสาธารณะหน้าสถานีรถไฟเอบิสุ ครู่หนึ่งชายที่ไหนไม่รู้ เข้ามาคุยกับเธอพูดจาแปลก ๆ บอกว่าใต้ม้านั่งมีระเบิด ห้ามเธอลุกขึ้นไม่งั้นระเบิดจะทำงาน เพราะเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า30กิโลกรัมกดทับ วงจรจะเริ่มเตรียมพร้อม ทางเดียวที่จะรอด เธอต้องนั่งรอจนกว่าจะมีคนจากสถานทีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาที่นี่ แล้วให้เขานั่งลงข้าง ๆ จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นได้ แต่ให้บอกสิ่งที่เธอได้ยินนี้กับเขาด้วยเพื่อจะได้ไม่ตายเพราะระเบิด และสุดท้ายให้บอกเขาว่า นี่คือสงคราม! 🧨 จากจุดเริ่มนั้นเอง ที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น มีสายโทรแจ้งว่าจะมีการระเบิดขึ้นที่...หนุ่มทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีที่ได้รับงานเป็นเบ๊ทั่วไป ถูกสั่งให้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมจนท.อีกคนที่ติดอุปกรณ์การถ่ายทำไปด้วย ทั้งสองจำใจไปแต่เชื่อว่าคงเป็นการล้อกันเล่น เมื่อไปถึงพบหญิงที่นั่งอยู่ข้างม้านั่งที่คนในสายแจ้ง ทั้งสองเข้าไปใกล้กะจะไปนั่งม้านั่งใกล้กันเพื่อสังเกต แต่เธอกลับเรียกให้ชายที่ถือกล้องนั่งลงถามว่ามาจากสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม เขาแปลกใจจึงนั่งลงจะสอบถาม เธอรีบกระโดดขึ้นทันทีพลางบอกรายละเอียดทั้งหมด 🧨 ชายที่นั่งไม่เชื่อจะลุก เธอรีบกดไหล่และหว่านล้อมว่าวิธีเดียวที่จะรอดคือต้องทำตามคำบอกของชายคนที่แจ้งรายละเอียดกับเธอไว้ในตอนแรก นั่นคือให้เขาใช้กล้องบันทึกสิ่งที่ตัวเองประสบแล้วเผยแพร่ออกไป จากนั้นเธอเอาของที่คล้ายนาฬิกาข้อมือดิจิทัลมาคล้องกับข้อมือของหนุ่มพาร์ตไทม์โดยเขาไม่ทันตั้งตัว พลางเธอชูให้ดูว่าที่ข้อมือตัวเองก็มี บอกว่านี่เป็นระเบิดด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับเธอ เขาจะสั่งงานระยะไกลให้นาฬิการะเบิด แล้วรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่าต้องไปต่อที่แห่งหนึ่งตามคำสั่ง จากนั้นทิ้งชายที่น่าสงสารไว้ตามลำพัง ซึ่งเขาก็กลัวมากจึงรีบทำตามที่เธอบอก ในที่สุดเรื่องก็ทราบถึงตำรวจ จนแห่กันมากู้ระเบิดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวกะให้หยุดการทำงานของระบบ ปรากฏว่าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น 🧨 ที่แท้เป็นการข่มขู่ แค่ระเบิดเสียงแต่ยังไม่มีอำนาจทำลายล้าง ทว่าด้วยเหตุนี้ทางตำรวจสืบสวนกลางจึงตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลและสืบเรื่องนี้ขึ้น จากการวิเคราะห์ทำให้ตำรวจทราบว่า ระเบิดนั้นถูกติดตั้งตัวจับอุณหภูมิไว้ด้วย แสดงว่าคนที่ประกอบระเบิดเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ด้านนี้และคาดเดาได้ว่าตำรวจจะใช้ไนโตรเจนเหลว จึงดักทางด้วยการติดตั้งระบบให้ไม่อาจกู้ด้วยวิธีที่ตำรวจใช้ ในทีมสืบสวน มีการจับคู่ของนายตำรวจมากประสบการณ์วัยสี่สิบกว่ากับตำรวจหนุ่มไฟแรงคู่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดครั้งนี้อย่างกัดติด ด้วยตำรวจวัยกลางคนนั้นเคยแต่งงานกับลูกสาวของระดับสูงของหัวหน้าที่ตั้งทีมครั้งนี้ ทว่ามีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ต้องหย่ากันไป อย่างไรเขาคือผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเกี่ยวกับสถานการณ์อันตราย 🧨 ด้านหญิงกลางคนกับหนุ่มพาร์ตไทม์ เดินทางไปยังอาคารหลังหนึ่งเป็นห้องเช่า ที่ภายในมีทีวีและอุปกรณ์กล้อง พร้อมซองสีขาวที่เขียนรายละเอียดบอกไว้ให้เด็กหนุ่มต้องอ่านข้อความตามที่มีบทพูดไว้ให้ โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำหน้าที่บันทึกภาพ จากนั้นให้นำโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นในยูทูปเห็น เนื้อหาสรุปคือให้บอกว่าผมคือผู้ที่วางระเบิดนั้นเอง และยื่นข้อเสนอขอคุยกับนายกถ่ายทอดออกทางสถานีโทรทัศน์ ถ้าไม่ทำตาม จะมีการวางระเบิดในย่านใจกลางชิบูย่า หน้ารูปปั้นหมาฮาจิโกะ เส้นตายคือ18.30น. ปรากฏว่านายกฯออกข่าวตอบโต้ว่าไม่ต้องการเจรจาใดกับผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น และจะทำสงครามกับคนไม่หวังดีอย่างถึงที่สุด 🧨 ด้านหนุ่มพาร์ตไทม์ได้รับคำสั่งต่อไปให้ไปทำคนเดียว จึงต้องแยกกับหญิงกลางคนที่ถูกให้เฝ้ารอคำสั่งอยู่ในห้องแห่งนั้น ส่วนตำรวจก็วิ่งขาขวิด ล้อมรั้วด้วยแถบเหลืองรอบรูปปั้นฮาจิโกะด้วยรัศมีประมาณหนึ่ง และให้หน่วยกอบกู้ระเบิดพยายามเร่งค้นหาวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ แต่คนโตเกียวและชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจว่าคลิปที่เผยแพร่ น่าจะเป็นการหลอกลวงเหมือนเช่นระเบิดก่อนหน้าที่สถานีเอบิสุ จึงไม่รู้สึกกลัวแถมยังแห่มายังบริเวณลานอันเป็นสถานที่ถูกระบุ ด้วยต้องการมาเซลฟี่ตนเอง บ้างมาเป็นกลุ่ม เพื่ออัปโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นเห็น 🧨 มีหญิงสาวพนักงานบริษัทธรรมดาสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนหนึ่งเป็นชู้กับสามีของคนอื่นและคะยั้นคะยอชวนเพื่อนไปนัดบอดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพื่อนของเธอเพิ่งอกหักจากแฟนที่รักกันมากว่าสิบปี แล้วทิ้งไปอยู่กับกิ๊กที่ตั้งท้องไม่กี่เดือน เพื่อนสาวคนนี้กำลังคิดจะเริ่มต้นใหม่และรู้สึกดีกับหนุ่มคนหนึ่งในงานนัดบอด โดยเขาคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างแอปพลิเคชันที่เปิดตัวดีและมีคนใช้เยอะ ธุรกิจไปได้สวยทั้งที่ยังอายุไม่มาก แต่ค่อนข้างเย็นชาไม่สนใจคนรอบข้าง สองสาวตั้งใจจะมากินอาหารฉลองก่อนคริสต์มาส แล้วเห็นหนุ่มคนที่ตนสนใจเข้าพอดีในสถานที่ใกล้รูปปั้นฮาจิโกะ เพื่อนคนที่ใจกล้าจึงชวนอีกคนว่าให้ลองตามไปดูเขาว่าทำไมถึงมาอยู่แถวชิบูย่า ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเธอชวนมากินข้าวด้วยกัน ปฏิเสธว่ามีนัดสำคัญที่อื่น เธอไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนลากไปจนได้ 🧨 ด้านตำรวจยังคงพยายามตามหาว่าระเบิดถูกซ่อนตรงไหน เวลากระชั้นสั้นเข้าใกล้ถึงกำหนดที่ถูกประกาศว่าจะมีการระเบิด แต่ผู้คนยิ่งมาออกันอย่างเนืองแน่นด้วยความสนุกสนาน สุดท้ายจึงเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ เพราะมีการระเบิดขึ้นจริง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่เรื่องราวไม่จบเท่านี้ เพราะหลังเหตุร้ายแรง นายกฯยังคงยืนยันคำพูดแข็งกร้าวเช่นเดิม ดังนั้นจึงมีข้อความต่อมาของคนร้ายที่แจ้งให้ทราบว่า ถ้านายกยังไม่ทำตามข้อเสนอ ระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คราวนี้บอกแค่เวลา แต่ไม่ระบุจุดที่จะระเบิด บอกเพียงว่าในกรุงโตเกียว 🧨 เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป.. ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอไหม .. สถานที่ใดจะเกิดระเบิดครั้งต่อไป.. หญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงบริเวณย่านชิบูย่าตายหรือไม่.. ชายคนที่หญิงสาวรู้สึกสนใจ ทำไมโกหกเธอ แล้วเขามาทำอะไร รอดตายหรือไม่.. หญิงวัยกลางคนที่ประสบเหตุคนแรกเล่า ที่ข้อมือยังมีนาฬิกาที่พร้อมระเบิดถ้าขัดคำสั่งคนร้าย เธอถูกให้ทำเรื่องใดต่อไป.. หนุ่มพาร์ตไทม์ที่ได้รับมอบหมายงานไปทำตามลำพัง จะรอดหรือไม่ ใคร ๆ ต่างเข้าใจว่าเขาคือคนร้ายไปหมดแล้ว ... ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง ที่ผมเล่าได้ไม่หมด ต้องไปหาอ่านกันต่อแล้วล่ะ ....... ภาควิเคราะห์✒️ ตัวละครเยอะ และโผล่มาเรื่อย ๆ เฉพาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักก็เกือบสิบคน ยังมีประเภทโผล่มาประปรายเพราะมีความสัมพันธ์กับตัวละครที่เกี่ยวข้องอีกพอสมควร แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดที่ต้องอ่านให้จบทันก่อนหนังสือจะคืนเข้าระบบตามกำหนด จึงไม่สามารถค่อย ๆ เสพอ่านอย่างละเมียดบรรจง แต่ใช้วิธีอ่านแบบกวาดตาโดยไว ซึ่งปกติจะไม่อยากอ่านแบบนี้ถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากจะจดจำชื่อตัวละคร หรือดื่มด่ำกับสำนวนและการบรรยายของผู้เขียนได้น้อย ✒️ ดีที่เล่มนี้ไม่เน้นการบรรยายเยอะ แต่สนทนามากกว่า มีบรรยายบ้างแต่ไม่ยาวเป็นหน้า ค่อนข้างเดินเรื่องกระชับฉับไว ให้รายละเอียดเท่าที่จำเป็น ตัวละครคุยกันเยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังครับ ยิ่งอ่านประวัติคนเขียนด้วยจึงเข้าใจ เพราะเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ มิน่าล่ะจึงสะท้อนความเชี่ยวชาญและแนวคิดการทำงานในการผลิตหนัง มาใช้ในงานเขียนด้วย ✒️ อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง pulp fiction เมื่อปี 2537 ครับ ลักษณะการเล่ามีความเดินเรื่องคล้ายอย่างในหนัง คือไม่ได้เล่าไปทีละลำดับ แต่สลับระหว่างตัวละครหลักกลับไปกลับมา ฉากโน้นฉากนี้ แล้วพอตัวละครเยอะ ก็จะเข้าใจยากหน่อย แต่พอนำมาร้อยเรียงกันเองในหัวแล้วจะเริ่มมองภาพใหญ่ออก เพียงแค่ผู้เขียนเลือกหยิบเล่าในบริเวณจำกัดของ jigsaw บางส่วนในภาพทั้งหมด แล้วกระโดดไปเล่ามุมอื่นของชีวิตตัวละครตัวอื่น วนไปวนมาแบบนี้ จนค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่ต่อสำเร็จเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ✒️ อ่านไปเหมือนจะงง แล้วพาลทำให้ไม่เข้าใจและไม่ชอบ หมดสนุกได้หากเราไม่คุ้นเคยกับการเล่าแบบนี้ ผมนึกถึงตัวเองตอนได้ดู pulp fiction ในโรงหนังลิโด้ครั้งแรกสมัยก่อน ถึงกับอุทานในใจ แหม..หนังอะไรวะเนี่ย ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ตัวละครต่าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีต้น ไม่มีปลาย มาทำบ้าอะไรของมันเดี๋ยวเดียวก็ตัดไป กลายเป็นตัวอื่นโผล่มาแล้วก็ลักษณะเดียวกันคือไม่มีรายละเอียดให้รู้ งงไปจนแทบเลยกลางเรื่องไปพอสมควรแล้วนั่นแหละ แบบดูไปด่าไปในใจ แต่ก็ทนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่ ✒️ พอดูจบถึงกับแทบโห่ร้องออกมาแบบไม่มีเสียง นี่มันหนังโคตรดี สุดยอดอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดได้ยังไง ถ้าดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังที่ควรจะเป็น เราก็เข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นละ แต่นี่ดันตัดเอาแค่บางช่วงสลับไปมาจนงงไปหมด ให้ไปต่อเอาเองในหัว หนังสือเล่มนี้ก็มีความคล้ายในการเล่าแบบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้มากเท่าและไม่ได้ชัดเจนเท่า ยังมีความเล่าตามลำดับในโครงสร้างใหญ่ไปตามวันที่เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม จนถึงก่อนวันคริสต์มาส แต่ทว่าจะมีช่วงที่เล่าให้ทราบถึงความเป็นไปในตัวละครบางตัวในอดีต เป็นเชิงภาคขยายจากในคราวแรกที่ไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครอะไรมากมาย ✒️ กลางเล่มไปแล้วที่หลังเกิดเหตุระเบิดใหญ่อันน่าตกใจและมีการสูญเสียทำได้ดีทีเดียว ฉากกลางย่านชิบูย่าในภาพก่อนหน้าที่กำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความเอะอะของเหล่าผู้คน ที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายใดแล้วไม่สนใจคำเตือนตำรวจ กับภายหลังเหตุระเบิด รวมถึงความไต่ระดับของการเดินเรื่องที่บางตัวละครพยายามตามหาความจริง จิกกัดไม่ปล่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ตำรวจและยังเป็นผู้หญิง มีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ว่า "อยากตายนักหรือไง" เพราะเธอไปจี้ถาม คุ้ยแคะแกะแผลจะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่น่าสงสัยให้ได้ ช่วงบทสนทนาตอนนั้นคือลุ้นมาก นางปากดีคนนี้จะถูกหมกตายไหมเนี่ย ช่างปากกล้า ปากเก่งในเวลาที่ไม่ควรจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ต่อจากฉากนั้น ก็ทำเอาแทบกลั้นลมหายใจอ่านทีเดียว ✒️ ผู้เขียนฉลาดในการหลอกล่อคนอ่านมาตั้งแต่ต้นเริ่มเรื่องทีเดียว เรียกว่าเอาอยู่ หัวปั่นเพราะเบาะแสที่ให้มาทีละนิด เราก็คิดว่าเออ คนนี้หรือคนนั้นมีแววนะว่าอาจจะใช่คนร้ายที่เจ้าแผนการทั้งหมด เพียงเพื่อสุดท้ายจะพบกับความพลิกเหมือนลูกรูบิกที่บิดที สีที่เหมือนจะเรียงกันได้ครบ แต่ทำเอาแทบสลบเพราะนอกจากไม่เรียงสำเร็จทุกสี ยังเหมือนวิ่งหนีออกไปไกลกว่าเก่า อ้าว..ที่แท้คนนี้เองเหรอ..เราหมุนไปผิดทางตั้งแต่แรกเลยเหรอเนี่ย พอย้อนไปเก็บรายละเอียดหลังอ่านจบ โดยทวนเนื้อหาใหม่ในบางช่วงบางบทสนทนา การบรรยายรายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ไว้ใหม่ จึงเกิดความรู้สึกเหมือน อะไรที่มันขัดกันในหัว หมุนเคลื่อนตัวลงล็อกดัง "กริ๊ก" ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป๊ะ ✒️ เราอ่านไม่ดีเองตั้งแต่แรก ละเลยส่วนสำคัญไปเพราะไม่ละเอียดและไม่คิดตามมากพอ แท้จริงร่องรอยของความจริงได้วางไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เล่มนี้ขายดีในญี่ปุ่น รวมถึงตอนสร้างเป็นหนังก็มีผลตอบรับดีด้วย (ตามที่ในหนังสือระบุไว้ในช่วงคำนำสำนักพิมพ์ หรือความในใจของผู้แปลก็ไม่แน่ใจ) ชอบที่ตอนจบ บทสรุปที่ให้คนอ่านได้เก็บไปคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการสื่อไปถึงชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือที่จริงชาวโลกก็ว่าได้ เกี่ยวกับสงครามว่าคือสิ่งที่นักการเมือง ผู้มีอำนาจ และพลเมืองที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ควรจะปฏิบัติเช่นไร หรือไม่ควรปฏิบัติเช่นไร ✒️บทสรุปของคนร้ายจะตายหรือไม่ ตอนที่เรื่องเฉลยโดยให้คนร้ายบอกเล่าความจริงในใจกับใครคนหนึ่งนั้น รู้สึกชอบวิธีเฉลยที่ผู้เขียนเลือกใช้ครับ รูปแบบเรียบง่ายแต่เข้ากับนิสัยของตัวละครตัวนี้ดี บ่งบอกตัวตนของคนคนนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน คนอ่านหลายคนอาจไม่ชอบเหตุผลและแรงจูงใจของคนร้าย และไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนร้ายเลือกกระทำ คนเราเมื่อยึดติดในสิ่งใด สัตว์ใด คนใด ความเชื่อใดมากจนฝังแน่นไปถึงจิต ✒️ มันยากเหลือเกินที่จะลบล้างเอาเจ้าความคิดนั้นให้หลุดออกไปได้ ในแง่นี้ผมจึงคิดว่าเข้าใจและเห็นใจสงสารคนร้ายพอสมควร ส่วนประชาชนคนที่ตายไปมากมายนั้น หากพูดกันอย่างไม่อคติ จะไปโทษคนร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ แท้จริงเหล่าคนที่ตายไป จะมากน้อยเพราะเขาทำตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย ทั้งที่ทางตำรวจก็แจ้งเตือน ห้ามปราม แต่ก็ไม่สนใจ รวมถึงพวกสื่อต่าง ๆ ที่เอาแต่อยากทำข่าวโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมหรือเป็นอันตรายต่อสังคม ประชาชนและประเทศชาติหรือไม่ ผมว่าเล่มนี้สะท้อนมุมมองเรื่องเหล่านี้ได้ดี แต่เหนืออื่นใดคือฉากจบที่ตัวละครหนึ่งที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก แต่กลับเป็นฝ่ายพูดและให้กำลังใจกับตัวละครอีกตัวที่บาดเจ็บทางใจอย่างร้ายแรงได้อย่างเข้าถึงจิตใจภายใน ราวกับคำพูดนั้นไปสัมผัสและลูบไล้ที่หัวใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด ช่างอบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบมา สำนวนแปลอ่านได้อย่างไม่รู้สึกสะดุด .......... อ่านจบ ไปลองค้นข้อมูลที่มีการสร้างเป็นหนังต่อ พอเห็นภาพโปสเตอร์ยิ่งอยากดูมาก เพราะมีนักแสดงคนโปรดเล่นด้วยนั่นคือ อิชิดะ ยูริโกะ และคนอื่น ๆ ก็ต่างเป็นนักแสดงคุณภาพทั้งนั้น สุดท้ายเจอที่มีคนทำซับบรรยายไทย จึงโหลดมาชม แต่ดูจบแล้วพบว่า ฉบับหนังสือดีกว่าพอสมควร คือหนังสร้างออกมาได้โอเคอยู่ นักแสดงก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี แต่มันมีอยู่หลายช่วงที่รู้สึกว่าน่าจะเล่าได้ดีกว่านี้ อาจเพราะเวลาจำกัด รายละเอียดมากมายจึงใส่มาได้ไม่หมด จึงทำให้ลดความสนุกลงไปจากฉบับหนังสือเยอะเลย แต่ฉากสำคัญที่เกิดระเบิดกลางย่านชิบูย่าทำออกมาได้ดี ใครสนใจลองไปหาชมดูครับ สุดท้ายขอจบด้วยประโยคที่ตัวละครสองตัวในเรื่องเอ่ยไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยระบุว่าเป็นคำกล่าวของนักเขียนนิยายที่มีชื่อว่า Stephen King "ผู้ชนะในการแข่งขันปาขี้คือคนที่มือเปื้อนน้อยที่สุด คนมีคุณภาพคือคนที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อนจากอะไรไร้สาระอย่างการขว้างปาเจตนาร้ายใส่คนอื่น" #หนังญี่ปุ่น #หนังน่าดู #หนังสือน่าอ่าน #บทความ #รีววิหนังสือ #thaitimes #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #ระเบิดกลางกรุง #โตเกียว #สงคราม #แง่คิด #ระทึกขวัญ #สืบสวน #ก่อการร้าย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 493 มุมมอง 0 รีวิว
  • อัยการเกาหลีใต้ สั่งฟ้อง ยุน ซ็อกยอล ประธานาธิบดีผู้ถูกถอดถอน ในข้อหาเป็นผู้นำในการก่อกบฏ ด้วยการประกาศกฎอัยการศึกที่มีผลบังคับใช้ช่วงสั้นๆ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม จากการเปิดเผยของทนายความของยุนและพรรคฝ่ายค้านหลัก
    .
    ทนายความของยุน วิพากษ์วิจารณ์การสั่งฟ้องครั้งนี้ว่า "เป็นตัวเลือกที่เลวร้าย" ที่ดำเนินการโดยสำนักงานอัยการ แต่ทางพรรคฝ่ายค้านหลักขานรับด้วยความยินดีต่อการตัดสินใจดังกล่าว
    .
    การสั่งฟ้องครั้งนี้ถือเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับประธานาธิบดีรายหนึ่งรายใดของเกาหลีใต้ และถ้าถูกตัดสินว่ามีความผิด ยุน อาจต้องเผชิญโทษจำคุกสำหรับการประกาศกฎอัยการศึกที่ก่อความตกตะลึงของเขา ในความพยายามหาทางห้ามกิจกรรมทางการเมืองและรัฐสภา รวมถึงควบคุมสื่อมวลชน
    .
    ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของเขา นำมาซึ่งความอลหม่านทางการเมืองในชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของเอเชีย และพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ ในขณะที่นายกรัฐมนตรีก็ถูกถอดถอนเช่นกันและถูกพักอำนาจ นอกจากนี้แล้วยังเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงจำนวนหนึ่งถูกสั่งฟ้องจากบทบาทของพวกเขาในคำกล่าวหาก่อกบฏ
    .
    "ประกาศอัยการศึกฉุกเฉินของประธานาธิบดี เป็นคำวิงวอนที่สิ้นหวังที่มีถึงประชาชน ว่าวิกฤตระดับชาติหนึ่งๆ ที่ก่อโดยพวกฝ่ายค้าน กำลังหลุดจากการควบคุม" ทนายความของยุนระบุในถ้อยแถลง
    .
    สำนักงานอัยการยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็น แต่ข่าวคราวเกี่ยวกับการสั่งฟ้องถูกรายงานโดยสื่อมวลชนเกาหลีใต้เช่นกัน
    .
    ทีมสืบสวนต่อต้านคอร์รัปชัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เสนอให้ตั้งข้อหายุน ที่อยู่ภายใต้การคุมขัง หลังจากถูกถอดถอนโดยรัฐสภาและพักจากการทำหน้าที่เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม
    .
    ยุน ซึ่งตัวเองเคยเป็นอัยการสูงสุด ถูกคุมขังเดี่ยวอยู่ที่ทัณฑสถาน ชานกรุงโซล มาตั้งแต่กลายเป็นประธานาธิบดีที่อยู่ในตำแหน่ง คนแรกที่ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 15 มกราคม การจับกุมที่มีขึ้นตามหลังหลายวันของการขัดขืน และการเผชิญหน้าติดอาวุธระหว่างทีมรักษาความปลอดภัยของเขากับเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่จับกุมตัว
    .
    เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลปฏิเสธอัยการถึง 2 รอบในคำร้องขอขยายเวลาควบคุมตัวเขาระหว่างการสืบสวนเพิ่มเติม แต่ด้วยคำสั่งฟ้อง อัยการจึงร้องขออีกครั้งให้คุมขังเขาต่อไป ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น
    .
    การก่อกบฏเป็นหนึ่งในข้อกล่าวหาทางอาญาไม่กี่ข้อกล่าวหา ที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้รายหนึ่งๆ ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง และมันมีบทลงโทษหนักจำคุกตลอดชีวิตหรือถึงขั้นประหาร แม้เกาหลีใต้ไม่ได้ประหารชีวิตใครมานานหลายทศวรรษแล้วก็ตาม
    .
    "อัยการตัดสินใจสั่งฟ้องยุน ซ็อกยอล ผู้ซึ่งเผชิญข้อกล่าวหาเป็นหัวหน้าแก๊งก่อกบฏ" ฮัน มิน-ซู โฆษกพรรคเดโมแครต ปาร์ตี กล่าวระหว่างแถลงข่าว "เวลานี้การลงโทษหัวหน้าแก๊งก่อกบฏเริ่มต้นขึ้นได้เสียที"
    .
    ยุนและทนายความของเขา โต้แย้ง ณ ศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างการพิจารณาการถอดถอน ว่าเขาไม่เคยมีความตั้งใจบังคับใช้อัยการศึกเต็มรูปแบบ แต่มีเจตนาใช้เป็นแค่มาตรการเตือนเพื่อทลายทางตันทางการเมืองเท่านั้น
    .
    ในความเคลื่อนไหวคู่ขนานกับกระบวนการทางอาญา ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ตัดสินรับรองการถอดถอนยุนพ้นจากตำแหน่ง หรือคืนอำนาจประธานาธิบดีแก่เขา โดยศาลมีเวลา 180 วัน สำหรับการตัดสินใจในเรื่องดังกล่าว
    .
    รัฐสภาที่นำโดยฝ่ายค้านของเกาหลีใต้ ลงมติถอดถอน ยุน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ส่งผลให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีสายอนุรักษนิยมรายที่ 2 ของประเทศ ที่ถูกถอดถอนพ้นจากตำแหน่ง
    .
    ยุน ถอนประกาศอัยการศึกหลังจากบังคับใช้ไปราวๆ 6 ชั่วโมง หลังบรรดาสมาชิกรัฐสภา ที่เผชิญหน้ากับทหารในรัฐสภา ลงมติคว่ำประกาศดังกล่าว
    .
    ระหว่างการเผชิญหน้าอันน่าตกอกตกใจ ทหารพร้อมปืนไรเฟิล เสื้อกันกระสุนและยุทโธปกรณ์สำหรับปฏิบัติการตอนกลางคืน กำลังทุบบานกระจก ในความพยายามเข้าไปยังอาคารรัฐสภา
    .
    ทั้งนี้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับรองการถอดถอน ยุน พ้นจากตำแหน่ง ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีจะถูกจัดขึ้นภายใน 60 วัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008311
    ..............
    Sondhi X
    อัยการเกาหลีใต้ สั่งฟ้อง ยุน ซ็อกยอล ประธานาธิบดีผู้ถูกถอดถอน ในข้อหาเป็นผู้นำในการก่อกบฏ ด้วยการประกาศกฎอัยการศึกที่มีผลบังคับใช้ช่วงสั้นๆ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม จากการเปิดเผยของทนายความของยุนและพรรคฝ่ายค้านหลัก . ทนายความของยุน วิพากษ์วิจารณ์การสั่งฟ้องครั้งนี้ว่า "เป็นตัวเลือกที่เลวร้าย" ที่ดำเนินการโดยสำนักงานอัยการ แต่ทางพรรคฝ่ายค้านหลักขานรับด้วยความยินดีต่อการตัดสินใจดังกล่าว . การสั่งฟ้องครั้งนี้ถือเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับประธานาธิบดีรายหนึ่งรายใดของเกาหลีใต้ และถ้าถูกตัดสินว่ามีความผิด ยุน อาจต้องเผชิญโทษจำคุกสำหรับการประกาศกฎอัยการศึกที่ก่อความตกตะลึงของเขา ในความพยายามหาทางห้ามกิจกรรมทางการเมืองและรัฐสภา รวมถึงควบคุมสื่อมวลชน . ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของเขา นำมาซึ่งความอลหม่านทางการเมืองในชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของเอเชีย และพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ ในขณะที่นายกรัฐมนตรีก็ถูกถอดถอนเช่นกันและถูกพักอำนาจ นอกจากนี้แล้วยังเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงจำนวนหนึ่งถูกสั่งฟ้องจากบทบาทของพวกเขาในคำกล่าวหาก่อกบฏ . "ประกาศอัยการศึกฉุกเฉินของประธานาธิบดี เป็นคำวิงวอนที่สิ้นหวังที่มีถึงประชาชน ว่าวิกฤตระดับชาติหนึ่งๆ ที่ก่อโดยพวกฝ่ายค้าน กำลังหลุดจากการควบคุม" ทนายความของยุนระบุในถ้อยแถลง . สำนักงานอัยการยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็น แต่ข่าวคราวเกี่ยวกับการสั่งฟ้องถูกรายงานโดยสื่อมวลชนเกาหลีใต้เช่นกัน . ทีมสืบสวนต่อต้านคอร์รัปชัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เสนอให้ตั้งข้อหายุน ที่อยู่ภายใต้การคุมขัง หลังจากถูกถอดถอนโดยรัฐสภาและพักจากการทำหน้าที่เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม . ยุน ซึ่งตัวเองเคยเป็นอัยการสูงสุด ถูกคุมขังเดี่ยวอยู่ที่ทัณฑสถาน ชานกรุงโซล มาตั้งแต่กลายเป็นประธานาธิบดีที่อยู่ในตำแหน่ง คนแรกที่ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 15 มกราคม การจับกุมที่มีขึ้นตามหลังหลายวันของการขัดขืน และการเผชิญหน้าติดอาวุธระหว่างทีมรักษาความปลอดภัยของเขากับเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่จับกุมตัว . เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลปฏิเสธอัยการถึง 2 รอบในคำร้องขอขยายเวลาควบคุมตัวเขาระหว่างการสืบสวนเพิ่มเติม แต่ด้วยคำสั่งฟ้อง อัยการจึงร้องขออีกครั้งให้คุมขังเขาต่อไป ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น . การก่อกบฏเป็นหนึ่งในข้อกล่าวหาทางอาญาไม่กี่ข้อกล่าวหา ที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้รายหนึ่งๆ ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง และมันมีบทลงโทษหนักจำคุกตลอดชีวิตหรือถึงขั้นประหาร แม้เกาหลีใต้ไม่ได้ประหารชีวิตใครมานานหลายทศวรรษแล้วก็ตาม . "อัยการตัดสินใจสั่งฟ้องยุน ซ็อกยอล ผู้ซึ่งเผชิญข้อกล่าวหาเป็นหัวหน้าแก๊งก่อกบฏ" ฮัน มิน-ซู โฆษกพรรคเดโมแครต ปาร์ตี กล่าวระหว่างแถลงข่าว "เวลานี้การลงโทษหัวหน้าแก๊งก่อกบฏเริ่มต้นขึ้นได้เสียที" . ยุนและทนายความของเขา โต้แย้ง ณ ศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างการพิจารณาการถอดถอน ว่าเขาไม่เคยมีความตั้งใจบังคับใช้อัยการศึกเต็มรูปแบบ แต่มีเจตนาใช้เป็นแค่มาตรการเตือนเพื่อทลายทางตันทางการเมืองเท่านั้น . ในความเคลื่อนไหวคู่ขนานกับกระบวนการทางอาญา ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ตัดสินรับรองการถอดถอนยุนพ้นจากตำแหน่ง หรือคืนอำนาจประธานาธิบดีแก่เขา โดยศาลมีเวลา 180 วัน สำหรับการตัดสินใจในเรื่องดังกล่าว . รัฐสภาที่นำโดยฝ่ายค้านของเกาหลีใต้ ลงมติถอดถอน ยุน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ส่งผลให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีสายอนุรักษนิยมรายที่ 2 ของประเทศ ที่ถูกถอดถอนพ้นจากตำแหน่ง . ยุน ถอนประกาศอัยการศึกหลังจากบังคับใช้ไปราวๆ 6 ชั่วโมง หลังบรรดาสมาชิกรัฐสภา ที่เผชิญหน้ากับทหารในรัฐสภา ลงมติคว่ำประกาศดังกล่าว . ระหว่างการเผชิญหน้าอันน่าตกอกตกใจ ทหารพร้อมปืนไรเฟิล เสื้อกันกระสุนและยุทโธปกรณ์สำหรับปฏิบัติการตอนกลางคืน กำลังทุบบานกระจก ในความพยายามเข้าไปยังอาคารรัฐสภา . ทั้งนี้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับรองการถอดถอน ยุน พ้นจากตำแหน่ง ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีจะถูกจัดขึ้นภายใน 60 วัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008311 .............. Sondhi X
    Like
    Wow
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1057 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทหารหญิงอิสราเอลทั้งสี่รายที่ได้รับการปล่อยตัวจากกลุ่มฮามาสในวันนี้ซึ่งประกอบไปด้วย :
    - Karina Araiv
    - Daniella Gilboa
    - Naama Levy
    - Liri Albag

    พวกเธอพูดเป็นภาษาอาหรับเพื่อขอบคุณกลุ่มฮามาสที่ปกป้องพวกเธอจากการโจมตีของอิสราเอล และยังบอกอีกว่าพวกเธอได้รับการปฏิบัติอย่างดี มีอาหาร น้ำ และเสื้อผ้าให้ด้วย

    “ขอสันติภาพจงมีแด่คุณ สวัสดี ขอบคุณกองพลกัสซัมที่ปฏิบัติต่อเราอย่างดี”

    “ขอบคุณสำหรับอาหาร น้ำ และเสื้อผ้า”

    “ขอบคุณสำหรับผู้ชายที่ปกป้องและดูแลเราในระหว่างการโจมตี”

    “ฉันหวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีสำหรับคุณ และเป็นวันที่ดีที่สุด”
    ทหารหญิงอิสราเอลทั้งสี่รายที่ได้รับการปล่อยตัวจากกลุ่มฮามาสในวันนี้ซึ่งประกอบไปด้วย : - Karina Araiv - Daniella Gilboa - Naama Levy - Liri Albag พวกเธอพูดเป็นภาษาอาหรับเพื่อขอบคุณกลุ่มฮามาสที่ปกป้องพวกเธอจากการโจมตีของอิสราเอล และยังบอกอีกว่าพวกเธอได้รับการปฏิบัติอย่างดี มีอาหาร น้ำ และเสื้อผ้าให้ด้วย “ขอสันติภาพจงมีแด่คุณ สวัสดี ขอบคุณกองพลกัสซัมที่ปฏิบัติต่อเราอย่างดี” “ขอบคุณสำหรับอาหาร น้ำ และเสื้อผ้า” “ขอบคุณสำหรับผู้ชายที่ปกป้องและดูแลเราในระหว่างการโจมตี” “ฉันหวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีสำหรับคุณ และเป็นวันที่ดีที่สุด”
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 37 0 รีวิว
  • 2/
    มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์ มอบหมายให้ "สตีฟ วิทคอฟฟ์" (Steve Witkoff) ผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของเขา เข้าทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อเจรจาด้านการทูตกับอิหร่าน "เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากต่ออิสราเอล!"

    ตำแหน่งผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของ สตีฟ วิทคอฟฟ์ นับว่าสำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นผู้กำหนดและดำเนินการตามนโยบายของทรัมป์ในภูมิภาคนี้

    คาดว่าทรัมป์จะมอบความรับผิดชอบให้กับสตีฟ วิทคอฟฟ์ในการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน

    เป็นที่ทราบกันดีว่าวิทคอฟฟ์ เน้นเรื่องการเจรจาทางการทูต มากกว่าการใช้กำลังทางทหาร นี่จึงเป็นสาเหตุที่อิสราเอลไม่พอใจ เพราะหากไม่มีความขัดแย้ง เป้าหมายของแอสราเอลจะไม่มีทางบรรลุผล

    ที่ผ่านมาวิทคอฟฟ์เป็นตัวแทนของทรัมป์เข้าทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจาจาข้อตกลงหยุดยิงในกาซา รวมทั้งติดตามผลของข้อตกลงหยุดยิงนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้อิสราเอลทำตามอย่างแข็งขันอีกด้วย

    เขาเป็นคนเดียวที่คัดค้านนโยบายการแทรกแซงอิหร่านเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

    (วิดีโอ1) สตีฟ วิทคอฟฟ์ เคยพูดถึงหลักการ 4 ประการเพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลของทรัมป์ปฏิบัติต่อตะวันออกกลาง:
    1. เคารพในอำนาจอธิปไตย
    2. ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นสะพานเชื่อมสู่เสถียรภาพ
    3. เน้นดำเนินโยบายทางด้านการทูต
    4. “การตอบสนองและความรับผิดชอบ” สหรัฐอเมริกาต้องการเห็นการตอบสนองจากพันธมิตร หลังจากแสวงหาผลประโยชน์จากสหรัฐมาอย่างยาวนาน ยุคของเช็คเปล่าสิ้นสุดลงแล้ว ความร่วมมือต้องยุติธรรม และการสนับสนุนต้องสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันต่อเป้าหมายของทุกฝ่าย

    หลายฝ่ายเชื่อว่า สิ่งที่วิทคอฟฟ์พูดนี้ เป็นการส่งข้อความถึงอิสราเอล

    (วิดีโอ2) ล่าสุด สตีฟ วิทคอฟฟ์ เพิ่งให้สัมภาษณกับ Fox News เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของเขาที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระยะที่สองในกาซา และเปิดกว้างในการบรรลุ "ความเข้าใจในทุกเรื่อง" กับกลุ่มฮามาส (แน่นอนว่าเพิ่มความไม่พอใจให้กับอิสราเอล)
    บางส่วนในการสัมภาษณ์:
    🔸 “เราต้องแน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงดำเนินการไปด้วยดี เพราะมันจะทำให้เราจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งมันจะช่วยรักษาชีวิตผู้คนอีกมาก
    🔸 “ผมกำลังจะไปอิสราเอล เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมตรวจสอบทางเดินเน็ตซาริม (Netzarim corridor) และที่ทางเดินฟิลาเดลเฟีย (Philadelphi corridor) ด้วย”
    🔸 มูซา อาบู มาร์ซุก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาส กล่าวกับนิวยอร์กไทมส์เมื่อไม่นานนี้ว่า กลุ่มฮามาสพร้อมที่จะเจรจากับรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ หากเรื่องนี้เป็นความจริง ถือเป็นเรื่อง “ดี”
    🔸 วิตคอฟฟ์เชื่อว่าทุกประเทศในภูมิภาคนี้สามารถตกลงเจรจาพูดคุยกันได้
    2/ มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์ มอบหมายให้ "สตีฟ วิทคอฟฟ์" (Steve Witkoff) ผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของเขา เข้าทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อเจรจาด้านการทูตกับอิหร่าน "เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากต่ออิสราเอล!" ตำแหน่งผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของ สตีฟ วิทคอฟฟ์ นับว่าสำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นผู้กำหนดและดำเนินการตามนโยบายของทรัมป์ในภูมิภาคนี้ คาดว่าทรัมป์จะมอบความรับผิดชอบให้กับสตีฟ วิทคอฟฟ์ในการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน เป็นที่ทราบกันดีว่าวิทคอฟฟ์ เน้นเรื่องการเจรจาทางการทูต มากกว่าการใช้กำลังทางทหาร นี่จึงเป็นสาเหตุที่อิสราเอลไม่พอใจ เพราะหากไม่มีความขัดแย้ง เป้าหมายของแอสราเอลจะไม่มีทางบรรลุผล ที่ผ่านมาวิทคอฟฟ์เป็นตัวแทนของทรัมป์เข้าทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจาจาข้อตกลงหยุดยิงในกาซา รวมทั้งติดตามผลของข้อตกลงหยุดยิงนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้อิสราเอลทำตามอย่างแข็งขันอีกด้วย เขาเป็นคนเดียวที่คัดค้านนโยบายการแทรกแซงอิหร่านเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (วิดีโอ1) สตีฟ วิทคอฟฟ์ เคยพูดถึงหลักการ 4 ประการเพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลของทรัมป์ปฏิบัติต่อตะวันออกกลาง: 1. เคารพในอำนาจอธิปไตย 2. ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นสะพานเชื่อมสู่เสถียรภาพ 3. เน้นดำเนินโยบายทางด้านการทูต 4. “การตอบสนองและความรับผิดชอบ” สหรัฐอเมริกาต้องการเห็นการตอบสนองจากพันธมิตร หลังจากแสวงหาผลประโยชน์จากสหรัฐมาอย่างยาวนาน ยุคของเช็คเปล่าสิ้นสุดลงแล้ว ความร่วมมือต้องยุติธรรม และการสนับสนุนต้องสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันต่อเป้าหมายของทุกฝ่าย หลายฝ่ายเชื่อว่า สิ่งที่วิทคอฟฟ์พูดนี้ เป็นการส่งข้อความถึงอิสราเอล (วิดีโอ2) ล่าสุด สตีฟ วิทคอฟฟ์ เพิ่งให้สัมภาษณกับ Fox News เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของเขาที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระยะที่สองในกาซา และเปิดกว้างในการบรรลุ "ความเข้าใจในทุกเรื่อง" กับกลุ่มฮามาส (แน่นอนว่าเพิ่มความไม่พอใจให้กับอิสราเอล) บางส่วนในการสัมภาษณ์: 🔸 “เราต้องแน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงดำเนินการไปด้วยดี เพราะมันจะทำให้เราจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งมันจะช่วยรักษาชีวิตผู้คนอีกมาก 🔸 “ผมกำลังจะไปอิสราเอล เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมตรวจสอบทางเดินเน็ตซาริม (Netzarim corridor) และที่ทางเดินฟิลาเดลเฟีย (Philadelphi corridor) ด้วย” 🔸 มูซา อาบู มาร์ซุก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาส กล่าวกับนิวยอร์กไทมส์เมื่อไม่นานนี้ว่า กลุ่มฮามาสพร้อมที่จะเจรจากับรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ หากเรื่องนี้เป็นความจริง ถือเป็นเรื่อง “ดี” 🔸 วิตคอฟฟ์เชื่อว่าทุกประเทศในภูมิภาคนี้สามารถตกลงเจรจาพูดคุยกันได้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 374 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • 1/
    มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์ มอบหมายให้ "สตีฟ วิทคอฟฟ์" (Steve Witkoff) ผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของเขา เข้าทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อเจรจาด้านการทูตกับอิหร่าน "เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากต่ออิสราเอล!"

    ตำแหน่งผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของ สตีฟ วิทคอฟฟ์ นับว่าสำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นผู้กำหนดและดำเนินการตามนโยบายของทรัมป์ในภูมิภาคนี้

    คาดว่าทรัมป์จะมอบความรับผิดชอบให้กับสตีฟ วิทคอฟฟ์ในการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน

    เป็นที่ทราบกันดีว่าวิทคอฟฟ์ เน้นเรื่องการเจรจาทางการทูต มากกว่าการใช้กำลังทางทหาร นี่จึงเป็นสาเหตุที่อิสราเอลไม่พอใจ เพราะหากไม่มีความขัดแย้ง เป้าหมายของแอสราเอลจะไม่มีทางบรรลุผล

    ที่ผ่านมาวิทคอฟฟ์เป็นตัวแทนของทรัมป์เข้าทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจาจาข้อตกลงหยุดยิงในกาซา รวมทั้งติดตามผลของข้อตกลงหยุดยิงนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้อิสราเอลทำตามอย่างแข็งขันอีกด้วย

    เขาเป็นคนเดียวที่คัดค้านนโยบายการแทรกแซงอิหร่านเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

    (วิดีโอ1) สตีฟ วิทคอฟฟ์ เคยพูดถึงหลักการ 4 ประการเพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลของทรัมป์ปฏิบัติต่อตะวันออกกลาง:
    1. เคารพในอำนาจอธิปไตย
    2. ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นสะพานเชื่อมสู่เสถียรภาพ
    3. เน้นดำเนินโยบายทางด้านการทูต
    4. “การตอบสนองและความรับผิดชอบ” สหรัฐอเมริกาต้องการเห็นการตอบสนองจากพันธมิตร หลังจากแสวงหาผลประโยชน์จากสหรัฐมาอย่างยาวนาน ยุคของเช็คเปล่าสิ้นสุดลงแล้ว ความร่วมมือต้องยุติธรรม และการสนับสนุนต้องสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันต่อเป้าหมายของทุกฝ่าย

    หลายฝ่ายเชื่อว่า สิ่งที่วิทคอฟฟ์พูดนี้ เป็นการส่งข้อความถึงอิสราเอล

    (วิดีโอ2) ล่าสุด สตีฟ วิทคอฟฟ์ เพิ่งให้สัมภาษณกับ Fox News เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของเขาที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระยะที่สองในกาซา และเปิดกว้างในการบรรลุ "ความเข้าใจในทุกเรื่อง" กับกลุ่มฮามาส (แน่นอนว่าเพิ่มความไม่พอใจให้กับอิสราเอล)
    บางส่วนในการสัมภาษณ์:
    🔸 “เราต้องแน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงดำเนินการไปด้วยดี เพราะมันจะทำให้เราจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งมันจะช่วยรักษาชีวิตผู้คนอีกมาก
    🔸 “ผมกำลังจะไปอิสราเอล เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมตรวจสอบทางเดินเน็ตซาริม (Netzarim corridor) และที่ทางเดินฟิลาเดลเฟีย (Philadelphi corridor) ด้วย”
    🔸 มูซา อาบู มาร์ซุก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาส กล่าวกับนิวยอร์กไทมส์เมื่อไม่นานนี้ว่า กลุ่มฮามาสพร้อมที่จะเจรจากับรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ หากเรื่องนี้เป็นความจริง ถือเป็นเรื่อง “ดี”
    🔸 วิตคอฟฟ์เชื่อว่าทุกประเทศในภูมิภาคนี้สามารถตกลงเจรจาพูดคุยกันได้
    1/ มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์ มอบหมายให้ "สตีฟ วิทคอฟฟ์" (Steve Witkoff) ผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของเขา เข้าทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อเจรจาด้านการทูตกับอิหร่าน "เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากต่ออิสราเอล!" ตำแหน่งผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของ สตีฟ วิทคอฟฟ์ นับว่าสำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นผู้กำหนดและดำเนินการตามนโยบายของทรัมป์ในภูมิภาคนี้ คาดว่าทรัมป์จะมอบความรับผิดชอบให้กับสตีฟ วิทคอฟฟ์ในการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน เป็นที่ทราบกันดีว่าวิทคอฟฟ์ เน้นเรื่องการเจรจาทางการทูต มากกว่าการใช้กำลังทางทหาร นี่จึงเป็นสาเหตุที่อิสราเอลไม่พอใจ เพราะหากไม่มีความขัดแย้ง เป้าหมายของแอสราเอลจะไม่มีทางบรรลุผล ที่ผ่านมาวิทคอฟฟ์เป็นตัวแทนของทรัมป์เข้าทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจาจาข้อตกลงหยุดยิงในกาซา รวมทั้งติดตามผลของข้อตกลงหยุดยิงนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้อิสราเอลทำตามอย่างแข็งขันอีกด้วย เขาเป็นคนเดียวที่คัดค้านนโยบายการแทรกแซงอิหร่านเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (วิดีโอ1) สตีฟ วิทคอฟฟ์ เคยพูดถึงหลักการ 4 ประการเพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลของทรัมป์ปฏิบัติต่อตะวันออกกลาง: 1. เคารพในอำนาจอธิปไตย 2. ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นสะพานเชื่อมสู่เสถียรภาพ 3. เน้นดำเนินโยบายทางด้านการทูต 4. “การตอบสนองและความรับผิดชอบ” สหรัฐอเมริกาต้องการเห็นการตอบสนองจากพันธมิตร หลังจากแสวงหาผลประโยชน์จากสหรัฐมาอย่างยาวนาน ยุคของเช็คเปล่าสิ้นสุดลงแล้ว ความร่วมมือต้องยุติธรรม และการสนับสนุนต้องสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันต่อเป้าหมายของทุกฝ่าย หลายฝ่ายเชื่อว่า สิ่งที่วิทคอฟฟ์พูดนี้ เป็นการส่งข้อความถึงอิสราเอล (วิดีโอ2) ล่าสุด สตีฟ วิทคอฟฟ์ เพิ่งให้สัมภาษณกับ Fox News เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของเขาที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระยะที่สองในกาซา และเปิดกว้างในการบรรลุ "ความเข้าใจในทุกเรื่อง" กับกลุ่มฮามาส (แน่นอนว่าเพิ่มความไม่พอใจให้กับอิสราเอล) บางส่วนในการสัมภาษณ์: 🔸 “เราต้องแน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงดำเนินการไปด้วยดี เพราะมันจะทำให้เราจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งมันจะช่วยรักษาชีวิตผู้คนอีกมาก 🔸 “ผมกำลังจะไปอิสราเอล เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมตรวจสอบทางเดินเน็ตซาริม (Netzarim corridor) และที่ทางเดินฟิลาเดลเฟีย (Philadelphi corridor) ด้วย” 🔸 มูซา อาบู มาร์ซุก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาส กล่าวกับนิวยอร์กไทมส์เมื่อไม่นานนี้ว่า กลุ่มฮามาสพร้อมที่จะเจรจากับรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ หากเรื่องนี้เป็นความจริง ถือเป็นเรื่อง “ดี” 🔸 วิตคอฟฟ์เชื่อว่าทุกประเทศในภูมิภาคนี้สามารถตกลงเจรจาพูดคุยกันได้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 356 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซินแสทำพิธีรับผิดชอบส่งวิญญาณ
    นายหน้ารับผิดชอบส่งคนเป็น
    โปสเตอร์และตัวอย่างล่าสุด "The Last Dance"
    เข้าฉาย 6 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์

    #หนังฮ่องกงเข้าไทย #หนังจีนเข้าไทย
    **นี่คือหนังที่ถูกคาดหวังจากนักดูหนังในฮ่องกงมากที่สุดในปี 2024**
    **โปสเตอร์อยู่ในคอมเมนท์**

    เผยมาให้ได้ชมกันแล้วกับโปสเตอร์และตัวอย่างจากภาพยนตร์
    The Last Dance - เดอะ ลาสต์ แดนซ์
    ภาพยนตร์เอเชียอันดับ 1 ตลอดกาลในฮ่องกง
    จากผลงานกำกับของ ฉั่น เหม่า เหยี่ยน, อันเซล์ม
    นำแสดงโดย ดาโย หว่อง และ ไมเคิล ฮุย
    สมทบด้วย มิเชล ไหว่, แคทเธอรีน เชา ทอมมี จู และ ฉินเพ่ย

    เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากวิกฤติโรคระบาด Covid - 19 แม้ว่าวิกฤติโรคระบาดส่งผลให้ธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในภาวะถดถอย แต่นักจัดงานแต่งงานผู้มีหนี้สินท่วมหัว โต่วซัง (ดาโย หว่อง) กลับได้รับโอกาสพลิกสถานการณ์อย่างไม่คาดฝันเมื่อนักจัดงานศพเกษียณงานและส่งไม้ต่อให้เขา ลูกเล่นสร้างสรรค์ที่เขานำมาใช้ในงานศพช่วยให้ธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จเกินคาดหมาย แต่อุปสรรคใหญ่ที่สุดของโดมินิกคือการได้รับการยอมรับจากพระลัทธิเต๋าผู้เป็นที่เคารพและยึดมั่นในธรรมเนียมอย่าง ซินแสหมั่น (ไมเคิล ฮุย)

    The Last Dance - เดอะ ลาสต์ แดนซ์
    เข้าฉาย 6 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์
    #TheLastDance #เดอะลาสต์แดนซ์
    ซินแสทำพิธีรับผิดชอบส่งวิญญาณ นายหน้ารับผิดชอบส่งคนเป็น โปสเตอร์และตัวอย่างล่าสุด "The Last Dance" เข้าฉาย 6 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์ #หนังฮ่องกงเข้าไทย #หนังจีนเข้าไทย **นี่คือหนังที่ถูกคาดหวังจากนักดูหนังในฮ่องกงมากที่สุดในปี 2024** **โปสเตอร์อยู่ในคอมเมนท์** เผยมาให้ได้ชมกันแล้วกับโปสเตอร์และตัวอย่างจากภาพยนตร์ The Last Dance - เดอะ ลาสต์ แดนซ์ ภาพยนตร์เอเชียอันดับ 1 ตลอดกาลในฮ่องกง จากผลงานกำกับของ ฉั่น เหม่า เหยี่ยน, อันเซล์ม นำแสดงโดย ดาโย หว่อง และ ไมเคิล ฮุย สมทบด้วย มิเชล ไหว่, แคทเธอรีน เชา ทอมมี จู และ ฉินเพ่ย เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากวิกฤติโรคระบาด Covid - 19 แม้ว่าวิกฤติโรคระบาดส่งผลให้ธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในภาวะถดถอย แต่นักจัดงานแต่งงานผู้มีหนี้สินท่วมหัว โต่วซัง (ดาโย หว่อง) กลับได้รับโอกาสพลิกสถานการณ์อย่างไม่คาดฝันเมื่อนักจัดงานศพเกษียณงานและส่งไม้ต่อให้เขา ลูกเล่นสร้างสรรค์ที่เขานำมาใช้ในงานศพช่วยให้ธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จเกินคาดหมาย แต่อุปสรรคใหญ่ที่สุดของโดมินิกคือการได้รับการยอมรับจากพระลัทธิเต๋าผู้เป็นที่เคารพและยึดมั่นในธรรมเนียมอย่าง ซินแสหมั่น (ไมเคิล ฮุย) The Last Dance - เดอะ ลาสต์ แดนซ์ เข้าฉาย 6 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์ #TheLastDance #เดอะลาสต์แดนซ์
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 404 มุมมอง 11 0 รีวิว
  • ทันทีที่เปิดเผยทรัพย์สินนายกว่าว ธนาคารเจ้าหนี้เตรียมทวงเงินอีกรอบ หลังไอ้ว่าวค้างจ่ายหนี้บัตร หนี้สินเชื่อธุรกิจของบริษัทน้ำมันพืช ด้านคู่ค้าที่ได้รับความเสียหายจากบริษัทน้ำมันพืชมันล้มละลายยังข้องใจ ทำไมไม่รับผิดชอบหนี้ สะเออะจะอาสานำพาประเทศ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    ทันทีที่เปิดเผยทรัพย์สินนายกว่าว ธนาคารเจ้าหนี้เตรียมทวงเงินอีกรอบ หลังไอ้ว่าวค้างจ่ายหนี้บัตร หนี้สินเชื่อธุรกิจของบริษัทน้ำมันพืช ด้านคู่ค้าที่ได้รับความเสียหายจากบริษัทน้ำมันพืชมันล้มละลายยังข้องใจ ทำไมไม่รับผิดชอบหนี้ สะเออะจะอาสานำพาประเทศ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชักว่าว ผู้สมัครผู้แว๊ฯ อวดว่า ศึกเสียว
    มา 2 ปี แก้ง่ายๆด้วยวิธีนี้สิ 1 2 3 4
    มีภาพปลากรอบเป็นฉากๆ เป็นไงหล่ะ
    คนกรุงโลกสวยทั้งหลาย เจอมนุษย์สร้างภาพ
    เก่งออกอีเวนท์เก่ง แต่ทำงานไม่เป็น
    ปัญหาหลายอย่างเมินเฉย หลายอย่าง
    หนักกว่าเดิม
    #ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องอาสามาเป็นผู้ว่า ยังก้อง
    ชักว่าว ผู้สมัครผู้แว๊ฯ อวดว่า ศึกเสียว มา 2 ปี แก้ง่ายๆด้วยวิธีนี้สิ 1 2 3 4 มีภาพปลากรอบเป็นฉากๆ เป็นไงหล่ะ คนกรุงโลกสวยทั้งหลาย เจอมนุษย์สร้างภาพ เก่งออกอีเวนท์เก่ง แต่ทำงานไม่เป็น ปัญหาหลายอย่างเมินเฉย หลายอย่าง หนักกว่าเดิม #ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องอาสามาเป็นผู้ว่า ยังก้อง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Element Six (E6) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ De Beers Group ได้เปิดตัววัสดุคอมโพสิตที่ทำจากทองแดงและเพชร เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนของฮีตซิงค์ วัสดุใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในงานที่ต้องการการจัดการความร้อนสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง (HPC), และอุปกรณ์ GaN RF ที่ผลิตความร้อนมาก

    เพชรเป็นฉนวนไฟฟ้า แต่มีความสามารถในการนำความร้อนสูงกว่าทองแดงมาก ทำให้เหมาะสำหรับการใช้เป็นฮีตซิงค์ที่สามารถถ่ายเทพลังงานความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวัสดุแบบดั้งเดิม เนื่องจากเพชรมีราคาสูง การวิจัยที่ใช้วัสดุนี้จึงมักจำกัดอยู่ในงานอุตสาหกรรมและงานที่มีมูลค่าสูง

    E6 มีความสามารถในการหาเพชรที่ต้องการสำหรับการสร้างวัสดุคอมโพสิตนี้ เนื่องจากเป็นบริษัทในเครือของ De Beers ที่เคยมีการผูกขาดการจัดหาทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีบริษัทสตาร์ทอัพชื่อ Akash Systems ที่กำลังพิจารณาใช้วัสดุเพชรในการระบายความร้อนของ GPU แต่ยังต้องการเงินทุนจำนวน 18.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก CHIPS and Science Act เพื่อดำเนินการต่อ

    หากวัสดุคอมโพสิตทองแดง-เพชรนี้เข้าสู่ตลาด มันอาจถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ที่ใช้พลังงานมากในการระบายความร้อนของ GPU และโปรเซสเซอร์ วัสดุนี้อาจช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งกำลังเป็นภาระต่อโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ นอกจากนี้ หากการผลิตในปริมาณมากทำให้ราคาลดลง วัสดุนี้อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กแต่มีประสิทธิภาพสูง

    น่าสนใจที่เห็นว่าเทคโนโลยีการระบายความร้อนกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และวัสดุคอมโพสิตทองแดง-เพชรนี้อาจเป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/heatsinks/company-develops-copper-diamond-composite-for-better-heatsink-cooling-lower-cpu-and-gpu-temps
    บริษัท Element Six (E6) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ De Beers Group ได้เปิดตัววัสดุคอมโพสิตที่ทำจากทองแดงและเพชร เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนของฮีตซิงค์ วัสดุใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในงานที่ต้องการการจัดการความร้อนสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง (HPC), และอุปกรณ์ GaN RF ที่ผลิตความร้อนมาก เพชรเป็นฉนวนไฟฟ้า แต่มีความสามารถในการนำความร้อนสูงกว่าทองแดงมาก ทำให้เหมาะสำหรับการใช้เป็นฮีตซิงค์ที่สามารถถ่ายเทพลังงานความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวัสดุแบบดั้งเดิม เนื่องจากเพชรมีราคาสูง การวิจัยที่ใช้วัสดุนี้จึงมักจำกัดอยู่ในงานอุตสาหกรรมและงานที่มีมูลค่าสูง E6 มีความสามารถในการหาเพชรที่ต้องการสำหรับการสร้างวัสดุคอมโพสิตนี้ เนื่องจากเป็นบริษัทในเครือของ De Beers ที่เคยมีการผูกขาดการจัดหาทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีบริษัทสตาร์ทอัพชื่อ Akash Systems ที่กำลังพิจารณาใช้วัสดุเพชรในการระบายความร้อนของ GPU แต่ยังต้องการเงินทุนจำนวน 18.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก CHIPS and Science Act เพื่อดำเนินการต่อ หากวัสดุคอมโพสิตทองแดง-เพชรนี้เข้าสู่ตลาด มันอาจถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ที่ใช้พลังงานมากในการระบายความร้อนของ GPU และโปรเซสเซอร์ วัสดุนี้อาจช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งกำลังเป็นภาระต่อโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ นอกจากนี้ หากการผลิตในปริมาณมากทำให้ราคาลดลง วัสดุนี้อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กแต่มีประสิทธิภาพสูง น่าสนใจที่เห็นว่าเทคโนโลยีการระบายความร้อนกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และวัสดุคอมโพสิตทองแดง-เพชรนี้อาจเป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต https://www.tomshardware.com/pc-components/heatsinks/company-develops-copper-diamond-composite-for-better-heatsink-cooling-lower-cpu-and-gpu-temps
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาหารพกพายามเดินทางไกล

    สัปดาห์ที่แล้วคุยเรื่องเสบียงอาหารของกองทัพ ก็เลยมีความสงสัยว่า แล้วประชาชนธรรมดาเวลาเดินทางไกลกินอะไรกัน? วันนี้เรามาคุยกันสั้นๆ เรื่องนี้ค่ะ

    ในสมัยนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่มีรถม้าและพักแรมกินอาหารตามโรงเตี๊ยมได้ ระยะทางก็ยาวไกล ไม่สะดวกแบกสัมภาระมาก ภาพที่เราเห็นบ่อยในซีรีส์คือสะพายห่อผ้าเดินเท้ากัน และอาหารที่พกก็คือเปี๊ยะหรือแผ่นแป้งปิ้งที่คุยกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid021ovimRULhAa1TBPph1nXsGVcPHbNM5ABmNwrzEahckFTPhq1zhUQ4n1aNAjDVuGNl)

    จริงๆ แล้วการทำเปี๊ยะปิ้งไม่ใช่งานง่ายนัก กว่าจะนวดแป้ง (ไม่นับชาวบ้านชนบทที่อาจต้องโม่แป้งเอง) ไหนจะต้องคอยดูไฟไม่ให้แรงเกินไป คอยพลิกแผ่นเปี๊ยะไปมา ทั้งหมดต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง อีกทั้งข้าวสาลียังแพงกว่าข้าวฟ่าง ไม่ว่าจะทำเปี๊ยะเองหรือหาซื้อ ล้วนสิ้นเปลืองทุนทรัพย์ ดังนั้น หากมีทางเลือกที่ง่ายกว่าประหยัดกว่า ย่อมเป็นที่นิยมของชาวบ้าน

    อีกทางเลือกที่ว่านี้คือ ‘ฉิ่ว’ (糗) เป็นอาหารแห้งสมัยโบราณ คิดค้นกันขึ้นเมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่มีการกล่าวถึงในบันทึกพิธีการราชวงศ์โจว หรือ บันทึกโจวหลี่ว่า ‘ฉิวเอ่อร์เฝิ่นฉือ’(糗饵粉飺) คือก้อนข้าวและแผ่นแป้ง แต่จริงๆ แผ่นแป้งที่ว่านี้ไม่ใช่เปี๊ยะ ส่วนผสมมันเหมือนกันกับฉิ่ว เพียงแต่ฉิ่วหมายถึงปั้นเป็นก้อน ในขณะที่ฉือคือบี้ให้แบนเป็นแผ่น

    แล้วมันคืออะไร?

    มันคือการเอาข้าวที่นึ่งสุกแล้วมาใส่น้ำเล็กน้อยแล้วบีบหรือทุบให้เละเพื่อจะได้จับตัวกัน เสร็จแล้วปั้นเป็นก้อน (คือฉิ่ว) หรือบี้แบนเป็นแผ่น (คือฉือ) แล้วนำไปตากแห้ง แห้งแล้วก็จะหน้าตาคล้ายข้าวตังบ้านเรา ปัจจุบันของจีนเขาก็มีขนมหน้าตาคล้ายกันเรียกว่า ‘กัวปา’ (锅巴) (ดูรูปประกอบ) ซึ่งข้าวที่ว่านี้ในสมัยโบราณก่อนยุคหมิงคือข้าวฟ่างเป็นหลัก

    หน้าตาคล้าย แต่รสชาติไม่กรอบร่วนเหมือนข้าวเกรียบกัวปาปัจจุบัน เนื้อของฉิ่วก็จะแน่นๆ แข็งๆ แน่นอนว่ามันเป็นอาหารกินกันตาย ไม่ใช่กินเพื่อความจรรโลงใจ ชาวบ้านยามเดินทางไกลก็ห่อฉิ่วในผ้าบางหรือตะกร้าเล็กซุกไว้ในห่อผ้า เก็บได้นานถึงเกือบครึ่งเดือน เวลาจะกินก็คล้ายกับการกินเปี๊ยะกัวคุยที่กล่าวถึงไปในสัปดาห์ที่แล้ว กล่าวคือจิ้มน้ำจิ้มให้ชุ่มและนุ่มลงแล้วค่อยกิน บางคนก็มีผักดองหรือเนื้อหมักแห้งพกมากินแกล้มด้วย หรือหากมีโอกาสได้น้ำร้อนน้ำแกงก็เอาฉิ่วจุ้ม/แช่ให้นุ่มแล้วกินก็ได้เช่นกัน นึกภาพว่าข้าวชามหนึ่งสามารถอัดเป็นก้อนได้ขนาดเล็ก ดังนั้นเห็นก้อนเล็กๆ ก็อิ่มไม่น้อย พกจากบ้านไปก็ประหยัดทรัพย์ไปได้หลายวัน

    น้ำจิ้มที่ใช้ก็พวกถั่วหมักเค็มหรือเต้าเจี้ยว ใส่เครื่องปรุงอย่างอื่นบ้าง ใส่ขิงซอยขิงสับบ้าง แต่น้ำจิ้มเป็นน้ำ เขาพกพากันอย่างไร? ง่ายๆ คือเอาไปตากแดดจนน้ำระเหย จาก ‘น้ำ’ จิ้มก็กลายเป็น ‘เปียก’ จิ้ม... คือข้นๆ เหนียวๆ เสร็จแล้วก็ห่อในกระดาษน้ำมัน พกพาได้ง่าย เวลาจะกินก็แบ่งออกมาเติมน้ำผสมให้เหลวหน่อย

    น้ำจิ้มมันเค็มจึงมักมีการตัดเค็มด้วยน้ำส้มสายชู แต่วิธีการพกน้ำส้มสายชูเป็นอะไรที่ Storyฯ ยอมรับว่าเหนือความคาดหมายของข้าพเจ้าเอง สมัยนั้นมีไหมีขวดให้ใช้บรรจุน้ำส้มสายชูได้แต่ก็ไม่สามารถพกติดตัวได้ในปริมาณมาก อีกทั้งยังส่งกลิ่นแรง (มันซึมผ่านผ้าที่จุกฝา) ดังนั้นวิธีพกคือใช้ผ้าสะอาดตัดเป็นแถบแล้วแช่ในน้ำส้มสายชู จากนั้นนำมาตากแห้ง พกเป็นผ้าไป เวลาจะกินก็ตัดผ้าชิ้นเล็กออกมาแช่ในน้ำก็จะได้รสชาติของน้ำส้มสายชูแล้ว

    และไม่ว่าจะเป็นฉิ่ว หรือน้ำจิ้ม หรือวิธีพกน้ำส้มสายชูที่กล่าวถึงข้างต้น ไม่เพียงใช้โดยชาวบ้านธรรมดา แต่ในกองทัพก็ใช้เช่นกัน Storyฯ หาไม่พบข้อมูลว่าฉิ่วหายไปจากวิถีชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ สันนิษฐานเอาเองว่าหายไปเมื่อสารพัดชนิดของเปี๊ยะมีมากขึ้นและราคาถูกลง

    เชื่อว่าวิธีเตรียมและพกพาอาหารแห้งเหล่านี้ ของไทยเราก็น่าจะมีอะไรคล้ายคลึงที่สืบทอดเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านมาเช่นกัน แต่ Storyฯ ไม่รู้จักมากนัก ใครมีเรื่องเล่าที่ฟังมาจากผู้ใหญ่หรือคนรุ่นก่อน นำมาเล่าแบ่งปันกันด้วยนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://www.sohu.com/a/690825754_121115947
    https://www.sohu.com/a/712914583_121338666
    https://m.fx361.com/news/2022/0630/10495172.html
    https://www.sohu.com/a/443453413_120946747
    https://www.sohu.com/a/476806140_120018480
    https://cidian.qianp.com/ci/%E7%B3%97%E9%A5%B5
    https://www.zhihu.com/question/558888787/answer/2718324984
    https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/

    #สยบรักจอมเสเพล #กัวปา #ฉิ่ว #เสบียงแห้งโบราณ
    อาหารพกพายามเดินทางไกล สัปดาห์ที่แล้วคุยเรื่องเสบียงอาหารของกองทัพ ก็เลยมีความสงสัยว่า แล้วประชาชนธรรมดาเวลาเดินทางไกลกินอะไรกัน? วันนี้เรามาคุยกันสั้นๆ เรื่องนี้ค่ะ ในสมัยนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่มีรถม้าและพักแรมกินอาหารตามโรงเตี๊ยมได้ ระยะทางก็ยาวไกล ไม่สะดวกแบกสัมภาระมาก ภาพที่เราเห็นบ่อยในซีรีส์คือสะพายห่อผ้าเดินเท้ากัน และอาหารที่พกก็คือเปี๊ยะหรือแผ่นแป้งปิ้งที่คุยกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid021ovimRULhAa1TBPph1nXsGVcPHbNM5ABmNwrzEahckFTPhq1zhUQ4n1aNAjDVuGNl) จริงๆ แล้วการทำเปี๊ยะปิ้งไม่ใช่งานง่ายนัก กว่าจะนวดแป้ง (ไม่นับชาวบ้านชนบทที่อาจต้องโม่แป้งเอง) ไหนจะต้องคอยดูไฟไม่ให้แรงเกินไป คอยพลิกแผ่นเปี๊ยะไปมา ทั้งหมดต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง อีกทั้งข้าวสาลียังแพงกว่าข้าวฟ่าง ไม่ว่าจะทำเปี๊ยะเองหรือหาซื้อ ล้วนสิ้นเปลืองทุนทรัพย์ ดังนั้น หากมีทางเลือกที่ง่ายกว่าประหยัดกว่า ย่อมเป็นที่นิยมของชาวบ้าน อีกทางเลือกที่ว่านี้คือ ‘ฉิ่ว’ (糗) เป็นอาหารแห้งสมัยโบราณ คิดค้นกันขึ้นเมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่มีการกล่าวถึงในบันทึกพิธีการราชวงศ์โจว หรือ บันทึกโจวหลี่ว่า ‘ฉิวเอ่อร์เฝิ่นฉือ’(糗饵粉飺) คือก้อนข้าวและแผ่นแป้ง แต่จริงๆ แผ่นแป้งที่ว่านี้ไม่ใช่เปี๊ยะ ส่วนผสมมันเหมือนกันกับฉิ่ว เพียงแต่ฉิ่วหมายถึงปั้นเป็นก้อน ในขณะที่ฉือคือบี้ให้แบนเป็นแผ่น แล้วมันคืออะไร? มันคือการเอาข้าวที่นึ่งสุกแล้วมาใส่น้ำเล็กน้อยแล้วบีบหรือทุบให้เละเพื่อจะได้จับตัวกัน เสร็จแล้วปั้นเป็นก้อน (คือฉิ่ว) หรือบี้แบนเป็นแผ่น (คือฉือ) แล้วนำไปตากแห้ง แห้งแล้วก็จะหน้าตาคล้ายข้าวตังบ้านเรา ปัจจุบันของจีนเขาก็มีขนมหน้าตาคล้ายกันเรียกว่า ‘กัวปา’ (锅巴) (ดูรูปประกอบ) ซึ่งข้าวที่ว่านี้ในสมัยโบราณก่อนยุคหมิงคือข้าวฟ่างเป็นหลัก หน้าตาคล้าย แต่รสชาติไม่กรอบร่วนเหมือนข้าวเกรียบกัวปาปัจจุบัน เนื้อของฉิ่วก็จะแน่นๆ แข็งๆ แน่นอนว่ามันเป็นอาหารกินกันตาย ไม่ใช่กินเพื่อความจรรโลงใจ ชาวบ้านยามเดินทางไกลก็ห่อฉิ่วในผ้าบางหรือตะกร้าเล็กซุกไว้ในห่อผ้า เก็บได้นานถึงเกือบครึ่งเดือน เวลาจะกินก็คล้ายกับการกินเปี๊ยะกัวคุยที่กล่าวถึงไปในสัปดาห์ที่แล้ว กล่าวคือจิ้มน้ำจิ้มให้ชุ่มและนุ่มลงแล้วค่อยกิน บางคนก็มีผักดองหรือเนื้อหมักแห้งพกมากินแกล้มด้วย หรือหากมีโอกาสได้น้ำร้อนน้ำแกงก็เอาฉิ่วจุ้ม/แช่ให้นุ่มแล้วกินก็ได้เช่นกัน นึกภาพว่าข้าวชามหนึ่งสามารถอัดเป็นก้อนได้ขนาดเล็ก ดังนั้นเห็นก้อนเล็กๆ ก็อิ่มไม่น้อย พกจากบ้านไปก็ประหยัดทรัพย์ไปได้หลายวัน น้ำจิ้มที่ใช้ก็พวกถั่วหมักเค็มหรือเต้าเจี้ยว ใส่เครื่องปรุงอย่างอื่นบ้าง ใส่ขิงซอยขิงสับบ้าง แต่น้ำจิ้มเป็นน้ำ เขาพกพากันอย่างไร? ง่ายๆ คือเอาไปตากแดดจนน้ำระเหย จาก ‘น้ำ’ จิ้มก็กลายเป็น ‘เปียก’ จิ้ม... คือข้นๆ เหนียวๆ เสร็จแล้วก็ห่อในกระดาษน้ำมัน พกพาได้ง่าย เวลาจะกินก็แบ่งออกมาเติมน้ำผสมให้เหลวหน่อย น้ำจิ้มมันเค็มจึงมักมีการตัดเค็มด้วยน้ำส้มสายชู แต่วิธีการพกน้ำส้มสายชูเป็นอะไรที่ Storyฯ ยอมรับว่าเหนือความคาดหมายของข้าพเจ้าเอง สมัยนั้นมีไหมีขวดให้ใช้บรรจุน้ำส้มสายชูได้แต่ก็ไม่สามารถพกติดตัวได้ในปริมาณมาก อีกทั้งยังส่งกลิ่นแรง (มันซึมผ่านผ้าที่จุกฝา) ดังนั้นวิธีพกคือใช้ผ้าสะอาดตัดเป็นแถบแล้วแช่ในน้ำส้มสายชู จากนั้นนำมาตากแห้ง พกเป็นผ้าไป เวลาจะกินก็ตัดผ้าชิ้นเล็กออกมาแช่ในน้ำก็จะได้รสชาติของน้ำส้มสายชูแล้ว และไม่ว่าจะเป็นฉิ่ว หรือน้ำจิ้ม หรือวิธีพกน้ำส้มสายชูที่กล่าวถึงข้างต้น ไม่เพียงใช้โดยชาวบ้านธรรมดา แต่ในกองทัพก็ใช้เช่นกัน Storyฯ หาไม่พบข้อมูลว่าฉิ่วหายไปจากวิถีชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ สันนิษฐานเอาเองว่าหายไปเมื่อสารพัดชนิดของเปี๊ยะมีมากขึ้นและราคาถูกลง เชื่อว่าวิธีเตรียมและพกพาอาหารแห้งเหล่านี้ ของไทยเราก็น่าจะมีอะไรคล้ายคลึงที่สืบทอดเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านมาเช่นกัน แต่ Storyฯ ไม่รู้จักมากนัก ใครมีเรื่องเล่าที่ฟังมาจากผู้ใหญ่หรือคนรุ่นก่อน นำมาเล่าแบ่งปันกันด้วยนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://www.sohu.com/a/690825754_121115947 https://www.sohu.com/a/712914583_121338666 https://m.fx361.com/news/2022/0630/10495172.html https://www.sohu.com/a/443453413_120946747 https://www.sohu.com/a/476806140_120018480 https://cidian.qianp.com/ci/%E7%B3%97%E9%A5%B5 https://www.zhihu.com/question/558888787/answer/2718324984 https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/ #สยบรักจอมเสเพล #กัวปา #ฉิ่ว #เสบียงแห้งโบราณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัดร่องขุน จ.เชียงราย
    วัดดังสีขาวสวยสง่าที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก เลื่องลือด้วยงานออกแบบและการสร้างอันวิจิตร ประหนึ่งวิมานเทพ แดนสวรรค์บนดิน วัดแห่งนี้ได้รับการออกแบบและสร้างขึ้นโดยศิลปินแห่งชาติ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ด้วยความตั้งใจที่จะถวายวัดแห่งนี้ให้เป็นสมบัติของชาติ โดย อ. เฉลิมชัยได้เอ่ยถึงแรงบันดาลใจสำคัญ 3 สิ่งในการสร้างวัดแห่งนี้ คือ ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ นอกจากงานสถาปัตยกรรมการสร้างที่อ่อนช้อยสวยงามแล้ว งานประติมากรรม และพุทธประติมากรรม งานแกะสลัก และงานช่างศิลป์ต่างๆ ภายในวัดนั้น ล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่าทั้งทางด้านศิลปะและจิตใจหาใดเปรียบมิได้ และแน่นอนว่าวัดร่องขุนแห่งนี้ก็จัดเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คเมืองไทยอันดับต้นๆ แห่งยุคสมัยปัจจุบัน แถมยังติดอันดับวัดสวยที่สุดในโลกที่จัดอันดับในหลายสถาบันด้วย.🤩
    #วัดร่องขุน
    #ท่องเที่ยว
    #เชียงราย
    วัดร่องขุน จ.เชียงราย วัดดังสีขาวสวยสง่าที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก เลื่องลือด้วยงานออกแบบและการสร้างอันวิจิตร ประหนึ่งวิมานเทพ แดนสวรรค์บนดิน วัดแห่งนี้ได้รับการออกแบบและสร้างขึ้นโดยศิลปินแห่งชาติ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ด้วยความตั้งใจที่จะถวายวัดแห่งนี้ให้เป็นสมบัติของชาติ โดย อ. เฉลิมชัยได้เอ่ยถึงแรงบันดาลใจสำคัญ 3 สิ่งในการสร้างวัดแห่งนี้ คือ ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ นอกจากงานสถาปัตยกรรมการสร้างที่อ่อนช้อยสวยงามแล้ว งานประติมากรรม และพุทธประติมากรรม งานแกะสลัก และงานช่างศิลป์ต่างๆ ภายในวัดนั้น ล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่าทั้งทางด้านศิลปะและจิตใจหาใดเปรียบมิได้ และแน่นอนว่าวัดร่องขุนแห่งนี้ก็จัดเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คเมืองไทยอันดับต้นๆ แห่งยุคสมัยปัจจุบัน แถมยังติดอันดับวัดสวยที่สุดในโลกที่จัดอันดับในหลายสถาบันด้วย.🤩 #วัดร่องขุน #ท่องเที่ยว #เชียงราย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ทำเค้าต้องวางแผนกันว้าวุ่นไปหมด
    ปั่นแล้วยกซดเลยละกันนะ
    ละเอียดยิบเลย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ทำเค้าต้องวางแผนกันว้าวุ่นไปหมด ปั่นแล้วยกซดเลยละกันนะ ละเอียดยิบเลย #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • #PM2.5กับสารอาหารเพื่อป้องกันและรักษา

    ข้อมูลจากสถาบันสุขภาพต่างๆ ชี้ให้เห็นว่ามลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ เนื่องจากมีองค์ประกอบทางเคมีมากมายทั้งสารระคายเคืองต่อสารก่อมะเร็ง และส่งผลให้เกิดโรคเฉียบพลันและเรื้อรัง เช่น โรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ โรคปอดบวม โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ มะเร็งปอด โรคหลอดเลือดหัวใจ การศึกษาพบว่าผู้ที่สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น PM 2.5 หรือน้อยกว่าจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคทางเดินหายใจ เพราะยิ่งมีขนาดเล็กลงก็ยิ่งเข้าสู่ร่างกายและเกาะติดกับปอดได้มากขึ้น โดยกระบวนการอนุภาคขนาดเล็กจะช่วยเร่งการอักเสบในร่างกายและลดจำนวนสารต้านอนุมูลอิสระ เมื่อสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายลดลงตามมาด้วยความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจ ปอด เมื่อได้รับฝุ่นละอองขนาดเล็กมากจะเสื่อมสภาพและอาจตามมาด้วยโรคมะเร็งปอด

    ดังนั้นการได้รับสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่มากขึ้นจะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพจากการได้รับ PM 2.5 ได้

    สารอาหารที่ดี

    1. วิตามินเอและเบต้าแคโรทีนพบได้ในแครอท บวบ ผักบุ้ง ฟักทอง มันเทศ มันเทศ เป็นต้น วิตามินเอนอกจากช่วยส่งเสริมดวงตาแล้วยังช่วยระบบทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกัน พร้อมทั้งสามารถต้านทานผลกระทบฝุ่นพิษได้

    2 . วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยลดความเสียหายทางพันธุกรรมของ DNA เมื่อสัมผัสกับอนุมูลอิสระที่จะทำลายเซลล์ และการศึกษาพบว่าการได้รับวิตามินซีจะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและลดอาการแพ้ต่อระบบต่างๆ เช่น ระบบทางเดินหายใจ อาการคันตา อาการคัน และความรู้สึกแสบร้อน อาการคันและแสบร้อน กลุ่มอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น สตรอเบอร์รี่ ทับทิม ผักใบเขียวเข้ม ใบบัวบก ผักโขม หัวหอม นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาพบว่าการเสริมวิตามินซี 500 มก. ต่อวันสามารถช่วยลดระดับอนุมูลอิสระในผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศได้

    3. วิตามินอี พบได้ในอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ไข่แดง ปลาตัวสีดำท้องขาว สิ่งเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบและต่อต้านอนุมูลอิสระ

    4. วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และกรดโฟลิก สามารถลดโฮโมซิสเทอีนในเลือดได้ วิตามินกลุ่มนี้อยู่ในผักใบเขียวเข้ม ผักสีส้มที่มีเบต้าแคโรทีน เช่น บรอกโคลี แครอท ฟักทอง และวิตามินบี 12 มีอยู่ในเนื้อสัตว์ เนื้อแดง

    5. โอเมก้า 3 พบได้ใน อะโวคาโด วอลนัท เมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันมะกอก ปลาต่าง ๆที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 การศึกษาทางคลินิกในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่มีฝุ่นละออง PM 2.5 สูงพบว่า การทานน้ำมันโอเมก้า 3 สูงเช่น Krill oil 2 กรัม/วันจะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นเล็กๆ นี้

    6. ซัลโฟราเฟนพบได้ในบรอกโคลี และผักกะหล่ำปลีและกะหล่ำดอกต่างๆ มีคุณสมบัติโดดเด่นที่ช่วยในกระบวนการกำจัดสารพิษและป้องกันมะเร็ง มีรายงานการทดลองทางคลินิกทั้งในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ พบว่าการได้รับซัลเฟอร์จากนั้นจากบรอกโคลีอาจช่วยลดผลเสียต่อสุขภาพของฝุ่นได้

    7. N-acetyl cysteine ช่วยลดการหดเกร็งของหลอดลมที่ไวต่อการกระตุ้น และลดความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ โดย N-acetyl cysteine ต้องการกรดอะมิโน cysteine เพื่อช่วยในการสังเคราะห์ อาหารที่มีกรดอะมิโน ได้แก่ หัวหอม ไข่ กระเทียม และเนื้อแดง

    N-acetyl cysteine ยังช่วยลดเสมหะและน้ำมูกในปอด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ N-acetyl cysteine ยังช่วยลดเสมหะและน้ำมูกในปอดอีกด้วย

    8.สารอาหารโพลีแซ็กคาไรด์ในกลุ่มเบต้ากลูแคนซึ่งสกัดได้จาก ยีสต์และเห็ด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายจะสามารถกำจัดไวรัสหรือสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น

    สมุนไพรไทยหลายชนิดยังมีฤทธิ์ในการต่อสู้กับ PM 2.5 :

    มะขามป้อม-Phyllanthus Emblica สารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยป้องกันเซลล์จากการอักเสบและช่วยให้การทำงานของหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นและการไหลเวียนที่ดี

    ขมิ้น มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินอีถึง 80 เท่า ซึ่งดีต่อการทำงานของปอด

    นอกจากการกินอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว การดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2.5 ลิตรต่อวัน การออกกำลังกาย นอนหลับให้เพียงพอ สวมแว่นตาและสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง เพื่อปกป้องหรือลดผลกระทบจากมลภาวะที่เป็นอันตรายจากฝุ่น ตัวกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพที่สามารถช่วยฟอกอากาศในบ้านหรือในรถยนต์ ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยลดผลกระทบได้

    อาหารเสริมที่แนะนำหากคุณมีความยุ่งยากในการรับประทานอาหารตามปกติ

    Glap
    Glube
    Paa super h
    Whole c

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #PM2.5กับสารอาหารเพื่อป้องกันและรักษา ข้อมูลจากสถาบันสุขภาพต่างๆ ชี้ให้เห็นว่ามลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ เนื่องจากมีองค์ประกอบทางเคมีมากมายทั้งสารระคายเคืองต่อสารก่อมะเร็ง และส่งผลให้เกิดโรคเฉียบพลันและเรื้อรัง เช่น โรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ โรคปอดบวม โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ มะเร็งปอด โรคหลอดเลือดหัวใจ การศึกษาพบว่าผู้ที่สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น PM 2.5 หรือน้อยกว่าจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคทางเดินหายใจ เพราะยิ่งมีขนาดเล็กลงก็ยิ่งเข้าสู่ร่างกายและเกาะติดกับปอดได้มากขึ้น โดยกระบวนการอนุภาคขนาดเล็กจะช่วยเร่งการอักเสบในร่างกายและลดจำนวนสารต้านอนุมูลอิสระ เมื่อสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายลดลงตามมาด้วยความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจ ปอด เมื่อได้รับฝุ่นละอองขนาดเล็กมากจะเสื่อมสภาพและอาจตามมาด้วยโรคมะเร็งปอด ดังนั้นการได้รับสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่มากขึ้นจะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพจากการได้รับ PM 2.5 ได้ สารอาหารที่ดี 1. วิตามินเอและเบต้าแคโรทีนพบได้ในแครอท บวบ ผักบุ้ง ฟักทอง มันเทศ มันเทศ เป็นต้น วิตามินเอนอกจากช่วยส่งเสริมดวงตาแล้วยังช่วยระบบทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกัน พร้อมทั้งสามารถต้านทานผลกระทบฝุ่นพิษได้ 2 . วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยลดความเสียหายทางพันธุกรรมของ DNA เมื่อสัมผัสกับอนุมูลอิสระที่จะทำลายเซลล์ และการศึกษาพบว่าการได้รับวิตามินซีจะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและลดอาการแพ้ต่อระบบต่างๆ เช่น ระบบทางเดินหายใจ อาการคันตา อาการคัน และความรู้สึกแสบร้อน อาการคันและแสบร้อน กลุ่มอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น สตรอเบอร์รี่ ทับทิม ผักใบเขียวเข้ม ใบบัวบก ผักโขม หัวหอม นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาพบว่าการเสริมวิตามินซี 500 มก. ต่อวันสามารถช่วยลดระดับอนุมูลอิสระในผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศได้ 3. วิตามินอี พบได้ในอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ไข่แดง ปลาตัวสีดำท้องขาว สิ่งเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบและต่อต้านอนุมูลอิสระ 4. วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และกรดโฟลิก สามารถลดโฮโมซิสเทอีนในเลือดได้ วิตามินกลุ่มนี้อยู่ในผักใบเขียวเข้ม ผักสีส้มที่มีเบต้าแคโรทีน เช่น บรอกโคลี แครอท ฟักทอง และวิตามินบี 12 มีอยู่ในเนื้อสัตว์ เนื้อแดง 5. โอเมก้า 3 พบได้ใน อะโวคาโด วอลนัท เมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันมะกอก ปลาต่าง ๆที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 การศึกษาทางคลินิกในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่มีฝุ่นละออง PM 2.5 สูงพบว่า การทานน้ำมันโอเมก้า 3 สูงเช่น Krill oil 2 กรัม/วันจะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นเล็กๆ นี้ 6. ซัลโฟราเฟนพบได้ในบรอกโคลี และผักกะหล่ำปลีและกะหล่ำดอกต่างๆ มีคุณสมบัติโดดเด่นที่ช่วยในกระบวนการกำจัดสารพิษและป้องกันมะเร็ง มีรายงานการทดลองทางคลินิกทั้งในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ พบว่าการได้รับซัลเฟอร์จากนั้นจากบรอกโคลีอาจช่วยลดผลเสียต่อสุขภาพของฝุ่นได้ 7. N-acetyl cysteine ช่วยลดการหดเกร็งของหลอดลมที่ไวต่อการกระตุ้น และลดความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ โดย N-acetyl cysteine ต้องการกรดอะมิโน cysteine เพื่อช่วยในการสังเคราะห์ อาหารที่มีกรดอะมิโน ได้แก่ หัวหอม ไข่ กระเทียม และเนื้อแดง N-acetyl cysteine ยังช่วยลดเสมหะและน้ำมูกในปอด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ N-acetyl cysteine ยังช่วยลดเสมหะและน้ำมูกในปอดอีกด้วย 8.สารอาหารโพลีแซ็กคาไรด์ในกลุ่มเบต้ากลูแคนซึ่งสกัดได้จาก ยีสต์และเห็ด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายจะสามารถกำจัดไวรัสหรือสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น สมุนไพรไทยหลายชนิดยังมีฤทธิ์ในการต่อสู้กับ PM 2.5 : มะขามป้อม-Phyllanthus Emblica สารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยป้องกันเซลล์จากการอักเสบและช่วยให้การทำงานของหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นและการไหลเวียนที่ดี ขมิ้น มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินอีถึง 80 เท่า ซึ่งดีต่อการทำงานของปอด นอกจากการกินอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว การดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2.5 ลิตรต่อวัน การออกกำลังกาย นอนหลับให้เพียงพอ สวมแว่นตาและสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง เพื่อปกป้องหรือลดผลกระทบจากมลภาวะที่เป็นอันตรายจากฝุ่น ตัวกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพที่สามารถช่วยฟอกอากาศในบ้านหรือในรถยนต์ ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยลดผลกระทบได้ อาหารเสริมที่แนะนำหากคุณมีความยุ่งยากในการรับประทานอาหารตามปกติ Glap Glube Paa super h Whole c ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 359 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนประกาศปกป้อง "ผลประโยชน์ของประเทศชาติ" จากคำขู่รีดภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังผู้นำอเมริกาเตือนว่าเขาอาจรีดภาษี 10% สินค้านำเข้าจากแดนมังกร เริ่มตั้งแต่ปลายสัปดาห์หน้า
    .
    ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว หนึ่งวันหลังเข้าพิธีสาบานตน นอกจากคำขู่รีดภาษีจีนแล้ว เขายังส่งเสียงเตือนไปยังสหภาพยุโรปว่าอาจต้องเจอกับเพดานภาษีที่แข็งกร้าวเช่นกัน พร้อมหันกลับมาโจมตีปักกิ่งอีกรอบ เกี่ยวกับการลักลอบส่งออกยาเฟนทานิล
    .
    "พวกเขาปฏิบัติกับเราแย่มากๆ ดังนั้นพวกเขากำลังอยู่ในแผนรีดภาษีด้วย" ทรัมป์กล่าวถึงอียู "คุณจะไม่ได้รับความยุติธรรม จนกว่าคุณจะมีความยุติธรรม"
    .
    หนึ่งวันก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ กล่าวหาทางกลุ่มว่า ไม่นำเข้าผลิตภัณฑ์ของอเมริกามากพอ พร้อมบอกว่าเขาจะทำสิ่งนี้ให้เข้าที่เข้าทางด้วยการกำหนดมาตรการรีดภาษี หรือไม่ก็เรียกร้องให้ซื้อน้ำมันและก๊าซเพิ่มมากขึ้น
    .
    ในส่วนของจีน ทรัมป์เน้นย้ำคำขู่เมื่อวันอังคาร (21 ม.ค.) ในการกำหนดเพดานภาษี 10% บอกว่า "มันอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขากำลังส่งยาเฟนทานิลไปยังเม็กซิโกและแคนาดา"
    .
    เมื่อถามว่าอีกนานแค่ไหนที่มาตรการรีดภาษีนี้จะมีผลบังคับใช้ ทรัมป์ตอบว่า "บางที วันที่ 1 กุมภาพันธ์ คือวันที่เรากำลังมองถึงความเป็นไปได้"
    .
    ในวันดังกล่าว ทรัมป์เคยบอกว่าจะกำหนดมาตรการรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก กล่าวหาพวกเขาว่าล้มเหลวในการหยุดยั้งผู้อพยพผิดกฎหมายและการลักลอบขนยาเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ
    .
    ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ กระตุ้นให้ ปักกิ่ง ในวันพุธ (22 ม.ค.) ออกมาประกาศปกป้อง "ผลประโยชน์ของประเทศชาติ" ตอบโต้คำขู่ของทรัมป์ "เราเชื่อมาเสมอว่าจะไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามรีดภาษีใดๆ" เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุ
    .
    โฆษกหญิงรายนี้บอกต่อว่า "ปักกิ่งมีความตั้งใจคงไว้ซึ่งการติดต่อสื่อสารกับสหรัฐฯ รับมือความเห็นต่างอย่างเหมาะสม ขยายขอบเขตความร่วมมือผลประโยชน์ร่วม และส่งเสริมเสถียรภาพ ความเข้มแข็งและพัฒนาการอันยั่งยืน ในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ"
    .
    ทำเนียบขาวภายใต้การบริหารงานของทรัมป์ เคยกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อ้างถึงแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมโดยปักกิ่ง จากนั้น โจ ไบเดน ผู้สืบทอดของเขา ก็ยังคงไว้ซึ่งแรงกดดันด้วยการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างกว้างขวาง โดยมีเป้าหมายเพื่อจำกัดจีนจากการเข้าถึงชิปไฮเทค
    .
    ทรัมป์ ยกระดับคำขู่หนักหน่วงกว่าเดิมระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ประกาศถึงขั้นว่าจะปรับเพิ่มเพดานภาษีหากเขาได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัย
    .
    เศรษฐกิจของจีนยังคงต้องพึ่งพิงการส่งออกอย่างหนักสำหรับขับเคลื่อนการเติบโต แม้มีความพยายามอย่างเป็นทางการในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
    .
    ในส่วนของคณะกรรมธิการด้านเศรษฐกิจของอียู ก็ประกาศเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ ว่าทางกลุ่มพร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเช่นกัน แม้อีกด้านหนึ่งทาง อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป บอกว่าอียูพร้อมเจรจากับทรัมป์ และเน้นย้ำว่าวอชิงตันยังคงเป็นคู่หูที่สำคัญของพวกเขา
    .
    เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) ทรัมป์ ประกาศยกระบบการค้าของสหรัฐฯ ในทันที สัญญาว่าจะรีดภาษีและเรียกเก็บภาษี "เหล่าประเทศต่างชาติทั้งหลาย เพื่อสร้างความร่ำรวยแก่พลเมืองของเรา"
    .
    เขาลงนามในคำสั่งให้หน่วยงานต่างๆ ศึกษาประเด็นทางการค้าต่างๆ ในนั้นรวมถึงการขาดดุลทางการค้า แนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรม และการบิดเบือนค่าเงิน ซึ่งการตรวบสอบนี้อาจเปิดทางสำหรับการใช้มาตรการทางภาษีเล่นงานเพิ่มเติม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000007002
    ..............
    Sondhi X

    จีนประกาศปกป้อง "ผลประโยชน์ของประเทศชาติ" จากคำขู่รีดภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังผู้นำอเมริกาเตือนว่าเขาอาจรีดภาษี 10% สินค้านำเข้าจากแดนมังกร เริ่มตั้งแต่ปลายสัปดาห์หน้า . ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว หนึ่งวันหลังเข้าพิธีสาบานตน นอกจากคำขู่รีดภาษีจีนแล้ว เขายังส่งเสียงเตือนไปยังสหภาพยุโรปว่าอาจต้องเจอกับเพดานภาษีที่แข็งกร้าวเช่นกัน พร้อมหันกลับมาโจมตีปักกิ่งอีกรอบ เกี่ยวกับการลักลอบส่งออกยาเฟนทานิล . "พวกเขาปฏิบัติกับเราแย่มากๆ ดังนั้นพวกเขากำลังอยู่ในแผนรีดภาษีด้วย" ทรัมป์กล่าวถึงอียู "คุณจะไม่ได้รับความยุติธรรม จนกว่าคุณจะมีความยุติธรรม" . หนึ่งวันก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ กล่าวหาทางกลุ่มว่า ไม่นำเข้าผลิตภัณฑ์ของอเมริกามากพอ พร้อมบอกว่าเขาจะทำสิ่งนี้ให้เข้าที่เข้าทางด้วยการกำหนดมาตรการรีดภาษี หรือไม่ก็เรียกร้องให้ซื้อน้ำมันและก๊าซเพิ่มมากขึ้น . ในส่วนของจีน ทรัมป์เน้นย้ำคำขู่เมื่อวันอังคาร (21 ม.ค.) ในการกำหนดเพดานภาษี 10% บอกว่า "มันอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขากำลังส่งยาเฟนทานิลไปยังเม็กซิโกและแคนาดา" . เมื่อถามว่าอีกนานแค่ไหนที่มาตรการรีดภาษีนี้จะมีผลบังคับใช้ ทรัมป์ตอบว่า "บางที วันที่ 1 กุมภาพันธ์ คือวันที่เรากำลังมองถึงความเป็นไปได้" . ในวันดังกล่าว ทรัมป์เคยบอกว่าจะกำหนดมาตรการรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก กล่าวหาพวกเขาว่าล้มเหลวในการหยุดยั้งผู้อพยพผิดกฎหมายและการลักลอบขนยาเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ . ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ กระตุ้นให้ ปักกิ่ง ในวันพุธ (22 ม.ค.) ออกมาประกาศปกป้อง "ผลประโยชน์ของประเทศชาติ" ตอบโต้คำขู่ของทรัมป์ "เราเชื่อมาเสมอว่าจะไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามรีดภาษีใดๆ" เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุ . โฆษกหญิงรายนี้บอกต่อว่า "ปักกิ่งมีความตั้งใจคงไว้ซึ่งการติดต่อสื่อสารกับสหรัฐฯ รับมือความเห็นต่างอย่างเหมาะสม ขยายขอบเขตความร่วมมือผลประโยชน์ร่วม และส่งเสริมเสถียรภาพ ความเข้มแข็งและพัฒนาการอันยั่งยืน ในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ" . ทำเนียบขาวภายใต้การบริหารงานของทรัมป์ เคยกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อ้างถึงแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมโดยปักกิ่ง จากนั้น โจ ไบเดน ผู้สืบทอดของเขา ก็ยังคงไว้ซึ่งแรงกดดันด้วยการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างกว้างขวาง โดยมีเป้าหมายเพื่อจำกัดจีนจากการเข้าถึงชิปไฮเทค . ทรัมป์ ยกระดับคำขู่หนักหน่วงกว่าเดิมระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ประกาศถึงขั้นว่าจะปรับเพิ่มเพดานภาษีหากเขาได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัย . เศรษฐกิจของจีนยังคงต้องพึ่งพิงการส่งออกอย่างหนักสำหรับขับเคลื่อนการเติบโต แม้มีความพยายามอย่างเป็นทางการในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ . ในส่วนของคณะกรรมธิการด้านเศรษฐกิจของอียู ก็ประกาศเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ ว่าทางกลุ่มพร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเช่นกัน แม้อีกด้านหนึ่งทาง อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป บอกว่าอียูพร้อมเจรจากับทรัมป์ และเน้นย้ำว่าวอชิงตันยังคงเป็นคู่หูที่สำคัญของพวกเขา . เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) ทรัมป์ ประกาศยกระบบการค้าของสหรัฐฯ ในทันที สัญญาว่าจะรีดภาษีและเรียกเก็บภาษี "เหล่าประเทศต่างชาติทั้งหลาย เพื่อสร้างความร่ำรวยแก่พลเมืองของเรา" . เขาลงนามในคำสั่งให้หน่วยงานต่างๆ ศึกษาประเด็นทางการค้าต่างๆ ในนั้นรวมถึงการขาดดุลทางการค้า แนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรม และการบิดเบือนค่าเงิน ซึ่งการตรวบสอบนี้อาจเปิดทางสำหรับการใช้มาตรการทางภาษีเล่นงานเพิ่มเติม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000007002 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1472 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✨พระโคนสมอ ศิลปะเชิงช่างสมัยอยุธยาตอนปลายต่อเนื่องรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นพระพิมพ์ที่ทรงคุณค่าด้วยมีครบทั้งศาสตร์และศิลป์

    เหตุที่ได้ชื่อโคนสมอ เพราะพบพระส่วนหนึ่งกองอยู่โคนต้นสมอในบริเวณพระราชวังบอวอนหรือที่เรียกกันว่าวังหน้าเป็นจำนวนมาก พุทธคุณเด่นด้านคงกระพัน ชาตรี แคล้วคลาด คนรุ่นเก่ากล่าวกันว่า ใครมีพระโคนสมอนั้น ท่านจะช่วยให้ดีเสมอทุกสมัย.
    ✨พระโคนสมอ ศิลปะเชิงช่างสมัยอยุธยาตอนปลายต่อเนื่องรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นพระพิมพ์ที่ทรงคุณค่าด้วยมีครบทั้งศาสตร์และศิลป์ เหตุที่ได้ชื่อโคนสมอ เพราะพบพระส่วนหนึ่งกองอยู่โคนต้นสมอในบริเวณพระราชวังบอวอนหรือที่เรียกกันว่าวังหน้าเป็นจำนวนมาก พุทธคุณเด่นด้านคงกระพัน ชาตรี แคล้วคลาด คนรุ่นเก่ากล่าวกันว่า ใครมีพระโคนสมอนั้น ท่านจะช่วยให้ดีเสมอทุกสมัย.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • #อิป้าบ่นระงมสาวเกาเตรียมเทสาวกไทย
    จริงๆมีคลิปนะ แต่ขี้เกียจเอามาลง
    เรื่องราวก็ประมาณนี้ อิป้าระแคะระคาย
    พร้อมระบายรัวๆ ว่าสาวเกาเริ่มรู้สึกว่า
    อะไรมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ทั้งๆที่เชื่ออิป้ามาตลอด
    ยอดกลับหดหาย เป้าที่ถูกสร้างฝันไว้ไงลดลงดิ่งเหว
    ถ้าเป็น GU GU ก็เท พีอาร์ยังไงให้คนเกลืยด
    ยิ่งสร้างกระแส คนรักนางยิ่งแยกวง
    แว่วแบบนี้มาอิป้าจะทนได้ยังไง
    ก็ไม่นานมานี้เพิ่งบอกว่า มีสาวเกาต้องมีอิป้า
    ใครไม่เอาอิป้าก็ออกไป ความบังลัยเลยเถิดก็มาถึง
    แม้กระทั่ง เป็ด ที่เคยร่วมหัวจมท้าย ยอมเป็นเหมือนสุนัขรับใช้
    สุดท้าย สติมาปัญญาเกิด ต้องออกโรงเตือนป้า
    ว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดไม่ได้เป็นผลดีกับตัวสาวเลย
    แต่อิป้ากลับอ้างว่า สาวเกาไม่ปรองดอง ต้องลุยต่อ
    เอาจริงๆนะ ปัญหาของอิป้า คือความดันทุรัง
    แล้วตอนนี้ สนุกสนานกับการฟ๊องสื่อของไทย
    กรูถามหน่อย คนอะไรอ้างว่ารักนาง
    แต่ขยันในการสร้างให้คนเกลืยดนางได้ไม่เว้นวัน
    เพียงสนองความประสาท จิตเพื้ยน ชอบเรื่องดราม่า
    อยากทำตัวเหมือนมีอำนาจบาดใหญ่
    อ้างทุกอย่างเพื่อใช้ชื่อสาว ใช้ทรัพยากรของสาว
    เอามาฟ๊องคนไทยด้วยกัน ถามว่า ใครได้ใครเสีย
    สาวต้องเสียเวลาอีกเยอะ กับเรื่อง KADEE
    พวกกับความเกลืยดชังของคนไทยที่เพิ่มทวี
    ส่วนอิป้าลอยตัว ได้พลพรรคเป็นสาวกเชื่อมจิต
    ได้สร้างโลกบนจินตนาการป๋วยๆ โดยไม่รู้ว่าตัวเอง
    เป็นเพียงชนกลุ่มน้อยบนโลกใบนี้ ยิ่งใหญ่แค่ในกะลา
    พี่คิงส์เคยฟันธงแล้วว่า ชื่อของสาวเกาจะค่อยๆจางหายไป
    ตามกาลเวลา ในขณะที่จักรวาลของ CL กลับยิ่งสดใส
    และยิ่งใหญ่ขึ้นแบบหยุดไม่อยู่ เป็ดมันยังพูดเลย
    วันเกิด ขนาดไลฟ์สี่ห้าทุ่ม คนดูสองหมื่นกว่าวิว
    ความดันทุรังอย่างไร้สติของอิป้า จะเป็นตัวปิดเกมส์เร็ว
    ทำให้สาวเกา ต้องเลือกที่จะไปสร้างโลกใบใหม่
    ที่เวียดนาม อิป้าทำไมไม่เคารพการตัดสินใจของนาง
    จะฟาดงวงฟาดงา ต่อไปเพื่ออะไร
    หรือเพราะรู้ตัวว่า ตัวเอง กำลังจะหมดความสำคัญ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #อิป้าบ่นระงมสาวเกาเตรียมเทสาวกไทย จริงๆมีคลิปนะ แต่ขี้เกียจเอามาลง เรื่องราวก็ประมาณนี้ อิป้าระแคะระคาย พร้อมระบายรัวๆ ว่าสาวเกาเริ่มรู้สึกว่า อะไรมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ทั้งๆที่เชื่ออิป้ามาตลอด ยอดกลับหดหาย เป้าที่ถูกสร้างฝันไว้ไงลดลงดิ่งเหว ถ้าเป็น GU GU ก็เท พีอาร์ยังไงให้คนเกลืยด ยิ่งสร้างกระแส คนรักนางยิ่งแยกวง แว่วแบบนี้มาอิป้าจะทนได้ยังไง ก็ไม่นานมานี้เพิ่งบอกว่า มีสาวเกาต้องมีอิป้า ใครไม่เอาอิป้าก็ออกไป ความบังลัยเลยเถิดก็มาถึง แม้กระทั่ง เป็ด ที่เคยร่วมหัวจมท้าย ยอมเป็นเหมือนสุนัขรับใช้ สุดท้าย สติมาปัญญาเกิด ต้องออกโรงเตือนป้า ว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดไม่ได้เป็นผลดีกับตัวสาวเลย แต่อิป้ากลับอ้างว่า สาวเกาไม่ปรองดอง ต้องลุยต่อ เอาจริงๆนะ ปัญหาของอิป้า คือความดันทุรัง แล้วตอนนี้ สนุกสนานกับการฟ๊องสื่อของไทย กรูถามหน่อย คนอะไรอ้างว่ารักนาง แต่ขยันในการสร้างให้คนเกลืยดนางได้ไม่เว้นวัน เพียงสนองความประสาท จิตเพื้ยน ชอบเรื่องดราม่า อยากทำตัวเหมือนมีอำนาจบาดใหญ่ อ้างทุกอย่างเพื่อใช้ชื่อสาว ใช้ทรัพยากรของสาว เอามาฟ๊องคนไทยด้วยกัน ถามว่า ใครได้ใครเสีย สาวต้องเสียเวลาอีกเยอะ กับเรื่อง KADEE พวกกับความเกลืยดชังของคนไทยที่เพิ่มทวี ส่วนอิป้าลอยตัว ได้พลพรรคเป็นสาวกเชื่อมจิต ได้สร้างโลกบนจินตนาการป๋วยๆ โดยไม่รู้ว่าตัวเอง เป็นเพียงชนกลุ่มน้อยบนโลกใบนี้ ยิ่งใหญ่แค่ในกะลา พี่คิงส์เคยฟันธงแล้วว่า ชื่อของสาวเกาจะค่อยๆจางหายไป ตามกาลเวลา ในขณะที่จักรวาลของ CL กลับยิ่งสดใส และยิ่งใหญ่ขึ้นแบบหยุดไม่อยู่ เป็ดมันยังพูดเลย วันเกิด ขนาดไลฟ์สี่ห้าทุ่ม คนดูสองหมื่นกว่าวิว ความดันทุรังอย่างไร้สติของอิป้า จะเป็นตัวปิดเกมส์เร็ว ทำให้สาวเกา ต้องเลือกที่จะไปสร้างโลกใบใหม่ ที่เวียดนาม อิป้าทำไมไม่เคารพการตัดสินใจของนาง จะฟาดงวงฟาดงา ต่อไปเพื่ออะไร หรือเพราะรู้ตัวว่า ตัวเอง กำลังจะหมดความสำคัญ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่โดนถอดถอน ยุน ซอกยอล ปรากฏตัวต่อหน้าศาลรัฐธรรมนูญโซลเป็นครั้งแรกวันอังคาร (21 ม.ค.) หลังเขาโดนถูกบุกจับเป็นครั้งที่ 2 และต้องถูกถ่ายรูปหน้าตรงขังเดี่ยวในเรือนจำกรุงโซล ขึ้นให้การปฏิเสธไม่ได้สั่งการทหารให้ลากตัวนักการเมืองเกาหลีใต้ออกนอกห้องประชุมกันไม่ให้รวมตัวโหวตยกเลิกกฎอัยการศึกอายุสั้นเมื่อเดือนที่แล้ว
    .
    เอเอฟพีรายงานวันอังคาร (21 ม.ค.) ว่า ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ยุน ซอกยอล ขึ้นศาลเป็นครั้งแรกในวันอังคาร (21) เพื่อรอการตัดสินชี้ชะตาว่าเขาจะต้องโดนถอดถอนตามมติรัฐสภาหรือไม่ ท่ามกลางกลุ่มผู้สนับสนุนทั้งฝ่ายต้านและฝ่ายสนับสนุนจำนวนมากเดินทางมาที่ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้กลางกรุงโซล
    .
    ในการปรากฏตัวต่อหน้าศาล ยุนประกาศพร้อมให้ความร่วมมือต่อคณะผู้พิพากษา ทีมกฎหมายของยุนที่ได้เรียกพยาน 24 ปากรวมเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องการเลือกตั้งได้เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่โดนถอดถอนต้องการปรากฏตัวต่อหน้าศาลด้วยตัวเองเพื่ออธิบายสถานการณ์วันเกิดเหตุ
    .
    ในศาลเขาได้ปฏิเสธต่อหน้าผู้พิพากษาว่า เขาไม่ได้สั่งการให้กองทัพลากตัวบรรดา ส.ส.เกาหลีใต้ออกไปจากสภาในวันเกิดเหตุเพื่อป้องกันไม่ให้ร่วมตัวเพื่อยกมือโหวตกฎอัยการศึก
    .
    เป็นการซักถามโดยผู้พิพากษาที่ตั้งคำถามประธานาธิบดียุนว่าได้ออกคำสั่ง “ผู้บัญชาการทหารระดับสูง” ให้ลากตัวนักการเมืองเกาหลีใต้ออกไปจากรัฐสภาหรือไม่เพื่อป้องกันการโหวตยกเลิกกฎอัยการศึุก และยุนตอบกลับมาว่า “ไม่” อ้างอิงจากรายงานของกระบวนการทางศาล
    .
    เอเอฟพีชี้ว่า หากว่าศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดรับรองการถอดถอนจะส่งผลทำให้ยุนต้องออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ไปอย่างถาวร และจะมีการจัดเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วันหลังจากนั้น
    .
    นักข่าวรายงานว่า ยุนขึ้นศาลครั้งแรกในชุดสูทไม่ใช่ชุดนักโทษที่เขาโดนสั่งให้ต้องสวมหลังจากเขาถูกจับกุมเป็นทางการวันอาทิตย์ (19)
    .
    และไม่นานหลังการไต่สวน สำนักงานสอบสวนคอร์รัปชันเกาหลีใต้ที่ได้สอบสวนการออกคำสั่งกฎอัยการศึกแถลงว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่สอบสวน 6 คนและอัยการ 1 คนมายังเรือนจำเพื่อสอบปากคำยุนที่ก่อนหน้าปฏิเสธจะตอบคำถามใดๆ
    .
    แต่กลับพบว่ารถตู้ที่นำตัวผู้นำโซลออกจากศาลไม่ได้ตรงกลับไปเรือนจำแต่ทว่าวิ่งไปยังโรงพยาบาลในกรุงโซลแทน
    กระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้แถลงว่า ประธานาธิบดียุนจะเข้ารับการรักษาหลังผลการตรวจร่างกายที่ออกมาวันก่อนหน้า
    .
    เอเอฟพีรายงานว่า เจ้าหน้าที่เรือนจำเกาหลีใต้แถลงวันจันทร์ (20) ว่า ยุนต้องผ่านการถ่ายภาพหน้าตรง หรือ mug shot และการตรวจร่างกายตามปกติก่อนที่จะใช้เวลาคืนแรกในเรือนจำในฐานะผู้ต้องสงสัยคดีอาญา
    .
    ทั้งนี้ เขาถูกส่งเข้าห้องขังเดี่ยวขนาด 12 ตารางเมตรที่เรือนจำกรุงโซล (Seoul Detention Center) ใน Uiwang เมื่อวันอาทิตย์ (19) อ้างอิงจาก ชิน ยอง-เฮ (Shin Yong-hae) ผู้บัญชาการสำนักงานเรือนจำเกาหลีใต้ (Korea Correctional Service) ซึ่งเป็นขนาดห้องขังสำหรับนักโทษขังรวมราว 5-6 คน สำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้รายงานว่า เป็นขนาดไล่เลี่ยกับเมื่อครั้งอดีตผู้นำแดนโสมโดนควบคุมตัว
    .
    เจ้าหน้าที่เรือนจำเปิดเผยว่า ภายในห้องขังมีโต๊ะเล็กๆ สำหรับรับประทานอาหารและอ่านหนังสือ ชั้นขนาดเล็ก อ่างล้างหน้า และห้องน้ำ และยังมีโทรทัศน์อีก 1 เครื่อง แต่ช่วงเวลาดูโทรทัศน์นั้นจำกัดมาก
    .
    ทั้งนี้ นักโทษจะได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกเป็นเวลา 1 ชม.ทุกวันเพื่อออกกำลังกาย และอาบน้ำได้สัปดาห์ละครั้ง แต่สื่อท้องถิ่นเกาหลีใต้รายงานว่า เจ้าหน้าที่พยายามป้องกันไม่ให้ยุนสามารถติดต่อสื่อสารกับนักโทษคนอื่น
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006610
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่โดนถอดถอน ยุน ซอกยอล ปรากฏตัวต่อหน้าศาลรัฐธรรมนูญโซลเป็นครั้งแรกวันอังคาร (21 ม.ค.) หลังเขาโดนถูกบุกจับเป็นครั้งที่ 2 และต้องถูกถ่ายรูปหน้าตรงขังเดี่ยวในเรือนจำกรุงโซล ขึ้นให้การปฏิเสธไม่ได้สั่งการทหารให้ลากตัวนักการเมืองเกาหลีใต้ออกนอกห้องประชุมกันไม่ให้รวมตัวโหวตยกเลิกกฎอัยการศึกอายุสั้นเมื่อเดือนที่แล้ว . เอเอฟพีรายงานวันอังคาร (21 ม.ค.) ว่า ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ยุน ซอกยอล ขึ้นศาลเป็นครั้งแรกในวันอังคาร (21) เพื่อรอการตัดสินชี้ชะตาว่าเขาจะต้องโดนถอดถอนตามมติรัฐสภาหรือไม่ ท่ามกลางกลุ่มผู้สนับสนุนทั้งฝ่ายต้านและฝ่ายสนับสนุนจำนวนมากเดินทางมาที่ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้กลางกรุงโซล . ในการปรากฏตัวต่อหน้าศาล ยุนประกาศพร้อมให้ความร่วมมือต่อคณะผู้พิพากษา ทีมกฎหมายของยุนที่ได้เรียกพยาน 24 ปากรวมเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องการเลือกตั้งได้เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่โดนถอดถอนต้องการปรากฏตัวต่อหน้าศาลด้วยตัวเองเพื่ออธิบายสถานการณ์วันเกิดเหตุ . ในศาลเขาได้ปฏิเสธต่อหน้าผู้พิพากษาว่า เขาไม่ได้สั่งการให้กองทัพลากตัวบรรดา ส.ส.เกาหลีใต้ออกไปจากสภาในวันเกิดเหตุเพื่อป้องกันไม่ให้ร่วมตัวเพื่อยกมือโหวตกฎอัยการศึก . เป็นการซักถามโดยผู้พิพากษาที่ตั้งคำถามประธานาธิบดียุนว่าได้ออกคำสั่ง “ผู้บัญชาการทหารระดับสูง” ให้ลากตัวนักการเมืองเกาหลีใต้ออกไปจากรัฐสภาหรือไม่เพื่อป้องกันการโหวตยกเลิกกฎอัยการศึุก และยุนตอบกลับมาว่า “ไม่” อ้างอิงจากรายงานของกระบวนการทางศาล . เอเอฟพีชี้ว่า หากว่าศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดรับรองการถอดถอนจะส่งผลทำให้ยุนต้องออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ไปอย่างถาวร และจะมีการจัดเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วันหลังจากนั้น . นักข่าวรายงานว่า ยุนขึ้นศาลครั้งแรกในชุดสูทไม่ใช่ชุดนักโทษที่เขาโดนสั่งให้ต้องสวมหลังจากเขาถูกจับกุมเป็นทางการวันอาทิตย์ (19) . และไม่นานหลังการไต่สวน สำนักงานสอบสวนคอร์รัปชันเกาหลีใต้ที่ได้สอบสวนการออกคำสั่งกฎอัยการศึกแถลงว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่สอบสวน 6 คนและอัยการ 1 คนมายังเรือนจำเพื่อสอบปากคำยุนที่ก่อนหน้าปฏิเสธจะตอบคำถามใดๆ . แต่กลับพบว่ารถตู้ที่นำตัวผู้นำโซลออกจากศาลไม่ได้ตรงกลับไปเรือนจำแต่ทว่าวิ่งไปยังโรงพยาบาลในกรุงโซลแทน กระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้แถลงว่า ประธานาธิบดียุนจะเข้ารับการรักษาหลังผลการตรวจร่างกายที่ออกมาวันก่อนหน้า . เอเอฟพีรายงานว่า เจ้าหน้าที่เรือนจำเกาหลีใต้แถลงวันจันทร์ (20) ว่า ยุนต้องผ่านการถ่ายภาพหน้าตรง หรือ mug shot และการตรวจร่างกายตามปกติก่อนที่จะใช้เวลาคืนแรกในเรือนจำในฐานะผู้ต้องสงสัยคดีอาญา . ทั้งนี้ เขาถูกส่งเข้าห้องขังเดี่ยวขนาด 12 ตารางเมตรที่เรือนจำกรุงโซล (Seoul Detention Center) ใน Uiwang เมื่อวันอาทิตย์ (19) อ้างอิงจาก ชิน ยอง-เฮ (Shin Yong-hae) ผู้บัญชาการสำนักงานเรือนจำเกาหลีใต้ (Korea Correctional Service) ซึ่งเป็นขนาดห้องขังสำหรับนักโทษขังรวมราว 5-6 คน สำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้รายงานว่า เป็นขนาดไล่เลี่ยกับเมื่อครั้งอดีตผู้นำแดนโสมโดนควบคุมตัว . เจ้าหน้าที่เรือนจำเปิดเผยว่า ภายในห้องขังมีโต๊ะเล็กๆ สำหรับรับประทานอาหารและอ่านหนังสือ ชั้นขนาดเล็ก อ่างล้างหน้า และห้องน้ำ และยังมีโทรทัศน์อีก 1 เครื่อง แต่ช่วงเวลาดูโทรทัศน์นั้นจำกัดมาก . ทั้งนี้ นักโทษจะได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกเป็นเวลา 1 ชม.ทุกวันเพื่อออกกำลังกาย และอาบน้ำได้สัปดาห์ละครั้ง แต่สื่อท้องถิ่นเกาหลีใต้รายงานว่า เจ้าหน้าที่พยายามป้องกันไม่ให้ยุนสามารถติดต่อสื่อสารกับนักโทษคนอื่น . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006610 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1382 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ
    ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ⭐️⭐️⭐️
    (ตอนที่ 1)
    ความยั่งยืนของระบบสุขภาพนั้นประกอบไปด้วยความตระหนักของประชาชนในการดูแลตัวเองด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเพาะบ่ม ตั้งแต่ในครอบครัวในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลต่อเนื่องไปทั้งชีวิต
    การละทิ้งการรักษาตัวเองจะก่อให้เกิดโรคทางสุขภาพมากมายทำให้คนไทย เปราะบางและพร้อมที่จะเกิดโรคต่างๆในระดับความรุนแรงมากกว่าปกติและแม้เมื่อกระทบกับโรคติดเชื้อกลับถึงกับเสียชีวิต อย่างง่ายดาย
    การโหมประโคม การรักษาฟรีได้ทุกโรคโดยไม่บอกความจริงถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่ทราบว่าการรักษานั้นไม่ได้ถึงขีดสุดตามที่ควรจะเป็น
    และแม้ว่าจะสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ดีเช่นหลอดเลือดหัวใจตันหรือภาวะไตวายซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานให้เป็นการฟอกเลือดแทนการล้างไตในช่องท้องซึ่งประชาชนและครอบครัวยังไม่พร้อมก่อให้เกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
    แต่จำนวนผู้ป่วยเหล่านี้ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนแพทย์พยาบาลและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรับมือไม่ไหว อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีการหยุดงานประท้วงของแพทย์ นักศึกษาแพทย์จนกระทั่งถึงลาออก ทั้งนี้เนื่องจากไม่เข้าใจว่าการให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ยังอยู่ในระบบได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เร่งผลิตแพทย์เอาแต่ปริมาณจำนวนและในที่สุดแล้วมีปัญหาเรื่องคุณภาพและผลกระทบก็คือตกอยู่ที่ประชาชนคนป่วยและขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขรวมถึงการฟ้องร้องอย่างรุนแรง

    ประเด็นที่เกี่ยวโยงกัน คือการหาประโยชน์จากระบบสุขภาพกลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจข้ามชาติ ทั้งนี้
    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอิทธิพลของบริษัทยา วัคซีนและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ โยงไปถึง หน่วยงานหลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และจนกระทั่งองค์กรหลัก ของโลก และในประเทศตะวันตก ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทยยึดถือตามเอาอย่างโดยไม่ผิดเพี้ยน

    การปล่อยออกตลาด ของวัคซีนโควิดในสภาวะฉุกเฉิน แต่กระนั้นก็ต้องมีการศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์เป็นขั้นตอนที่หนึ่ง

    ครอบครัวของเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่เป็นอาสาสมัครเข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ในการศึกษาในมนุษย์ระยะที่หนึ่งในเรื่องความปลอดภัย ปรากฏว่าหลังเข็มที่หนึ่งมีแต่ไข้เจ็บแขนและหายไป แต่หลังเข็มที่สองเกิดอาการมหาศาลตามต่อ 20 ถึง 30 อาการ ต้องเข้าโรงพยาบาล
    อาสาสมัครเหล่านี้นำไปรายงานใน วารสารนิวอิงแลนด์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 และสรุปว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนต่างมีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรงและกล่าวถึงเด็กหญิงคนนี้ว่าอาการไม่น่าวิตกอะไรและเป็นเพียงปวดท้องเนื่องจากความเครียดทางอารมณ์
    หลังจากนั้นอีกไม่นานข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนและนำไปสู่การศึกษาในมนุษย์อย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีการใช้จริงในกลางปี 2021

    วิดีโอนี้เป็นการบันทึกคำให้การของมารดาของเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบและขณะนี้ ยังต้องนั่งรถเข็นและใส่สายยางให้อาหาร เป็นคำให้การและหลักฐานต่อวุฒิสมาชิกและยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบ
    เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตีพิมพ์ในวารสาร ชั้นหนึ่งอันดับโลกมึความบิดเบี้ยว และในบทความตีพิมพ์นี้ นายแพทย์ที่เป็นชื่อแรกคือคนที่รับผิดชอบและดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วยซ้ำ

    กรุณาดูวิดีโอชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ได้มีการตัดต่อใดๆ

    https://youtu.be/L2GKPYzL_JQ?si=VKECXgj_GwGoqKzL

    ยาที่ถูกแสนถูกหมดสิทธิบัตรแล้วและถูกห้ามใช้อย่างรุนแรงจากองค์กรสากลต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย
    ในที่สุด FDA สหรัฐ แพ้คดี ต้องถอนข้อความในการห้ามใช้ ยาฆ่าพยาธิ ไอเวอร์เมคติน ในการป้องกัน และรักษาโควิด และที่มีการดูถูกถากถาง และส่งผลให้แพทย์ถูกลงโทษ

    อีกตัวอย่างที่น่ากลัวคือ การถ่ายทอดผ่านรกของวัคซีน COVID-19 mRNA
    หลักฐานจากการวิเคราะห์รก มารดา และเลือดจากสายสะดือหลังการฉีดวัคซีน

    https://www.ajog.org/article/S0002-9378(24)00063-2/fulltext?fbclid=IwAR213l0Ygqu3FCbE-9iXZ6eZUDjwBk6JnfHex9JA1W2CQKokz62WLOj7tpI

    ประเด็นที่ร้ายแรงต่อตามมาก็คือ ผลผลิตของนวัตกรรมซึ่งสามารถเกิดขึ้น อย่างมหัศจรรย์ แบบผิดธรรมชาติ จากวัคซีนโควิด
    นวัตกรรมนี้สามารถสร้างความเสียหายโดยผ่านกลไกหลายระบบ แบบที่พบเห็นกันทั่วไปจากกลไกทางด้านภูมิคุ้มกัน

    แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือความสามารถที่จะฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ไปนานเป็นปี และสั่งให้ร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม เป็นเป้าล่อให้กระบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์เข้ามาทำลาย ซึ่งก็หมายความว่าทำร้ายตัวเอง

    นอกจากนั้นโปรตีนหนามนี้ เข้าไปสอดแทรกในเนื้อเยื่อที่ลึกลงไป ก่อให้เกิดการอักเสบมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และต่อมา ชิ้นของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะค่อยๆ ทะลักออกมาทางผิวเซลล์ที่ถูกทำลาย

    และในกรณีของหลอดเลือดจะทะลักออกมาในกระแสเลือดโดยโปรตีนนี้ จะเหนี่ยวนำ ให้เกิดโปรตีนบิดเกลียว misfolded protein ลักษณะเป็นอมิลอยด์ ซึ่งไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ และค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ลักษณะอาจเป็นก้อนหรือเป็นแท่งหล่อ พบ ขณะมีชีวิตและเมื่อตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกิดทุกคน
    กลไกจากนวัตกรรมนี้ จนได้ผลิตผล ขั้นสูงสุดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และ “ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับว่าเกิดขึ้นได้นั้น” หมายความว่าแพลตฟอร์มของนวัตกรรมนี้ที่จะนำมาใช้สำหรับโรคอื่นทุกชนิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างในโลกนี้ ต้องถูกระงับ
    เป็นคำอธิบายชัดเจนในการต่อต้าน

    ทั้งนี้ ได้สรุปเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเยอรมันและเจ้าหน้าที่ในสหรัฐ
    กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำไม่สามารถนำลงไปตีพิมพ์ในวารสารได้ เพราะได้รับการต่อต้านตั้งแต่ พบหลักฐานใน 15 รายแรกและได้แจ้งให้สมาคม ราชวิทยาลัยของประเทศให้จับตาและทำการศึกษาอย่างจริงจังแต่ได้รับการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

    ดังนั้น เป็นการเสนองานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดในที่ประชุมนานาชาติ จากการชันสูตรศพและวิเคราะห์เนื้อเยื่อทางกล้องจุลทรรศน์และทางฟิสิกส์จากศพ 100 ราย และจากชิ้นเนื้อจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 ราย
    และข้อมูล ที่สำคัญที่มอบให้สื่อ ยังเป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน cath lab ที่ไม่ระบุชื่อ anonymous whistle blower ที่โรงพยาบาลในสหรัฐที่ทำการฉีดสีและดูด ลาก ตัด ก้อนที่ปะปนกับลิ่มเลือดตามปกติออกมา ซึ่งได้ทำการรายงานโรงพยาบาลทันทีแต่ได้รับคำสั่งห้ามพูดเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก เลยได้ทำการติดต่อโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐซึ่งก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้และทุกแห่งถูกสั่งห้ามพูด

    ทั้งนี้จะมีโรงพยาบาลหลักในสหรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้
    และสนับสนุนนวัตกรรมนี้ทำการปิดกั้นผลกระทบ เหล่านี้ อย่างสิ้นเชิง

    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/

    https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/

    ⭐️⭐️⭐️
    (ตอนที่ 2)

    ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษย์นั้นเริ่มเห็นหนาตาขึ้น จนปิดไม่มิดและประชาชนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
    สำหรับคนที่ยังไม่เกิดอาการและไม่เห็นความสำคัญ ของข้อมูลเหล่านี้ต้องไม่ลืมว่าต้องรอถึงอย่างน้อย 10 ปีจึงจะแน่ใจว่าอยู่รอดปลอดภัย

    วัคซีน นวัตกรรมอำมหิตนี้ 1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น 2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด 3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ 4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์
    5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์ 6-โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย 7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนียวนำทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอมิลอยด์โปรตีนเข้าไปในหลอดเลือด 8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์
    9-คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและสิบสอง และ 10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์

    สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆที่ทยอยกันออกมา
    สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต

    หยุด “มัน” เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก “มัน”
    ขั้นตอนที่จะสู้คือการพัฒนาการตรวจจากเลือดเพื่อดูปริมาณของสารผิดปกตินี้ และใช้ยาถอนพิษซึ่งขณะนี้มีหลายตำรับด้วยกันโดยที่ต้องประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย
    (ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ นวตกรรมอำมหิต ตอนหนึ่งและสอง)

    ประเด็นของ ขององค์การอนามัยโลก และยึดโยงลงเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วลากมาปัจจุบันและที่คนไทยจะเจออะไรในอนาคต
    Tucker Carlson น่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยก และคนเริ่มหันมาสนใจหลาย ล้านคนแล้ว
    https://youtu.be/4MIESbBnA2k?si=JV-UPUa9oHZkP25Y
    โดยที่ องค์การจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉินและสามารถกำหนดให้ประเทศภาคีต้องปฏิบัติตามทั้งในด้านยาผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้
    ไม่สามารถคิดเองทำเองได้โดยเด็ดขาด และสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องได้อย่างสมบูรณ์ทั้งโลกเป็น เรียลไทม์
    ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในภาคีเครือข่าย เนื้อหา บทกำหนดใหม่นั้น มีการตกแต่งต่อเติม อ่านแล้ว งงงวย สรุปคือ ถ้ายอมตามก็เป็นไปตามนั้น และองค์กรถ้าทำผิดพลาดจะไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งฟังดูคุ้นๆ ให้ประเทศรับผิดชอบกันเอง

    ควรหรือไม่ควรที่จะมีการถามจุดยืนของประเทศไทย หรือจะทำอย่างที่ทำมาตลอด ฝรั่งว่าดี ถึงจะทำ ถ้ามีคำแนะนำอะไร ของฝรั่งถือว่าดีที่สุด สมาคมราชวิทยาลัยต่างประเทศ ว่าอย่างไรต้องทำตาม ไม่มีใครเคยฉุกคิดว่า ข้อมูลที่ปรากฏผลที่ประมวลมีการตั้งใจที่จะตัดข้อมูลบางส่วนทิ้งที่ทำให้สถิติออกมา ดูดีหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้

    การอ่านวารสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ผลออกมาดีอย่างผิดธรรมชาติ หรือเลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จำเป็นต้องหาข้อมูลรอบด้าน totality of evidence สิ่งที่เห็นรอบตัว
    ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย โดยทางการ แถลงทุกสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ประกาศว่า
    มีคนได้รับผลกระทบของวัคซีนโควิดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ และเสียชีวิตมี จำนวนห้ารายเท่านั้น
    ดังนั้นอัตราส่วนคือหนึ่งต่อ 1,000,000 คน
    และข้อร้องเรียนอื่นๆนั้น เมื่อพิจารณา อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน

    รายงานในวารสารโดยจากคณะกรรมการพิจารณาผลข้างเคียงของวัคซีนในประเทศไทย บอกว่าวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียง“น้อยมาก” และ“ไม่รุนแรง”
    ในขณะที่สถาบันในประเทศไทยที่ไม่มีอคติทับซ้อนกลับรายงาน ตรงข้าม

    ประชาชนพยายามที่จะบอกว่าได้มีคำร้องไปแล้วครอบครัวมีคนตายไปแล้วแต่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกปัดตกมากมาย หรือที่มีการชดเชย โดย สปสช ไปแล้วก็จะมีการสรุปว่าเป็นตัวเลขที่บรรเทาความเดือดร้อน เท่านั้น ยัง ไม่ได้ พิสูจน์ เกี่ยวข้องกับวัคซีน

    เนื้อหาทางด้านล่างนี้เป็นคำบรรยายตามสูตรของกระทรวงสาธารณสุข อ่านแล้วพิจารณาให้ดี

    ……กองระบาด กรมการแพทย์ไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมีการตรวจสอบถูกต้องตามระบบของ WHO

    สปสช จ่ายเงินเยียวยา โดยไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลและผลสรุปของกองระบาดซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบผลข้างเคียงที่มีความถูกต้องกว่า
    เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลมีความกังวลว่าคนจะไม่ไปฉีดวัคซีน จึงยอมจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งหลายๆครั้งไม่มีการตรวจสอบที่ถูกต้องครับ เพื่อให้การเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน

    สรุปว่าเมื่อ ทางการ จะทำการอ้างอะไร จะเป็นไปตามเบื้องบนองค์กรสั่ง ใช้กรรมการที่ไม่ได้ประกาศชื่อว่ามีใครบ้าง และถ้าความเป็นจริงปรากฏตรงข้ามดังที่เห็นในปัจจุบัน จะต้องรับผิดชอบ ความผิดในการปกปิดบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และจะถูกลงโทษประการใดหรือไม่?

    ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่

    องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR)
    ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO)

    ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้

    ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง
    https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email

    สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว

    https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/
    https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/

    ขอขอบคุณ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    🙏🙏🙏
    กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ⭐️⭐️⭐️ (ตอนที่ 1) ความยั่งยืนของระบบสุขภาพนั้นประกอบไปด้วยความตระหนักของประชาชนในการดูแลตัวเองด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเพาะบ่ม ตั้งแต่ในครอบครัวในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลต่อเนื่องไปทั้งชีวิต การละทิ้งการรักษาตัวเองจะก่อให้เกิดโรคทางสุขภาพมากมายทำให้คนไทย เปราะบางและพร้อมที่จะเกิดโรคต่างๆในระดับความรุนแรงมากกว่าปกติและแม้เมื่อกระทบกับโรคติดเชื้อกลับถึงกับเสียชีวิต อย่างง่ายดาย การโหมประโคม การรักษาฟรีได้ทุกโรคโดยไม่บอกความจริงถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่ทราบว่าการรักษานั้นไม่ได้ถึงขีดสุดตามที่ควรจะเป็น และแม้ว่าจะสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ดีเช่นหลอดเลือดหัวใจตันหรือภาวะไตวายซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานให้เป็นการฟอกเลือดแทนการล้างไตในช่องท้องซึ่งประชาชนและครอบครัวยังไม่พร้อมก่อให้เกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่จำนวนผู้ป่วยเหล่านี้ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนแพทย์พยาบาลและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรับมือไม่ไหว อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีการหยุดงานประท้วงของแพทย์ นักศึกษาแพทย์จนกระทั่งถึงลาออก ทั้งนี้เนื่องจากไม่เข้าใจว่าการให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ยังอยู่ในระบบได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เร่งผลิตแพทย์เอาแต่ปริมาณจำนวนและในที่สุดแล้วมีปัญหาเรื่องคุณภาพและผลกระทบก็คือตกอยู่ที่ประชาชนคนป่วยและขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขรวมถึงการฟ้องร้องอย่างรุนแรง ประเด็นที่เกี่ยวโยงกัน คือการหาประโยชน์จากระบบสุขภาพกลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจข้ามชาติ ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอิทธิพลของบริษัทยา วัคซีนและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ โยงไปถึง หน่วยงานหลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และจนกระทั่งองค์กรหลัก ของโลก และในประเทศตะวันตก ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทยยึดถือตามเอาอย่างโดยไม่ผิดเพี้ยน การปล่อยออกตลาด ของวัคซีนโควิดในสภาวะฉุกเฉิน แต่กระนั้นก็ต้องมีการศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์เป็นขั้นตอนที่หนึ่ง ครอบครัวของเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่เป็นอาสาสมัครเข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ในการศึกษาในมนุษย์ระยะที่หนึ่งในเรื่องความปลอดภัย ปรากฏว่าหลังเข็มที่หนึ่งมีแต่ไข้เจ็บแขนและหายไป แต่หลังเข็มที่สองเกิดอาการมหาศาลตามต่อ 20 ถึง 30 อาการ ต้องเข้าโรงพยาบาล อาสาสมัครเหล่านี้นำไปรายงานใน วารสารนิวอิงแลนด์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 และสรุปว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนต่างมีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรงและกล่าวถึงเด็กหญิงคนนี้ว่าอาการไม่น่าวิตกอะไรและเป็นเพียงปวดท้องเนื่องจากความเครียดทางอารมณ์ หลังจากนั้นอีกไม่นานข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนและนำไปสู่การศึกษาในมนุษย์อย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีการใช้จริงในกลางปี 2021 วิดีโอนี้เป็นการบันทึกคำให้การของมารดาของเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบและขณะนี้ ยังต้องนั่งรถเข็นและใส่สายยางให้อาหาร เป็นคำให้การและหลักฐานต่อวุฒิสมาชิกและยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตีพิมพ์ในวารสาร ชั้นหนึ่งอันดับโลกมึความบิดเบี้ยว และในบทความตีพิมพ์นี้ นายแพทย์ที่เป็นชื่อแรกคือคนที่รับผิดชอบและดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วยซ้ำ กรุณาดูวิดีโอชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ได้มีการตัดต่อใดๆ https://youtu.be/L2GKPYzL_JQ?si=VKECXgj_GwGoqKzL ยาที่ถูกแสนถูกหมดสิทธิบัตรแล้วและถูกห้ามใช้อย่างรุนแรงจากองค์กรสากลต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย ในที่สุด FDA สหรัฐ แพ้คดี ต้องถอนข้อความในการห้ามใช้ ยาฆ่าพยาธิ ไอเวอร์เมคติน ในการป้องกัน และรักษาโควิด และที่มีการดูถูกถากถาง และส่งผลให้แพทย์ถูกลงโทษ อีกตัวอย่างที่น่ากลัวคือ การถ่ายทอดผ่านรกของวัคซีน COVID-19 mRNA หลักฐานจากการวิเคราะห์รก มารดา และเลือดจากสายสะดือหลังการฉีดวัคซีน https://www.ajog.org/article/S0002-9378(24)00063-2/fulltext?fbclid=IwAR213l0Ygqu3FCbE-9iXZ6eZUDjwBk6JnfHex9JA1W2CQKokz62WLOj7tpI ประเด็นที่ร้ายแรงต่อตามมาก็คือ ผลผลิตของนวัตกรรมซึ่งสามารถเกิดขึ้น อย่างมหัศจรรย์ แบบผิดธรรมชาติ จากวัคซีนโควิด นวัตกรรมนี้สามารถสร้างความเสียหายโดยผ่านกลไกหลายระบบ แบบที่พบเห็นกันทั่วไปจากกลไกทางด้านภูมิคุ้มกัน แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือความสามารถที่จะฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ไปนานเป็นปี และสั่งให้ร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม เป็นเป้าล่อให้กระบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์เข้ามาทำลาย ซึ่งก็หมายความว่าทำร้ายตัวเอง นอกจากนั้นโปรตีนหนามนี้ เข้าไปสอดแทรกในเนื้อเยื่อที่ลึกลงไป ก่อให้เกิดการอักเสบมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และต่อมา ชิ้นของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะค่อยๆ ทะลักออกมาทางผิวเซลล์ที่ถูกทำลาย และในกรณีของหลอดเลือดจะทะลักออกมาในกระแสเลือดโดยโปรตีนนี้ จะเหนี่ยวนำ ให้เกิดโปรตีนบิดเกลียว misfolded protein ลักษณะเป็นอมิลอยด์ ซึ่งไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ และค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ลักษณะอาจเป็นก้อนหรือเป็นแท่งหล่อ พบ ขณะมีชีวิตและเมื่อตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกิดทุกคน กลไกจากนวัตกรรมนี้ จนได้ผลิตผล ขั้นสูงสุดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และ “ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับว่าเกิดขึ้นได้นั้น” หมายความว่าแพลตฟอร์มของนวัตกรรมนี้ที่จะนำมาใช้สำหรับโรคอื่นทุกชนิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างในโลกนี้ ต้องถูกระงับ เป็นคำอธิบายชัดเจนในการต่อต้าน ทั้งนี้ ได้สรุปเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเยอรมันและเจ้าหน้าที่ในสหรัฐ กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำไม่สามารถนำลงไปตีพิมพ์ในวารสารได้ เพราะได้รับการต่อต้านตั้งแต่ พบหลักฐานใน 15 รายแรกและได้แจ้งให้สมาคม ราชวิทยาลัยของประเทศให้จับตาและทำการศึกษาอย่างจริงจังแต่ได้รับการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ดังนั้น เป็นการเสนองานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดในที่ประชุมนานาชาติ จากการชันสูตรศพและวิเคราะห์เนื้อเยื่อทางกล้องจุลทรรศน์และทางฟิสิกส์จากศพ 100 ราย และจากชิ้นเนื้อจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 ราย และข้อมูล ที่สำคัญที่มอบให้สื่อ ยังเป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน cath lab ที่ไม่ระบุชื่อ anonymous whistle blower ที่โรงพยาบาลในสหรัฐที่ทำการฉีดสีและดูด ลาก ตัด ก้อนที่ปะปนกับลิ่มเลือดตามปกติออกมา ซึ่งได้ทำการรายงานโรงพยาบาลทันทีแต่ได้รับคำสั่งห้ามพูดเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก เลยได้ทำการติดต่อโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐซึ่งก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้และทุกแห่งถูกสั่งห้ามพูด ทั้งนี้จะมีโรงพยาบาลหลักในสหรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้ และสนับสนุนนวัตกรรมนี้ทำการปิดกั้นผลกระทบ เหล่านี้ อย่างสิ้นเชิง ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข มหาวิทยาลัยรังสิต https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/ https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/ ⭐️⭐️⭐️ (ตอนที่ 2) ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษย์นั้นเริ่มเห็นหนาตาขึ้น จนปิดไม่มิดและประชาชนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า สำหรับคนที่ยังไม่เกิดอาการและไม่เห็นความสำคัญ ของข้อมูลเหล่านี้ต้องไม่ลืมว่าต้องรอถึงอย่างน้อย 10 ปีจึงจะแน่ใจว่าอยู่รอดปลอดภัย วัคซีน นวัตกรรมอำมหิตนี้ 1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น 2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด 3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ 4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์ 5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์ 6-โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย 7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนียวนำทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอมิลอยด์โปรตีนเข้าไปในหลอดเลือด 8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์ 9-คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและสิบสอง และ 10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์ สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆที่ทยอยกันออกมา สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต หยุด “มัน” เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก “มัน” ขั้นตอนที่จะสู้คือการพัฒนาการตรวจจากเลือดเพื่อดูปริมาณของสารผิดปกตินี้ และใช้ยาถอนพิษซึ่งขณะนี้มีหลายตำรับด้วยกันโดยที่ต้องประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย (ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ นวตกรรมอำมหิต ตอนหนึ่งและสอง) ประเด็นของ ขององค์การอนามัยโลก และยึดโยงลงเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วลากมาปัจจุบันและที่คนไทยจะเจออะไรในอนาคต Tucker Carlson น่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยก และคนเริ่มหันมาสนใจหลาย ล้านคนแล้ว https://youtu.be/4MIESbBnA2k?si=JV-UPUa9oHZkP25Y โดยที่ องค์การจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉินและสามารถกำหนดให้ประเทศภาคีต้องปฏิบัติตามทั้งในด้านยาผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ไม่สามารถคิดเองทำเองได้โดยเด็ดขาด และสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องได้อย่างสมบูรณ์ทั้งโลกเป็น เรียลไทม์ ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในภาคีเครือข่าย เนื้อหา บทกำหนดใหม่นั้น มีการตกแต่งต่อเติม อ่านแล้ว งงงวย สรุปคือ ถ้ายอมตามก็เป็นไปตามนั้น และองค์กรถ้าทำผิดพลาดจะไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งฟังดูคุ้นๆ ให้ประเทศรับผิดชอบกันเอง ควรหรือไม่ควรที่จะมีการถามจุดยืนของประเทศไทย หรือจะทำอย่างที่ทำมาตลอด ฝรั่งว่าดี ถึงจะทำ ถ้ามีคำแนะนำอะไร ของฝรั่งถือว่าดีที่สุด สมาคมราชวิทยาลัยต่างประเทศ ว่าอย่างไรต้องทำตาม ไม่มีใครเคยฉุกคิดว่า ข้อมูลที่ปรากฏผลที่ประมวลมีการตั้งใจที่จะตัดข้อมูลบางส่วนทิ้งที่ทำให้สถิติออกมา ดูดีหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้ การอ่านวารสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ผลออกมาดีอย่างผิดธรรมชาติ หรือเลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จำเป็นต้องหาข้อมูลรอบด้าน totality of evidence สิ่งที่เห็นรอบตัว ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย โดยทางการ แถลงทุกสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ประกาศว่า มีคนได้รับผลกระทบของวัคซีนโควิดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ และเสียชีวิตมี จำนวนห้ารายเท่านั้น ดังนั้นอัตราส่วนคือหนึ่งต่อ 1,000,000 คน และข้อร้องเรียนอื่นๆนั้น เมื่อพิจารณา อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน รายงานในวารสารโดยจากคณะกรรมการพิจารณาผลข้างเคียงของวัคซีนในประเทศไทย บอกว่าวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียง“น้อยมาก” และ“ไม่รุนแรง” ในขณะที่สถาบันในประเทศไทยที่ไม่มีอคติทับซ้อนกลับรายงาน ตรงข้าม ประชาชนพยายามที่จะบอกว่าได้มีคำร้องไปแล้วครอบครัวมีคนตายไปแล้วแต่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกปัดตกมากมาย หรือที่มีการชดเชย โดย สปสช ไปแล้วก็จะมีการสรุปว่าเป็นตัวเลขที่บรรเทาความเดือดร้อน เท่านั้น ยัง ไม่ได้ พิสูจน์ เกี่ยวข้องกับวัคซีน เนื้อหาทางด้านล่างนี้เป็นคำบรรยายตามสูตรของกระทรวงสาธารณสุข อ่านแล้วพิจารณาให้ดี ……กองระบาด กรมการแพทย์ไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมีการตรวจสอบถูกต้องตามระบบของ WHO สปสช จ่ายเงินเยียวยา โดยไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลและผลสรุปของกองระบาดซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบผลข้างเคียงที่มีความถูกต้องกว่า เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลมีความกังวลว่าคนจะไม่ไปฉีดวัคซีน จึงยอมจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งหลายๆครั้งไม่มีการตรวจสอบที่ถูกต้องครับ เพื่อให้การเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน สรุปว่าเมื่อ ทางการ จะทำการอ้างอะไร จะเป็นไปตามเบื้องบนองค์กรสั่ง ใช้กรรมการที่ไม่ได้ประกาศชื่อว่ามีใครบ้าง และถ้าความเป็นจริงปรากฏตรงข้ามดังที่เห็นในปัจจุบัน จะต้องรับผิดชอบ ความผิดในการปกปิดบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และจะถูกลงโทษประการใดหรือไม่? ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่ องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR) ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO) ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้ ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/ https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/ ขอขอบคุณ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 🙏🙏🙏
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 557 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิญญูชนกับปุถุชน
    คำว่าวิญญูชนกับปุถุชนอาจจะเป็นคำที่เข้าใจได้ยาก แต่มันหมายถึงคนที่ดีกับคนธรรมดาทั่วๆไป นั่นล่ะคือความหมายที่ผมจะกล่าวถึง
    น้อยคนนักที่จะประพฤติตนในแบบวิญญูชนได้ และส่วนมากก็มักจะเป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาเท่านั้น เพราะว่ามันไม่ได้เป็นกันได้ยากมากมายกันนักนั่นเอง
    วิญญูชนในความหมายของผมคือ บุคคลผู้ที่มีศีลธรรมและเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมและจริยวัตรอันงดงามนั่นเอง ส่วนปุถุชนนั้น ในความหมายของผมนั้นหมายถึง บุคคลผู้ที่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่มีซึ่งกิเลสตัณหา มีซึ่งความรัก,โลภ,โกรธ,หลง อยู่มากมายเต็มเปี่ยมในหัวใจตนนั่นเอง
    คนเราถ้าว่าด้วยการขาดซึ่งศีลธรรมแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์เดรัจฉานดีๆตัวหนึ่งนั่นเอง ฉะนั้นเราถึงควรคิดตระหนักให้มั่นให้อยู่ในใจเราว่า เราจะเลือกซึ่งเส้นทางใดระหว่างวิญญูชนกับปุถุชน และถ้าโลกนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยคนที่ไร้ซึ่งศีลธรรมประจำใจตนแล้ว โลกเรามันคงวุ่นวายสับสนปั่นป่วนอลหม่านว้าวุ่นโว้งเว้งเคว้งคว้างมากๆเลย และเพราะผู้คนในโลกนี้ขาดซึ่งศีลธรรมกันมาก มันจึงทำให้โลกนี้เน่าเฟะไม่น่าอาศัยอยู่เอาเสียเลย สักวันมันคงจะไม่ต่างไปจากโลกแห่งสัตว์ดุร้ายสุดดุป่าเถื่อนกันถ้วนหน้า ซึ่งมันจะเต็มไปด้วยมาร,ภูติ,ผี,ปีศาจ,อสูร,สัตว์นรก,อมนุษย์ และตัวประหลาดเต็มเกลื่อนกลาดเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดไปทั่วกรุงทั่วนครกันเป็นแน่แท้จริงทีเดียวเชียว
    ท้ายที่สุดแล้วพวกเราจะใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไรในสังคมโลกใบนี้กันนะ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงถึงปานนั้นขั้นที่เราจะอาศัยอยู่ในที่ไหนแห่งหนใดไม่ได้อีกต่อไป และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนคงจะเลือกเดินในเส้นทางที่ดีที่ถูกต้องดีงามกันมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้กันนะครับ
    วิญญูชนกับปุถุชน คำว่าวิญญูชนกับปุถุชนอาจจะเป็นคำที่เข้าใจได้ยาก แต่มันหมายถึงคนที่ดีกับคนธรรมดาทั่วๆไป นั่นล่ะคือความหมายที่ผมจะกล่าวถึง น้อยคนนักที่จะประพฤติตนในแบบวิญญูชนได้ และส่วนมากก็มักจะเป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาเท่านั้น เพราะว่ามันไม่ได้เป็นกันได้ยากมากมายกันนักนั่นเอง วิญญูชนในความหมายของผมคือ บุคคลผู้ที่มีศีลธรรมและเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมและจริยวัตรอันงดงามนั่นเอง ส่วนปุถุชนนั้น ในความหมายของผมนั้นหมายถึง บุคคลผู้ที่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่มีซึ่งกิเลสตัณหา มีซึ่งความรัก,โลภ,โกรธ,หลง อยู่มากมายเต็มเปี่ยมในหัวใจตนนั่นเอง คนเราถ้าว่าด้วยการขาดซึ่งศีลธรรมแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์เดรัจฉานดีๆตัวหนึ่งนั่นเอง ฉะนั้นเราถึงควรคิดตระหนักให้มั่นให้อยู่ในใจเราว่า เราจะเลือกซึ่งเส้นทางใดระหว่างวิญญูชนกับปุถุชน และถ้าโลกนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยคนที่ไร้ซึ่งศีลธรรมประจำใจตนแล้ว โลกเรามันคงวุ่นวายสับสนปั่นป่วนอลหม่านว้าวุ่นโว้งเว้งเคว้งคว้างมากๆเลย และเพราะผู้คนในโลกนี้ขาดซึ่งศีลธรรมกันมาก มันจึงทำให้โลกนี้เน่าเฟะไม่น่าอาศัยอยู่เอาเสียเลย สักวันมันคงจะไม่ต่างไปจากโลกแห่งสัตว์ดุร้ายสุดดุป่าเถื่อนกันถ้วนหน้า ซึ่งมันจะเต็มไปด้วยมาร,ภูติ,ผี,ปีศาจ,อสูร,สัตว์นรก,อมนุษย์ และตัวประหลาดเต็มเกลื่อนกลาดเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดไปทั่วกรุงทั่วนครกันเป็นแน่แท้จริงทีเดียวเชียว ท้ายที่สุดแล้วพวกเราจะใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไรในสังคมโลกใบนี้กันนะ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงถึงปานนั้นขั้นที่เราจะอาศัยอยู่ในที่ไหนแห่งหนใดไม่ได้อีกต่อไป และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนคงจะเลือกเดินในเส้นทางที่ดีที่ถูกต้องดีงามกันมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้กันนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action

    วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ

    ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา

    ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ

    คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน

    นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู

    คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน

    ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100%

    ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น

    นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1%

    ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20%

    ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน
    .
    .
    .
    ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้

    นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ

    และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด

    คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่

    ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย

    การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก

    (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ)

    แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ

    และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา
    .
    .
    .
    เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ

    ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง

    แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม

    คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน

    ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ

    ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ

    เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท

    ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม
    .
    .
    .
    ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ

    คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ

    จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง

    เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู

    อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย

    และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล

    คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด

    เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์

    ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ”
    .
    .
    .
    ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง

    คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย

    ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง

    หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์”

    ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary"

    "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“

    ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ

    เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“

    …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ…

    ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉


    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100% ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1% ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20% ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน . . . ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่ ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ) แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา . . . เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม . . . ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์ ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ” . . . ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์” ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary" "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“ ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“ …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ… ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉 นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 461 มุมมอง 0 รีวิว
  • รำลึกวันครู 16 มค. 2568

    ครูครับ ผมให้อภัยครับ

    ย้อนกลับไปราวปี 2530 ข้าพเจ้าอยู่ ป.5 ข้าพเจ้าชอบวาดรูปมาก และเป็นอย่างหนึ่งที่รู้สึกว่าทำได้ดีมาก ก่อนจะขึ้น ป.5 ผลงานวาดรูปของข้าพเจ้า มักจะได้ขึ้นโชว์บนบอร์ดของโรงเรียนอยู่ประจำ มันทำให้ข้าพเจ้าภูมิใจมาก เมื่อขึ้น ป.5 ครูสอนวาดรูปไม่ใช่คนเดิม แต่เป็นครูพละมาสอน

    เมื่อครูพละมาสอนวาดรูป ครูไม่ได้สอนอะไร พวกเรามักจะได้เล่นในห้อง ส่วนข้าพเจ้ามักจะวาดรูปอะไรไปเรื่อย แต่ช่วงท้ายครูจะสั่งการบ้าน การบ้านแรก คือ ครูสั่งให้วาดรูปอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่ ภูเขา กับ พระอาทิตย์ ข้าพเจ้าได้เล็งไว้แล้วว่าจะวาดรูปทุ่งนาเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตา ตัดกับท้องฟ้าสีส้มแเดงยามเย็น ซึ่งเป็นทิวทัศน์จริงแถวบ้าน วันนั้นเป็นวันเสาร์ ข้าพเจ้าขี่จักรยานไปร่างภาพจากสถานที่จริง และพยายามจดจำรายละเอียด สีสันเบื้องหน้า ก่อนจะกลับมาลงสีน้ำที่บ้านในวันอาทิตย์ ซึ่งได้นัดเพื่อนๆ ไว้ มาวาดรูปส่งครูด้วยกัน

    ในตอนเช้าวันอาทิตย์ เพื่อนมารวมตัว และเริ่มวาดรูปกัน เมื่อเพื่อนๆ เห็นภาพวาดของข้าพเจ้า ทุกคนก็ท้วงติง เพราะมีภาพดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าปลายนา ข้าพเจ้าก็บอกเพื่อนว่า ถ้ามาดูทุ่งนาตรงนี้ เวลานี้ จะเห็นพระอาทิตย์ตกดินเสมอ ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่ได้สนใจทั้งภูเขาหรือพระอาทิตย์ เพราะเพลิดเพลินกับการผสมสี ลงสี โดยหารู้ไม่ว่า นี้จะเป็นภาพสุดท้ายที่ข้าพเจ้าวาด ในระหว่างวาดรูปลงสี ก็จะมีผู้ใหญ่แวะเวียนมาดู ส่วนใหญ่ก็จะชมข้าพเจ้า ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจใหญ่เลย

    เมื่อถึงวันที่ต้องส่งงานข้าพเจ้าเดินไปโรงเรียน โดยเอาภาพวาดออกข้างหน้า เพื่อจะให้ทุกคนเห็นและชม พลางฝันไปว่า ภาพวาดจะได้ขึ้นบอร์ดอีก ที่หน้าโรงเรียน คุณครูที่รอรับนักเรียนชื่นชมภาพวาดที่ข้าพเจ้าอวด เมื่อถึงห้องเรียน เพื่อนๆ ที่ยังไม่เห็นต่างมาดูภาพวาดและชื่นชมว่าวาดสวย แต่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าครูไม่ให้วาดพระอาทิตย์ ข้าพเจ้าเริ่มหวั่นใจ เพราะเป็นคนเดียวที่มีพระอาทิตย์ เมื่อครูพละสอนวาดรูปเข้ามา ครูให้นักเรียนเข้าแถวเพื่อส่งภาพให้ครูดู ครูพิจารณา และให้คะแนน โดยเขียนไปบนภาพ คะแนนเต็ม 10 เพื่อนๆ ที่ส่งก่อนหน้าข้าพเจ้า ต่างได้คะแนน อยู่ในช่วง 6-8 คะแนน เมื่อใกล้ถึง ข้าพเจ้าเริ่มใจไม่ดี บรรยากาศในห้องเรียนออกจะเจี๊ยวจ๊าว เพื่อนที่ส่งแล้ว ก็ไปคุยเล่นกัน เพื่อนที่ได้คะแนนสูงก็เอาไปอวดเพื่อนคนอื่นๆ ครูไม่มองนักเรียน ดูแต่ภาพวาดแล้วให้คะแนน โดยไม่พูดอะไร

    เมื่อข้าพเจ้ายื่นภาพวาดให้ครูดู ครูเงยหน้ามอง ข้าพเจ้ารู้ได้ทันทีว่าผิดไปแล้ว ครูตบโต๊ะ ห้องเงียบสนิท ข้าพเจ้าสะดุ้งกลัว ครูดุว่า "ก็บอกแล้ว ไม่ให้วาดรูปพระอาทิตย์ " ข้าพเจ้าก้มหน้ากลัวจับใจ อยากจะร้องไห้ แต่กลั้นไว้ ครูเขียนคะแนน 4 ข้าพเจ้าสูญเสียความมั่นใจ เดินซึมๆ กลับมาที่โต๊ะ เพื่อนมองตาม เมื่อข้าพเจ้านั่งลง ความเจี๊ยวจ๊าวกลับมา

    ในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่นึกโกรธครูเลย แค่เลิกสนใจวาดรูป แค่ทำตามที่ครูสั่ง ครูให้วาดไก่ ข้าพเจ้าก็วาดแค่ไก่ โดยไม่ใส่จินตนาการหรือรายละเอียดอย่างอื่นลงไป ไม่ชวนเพื่อนมาวาดรูปด้วยกันอีกเลย หยุดวาดรูปนอกเวลาไปเลย เมื่อเดินผ่านบอร์ดที่ติดภาพวาด ข้าพเจ้าไม่เหลียวมอง เอาเข้าจริง ข้าพเจ้ายังชอบการวาดรูปอยู่ แต่กลัวเกินกว่าที่จะวาด

    ความโกรธมาเกิดขึ้นเมื่อผ่านมาหลายปีแล้ว จะเป็นความรู้สึกแบบ เวลาเห็นผู้ใหญ่ทำร้ายเด็ก ทำนอง "เฮ้ย! ทำแบบนั้นกับเด็กได้อย่างไงวะ" แล้วก็คิดเลยไปว่า ครูเอาหลักอะไรมาตัดสิน เป็นครูพละนะ ครูไม่เคยสอนการวาดรูปซักครั้ง ครูทำกับผมแบบนั้นได้อย่างไร แค่ครูก้มหน้า ให้คะแนนไป ไม่พูดอะไร มันคงแตกต่างกว่านี้ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคำถามที่เกิดขึ้นภายหลัง ข้าพเจ้าทั้งโกรธและเจ็บในหัวใจ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้

    ครูครับ ตอนนี้ผมไม่โกรธครูแล้วครับ แต่ผมก็ไม่เคยวาดรูปอีกเลยครับ ผมเติบโตและฝึกฝนทักษะด้านอื่น แต่ผมยังชอบศิลปะเหมือนเดิมครับ ผ่านการชมและสัมผัสด้วยหัวใจครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมผ่านมันไปไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมเด็กเกินไป ครูเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย ครูทำลายทักษะการวาดของผม ขณะเดียวกันก็สร้างให้ผมไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในอนาคตข้างหน้า ผมไม่ขอบคุณครูนะครับ เพราะครูไม่ได้ตั้งใจสอนในเรื่องนี้ ผมเรียนรู้ของผมเอง แต่ผมให้อภัยครับครู
    รำลึกวันครู 16 มค. 2568 ครูครับ ผมให้อภัยครับ ย้อนกลับไปราวปี 2530 ข้าพเจ้าอยู่ ป.5 ข้าพเจ้าชอบวาดรูปมาก และเป็นอย่างหนึ่งที่รู้สึกว่าทำได้ดีมาก ก่อนจะขึ้น ป.5 ผลงานวาดรูปของข้าพเจ้า มักจะได้ขึ้นโชว์บนบอร์ดของโรงเรียนอยู่ประจำ มันทำให้ข้าพเจ้าภูมิใจมาก เมื่อขึ้น ป.5 ครูสอนวาดรูปไม่ใช่คนเดิม แต่เป็นครูพละมาสอน เมื่อครูพละมาสอนวาดรูป ครูไม่ได้สอนอะไร พวกเรามักจะได้เล่นในห้อง ส่วนข้าพเจ้ามักจะวาดรูปอะไรไปเรื่อย แต่ช่วงท้ายครูจะสั่งการบ้าน การบ้านแรก คือ ครูสั่งให้วาดรูปอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่ ภูเขา กับ พระอาทิตย์ ข้าพเจ้าได้เล็งไว้แล้วว่าจะวาดรูปทุ่งนาเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตา ตัดกับท้องฟ้าสีส้มแเดงยามเย็น ซึ่งเป็นทิวทัศน์จริงแถวบ้าน วันนั้นเป็นวันเสาร์ ข้าพเจ้าขี่จักรยานไปร่างภาพจากสถานที่จริง และพยายามจดจำรายละเอียด สีสันเบื้องหน้า ก่อนจะกลับมาลงสีน้ำที่บ้านในวันอาทิตย์ ซึ่งได้นัดเพื่อนๆ ไว้ มาวาดรูปส่งครูด้วยกัน ในตอนเช้าวันอาทิตย์ เพื่อนมารวมตัว และเริ่มวาดรูปกัน เมื่อเพื่อนๆ เห็นภาพวาดของข้าพเจ้า ทุกคนก็ท้วงติง เพราะมีภาพดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าปลายนา ข้าพเจ้าก็บอกเพื่อนว่า ถ้ามาดูทุ่งนาตรงนี้ เวลานี้ จะเห็นพระอาทิตย์ตกดินเสมอ ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่ได้สนใจทั้งภูเขาหรือพระอาทิตย์ เพราะเพลิดเพลินกับการผสมสี ลงสี โดยหารู้ไม่ว่า นี้จะเป็นภาพสุดท้ายที่ข้าพเจ้าวาด ในระหว่างวาดรูปลงสี ก็จะมีผู้ใหญ่แวะเวียนมาดู ส่วนใหญ่ก็จะชมข้าพเจ้า ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจใหญ่เลย เมื่อถึงวันที่ต้องส่งงานข้าพเจ้าเดินไปโรงเรียน โดยเอาภาพวาดออกข้างหน้า เพื่อจะให้ทุกคนเห็นและชม พลางฝันไปว่า ภาพวาดจะได้ขึ้นบอร์ดอีก ที่หน้าโรงเรียน คุณครูที่รอรับนักเรียนชื่นชมภาพวาดที่ข้าพเจ้าอวด เมื่อถึงห้องเรียน เพื่อนๆ ที่ยังไม่เห็นต่างมาดูภาพวาดและชื่นชมว่าวาดสวย แต่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าครูไม่ให้วาดพระอาทิตย์ ข้าพเจ้าเริ่มหวั่นใจ เพราะเป็นคนเดียวที่มีพระอาทิตย์ เมื่อครูพละสอนวาดรูปเข้ามา ครูให้นักเรียนเข้าแถวเพื่อส่งภาพให้ครูดู ครูพิจารณา และให้คะแนน โดยเขียนไปบนภาพ คะแนนเต็ม 10 เพื่อนๆ ที่ส่งก่อนหน้าข้าพเจ้า ต่างได้คะแนน อยู่ในช่วง 6-8 คะแนน เมื่อใกล้ถึง ข้าพเจ้าเริ่มใจไม่ดี บรรยากาศในห้องเรียนออกจะเจี๊ยวจ๊าว เพื่อนที่ส่งแล้ว ก็ไปคุยเล่นกัน เพื่อนที่ได้คะแนนสูงก็เอาไปอวดเพื่อนคนอื่นๆ ครูไม่มองนักเรียน ดูแต่ภาพวาดแล้วให้คะแนน โดยไม่พูดอะไร เมื่อข้าพเจ้ายื่นภาพวาดให้ครูดู ครูเงยหน้ามอง ข้าพเจ้ารู้ได้ทันทีว่าผิดไปแล้ว ครูตบโต๊ะ ห้องเงียบสนิท ข้าพเจ้าสะดุ้งกลัว ครูดุว่า "ก็บอกแล้ว ไม่ให้วาดรูปพระอาทิตย์ " ข้าพเจ้าก้มหน้ากลัวจับใจ อยากจะร้องไห้ แต่กลั้นไว้ ครูเขียนคะแนน 4 ข้าพเจ้าสูญเสียความมั่นใจ เดินซึมๆ กลับมาที่โต๊ะ เพื่อนมองตาม เมื่อข้าพเจ้านั่งลง ความเจี๊ยวจ๊าวกลับมา ในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่นึกโกรธครูเลย แค่เลิกสนใจวาดรูป แค่ทำตามที่ครูสั่ง ครูให้วาดไก่ ข้าพเจ้าก็วาดแค่ไก่ โดยไม่ใส่จินตนาการหรือรายละเอียดอย่างอื่นลงไป ไม่ชวนเพื่อนมาวาดรูปด้วยกันอีกเลย หยุดวาดรูปนอกเวลาไปเลย เมื่อเดินผ่านบอร์ดที่ติดภาพวาด ข้าพเจ้าไม่เหลียวมอง เอาเข้าจริง ข้าพเจ้ายังชอบการวาดรูปอยู่ แต่กลัวเกินกว่าที่จะวาด ความโกรธมาเกิดขึ้นเมื่อผ่านมาหลายปีแล้ว จะเป็นความรู้สึกแบบ เวลาเห็นผู้ใหญ่ทำร้ายเด็ก ทำนอง "เฮ้ย! ทำแบบนั้นกับเด็กได้อย่างไงวะ" แล้วก็คิดเลยไปว่า ครูเอาหลักอะไรมาตัดสิน เป็นครูพละนะ ครูไม่เคยสอนการวาดรูปซักครั้ง ครูทำกับผมแบบนั้นได้อย่างไร แค่ครูก้มหน้า ให้คะแนนไป ไม่พูดอะไร มันคงแตกต่างกว่านี้ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคำถามที่เกิดขึ้นภายหลัง ข้าพเจ้าทั้งโกรธและเจ็บในหัวใจ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ครูครับ ตอนนี้ผมไม่โกรธครูแล้วครับ แต่ผมก็ไม่เคยวาดรูปอีกเลยครับ ผมเติบโตและฝึกฝนทักษะด้านอื่น แต่ผมยังชอบศิลปะเหมือนเดิมครับ ผ่านการชมและสัมผัสด้วยหัวใจครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมผ่านมันไปไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมเด็กเกินไป ครูเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย ครูทำลายทักษะการวาดของผม ขณะเดียวกันก็สร้างให้ผมไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในอนาคตข้างหน้า ผมไม่ขอบคุณครูนะครับ เพราะครูไม่ได้ตั้งใจสอนในเรื่องนี้ ผมเรียนรู้ของผมเอง แต่ผมให้อภัยครับครู
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังคงระดมกำลังต่อสู้กับไฟป่าที่เผาผลาญบ้านเรือนหลายพันหลัง และทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 คนและสูญหายอย่างน้อย 16 คนในย่านเทศมณฑลลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ของสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์ (13 ม.ค.) ท่ามกลางคำเตือนที่ว่าว่า สภาพอากาศอันตรายที่เอื้ออำนวยให้ไฟป่าลุกลามจะหวนกลับมาถึงช่วงกลางสัปดาห์นี้ โดยจะอันตรายอย่างยิ่งในวันอังคาร (14) ขณะที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ไฟป่าครั้งนี้อาจเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
    .
    สำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (เอ็นดับเบิลยูเอส) ออกคำเตือนในวันอาทิตย์ (12) ว่า สภาพอากาศอันตรายจะหวนกลับมาและคงอยู่จนถึงวันพุธ (15) โดยมีความเร็วลมคงที่ที่ 80 กม./ชม. และความเร็วลมสูงสุด 113 กม./ชม. แต่จะอันตรายที่สุดในวันอังคาร
    .
    ริช ธอมป์สัน นักอุตุนิยมวิทยาของเอ็นดับเบิลยูเอส กล่าวในการประชุมชุมชนเมื่อคืนวันเสาร์ (11) ว่า ลอสแองเจลิสจะเผชิญกับลมซานตาแอนา ที่มีกำลังแรงมาก ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด ประกอบกับใบไม้ใบหญ้าแห้งมาก ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ไฟป่าลุกลามแรงขึ้น
    .
    อย่างไรก็ดี แอนโทนี ซี. มาร์โรน หัวหน้าแผนกดับเพลิงเทศมณฑลลอสแองเจลิส แถลงว่า มีรถบรรทุกน้ำมาเพิ่มอีก 70 คันเพื่อเตรียมรับมือลมกรรโชกแรงระลอกใหม่ และเสริมว่า การใช้เครื่องบินโปรยสารหน่วงไฟเมื่อวันอาทิตย์จะช่วยสร้างแนวป้องกันไฟบริเวณไหล่เขา
    .
    ลมซานตาแอน าที่โหมกระหน่ำรุนแรงถูกระบุว่า เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ไฟป่าที่ปะทุขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกลายเป็นไฟบรรลัยกัลป์ซึ่งเผาผลาญย่านต่างๆ ทั่วเมืองลอสแองเจลิสที่ไม่มีฝนตกหนักมากว่า 8 เดือน
    .
    โรเบิร์ต ลูนา เจ้าหน้าที่ปกครองเทศมณฑลลอสแองเจลิส แถลงว่า มีประชาชน 12 คนสูญหายในเขตที่เกิดไฟป่าอีตันไฟร์ และ 4 คนในเขตไฟป่าพาลิเซดส์ไฟร์ และอาจมีรายงานผู้สูญหายเพิ่มอีกนับสิบในช่วงเช้าวันอาทิตย์ ขณะที่พนักงานสอบสวนกำลังตรวจสอบว่า ผู้สูญหายบางคนอาจอยู่ในรายชื่อผู้เสียชีวิตหรือไม่
    .
    สำหรับยอดผู้เสียชีวิตจนถึงช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีทั้งหมด 24 คน และเจ้าหน้าที่คาดว่า ตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันขณะที่ทีมค้นหาพร้อมสุนัขกู้ภัยที่เน้นดมกลิ่นทำการค้นหาอย่างเป็นระบบในย่านต่างๆ ซึ่งถูกไฟเผาเผลาญ
    .
    นอกจากนั้นยังมีการออกคำเตือนว่า เถ้าถ่านจากไฟป่าอาจมีสารตะกั่ว สารหนู แร่ใยหิน และวัสดุอันตรายอื่นๆ ปะปนอยู่ รวมทั้งมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการปล้นชิง โดยเจ้าหน้าที่เผยว่า จับกุมผู้กระทำผิดได้เพิ่มขึ้น
    .
    สำนักงานป่าไม้และการป้องกันอัคคีภัยรัฐแคลิฟอร์เนีย (แคลไฟร์) แถลงเมื่อเช้าวันอาทิตย์ว่า ไฟป่าพาลิเซดส์ อีตัน เคนเนธ และเฮิร์สต์ เผาผลาญพื้นที่รวม 160 ตารางกิโลเมตร หรือกว้างกว่าพื้นที่นครซานฟรานซิสโกเสียอีก ขณะที่ตอนนี้สามารถควบคุมเพลิงในพาลิเซดส์ไฟร์ได้ 11%, อีตันไฟร์ 27%
    .
    เจ้าหน้าที่จากแคลิฟอร์เนียและอีก 8 รัฐเป็นส่วนหนึ่งของทีมรับมือไฟป่าที่รวมถึงอุปกรณ์ดับเพลิงเกือบ 1,400 เครื่อง เครื่องบิน 84 ลำ และบุคลากรกว่า 14,000 คน โดยรวมถึงเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากเม็กซิโกที่เพิ่งเดินทางมาสมทบช่วยเหลือ
    .
    ไฟป่าที่ปะทุขึ้นในวันอังคาร (7 ม.ค.) ทางด้านเหนือของตัวเมืองแอลเอขณะนี้เผาผลาญสิ่งปลูกสร้างไปแล้วกว่า 12,000 หลัง การประเมินเบื้องต้นของแอกคิวเวธเตอร์ระบุว่า ภัยพิบัตินี้อาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ 135,000-150,000 ล้านดอลลาร์
    .
    เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุระหว่างให้สัมภาษณ์กับเอ็นบีซีที่ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า นี่อาจเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
    .
    นอกจากนั้นเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) นิวซัมยังสั่งให้ตรวจสอบว่า เหตุใดน้ำจึงหมดจากอ่างเก็บน้ำที่สามารถกักเก็บน้ำได้ 440 ล้านลิตร และหัวดับเพลิงบางแห่งจึงไม่มีน้ำ
    .
    คริสติน โครว์ลีย์ หัวหน้าแผนกดับเพลิงเมืองแอลเอ กล่าวหาว่า ผู้นำของแอลเอไม่จัดสรรงบประมาณให้หน่วยดับเพลิงเพียงพอ และยังวิจารณ์สถานการณ์ที่หน่วยดับเพลิงไม่มีน้ำมาใช้ดับไฟป่า
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003914
    ..............
    Sondhi X
    เจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังคงระดมกำลังต่อสู้กับไฟป่าที่เผาผลาญบ้านเรือนหลายพันหลัง และทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 คนและสูญหายอย่างน้อย 16 คนในย่านเทศมณฑลลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ของสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์ (13 ม.ค.) ท่ามกลางคำเตือนที่ว่าว่า สภาพอากาศอันตรายที่เอื้ออำนวยให้ไฟป่าลุกลามจะหวนกลับมาถึงช่วงกลางสัปดาห์นี้ โดยจะอันตรายอย่างยิ่งในวันอังคาร (14) ขณะที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ไฟป่าครั้งนี้อาจเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา . สำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (เอ็นดับเบิลยูเอส) ออกคำเตือนในวันอาทิตย์ (12) ว่า สภาพอากาศอันตรายจะหวนกลับมาและคงอยู่จนถึงวันพุธ (15) โดยมีความเร็วลมคงที่ที่ 80 กม./ชม. และความเร็วลมสูงสุด 113 กม./ชม. แต่จะอันตรายที่สุดในวันอังคาร . ริช ธอมป์สัน นักอุตุนิยมวิทยาของเอ็นดับเบิลยูเอส กล่าวในการประชุมชุมชนเมื่อคืนวันเสาร์ (11) ว่า ลอสแองเจลิสจะเผชิญกับลมซานตาแอนา ที่มีกำลังแรงมาก ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด ประกอบกับใบไม้ใบหญ้าแห้งมาก ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ไฟป่าลุกลามแรงขึ้น . อย่างไรก็ดี แอนโทนี ซี. มาร์โรน หัวหน้าแผนกดับเพลิงเทศมณฑลลอสแองเจลิส แถลงว่า มีรถบรรทุกน้ำมาเพิ่มอีก 70 คันเพื่อเตรียมรับมือลมกรรโชกแรงระลอกใหม่ และเสริมว่า การใช้เครื่องบินโปรยสารหน่วงไฟเมื่อวันอาทิตย์จะช่วยสร้างแนวป้องกันไฟบริเวณไหล่เขา . ลมซานตาแอน าที่โหมกระหน่ำรุนแรงถูกระบุว่า เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ไฟป่าที่ปะทุขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกลายเป็นไฟบรรลัยกัลป์ซึ่งเผาผลาญย่านต่างๆ ทั่วเมืองลอสแองเจลิสที่ไม่มีฝนตกหนักมากว่า 8 เดือน . โรเบิร์ต ลูนา เจ้าหน้าที่ปกครองเทศมณฑลลอสแองเจลิส แถลงว่า มีประชาชน 12 คนสูญหายในเขตที่เกิดไฟป่าอีตันไฟร์ และ 4 คนในเขตไฟป่าพาลิเซดส์ไฟร์ และอาจมีรายงานผู้สูญหายเพิ่มอีกนับสิบในช่วงเช้าวันอาทิตย์ ขณะที่พนักงานสอบสวนกำลังตรวจสอบว่า ผู้สูญหายบางคนอาจอยู่ในรายชื่อผู้เสียชีวิตหรือไม่ . สำหรับยอดผู้เสียชีวิตจนถึงช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีทั้งหมด 24 คน และเจ้าหน้าที่คาดว่า ตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันขณะที่ทีมค้นหาพร้อมสุนัขกู้ภัยที่เน้นดมกลิ่นทำการค้นหาอย่างเป็นระบบในย่านต่างๆ ซึ่งถูกไฟเผาเผลาญ . นอกจากนั้นยังมีการออกคำเตือนว่า เถ้าถ่านจากไฟป่าอาจมีสารตะกั่ว สารหนู แร่ใยหิน และวัสดุอันตรายอื่นๆ ปะปนอยู่ รวมทั้งมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการปล้นชิง โดยเจ้าหน้าที่เผยว่า จับกุมผู้กระทำผิดได้เพิ่มขึ้น . สำนักงานป่าไม้และการป้องกันอัคคีภัยรัฐแคลิฟอร์เนีย (แคลไฟร์) แถลงเมื่อเช้าวันอาทิตย์ว่า ไฟป่าพาลิเซดส์ อีตัน เคนเนธ และเฮิร์สต์ เผาผลาญพื้นที่รวม 160 ตารางกิโลเมตร หรือกว้างกว่าพื้นที่นครซานฟรานซิสโกเสียอีก ขณะที่ตอนนี้สามารถควบคุมเพลิงในพาลิเซดส์ไฟร์ได้ 11%, อีตันไฟร์ 27% . เจ้าหน้าที่จากแคลิฟอร์เนียและอีก 8 รัฐเป็นส่วนหนึ่งของทีมรับมือไฟป่าที่รวมถึงอุปกรณ์ดับเพลิงเกือบ 1,400 เครื่อง เครื่องบิน 84 ลำ และบุคลากรกว่า 14,000 คน โดยรวมถึงเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากเม็กซิโกที่เพิ่งเดินทางมาสมทบช่วยเหลือ . ไฟป่าที่ปะทุขึ้นในวันอังคาร (7 ม.ค.) ทางด้านเหนือของตัวเมืองแอลเอขณะนี้เผาผลาญสิ่งปลูกสร้างไปแล้วกว่า 12,000 หลัง การประเมินเบื้องต้นของแอกคิวเวธเตอร์ระบุว่า ภัยพิบัตินี้อาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ 135,000-150,000 ล้านดอลลาร์ . เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุระหว่างให้สัมภาษณ์กับเอ็นบีซีที่ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า นี่อาจเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา . นอกจากนั้นเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) นิวซัมยังสั่งให้ตรวจสอบว่า เหตุใดน้ำจึงหมดจากอ่างเก็บน้ำที่สามารถกักเก็บน้ำได้ 440 ล้านลิตร และหัวดับเพลิงบางแห่งจึงไม่มีน้ำ . คริสติน โครว์ลีย์ หัวหน้าแผนกดับเพลิงเมืองแอลเอ กล่าวหาว่า ผู้นำของแอลเอไม่จัดสรรงบประมาณให้หน่วยดับเพลิงเพียงพอ และยังวิจารณ์สถานการณ์ที่หน่วยดับเพลิงไม่มีน้ำมาใช้ดับไฟป่า . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003914 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1453 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts