ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม เมื่อปี พ.ศ. 2526
กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ น้ำท่วมสูงจนชีวิตประจำวันหยุดชะงัก โรงเรียนต้องปิดเพราะถนนหลายสายอย่างรามคำแหงและสุขุมวิทกลายเป็นคลองชั่วคราว เรือพายวิ่งพล่านแทนรถยนต์ที่จมน้ำ บ้านของผมในย่านชานเมืองก็ไม่รอด น้ำทะลักเข้ามาจนบ่ายวันนั้นไฟฟ้าดับสนิท ทิ้งให้ผมเด็กน้อยนั่งเหงาไม่มีอะไรทำ ท่ามกลางเสียงฝนเทกระหน่ำและความเบื่อหน่ายที่แผ่ซ่าน ผมเลยแอบหยิบวิทยุทรานซิสเตอร์เก่าของพ่อมาลองเปิดฟัง เพื่อคลายความเซ็งในบ่ายวันนั้น แล้วเสียงเพลงบัลลาดเศร้าสร้อยก็ดังขึ้น
"What have I got to do to make you love me? ...
Sorry seems to be the hardest word"
มันคือเพลง "Sorry Seems To Be The Hardest Word" ของ Elton John ที่ผมได้ยินครั้งแรก และมันฝังใจผมตั้งแต่นั้นมา เพลงนี้ไม่เพียงสะท้อนความสิ้นหวังจากน้ำท่วมที่ทำให้ทุกอย่าง "จบสิ้น" แต่ยังสอนให้ผมเข้าใจว่าคำว่า "ขอโทษ" นั้นพูดยากเพียงใด แม้ในสถานการณ์ที่ดูเรียบง่ายที่สุด
อุทกภัยปีนั้นกินเวลายาวนานตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน สาเหตุจากพายุดีเปรสชันสองลูก เฮอร์เบิร์ตและคิม ที่ทำให้ฝนตกหนัก น้ำทะเลหนุนสูง และน้ำเหนือไหลบ่า ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงกว่าปกติถึง 2 เมตร ส่งผลให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลจมน้ำ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยอย่างรามคำแหงต้องเลื่อนสอบและเปิดเทอม การคมนาคมหยุดชะงัก ผู้คนต้องใช้เรือแทนรถ และรัฐบาลจัดรายการทีวีพิเศษขอรับบริจาคช่วยเหลือ สำหรับผม เพลงนี้กลายเป็น "เพื่อนคลายเหงา" ในบ่ายไฟดับ มันทำให้ผมสงสัยว่าทำไมคำง่ายๆ อย่าง "ขอโทษ" ถึงพูดยากนัก เหมือนกับน้ำท่วมที่ไม่อาจควบคุมได้
เพลงนี้เกิดขึ้นในปี 1975 ที่ลอสแอนเจลิส
ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่แตกต่างจากปกติของ Elton John และ Bernie Taupin คู่หูนักแต่งเพลง โดยปกติ Taupin จะเขียนเนื้อก่อน แล้ว John จึงประพันธ์ทำนอง แต่ครั้งนี้ John นั่งเล่นเปียโนแล้วทำนองเศร้าสร้อยผุดขึ้นมาก่อน พร้อมวลี
"What have I got to do to make you love me?"
Taupin ได้ยินแล้วเติมคำว่า
"Sorry seems to be the hardest word"
เข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ และเขียนเนื้อที่เหลือเสร็จในไม่กี่นาที มันสะท้อนความเจ็บปวดของความสัมพันธ์ที่กำลังล่มสลาย ซึ่งอารมณ์ลึกซึ้งเกินกว่าถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ทันที
เมื่อปล่อยในปี 1976 เป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม Blue Moves
ซึ่งได้รับคำวิจารณ์หลากหลายเพราะเนื้อหาเศร้าและยาวเกินไป แต่ตัวเพลงกลับประสบความสำเร็จอย่างมาก ขึ้นอันดับ 6 ใน Billboard Hot 100 ของสหรัฐฯ อันดับ 1 ในชาร์ต Adult Contemporary ของสหรัฐฯ และแคนาดา อันดับ 3 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ อันดับ 11 ในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย และได้รับการรับรอง Gold ในสหรัฐฯ (ยอดขายกว่า 1 ล้านชุด) และแคนาดา (75,000 ชุด)
นักวิจารณ์จาก Billboard ชมว่าเสียงร้องของ John "จริงใจและน่าเชื่อถือจนเกือบเจ็บปวด" ขณะที่ Cash Box เรียกมันว่า "เพลงรักอ่อนโยนเกี่ยวกับการเลิกรา"
เพลงนี้ไม่เคยจางหายจากวัฒนธรรมสมัยนิยม มันถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Slap Shot (1977) ในฉากเศร้าโศก Rush Hour 3 (2007) และ Gnomeo & Juliet (2011) เพื่อตอกย้ำธีมความขัดแย้งและการแยกจาก
นอกจากนี้ ยังมีเวอร์ชันคัฟเวอร์มากกว่า 50 เวอร์ชัน จากศิลปินหลากแนวอย่าง Ray Charles (แจ๊ส), Mary J. Blige (โซล), และ Joe Cocker
การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในปี 2002 เมื่อวงบอยแบนด์ Blue คัฟเวอร์เพลงนี้และเชิญ John มาร่วมร้อง ทำให้ขึ้นอันดับ 1 ใน UK Singles Chart (เพลงอันดับ 1 ลำดับที่ 3 ของ Blue และที่ 5 ของ John) อันดับ 1 ในฮังการีและเนเธอร์แลนด์ และท็อป 10 ในอีก 16 ประเทศ ได้รับ Gold ในหลายแห่งอย่างสหราชอาณาจักร (400,000 ชุด) และฝรั่งเศส (250,000 ชุด)
แก่นแท้ของเพลงอยู่ที่จิตวิทยาของการขอโทษ ซึ่ง Taupin อธิบายว่าเป็นความพยายามช่วยชีวิตความสัมพันธ์ที่ตายไปแล้ว คำถามอย่าง "What do I say when it's all over?" แสดงความสิ้นหวังที่เป็นสากล ทำให้เพลงนี้ทรงพลังข้ามกาลเวลา
สำหรับผม เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นเครื่องเตือนใจจากบ่ายน้ำท่วมปี 2526 ว่าความเจ็บปวดและการยอมรับจุดจบนั้นยากเพียงใด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่ทำให้เราเติบโต มรดกของมันยังคงอยู่ เพราะศิลปะที่ซื่อสัตย์ต่ออารมณ์จะเชื่อมโยงผู้คนเสมอ
#ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/c3nScN89Klo? ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม เมื่อปี พ.ศ. 2526 🌧️ กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ น้ำท่วมสูงจนชีวิตประจำวันหยุดชะงัก โรงเรียนต้องปิดเพราะถนนหลายสายอย่างรามคำแหงและสุขุมวิทกลายเป็นคลองชั่วคราว เรือพายวิ่งพล่านแทนรถยนต์ที่จมน้ำ บ้านของผมในย่านชานเมืองก็ไม่รอด น้ำทะลักเข้ามาจนบ่ายวันนั้นไฟฟ้าดับสนิท ทิ้งให้ผมเด็กน้อยนั่งเหงาไม่มีอะไรทำ ท่ามกลางเสียงฝนเทกระหน่ำและความเบื่อหน่ายที่แผ่ซ่าน ผมเลยแอบหยิบวิทยุทรานซิสเตอร์เก่าของพ่อมาลองเปิดฟัง เพื่อคลายความเซ็งในบ่ายวันนั้น แล้วเสียงเพลงบัลลาดเศร้าสร้อยก็ดังขึ้น
🎤 "What have I got to do to make you love me? ...
Sorry seems to be the hardest word" 🎶
มันคือเพลง "Sorry Seems To Be The Hardest Word" ของ Elton John ที่ผมได้ยินครั้งแรก และมันฝังใจผมตั้งแต่นั้นมา เพลงนี้ไม่เพียงสะท้อนความสิ้นหวังจากน้ำท่วมที่ทำให้ทุกอย่าง "จบสิ้น" แต่ยังสอนให้ผมเข้าใจว่าคำว่า "ขอโทษ" นั้นพูดยากเพียงใด แม้ในสถานการณ์ที่ดูเรียบง่ายที่สุด
อุทกภัยปีนั้นกินเวลายาวนานตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน สาเหตุจากพายุดีเปรสชันสองลูก เฮอร์เบิร์ตและคิม ที่ทำให้ฝนตกหนัก น้ำทะเลหนุนสูง และน้ำเหนือไหลบ่า ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงกว่าปกติถึง 2 เมตร ส่งผลให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลจมน้ำ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยอย่างรามคำแหงต้องเลื่อนสอบและเปิดเทอม การคมนาคมหยุดชะงัก ผู้คนต้องใช้เรือแทนรถ และรัฐบาลจัดรายการทีวีพิเศษขอรับบริจาคช่วยเหลือ สำหรับผม เพลงนี้กลายเป็น "เพื่อนคลายเหงา" ในบ่ายไฟดับ มันทำให้ผมสงสัยว่าทำไมคำง่ายๆ อย่าง "ขอโทษ" ถึงพูดยากนัก เหมือนกับน้ำท่วมที่ไม่อาจควบคุมได้
เพลงนี้เกิดขึ้นในปี 1975 ที่ลอสแอนเจลิส 🎹 ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่แตกต่างจากปกติของ Elton John และ Bernie Taupin คู่หูนักแต่งเพลง โดยปกติ Taupin จะเขียนเนื้อก่อน แล้ว John จึงประพันธ์ทำนอง แต่ครั้งนี้ John นั่งเล่นเปียโนแล้วทำนองเศร้าสร้อยผุดขึ้นมาก่อน พร้อมวลี
🔖 "What have I got to do to make you love me?"
Taupin ได้ยินแล้วเติมคำว่า
🔖 "Sorry seems to be the hardest word"
เข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ และเขียนเนื้อที่เหลือเสร็จในไม่กี่นาที มันสะท้อนความเจ็บปวดของความสัมพันธ์ที่กำลังล่มสลาย ซึ่งอารมณ์ลึกซึ้งเกินกว่าถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ทันที
เมื่อปล่อยในปี 1976 เป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม Blue Moves 📀 ซึ่งได้รับคำวิจารณ์หลากหลายเพราะเนื้อหาเศร้าและยาวเกินไป แต่ตัวเพลงกลับประสบความสำเร็จอย่างมาก ขึ้นอันดับ 6 ใน Billboard Hot 100 ของสหรัฐฯ อันดับ 1 ในชาร์ต Adult Contemporary ของสหรัฐฯ และแคนาดา อันดับ 3 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ อันดับ 11 ในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย และได้รับการรับรอง Gold ในสหรัฐฯ (ยอดขายกว่า 1 ล้านชุด) และแคนาดา (75,000 ชุด) 📈 นักวิจารณ์จาก Billboard ชมว่าเสียงร้องของ John "จริงใจและน่าเชื่อถือจนเกือบเจ็บปวด" ขณะที่ Cash Box เรียกมันว่า "เพลงรักอ่อนโยนเกี่ยวกับการเลิกรา"
เพลงนี้ไม่เคยจางหายจากวัฒนธรรมสมัยนิยม มันถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Slap Shot (1977) ในฉากเศร้าโศก Rush Hour 3 (2007) และ Gnomeo & Juliet (2011) เพื่อตอกย้ำธีมความขัดแย้งและการแยกจาก 🎥 นอกจากนี้ ยังมีเวอร์ชันคัฟเวอร์มากกว่า 50 เวอร์ชัน จากศิลปินหลากแนวอย่าง Ray Charles (แจ๊ส), Mary J. Blige (โซล), และ Joe Cocker
การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในปี 2002 เมื่อวงบอยแบนด์ Blue คัฟเวอร์เพลงนี้และเชิญ John มาร่วมร้อง ทำให้ขึ้นอันดับ 1 ใน UK Singles Chart (เพลงอันดับ 1 ลำดับที่ 3 ของ Blue และที่ 5 ของ John) อันดับ 1 ในฮังการีและเนเธอร์แลนด์ และท็อป 10 ในอีก 16 ประเทศ ได้รับ Gold ในหลายแห่งอย่างสหราชอาณาจักร (400,000 ชุด) และฝรั่งเศส (250,000 ชุด) 🌟
แก่นแท้ของเพลงอยู่ที่จิตวิทยาของการขอโทษ ซึ่ง Taupin อธิบายว่าเป็นความพยายามช่วยชีวิตความสัมพันธ์ที่ตายไปแล้ว คำถามอย่าง "What do I say when it's all over?" แสดงความสิ้นหวังที่เป็นสากล ทำให้เพลงนี้ทรงพลังข้ามกาลเวลา 💔
สำหรับผม เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นเครื่องเตือนใจจากบ่ายน้ำท่วมปี 2526 ว่าความเจ็บปวดและการยอมรับจุดจบนั้นยากเพียงใด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่ทำให้เราเติบโต มรดกของมันยังคงอยู่ เพราะศิลปะที่ซื่อสัตย์ต่ออารมณ์จะเชื่อมโยงผู้คนเสมอ
#ลุงเล่าหลานฟัง
https://youtu.be/c3nScN89Klo?