• #ใกล้BTSสายหยุด #หลังสุดท้าย 📞080-439-4554"กำลังมองหาบ้านทาวน์โฮมทำเลดีใกล้ BTS อยู่หรือเปล่า?"ทาวน์โฮมแบบพิเศษ 2 ห้องนอนใหญ่มี Walk-in Closet!!.บ้านทาวน์โฮมสองชั้นหลังนี้ พร้อมต้อนรับคุณและครอบครัวสู่ชีวิตที่สะดวกสบาย ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบมาเพื่อความสบายและการใช้งานที่เต็มเปี่ยม พร้อมให้คุณสร้างความทรงจำในทุกๆ วัน-----------------------📌 โอกาสสุดท้าย! บ้านทิศเหนือหลังสุดท้ายนี้ มาพร้อมโปรพิเศษ ฟรีโอน +แถมต่อเติม ในเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น!-----------------------พร้อมให้คุณสัมผัสบรรยากาศเงียบสงบ แต่ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวก และรถไฟฟ้า BTS ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.XX ล้านบาท*.🌈 จินตนาการถึงการพักผ่อนหลังจากวันที่แสนวุ่นวาย ในบ้านที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบคนเมือง พร้อมพื้นที่กว้างขวาง และลานจอดรถส่วนตัว.ติดต่อได้เลยวันนี้! ช้าหมด อดนะครับบบ> สำนักงานขายหมู่บ้านร่มเย็นฯ เปิด จันทร์-อาทิตย์ เวลา 8:30 - 17:30📞 โทร 080 439 4554 เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมและนัดชมบ้าน.#ทาวน์โฮมใกล้BTS #บ้านพร้อมอยู่ #ทาวน์โฮมราคาดี #บ้านทำเลดี#ทาวน์โฮมใหม่ #บ้านสองชั้น #บ้านใกล้เมือง #บ้านสวยราคาถูก
    #ใกล้BTSสายหยุด #หลังสุดท้าย 📞080-439-4554"กำลังมองหาบ้านทาวน์โฮมทำเลดีใกล้ BTS อยู่หรือเปล่า?"ทาวน์โฮมแบบพิเศษ 2 ห้องนอนใหญ่มี Walk-in Closet!!.บ้านทาวน์โฮมสองชั้นหลังนี้ พร้อมต้อนรับคุณและครอบครัวสู่ชีวิตที่สะดวกสบาย ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบมาเพื่อความสบายและการใช้งานที่เต็มเปี่ยม พร้อมให้คุณสร้างความทรงจำในทุกๆ วัน-----------------------📌 โอกาสสุดท้าย! บ้านทิศเหนือหลังสุดท้ายนี้ มาพร้อมโปรพิเศษ ฟรีโอน +แถมต่อเติม ในเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น!-----------------------พร้อมให้คุณสัมผัสบรรยากาศเงียบสงบ แต่ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวก และรถไฟฟ้า BTS ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.XX ล้านบาท*.🌈 จินตนาการถึงการพักผ่อนหลังจากวันที่แสนวุ่นวาย ในบ้านที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบคนเมือง พร้อมพื้นที่กว้างขวาง และลานจอดรถส่วนตัว.ติดต่อได้เลยวันนี้! ช้าหมด อดนะครับบบ> สำนักงานขายหมู่บ้านร่มเย็นฯ เปิด จันทร์-อาทิตย์ เวลา 8:30 - 17:30📞 โทร 080 439 4554 เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมและนัดชมบ้าน.#ทาวน์โฮมใกล้BTS #บ้านพร้อมอยู่ #ทาวน์โฮมราคาดี #บ้านทำเลดี#ทาวน์โฮมใหม่ #บ้านสองชั้น #บ้านใกล้เมือง #บ้านสวยราคาถูก
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • #ใกล้BTSสายหยุด #หลังสุดท้าย 📞080-439-4554"กำลังมองหาบ้านทาวน์โฮมทำเลดีใกล้ BTS อยู่หรือเปล่า?"ทาวน์โฮมแบบพิเศษ 2 ห้องนอนใหญ่มี Walk-in Closet!!.บ้านทาวน์โฮมสองชั้นหลังนี้ พร้อมต้อนรับคุณและครอบครัวสู่ชีวิตที่สะดวกสบาย ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบมาเพื่อความสบายและการใช้งานที่เต็มเปี่ยม พร้อมให้คุณสร้างความทรงจำในทุกๆ วัน-----------------------📌 โอกาสสุดท้าย! บ้านทิศเหนือหลังสุดท้ายนี้ มาพร้อมโปรพิเศษ ฟรีโอน +แถมต่อเติม ในเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น!-----------------------พร้อมให้คุณสัมผัสบรรยากาศเงียบสงบ แต่ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวก และรถไฟฟ้า BTS ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.XX ล้านบาท*.🌈 จินตนาการถึงการพักผ่อนหลังจากวันที่แสนวุ่นวาย ในบ้านที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบคนเมือง พร้อมพื้นที่กว้างขวาง และลานจอดรถส่วนตัว.ติดต่อได้เลยวันนี้! ช้าหมด อดนะครับบบ> สำนักงานขายหมู่บ้านร่มเย็นฯ เปิด จันทร์-อาทิตย์ เวลา 8:30 - 17:30📞 โทร 080 439 4554 เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมและนัดชมบ้าน.#ทาวน์โฮมใกล้BTS #บ้านพร้อมอยู่ #ทาวน์โฮมราคาดี #บ้านทำเลดี#ทาวน์โฮมใหม่ #บ้านสองชั้น #บ้านใกล้เมือง #บ้านสวยราคาถูก
    #ใกล้BTSสายหยุด #หลังสุดท้าย 📞080-439-4554"กำลังมองหาบ้านทาวน์โฮมทำเลดีใกล้ BTS อยู่หรือเปล่า?"ทาวน์โฮมแบบพิเศษ 2 ห้องนอนใหญ่มี Walk-in Closet!!.บ้านทาวน์โฮมสองชั้นหลังนี้ พร้อมต้อนรับคุณและครอบครัวสู่ชีวิตที่สะดวกสบาย ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบมาเพื่อความสบายและการใช้งานที่เต็มเปี่ยม พร้อมให้คุณสร้างความทรงจำในทุกๆ วัน-----------------------📌 โอกาสสุดท้าย! บ้านทิศเหนือหลังสุดท้ายนี้ มาพร้อมโปรพิเศษ ฟรีโอน +แถมต่อเติม ในเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น!-----------------------พร้อมให้คุณสัมผัสบรรยากาศเงียบสงบ แต่ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวก และรถไฟฟ้า BTS ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.XX ล้านบาท*.🌈 จินตนาการถึงการพักผ่อนหลังจากวันที่แสนวุ่นวาย ในบ้านที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบคนเมือง พร้อมพื้นที่กว้างขวาง และลานจอดรถส่วนตัว.ติดต่อได้เลยวันนี้! ช้าหมด อดนะครับบบ> สำนักงานขายหมู่บ้านร่มเย็นฯ เปิด จันทร์-อาทิตย์ เวลา 8:30 - 17:30📞 โทร 080 439 4554 เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมและนัดชมบ้าน.#ทาวน์โฮมใกล้BTS #บ้านพร้อมอยู่ #ทาวน์โฮมราคาดี #บ้านทำเลดี#ทาวน์โฮมใหม่ #บ้านสองชั้น #บ้านใกล้เมือง #บ้านสวยราคาถูก
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • "จินตนาการ: ความจริงของเด็ก และบทเรียนของผู้ใหญ่"เมื่อเราย้อนคิดถึงวัยเด็ก เราทุกคนล้วนเคยใช้จินตนาการเป็นที่หลบภัยในวันที่ความจริงไม่เป็นดั่งใจ สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของเด็ก แต่ยังสะท้อนความจริงของมนุษย์ทุกช่วงวัย เมื่อเราปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้มา จินตนาการจะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลอบประโลมใจ เป็นที่พักพิงชั่วคราว หรือในบางครั้งก็อาจยืดเยื้อจนกลายเป็นความจริงที่เราหลอกตัวเองว่า "เป็นไปได้"---จินตนาการในวัยเด็ก: ความรักที่ขาดหายในช่วงวัยเด็ก หากเด็กไม่ได้รับความรักหรือความสนใจเพียงพอจากพ่อแม่ พวกเขามักสร้าง "พ่อแม่ในจินตนาการ" ขึ้นมา พ่อแม่ที่ใจดี อบอุ่น รักใคร่ และพร้อมมอบทุกสิ่งให้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รักพ่อแม่ตัวจริง แต่เพราะพวกเขากำลังหาทางเติมเต็มความว่างเปล่าในใจจินตนาการเหล่านี้ช่วยเด็กจัดการกับความรู้สึกขาดหายแต่เมื่อเวลาผ่านไป จินตนาการที่ยืดเยื้ออาจทำให้พวกเขาปฏิเสธความจริง และเชื่อว่า "ไม่มีใครในโลกเข้าใจหรือรักพวกเขาจริงๆ"---จินตนาการในวัยผู้ใหญ่: ความฝันหรือการหลีกหนี?จินตนาการไม่ใช่เรื่องของเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่เองก็ใช้มันเป็นเครื่องมือหลีกหนีความจริง เช่น การจินตนาการว่าร่ำรวย การได้ใช้ชีวิตในแบบที่ปรารถนา หรือแม้กระทั่งการคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่กว่าความจริงที่เป็นอยู่ความฝันและความหวังเป็นสิ่งดี หากใช้เพื่อสร้างแรงผลักดันแต่เมื่อจินตนาการกลายเป็น "หลุมหลบภัย" มันอาจหยุดยั้งเราไม่ให้เผชิญและแก้ไขปัญหาที่แท้จริง---บทเรียนสำหรับพ่อแม่: การสร้างจักรวาลเดียวกันกับลูกพ่อแม่ที่มัวแต่หมกมุ่นกับความต้องการของตนเอง หรืออ้างว่า "ทำเพื่ออนาคตของลูก" แต่กลับละเลยการใส่ใจในปัจจุบัน อาจกำลังสร้างกำแพงระหว่างตัวเองกับลูกการปล่อยให้ลูกต้องจมอยู่ในจินตนาการเพียงลำพัง อาจทำให้พวกเขาโตขึ้นมาโดยขาดความผูกพันกับความจริงในทางกลับกัน หากพ่อแม่สร้างจินตนาการร่วมกับลูก เช่น การอ่านนิทาน การพูดคุย และการเล่นร่วมกัน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น---ความสำคัญของการรู้จักกันและกันการรู้จักลูกอย่างแท้จริงตั้งแต่พวกเขาเกิด คือการป้องกันปัญหาความสัมพันธ์ในอนาคตลูกที่ได้รับความสนใจและการยอมรับจากพ่อแม่จะรู้สึกว่า "พวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก"พ่อแม่ที่เข้าใจลูก จะมองเห็นความต้องการและปัญหาที่แท้จริงของลูก---ข้อคิดสำหรับพ่อแม่1. ใส่ใจในปัจจุบัน: อย่ามองข้ามความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ของลูก เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน2. สร้างจินตนาการร่วมกัน: ใช้เวลาอ่านนิทานหรือพูดคุยกับลูก เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่า "พ่อแม่เข้าใจพวกเขา"3. อย่าปล่อยให้จินตนาการกลายเป็นหลุมหลบภัย: ช่วยให้ลูกเผชิญกับความจริงอย่างมั่นคง---"จินตนาการอาจเติมเต็มความว่างเปล่าในใจได้ชั่วคราว แต่ความรักและความเข้าใจจากพ่อแม่เท่านั้น ที่สามารถเติมเต็มชีวิตลูกได้อย่างแท้จริง"
    "จินตนาการ: ความจริงของเด็ก และบทเรียนของผู้ใหญ่"เมื่อเราย้อนคิดถึงวัยเด็ก เราทุกคนล้วนเคยใช้จินตนาการเป็นที่หลบภัยในวันที่ความจริงไม่เป็นดั่งใจ สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของเด็ก แต่ยังสะท้อนความจริงของมนุษย์ทุกช่วงวัย เมื่อเราปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้มา จินตนาการจะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลอบประโลมใจ เป็นที่พักพิงชั่วคราว หรือในบางครั้งก็อาจยืดเยื้อจนกลายเป็นความจริงที่เราหลอกตัวเองว่า "เป็นไปได้"---จินตนาการในวัยเด็ก: ความรักที่ขาดหายในช่วงวัยเด็ก หากเด็กไม่ได้รับความรักหรือความสนใจเพียงพอจากพ่อแม่ พวกเขามักสร้าง "พ่อแม่ในจินตนาการ" ขึ้นมา พ่อแม่ที่ใจดี อบอุ่น รักใคร่ และพร้อมมอบทุกสิ่งให้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รักพ่อแม่ตัวจริง แต่เพราะพวกเขากำลังหาทางเติมเต็มความว่างเปล่าในใจจินตนาการเหล่านี้ช่วยเด็กจัดการกับความรู้สึกขาดหายแต่เมื่อเวลาผ่านไป จินตนาการที่ยืดเยื้ออาจทำให้พวกเขาปฏิเสธความจริง และเชื่อว่า "ไม่มีใครในโลกเข้าใจหรือรักพวกเขาจริงๆ"---จินตนาการในวัยผู้ใหญ่: ความฝันหรือการหลีกหนี?จินตนาการไม่ใช่เรื่องของเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่เองก็ใช้มันเป็นเครื่องมือหลีกหนีความจริง เช่น การจินตนาการว่าร่ำรวย การได้ใช้ชีวิตในแบบที่ปรารถนา หรือแม้กระทั่งการคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่กว่าความจริงที่เป็นอยู่ความฝันและความหวังเป็นสิ่งดี หากใช้เพื่อสร้างแรงผลักดันแต่เมื่อจินตนาการกลายเป็น "หลุมหลบภัย" มันอาจหยุดยั้งเราไม่ให้เผชิญและแก้ไขปัญหาที่แท้จริง---บทเรียนสำหรับพ่อแม่: การสร้างจักรวาลเดียวกันกับลูกพ่อแม่ที่มัวแต่หมกมุ่นกับความต้องการของตนเอง หรืออ้างว่า "ทำเพื่ออนาคตของลูก" แต่กลับละเลยการใส่ใจในปัจจุบัน อาจกำลังสร้างกำแพงระหว่างตัวเองกับลูกการปล่อยให้ลูกต้องจมอยู่ในจินตนาการเพียงลำพัง อาจทำให้พวกเขาโตขึ้นมาโดยขาดความผูกพันกับความจริงในทางกลับกัน หากพ่อแม่สร้างจินตนาการร่วมกับลูก เช่น การอ่านนิทาน การพูดคุย และการเล่นร่วมกัน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น---ความสำคัญของการรู้จักกันและกันการรู้จักลูกอย่างแท้จริงตั้งแต่พวกเขาเกิด คือการป้องกันปัญหาความสัมพันธ์ในอนาคตลูกที่ได้รับความสนใจและการยอมรับจากพ่อแม่จะรู้สึกว่า "พวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก"พ่อแม่ที่เข้าใจลูก จะมองเห็นความต้องการและปัญหาที่แท้จริงของลูก---ข้อคิดสำหรับพ่อแม่1. ใส่ใจในปัจจุบัน: อย่ามองข้ามความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ของลูก เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน2. สร้างจินตนาการร่วมกัน: ใช้เวลาอ่านนิทานหรือพูดคุยกับลูก เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่า "พ่อแม่เข้าใจพวกเขา"3. อย่าปล่อยให้จินตนาการกลายเป็นหลุมหลบภัย: ช่วยให้ลูกเผชิญกับความจริงอย่างมั่นคง---"จินตนาการอาจเติมเต็มความว่างเปล่าในใจได้ชั่วคราว แต่ความรักและความเข้าใจจากพ่อแม่เท่านั้น ที่สามารถเติมเต็มชีวิตลูกได้อย่างแท้จริง"
    0 Comments 0 Shares 211 Views 0 Reviews
  • ก็เพราะว่าจินตนาการคือการ * จุดประกายความคิดสร้างสรรค์: จินตนาการเป็นรากฐานของความคิดสร้างสรรค์ ช่วยให้เราคิดนอกกรอบ คิดค้นสิ่งใหม่ๆ และมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ * พัฒนาการแก้ปัญหา: เมื่อเราจินตนาการถึงสถานการณ์ต่างๆ เราสามารถฝึกฝนทักษะการแก้ปัญหาและคิดหาวิธีที่จะเอาชนะอุปสรรคได้และจินตนาการยังทำให้เรามีภาพยนตร์ดีๆมีซีรีส์ให้ดู มีหนังสือให้อ่าน และมีงานศิลปะให้เสพอีกเยอะแยะมากมาย #จินตนาการ #ติดเทรนด์ #ช้างเรื่องเยอะ #ลุงช้างหญ่าย
    ก็เพราะว่าจินตนาการคือการ * จุดประกายความคิดสร้างสรรค์: จินตนาการเป็นรากฐานของความคิดสร้างสรรค์ ช่วยให้เราคิดนอกกรอบ คิดค้นสิ่งใหม่ๆ และมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ * พัฒนาการแก้ปัญหา: เมื่อเราจินตนาการถึงสถานการณ์ต่างๆ เราสามารถฝึกฝนทักษะการแก้ปัญหาและคิดหาวิธีที่จะเอาชนะอุปสรรคได้และจินตนาการยังทำให้เรามีภาพยนตร์ดีๆมีซีรีส์ให้ดู มีหนังสือให้อ่าน และมีงานศิลปะให้เสพอีกเยอะแยะมากมาย #จินตนาการ #ติดเทรนด์ #ช้างเรื่องเยอะ #ลุงช้างหญ่าย
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • วิธีจัดการกับความรู้สึกไม่อยากทำงาน โดยชี้ให้เห็นธรรมชาติของจิตที่ถูกปรุงแต่งด้วยอารมณ์ลบ เช่น ความหนักใจ ความเหนื่อยล้า และความฝืนใจ และเสนอวิธีการเปลี่ยนมุมมองและสร้างอารมณ์เชิงบวกเพื่อเอาชนะกำแพงเหล่านั้นอย่างง่ายดายหลักสำคัญ:1. เข้าใจธรรมชาติของจิต:ความรู้สึกไม่อยากทำงานเกิดจากการสะสมอารมณ์ลบระหว่างทำงาน เช่น ความเหนื่อย ความฝืน และความเครียด ซึ่งสวนทางกับธรรมชาติที่จิตใจอยากสบาย2. แก้ไขด้วยความเบาใจ:การฝืนทำงานทันทีอาจเพิ่มความอึดอัด แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเบาใจ จะช่วยลดกำแพงอารมณ์ลบลงได้การสร้างภาพจินตนาการง่ายๆ เช่น ลุกไปดื่มน้ำ แล้วกลับมาทำงานต่อ เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยลดความเครียดและกระตุ้นให้เริ่มงานได้ง่ายขึ้น3. ปรับจิตใจให้เป็นกลาง:เมื่อเริ่มทำงานด้วยอารมณ์ที่โปร่งเบา ใจจะไม่ยึดติดกับความฟุ้งซ่าน หรือความรู้สึกต่อต้านงาน4. สร้างนิสัยแห่งความสุข:ทำซ้ำกระบวนการนี้บ่อยๆ จนเกิดเป็นนิสัย ช่วยให้การเริ่มต้นทำงานเป็นสิ่งที่ง่ายและน่าพอใจเมื่อจิตใจเชื่อมโยงงานกับความรู้สึกสงบ งานจะกลายเป็นพื้นที่ฝึกสมาธิและสร้างความสุขระยะยาวข้อคิดที่สำคัญ:งานไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเครื่องมือฝึกจิตใจการเปลี่ยนอารมณ์ขณะทำงานไม่ใช่เรื่องยาก แค่เริ่มต้นด้วยสิ่งง่ายๆ และพยายามเชื่อมโยงงานกับความรู้สึกดีหากนำหลักการนี้ไปปรับใช้ จะช่วยให้เราสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและความสุขได้ในระยะยาว.
    วิธีจัดการกับความรู้สึกไม่อยากทำงาน โดยชี้ให้เห็นธรรมชาติของจิตที่ถูกปรุงแต่งด้วยอารมณ์ลบ เช่น ความหนักใจ ความเหนื่อยล้า และความฝืนใจ และเสนอวิธีการเปลี่ยนมุมมองและสร้างอารมณ์เชิงบวกเพื่อเอาชนะกำแพงเหล่านั้นอย่างง่ายดายหลักสำคัญ:1. เข้าใจธรรมชาติของจิต:ความรู้สึกไม่อยากทำงานเกิดจากการสะสมอารมณ์ลบระหว่างทำงาน เช่น ความเหนื่อย ความฝืน และความเครียด ซึ่งสวนทางกับธรรมชาติที่จิตใจอยากสบาย2. แก้ไขด้วยความเบาใจ:การฝืนทำงานทันทีอาจเพิ่มความอึดอัด แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเบาใจ จะช่วยลดกำแพงอารมณ์ลบลงได้การสร้างภาพจินตนาการง่ายๆ เช่น ลุกไปดื่มน้ำ แล้วกลับมาทำงานต่อ เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยลดความเครียดและกระตุ้นให้เริ่มงานได้ง่ายขึ้น3. ปรับจิตใจให้เป็นกลาง:เมื่อเริ่มทำงานด้วยอารมณ์ที่โปร่งเบา ใจจะไม่ยึดติดกับความฟุ้งซ่าน หรือความรู้สึกต่อต้านงาน4. สร้างนิสัยแห่งความสุข:ทำซ้ำกระบวนการนี้บ่อยๆ จนเกิดเป็นนิสัย ช่วยให้การเริ่มต้นทำงานเป็นสิ่งที่ง่ายและน่าพอใจเมื่อจิตใจเชื่อมโยงงานกับความรู้สึกสงบ งานจะกลายเป็นพื้นที่ฝึกสมาธิและสร้างความสุขระยะยาวข้อคิดที่สำคัญ:งานไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเครื่องมือฝึกจิตใจการเปลี่ยนอารมณ์ขณะทำงานไม่ใช่เรื่องยาก แค่เริ่มต้นด้วยสิ่งง่ายๆ และพยายามเชื่อมโยงงานกับความรู้สึกดีหากนำหลักการนี้ไปปรับใช้ จะช่วยให้เราสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและความสุขได้ในระยะยาว.
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • เรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นตอนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ถูกทำเป็น 'วัฒนธรรมป๊อป' มากที่สุดตอนหนึ่ง มีทั้งนิยาย ภาพยนต์ และล่าสุดคือละครหรือซีรีส์

    อาจเป็นเพราะเรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์ให้อารมณ์หวาบหวิวจากการแอบลอบคบชู้กับพันบุตรศรีเทพ (ขุนวรวงศาธิราช) ทำให้มีการขยายความตอนนี้เป็นพิเศษ ทั้งๆ ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้บอกอะไรมากนักเรื่องนี้เพียง

    ในเวลาต่อมาคอนเทนท์บันเทิงบางยุคเริ่มมีการใช้คำว่า 'แม่หยัว' เรียกท้าวศรีสุดาจันทร์ ทำให้คนเข้าใจผิดไม่น้อยว่า 'แม่หยัว' น่าจะหมายถึงอาการยั่วยวนเรื่องกามราคะ แต่ความจริง 'แม่หยัว' หมายถึง 'แม่อยู่หัว' ที่หมายถึงมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน

    คำว่าแม่อยู่หัวนั้นในบันทึกโบราณเรียกเพี้ยนเป็น แม่อยัว แม่หญัว แม่อยั่ว ฯลฯ แต่พอตอนนี้ของประวัติศาสตร์ถูกวัฒนธรรมป๊อปปั้นภาพลักษณ์ยั่วยวนของท้าวศรีสุดาจันทร์ขึ้นมา ทำให้คนเข้าใจคำว่า 'แม่หยัว' ผิดไป

    แต่นั้นมาคำว่า 'แม่หยัว' ก็กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์ เพียงแต่มันเกิดจากภาพจำผิดๆ ที่ 'นิยายอิงประวัติศาสตร์' สร้างขึ้นมา

    ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์นั้นมีเนื้อหาไม่มากนักในทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นถ้าจะทำเป็นคอนเทนต์บันเทิง จึงหลีกกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง "มโนเอาเอง" กันบ้าง เรื่องนี้เกิดขึ้นกับการสร้างคอนเทนต์บันเทิงกับบุคคลทางประวัติศาสตร์บางคนด้วย

    ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อจะเท้าความ 'กรณีพิพาท' ระหว่างที่คนคิดว่าการทำละครอิงประวัติศาสตร์แบบเรื่อง 'แม่หยัว' ไม่เห็นจะต้องทำให้ตรงประวัติศาสตร์เป๊ะๆ กับฝ่ายที่ย้ำว่าไม่ควรที่จะมโนกันเกินไป

    ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการทำ Historical fiction เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนถกเถียงกันมาโดยตลอดว่า มันมี "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" (Historically Accurate) แค่ไหน? เพราะนิยายอิงประวัติศาสตร์จะต้องอาศัยการมโนในสัดส่วนที่มากพอสมควร เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ผู้เสพ

    ในกรณีของแม่หยัว อย่าไปถามเรื่อง "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" เพราะเนื้อหาในประวัติศาสตร์มีนิดเดียว ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้จินตนาการได้มากมาย

    แต่การมโนก็ต้องดูสภาพแวดล้อมของทางประวัติศาสตร์ด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะไม่เนียน เช่น ท้างศรีสุดาจันทร์เป็นเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนกลาง แต่ถ้าไปจับแม่อยู่หัวไปสวมมงกุฏสมัยละโว้มันก็หาได้เนียนไม่ เพราะเมื่อถึงยุค 'แม่หยัว' เขาเลิกใส่เครื่องหัวแบบนั้นกันแล้ว แล้วยังมีกฎมณเฑียรบาลที่ตราไว้ในสมัยอยุธยาตอนนั้นระบุการแต่งกายของแม่อยู่หัวเอาไว้แล้ว และยังมีภาพเขียนในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา (ที่ผมเชื่อว่าคัดมาจากต้นฉบับสมัยอยุธยาตอนต้น) ชี้ทางเอาไว้แล้วว่าสตรีชั้นสูงยุคนั้นแต่งตัวอย่างไร

    ความไม่เนียนแบบนี้เองที่จะทำให้ Historical fiction กลายเป็น Historical fantasy ซึ่งมีความเป็นประวัติศาสตร์อย่างเดียวคือฉากย้อนยุค ส่วนเรื่องอื่นๆ มโนตามใจฉัน

    แต่ในเมืองไทยเรื่องความเนียนไม่เนียนทางประวัติศาสตร์ยังไม่เรื่องใหญ่ระดับชาติ เพราะประวัติศาสร์บ้านเรากระท่อนกระแท่นและคนไทยแคร์ประวัติศาสตร์มากเท่ากับคนในประเทศเอเชียตะวันออก เช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ประเทศพวกนี้นอกจากต้องทำละครให้เนียนแบบ Historically Accurate แล้ว ยังต้องทำให้ถูกต้องในแบบ Politically correct ด้วย

    ผมจะยกตัวอย่างการสังเกตส่วนตัวจากกรณีของเกาหลีใต้ที่สร้างซีรีส์ย้อนยุคอยู่บ่อยๆ และมักเกิดกรณี "ซีรีส์เรื่องนี้บิดเบือนประวัติศาสตร์"

    ตัวอย่างเช่นซีรีส์เรื่อง Queen Seondeok ในปี 2009 ซึ่งสร้างจากยุคที่บันทึกประวัติศาสตร์ไม่ละเอียดมากนัก แต่สามารถยืดออกได้มากถึง 62 ตอน ในแง่ของความถูกต้องทางประวัติศาสตร์มีน้อย แถมคอสตูมยังไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ถูกตำหนิในเกาหลีว่า "มโนประวัติศาสตร์" มากเกินไป และยังอ้างบันทึกประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวหาว่าถูกปลอมขึ้นมา

    Queen Seondeok ถูกผู้มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ตำหนิอย่างมาก เพราะแม้ว่าบันทึกสมัยชิลลาจะมีไม่มาก แต่มันก็เป็นบันทึกที่เที่ยงแท้ในทางประวัติศาสร์ การจะบิดเบือนความสัมพันธ์ของ 'ตัวละคร' หรือพฤติกรรมที่ถูกบันทึกไว้จริงๆ จึงไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้น ความจริงแล้ว Queen Seondeok ควรจะเดินตามเส้นตรงของประวัติศาสตร์ เพราะโอกาสที่จะออกนอกประวัติศาสตร์มีแต่บทสนทนาเท่านั้น

    โปรดสังเกตว่าเรื่องนี้สร้างก่อนยุคโซเชียลจะแพร่หลาย

    พอโซเชียลมีเดียทรงพลังขึ้นมา การโจมตีซีรีส์อิงประวัติศาสตร์เริ่มจะสะเปะสะปะขึ้นทุกวัน เพราะแทนที่จะโจมตีความถูกต้อง กลับไปโจมตีเรื่องการเมือง

    ตัวอย่างเช่น Joseon Exorcist เมื่อปี 2021 ที่ฉายได้แค่ 2 ตอนก็แท้งซะก่อน เพราะถูกตำหนิว่าใช้ฉากประกอบที่อ้างว่าไม่ตรงกับความจริงทางประวัติศาสตร์ เช่น ใช้ อุปกรณ์ของจีนในเกาหลีโบราณ

    ในปี 2022 เกิดกรณี Under the Queen's Umbrella ถูกตำหนิว่า บิดเบือนประวัติศาสตร์ เพราะใช้ตัวอักษรจีนแบบตัวย่อ (ที่เพิ่งประดิษฐ์ขึ้นในยุคสมัยใหม่ ส่วนเกาหลีใช้อักษรจีนตัวเต็ม)

    ในปี 2024 มีกรณี Queen Woo ถูกตำหนิว่าเครื่องแต่งกายของตัวละครมีความเป็นจีนมากเกินไป ไม่น่าจะสอดคล้องกับคนเกาหลีในยุคโคกูรยอ (ทั้งที่โคกูรยอก็รับวัฒนธรรมจากจีน)

    กรณีเหล่านี้มีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ 'กระแสต่อต้านจีน' ในเกาหลีใต้ ทั้งๆ ที่เกาหลีเป็นเขตอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนมาแต่โบราณ แค่เรื่องนี้เป็น 'อคติ' ของผู้ชมเกาหลีใต้เองที่เกลียด เหยียด และกลัวจีนมากขึ้น

    แต่ในแง่เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ กรณีพวกนี้เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ เกิดขึ้นในยุคโชซอน ซึ่งมีการบันทึกประวัติศาสตร์ทางการอย่างละเอียด กระทั่งบันทึกไว้ว่ากษัตริย์ตรัสถ้อยคำไว้อย่างไร

    ในยุคสมัยที่บันทึกละเอียดแบบนี้การมโนจึงทำไม่ได้ เพราะไม่มีพื้นที่ว่างให้จินตนาการได้อีก ตรงกันข้ามกับเรื่อง Queen Woo ซึ่งเกิดในยุคโคกูรยอ ซึ่งมีประวัติศาสตร์บันทึกกระท่อนกระแท่นเหมือนประวัติศาสตร์ไทย ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้มโนได้มากตามใจปรารถนา

    แต่ถึงจะมโนได้มาก แต่อารมณ์ชาตินิยมที่รุนแรงในเกาหลีใต้ไม่อนุญาตให้มโนได้ตามใจชอบอีก ไม่ใช่เพราะผู้สร้างบิดเบือนประวัติศาสตร์ แต่ทำงานออกมาไม่ถูกใจพวกชาตินิยมสุดโต่งต่างหาก

    ดังนั้น ในโลกของนิยายอิงประวัติศาสตร์ จึงไม่มีคำว่าถูกต้องเป๊ะๆ ยิ่งในปัจจุบันมีแต่คำว่า "ถูกใจคนดูหรือไม่" โดยที่ความถูกใจของคนดูไม่ใช่ถูกใจเพราะดาราแสดงดี หรือเครื่องแต่งกายสวย แต่ยังต้องคล้องจองกับ 'วาระทางการเมือง' ของคนดูด้วย

    ยกตัวอย่างจีน ซึ่งบางคนยังเชื่อว่าจีนทำซีรีส์พีเรียดมากมายเพราะอนุญาตให้มโนได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด

    สังคมจีนและสถาบันรัฐจีน (ที่ชาตินิยมขึ้นทุกวัน) ไม่ได้อนุญาตให้มโนประวัติศาสตร์ได้ สิ่งที่คนไทยเห็นว่าจีนจินตนาการประวัติศาสตร์นั้น คือ สิ่งที่เรียกว่า Historical fantasy คือใช้ฉากย้อนยุคที่กำกวม ใช้คอสตูมที่อาจจะอยู่ในยุคที่คาดเดาได้ แต่ไม่มีเหตุการณ์นั้นจริงๆ เช่นเรื่อง Nirvana In Fire เมื่อปี 2015 ที่ทำให้เชื่อว่าอยู่ในยุคหนานเป่ยเฉา แต่เอาจริงๆ มันไม่มีสถานการณ์จริงและตัวบุคคลจริงอยู่เลย

    หากมีซีรีส์ที่ทำเนื้อหาจริงๆ ทางประวัติศาสตร์ หากเลินเล่อเกินไปก็จะถูกโจมตีอย่างหนัก เช่น Legend of Miyue ที่อิงประวัติศาสตร์ยุคจ้านกั๋ว แต่ถูกวิจารณ์เรื่องข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เรื่องนี้มีความเห็นที่น่าสนใจจาก หลีเสี่ยวเหว่ย บรรณาธิการบริหารของ "จงกั๋วชิงเหนียนหว่าง" (中国青年网) ของทางการจีน ตอนที่ซีรีส์เรื่องนี้ถูกตำหนิ เขากล่าวว่า

    "จักรพรรดินีองค์แรกของจีนในเรื่อง "Legend of Miyue" ซีรีส์ทางทีวีใช้ตัวละครและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง แต่ไม่ได้ติดตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์พื้นฐาน และถึงกับแต่งเรื่องขึ้นมาด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์นี้ช่างน่าเป็นห่วง ประการแรก มันจะนำพาผู้คนให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และก่อให้เกิดข่าวลือ ประการที่สอง นี่คือทิศทางที่ผิดปกติของการพัฒนาละครประวัติศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด"

    ในเรื่องนี้ทางเกาหลีก็เห็นด้วยกับจีน

    จากกรณีของ Queen Seondeok อีจองโฮ ผู้สื่อข่าวของ "ยอนเซ ชุนชู" (연세춘추) สื่อของมหาวิทยาลัยยอนเซ ถึงกับบอกว่า "Queen Seondeok คือเรื่องโกหก" และได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งชี้แนะว่า"ตามที่ศาสตราจารย์ ชาฮเยวอน (ภาควิชาศิลปศาสตร์ ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงของจีน) กล่าวไว้ ละครประวัติศาสตร์จีนมักจะมีความเที่ยงตรงต่อข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแตกต่างจากละครประวัติศาสตร์เกาหลี ความจริงของละครประวัติศาสตร์เกาหลีคือความจริงทางประวัติศาสตร์ถูกละเลยเพื่อความบันเทิงและเรตติ้งผู้ชม เพื่อแก้ปัญหานี้ จำเป็นต้องมีการไตร่ตรองภายในอุตสาหกรรมการออกอากาศ"

    แม้ว่าประเทศไทยจะมีประวัติศาสตร์ที่เบาบางต่างจากจีนและเกาหลี แต่เราสามารถใช้มาตรฐานแบบนี้ได้เหมือนกัน สิ่งที่ต้องเป๊ะคือแกนหลักในประวัติศาสตร์ อย่าตีความมากเกินไปเพราะต้องเคารพ "ผู้ที่ตายไปแล้วซึ่งไม่มีโอกาสร้องอุทรณ์แก้ต่างให้ตัวเอง" ด้วย ส่วนสิ่งที่จินตนาการได้ก็ควรทำให้ตรงกับบริบทแวดล้อมของยุคนั้น

    หากทำเอาสนุกอย่างเดียว ก็ "จะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด"

    บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
    ภาพโปสเตอร์โปรโมทซีรีส์เรื่อง แม่หยัว และ Queen Seondeok

    ที่มา https://www.thebetter.co.th/news/world/23351?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3w6ch-KVjjFiWzTmp8gh2-HSMqAh7UX0lxC3jm2_5RD0J97vIDxYCrljo_aem_wMoYw4S-NqnmnAfELQfeSA

    #Thaitimes
    เรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นตอนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ถูกทำเป็น 'วัฒนธรรมป๊อป' มากที่สุดตอนหนึ่ง มีทั้งนิยาย ภาพยนต์ และล่าสุดคือละครหรือซีรีส์ อาจเป็นเพราะเรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์ให้อารมณ์หวาบหวิวจากการแอบลอบคบชู้กับพันบุตรศรีเทพ (ขุนวรวงศาธิราช) ทำให้มีการขยายความตอนนี้เป็นพิเศษ ทั้งๆ ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้บอกอะไรมากนักเรื่องนี้เพียง ในเวลาต่อมาคอนเทนท์บันเทิงบางยุคเริ่มมีการใช้คำว่า 'แม่หยัว' เรียกท้าวศรีสุดาจันทร์ ทำให้คนเข้าใจผิดไม่น้อยว่า 'แม่หยัว' น่าจะหมายถึงอาการยั่วยวนเรื่องกามราคะ แต่ความจริง 'แม่หยัว' หมายถึง 'แม่อยู่หัว' ที่หมายถึงมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน คำว่าแม่อยู่หัวนั้นในบันทึกโบราณเรียกเพี้ยนเป็น แม่อยัว แม่หญัว แม่อยั่ว ฯลฯ แต่พอตอนนี้ของประวัติศาสตร์ถูกวัฒนธรรมป๊อปปั้นภาพลักษณ์ยั่วยวนของท้าวศรีสุดาจันทร์ขึ้นมา ทำให้คนเข้าใจคำว่า 'แม่หยัว' ผิดไป แต่นั้นมาคำว่า 'แม่หยัว' ก็กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์ เพียงแต่มันเกิดจากภาพจำผิดๆ ที่ 'นิยายอิงประวัติศาสตร์' สร้างขึ้นมา ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์นั้นมีเนื้อหาไม่มากนักในทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นถ้าจะทำเป็นคอนเทนต์บันเทิง จึงหลีกกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง "มโนเอาเอง" กันบ้าง เรื่องนี้เกิดขึ้นกับการสร้างคอนเทนต์บันเทิงกับบุคคลทางประวัติศาสตร์บางคนด้วย ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อจะเท้าความ 'กรณีพิพาท' ระหว่างที่คนคิดว่าการทำละครอิงประวัติศาสตร์แบบเรื่อง 'แม่หยัว' ไม่เห็นจะต้องทำให้ตรงประวัติศาสตร์เป๊ะๆ กับฝ่ายที่ย้ำว่าไม่ควรที่จะมโนกันเกินไป ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการทำ Historical fiction เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนถกเถียงกันมาโดยตลอดว่า มันมี "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" (Historically Accurate) แค่ไหน? เพราะนิยายอิงประวัติศาสตร์จะต้องอาศัยการมโนในสัดส่วนที่มากพอสมควร เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ผู้เสพ ในกรณีของแม่หยัว อย่าไปถามเรื่อง "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" เพราะเนื้อหาในประวัติศาสตร์มีนิดเดียว ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้จินตนาการได้มากมาย แต่การมโนก็ต้องดูสภาพแวดล้อมของทางประวัติศาสตร์ด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะไม่เนียน เช่น ท้างศรีสุดาจันทร์เป็นเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนกลาง แต่ถ้าไปจับแม่อยู่หัวไปสวมมงกุฏสมัยละโว้มันก็หาได้เนียนไม่ เพราะเมื่อถึงยุค 'แม่หยัว' เขาเลิกใส่เครื่องหัวแบบนั้นกันแล้ว แล้วยังมีกฎมณเฑียรบาลที่ตราไว้ในสมัยอยุธยาตอนนั้นระบุการแต่งกายของแม่อยู่หัวเอาไว้แล้ว และยังมีภาพเขียนในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา (ที่ผมเชื่อว่าคัดมาจากต้นฉบับสมัยอยุธยาตอนต้น) ชี้ทางเอาไว้แล้วว่าสตรีชั้นสูงยุคนั้นแต่งตัวอย่างไร ความไม่เนียนแบบนี้เองที่จะทำให้ Historical fiction กลายเป็น Historical fantasy ซึ่งมีความเป็นประวัติศาสตร์อย่างเดียวคือฉากย้อนยุค ส่วนเรื่องอื่นๆ มโนตามใจฉัน แต่ในเมืองไทยเรื่องความเนียนไม่เนียนทางประวัติศาสตร์ยังไม่เรื่องใหญ่ระดับชาติ เพราะประวัติศาสร์บ้านเรากระท่อนกระแท่นและคนไทยแคร์ประวัติศาสตร์มากเท่ากับคนในประเทศเอเชียตะวันออก เช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ประเทศพวกนี้นอกจากต้องทำละครให้เนียนแบบ Historically Accurate แล้ว ยังต้องทำให้ถูกต้องในแบบ Politically correct ด้วย ผมจะยกตัวอย่างการสังเกตส่วนตัวจากกรณีของเกาหลีใต้ที่สร้างซีรีส์ย้อนยุคอยู่บ่อยๆ และมักเกิดกรณี "ซีรีส์เรื่องนี้บิดเบือนประวัติศาสตร์" ตัวอย่างเช่นซีรีส์เรื่อง Queen Seondeok ในปี 2009 ซึ่งสร้างจากยุคที่บันทึกประวัติศาสตร์ไม่ละเอียดมากนัก แต่สามารถยืดออกได้มากถึง 62 ตอน ในแง่ของความถูกต้องทางประวัติศาสตร์มีน้อย แถมคอสตูมยังไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ถูกตำหนิในเกาหลีว่า "มโนประวัติศาสตร์" มากเกินไป และยังอ้างบันทึกประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวหาว่าถูกปลอมขึ้นมา Queen Seondeok ถูกผู้มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ตำหนิอย่างมาก เพราะแม้ว่าบันทึกสมัยชิลลาจะมีไม่มาก แต่มันก็เป็นบันทึกที่เที่ยงแท้ในทางประวัติศาสร์ การจะบิดเบือนความสัมพันธ์ของ 'ตัวละคร' หรือพฤติกรรมที่ถูกบันทึกไว้จริงๆ จึงไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้น ความจริงแล้ว Queen Seondeok ควรจะเดินตามเส้นตรงของประวัติศาสตร์ เพราะโอกาสที่จะออกนอกประวัติศาสตร์มีแต่บทสนทนาเท่านั้น โปรดสังเกตว่าเรื่องนี้สร้างก่อนยุคโซเชียลจะแพร่หลาย พอโซเชียลมีเดียทรงพลังขึ้นมา การโจมตีซีรีส์อิงประวัติศาสตร์เริ่มจะสะเปะสะปะขึ้นทุกวัน เพราะแทนที่จะโจมตีความถูกต้อง กลับไปโจมตีเรื่องการเมือง ตัวอย่างเช่น Joseon Exorcist เมื่อปี 2021 ที่ฉายได้แค่ 2 ตอนก็แท้งซะก่อน เพราะถูกตำหนิว่าใช้ฉากประกอบที่อ้างว่าไม่ตรงกับความจริงทางประวัติศาสตร์ เช่น ใช้ อุปกรณ์ของจีนในเกาหลีโบราณ ในปี 2022 เกิดกรณี Under the Queen's Umbrella ถูกตำหนิว่า บิดเบือนประวัติศาสตร์ เพราะใช้ตัวอักษรจีนแบบตัวย่อ (ที่เพิ่งประดิษฐ์ขึ้นในยุคสมัยใหม่ ส่วนเกาหลีใช้อักษรจีนตัวเต็ม) ในปี 2024 มีกรณี Queen Woo ถูกตำหนิว่าเครื่องแต่งกายของตัวละครมีความเป็นจีนมากเกินไป ไม่น่าจะสอดคล้องกับคนเกาหลีในยุคโคกูรยอ (ทั้งที่โคกูรยอก็รับวัฒนธรรมจากจีน) กรณีเหล่านี้มีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ 'กระแสต่อต้านจีน' ในเกาหลีใต้ ทั้งๆ ที่เกาหลีเป็นเขตอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนมาแต่โบราณ แค่เรื่องนี้เป็น 'อคติ' ของผู้ชมเกาหลีใต้เองที่เกลียด เหยียด และกลัวจีนมากขึ้น แต่ในแง่เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ กรณีพวกนี้เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ เกิดขึ้นในยุคโชซอน ซึ่งมีการบันทึกประวัติศาสตร์ทางการอย่างละเอียด กระทั่งบันทึกไว้ว่ากษัตริย์ตรัสถ้อยคำไว้อย่างไร ในยุคสมัยที่บันทึกละเอียดแบบนี้การมโนจึงทำไม่ได้ เพราะไม่มีพื้นที่ว่างให้จินตนาการได้อีก ตรงกันข้ามกับเรื่อง Queen Woo ซึ่งเกิดในยุคโคกูรยอ ซึ่งมีประวัติศาสตร์บันทึกกระท่อนกระแท่นเหมือนประวัติศาสตร์ไทย ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้มโนได้มากตามใจปรารถนา แต่ถึงจะมโนได้มาก แต่อารมณ์ชาตินิยมที่รุนแรงในเกาหลีใต้ไม่อนุญาตให้มโนได้ตามใจชอบอีก ไม่ใช่เพราะผู้สร้างบิดเบือนประวัติศาสตร์ แต่ทำงานออกมาไม่ถูกใจพวกชาตินิยมสุดโต่งต่างหาก ดังนั้น ในโลกของนิยายอิงประวัติศาสตร์ จึงไม่มีคำว่าถูกต้องเป๊ะๆ ยิ่งในปัจจุบันมีแต่คำว่า "ถูกใจคนดูหรือไม่" โดยที่ความถูกใจของคนดูไม่ใช่ถูกใจเพราะดาราแสดงดี หรือเครื่องแต่งกายสวย แต่ยังต้องคล้องจองกับ 'วาระทางการเมือง' ของคนดูด้วย ยกตัวอย่างจีน ซึ่งบางคนยังเชื่อว่าจีนทำซีรีส์พีเรียดมากมายเพราะอนุญาตให้มโนได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด สังคมจีนและสถาบันรัฐจีน (ที่ชาตินิยมขึ้นทุกวัน) ไม่ได้อนุญาตให้มโนประวัติศาสตร์ได้ สิ่งที่คนไทยเห็นว่าจีนจินตนาการประวัติศาสตร์นั้น คือ สิ่งที่เรียกว่า Historical fantasy คือใช้ฉากย้อนยุคที่กำกวม ใช้คอสตูมที่อาจจะอยู่ในยุคที่คาดเดาได้ แต่ไม่มีเหตุการณ์นั้นจริงๆ เช่นเรื่อง Nirvana In Fire เมื่อปี 2015 ที่ทำให้เชื่อว่าอยู่ในยุคหนานเป่ยเฉา แต่เอาจริงๆ มันไม่มีสถานการณ์จริงและตัวบุคคลจริงอยู่เลย หากมีซีรีส์ที่ทำเนื้อหาจริงๆ ทางประวัติศาสตร์ หากเลินเล่อเกินไปก็จะถูกโจมตีอย่างหนัก เช่น Legend of Miyue ที่อิงประวัติศาสตร์ยุคจ้านกั๋ว แต่ถูกวิจารณ์เรื่องข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เรื่องนี้มีความเห็นที่น่าสนใจจาก หลีเสี่ยวเหว่ย บรรณาธิการบริหารของ "จงกั๋วชิงเหนียนหว่าง" (中国青年网) ของทางการจีน ตอนที่ซีรีส์เรื่องนี้ถูกตำหนิ เขากล่าวว่า "จักรพรรดินีองค์แรกของจีนในเรื่อง "Legend of Miyue" ซีรีส์ทางทีวีใช้ตัวละครและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง แต่ไม่ได้ติดตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์พื้นฐาน และถึงกับแต่งเรื่องขึ้นมาด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์นี้ช่างน่าเป็นห่วง ประการแรก มันจะนำพาผู้คนให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และก่อให้เกิดข่าวลือ ประการที่สอง นี่คือทิศทางที่ผิดปกติของการพัฒนาละครประวัติศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด" ในเรื่องนี้ทางเกาหลีก็เห็นด้วยกับจีน จากกรณีของ Queen Seondeok อีจองโฮ ผู้สื่อข่าวของ "ยอนเซ ชุนชู" (연세춘추) สื่อของมหาวิทยาลัยยอนเซ ถึงกับบอกว่า "Queen Seondeok คือเรื่องโกหก" และได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งชี้แนะว่า"ตามที่ศาสตราจารย์ ชาฮเยวอน (ภาควิชาศิลปศาสตร์ ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงของจีน) กล่าวไว้ ละครประวัติศาสตร์จีนมักจะมีความเที่ยงตรงต่อข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแตกต่างจากละครประวัติศาสตร์เกาหลี ความจริงของละครประวัติศาสตร์เกาหลีคือความจริงทางประวัติศาสตร์ถูกละเลยเพื่อความบันเทิงและเรตติ้งผู้ชม เพื่อแก้ปัญหานี้ จำเป็นต้องมีการไตร่ตรองภายในอุตสาหกรรมการออกอากาศ" แม้ว่าประเทศไทยจะมีประวัติศาสตร์ที่เบาบางต่างจากจีนและเกาหลี แต่เราสามารถใช้มาตรฐานแบบนี้ได้เหมือนกัน สิ่งที่ต้องเป๊ะคือแกนหลักในประวัติศาสตร์ อย่าตีความมากเกินไปเพราะต้องเคารพ "ผู้ที่ตายไปแล้วซึ่งไม่มีโอกาสร้องอุทรณ์แก้ต่างให้ตัวเอง" ด้วย ส่วนสิ่งที่จินตนาการได้ก็ควรทำให้ตรงกับบริบทแวดล้อมของยุคนั้น หากทำเอาสนุกอย่างเดียว ก็ "จะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด" บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better ภาพโปสเตอร์โปรโมทซีรีส์เรื่อง แม่หยัว และ Queen Seondeok ที่มา https://www.thebetter.co.th/news/world/23351?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3w6ch-KVjjFiWzTmp8gh2-HSMqAh7UX0lxC3jm2_5RD0J97vIDxYCrljo_aem_wMoYw4S-NqnmnAfELQfeSA #Thaitimes
    WWW.THEBETTER.CO.TH
    ความไม่เนียนของ'ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์' ต้องเป๊ะประวัติศาสตร์แค่ไหน?
    ความไม่เนียนของ'ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์' ต้องเป๊ะประวัติศาสตร์แค่ไหน?
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 548 Views 0 Reviews
  • คนเราจะฝันต้องฝันใหญ่
    แม้เป็นไปได้เพียงในจินตนาการ
    ก็สุขใจที่ได้ฝัน

    จากหนังสือ |เหตุใดเราจึงยังมีชีวิตอยู่

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #เหตุใดเราจึงยังมีชีวิตอยู่
    คนเราจะฝันต้องฝันใหญ่ แม้เป็นไปได้เพียงในจินตนาการ ก็สุขใจที่ได้ฝัน จากหนังสือ |เหตุใดเราจึงยังมีชีวิตอยู่ #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #เหตุใดเราจึงยังมีชีวิตอยู่
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • ..เรา ประเทศไทยเราล่ะ,เราจะซ่อมแซมประเทศไทยเราจริงจังแบบไหน&กันเสียที.

    ..พรรคเดโมแครต ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมอเมริกาถึงเลือกทรัมป์ ฉันขออธิบายให้ฟัง:

    ความจริงก็คือ ชาวอเมริกันเบื่อหน่ายกับเรื่องบ้าๆ ของคุณแล้ว

    คุณทำลายชาติและวัฒนธรรมของเรา คุณล้อเลียน ดูถูก และเลือกปฏิบัติต่อเราอย่างเปิดเผย จากนั้นก็เรียกเราว่าพวกเหยียดผิว เหยียดเพศ และพวกนาซี เมื่อเราเริ่มสังเกตเห็น

    คุณทำให้สถาบันอันยิ่งใหญ่ของเราเสื่อมเสียชื่อเสียงและเสื่อมทราม รวมถึงสื่อ โซเชียลมีเดีย เทคโนโลยี สถาบันการศึกษา หน่วยข่าวกรอง สุขภาพ ยา ฮอลลีวูด ความบันเทิง กีฬา ทุกอย่าง! คุณใช้ทุกแง่มุมของชีวิตชาวอเมริกันเป็นอาวุธ และใช้มันเพื่อผลักดันวาระฝ่ายซ้ายสุดโต่งของคุณให้พวกเราต้องทนทุกข์ทรมาน

    คุณบอกเราว่าทรัมป์เป็นทรัพยากรของรัสเซียที่กำลังจะก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 และจะเลวร้ายยิ่งกว่าฮิตเลอร์ จากนั้นคุณก็ใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้างในการแสดงความเกลียดชังต่อผู้สนับสนุนทรัมป์และก่อจลาจลบนท้องถนน คุณใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้างในการขัดขวางและทำลายวาระแรกของทรัมป์ และกลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
    จากนั้นในช่วงโควิด คุณเรียกร้องให้เราทุกคนถูกบังคับให้ทำการทดลองทางการแพทย์โดยไม่ทดลอง คุณต้องการให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยถูกขังไว้ในคุก คุณต้องการให้เด็กๆ ถูกพรากไปจากพ่อแม่ที่ต่อต้านวัคซีน คุณต้องการให้พวกต่อต้านวัคซีนอยู่ในค่าย คุณเชียร์ให้พวกเราต้องตาย จากนั้นก็กลายเป็นว่าคุณคิดผิดเกี่ยวกับทุกอย่าง ตั้งแต่แหล่งกำเนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น ไปจนถึงหน้ากาก วัคซีน การเว้นระยะห่างทางสังคม ไอเวอร์เมกติน HCQ ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ และทุกสิ่งทุกอย่าง

    จากนั้นในช่วงยูเครน คุณบอกเราว่ายูเครนเป็นปราการของประชาธิปไตย และพวกเขาต้องการเงินภาษีของเราทั้งหมดอย่างมาก จากนั้นก็กลายเป็นว่ายูเครนเป็นหนึ่งในประเทศที่ทุจริตมากที่สุดในโลก โดยมีกองกำลังทหารนาซีตามตัวอักษร และที่จริงแล้วเป็นเพียงปฏิบัติการฟอกเงินเพื่อขโมยเงินจากผู้เสียภาษีชาวอเมริกัน คุณต้องการปกป้องพรมแดนของยูเครนมากกว่าของเราเอง คุณส่งเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปยังอีกฟากของโลก ในขณะที่ชาวอเมริกันต้องทนทุกข์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับคำโกหก

    นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Epstein, Diddy และการค้ามนุษย์อีกด้วย พวกคุณทุกคนบอกเราอย่างรุนแรงว่าการค้ามนุษย์เป็นเพียงเรื่องหลอกลวง พวกคุณบอกเราว่าชายแดนปลอดภัย และพวกคุณบอกเราว่าใครก็ตามที่ตั้งคำถามถึงเรื่องนี้คือพวกนักทฤษฎีสมคบคิดที่ไถ่ถอนไม่ได้และน่ารังเกียจ (และเป็นขยะ) พวกคุณบอกว่าใครก็ตามที่ดูรายการ "Sound of Freedom" ล้วนเป็นพวกหัวรุนแรง QAnon และเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย จากนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องจริง และชนชั้นสูงก็มีส่วนร่วมในอาชญากรรมที่เลวร้ายต่อเด็กๆ จริงๆ หลังจากที่คุณบอกเรามาหลายสิบปีว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง พวกคุณปกปิดอาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดที่จินตนาการได้ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

    ฉันทำแบบนี้ได้เป็นวันๆ แต่ฉันคิดว่าคุณคงเข้าใจประเด็นแล้ว ชาวอเมริกันตื่นตัวต่อกลลวงและความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และเราจะไม่ทนอีกต่อไป ดังนั้นเราจึงจ้างโดนัลด์ เจ. ทรัมป์และทีมผู้รักชาติของเขาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ และนำอเมริกากลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

    นี่คือความเป็นจริงของสถานการณ์ คุณเป็นคนเลว และคุณถูกหลอก ยิ่งคุณตื่นรู้เร็วเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งสามารถเข้าร่วมกับเราในการซ่อมแซมประเทศนี้ได้เร็วขึ้นเท่านั้น หรือคุณสามารถเลือกที่จะปฏิเสธความจริง และใช้ชีวิตที่เหลือของคุณไปกับความเกลียดชังที่ขึ้นอยู่กับคำโกหก

    ทางเลือกเป็นของคุณ

    ลงชื่อ: ผู้รักชาติอเมริกันที่แท้จริง

    @realDonaldTrump ขอบคุณสำหรับความกล้าหาญและการยืนหยัดเพื่ออเมริกาและมวลมนุษยชาติ ขอพระเจ้าอวยพรอเมริกา 🙏🏼🇺🇸ฟ
    ..เรา ประเทศไทยเราล่ะ,เราจะซ่อมแซมประเทศไทยเราจริงจังแบบไหน&กันเสียที. ..พรรคเดโมแครต ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมอเมริกาถึงเลือกทรัมป์ ฉันขออธิบายให้ฟัง: ความจริงก็คือ ชาวอเมริกันเบื่อหน่ายกับเรื่องบ้าๆ ของคุณแล้ว คุณทำลายชาติและวัฒนธรรมของเรา คุณล้อเลียน ดูถูก และเลือกปฏิบัติต่อเราอย่างเปิดเผย จากนั้นก็เรียกเราว่าพวกเหยียดผิว เหยียดเพศ และพวกนาซี เมื่อเราเริ่มสังเกตเห็น คุณทำให้สถาบันอันยิ่งใหญ่ของเราเสื่อมเสียชื่อเสียงและเสื่อมทราม รวมถึงสื่อ โซเชียลมีเดีย เทคโนโลยี สถาบันการศึกษา หน่วยข่าวกรอง สุขภาพ ยา ฮอลลีวูด ความบันเทิง กีฬา ทุกอย่าง! คุณใช้ทุกแง่มุมของชีวิตชาวอเมริกันเป็นอาวุธ และใช้มันเพื่อผลักดันวาระฝ่ายซ้ายสุดโต่งของคุณให้พวกเราต้องทนทุกข์ทรมาน คุณบอกเราว่าทรัมป์เป็นทรัพยากรของรัสเซียที่กำลังจะก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 และจะเลวร้ายยิ่งกว่าฮิตเลอร์ จากนั้นคุณก็ใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้างในการแสดงความเกลียดชังต่อผู้สนับสนุนทรัมป์และก่อจลาจลบนท้องถนน คุณใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้างในการขัดขวางและทำลายวาระแรกของทรัมป์ และกลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด จากนั้นในช่วงโควิด คุณเรียกร้องให้เราทุกคนถูกบังคับให้ทำการทดลองทางการแพทย์โดยไม่ทดลอง คุณต้องการให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยถูกขังไว้ในคุก คุณต้องการให้เด็กๆ ถูกพรากไปจากพ่อแม่ที่ต่อต้านวัคซีน คุณต้องการให้พวกต่อต้านวัคซีนอยู่ในค่าย คุณเชียร์ให้พวกเราต้องตาย จากนั้นก็กลายเป็นว่าคุณคิดผิดเกี่ยวกับทุกอย่าง ตั้งแต่แหล่งกำเนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น ไปจนถึงหน้ากาก วัคซีน การเว้นระยะห่างทางสังคม ไอเวอร์เมกติน HCQ ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ และทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นในช่วงยูเครน คุณบอกเราว่ายูเครนเป็นปราการของประชาธิปไตย และพวกเขาต้องการเงินภาษีของเราทั้งหมดอย่างมาก จากนั้นก็กลายเป็นว่ายูเครนเป็นหนึ่งในประเทศที่ทุจริตมากที่สุดในโลก โดยมีกองกำลังทหารนาซีตามตัวอักษร และที่จริงแล้วเป็นเพียงปฏิบัติการฟอกเงินเพื่อขโมยเงินจากผู้เสียภาษีชาวอเมริกัน คุณต้องการปกป้องพรมแดนของยูเครนมากกว่าของเราเอง คุณส่งเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปยังอีกฟากของโลก ในขณะที่ชาวอเมริกันต้องทนทุกข์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับคำโกหก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Epstein, Diddy และการค้ามนุษย์อีกด้วย พวกคุณทุกคนบอกเราอย่างรุนแรงว่าการค้ามนุษย์เป็นเพียงเรื่องหลอกลวง พวกคุณบอกเราว่าชายแดนปลอดภัย และพวกคุณบอกเราว่าใครก็ตามที่ตั้งคำถามถึงเรื่องนี้คือพวกนักทฤษฎีสมคบคิดที่ไถ่ถอนไม่ได้และน่ารังเกียจ (และเป็นขยะ) พวกคุณบอกว่าใครก็ตามที่ดูรายการ "Sound of Freedom" ล้วนเป็นพวกหัวรุนแรง QAnon และเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย จากนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องจริง และชนชั้นสูงก็มีส่วนร่วมในอาชญากรรมที่เลวร้ายต่อเด็กๆ จริงๆ หลังจากที่คุณบอกเรามาหลายสิบปีว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง พวกคุณปกปิดอาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดที่จินตนาการได้ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ฉันทำแบบนี้ได้เป็นวันๆ แต่ฉันคิดว่าคุณคงเข้าใจประเด็นแล้ว ชาวอเมริกันตื่นตัวต่อกลลวงและความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และเราจะไม่ทนอีกต่อไป ดังนั้นเราจึงจ้างโดนัลด์ เจ. ทรัมป์และทีมผู้รักชาติของเขาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ และนำอเมริกากลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง นี่คือความเป็นจริงของสถานการณ์ คุณเป็นคนเลว และคุณถูกหลอก ยิ่งคุณตื่นรู้เร็วเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งสามารถเข้าร่วมกับเราในการซ่อมแซมประเทศนี้ได้เร็วขึ้นเท่านั้น หรือคุณสามารถเลือกที่จะปฏิเสธความจริง และใช้ชีวิตที่เหลือของคุณไปกับความเกลียดชังที่ขึ้นอยู่กับคำโกหก ทางเลือกเป็นของคุณ ลงชื่อ: ผู้รักชาติอเมริกันที่แท้จริง @realDonaldTrump ขอบคุณสำหรับความกล้าหาญและการยืนหยัดเพื่ออเมริกาและมวลมนุษยชาติ ขอพระเจ้าอวยพรอเมริกา 🙏🏼🇺🇸ฟ
    0 Comments 0 Shares 367 Views 0 Reviews
  • ความลับใต้ดินของวาติกัน: อุโมงค์ยาว 1,500 ไมล์ของวาติกันไปยังเยรูซาเล็มและคลังทองคำลับที่ถูกโอนไปยังฟอร์ตนอกซ์! การเปิดเผยที่ทำลายประวัติศาสตร์! เปิดเผยความลับอันน่าตกตะลึงของวาติกัน: อุโมงค์ยาว 1,500 ไมล์ที่ซ่อนอยู่ซึ่งทอดยาวไปยังเยรูซาเล็มและเต็มไปด้วยทองคำที่ไม่อาจจินตนาการได้ นี่ไม่ใช่การสมคบคิด แต่เป็นความจริงอันน่าตกตะลึงที่เปิดเผยถึงอำนาจและความมั่งคั่งของวาติกัน ดำดิ่งสู่โลกแห่งเทคโนโลยีโบราณ สมบัติล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ และการเปิดเผยที่ท้าทายประวัติศาสตร์ เตรียมตั้งคำถามกับทุกสิ่ง!
    https://amg-news.com/the-vaticans-underground-secrets-the-vaticans-1500-mile-tunnel-to-jerusalem-and-the-secret-gold-stash-transferred-to-fort-knox-a-revelation-that-shatters-history/
    ความลับใต้ดินของวาติกัน: อุโมงค์ยาว 1,500 ไมล์ของวาติกันไปยังเยรูซาเล็มและคลังทองคำลับที่ถูกโอนไปยังฟอร์ตนอกซ์! การเปิดเผยที่ทำลายประวัติศาสตร์! เปิดเผยความลับอันน่าตกตะลึงของวาติกัน: อุโมงค์ยาว 1,500 ไมล์ที่ซ่อนอยู่ซึ่งทอดยาวไปยังเยรูซาเล็มและเต็มไปด้วยทองคำที่ไม่อาจจินตนาการได้ นี่ไม่ใช่การสมคบคิด แต่เป็นความจริงอันน่าตกตะลึงที่เปิดเผยถึงอำนาจและความมั่งคั่งของวาติกัน ดำดิ่งสู่โลกแห่งเทคโนโลยีโบราณ สมบัติล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ และการเปิดเผยที่ท้าทายประวัติศาสตร์ เตรียมตั้งคำถามกับทุกสิ่ง! https://amg-news.com/the-vaticans-underground-secrets-the-vaticans-1500-mile-tunnel-to-jerusalem-and-the-secret-gold-stash-transferred-to-fort-knox-a-revelation-that-shatters-history/
    AMG-NEWS.COM
    The Vatican’s Underground Secrets: The Vatican’s 1,500-Mile Tunnel to Jerusalem and the Secret Gold Stash Transferred to Fort Knox! A Revelation That Shatters History! - amg-news.com - American Media Group
    Uncover the Vatican's explosive secret: a hidden 1,500-mile tunnel stretching to Jerusalem, packed with unimaginable gold. This is no conspiracy—it’s a shocking truth that reveals the Vatican's grip on wealth and power. Dive deep into a world of ancient technology, hidden treasures, and a revelation that defies history. Prepare to question everything!
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • Blue Suede Shoes
    เพลงนี้ถูกบันทึกไว้ครั้งแรกโดยผู้แต่งที่ไม่เต็มใจนักคือนักร้องคันทรี คาร์ล เพอร์กินส์.
    ..เป็นเพลงแรกด้านหนึ่งของอัลบั้มเปิดตัวชื่อเดียวกันของเอลวิส เพรสลีย์ในปี 1956 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยธรรมชาติแล้ว คนรักดนตรีหลายคนจึงสันนิษฐานว่า“Blue Suede Shoes” เป็นผลงานของเอลวิส แต่เพลงนี้เป็นผลงานของนักบุกเบิกดนตรีร็อกแอนด์โรลที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก และมีต้นกำเนิดที่ซับซ้อนและมีอารมณ์ขันอย่างประหลาด
    “Blue Suede Shoes” ถูกเขียนขึ้นอย่างไม่เต็มใจโดยนักร้องและนักแต่งเพลงชาวเทนเนสซีคาร์ล เพอร์กินส์ เดิมทีเขาเป็นนักร้องแนวคันทรี แต่การผสมผสานระหว่างร็อกแอนด์โรลและดนตรีพื้นบ้านแบบฮิลบิลลี่ของเทือกเขาแอปพาเลเชียนซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาทำให้เขาได้รับฉายาว่าราชาแห่งร็อกกาบิลลี่ในไม่ช้า
    เพอร์กินส์เซ็นสัญญากับค่ายเพลงซันเรคคอร์ดในปี 1954 และในปีถัดมา ก็ได้เล่นดนตรีร่วมกับเพรสลีย์และจอห์นนี่ แคชในอาร์คันซอหลายครั้ง ขณะอยู่หลังเวทีการแสดงในเมืองพาร์กินส์ แคชได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลประหลาดที่เขาพบในเยอรมนีระหว่างที่รับราชการทหารให้เพอร์กินส์ฟัง
    แคชเล่าถึงจ่าสิบเอกผิวสีชื่อซีวี ไวท์ ซึ่งอ้างว่าอักษรย่อของเขาหมายถึง “กำมะหยี่แชมเปญ” ในคืนนอกเวลางานในมิวนิก ไวท์มักจะจินตนาการว่ารองเท้าทหารสีดำตามระเบียบของเขาเป็นรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงินที่ดูเก๋ไก๋ และเตือนทุกคนที่มาเยี่ยมชมไม่ให้เหยียบรองเท้าเหล่านี้
    “คุณควรเขียนเพลงเกี่ยวกับเรื่องนั้น!” แคชเสนอให้เพอร์กินส์
    “แต่ฉันไม่รู้เรื่องรองเท้าเลย!” เพอร์กินส์ประท้วง
    แคชได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้แล้ว ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เพอร์กินส์ได้ยินเสียงดังขึ้นขณะกำลังเต้นรำในวิทยาลัย "เฮ้ อย่าเหยียบรองเท้าหนังกลับของฉัน!" และเห็นนักเรียนคนหนึ่งกำลังตำหนิคู่เดตของเขาที่ทำรองเท้าของเขาถลอก เขาเริ่มเขียน "รองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน" ในคืนนั้น โดยใช้กระสอบใส่มันฝรั่งสีน้ำตาลที่สะดวก
    เพอร์กินส์เริ่มต้นด้วยกลอนเด็กของสหรัฐอเมริกา: “หนึ่งเพื่อเงิน สองเพื่อการแสดง!” ก่อนที่จะแสดงรายการชะตากรรมที่เขาอยากอดทนมากกว่าที่จะให้ใครมาเหยียบรองเท้าของเขา: “คุณสามารถล้มฉันลงได้ เหยียบหน้าฉัน…” ความไม่เหมาะสมที่ตลกขบขันเหล่านี้ยิ่งเลวร้ายลง: “คุณสามารถเผาบ้านของฉัน ขโมยรถของฉัน ดื่มเหล้าของฉันจากโถผลไม้เก่า!”
    “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงที่สนุกสนานและได้รับความนิยมอย่างมาก ออกจำหน่ายในวันปีใหม่ปี 1956 ขึ้นชาร์ตทั้งเพลงคันทรีและเพลง แนวริธึมแอนด์บลูส์ และขึ้นอันดับสองในชาร์ตเพลงป๊อปหลักของ Billboard ในเดือนมีนาคมปีนั้น แต่แล้วโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นกับ Carl Perkins
    ขณะที่เพอร์กินส์กำลังเดินทางไปแสดงเพลง “Blue Suede Shoes” ในรายการโทรทัศน์ของเพอร์รี โคโม เพอร์กินส์ประสบอุบัติเหตุทางถนนที่ร้ายแรง คนขับรถบรรทุกเสียชีวิต และนักร้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่เพอร์กินส์นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากไม่สามารถโปรโมตซิงเกิลของเขาได้ เพลงดังกล่าวก็ถูกแซงหน้าโดยเพลง “Heartbreak Hotel” ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวของเอลวิสในสังกัดค่ายเพลงใหญ่
    เพรสลีย์คัฟเวอร์เพลง "Blue Suede Shoes" ในอัลบั้มของเขาในเดือนเดียวกันนั้น และค่ายเพลงของเขาต้องการที่จะปล่อยเพลงนี้ออกมาเป็นซิงเกิล ในตอนแรกเขาไม่อยากแข่งขันกับเพื่อนเรื่องยอดขาย แต่เขาก็ยอมแพ้เมื่อตระหนักว่าค่าลิขสิทธิ์การแต่งเพลงจะช่วยสนับสนุนเพอร์กินส์ในขณะที่เขากำลังพักฟื้น เวอร์ชันที่คล้ายกันมากของเอลวิสก็ขึ้นอันดับ 20

    ปกอัลบั้มอื่นๆ ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ The Beatles เป็นแฟนตัวยงของ Perkins; Paul McCartney ยืนยันว่า "ถ้าไม่มี Carl Perkins ก็คงไม่มี Beatles" John Lennon เล่นเพลง "Blue Suede Shoes" ในวงสกิฟเฟิลก่อนจะโด่งดังของเขาอย่าง The Quarrymen; และในวง The Beatles; ในฐานะศิลปินเดี่ยว; และกับ Yoko Ono ในวง Plastic Ono เลนนอนยังรับหน้าที่ร้องนำในเวอร์ชันแจมเซสชั่น ของเพลงนี้ในช่วง Let It Be ของ The Beatles ตามที่แสดงในสารคดีของปีเตอร์ แจ็กสันในปี 2021
    The Dave Clark Five เล่นเปียโนได้อย่างสนุกสนาน Uriah Heep ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยดนตรีแนวพร็อก-ร็อกสุดมันส์ Motörhead ร้องได้อย่างเต็มที่ โดยนักร้องนำ Lemmy ดูเหมือนจะกลั้วคอด้วยเสียงเพลงกรวด Black Sabbath เร่งจังหวะจากความมึนงงตามปกติ และกระตุ้นจินตนาการอันน่ายินดีของนักร้องนำ Ozzy Osbourne ที่สวมรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน
    Ry Cooder เล่นเพลง “Blue Suede Shoes” จนกลายเป็นหนึ่งในผลงานการเล่นกีตาร์สไลด์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ดาราฝรั่งเศสจอห์นนี่ ฮัลลีเดย์ ร้องเพลงกอลและร้องคาราโอเกะของเอลวิสไปทั่ว และในปี 2014 สาวกเอลวิสคนแรกของอังกฤษCliff Richard ร้องเพลงคู่กับ Presley จากเพลงฮิตปี 1956 ของเขาอย่างภาคภูมิใจ
    “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงแรกของนักร้องคันทรี่ที่มียอดขายกว่าล้านชุดและได้รับความนิยมในกระแสหลัก แต่เพลงนี้ยังคงเชื่อมโยงกับเอลวิส เพรสลีย์ตลอดไป เพอร์กินส์ยอมรับอย่างภาคภูมิใจว่าเอลวิสมีเสน่ห์ดึงดูดใจและมีคุณสมบัติ "X" ซูเปอร์สตาร์ ซึ่งแม้ว่าเขาจะเป็นแค่คนพื้นเพธรรมดาๆ ก็ตาม
    “เอลวิสมีทุกอย่าง” เขากล่าวในบทสัมภาษณ์ “เขาทั้งหน้าตา ท่าทาง ผู้จัดการ และพรสวรรค์ เอลวิสไว้เคราข้างแก้ม ท่าเต้นที่ฉูดฉาด และไม่มีแหวนบนนิ้วของเขา ฉันมีลูกสามคน!”
    อย่างน้อยเขาก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับรองเท้า.
    Blue Suede Shoes เพลงนี้ถูกบันทึกไว้ครั้งแรกโดยผู้แต่งที่ไม่เต็มใจนักคือนักร้องคันทรี คาร์ล เพอร์กินส์. ..เป็นเพลงแรกด้านหนึ่งของอัลบั้มเปิดตัวชื่อเดียวกันของเอลวิส เพรสลีย์ในปี 1956 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยธรรมชาติแล้ว คนรักดนตรีหลายคนจึงสันนิษฐานว่า“Blue Suede Shoes” เป็นผลงานของเอลวิส แต่เพลงนี้เป็นผลงานของนักบุกเบิกดนตรีร็อกแอนด์โรลที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก และมีต้นกำเนิดที่ซับซ้อนและมีอารมณ์ขันอย่างประหลาด “Blue Suede Shoes” ถูกเขียนขึ้นอย่างไม่เต็มใจโดยนักร้องและนักแต่งเพลงชาวเทนเนสซีคาร์ล เพอร์กินส์ เดิมทีเขาเป็นนักร้องแนวคันทรี แต่การผสมผสานระหว่างร็อกแอนด์โรลและดนตรีพื้นบ้านแบบฮิลบิลลี่ของเทือกเขาแอปพาเลเชียนซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาทำให้เขาได้รับฉายาว่าราชาแห่งร็อกกาบิลลี่ในไม่ช้า เพอร์กินส์เซ็นสัญญากับค่ายเพลงซันเรคคอร์ดในปี 1954 และในปีถัดมา ก็ได้เล่นดนตรีร่วมกับเพรสลีย์และจอห์นนี่ แคชในอาร์คันซอหลายครั้ง ขณะอยู่หลังเวทีการแสดงในเมืองพาร์กินส์ แคชได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลประหลาดที่เขาพบในเยอรมนีระหว่างที่รับราชการทหารให้เพอร์กินส์ฟัง แคชเล่าถึงจ่าสิบเอกผิวสีชื่อซีวี ไวท์ ซึ่งอ้างว่าอักษรย่อของเขาหมายถึง “กำมะหยี่แชมเปญ” ในคืนนอกเวลางานในมิวนิก ไวท์มักจะจินตนาการว่ารองเท้าทหารสีดำตามระเบียบของเขาเป็นรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงินที่ดูเก๋ไก๋ และเตือนทุกคนที่มาเยี่ยมชมไม่ให้เหยียบรองเท้าเหล่านี้ “คุณควรเขียนเพลงเกี่ยวกับเรื่องนั้น!” แคชเสนอให้เพอร์กินส์ “แต่ฉันไม่รู้เรื่องรองเท้าเลย!” เพอร์กินส์ประท้วง แคชได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้แล้ว ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เพอร์กินส์ได้ยินเสียงดังขึ้นขณะกำลังเต้นรำในวิทยาลัย "เฮ้ อย่าเหยียบรองเท้าหนังกลับของฉัน!" และเห็นนักเรียนคนหนึ่งกำลังตำหนิคู่เดตของเขาที่ทำรองเท้าของเขาถลอก เขาเริ่มเขียน "รองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน" ในคืนนั้น โดยใช้กระสอบใส่มันฝรั่งสีน้ำตาลที่สะดวก เพอร์กินส์เริ่มต้นด้วยกลอนเด็กของสหรัฐอเมริกา: “หนึ่งเพื่อเงิน สองเพื่อการแสดง!” ก่อนที่จะแสดงรายการชะตากรรมที่เขาอยากอดทนมากกว่าที่จะให้ใครมาเหยียบรองเท้าของเขา: “คุณสามารถล้มฉันลงได้ เหยียบหน้าฉัน…” ความไม่เหมาะสมที่ตลกขบขันเหล่านี้ยิ่งเลวร้ายลง: “คุณสามารถเผาบ้านของฉัน ขโมยรถของฉัน ดื่มเหล้าของฉันจากโถผลไม้เก่า!” “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงที่สนุกสนานและได้รับความนิยมอย่างมาก ออกจำหน่ายในวันปีใหม่ปี 1956 ขึ้นชาร์ตทั้งเพลงคันทรีและเพลง แนวริธึมแอนด์บลูส์ และขึ้นอันดับสองในชาร์ตเพลงป๊อปหลักของ Billboard ในเดือนมีนาคมปีนั้น แต่แล้วโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นกับ Carl Perkins ขณะที่เพอร์กินส์กำลังเดินทางไปแสดงเพลง “Blue Suede Shoes” ในรายการโทรทัศน์ของเพอร์รี โคโม เพอร์กินส์ประสบอุบัติเหตุทางถนนที่ร้ายแรง คนขับรถบรรทุกเสียชีวิต และนักร้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่เพอร์กินส์นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากไม่สามารถโปรโมตซิงเกิลของเขาได้ เพลงดังกล่าวก็ถูกแซงหน้าโดยเพลง “Heartbreak Hotel” ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวของเอลวิสในสังกัดค่ายเพลงใหญ่ เพรสลีย์คัฟเวอร์เพลง "Blue Suede Shoes" ในอัลบั้มของเขาในเดือนเดียวกันนั้น และค่ายเพลงของเขาต้องการที่จะปล่อยเพลงนี้ออกมาเป็นซิงเกิล ในตอนแรกเขาไม่อยากแข่งขันกับเพื่อนเรื่องยอดขาย แต่เขาก็ยอมแพ้เมื่อตระหนักว่าค่าลิขสิทธิ์การแต่งเพลงจะช่วยสนับสนุนเพอร์กินส์ในขณะที่เขากำลังพักฟื้น เวอร์ชันที่คล้ายกันมากของเอลวิสก็ขึ้นอันดับ 20 ปกอัลบั้มอื่นๆ ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ The Beatles เป็นแฟนตัวยงของ Perkins; Paul McCartney ยืนยันว่า "ถ้าไม่มี Carl Perkins ก็คงไม่มี Beatles" John Lennon เล่นเพลง "Blue Suede Shoes" ในวงสกิฟเฟิลก่อนจะโด่งดังของเขาอย่าง The Quarrymen; และในวง The Beatles; ในฐานะศิลปินเดี่ยว; และกับ Yoko Ono ในวง Plastic Ono เลนนอนยังรับหน้าที่ร้องนำในเวอร์ชันแจมเซสชั่น ของเพลงนี้ในช่วง Let It Be ของ The Beatles ตามที่แสดงในสารคดีของปีเตอร์ แจ็กสันในปี 2021 The Dave Clark Five เล่นเปียโนได้อย่างสนุกสนาน Uriah Heep ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยดนตรีแนวพร็อก-ร็อกสุดมันส์ Motörhead ร้องได้อย่างเต็มที่ โดยนักร้องนำ Lemmy ดูเหมือนจะกลั้วคอด้วยเสียงเพลงกรวด Black Sabbath เร่งจังหวะจากความมึนงงตามปกติ และกระตุ้นจินตนาการอันน่ายินดีของนักร้องนำ Ozzy Osbourne ที่สวมรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน Ry Cooder เล่นเพลง “Blue Suede Shoes” จนกลายเป็นหนึ่งในผลงานการเล่นกีตาร์สไลด์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ดาราฝรั่งเศสจอห์นนี่ ฮัลลีเดย์ ร้องเพลงกอลและร้องคาราโอเกะของเอลวิสไปทั่ว และในปี 2014 สาวกเอลวิสคนแรกของอังกฤษCliff Richard ร้องเพลงคู่กับ Presley จากเพลงฮิตปี 1956 ของเขาอย่างภาคภูมิใจ “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงแรกของนักร้องคันทรี่ที่มียอดขายกว่าล้านชุดและได้รับความนิยมในกระแสหลัก แต่เพลงนี้ยังคงเชื่อมโยงกับเอลวิส เพรสลีย์ตลอดไป เพอร์กินส์ยอมรับอย่างภาคภูมิใจว่าเอลวิสมีเสน่ห์ดึงดูดใจและมีคุณสมบัติ "X" ซูเปอร์สตาร์ ซึ่งแม้ว่าเขาจะเป็นแค่คนพื้นเพธรรมดาๆ ก็ตาม “เอลวิสมีทุกอย่าง” เขากล่าวในบทสัมภาษณ์ “เขาทั้งหน้าตา ท่าทาง ผู้จัดการ และพรสวรรค์ เอลวิสไว้เคราข้างแก้ม ท่าเต้นที่ฉูดฉาด และไม่มีแหวนบนนิ้วของเขา ฉันมีลูกสามคน!” อย่างน้อยเขาก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับรองเท้า.
    0 Comments 0 Shares 463 Views 98 0 Reviews
  • เคยมีคำกล่าวว่าแมวมีเก้าชีวิตซึ่งเป็นความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ ที่ในความเป็นจริงก็ตายแล้วตายเลยไม่ต่างจากสัตว์อื่นหรือมนุษย์ โตขึ้นมาสักหน่อยประมาณช่วงมัธยมต้น ช่างประปานามว่ามาริโอ้ทำให้ผมทึ่ง เพราะในอาณาจักรเห็ดแล้ว เขามีชีวิตได้สูงสุดถึง 99 ครั้ง

    โอ้..คุณพระ!

    #TomorrowandTomorrowandTomorrow
    นี่คือหนังสือที่เปิดเผยวงการสร้างเกมวิดีโอได้เจาะลึกและน่าสนใจมากเล่มหนึ่งที่มีอยู่ไม่มากนักในตลาด ที่สำคัญมีอะไรมากไปกว่าแค่เรื่องเด็กสร้างเกม

    สนพ.แซลมอน
    แกเบรียล เซวิน เขียน
    สุวิชชา จันทร แปล
    พิมพ์เมื่อ กรกฎาคม 2566
    หนา 400 หน้า 495 บาท

    หนังสือเล่มใหญ่มากแถมยังหนา ใหญ่กว่าขนาดมาตรฐานพ็อกเก็ตบุ๊กทั่วไปพอสมควร เป็นอุปสรรคในการถืออ่านพอสมควร ด้วยความหนักบวกเทอะทะ จึงไม่เหมาะพกพาอ่านนอกสถานที่เท่าใดนัก แต่นี่ไม่ทำให้ใจที่อยากรู้ว่าเนื้อหาข้างในนั้นมีอะไรอยู่บ้างลดน้อยลง

    เปิดประตูสู่โลกในจินตนาการ

    ด้วยเหตุใดก็ตามที่บันดาลให้เด็กหญิงเซดีน กรีน เชื้อสายอเมริกันยิว ในวัยสิบกว่าปีที่มาเยี่ยมพี่สาวอายุห่างจากเธอ 2 ปีกับแม่ แล้วทำให้พี่สาวแหกปากลั่น จนแม่ต้องไล่ให้เซดีออกไปนอกห้องสักพัก จนเธอเดินเปะปะมาเจอกับ แซม เมเซอ ที่เป็นเด็กชายอเมริกันเชื้อสายเกาหลีหน้าตาแปลก และเท้ามีปัญหา ซึ่งกำลังจดจ่อกับการบังคับมาริโอ้ เกมจากเครื่องเล่นนินเทนโดในห้องสันทนาการ ถือได้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของสายใยพิเศษพิสดาร ที่จะผูกโยงพวกเขาเข้าไว้ด้วยกันไปอีกนานหลายสิบปีนับจากนี้

    💻

    แม้จะไม่เคยมีใครสามารถทำให้แซมอ้าปากพูดได้มาก่อน นับตั้งแต่เขาอยู่ใน รพ.มาเป็นระยะเวลากว่าหกสัปดาห์ แต่เซดี คือบุคคลอันน่าเหลือเชื่อ ที่ทั้งหมอ และพยาบาลต่างแปลกใจ เธอใช้เวลาไม่นานนับแต่เดินไปเห็นเขา แล้วยืนชมแซมเล่นตัวมาริโอ้ด้วยเทคนิกชั้นเซียน จนอีกไม่กี่อึดใจถัดมา แซมก็เอ่ยปากคุยกับเธอเกี่ยวกับเกมที่เขากำลังเล่น จากนั้นทั้งสองก็สนทนากันอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ราวกับรู้จักกันดีมาเป็นเวลานานทั้งที่เพิ่งจะพบกันในวันนั้นเป็นครั้งแรก

    💻

    เหตุนี้เอง หมอและพยาบาลจึงอยากให้แม่ของเซดี ยอมให้เธอมาที่รพ.บ่อย ๆ และเป็นเพื่อนคุยกับแซม เพื่อหวังว่าจะช่วยให้เขาแจ่มใสร่าเริงขึ้น หลังประสบเหตุการณ์ที่ยากลำบาก ทำให้เท้าของเขามีปัญหาไม่ธรรมดา ซึ่งเซดีเองก็ยินดี เธอและแซมเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยในเรื่องของวิดีโอเกม จนกระทั่งเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่รู้จักกันได้ไม่กี่เดือน และไปกระทบกระเทือนใจของแซมอย่างรุนแรงจนเขาผิดหวังและไล่เธอไม่ให้มาพบเจอกันอีกต่อไป

    💻

    เวลาผ่านไปหลายปี เซดีเรียนต่อที่ mit ทางด้านสาขาการออกแบบเกม ส่วนแซมเข้าฮาร์วาร์ดได้ เขาถนัดด้านคณิตศาสตร์ เท้าเจ้ากรรมยังคงแย่ไม่แพ้สมัยเด็ก แซมได้รูมเมตเป็นลูกครึ่งเชื้อสายอเมริกันญี่ปุ่นชื่อว่า มาร์กซ์ วาตานาเบะ ผู้มีจิตใจดีและเป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือแนะนำเขาในหลายเรื่อง

    วันหนึ่ง แซม ได้พบกับเซดี ในระหว่างทางที่กำลังจะขึ้นรถไฟใต้ดิน เขาอดใจไม่ไหวร้องเรียกเธอ แล้วได้คุยกันสั้น ๆ ที่ทำให้หวนนึกถึงอดีต เธอฝากแผ่นเกมสำหรับเล่นกับเครื่องพีซีให้เขาไว้ บอกว่าเป็นเกมที่เธอสร้างเอง เล่นจบแล้วรู้สึกอย่างไรช่วยติดต่อบอกด้วยตามที่อยู่อีเมล จากนั้นต่างแยกย้าย

    💻

    ระหว่างนั้นเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายกับเซดี ที่ทำให้เธอสิ้นหวังและหมดพลังในชีวิต แต่เป็นแซมที่พยายามหาทางติดต่อกลับ แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากเธอเลย วันหนึ่งเขาจึงตัดสินใจเดินด้วยเท้าสภาพเน่า ๆ เสี่ยงไปยังที่พักของเธอ เมื่อได้พบกันเซดีเหมือนผีตายซากที่รอเวลาแห้งเหี่ยว แซมมาหาเธอทุกวันจนในที่สุด สาวน้อยคนเก่ากลับฟื้นคืนสติเป็นผู้เป็นคน จนยอมรับข้อเสนอมาร่วมกันสร้างเกมกับเขาในช่วงปิดภาคเรียนไม่กี่เดือน เพื่อต้องการสานฝันให้เป็นจริง ซึ่งต่อมาทั้งสองได้มาร์กซ์มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ด้วย

    💻

    แล้วตำนานแห่งสามสหายที่ให้กำเนิดโคตรเกมที่ยิ่งใหญ่และตีตลาดจนเป็นที่นิยมในวงกว้าง ก็ถือกำเนิดขึ้น นำพาผู้อ่านท่องสู่จักรวาลของผู้สร้างอันบรรเจิดเพริศแพร้ว จนมีหลายบริษัทเข้าแถวอยากทำสัญญาด้วย ต่อมาโชคชะตาเอื้ออำนวย ให้ทั้งสามก่อตั้งบริษัทผลิตเกมเป็นของตน จนสร้างสรรค์ผลงานน่าจดจำป้อนสู่ตลาด มีทั้งที่ประสบความสำเร็จงดงาม และบางเกมก็โดนหามลงจากเวที ตลอดจนประสบพบเจออุปสรรคหลากหลายที่ล้วนแต่รุนแรงต่อเนื่องเป็นระลอกถึงกับเกือบจะล้มหายไปจากวงการ แต่ในที่สุดก็ผ่านมันไปได้

    💻

    เรื่องราวสุดแสนเข้มข้นน่าติดตามค้นหาอีกมากมาย รอคอยให้ผู้อ่านเช่นคุณเสาะแสวงหามาทดสอบ ต่อให้ไม่ใช่คนที่รักชอบในการเล่นวิดีโอเกมมาก่อนเลย ก็สามารถจะทำความเข้าใจในเนื้อเรื่องที่ผู้เขียนต้องการสื่อได้ไม่ยาก ขณะเดียวกันก็ได้รับความบันเทิงควบคู่ไปด้วย

    💽ความน่าทึ่งซึ่งปรากฏชัดหลังอ่านจบ

    (ถ้าใครยังไม่เคยอ่านหนังสือ ต่อจากนี้ไปอาจมีกล่าวถึงเนื้อหาสำคัญบางส่วน โปรดพิจารณา ถ้าไม่กังวลก็ขอเชิญอ่านต่อได้เลยครับ)

    1. ผมทั้งถูกใจและขัดใจในขนาดรูปเล่มที่ทำออกมา คือถืออ่านไม่ถนัดมือ รูปภาพที่ทำปกก็ดูไม่เข้ากับเรื่องเกม ไม่ค่อยดึงดูดให้คนอยากอ่าน ไม่สื่อถึงเรื่องวงการเกม แต่เมื่ออ่านเนื้อหาภายในไปสักพักจึงเข้าใจที่มาของรูปคลื่น อ้อ ..ความเกี่ยวข้องกับเกมอยู่ตรงนี้เองสำคัญด้วยสิ แต่คนที่จะรู้ได้คือต้องอ่านก่อนเท่านั้นนี่คือจุดบอด นอกจากภาพปกก็การจัดทำอาร์ตเวิร์ก ทีแรกไม่ชอบเลย ทำไมถึงตั้งใจให้อักษรถูกวางเรียงเป็นพรืด ออกมาเป็นบล็อกราวกับก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้า แถมยังเว้นพื้นที่ว่างด้านริมชิดขอบหนังสือนิดเดียว แต่กลับเว้นช่องว่างด้านหลังแถวอักษรเยอะ กลายเป็นเมื่อเปิดหน้าหนังสือออก จะมีบริเวณที่เว้นว่างซึ่งไม่มีอักษรเลยช่วงกึ่งกลางเล่มเป็นช่องโล่งกว้างใหญ่ มองแล้วแปลก ๆ

    ตัวอักษรที่ถูกเลือกใช้อีก ไม่ใช่แบบอักษรที่นิยม มองแล้วไม่นุ่มนวล ออกจะเป็นอักษรที่ดูแข็งทื่อและกระด้างเมื่อเรียงอยู่ด้วยกันเป็นแถวยาว แต่เมื่อมองไปมองมา พลิกอ่านไปสักระยะก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้น นี่มันเหมือนรูปแบบของตัวพิกเซลเลยนี่นา ความเป็นเหลี่ยม เป็นก้อน เป็นบล็อก หรือนี่คือความตั้งใจที่ได้รับการออกแบบไว้แต่แรกของผู้เขียนและสนพ. เนื่องจากไม่เคยเห็นฉบับภาษาอังกฤษจึงไม่มีข้อเปรียบเทียบ แต่เชื่อว่าฉบับแปลไทยก็คงจะพยายามทำออกมาโดยคงแนวคิดเดิมให้ได้มากสุด เมื่อคิดได้ดังนี้ จากที่ตอนแรกขัดใจกลักลายเป็นนึกชมขึ้นมาแทน ไม่รู้หรอกว่าจะใช่อย่างที่เดาไหม แต่ถ้าใช่ถือว่าทำสำเร็จ เพราะมันเข้ากับเรื่องราวที่กล่าวเกี่ยวกับการสร้างเกมพอดี

    .

    2. ยังคงหงุดหงิดเล็กน้อยกับรูปแบบการเขียนของแกเบรียลที่เหมือนกับเล่ม "หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ" คือคนอ่านต้องมีสมาธิจดจ่ออย่างมากกับเรื่องที่ผู้เขียนเล่า เพราะเขาจะไม่มีการขึ้นบทใหม่ หรือใช้ย่อหน้า หรือเลขแบ่ง หรือเว้นวรรคที่ว่าง เพื่อแบ่งฉากให้รู้ชัดเจนว่านี่คือเรื่องราวของฉากใหม่ เหตุการณ์ใหม่ วันใหม่แล้วนะ เรียกว่าเล่าเรื่องฉากหนึ่งอยู่ดี ๆ ก็ตัดจบไปดื้อ ๆ แล้วบรรทัดถัดไปก็เป็นเรื่องราวใหม่ที่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง แถมไม่มีบรรยายเกริ่น แต่เริ่มด้วยบทสนทนาของตัวละครทันที ดังนั้นบ่อยครั้งที่อ่านอยู่แล้วพอพลิกหน้าต่อไปก็เอ๋อ งงอยู่นานว่าทำไมเรื่องราวมันจึงไม่ต่อเนื่องกัน ตัวละครคุยกันเรื่องหนึ่ง ไฉนกลายเป็นใครไม่รู้มาคุยในอีกเรื่องหนึ่ง กว่าจะทำความเข้าใจว่า อ๋อ..นี่คือตอนใหม่ คนละช่วงเวลาแล้วนะก็เบลอเป็นระยะ เพราะปรากฏลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้ง ยิ่งการจัดวางรูปแบบให้แถวอักษรเรียงเท่ากันเป็นตับด้วยแล้ว จึงยิ่งทำให้การอ่านนั้นยากขึ้น แต่เมื่อชินกับสไตล์การเขียนของเขาแล้ว ช่วงหลัง ๆ ก็จะเริ่มอ่านง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าหนังสือของนักเขียนคนนี้ อ่านเร็วไม่ได้ ต้องค่อย ๆ อ่านอย่างจดจ่อแล้วคิดตามไป

    ..

    3. การเล่าเรื่องเป็นมุมมองอย่างพระเจ้าที่มองเห็นความคิด ความในใจของตัวละครทั้งหมด เพียงแต่ผู้เขียนเลือกที่จะเล่าเท่าที่อยากบอกในช่วงแรกแค่นิดหน่อย แล้วค่อย ๆ เผยเรื่องราวความลับของตัวละครหลักทั้งสามออกมาทีละนิดในภายหลัง ชนิดปิดทั้งตัวละครอื่นในเรื่องเองที่ไม่รู้ความจริง รวมถึงปิดคนอ่านด้วย โดยมาเปิดให้รู้ภายหลังเมื่อถึงช่วงที่สำคัญในจังหวะและบรรยากาศ ซึ่งสถานการณ์ขณะนั้นไต่ระดับถึงจุดอิ่มของตัวละครที่ดำเนินอยู่พอดี ทั้งตัวละครบางตัวรวมถึงคนอ่าน จะได้รู้เรื่องราวในอดีตไปพร้อมกัน จึงเกิดแรงกระเพื่อมที่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์และพฤติกรรมของตัวเอกในเรื่อง กลายเป็นแรงผลักดันให้นิยายเดินหน้าต่อไปในทิศทางที่ผู้เขียนต้องการ ซึ่งนับว่ามีความชาญฉลาดที่เลือกการทยอยเล่าความจริง ได้เหมาะเจาะกับฉากนั้นอย่างลงตัว

    ...

    4. เชื่อว่าสำหรับหนังสือเล่มนี้ ทิศทางความชอบหรือไม่ชอบหลังอ่านจบแล้วจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มอย่างชัดเจน คือกลุ่มที่ชอบถึงชอบมาก กับกลุ่มที่ไม่ชอบเลย หลายคนที่ยังไม่เคยอ่านและไม่คิดจะอ่าน เพียงเพราะคิดว่าเนื้อหาอย่างนี้คงเหมาะกับผู้อ่านเฉพาะกลุ่ม คือคนที่เคยสัมผัสกับการเล่มวิดีโอเกมมาก่อนเท่านั้น คนที่ไม่เคยเล่นคงเข้าถึงได้ยากและน่าจะไม่สนุกแน่เลย ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิด แน่นอนว่าผมชอบเล่นวิดีโอเกมมาตั้งแต่เด็ก แม้ในปัจจุบันเวลาชีวิตจะไม่อำนวยให้สามารถกลับไปเล่นได้เหมือนในอดีต ทว่าอยากยืนยันสิ่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างมั่นใจ ถึงคนที่ไม่เคยเล่นวิดีโอเกมมาก่อน ก็สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้อย่างสนุก และไม่ได้เข้าใจยากจนเกินไปนัก

    ช่วงแรกของการเริ่มต้นอาจจะเป็นด่านที่ต้องใช้เวลาสักหน่อยก็จริง เพราะเรื่องถูกเล่าแบบไม่รีบร้อน อีกทั้งบรรยายรายละเอียดชีวิตของตัวเอกทั้งสองแบบไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นสนใจนัก ทว่าพอผ่านไปสักพักความรู้สึกเฉย ๆ กึ่งเริ่มจะเบื่อแล้วนะ จะค่อย ๆ หายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยความอยากรู้เรื่องราวต่อไปของทั้งเซดีนและแซม น่าแปลกเหมือนกัน แต่เหมือนบุคลิกและความสัมพันธ์ของทั้งสองมีแรงดึงดูดประหลาด ที่ทำให้ไม่อาจจะหยุดอ่าน คงคล้ายเมื่อเราได้เริ่มเล่นเกมสักเกมหนึ่งซึ่งทีแรกเกือบจะท้อแท้และบอกตัวเองว่า เกมอะไรไม่รู้ไม่เห็นสนุกเลย แต่ใจหนึ่งก็กระซิบบอกตัวเองว่า เล่นต่ออีกหน่อยน่าอย่าเพิ่งรีบยอมแพ้ และพอตั้งใจให้สมาธิกับการจดจ่อกับฉากตรงหน้าแล้ว กลับกลายเป็นว่าเกมเริ่มสนุกขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ เพราะเราเริ่มถูกดึงเข้าไปสู่โลกของมัน และการเล่นก็เข้าฝัก เกิดความคุ้นชิน ไม่ได้ยากหรือน่าเบื่อดังที่คิด

    ....

    5. สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงเกมมาก่อน อาจมีข้อได้เปรียบและสามารถสนุกไปกับเนื้อหาที่ผู้เขียนใส่เข้ามา มากกว่าคนกลุ่มอื่นพอสมควร เหมือนได้พบเจอเพื่อนเก่า เนื่องจากมีการกล่าวถึงชื่อเกมหลายเกมที่เป็นที่นิยมของบรรดาผู้เล่นจากทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่ประมาณช่วงยุคแปดศูนย์ ถึงอย่างนั้นคนที่ไม่เคยแตะโลกของเกมมาก่อน ก็ยังสามารถสนุกไปกับเนื้อหายาวเหยียดได้เช่นกัน หากว่าชื่นชอบในการได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ เพราะหนังสือเล่มนี้นำเสนอให้เห็นถึงกระบวนการในการสร้างเกมตั้งแต่ขั้นแรกเริ่มหรือพื้นฐาน ไปจนถึงขั้นตอนทางความคิดการออกแบบตัวละคร ฉาก องค์ประกอบเรื่องราวเนื้อหา จนแล้วเสร็จไปถึงขั้นตอนการผลิตและจัดจำหน่าย แผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การแสดงงาน ให้สัมภาษณ์ เดินสายไปตามที่ต่าง ๆ แบบครบวงจร ซึ่งไม่ได้เขียนออกมาอย่างหนังสือวิชาการ แต่ผ่านการบอกเล่าอย่างมีชั้นเชิงของนิยาย ที่ผูกโยงเข้ากับเรื่องราวความใฝ่ฝันของตัวเอกทั้งสาม ที่อยากจะสร้างเกมที่นักเล่นทุกคนจะเล่นได้อย่างสนุกและรักมัน เป็นโลกที่พวกเขาจะไม่มีวันแพ้ เพราะถ้าตายก็ยังเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

    .....

    6. ในเล่มนี้มีทั้งประวัติศาสตร์ ปรัชญา ศิลปะ การปรับตัวให้เข้ากับบุคคลอื่น อย่างเพื่อนร่วมงาน เพื่อนรัก คนในครอบครัว และจิตวิทยาการใช้ชีวิตและจูงใจคน รวมถึงการสื่อสารระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกัน นี่ไม่ใช่แค่นิยายเพ้อฝันที่เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มสาวสามคนที่อยากโลดแล่นในวงการนักออกแบบเกมเท่านั้นภายในจำนวนแถวอักษรยาวเหยียดที่เรียงเป็นตับกว่าสี่ร้อยหน้า โลกเบื้องหลังนั้นมีความซับซ้อน และโยงใยยุ่งเหยิงในความสัมพันธ์ของคนต่อคน และคนกับสังคมวงกว้างอย่างลึกล้ำ ยิ่งอ่านก็ยิ่งดำดิ่งลงไปในเรื่องราวดราม่ากว่าจะมาเป็นเกมสักเกมให้คนเล่นเสพสมจนสนุกสนาน ทว่าชีวิตของคนสร้างที่ให้กำเนิดเกมฮิตนั้น เขาและเธอต้องพบเจอและผ่านด่าน อุปสรรคขวากหนามต่าง ๆ มาแล้วกี่ร้อยกี่พันฉาก ปะปนทั้งน้ำตาและเสียงหัวเราะ ความขมขื่นที่ไม่มีใครรับรู้แม้แต่คนที่นึกว่าเป็นเพื่อนซึ่งเหมือนใกล้ชิดสุดกว่าใครอื่นในชีวิต ความว่างเปล่าโหวงเหวงที่บรรจุอยู่ภายในจิตใจ เมื่อถึงที่สุดได้แตกกระจายและขยายตัวออกสู่ภายนอก จนกระทั่งตัวเองไม่สามารถจัดการรับมือกับสิ่งที่เกิดและประเดประดังเข้าหา สิ่งที่หลงเหลือต่อจากนั้นพวกเขาแต่ละคนจะจัดการเส้นทางชีวิตตนอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผู้อ่านสามารถนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตจริง และเก็บสาระที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตน

    7. ผมชอบเนื้อหาในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างแซม กับมาร์กซ์ แซมกับเซดี และมาร์กซ์กับเซดี ที่มีมุมแตกต่างให้เราได้ศึกษา ได้เห็นถึงน้ำใจที่ไม่ธรรมดาที่พวกเขามีให้กัน ในขณะเดียวกันเมื่อมีโจทย์มาทดสอบความเป็นเพื่อนและมิตรภาพของพวกเขา แต่ละคนก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นปุถุชนคนทั่วไป ที่ยังรักตัวรักตนมากเหนือสิ่งอื่นใด จึงในบางคราวก็รับบทบาทร้ายกาจไร้ซึ่งเหตุผลอันสมควรได้เหมือนกัน แม้นเป็นเช่นนี้ แต่สุดท้ายเมื่อกาลเวลาหมุนผ่านยาวนานเพียงพอ คนเราก็จะเติบโตขึ้น เรียนรู้จากความบกพร่องผิดพลาดของตนในอดีต และเข้าใจโลกมากกว่าเก่า จนสามารถจะปลดปล่อยปลงวางปมที่เคยขมวดแน่นในใจ ให้คลี่คลายลงแล้วก้าวข้ามผ่านเกมชีวิตจริง และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น สมดังชื่อเรื่อง

    พรุ่งนี้ และ พรุ่งนี้ และ พรุ่งนี้.

    แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความเห็นที่นักอ่านท่านอื่นอาจจะไม่ได้เห็นเช่นเดียวกันก็เป็นได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เพียงหวังใจว่าใครที่มีเล่มนี้อยู่ที่บ้านแต่ยังไม่ได้อ่าน จะเกิดความรู้สึกอยากทำความรู้จักกับ แซม, มาร์กซ์ และเซดี ขึ้นมาบ้าง

    #หนังสือดี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #วิดีโอเกม
    #นิยายแปล
    #การสร้างเกม
    เคยมีคำกล่าวว่าแมวมีเก้าชีวิตซึ่งเป็นความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ ที่ในความเป็นจริงก็ตายแล้วตายเลยไม่ต่างจากสัตว์อื่นหรือมนุษย์ โตขึ้นมาสักหน่อยประมาณช่วงมัธยมต้น ช่างประปานามว่ามาริโอ้ทำให้ผมทึ่ง เพราะในอาณาจักรเห็ดแล้ว เขามีชีวิตได้สูงสุดถึง 99 ครั้ง โอ้..คุณพระ! #TomorrowandTomorrowandTomorrow นี่คือหนังสือที่เปิดเผยวงการสร้างเกมวิดีโอได้เจาะลึกและน่าสนใจมากเล่มหนึ่งที่มีอยู่ไม่มากนักในตลาด ที่สำคัญมีอะไรมากไปกว่าแค่เรื่องเด็กสร้างเกม สนพ.แซลมอน แกเบรียล เซวิน เขียน สุวิชชา จันทร แปล พิมพ์เมื่อ กรกฎาคม 2566 หนา 400 หน้า 495 บาท หนังสือเล่มใหญ่มากแถมยังหนา ใหญ่กว่าขนาดมาตรฐานพ็อกเก็ตบุ๊กทั่วไปพอสมควร เป็นอุปสรรคในการถืออ่านพอสมควร ด้วยความหนักบวกเทอะทะ จึงไม่เหมาะพกพาอ่านนอกสถานที่เท่าใดนัก แต่นี่ไม่ทำให้ใจที่อยากรู้ว่าเนื้อหาข้างในนั้นมีอะไรอยู่บ้างลดน้อยลง เปิดประตูสู่โลกในจินตนาการ ด้วยเหตุใดก็ตามที่บันดาลให้เด็กหญิงเซดีน กรีน เชื้อสายอเมริกันยิว ในวัยสิบกว่าปีที่มาเยี่ยมพี่สาวอายุห่างจากเธอ 2 ปีกับแม่ แล้วทำให้พี่สาวแหกปากลั่น จนแม่ต้องไล่ให้เซดีออกไปนอกห้องสักพัก จนเธอเดินเปะปะมาเจอกับ แซม เมเซอ ที่เป็นเด็กชายอเมริกันเชื้อสายเกาหลีหน้าตาแปลก และเท้ามีปัญหา ซึ่งกำลังจดจ่อกับการบังคับมาริโอ้ เกมจากเครื่องเล่นนินเทนโดในห้องสันทนาการ ถือได้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของสายใยพิเศษพิสดาร ที่จะผูกโยงพวกเขาเข้าไว้ด้วยกันไปอีกนานหลายสิบปีนับจากนี้ 💻 แม้จะไม่เคยมีใครสามารถทำให้แซมอ้าปากพูดได้มาก่อน นับตั้งแต่เขาอยู่ใน รพ.มาเป็นระยะเวลากว่าหกสัปดาห์ แต่เซดี คือบุคคลอันน่าเหลือเชื่อ ที่ทั้งหมอ และพยาบาลต่างแปลกใจ เธอใช้เวลาไม่นานนับแต่เดินไปเห็นเขา แล้วยืนชมแซมเล่นตัวมาริโอ้ด้วยเทคนิกชั้นเซียน จนอีกไม่กี่อึดใจถัดมา แซมก็เอ่ยปากคุยกับเธอเกี่ยวกับเกมที่เขากำลังเล่น จากนั้นทั้งสองก็สนทนากันอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ราวกับรู้จักกันดีมาเป็นเวลานานทั้งที่เพิ่งจะพบกันในวันนั้นเป็นครั้งแรก 💻 เหตุนี้เอง หมอและพยาบาลจึงอยากให้แม่ของเซดี ยอมให้เธอมาที่รพ.บ่อย ๆ และเป็นเพื่อนคุยกับแซม เพื่อหวังว่าจะช่วยให้เขาแจ่มใสร่าเริงขึ้น หลังประสบเหตุการณ์ที่ยากลำบาก ทำให้เท้าของเขามีปัญหาไม่ธรรมดา ซึ่งเซดีเองก็ยินดี เธอและแซมเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยในเรื่องของวิดีโอเกม จนกระทั่งเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่รู้จักกันได้ไม่กี่เดือน และไปกระทบกระเทือนใจของแซมอย่างรุนแรงจนเขาผิดหวังและไล่เธอไม่ให้มาพบเจอกันอีกต่อไป 💻 เวลาผ่านไปหลายปี เซดีเรียนต่อที่ mit ทางด้านสาขาการออกแบบเกม ส่วนแซมเข้าฮาร์วาร์ดได้ เขาถนัดด้านคณิตศาสตร์ เท้าเจ้ากรรมยังคงแย่ไม่แพ้สมัยเด็ก แซมได้รูมเมตเป็นลูกครึ่งเชื้อสายอเมริกันญี่ปุ่นชื่อว่า มาร์กซ์ วาตานาเบะ ผู้มีจิตใจดีและเป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือแนะนำเขาในหลายเรื่อง วันหนึ่ง แซม ได้พบกับเซดี ในระหว่างทางที่กำลังจะขึ้นรถไฟใต้ดิน เขาอดใจไม่ไหวร้องเรียกเธอ แล้วได้คุยกันสั้น ๆ ที่ทำให้หวนนึกถึงอดีต เธอฝากแผ่นเกมสำหรับเล่นกับเครื่องพีซีให้เขาไว้ บอกว่าเป็นเกมที่เธอสร้างเอง เล่นจบแล้วรู้สึกอย่างไรช่วยติดต่อบอกด้วยตามที่อยู่อีเมล จากนั้นต่างแยกย้าย 💻 ระหว่างนั้นเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายกับเซดี ที่ทำให้เธอสิ้นหวังและหมดพลังในชีวิต แต่เป็นแซมที่พยายามหาทางติดต่อกลับ แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากเธอเลย วันหนึ่งเขาจึงตัดสินใจเดินด้วยเท้าสภาพเน่า ๆ เสี่ยงไปยังที่พักของเธอ เมื่อได้พบกันเซดีเหมือนผีตายซากที่รอเวลาแห้งเหี่ยว แซมมาหาเธอทุกวันจนในที่สุด สาวน้อยคนเก่ากลับฟื้นคืนสติเป็นผู้เป็นคน จนยอมรับข้อเสนอมาร่วมกันสร้างเกมกับเขาในช่วงปิดภาคเรียนไม่กี่เดือน เพื่อต้องการสานฝันให้เป็นจริง ซึ่งต่อมาทั้งสองได้มาร์กซ์มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ด้วย 💻 แล้วตำนานแห่งสามสหายที่ให้กำเนิดโคตรเกมที่ยิ่งใหญ่และตีตลาดจนเป็นที่นิยมในวงกว้าง ก็ถือกำเนิดขึ้น นำพาผู้อ่านท่องสู่จักรวาลของผู้สร้างอันบรรเจิดเพริศแพร้ว จนมีหลายบริษัทเข้าแถวอยากทำสัญญาด้วย ต่อมาโชคชะตาเอื้ออำนวย ให้ทั้งสามก่อตั้งบริษัทผลิตเกมเป็นของตน จนสร้างสรรค์ผลงานน่าจดจำป้อนสู่ตลาด มีทั้งที่ประสบความสำเร็จงดงาม และบางเกมก็โดนหามลงจากเวที ตลอดจนประสบพบเจออุปสรรคหลากหลายที่ล้วนแต่รุนแรงต่อเนื่องเป็นระลอกถึงกับเกือบจะล้มหายไปจากวงการ แต่ในที่สุดก็ผ่านมันไปได้ 💻 เรื่องราวสุดแสนเข้มข้นน่าติดตามค้นหาอีกมากมาย รอคอยให้ผู้อ่านเช่นคุณเสาะแสวงหามาทดสอบ ต่อให้ไม่ใช่คนที่รักชอบในการเล่นวิดีโอเกมมาก่อนเลย ก็สามารถจะทำความเข้าใจในเนื้อเรื่องที่ผู้เขียนต้องการสื่อได้ไม่ยาก ขณะเดียวกันก็ได้รับความบันเทิงควบคู่ไปด้วย 💽ความน่าทึ่งซึ่งปรากฏชัดหลังอ่านจบ (ถ้าใครยังไม่เคยอ่านหนังสือ ต่อจากนี้ไปอาจมีกล่าวถึงเนื้อหาสำคัญบางส่วน โปรดพิจารณา ถ้าไม่กังวลก็ขอเชิญอ่านต่อได้เลยครับ) 1. ผมทั้งถูกใจและขัดใจในขนาดรูปเล่มที่ทำออกมา คือถืออ่านไม่ถนัดมือ รูปภาพที่ทำปกก็ดูไม่เข้ากับเรื่องเกม ไม่ค่อยดึงดูดให้คนอยากอ่าน ไม่สื่อถึงเรื่องวงการเกม แต่เมื่ออ่านเนื้อหาภายในไปสักพักจึงเข้าใจที่มาของรูปคลื่น อ้อ ..ความเกี่ยวข้องกับเกมอยู่ตรงนี้เองสำคัญด้วยสิ แต่คนที่จะรู้ได้คือต้องอ่านก่อนเท่านั้นนี่คือจุดบอด นอกจากภาพปกก็การจัดทำอาร์ตเวิร์ก ทีแรกไม่ชอบเลย ทำไมถึงตั้งใจให้อักษรถูกวางเรียงเป็นพรืด ออกมาเป็นบล็อกราวกับก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้า แถมยังเว้นพื้นที่ว่างด้านริมชิดขอบหนังสือนิดเดียว แต่กลับเว้นช่องว่างด้านหลังแถวอักษรเยอะ กลายเป็นเมื่อเปิดหน้าหนังสือออก จะมีบริเวณที่เว้นว่างซึ่งไม่มีอักษรเลยช่วงกึ่งกลางเล่มเป็นช่องโล่งกว้างใหญ่ มองแล้วแปลก ๆ ตัวอักษรที่ถูกเลือกใช้อีก ไม่ใช่แบบอักษรที่นิยม มองแล้วไม่นุ่มนวล ออกจะเป็นอักษรที่ดูแข็งทื่อและกระด้างเมื่อเรียงอยู่ด้วยกันเป็นแถวยาว แต่เมื่อมองไปมองมา พลิกอ่านไปสักระยะก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้น นี่มันเหมือนรูปแบบของตัวพิกเซลเลยนี่นา ความเป็นเหลี่ยม เป็นก้อน เป็นบล็อก หรือนี่คือความตั้งใจที่ได้รับการออกแบบไว้แต่แรกของผู้เขียนและสนพ. เนื่องจากไม่เคยเห็นฉบับภาษาอังกฤษจึงไม่มีข้อเปรียบเทียบ แต่เชื่อว่าฉบับแปลไทยก็คงจะพยายามทำออกมาโดยคงแนวคิดเดิมให้ได้มากสุด เมื่อคิดได้ดังนี้ จากที่ตอนแรกขัดใจกลักลายเป็นนึกชมขึ้นมาแทน ไม่รู้หรอกว่าจะใช่อย่างที่เดาไหม แต่ถ้าใช่ถือว่าทำสำเร็จ เพราะมันเข้ากับเรื่องราวที่กล่าวเกี่ยวกับการสร้างเกมพอดี . 2. ยังคงหงุดหงิดเล็กน้อยกับรูปแบบการเขียนของแกเบรียลที่เหมือนกับเล่ม "หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ" คือคนอ่านต้องมีสมาธิจดจ่ออย่างมากกับเรื่องที่ผู้เขียนเล่า เพราะเขาจะไม่มีการขึ้นบทใหม่ หรือใช้ย่อหน้า หรือเลขแบ่ง หรือเว้นวรรคที่ว่าง เพื่อแบ่งฉากให้รู้ชัดเจนว่านี่คือเรื่องราวของฉากใหม่ เหตุการณ์ใหม่ วันใหม่แล้วนะ เรียกว่าเล่าเรื่องฉากหนึ่งอยู่ดี ๆ ก็ตัดจบไปดื้อ ๆ แล้วบรรทัดถัดไปก็เป็นเรื่องราวใหม่ที่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง แถมไม่มีบรรยายเกริ่น แต่เริ่มด้วยบทสนทนาของตัวละครทันที ดังนั้นบ่อยครั้งที่อ่านอยู่แล้วพอพลิกหน้าต่อไปก็เอ๋อ งงอยู่นานว่าทำไมเรื่องราวมันจึงไม่ต่อเนื่องกัน ตัวละครคุยกันเรื่องหนึ่ง ไฉนกลายเป็นใครไม่รู้มาคุยในอีกเรื่องหนึ่ง กว่าจะทำความเข้าใจว่า อ๋อ..นี่คือตอนใหม่ คนละช่วงเวลาแล้วนะก็เบลอเป็นระยะ เพราะปรากฏลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้ง ยิ่งการจัดวางรูปแบบให้แถวอักษรเรียงเท่ากันเป็นตับด้วยแล้ว จึงยิ่งทำให้การอ่านนั้นยากขึ้น แต่เมื่อชินกับสไตล์การเขียนของเขาแล้ว ช่วงหลัง ๆ ก็จะเริ่มอ่านง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าหนังสือของนักเขียนคนนี้ อ่านเร็วไม่ได้ ต้องค่อย ๆ อ่านอย่างจดจ่อแล้วคิดตามไป .. 3. การเล่าเรื่องเป็นมุมมองอย่างพระเจ้าที่มองเห็นความคิด ความในใจของตัวละครทั้งหมด เพียงแต่ผู้เขียนเลือกที่จะเล่าเท่าที่อยากบอกในช่วงแรกแค่นิดหน่อย แล้วค่อย ๆ เผยเรื่องราวความลับของตัวละครหลักทั้งสามออกมาทีละนิดในภายหลัง ชนิดปิดทั้งตัวละครอื่นในเรื่องเองที่ไม่รู้ความจริง รวมถึงปิดคนอ่านด้วย โดยมาเปิดให้รู้ภายหลังเมื่อถึงช่วงที่สำคัญในจังหวะและบรรยากาศ ซึ่งสถานการณ์ขณะนั้นไต่ระดับถึงจุดอิ่มของตัวละครที่ดำเนินอยู่พอดี ทั้งตัวละครบางตัวรวมถึงคนอ่าน จะได้รู้เรื่องราวในอดีตไปพร้อมกัน จึงเกิดแรงกระเพื่อมที่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์และพฤติกรรมของตัวเอกในเรื่อง กลายเป็นแรงผลักดันให้นิยายเดินหน้าต่อไปในทิศทางที่ผู้เขียนต้องการ ซึ่งนับว่ามีความชาญฉลาดที่เลือกการทยอยเล่าความจริง ได้เหมาะเจาะกับฉากนั้นอย่างลงตัว ... 4. เชื่อว่าสำหรับหนังสือเล่มนี้ ทิศทางความชอบหรือไม่ชอบหลังอ่านจบแล้วจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มอย่างชัดเจน คือกลุ่มที่ชอบถึงชอบมาก กับกลุ่มที่ไม่ชอบเลย หลายคนที่ยังไม่เคยอ่านและไม่คิดจะอ่าน เพียงเพราะคิดว่าเนื้อหาอย่างนี้คงเหมาะกับผู้อ่านเฉพาะกลุ่ม คือคนที่เคยสัมผัสกับการเล่มวิดีโอเกมมาก่อนเท่านั้น คนที่ไม่เคยเล่นคงเข้าถึงได้ยากและน่าจะไม่สนุกแน่เลย ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิด แน่นอนว่าผมชอบเล่นวิดีโอเกมมาตั้งแต่เด็ก แม้ในปัจจุบันเวลาชีวิตจะไม่อำนวยให้สามารถกลับไปเล่นได้เหมือนในอดีต ทว่าอยากยืนยันสิ่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างมั่นใจ ถึงคนที่ไม่เคยเล่นวิดีโอเกมมาก่อน ก็สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้อย่างสนุก และไม่ได้เข้าใจยากจนเกินไปนัก ช่วงแรกของการเริ่มต้นอาจจะเป็นด่านที่ต้องใช้เวลาสักหน่อยก็จริง เพราะเรื่องถูกเล่าแบบไม่รีบร้อน อีกทั้งบรรยายรายละเอียดชีวิตของตัวเอกทั้งสองแบบไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นสนใจนัก ทว่าพอผ่านไปสักพักความรู้สึกเฉย ๆ กึ่งเริ่มจะเบื่อแล้วนะ จะค่อย ๆ หายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยความอยากรู้เรื่องราวต่อไปของทั้งเซดีนและแซม น่าแปลกเหมือนกัน แต่เหมือนบุคลิกและความสัมพันธ์ของทั้งสองมีแรงดึงดูดประหลาด ที่ทำให้ไม่อาจจะหยุดอ่าน คงคล้ายเมื่อเราได้เริ่มเล่นเกมสักเกมหนึ่งซึ่งทีแรกเกือบจะท้อแท้และบอกตัวเองว่า เกมอะไรไม่รู้ไม่เห็นสนุกเลย แต่ใจหนึ่งก็กระซิบบอกตัวเองว่า เล่นต่ออีกหน่อยน่าอย่าเพิ่งรีบยอมแพ้ และพอตั้งใจให้สมาธิกับการจดจ่อกับฉากตรงหน้าแล้ว กลับกลายเป็นว่าเกมเริ่มสนุกขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ เพราะเราเริ่มถูกดึงเข้าไปสู่โลกของมัน และการเล่นก็เข้าฝัก เกิดความคุ้นชิน ไม่ได้ยากหรือน่าเบื่อดังที่คิด .... 5. สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงเกมมาก่อน อาจมีข้อได้เปรียบและสามารถสนุกไปกับเนื้อหาที่ผู้เขียนใส่เข้ามา มากกว่าคนกลุ่มอื่นพอสมควร เหมือนได้พบเจอเพื่อนเก่า เนื่องจากมีการกล่าวถึงชื่อเกมหลายเกมที่เป็นที่นิยมของบรรดาผู้เล่นจากทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่ประมาณช่วงยุคแปดศูนย์ ถึงอย่างนั้นคนที่ไม่เคยแตะโลกของเกมมาก่อน ก็ยังสามารถสนุกไปกับเนื้อหายาวเหยียดได้เช่นกัน หากว่าชื่นชอบในการได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ เพราะหนังสือเล่มนี้นำเสนอให้เห็นถึงกระบวนการในการสร้างเกมตั้งแต่ขั้นแรกเริ่มหรือพื้นฐาน ไปจนถึงขั้นตอนทางความคิดการออกแบบตัวละคร ฉาก องค์ประกอบเรื่องราวเนื้อหา จนแล้วเสร็จไปถึงขั้นตอนการผลิตและจัดจำหน่าย แผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การแสดงงาน ให้สัมภาษณ์ เดินสายไปตามที่ต่าง ๆ แบบครบวงจร ซึ่งไม่ได้เขียนออกมาอย่างหนังสือวิชาการ แต่ผ่านการบอกเล่าอย่างมีชั้นเชิงของนิยาย ที่ผูกโยงเข้ากับเรื่องราวความใฝ่ฝันของตัวเอกทั้งสาม ที่อยากจะสร้างเกมที่นักเล่นทุกคนจะเล่นได้อย่างสนุกและรักมัน เป็นโลกที่พวกเขาจะไม่มีวันแพ้ เพราะถ้าตายก็ยังเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ..... 6. ในเล่มนี้มีทั้งประวัติศาสตร์ ปรัชญา ศิลปะ การปรับตัวให้เข้ากับบุคคลอื่น อย่างเพื่อนร่วมงาน เพื่อนรัก คนในครอบครัว และจิตวิทยาการใช้ชีวิตและจูงใจคน รวมถึงการสื่อสารระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกัน นี่ไม่ใช่แค่นิยายเพ้อฝันที่เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มสาวสามคนที่อยากโลดแล่นในวงการนักออกแบบเกมเท่านั้นภายในจำนวนแถวอักษรยาวเหยียดที่เรียงเป็นตับกว่าสี่ร้อยหน้า โลกเบื้องหลังนั้นมีความซับซ้อน และโยงใยยุ่งเหยิงในความสัมพันธ์ของคนต่อคน และคนกับสังคมวงกว้างอย่างลึกล้ำ ยิ่งอ่านก็ยิ่งดำดิ่งลงไปในเรื่องราวดราม่ากว่าจะมาเป็นเกมสักเกมให้คนเล่นเสพสมจนสนุกสนาน ทว่าชีวิตของคนสร้างที่ให้กำเนิดเกมฮิตนั้น เขาและเธอต้องพบเจอและผ่านด่าน อุปสรรคขวากหนามต่าง ๆ มาแล้วกี่ร้อยกี่พันฉาก ปะปนทั้งน้ำตาและเสียงหัวเราะ ความขมขื่นที่ไม่มีใครรับรู้แม้แต่คนที่นึกว่าเป็นเพื่อนซึ่งเหมือนใกล้ชิดสุดกว่าใครอื่นในชีวิต ความว่างเปล่าโหวงเหวงที่บรรจุอยู่ภายในจิตใจ เมื่อถึงที่สุดได้แตกกระจายและขยายตัวออกสู่ภายนอก จนกระทั่งตัวเองไม่สามารถจัดการรับมือกับสิ่งที่เกิดและประเดประดังเข้าหา สิ่งที่หลงเหลือต่อจากนั้นพวกเขาแต่ละคนจะจัดการเส้นทางชีวิตตนอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผู้อ่านสามารถนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตจริง และเก็บสาระที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตน 7. ผมชอบเนื้อหาในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างแซม กับมาร์กซ์ แซมกับเซดี และมาร์กซ์กับเซดี ที่มีมุมแตกต่างให้เราได้ศึกษา ได้เห็นถึงน้ำใจที่ไม่ธรรมดาที่พวกเขามีให้กัน ในขณะเดียวกันเมื่อมีโจทย์มาทดสอบความเป็นเพื่อนและมิตรภาพของพวกเขา แต่ละคนก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นปุถุชนคนทั่วไป ที่ยังรักตัวรักตนมากเหนือสิ่งอื่นใด จึงในบางคราวก็รับบทบาทร้ายกาจไร้ซึ่งเหตุผลอันสมควรได้เหมือนกัน แม้นเป็นเช่นนี้ แต่สุดท้ายเมื่อกาลเวลาหมุนผ่านยาวนานเพียงพอ คนเราก็จะเติบโตขึ้น เรียนรู้จากความบกพร่องผิดพลาดของตนในอดีต และเข้าใจโลกมากกว่าเก่า จนสามารถจะปลดปล่อยปลงวางปมที่เคยขมวดแน่นในใจ ให้คลี่คลายลงแล้วก้าวข้ามผ่านเกมชีวิตจริง และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น สมดังชื่อเรื่อง พรุ่งนี้ และ พรุ่งนี้ และ พรุ่งนี้. แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความเห็นที่นักอ่านท่านอื่นอาจจะไม่ได้เห็นเช่นเดียวกันก็เป็นได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เพียงหวังใจว่าใครที่มีเล่มนี้อยู่ที่บ้านแต่ยังไม่ได้อ่าน จะเกิดความรู้สึกอยากทำความรู้จักกับ แซม, มาร์กซ์ และเซดี ขึ้นมาบ้าง #หนังสือดี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #วิดีโอเกม #นิยายแปล #การสร้างเกม
    2 Comments 0 Shares 643 Views 0 Reviews
  • #ตอบคำถามที่ค้างคาใจแฟนเพจหลายๆคน
    มีแฟนเพจถามมาเยอะ และอีกหลายๆคนสงสัยแต่ไม่กล้าถาม
    กับท่าทีคิงสเพจคิงส์ ที่ดูจะปล่อยผ่าน เรื่องราวของจีกามิน
    - ลือว่า พี่คิงส์ถูกเรียกไปเคลีย
    - ลือว่า พี่คิงส์เกมส์ โดนจับ
    - ลือว่า กลัว ป้า จ.
    คือ ลือไปได้เป็น 108 - 1900 สตอรี่
    พี่คิงส์ ได้ตอบข้อความทางช่องแชตไปพอสมควร
    ตอบแบบตรงๆ เป็นข้อๆ เอาจริงๆก็ไม่ได้อยากให้ความสำคัญ
    กับเรื่องเกาหลีซักเท่าไหร่แล้ว เพราะระยะเวลาสามเดือน
    ก็ถือว่า ให้เวลากับเรื่องนี้นานมากเกินไปแล้ว
    แต่ถ้าถามถึงเหตุผลคือ
    1. พี่คิงส์ ไปช่วยเพจพันธมิตร ขุดเรื่องบอส ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
    2. พี่คิงส์ ไปหาข้อมูลเพิ่ม เรื่องทนูย ต.
    3. พี่คิงส์ไม่ชอบไปขยี้ปมของใคร โดยเฉพาะ ป้า จ. แต่ที่ทำไปทั้งหมด เพราะ ป้า จ. ท้าทายทุกวัน ทำให้พี่คิงส์มูฟออนไม่ได้ แต่ถามว่ามีความสุขมั๊ย ที่เอาปมป้า จ. มาขยี้ ตอบตรงๆ ไม่มีความสุข และยิ่งนับวัน ป้า จ. ก็เหมือนซาาดิสส สนุกกับการโดนขยี้ปม ก็เลยตัดสินใจว่า พอดีกว่า ไม่อยากฝืนทำอะไรที่มันไม่มีความสุข ถามว่า สนุกมั๊ย สนุกแหละ แต่มีความสุขมั๊ย ไม่อะ
    4. น้องแน๊ก โตแล้ว น้องสามารถปกป้องตัวเองได้ ถ้าน้องต้องการ แม้ว่าฝ่ายคนรักกามิน จะจินตนาการว่า กามินเหมือนยัยตัวเล็ก เด็กสามขวบ เค้ามีความสุขในการจินตนาการแบบนั้น แต่สำหรับคนที่เอ็นดูแน๊กน้องๆจะต้องอยู่กับความเป็นจริง ว่าแน๊ก อายุสามสิบกว่าแล้ว โตแล้ว มีวิจารณญาน มีสติ มีปัญญา ที่จะไตร่ตรองในการตัดสินใจ ว่าจะปกป้องตัวเองและครอบครัวในรูปแบบไหน ถ้าแน๊กไม่ตอบโต้ หรือปกป้องตัวเอง ก็เป็นสิทธิของน้อง
    5. ส่วนเรื่องของจีกามิน กับแฟนคลับของพวกเค้า จากข้อมูลที่พี่คิงส์ได้เปิดเผยไป มันก็มากเพียงพอที่ทำให้หลายคนเกิดสติ แม้กระทั่ง เทพดีซีหลายๆคน ก็ยังมูฟออนออกไป แต่สำหรับคนที่รักจีกามินจริงๆ คลั่งไคล้ จินตนาการว่าเธอคือนางฟ้าอะไร สุดท้ายนะ มันก็ความสุขเค้า ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราอีกต่อไป อะไรที่ควรรู้ ก็บอกก็ทำโพสไปหมดแล้ว เราปกป้องได้เฉพาะคนที่พร้อมจะรับฟังข้อมูล และนำไปตรวจสอบพิจารณา ส่วนคนที่รักและมีความสุขที่จะรักจีกามิน และไม่อยากฟังไม่อยากเชื่อข้อมูลอื่นๆ อีกด้าน มันก็เป็นชีวิตเค้า ความสุขเค้า เงินเค้า มันจะอิ๊บอ๋าย ก็เรื่องของเค้า ก็ต้องถือเป็นสิทธิที่เราจะไปละเมิดไม่ได้ เหมือนธรรมชาติ เมื่อเราเห็นแมงเม่าวิ่งบินเข้ากองไฟ เราจะไปขวางมันก็ไม่ได้ สุดท้ายก็จะตุยตูนิเย่ และกลับไปเป็นปุ๋ยดิน ว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องแมงเม่า เพราะคงเครียดจนตรรุย ถ้าต้องห่วงแมงเม่าทุกตัว และมันก็เป็นความสุขของเค้า ตังค์เค้า เวลาเค้า เค้าพร้อมจะเสียให้กับสิ่งที่เค้าเชื่อ มันก็ถือเป็นอิสระในความคิดของแต่ละคน
    6. ส่วนที่จีกามินมาไทย เอาจริงๆ พี่คิงส์ก็มองว่าเป็นข่าวคนต่างด้าว ที่เข้ามาทำมาหากินในประเทศไทยคนนึงนะ ตอนนี้ ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร เห็นภาพแฟลคลับจีกามินเค้าดีใจไปต้อนรับ มันก็เป็นปกตินะ คนมันรัก ก็ไปรับ ไม่เห็นแปลกอะไร เค้าจะเทิดทูนเป็นองค์หญิงกำมะลออะไร ก็เรื่องของเค้าอีกนั่นแหละ จะให้พี่คิงส์ไปแขวะ ไปขยี้ มันก็ไม่ใช่มั๊ย ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นนะ
    7. จะมีแอบขำๆก็ตรงป้า จ. แกประกาศกร้าว เหมือนผู้ทรงอิทธิพล มีทั้งเตรียมบอดี้กาด ทั้งตานาย อะไร ชอบสำนวนแก แต่ก็แค่นั้นนะ ไม่ได้อะไร
    เอาว่า ความสุขใคร ก็ความสุขมันละกันนะ
    จะรัก จะชอบ กามิน จะรักจะชอบ ชาลี ก็อยู่กันดีๆ
    ต่างคน ก็ต่างทำมาหากินกันไป แยกย้ายเอาเวลากันไปทำมาหากินกันด้วยล่ะ เอฟซี แฟนคลับทั้งสองฝ่าย เดี๋ยวจะตังหมด ไม่มีเปย์
    และที่สำคัญ อย่าลืมให้เวลากับครอบครัวบ้าง บาลาลให้ได้
    ระหว่างโลกเสมือน กับโลกความจริง เพราะสุดท้าย วันที่คุณแย่
    จะกามิน จะชาลี เค้าไม่ได้มาเช็ดตัวให้คุณ ไม่ได้มาให้กำลังใจคุณ
    ซึ่งพวกเค้าก็ไม่ผิดนะ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของพวกเค้า
    พวกเค้าก็สร้างความสุข น้องๆก็ซัพพอตกันไป วินๆ
    แต่โลกแห่งความจริง คุณต้องกลับมาใส่ใจให้มากกว่าเดิม
    พระเอก นางเอก และครอบครัวในชีวิตจริง มันคนละคนกัน
    รักได้ แต่อย่าอิน จนกลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอน ตื่นเช้าเสียงานเสียการ
    ไม่มีสมาธิ ส่งผลกระทบบนชีวิตจริง ไม่มีใครมาช่วยคุณได้นะ
    นี่แหละ สัจจะธรรม
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ตอบคำถามที่ค้างคาใจแฟนเพจหลายๆคน มีแฟนเพจถามมาเยอะ และอีกหลายๆคนสงสัยแต่ไม่กล้าถาม กับท่าทีคิงสเพจคิงส์ ที่ดูจะปล่อยผ่าน เรื่องราวของจีกามิน - ลือว่า พี่คิงส์ถูกเรียกไปเคลีย - ลือว่า พี่คิงส์เกมส์ โดนจับ - ลือว่า กลัว ป้า จ. คือ ลือไปได้เป็น 108 - 1900 สตอรี่ พี่คิงส์ ได้ตอบข้อความทางช่องแชตไปพอสมควร ตอบแบบตรงๆ เป็นข้อๆ เอาจริงๆก็ไม่ได้อยากให้ความสำคัญ กับเรื่องเกาหลีซักเท่าไหร่แล้ว เพราะระยะเวลาสามเดือน ก็ถือว่า ให้เวลากับเรื่องนี้นานมากเกินไปแล้ว แต่ถ้าถามถึงเหตุผลคือ 1. พี่คิงส์ ไปช่วยเพจพันธมิตร ขุดเรื่องบอส ในช่วงเวลาที่ผ่านมา 2. พี่คิงส์ ไปหาข้อมูลเพิ่ม เรื่องทนูย ต. 3. พี่คิงส์ไม่ชอบไปขยี้ปมของใคร โดยเฉพาะ ป้า จ. แต่ที่ทำไปทั้งหมด เพราะ ป้า จ. ท้าทายทุกวัน ทำให้พี่คิงส์มูฟออนไม่ได้ แต่ถามว่ามีความสุขมั๊ย ที่เอาปมป้า จ. มาขยี้ ตอบตรงๆ ไม่มีความสุข และยิ่งนับวัน ป้า จ. ก็เหมือนซาาดิสส สนุกกับการโดนขยี้ปม ก็เลยตัดสินใจว่า พอดีกว่า ไม่อยากฝืนทำอะไรที่มันไม่มีความสุข ถามว่า สนุกมั๊ย สนุกแหละ แต่มีความสุขมั๊ย ไม่อะ 4. น้องแน๊ก โตแล้ว น้องสามารถปกป้องตัวเองได้ ถ้าน้องต้องการ แม้ว่าฝ่ายคนรักกามิน จะจินตนาการว่า กามินเหมือนยัยตัวเล็ก เด็กสามขวบ เค้ามีความสุขในการจินตนาการแบบนั้น แต่สำหรับคนที่เอ็นดูแน๊กน้องๆจะต้องอยู่กับความเป็นจริง ว่าแน๊ก อายุสามสิบกว่าแล้ว โตแล้ว มีวิจารณญาน มีสติ มีปัญญา ที่จะไตร่ตรองในการตัดสินใจ ว่าจะปกป้องตัวเองและครอบครัวในรูปแบบไหน ถ้าแน๊กไม่ตอบโต้ หรือปกป้องตัวเอง ก็เป็นสิทธิของน้อง 5. ส่วนเรื่องของจีกามิน กับแฟนคลับของพวกเค้า จากข้อมูลที่พี่คิงส์ได้เปิดเผยไป มันก็มากเพียงพอที่ทำให้หลายคนเกิดสติ แม้กระทั่ง เทพดีซีหลายๆคน ก็ยังมูฟออนออกไป แต่สำหรับคนที่รักจีกามินจริงๆ คลั่งไคล้ จินตนาการว่าเธอคือนางฟ้าอะไร สุดท้ายนะ มันก็ความสุขเค้า ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราอีกต่อไป อะไรที่ควรรู้ ก็บอกก็ทำโพสไปหมดแล้ว เราปกป้องได้เฉพาะคนที่พร้อมจะรับฟังข้อมูล และนำไปตรวจสอบพิจารณา ส่วนคนที่รักและมีความสุขที่จะรักจีกามิน และไม่อยากฟังไม่อยากเชื่อข้อมูลอื่นๆ อีกด้าน มันก็เป็นชีวิตเค้า ความสุขเค้า เงินเค้า มันจะอิ๊บอ๋าย ก็เรื่องของเค้า ก็ต้องถือเป็นสิทธิที่เราจะไปละเมิดไม่ได้ เหมือนธรรมชาติ เมื่อเราเห็นแมงเม่าวิ่งบินเข้ากองไฟ เราจะไปขวางมันก็ไม่ได้ สุดท้ายก็จะตุยตูนิเย่ และกลับไปเป็นปุ๋ยดิน ว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องแมงเม่า เพราะคงเครียดจนตรรุย ถ้าต้องห่วงแมงเม่าทุกตัว และมันก็เป็นความสุขของเค้า ตังค์เค้า เวลาเค้า เค้าพร้อมจะเสียให้กับสิ่งที่เค้าเชื่อ มันก็ถือเป็นอิสระในความคิดของแต่ละคน 6. ส่วนที่จีกามินมาไทย เอาจริงๆ พี่คิงส์ก็มองว่าเป็นข่าวคนต่างด้าว ที่เข้ามาทำมาหากินในประเทศไทยคนนึงนะ ตอนนี้ ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร เห็นภาพแฟลคลับจีกามินเค้าดีใจไปต้อนรับ มันก็เป็นปกตินะ คนมันรัก ก็ไปรับ ไม่เห็นแปลกอะไร เค้าจะเทิดทูนเป็นองค์หญิงกำมะลออะไร ก็เรื่องของเค้าอีกนั่นแหละ จะให้พี่คิงส์ไปแขวะ ไปขยี้ มันก็ไม่ใช่มั๊ย ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นนะ 7. จะมีแอบขำๆก็ตรงป้า จ. แกประกาศกร้าว เหมือนผู้ทรงอิทธิพล มีทั้งเตรียมบอดี้กาด ทั้งตานาย อะไร ชอบสำนวนแก แต่ก็แค่นั้นนะ ไม่ได้อะไร เอาว่า ความสุขใคร ก็ความสุขมันละกันนะ จะรัก จะชอบ กามิน จะรักจะชอบ ชาลี ก็อยู่กันดีๆ ต่างคน ก็ต่างทำมาหากินกันไป แยกย้ายเอาเวลากันไปทำมาหากินกันด้วยล่ะ เอฟซี แฟนคลับทั้งสองฝ่าย เดี๋ยวจะตังหมด ไม่มีเปย์ และที่สำคัญ อย่าลืมให้เวลากับครอบครัวบ้าง บาลาลให้ได้ ระหว่างโลกเสมือน กับโลกความจริง เพราะสุดท้าย วันที่คุณแย่ จะกามิน จะชาลี เค้าไม่ได้มาเช็ดตัวให้คุณ ไม่ได้มาให้กำลังใจคุณ ซึ่งพวกเค้าก็ไม่ผิดนะ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของพวกเค้า พวกเค้าก็สร้างความสุข น้องๆก็ซัพพอตกันไป วินๆ แต่โลกแห่งความจริง คุณต้องกลับมาใส่ใจให้มากกว่าเดิม พระเอก นางเอก และครอบครัวในชีวิตจริง มันคนละคนกัน รักได้ แต่อย่าอิน จนกลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอน ตื่นเช้าเสียงานเสียการ ไม่มีสมาธิ ส่งผลกระทบบนชีวิตจริง ไม่มีใครมาช่วยคุณได้นะ นี่แหละ สัจจะธรรม #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 1088 Views 0 Reviews
  • https://www.youtube.com/watch?v=ZB-LhJf8kbI
    บทสนทนาในรถแท็กซี่
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาในรถแท็กซี่
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #conversations #listeningtest #taxi

    The conversations from the clip :

    Tourist: Hello, could you take me to the Grand Palace?
    Driver: Yes, of course! Please get in.
    Tourist: Thank you. Can you please turn on the meter?
    Driver: Oh, the Grand Palace is a bit far. How about 300 baht?
    Tourist: I’d prefer to go by meter, please.
    Driver: Alright, I’ll turn on the meter for you.
    Tourist: Thank you. Do you drive here every day?
    Driver: Yes, I drive in Bangkok every day. Lots of tourists like you go to the Grand Palace.
    Tourist: I can imagine! Is it usually busy around this time?
    Driver: Yes, especially in the mornings and evenings. Many people visit the temples.
    Tourist: I see. How long will it take to get there?
    Driver: Maybe 30 to 40 minutes, depending on traffic.
    Tourist: Alright, sounds good. Do you think it will be very crowded?
    Driver: Probably. But if you go early, it’s usually less crowded.
    Tourist: Good to know! Thank you for the advice.
    Driver: You’re welcome! Enjoy your time at the Grand Palace.

    นักท่องเที่ยว: สวัสดีค่ะ พาไปพระบรมมหาราชวังได้ไหมคะ?
    คนขับ: ได้ครับ เชิญขึ้นมาเลยครับ
    นักท่องเที่ยว: ขอบคุณค่ะ เปิดมิเตอร์ให้ด้วยได้ไหมคะ?
    คนขับ: อ๋อ พระบรมมหาราชวังไกลอยู่นะครับ สัก 300 บาทดีไหมครับ?
    นักท่องเที่ยว: ขอไปตามมิเตอร์ดีกว่าค่ะ
    คนขับ: ได้ครับ ผมจะเปิดมิเตอร์ให้นะครับ
    นักท่องเที่ยว: ขอบคุณค่ะ ขับที่นี่ทุกวันเลยหรือคะ?
    คนขับ: ใช่ครับ ผมขับในกรุงเทพทุกวัน มีนักท่องเที่ยวหลายคนที่ไปพระบรมมหาราชวังเหมือนคุณนี่แหละครับ
    นักท่องเที่ยว: คงจะเป็นที่นิยมมากเลยนะคะ ช่วงนี้คนเยอะไหมคะ?
    คนขับ: ครับ ช่วงเช้า ๆ กับเย็น ๆ จะเยอะเป็นพิเศษ เพราะคนไปไหว้พระที่วัดกันเยอะ
    นักท่องเที่ยว: เข้าใจแล้วค่ะ ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะถึงคะ?
    คนขับ: ประมาณ 30 ถึง 40 นาทีครับ ขึ้นอยู่กับการจราจร
    นักท่องเที่ยว: โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ คิดว่าคนจะเยอะมากไหมคะ?
    คนขับ: น่าจะเยอะครับ แต่ถ้าคุณไปเช้า ๆ ก็จะคนน้อยกว่า
    นักท่องเที่ยว: ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ
    คนขับ: ยินดีครับ ขอให้สนุกกับการเที่ยวพระบรมมหาราชวังนะครับ

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Palace (พา-ลิซ) n. แปลว่า พระราชวัง
    Meter (มี-เทอะ) n. แปลว่า มิเตอร์
    Tourist (ทัว-ริสท) n. แปลว่า นักท่องเที่ยว
    Driver (ไดร-เวอะ) n. แปลว่า คนขับ
    Traffic (แทรฟ-ฟิค) n. แปลว่า การจราจร
    Temple (เทม-เพิล) n. แปลว่า วัด
    Morning (มอ-นิง) n. แปลว่า ตอนเช้า
    Evening (อีฟ-นิง) n. แปลว่า ตอนเย็น
    Crowded (เครา-ดิด) adj. แปลว่า แออัด, คนเยอะ
    Advice (แอด-ไวซ) n. แปลว่า คำแนะนำ
    Far (ฟาร์) adj. แปลว่า ไกล
    Usually (ยู-ชวล-ลิ) adv. แปลว่า โดยปกติ
    Imagine (อิ-แมจ-จิน) v. แปลว่า จินตนาการ
    Every day (เอฟ-วะ-รี เดย์) adv. แปลว่า ทุกวัน
    Welcome (เวล-คัม) v. แปลว่า ยินดีต้อนรับ
    https://www.youtube.com/watch?v=ZB-LhJf8kbI บทสนทนาในรถแท็กซี่ (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาในรถแท็กซี่ มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #conversations #listeningtest #taxi The conversations from the clip : Tourist: Hello, could you take me to the Grand Palace? Driver: Yes, of course! Please get in. Tourist: Thank you. Can you please turn on the meter? Driver: Oh, the Grand Palace is a bit far. How about 300 baht? Tourist: I’d prefer to go by meter, please. Driver: Alright, I’ll turn on the meter for you. Tourist: Thank you. Do you drive here every day? Driver: Yes, I drive in Bangkok every day. Lots of tourists like you go to the Grand Palace. Tourist: I can imagine! Is it usually busy around this time? Driver: Yes, especially in the mornings and evenings. Many people visit the temples. Tourist: I see. How long will it take to get there? Driver: Maybe 30 to 40 minutes, depending on traffic. Tourist: Alright, sounds good. Do you think it will be very crowded? Driver: Probably. But if you go early, it’s usually less crowded. Tourist: Good to know! Thank you for the advice. Driver: You’re welcome! Enjoy your time at the Grand Palace. นักท่องเที่ยว: สวัสดีค่ะ พาไปพระบรมมหาราชวังได้ไหมคะ? คนขับ: ได้ครับ เชิญขึ้นมาเลยครับ นักท่องเที่ยว: ขอบคุณค่ะ เปิดมิเตอร์ให้ด้วยได้ไหมคะ? คนขับ: อ๋อ พระบรมมหาราชวังไกลอยู่นะครับ สัก 300 บาทดีไหมครับ? นักท่องเที่ยว: ขอไปตามมิเตอร์ดีกว่าค่ะ คนขับ: ได้ครับ ผมจะเปิดมิเตอร์ให้นะครับ นักท่องเที่ยว: ขอบคุณค่ะ ขับที่นี่ทุกวันเลยหรือคะ? คนขับ: ใช่ครับ ผมขับในกรุงเทพทุกวัน มีนักท่องเที่ยวหลายคนที่ไปพระบรมมหาราชวังเหมือนคุณนี่แหละครับ นักท่องเที่ยว: คงจะเป็นที่นิยมมากเลยนะคะ ช่วงนี้คนเยอะไหมคะ? คนขับ: ครับ ช่วงเช้า ๆ กับเย็น ๆ จะเยอะเป็นพิเศษ เพราะคนไปไหว้พระที่วัดกันเยอะ นักท่องเที่ยว: เข้าใจแล้วค่ะ ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะถึงคะ? คนขับ: ประมาณ 30 ถึง 40 นาทีครับ ขึ้นอยู่กับการจราจร นักท่องเที่ยว: โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ คิดว่าคนจะเยอะมากไหมคะ? คนขับ: น่าจะเยอะครับ แต่ถ้าคุณไปเช้า ๆ ก็จะคนน้อยกว่า นักท่องเที่ยว: ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ คนขับ: ยินดีครับ ขอให้สนุกกับการเที่ยวพระบรมมหาราชวังนะครับ Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Palace (พา-ลิซ) n. แปลว่า พระราชวัง Meter (มี-เทอะ) n. แปลว่า มิเตอร์ Tourist (ทัว-ริสท) n. แปลว่า นักท่องเที่ยว Driver (ไดร-เวอะ) n. แปลว่า คนขับ Traffic (แทรฟ-ฟิค) n. แปลว่า การจราจร Temple (เทม-เพิล) n. แปลว่า วัด Morning (มอ-นิง) n. แปลว่า ตอนเช้า Evening (อีฟ-นิง) n. แปลว่า ตอนเย็น Crowded (เครา-ดิด) adj. แปลว่า แออัด, คนเยอะ Advice (แอด-ไวซ) n. แปลว่า คำแนะนำ Far (ฟาร์) adj. แปลว่า ไกล Usually (ยู-ชวล-ลิ) adv. แปลว่า โดยปกติ Imagine (อิ-แมจ-จิน) v. แปลว่า จินตนาการ Every day (เอฟ-วะ-รี เดย์) adv. แปลว่า ทุกวัน Welcome (เวล-คัม) v. แปลว่า ยินดีต้อนรับ
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • ## The Great Reset on Process. ##
    ..
    ..
    การปฏิวัติอุตสาหกรรมในครั้งที่ 4 นี้ จะยิ่งทำให้ช่องว่างทางเศรษฐกิจ ยิ่งถ่างกว้างขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
    .
    เนื่องจาก ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมมากที่สุด คือ คนที่ให้ทุน และ คนที่มีศักยภาพในการสร้างทักษะจากความรู้ใหม่ๆ
    .
    ธุรกิจที่ใช้แรงงาน จะมีรายได้สวนทางจาก ธุรกิจที่มีนวัตกรรม ซึ่งจะมั่งคั่งเฟื่องฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว...
    .
    และการนี้จะส่งผลให้ รายได้ของคนส่วนใหญ่หดตัวลง ลดลง และ หยุดนิ่ง...
    .
    ลองจินตนาการดูครับ หากบนโลกใบนี้ มีคนอยู่แค่ 10 คน มีเงินบนโลกนี้แค่ 100 บาท สมการคือ คนเท่าเดิม จำนวนเงินเท่าเดิม...
    .
    หากมี 2 คน รวยขึ้น จะเท่ากับว่า อีก 8 คนที่เหลือจนลง ใช่มั้ย...???
    .
    ฉันใดก็ฉันนั้น ครับ...
    .
    แล้วใครหล่ะ คือคนที่ให้ทุน...???
    .
    Private Gain & Public Loss...!!!
    ...
    ...
    The Great Reset on Process.
    ## The Great Reset on Process. ## .. .. การปฏิวัติอุตสาหกรรมในครั้งที่ 4 นี้ จะยิ่งทำให้ช่องว่างทางเศรษฐกิจ ยิ่งถ่างกว้างขึ้นไปอีกเรื่อยๆ . เนื่องจาก ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมมากที่สุด คือ คนที่ให้ทุน และ คนที่มีศักยภาพในการสร้างทักษะจากความรู้ใหม่ๆ . ธุรกิจที่ใช้แรงงาน จะมีรายได้สวนทางจาก ธุรกิจที่มีนวัตกรรม ซึ่งจะมั่งคั่งเฟื่องฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว... . และการนี้จะส่งผลให้ รายได้ของคนส่วนใหญ่หดตัวลง ลดลง และ หยุดนิ่ง... . ลองจินตนาการดูครับ หากบนโลกใบนี้ มีคนอยู่แค่ 10 คน มีเงินบนโลกนี้แค่ 100 บาท สมการคือ คนเท่าเดิม จำนวนเงินเท่าเดิม... . หากมี 2 คน รวยขึ้น จะเท่ากับว่า อีก 8 คนที่เหลือจนลง ใช่มั้ย...??? . ฉันใดก็ฉันนั้น ครับ... . แล้วใครหล่ะ คือคนที่ให้ทุน...??? . Private Gain & Public Loss...!!! ... ... The Great Reset on Process.
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • ด่วน: หน่วยงานพิเศษ Adrenochrome ช่วยเหลือเด็กหลายร้อยคนที่ถูกค้ามนุษย์โดย Marina Abramovic

    หน่วยพิเศษของรัสเซียได้ช่วยเหลือเด็กที่ถูกค้ามนุษย์หลายร้อยคนจากโรงงาน adrenochrome ที่ซ่อนอยู่ลึกในเทือกเขาคาร์เพเทียนของยูเครน ซึ่งเป็นการพัฒนาที่น่าตกตะลึง ปฏิบัติการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินเพื่อทำลายอุตสาหกรรม adrenochrome ทั่วโลก ซึ่งส่งคลื่นความตกตะลึงไปทั่วโลก การเปิดเผยที่น่าวิตกกังวลที่สุด? ศิลปินการแสดงชื่อดังอย่าง Marina Abramovic ถูกกล่าวหาว่าเป็นศูนย์กลางของความสยองขวัญนี้ โดยเขาจัดงานปาร์ตี้ adrenochrome ในปารีส โดยมีชนชั้นสูงเข้าร่วม

    เปิดโปงการค้า adrenochrome

    adrenochrome คืออะไร? ไม่ใช่แค่ทฤษฎีที่กระซิบกันในแวดวงทฤษฎีสมคบคิด แต่เป็นความจริง สารประกอบทางเคมีที่เชื่อมโยงกับการต่อต้านวัยและประสบการณ์หลอนประสาท กล่าวกันว่าถูกเก็บเกี่ยวด้วยวิธีที่แปลกประหลาดที่สุดที่จินตนาการได้ นั่นคือจากเลือดของเด็กที่ถูกทรมาน ชนชั้นสูงที่หลงใหลในอำนาจและเยาวชน ได้สร้างการค้าลับๆ ขึ้นโดยอาศัยแนวทางนี้ และตอนนี้ รัสเซียกำลังเป็นผู้นำในการทำลายล้างแนวทางนี้

    ยูเครน: หัวใจมืดของการค้า

    ยูเครนกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์การค้ามนุษย์ โดยมีพรมแดนที่ไร้การควบคุมและภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากสงครามเป็นแหล่งกำบังที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ค้ามนุษย์ เด็กๆ ถูกจับตัวไปจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ค่ายผู้ลี้ภัย และบ้านเรือนของพวกเขา และหายตัวไปในตลาดมืด กองกำลังรัสเซียได้ใช้ข้อมูลข่าวกรองที่รวบรวมได้จากงานของอับราโมวิชที่ปารีส เปิดเผยว่าโรงงานผลิตอะดรีโนโครมกำลังดำเนินการอยู่ในสถานที่ซ่อนเร้นเหล่านี้ โดยแสวงหาผลประโยชน์จากเด็กๆ ในรูปแบบที่เหนือจินตนาการ

    บทบาทอันชั่วร้ายของอับราโมวิช

    มารินา อับราโมวิช ซึ่งเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมลึกลับที่น่ารำคาญภายใต้หน้ากากของ "ศิลปะ" มาเป็นเวลานาน ได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับโลกใต้ดินของอะดรีโนโครม ตามข้อมูลข่าวกรองของรัสเซีย การรวมตัวของชนชั้นสูงของเธอเป็นมากกว่างานสังคม—แต่ยังเป็นการสร้างพื้นที่ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้าอีกด้วย การเปิดเผยนี้เชื่อมโยงเธอโดยตรงกับหนึ่งในแผนการสมคบคิดที่มืดมนที่สุดในยุคของเรา

    ภารกิจของปูติน: สงครามกับอะดรีโนโครม

    ประธานาธิบดีปูตินได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า เขาจะไม่หยุดยั้งที่จะเปิดโปงและทำลายเครือข่ายอะดรีโนโครมทั่วโลก สำหรับปูติน นี่คือสงครามเพื่อจิตวิญญาณของมนุษยชาติ การต่อสู้เพื่อกลุ่มคนชั้นสูงที่ล่าเหยื่อที่เปราะบางที่สุดโดยไม่ต้องรับโทษ ปฏิบัติการกู้ภัยในยูเครนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เป็นสัญญาณเตือนว่าผู้ค้ามนุษย์และผู้ร่วมมือที่เป็นพวกชั้นสูงไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

    เกมอันตราย

    การเปิดโปงกลุ่มคนชั้นสูงเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย บุคคลที่ทรงอิทธิพลเบื้องหลังการค้าอะดรีโนโครมไม่ได้มีแค่ความร่ำรวยเท่านั้น แต่ยังควบคุมรัฐบาล สื่อ และระบบการเงินทั้งหมดอีกด้วย แต่การเคลื่อนไหวที่กล้าหาญของรัสเซียกำลังแสดงให้โลกเห็นว่าสถานะที่แตะต้องไม่ได้ของกลุ่มคนชั้นสูงกำลังพังทลาย การปราบปรามอุตสาหกรรมของปูตินได้ส่งคลื่นกระแทกไปทั่วทางเดินของอำนาจ และความเงียบของตะวันตกก็ดังจนหูหนวก
    ผลกระทบต่อโลก

    ปฏิบัติการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ระดับโลก เมื่อเด็กๆ หลายร้อยคนได้รับการปลดปล่อยจากความน่ากลัวที่ไม่อาจจินตนาการได้ อุตสาหกรรมอะดรีโนโครมก็ถูกเปิดโปงว่าเป็นเพียงเศรษฐกิจที่ชั่วร้ายและซ่อนเร้น ประเทศอื่นๆ จะก้าวขึ้นมาหรือจะเพิกเฉย โลกต้องเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายนี้ และรัสเซียได้จุดไฟที่ไม่สามารถดับได้ง่ายๆ

    ความจริงกำลังถูกเปิดเผย และผู้มีอำนาจไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ในเงามืดได้อีกต่อไป
    ด่วน: หน่วยงานพิเศษ Adrenochrome ช่วยเหลือเด็กหลายร้อยคนที่ถูกค้ามนุษย์โดย Marina Abramovic หน่วยพิเศษของรัสเซียได้ช่วยเหลือเด็กที่ถูกค้ามนุษย์หลายร้อยคนจากโรงงาน adrenochrome ที่ซ่อนอยู่ลึกในเทือกเขาคาร์เพเทียนของยูเครน ซึ่งเป็นการพัฒนาที่น่าตกตะลึง ปฏิบัติการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินเพื่อทำลายอุตสาหกรรม adrenochrome ทั่วโลก ซึ่งส่งคลื่นความตกตะลึงไปทั่วโลก การเปิดเผยที่น่าวิตกกังวลที่สุด? ศิลปินการแสดงชื่อดังอย่าง Marina Abramovic ถูกกล่าวหาว่าเป็นศูนย์กลางของความสยองขวัญนี้ โดยเขาจัดงานปาร์ตี้ adrenochrome ในปารีส โดยมีชนชั้นสูงเข้าร่วม เปิดโปงการค้า adrenochrome adrenochrome คืออะไร? ไม่ใช่แค่ทฤษฎีที่กระซิบกันในแวดวงทฤษฎีสมคบคิด แต่เป็นความจริง สารประกอบทางเคมีที่เชื่อมโยงกับการต่อต้านวัยและประสบการณ์หลอนประสาท กล่าวกันว่าถูกเก็บเกี่ยวด้วยวิธีที่แปลกประหลาดที่สุดที่จินตนาการได้ นั่นคือจากเลือดของเด็กที่ถูกทรมาน ชนชั้นสูงที่หลงใหลในอำนาจและเยาวชน ได้สร้างการค้าลับๆ ขึ้นโดยอาศัยแนวทางนี้ และตอนนี้ รัสเซียกำลังเป็นผู้นำในการทำลายล้างแนวทางนี้ ยูเครน: หัวใจมืดของการค้า ยูเครนกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์การค้ามนุษย์ โดยมีพรมแดนที่ไร้การควบคุมและภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากสงครามเป็นแหล่งกำบังที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ค้ามนุษย์ เด็กๆ ถูกจับตัวไปจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ค่ายผู้ลี้ภัย และบ้านเรือนของพวกเขา และหายตัวไปในตลาดมืด กองกำลังรัสเซียได้ใช้ข้อมูลข่าวกรองที่รวบรวมได้จากงานของอับราโมวิชที่ปารีส เปิดเผยว่าโรงงานผลิตอะดรีโนโครมกำลังดำเนินการอยู่ในสถานที่ซ่อนเร้นเหล่านี้ โดยแสวงหาผลประโยชน์จากเด็กๆ ในรูปแบบที่เหนือจินตนาการ บทบาทอันชั่วร้ายของอับราโมวิช มารินา อับราโมวิช ซึ่งเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมลึกลับที่น่ารำคาญภายใต้หน้ากากของ "ศิลปะ" มาเป็นเวลานาน ได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับโลกใต้ดินของอะดรีโนโครม ตามข้อมูลข่าวกรองของรัสเซีย การรวมตัวของชนชั้นสูงของเธอเป็นมากกว่างานสังคม—แต่ยังเป็นการสร้างพื้นที่ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้าอีกด้วย การเปิดเผยนี้เชื่อมโยงเธอโดยตรงกับหนึ่งในแผนการสมคบคิดที่มืดมนที่สุดในยุคของเรา ภารกิจของปูติน: สงครามกับอะดรีโนโครม ประธานาธิบดีปูตินได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า เขาจะไม่หยุดยั้งที่จะเปิดโปงและทำลายเครือข่ายอะดรีโนโครมทั่วโลก สำหรับปูติน นี่คือสงครามเพื่อจิตวิญญาณของมนุษยชาติ การต่อสู้เพื่อกลุ่มคนชั้นสูงที่ล่าเหยื่อที่เปราะบางที่สุดโดยไม่ต้องรับโทษ ปฏิบัติการกู้ภัยในยูเครนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เป็นสัญญาณเตือนว่าผู้ค้ามนุษย์และผู้ร่วมมือที่เป็นพวกชั้นสูงไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เกมอันตราย การเปิดโปงกลุ่มคนชั้นสูงเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย บุคคลที่ทรงอิทธิพลเบื้องหลังการค้าอะดรีโนโครมไม่ได้มีแค่ความร่ำรวยเท่านั้น แต่ยังควบคุมรัฐบาล สื่อ และระบบการเงินทั้งหมดอีกด้วย แต่การเคลื่อนไหวที่กล้าหาญของรัสเซียกำลังแสดงให้โลกเห็นว่าสถานะที่แตะต้องไม่ได้ของกลุ่มคนชั้นสูงกำลังพังทลาย การปราบปรามอุตสาหกรรมของปูตินได้ส่งคลื่นกระแทกไปทั่วทางเดินของอำนาจ และความเงียบของตะวันตกก็ดังจนหูหนวก ผลกระทบต่อโลก ปฏิบัติการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ระดับโลก เมื่อเด็กๆ หลายร้อยคนได้รับการปลดปล่อยจากความน่ากลัวที่ไม่อาจจินตนาการได้ อุตสาหกรรมอะดรีโนโครมก็ถูกเปิดโปงว่าเป็นเพียงเศรษฐกิจที่ชั่วร้ายและซ่อนเร้น ประเทศอื่นๆ จะก้าวขึ้นมาหรือจะเพิกเฉย โลกต้องเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายนี้ และรัสเซียได้จุดไฟที่ไม่สามารถดับได้ง่ายๆ ความจริงกำลังถูกเปิดเผย และผู้มีอำนาจไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ในเงามืดได้อีกต่อไป
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • ..ช่วงมาใหม่ของวัคซีน,ย้อนอดีต.

    ..เขาว่ามาแบบนี้ ส่วนในไทยเราเองก็มิทราบเช่นกัน.
    ################
    ..สาเหตุทำไมคนที่ฉีดแล้วถึงไม่เป็นอะไร เหมือนเล่นรัสเซียน รูเล็ตเกมวัดดวงแต่บางคนเขาคัดเอาไว้ โชว์ว่าไม่เป็นอะไรโดยใช้รหัส บนขวดวัคซีน

    ในวันเสาร์ที่ 20 พ.ย.2021 หัวหน้าพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยลูบลิยานา Clinical Center (ภาพข้างบน เกี่ยวกับการบริหารขวดวัคซีนและจัดการทุกอย่าง ลาออกจากงาน ไปหน้ากล้องโทรทัศน์และหยิบขวดวัคซีนออกมา .

    เธอแสดงรหัสบนขวดให้นักข่าวที่ชุมนุมกันดู โดยแต่ละรหัสมีหมายเลข 1, 2 หรือ 3 ในรหัส จากนั้นจึงอธิบายความหมายของตัวเลขเหล่านี้:

    อันดับ 1 คือ ยาหลอก น้ำเกลือ

    หมายเลข 2 คือ "วัคซีน" ของ mRNA แบบคลาสสิก
    หมายเลข 3 คือแท่ง RNA ที่มียีน ONC ซึ่งเกี่ยวข้องกับ adenovirus ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนามะเร็ง

    สำหรับผู้ที่ถูกแทงจากขวดยาที่มีรหัสลงท้ายด้วยหมายเลข 3 เธอบอกว่าผู้ที่ได้รับพวกเขาจะเป็นมะเร็งเนื้อเยื่ออ่อนภายใน 2 ปี

    เธอบอกว่าเธอได้เห็นการฉีดวัคซีนของนักการเมืองและผู้ประกอบการทั้งหมดเป็นการส่วนตัว และพวกเขาทั้งหมดได้รับการเตรียมการหมายเลข 1

    สื่อได้รับคำสั่งให้ฝังเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง และความพยายามอย่างดุเดือดในการเก็บข้อมูลนี้กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้


    /////////////////////////////

    Vaccine Scandal ในสโลวีเนีย – ขวดมีรหัส # สำหรับยาหลอก, Vax หรือ KILL SHOT

     The Crazz Files 26 พฤศจิกายน 2564

    อ่านเพิ่มเติมได้ที่ HAL Turner RADIO SHOW 

    คำพูดออกมาจากสโลวีเนียซึ่งหากได้รับการตรวจสอบแล้วจะทำให้เกิดปฏิกิริยาของโลกที่เหนือจินตนาการ

    ในวันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน หัวหน้าพยาบาลของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย Ljubljana Clinical Center (ในภาพด้านบน ซึ่งดูแลการจัดการขวดวัคซีนและจัดการทุกอย่าง ลาออกจากงาน ไปอยู่หน้ากล้องโทรทัศน์และหยิบขวดวัคซีนออกมา

    เธอแสดงรหัสบนขวดให้นักข่าวที่ชุมนุมกันดู โดยแต่ละรหัสมีหมายเลข 1, 2 หรือ 3 ในรหัส จากนั้นจึงอธิบายความหมายของตัวเลขเหล่านี้:

    อันดับ 1 คือ ยาหลอก น้ำเกลือ

    หมายเลข 2 คือ "วัคซีน" ของ mRNA แบบคลาสสิก

    หมายเลข 3 คือแท่ง RNA ที่มียีน ONC ซึ่งเกี่ยวข้องกับ adenovirus ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนามะเร็ง

    สำหรับผู้ที่ถูกแทงจากขวดยาที่มีรหัสลงท้ายด้วยหมายเลข 3 เธอบอกว่าผู้ที่ได้รับพวกเขาจะเป็นมะเร็งเนื้อเยื่ออ่อนภายใน 2 ปี

    เธอบอกว่าเธอได้เห็นการฉีดวัคซีนของนักการเมืองและผู้ประกอบการทั้งหมดเป็นการส่วนตัว และพวกเขาทั้งหมดได้รับการเตรียมการหมายเลข 1

    สื่อได้รับคำสั่งให้ฝังเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง และความพยายามอย่างดุเดือดในการเก็บข้อมูลนี้กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้
    ..ช่วงมาใหม่ของวัคซีน,ย้อนอดีต. ..เขาว่ามาแบบนี้ ส่วนในไทยเราเองก็มิทราบเช่นกัน. ################ ..สาเหตุทำไมคนที่ฉีดแล้วถึงไม่เป็นอะไร เหมือนเล่นรัสเซียน รูเล็ตเกมวัดดวงแต่บางคนเขาคัดเอาไว้ โชว์ว่าไม่เป็นอะไรโดยใช้รหัส บนขวดวัคซีน ในวันเสาร์ที่ 20 พ.ย.2021 หัวหน้าพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยลูบลิยานา Clinical Center (ภาพข้างบน เกี่ยวกับการบริหารขวดวัคซีนและจัดการทุกอย่าง ลาออกจากงาน ไปหน้ากล้องโทรทัศน์และหยิบขวดวัคซีนออกมา . เธอแสดงรหัสบนขวดให้นักข่าวที่ชุมนุมกันดู โดยแต่ละรหัสมีหมายเลข 1, 2 หรือ 3 ในรหัส จากนั้นจึงอธิบายความหมายของตัวเลขเหล่านี้: อันดับ 1 คือ ยาหลอก น้ำเกลือ หมายเลข 2 คือ "วัคซีน" ของ mRNA แบบคลาสสิก หมายเลข 3 คือแท่ง RNA ที่มียีน ONC ซึ่งเกี่ยวข้องกับ adenovirus ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนามะเร็ง สำหรับผู้ที่ถูกแทงจากขวดยาที่มีรหัสลงท้ายด้วยหมายเลข 3 เธอบอกว่าผู้ที่ได้รับพวกเขาจะเป็นมะเร็งเนื้อเยื่ออ่อนภายใน 2 ปี เธอบอกว่าเธอได้เห็นการฉีดวัคซีนของนักการเมืองและผู้ประกอบการทั้งหมดเป็นการส่วนตัว และพวกเขาทั้งหมดได้รับการเตรียมการหมายเลข 1 สื่อได้รับคำสั่งให้ฝังเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง และความพยายามอย่างดุเดือดในการเก็บข้อมูลนี้กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ///////////////////////////// Vaccine Scandal ในสโลวีเนีย – ขวดมีรหัส # สำหรับยาหลอก, Vax หรือ KILL SHOT  The Crazz Files 26 พฤศจิกายน 2564 อ่านเพิ่มเติมได้ที่ HAL Turner RADIO SHOW  คำพูดออกมาจากสโลวีเนียซึ่งหากได้รับการตรวจสอบแล้วจะทำให้เกิดปฏิกิริยาของโลกที่เหนือจินตนาการ ในวันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน หัวหน้าพยาบาลของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย Ljubljana Clinical Center (ในภาพด้านบน ซึ่งดูแลการจัดการขวดวัคซีนและจัดการทุกอย่าง ลาออกจากงาน ไปอยู่หน้ากล้องโทรทัศน์และหยิบขวดวัคซีนออกมา เธอแสดงรหัสบนขวดให้นักข่าวที่ชุมนุมกันดู โดยแต่ละรหัสมีหมายเลข 1, 2 หรือ 3 ในรหัส จากนั้นจึงอธิบายความหมายของตัวเลขเหล่านี้: อันดับ 1 คือ ยาหลอก น้ำเกลือ หมายเลข 2 คือ "วัคซีน" ของ mRNA แบบคลาสสิก หมายเลข 3 คือแท่ง RNA ที่มียีน ONC ซึ่งเกี่ยวข้องกับ adenovirus ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนามะเร็ง สำหรับผู้ที่ถูกแทงจากขวดยาที่มีรหัสลงท้ายด้วยหมายเลข 3 เธอบอกว่าผู้ที่ได้รับพวกเขาจะเป็นมะเร็งเนื้อเยื่ออ่อนภายใน 2 ปี เธอบอกว่าเธอได้เห็นการฉีดวัคซีนของนักการเมืองและผู้ประกอบการทั้งหมดเป็นการส่วนตัว และพวกเขาทั้งหมดได้รับการเตรียมการหมายเลข 1 สื่อได้รับคำสั่งให้ฝังเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง และความพยายามอย่างดุเดือดในการเก็บข้อมูลนี้กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้
    0 Comments 0 Shares 101 Views 32 0 Reviews
  • "Hossein Salami" ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน (IRGC) แจ้งต่อผู้บัญชาการกองทัพอิหร่านว่า "สมาชิกกองทัพอิหร่าน 5 นายที่เสียชีวิตในการโจมตีอิหร่านของอิสราเอล จะทำให้อิสราเอลได้รับผลที่ตามมาอันขมขื่นและไม่อาจอาจจินตนาการได้"

    ปฏิบัติการ "True Promise 3" จะแตกต่างจากปฏิบัติการ 2 ครั้งก่อนหน้าที่มีลักษณะเหมือนการส่งข่าวสารมากกว่า แต่ครั้งนี้มุ่งหวังที่จะทำให้เครื่องจักรสงครามอย่างอิสราเอลอ่อนแอลง
    "Hossein Salami" ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน (IRGC) แจ้งต่อผู้บัญชาการกองทัพอิหร่านว่า "สมาชิกกองทัพอิหร่าน 5 นายที่เสียชีวิตในการโจมตีอิหร่านของอิสราเอล จะทำให้อิสราเอลได้รับผลที่ตามมาอันขมขื่นและไม่อาจอาจจินตนาการได้" ปฏิบัติการ "True Promise 3" จะแตกต่างจากปฏิบัติการ 2 ครั้งก่อนหน้าที่มีลักษณะเหมือนการส่งข่าวสารมากกว่า แต่ครั้งนี้มุ่งหวังที่จะทำให้เครื่องจักรสงครามอย่างอิสราเอลอ่อนแอลง
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • "ปัจจุบันขณะ"

    "จิต" ของมนุษย์ นั้นยากนักที่จะอยู่กับ "ปัจจุบัน"
    แต่จิตมักชอบคิดพะวงถึงเรื่องใน อดีตและอนาคต.

    จิตมักปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆ ไปตามจินตนาการ
    รวมทั้งประสบการณ์ ความรู้ และความเชื่อของตน.

    แต่ผลลัพธ์ที่เกิดจากการ "ปรุงแต่ง" เหล่านั้น
    ล้วนไม่ได้เกิดขึ้นจริงทั้งหมดในปัจจุบันได้.

    ณรงค์ คนขำ
    26/10/2567
    "ปัจจุบันขณะ" "จิต" ของมนุษย์ นั้นยากนักที่จะอยู่กับ "ปัจจุบัน" แต่จิตมักชอบคิดพะวงถึงเรื่องใน อดีตและอนาคต. จิตมักปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆ ไปตามจินตนาการ รวมทั้งประสบการณ์ ความรู้ และความเชื่อของตน. แต่ผลลัพธ์ที่เกิดจากการ "ปรุงแต่ง" เหล่านั้น ล้วนไม่ได้เกิดขึ้นจริงทั้งหมดในปัจจุบันได้. ณรงค์ คนขำ 26/10/2567
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • "ปัจจุบันขณะ"

    "จิต" ของมนุษย์ นั้นยากนักที่จะอยู่กับ "ปัจจุบัน"
    แต่จิตมักชอบคิดพะวงถึงเรื่องใน อดีตและอนาคต.

    จิตมักปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆ ไปตามจินตนาการ
    รวมทั้งประสบการณ์ ความรู้ และความเชื่อของตน.

    แต่ผลลัพธ์ที่เกิดจากการ "ปรุงแต่ง" เหล่านั้น
    ล้วนไม่ได้เกิดขึ้นจริงทั้งหมดในปัจจุบันได้.

    ณรงค์ คนขำ
    26/10/2567
    "ปัจจุบันขณะ" "จิต" ของมนุษย์ นั้นยากนักที่จะอยู่กับ "ปัจจุบัน" แต่จิตมักชอบคิดพะวงถึงเรื่องใน อดีตและอนาคต. จิตมักปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆ ไปตามจินตนาการ รวมทั้งประสบการณ์ ความรู้ และความเชื่อของตน. แต่ผลลัพธ์ที่เกิดจากการ "ปรุงแต่ง" เหล่านั้น ล้วนไม่ได้เกิดขึ้นจริงทั้งหมดในปัจจุบันได้. ณรงค์ คนขำ 26/10/2567
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • ขออนุญาตเจ้าของลายมือ

    ตามลายมือ ทายว่า ฉลาด มีความรู้และจินตนาการอยู่ในตัว รักเกียรติยศและชื่อเสียง มีความทะเยอทะยานที่จะให้ชีวิตมีความเจริญก้าวหน้าและดีขึ้น ใจใฝ่หาความรู้และธรรม วางแผนในการทำสิ่งต่างๆ รักธรรมชาติ มีอารมณ์เครียด หงุดหงิดหน่อย ตอนเด็ก มีเหตุการณ์ที่คนในครอบครัวทำให้สะเทือนใจ อาจทำให้อยู่ห่างจากครอบครัว

    รัก มีคนเข้ามาจีบพอสมควร รักไม่ราบรื่นหรือไม่ได้ดั่งใจหวังหรือไม่ถูกใจ ตอนวัยรุ่น ถึง อายุ 20 กลาง ไม่สมหวังในรัก มีเหตุการณ์สะเทือนใจตอนอายุ 20 ต้น มีเกณฑ์มีคู่ช้า เพราะค่อนข้างเลือกคู่และมีมาตรฐานหรือสเปคในการเลือกคู่ คู่คนไทย ทำให้เหนื่อย ลำบาก เครียด วิตกกังวล บางครั้งทำให้เสียใจ บางครั้งครอบครัวไม่ถูกใจคู่ คู่ต่างชาติส่งเสริม เกื้อกูล กว่าคู่คนไทย ถ้าคบคู่ต่างชาติ จะคบกันได้ยาวกว่าคู่คนไทย

    งาน คิดสร้างฐานะและหลักฐานด้วยตัวเองตอนอายุ 20 กลาง จึงลงมือทำและเหนื่อยด้วยตัวเอง ตอนเริ่มทำงาน อาจไม่ราบรื่นหรือลำบากหรือเหนื่อยหน่อย หลังจากนั้นพอไปได้ ก่อนอายุ 30 งานไปได้เรื่อยๆ เจออุปสรรคบ้าง เหนื่อยบ้าง มีคนช่วยเหลืออุปถัมภ์เวลามีปัญหาเรื่องงาน อายุ 20 กลาง อายุ 20 ปลาย และอายุ 30 ต้น มีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ดีเรื่องงานและเงิน อายุ 32 อายุ 35 อายุ 50 ต้น อายุ 50 กลาง เจออุปสรรคแต่ผ่านไปได้ ตอนอายุ 50 ต้น ระมัดระวังเรื่องการงาน การเงินหรือการลงทุน มีเกณฑ์เสียมากกว่าได้ อายุ 30 ปลาย อายุ 40 ต้น มีเกณฑ์เปลี่ยนแปลงเรื่องงานหรือที่อยู่อาจทำงานหรืออยู่ไกลถิ่นเกิดหรือต่างประเทศ ตอนอายุมากขึ้นจะมีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบมากขึ้น

    เงิน หาเงินเก่ง ใช้เงินเก่ง บางครั้งมีคนมาทำให้เดือดร้อนจนเสียเงิน ตอนวัยรุ่น ถึง อายุ 20 กลาง เจอปัญหาเรื่องเงินแต่ช่วงนั้นมีลาภเข้ามา ลาภมาจากคนในครอบครัว ตอนมีหนี้จะหาเงินได้มากกว่าตอนไม่มีหนี้ อนาคตมีเงินพอสมควร

    สุขภาพ สมอง อาจคิดมากจนปวดศีรษะ อวัยวะภายในท้อง ลำไส้ ลำไส้แปรปรวน

    ตามวันเดือนปีเกิดเวลาเกิด ทายว่า พูดจาเก่ง ช่างเจรจา ขยัน มีความคิดและการกระทำที่เป็นผู้ใหญ่กว่าคนในวัยเดียวกัน สนใจในประวัติศาสตร์ ของโบราณ ของเก่า ญาติมีฐานะดีและหน้าที่การงานดี

    ตอนอายุ 39 ขยันในการทำงาน บางครั้งอาจหักโหมในการทำงานเกินไป พยายามเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพื่อให้ดีขึ้นเกี่ยวกับแม่และเพื่อน

    ตอนอายุ 40 เป็นปีที่ดี เรื่องเงิน ญาติ บ้าน แต่เหนื่อยหน่อยและต้องใช้เวลาในการได้มา ญาติหรือคนใกล้ชิด มีปัญหาสุขภาพ มีการเดินทางไปหาญาติหรือคนใกล้ชิด การเดินทาง ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุ เสียเงินในการซ่อมหรือดูแลรักษารถยนต์

    คู่ มีลักษณะอ่อนโยน จู้จี้ จุกจิก โลเล จะมีนิสัยไม่ค่อยถูกใจตัวเอง เป็นคนต่างชาติ
    เข้ามาเยอะตอนอายุ 12/18/22/29/34/35/48
    เข้ามาบ้างตอนอายุ 14/16/20/26/27/41/44/46
    มีเกณฑ์มีคู่ ถ้าจะแต่ง แนะนำตอนอายุ 41/44

    งาน ขยันในการทำงาน บางครั้งอาจหักโหมในการทำงานเกินไป ใช้ความรู้ที่มีในการสร้างตัว สร้างฐานะและหลักฐาน งานที่เหมาะ งานด้านใช้ทักษะในการเจรจา การติดต่อ ประสานงาน การสื่อสาร การเขียน

    เงิน มีรายได้มากกว่ารายจ่าย จึงมีโอกาสรวย ได้ลาภจากพ่อ พ่อให้เงินใช้

    สุขภาพ ระบบเลือด หัวใจ สายตา ระบบการหายใจ จมูก คอ
    ขออนุญาตเจ้าของลายมือ ตามลายมือ ทายว่า ฉลาด มีความรู้และจินตนาการอยู่ในตัว รักเกียรติยศและชื่อเสียง มีความทะเยอทะยานที่จะให้ชีวิตมีความเจริญก้าวหน้าและดีขึ้น ใจใฝ่หาความรู้และธรรม วางแผนในการทำสิ่งต่างๆ รักธรรมชาติ มีอารมณ์เครียด หงุดหงิดหน่อย ตอนเด็ก มีเหตุการณ์ที่คนในครอบครัวทำให้สะเทือนใจ อาจทำให้อยู่ห่างจากครอบครัว รัก มีคนเข้ามาจีบพอสมควร รักไม่ราบรื่นหรือไม่ได้ดั่งใจหวังหรือไม่ถูกใจ ตอนวัยรุ่น ถึง อายุ 20 กลาง ไม่สมหวังในรัก มีเหตุการณ์สะเทือนใจตอนอายุ 20 ต้น มีเกณฑ์มีคู่ช้า เพราะค่อนข้างเลือกคู่และมีมาตรฐานหรือสเปคในการเลือกคู่ คู่คนไทย ทำให้เหนื่อย ลำบาก เครียด วิตกกังวล บางครั้งทำให้เสียใจ บางครั้งครอบครัวไม่ถูกใจคู่ คู่ต่างชาติส่งเสริม เกื้อกูล กว่าคู่คนไทย ถ้าคบคู่ต่างชาติ จะคบกันได้ยาวกว่าคู่คนไทย งาน คิดสร้างฐานะและหลักฐานด้วยตัวเองตอนอายุ 20 กลาง จึงลงมือทำและเหนื่อยด้วยตัวเอง ตอนเริ่มทำงาน อาจไม่ราบรื่นหรือลำบากหรือเหนื่อยหน่อย หลังจากนั้นพอไปได้ ก่อนอายุ 30 งานไปได้เรื่อยๆ เจออุปสรรคบ้าง เหนื่อยบ้าง มีคนช่วยเหลืออุปถัมภ์เวลามีปัญหาเรื่องงาน อายุ 20 กลาง อายุ 20 ปลาย และอายุ 30 ต้น มีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ดีเรื่องงานและเงิน อายุ 32 อายุ 35 อายุ 50 ต้น อายุ 50 กลาง เจออุปสรรคแต่ผ่านไปได้ ตอนอายุ 50 ต้น ระมัดระวังเรื่องการงาน การเงินหรือการลงทุน มีเกณฑ์เสียมากกว่าได้ อายุ 30 ปลาย อายุ 40 ต้น มีเกณฑ์เปลี่ยนแปลงเรื่องงานหรือที่อยู่อาจทำงานหรืออยู่ไกลถิ่นเกิดหรือต่างประเทศ ตอนอายุมากขึ้นจะมีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบมากขึ้น เงิน หาเงินเก่ง ใช้เงินเก่ง บางครั้งมีคนมาทำให้เดือดร้อนจนเสียเงิน ตอนวัยรุ่น ถึง อายุ 20 กลาง เจอปัญหาเรื่องเงินแต่ช่วงนั้นมีลาภเข้ามา ลาภมาจากคนในครอบครัว ตอนมีหนี้จะหาเงินได้มากกว่าตอนไม่มีหนี้ อนาคตมีเงินพอสมควร สุขภาพ สมอง อาจคิดมากจนปวดศีรษะ อวัยวะภายในท้อง ลำไส้ ลำไส้แปรปรวน ตามวันเดือนปีเกิดเวลาเกิด ทายว่า พูดจาเก่ง ช่างเจรจา ขยัน มีความคิดและการกระทำที่เป็นผู้ใหญ่กว่าคนในวัยเดียวกัน สนใจในประวัติศาสตร์ ของโบราณ ของเก่า ญาติมีฐานะดีและหน้าที่การงานดี ตอนอายุ 39 ขยันในการทำงาน บางครั้งอาจหักโหมในการทำงานเกินไป พยายามเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพื่อให้ดีขึ้นเกี่ยวกับแม่และเพื่อน ตอนอายุ 40 เป็นปีที่ดี เรื่องเงิน ญาติ บ้าน แต่เหนื่อยหน่อยและต้องใช้เวลาในการได้มา ญาติหรือคนใกล้ชิด มีปัญหาสุขภาพ มีการเดินทางไปหาญาติหรือคนใกล้ชิด การเดินทาง ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุ เสียเงินในการซ่อมหรือดูแลรักษารถยนต์ คู่ มีลักษณะอ่อนโยน จู้จี้ จุกจิก โลเล จะมีนิสัยไม่ค่อยถูกใจตัวเอง เป็นคนต่างชาติ เข้ามาเยอะตอนอายุ 12/18/22/29/34/35/48 เข้ามาบ้างตอนอายุ 14/16/20/26/27/41/44/46 มีเกณฑ์มีคู่ ถ้าจะแต่ง แนะนำตอนอายุ 41/44 งาน ขยันในการทำงาน บางครั้งอาจหักโหมในการทำงานเกินไป ใช้ความรู้ที่มีในการสร้างตัว สร้างฐานะและหลักฐาน งานที่เหมาะ งานด้านใช้ทักษะในการเจรจา การติดต่อ ประสานงาน การสื่อสาร การเขียน เงิน มีรายได้มากกว่ารายจ่าย จึงมีโอกาสรวย ได้ลาภจากพ่อ พ่อให้เงินใช้ สุขภาพ ระบบเลือด หัวใจ สายตา ระบบการหายใจ จมูก คอ
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • #หนึ่งในร้อย

    ก่อนหน้าละครฉายไม่นาน ผมเคยพูดถึงเรื่องนี้ไปหนหนึ่ง มาบัดนี้ละครออกอากาศได้ประมาณครึ่งทางแล้วกระมัง อยากพูดถึงอีกครั้งด้วยเป็นนิยายของดอกไม้สดที่เป็นเรื่องในดวงใจมาตั้งแต่เด็ก

    ละครทำออกมาได้ทั้งเป็นที่ต้องใจ และติดใจ ต้องใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่ชื่นชอบ ติดใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่แปลงไปเยอะพอสมควร ที่โดยส่วนตัวอดคิดไม่ได้ว่ามีความจำเป็นเพียงใด จึงต้องเปลี่ยนไปในลักษณะนั้น

    แต่เอาเถิด เข้าใจว่าต้นฉบับเรื่องหนึ่งในร้อยนี้ เป็นนิยายซึ่งยากมากที่จะสร้างขึ้นมาเป็นละคร เพราะโดยความเป็นจริงนั้นถูกเขียนมาเพื่อเหมาะกับเป็นเรื่องสำหรับอ่านมากที่สุด ทว่าแน่นอน คนที่อ่านแล้วชื่นชอบในนิยายเรื่องนี้ เชื่อว่าโดยมากต้องมีภาพในจินตนาการโลดแล่นอยู่ในหัว ที่เป็นไปได้ก็อยากเห็นภาพเคลื่อนไหวหรือคนที่เป็นตัวตนจริง และรอมาอย่างยาวนานว่าจะมีโอกาสได้เห็นอนงค์และคุณพระอรรถคดี โลดแล่นอยู่ในจอให้ชมในสักวันหนึ่ง(ไม่ได้ดูเวอร์ชันคุณภิญโญ ทองเจือ เพราะยังเด็กเกินที่จะสนใจดูละคร) ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้จัดในข้อนี้ที่เห็นคุณค่าบทประพันธ์ของดอกไม้สด จนนำมาสู่การทำฝันในวัยเยาว์ของผมให้กลายเป็นจริง

    .

    ด้วยความที่ถูกนำมาสร้าง ณ ปี พ.ศ. 2567 แม้นจะยังคงยุคสมัยตามช่วงเวลาในนิยายก็ตาม แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันได้อ่านหนึ่งในร้อยมาก่อนย่อมมีอยู่เป็นจำนวนมาก และคนในรุ่นนี้เองที่เติบโตมากับเทคโนโลยีต่าง ๆ และโลกในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแทบทุกอย่าง ทำให้โดยพื้นฐานแล้วส่วนใหญ่พวกเขามักไม่ทนกับอะไรที่ค่อยเป็นค่อยไป ดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า เนิบ ๆ ดังเช่นความรักของคนในยุคที่นิยายหนึ่งในร้อยถือกำเนิด ด้วยความอดทนอันจำกัดนี้เอง คงเป็นเหตุผลสำคัญที่คนเขียนบทมีโจทย์สำคัญเป็นการบ้านว่าทำอย่างไร จะให้ละครในแต่ละตอนดึงดูดคนดูกลุ่มนี้ ที่ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญให้ตรึงสายตาไว้กับอนงค์และคุณพระอรรถคดีได้ตลอด ตั้งแต่เริ่มฉายจนจบฉากสุดท้ายในแต่ละตอน โดยไม่เปลี่ยนช่องหรือหันเหความสนใจไปทำอย่างอื่นเสีย จึงปรากฏเป็นหนึ่งในร้อยที่มีอนงค์และคุณพระอรรถซึ่งถูกใส่จริตและเสริมบุคลิกให้มีความเป็นไปได้มากที่สุดเพื่อดึงดูดใจ ให้คนดูหลงรักในตัวละครทั้งสองตั้งแต่ตอนแรก

    .

    หลายเหตุการณ์หลายตัวละครที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ซึ่งไม่มีในต้นฉบับเดิม หรือแม้นกระทั่งอนงค์ที่ได้รับการปรับให้เก่งกล้าเกินงามในบางสถานการณ์ อีกทั้งมั่นใจในตัวเองสูงมาก จนเหมือนจะเป็นอนงค์ขั้นสุด ที่ไม่ใช่แค่ขั้นกว่า เรียกว่ามีความเข้มข้นของพลังงานชีวิตเปี่ยมล้นจนแสดงออกมาเกินขีดอยู่บ้าง แต่เพราะเป็นญาญ่าแสดง จึงพอให้อภัยทำเป็นมองข้ามไปไม่ติดใจมาก ด้วยว่าสวมบทอนงค์ได้อย่างน่าเอ็นดูยิ่ง หากเป็นคนอื่นมารับบทนี้ ยังนึกไม่ออกเช่นกันว่าจะรอดหรือไม่ อาจจะได้ภาพของอนงค์ที่น่าเกลียดน่าชังไปเลยก็เป็นได้ และเพราะบทบาทของอนงค์ในนิยายนั้นถูกกล่าวถึงน้อยมาก รายละเอียดของเรื่องส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ตัวของคุณพระฯ ที่เป็นหัวใจหลักของนิยาย ส่วนมากเนื้อหาบอกเล่าประวัติความเป็นมาแต่หนหลังเชื่อมต่อมาถึงปัจจุบัน ที่คุณพระฯ มีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น ๆ ในทางไหนอย่างไรบ้าง ส่วนอนงค์เพียงถูกกล่าวถึงแบบโฉบไปเฉี่ยวมา ฉากที่พบกันระหว่างพระนางมีอยู่แค่ไม่กี่หนตลอดทั้งเรื่อง โดยมากอนงค์จะรับรู้เรื่องของคุณพระฯ ผ่านการบอกเล่าของแม่ช้อยมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจได้ว่าทำไมผู้เขียนบทจึงต้องทำงานหนักมาก ในการเปลี่ยนให้อนงค์ในนิยายกลายเป็นตัวละครที่ถูกดึงขึ้นมาให้ได้รับบทบาทที่เด่นพอ ๆ กันหรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับตัวเอกของเรื่อง ไม่อย่างนั้นคนดูคงจะไม่ติดตามและทิ้งละครไปอย่างรวดเร็วเป็นแน่

    .

    แต่ส่วนที่น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะหายไปคือนิสัยรักการจดบันทึกหรือเขียนไดอารีของอนงค์ ที่ต้นฉบับหากรับรู้เรื่องราวใดมาจากปากแม่ช้อย เธอจะรีบนำมาเขียนใส่ไว้ในสมุดบันทึกประจำตัว เพื่อเก็บไว้อ่านคนเดียว ซึ่งคนอ่านก็จะสามารถทราบถึงจิตใจของเธอที่มีต่อคุณพระฯ จากสิ่งที่เธอเขียนนั่นเอง ซึ่งเป็นส่วนที่ดีมากและแทบจะไม่พบเลยในเวอร์ชันละคร นอกจากแค่ตอนที่อนงค์ทำเป็นสมุดเล่มเล็กที่มีภาพและคำแนะนำตัวเองแล้วมอบให้คุณพระฯ ซึ่งออกจะเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อภาพพจน์ที่ถูกมองจากคนอย่างคุณพระฯได้เหมือนกัน

    .

    จากนี้ต่อไปในอีกครึ่งทางที่เหลือนั้น ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่ถูกเขียนขึ้นใหม่จะเป็นไปในทิศทางไหน คุณพระฯเองก็ถูกปรับให้คล้ายจะกลายเป็นโฮล์มส์ ที่ขยายการงานให้กว้างออกไปจากในหนังสือเพื่อจะได้มีอะไรให้เล่นกับบทละครมากขึ้น จึงเป็นคุณพระฯ ที่เหมือนอยู่กันคนละโลกกับคุณพระฯในนิยาย ส่วนชัดก็กลายเป็นคนที่อ่อนแอจนปวกเปียกไม่สมกับที่เป็นทหารสักนิด และเห็นแก่ตัวเองอย่างร้ายกาจจนน่ารังเกียจไปเลย เพราะต้นฉบับนิยายนั้นชัดเปลี่ยนใจจากอนงค์มาหาจันทร ด้วยความที่ไม่ระแคะระคายมาก่อนว่าพี่ชายนั้นรักจันทรอยู่ก่อนแล้ว จึงได้ขอร้องให้พี่ช่วยไปสู่ขอจันทรแทนแม่

    ส่วนด้านอื่นที่ดีงามนั้นมีคนพูดกันไปมากแล้ว จึงไม่ขอพูดซ้ำ แต่สิ่งที่อยากจะกล่าวถึงอย่างมาก ที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้เลยก็คือ ความหมายของชื่อเรื่อง "หนึ่งในร้อย"

    .

    หนึ่งในร้อย เป็นคำเปรียบถึงคนอย่างคุณพระฯ เรื่องนี้ชัดเจนแน่นอน ความดีของตัวละครนี้ สำหรับคนที่ดูละครอย่างเดียวอาจเห็นภาพได้ไม่ตรงและใสเท่าในบทประพันธ์ เพราะหนังสือมีเวลาให้ผู้เขียนได้ใส่รายละเอียด และเล่าให้คนอ่านสามารถรู้ชัดเจนถึงที่มาที่ไปแห่งความเป็นคน ซึ่งมีความเป็นสัตบุรุษคือไม่ใช่แค่ดีอย่างทั่วไปหรือดีแบบโลก ๆ เท่านั้น แต่มีความดำรงตนอยู่ในศีลและตั้งตนให้ดำรงมั่นในธรรมะที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ให้ใจไม่ไหลไปตามกระแสแห่งความต้องการที่เป็นอำนาจฝ่ายต่ำ จึงไม่ถูกชักจูงโดยง่ายจากแรงเร้าภายนอกที่มากระทบ ด้วยเหตุนี้คุณพระฯ จึงมีคุณธรรมอยู่ประจำใจเสมอ อันจะคอยคัดท้ายไม่ให้หลุดออกนอกเส้นทางดีงาม แม้นมีบางคราวที่ต้องผจญคลื่นลมพายุโหมกระหน่ำจนถึงขั้นแทบอับปาง เกือบจะไม่สามารถนำพานาวาชีวิตล่องฝ่าภัยต่อไปเหนือลำน้ำได้ แต่สุดท้ายก็รอดพ้นจากวิกฤตและได้รับผลแห่งความดีที่ทำมาด้วยความสุขใจในเบื้องปลาย

    .

    ทว่าคุณพระฯ เองก็ยังมีข้อเสียที่เด่นชัดมาก หากจะมองให้ลึกลงไป นั่นคือการที่เขาช่วยคนโดยเน้นไปที่การอนุเคราะห์ เติมเต็มความต้องการทางด้านปัจจัยสี่ให้แก่แม่และน้อง ๆ หรือคนที่รู้จัก และแม้นในคนทั่วไปเท่าที่อาชีพการงานและฐานะแห่งตนจะพอทำได้ แต่ไม่ได้ช่วยด้วยการฝึกให้คนเหล่านั้นรู้จักการช่วยเหลือตนเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าถึงคราวที่คุณพระฯ อยู่ในสถานะอันลำบากในทางใดทางหนึ่ง ที่ไม่อาจจะให้ความช่วยเหลือหรือจำต้องปฏิเสธคำขอร้อง บรรดาคนซึ่งเคยได้รับเป็นประจำจากเขามาโดยตลอด จึงเกิดความไม่พอใจ กลายเป็นความโกรธ จนหลุดแสดงอำนาจและกิเลสในใจตนให้ระเบิดออกมาอย่างกับคนเสียจริต เห็นได้จากแม่และชัดเป็นต้น

    .

    ดังนั้นการช่วยคนที่ประเสริฐเลิศยอดที่สุด ที่จะไม่กลับเป็นภัยย้อนมาทำร้ายตัวของคนซึ่งเป็นผู้ให้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องเน้นช่วยคนด้วยการให้เขารู้จักการช่วยเหลือตัวเองให้อยู่รอดได้ โดยไม่เป็นเพียงผู้ขอร่ำไปตลอดไป นั่นคือสิ่งที่ผมได้ฟังอยู่เสมอจากคำสอนของพระอาจารย์ที่เคารพศรัทธา ด้วยพรหมวิหาร 4 นั้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับคนผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ คือต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ถ้าเมตตาไม่มีประมาณแล้วขาดซึ่งปัญญากำกับ เมตตานั้นจะเป็นเช่นอาวุธที่หันกลับสู่ตนหากไม่ระวัง

    .

    คุณพระฯ เองมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะกับญาติจนถึงขั้นให้ความช่วยเหลือคือความกรุณาดังแสดงออกให้เห็น และมีจิตพลอยยินดีในเมื่อผู้อื่นได้รับความเจริญหรือผลแห่งความสำเร็จ ไม่เกิดอิจฉาริษยาประทุษร้ายกับใครแม้นเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่คุณพระฯ ยังสอบไม่ผ่านในข้ออุเบกขา คือไม่รู้จักที่จะตัดรอบ ช่วยได้เท่าที่ช่วยไหว สัตว์โลกล้วนมีวิบากแห่งตนซึ่งได้สั่งสมมาไม่ว่าทางร้ายหรือดี ไม่ใช่ต้องเอาชีวิตของเขาขึ้นมาแบกหามไว้ราวกับเป็นเรื่องของตนเองไปเสียทั้งหมด คือช่วยแล้วปล่อยวางไม่ลง แม่ก็แล้ว น้อง ๆ หลายคนและครอบครัวของน้องก็อีก จึงต้องตกที่นั่งถูกคนที่ตนให้ความช่วยเหลือนั้นวกกลับมาทำร้ายตนจนสาหัสแทบจะสิ้นลมหายใจ เป็นการเบียดเบียนตนเองซึ่งทางพุทธศาสนาไม่สรรเสริญ

    .

    ดังนั้น คนอย่างคุณพระฯ อาจหาได้ยาก ดังเช่นคำว่า "หนึ่งในร้อย" แต่คนที่หาได้ยากกว่าอาจถึงขั้น "หนึ่งในล้าน" คือคนที่เข้าใจ และเข้าถึง หลักธรรมในหมวด 4 ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงและนำมาปฏิบัติได้คือ เมตตาได้ทุกผู้แม้เป็นศัตรูของตัวเอง ช่วยเหลือได้ทุกคนเท่าที่ช่วยไหวโดยไม่เดือดร้อน มีใจร่วมยินดีเมื่อเห็นว่าเขาได้ดี ปราศจากความคิดมุ่งร้ายอยากทำลาย สุดท้ายคือไม่อนาทรร้อนใจแม้นไม่สามารถช่วยได้ ด้วยเห็นแล้วว่าไม่อาจช่วย หรือช่วยต่อไปจะเป็นโทษต่อเขาและต่อเรามากกว่า ก็ต้องปล่อยเขาไปตามทางที่เขาสร้างมา

    .

    ตอนล่าสุดเมื่อคืนยังไม่ว่างดูสดแบบเต็ม ๆ เลย แค่ผ่านตาแวบ ๆ บางฉาก แต่ก็พอเดาทิศทางได้เลา ๆ ว่าบทดัดแปลงคงจะพาอนงค์และคุณพระฯ ทะลุมิติท่องไปไกลในดินแดนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละโลกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในนิยาย ถ้าเรียกภาษาคนรุ่นใหม่คงจะใช้คำว่า ตัวละครเดียวกันแต่อยู่คนละมัลติเวิร์ส(ไม่แน่ใจสะกดเช่นนี้หรือไม่)กระมัง

    นี่คือส่วนที่หวั่นใจมาตลอด เพราะในสัปดาห์ก่อนที่เห็นว่าฉากสำคัญที่อยู่ตอนท้ายในนิยาย คือคุณพระล้มเจ็บ ถูกร่นขึ้นมาตั้งแต่กลางเรื่อง อีกทั้งความดราม่าที่ถูกผูกขึ้นใหม่ระหว่างตัวละคร 3-4 ตัว ก็ทำให้พอจะคาดการณ์ได้ว่า ต่อจากนี้ไปคงจะเป็นการด้นใส่อะไรต่อมิอะไรเข้ามาอีกมาก และไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน ก็ได้แต่ละเหี่ยใจ

    .

    ความดีงามของอนงค์ในหนังสือ ที่แม้นเป็นสาวสมัยใหม่ในยุคนั้น แต่ยังมีความรู้รักในเกียรติและศักดิ์ศรีของกุลสตรี ฉลาดและมีเฉลียว อีกทั้งมองคนออกอย่างเลิศ วางตัวเหมาะสมไม่ทำอะไรที่จะไปสะกิดให้คุณพระฯ นึกหยามหรือดูแคลนเอาได้

    จนกระทั่งถึงเวลาที่ทุกอย่างดำเนินไปจนถึงที่สุด จึงกล้าเผยหัวใจตนให้คนที่แอบเทิดทูนบูชารับรู้ ทั้งที่ทราบอยู่แก่ใจว่าอาจทำให้คุณพระฯ มองเธอไปในแง่ไม่ดี แต่ใจที่นึกเวทนาสงสารบวกความรักที่งอกเงยมานานมันเปี่ยมล้นพ้นใจ เกินกว่าจะเก็บกลั้นไว้ภายใน จึงได้ปลดปล่อยไหลทะลักไปในครานั้น แต่แม้จะหลุดคำพูดฝากรัก หากถ้อยคำที่สื่อสารก็ยังเปี่ยมด้วยมธุรส และงดงามในภาษาที่ช่างสรรคำมาเจรจาอย่างน่าทึ่ง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นคงจะไม่อาจคาดหวังว่าจะได้พบเจอเสียแล้ว เพราะได้ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นอนงค์ในแบบฉบับที่เหมือนปล่อยให้อำนาจความรัก ชักจูงเธอไปให้คิดและทำในสิ่งซึ่งอนงค์ในนิยายจะไม่มีวันทำเป็นอันขาด

    น่าเสียดาย...

    ภาพประกอบขอยืมจากในเน็ต

    #thaitimes
    #ดอกไม้สด
    #ละคร
    #mycherieamour
    #วิเคราะห์ตัวละคร
    #วิจารณ์ละคร
    #หนึ่งในร้อย ก่อนหน้าละครฉายไม่นาน ผมเคยพูดถึงเรื่องนี้ไปหนหนึ่ง มาบัดนี้ละครออกอากาศได้ประมาณครึ่งทางแล้วกระมัง อยากพูดถึงอีกครั้งด้วยเป็นนิยายของดอกไม้สดที่เป็นเรื่องในดวงใจมาตั้งแต่เด็ก ละครทำออกมาได้ทั้งเป็นที่ต้องใจ และติดใจ ต้องใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่ชื่นชอบ ติดใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่แปลงไปเยอะพอสมควร ที่โดยส่วนตัวอดคิดไม่ได้ว่ามีความจำเป็นเพียงใด จึงต้องเปลี่ยนไปในลักษณะนั้น แต่เอาเถิด เข้าใจว่าต้นฉบับเรื่องหนึ่งในร้อยนี้ เป็นนิยายซึ่งยากมากที่จะสร้างขึ้นมาเป็นละคร เพราะโดยความเป็นจริงนั้นถูกเขียนมาเพื่อเหมาะกับเป็นเรื่องสำหรับอ่านมากที่สุด ทว่าแน่นอน คนที่อ่านแล้วชื่นชอบในนิยายเรื่องนี้ เชื่อว่าโดยมากต้องมีภาพในจินตนาการโลดแล่นอยู่ในหัว ที่เป็นไปได้ก็อยากเห็นภาพเคลื่อนไหวหรือคนที่เป็นตัวตนจริง และรอมาอย่างยาวนานว่าจะมีโอกาสได้เห็นอนงค์และคุณพระอรรถคดี โลดแล่นอยู่ในจอให้ชมในสักวันหนึ่ง(ไม่ได้ดูเวอร์ชันคุณภิญโญ ทองเจือ เพราะยังเด็กเกินที่จะสนใจดูละคร) ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้จัดในข้อนี้ที่เห็นคุณค่าบทประพันธ์ของดอกไม้สด จนนำมาสู่การทำฝันในวัยเยาว์ของผมให้กลายเป็นจริง . ด้วยความที่ถูกนำมาสร้าง ณ ปี พ.ศ. 2567 แม้นจะยังคงยุคสมัยตามช่วงเวลาในนิยายก็ตาม แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันได้อ่านหนึ่งในร้อยมาก่อนย่อมมีอยู่เป็นจำนวนมาก และคนในรุ่นนี้เองที่เติบโตมากับเทคโนโลยีต่าง ๆ และโลกในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแทบทุกอย่าง ทำให้โดยพื้นฐานแล้วส่วนใหญ่พวกเขามักไม่ทนกับอะไรที่ค่อยเป็นค่อยไป ดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า เนิบ ๆ ดังเช่นความรักของคนในยุคที่นิยายหนึ่งในร้อยถือกำเนิด ด้วยความอดทนอันจำกัดนี้เอง คงเป็นเหตุผลสำคัญที่คนเขียนบทมีโจทย์สำคัญเป็นการบ้านว่าทำอย่างไร จะให้ละครในแต่ละตอนดึงดูดคนดูกลุ่มนี้ ที่ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญให้ตรึงสายตาไว้กับอนงค์และคุณพระอรรถคดีได้ตลอด ตั้งแต่เริ่มฉายจนจบฉากสุดท้ายในแต่ละตอน โดยไม่เปลี่ยนช่องหรือหันเหความสนใจไปทำอย่างอื่นเสีย จึงปรากฏเป็นหนึ่งในร้อยที่มีอนงค์และคุณพระอรรถซึ่งถูกใส่จริตและเสริมบุคลิกให้มีความเป็นไปได้มากที่สุดเพื่อดึงดูดใจ ให้คนดูหลงรักในตัวละครทั้งสองตั้งแต่ตอนแรก . หลายเหตุการณ์หลายตัวละครที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ซึ่งไม่มีในต้นฉบับเดิม หรือแม้นกระทั่งอนงค์ที่ได้รับการปรับให้เก่งกล้าเกินงามในบางสถานการณ์ อีกทั้งมั่นใจในตัวเองสูงมาก จนเหมือนจะเป็นอนงค์ขั้นสุด ที่ไม่ใช่แค่ขั้นกว่า เรียกว่ามีความเข้มข้นของพลังงานชีวิตเปี่ยมล้นจนแสดงออกมาเกินขีดอยู่บ้าง แต่เพราะเป็นญาญ่าแสดง จึงพอให้อภัยทำเป็นมองข้ามไปไม่ติดใจมาก ด้วยว่าสวมบทอนงค์ได้อย่างน่าเอ็นดูยิ่ง หากเป็นคนอื่นมารับบทนี้ ยังนึกไม่ออกเช่นกันว่าจะรอดหรือไม่ อาจจะได้ภาพของอนงค์ที่น่าเกลียดน่าชังไปเลยก็เป็นได้ และเพราะบทบาทของอนงค์ในนิยายนั้นถูกกล่าวถึงน้อยมาก รายละเอียดของเรื่องส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ตัวของคุณพระฯ ที่เป็นหัวใจหลักของนิยาย ส่วนมากเนื้อหาบอกเล่าประวัติความเป็นมาแต่หนหลังเชื่อมต่อมาถึงปัจจุบัน ที่คุณพระฯ มีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น ๆ ในทางไหนอย่างไรบ้าง ส่วนอนงค์เพียงถูกกล่าวถึงแบบโฉบไปเฉี่ยวมา ฉากที่พบกันระหว่างพระนางมีอยู่แค่ไม่กี่หนตลอดทั้งเรื่อง โดยมากอนงค์จะรับรู้เรื่องของคุณพระฯ ผ่านการบอกเล่าของแม่ช้อยมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจได้ว่าทำไมผู้เขียนบทจึงต้องทำงานหนักมาก ในการเปลี่ยนให้อนงค์ในนิยายกลายเป็นตัวละครที่ถูกดึงขึ้นมาให้ได้รับบทบาทที่เด่นพอ ๆ กันหรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับตัวเอกของเรื่อง ไม่อย่างนั้นคนดูคงจะไม่ติดตามและทิ้งละครไปอย่างรวดเร็วเป็นแน่ . แต่ส่วนที่น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะหายไปคือนิสัยรักการจดบันทึกหรือเขียนไดอารีของอนงค์ ที่ต้นฉบับหากรับรู้เรื่องราวใดมาจากปากแม่ช้อย เธอจะรีบนำมาเขียนใส่ไว้ในสมุดบันทึกประจำตัว เพื่อเก็บไว้อ่านคนเดียว ซึ่งคนอ่านก็จะสามารถทราบถึงจิตใจของเธอที่มีต่อคุณพระฯ จากสิ่งที่เธอเขียนนั่นเอง ซึ่งเป็นส่วนที่ดีมากและแทบจะไม่พบเลยในเวอร์ชันละคร นอกจากแค่ตอนที่อนงค์ทำเป็นสมุดเล่มเล็กที่มีภาพและคำแนะนำตัวเองแล้วมอบให้คุณพระฯ ซึ่งออกจะเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อภาพพจน์ที่ถูกมองจากคนอย่างคุณพระฯได้เหมือนกัน . จากนี้ต่อไปในอีกครึ่งทางที่เหลือนั้น ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่ถูกเขียนขึ้นใหม่จะเป็นไปในทิศทางไหน คุณพระฯเองก็ถูกปรับให้คล้ายจะกลายเป็นโฮล์มส์ ที่ขยายการงานให้กว้างออกไปจากในหนังสือเพื่อจะได้มีอะไรให้เล่นกับบทละครมากขึ้น จึงเป็นคุณพระฯ ที่เหมือนอยู่กันคนละโลกกับคุณพระฯในนิยาย ส่วนชัดก็กลายเป็นคนที่อ่อนแอจนปวกเปียกไม่สมกับที่เป็นทหารสักนิด และเห็นแก่ตัวเองอย่างร้ายกาจจนน่ารังเกียจไปเลย เพราะต้นฉบับนิยายนั้นชัดเปลี่ยนใจจากอนงค์มาหาจันทร ด้วยความที่ไม่ระแคะระคายมาก่อนว่าพี่ชายนั้นรักจันทรอยู่ก่อนแล้ว จึงได้ขอร้องให้พี่ช่วยไปสู่ขอจันทรแทนแม่ ส่วนด้านอื่นที่ดีงามนั้นมีคนพูดกันไปมากแล้ว จึงไม่ขอพูดซ้ำ แต่สิ่งที่อยากจะกล่าวถึงอย่างมาก ที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้เลยก็คือ ความหมายของชื่อเรื่อง "หนึ่งในร้อย" . หนึ่งในร้อย เป็นคำเปรียบถึงคนอย่างคุณพระฯ เรื่องนี้ชัดเจนแน่นอน ความดีของตัวละครนี้ สำหรับคนที่ดูละครอย่างเดียวอาจเห็นภาพได้ไม่ตรงและใสเท่าในบทประพันธ์ เพราะหนังสือมีเวลาให้ผู้เขียนได้ใส่รายละเอียด และเล่าให้คนอ่านสามารถรู้ชัดเจนถึงที่มาที่ไปแห่งความเป็นคน ซึ่งมีความเป็นสัตบุรุษคือไม่ใช่แค่ดีอย่างทั่วไปหรือดีแบบโลก ๆ เท่านั้น แต่มีความดำรงตนอยู่ในศีลและตั้งตนให้ดำรงมั่นในธรรมะที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ให้ใจไม่ไหลไปตามกระแสแห่งความต้องการที่เป็นอำนาจฝ่ายต่ำ จึงไม่ถูกชักจูงโดยง่ายจากแรงเร้าภายนอกที่มากระทบ ด้วยเหตุนี้คุณพระฯ จึงมีคุณธรรมอยู่ประจำใจเสมอ อันจะคอยคัดท้ายไม่ให้หลุดออกนอกเส้นทางดีงาม แม้นมีบางคราวที่ต้องผจญคลื่นลมพายุโหมกระหน่ำจนถึงขั้นแทบอับปาง เกือบจะไม่สามารถนำพานาวาชีวิตล่องฝ่าภัยต่อไปเหนือลำน้ำได้ แต่สุดท้ายก็รอดพ้นจากวิกฤตและได้รับผลแห่งความดีที่ทำมาด้วยความสุขใจในเบื้องปลาย . ทว่าคุณพระฯ เองก็ยังมีข้อเสียที่เด่นชัดมาก หากจะมองให้ลึกลงไป นั่นคือการที่เขาช่วยคนโดยเน้นไปที่การอนุเคราะห์ เติมเต็มความต้องการทางด้านปัจจัยสี่ให้แก่แม่และน้อง ๆ หรือคนที่รู้จัก และแม้นในคนทั่วไปเท่าที่อาชีพการงานและฐานะแห่งตนจะพอทำได้ แต่ไม่ได้ช่วยด้วยการฝึกให้คนเหล่านั้นรู้จักการช่วยเหลือตนเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าถึงคราวที่คุณพระฯ อยู่ในสถานะอันลำบากในทางใดทางหนึ่ง ที่ไม่อาจจะให้ความช่วยเหลือหรือจำต้องปฏิเสธคำขอร้อง บรรดาคนซึ่งเคยได้รับเป็นประจำจากเขามาโดยตลอด จึงเกิดความไม่พอใจ กลายเป็นความโกรธ จนหลุดแสดงอำนาจและกิเลสในใจตนให้ระเบิดออกมาอย่างกับคนเสียจริต เห็นได้จากแม่และชัดเป็นต้น . ดังนั้นการช่วยคนที่ประเสริฐเลิศยอดที่สุด ที่จะไม่กลับเป็นภัยย้อนมาทำร้ายตัวของคนซึ่งเป็นผู้ให้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องเน้นช่วยคนด้วยการให้เขารู้จักการช่วยเหลือตัวเองให้อยู่รอดได้ โดยไม่เป็นเพียงผู้ขอร่ำไปตลอดไป นั่นคือสิ่งที่ผมได้ฟังอยู่เสมอจากคำสอนของพระอาจารย์ที่เคารพศรัทธา ด้วยพรหมวิหาร 4 นั้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับคนผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ คือต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ถ้าเมตตาไม่มีประมาณแล้วขาดซึ่งปัญญากำกับ เมตตานั้นจะเป็นเช่นอาวุธที่หันกลับสู่ตนหากไม่ระวัง . คุณพระฯ เองมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะกับญาติจนถึงขั้นให้ความช่วยเหลือคือความกรุณาดังแสดงออกให้เห็น และมีจิตพลอยยินดีในเมื่อผู้อื่นได้รับความเจริญหรือผลแห่งความสำเร็จ ไม่เกิดอิจฉาริษยาประทุษร้ายกับใครแม้นเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่คุณพระฯ ยังสอบไม่ผ่านในข้ออุเบกขา คือไม่รู้จักที่จะตัดรอบ ช่วยได้เท่าที่ช่วยไหว สัตว์โลกล้วนมีวิบากแห่งตนซึ่งได้สั่งสมมาไม่ว่าทางร้ายหรือดี ไม่ใช่ต้องเอาชีวิตของเขาขึ้นมาแบกหามไว้ราวกับเป็นเรื่องของตนเองไปเสียทั้งหมด คือช่วยแล้วปล่อยวางไม่ลง แม่ก็แล้ว น้อง ๆ หลายคนและครอบครัวของน้องก็อีก จึงต้องตกที่นั่งถูกคนที่ตนให้ความช่วยเหลือนั้นวกกลับมาทำร้ายตนจนสาหัสแทบจะสิ้นลมหายใจ เป็นการเบียดเบียนตนเองซึ่งทางพุทธศาสนาไม่สรรเสริญ . ดังนั้น คนอย่างคุณพระฯ อาจหาได้ยาก ดังเช่นคำว่า "หนึ่งในร้อย" แต่คนที่หาได้ยากกว่าอาจถึงขั้น "หนึ่งในล้าน" คือคนที่เข้าใจ และเข้าถึง หลักธรรมในหมวด 4 ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงและนำมาปฏิบัติได้คือ เมตตาได้ทุกผู้แม้เป็นศัตรูของตัวเอง ช่วยเหลือได้ทุกคนเท่าที่ช่วยไหวโดยไม่เดือดร้อน มีใจร่วมยินดีเมื่อเห็นว่าเขาได้ดี ปราศจากความคิดมุ่งร้ายอยากทำลาย สุดท้ายคือไม่อนาทรร้อนใจแม้นไม่สามารถช่วยได้ ด้วยเห็นแล้วว่าไม่อาจช่วย หรือช่วยต่อไปจะเป็นโทษต่อเขาและต่อเรามากกว่า ก็ต้องปล่อยเขาไปตามทางที่เขาสร้างมา . ตอนล่าสุดเมื่อคืนยังไม่ว่างดูสดแบบเต็ม ๆ เลย แค่ผ่านตาแวบ ๆ บางฉาก แต่ก็พอเดาทิศทางได้เลา ๆ ว่าบทดัดแปลงคงจะพาอนงค์และคุณพระฯ ทะลุมิติท่องไปไกลในดินแดนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละโลกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในนิยาย ถ้าเรียกภาษาคนรุ่นใหม่คงจะใช้คำว่า ตัวละครเดียวกันแต่อยู่คนละมัลติเวิร์ส(ไม่แน่ใจสะกดเช่นนี้หรือไม่)กระมัง นี่คือส่วนที่หวั่นใจมาตลอด เพราะในสัปดาห์ก่อนที่เห็นว่าฉากสำคัญที่อยู่ตอนท้ายในนิยาย คือคุณพระล้มเจ็บ ถูกร่นขึ้นมาตั้งแต่กลางเรื่อง อีกทั้งความดราม่าที่ถูกผูกขึ้นใหม่ระหว่างตัวละคร 3-4 ตัว ก็ทำให้พอจะคาดการณ์ได้ว่า ต่อจากนี้ไปคงจะเป็นการด้นใส่อะไรต่อมิอะไรเข้ามาอีกมาก และไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน ก็ได้แต่ละเหี่ยใจ . ความดีงามของอนงค์ในหนังสือ ที่แม้นเป็นสาวสมัยใหม่ในยุคนั้น แต่ยังมีความรู้รักในเกียรติและศักดิ์ศรีของกุลสตรี ฉลาดและมีเฉลียว อีกทั้งมองคนออกอย่างเลิศ วางตัวเหมาะสมไม่ทำอะไรที่จะไปสะกิดให้คุณพระฯ นึกหยามหรือดูแคลนเอาได้ จนกระทั่งถึงเวลาที่ทุกอย่างดำเนินไปจนถึงที่สุด จึงกล้าเผยหัวใจตนให้คนที่แอบเทิดทูนบูชารับรู้ ทั้งที่ทราบอยู่แก่ใจว่าอาจทำให้คุณพระฯ มองเธอไปในแง่ไม่ดี แต่ใจที่นึกเวทนาสงสารบวกความรักที่งอกเงยมานานมันเปี่ยมล้นพ้นใจ เกินกว่าจะเก็บกลั้นไว้ภายใน จึงได้ปลดปล่อยไหลทะลักไปในครานั้น แต่แม้จะหลุดคำพูดฝากรัก หากถ้อยคำที่สื่อสารก็ยังเปี่ยมด้วยมธุรส และงดงามในภาษาที่ช่างสรรคำมาเจรจาอย่างน่าทึ่ง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นคงจะไม่อาจคาดหวังว่าจะได้พบเจอเสียแล้ว เพราะได้ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นอนงค์ในแบบฉบับที่เหมือนปล่อยให้อำนาจความรัก ชักจูงเธอไปให้คิดและทำในสิ่งซึ่งอนงค์ในนิยายจะไม่มีวันทำเป็นอันขาด น่าเสียดาย... ภาพประกอบขอยืมจากในเน็ต #thaitimes #ดอกไม้สด #ละคร #mycherieamour #วิเคราะห์ตัวละคร #วิจารณ์ละคร
    0 Comments 0 Shares 491 Views 0 Reviews
  • พระพุทธเจ้า เป็นภิกขุหัวโล้น ใครจินตนาการณ์ว่าพระพุทธองค์มีผมเหมือนก้นหอย
    พระพุทธเจ้า เป็นภิกขุหัวโล้น ใครจินตนาการณ์ว่าพระพุทธองค์มีผมเหมือนก้นหอย
    0 Comments 1 Shares 45 Views 0 Reviews
  • 23-10-67/01 : หมี CNN / ((( ขอสดุดี "พระปิยะมหาราช" )))

    - ไม่มีพ่อปิยะ มรึงกะกู อาจจะยังเป็นทาสอยู่ก็ได้ทุกวันนี้ ทาสในเมืองไทยไม่มีแล้ว มีแต่ทาสในอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล แม่งไม่พัฒนาไปไหนเลย ดีออก ล่าอาณานิคมอย่างเดียว จนวันนี้ ถูกเค้าล่าคืน สาแก่ใจอีช้อยทั่วโลก!

    - ใครกันล่ะ? ที่เปลี่ยนแผ่นดินสยามให้เทียบเคียงนานาประเทศ สาเหตุคือ ไม่ให้ชาติตะวันตกมาใช้ข้ออ้างว่าล้าหลัง แล้วเข้ามายึดเป็นชาติบริวาร หมวกต้องสวม ไม้เท้าต้องมี เสื้อต้องใส่ ไม่ได้เห่อฝรั่ง แต่ไม่ให้มันมาดูถูก

    - ลูกหลานไทยฟังเอาไว้ มรึงเกิดไม่ทัน แต่ใช่ว่ามรึงจะไม่สำนึกบุญคุณพ่อปิยะ ความเจริญด้านวัตถุ สร้างง่ายดาย แต่ความเจริญด้านจิตใจ สำคัญกว่า มรึงดูชาติตะวันตก นับวันยิ่งกว่าไร้อารยธรรม สิทธิโคตรพ่อง โคตรแม่ง อ้างกันไป เพื่อเพียงสนองตัณหาตัวเองเท่านั้น แหกกฎหมายก็ได้ ฆ่าใครก็ได้ กราดยิงก็ได้ ไล่ข่มขืนใครก็ได้ กฎหมาทั้งนั้น กฎหมายทำให้คนไม่กลายเป็นสัดเดรัจฉาน กฎหมาย ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ปชต.มาเพื่อทำลายสิ่งเหล่านี้ มรึงอย่าหลงรูป รส กลิ่น เสียงให้มาก พ่อปิยะ ท่านวางถุงเงิน ถุงแดง รับไม้ต่อจากพ่อร.4 เพื่อการณ์ใหญ่ในวันข้างหน้า มาจนถึงพ่อร.10 คลังไทยถึงมีทองคำล้นพระคลัง จนมรึงจินตนาการไม่ออกดอกว่า มหาศาล! แต่ชาติปชต.จน อดอยาก เพราะก่อแต่สงคราม ไล่ล่าไม่รู้จบ หาสันติสุขไม่ได้

    - ใครที่ทำให้พ่อปิยะของกูและมรึง ต้องทนทุกข์ใจ ต้องยอมแบ่งดินแดนส่วนน้อยเพื่อรักษาพื้นแผ่นดินหลักเอาไว้ กูมิลืมเลือน จากนี้ไป นับตั้งแต่พ่อร.10 เราจะดูดคืนทุกอย่างที่เสียไป กลับคืนมา มากกว่าเดิม ยิ่งใหญ่กว่าเดิม จะไม่ทำให้พ่อปิยะ ต้องเสียใจอีกแล้ว พ่อปิยะต้องภาคภูมิใจในลูกหลานราชวงศ์จักรีแน่นอน เพราะไทยเราหรือสยามประเทศ จะกลายเป็นมหาอำนาจอาเซียนในเร็ววันนี้ TOP10 ที่นานาชาติจะต้องเกรงใจ ไม่ต้องไปปล้นแผ่นดินเค้า ไม่ต้องใช้กำลัง ชนเผ่ารอบทิศแผ่นดินจะขอมาอาศัยอยู่ ใต้ร่มโพธิ์ของพ่อหลวงชัวร์ เราจะขยายพื้นที่โดยการค้า และผนวกดินแดนเพิ่มไปเรื่อยๆ จากความสมัครใจของเพื่อนบ้าน รวมกันเราอยู่ รวมกันเราโต เพราะรากฐานการปกครองไทย พ่อปกครองลูก เป็นที่ยืนยันแน่ชัดแล้วว่า "ดีที่สุดในโลก" เชิญเอาปชต.ตอแหลอัปรีย์จัญไร ไปไกลๆ ส้นตรีนคนไทยซะ

    - นับตั้งแต่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ชี้ให้เห็นชัดว่า พระอัจฉริยะภาพของพ่อหลวงท่านทุกพระองค์ สุดยอดแห่งแนวทางการปกครอง ที่ยืดหยุ่น และเมตตาธรรม ราชวงศ์จักรีถือกำเนิดบนโลก และจะกลายเป็นราชวงศ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในทุกราชวงศ์ที่เคยมีมา รวมทั้งเป็นต้นแบบโมเดล เรียกคืนราชวงศ์ต่างๆ ทั่วโลก ให้ฟื้นคืนชีพ หลังถูกปชต.จอมปลอมหลอกแดร๊กควายมาปั่นกว่าศตวรรษ ปชต.คืออียิวมันคิด เพื่อให้ควบคุมโลก ใครยังเสพปชต.อยู่ ชาตินี้ มรึงไม่มีวันได้เห็นฟ้าสีทองผ่องอำไพ แม้แต่รัสเซีย จีน ไม่มีระบบกษัตริย์แล้ว แต่สิ่งที่ปูติน สีจิ้นผิง ทำนั้น คือ "รูปแบบพ่อปกครองลูก" ชัดเจน ปูตินมาเยือนพ่อร.9 รู้เห็นทุกอย่าง เข้าใจ จึงนำไปปฎิบัติใช้จนได้ผล กลับมาส่งออกข้าวสาลีมากที่สุดในโลก ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ส่วนสีจิ้นผิง ปฎิวัติแผ่นดินครั้งใหญ่ กวาดล้างบางคอรัปชั่น ใหญ่แค่ไหนก็แค่ใต้ตรีนพรรคคอมมิวนิสค์จีน ชัดเจนว่า ผู้นำดี ชาติเจริญ ปูติน และสีจิ้นผิง เปรียบเหมือนบิดาแห่งชาติ ที่เอาส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เอาแผ่นดินมาตุภูมิมาเป็นตัวกำหนด ทุกการกระทำ นี่คืออัตลักษณ์ของผู้นำแบบพ่อปกครองลูก เราถึงเข้ากันได้ดี เพราะเคมีมันใช่เลย ตรงกันเป๊ะเด๊ะ!

    - พ่อปิยะ คือผู้นำการเปลี่ยนสยามประเทศครั้งใหญ่ เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จะถูกเค้ากลืนหรือจะเป็นพวกเดียวกับเค้า ทัดเทียมกัน พ่อทำสำเร็จอย่างงดงาม ไทยเราเจริญเทียบเท่าญี่ปุ่นในยุคนั้น ธรรมดาที่ไหน การสื่อสาร ขนส่ง การค้า ระเบียบสากลมาเต็ม ลูกหลานไทยไปนอก สั่งสอน มรึงคือคนไทย กูไม่ได้ส่งมรึงไปให้เป็นฝรั่ง แต่กูให้มรึงสำเหนียกเอาไว้ว่า มรึงคือคนไทยที่มีความรู้เทียบเท่าฝรั่ง ไม่ให้มันมาเอาเปรียบเราได้ รู้ทันโลก 23 ตุลาคม คือวันคล้ายวันสวรรคตของพ่อท่าน เราลูกหลานอโยธยาทุกไอ้อี ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ไม่มีพ่อท่าน เราคงตายห่าไปนานแล้ว ไม่มีพ่อท่าน คงไม่มีพ่อหลวงร.7 ร.9 ที่ฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการ ขอบคุณแผ่นดินสวรรค์ ที่ได้ส่งพระอัฉริยะภาพพ่อหลวงทุกพระองค์มาปกครองแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองนี้ มรึงและกู โคตรจะมีบุญ ที่ได้มาเกิดในยุครัชสมัยพ่อร.9 "ยุคแห่งพระคุณ" และยิ่งมีบุญมากขึ้น ที่ได้ยังอยู่เห็น "ยุคพระเดช" ในรัชสมัยพ่อร.10 ดังนั้น คน 2 แผ่นดิน ไม่รักพ่อ แล้วจะให้ไปรักใครได้อีก

    ขอเชิดชู ทุกการกระทำ ทุกการเสียสละ ทุกความเพียร และการตัดสินใจครั้งใหญ่ ครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์โลก ไม่มีพ่อปิยะ ก็คงไม่มีสยามประเทศในวันนี้ ไม่มีราชวงศ์จักรี ก็คงไม่มีลูกหลานไทยให้สืบต่อไปจนชั่วกาลปาวสาน จงรักสถาบันสูงสุดยิ่งกว่าชีวิตมรึง เพราะแผ่นดินนี้ ไม่มีกษัตริย์ ไม่ได้ แผ่นดินนี้ คือแผ่นดินสวรรค์ ไอ้อี ใครคิดร้าย มรึงจะถูกธรณีสูบลงขุมนรก โดนไฟนรกแผดเผาไปตลอดกาล ทำดี ต้องได้ดี ทำเหี้ย ต้องชดใช้กรรมไม่สิ้นสุด หยุด ลด ละ เลิก ตั้งสติ และแผ่เมตตาธรรมให้ทั่วหล้า อานิสงค์แห่งบุญนี้ จะทำให้เหี้ยไอ้อีทุกตัวมันร้อนจนอยู่ต่อไม่ได้ ต้องเผ่นออกนอกกันจนหมดสิ้น ขอราชวงศ์จักรี เจริญรุ่งเรือง ไปตลอดกาลเถิด ลูกหลานไทย จะรักษาคำมั่นเอาไว้ จากลูกสู่หลาน ส่งต่อปณิธานของพ่อไม่สิ้นสุด

    หมี CNN(รักพ่อปิยะ กุหลาบแดงจัดมา บุหรี่ เหล้าพร้อมเพรียง กราบไหว้ท่าน ระลึกถึงท่าน แสดงให้ท่านรู้ ว่าพระคุณของท่านยิ่งใหญ่ ลูกหลานไทยไม่เคยลืมเลือน ปลดแอกทาส พ่อทำให้ เพื่อให้อิสระพวกมรึง อิสรภาพ เสรีภาพ ของจริงคือแผ่นดินนี้ หาใช่อเมริกา อังกฤษ ตะวันตก ตอแหล อย่าถูกเหี้ยหลอกง่าย ลูกพ่อหลวง เก่ง ฉลาด มีสติ มีปัญญา มากกว่าพวกมันเยอะ เพราะพวกเราคือคนของสวรรค์นั่นเอง ถึงได้อยู่ในแผ่นดินร่มเย็นนี้ได้)
    23 ตุลาคม 67(วันคล้ายวันสวรรคต สมเด็จพ่อปิยะ ที่รักของปวงชนชาวไทย)
    09.55 น.

    https://linevoom.line.me/post/1172965228578622743
    23-10-67/01 : หมี CNN / ((( ขอสดุดี "พระปิยะมหาราช" ))) - ไม่มีพ่อปิยะ มรึงกะกู อาจจะยังเป็นทาสอยู่ก็ได้ทุกวันนี้ ทาสในเมืองไทยไม่มีแล้ว มีแต่ทาสในอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล แม่งไม่พัฒนาไปไหนเลย ดีออก ล่าอาณานิคมอย่างเดียว จนวันนี้ ถูกเค้าล่าคืน สาแก่ใจอีช้อยทั่วโลก! - ใครกันล่ะ? ที่เปลี่ยนแผ่นดินสยามให้เทียบเคียงนานาประเทศ สาเหตุคือ ไม่ให้ชาติตะวันตกมาใช้ข้ออ้างว่าล้าหลัง แล้วเข้ามายึดเป็นชาติบริวาร หมวกต้องสวม ไม้เท้าต้องมี เสื้อต้องใส่ ไม่ได้เห่อฝรั่ง แต่ไม่ให้มันมาดูถูก - ลูกหลานไทยฟังเอาไว้ มรึงเกิดไม่ทัน แต่ใช่ว่ามรึงจะไม่สำนึกบุญคุณพ่อปิยะ ความเจริญด้านวัตถุ สร้างง่ายดาย แต่ความเจริญด้านจิตใจ สำคัญกว่า มรึงดูชาติตะวันตก นับวันยิ่งกว่าไร้อารยธรรม สิทธิโคตรพ่อง โคตรแม่ง อ้างกันไป เพื่อเพียงสนองตัณหาตัวเองเท่านั้น แหกกฎหมายก็ได้ ฆ่าใครก็ได้ กราดยิงก็ได้ ไล่ข่มขืนใครก็ได้ กฎหมาทั้งนั้น กฎหมายทำให้คนไม่กลายเป็นสัดเดรัจฉาน กฎหมาย ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ปชต.มาเพื่อทำลายสิ่งเหล่านี้ มรึงอย่าหลงรูป รส กลิ่น เสียงให้มาก พ่อปิยะ ท่านวางถุงเงิน ถุงแดง รับไม้ต่อจากพ่อร.4 เพื่อการณ์ใหญ่ในวันข้างหน้า มาจนถึงพ่อร.10 คลังไทยถึงมีทองคำล้นพระคลัง จนมรึงจินตนาการไม่ออกดอกว่า มหาศาล! แต่ชาติปชต.จน อดอยาก เพราะก่อแต่สงคราม ไล่ล่าไม่รู้จบ หาสันติสุขไม่ได้ - ใครที่ทำให้พ่อปิยะของกูและมรึง ต้องทนทุกข์ใจ ต้องยอมแบ่งดินแดนส่วนน้อยเพื่อรักษาพื้นแผ่นดินหลักเอาไว้ กูมิลืมเลือน จากนี้ไป นับตั้งแต่พ่อร.10 เราจะดูดคืนทุกอย่างที่เสียไป กลับคืนมา มากกว่าเดิม ยิ่งใหญ่กว่าเดิม จะไม่ทำให้พ่อปิยะ ต้องเสียใจอีกแล้ว พ่อปิยะต้องภาคภูมิใจในลูกหลานราชวงศ์จักรีแน่นอน เพราะไทยเราหรือสยามประเทศ จะกลายเป็นมหาอำนาจอาเซียนในเร็ววันนี้ TOP10 ที่นานาชาติจะต้องเกรงใจ ไม่ต้องไปปล้นแผ่นดินเค้า ไม่ต้องใช้กำลัง ชนเผ่ารอบทิศแผ่นดินจะขอมาอาศัยอยู่ ใต้ร่มโพธิ์ของพ่อหลวงชัวร์ เราจะขยายพื้นที่โดยการค้า และผนวกดินแดนเพิ่มไปเรื่อยๆ จากความสมัครใจของเพื่อนบ้าน รวมกันเราอยู่ รวมกันเราโต เพราะรากฐานการปกครองไทย พ่อปกครองลูก เป็นที่ยืนยันแน่ชัดแล้วว่า "ดีที่สุดในโลก" เชิญเอาปชต.ตอแหลอัปรีย์จัญไร ไปไกลๆ ส้นตรีนคนไทยซะ - นับตั้งแต่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ชี้ให้เห็นชัดว่า พระอัจฉริยะภาพของพ่อหลวงท่านทุกพระองค์ สุดยอดแห่งแนวทางการปกครอง ที่ยืดหยุ่น และเมตตาธรรม ราชวงศ์จักรีถือกำเนิดบนโลก และจะกลายเป็นราชวงศ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในทุกราชวงศ์ที่เคยมีมา รวมทั้งเป็นต้นแบบโมเดล เรียกคืนราชวงศ์ต่างๆ ทั่วโลก ให้ฟื้นคืนชีพ หลังถูกปชต.จอมปลอมหลอกแดร๊กควายมาปั่นกว่าศตวรรษ ปชต.คืออียิวมันคิด เพื่อให้ควบคุมโลก ใครยังเสพปชต.อยู่ ชาตินี้ มรึงไม่มีวันได้เห็นฟ้าสีทองผ่องอำไพ แม้แต่รัสเซีย จีน ไม่มีระบบกษัตริย์แล้ว แต่สิ่งที่ปูติน สีจิ้นผิง ทำนั้น คือ "รูปแบบพ่อปกครองลูก" ชัดเจน ปูตินมาเยือนพ่อร.9 รู้เห็นทุกอย่าง เข้าใจ จึงนำไปปฎิบัติใช้จนได้ผล กลับมาส่งออกข้าวสาลีมากที่สุดในโลก ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ส่วนสีจิ้นผิง ปฎิวัติแผ่นดินครั้งใหญ่ กวาดล้างบางคอรัปชั่น ใหญ่แค่ไหนก็แค่ใต้ตรีนพรรคคอมมิวนิสค์จีน ชัดเจนว่า ผู้นำดี ชาติเจริญ ปูติน และสีจิ้นผิง เปรียบเหมือนบิดาแห่งชาติ ที่เอาส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เอาแผ่นดินมาตุภูมิมาเป็นตัวกำหนด ทุกการกระทำ นี่คืออัตลักษณ์ของผู้นำแบบพ่อปกครองลูก เราถึงเข้ากันได้ดี เพราะเคมีมันใช่เลย ตรงกันเป๊ะเด๊ะ! - พ่อปิยะ คือผู้นำการเปลี่ยนสยามประเทศครั้งใหญ่ เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จะถูกเค้ากลืนหรือจะเป็นพวกเดียวกับเค้า ทัดเทียมกัน พ่อทำสำเร็จอย่างงดงาม ไทยเราเจริญเทียบเท่าญี่ปุ่นในยุคนั้น ธรรมดาที่ไหน การสื่อสาร ขนส่ง การค้า ระเบียบสากลมาเต็ม ลูกหลานไทยไปนอก สั่งสอน มรึงคือคนไทย กูไม่ได้ส่งมรึงไปให้เป็นฝรั่ง แต่กูให้มรึงสำเหนียกเอาไว้ว่า มรึงคือคนไทยที่มีความรู้เทียบเท่าฝรั่ง ไม่ให้มันมาเอาเปรียบเราได้ รู้ทันโลก 23 ตุลาคม คือวันคล้ายวันสวรรคตของพ่อท่าน เราลูกหลานอโยธยาทุกไอ้อี ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ไม่มีพ่อท่าน เราคงตายห่าไปนานแล้ว ไม่มีพ่อท่าน คงไม่มีพ่อหลวงร.7 ร.9 ที่ฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการ ขอบคุณแผ่นดินสวรรค์ ที่ได้ส่งพระอัฉริยะภาพพ่อหลวงทุกพระองค์มาปกครองแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองนี้ มรึงและกู โคตรจะมีบุญ ที่ได้มาเกิดในยุครัชสมัยพ่อร.9 "ยุคแห่งพระคุณ" และยิ่งมีบุญมากขึ้น ที่ได้ยังอยู่เห็น "ยุคพระเดช" ในรัชสมัยพ่อร.10 ดังนั้น คน 2 แผ่นดิน ไม่รักพ่อ แล้วจะให้ไปรักใครได้อีก ขอเชิดชู ทุกการกระทำ ทุกการเสียสละ ทุกความเพียร และการตัดสินใจครั้งใหญ่ ครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์โลก ไม่มีพ่อปิยะ ก็คงไม่มีสยามประเทศในวันนี้ ไม่มีราชวงศ์จักรี ก็คงไม่มีลูกหลานไทยให้สืบต่อไปจนชั่วกาลปาวสาน จงรักสถาบันสูงสุดยิ่งกว่าชีวิตมรึง เพราะแผ่นดินนี้ ไม่มีกษัตริย์ ไม่ได้ แผ่นดินนี้ คือแผ่นดินสวรรค์ ไอ้อี ใครคิดร้าย มรึงจะถูกธรณีสูบลงขุมนรก โดนไฟนรกแผดเผาไปตลอดกาล ทำดี ต้องได้ดี ทำเหี้ย ต้องชดใช้กรรมไม่สิ้นสุด หยุด ลด ละ เลิก ตั้งสติ และแผ่เมตตาธรรมให้ทั่วหล้า อานิสงค์แห่งบุญนี้ จะทำให้เหี้ยไอ้อีทุกตัวมันร้อนจนอยู่ต่อไม่ได้ ต้องเผ่นออกนอกกันจนหมดสิ้น ขอราชวงศ์จักรี เจริญรุ่งเรือง ไปตลอดกาลเถิด ลูกหลานไทย จะรักษาคำมั่นเอาไว้ จากลูกสู่หลาน ส่งต่อปณิธานของพ่อไม่สิ้นสุด หมี CNN(รักพ่อปิยะ กุหลาบแดงจัดมา บุหรี่ เหล้าพร้อมเพรียง กราบไหว้ท่าน ระลึกถึงท่าน แสดงให้ท่านรู้ ว่าพระคุณของท่านยิ่งใหญ่ ลูกหลานไทยไม่เคยลืมเลือน ปลดแอกทาส พ่อทำให้ เพื่อให้อิสระพวกมรึง อิสรภาพ เสรีภาพ ของจริงคือแผ่นดินนี้ หาใช่อเมริกา อังกฤษ ตะวันตก ตอแหล อย่าถูกเหี้ยหลอกง่าย ลูกพ่อหลวง เก่ง ฉลาด มีสติ มีปัญญา มากกว่าพวกมันเยอะ เพราะพวกเราคือคนของสวรรค์นั่นเอง ถึงได้อยู่ในแผ่นดินร่มเย็นนี้ได้) 23 ตุลาคม 67(วันคล้ายวันสวรรคต สมเด็จพ่อปิยะ ที่รักของปวงชนชาวไทย) 09.55 น. https://linevoom.line.me/post/1172965228578622743
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • หกทักษะของสุภาพบุรุษ ตอน 3 ‘เซ่อ’ และ ‘อวี้’

    วันนี้มาคุยกันต่อถึงหกทักษะของสุภาพบุรุษในตระกูลสูงศักดิ์หรือ ‘จวินจื่อลิ่วอี้’ (君子六艺 ) (หมายเหตุ อี้ แปลได้ว่าทักษะความสามารถ) ซึ่งถูกกล่าวถึงในหลากหลายละครและนิยายจีนโบราณ และเป็นพื้นฐานความรู้ด้านต่างๆ

    ในบันทึกโจวหลี่ระบุไว้ว่า หกทักษะนี้ในรายละเอียดแบ่งเป็น ห้าพิธีการ (หลี่/礼) หกดนตรี (เยวี่ย/乐) ห้าธนู (เซ่อ/射) ห้าขับขี่ (อวี้/御) หกอักษร (ซู/书) และเก้าคำนวณ (ซู่/数) เราคุยกันไปแล้วถึงสองทักษะ วันนี้มาคุยกันต่อค่ะ

    ทักษะที่สามก็คือทักษะยิงธนู เป็นพื้นฐานการฝึกฝนด้านสมาธิ การตัดสินใจและพละกำลัง

    เรามักเห็นในซีรีส์เวลาแสดงความสามารถด้านการธนูที่ทำให้ผู้ชมร้องว้าวว่า เป็นการยิงสามดอกในทีเดียวหรือยิงซ้อนดอกแรกทะลุเข้าเป้า จริงๆ แล้วทักษะการยิงธนูห้าแบบตามหลักการโบราณคืออะไร?

    การยิงธนูห้าแบบตามตำราสรุปได้คือ:
    (1) ไป๋สื่อ (白矢) คือการยิงที่เน้นความแม่นยำและพละกำลัง โจทย์ของมันก็คือยิงตรงๆ ให้เข้าเป้าอย่างแรงจนทะลุเป้าออกไปเห็นหัวลูกศรโผล่ออกมาที่ด้านหลัง เป็นที่มาของคำว่า ‘ไป๋สื่อ’ ซึ่งแปลตรงตัวว่าหัวธนูสีขาว
    (2) ชานเหลียน (参连) เป็นการยิงตรงๆ หนึ่งดอกให้เข้าเป้า แล้วค่อยตามติดรัวๆ อีกสามดอก โดยแต่ละดอกจะปักเข้าที่ปลายท้ายของธนูดอกก่อนหน้านั้น เรียงกันเป็นแถวตรงยาว ไม่เอนเอียง ซึ่งนั่นหมายความว่าดอกแรกต้องฝังลึกพอที่จะยึดน้ำหนักของธนูได้สี่ดอก และดอกหลังๆ ก็ต้องฝังลึกพอที่ยึดน้ำหนักได้เช่นกัน เรียกได้ว่าการยิงแบบนี้ต้องทั้งแม่น ตรงและแรง
    (3) เหยียนจู้ (剡注) เป็นการยิงขึ้นสูงให้วิถีของธนูโค้งขึ้นแล้วปักลงกลางเป้าโดยมีลักษณะหางชี้เอียงขึ้น มีการบรรยายไว้ว่าเป็นการยิงอย่างเร็ว (คือไม่เล็งนาน) และแรงจนได้ยินเสียงเสียดสีของปีกธนูดังหวิวๆ ดั่งเสียงร้องของนก
    (4) เซียงฉื่อ (襄尺) เป็นหลักปฏิบัติยามข้าราชสำนักยิงธนูพร้อมกับกษัตริย์ ให้ข้าราชสำนักถอยหลังหนึ่งฉื่อ (ประมาณ 10 นิ้ว) เพื่อแสดงถึงความเคารพ ไม่มีข้อมูลมากกว่านี้ แต่มันทำให้ Storyฯ อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าอย่างนี้เวลาเราฝึกก็ต้องฝึกให้แม่นทั้งสองระยะ แม้ว่าระยะทั้งสองจะแตกต่างกันเพียงประมาณไม่ถึงฟุต
    (5) จิ่งอี๋ (井儀) เป็นการยิงที่ยากที่สุด คือการยิงรัวๆ สี่ดอก ทุกดอกทะลุเป้าจนเห็นหัวลูกศรโผล่ออกมาด้านหลังของเป้า ธนูสี่ดอกปักเรียงกันเป็นสี่เหลี่ยมพอดีดั่งสี่เหลี่ยมในตัวอักษร ‘จิ่ง’ (井) หรือหากยิงนก คือยิงได้เรียงกันเป็นสี่เหลี่ยมบนตัวนกเช่นกัน

    ต่อมาคือทักษะที่สี่ ‘อวี้’ ซึ่งหมายถึงทักษะการขับรถและหมายรวมถึงทักษะการทำศึกหรือล่าสัตว์ด้วยรถ จากรูปประกอบจะเห็นว่ารถม้าส่วนใหญ่ในสมัยนั้นเป็นรถแบบไม่มีประทุน การฝึกฝนทักษะนี้เป็นการฝึกความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและปลูกฝังความใส่ใจและความรับผิดชอบต่อผู้อื่นด้วย

    การขับรถม้าทั้งห้าแบบนี้คือ
    (1) หมิงเหอหลวน (鸣和鸾) เป็นการขับรถให้กับผู้ที่สูงศักดิ์นั่ง เช่นกษัตริย์ โดย ‘เหอ’ ในที่นี้หมายถึงกระดิ่งที่แขวนไว้บนราวจับมือของผู้โดยสารและ ‘หลวน’ คือกระดิ่งที่แขวนอยู่บนแอกเหนือตัวสัตว์ที่ลากรถ และการขับรถม้าแบบที่เรียกว่า ‘หมิงเหอหลวน’ นี้ คือขับรถอย่างเสถียรนิ่มนวลให้จังหวะเดินของสัตว์และจังหวะการโยกหรือกระเด้งของตัวรถเป็นจังหวะเดียวกัน เพื่อว่าเสียงกระดิ่งทั้งสองนี้จะดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
    (2) จู๋สุ่ยชวี (逐水曲) เป็นการขับรถให้โค้งตามขอบน้ำที่คดเคี้ยวได้โดยไม่ให้รถเสียศูนย์หรือร่วงลงน้ำ ซึ่งเป็นการฝึกให้สามารถบังคับรถม้าในยามที่ต้องเลี้ยวไปเลี้ยวมาในสภาวะฉุกเฉิน
    (3) กั้วจวินเปี่ยว (过君表) เป็นการขับรถผ่านซุ้มประตูที่มีปักธงไว้ (ปกติบ่งบอกว่าเป็นทางเดินรถของขบวนเสด็จ) ซึ่งจะมีการวางหมุดหรือดุมหินให้ยื่นออกมาคุ้มกันธงที่เสาประตูทั้งสองข้าง และทักษะนี้คือการขับรถผ่านซุ้มประตูโดยไม่ชนดุมหินของเสาประตูนี้ ว่ากันว่าขนาดของรถและซุ้มประตูสมัยนั้นจะทำให้เหลือช่องไฟระหว่างดุมล้อและหินกันธงเพียงข้างละห้านิ้วเท่านั้น
    (4) อู่เจียวฉวี (舞交衢) คือการบังคับให้รถเลี้ยวเมื่อถึงทางแยกของถนนได้อย่างเร็วและมีจังหวะประหนึ่งหมุนตัวเต้นรำ ซึ่ง Storyฯ ก็นึกภาพไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ก็จินตนาการเอาเองว่าก็คงเหมือนเวลาที่เรากะจังหวะรถให้เลี้ยวโค้งได้อย่างเร็วโดยไม่เสียศูนย์กระมัง
    (5) จู๋ฉินจั่ว (逐禽左) เป็นเทคนิคในการขับรถล่าสัตว์ โดยต้อนสัตว์ให้ไปอยู่ทางซ้ายของรถแล้วค่อยยิงด้วยธนู นี่เป็นการฝึกปรือเพื่อใช้จริงในการศึกด้วย

    เป็นอย่างไรคะ ไม่ง่ายเลยทั้งการยิงธนูและการขับรถ เพื่อนเพจว่าไหม? เรามาคุยกันต่อเกี่ยวกับทักษะที่เหลือสัปดาห์หน้าค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://guoxue.ifeng.com/c/7qhsbaO24FU
    https://www.sohu.com/a/716142814_116162
    https://sports.sina.cn/others/mashu/2017-07-07/detail-ifyhwehx5318583.d.html
    https://www.sgss8.net/tpdq/10845310/1.htm
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/六艺/238715
    https://mychistory.com/a001-2/11-04
    https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_20109083
    http://www.leafarchery.com/nd.jsp?fromColId=105&id=3
    https://kknews.cc/car/p88yjrp.html
    https://www.sohu.com/a/459650524_121052969

    #กำเนิดเทพเจ้า #เฟิงเสิน #องค์หญิงใหญ่ #ทักษะสุภาพบุรุษจีน #ศิลปะสุภาพบุรุษจีน #คำสอนขงจื๊อ #จวินจื่อลิ่วอี้ #สาระจีน

    หกทักษะของสุภาพบุรุษ ตอน 3 ‘เซ่อ’ และ ‘อวี้’ วันนี้มาคุยกันต่อถึงหกทักษะของสุภาพบุรุษในตระกูลสูงศักดิ์หรือ ‘จวินจื่อลิ่วอี้’ (君子六艺 ) (หมายเหตุ อี้ แปลได้ว่าทักษะความสามารถ) ซึ่งถูกกล่าวถึงในหลากหลายละครและนิยายจีนโบราณ และเป็นพื้นฐานความรู้ด้านต่างๆ ในบันทึกโจวหลี่ระบุไว้ว่า หกทักษะนี้ในรายละเอียดแบ่งเป็น ห้าพิธีการ (หลี่/礼) หกดนตรี (เยวี่ย/乐) ห้าธนู (เซ่อ/射) ห้าขับขี่ (อวี้/御) หกอักษร (ซู/书) และเก้าคำนวณ (ซู่/数) เราคุยกันไปแล้วถึงสองทักษะ วันนี้มาคุยกันต่อค่ะ ทักษะที่สามก็คือทักษะยิงธนู เป็นพื้นฐานการฝึกฝนด้านสมาธิ การตัดสินใจและพละกำลัง เรามักเห็นในซีรีส์เวลาแสดงความสามารถด้านการธนูที่ทำให้ผู้ชมร้องว้าวว่า เป็นการยิงสามดอกในทีเดียวหรือยิงซ้อนดอกแรกทะลุเข้าเป้า จริงๆ แล้วทักษะการยิงธนูห้าแบบตามหลักการโบราณคืออะไร? การยิงธนูห้าแบบตามตำราสรุปได้คือ: (1) ไป๋สื่อ (白矢) คือการยิงที่เน้นความแม่นยำและพละกำลัง โจทย์ของมันก็คือยิงตรงๆ ให้เข้าเป้าอย่างแรงจนทะลุเป้าออกไปเห็นหัวลูกศรโผล่ออกมาที่ด้านหลัง เป็นที่มาของคำว่า ‘ไป๋สื่อ’ ซึ่งแปลตรงตัวว่าหัวธนูสีขาว (2) ชานเหลียน (参连) เป็นการยิงตรงๆ หนึ่งดอกให้เข้าเป้า แล้วค่อยตามติดรัวๆ อีกสามดอก โดยแต่ละดอกจะปักเข้าที่ปลายท้ายของธนูดอกก่อนหน้านั้น เรียงกันเป็นแถวตรงยาว ไม่เอนเอียง ซึ่งนั่นหมายความว่าดอกแรกต้องฝังลึกพอที่จะยึดน้ำหนักของธนูได้สี่ดอก และดอกหลังๆ ก็ต้องฝังลึกพอที่ยึดน้ำหนักได้เช่นกัน เรียกได้ว่าการยิงแบบนี้ต้องทั้งแม่น ตรงและแรง (3) เหยียนจู้ (剡注) เป็นการยิงขึ้นสูงให้วิถีของธนูโค้งขึ้นแล้วปักลงกลางเป้าโดยมีลักษณะหางชี้เอียงขึ้น มีการบรรยายไว้ว่าเป็นการยิงอย่างเร็ว (คือไม่เล็งนาน) และแรงจนได้ยินเสียงเสียดสีของปีกธนูดังหวิวๆ ดั่งเสียงร้องของนก (4) เซียงฉื่อ (襄尺) เป็นหลักปฏิบัติยามข้าราชสำนักยิงธนูพร้อมกับกษัตริย์ ให้ข้าราชสำนักถอยหลังหนึ่งฉื่อ (ประมาณ 10 นิ้ว) เพื่อแสดงถึงความเคารพ ไม่มีข้อมูลมากกว่านี้ แต่มันทำให้ Storyฯ อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าอย่างนี้เวลาเราฝึกก็ต้องฝึกให้แม่นทั้งสองระยะ แม้ว่าระยะทั้งสองจะแตกต่างกันเพียงประมาณไม่ถึงฟุต (5) จิ่งอี๋ (井儀) เป็นการยิงที่ยากที่สุด คือการยิงรัวๆ สี่ดอก ทุกดอกทะลุเป้าจนเห็นหัวลูกศรโผล่ออกมาด้านหลังของเป้า ธนูสี่ดอกปักเรียงกันเป็นสี่เหลี่ยมพอดีดั่งสี่เหลี่ยมในตัวอักษร ‘จิ่ง’ (井) หรือหากยิงนก คือยิงได้เรียงกันเป็นสี่เหลี่ยมบนตัวนกเช่นกัน ต่อมาคือทักษะที่สี่ ‘อวี้’ ซึ่งหมายถึงทักษะการขับรถและหมายรวมถึงทักษะการทำศึกหรือล่าสัตว์ด้วยรถ จากรูปประกอบจะเห็นว่ารถม้าส่วนใหญ่ในสมัยนั้นเป็นรถแบบไม่มีประทุน การฝึกฝนทักษะนี้เป็นการฝึกความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและปลูกฝังความใส่ใจและความรับผิดชอบต่อผู้อื่นด้วย การขับรถม้าทั้งห้าแบบนี้คือ (1) หมิงเหอหลวน (鸣和鸾) เป็นการขับรถให้กับผู้ที่สูงศักดิ์นั่ง เช่นกษัตริย์ โดย ‘เหอ’ ในที่นี้หมายถึงกระดิ่งที่แขวนไว้บนราวจับมือของผู้โดยสารและ ‘หลวน’ คือกระดิ่งที่แขวนอยู่บนแอกเหนือตัวสัตว์ที่ลากรถ และการขับรถม้าแบบที่เรียกว่า ‘หมิงเหอหลวน’ นี้ คือขับรถอย่างเสถียรนิ่มนวลให้จังหวะเดินของสัตว์และจังหวะการโยกหรือกระเด้งของตัวรถเป็นจังหวะเดียวกัน เพื่อว่าเสียงกระดิ่งทั้งสองนี้จะดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน (2) จู๋สุ่ยชวี (逐水曲) เป็นการขับรถให้โค้งตามขอบน้ำที่คดเคี้ยวได้โดยไม่ให้รถเสียศูนย์หรือร่วงลงน้ำ ซึ่งเป็นการฝึกให้สามารถบังคับรถม้าในยามที่ต้องเลี้ยวไปเลี้ยวมาในสภาวะฉุกเฉิน (3) กั้วจวินเปี่ยว (过君表) เป็นการขับรถผ่านซุ้มประตูที่มีปักธงไว้ (ปกติบ่งบอกว่าเป็นทางเดินรถของขบวนเสด็จ) ซึ่งจะมีการวางหมุดหรือดุมหินให้ยื่นออกมาคุ้มกันธงที่เสาประตูทั้งสองข้าง และทักษะนี้คือการขับรถผ่านซุ้มประตูโดยไม่ชนดุมหินของเสาประตูนี้ ว่ากันว่าขนาดของรถและซุ้มประตูสมัยนั้นจะทำให้เหลือช่องไฟระหว่างดุมล้อและหินกันธงเพียงข้างละห้านิ้วเท่านั้น (4) อู่เจียวฉวี (舞交衢) คือการบังคับให้รถเลี้ยวเมื่อถึงทางแยกของถนนได้อย่างเร็วและมีจังหวะประหนึ่งหมุนตัวเต้นรำ ซึ่ง Storyฯ ก็นึกภาพไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ก็จินตนาการเอาเองว่าก็คงเหมือนเวลาที่เรากะจังหวะรถให้เลี้ยวโค้งได้อย่างเร็วโดยไม่เสียศูนย์กระมัง (5) จู๋ฉินจั่ว (逐禽左) เป็นเทคนิคในการขับรถล่าสัตว์ โดยต้อนสัตว์ให้ไปอยู่ทางซ้ายของรถแล้วค่อยยิงด้วยธนู นี่เป็นการฝึกปรือเพื่อใช้จริงในการศึกด้วย เป็นอย่างไรคะ ไม่ง่ายเลยทั้งการยิงธนูและการขับรถ เพื่อนเพจว่าไหม? เรามาคุยกันต่อเกี่ยวกับทักษะที่เหลือสัปดาห์หน้าค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://guoxue.ifeng.com/c/7qhsbaO24FU https://www.sohu.com/a/716142814_116162 https://sports.sina.cn/others/mashu/2017-07-07/detail-ifyhwehx5318583.d.html https://www.sgss8.net/tpdq/10845310/1.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/六艺/238715 https://mychistory.com/a001-2/11-04 https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_20109083 http://www.leafarchery.com/nd.jsp?fromColId=105&id=3 https://kknews.cc/car/p88yjrp.html https://www.sohu.com/a/459650524_121052969 #กำเนิดเทพเจ้า #เฟิงเสิน #องค์หญิงใหญ่ #ทักษะสุภาพบุรุษจีน #ศิลปะสุภาพบุรุษจีน #คำสอนขงจื๊อ #จวินจื่อลิ่วอี้ #สาระจีน
    GUOXUE.IFENG.COM
    由器见道:儒家其实很“文艺”
    由器见道:儒家其实很“文艺”
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
  • น้ำตกปาโจ ตั้งอยู่ที่บ้านปาโจ ตำบลบาเจาะ อำเภอบาเจาะ สถานที่ท่องเที่ยวอันลือชื่อแห่งหนึ่งของ จ.นราธิวาส เป็นส่วนหนึ่งของอุทยาน แห่งชาติบูโด – สุไหงปาดี น้ำตกปาโจ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ของผืนป่าบูโดที่มีน้ำตลอดปี แต่ในหน้าแล้งน้ำค่อนข้างน้อย ตัวน้ำตกมี 4 ชั้น ชั้นแรกมีขนาดใหญ่และสวยที่สุด สายน้ำไหลตกจากลานผาหินกว้าง สูง 60 เมตร ลงสู่แอ่งน้ำใหญ่ มีเส้นทางเดินไปยังน้ำตกบาโจ ประมาณ 300 เมตร เป็นเส้นทางเดินปูนที่ร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้เขียวขจี เมื่อใกล้ถึงตัวน้ำตกมีการจัดทำสะพานไม้เป็นทางเดินทอดยาว

    ระหว่างทางมีจุดพักชมวิว ที่สามารถยืนมองน้ำตกได้ในอีกมุมหนึ่ง แต่ละชั้นจะมีกระแสน้ำไหลลัดเลาะมาตามก้อนหินเล็กใหญ่ และมีแอ่งน้ำขังขนาดใหญ่ให้ได้เลือกเล่นน้ำตามใจชอบ

    น้ำตกชั้นที่ 1 ได้รับความนิยมและสวยงามที่สุด มีสายน้ำที่ไหลจากผาสูงประมาณ 60 เมตร มาเที่ยวในช่วงฤดูแล้วน้ำค่อนข้างน้อย จินตนาการว่าถ้าช่วงฤดูฝน มีน้ำเยอะกว่านี้คงสวยมาก บริเวณตัวน้ำตกมีก้อนหินขนาดใหญ่ที่จารึกลายพระหัตถ์พระปรมาภิไธยย่อ ภปร. และพระนามาภิไธยสิริกิติ์ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เก็บไว้เป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งเคยเสด็จมาเที่ยวน้ำตกปาโจ

    จุดสนใจอีกอย่างหนึ่งของน้ำตกแห่งนี้คือการมี ใบไม้สีทองหรือ ย่านดาโอ๊ะ พันธุ์ไม้ชนิดนี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในโลกที่นี่ เมื่อปี พ.ศ. 2531 ใบไม้สีทองเป็นไม้เลื้อย มีลักษณะใบคล้ายใบชงโคหรือใบเสี้ยว แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก บางใบใหญ่กว่าฝ่ามือเสียอีก มีขอบหยักเว้าเข้าทั้งที่โคนใบ และปลายใบ ลักษณะคล้ายวงรีสองอันอยู่ติดกัน ทุกส่วนของใบจะปกคลุมด้วยขนกำมะหยี่เนียนนุ่ม มีสีทองหรือสีทองแดงเหลือบรุ้งเป็นประกายงดงามยามต้องแสงอาทิตย์ สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล สามารถพบเห็นได้บริเวณด้านหน้าของน้ำตกอีกด้วย


    น้ำตกปาโจ ตั้งอยู่ที่บ้านปาโจ ตำบลบาเจาะ อำเภอบาเจาะ สถานที่ท่องเที่ยวอันลือชื่อแห่งหนึ่งของ จ.นราธิวาส เป็นส่วนหนึ่งของอุทยาน แห่งชาติบูโด – สุไหงปาดี น้ำตกปาโจ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ของผืนป่าบูโดที่มีน้ำตลอดปี แต่ในหน้าแล้งน้ำค่อนข้างน้อย ตัวน้ำตกมี 4 ชั้น ชั้นแรกมีขนาดใหญ่และสวยที่สุด สายน้ำไหลตกจากลานผาหินกว้าง สูง 60 เมตร ลงสู่แอ่งน้ำใหญ่ มีเส้นทางเดินไปยังน้ำตกบาโจ ประมาณ 300 เมตร เป็นเส้นทางเดินปูนที่ร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้เขียวขจี เมื่อใกล้ถึงตัวน้ำตกมีการจัดทำสะพานไม้เป็นทางเดินทอดยาว ระหว่างทางมีจุดพักชมวิว ที่สามารถยืนมองน้ำตกได้ในอีกมุมหนึ่ง แต่ละชั้นจะมีกระแสน้ำไหลลัดเลาะมาตามก้อนหินเล็กใหญ่ และมีแอ่งน้ำขังขนาดใหญ่ให้ได้เลือกเล่นน้ำตามใจชอบ น้ำตกชั้นที่ 1 ได้รับความนิยมและสวยงามที่สุด มีสายน้ำที่ไหลจากผาสูงประมาณ 60 เมตร มาเที่ยวในช่วงฤดูแล้วน้ำค่อนข้างน้อย จินตนาการว่าถ้าช่วงฤดูฝน มีน้ำเยอะกว่านี้คงสวยมาก บริเวณตัวน้ำตกมีก้อนหินขนาดใหญ่ที่จารึกลายพระหัตถ์พระปรมาภิไธยย่อ ภปร. และพระนามาภิไธยสิริกิติ์ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เก็บไว้เป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งเคยเสด็จมาเที่ยวน้ำตกปาโจ จุดสนใจอีกอย่างหนึ่งของน้ำตกแห่งนี้คือการมี ใบไม้สีทองหรือ ย่านดาโอ๊ะ พันธุ์ไม้ชนิดนี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในโลกที่นี่ เมื่อปี พ.ศ. 2531 ใบไม้สีทองเป็นไม้เลื้อย มีลักษณะใบคล้ายใบชงโคหรือใบเสี้ยว แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก บางใบใหญ่กว่าฝ่ามือเสียอีก มีขอบหยักเว้าเข้าทั้งที่โคนใบ และปลายใบ ลักษณะคล้ายวงรีสองอันอยู่ติดกัน ทุกส่วนของใบจะปกคลุมด้วยขนกำมะหยี่เนียนนุ่ม มีสีทองหรือสีทองแดงเหลือบรุ้งเป็นประกายงดงามยามต้องแสงอาทิตย์ สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล สามารถพบเห็นได้บริเวณด้านหน้าของน้ำตกอีกด้วย
    Like
    1
    2 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
More Results