อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าการไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น
สัทธรรมลำดับที่ : 659
ชื่อบทธรรม :- การไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=659
เนื้อความทั้งหมด :-
--การไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น
(พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปในโรงเป็นที่รักษาภิกษุเจ็บไข้
ได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายในที่นั้นว่า : -)
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #พึงเป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ
http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=สมฺปชาโน+สติมา
: นี้เป็นอนุสาสนีของเรา สำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสติ เป็นอย่างไรเล่า ?
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ;
เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ....;
เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ....;
เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. อย่างนี้แล
--ภิกษุ ท. ! เรียกว่า #ภิกษุเป็นผู้มีสติ.
http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=สโต
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ?
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า
การถอยกลับไปข้างหลัง,
การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด,
การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร,
การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม,
การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ,
การไป การหยุด, การนั่ง การนอน, การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง,
อย่างนี้แล
--ภิกษุ ท. ! เรียกว่า #ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ.
http://etipitaka.com/read/pali/18/261/?keywords=สมฺปชาโน
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ
: นี้แล เป็นอนุสาสนีของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
--ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุ มีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรม อยู่ อย่างนี้, สุขเวทนา เกิดขึ้น ไซร้ ;
+--เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
“สุขเวทนานี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา, แต่สุขเวทนานี้ อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่อาศัยเหตุปัจจัยแล้วหาเกิดขึ้นได้ไม่.
+--อาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ? อาศัยเหตุปัจจัยคือกายนี้ นั่นเอง
ก็กายนี้ ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น
สุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายซึ่ง ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง
อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้แล้ว จักเป็นสุขเวทนาที่เที่ยงมาแต่ไหน”
ดังนี้.
+--ภิกษุนั้น #เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่
ตามเห็นความเสื่อม ความจางคลายอยู่ ตามเห็นความดับไป ความสลัดคืนอยู่
ในกายและในสุขเวทนา.
+--เมื่อเธอเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยง (เป็นต้น) อยู่ในกายและในสุขเวทนาอยู่ดังนี้,
เธอย่อมละเสียได้ ซึ่ง ราคานุสัย ในกายและในสุขเวทนานั้น.
(ในกรณีถัดไปซึ่งเป็นการเสวย ทุกขเวทนา อันจะเป็นเหตุให้เกิด ปฏิฆานุสัย นั้น
ก็ตรัสไว้ด้วยข้อความทำนองเดียวกัน ที่ภิกษุพิจารณาเห็นกายและทุกขเวทนานั้น
ไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
ก็ละปฏิฆานุสัยในกายและในทุกขเวทนานั้นเสียได้.
ในกรณีถัดไปอีก แห่งการเสวย อทุกขมสุขเวทนา อันจะเป็นทางให้เกิด อวิชชานุสัย
ก็ได้ตรัสวิธีปฏิบัติในการพิจารณาเห็นกายและอทุกขมสุขเวทนานั้น โดยทำนองเดียวกัน จนละอวิชชานุสัยเสียได้).
+--ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า
“ สุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่”
ดังนี้.
+--ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “ทุกขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง,
และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้.
+-ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “อทุกขมสุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง,
และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้.
+--ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น;
+--ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น;
+--ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น.
+--ภิกษุนั้น เมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ
ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ;
+--เมื่อเสวย เวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ
ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ.
เธอย่อม รู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว
จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต
เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้.
--ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน ได้อาศัยน้ำมันและไส้แล้ว ก็ลุกโพลงอยู่ได้,
เมื่อขาดปัจจัยเครื่องหล่อเลี้ยง เพราะขาดน้ำมันและไส้นั้นแล้ว ย่อมดับลง, นี้ฉันใด ;
http://etipitaka.com/read/pali/18/264/?keywords=สมฺปชาโน+สติมา
--ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือภิกษุ
เมื่อเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ,
#ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ดังนี้.
เมื่อเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ
#ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ดังนี้.
(เป็นอันว่า) ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดว่า
เวทนาทั้งปวงอันเรา
ไม่เพลิดเพลินแล้ว
จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว
จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต
เพราะการแตกทำลายแห่งกาย
http://etipitaka.com/read/pali/18/264/?keywords=กายสฺส
ดังนี้.-
#ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
อ้างอิงไทสสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/224/374-381.
http://etipitaka.com/read/thai/18/224/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%94
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๒๖๐/๓๗๔-๓๘๑.
http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%94
ศึกษาเพิ่มเติม...
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=659
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=659
หรือ
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน...
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
สัทธรรมลำดับที่ : 659
ชื่อบทธรรม :- การไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=659
เนื้อความทั้งหมด :-
--การไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น
(พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปในโรงเป็นที่รักษาภิกษุเจ็บไข้
ได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายในที่นั้นว่า : -)
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #พึงเป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ
http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=สมฺปชาโน+สติมา
: นี้เป็นอนุสาสนีของเรา สำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสติ เป็นอย่างไรเล่า ?
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ;
เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ....;
เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ....;
เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. อย่างนี้แล
--ภิกษุ ท. ! เรียกว่า #ภิกษุเป็นผู้มีสติ.
http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=สโต
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ?
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า
การถอยกลับไปข้างหลัง,
การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด,
การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร,
การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม,
การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ,
การไป การหยุด, การนั่ง การนอน, การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง,
อย่างนี้แล
--ภิกษุ ท. ! เรียกว่า #ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ.
http://etipitaka.com/read/pali/18/261/?keywords=สมฺปชาโน
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ
: นี้แล เป็นอนุสาสนีของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
--ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุ มีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรม อยู่ อย่างนี้, สุขเวทนา เกิดขึ้น ไซร้ ;
+--เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
“สุขเวทนานี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา, แต่สุขเวทนานี้ อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่อาศัยเหตุปัจจัยแล้วหาเกิดขึ้นได้ไม่.
+--อาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ? อาศัยเหตุปัจจัยคือกายนี้ นั่นเอง
ก็กายนี้ ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น
สุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายซึ่ง ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง
อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้แล้ว จักเป็นสุขเวทนาที่เที่ยงมาแต่ไหน”
ดังนี้.
+--ภิกษุนั้น #เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่
ตามเห็นความเสื่อม ความจางคลายอยู่ ตามเห็นความดับไป ความสลัดคืนอยู่
ในกายและในสุขเวทนา.
+--เมื่อเธอเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยง (เป็นต้น) อยู่ในกายและในสุขเวทนาอยู่ดังนี้,
เธอย่อมละเสียได้ ซึ่ง ราคานุสัย ในกายและในสุขเวทนานั้น.
(ในกรณีถัดไปซึ่งเป็นการเสวย ทุกขเวทนา อันจะเป็นเหตุให้เกิด ปฏิฆานุสัย นั้น
ก็ตรัสไว้ด้วยข้อความทำนองเดียวกัน ที่ภิกษุพิจารณาเห็นกายและทุกขเวทนานั้น
ไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
ก็ละปฏิฆานุสัยในกายและในทุกขเวทนานั้นเสียได้.
ในกรณีถัดไปอีก แห่งการเสวย อทุกขมสุขเวทนา อันจะเป็นทางให้เกิด อวิชชานุสัย
ก็ได้ตรัสวิธีปฏิบัติในการพิจารณาเห็นกายและอทุกขมสุขเวทนานั้น โดยทำนองเดียวกัน จนละอวิชชานุสัยเสียได้).
+--ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า
“ สุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่”
ดังนี้.
+--ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “ทุกขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง,
และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้.
+-ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “อทุกขมสุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง,
และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้.
+--ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น;
+--ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น;
+--ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น.
+--ภิกษุนั้น เมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ
ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ;
+--เมื่อเสวย เวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ
ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ.
เธอย่อม รู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว
จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต
เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้.
--ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน ได้อาศัยน้ำมันและไส้แล้ว ก็ลุกโพลงอยู่ได้,
เมื่อขาดปัจจัยเครื่องหล่อเลี้ยง เพราะขาดน้ำมันและไส้นั้นแล้ว ย่อมดับลง, นี้ฉันใด ;
http://etipitaka.com/read/pali/18/264/?keywords=สมฺปชาโน+สติมา
--ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือภิกษุ
เมื่อเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ,
#ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ดังนี้.
เมื่อเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ
#ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ดังนี้.
(เป็นอันว่า) ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดว่า
เวทนาทั้งปวงอันเรา
ไม่เพลิดเพลินแล้ว
จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว
จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต
เพราะการแตกทำลายแห่งกาย
http://etipitaka.com/read/pali/18/264/?keywords=กายสฺส
ดังนี้.-
#ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
อ้างอิงไทสสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/224/374-381.
http://etipitaka.com/read/thai/18/224/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%94
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๒๖๐/๓๗๔-๓๘๑.
http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%94
ศึกษาเพิ่มเติม...
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=659
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=659
หรือ
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน...
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าการไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น
สัทธรรมลำดับที่ : 659
ชื่อบทธรรม :- การไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=659
เนื้อความทั้งหมด :-
--การไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น
(พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปในโรงเป็นที่รักษาภิกษุเจ็บไข้
ได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายในที่นั้นว่า : -)
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #พึงเป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ
http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=สมฺปชาโน+สติมา
: นี้เป็นอนุสาสนีของเรา สำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสติ เป็นอย่างไรเล่า ?
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ;
เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ....;
เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ....;
เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. อย่างนี้แล
--ภิกษุ ท. ! เรียกว่า #ภิกษุเป็นผู้มีสติ.
http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=สโต
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ?
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า
การถอยกลับไปข้างหลัง,
การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด,
การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร,
การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม,
การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ,
การไป การหยุด, การนั่ง การนอน, การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง,
อย่างนี้แล
--ภิกษุ ท. ! เรียกว่า #ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ.
http://etipitaka.com/read/pali/18/261/?keywords=สมฺปชาโน
--ภิกษุ ท. ! ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ
: นี้แล เป็นอนุสาสนีของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
--ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุ มีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรม อยู่ อย่างนี้, สุขเวทนา เกิดขึ้น ไซร้ ;
+--เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
“สุขเวทนานี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา, แต่สุขเวทนานี้ อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่อาศัยเหตุปัจจัยแล้วหาเกิดขึ้นได้ไม่.
+--อาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ? อาศัยเหตุปัจจัยคือกายนี้ นั่นเอง
ก็กายนี้ ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น
สุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายซึ่ง ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง
อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้แล้ว จักเป็นสุขเวทนาที่เที่ยงมาแต่ไหน”
ดังนี้.
+--ภิกษุนั้น #เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่
ตามเห็นความเสื่อม ความจางคลายอยู่ ตามเห็นความดับไป ความสลัดคืนอยู่
ในกายและในสุขเวทนา.
+--เมื่อเธอเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยง (เป็นต้น) อยู่ในกายและในสุขเวทนาอยู่ดังนี้,
เธอย่อมละเสียได้ ซึ่ง ราคานุสัย ในกายและในสุขเวทนานั้น.
(ในกรณีถัดไปซึ่งเป็นการเสวย ทุกขเวทนา อันจะเป็นเหตุให้เกิด ปฏิฆานุสัย นั้น
ก็ตรัสไว้ด้วยข้อความทำนองเดียวกัน ที่ภิกษุพิจารณาเห็นกายและทุกขเวทนานั้น
ไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
ก็ละปฏิฆานุสัยในกายและในทุกขเวทนานั้นเสียได้.
ในกรณีถัดไปอีก แห่งการเสวย อทุกขมสุขเวทนา อันจะเป็นทางให้เกิด อวิชชานุสัย
ก็ได้ตรัสวิธีปฏิบัติในการพิจารณาเห็นกายและอทุกขมสุขเวทนานั้น โดยทำนองเดียวกัน จนละอวิชชานุสัยเสียได้).
+--ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า
“ สุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่”
ดังนี้.
+--ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “ทุกขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง,
และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้.
+-ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “อทุกขมสุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง,
และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้.
+--ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น;
+--ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น;
+--ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น.
+--ภิกษุนั้น เมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ
ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ;
+--เมื่อเสวย เวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ
ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ.
เธอย่อม รู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว
จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต
เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้.
--ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน ได้อาศัยน้ำมันและไส้แล้ว ก็ลุกโพลงอยู่ได้,
เมื่อขาดปัจจัยเครื่องหล่อเลี้ยง เพราะขาดน้ำมันและไส้นั้นแล้ว ย่อมดับลง, นี้ฉันใด ;
http://etipitaka.com/read/pali/18/264/?keywords=สมฺปชาโน+สติมา
--ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือภิกษุ
เมื่อเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ,
#ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ดังนี้.
เมื่อเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ
#ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ดังนี้.
(เป็นอันว่า) ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดว่า
เวทนาทั้งปวงอันเรา
ไม่เพลิดเพลินแล้ว
จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว
จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต
เพราะการแตกทำลายแห่งกาย
http://etipitaka.com/read/pali/18/264/?keywords=กายสฺส
ดังนี้.-
#ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
อ้างอิงไทสสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/224/374-381.
http://etipitaka.com/read/thai/18/224/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%94
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๒๖๐/๓๗๔-๓๘๑.
http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%94
ศึกษาเพิ่มเติม...
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=659
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=659
หรือ
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน...
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
44 มุมมอง
0 รีวิว