• แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 2

    ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษมองอเมริกาเหมือนเป็นเด็กอ่อน เขี้ยวยังไม่งอก ดังนั้นอังกฤษจึงตั้งตัวเองเป็นหัวหน้า เป็นผู้ควบคุมเกมสงครามโลกครั้ง ที่ 1 อังกฤษอยากทำสงคราม แต่กำลังถังแตก! ไม่มีทุน แต่คิดการใหญ่ จึงมีการวางแผนหลอกล่อ ให้อเมริกาเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินและอื่นๆ ให้อังกฤษเข้าทำสงคราม แผนการหลอกล่ออเมริกานี้ เกิด ขึ้นจากการ ร่วมมือของเหล่าอิลีต นักการเมือง นักธุรกิจข้ามชาติ และนักการเงิน ของทั้ง 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่คิดร่ำรวย จากการยุให้ทั้งอังกฤษ และอเมริกา เข้าทำสงครามโลก โดยให้ Think Tank ถังความคิด Chatham House ของฝั่งอังกฤษและ Council on Foreign Relations (CFR) ของฝั่งอเมริกา ร่วมกันวางแผนดำเนินการ

    นักธุรกิจ ไม่ว่าสมัยไหน และเชื้อชาติไหน ส่วนใหญ่ก็คิดเพื่อกระเป๋าตัวเองทั้งสิ้น ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ช่างมัน

    แต่แท้จริงแล้ว อเมริกา ที่อังกฤษคิดว่าเป็นเด็กอ่อนเขี้ยวยังไม่งอก แอบเอาเขี้ยวหลบใน อเมริกามองข้ามซ๊อตไกลไปกว่าพวกชาวเกาะ ใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเกิดเสียอีก! อเมริกาเห็นว่า ไม่ใช่จะมีแต่อังกฤษเท่านั้น ที่ใหญ่พอที่จะเป็นผู้ครองโลกหมายเลขหนึ่ง อเมริกาเองก็มีสิทธิเข้าชิงตำแหน่งเหมือนกัน อเมริกาจึงวางแผน ที่มีทั้งความลึก และใช้เวลายาวนานอย่างเหลือเขื่อ !

    อเมริกา วางแผนล่วงหน้าที่จะให้มีทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 รวมทั้งวางแผน จังหวะเวลาที่เหมาะสม สำหรับอเมริกา ที่จะเข้าสู่สงครามโลกแต่ละครั้ง และสุดท้ายจะเป็นรายเดียวของผู้ชนะสงครามโลก ที่ไม่บอบช้ำ วางแผนสมกับจะเป็นผู้นำโลกจริงๆ

    อเมริกาเล่นบทเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย การลงทุนให้การสนับสนุนอังกฤษ ทั้งด้านการเงินและอื่นๆ ให้อังกฤษนำการรบ ให้อังกฤษจัดการคว่ำเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งในยุโรป โดยมีฝรั่งเศษ อิตาลีและ รัสเซีย เป็นกองเชียร์สนับสนุนและรุมทุบ โดยอเมริกาไม่ต้องออกแรง หลังจากนั้นอเมริกาวางแผนหนุนรัสเซีย ให้ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ ทั้งหมดเพื่อนำไปสู่เกิดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เห็นเขี้ยวอเมริกาหรือยัง

    อเมริกาวางแผนการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ใน จังหวะที่จะส่งผลให้อังกฤษและยุโรปบอบซ้ำ ฉิบหาย กระเป๋าฉีก บ้านเมืองพังพินาศ และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงจะเหลืออเมริกาประเทศใหญ่ ประเทศเดียวที่ไม่มีการบอบซ้ำ และผงาดเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลกแทนที่อังกฤษ ตามแผนที่วางไว้ทุกประการ (รายละเอียดของตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง”มายากลยุทธ”) อเมริกาไม่ใช่มีเขี้ยวธรรมดา แต่เป็นเขี้ยวที่แหลมคมยิ่ง
    มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และอเมริกาก็ไม่ได้ถูกอังกฤษหลอกต้ม แต่อเมริกาปล่อยให้คิดว่า อเมริกาถูกหลอก จริงๆแล้วอเมริกาเอง ก็มีความคิดที่จะเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก โดยการครอบครอง Eurasia เช่น เดียวกับอังกฤษ เพราะกลุ่มผู้วางแผนให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลก ทั้ง 2 ครั้ง รวมทั้งเดินแผนครองโลกก็คือ กลุ่มบุคคลที่เป็นลูกศิษย์ครู Mac ใน ด้านภูมิศาสตร์การเมืองเหมือนกัน หรือมีความเห็นไม่ต่างกับครู Mac อิทธิพลครูMac นี่ไม่เบาเลย

    ผู้วางแผนปฏิบัติการของอเมริกาก็คือ ถังความคิดหมายเลขหนึ่งของอเมริกา Council of Foreign Relations หรือ CFR ตัวแสบนี่แหละ ที่ซ้อนแผนของอังกฤษอีกต่อหนึ่ง CFR โดยการชักใยของพวกอีลิต ที่อยากจะมีอำนาจเหนือรัฐบาลอเมริกัน นำโดยตระกูล Rockefeller ทำหน้าที่ คัดสรร จัดหา วางตัว และผลักดันบุคคล ที่พวกตนเลือก เข้าไปอยู่ในตำแหน่ง และองค์กรสำคัญๆ ของรัฐบาลอเมริกัน เพื่อมาดำเนินการตามแผน อย่างต่อเนื่อง

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเดินแผนครองโลกของอเมริกา เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ที่ CFR เป็นผู้จัดทำให้รัฐบาลอเมริกาปฏิบัติ ตามโครงการนี้ อเมริกาต้องมุ่งหน้า แผ่อิทธิพลเข้าไป เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ลาตินอเมริกา และประเทศต่างๆที่หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคม เนื่องจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งกับอีกหลายประเทศในยุโรป ที่พังยับเยินจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โครงการ War and Peace เรียกบริเวณต่างๆ เหล่านั้นว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับการล่า เพื่อมุ่งหน้าไปสู่การเป็นหมายเลขหนึ่ง ผู้ครองโลกใบนี้

    เป็นการวางแผน เพื่อชิงโลกคนละเส้นทางกับครูMac แต่สอดคล้องกัน โดย เป็นการค่อยๆล้อม Eurasia มาจากอีกฝั่งหนึ่ง และดูเหมือนจะเป็นยุทธศาสตร์กระชับวงล้อมแบบที่อเมริกาชอบใช้

    จังหวะและการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ของอเมริกา ก็เป็นหนึ่งในแผนการที่โครงการ War and Peace กำหนดไว้ล่วงหน้าด้วย (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง “แหกคอก”)

    โดยการวางแผนของ CFR หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาล อเมริกันเริ่มแผน โดยมุ่งหน้ามาทางเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน ด้วยการสร้างผีคอมมิวนิสต์และทฤษฎีโดมิโน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด รวมทั้งแดนสมันน้อย ก็ตกอยู่ในกำมือ ไม่ต่างกับเป็นเมืองขึ้นกลายๆของอเมริกา รวมกับญี่ปุ่นซึ่งแพ้สงครามโลก และอยู่ในกระเป๋าของอเมริกาไปก่อนแล้ว อเมริกา จึงเหมือนได้เอเซียไปเกือบหมด ยกเว้น จีน อินเดีย และเกาหลีเหนือ
    พร้อมกับการรวบเอเซีย อเมริกาก็จัดการกวาดประเทศแถบลาตินอเมริกามาได้เกือบหมดด้วย ยกเว้นคิวบา หนามยอกอกของอเมริกา ซึ่งเอียงไปทางฝั่งสหภาพโซเวียตอย่างไม่เปลี่ยนแปลง (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่องจิ๊กโก๋ปากซอย และมายากลยุทธ)

    หมากต่อไปที่อเมริกาต้องรีบเดิน ตามอิทธิพลของยุทธศาสตร์ครู Mac คือ การชิง Heartland ของ Eurasia ทฤษฎีการปิดล้อม หรือ Containment สหภาพโซเวียต ที่นำไปสู่สงครามเย็น จึงถูกนำมาใช้ตั้งแต่ ค.ศ.1947 เป็นต้นมา

    ด้วยการ Containment ของอเมริกาและพวก เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตจึงอาการสาหัส แต่โซเวียตก็ยังไม่ล้มอย่างที่อเมริกาคาด ทุบจากข้างนอกไม่ล้ม อเมริกาจึงเปลี่ยนเป็นแผนทุบจากข้างใน ค.ศ.1985 Mikhail Gorbachev เป็น ผู้คุมบังเหียนสหภาพโซเวียต เห็นคนนอกดีกว่าคนในเพราะอะไรคงเดากันออก ได้ตัดเชือกที่ผูกสหภาพโซเวียตไว้ด้วยกันขาดสะบั้น ตามต่อด้วย Boris Yelsin ใน ปี ค.ศ.1990 ซึ่งไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ในที่สุด ค.ศ.1991 สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายสมใจอเมริกา (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง” มายากลยุทธ”)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 พย. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 2 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษมองอเมริกาเหมือนเป็นเด็กอ่อน เขี้ยวยังไม่งอก ดังนั้นอังกฤษจึงตั้งตัวเองเป็นหัวหน้า เป็นผู้ควบคุมเกมสงครามโลกครั้ง ที่ 1 อังกฤษอยากทำสงคราม แต่กำลังถังแตก! ไม่มีทุน แต่คิดการใหญ่ จึงมีการวางแผนหลอกล่อ ให้อเมริกาเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินและอื่นๆ ให้อังกฤษเข้าทำสงคราม แผนการหลอกล่ออเมริกานี้ เกิด ขึ้นจากการ ร่วมมือของเหล่าอิลีต นักการเมือง นักธุรกิจข้ามชาติ และนักการเงิน ของทั้ง 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่คิดร่ำรวย จากการยุให้ทั้งอังกฤษ และอเมริกา เข้าทำสงครามโลก โดยให้ Think Tank ถังความคิด Chatham House ของฝั่งอังกฤษและ Council on Foreign Relations (CFR) ของฝั่งอเมริกา ร่วมกันวางแผนดำเนินการ นักธุรกิจ ไม่ว่าสมัยไหน และเชื้อชาติไหน ส่วนใหญ่ก็คิดเพื่อกระเป๋าตัวเองทั้งสิ้น ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ช่างมัน แต่แท้จริงแล้ว อเมริกา ที่อังกฤษคิดว่าเป็นเด็กอ่อนเขี้ยวยังไม่งอก แอบเอาเขี้ยวหลบใน อเมริกามองข้ามซ๊อตไกลไปกว่าพวกชาวเกาะ ใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเกิดเสียอีก! อเมริกาเห็นว่า ไม่ใช่จะมีแต่อังกฤษเท่านั้น ที่ใหญ่พอที่จะเป็นผู้ครองโลกหมายเลขหนึ่ง อเมริกาเองก็มีสิทธิเข้าชิงตำแหน่งเหมือนกัน อเมริกาจึงวางแผน ที่มีทั้งความลึก และใช้เวลายาวนานอย่างเหลือเขื่อ ! อเมริกา วางแผนล่วงหน้าที่จะให้มีทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 รวมทั้งวางแผน จังหวะเวลาที่เหมาะสม สำหรับอเมริกา ที่จะเข้าสู่สงครามโลกแต่ละครั้ง และสุดท้ายจะเป็นรายเดียวของผู้ชนะสงครามโลก ที่ไม่บอบช้ำ วางแผนสมกับจะเป็นผู้นำโลกจริงๆ อเมริกาเล่นบทเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย การลงทุนให้การสนับสนุนอังกฤษ ทั้งด้านการเงินและอื่นๆ ให้อังกฤษนำการรบ ให้อังกฤษจัดการคว่ำเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งในยุโรป โดยมีฝรั่งเศษ อิตาลีและ รัสเซีย เป็นกองเชียร์สนับสนุนและรุมทุบ โดยอเมริกาไม่ต้องออกแรง หลังจากนั้นอเมริกาวางแผนหนุนรัสเซีย ให้ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ ทั้งหมดเพื่อนำไปสู่เกิดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เห็นเขี้ยวอเมริกาหรือยัง อเมริกาวางแผนการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ใน จังหวะที่จะส่งผลให้อังกฤษและยุโรปบอบซ้ำ ฉิบหาย กระเป๋าฉีก บ้านเมืองพังพินาศ และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงจะเหลืออเมริกาประเทศใหญ่ ประเทศเดียวที่ไม่มีการบอบซ้ำ และผงาดเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลกแทนที่อังกฤษ ตามแผนที่วางไว้ทุกประการ (รายละเอียดของตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง”มายากลยุทธ”) อเมริกาไม่ใช่มีเขี้ยวธรรมดา แต่เป็นเขี้ยวที่แหลมคมยิ่ง มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และอเมริกาก็ไม่ได้ถูกอังกฤษหลอกต้ม แต่อเมริกาปล่อยให้คิดว่า อเมริกาถูกหลอก จริงๆแล้วอเมริกาเอง ก็มีความคิดที่จะเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก โดยการครอบครอง Eurasia เช่น เดียวกับอังกฤษ เพราะกลุ่มผู้วางแผนให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลก ทั้ง 2 ครั้ง รวมทั้งเดินแผนครองโลกก็คือ กลุ่มบุคคลที่เป็นลูกศิษย์ครู Mac ใน ด้านภูมิศาสตร์การเมืองเหมือนกัน หรือมีความเห็นไม่ต่างกับครู Mac อิทธิพลครูMac นี่ไม่เบาเลย ผู้วางแผนปฏิบัติการของอเมริกาก็คือ ถังความคิดหมายเลขหนึ่งของอเมริกา Council of Foreign Relations หรือ CFR ตัวแสบนี่แหละ ที่ซ้อนแผนของอังกฤษอีกต่อหนึ่ง CFR โดยการชักใยของพวกอีลิต ที่อยากจะมีอำนาจเหนือรัฐบาลอเมริกัน นำโดยตระกูล Rockefeller ทำหน้าที่ คัดสรร จัดหา วางตัว และผลักดันบุคคล ที่พวกตนเลือก เข้าไปอยู่ในตำแหน่ง และองค์กรสำคัญๆ ของรัฐบาลอเมริกัน เพื่อมาดำเนินการตามแผน อย่างต่อเนื่อง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเดินแผนครองโลกของอเมริกา เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ที่ CFR เป็นผู้จัดทำให้รัฐบาลอเมริกาปฏิบัติ ตามโครงการนี้ อเมริกาต้องมุ่งหน้า แผ่อิทธิพลเข้าไป เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ลาตินอเมริกา และประเทศต่างๆที่หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคม เนื่องจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งกับอีกหลายประเทศในยุโรป ที่พังยับเยินจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โครงการ War and Peace เรียกบริเวณต่างๆ เหล่านั้นว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับการล่า เพื่อมุ่งหน้าไปสู่การเป็นหมายเลขหนึ่ง ผู้ครองโลกใบนี้ เป็นการวางแผน เพื่อชิงโลกคนละเส้นทางกับครูMac แต่สอดคล้องกัน โดย เป็นการค่อยๆล้อม Eurasia มาจากอีกฝั่งหนึ่ง และดูเหมือนจะเป็นยุทธศาสตร์กระชับวงล้อมแบบที่อเมริกาชอบใช้ จังหวะและการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ของอเมริกา ก็เป็นหนึ่งในแผนการที่โครงการ War and Peace กำหนดไว้ล่วงหน้าด้วย (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง “แหกคอก”) โดยการวางแผนของ CFR หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาล อเมริกันเริ่มแผน โดยมุ่งหน้ามาทางเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน ด้วยการสร้างผีคอมมิวนิสต์และทฤษฎีโดมิโน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด รวมทั้งแดนสมันน้อย ก็ตกอยู่ในกำมือ ไม่ต่างกับเป็นเมืองขึ้นกลายๆของอเมริกา รวมกับญี่ปุ่นซึ่งแพ้สงครามโลก และอยู่ในกระเป๋าของอเมริกาไปก่อนแล้ว อเมริกา จึงเหมือนได้เอเซียไปเกือบหมด ยกเว้น จีน อินเดีย และเกาหลีเหนือ พร้อมกับการรวบเอเซีย อเมริกาก็จัดการกวาดประเทศแถบลาตินอเมริกามาได้เกือบหมดด้วย ยกเว้นคิวบา หนามยอกอกของอเมริกา ซึ่งเอียงไปทางฝั่งสหภาพโซเวียตอย่างไม่เปลี่ยนแปลง (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่องจิ๊กโก๋ปากซอย และมายากลยุทธ) หมากต่อไปที่อเมริกาต้องรีบเดิน ตามอิทธิพลของยุทธศาสตร์ครู Mac คือ การชิง Heartland ของ Eurasia ทฤษฎีการปิดล้อม หรือ Containment สหภาพโซเวียต ที่นำไปสู่สงครามเย็น จึงถูกนำมาใช้ตั้งแต่ ค.ศ.1947 เป็นต้นมา ด้วยการ Containment ของอเมริกาและพวก เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตจึงอาการสาหัส แต่โซเวียตก็ยังไม่ล้มอย่างที่อเมริกาคาด ทุบจากข้างนอกไม่ล้ม อเมริกาจึงเปลี่ยนเป็นแผนทุบจากข้างใน ค.ศ.1985 Mikhail Gorbachev เป็น ผู้คุมบังเหียนสหภาพโซเวียต เห็นคนนอกดีกว่าคนในเพราะอะไรคงเดากันออก ได้ตัดเชือกที่ผูกสหภาพโซเวียตไว้ด้วยกันขาดสะบั้น ตามต่อด้วย Boris Yelsin ใน ปี ค.ศ.1990 ซึ่งไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ในที่สุด ค.ศ.1991 สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายสมใจอเมริกา (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง” มายากลยุทธ”) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 พย. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว


  • #พรบการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือคาร์บอนเครติดคือภัยพิบัติคนไทยเรา หรือมุกแอบแฝงควบคุมคาร์บอนให้ต่ำลง เป้าหมายควบคุมประชาชนในประเทศนั้นทั้งหมดให้เป็นทาสขี้ข้าโดยเบ็ดเสร็จของอีลิทไซออนิสต์deep state อะเจนด้า30ที่ต้องการ,

    #รัฐบาลสามารถควบคุมCBDCเชื่อมต่อกับรหัสดิจิทัลไบโอเมตริกซ์เชื่อมต่อกับเครือข่ายกล้องจดจำใบหน้า

    #รัฐบาลสามารถควบคุมปริมาณคาร์บอนของคุณ

    #รัฐบาลสามารถควบคุมวิธีการใช้จ่ายเงิน

    #รัฐบาลสามารถควบคุมระบบเครดิตทางสังคมของ

    #รัฐบาลสามารถควบคุมโปรแกรมCBDCให้หยุดเงินของคุณได้ทั้งหมด


    จีนคือตัวพ่อเผด็จการจะยึดโลกควบคุมมนุษย์ อีลิทไซออนิสต์deep stateโลกมันทิ้งอเมริกาย้ายมาใช้งานจีนแล้ว.,เหมือนทิ้งอังกฤษปอนด์ ไปหาอเมริกาดอลล่าร์เพื่อควบคุมโลก ในโลกยุคใหม่ที่เราเห็นกันชัดๆที่ผ่านๆมา,ตอนนี้กำลังจะเขียนบริบทโลกใหม่อีกแล้ว ยูโรปทางตัน อเมริกาก็ทางตัน ,จีนคือตัวเลือก ,ทิ้งดอลล่าร์ใช้หยวนนั้นเองในโลกทางการเงิน,แต่ความจริงระบบคอมมิวนิสต์ต่างหากที่เหมาะสมกับสไตล์อีลิทมัน,อังกฤษและอเมริกามันลองใช้แล้วล้มเหลว จึงจะใช้ระบบเผด็จการแทนในการทดสอบครั้งนี้ในยุคใหม่นี้ มันจึงถ่ายทอดเทคโนโลยีย้ายโอนมาอัดมาใส่ที่จีน,คนจีนคือห้องทดลองผิวโลกขนาดใหญ่ของมันที่ผ่านๆมา.,ทางเลือกมีแค่คนจีนดีๆจะลุกขึ้นสู้ร่วมต่อต้านระบบเผด็จการปลดปล่อยตนเองทั้งประเทศจีนเท่านั้น.,หรืออเมริกายิงขีปนาวุธถล่มจีนปลดปล่อยชาวจีนเท่านั้น,โดยอเมริกาก็ปลดปล่อยตนเองจากอีลิทเองด้วยซึ่งถูกกดขี่มานานเช่นกัน.
    ..ในสภาฯไทยเรา นายกฯอนุทินประกาศชัดเจนเหมือนมุ่งเน้นเจตนารมณ์ตามคำสั่งอีลิทเด่นมาก,ซึ่งจริงๆไม่ต้องอ่านหรือเขียนอย่างเป็นทางการก็ได้,รวมเอาพรบ.สภาพอากาศมายื่นพื้นช่วยค้ำให้อีลิทด้วย รับไม้ต่อชัดเจนไม่ว่าจะเปลี่ยนใครมาเป็นนายกฯ เหมือนไม่แตะบ่อปิโตรเลี่ยน บ่อน้ำมันไทยเลยนั้นล่ะ ถ้าประกาศว่าจะยกเลิกสัมปทานบ่อปิโตรเลียมทั้งหมดที่ไม่เคยผ่านสภาสส.สว.อันขัดต่อความมั่นคงทางอธิปไตยของชาติด้านพลังงานของรัฐธรรมนูญแม่บทเรา ถ้าประกาศแบบนี้จะดีมาก ยกเลิกเลย,แต่ไม่แตะเลย,วิกฤติเศรษฐกิจไทยแค่ลดราคาน้ำมันลงเหลือ1-2บาทแบบอิหร่าน เราจะผ่านพ้นทันทีทั้งประเทศ เสมือนยึดแดนดินคืนจากเขมรที่เสาหมุด1:1 ทั้ง73-74เสาเขตแดนตั้งเป็นฐานเดิมเรื่องเขตแดนก็จบแล้ว,mouใดๆถือว่าโมฆะหมด,เรามีนายกฯที่ไม่มีฝีมือ ไม่กล้าหาญจริงแต่นั้น,,นายกฯกล้าหาญคือโมฆะสัมปทานบ่อน้ำมันทั้งหมด ยึดดินแดนไทยคืนจากเขมร,สร้างรั้วลวดหนามตลอดแนวพรมแดนไทยกับเขมร,ปิดด่านไทยเขมรไม่มีกำหนดจนกว่าเขมรจะหมดสิ้นสภาพสถานะมาเป็นภัยร้ายแรงคุกคามกับไทยได้อีกพร้อมคว่ำบาตรเขมรทุกๆช่องทางทั้งหมดด้วย,กรณีโจรใต้เราก็สร้างรั้วลวดหนามถาวรตลอดแนวพรมแดนกว่า600กม.ด้วยเช่นกัน.,นี้คือพื้นฐานจริงที่นายกฯประเทศต้องทำทันทีในยุคนี้ ปลดปล่อยประเทศไทย กอบกู้ชาติไทยคืนจากการผูกขาดทรัพยากรชาติไทยจากต่างชาติทั้งหมด,เมื่อนายกฯในอดีตชั่วเลว นายกฯปัจจุบันไม่จำเป็นต้องคงสิ่งชั่วเลวที่มันร่วมกันทำไว้,เพราะอำนาจนายกฯอยู่ในมือตนแล้วในปัจจุบัน,เรามีผู้นำผู้ปกครองทันหมากอีลิทย่อมต่อกรหรือชนะได้แน่เช่นกัน.,ผ่านพ้นภัยอันตรายลักษณะผีบ้าที่คอมมิวนิสต์จีนทำกับประชาชนพลเมืองมันด้วย.

    [...CBDC ของจีนเชื่อมต่อกับรหัสดิจิทัลไบโอเมตริกซ์ที่จำเป็น ซึ่งเชื่อมต่อกับเครือข่ายกล้องจดจำใบหน้าอันกว้างขวาง

    ประชาชนสามารถชำระค่าสิ่งของได้อย่าง "สะดวก" โดยไม่ต้องใช้อะไรเลยนอกจากใบหน้า

    แต่สิ่งนี้ยังทำให้รัฐบาลสามารถควบคุมวิธีการใช้จ่ายเงินของประชาชนได้อย่างสมบูรณ์

    ลองนึกภาพผู้หญิงคนนี้ต้องการซื้อโคล่า แต่ในเดือนนี้เธอได้เกินปริมาณคาร์บอนที่อนุญาตไว้แล้ว สามารถตั้งโปรแกรม CBDC ให้ปฏิเสธธุรกรรมโดยอัลกอริทึมได้

    หรือจินตนาการว่าเธอวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทางโซเชียลมีเดีย และพบว่าตัวเองถูกขึ้นบัญชีดำโดยระบบเครดิตทางสังคมของจีน สามารถตั้งโปรแกรม CBDC ให้หยุดเงินทุนของเธอได้ทั้งหมด

    อย่าพลาด: ฝันร้ายดิสโทเปียนี้กำลังจะเกิดขึ้นในโลกตะวันตก หากเรายอมให้รัฐบาลหลอกให้เรายอมรับ ID ดิจิทัลและ CBDC ]
    #พรบการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือคาร์บอนเครติดคือภัยพิบัติคนไทยเรา หรือมุกแอบแฝงควบคุมคาร์บอนให้ต่ำลง เป้าหมายควบคุมประชาชนในประเทศนั้นทั้งหมดให้เป็นทาสขี้ข้าโดยเบ็ดเสร็จของอีลิทไซออนิสต์deep state อะเจนด้า30ที่ต้องการ, #รัฐบาลสามารถควบคุมCBDCเชื่อมต่อกับรหัสดิจิทัลไบโอเมตริกซ์เชื่อมต่อกับเครือข่ายกล้องจดจำใบหน้า #รัฐบาลสามารถควบคุมปริมาณคาร์บอนของคุณ #รัฐบาลสามารถควบคุมวิธีการใช้จ่ายเงิน #รัฐบาลสามารถควบคุมระบบเครดิตทางสังคมของ #รัฐบาลสามารถควบคุมโปรแกรมCBDCให้หยุดเงินของคุณได้ทั้งหมด จีนคือตัวพ่อเผด็จการจะยึดโลกควบคุมมนุษย์ อีลิทไซออนิสต์deep stateโลกมันทิ้งอเมริกาย้ายมาใช้งานจีนแล้ว.,เหมือนทิ้งอังกฤษปอนด์ ไปหาอเมริกาดอลล่าร์เพื่อควบคุมโลก ในโลกยุคใหม่ที่เราเห็นกันชัดๆที่ผ่านๆมา,ตอนนี้กำลังจะเขียนบริบทโลกใหม่อีกแล้ว ยูโรปทางตัน อเมริกาก็ทางตัน ,จีนคือตัวเลือก ,ทิ้งดอลล่าร์ใช้หยวนนั้นเองในโลกทางการเงิน,แต่ความจริงระบบคอมมิวนิสต์ต่างหากที่เหมาะสมกับสไตล์อีลิทมัน,อังกฤษและอเมริกามันลองใช้แล้วล้มเหลว จึงจะใช้ระบบเผด็จการแทนในการทดสอบครั้งนี้ในยุคใหม่นี้ มันจึงถ่ายทอดเทคโนโลยีย้ายโอนมาอัดมาใส่ที่จีน,คนจีนคือห้องทดลองผิวโลกขนาดใหญ่ของมันที่ผ่านๆมา.,ทางเลือกมีแค่คนจีนดีๆจะลุกขึ้นสู้ร่วมต่อต้านระบบเผด็จการปลดปล่อยตนเองทั้งประเทศจีนเท่านั้น.,หรืออเมริกายิงขีปนาวุธถล่มจีนปลดปล่อยชาวจีนเท่านั้น,โดยอเมริกาก็ปลดปล่อยตนเองจากอีลิทเองด้วยซึ่งถูกกดขี่มานานเช่นกัน. ..ในสภาฯไทยเรา นายกฯอนุทินประกาศชัดเจนเหมือนมุ่งเน้นเจตนารมณ์ตามคำสั่งอีลิทเด่นมาก,ซึ่งจริงๆไม่ต้องอ่านหรือเขียนอย่างเป็นทางการก็ได้,รวมเอาพรบ.สภาพอากาศมายื่นพื้นช่วยค้ำให้อีลิทด้วย รับไม้ต่อชัดเจนไม่ว่าจะเปลี่ยนใครมาเป็นนายกฯ เหมือนไม่แตะบ่อปิโตรเลี่ยน บ่อน้ำมันไทยเลยนั้นล่ะ ถ้าประกาศว่าจะยกเลิกสัมปทานบ่อปิโตรเลียมทั้งหมดที่ไม่เคยผ่านสภาสส.สว.อันขัดต่อความมั่นคงทางอธิปไตยของชาติด้านพลังงานของรัฐธรรมนูญแม่บทเรา ถ้าประกาศแบบนี้จะดีมาก ยกเลิกเลย,แต่ไม่แตะเลย,วิกฤติเศรษฐกิจไทยแค่ลดราคาน้ำมันลงเหลือ1-2บาทแบบอิหร่าน เราจะผ่านพ้นทันทีทั้งประเทศ เสมือนยึดแดนดินคืนจากเขมรที่เสาหมุด1:1 ทั้ง73-74เสาเขตแดนตั้งเป็นฐานเดิมเรื่องเขตแดนก็จบแล้ว,mouใดๆถือว่าโมฆะหมด,เรามีนายกฯที่ไม่มีฝีมือ ไม่กล้าหาญจริงแต่นั้น,,นายกฯกล้าหาญคือโมฆะสัมปทานบ่อน้ำมันทั้งหมด ยึดดินแดนไทยคืนจากเขมร,สร้างรั้วลวดหนามตลอดแนวพรมแดนไทยกับเขมร,ปิดด่านไทยเขมรไม่มีกำหนดจนกว่าเขมรจะหมดสิ้นสภาพสถานะมาเป็นภัยร้ายแรงคุกคามกับไทยได้อีกพร้อมคว่ำบาตรเขมรทุกๆช่องทางทั้งหมดด้วย,กรณีโจรใต้เราก็สร้างรั้วลวดหนามถาวรตลอดแนวพรมแดนกว่า600กม.ด้วยเช่นกัน.,นี้คือพื้นฐานจริงที่นายกฯประเทศต้องทำทันทีในยุคนี้ ปลดปล่อยประเทศไทย กอบกู้ชาติไทยคืนจากการผูกขาดทรัพยากรชาติไทยจากต่างชาติทั้งหมด,เมื่อนายกฯในอดีตชั่วเลว นายกฯปัจจุบันไม่จำเป็นต้องคงสิ่งชั่วเลวที่มันร่วมกันทำไว้,เพราะอำนาจนายกฯอยู่ในมือตนแล้วในปัจจุบัน,เรามีผู้นำผู้ปกครองทันหมากอีลิทย่อมต่อกรหรือชนะได้แน่เช่นกัน.,ผ่านพ้นภัยอันตรายลักษณะผีบ้าที่คอมมิวนิสต์จีนทำกับประชาชนพลเมืองมันด้วย. [...CBDC ของจีนเชื่อมต่อกับรหัสดิจิทัลไบโอเมตริกซ์ที่จำเป็น ซึ่งเชื่อมต่อกับเครือข่ายกล้องจดจำใบหน้าอันกว้างขวาง ประชาชนสามารถชำระค่าสิ่งของได้อย่าง "สะดวก" โดยไม่ต้องใช้อะไรเลยนอกจากใบหน้า แต่สิ่งนี้ยังทำให้รัฐบาลสามารถควบคุมวิธีการใช้จ่ายเงินของประชาชนได้อย่างสมบูรณ์ ลองนึกภาพผู้หญิงคนนี้ต้องการซื้อโคล่า แต่ในเดือนนี้เธอได้เกินปริมาณคาร์บอนที่อนุญาตไว้แล้ว สามารถตั้งโปรแกรม CBDC ให้ปฏิเสธธุรกรรมโดยอัลกอริทึมได้ หรือจินตนาการว่าเธอวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทางโซเชียลมีเดีย และพบว่าตัวเองถูกขึ้นบัญชีดำโดยระบบเครดิตทางสังคมของจีน สามารถตั้งโปรแกรม CBDC ให้หยุดเงินทุนของเธอได้ทั้งหมด อย่าพลาด: ฝันร้ายดิสโทเปียนี้กำลังจะเกิดขึ้นในโลกตะวันตก หากเรายอมให้รัฐบาลหลอกให้เรายอมรับ ID ดิจิทัลและ CBDC ]
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประเทศไทยเราจริงๆแล้วจะเจริญรุ่งเรืองกันนานแล้ว,เกิดจากพรรคภาคใต้นี้ล่ะตัวถ่วงความเจริญของชาติไทยที่แท้จริง,มักใหญ่ใฝ่สูงด้วย,แต่ยังดีที่ประชาชนคนไทยทางภาคใต้เหมือนกัน ตื่นรับรู้ความจริงมากเช่นกันด้วย รักบ้านรักเมืองมากกว่านักการเมืองภาคใต้ด้วย,ปชป.จึงดับอนาถของจริง ,mou43ก็คน ปชป.จากอดีตนายกฯ พรรค.ปชป.นี้จัดทำขึ้น,ประเทศไทยมีนายกฯจากพรรคปชป.นี้เอง ชาติไทยจึงถูกเตะตัดขาทางด้านความร่ำรวยมั่งคั่งสู่ประชาชนไปตลอดเวลา,และพรรคปชป.นี้ดูดีๆไม่ต่างจากพรรคเดโมแคตของอเมริกาเลย,ถูกปกครองโดยตระกูลรอธไชลด์นั้นละและหรือ13ตระกูลก็ว่า,ไทยก็แบบเดียวกัน,และชาติไทยเราจึงถูกปล้นชิงความร่ำรวยมั่งคั่งมาโดยตลอดจากการกำกับงานสร้างโดยไซออนิสต์ossหรือciaประจำภูมิภาคเอเชียอาเชียนเรานี้ด้วย,มันปกครองทั้งระบบปกครองประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์แบบจีน,พวกนี้มันส่งคนของมันไปปะปนควบคุมในอำนาจปกครองประเทศทั้งหมดได้,กฎหมายมากมายจึงออกมาบังคับควบคุมอิสระภาพประชาชนโดยส่วนใหญ่ยิ่งเผด็จการคอมมิวนิสต์ด้วยแล้วมันยิ่งชอบ,
    ..ทางเดียวจะจบตัดตอนมันได้ให้ชาติไทยเรารอดต้องเปลี่ยนระบบปกครองจากฝรั่งส่งให้เราใช้ปกครองเป็นเราสร้างทำขึ้นเองคือระบบปกครองแบบธรรมาธิปไตย อีนมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เราจะทำลายฝ่ายมืดได้แน่นอน.

    https://youtube.com/watch?v=G31LnpOYHQI&si=18RVXHEqTsHcTnLO
    ประเทศไทยเราจริงๆแล้วจะเจริญรุ่งเรืองกันนานแล้ว,เกิดจากพรรคภาคใต้นี้ล่ะตัวถ่วงความเจริญของชาติไทยที่แท้จริง,มักใหญ่ใฝ่สูงด้วย,แต่ยังดีที่ประชาชนคนไทยทางภาคใต้เหมือนกัน ตื่นรับรู้ความจริงมากเช่นกันด้วย รักบ้านรักเมืองมากกว่านักการเมืองภาคใต้ด้วย,ปชป.จึงดับอนาถของจริง ,mou43ก็คน ปชป.จากอดีตนายกฯ พรรค.ปชป.นี้จัดทำขึ้น,ประเทศไทยมีนายกฯจากพรรคปชป.นี้เอง ชาติไทยจึงถูกเตะตัดขาทางด้านความร่ำรวยมั่งคั่งสู่ประชาชนไปตลอดเวลา,และพรรคปชป.นี้ดูดีๆไม่ต่างจากพรรคเดโมแคตของอเมริกาเลย,ถูกปกครองโดยตระกูลรอธไชลด์นั้นละและหรือ13ตระกูลก็ว่า,ไทยก็แบบเดียวกัน,และชาติไทยเราจึงถูกปล้นชิงความร่ำรวยมั่งคั่งมาโดยตลอดจากการกำกับงานสร้างโดยไซออนิสต์ossหรือciaประจำภูมิภาคเอเชียอาเชียนเรานี้ด้วย,มันปกครองทั้งระบบปกครองประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์แบบจีน,พวกนี้มันส่งคนของมันไปปะปนควบคุมในอำนาจปกครองประเทศทั้งหมดได้,กฎหมายมากมายจึงออกมาบังคับควบคุมอิสระภาพประชาชนโดยส่วนใหญ่ยิ่งเผด็จการคอมมิวนิสต์ด้วยแล้วมันยิ่งชอบ, ..ทางเดียวจะจบตัดตอนมันได้ให้ชาติไทยเรารอดต้องเปลี่ยนระบบปกครองจากฝรั่งส่งให้เราใช้ปกครองเป็นเราสร้างทำขึ้นเองคือระบบปกครองแบบธรรมาธิปไตย อีนมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เราจะทำลายฝ่ายมืดได้แน่นอน. https://youtube.com/watch?v=G31LnpOYHQI&si=18RVXHEqTsHcTnLO
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 5 – อิหร่าน 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 5”
    อิหร่าน 2
ความทารุณโหดร้าย และการดูถูกเหยียดหยามของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อชาวอิหร่าน เริ่มมาตั้งแต่ ค.ศ. 1905 ตั้งแต่อังกฤษเริ่มย่างก้าวแรกเข้ามาในอิหร่านนั่นแหละ ชาวอิหร่านทนไม่ไหวลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวต่อต้าน ในที่สุด Shah ผู้ปกครองรัฐอิหร่านก็ยินยอมให้มีรัฐธรรมนูญ และล้มเลิกระบบที่กษัตริย์เป็นผู้มีสิทธิในการปกครองแต่ผู้เดียว
    แต่การปกครองโดยรัฐธรรมนูญนี้ ก็อยู่ไม่ได้นาน ค.ศ. 1908 Shah ได้นำกองทหาร Cossack จากรัสเซียมาช่วยขับไล่รัฐบาล Majlis ออกไป แต่ชาวอิหร่านก็ยังไม่ยอมหยุด ในที่สุดเมื่ออังกฤษกับรัสเซีย จับมือกันตามแผนถล่มออตโตมาน กองทัพอังกฤษและรัสเซียก็เป็นผู้ปฏิบัติการ กวาดล้าง และปิดตายรัฐสภาประชาชน จับขังฝ่ายรัฐบาล และอุ้มเอา Shah ขึ้นมาเป็น (หุ่น) ผู้ปกครองประเทศมีอำนาจบริหารแต่ผู้เดียว ต่อไปใหม่อีกรอบ
    ระหว่างสงครามโลก ครั้งที่ 1 อิหร่านก็ต้องเข้าฉากร่วมเล่นสงครามด้วย แม้จะไม่ได้บทเป็นตัวเอก แต่เนื่องจากมีบ่อน้ำมัน กองทัพอังกฤษจึงยกพลกันมาเต็ม อิหร่าน เพื่อปกป้องบ่อน้ำมันอิหร่าน ที่อังกฤษถือว่าตนเองเป็นเจ้าของ
    ตามข้อตกลงหลอกเหยื่อ อังกฤษกล่อมรัสเซียให้มาร่วมรายการขยี้เยอรมัน และออตโตมาน โดยตกลงจะยกออตโตมานให้รัสเซีย และทำสัญญาสุดชั่ว Syke-Picot แบ่งเค้กออตโตมานตะวันออกกลาง แต่เมื่อสงครามโลกจบ รัสเซียมีการปฏิวัติโดยพวกบอลเชวิก ฝ่ายปฎิวัติบอกไม่สนใจข้อตกลงที่พวกซาร์ไปทำไว้กับอังกฤษ ฝ่ายปฏวัติกลับสนับสนุนชาวอิหร่านให้ต่อต้านการครอบครอง ของพวกนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ และพร้อมที่จะสนับสนุนชาวอิหร่านให้ได้อิสรภาพ
    อังกฤษทนไม่ได้ ถลาเข้ามาแก้ตัวจนลิ้นพันกัน พร้อมเริ่มขบวนการโฆษณาชวนเชื่อในอิหร่าน บรรยายความเลวร้ายของลัทธิคอมมิวนิสต์ออกสื่อทุกวัน เพื่อกันไม่ให้พวกบอลเชวิก เข้ามาในอิหร่าน โดยเฉพาะทางด้านเหนือที่ติดกับเขตแดนของรัสเซีย
    ในที่สุด อังกฤษตัดสินใจเลิกใช้ไม้นวม เข้าไปควบคุมสถานการณ์ในอิหร่าน โดยคว้าข้อมืออิหร่าน จับให้ทำสัญญา Anglo – Persian Agreement
    เมื่อ ค.ศ. 1919 ให้อังกฤษมีสิทธิควบคุมเหนืออิหร่าน ในด้านกองทัพ การคลัง และระบบการขนส่งทั้งหมด และเพื่อให้แน่ใจว่าอำนาจอยู่ในมือเต็มทั้ง 2 มือ อังกฤษประกาศกฎอัยการศึก และเริ่มให้มีการใช้ธนบัตรในการซื้อขาย
    โอ้โห นี่ขนาดเพิ่งต้มตุ๋น ได้น้ำมันมาบ่อเดียวนะ ยังปฏิบัติการเฉียบขนาดนี้เลย นี่ถ้ามี หลายบ่อ หลายหลุม เรียงกันเป็นพรึด มันจะคุมประเทศเขาเข้มขนาดไหนหนอ..
    แต่ชาวอิหร่านก็ดูเหมือนจะไม่ได้พร้อมใจ จะอยู่ใต้อุ้งมือของชาวเกาะใหญ่ฯ พวกเขาพยายามต่อต้าน แต่แล้วใน ค.ศ. 1921 เมื่อการต่อต้านรุนแรงขึ้น แถมศึกชิงน้ำมันของกลุ่มนักล่าหน้าใหม่จากอีกฝั่งหนึ่ง ของ มหาสมุทรแอตแลนติก เริ่มดุเดือดเลือดพล่านขึ้น อังกฤษปรับแผนใหม่อีกรอบ
    สนับสนุนให้มีการปฏิวัติโดย Reza Khan ซึ่งภายหลังประกาศตั้งตัวเองเป็น Shah คนใหม่ ในปี ค.ศ. 1926 เป็นต้นราชวงศ์ Pahlevi หุ่นเชิดของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย
Shah ใช้ความเหี้ยมโหด ข่มเหง กดขี่ ประชาชนต่อไป ภายใต้การหนุน และชักใยของนักล่าชาวเกาะฯ แหม ! แผมใหม่นี่ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ยุซ้าย เสี้ยมขวา ให้พวกมันก็ตีกันเอง แล้วเราก็ขุดน้ำมันรวยไป เรื่อย ๆ สบายใจดี ฮ่า ฮ่า อร่อยนุ่ม เคี้ยวเพลิน !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
14 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 5 – อิหร่าน 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 5” อิหร่าน 2
ความทารุณโหดร้าย และการดูถูกเหยียดหยามของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อชาวอิหร่าน เริ่มมาตั้งแต่ ค.ศ. 1905 ตั้งแต่อังกฤษเริ่มย่างก้าวแรกเข้ามาในอิหร่านนั่นแหละ ชาวอิหร่านทนไม่ไหวลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวต่อต้าน ในที่สุด Shah ผู้ปกครองรัฐอิหร่านก็ยินยอมให้มีรัฐธรรมนูญ และล้มเลิกระบบที่กษัตริย์เป็นผู้มีสิทธิในการปกครองแต่ผู้เดียว แต่การปกครองโดยรัฐธรรมนูญนี้ ก็อยู่ไม่ได้นาน ค.ศ. 1908 Shah ได้นำกองทหาร Cossack จากรัสเซียมาช่วยขับไล่รัฐบาล Majlis ออกไป แต่ชาวอิหร่านก็ยังไม่ยอมหยุด ในที่สุดเมื่ออังกฤษกับรัสเซีย จับมือกันตามแผนถล่มออตโตมาน กองทัพอังกฤษและรัสเซียก็เป็นผู้ปฏิบัติการ กวาดล้าง และปิดตายรัฐสภาประชาชน จับขังฝ่ายรัฐบาล และอุ้มเอา Shah ขึ้นมาเป็น (หุ่น) ผู้ปกครองประเทศมีอำนาจบริหารแต่ผู้เดียว ต่อไปใหม่อีกรอบ ระหว่างสงครามโลก ครั้งที่ 1 อิหร่านก็ต้องเข้าฉากร่วมเล่นสงครามด้วย แม้จะไม่ได้บทเป็นตัวเอก แต่เนื่องจากมีบ่อน้ำมัน กองทัพอังกฤษจึงยกพลกันมาเต็ม อิหร่าน เพื่อปกป้องบ่อน้ำมันอิหร่าน ที่อังกฤษถือว่าตนเองเป็นเจ้าของ ตามข้อตกลงหลอกเหยื่อ อังกฤษกล่อมรัสเซียให้มาร่วมรายการขยี้เยอรมัน และออตโตมาน โดยตกลงจะยกออตโตมานให้รัสเซีย และทำสัญญาสุดชั่ว Syke-Picot แบ่งเค้กออตโตมานตะวันออกกลาง แต่เมื่อสงครามโลกจบ รัสเซียมีการปฏิวัติโดยพวกบอลเชวิก ฝ่ายปฎิวัติบอกไม่สนใจข้อตกลงที่พวกซาร์ไปทำไว้กับอังกฤษ ฝ่ายปฏวัติกลับสนับสนุนชาวอิหร่านให้ต่อต้านการครอบครอง ของพวกนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ และพร้อมที่จะสนับสนุนชาวอิหร่านให้ได้อิสรภาพ อังกฤษทนไม่ได้ ถลาเข้ามาแก้ตัวจนลิ้นพันกัน พร้อมเริ่มขบวนการโฆษณาชวนเชื่อในอิหร่าน บรรยายความเลวร้ายของลัทธิคอมมิวนิสต์ออกสื่อทุกวัน เพื่อกันไม่ให้พวกบอลเชวิก เข้ามาในอิหร่าน โดยเฉพาะทางด้านเหนือที่ติดกับเขตแดนของรัสเซีย ในที่สุด อังกฤษตัดสินใจเลิกใช้ไม้นวม เข้าไปควบคุมสถานการณ์ในอิหร่าน โดยคว้าข้อมืออิหร่าน จับให้ทำสัญญา Anglo – Persian Agreement เมื่อ ค.ศ. 1919 ให้อังกฤษมีสิทธิควบคุมเหนืออิหร่าน ในด้านกองทัพ การคลัง และระบบการขนส่งทั้งหมด และเพื่อให้แน่ใจว่าอำนาจอยู่ในมือเต็มทั้ง 2 มือ อังกฤษประกาศกฎอัยการศึก และเริ่มให้มีการใช้ธนบัตรในการซื้อขาย โอ้โห นี่ขนาดเพิ่งต้มตุ๋น ได้น้ำมันมาบ่อเดียวนะ ยังปฏิบัติการเฉียบขนาดนี้เลย นี่ถ้ามี หลายบ่อ หลายหลุม เรียงกันเป็นพรึด มันจะคุมประเทศเขาเข้มขนาดไหนหนอ.. แต่ชาวอิหร่านก็ดูเหมือนจะไม่ได้พร้อมใจ จะอยู่ใต้อุ้งมือของชาวเกาะใหญ่ฯ พวกเขาพยายามต่อต้าน แต่แล้วใน ค.ศ. 1921 เมื่อการต่อต้านรุนแรงขึ้น แถมศึกชิงน้ำมันของกลุ่มนักล่าหน้าใหม่จากอีกฝั่งหนึ่ง ของ มหาสมุทรแอตแลนติก เริ่มดุเดือดเลือดพล่านขึ้น อังกฤษปรับแผนใหม่อีกรอบ สนับสนุนให้มีการปฏิวัติโดย Reza Khan ซึ่งภายหลังประกาศตั้งตัวเองเป็น Shah คนใหม่ ในปี ค.ศ. 1926 เป็นต้นราชวงศ์ Pahlevi หุ่นเชิดของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย
Shah ใช้ความเหี้ยมโหด ข่มเหง กดขี่ ประชาชนต่อไป ภายใต้การหนุน และชักใยของนักล่าชาวเกาะฯ แหม ! แผมใหม่นี่ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ยุซ้าย เสี้ยมขวา ให้พวกมันก็ตีกันเอง แล้วเราก็ขุดน้ำมันรวยไป เรื่อย ๆ สบายใจดี ฮ่า ฮ่า อร่อยนุ่ม เคี้ยวเพลิน ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
14 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • โครงสร้างสังคมยุคใหม่ 2-10-68 …ภายใต้ระบอบพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
    2/10/68
     ภาระหน้าที่ของรัฐ : หนุนช่วยภาคประชาชนและสร้างอาชีพให้กับประชาชน หมดปัญหาความเหลื่อมล้ำ - หมดปัญหาคนยากไร้
     ทั้งนี้เพื่อไม่เกิดปัญหาสังคมที่ครอบครัวแย่งชิงทรัพย์สมบัติกันเมื่อลูกหลานเติบโตขึ้น สายใยความรักแห่งครอบครัวและเครือญาติก็จะมั่นคงยั่งยืนและสุขใจ
     ปัญหาความขัดแย้งลูกจ้าง-นายจ้างก็จะหมดไป
     ปัญหาความโลภความเห็นแก่ตัวของนักการเมืองและส.ส.ก็จะสลายไป
     การเรียน เรียนที่ใจชอบ ที่ไม่ชอบไม่ต้องเสียเวลาเรียน จบแล้วให้อาชีพทำเลย (มีระบบทดสอบความชอบตั้งแต่เตรียมอนุบาล รู้ชัดแล้วแววชอบและทักษะไปทางใหนก็เสริมวิชาไปทางนั้น จัดให้เลย)
     การค้ายาเสบติด และ คอร์รัปชั่น โทษติดคุกและถึงขั้นประหารชีวิต ต้องเฉียบขาด

    1. ก่อนอื่น ลดค่าครองชีพประชาชน สร้างกำลังซื้อ สร้างภาวะหมุนเวียน
    - บ้านพักฟรี สถานที่ประกอบอาชีพฟรี การศึกษาฟรี
    - สนองเครื่องประกอบอาชีพฟรี เป็นรายบุคคล
    - สนองเครื่องประกอบอาชีพฟรี เครื่องมือพัฒนาจัดให้เลย เป็นคณะ นำโดยผู้นำ กรณีเกษตร ควรเป็นคณะ-ควรเป็นชุมชน ที่ดินจะได้ผืนใหญ่ ง่ายต่อเครื่องจักรใหญ่ การเป็นชุมชนการแปรพืชผลเกตรได้หลากหลาย (อาจต้องเสริมผู้จบหลักสูตรทำอาหารและชนม) ซึ่งนำโดยผู้นำและผู้บริหาร
    -สนองเครื่องเทคโนโลยี-ไฮเทค หุ้นส่วน+ภาครัฐ นำโดยผู้นำและผู้บริหาร

     ภาคประชาชน หนุนช่วยรัฐ :
    1.เมื่อปัจจัยพื้นฐานต่างๆในการประกอบอาชีพ ภาครัฐนั้นสนองให้ทั้งหมดแล้ว
    ส่วนภาคประชาชน การหนุนช่วยต่อภาครัฐ นั้น คือ ภาระหน้าที่ เสียภาษีแก่รัฐ (เพื่อรัฐจะได้ช่วยด้านต่างๆได้มากขึ้น) กิจการเล็ก-ใหญ่ล้วนต้องเสียภาษีตามรายได้-ตามยอดขาย โดยผ่านระบบคิวอาร์โค้ต เพื่อให้เงินภาษีไหลเวียนสู่การคลังได้ทันที เพื่อให้ภาครัฐมีกำลังเงินคล่องตัวหมุนเวียน
    # อุทิศเพื่อสังคม : หนุนช่วยภาครัฐในด้านต่างๆ
    # สนับสนุนหนุนช่วยต่อชนรุ่นใหม่ อาชีพเกิดใหม่
    *คำขวัญ คือ ช่วยชาติ ช่วยรัฐ ช่วยคนรุ่นใหม่- สิ่งเกิดใหม่!

    2.ธุรกิจประเภท “เก็งกำไร” จะต้องไม่ให้มี ในประเทศไทย (อย่าเหมือนจีนที่ประสพปัญหาเช่น วิกฤติอสังหาฯ และการศึกษาเอกชน(การเรียนแข่งกันสูงและแพง) เป็นภาระค่าใช้จ่ายสูงมาก ทำให้คนหนุ่มสาวไม่ยอมแต่งงาน ถ้าจะแต่งก็ไม่ยอมมีลูก เป็นผลให้ประชากรประเทศลดลง (ไม่สน ที่รัฐบาลมี นโยบายให้มีลูกสามคน – จากหนึ่งคน)

    *ประเทศไทย ต้องไม่มี ธุรกิจประเภท “เก็งกำไร” เช่น
    - ธุรกิจอสังหาฯ
    - ธุรกิจซื้อขายที่ดิน
    -ธุรกิจตลาดหลักทรัพย์
    -ธุรกิจปล่อยกู้
    -ธุรกิจการธนาคารเอกชน (ยกเว้นภาครัฐ่)
    -ธุรกิจการศึกษาเอกชนทั้งปวง
    • นับตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมหาวิทยาลัยเอกชน อีกทั้ง มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ: รวมทั้งสอนพิเศษ (เป็นหน้าที่โดยรัฐ่เท่านั้น)
    2.1 ธุรกิจอสังหา ธุรกิจธนาคารเอกชน ธุรกิจปล่อยกู้
    พักหนี้ทั้งหมด 3 ปี ภาครัฐจะชดเชยให้แทน

    หมายเหตุ โครงสร้างสังคมยุคใหม่ ที่เขียนมานี้ เป็นเพียง ”รูปแบบโครงสร้างสังคมตัวอย่าง” จึงต้อง ช่วยกันคิด ช่วยกันเขียนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเข็มทิศรูปธรรมแก่สังคม เป็นเป้าหมายให้มุ่งไป
    - ซึ่งการเคลื่อนไหวนั้น
    - ต้องมีเข็มทิศรูปธรรมเพื่อเป็นเป้าหมายนำพา และเป็นเป้าหมายของการตั้งพรรคของเราด้วย
    - คือต้อง “มีสามสิ่งนี้พร้อม!” ประเทศไทยเปลี่ยน!
    - 1.พลังของประชาชน (หมอเขียว คปท. คณะรวมพลังแผ่นดิน พันธมิตร=ต่างมีความพร้อม) สิ่งที่1นี้พร้อม
    - 2.เข็มทิศเป้าหมายรูปธรรม (รูปแบบโครงสร้างสังคมยุคใหม่ที่ตกผลึกกันแล้ว) สิ่งที่2นี้พร้อม
    - 3. โฉมหน้า “พรรคการเมืองใหม่หรือยุคใหม่นี้” ตั้งพรรคสำเร็จ คือ สิ่งที่3นี้พร้อม
    -
    อาวุธวิเศษสามสิ่งนี้ จะขาด จะหย่อนสิ่งใดไม่ได้

    การเลือกตั้งปี70ครั้งนี้(ช่วง28มิย.2570}
    ต้องตั้ง “พรรคการเมืองใหม่หรือยุคใหม่”เกิดขึ้นและ ชนะเลือกตั้ง ให้มีทุกจังหวัด ทุกอำเภอ

    A---------------------------------------------
    (คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ : ที่สำคัญ “การเลือกตั้ง”เป็นกระบวนการสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยทางผู้แทน เพื่อกำหนดว่าใครจะเป็นผู้เข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย อาจกล่าวได้ว่าหากการปกครองใดไม่มีการเลือกตั้งย่อมไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตย
    ประเทศไทยจึงเกิดภาวการณ์ ส.ส.และ นักการเมืองใช้หลากกลวิธีสกปรกแย่งชิงกันเพื่อเอาชนะเลือกตั้ง เพื่อมีสิทธิ์เข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อยึดอำนาจอธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตยของบ้านเมือง
    เพื่อยึดอำนาจ เพื่อเข้ากอบโกย

    จึงเป็นกติกาประเทศ ผู้ใดพรรคใดชนะเลือกตั้งก็มีสิทธ์มีอำนาจปกครองประเทศแทนประชาชน
    เจ้าของประเทศ

    a--------------------------------------
    พอดีช่วง28มิย.2570 จะมีการเลือกตั้ง
    จึงเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่กระแสเหล่าพรรคการเมืองตกต่ำ
    จึงเป็นโอกาสตั้งพรรคการเมืองของเรา ซึ่งไม่ใช่ความต้องการส่วนตัว “อยากดัง” เลิกมองแบบนี้ได้เลย คำๆนี้ เป็นคำ”บอนไซ อนาคตประเทศ”
    เราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ต้องมีพรรค “เป็นกองหน้า” พรรคหนึ่งชื่อว่า พรรคการเมืองใหม่หรือพรรคการเมืองยุคใหม่ โดยมีนโยบายรูปธรรมเป็นเป้าหมาย
    การลงสมัครพรรคการเมือง (จึงมีสิทธิ์ลงเลือกตั้ง)
    การลงเลือกตั้ง(จีงจะมีสิทธิคว้าอำนาจทางการเมืองมันเป็นกติกาของบ้านเมือง) ความคิดจึงจะเป็นจริง

    การเคลื่อนไหว “ (หมอเขียว คปท. คณะรวมพลังแผ่นดิน พันธมิตร )สร้างความตื่นตัวของประชาชน
    คือ รูปการที่1 ส่วน (การตั้งพรรคการเมือง) เพื่อมุ่งสู่ยึดอำนาจรัฐ ด้วยรูปแบบตามกติกา “เลือกตั้ง”คือรูปการที่2 ทั้งสองรูปการต้องเดินคู่ขนานกันไป



    a------------------------------------

    ประเทศเนปาล ปัญหาเปราะบางของเขา คือ มีความเหลื่อมล้ำสูง จากการคอรัปชั่นของนักการเมือง คือการลงถนน 20 กว่าปี ของเขาต้องการเปลี่ยนแปลง อันดับแรกก็คือ “กษัตริย์” ที่ปกครองอยู่ ลงถนนกดดันขับไล่ จนกษัตริย์ลาออก ฝูงชนดีใจร้องรำทำเพลงกันเต็มท้องถนนที่จะได้ “ระบอบประชาธิปไตย”กันแล้ว จึงได้ “นักการเมือง -ส.ส.” มา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าครองอำนาจ ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ก็แก้ความเหลื่อมล้ำไม่ได้ ด้วยเนปาลพื้นที่ทำเกษตรเป็นป่าเขาเยอะจึงดึงพรรคคอมมิวนิสต์เข้ามา ทั้งเหมาอีดส์ และมาร์กซ์ ทำสงครามรบ ร่วม10ปี มีตายและบาดเจ็บ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นลงจับมือกับหัวหน้าพรรคฯออกกฎหมาย “พรรคคอมมิวต์ถูกต้องตามกฎหมาย สมัครเป็นพรรคการเมืองได้ จึงทำให้ประชาชนพากันผิดหวังกันไป ซึ่งปัญหาความเหลื่อมล้ำก็ไม่ได้รับการแก้ไข ขณะเดียวกันก็อัญเชิญกษัตรย์องค์เดิมมาปกครองต่อ อีกทั้งเห็นลูกหลานนักการเมืองใช้ชีวิตหรูหราใส่ชุดแบนด์หรู ออกสื่อโชว์ความสุขสำราญของพวกเขา ประจวบกับเหล่านักการเมืองในสภาผ่านเพิ่มเงินเดือนให้กันเอง ออกภาพสื่อร้องรำเต้นด้วยความดีใจกัน มีการคุมวัยเจนชีไม่ให้เข้าถึง แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เท่านั้นแหละ การเคลื่อนไหวลงถนนลุกลามไปใหญ่ ถึงแม้ ประกดาศยกเลิกการห้ามดูเน็ตก็เอาไม่อยู่ มีการเผาสภา เผาสถานที่ราชการ เผาบ้านนายกรัฐมนตรี ต่างๆ ไล่ทำร้ายรัฐมนตรีคลัง หนีลงน้ำยังถูกตามไล่ทำร้าย จนทหารออกมาระงับสถานการณ์ แต่เอาไม่อยู่ จนนายพลทับบกต้องออกมาเอง ขอคุยกับผู้นำกลุ่มเจนซี
    ตกลงจะมอบให้“สุศิลา คาร์กี”อดีตประธานศาลฎีกาเนปาล เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการของเนปาล
    จัดให้การเลือกตั้งภายใน 6 เดือน (หลังเลือกตั้งเนปาลก็ยังคงเหมือนเดิม) พรรคการเมืองใหญ่8พรรคยังคงอยู่ : พรรคการเมืองหลัก 8 พรรคของเนปาล รวมถึง พรรคคองเกรสเนปาล (Nepali Congress) พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (รวมลัทธิมาร์กซ์-เลนินิสต์) (CPN-UML) และพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (ลัทธิเหมา) เนปาลจะไม่มีทางเปลี่ยนโฉมได้เลย
    สาเหตุเพราะ ขาดพรรคนำ ขาดเข็มทิศโครงสร้างสังคมเป็นเป้าหมาย ขาดพลังมวลชนที่ตื่นตัวทางทฤษฎี










    โครงสร้างสังคมยุคใหม่ 2-10-68 …ภายใต้ระบอบพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข 2/10/68  ภาระหน้าที่ของรัฐ : หนุนช่วยภาคประชาชนและสร้างอาชีพให้กับประชาชน หมดปัญหาความเหลื่อมล้ำ - หมดปัญหาคนยากไร้  ทั้งนี้เพื่อไม่เกิดปัญหาสังคมที่ครอบครัวแย่งชิงทรัพย์สมบัติกันเมื่อลูกหลานเติบโตขึ้น สายใยความรักแห่งครอบครัวและเครือญาติก็จะมั่นคงยั่งยืนและสุขใจ  ปัญหาความขัดแย้งลูกจ้าง-นายจ้างก็จะหมดไป  ปัญหาความโลภความเห็นแก่ตัวของนักการเมืองและส.ส.ก็จะสลายไป  การเรียน เรียนที่ใจชอบ ที่ไม่ชอบไม่ต้องเสียเวลาเรียน จบแล้วให้อาชีพทำเลย (มีระบบทดสอบความชอบตั้งแต่เตรียมอนุบาล รู้ชัดแล้วแววชอบและทักษะไปทางใหนก็เสริมวิชาไปทางนั้น จัดให้เลย)  การค้ายาเสบติด และ คอร์รัปชั่น โทษติดคุกและถึงขั้นประหารชีวิต ต้องเฉียบขาด 1. ก่อนอื่น ลดค่าครองชีพประชาชน สร้างกำลังซื้อ สร้างภาวะหมุนเวียน - บ้านพักฟรี สถานที่ประกอบอาชีพฟรี การศึกษาฟรี - สนองเครื่องประกอบอาชีพฟรี เป็นรายบุคคล - สนองเครื่องประกอบอาชีพฟรี เครื่องมือพัฒนาจัดให้เลย เป็นคณะ นำโดยผู้นำ กรณีเกษตร ควรเป็นคณะ-ควรเป็นชุมชน ที่ดินจะได้ผืนใหญ่ ง่ายต่อเครื่องจักรใหญ่ การเป็นชุมชนการแปรพืชผลเกตรได้หลากหลาย (อาจต้องเสริมผู้จบหลักสูตรทำอาหารและชนม) ซึ่งนำโดยผู้นำและผู้บริหาร -สนองเครื่องเทคโนโลยี-ไฮเทค หุ้นส่วน+ภาครัฐ นำโดยผู้นำและผู้บริหาร  ภาคประชาชน หนุนช่วยรัฐ : 1.เมื่อปัจจัยพื้นฐานต่างๆในการประกอบอาชีพ ภาครัฐนั้นสนองให้ทั้งหมดแล้ว ส่วนภาคประชาชน การหนุนช่วยต่อภาครัฐ นั้น คือ ภาระหน้าที่ เสียภาษีแก่รัฐ (เพื่อรัฐจะได้ช่วยด้านต่างๆได้มากขึ้น) กิจการเล็ก-ใหญ่ล้วนต้องเสียภาษีตามรายได้-ตามยอดขาย โดยผ่านระบบคิวอาร์โค้ต เพื่อให้เงินภาษีไหลเวียนสู่การคลังได้ทันที เพื่อให้ภาครัฐมีกำลังเงินคล่องตัวหมุนเวียน # อุทิศเพื่อสังคม : หนุนช่วยภาครัฐในด้านต่างๆ # สนับสนุนหนุนช่วยต่อชนรุ่นใหม่ อาชีพเกิดใหม่ *คำขวัญ คือ ช่วยชาติ ช่วยรัฐ ช่วยคนรุ่นใหม่- สิ่งเกิดใหม่! 2.ธุรกิจประเภท “เก็งกำไร” จะต้องไม่ให้มี ในประเทศไทย (อย่าเหมือนจีนที่ประสพปัญหาเช่น วิกฤติอสังหาฯ และการศึกษาเอกชน(การเรียนแข่งกันสูงและแพง) เป็นภาระค่าใช้จ่ายสูงมาก ทำให้คนหนุ่มสาวไม่ยอมแต่งงาน ถ้าจะแต่งก็ไม่ยอมมีลูก เป็นผลให้ประชากรประเทศลดลง (ไม่สน ที่รัฐบาลมี นโยบายให้มีลูกสามคน – จากหนึ่งคน) *ประเทศไทย ต้องไม่มี ธุรกิจประเภท “เก็งกำไร” เช่น - ธุรกิจอสังหาฯ - ธุรกิจซื้อขายที่ดิน -ธุรกิจตลาดหลักทรัพย์ -ธุรกิจปล่อยกู้ -ธุรกิจการธนาคารเอกชน (ยกเว้นภาครัฐ่) -ธุรกิจการศึกษาเอกชนทั้งปวง • นับตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมหาวิทยาลัยเอกชน อีกทั้ง มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ: รวมทั้งสอนพิเศษ (เป็นหน้าที่โดยรัฐ่เท่านั้น) 2.1 ธุรกิจอสังหา ธุรกิจธนาคารเอกชน ธุรกิจปล่อยกู้ พักหนี้ทั้งหมด 3 ปี ภาครัฐจะชดเชยให้แทน หมายเหตุ โครงสร้างสังคมยุคใหม่ ที่เขียนมานี้ เป็นเพียง ”รูปแบบโครงสร้างสังคมตัวอย่าง” จึงต้อง ช่วยกันคิด ช่วยกันเขียนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเข็มทิศรูปธรรมแก่สังคม เป็นเป้าหมายให้มุ่งไป - ซึ่งการเคลื่อนไหวนั้น - ต้องมีเข็มทิศรูปธรรมเพื่อเป็นเป้าหมายนำพา และเป็นเป้าหมายของการตั้งพรรคของเราด้วย - คือต้อง “มีสามสิ่งนี้พร้อม!” ประเทศไทยเปลี่ยน! - 1.พลังของประชาชน (หมอเขียว คปท. คณะรวมพลังแผ่นดิน พันธมิตร=ต่างมีความพร้อม) สิ่งที่1นี้พร้อม - 2.เข็มทิศเป้าหมายรูปธรรม (รูปแบบโครงสร้างสังคมยุคใหม่ที่ตกผลึกกันแล้ว) สิ่งที่2นี้พร้อม - 3. โฉมหน้า “พรรคการเมืองใหม่หรือยุคใหม่นี้” ตั้งพรรคสำเร็จ คือ สิ่งที่3นี้พร้อม - อาวุธวิเศษสามสิ่งนี้ จะขาด จะหย่อนสิ่งใดไม่ได้ – การเลือกตั้งปี70ครั้งนี้(ช่วง28มิย.2570} ต้องตั้ง “พรรคการเมืองใหม่หรือยุคใหม่”เกิดขึ้นและ ชนะเลือกตั้ง ให้มีทุกจังหวัด ทุกอำเภอ A--------------------------------------------- (คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ : ที่สำคัญ “การเลือกตั้ง”เป็นกระบวนการสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยทางผู้แทน เพื่อกำหนดว่าใครจะเป็นผู้เข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย อาจกล่าวได้ว่าหากการปกครองใดไม่มีการเลือกตั้งย่อมไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยจึงเกิดภาวการณ์ ส.ส.และ นักการเมืองใช้หลากกลวิธีสกปรกแย่งชิงกันเพื่อเอาชนะเลือกตั้ง เพื่อมีสิทธิ์เข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อยึดอำนาจอธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตยของบ้านเมือง เพื่อยึดอำนาจ เพื่อเข้ากอบโกย จึงเป็นกติกาประเทศ ผู้ใดพรรคใดชนะเลือกตั้งก็มีสิทธ์มีอำนาจปกครองประเทศแทนประชาชน เจ้าของประเทศ a-------------------------------------- พอดีช่วง28มิย.2570 จะมีการเลือกตั้ง จึงเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่กระแสเหล่าพรรคการเมืองตกต่ำ จึงเป็นโอกาสตั้งพรรคการเมืองของเรา ซึ่งไม่ใช่ความต้องการส่วนตัว “อยากดัง” เลิกมองแบบนี้ได้เลย คำๆนี้ เป็นคำ”บอนไซ อนาคตประเทศ” เราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ต้องมีพรรค “เป็นกองหน้า” พรรคหนึ่งชื่อว่า พรรคการเมืองใหม่หรือพรรคการเมืองยุคใหม่ โดยมีนโยบายรูปธรรมเป็นเป้าหมาย การลงสมัครพรรคการเมือง (จึงมีสิทธิ์ลงเลือกตั้ง) การลงเลือกตั้ง(จีงจะมีสิทธิคว้าอำนาจทางการเมืองมันเป็นกติกาของบ้านเมือง) ความคิดจึงจะเป็นจริง การเคลื่อนไหว “ (หมอเขียว คปท. คณะรวมพลังแผ่นดิน พันธมิตร )สร้างความตื่นตัวของประชาชน คือ รูปการที่1 ส่วน (การตั้งพรรคการเมือง) เพื่อมุ่งสู่ยึดอำนาจรัฐ ด้วยรูปแบบตามกติกา “เลือกตั้ง”คือรูปการที่2 ทั้งสองรูปการต้องเดินคู่ขนานกันไป a------------------------------------ ประเทศเนปาล ปัญหาเปราะบางของเขา คือ มีความเหลื่อมล้ำสูง จากการคอรัปชั่นของนักการเมือง คือการลงถนน 20 กว่าปี ของเขาต้องการเปลี่ยนแปลง อันดับแรกก็คือ “กษัตริย์” ที่ปกครองอยู่ ลงถนนกดดันขับไล่ จนกษัตริย์ลาออก ฝูงชนดีใจร้องรำทำเพลงกันเต็มท้องถนนที่จะได้ “ระบอบประชาธิปไตย”กันแล้ว จึงได้ “นักการเมือง -ส.ส.” มา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าครองอำนาจ ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ก็แก้ความเหลื่อมล้ำไม่ได้ ด้วยเนปาลพื้นที่ทำเกษตรเป็นป่าเขาเยอะจึงดึงพรรคคอมมิวนิสต์เข้ามา ทั้งเหมาอีดส์ และมาร์กซ์ ทำสงครามรบ ร่วม10ปี มีตายและบาดเจ็บ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นลงจับมือกับหัวหน้าพรรคฯออกกฎหมาย “พรรคคอมมิวต์ถูกต้องตามกฎหมาย สมัครเป็นพรรคการเมืองได้ จึงทำให้ประชาชนพากันผิดหวังกันไป ซึ่งปัญหาความเหลื่อมล้ำก็ไม่ได้รับการแก้ไข ขณะเดียวกันก็อัญเชิญกษัตรย์องค์เดิมมาปกครองต่อ อีกทั้งเห็นลูกหลานนักการเมืองใช้ชีวิตหรูหราใส่ชุดแบนด์หรู ออกสื่อโชว์ความสุขสำราญของพวกเขา ประจวบกับเหล่านักการเมืองในสภาผ่านเพิ่มเงินเดือนให้กันเอง ออกภาพสื่อร้องรำเต้นด้วยความดีใจกัน มีการคุมวัยเจนชีไม่ให้เข้าถึง แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เท่านั้นแหละ การเคลื่อนไหวลงถนนลุกลามไปใหญ่ ถึงแม้ ประกดาศยกเลิกการห้ามดูเน็ตก็เอาไม่อยู่ มีการเผาสภา เผาสถานที่ราชการ เผาบ้านนายกรัฐมนตรี ต่างๆ ไล่ทำร้ายรัฐมนตรีคลัง หนีลงน้ำยังถูกตามไล่ทำร้าย จนทหารออกมาระงับสถานการณ์ แต่เอาไม่อยู่ จนนายพลทับบกต้องออกมาเอง ขอคุยกับผู้นำกลุ่มเจนซี ตกลงจะมอบให้“สุศิลา คาร์กี”อดีตประธานศาลฎีกาเนปาล เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการของเนปาล จัดให้การเลือกตั้งภายใน 6 เดือน (หลังเลือกตั้งเนปาลก็ยังคงเหมือนเดิม) พรรคการเมืองใหญ่8พรรคยังคงอยู่ : พรรคการเมืองหลัก 8 พรรคของเนปาล รวมถึง พรรคคองเกรสเนปาล (Nepali Congress) พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (รวมลัทธิมาร์กซ์-เลนินิสต์) (CPN-UML) และพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (ลัทธิเหมา) เนปาลจะไม่มีทางเปลี่ยนโฉมได้เลย สาเหตุเพราะ ขาดพรรคนำ ขาดเข็มทิศโครงสร้างสังคมเป็นเป้าหมาย ขาดพลังมวลชนที่ตื่นตัวทางทฤษฎี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 344 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 5”
    เป็นเวลากว่า 2 เดือน ที่นักธุรกิจชาว Chicago (มาแล้ว !) ชื่อ Charles Crane และนักเทววิทยา (อีกแล้ว) ชาวอเมริกัน ชื่อ Henry King เดินทางไปทั่วตะวันออกกลางตามที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี Wilson เพื่อสอบถามชาวอาหรับระดับหัวหน้าหลายร้อยคน แม้ว่าอังกฤษและฝรั่งเศสจะพยายามใช้อิทธิพลของตนเอง กำหนดโผของตนเองให้ชาวอาหรับท่องตาม แต่ผลของการสำรวจก็ดูจะออกมาทางตรงกันข้ามกับโผที่คู่หูคู่กัดอังกฤษฝรั่งเศสที่ไปกำกับบทไว้
    ชาวซีเรียไม่ต้องการอยู่ในความปกครองของฝรั่งเศส และชาวปาเลสไตน์ไม่สนใจที่จะอยู่ในความปกครองของอังกฤษ แต่อังกฤษประสบผลสำเร็จในการสกัดไม่ให้อเมริกาทำการสำรวจในแถบเมโสโปแตเมีย (น่าคิดอังกฤษทำได้อย่างไรนะ)
    เดือนสิงหาคม King และ Crane ส่งรายงานสำรวจ เขาเสนอให้มีการปกครองซีเรียและปาเลสไตน์ร่วมกัน โดยคนกลางคืออเมริกา แทนการปกครองโดยพวกอดีตนักล่าอาณานิคมยุโรป และเสนอให้ Faisal ลูกชายของ Hussein เป็นหัวหน้ารัฐอาหรับ ถือเป็นการพยายามเป็นตาอยู่ของอเมริกาที่น่าสนใจ แม้จะโป๊อล่างฉ่าง ตามสไตล์และตามประสานักล่าหน้าใหม่ แต่ต้องให้คะแนนความกล้าหน้าด้านแข่งกับพวกนักล่ารุ่นเก๋า ในเกมการแย่งชิงชามข้าวหรือขนมเค้ก คติพจน์ที่เราไม่ควรลืมคือ ด้านได้ อาย อด เขาใช้กันมาทุกชาติ ทุกสมัย จนถึงปัจจุบันนี้
    ภายใต้ความกดดันของอังกฤษและของฝรั่งเศส และเพราะความป่วยไข้ของประธานาธิบดี Wilson รายงานนี้ได้ถูกซ่อน และได้นำออกมาเปิดเผย 3 ปีให้หลัง ซึ่งถึงตอนนั้น ปารีสและลอนดอน ก็ตกลงกันในแผนที่ใหม่ของตะวันออกกลางเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งแน่นอนออกมาตรงกันข้ามกับที่ King และ Crane เสนอ
    ฝรั่งเศสตกลงได้ปกครองเลบานอนและซีเรียตามต้องการ
    ส่วนอังกฤษได้ปกครองเมโสโปเตเมีย ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นอีรัค ซึ่งได้รวมเอา Mosul ส่วนที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันเข้าไว้ด้วย พร้อมกับได้ปกครองปาเลสไตน์ (ชื่อ Mosul นี้ คงทำให้ท่านผู้อ่านนิทานเริ่มเห็นภาพ หรือเข้าใจบางอย่างได้อย่างลาง ๆ แล้ว)
    ส่วนจอร์แดนให้เป็นรัฐกันชน โดยให้ Prince Abdullah ลูกชายของ Sharif Hussein มาเป็นกษัตริย์ปกครอง ภายใต้การดูแลของอังกฤษและฝรั่งเศสร่วมกัน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสก็ยังเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง เหนือดินแดนของลูกถูกเสี้ยมทั้งหมด มันเป็นการหลอกและต้ม Sharif Hussein จนเปื่อยยุ่ย
    ส่วนพวกยิว ได้รับอนุญาตจากอังกฤษให้ตั้งรกรากอยู่ที่ปาเลสไตน์ โดยมีข้อจำกัดบางประการ อังกฤษยังไม่พร้อมที่จะให้กลุ่มอาหรับ ที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์อยู่แล้วลุกฮือขึ้นมา ดังนั้น จึงพยายามจำกัดจำนวนยิว ที่จะอพยพเข้าไปอยู่ในปาเลสไตน์ การจำกัดจำนวนนี้ ก็ทำให้ฝ่ายยิวไม่พอใจ หาทางที่จะเล็ดลอดอพยพเข้าไปในดินแดนนี้อยู่ดีในช่วงปี ค.ศ. 1920-1940 ขณะเดียวกันฝ่ายอาหรับที่อาศัยตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์ ก็ถือว่าการอพยพชาวยิวมาอยู่ที่ปาเลสไตน์ เป็นการละเมิดสิทธิของพวกเขาที่มีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1187
    ข้อตกลงทั้งหมดนี้ ภายหลังได้รับความเห็นชอบและยืนยัน โดยสันนิบาตชาติ (League of Nations ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสหประชาชาติ) ที่ตั้งขึ้นมาเมื่อ ค.ศ. 1918 ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุด หนึ่งในวัตถุประสงค์ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อแบ่งสมบัติส่วนที่เคยเป็นอาณาจักรออตโตมาน ในระหว่างฝ่ายผู้ชนะสงคราม
    สันนิบาตชาตินี้ นำโดยสมาชิกที่เป็นชาติมหาอำนาจที่ชนะสงคราม คือ อังกฤษและฝรั่งเศส อีก 2 ชาติมหาอำนาจ รัสเซียกับเยอรมัน ไม่มีสิทธิร่วมด้วย เพราะเยอรมันเป็นผู้แพ้สงคราม ส่วนรัสเซียหลังสงคราม เกิดปฏิวัติบอคเชวิก เปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ถูกจำกัดสิทธิไม่ให้เป็นสมาชิก การแบ่งเค้กที่ ตกลงข้างต้น จึงไม่มีทางแหกโผของอังกฤษ !
    ต้องยอมรับในความตอแหล หน้าด้านของอังกฤษว่าสามารถจริง ๆ ค.ศ. 1917 โลกส่วนหนึ่งมึนงงกับข้อตกลงที่อังกฤษทำไว้กับ 3 กลุ่ม ตกลงเกี่ยวกับอนาคตของตะวันออกกลาง 3 แบบ พวกอาหรับยืนยันว่าพวกเขาต้องได้อาณาจักรอาหรับในฝัน ตามที่อังกฤษตกลงไว้กับ Sharif Hussein ส่วนฝรั่งเศส และอังกฤษ ตั้งใจที่จะเดินหน้าแบ่งเค้กอาหรับตามที่ตกลงกัน และชาวยิวก็เชื่อว่าตัวเองจะต้องได้ครอบครอง ปาเลสไตน์ ตามที่นาย Balfour รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษตกลงไว้
    อังกฤษทำได้อย่างไร อังกฤษบอกทำได้สบายมาก เพราะเป็นสันดานที่เห็นแก่ได้ โกหก ตลบแตลง ปลิ้นปล้อน ที่ทำมาตลอดในการล่าเหยื่อ และเด็กชายสยามก็เกือบจะไม่รอดจากการเป็นเหยื่อ จากการกระทำเยี่ยงนี้ของอังกฤษ
    ชาวอาหรับบอกว่า จนถึงทุกวันนี้ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับดินแดน ในตะวันออกกลาง ไม่ได้แสดงถึงความขัดแย้งอย่างแท้จริงระหว่างกลุ่มชนพื้นเมือง ระหว่างชาวอิรัค ชาวซีเรีย ชาวจอร์แดน ฯลฯ แต่เป็นความขัดแย้งที่มีรากมาจากการล่าอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่ง “ตั้งใจ” วางรูปแบบและแผนการณ์ที่จะให้มีความขัดแย้ง และการแตกแยกเกิดขึ้นระหว่างกลุ่มชนชาวอาหรับด้วยกันเองต่างหาก อังกฤษและพวกได้กำหนดเขตแดนของพวกเขาโดยไม่เคารพ ไม่คำนึงถึงความเป็นจริง ถึงจริยธรรมและความต้องการพวกเขา เหมือนพวกเขาไม่มีตัวตนเกี่ยวข้องกับแผนที่และพื้นที่ ราวกับพวกเขาเป็นมนุษย์ล่องหน พวกเขาตกเป็นเหยื่อแห่งความกระหาย ตะกระ ตะกรามของอังกฤษและพวก ซึ่งกำหนดเขตแดนขึ้นมาอย่างชนิดที่ คนที่อยู่ในเขตแดนก็รับไม่ได้ และที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่พอใจ แล้วแบบนี้ความสงบ ความปรองดอง มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นผลงานที่สร้างตะวันออกกลางใหม่ จากอำนาจ และจากความพอใจของผู้สร้าง คือ นักล่าอาณานิคม ที่ควบคุมโดยอังกฤษแต่ผู้เดียว
    มันเป็นการจงใจสร้างให้เกิดความขัดแย้ง ความไม่สามัคคีในระหว่างชาวอาหรับ ซึ่งทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมือง ทั่วทั้งตะวันออกกลาง ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และยังมีผลสืบเนื่องอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้
    ไม้เสี้ยมของอังกฤษ ยังทำงานได้ผลดีเยี่ยม แม้ว่าจะได้เสียบไว้นาน 100 ปี แล้ว
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
19 ส.ค. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 5” เป็นเวลากว่า 2 เดือน ที่นักธุรกิจชาว Chicago (มาแล้ว !) ชื่อ Charles Crane และนักเทววิทยา (อีกแล้ว) ชาวอเมริกัน ชื่อ Henry King เดินทางไปทั่วตะวันออกกลางตามที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี Wilson เพื่อสอบถามชาวอาหรับระดับหัวหน้าหลายร้อยคน แม้ว่าอังกฤษและฝรั่งเศสจะพยายามใช้อิทธิพลของตนเอง กำหนดโผของตนเองให้ชาวอาหรับท่องตาม แต่ผลของการสำรวจก็ดูจะออกมาทางตรงกันข้ามกับโผที่คู่หูคู่กัดอังกฤษฝรั่งเศสที่ไปกำกับบทไว้ ชาวซีเรียไม่ต้องการอยู่ในความปกครองของฝรั่งเศส และชาวปาเลสไตน์ไม่สนใจที่จะอยู่ในความปกครองของอังกฤษ แต่อังกฤษประสบผลสำเร็จในการสกัดไม่ให้อเมริกาทำการสำรวจในแถบเมโสโปแตเมีย (น่าคิดอังกฤษทำได้อย่างไรนะ) เดือนสิงหาคม King และ Crane ส่งรายงานสำรวจ เขาเสนอให้มีการปกครองซีเรียและปาเลสไตน์ร่วมกัน โดยคนกลางคืออเมริกา แทนการปกครองโดยพวกอดีตนักล่าอาณานิคมยุโรป และเสนอให้ Faisal ลูกชายของ Hussein เป็นหัวหน้ารัฐอาหรับ ถือเป็นการพยายามเป็นตาอยู่ของอเมริกาที่น่าสนใจ แม้จะโป๊อล่างฉ่าง ตามสไตล์และตามประสานักล่าหน้าใหม่ แต่ต้องให้คะแนนความกล้าหน้าด้านแข่งกับพวกนักล่ารุ่นเก๋า ในเกมการแย่งชิงชามข้าวหรือขนมเค้ก คติพจน์ที่เราไม่ควรลืมคือ ด้านได้ อาย อด เขาใช้กันมาทุกชาติ ทุกสมัย จนถึงปัจจุบันนี้ ภายใต้ความกดดันของอังกฤษและของฝรั่งเศส และเพราะความป่วยไข้ของประธานาธิบดี Wilson รายงานนี้ได้ถูกซ่อน และได้นำออกมาเปิดเผย 3 ปีให้หลัง ซึ่งถึงตอนนั้น ปารีสและลอนดอน ก็ตกลงกันในแผนที่ใหม่ของตะวันออกกลางเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งแน่นอนออกมาตรงกันข้ามกับที่ King และ Crane เสนอ ฝรั่งเศสตกลงได้ปกครองเลบานอนและซีเรียตามต้องการ ส่วนอังกฤษได้ปกครองเมโสโปเตเมีย ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นอีรัค ซึ่งได้รวมเอา Mosul ส่วนที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันเข้าไว้ด้วย พร้อมกับได้ปกครองปาเลสไตน์ (ชื่อ Mosul นี้ คงทำให้ท่านผู้อ่านนิทานเริ่มเห็นภาพ หรือเข้าใจบางอย่างได้อย่างลาง ๆ แล้ว) ส่วนจอร์แดนให้เป็นรัฐกันชน โดยให้ Prince Abdullah ลูกชายของ Sharif Hussein มาเป็นกษัตริย์ปกครอง ภายใต้การดูแลของอังกฤษและฝรั่งเศสร่วมกัน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสก็ยังเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง เหนือดินแดนของลูกถูกเสี้ยมทั้งหมด มันเป็นการหลอกและต้ม Sharif Hussein จนเปื่อยยุ่ย ส่วนพวกยิว ได้รับอนุญาตจากอังกฤษให้ตั้งรกรากอยู่ที่ปาเลสไตน์ โดยมีข้อจำกัดบางประการ อังกฤษยังไม่พร้อมที่จะให้กลุ่มอาหรับ ที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์อยู่แล้วลุกฮือขึ้นมา ดังนั้น จึงพยายามจำกัดจำนวนยิว ที่จะอพยพเข้าไปอยู่ในปาเลสไตน์ การจำกัดจำนวนนี้ ก็ทำให้ฝ่ายยิวไม่พอใจ หาทางที่จะเล็ดลอดอพยพเข้าไปในดินแดนนี้อยู่ดีในช่วงปี ค.ศ. 1920-1940 ขณะเดียวกันฝ่ายอาหรับที่อาศัยตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์ ก็ถือว่าการอพยพชาวยิวมาอยู่ที่ปาเลสไตน์ เป็นการละเมิดสิทธิของพวกเขาที่มีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1187 ข้อตกลงทั้งหมดนี้ ภายหลังได้รับความเห็นชอบและยืนยัน โดยสันนิบาตชาติ (League of Nations ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสหประชาชาติ) ที่ตั้งขึ้นมาเมื่อ ค.ศ. 1918 ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุด หนึ่งในวัตถุประสงค์ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อแบ่งสมบัติส่วนที่เคยเป็นอาณาจักรออตโตมาน ในระหว่างฝ่ายผู้ชนะสงคราม สันนิบาตชาตินี้ นำโดยสมาชิกที่เป็นชาติมหาอำนาจที่ชนะสงคราม คือ อังกฤษและฝรั่งเศส อีก 2 ชาติมหาอำนาจ รัสเซียกับเยอรมัน ไม่มีสิทธิร่วมด้วย เพราะเยอรมันเป็นผู้แพ้สงคราม ส่วนรัสเซียหลังสงคราม เกิดปฏิวัติบอคเชวิก เปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ถูกจำกัดสิทธิไม่ให้เป็นสมาชิก การแบ่งเค้กที่ ตกลงข้างต้น จึงไม่มีทางแหกโผของอังกฤษ ! ต้องยอมรับในความตอแหล หน้าด้านของอังกฤษว่าสามารถจริง ๆ ค.ศ. 1917 โลกส่วนหนึ่งมึนงงกับข้อตกลงที่อังกฤษทำไว้กับ 3 กลุ่ม ตกลงเกี่ยวกับอนาคตของตะวันออกกลาง 3 แบบ พวกอาหรับยืนยันว่าพวกเขาต้องได้อาณาจักรอาหรับในฝัน ตามที่อังกฤษตกลงไว้กับ Sharif Hussein ส่วนฝรั่งเศส และอังกฤษ ตั้งใจที่จะเดินหน้าแบ่งเค้กอาหรับตามที่ตกลงกัน และชาวยิวก็เชื่อว่าตัวเองจะต้องได้ครอบครอง ปาเลสไตน์ ตามที่นาย Balfour รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษตกลงไว้ อังกฤษทำได้อย่างไร อังกฤษบอกทำได้สบายมาก เพราะเป็นสันดานที่เห็นแก่ได้ โกหก ตลบแตลง ปลิ้นปล้อน ที่ทำมาตลอดในการล่าเหยื่อ และเด็กชายสยามก็เกือบจะไม่รอดจากการเป็นเหยื่อ จากการกระทำเยี่ยงนี้ของอังกฤษ ชาวอาหรับบอกว่า จนถึงทุกวันนี้ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับดินแดน ในตะวันออกกลาง ไม่ได้แสดงถึงความขัดแย้งอย่างแท้จริงระหว่างกลุ่มชนพื้นเมือง ระหว่างชาวอิรัค ชาวซีเรีย ชาวจอร์แดน ฯลฯ แต่เป็นความขัดแย้งที่มีรากมาจากการล่าอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่ง “ตั้งใจ” วางรูปแบบและแผนการณ์ที่จะให้มีความขัดแย้ง และการแตกแยกเกิดขึ้นระหว่างกลุ่มชนชาวอาหรับด้วยกันเองต่างหาก อังกฤษและพวกได้กำหนดเขตแดนของพวกเขาโดยไม่เคารพ ไม่คำนึงถึงความเป็นจริง ถึงจริยธรรมและความต้องการพวกเขา เหมือนพวกเขาไม่มีตัวตนเกี่ยวข้องกับแผนที่และพื้นที่ ราวกับพวกเขาเป็นมนุษย์ล่องหน พวกเขาตกเป็นเหยื่อแห่งความกระหาย ตะกระ ตะกรามของอังกฤษและพวก ซึ่งกำหนดเขตแดนขึ้นมาอย่างชนิดที่ คนที่อยู่ในเขตแดนก็รับไม่ได้ และที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่พอใจ แล้วแบบนี้ความสงบ ความปรองดอง มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นผลงานที่สร้างตะวันออกกลางใหม่ จากอำนาจ และจากความพอใจของผู้สร้าง คือ นักล่าอาณานิคม ที่ควบคุมโดยอังกฤษแต่ผู้เดียว มันเป็นการจงใจสร้างให้เกิดความขัดแย้ง ความไม่สามัคคีในระหว่างชาวอาหรับ ซึ่งทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมือง ทั่วทั้งตะวันออกกลาง ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และยังมีผลสืบเนื่องอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ ไม้เสี้ยมของอังกฤษ ยังทำงานได้ผลดีเยี่ยม แม้ว่าจะได้เสียบไว้นาน 100 ปี แล้ว สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
19 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ถ้าเป็นจริง ผู้นำประเทศไทยเราต้องระดับคนเหนือมนุษย์เข้ามาปกครองจริงๆนะ,มีพลังเวทย์ยิ่งสุดยอดแบบหนังจักรๆวงศ์ๆเรานั้นล่ะ,กากๆต้องหลบลงจากผู้ปกครองประเทศไทย,ปีศาจจำแลงแปลงร่างกายมาต้องดูออก,มองเห็นแบบมีระบบออโต้ตาทิพย์หูทิพย์ใจทิพย์ อ่านจิตอ่านใจคนฝ่ายตรงข้ามได้ด้วย,ประเทศไทยเราต้องอัพเลเวลกันจริงจังตามนี้นะจึงจะรอดหรือเกรียวdna12-13เกรียวเราต้องได้คืนมา,มิใช่มี1-2เกรียวdnaแบบมนุษย์ปัจจุบัน,โลกก่อนล้านล้านปีของเรามีเช่นนั้นมาแล้ว,เราคนยุคปัจจุบันต้องทำได้ด้วย,มิเช่นนั้นพวกชั่วเลวสาระพัดจากต่างดาวอวกาศหรือใต้โลกใต้มหาสมุทรเราควบคุมเราสิ้นซากแบบปัจจุบันนี้ที่deep stateไซออนิสต์ต้องการปกครองควบคุมเรา.,ไทยเราต้องเป็นต้นแบบนะ.
    ระบบการกักขังและการเฝ้าระวังที่โหดร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเปิดใช้งานโดย Silicon Valley เอกสารภายในแสดง | Associated Press (AP)

    ap ได้รับเอกสารที่จำแนกและภายในหลายหมื่นหน้าซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริษัท ในสหรัฐอเมริกา (Microsoft, Intel, Oracle, IBM, Dell Amazon Web Services และระบบอื่น ๆ ) ออกแบบและทำการตลาดระบบที่กลายเป็นรากฐานสำหรับกรงดิจิตอลของจีน

    ในระดับสูงสุดไม่มี "US vs พวกเขา" ประเทศนี้เทียบกับประเทศนั้นหรือซ้ายเทียบกับด้านขวามันคือ "Satanic รักร่วมเพศเฒ่าหัวงูคลับ Freemasons Club" ทำงานร่วมกันเพื่อกดขี่มนุษยชาติ

    ลิงค์ข่าวap

    Silicon Valley เปิดใช้งานรัฐตำรวจดิจิตอลในประเทศจีนได้อย่างไร
    https://youtube.com/watch?v=uo_-d0lShxo&si=1EF92ko7zzGXmIhk

    ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมด้านล่าง:

    ❇พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ได้รับเลือกจากผู้ควบคุมให้เป็นศูนย์ควบคุมของออสเตรเลีย


    ❇โดนัลด์ทรัมป์เสนอการใช้จ่ายเงิน 5500 พันล้านพันล้านเหรียญสหรัฐใน AI นั้นน่ากลัวอย่างยิ่งและทุกคนควรกลัว! | Ryan Villie (ผู้เชี่ยวชาญ AI)
    ..ถ้าเป็นจริง ผู้นำประเทศไทยเราต้องระดับคนเหนือมนุษย์เข้ามาปกครองจริงๆนะ,มีพลังเวทย์ยิ่งสุดยอดแบบหนังจักรๆวงศ์ๆเรานั้นล่ะ,กากๆต้องหลบลงจากผู้ปกครองประเทศไทย,ปีศาจจำแลงแปลงร่างกายมาต้องดูออก,มองเห็นแบบมีระบบออโต้ตาทิพย์หูทิพย์ใจทิพย์ อ่านจิตอ่านใจคนฝ่ายตรงข้ามได้ด้วย,ประเทศไทยเราต้องอัพเลเวลกันจริงจังตามนี้นะจึงจะรอดหรือเกรียวdna12-13เกรียวเราต้องได้คืนมา,มิใช่มี1-2เกรียวdnaแบบมนุษย์ปัจจุบัน,โลกก่อนล้านล้านปีของเรามีเช่นนั้นมาแล้ว,เราคนยุคปัจจุบันต้องทำได้ด้วย,มิเช่นนั้นพวกชั่วเลวสาระพัดจากต่างดาวอวกาศหรือใต้โลกใต้มหาสมุทรเราควบคุมเราสิ้นซากแบบปัจจุบันนี้ที่deep stateไซออนิสต์ต้องการปกครองควบคุมเรา.,ไทยเราต้องเป็นต้นแบบนะ. 🇨🇳ระบบการกักขังและการเฝ้าระวังที่โหดร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเปิดใช้งานโดย Silicon Valley เอกสารภายในแสดง | Associated Press (AP) ap ได้รับเอกสารที่จำแนกและภายในหลายหมื่นหน้าซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริษัท ในสหรัฐอเมริกา (Microsoft, Intel, Oracle, IBM, Dell Amazon Web Services และระบบอื่น ๆ ) ออกแบบและทำการตลาดระบบที่กลายเป็นรากฐานสำหรับกรงดิจิตอลของจีน ⚡ในระดับสูงสุดไม่มี "US vs พวกเขา" ประเทศนี้เทียบกับประเทศนั้นหรือซ้ายเทียบกับด้านขวามันคือ "Satanic รักร่วมเพศเฒ่าหัวงูคลับ Freemasons Club" ทำงานร่วมกันเพื่อกดขี่มนุษยชาติ ลิงค์ข่าว👉ap Silicon Valley เปิดใช้งานรัฐตำรวจดิจิตอลในประเทศจีนได้อย่างไร https://youtube.com/watch?v=uo_-d0lShxo&si=1EF92ko7zzGXmIhk 🎓ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมด้านล่าง: ❇พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ได้รับเลือกจากผู้ควบคุมให้เป็นศูนย์ควบคุมของออสเตรเลีย ❇โดนัลด์ทรัมป์เสนอการใช้จ่ายเงิน 5500 พันล้านพันล้านเหรียญสหรัฐใน AI นั้นน่ากลัวอย่างยิ่งและทุกคนควรกลัว! | Ryan Villie (ผู้เชี่ยวชาญ AI)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนมีดีคือจีนแท้,จีนไม่ดีคือจีนเทา มันใฝ่ทรยศจีนแท้ได้,ทำลายคนจีนแท้ในประเทศจีนได้,
    ..จริงๆจีนมีนโยบายตนเองชัด,ถ้านายกฯเราดีก็ชัดเจนกับจีนได้หมด,แต่มิใช่แบบลาวแบบเขมร ทาสหนี้จีนเมืองขึ้นจีน ขายแผ่นดินให้จีนยึดครองได้หลากหลายวิธีลักษณะแบบนั้น,จีนปัจจุบันมองผลประโยชน์สำคัญเป็นหลักแล้วก่อนมองด้านอดีตที่เคยสัมพันธ์กันมาก่อน,นโยบายไทยเราก็อนาถด้วย จุดยืนตนเองไม่มี เพราะนักการเมืองไทยและข้าราชการไทยเราทุจริตไม่ซื่อสัตย์ในหน้าที่ถูกตังเจ้าสัวไทยนอมินีจีนซื้อด้วยเงินก็ขาอ่อนหมดแล้ว,รากฐานคือผู้นำผู้ปกครองเรากาก ไม่มีอะไรเลย,จีนจึงเต็มไทยไปหมดรวมต่างด้าวด้วย,ต่างด้าวต่างชาติมีงานในไทยมากเท่าไร คนไทยก็ตกงานมากเท่านั่นเพราะเอกชนไทยและต่างชาติสุมหัวกันทำลายแรงงานคนไทยได้สบาย สุดท้ายคนไทยตกงาน ขาดรายได้รายรับ ถูกยึดที่ดินผิดปกติด้วยกฎหมายเปิดช่องมากมายจากนักการเมืองปกครองประเทศแบบสาระเลวชั่ว,จีนแฟร์มาก เราประเทศได้ผู้นำเอาคนไทยมาก่อนมันจะจบเลย,คนไทยจะมีงานทำเกือบหมด,ไม่มีงานทางตรงจากประจำกิจการบริษัทโรงงานก็เป็นงานทางอ้อมส่งวัตถุดิบเข้ากิจการโรงงานบริษัทนั้นๆได้,มีรายได้รายรับผ่านช่องทางนี้ได้,กระทรวงแรงงานเรากากไม่มีอะไรหรอก บริหารจัดการไม่เป็น,ต้นน้ำคือโรงเรียนวิลัยมหาลัยไทยตน ปลายน้ำคือกิจการเอกชนและหน่วนงานรัฐบาล ตนต้องส่งแรงงานไทยตนทั้งหมดให้ถึงฝั่งจะเป็นด้านเอกชนที่คนไทยนั้นๆสนใจทำงานหรือหน่วยงานระบบราชการตนก็ต้องส่งคนไทนนั้นๆถึงฝันใฝ่ด้วย,ชี้แนะวิชาชีพ อาชีพแต่แรก,เตรียมรองรับเมื่อเขาจบการศึกษา ประสานแหล่งงานเตรียมพร้อมรับแรงงานคนไทยเข้าทำงาน ทั้งเอกชนและทางรัฐเองที่สรรหากำลังพลบุคลากร,ตลอดทั่วโลกด้วย ติดตามทุกๆสัปดาห์หรือเดือนด้วยเพื่อปกป้องคนไทยเรา หรืออาชญากรรมค้ามนุษย์ทั้งในไทยเองและที่ต่างประเทศ.,กระทรวงแรงงานเราจึงกากตอบไม่ผิด,ตนต้องอุดช่องขัดขวางมิให้ประสิทธิภาพหน้าที่ตนลดลง ดูแลรายรับคนได้ได้ทั่วประเทศ,ส่งเสริมทักษะและอาชีพจริง สนับสนุนแหล่งเงินทุนสร้างรายได้รายรับด้วย,บริหารและบริการแบบครบวงจรอุ่นใจเมื่อทุกๆคนไทยเข้าไปหาว่ามีโอกาสสร้างรายรับเข้าบ้านแน่นอนเมื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานนี้,คนไทยเราไม่อดตายมีเงินมีตังมีรายได้ไว้ใช้จ่ายเลี้ยงชีพตนและคนที่ตนอยากดูแลเลี้ยงดูด้วย,
    ..จีน อินเดีย อินโดฯ เอเชียเราคือตลาดการค้าเสรีที่ใหญ่โตมากสามารถพึงพากันในเอเชียในหลายๆด้านได้สบายเช่นตลาดสร้างรายได้แลกเปลี่ยนกันในแต่ละประเทศ,หรือสร้างความสงบร่มเย็นปลอดสงครามสู้รบใดๆทั้งภายในและแบบเขมรยิงใส่ไทยเราก่อนแบบนี้,
    ..จีนเป็นพี่ใหญ่ที่ดีกับไทยในอดีตแต่ไส้ในเราไม่รู้ว่าไปแลกกับผลประโยชน์ของประเทศไทยอะไรบ้าง,ทุกๆบ้านไส้ในเราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรกับเรา,แต่ทั้งหมดคบกันอาจด้วยผลประโยชน์ต้องมาก่อนเสมอ.,น้อยมาที่สายสัมพันธุ์มาก่อน,แต่จีนแท้ สายสัมพันธุ์ที่ดีอาจมาก่อนเสมอ,คนจีนที่นิสัยดีๆซื่อสัตย์ซื่อตรงมีไม่น้อย ตลอดผู้นำจีนแม้เขาคือคอมมิวนิสต์เขาก็เป็นคนดีในหมู่คอมมิวนิสต์เขาได้,คนดีคบกันไม่สนใจว่าปกครองด้วยระบบอะไรหรอก,เพราะคนดีจะไม่ทรยศและหักหลังกันและกันเด็ดขาด.,ต่างตักเตือนเฝ้าระวังภัยให้กันและกันเมื่อมีภัยเกิดขึ้น.,ไม่ทิ้งกันเช่นกัน.
    ..ดีที่สุดเรา..ประเทศไทนคนไทยเราต้องสามัคคีกันพึ่งพากันและกันช่วยเหลือกันและกันดีที่สุด.

    https://youtube.com/shorts/mNwZxmoscYQ?si=XiKZq615VFPIjxNd
    จีนมีดีคือจีนแท้,จีนไม่ดีคือจีนเทา มันใฝ่ทรยศจีนแท้ได้,ทำลายคนจีนแท้ในประเทศจีนได้, ..จริงๆจีนมีนโยบายตนเองชัด,ถ้านายกฯเราดีก็ชัดเจนกับจีนได้หมด,แต่มิใช่แบบลาวแบบเขมร ทาสหนี้จีนเมืองขึ้นจีน ขายแผ่นดินให้จีนยึดครองได้หลากหลายวิธีลักษณะแบบนั้น,จีนปัจจุบันมองผลประโยชน์สำคัญเป็นหลักแล้วก่อนมองด้านอดีตที่เคยสัมพันธ์กันมาก่อน,นโยบายไทยเราก็อนาถด้วย จุดยืนตนเองไม่มี เพราะนักการเมืองไทยและข้าราชการไทยเราทุจริตไม่ซื่อสัตย์ในหน้าที่ถูกตังเจ้าสัวไทยนอมินีจีนซื้อด้วยเงินก็ขาอ่อนหมดแล้ว,รากฐานคือผู้นำผู้ปกครองเรากาก ไม่มีอะไรเลย,จีนจึงเต็มไทยไปหมดรวมต่างด้าวด้วย,ต่างด้าวต่างชาติมีงานในไทยมากเท่าไร คนไทยก็ตกงานมากเท่านั่นเพราะเอกชนไทยและต่างชาติสุมหัวกันทำลายแรงงานคนไทยได้สบาย สุดท้ายคนไทยตกงาน ขาดรายได้รายรับ ถูกยึดที่ดินผิดปกติด้วยกฎหมายเปิดช่องมากมายจากนักการเมืองปกครองประเทศแบบสาระเลวชั่ว,จีนแฟร์มาก เราประเทศได้ผู้นำเอาคนไทยมาก่อนมันจะจบเลย,คนไทยจะมีงานทำเกือบหมด,ไม่มีงานทางตรงจากประจำกิจการบริษัทโรงงานก็เป็นงานทางอ้อมส่งวัตถุดิบเข้ากิจการโรงงานบริษัทนั้นๆได้,มีรายได้รายรับผ่านช่องทางนี้ได้,กระทรวงแรงงานเรากากไม่มีอะไรหรอก บริหารจัดการไม่เป็น,ต้นน้ำคือโรงเรียนวิลัยมหาลัยไทยตน ปลายน้ำคือกิจการเอกชนและหน่วนงานรัฐบาล ตนต้องส่งแรงงานไทยตนทั้งหมดให้ถึงฝั่งจะเป็นด้านเอกชนที่คนไทยนั้นๆสนใจทำงานหรือหน่วยงานระบบราชการตนก็ต้องส่งคนไทนนั้นๆถึงฝันใฝ่ด้วย,ชี้แนะวิชาชีพ อาชีพแต่แรก,เตรียมรองรับเมื่อเขาจบการศึกษา ประสานแหล่งงานเตรียมพร้อมรับแรงงานคนไทยเข้าทำงาน ทั้งเอกชนและทางรัฐเองที่สรรหากำลังพลบุคลากร,ตลอดทั่วโลกด้วย ติดตามทุกๆสัปดาห์หรือเดือนด้วยเพื่อปกป้องคนไทยเรา หรืออาชญากรรมค้ามนุษย์ทั้งในไทยเองและที่ต่างประเทศ.,กระทรวงแรงงานเราจึงกากตอบไม่ผิด,ตนต้องอุดช่องขัดขวางมิให้ประสิทธิภาพหน้าที่ตนลดลง ดูแลรายรับคนได้ได้ทั่วประเทศ,ส่งเสริมทักษะและอาชีพจริง สนับสนุนแหล่งเงินทุนสร้างรายได้รายรับด้วย,บริหารและบริการแบบครบวงจรอุ่นใจเมื่อทุกๆคนไทยเข้าไปหาว่ามีโอกาสสร้างรายรับเข้าบ้านแน่นอนเมื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานนี้,คนไทยเราไม่อดตายมีเงินมีตังมีรายได้ไว้ใช้จ่ายเลี้ยงชีพตนและคนที่ตนอยากดูแลเลี้ยงดูด้วย, ..จีน อินเดีย อินโดฯ เอเชียเราคือตลาดการค้าเสรีที่ใหญ่โตมากสามารถพึงพากันในเอเชียในหลายๆด้านได้สบายเช่นตลาดสร้างรายได้แลกเปลี่ยนกันในแต่ละประเทศ,หรือสร้างความสงบร่มเย็นปลอดสงครามสู้รบใดๆทั้งภายในและแบบเขมรยิงใส่ไทยเราก่อนแบบนี้, ..จีนเป็นพี่ใหญ่ที่ดีกับไทยในอดีตแต่ไส้ในเราไม่รู้ว่าไปแลกกับผลประโยชน์ของประเทศไทยอะไรบ้าง,ทุกๆบ้านไส้ในเราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรกับเรา,แต่ทั้งหมดคบกันอาจด้วยผลประโยชน์ต้องมาก่อนเสมอ.,น้อยมาที่สายสัมพันธุ์มาก่อน,แต่จีนแท้ สายสัมพันธุ์ที่ดีอาจมาก่อนเสมอ,คนจีนที่นิสัยดีๆซื่อสัตย์ซื่อตรงมีไม่น้อย ตลอดผู้นำจีนแม้เขาคือคอมมิวนิสต์เขาก็เป็นคนดีในหมู่คอมมิวนิสต์เขาได้,คนดีคบกันไม่สนใจว่าปกครองด้วยระบบอะไรหรอก,เพราะคนดีจะไม่ทรยศและหักหลังกันและกันเด็ดขาด.,ต่างตักเตือนเฝ้าระวังภัยให้กันและกันเมื่อมีภัยเกิดขึ้น.,ไม่ทิ้งกันเช่นกัน. ..ดีที่สุดเรา..ประเทศไทนคนไทยเราต้องสามัคคีกันพึ่งพากันและกันช่วยเหลือกันและกันดีที่สุด. https://youtube.com/shorts/mNwZxmoscYQ?si=XiKZq615VFPIjxNd
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประชาธิปไตยคือรากฐานที่เราวางระบบปกครองกันผิด เพราะคณะกบฎ2475ก่อการด้วยจิตทรามไม่บริสุทธิ์ เป็นไปเพื่อลัทธิฝรั่งอีลิทรีตตาเดียวหมายล้มสถาบันกษัตริย์ทำลายระบบกษัตริย์ในไทยเท่านั้น,
    ..ไทยเราต้องปกครองระบบธรรมาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ได้แล้ว ต่อยอดจากของฝรั่งส่งออกมา,เรา..ประเทศไทยตัดทำใหม่ให้เหมาะสมกันจริตนิสัยสันดานคนไทยเราใหม่.
    ..การเรียนรู้ต่างๆทั้งประเทศไทยจะอิสระเสรีทันที อัพเลเวลก็เราเขียนโปรแกรมระบบปฏิบัติการเอง ไม่ต้องรอฝรั่งมาสั่งมาอ้างว่าระบบนี้ต้องสมควรเป็นแบบนี้แบบนั้นแบบมันเป็นในประเทศมันนะ,ตอนนี้มองกันดูดีๆประเทศไทยถูกปกครองโดยรีตลัทธิไซออนิสต์deep stateชัดเจนเพียงเปลี่ยนร่างหุ่นตัวใหม่เหมือนทุกๆครั้งเพื่อมิให้ครไทยเห็นสิ่งผิดปกตินั้น,เปลี่ยนเพื่อไทยเป็นภูมิใจไทย แต่ความจริงก็ดำเนินนโยบายหลักของdeep stateเหมือนเดิน ดูพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็รู้ คาร์บอนเครดิต จนประกาศชัดกลางรัฐสภาเลย มันเป้าหมายdeep state agendaชัดเจน,รากหลักเราคือสิ่งนี้ต้องคนไทยมาไม่โง่ตรงนี้ร่วมกันทั่วประเทศ,พื้นฐานทุกๆคนไทยต้องมารับรู้เรื่องนี้,ส่วนจะไปเก่งไปดีไปชำนาญการเชี่ยวชาญแขนงสัมมาอาชีพสัมมาชีวิตแบบไหนก็แล้วแต่ใคร,เหมือนเรารู้ภาษาไทยพื้นฐานแล้ว จะแสดงไปรู้เก่งภาษาอื่นๆ10หรือ100ภาษาก็ตามสบาย,ชำนาญช่างหมอกีฬาอะไรก็ตามสบาย แต่พื้นฐานเราทุกๆคนไทยต้องมาเรียนรู้พื้นหลักตรงนี้ก่อน,รัฐบาลไทยเราเองทำให้พื้นฐานเราโง่เพื่อปกครอง,อยากเก่งเรื่องอื่นๆต้องเสียตังหรือเอาชีวิตแลกอย่างยากลำบากเองซึ่งแท้จริงรัฐบาลต้องส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาการทรัพยากรคนไทยในชาติตนทุกๆมิติให้มากที่สุดแต่มันไม่ทำเพราะกลัวเก่งฉลาดจะควบคุมไม่ได้บวกต่อต้านคัดค้านอำนาจปกครองตนนั่นเองซึ่งอีลิทเลวยอมรับไม่ได้.
    ..วิถีปกครองเราผิดพลาดและล้มเหลวแต่ต้น ,หมากที่วางให้แพ้ วางมิให้เติบโต วางมิให้เจริญแต่เริ่มแรก,เลี้ยงเพียงมิให้ตายบวกก็ไม่ให้เจริญเติบโตฉลาดรอบรู้ด้วย.

    ..มันปิดบัง มันปิดลับ,โง่=ไม่รู้=ไม่เปิดเผย แค่นั้น

    ..สรุป รัฐบาลโดยผู้นำที่ผ่านๆมาทั้งหมดของประเทศไทยเรา,มันปกครองให้คนไทยโง่,มรึงอยากไม่โง่ต้องกู้เงินเรียนเอาเองไปเป็นหนี้กยศ.ไป๊!!!.,อยากเรียนต้องเป็นหนี้จะได้ไม่โง่,ไม่รวมเอาชีวิตแลกตายให้มีวิชาไม่โง่อีกนะ,วิชาชีวิตแลกความไม่โง่,โง่ก่อนจึงหายโง่.,เรา..คนไทยมิอาจไม่โง่ทุกๆเรื่อง ,แต่โง่ในหลายๆเรื่องจากรัฐบาลเราเองทำให้เราต้องโง่,ไม่โง่ก็จากเราเองและจากรัฐบาลเองที่เปิดเผยออกมาให้หายโง่,สนใจทั้งสิ่งโง่และไม่สนใจในสิ่งโง่ๆก็ด้วย.
    ..บ่อน้ำมันก็ปกปิดคนไทยจนโง่ เป็นต้น
    ..ง่ายๆดูว่าคนไทยถูกปลดปล่อยปลดแอกจากการเป็นทาสเป็นควายเป็นวัวได้ดูที่เรา..ประเทศไทยในนามรัฐบาลไทยยึดคืนบ่อปิโตรเลียมบนแผ่นดินไทยตนเองคืนมาทั้งหมดทุกๆแปลงได้หรือยัง,รัฐบาลแบบอนุทินนายกฯปัจจุบันแถลงนโยบายชัดเจนว่าสัมปทานปิโตรเลียมทั้งหมดที่เปิดสัมปทานไปเป็นโมฆะทั้งหมดเพราะรัฐสภาฯสส.สว.มิได้ลงมติเห็นชอบ รัฐบาลปัจจุบันถ้าแถลงแบบนี้เชื่อได้ว่าเรา..ประเทศไทยมิได้เป็นทาสขี้ข้าdeep stateไซออนิสต์โลกอีกต่อไปนั้นเอง,อนาคตเรา..ประชาชนคนไทยจะสุดยอดฉลาดขึ้นเป็นลำดับๆแน่นอนจากที่โง่ทั้งประเทศส่วนใหญ่โดยพื้นฐานเพราะน้ำมัน คนไทยเราเติมใส่รถตนเกือบทุกๆคน,อนุทินนายกฯแค่แถลงโมฆะสัมปทานบ่อปิโตรเลียมทั้งหมดวันนี้ ประเทศไทยจะแก้วิกฤติเศรษฐกิจภายในประเทศทันทีและกลับมาเจริญแบบก้าวกระโดดทันที,ทีพูดว่าวิกฤติๆนั้นนี้โน้นทั้งภายนอกมากระทบไทย ภายในยิ่งอีก จะจัดการได้หมดทันที,แต่ไม่มีรัฐบาลใดในประเทศไทยแถลงพูดออกมาสักแอ๊ะ!!!,ปัจจุบันก็เช่นกันอ้อมปัญหาหมด,ที่เราปะทะเขมรก็บ่อน้ำมันในอ่าวไทยนี้ที่ต่างชาติแบบฝรั่งต่างๆอยากได้ชัดเจนรวมถึงเขมรและคนไทยเทาสาระเลวชั่วทรามทรยศแผ่นดินด้วย,สื่อใดๆไม่กล้าตีข่าวขยายความบ่อน้ำมันเลย พูดสักสิบรอบต่อวันก็ได้ อาทิบายฑูตต่างชาติถึงความจริงนี้ก็ได้,สื่อไทยมาร่วมกันโหนกระแสยึดคืนบ่อน้ำมันทั้งหมดก็ได้ โหนกระแสยึดคืนพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ แดนบูรพาทั้งหมดเราคืนรวมเกาะกงก็ได้ เล่าเรื่องราวอดีตย่อๆออกสื่อหลักเราจะเอาคืนทำไมก็ได้เพราะฝรั่งเศสคืนผิดเจ้าของก็ไม่สื่อ,สื่อไทยก็โง่ได้เหมือนกัน,ซึ่งวิสัยสื่อต้องไม่โง่เพราะเรื่องนี้มิใช่ความลับอะไรที่ปิดบังลึกใต้ดินขนาดนั้น หอสมุดแห่งชาติมีตรึมนอกจากเน็ตเว็บกูรูต่างๆสร้างถ่ายทอดออกมา,กต.ยิ่งโง่ เพราะพื้นฐานไม่สมควรโง่ ต้องเดินหมากตานี้ในกระดานเพื่อรุกฆาตได้แผ่นดินไทยตนคืนด้วยที่จ่ายฝรั่งเศสไปแล้วด้วยกว่า60ล้านบาทหรือ2ล้านฟรังมันถ้าจำไม่ผิด,
    ..ประชาธิปไตยไม่ใช่อธิปไตยไทยสร้าง เราต้องคืนให้ฝรั่งมันระบบปกครองนี้แก่ฝรั่งอีลิทตะวีนตกยิวสร้างก็ได้คู่ขนานคอมมิวนิสต์ที่มันยิวเองก็สร้างระบบคอมมิวนิสต์ด้วย,เราใช้ระบบประชาธิปไตยมันมีแต่ถูกปล้นชิงวัตถุดิบสร้างชาติพัฒนาชาติเราไม่หยุดหย่อนจนถึงปัจจุบัน,ถูกแย่งชิงสาระพัดรูปแบบ จากระบบปกครองมัน,มันเองปัจจุบันก็จะสิ้นชาติล้มสลายแล้วในระบบปกครองมันเองในตะวันตกชาติฝรั่งมัน.,เราต้องสร้างระบบปกครองเราเอง.,เพื่อเป็นอธิปไตยเอกลักษณ์อัตลักษณ์ในแบบไทยๆเรา.,ฉลาดหรือไม่โง่ก็แบบสไตล์ไทยเราแล้ว.

    https://youtube.com/shorts/ADbWiqr2buU?si=5QA6qCaliPb-TKHF
    ประชาธิปไตยคือรากฐานที่เราวางระบบปกครองกันผิด เพราะคณะกบฎ2475ก่อการด้วยจิตทรามไม่บริสุทธิ์ เป็นไปเพื่อลัทธิฝรั่งอีลิทรีตตาเดียวหมายล้มสถาบันกษัตริย์ทำลายระบบกษัตริย์ในไทยเท่านั้น, ..ไทยเราต้องปกครองระบบธรรมาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ได้แล้ว ต่อยอดจากของฝรั่งส่งออกมา,เรา..ประเทศไทยตัดทำใหม่ให้เหมาะสมกันจริตนิสัยสันดานคนไทยเราใหม่. ..การเรียนรู้ต่างๆทั้งประเทศไทยจะอิสระเสรีทันที อัพเลเวลก็เราเขียนโปรแกรมระบบปฏิบัติการเอง ไม่ต้องรอฝรั่งมาสั่งมาอ้างว่าระบบนี้ต้องสมควรเป็นแบบนี้แบบนั้นแบบมันเป็นในประเทศมันนะ,ตอนนี้มองกันดูดีๆประเทศไทยถูกปกครองโดยรีตลัทธิไซออนิสต์deep stateชัดเจนเพียงเปลี่ยนร่างหุ่นตัวใหม่เหมือนทุกๆครั้งเพื่อมิให้ครไทยเห็นสิ่งผิดปกตินั้น,เปลี่ยนเพื่อไทยเป็นภูมิใจไทย แต่ความจริงก็ดำเนินนโยบายหลักของdeep stateเหมือนเดิน ดูพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็รู้ คาร์บอนเครดิต จนประกาศชัดกลางรัฐสภาเลย มันเป้าหมายdeep state agendaชัดเจน,รากหลักเราคือสิ่งนี้ต้องคนไทยมาไม่โง่ตรงนี้ร่วมกันทั่วประเทศ,พื้นฐานทุกๆคนไทยต้องมารับรู้เรื่องนี้,ส่วนจะไปเก่งไปดีไปชำนาญการเชี่ยวชาญแขนงสัมมาอาชีพสัมมาชีวิตแบบไหนก็แล้วแต่ใคร,เหมือนเรารู้ภาษาไทยพื้นฐานแล้ว จะแสดงไปรู้เก่งภาษาอื่นๆ10หรือ100ภาษาก็ตามสบาย,ชำนาญช่างหมอกีฬาอะไรก็ตามสบาย แต่พื้นฐานเราทุกๆคนไทยต้องมาเรียนรู้พื้นหลักตรงนี้ก่อน,รัฐบาลไทยเราเองทำให้พื้นฐานเราโง่เพื่อปกครอง,อยากเก่งเรื่องอื่นๆต้องเสียตังหรือเอาชีวิตแลกอย่างยากลำบากเองซึ่งแท้จริงรัฐบาลต้องส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาการทรัพยากรคนไทยในชาติตนทุกๆมิติให้มากที่สุดแต่มันไม่ทำเพราะกลัวเก่งฉลาดจะควบคุมไม่ได้บวกต่อต้านคัดค้านอำนาจปกครองตนนั่นเองซึ่งอีลิทเลวยอมรับไม่ได้. ..วิถีปกครองเราผิดพลาดและล้มเหลวแต่ต้น ,หมากที่วางให้แพ้ วางมิให้เติบโต วางมิให้เจริญแต่เริ่มแรก,เลี้ยงเพียงมิให้ตายบวกก็ไม่ให้เจริญเติบโตฉลาดรอบรู้ด้วย. ..มันปิดบัง มันปิดลับ,โง่=ไม่รู้=ไม่เปิดเผย แค่นั้น ..สรุป รัฐบาลโดยผู้นำที่ผ่านๆมาทั้งหมดของประเทศไทยเรา,มันปกครองให้คนไทยโง่,มรึงอยากไม่โง่ต้องกู้เงินเรียนเอาเองไปเป็นหนี้กยศ.ไป๊!!!.,อยากเรียนต้องเป็นหนี้จะได้ไม่โง่,ไม่รวมเอาชีวิตแลกตายให้มีวิชาไม่โง่อีกนะ,วิชาชีวิตแลกความไม่โง่,โง่ก่อนจึงหายโง่.,เรา..คนไทยมิอาจไม่โง่ทุกๆเรื่อง ,แต่โง่ในหลายๆเรื่องจากรัฐบาลเราเองทำให้เราต้องโง่,ไม่โง่ก็จากเราเองและจากรัฐบาลเองที่เปิดเผยออกมาให้หายโง่,สนใจทั้งสิ่งโง่และไม่สนใจในสิ่งโง่ๆก็ด้วย. ..บ่อน้ำมันก็ปกปิดคนไทยจนโง่ เป็นต้น ..ง่ายๆดูว่าคนไทยถูกปลดปล่อยปลดแอกจากการเป็นทาสเป็นควายเป็นวัวได้ดูที่เรา..ประเทศไทยในนามรัฐบาลไทยยึดคืนบ่อปิโตรเลียมบนแผ่นดินไทยตนเองคืนมาทั้งหมดทุกๆแปลงได้หรือยัง,รัฐบาลแบบอนุทินนายกฯปัจจุบันแถลงนโยบายชัดเจนว่าสัมปทานปิโตรเลียมทั้งหมดที่เปิดสัมปทานไปเป็นโมฆะทั้งหมดเพราะรัฐสภาฯสส.สว.มิได้ลงมติเห็นชอบ รัฐบาลปัจจุบันถ้าแถลงแบบนี้เชื่อได้ว่าเรา..ประเทศไทยมิได้เป็นทาสขี้ข้าdeep stateไซออนิสต์โลกอีกต่อไปนั้นเอง,อนาคตเรา..ประชาชนคนไทยจะสุดยอดฉลาดขึ้นเป็นลำดับๆแน่นอนจากที่โง่ทั้งประเทศส่วนใหญ่โดยพื้นฐานเพราะน้ำมัน คนไทยเราเติมใส่รถตนเกือบทุกๆคน,อนุทินนายกฯแค่แถลงโมฆะสัมปทานบ่อปิโตรเลียมทั้งหมดวันนี้ ประเทศไทยจะแก้วิกฤติเศรษฐกิจภายในประเทศทันทีและกลับมาเจริญแบบก้าวกระโดดทันที,ทีพูดว่าวิกฤติๆนั้นนี้โน้นทั้งภายนอกมากระทบไทย ภายในยิ่งอีก จะจัดการได้หมดทันที,แต่ไม่มีรัฐบาลใดในประเทศไทยแถลงพูดออกมาสักแอ๊ะ!!!,ปัจจุบันก็เช่นกันอ้อมปัญหาหมด,ที่เราปะทะเขมรก็บ่อน้ำมันในอ่าวไทยนี้ที่ต่างชาติแบบฝรั่งต่างๆอยากได้ชัดเจนรวมถึงเขมรและคนไทยเทาสาระเลวชั่วทรามทรยศแผ่นดินด้วย,สื่อใดๆไม่กล้าตีข่าวขยายความบ่อน้ำมันเลย พูดสักสิบรอบต่อวันก็ได้ อาทิบายฑูตต่างชาติถึงความจริงนี้ก็ได้,สื่อไทยมาร่วมกันโหนกระแสยึดคืนบ่อน้ำมันทั้งหมดก็ได้ โหนกระแสยึดคืนพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ แดนบูรพาทั้งหมดเราคืนรวมเกาะกงก็ได้ เล่าเรื่องราวอดีตย่อๆออกสื่อหลักเราจะเอาคืนทำไมก็ได้เพราะฝรั่งเศสคืนผิดเจ้าของก็ไม่สื่อ,สื่อไทยก็โง่ได้เหมือนกัน,ซึ่งวิสัยสื่อต้องไม่โง่เพราะเรื่องนี้มิใช่ความลับอะไรที่ปิดบังลึกใต้ดินขนาดนั้น หอสมุดแห่งชาติมีตรึมนอกจากเน็ตเว็บกูรูต่างๆสร้างถ่ายทอดออกมา,กต.ยิ่งโง่ เพราะพื้นฐานไม่สมควรโง่ ต้องเดินหมากตานี้ในกระดานเพื่อรุกฆาตได้แผ่นดินไทยตนคืนด้วยที่จ่ายฝรั่งเศสไปแล้วด้วยกว่า60ล้านบาทหรือ2ล้านฟรังมันถ้าจำไม่ผิด, ..ประชาธิปไตยไม่ใช่อธิปไตยไทยสร้าง เราต้องคืนให้ฝรั่งมันระบบปกครองนี้แก่ฝรั่งอีลิทตะวีนตกยิวสร้างก็ได้คู่ขนานคอมมิวนิสต์ที่มันยิวเองก็สร้างระบบคอมมิวนิสต์ด้วย,เราใช้ระบบประชาธิปไตยมันมีแต่ถูกปล้นชิงวัตถุดิบสร้างชาติพัฒนาชาติเราไม่หยุดหย่อนจนถึงปัจจุบัน,ถูกแย่งชิงสาระพัดรูปแบบ จากระบบปกครองมัน,มันเองปัจจุบันก็จะสิ้นชาติล้มสลายแล้วในระบบปกครองมันเองในตะวันตกชาติฝรั่งมัน.,เราต้องสร้างระบบปกครองเราเอง.,เพื่อเป็นอธิปไตยเอกลักษณ์อัตลักษณ์ในแบบไทยๆเรา.,ฉลาดหรือไม่โง่ก็แบบสไตล์ไทยเราแล้ว. https://youtube.com/shorts/ADbWiqr2buU?si=5QA6qCaliPb-TKHF ล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 320 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 7 – ครู
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”
    ตอนที่ 7 “ครู”
    Fethullah Gulen เป็นใคร เส้นชีวิตเขาน่าสนใจไม่เบา เก็บจากรายงานการวิเคราะห์สัมพันธ์ภาพระหว่างอเมริกากับตุรกี ที่ทำโดย CFR เมื่อค.ศ. 2012 ได้ความว่า Fethullah Gulen เป็นชาวตุรกี เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1941 ที่ Koruchuk หมู่บ้านเล็ก ๆ ของ Ezurum ซึ่งเป็นเมืองอยู่ทางชายแดนด้านตะวันออกของตุรกี การเรียนของเขาไม่ค่อยโดดเด่น เนื่องจากครอบครัวอพยพ ย้ายที่ไปเรื่อย ๆ แต่เขาเป็นคนใฝ่ดี สนใจ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ และปรัญชา โดยเฉพาะปรัญชาของทางฝั่งตะวันตก เช่น Albert Camus และ Jean-Paul Sartre เขาศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลามด้วยตนเอง โดยการสวดและท่องจำ (อืม ! ประวัติแบบนี้ คนเขียนแต่งได้น่าสนใจจริง)
    ปี ค.ศ. 1966 เขาได้เป็นผู้บริหารโรงเรียนทางศาสนาที่ Ismir เขาใช้วิธีสอน โดยเอาความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ มาผสมผสานกับด้านศาสนา ซึ่งเขาบอกว่าเขาได้รับอิทธิพลมาจาก Said Nursi ซึ่งเป็นนักปฎิรูปใหญ่ของอิสลาม Nursi เป็นผู้ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ตัวยง ส่วน Gulen เอง ก็มีแนวโน้มไปในทางเป็นนายทุน คงเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาคบกับอเมริกาได้อย่างไม่ขัดเขิน
    ปัจจุบัน Gulen เป็นหัวหน้ากลุ่ม Hizmet ซึ่งเป็นขบวนการทางศาสนาและเกี่ยว ข้องกับการเมือง มีเครือข่ายทั่วโลก เป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนสอนศาสนา สื่อและองค์กรการกุศล มูลค่ารวมประมาณกว่า 20 พันล้านเหรียญ !
    Hizmet มีสาวกเฉพาะในตุรกีถึง 3 ล้านคน นี่ยังไม่ได้นับในอเมริกาและส่วนอื่นของโลก Hizmet เน้นที่จะสร้างอิสลามยุคใหม่ เพื่อรัฐตุรกีใหม่ เป็นอิสลามที่มีการศึกษา เขาให้คุณค่ากับคนชั้นกลางที่ทำ งานวิชาชีพ โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกซ์ นอกจากนี้เขายังสนับสนุน พวกทำงานให้รัฐ เช่น ผู้พิพากษาและตำรวจ เป็นกลุ่มคนที่เขาบอกว่าเหมาะสมที่จะสร้างสังคมใหม่ของอิสลาม ที่มองเห็นคุณค่าของศาสนาต่างกับของเดิม (มันเขียนพิมพ์เขียว สร้างรูปแบบใกล้เคียงกันหมด แม้กระทั่งในบ้านเรา!)
    กลุ่มผู้สนับสนุน Gulen กับสนับสนุน พรรค AKP ของนาย Erdogan ก็เกือบจะเป็นกลุ่มเดียวกัน และในช่วงแรกดูเหมือน นาย Gulen กับพวกหัวหน้าของ AKP รวมทั้งตัวนาย Erdogan ก็ดูจะไปกันได้ดี เพราะมีแนวทางที่จะปฏิรูปศาสนาให้ทันสมัยขึ้นและนำมาปรับใช้ให้สอดคล้อง กับการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นแนวทุนนิยมเสรี (ชัดเจนดี)
    แต่ไป ๆ มา ๆ อิทธิพลของนาย Gulen ชักจะแพร่กระจายมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มตำรวจ ข้าราชการฝ่ายตุลาการและผู้พิพากษา (นี่ มันเรื่องในตุรกีนะครับ ขอย้ำอีกที) ในการเทศน์ออกโทรทัศน์ เมื่อ ค.ศ. 1999 นาย Gulen กล่าวว่า
    “พวกท่านจะต้องเจาะเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ของระบบ โดยไม่ให้มีการไหวตัว ถึงความมีอยู่และการกระทำของท่าน จนกว่าท่านจะเข้าไปถึงอำนาจที่อยู่ในใจกลาง… ท่านจะต้องคอย จนเมื่อท่านได้อำนาจของรัฐทั้งหมด มาอยู่ในมือแล้ว และเมื่อนั้นท่านจะได้อำนาจทั้งหมด ตามรัฐธรรมนูญของตุรกี” (ยังไงไม่ทราบ ผมเขียนข้อความนี้ แล้วทำให้นึกถึงเสียงและหน้าของยายนกแสก ทำไมมันให้ความรู้สึกเดียวกัน ! ?)
    หลังจากการเทศน์อันเด็ดดวง นาย Gulen ก็เก็บของอพยพไปอยู่อเมริกาในปีนั้นเอง โดยอ้างว่าจะไปรักษาตัว (ข้ออ้างสูตรสำเร็จ) แม้ว่าตอนนั้น จะยังไม่มีทีท่าว่าจะโดนจับ หรือโดนขู่แต่อย่างไร
    เขาอยู่อเมริกามาตั้งแต่ ค.ศ. 1999 จนถึงบัดนี้ก็ยังอยู่ ในคฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬารบริเวณกว้างขวาง ที่ Saylosburg ทางตะวันออกของมลรัฐ Pennsylvania มีรั้วรอบขอบชิด มียามท่าทางขึงขัง ตลอดแนวบริเวณอาณาเขต
    ครูสอนศาสนาจากบ้านนอกของตุรกีมาได้ไกลถึงเพียงนี้ แถมอเมริกา ต้อนรับขับสู้อย่างดี ขาดแต่ปูพรมแดงรับ น่าจะมีเบื้องหลัง เบื้องหน้ามากกว่าที่ CFR เอามาเล่า
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 7 – ครู นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 7 “ครู” Fethullah Gulen เป็นใคร เส้นชีวิตเขาน่าสนใจไม่เบา เก็บจากรายงานการวิเคราะห์สัมพันธ์ภาพระหว่างอเมริกากับตุรกี ที่ทำโดย CFR เมื่อค.ศ. 2012 ได้ความว่า Fethullah Gulen เป็นชาวตุรกี เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1941 ที่ Koruchuk หมู่บ้านเล็ก ๆ ของ Ezurum ซึ่งเป็นเมืองอยู่ทางชายแดนด้านตะวันออกของตุรกี การเรียนของเขาไม่ค่อยโดดเด่น เนื่องจากครอบครัวอพยพ ย้ายที่ไปเรื่อย ๆ แต่เขาเป็นคนใฝ่ดี สนใจ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ และปรัญชา โดยเฉพาะปรัญชาของทางฝั่งตะวันตก เช่น Albert Camus และ Jean-Paul Sartre เขาศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลามด้วยตนเอง โดยการสวดและท่องจำ (อืม ! ประวัติแบบนี้ คนเขียนแต่งได้น่าสนใจจริง) ปี ค.ศ. 1966 เขาได้เป็นผู้บริหารโรงเรียนทางศาสนาที่ Ismir เขาใช้วิธีสอน โดยเอาความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ มาผสมผสานกับด้านศาสนา ซึ่งเขาบอกว่าเขาได้รับอิทธิพลมาจาก Said Nursi ซึ่งเป็นนักปฎิรูปใหญ่ของอิสลาม Nursi เป็นผู้ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ตัวยง ส่วน Gulen เอง ก็มีแนวโน้มไปในทางเป็นนายทุน คงเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาคบกับอเมริกาได้อย่างไม่ขัดเขิน ปัจจุบัน Gulen เป็นหัวหน้ากลุ่ม Hizmet ซึ่งเป็นขบวนการทางศาสนาและเกี่ยว ข้องกับการเมือง มีเครือข่ายทั่วโลก เป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนสอนศาสนา สื่อและองค์กรการกุศล มูลค่ารวมประมาณกว่า 20 พันล้านเหรียญ ! Hizmet มีสาวกเฉพาะในตุรกีถึง 3 ล้านคน นี่ยังไม่ได้นับในอเมริกาและส่วนอื่นของโลก Hizmet เน้นที่จะสร้างอิสลามยุคใหม่ เพื่อรัฐตุรกีใหม่ เป็นอิสลามที่มีการศึกษา เขาให้คุณค่ากับคนชั้นกลางที่ทำ งานวิชาชีพ โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกซ์ นอกจากนี้เขายังสนับสนุน พวกทำงานให้รัฐ เช่น ผู้พิพากษาและตำรวจ เป็นกลุ่มคนที่เขาบอกว่าเหมาะสมที่จะสร้างสังคมใหม่ของอิสลาม ที่มองเห็นคุณค่าของศาสนาต่างกับของเดิม (มันเขียนพิมพ์เขียว สร้างรูปแบบใกล้เคียงกันหมด แม้กระทั่งในบ้านเรา!) กลุ่มผู้สนับสนุน Gulen กับสนับสนุน พรรค AKP ของนาย Erdogan ก็เกือบจะเป็นกลุ่มเดียวกัน และในช่วงแรกดูเหมือน นาย Gulen กับพวกหัวหน้าของ AKP รวมทั้งตัวนาย Erdogan ก็ดูจะไปกันได้ดี เพราะมีแนวทางที่จะปฏิรูปศาสนาให้ทันสมัยขึ้นและนำมาปรับใช้ให้สอดคล้อง กับการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นแนวทุนนิยมเสรี (ชัดเจนดี) แต่ไป ๆ มา ๆ อิทธิพลของนาย Gulen ชักจะแพร่กระจายมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มตำรวจ ข้าราชการฝ่ายตุลาการและผู้พิพากษา (นี่ มันเรื่องในตุรกีนะครับ ขอย้ำอีกที) ในการเทศน์ออกโทรทัศน์ เมื่อ ค.ศ. 1999 นาย Gulen กล่าวว่า “พวกท่านจะต้องเจาะเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ของระบบ โดยไม่ให้มีการไหวตัว ถึงความมีอยู่และการกระทำของท่าน จนกว่าท่านจะเข้าไปถึงอำนาจที่อยู่ในใจกลาง… ท่านจะต้องคอย จนเมื่อท่านได้อำนาจของรัฐทั้งหมด มาอยู่ในมือแล้ว และเมื่อนั้นท่านจะได้อำนาจทั้งหมด ตามรัฐธรรมนูญของตุรกี” (ยังไงไม่ทราบ ผมเขียนข้อความนี้ แล้วทำให้นึกถึงเสียงและหน้าของยายนกแสก ทำไมมันให้ความรู้สึกเดียวกัน ! ?) หลังจากการเทศน์อันเด็ดดวง นาย Gulen ก็เก็บของอพยพไปอยู่อเมริกาในปีนั้นเอง โดยอ้างว่าจะไปรักษาตัว (ข้ออ้างสูตรสำเร็จ) แม้ว่าตอนนั้น จะยังไม่มีทีท่าว่าจะโดนจับ หรือโดนขู่แต่อย่างไร เขาอยู่อเมริกามาตั้งแต่ ค.ศ. 1999 จนถึงบัดนี้ก็ยังอยู่ ในคฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬารบริเวณกว้างขวาง ที่ Saylosburg ทางตะวันออกของมลรัฐ Pennsylvania มีรั้วรอบขอบชิด มียามท่าทางขึงขัง ตลอดแนวบริเวณอาณาเขต ครูสอนศาสนาจากบ้านนอกของตุรกีมาได้ไกลถึงเพียงนี้ แถมอเมริกา ต้อนรับขับสู้อย่างดี ขาดแต่ปูพรมแดงรับ น่าจะมีเบื้องหลัง เบื้องหน้ามากกว่าที่ CFR เอามาเล่า สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง”

    ตอนที่ 1 สวรรค์บนดิน
    ระหว่างที่ลูกตาเกือบทุกคู่ของคนในโลกสวยงามใบนี้ กำลังจ้องเขม็งไปที่สนามกีฬารังนก ดีไซน์สุดยอด ของนาย Li Xinggang เพื่อดูพิธีเปิด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิคอลังการ ที่แดนมังกรของอาเฮีย เมื่อเดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 2008 วันนั้นบรรดาคนใหญ่คนโตคนของโลก นั่งอยู่แถวนั้นกันเกือบทั้งนั้น ตั้งแต่ใหญ่หมายเลข 1 ของโลกฝั่งหนึ่ง เช่น ประธานาธิบดี GeorgeW. Bush ตัวแสบ และคุณพี่ปูติน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของรัสเซีย หมายเลข 1 ของโลกของฝั่งหนึ่ง ก็นั่งทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ไม่ไกลกัน แล้วถ้ายังไม่ลืมกัน ไอ้หมาไนโจรร้าย ซึ่งนึกว่าตัวเองใหญ่เกินฟ้า ก็กระเสือกกระสนให้เชิญตนเอง เพื่อหนีปัญหาการเมืองในบ้าน ไปนั่งเสนอหน้าอยู่แถวนั้นกับเขาด้วยเหมือนกัน

    วันเดียวกันนั่นเอง ก็มีข่าวเล็ก ๆ แทรกข่าวโอลิมปิคอันยิ่งใหญ่ ออกมาว่า กองทัพของ Georgia ได้บุกเข้าไปยึดเมือง South Ossetia เรียบร้อยแล้ว
    เป็นข่าวเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีใครสนใจ น้อยคนจะรู้จักว่า South Ossetia อยู่ที่ไหน บางคนไม่เคยได้ยินชื่อเลยด้วยซ้ำ แน่นอนในแดนสมันน้อย มีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะรู้จัก หรือแม้แต่จะได้ยินชื่อ South Ossetia เมืองอะไรน่ะ อยู่ที่ไหนนะ รู้จักแต่ เมืองโอริสสาในนิยายเรื่องอะไรสักอย่าง เมืองเดียวกันหรือเปล่านะ ก็ใครไม่รู้ดันถอดหลักสูตร ทั้งภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์สากลออกจากวิชาบังคับของนักเรียนมัธยม
    กว่าจะพอรู้เรื่องว่า มันเกี่ยวกับอะไร ก็ต้องรอให้ผู้สื่อข่าวทำหน้าฉลาด มาวิเคราะห์ให้ฟังก่อนว่า ชาวโลกทั้งหลายเอ๋ย การที่ Republic of Georgia เมืองที่พวกท่าน 90% ในโลกนี้ไม่รู้จัก แต่ดันยกทัพบุกเข้าไปใน South Ossetia ที่พวกท่าน 99.99% ยิ่งไม่รู้จักน่ะนะ มันเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับการเมืองของโลก เทียบเท่ากับ สมัยวิกฤติเกี่ยวกับฐานยิ่งจรวดที่คิวบา เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1962 เชียวนะ ความขัดแย้งระหว่างมวยคู่เก่าในยุคสงครามเย็น ที่อเมริกากับสหภาพโซเวียต 2 พี่เบิ้ม ยืนเท้าสะเอว ถลึงตาใส่กันไง จำได้ไหม แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่เกิดไม่ทัน คงไม่รู้ว่าตอนนั้น โลกเครียดกันขนาดไหน จวนเจียนจะต้องจัดกระเป๋าอพยพ (ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน) หนีสงครามกันแล้ว

    พวกที่ยังจำเหตุการณ์คิวบาได้ ก็เริ่มติดตามข่าว บ่นกันพึมพำ เอาอีกแล้วหรือ จะแลกหมัดแลกจรวดกันอีกแล้วหรือ ฝ่ายวิเคราะห์ข่าวบางคนก็ไปโน่นเลย จำกันได้ไหมครับ เหมือนเมื่อคราวที่ท่านอาร์คด ยุกเฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ Austria Hungarian ถูกพวก Serb ลอบฆ่าที่เมือง Serajevo เหตุการณ์เล็ก ๆ นั้น เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 (อันนี้ผู้ที่จำเหตุการณ์ได้คงไม่มีเหลือแล้ว เหลือแต่รุ่นคนเล่านิทาน ที่เคยรู้จากการเรียนประวัติศาสตร์สากล ตอน ม. 3) บางคนก็ออกมาพูดว่า หรือสงครามเย็นจะกลับมาใหม่ ไหนว่าจบไปแล้วไง

    วิกฤติคิวบา ปี ค.ศ. 1962 สำหรับท่านที่จำได้ เกิดขึ้นเพราะหน่วยลาดตระเวนของอเมริกา (ไม่รู้ตระเวนอยู่ในอเมริกาหรือคิวบา ชักสงสัย) ไปแอบถ่ายรูป ได้ภาพการก่อสร้างฐานยิงจรวดของโซเวียตที่คิวบา ห่างจาก Florida ไปเพียง 90 ไมล์ ระยะแค่นั้นจรวดใช้เวลาไม่กี่นาที ก็ลงกลางบ้าน กลางห้องนอนคนอเมริกัน. แบบไม่ให้คนอเมริกันมีเวลาตั้งตัว ชนิดกำลังนอนเล่นอยู่ นุ่ง กุงเกง ใส่หมวกไม่ทันแล้วกัน โลกตะลึงกับการกระทำของโซเวียต สื่ออเมริกาช่วยกันถล่ม ประธานาธิบดี Kennedy ต้องยกเลิกนัดสาว ๆ แล้วมานั่งกุมขมับกับฝ่ายมั่นคงเป็นการด่วน
    แต่คงมีน้อยคน นอกเหนือจาก Pentagon และเจ้าหน้าที่ระดับสูง (มาก) ของอเมริกาและ NATO ที่จะรู้ความจริงว่าโซเวียตไม่ได้ไปกินยาม้าที่ไหนมาหรอก ถึงได้คึกคัก กล้าหาญชาญชัยที่จะตั้งฐานยิงจรวดที่คิวบา ท้าทายอเมริกาขนาดนั้น ความจริงแล้ว มันเป็นการตอบโต้ของสหภาพโซเวียต จากการที่อเมริกา (แอบ) ไปตั้งฐานยิ่งจรวดของตัว ชื่อ Thor กับ Jupitor ไว้ที่ตุรกี หนึ่งในสมาชิกของ NATO บนบริเวณที่ใกล้ชนิดจ่อคอหอยสหภาพโซเวียต โลกไม่รู้เพราะสื่อยักษ์ใหญ่เกือบทั้งหมดของโลก อยู่ในกระเป๋าของฝ่ายตะวันตก The West คืออเมริกา อังกฤษ และยุโรปตะวันตก เรียบร้อยแล้ว

    เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่คิวบา เมื่อปี ค.ศ. 1962 เหตุการณ์ของ Georgia ปี ค.ศ. 2008 ก็เป็นผลมาจากการตั้งใจสร้างแรงกระตุ้นต่อมอารมณ์ของรัสเซีย ของฝ่ายการเมืองและกองทัพของอเมริกา

    สงครามเย็น จบลงเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 โดย Mikhail Gorbachev กัดฟันประกาศต่อโลกว่าสหภาพโซเวียต ตัดสินใจที่จะไม่ส่งรถถังเข้าไปในเยอรมันตะวันออก เพื่อระงับการประท้วงรัฐบาล และยอมให้มีการทุบกำแพงเบอร์ลิน สัญญลักษณ์ของ ม่านเหล็ก “Iron Curtain” ซึ่งแบ่งยุโรปออกเป็นตะวันออกและตะวันตกทิ้งเสีย จริง ๆ แล้ว สหภาพโซเวียตกำลังอยู่ในอาการสาหัส ล้มละลาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการเมือง

    สงครามเย็นจบลง ฝ่ายตะวันตก the West และแน่นอน โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าตัวจริงเป็นฝ่ายชนะ แค่หลอกขายสินค้ายี่ห้อ เสรีภาพ อิสรภาพ ประชาธิปไตย และความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจให้ชาวโลก โดยเฉพาะชาวยุโรปตะวันออก ประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ก็พากันหลงเชื่อหวังน้ำบ่อหน้ากันเป็นแถว
    เมื่อสงครามเย็นจบลง วอชิงตันตีฆ้องป่าวประกาศว่า ต่อไปนี้เราจะขยายกิจการ ส่งสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตยของเรา ไปทุกส่วนของโลก ที่เคยถูกขังอยู่ในกรงของระบอบสังคมนิยมของโซเวียตตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และสำหรับบางประเทศหวังว่าคงรู้ตัว ว่าอยู่ในกรงเขา มาตั้งแต่สมัยปฎิวัติรัสเซียปี 1917 โน่นแน่ะ

    ประชาธิปไตยของวอชิงตันเป็นสินค้า ที่ทำกล่องใส่อย่างสวยหรู หลอกให้ซื้อง่าย ขายดีสำหรับพวกประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ จากการที่โซเวียตล่มล้มละลายอยู่ที่ยุโรป แต่ประชาธิปไตยแท้จริงสำหรับอเมริกา คือการควบคุมเทคนิค และย้อมความคิดของมวลชน เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้ง่ายมากสำหรับวอชิงตัน ซึ่งจัดเตรียมเครื่องมือเอาไว้พร้อม คือการควบคุมสื่อระดับโลก และการจัดการเปลี่ยนแนวทางเศรษฐกิจ โดยการกำกับควบคุมดูแลที่เล่นกันเป็นวง ร้องเพลงเดียวกัน ของ IMF และ World Bank

    วอชิงตันบอกว่าจะช่วยส่งเสริมประชาธิปไตย หลังจากการล่มละลายของโซเวียต แต่ขอโทษเป็นประชาธิปไตยแบบพิเศษ จัดให้โดยเฉพาะเลย คือ ประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จ
    ที่มีแนวทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม แบบอเมริกาและควบคุมโดย NATO ฮา

    โลกชื่นชมยินดี ต่างตบมือให้อเมริกาผู้มาพร้อม กับประชาธิปไตย ที่ Berlin ชาวเยอรมันคนซื่อ ทั้งตะวันตก ตะวันออก ต่างร้องเพลง เต้นรำไปบนกำแพง ที่ใน Poland, Czechoslovakia และ Hungary ก็เช่นเดียวกัน พวกที่เคยอยู่หลังม่านเหล็ก ดีใจที่จะหลุดออกมาจากม่านและได้มีชีวิตที่ดีกว่า ชีวิตที่เสรี และร่ำรวยแบบคนอเมริกัน พวกเขาเชื่อสนิทใจจากการโฆษณาชวนเชื่อของจักรวรรดิอเมริกา ที่กรอกใส่เข้าไปในหูและหัวของเขาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยสื่อของฝั่งตะวันตก เรากำลังจะมาปลดปล่อยชาวยุโรปตะวันออกผู้ทุกข์ทรมานอยู่หลังม่านเหล็ก สวรรค์บนดินกำลังจะมาถึงแล้ว พวกเขาคงคิดแบบนั้น

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 มิย. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง” ตอนที่ 1 สวรรค์บนดิน ระหว่างที่ลูกตาเกือบทุกคู่ของคนในโลกสวยงามใบนี้ กำลังจ้องเขม็งไปที่สนามกีฬารังนก ดีไซน์สุดยอด ของนาย Li Xinggang เพื่อดูพิธีเปิด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิคอลังการ ที่แดนมังกรของอาเฮีย เมื่อเดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 2008 วันนั้นบรรดาคนใหญ่คนโตคนของโลก นั่งอยู่แถวนั้นกันเกือบทั้งนั้น ตั้งแต่ใหญ่หมายเลข 1 ของโลกฝั่งหนึ่ง เช่น ประธานาธิบดี GeorgeW. Bush ตัวแสบ และคุณพี่ปูติน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของรัสเซีย หมายเลข 1 ของโลกของฝั่งหนึ่ง ก็นั่งทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ไม่ไกลกัน แล้วถ้ายังไม่ลืมกัน ไอ้หมาไนโจรร้าย ซึ่งนึกว่าตัวเองใหญ่เกินฟ้า ก็กระเสือกกระสนให้เชิญตนเอง เพื่อหนีปัญหาการเมืองในบ้าน ไปนั่งเสนอหน้าอยู่แถวนั้นกับเขาด้วยเหมือนกัน วันเดียวกันนั่นเอง ก็มีข่าวเล็ก ๆ แทรกข่าวโอลิมปิคอันยิ่งใหญ่ ออกมาว่า กองทัพของ Georgia ได้บุกเข้าไปยึดเมือง South Ossetia เรียบร้อยแล้ว เป็นข่าวเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีใครสนใจ น้อยคนจะรู้จักว่า South Ossetia อยู่ที่ไหน บางคนไม่เคยได้ยินชื่อเลยด้วยซ้ำ แน่นอนในแดนสมันน้อย มีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะรู้จัก หรือแม้แต่จะได้ยินชื่อ South Ossetia เมืองอะไรน่ะ อยู่ที่ไหนนะ รู้จักแต่ เมืองโอริสสาในนิยายเรื่องอะไรสักอย่าง เมืองเดียวกันหรือเปล่านะ ก็ใครไม่รู้ดันถอดหลักสูตร ทั้งภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์สากลออกจากวิชาบังคับของนักเรียนมัธยม กว่าจะพอรู้เรื่องว่า มันเกี่ยวกับอะไร ก็ต้องรอให้ผู้สื่อข่าวทำหน้าฉลาด มาวิเคราะห์ให้ฟังก่อนว่า ชาวโลกทั้งหลายเอ๋ย การที่ Republic of Georgia เมืองที่พวกท่าน 90% ในโลกนี้ไม่รู้จัก แต่ดันยกทัพบุกเข้าไปใน South Ossetia ที่พวกท่าน 99.99% ยิ่งไม่รู้จักน่ะนะ มันเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับการเมืองของโลก เทียบเท่ากับ สมัยวิกฤติเกี่ยวกับฐานยิ่งจรวดที่คิวบา เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1962 เชียวนะ ความขัดแย้งระหว่างมวยคู่เก่าในยุคสงครามเย็น ที่อเมริกากับสหภาพโซเวียต 2 พี่เบิ้ม ยืนเท้าสะเอว ถลึงตาใส่กันไง จำได้ไหม แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่เกิดไม่ทัน คงไม่รู้ว่าตอนนั้น โลกเครียดกันขนาดไหน จวนเจียนจะต้องจัดกระเป๋าอพยพ (ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน) หนีสงครามกันแล้ว พวกที่ยังจำเหตุการณ์คิวบาได้ ก็เริ่มติดตามข่าว บ่นกันพึมพำ เอาอีกแล้วหรือ จะแลกหมัดแลกจรวดกันอีกแล้วหรือ ฝ่ายวิเคราะห์ข่าวบางคนก็ไปโน่นเลย จำกันได้ไหมครับ เหมือนเมื่อคราวที่ท่านอาร์คด ยุกเฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ Austria Hungarian ถูกพวก Serb ลอบฆ่าที่เมือง Serajevo เหตุการณ์เล็ก ๆ นั้น เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 (อันนี้ผู้ที่จำเหตุการณ์ได้คงไม่มีเหลือแล้ว เหลือแต่รุ่นคนเล่านิทาน ที่เคยรู้จากการเรียนประวัติศาสตร์สากล ตอน ม. 3) บางคนก็ออกมาพูดว่า หรือสงครามเย็นจะกลับมาใหม่ ไหนว่าจบไปแล้วไง วิกฤติคิวบา ปี ค.ศ. 1962 สำหรับท่านที่จำได้ เกิดขึ้นเพราะหน่วยลาดตระเวนของอเมริกา (ไม่รู้ตระเวนอยู่ในอเมริกาหรือคิวบา ชักสงสัย) ไปแอบถ่ายรูป ได้ภาพการก่อสร้างฐานยิงจรวดของโซเวียตที่คิวบา ห่างจาก Florida ไปเพียง 90 ไมล์ ระยะแค่นั้นจรวดใช้เวลาไม่กี่นาที ก็ลงกลางบ้าน กลางห้องนอนคนอเมริกัน. แบบไม่ให้คนอเมริกันมีเวลาตั้งตัว ชนิดกำลังนอนเล่นอยู่ นุ่ง กุงเกง ใส่หมวกไม่ทันแล้วกัน โลกตะลึงกับการกระทำของโซเวียต สื่ออเมริกาช่วยกันถล่ม ประธานาธิบดี Kennedy ต้องยกเลิกนัดสาว ๆ แล้วมานั่งกุมขมับกับฝ่ายมั่นคงเป็นการด่วน แต่คงมีน้อยคน นอกเหนือจาก Pentagon และเจ้าหน้าที่ระดับสูง (มาก) ของอเมริกาและ NATO ที่จะรู้ความจริงว่าโซเวียตไม่ได้ไปกินยาม้าที่ไหนมาหรอก ถึงได้คึกคัก กล้าหาญชาญชัยที่จะตั้งฐานยิงจรวดที่คิวบา ท้าทายอเมริกาขนาดนั้น ความจริงแล้ว มันเป็นการตอบโต้ของสหภาพโซเวียต จากการที่อเมริกา (แอบ) ไปตั้งฐานยิ่งจรวดของตัว ชื่อ Thor กับ Jupitor ไว้ที่ตุรกี หนึ่งในสมาชิกของ NATO บนบริเวณที่ใกล้ชนิดจ่อคอหอยสหภาพโซเวียต โลกไม่รู้เพราะสื่อยักษ์ใหญ่เกือบทั้งหมดของโลก อยู่ในกระเป๋าของฝ่ายตะวันตก The West คืออเมริกา อังกฤษ และยุโรปตะวันตก เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่คิวบา เมื่อปี ค.ศ. 1962 เหตุการณ์ของ Georgia ปี ค.ศ. 2008 ก็เป็นผลมาจากการตั้งใจสร้างแรงกระตุ้นต่อมอารมณ์ของรัสเซีย ของฝ่ายการเมืองและกองทัพของอเมริกา สงครามเย็น จบลงเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 โดย Mikhail Gorbachev กัดฟันประกาศต่อโลกว่าสหภาพโซเวียต ตัดสินใจที่จะไม่ส่งรถถังเข้าไปในเยอรมันตะวันออก เพื่อระงับการประท้วงรัฐบาล และยอมให้มีการทุบกำแพงเบอร์ลิน สัญญลักษณ์ของ ม่านเหล็ก “Iron Curtain” ซึ่งแบ่งยุโรปออกเป็นตะวันออกและตะวันตกทิ้งเสีย จริง ๆ แล้ว สหภาพโซเวียตกำลังอยู่ในอาการสาหัส ล้มละลาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการเมือง สงครามเย็นจบลง ฝ่ายตะวันตก the West และแน่นอน โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าตัวจริงเป็นฝ่ายชนะ แค่หลอกขายสินค้ายี่ห้อ เสรีภาพ อิสรภาพ ประชาธิปไตย และความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจให้ชาวโลก โดยเฉพาะชาวยุโรปตะวันออก ประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ก็พากันหลงเชื่อหวังน้ำบ่อหน้ากันเป็นแถว เมื่อสงครามเย็นจบลง วอชิงตันตีฆ้องป่าวประกาศว่า ต่อไปนี้เราจะขยายกิจการ ส่งสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตยของเรา ไปทุกส่วนของโลก ที่เคยถูกขังอยู่ในกรงของระบอบสังคมนิยมของโซเวียตตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และสำหรับบางประเทศหวังว่าคงรู้ตัว ว่าอยู่ในกรงเขา มาตั้งแต่สมัยปฎิวัติรัสเซียปี 1917 โน่นแน่ะ ประชาธิปไตยของวอชิงตันเป็นสินค้า ที่ทำกล่องใส่อย่างสวยหรู หลอกให้ซื้อง่าย ขายดีสำหรับพวกประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ จากการที่โซเวียตล่มล้มละลายอยู่ที่ยุโรป แต่ประชาธิปไตยแท้จริงสำหรับอเมริกา คือการควบคุมเทคนิค และย้อมความคิดของมวลชน เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้ง่ายมากสำหรับวอชิงตัน ซึ่งจัดเตรียมเครื่องมือเอาไว้พร้อม คือการควบคุมสื่อระดับโลก และการจัดการเปลี่ยนแนวทางเศรษฐกิจ โดยการกำกับควบคุมดูแลที่เล่นกันเป็นวง ร้องเพลงเดียวกัน ของ IMF และ World Bank วอชิงตันบอกว่าจะช่วยส่งเสริมประชาธิปไตย หลังจากการล่มละลายของโซเวียต แต่ขอโทษเป็นประชาธิปไตยแบบพิเศษ จัดให้โดยเฉพาะเลย คือ ประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จ ที่มีแนวทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม แบบอเมริกาและควบคุมโดย NATO ฮา โลกชื่นชมยินดี ต่างตบมือให้อเมริกาผู้มาพร้อม กับประชาธิปไตย ที่ Berlin ชาวเยอรมันคนซื่อ ทั้งตะวันตก ตะวันออก ต่างร้องเพลง เต้นรำไปบนกำแพง ที่ใน Poland, Czechoslovakia และ Hungary ก็เช่นเดียวกัน พวกที่เคยอยู่หลังม่านเหล็ก ดีใจที่จะหลุดออกมาจากม่านและได้มีชีวิตที่ดีกว่า ชีวิตที่เสรี และร่ำรวยแบบคนอเมริกัน พวกเขาเชื่อสนิทใจจากการโฆษณาชวนเชื่อของจักรวรรดิอเมริกา ที่กรอกใส่เข้าไปในหูและหัวของเขาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยสื่อของฝั่งตะวันตก เรากำลังจะมาปลดปล่อยชาวยุโรปตะวันออกผู้ทุกข์ทรมานอยู่หลังม่านเหล็ก สวรรค์บนดินกำลังจะมาถึงแล้ว พวกเขาคงคิดแบบนั้น สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 มิย. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 403 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แต่แล้วมันก็สายเกินไป” — บทเรียนจากเยอรมนีในยุคนาซี ที่สะท้อนถึงการนิ่งเฉยของคนดี

    ในหนังสือ They Thought They Were Free: The Germans, 1933–45 โดย Milton Mayer มีตอนหนึ่งที่ทรงพลังและสะเทือนใจที่สุดคือบทสัมภาษณ์นักวิชาการชาวเยอรมันที่เล่าย้อนถึงช่วงเวลาที่เขาและเพื่อนร่วมงานค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับระบอบนาซีโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง — และมันก็สายเกินไปที่จะต่อต้าน

    เขาเล่าว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย ทุกมาตรการดูเหมือนจะเป็น “ชั่วคราว” หรือ “เพื่อความมั่นคงของชาติ” และประชาชนก็ยุ่งอยู่กับชีวิตประจำวันจนไม่มีเวลาคิดถึงสิ่งสำคัญ การประชุม การกรอกเอกสาร การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ กลายเป็นสิ่งที่กลืนกินเวลาและพลังงานของผู้คน แม้แต่คนมีการศึกษาอย่างเขาก็ยอมรับว่า “ไม่มีเวลาคิด” และรู้สึก “ขอบคุณ” ที่ระบอบเผด็จการทำให้ไม่ต้องเผชิญกับคำถามที่ยากลำบาก

    เมื่อมีการละเมิดสิทธิของกลุ่มต่าง ๆ เช่น คอมมิวนิสต์ นักสังคมนิยม สื่อมวลชน ชาวยิว และในที่สุดคือศาสนจักร คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ทำอะไร เพราะคิดว่า “มันยังไม่แย่ขนาดนั้น” หรือ “ฉันไม่ใช่คนกลุ่มนั้น” จนกระทั่งทุกอย่างลุกลามไปถึงตัวเอง

    เขายังเล่าเรื่องผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ตัดสินให้ชาวยิวพ้นผิดตามหลักกฎหมาย แต่กลับรู้สึกผิด เพราะรู้ดีว่าการปล่อยตัวคือการส่งเขาไปสู่ความตายโดยพรรคฯ และสุดท้ายผู้พิพากษาคนนั้นก็ถูกจับหลังจากการพยายามลอบสังหารฮิตเลอร์ในปี 1944

    ข้อความสุดท้ายของบทนี้คือการยอมรับว่า “ความละอาย” คือสิ่งที่เหลืออยู่สำหรับคนดีที่ไม่ทำอะไรเลยในเวลาที่ควรทำ และมันคือรูปแบบหนึ่งของความกล้าหาญที่น่าเศร้าที่สุด

    การเปลี่ยนผ่านสู่เผด็จการเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ และแนบเนียน
    ทุกมาตรการถูกอธิบายว่าเป็นเรื่องชั่วคราวหรือเพื่อความมั่นคง
    ประชาชนค่อย ๆ ปรับตัวจนไม่รู้ตัวว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป

    คนดีจำนวนมากไม่ต่อต้าน เพราะ “ไม่มีเวลา” หรือ “ไม่ใช่เรื่องของฉัน”
    แม้แต่ผู้มีการศึกษาก็หลีกเลี่ยงการคิดถึงสิ่งสำคัญ
    ความยุ่งเหยิงในชีวิตประจำวันกลายเป็นข้ออ้างในการนิ่งเฉย

    การละเมิดสิทธิเริ่มจากกลุ่มเล็ก ๆ แล้วขยายไปเรื่อย ๆ
    เริ่มจากคอมมิวนิสต์ นักสังคมนิยม สื่อ ชาวยิว และศาสนจักร
    คนส่วนใหญ่ไม่ทำอะไร เพราะคิดว่า “ยังไม่ถึงขั้นนั้น”

    ความละอายกลายเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่
    ผู้พิพากษาที่ตัดสินอย่างถูกต้องกลับรู้สึกผิด เพราะรู้ผลลัพธ์
    หลายคนต้องใช้ชีวิตกับความละอายที่ไม่อาจแก้ไขได้

    https://press.uchicago.edu/Misc/Chicago/511928.html
    📰 “แต่แล้วมันก็สายเกินไป” — บทเรียนจากเยอรมนีในยุคนาซี ที่สะท้อนถึงการนิ่งเฉยของคนดี ในหนังสือ They Thought They Were Free: The Germans, 1933–45 โดย Milton Mayer มีตอนหนึ่งที่ทรงพลังและสะเทือนใจที่สุดคือบทสัมภาษณ์นักวิชาการชาวเยอรมันที่เล่าย้อนถึงช่วงเวลาที่เขาและเพื่อนร่วมงานค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับระบอบนาซีโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง — และมันก็สายเกินไปที่จะต่อต้าน เขาเล่าว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย ทุกมาตรการดูเหมือนจะเป็น “ชั่วคราว” หรือ “เพื่อความมั่นคงของชาติ” และประชาชนก็ยุ่งอยู่กับชีวิตประจำวันจนไม่มีเวลาคิดถึงสิ่งสำคัญ การประชุม การกรอกเอกสาร การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ กลายเป็นสิ่งที่กลืนกินเวลาและพลังงานของผู้คน แม้แต่คนมีการศึกษาอย่างเขาก็ยอมรับว่า “ไม่มีเวลาคิด” และรู้สึก “ขอบคุณ” ที่ระบอบเผด็จการทำให้ไม่ต้องเผชิญกับคำถามที่ยากลำบาก เมื่อมีการละเมิดสิทธิของกลุ่มต่าง ๆ เช่น คอมมิวนิสต์ นักสังคมนิยม สื่อมวลชน ชาวยิว และในที่สุดคือศาสนจักร คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ทำอะไร เพราะคิดว่า “มันยังไม่แย่ขนาดนั้น” หรือ “ฉันไม่ใช่คนกลุ่มนั้น” จนกระทั่งทุกอย่างลุกลามไปถึงตัวเอง เขายังเล่าเรื่องผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ตัดสินให้ชาวยิวพ้นผิดตามหลักกฎหมาย แต่กลับรู้สึกผิด เพราะรู้ดีว่าการปล่อยตัวคือการส่งเขาไปสู่ความตายโดยพรรคฯ และสุดท้ายผู้พิพากษาคนนั้นก็ถูกจับหลังจากการพยายามลอบสังหารฮิตเลอร์ในปี 1944 ข้อความสุดท้ายของบทนี้คือการยอมรับว่า “ความละอาย” คือสิ่งที่เหลืออยู่สำหรับคนดีที่ไม่ทำอะไรเลยในเวลาที่ควรทำ และมันคือรูปแบบหนึ่งของความกล้าหาญที่น่าเศร้าที่สุด ✅ การเปลี่ยนผ่านสู่เผด็จการเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ และแนบเนียน ➡️ ทุกมาตรการถูกอธิบายว่าเป็นเรื่องชั่วคราวหรือเพื่อความมั่นคง ➡️ ประชาชนค่อย ๆ ปรับตัวจนไม่รู้ตัวว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป ✅ คนดีจำนวนมากไม่ต่อต้าน เพราะ “ไม่มีเวลา” หรือ “ไม่ใช่เรื่องของฉัน” ➡️ แม้แต่ผู้มีการศึกษาก็หลีกเลี่ยงการคิดถึงสิ่งสำคัญ ➡️ ความยุ่งเหยิงในชีวิตประจำวันกลายเป็นข้ออ้างในการนิ่งเฉย ✅ การละเมิดสิทธิเริ่มจากกลุ่มเล็ก ๆ แล้วขยายไปเรื่อย ๆ ➡️ เริ่มจากคอมมิวนิสต์ นักสังคมนิยม สื่อ ชาวยิว และศาสนจักร ➡️ คนส่วนใหญ่ไม่ทำอะไร เพราะคิดว่า “ยังไม่ถึงขั้นนั้น” ✅ ความละอายกลายเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ ➡️ ผู้พิพากษาที่ตัดสินอย่างถูกต้องกลับรู้สึกผิด เพราะรู้ผลลัพธ์ ➡️ หลายคนต้องใช้ชีวิตกับความละอายที่ไม่อาจแก้ไขได้ https://press.uchicago.edu/Misc/Chicago/511928.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17-09-68/01 : หมี CNN / "สภาโกปี๊" หรรษาขาประจำ EP5.1

    ณ ร้านอาแปะ "แดร๊กด่วน" วงประชุม "สภาโกปี๊" ชุดเก่า เวลาเดิม เกิดเรื่องใหญ่ เมื่อบรรดาพรรคการเมือง แห่กันเข้ามาในหมู่บ้านหมีดุ เหตุเพราะสถิติแรงเกิน หมู่บ้านเดียว ที่ตลอด 20 ปี ยอด NO VOTE สูงสุดอันดับ 1 ของประเทศ คือไม่เลือกใครเลย เป็นแรงดึงดูด ให้บรรดาเสือหิวทั้งหลาย อยากได้คะแนนจากที่นี่ให้ได้ เค้าเรียก "ด่านโหดหิน" ใครได้คะแนนจากที่นี่ได้ คือสุดยอดนักการเมืองเหี้ยที่ไร้พ่าย ครั้งล่าสุดเมื่อ 2 ปี ก่อน จำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง มี 3500 คน มีผู้มาใช้สิทธิ์ 3499 ขาด 1 เสียงเพราะนอนพะงาบที่รพ. ICU ใช้สิทธิ์โหวต NO ถึง 3499 เสียงครบตามจำนวนผู้มีสิทธิ์ หมู่บ้านหมีดุ ขึ้นชื่อเรื่อง "ไม่เอาเหี้ยไป จัญไรมา" เพราะไม่ว่าจะกาใคร แม่งก็เหี้ยเหมียงเดิม แล้วกูจะเอาเสียงบริสุทธิ์ในมือไปให้เหี้ยมันทำไมกันล่ะ นโยบายโคตรพ่อง ประชานิยมโคตรแม่ง ดีแต่เผาผลาญงบหาแดร๊ก

    อาแปะ : ไอ้สัส! วันนี้ "เหี้ยบุก" พวกเราเตรียมรับมือกันให้ดีดี งวดนี้ ได้ข่าว มันจัดเต็ม มากันยกแก๊งค์เหี้ย C ท่อน้ำเลี้ยงมันทั้งนั้น 3 พรรคหลอกแดร๊ก 1 พรรคตีเนียน มันเล่นยกสื่อเหี้ยยิวเข้ามา คงถาม หมู่บ้านเรา ไม่นิยมประชาธิปไตยโคตรพ่องยิวบ้างเหรอ?

    อาโก : พอจะมียุบสภาพกันอีก 4 เดือน เดินสายกันเชียวน่ะมรึง 4 ปี แลก 4 วิ หมายังอาย กาเสร็จ กวักมือเรียกให้ตาย แม่งก็ไม่โผล่ สันดาน ใครกันแน่ที่โง่ฟ่ะ?

    อาซิ่ม อินเตอร์ : อีหมู่บ้านชั้น มันเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ตามสูตร หัวละ 2000 เริ่มต้น ยิ่งใกล้คืนหมาหอน เอาไปเลย 3500 พร้อมรองเท้าแตะ 1 ข้าง กาเสร็จ ค่อยไปรับอีกข้าง ดูมันทำ? คราวก่อน อีส้มดวย ชนะยกพรรค ทั้งบุคคล และพรรค เพิ่งเคยเห็น แจกบัตรคอนเสิร์ตไอดอลคลั่งฟรี หัวละ 2 ใบ วัยรุ่นแถวบ้านกรี๊ดกร๊าดกันหย่าย ดิ้นเหมือนโดนน้ำร้อนลวกเป๊ะเด๊ะ

    อาฉี : โน้น..ไม่ทันไร มันโผล่มาล่ะ เอาไงดี ใครจะเปิดก่อนดีล่ะ?

    อาคิม : ใจร่มๆ ตามสูตร มันต้องแกล้งเข้ามานั่งแดรีกโกปี๊ แล้วถามสารทุกข์ สุขดิบ เพื่อสร้างความคุ้นเคย และไว้เนื้อเชื้อใจ วิธีการเดียวกับนักล่า จูบก่อนแล้วค่อยขย้ำ มาผิดที่แล้วไอ้นู๋ นี่มันดง "เพชรฆาตนักการเมืองหัวกล้วยนะมรึง" โดนแน่

    อาซิ่ม อินเตอร์ : ไม่รู้ มันจะจำชั้นได้มั้ย เพราะมันเพิ่งจะเข้าไปในหมู่บ้านชั้นเมื่ออาทิตย์ก่อน เงิน 2000 หมดเกลี้ยงแล้ว โดนหวยแดร๊กจ๊ะ แหม..เงินอัปมงคลเสียจริง เงินบาป แทงเหี้ยอะไรก็ไม่ถูก! ให้มากูรับ แต่จะเลือกจริงหรือไม่ เรื่องของกู

    อาแปะ : READY! มันมากันแล้ว สื่อตรึม จัดฉากกันใหญ่เชียวมรึง? เดี๋ยวรู้

    ทันทีที่กองทัพสื่อรับจ้างเหี้ย ดาหน้ากันเข้ามา วางกล้องพร้อม ตัวละครพร้อม ACTION นำหน้าด้วยหัวหน้าพรรคมันม่วง สโลแกน "อยู่ให้สบาย อิ่มหมีพีมันส์" กราบไหว้มาแต่ไกล "สวัสดีครับเพ่น้อง ผมชื่อ "สะเบอเร่อเฮ้ย" ครับเพ่น้อง วันนี้ ขอฝากเนื้อ ฝากตัวไว้ในอ้อมอก อ้อมใจ เพ่น้องชาวหมู่บ้านหมีดุ ด้วยน่ะคร๊าบบบ

    ไม่ทันไร! อาแปะ หน้านิ่ง หน้าตาย ก็นำร่องก่อนเพื่อน ชี้นิ้วไปที่ชื่อป้ายหน้าร้าน ตามสโลแกน "แดร๊กเสร็จก็ไสหัวไปซะ" มันเห็นแล้วสะอึก! กูเพิ่งมาถึง แม่งจะไล่กันแล้วรึเนี่ย? โหดจริง อะไรจริง นี่มันหมู่บ้าน หรือ กรงหมาพันธุ์ดุกันฟ่ะเนี่ย?

    แฮะ..แค่แวะมาทักทาย เพ่น้องทุกท่านคร๊าบ มีอะไรให้รับใช้ บอกมาได้เลย เดี๋ยวจัดการให้ น้ำ ไฟ ถนน สาธารณูปโภค เข้าถึง เข้าถึง อย่าได้ห่วง โปรดเลือก พรรคมันม่วง เบอร์ 88 รับรอง ชีวิตจะสบายไปตลอดกาลขอรับ เพราะเรารับใช้ประชาชนเต็มความสามารถอยู่แล้ว

    อาแปะ : ลื้อจะสั่งอะไร? หากไม่กิน ก็ไสหัวออกไป ที่นี่ เค้าสงบสุขดีอยู่แล้ว

    สะเบอเร่อเฮ้ย : อ๋อ..สั่ง ครับสั่ง โกปี๊ 8 ปาท่องโก๋ 10 ไข่ลวก 10 นมเย็น 4 ขอรับ

    อาแปะ : แล้วบรรดานักข่าวที่ลื้อยกกันมาเป็นขบวนขันหมากเนี่ย ไม่ให้มันได้แดร๊กหน่อยเหรอ? ไหนว่าทำเพื่อประชาชนไง เห็นอยู่ก็ไม่น้อยน่ะ ประมาณ 40 คน จะเลี้ยงมั้ย? (ถามต่อหน้า "สะเบอเร่อเฮ้ย" ขณะ LIVE สดอยู่)

    สะเบอเร่อเฮ้ย : อ๋อ..เลี้ยงสิคร๊าบ เท่าไหร่ ก็เลี้ยงขอรับ(ไอ้สัส..จัดหนักกูทันที)

    อาโก : อ้าว..เลี้ยงแต่นักข่าว ไม่เลี้ยงพวกเรา ชาวบ้านหาเช้ากินค่ำรึจ๊ะ? คุณหัวหน้าพรรค ดูท่าทาง ไม่ใช่คนขี้เหนียวนิจ๊ะ มาทั้งที มันต้องสร้างความประทับใจหน่อยสิ อยากเห็นผู้แทนประชาชนตัวเป็นๆ ของจริง อ่ะน่ะ (คนในร้านเฮ ทันที)

    สะเบอเร่อเฮ้ย : จัดไปขอรับ เป็นเกียรติที่ได้ดูแลประชาชนครับ มันเป็นหน้าที่

    อาฉี : อ้าว..พวกเรา ไปป่าวประกาศเร็ว ท่านหัวหน้าพรรค จะเลี้ยงยกหมู่บ้าน ใครมีลูกเด็ก เล็กแดง ยกกันมากินฟรีเร็ว! ให้ว่อง ให้ไว ชาวบ้านเฮตามน้ำทันที (กล้องจับภาพบรรยากาศคึกคัก แต่หัวหน้าพรรคหน้าเจื่อน)

    หลังผ่านไป 2 ชั่วโมง หลังแดร๊กกันดุเด็ด เผ็ดมันส์ ร้านอาแปะ ทำยอดขายได้มากกว่าขายทั้งเดือนซะอีก ลาภปาก แดร๊กกันดีนัก กูขอเอาคืนมรึงบ้างเหอะ ก็ถึงเวลา "หาเสียง" ยังไงเสียแล้ว เมื่อชาวบ้านมารุมกินฟรีที่ร้านอาแปะ ก็เอาเป็นที่ถ่ายโลเกชั่นหมู่บ้านไปเลย นายอำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน อีกำนัน ดาหน้ากันเสนอผลงานกันใหญ่ออกสื่อ ออกมาต้อนรับท่านหัวหน้าพรรคมันม่วง ชาวบ้านเห็นชัด ถึงอาการชะเลียส้นตรีนของข้าราชการ กับฝ่ายการเมือง ยิ่งทำให้แค้นจัด เดี๋ยวมีช็อตเด็ดแน่!

    LIVE สด ณ หมู่บ้านหมีดุ ตำบลหมีงาบ อำเภอหมีตะปบ ถ่ายทำที่ร้าน "แดร๊กเสร็จก็ไสหัวไปซะ" โดยมี อาแปะเป็นเจ้าของร้าน และเป็นศูนย์กลางชาวบ้าน ตั้งสภาโกปี๊มาหลายสิบปี เห็นการเมืองมาเยอะ ถูกเชิญไปให้สัมภาษณ์ โดยมีการจัดฉาก ยืนเรียงกันพร้อม ทั้งฝ่ายข้าราชการ และฝ่ายการเมือง

    สะเบอเร่อเฮ้ย : เรา..ในฐานะพรรคมันม่วง ที่ต้องการจะยกระดับความเจริญให้เพ่น้องประชาชน เราต้องการสิ่งที่ดีกว่า ทันสมัยกว่า และเห็นทันตาเป็นที่ประจักษ์ ดังนั้น นโยบายหลักของเราคือ "กินอิ่ม หลับสบาย" ทุกครัวเรือน จะต้องปลอดภัย และมีกิน มีใช้ ไม่ศักดิ์ศรี ไม่ต้องขอใครกิน อีกต่อไป (ชาวบ้านนั่งฟัง..เงียบกริบ)

    อาแปะ : ลื้อมาเพื่อช่วยพวกเราชิมิ? งั้นลื้อพร้อมจะฟังปัญหา ปากท้องชาวบ้าน และสิ่งที่ชาวบ้านต้องการจริงๆ รึยัง? ที่ไม่ใช่จากปากคนอื่น อ่ะน่ะ กล้าฟังมั้ย?

    (อาแปะพูดคั่นกลาง LIVE สดเลย อี สะเบอเร่อเฮ้ย ถึงกับชงักไป 5 วิ แต่เห็นออกสื่ออยู่ จึงตามน้ำ ผิดแผน กูกะจะใส่นโยบายหลอกแดร๊ก ปั่นหัวควายซะหน่อย แต่เสือกถูกคั่นรายการ เอาเหอะ เดี๋ยวค่อยตบท้ายสวยๆ ปล่อยชาวบ้านได้ปลดปล่อยก่อน)

    อาแปะ : กวักมือเรียก "อาโก" ทันที ตาลื้อล่ะ อั๊วชงให้แล้ว ในหมู่บ้าน ไม่มีใครรู้ดีเท่าลื้อดอก ข้อมูลตรึม ปัญญาเป็นเริ่ด ช่วยบอกท่านหัวหน้าพรรคหน่อยว่า เราต้องการอะไร? จัดไป อย่าให้เสียของ

    อาโก : ก็ไม่มีอะไรมากดอกน่ะ เราอยากให้ท่านรับปากสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องการในยามนี้ และในอนาคต หากทำได้ เราทั้งหมู่บ้านจะเลือกพรรคท่านแน่นอน เพราะคนลงมือทำจริง ย่อมดีกว่าเอาแต่พูด พวกเราชอบคนจริง และให้ใจเต็มที่

    สะเบอเร่อเฮ้ย : ยิงลี ก๊าบ..เฮ๊ย ยินดี ขอรับ ผมพร้อมรับฟังปัญหาชาวบ้านอยู่แล้ว ยากแค่ไหน ก็จะทำให้ได้ เพื่อให้ชีวิตที่ดีกลับคืนสู่ทุกหมู่บ้านอีกครั้ง

    อาโก : ใส่ทันที ขอเรียงเป็นข้อๆ ดังนี้

    1.ยกเลิก MOU43/44 ทันที โดยไม่มีเงื่อนไข ปิดด่านให้หมด จนกว่าขะแมร์แพ้
    2.ร่างรมน.ใหม่เมื่อไหร่ ใครแตะต้องสถาบันสูงสุด ประหาร 9 ชั่วโคตร ไม่มียกเว้น
    3.โทษของการคอรัปชั่นคือประหารชีวิตเท่านั้น ไม่มีหมดอายุความ ทำทันที
    4.ตัดทุกอย่างเกี่ยวกับสิทธิพิเศษ และอภิสิทธิ์ของสส. สว. เปลืองงบใช่เหตุ
    5.ร่างรมน.ใหม่เมื่อไหร่ ไม่ใช่เลือกกันเอง ภาคประชาชนต้องเข้าไปมีส่วนร่าง
    6.องค์กรอิสระ ไม่ให้ฝ่ายการเมืองยุ่งเด็ดขาด ให้ประชาชนส่งตัวแทนเข้าไป
    7.ผลัดใบกรมปทุมวัน ผลัดใบอัยกวย ผลัดใบกรุมคุก ผลัดใบข้าราชการทั้งระบบ
    8.กฎหมายควบคุมพรรค ท่อน้ำเลี้ยงต่างชาติ ยุบทันที ถอนสิทธิ์ตลอดชีพ
    9.กระจายอำนาจ ไม่ให้ทุกอย่างเข้าสู่ศูนย์กลาง เพาะเชื้อชั่ว 77 จ. บริหารเอง
    10.ยกเลิกระบบนายทุนผูกขาด ใช้ระบบสวัสดิการรัฐนำ งบประมาณกระจายทั่ว
    11.รากฐานสำคัญ ประวัติศาสตร์ ศีลธรรม บรรจุในระเบียบแห่งชาติต้องมี ทุกรร.
    12.คืนพระราชอำนาจ โปรดเกล้านายกฯ พระราชทาน ฝ่ายการเมือง 30 วัง 70
    13.เรียกคืนอธิปไตยไทย ดินแดนเดิมที่เคยมี และถูกแย่งชิงไปคืนมาให้หมด
    14.ทุนเรียนฟรีต้องมี คนไทยต้องได้รับการศึกษาฟรีไปจนถึงชั้นปริญญา วิชาชีพ
    15.จัดการทุนต่างชาติ ควบคุมผู้อพยพลี้ภัย คนต่างด้าว แรงงานเถื่อน กฎต้องแรง

    หายใจทันมั้ย? เอาแค่นี้ก่อนน่ะ ท่านผู้นำพรรค เดี๋ยวจะฉี่แตกซะก่อน

    สะเบอเร่อเฮ้ย : มึน..โดนหมัดรัว นี่มันเข้ากูทุกดอกนี่หว่า? ตั้งสติได้แป๊บ หันมาหากล้อง ยิ้มหวานๆ เป็นข้อเสนอที่ดี แต่ทำได้ยากน่ะ เพราะหลายข่อมันขัดกับประชาธิปไตย ที่สากลยอมรับน่ะ

    อาโก : สวนกลับทันควัน.. เอาเหรอ? อั๊วคิดว่าที่นี่คือประเทศไทย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุก เป็นเอกราชมานับ 1000 ปี มีอะไรที่สากลไม่ยอมรับเราบ้างล่ะ อั๊วก็เห็น ทั่วโลกแห่กันเข้ามาเต็มบ้าน เต็มเมือง ไม่เห็นใครบอกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยซะหน่อย

    สะเบอเร่อเฮ้ย : (ของเริ่มขึ้น) ไม่คิดหน่อยรึว่า มันอาจจะกลายเป็นคอมมิวนิสต์น่ะ หากเราไม่ยึดประชาธิปไตยอันทรงคุณค่าเอาไว้ ทั่วโลกเจริญก็เพราะประชาธิปไตยเนี่ยแหละ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค เราจะเดินถอยหลังเอาน่ะ

    อาฉี : แล้วทำไม จีน รัสเซีย ถึงได้เจริญกันล่ะ เพราะมีผู้นำดี ทั้งปูติน สีจิ้นผิง แปลว่าอะไร ระบบอะไรก็ช่าง มันดีหมด หากได้ผู้นำที่ดี เก่ง และฉลาด ที่สำคัญคือ ทำเพื่อส่วนรวมอย่างจริงจัง ประชาธิปไตย 93 ปี ไม่ได้ช่วยให้เราอิ่มได้จริง เลือกตั้งกันมากี่ครั้งแล้วล่ะ แล้วจบยังไง?

    ชาวบ้านเริ่มเฮกันหย่าย สื่อได้ช็อต ปิงปอง เล่นข่าว จับตาดูท่านหัวหน้าพรรค จะเอาตัวรอดยังไงดี? ไม่ทันไร นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็ดาหน้าเสนอ องครักษ์พิทักษ์นายทันที เสนอหน้าออกสื่อ "ชมผู้นำพรรคที่มีใจเป็นกลาง" และชื่นชมความเอาใจใส่ แม้แต่ในหมู่บ้านเล็กๆ ยังอุตส่าห์มาเยี่ยมเยียน บอกสื่อไปหน้าตาเฉยว่า ทุกวันนี้ หมู่บ้านนี้ ร่มเย็นเป็นสุขดี เพราะมีผู้ใหญี่หลายท่านให้ความสนใจ(ก็แหงสิ 10 กว่าปี ไม่ได้แดร๊กแม้เพียงเสียงเดียว คะแนนเดียว มรึงถึงอยากจะแย่งกันอย่างกะหมา เพื่อปลดล็อค สร้างวีรกรรมชนะใจคนในหมู่บ้านนี้ให้ได้ วงพนันขันต่อ วางไว้ 100:1 ใครที่ได้เสียงมา คือแชมป์จ๊ะ)

    ยังไม่ทัน ที่อี สะเบอเร่อเฮ้ย จะแถต่อ ก็มีเด็กน้อยโผล่มา สาวน้อยคนนี้มีชื่อว่า "ปุกลุก" ท่านผู้นำขา นู๋มีเรื่องจะขอร้องคร๊า สื่อให้ความสำคัญทันที ด้วยความใสซื่อของเด็ก ก็พูดออกมาโพลงๆ เลยว่า "ทำไมต้องแย่งนมนู๋กินด้วยคร๊า ผู้ใหญ่น่าไม่อาย" เพราะแกเพิ่งจะไปล้างท้องมาหมาดๆ กับเพื่อนนักเรียนร่วมห้อง ท้องเสียเพราะนมบูด งานเข้านายอำเภอทันที จะแถต่อยังไงดีเนี่ย?

    นายอำเภอหันหน้ามาบอกผู้นำพรรคว่า "เป็นเรื่องผิดพลาดทางเทคนิค" การขนส่งล่าช้า และขบวนการขนส่งไม่ได้มาตรฐาน ท่านผู้นำพรรค ก็รีบออกสื่อแจ้งทันที ว่า จะแก้ไขโดยด่วน ต่อไปเด็กๆ จะต้องได้กินนมสดจากฟาร์มทุกวัน สดใหม่เสมอ ยังไม่ทันจะคุยต่อ ก็มีเด็กน้อยโผล่มาอีก ถามว่า "อยากได้ ลุงกุ้ง เป็นนายกฯ อ่ะคร๊าบบ" ฮาแตก ทั้งร้าน เด็กมันยังรู้ ว่าใครคือ "วีรบุรุษชาติ"

    บรรยากาศเริ่มไม่เป็นใจ กระแสรักชาติดาษดื่น ดูท่า การหาเสียงครั้งนี้ มันจะไร้ผล ไม่เป็นดั่งที่คาดคิดไว้ ผู้นำพรรค ถึงได้แถลงการณ์ต่อหน้าสื่อ เพื่อปิดท้ายทันที อ้างว่า "ที่เดินทางมาหมู่บ้านนี้ ก็เพื่อจะดำรงประชาธิปไตย" ให้ระบบแข็งแรง และสนับสนุนให้ทุกคนมีส่วนในการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง รงณรงค์ให้ทุกครัวเรือน มีส่วนในการกำหนดชะตากรรมประเทศ เพราะแลเห็นว่า ผ่านมา 20 ปี หมู่บ้านหมีดุ แห่งนี้ ไม่มีคะแนนเสียงของพรรคการเมืองใดเลยที่เจาะได้ แปลว่า ยังไม่ถูกใจผู้แทนคนไหนเลย ถึงได้มาเพื่อแสดงตัวให้เป็นที่พิจารณา แล้วจึงชิ่งหนีกลับทันที

    ยังไม่ทันจะพ้นปากทางหมู่บ้าน คณะพรรคใหม่ก็โผล่มาทันที งวดนี้ จัดหนัก จัดเต็ม ขนอุปกรณ์เวที มาตั้ง กะให้บรรลือไปทั้งโลก พ่วงดารา ไอดอล มาเต็มตรีน อย่างกะขยวนขันหมาก ไอ้สัส! อี สะเบอเร่อเฮ้ย หน้าเหว่อทันที https://www.minds.com/newsfeed/1814952706748571648
    17-09-68/01 : หมี CNN / "สภาโกปี๊" หรรษาขาประจำ EP5.1 ณ ร้านอาแปะ "แดร๊กด่วน" วงประชุม "สภาโกปี๊" ชุดเก่า เวลาเดิม เกิดเรื่องใหญ่ เมื่อบรรดาพรรคการเมือง แห่กันเข้ามาในหมู่บ้านหมีดุ เหตุเพราะสถิติแรงเกิน หมู่บ้านเดียว ที่ตลอด 20 ปี ยอด NO VOTE สูงสุดอันดับ 1 ของประเทศ คือไม่เลือกใครเลย เป็นแรงดึงดูด ให้บรรดาเสือหิวทั้งหลาย อยากได้คะแนนจากที่นี่ให้ได้ เค้าเรียก "ด่านโหดหิน" ใครได้คะแนนจากที่นี่ได้ คือสุดยอดนักการเมืองเหี้ยที่ไร้พ่าย ครั้งล่าสุดเมื่อ 2 ปี ก่อน จำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง มี 3500 คน มีผู้มาใช้สิทธิ์ 3499 ขาด 1 เสียงเพราะนอนพะงาบที่รพ. ICU ใช้สิทธิ์โหวต NO ถึง 3499 เสียงครบตามจำนวนผู้มีสิทธิ์ หมู่บ้านหมีดุ ขึ้นชื่อเรื่อง "ไม่เอาเหี้ยไป จัญไรมา" เพราะไม่ว่าจะกาใคร แม่งก็เหี้ยเหมียงเดิม แล้วกูจะเอาเสียงบริสุทธิ์ในมือไปให้เหี้ยมันทำไมกันล่ะ นโยบายโคตรพ่อง ประชานิยมโคตรแม่ง ดีแต่เผาผลาญงบหาแดร๊ก อาแปะ : ไอ้สัส! วันนี้ "เหี้ยบุก" พวกเราเตรียมรับมือกันให้ดีดี งวดนี้ ได้ข่าว มันจัดเต็ม มากันยกแก๊งค์เหี้ย C ท่อน้ำเลี้ยงมันทั้งนั้น 3 พรรคหลอกแดร๊ก 1 พรรคตีเนียน มันเล่นยกสื่อเหี้ยยิวเข้ามา คงถาม หมู่บ้านเรา ไม่นิยมประชาธิปไตยโคตรพ่องยิวบ้างเหรอ? อาโก : พอจะมียุบสภาพกันอีก 4 เดือน เดินสายกันเชียวน่ะมรึง 4 ปี แลก 4 วิ หมายังอาย กาเสร็จ กวักมือเรียกให้ตาย แม่งก็ไม่โผล่ สันดาน ใครกันแน่ที่โง่ฟ่ะ? อาซิ่ม อินเตอร์ : อีหมู่บ้านชั้น มันเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ตามสูตร หัวละ 2000 เริ่มต้น ยิ่งใกล้คืนหมาหอน เอาไปเลย 3500 พร้อมรองเท้าแตะ 1 ข้าง กาเสร็จ ค่อยไปรับอีกข้าง ดูมันทำ? คราวก่อน อีส้มดวย ชนะยกพรรค ทั้งบุคคล และพรรค เพิ่งเคยเห็น แจกบัตรคอนเสิร์ตไอดอลคลั่งฟรี หัวละ 2 ใบ วัยรุ่นแถวบ้านกรี๊ดกร๊าดกันหย่าย ดิ้นเหมือนโดนน้ำร้อนลวกเป๊ะเด๊ะ อาฉี : โน้น..ไม่ทันไร มันโผล่มาล่ะ เอาไงดี ใครจะเปิดก่อนดีล่ะ? อาคิม : ใจร่มๆ ตามสูตร มันต้องแกล้งเข้ามานั่งแดรีกโกปี๊ แล้วถามสารทุกข์ สุขดิบ เพื่อสร้างความคุ้นเคย และไว้เนื้อเชื้อใจ วิธีการเดียวกับนักล่า จูบก่อนแล้วค่อยขย้ำ มาผิดที่แล้วไอ้นู๋ นี่มันดง "เพชรฆาตนักการเมืองหัวกล้วยนะมรึง" โดนแน่ อาซิ่ม อินเตอร์ : ไม่รู้ มันจะจำชั้นได้มั้ย เพราะมันเพิ่งจะเข้าไปในหมู่บ้านชั้นเมื่ออาทิตย์ก่อน เงิน 2000 หมดเกลี้ยงแล้ว โดนหวยแดร๊กจ๊ะ แหม..เงินอัปมงคลเสียจริง เงินบาป แทงเหี้ยอะไรก็ไม่ถูก! ให้มากูรับ แต่จะเลือกจริงหรือไม่ เรื่องของกู อาแปะ : READY! มันมากันแล้ว สื่อตรึม จัดฉากกันใหญ่เชียวมรึง? เดี๋ยวรู้ ทันทีที่กองทัพสื่อรับจ้างเหี้ย ดาหน้ากันเข้ามา วางกล้องพร้อม ตัวละครพร้อม ACTION นำหน้าด้วยหัวหน้าพรรคมันม่วง สโลแกน "อยู่ให้สบาย อิ่มหมีพีมันส์" กราบไหว้มาแต่ไกล "สวัสดีครับเพ่น้อง ผมชื่อ "สะเบอเร่อเฮ้ย" ครับเพ่น้อง วันนี้ ขอฝากเนื้อ ฝากตัวไว้ในอ้อมอก อ้อมใจ เพ่น้องชาวหมู่บ้านหมีดุ ด้วยน่ะคร๊าบบบ ไม่ทันไร! อาแปะ หน้านิ่ง หน้าตาย ก็นำร่องก่อนเพื่อน ชี้นิ้วไปที่ชื่อป้ายหน้าร้าน ตามสโลแกน "แดร๊กเสร็จก็ไสหัวไปซะ" มันเห็นแล้วสะอึก! กูเพิ่งมาถึง แม่งจะไล่กันแล้วรึเนี่ย? โหดจริง อะไรจริง นี่มันหมู่บ้าน หรือ กรงหมาพันธุ์ดุกันฟ่ะเนี่ย? แฮะ..แค่แวะมาทักทาย เพ่น้องทุกท่านคร๊าบ มีอะไรให้รับใช้ บอกมาได้เลย เดี๋ยวจัดการให้ น้ำ ไฟ ถนน สาธารณูปโภค เข้าถึง เข้าถึง อย่าได้ห่วง โปรดเลือก พรรคมันม่วง เบอร์ 88 รับรอง ชีวิตจะสบายไปตลอดกาลขอรับ เพราะเรารับใช้ประชาชนเต็มความสามารถอยู่แล้ว อาแปะ : ลื้อจะสั่งอะไร? หากไม่กิน ก็ไสหัวออกไป ที่นี่ เค้าสงบสุขดีอยู่แล้ว สะเบอเร่อเฮ้ย : อ๋อ..สั่ง ครับสั่ง โกปี๊ 8 ปาท่องโก๋ 10 ไข่ลวก 10 นมเย็น 4 ขอรับ อาแปะ : แล้วบรรดานักข่าวที่ลื้อยกกันมาเป็นขบวนขันหมากเนี่ย ไม่ให้มันได้แดร๊กหน่อยเหรอ? ไหนว่าทำเพื่อประชาชนไง เห็นอยู่ก็ไม่น้อยน่ะ ประมาณ 40 คน จะเลี้ยงมั้ย? (ถามต่อหน้า "สะเบอเร่อเฮ้ย" ขณะ LIVE สดอยู่) สะเบอเร่อเฮ้ย : อ๋อ..เลี้ยงสิคร๊าบ เท่าไหร่ ก็เลี้ยงขอรับ(ไอ้สัส..จัดหนักกูทันที) อาโก : อ้าว..เลี้ยงแต่นักข่าว ไม่เลี้ยงพวกเรา ชาวบ้านหาเช้ากินค่ำรึจ๊ะ? คุณหัวหน้าพรรค ดูท่าทาง ไม่ใช่คนขี้เหนียวนิจ๊ะ มาทั้งที มันต้องสร้างความประทับใจหน่อยสิ อยากเห็นผู้แทนประชาชนตัวเป็นๆ ของจริง อ่ะน่ะ (คนในร้านเฮ ทันที) สะเบอเร่อเฮ้ย : จัดไปขอรับ เป็นเกียรติที่ได้ดูแลประชาชนครับ มันเป็นหน้าที่ อาฉี : อ้าว..พวกเรา ไปป่าวประกาศเร็ว ท่านหัวหน้าพรรค จะเลี้ยงยกหมู่บ้าน ใครมีลูกเด็ก เล็กแดง ยกกันมากินฟรีเร็ว! ให้ว่อง ให้ไว ชาวบ้านเฮตามน้ำทันที (กล้องจับภาพบรรยากาศคึกคัก แต่หัวหน้าพรรคหน้าเจื่อน) หลังผ่านไป 2 ชั่วโมง หลังแดร๊กกันดุเด็ด เผ็ดมันส์ ร้านอาแปะ ทำยอดขายได้มากกว่าขายทั้งเดือนซะอีก ลาภปาก แดร๊กกันดีนัก กูขอเอาคืนมรึงบ้างเหอะ ก็ถึงเวลา "หาเสียง" ยังไงเสียแล้ว เมื่อชาวบ้านมารุมกินฟรีที่ร้านอาแปะ ก็เอาเป็นที่ถ่ายโลเกชั่นหมู่บ้านไปเลย นายอำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน อีกำนัน ดาหน้ากันเสนอผลงานกันใหญ่ออกสื่อ ออกมาต้อนรับท่านหัวหน้าพรรคมันม่วง ชาวบ้านเห็นชัด ถึงอาการชะเลียส้นตรีนของข้าราชการ กับฝ่ายการเมือง ยิ่งทำให้แค้นจัด เดี๋ยวมีช็อตเด็ดแน่! LIVE สด ณ หมู่บ้านหมีดุ ตำบลหมีงาบ อำเภอหมีตะปบ ถ่ายทำที่ร้าน "แดร๊กเสร็จก็ไสหัวไปซะ" โดยมี อาแปะเป็นเจ้าของร้าน และเป็นศูนย์กลางชาวบ้าน ตั้งสภาโกปี๊มาหลายสิบปี เห็นการเมืองมาเยอะ ถูกเชิญไปให้สัมภาษณ์ โดยมีการจัดฉาก ยืนเรียงกันพร้อม ทั้งฝ่ายข้าราชการ และฝ่ายการเมือง สะเบอเร่อเฮ้ย : เรา..ในฐานะพรรคมันม่วง ที่ต้องการจะยกระดับความเจริญให้เพ่น้องประชาชน เราต้องการสิ่งที่ดีกว่า ทันสมัยกว่า และเห็นทันตาเป็นที่ประจักษ์ ดังนั้น นโยบายหลักของเราคือ "กินอิ่ม หลับสบาย" ทุกครัวเรือน จะต้องปลอดภัย และมีกิน มีใช้ ไม่ศักดิ์ศรี ไม่ต้องขอใครกิน อีกต่อไป (ชาวบ้านนั่งฟัง..เงียบกริบ) อาแปะ : ลื้อมาเพื่อช่วยพวกเราชิมิ? งั้นลื้อพร้อมจะฟังปัญหา ปากท้องชาวบ้าน และสิ่งที่ชาวบ้านต้องการจริงๆ รึยัง? ที่ไม่ใช่จากปากคนอื่น อ่ะน่ะ กล้าฟังมั้ย? (อาแปะพูดคั่นกลาง LIVE สดเลย อี สะเบอเร่อเฮ้ย ถึงกับชงักไป 5 วิ แต่เห็นออกสื่ออยู่ จึงตามน้ำ ผิดแผน กูกะจะใส่นโยบายหลอกแดร๊ก ปั่นหัวควายซะหน่อย แต่เสือกถูกคั่นรายการ เอาเหอะ เดี๋ยวค่อยตบท้ายสวยๆ ปล่อยชาวบ้านได้ปลดปล่อยก่อน) อาแปะ : กวักมือเรียก "อาโก" ทันที ตาลื้อล่ะ อั๊วชงให้แล้ว ในหมู่บ้าน ไม่มีใครรู้ดีเท่าลื้อดอก ข้อมูลตรึม ปัญญาเป็นเริ่ด ช่วยบอกท่านหัวหน้าพรรคหน่อยว่า เราต้องการอะไร? จัดไป อย่าให้เสียของ อาโก : ก็ไม่มีอะไรมากดอกน่ะ เราอยากให้ท่านรับปากสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องการในยามนี้ และในอนาคต หากทำได้ เราทั้งหมู่บ้านจะเลือกพรรคท่านแน่นอน เพราะคนลงมือทำจริง ย่อมดีกว่าเอาแต่พูด พวกเราชอบคนจริง และให้ใจเต็มที่ สะเบอเร่อเฮ้ย : ยิงลี ก๊าบ..เฮ๊ย ยินดี ขอรับ ผมพร้อมรับฟังปัญหาชาวบ้านอยู่แล้ว ยากแค่ไหน ก็จะทำให้ได้ เพื่อให้ชีวิตที่ดีกลับคืนสู่ทุกหมู่บ้านอีกครั้ง อาโก : ใส่ทันที ขอเรียงเป็นข้อๆ ดังนี้ 1.ยกเลิก MOU43/44 ทันที โดยไม่มีเงื่อนไข ปิดด่านให้หมด จนกว่าขะแมร์แพ้ 2.ร่างรมน.ใหม่เมื่อไหร่ ใครแตะต้องสถาบันสูงสุด ประหาร 9 ชั่วโคตร ไม่มียกเว้น 3.โทษของการคอรัปชั่นคือประหารชีวิตเท่านั้น ไม่มีหมดอายุความ ทำทันที 4.ตัดทุกอย่างเกี่ยวกับสิทธิพิเศษ และอภิสิทธิ์ของสส. สว. เปลืองงบใช่เหตุ 5.ร่างรมน.ใหม่เมื่อไหร่ ไม่ใช่เลือกกันเอง ภาคประชาชนต้องเข้าไปมีส่วนร่าง 6.องค์กรอิสระ ไม่ให้ฝ่ายการเมืองยุ่งเด็ดขาด ให้ประชาชนส่งตัวแทนเข้าไป 7.ผลัดใบกรมปทุมวัน ผลัดใบอัยกวย ผลัดใบกรุมคุก ผลัดใบข้าราชการทั้งระบบ 8.กฎหมายควบคุมพรรค ท่อน้ำเลี้ยงต่างชาติ ยุบทันที ถอนสิทธิ์ตลอดชีพ 9.กระจายอำนาจ ไม่ให้ทุกอย่างเข้าสู่ศูนย์กลาง เพาะเชื้อชั่ว 77 จ. บริหารเอง 10.ยกเลิกระบบนายทุนผูกขาด ใช้ระบบสวัสดิการรัฐนำ งบประมาณกระจายทั่ว 11.รากฐานสำคัญ ประวัติศาสตร์ ศีลธรรม บรรจุในระเบียบแห่งชาติต้องมี ทุกรร. 12.คืนพระราชอำนาจ โปรดเกล้านายกฯ พระราชทาน ฝ่ายการเมือง 30 วัง 70 13.เรียกคืนอธิปไตยไทย ดินแดนเดิมที่เคยมี และถูกแย่งชิงไปคืนมาให้หมด 14.ทุนเรียนฟรีต้องมี คนไทยต้องได้รับการศึกษาฟรีไปจนถึงชั้นปริญญา วิชาชีพ 15.จัดการทุนต่างชาติ ควบคุมผู้อพยพลี้ภัย คนต่างด้าว แรงงานเถื่อน กฎต้องแรง หายใจทันมั้ย? เอาแค่นี้ก่อนน่ะ ท่านผู้นำพรรค เดี๋ยวจะฉี่แตกซะก่อน สะเบอเร่อเฮ้ย : มึน..โดนหมัดรัว นี่มันเข้ากูทุกดอกนี่หว่า? ตั้งสติได้แป๊บ หันมาหากล้อง ยิ้มหวานๆ เป็นข้อเสนอที่ดี แต่ทำได้ยากน่ะ เพราะหลายข่อมันขัดกับประชาธิปไตย ที่สากลยอมรับน่ะ อาโก : สวนกลับทันควัน.. เอาเหรอ? อั๊วคิดว่าที่นี่คือประเทศไทย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุก เป็นเอกราชมานับ 1000 ปี มีอะไรที่สากลไม่ยอมรับเราบ้างล่ะ อั๊วก็เห็น ทั่วโลกแห่กันเข้ามาเต็มบ้าน เต็มเมือง ไม่เห็นใครบอกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยซะหน่อย สะเบอเร่อเฮ้ย : (ของเริ่มขึ้น) ไม่คิดหน่อยรึว่า มันอาจจะกลายเป็นคอมมิวนิสต์น่ะ หากเราไม่ยึดประชาธิปไตยอันทรงคุณค่าเอาไว้ ทั่วโลกเจริญก็เพราะประชาธิปไตยเนี่ยแหละ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค เราจะเดินถอยหลังเอาน่ะ อาฉี : แล้วทำไม จีน รัสเซีย ถึงได้เจริญกันล่ะ เพราะมีผู้นำดี ทั้งปูติน สีจิ้นผิง แปลว่าอะไร ระบบอะไรก็ช่าง มันดีหมด หากได้ผู้นำที่ดี เก่ง และฉลาด ที่สำคัญคือ ทำเพื่อส่วนรวมอย่างจริงจัง ประชาธิปไตย 93 ปี ไม่ได้ช่วยให้เราอิ่มได้จริง เลือกตั้งกันมากี่ครั้งแล้วล่ะ แล้วจบยังไง? ชาวบ้านเริ่มเฮกันหย่าย สื่อได้ช็อต ปิงปอง เล่นข่าว จับตาดูท่านหัวหน้าพรรค จะเอาตัวรอดยังไงดี? ไม่ทันไร นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็ดาหน้าเสนอ องครักษ์พิทักษ์นายทันที เสนอหน้าออกสื่อ "ชมผู้นำพรรคที่มีใจเป็นกลาง" และชื่นชมความเอาใจใส่ แม้แต่ในหมู่บ้านเล็กๆ ยังอุตส่าห์มาเยี่ยมเยียน บอกสื่อไปหน้าตาเฉยว่า ทุกวันนี้ หมู่บ้านนี้ ร่มเย็นเป็นสุขดี เพราะมีผู้ใหญี่หลายท่านให้ความสนใจ(ก็แหงสิ 10 กว่าปี ไม่ได้แดร๊กแม้เพียงเสียงเดียว คะแนนเดียว มรึงถึงอยากจะแย่งกันอย่างกะหมา เพื่อปลดล็อค สร้างวีรกรรมชนะใจคนในหมู่บ้านนี้ให้ได้ วงพนันขันต่อ วางไว้ 100:1 ใครที่ได้เสียงมา คือแชมป์จ๊ะ) ยังไม่ทัน ที่อี สะเบอเร่อเฮ้ย จะแถต่อ ก็มีเด็กน้อยโผล่มา สาวน้อยคนนี้มีชื่อว่า "ปุกลุก" ท่านผู้นำขา นู๋มีเรื่องจะขอร้องคร๊า สื่อให้ความสำคัญทันที ด้วยความใสซื่อของเด็ก ก็พูดออกมาโพลงๆ เลยว่า "ทำไมต้องแย่งนมนู๋กินด้วยคร๊า ผู้ใหญ่น่าไม่อาย" เพราะแกเพิ่งจะไปล้างท้องมาหมาดๆ กับเพื่อนนักเรียนร่วมห้อง ท้องเสียเพราะนมบูด งานเข้านายอำเภอทันที จะแถต่อยังไงดีเนี่ย? นายอำเภอหันหน้ามาบอกผู้นำพรรคว่า "เป็นเรื่องผิดพลาดทางเทคนิค" การขนส่งล่าช้า และขบวนการขนส่งไม่ได้มาตรฐาน ท่านผู้นำพรรค ก็รีบออกสื่อแจ้งทันที ว่า จะแก้ไขโดยด่วน ต่อไปเด็กๆ จะต้องได้กินนมสดจากฟาร์มทุกวัน สดใหม่เสมอ ยังไม่ทันจะคุยต่อ ก็มีเด็กน้อยโผล่มาอีก ถามว่า "อยากได้ ลุงกุ้ง เป็นนายกฯ อ่ะคร๊าบบ" ฮาแตก ทั้งร้าน เด็กมันยังรู้ ว่าใครคือ "วีรบุรุษชาติ" บรรยากาศเริ่มไม่เป็นใจ กระแสรักชาติดาษดื่น ดูท่า การหาเสียงครั้งนี้ มันจะไร้ผล ไม่เป็นดั่งที่คาดคิดไว้ ผู้นำพรรค ถึงได้แถลงการณ์ต่อหน้าสื่อ เพื่อปิดท้ายทันที อ้างว่า "ที่เดินทางมาหมู่บ้านนี้ ก็เพื่อจะดำรงประชาธิปไตย" ให้ระบบแข็งแรง และสนับสนุนให้ทุกคนมีส่วนในการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง รงณรงค์ให้ทุกครัวเรือน มีส่วนในการกำหนดชะตากรรมประเทศ เพราะแลเห็นว่า ผ่านมา 20 ปี หมู่บ้านหมีดุ แห่งนี้ ไม่มีคะแนนเสียงของพรรคการเมืองใดเลยที่เจาะได้ แปลว่า ยังไม่ถูกใจผู้แทนคนไหนเลย ถึงได้มาเพื่อแสดงตัวให้เป็นที่พิจารณา แล้วจึงชิ่งหนีกลับทันที ยังไม่ทันจะพ้นปากทางหมู่บ้าน คณะพรรคใหม่ก็โผล่มาทันที งวดนี้ จัดหนัก จัดเต็ม ขนอุปกรณ์เวที มาตั้ง กะให้บรรลือไปทั้งโลก พ่วงดารา ไอดอล มาเต็มตรีน อย่างกะขยวนขันหมาก ไอ้สัส! อี สะเบอเร่อเฮ้ย หน้าเหว่อทันที https://www.minds.com/newsfeed/1814952706748571648
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 425 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง”

    ตอนที่ 1 สวรรค์บนดิน
    ระหว่างที่ลูกตาเกือบทุกคู่ของคนในโลกสวยงามใบนี้ กำลังจ้องเขม็งไปที่สนามกีฬารังนก ดีไซน์สุดยอด ของนาย Li Xinggang เพื่อดูพิธีเปิด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิคอลังการ ที่แดนมังกรของอาเฮีย เมื่อเดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 2008 วันนั้นบรรดาคนใหญ่คนโตคนของโลก นั่งอยู่แถวนั้นกันเกือบทั้งนั้น ตั้งแต่ใหญ่หมายเลข 1 ของโลกฝั่งหนึ่ง เช่น ประธานาธิบดี GeorgeW. Bush ตัวแสบ และคุณพี่ปูติน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของรัสเซีย หมายเลข 1 ของโลกของฝั่งหนึ่ง ก็นั่งทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ไม่ไกลกัน แล้วถ้ายังไม่ลืมกัน ไอ้หมาไนโจรร้าย ซึ่งนึกว่าตัวเองใหญ่เกินฟ้า ก็กระเสือกกระสนให้เชิญตนเอง เพื่อหนีปัญหาการเมืองในบ้าน ไปนั่งเสนอหน้าอยู่แถวนั้นกับเขาด้วยเหมือนกัน

    วันเดียวกันนั่นเอง ก็มีข่าวเล็ก ๆ แทรกข่าวโอลิมปิคอันยิ่งใหญ่ ออกมาว่า กองทัพของ Georgia ได้บุกเข้าไปยึดเมือง South Ossetia เรียบร้อยแล้ว
    เป็นข่าวเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีใครสนใจ น้อยคนจะรู้จักว่า South Ossetia อยู่ที่ไหน บางคนไม่เคยได้ยินชื่อเลยด้วยซ้ำ แน่นอนในแดนสมันน้อย มีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะรู้จัก หรือแม้แต่จะได้ยินชื่อ South Ossetia เมืองอะไรน่ะ อยู่ที่ไหนนะ รู้จักแต่ เมืองโอริสสาในนิยายเรื่องอะไรสักอย่าง เมืองเดียวกันหรือเปล่านะ ก็ใครไม่รู้ดันถอดหลักสูตร ทั้งภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์สากลออกจากวิชาบังคับของนักเรียนมัธยม
    กว่าจะพอรู้เรื่องว่า มันเกี่ยวกับอะไร ก็ต้องรอให้ผู้สื่อข่าวทำหน้าฉลาด มาวิเคราะห์ให้ฟังก่อนว่า ชาวโลกทั้งหลายเอ๋ย การที่ Republic of Georgia เมืองที่พวกท่าน 90% ในโลกนี้ไม่รู้จัก แต่ดันยกทัพบุกเข้าไปใน South Ossetia ที่พวกท่าน 99.99% ยิ่งไม่รู้จักน่ะนะ มันเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับการเมืองของโลก เทียบเท่ากับ สมัยวิกฤติเกี่ยวกับฐานยิ่งจรวดที่คิวบา เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1962 เชียวนะ ความขัดแย้งระหว่างมวยคู่เก่าในยุคสงครามเย็น ที่อเมริกากับสหภาพโซเวียต 2 พี่เบิ้ม ยืนเท้าสะเอว ถลึงตาใส่กันไง จำได้ไหม แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่เกิดไม่ทัน คงไม่รู้ว่าตอนนั้น โลกเครียดกันขนาดไหน จวนเจียนจะต้องจัดกระเป๋าอพยพ (ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน) หนีสงครามกันแล้ว

    พวกที่ยังจำเหตุการณ์คิวบาได้ ก็เริ่มติดตามข่าว บ่นกันพึมพำ เอาอีกแล้วหรือ จะแลกหมัดแลกจรวดกันอีกแล้วหรือ ฝ่ายวิเคราะห์ข่าวบางคนก็ไปโน่นเลย จำกันได้ไหมครับ เหมือนเมื่อคราวที่ท่านอาร์คด ยุกเฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ Austria Hungarian ถูกพวก Serb ลอบฆ่าที่เมือง Serajevo เหตุการณ์เล็ก ๆ นั้น เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 (อันนี้ผู้ที่จำเหตุการณ์ได้คงไม่มีเหลือแล้ว เหลือแต่รุ่นคนเล่านิทาน ที่เคยรู้จากการเรียนประวัติศาสตร์สากล ตอน ม. 3) บางคนก็ออกมาพูดว่า หรือสงครามเย็นจะกลับมาใหม่ ไหนว่าจบไปแล้วไง

    วิกฤติคิวบา ปี ค.ศ. 1962 สำหรับท่านที่จำได้ เกิดขึ้นเพราะหน่วยลาดตระเวนของอเมริกา (ไม่รู้ตระเวนอยู่ในอเมริกาหรือคิวบา ชักสงสัย) ไปแอบถ่ายรูป ได้ภาพการก่อสร้างฐานยิงจรวดของโซเวียตที่คิวบา ห่างจาก Florida ไปเพียง 90 ไมล์ ระยะแค่นั้นจรวดใช้เวลาไม่กี่นาที ก็ลงกลางบ้าน กลางห้องนอนคนอเมริกัน. แบบไม่ให้คนอเมริกันมีเวลาตั้งตัว ชนิดกำลังนอนเล่นอยู่ นุ่ง กุงเกง ใส่หมวกไม่ทันแล้วกัน โลกตะลึงกับการกระทำของโซเวียต สื่ออเมริกาช่วยกันถล่ม ประธานาธิบดี Kennedy ต้องยกเลิกนัดสาว ๆ แล้วมานั่งกุมขมับกับฝ่ายมั่นคงเป็นการด่วน
    แต่คงมีน้อยคน นอกเหนือจาก Pentagon และเจ้าหน้าที่ระดับสูง (มาก) ของอเมริกาและ NATO ที่จะรู้ความจริงว่าโซเวียตไม่ได้ไปกินยาม้าที่ไหนมาหรอก ถึงได้คึกคัก กล้าหาญชาญชัยที่จะตั้งฐานยิงจรวดที่คิวบา ท้าทายอเมริกาขนาดนั้น ความจริงแล้ว มันเป็นการตอบโต้ของสหภาพโซเวียต จากการที่อเมริกา (แอบ) ไปตั้งฐานยิ่งจรวดของตัว ชื่อ Thor กับ Jupitor ไว้ที่ตุรกี หนึ่งในสมาชิกของ NATO บนบริเวณที่ใกล้ชนิดจ่อคอหอยสหภาพโซเวียต โลกไม่รู้เพราะสื่อยักษ์ใหญ่เกือบทั้งหมดของโลก อยู่ในกระเป๋าของฝ่ายตะวันตก The West คืออเมริกา อังกฤษ และยุโรปตะวันตก เรียบร้อยแล้ว

    เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่คิวบา เมื่อปี ค.ศ. 1962 เหตุการณ์ของ Georgia ปี ค.ศ. 2008 ก็เป็นผลมาจากการตั้งใจสร้างแรงกระตุ้นต่อมอารมณ์ของรัสเซีย ของฝ่ายการเมืองและกองทัพของอเมริกา

    สงครามเย็น จบลงเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 โดย Mikhail Gorbachev กัดฟันประกาศต่อโลกว่าสหภาพโซเวียต ตัดสินใจที่จะไม่ส่งรถถังเข้าไปในเยอรมันตะวันออก เพื่อระงับการประท้วงรัฐบาล และยอมให้มีการทุบกำแพงเบอร์ลิน สัญญลักษณ์ของ ม่านเหล็ก “Iron Curtain” ซึ่งแบ่งยุโรปออกเป็นตะวันออกและตะวันตกทิ้งเสีย จริง ๆ แล้ว สหภาพโซเวียตกำลังอยู่ในอาการสาหัส ล้มละลาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการเมือง

    สงครามเย็นจบลง ฝ่ายตะวันตก the West และแน่นอน โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าตัวจริงเป็นฝ่ายชนะ แค่หลอกขายสินค้ายี่ห้อ เสรีภาพ อิสรภาพ ประชาธิปไตย และความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจให้ชาวโลก โดยเฉพาะชาวยุโรปตะวันออก ประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ก็พากันหลงเชื่อหวังน้ำบ่อหน้ากันเป็นแถว
    เมื่อสงครามเย็นจบลง วอชิงตันตีฆ้องป่าวประกาศว่า ต่อไปนี้เราจะขยายกิจการ ส่งสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตยของเรา ไปทุกส่วนของโลก ที่เคยถูกขังอยู่ในกรงของระบอบสังคมนิยมของโซเวียตตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และสำหรับบางประเทศหวังว่าคงรู้ตัว ว่าอยู่ในกรงเขา มาตั้งแต่สมัยปฎิวัติรัสเซียปี 1917 โน่นแน่ะ

    ประชาธิปไตยของวอชิงตันเป็นสินค้า ที่ทำกล่องใส่อย่างสวยหรู หลอกให้ซื้อง่าย ขายดีสำหรับพวกประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ จากการที่โซเวียตล่มล้มละลายอยู่ที่ยุโรป แต่ประชาธิปไตยแท้จริงสำหรับอเมริกา คือการควบคุมเทคนิค และย้อมความคิดของมวลชน เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้ง่ายมากสำหรับวอชิงตัน ซึ่งจัดเตรียมเครื่องมือเอาไว้พร้อม คือการควบคุมสื่อระดับโลก และการจัดการเปลี่ยนแนวทางเศรษฐกิจ โดยการกำกับควบคุมดูแลที่เล่นกันเป็นวง ร้องเพลงเดียวกัน ของ IMF และ World Bank

    วอชิงตันบอกว่าจะช่วยส่งเสริมประชาธิปไตย หลังจากการล่มละลายของโซเวียต แต่ขอโทษเป็นประชาธิปไตยแบบพิเศษ จัดให้โดยเฉพาะเลย คือ ประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จ
    ที่มีแนวทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม แบบอเมริกาและควบคุมโดย NATO ฮา

    โลกชื่นชมยินดี ต่างตบมือให้อเมริกาผู้มาพร้อม กับประชาธิปไตย ที่ Berlin ชาวเยอรมันคนซื่อ ทั้งตะวันตก ตะวันออก ต่างร้องเพลง เต้นรำไปบนกำแพง ที่ใน Poland, Czechoslovakia และ Hungary ก็เช่นเดียวกัน พวกที่เคยอยู่หลังม่านเหล็ก ดีใจที่จะหลุดออกมาจากม่านและได้มีชีวิตที่ดีกว่า ชีวิตที่เสรี และร่ำรวยแบบคนอเมริกัน พวกเขาเชื่อสนิทใจจากการโฆษณาชวนเชื่อของจักรวรรดิอเมริกา ที่กรอกใส่เข้าไปในหูและหัวของเขาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยสื่อของฝั่งตะวันตก เรากำลังจะมาปลดปล่อยชาวยุโรปตะวันออกผู้ทุกข์ทรมานอยู่หลังม่านเหล็ก สวรรค์บนดินกำลังจะมาถึงแล้ว พวกเขาคงคิดแบบนั้น

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 มิย. 2557

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง” ตอนที่ 1 สวรรค์บนดิน ระหว่างที่ลูกตาเกือบทุกคู่ของคนในโลกสวยงามใบนี้ กำลังจ้องเขม็งไปที่สนามกีฬารังนก ดีไซน์สุดยอด ของนาย Li Xinggang เพื่อดูพิธีเปิด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิคอลังการ ที่แดนมังกรของอาเฮีย เมื่อเดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 2008 วันนั้นบรรดาคนใหญ่คนโตคนของโลก นั่งอยู่แถวนั้นกันเกือบทั้งนั้น ตั้งแต่ใหญ่หมายเลข 1 ของโลกฝั่งหนึ่ง เช่น ประธานาธิบดี GeorgeW. Bush ตัวแสบ และคุณพี่ปูติน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของรัสเซีย หมายเลข 1 ของโลกของฝั่งหนึ่ง ก็นั่งทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ไม่ไกลกัน แล้วถ้ายังไม่ลืมกัน ไอ้หมาไนโจรร้าย ซึ่งนึกว่าตัวเองใหญ่เกินฟ้า ก็กระเสือกกระสนให้เชิญตนเอง เพื่อหนีปัญหาการเมืองในบ้าน ไปนั่งเสนอหน้าอยู่แถวนั้นกับเขาด้วยเหมือนกัน วันเดียวกันนั่นเอง ก็มีข่าวเล็ก ๆ แทรกข่าวโอลิมปิคอันยิ่งใหญ่ ออกมาว่า กองทัพของ Georgia ได้บุกเข้าไปยึดเมือง South Ossetia เรียบร้อยแล้ว เป็นข่าวเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีใครสนใจ น้อยคนจะรู้จักว่า South Ossetia อยู่ที่ไหน บางคนไม่เคยได้ยินชื่อเลยด้วยซ้ำ แน่นอนในแดนสมันน้อย มีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะรู้จัก หรือแม้แต่จะได้ยินชื่อ South Ossetia เมืองอะไรน่ะ อยู่ที่ไหนนะ รู้จักแต่ เมืองโอริสสาในนิยายเรื่องอะไรสักอย่าง เมืองเดียวกันหรือเปล่านะ ก็ใครไม่รู้ดันถอดหลักสูตร ทั้งภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์สากลออกจากวิชาบังคับของนักเรียนมัธยม กว่าจะพอรู้เรื่องว่า มันเกี่ยวกับอะไร ก็ต้องรอให้ผู้สื่อข่าวทำหน้าฉลาด มาวิเคราะห์ให้ฟังก่อนว่า ชาวโลกทั้งหลายเอ๋ย การที่ Republic of Georgia เมืองที่พวกท่าน 90% ในโลกนี้ไม่รู้จัก แต่ดันยกทัพบุกเข้าไปใน South Ossetia ที่พวกท่าน 99.99% ยิ่งไม่รู้จักน่ะนะ มันเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับการเมืองของโลก เทียบเท่ากับ สมัยวิกฤติเกี่ยวกับฐานยิ่งจรวดที่คิวบา เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1962 เชียวนะ ความขัดแย้งระหว่างมวยคู่เก่าในยุคสงครามเย็น ที่อเมริกากับสหภาพโซเวียต 2 พี่เบิ้ม ยืนเท้าสะเอว ถลึงตาใส่กันไง จำได้ไหม แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่เกิดไม่ทัน คงไม่รู้ว่าตอนนั้น โลกเครียดกันขนาดไหน จวนเจียนจะต้องจัดกระเป๋าอพยพ (ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน) หนีสงครามกันแล้ว พวกที่ยังจำเหตุการณ์คิวบาได้ ก็เริ่มติดตามข่าว บ่นกันพึมพำ เอาอีกแล้วหรือ จะแลกหมัดแลกจรวดกันอีกแล้วหรือ ฝ่ายวิเคราะห์ข่าวบางคนก็ไปโน่นเลย จำกันได้ไหมครับ เหมือนเมื่อคราวที่ท่านอาร์คด ยุกเฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ Austria Hungarian ถูกพวก Serb ลอบฆ่าที่เมือง Serajevo เหตุการณ์เล็ก ๆ นั้น เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 (อันนี้ผู้ที่จำเหตุการณ์ได้คงไม่มีเหลือแล้ว เหลือแต่รุ่นคนเล่านิทาน ที่เคยรู้จากการเรียนประวัติศาสตร์สากล ตอน ม. 3) บางคนก็ออกมาพูดว่า หรือสงครามเย็นจะกลับมาใหม่ ไหนว่าจบไปแล้วไง วิกฤติคิวบา ปี ค.ศ. 1962 สำหรับท่านที่จำได้ เกิดขึ้นเพราะหน่วยลาดตระเวนของอเมริกา (ไม่รู้ตระเวนอยู่ในอเมริกาหรือคิวบา ชักสงสัย) ไปแอบถ่ายรูป ได้ภาพการก่อสร้างฐานยิงจรวดของโซเวียตที่คิวบา ห่างจาก Florida ไปเพียง 90 ไมล์ ระยะแค่นั้นจรวดใช้เวลาไม่กี่นาที ก็ลงกลางบ้าน กลางห้องนอนคนอเมริกัน. แบบไม่ให้คนอเมริกันมีเวลาตั้งตัว ชนิดกำลังนอนเล่นอยู่ นุ่ง กุงเกง ใส่หมวกไม่ทันแล้วกัน โลกตะลึงกับการกระทำของโซเวียต สื่ออเมริกาช่วยกันถล่ม ประธานาธิบดี Kennedy ต้องยกเลิกนัดสาว ๆ แล้วมานั่งกุมขมับกับฝ่ายมั่นคงเป็นการด่วน แต่คงมีน้อยคน นอกเหนือจาก Pentagon และเจ้าหน้าที่ระดับสูง (มาก) ของอเมริกาและ NATO ที่จะรู้ความจริงว่าโซเวียตไม่ได้ไปกินยาม้าที่ไหนมาหรอก ถึงได้คึกคัก กล้าหาญชาญชัยที่จะตั้งฐานยิงจรวดที่คิวบา ท้าทายอเมริกาขนาดนั้น ความจริงแล้ว มันเป็นการตอบโต้ของสหภาพโซเวียต จากการที่อเมริกา (แอบ) ไปตั้งฐานยิ่งจรวดของตัว ชื่อ Thor กับ Jupitor ไว้ที่ตุรกี หนึ่งในสมาชิกของ NATO บนบริเวณที่ใกล้ชนิดจ่อคอหอยสหภาพโซเวียต โลกไม่รู้เพราะสื่อยักษ์ใหญ่เกือบทั้งหมดของโลก อยู่ในกระเป๋าของฝ่ายตะวันตก The West คืออเมริกา อังกฤษ และยุโรปตะวันตก เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่คิวบา เมื่อปี ค.ศ. 1962 เหตุการณ์ของ Georgia ปี ค.ศ. 2008 ก็เป็นผลมาจากการตั้งใจสร้างแรงกระตุ้นต่อมอารมณ์ของรัสเซีย ของฝ่ายการเมืองและกองทัพของอเมริกา สงครามเย็น จบลงเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 โดย Mikhail Gorbachev กัดฟันประกาศต่อโลกว่าสหภาพโซเวียต ตัดสินใจที่จะไม่ส่งรถถังเข้าไปในเยอรมันตะวันออก เพื่อระงับการประท้วงรัฐบาล และยอมให้มีการทุบกำแพงเบอร์ลิน สัญญลักษณ์ของ ม่านเหล็ก “Iron Curtain” ซึ่งแบ่งยุโรปออกเป็นตะวันออกและตะวันตกทิ้งเสีย จริง ๆ แล้ว สหภาพโซเวียตกำลังอยู่ในอาการสาหัส ล้มละลาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการเมือง สงครามเย็นจบลง ฝ่ายตะวันตก the West และแน่นอน โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าตัวจริงเป็นฝ่ายชนะ แค่หลอกขายสินค้ายี่ห้อ เสรีภาพ อิสรภาพ ประชาธิปไตย และความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจให้ชาวโลก โดยเฉพาะชาวยุโรปตะวันออก ประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ก็พากันหลงเชื่อหวังน้ำบ่อหน้ากันเป็นแถว เมื่อสงครามเย็นจบลง วอชิงตันตีฆ้องป่าวประกาศว่า ต่อไปนี้เราจะขยายกิจการ ส่งสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตยของเรา ไปทุกส่วนของโลก ที่เคยถูกขังอยู่ในกรงของระบอบสังคมนิยมของโซเวียตตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และสำหรับบางประเทศหวังว่าคงรู้ตัว ว่าอยู่ในกรงเขา มาตั้งแต่สมัยปฎิวัติรัสเซียปี 1917 โน่นแน่ะ ประชาธิปไตยของวอชิงตันเป็นสินค้า ที่ทำกล่องใส่อย่างสวยหรู หลอกให้ซื้อง่าย ขายดีสำหรับพวกประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ จากการที่โซเวียตล่มล้มละลายอยู่ที่ยุโรป แต่ประชาธิปไตยแท้จริงสำหรับอเมริกา คือการควบคุมเทคนิค และย้อมความคิดของมวลชน เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้ง่ายมากสำหรับวอชิงตัน ซึ่งจัดเตรียมเครื่องมือเอาไว้พร้อม คือการควบคุมสื่อระดับโลก และการจัดการเปลี่ยนแนวทางเศรษฐกิจ โดยการกำกับควบคุมดูแลที่เล่นกันเป็นวง ร้องเพลงเดียวกัน ของ IMF และ World Bank วอชิงตันบอกว่าจะช่วยส่งเสริมประชาธิปไตย หลังจากการล่มละลายของโซเวียต แต่ขอโทษเป็นประชาธิปไตยแบบพิเศษ จัดให้โดยเฉพาะเลย คือ ประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จ ที่มีแนวทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม แบบอเมริกาและควบคุมโดย NATO ฮา โลกชื่นชมยินดี ต่างตบมือให้อเมริกาผู้มาพร้อม กับประชาธิปไตย ที่ Berlin ชาวเยอรมันคนซื่อ ทั้งตะวันตก ตะวันออก ต่างร้องเพลง เต้นรำไปบนกำแพง ที่ใน Poland, Czechoslovakia และ Hungary ก็เช่นเดียวกัน พวกที่เคยอยู่หลังม่านเหล็ก ดีใจที่จะหลุดออกมาจากม่านและได้มีชีวิตที่ดีกว่า ชีวิตที่เสรี และร่ำรวยแบบคนอเมริกัน พวกเขาเชื่อสนิทใจจากการโฆษณาชวนเชื่อของจักรวรรดิอเมริกา ที่กรอกใส่เข้าไปในหูและหัวของเขาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยสื่อของฝั่งตะวันตก เรากำลังจะมาปลดปล่อยชาวยุโรปตะวันออกผู้ทุกข์ทรมานอยู่หลังม่านเหล็ก สวรรค์บนดินกำลังจะมาถึงแล้ว พวกเขาคงคิดแบบนั้น สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 มิย. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 440 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..CCPจีนคอมมิวนิสต์อันตรายโคตรๆ,คอมมิวนิสต์ก็คือเผด็จการตัวพ่อ,ยิงเอาAIหุ่นยนต์มาติดตามผู้คนอีก จะฝังชิปจะสแกนอะไรๆก็ตามคือการควบคุมมนุษย์ ติดตามตัว ไล่ล่าเหยื่ออยู่ไหนไปจับได้ตรงจุดที่เหยื่อมนุษย์นั้นอยู่นั้นเอง,ผิดกฎหมายคอมมิวนิสต์มันคือโทษตายรออยู่,อวัยวะคือได้เก็บเกี่ยวแน่นอน,ccpจีนจริงๆคือพวกฝ่ายมืดก็ด้วย,จับมนุษย์ไปชำแหละก็มีจริงโดยพวกมัน,อะดริโนโครมคือยาอายุวัฒนะตัวจริง,แอปจีน มือถือจีน กล้องจีน หุ่นยนต์จีน AIจีนจึงอันตรายมากเพราะccpปกครองในจีนมากว่าจีนฝ่ายดีปกครอง,จีนฝ่ายดีกำลังต่อสู้กับจีนccpฝ่ายไม่ดีภายในประเทศจีนเอง,จีนเทาคือจีนของccpฝ่ายไม่ดีหนีออกมาจากจีนทั้งแบบตั้งใจออกมาเองและหนีออกมาจริงจากการถูกไล่ล่าของรัฐบาลจีนฝ่ายดี,แต่ภาพรวมจีนอันตรายของจริง,เราไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรกันแน่,คนไทยหากหลงไปใช้แอปจีน ลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน มันจำจนตายAIของมันไม่ลบข้อมูลคุณทิ้งหรอก,หมายหัวคุณก็หมายหัวแบบนั้น บล็อคคุณก็บล็อคแบบนั้น ดูติ๊กต๊อกคือตัวอย่าง บทจะปิดบัญชีคุณมันปิดเลย,อายัดตะกร้าขายของคุณมันอายัดเลย,คอมมิวนิสต์ระดับแอป,ถ้าไม่มีอเมริกาถ่วงดุลอำนาจก็อันตรายเช่นกัน,แม้อเมริกาเหี้ยปล้นบ่อน้ำมันในไทยเราส่วนมากส่วนใหญ่,จีนก็ใช่ว่าไม่ปล้นชิงทรัพยากรมีค่ามากมายด้วย บ่อน้ำมันมันก็ได้สัมปทานเหมือนกัน อีสานโรงงานจีนตรึม เหมืองแร่โปแตสก็จีนได้ไปไม่น้อยในอีสาน ผูกขาดเลยก็ว่า ยุคใครค้นข้อมูลก็รู้,
    ..ตัวพ่อไม่น้อยหน้าอเมริกาที่ปล้นชิงไทยในทรัพยากรมีค่ามากมายบนแผ่นดินไทยก็จีนนี้ล่ะ,กดดันธรรมดาที่ไหน ของฟรีไม่มีในโลก ไทยต้องแลกอะไรสาระพัดกับจีนก็ด้วย,ลาวเป็นของจีนแล้วเกือบหมดประเทศ แร่เอิร์ธที่พบในลาว ทำไปทำมาตกเป็นของจีนหมดอีกล่ะ รัสเชียด้วย เอาอาวุธมาให้ลาวทำดีกับลาวหมายแร่เอิร์ธก็ได้และแร่อื่นๆตรึมเต็มลาวที่จีนสแกนจากดาวเทียมค้นพบนานแล้ว หามุกมายึดลาวแบบไหนที่ผู้นำโง่ๆให้ตกหลุมจีนนั้นล่ะ,ขนทรัพยากรมีค่าแร่ธาตุออกจากลาวไปแปรรูปที่จีนตรึม รวมซื้อคนลาวชั่งกิโลไปแดกด้วย ชำแหละค้ามนุษย์ค้าอวัยวะคนลาวสบายใจเลย,จีนจึงอันตรายมากๆจะยุคสมัยใดๆก็ตามทั้งยุคสมัยใหม่คนจีนรุ่นไฮบริดจ์ลูกผสมแรปทีเลี่ยนก็มีไม่น้อย โคลนคนจีนมหาศาลอีก,มาใช้แรงงานโดยเฉพาะ ใช้เสร็จฆ่ากินฆ่าแดกเลยเพราะไม่มีสำนึกจิตใจอะไรแค่โคลน,ทั้งโคลนทั้งหุ่นยนต์ผลิตมาทำลายโลกทีละน้อย แอบซ่อนใต้ดินตรึม,คนเหล็กมาแน่,
    ..เขมร พม่า จีนแรปทีเลี่ยนค้าแดกมนุษย์มีเยอะมาก,เอเชียอาเชียนต้องตื่นรู้และร่วมกันสแกนกำจัดอย่างจริงจัง,ต้องทำให้แต่ละประเทศสงบให้ได้ก่อนเราจะพูดคุยและลงมือกำจัดอมนุษย์พวกนี้ในแต่ละชาติได้,เริ่มจากเขมรก่อน,ฮุนเซนแท้จริงคือแรปทีเลี่ยนดีๆนี้ล่ะก็ได้ สายมืดผู้รับใช้ตัวจริงของอีลิทเลว,มันเปิดเผยตัวตนชัดเจนในยุคเวลานี้เพราะโคตรพ่อโคตรแมร่งมันสั่งให้เปิดเผยตัวตนแล้วหลังยุคโควิดมานั้นเอง,ความดุเดือดไล่ล่ากำจัดจึงเกิดขึ้น สงครามฝ่ายดีและฝ่ายชั่วจึงอุบัติขึ้นจริงจัง,พม่าอ่องชานโดนทำลาย แหล่งค้ามนุษย์ก็กระเจิงด้วย,โดยแม่ทัพพม่ายึดอำนาจ,จึงหนีมาเขมรอพยพมาเกือบหมด,เขมรจึงลุกเป็นไฟ แหล่งค้ามนุษย์ชำแหละมนุษย์ส่งออกจึงย้ายมาเขมร,ส่วนจีนตัวพ่อค้ามนุษย์อยู่แล้วซึ่งจีนฝ่ายดีต้องจัดการจริงจังภายในตนเอง,อเมริกาก็เหี้ยใช่น้อยโคตรพ่อโคตรแม่ตัวแดกเด็กฮับค้ามนุษย์ของโลก ส่งออกไปดวงจันทร์ด้วย,ไม่ต่างจากวาติกันยุโรปหรืออิสราเอลยูเครนฮับประจำโซนยุโรป,
    ..คนไทยเราต้องสามัคคีจริงๆ,กำจัดเขมรให้สิ้นซากก่อน,อาเชียนจะสงบทันที อีลิทจะปั่นป่วนอาเชียนยาก ภาคใต้เราก็มันนั่นล่ะทำ,รัฐบาลนี้ทรยศเราก็จบมันเลย,ยึดอำนาจด้วยทหารพระราชาเสีย ทหารพระราชาคุ้มครองความสงบมั่นคงไว้เบื้องต้นในวิกฤติโลกปัจจุบันนี้ เราสามารถปกป้องประเทศไทยให้รอดพ้นวิกฤติได้,ถ้าปล่อยให้นักการเมืองเหี้ยนี้ปกครองอีกอันตรายมาก,จะตัดสินใจยึดอำนาจหรือไม่ดูที่นายกฯหนูกล้ายกเลิกmou43,44ในคณะครม.ตนประชุมครั้งแรกมั้ย,ถ้าไม่ยกเลิก ตัดสินใจได้เลยว่า เป็นฝ่ายตรงข้ามอธิปไตยดินแดนแผ่นดินไทยชัดเจน มีเจตนาต้องการทำให้เสียแผ่นดินไทยถึง1:150,000แล้ว ผิด ม.119 ชัดเจนเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติไทยเสมือนเขมรที่รุกรานไทยในปัจจุบัน.

    https://youtube.com/watch?v=o6UDZvG0uTQ&si=B738trQKOn4osC2A
    ..CCPจีนคอมมิวนิสต์อันตรายโคตรๆ,คอมมิวนิสต์ก็คือเผด็จการตัวพ่อ,ยิงเอาAIหุ่นยนต์มาติดตามผู้คนอีก จะฝังชิปจะสแกนอะไรๆก็ตามคือการควบคุมมนุษย์ ติดตามตัว ไล่ล่าเหยื่ออยู่ไหนไปจับได้ตรงจุดที่เหยื่อมนุษย์นั้นอยู่นั้นเอง,ผิดกฎหมายคอมมิวนิสต์มันคือโทษตายรออยู่,อวัยวะคือได้เก็บเกี่ยวแน่นอน,ccpจีนจริงๆคือพวกฝ่ายมืดก็ด้วย,จับมนุษย์ไปชำแหละก็มีจริงโดยพวกมัน,อะดริโนโครมคือยาอายุวัฒนะตัวจริง,แอปจีน มือถือจีน กล้องจีน หุ่นยนต์จีน AIจีนจึงอันตรายมากเพราะccpปกครองในจีนมากว่าจีนฝ่ายดีปกครอง,จีนฝ่ายดีกำลังต่อสู้กับจีนccpฝ่ายไม่ดีภายในประเทศจีนเอง,จีนเทาคือจีนของccpฝ่ายไม่ดีหนีออกมาจากจีนทั้งแบบตั้งใจออกมาเองและหนีออกมาจริงจากการถูกไล่ล่าของรัฐบาลจีนฝ่ายดี,แต่ภาพรวมจีนอันตรายของจริง,เราไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรกันแน่,คนไทยหากหลงไปใช้แอปจีน ลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน มันจำจนตายAIของมันไม่ลบข้อมูลคุณทิ้งหรอก,หมายหัวคุณก็หมายหัวแบบนั้น บล็อคคุณก็บล็อคแบบนั้น ดูติ๊กต๊อกคือตัวอย่าง บทจะปิดบัญชีคุณมันปิดเลย,อายัดตะกร้าขายของคุณมันอายัดเลย,คอมมิวนิสต์ระดับแอป,ถ้าไม่มีอเมริกาถ่วงดุลอำนาจก็อันตรายเช่นกัน,แม้อเมริกาเหี้ยปล้นบ่อน้ำมันในไทยเราส่วนมากส่วนใหญ่,จีนก็ใช่ว่าไม่ปล้นชิงทรัพยากรมีค่ามากมายด้วย บ่อน้ำมันมันก็ได้สัมปทานเหมือนกัน อีสานโรงงานจีนตรึม เหมืองแร่โปแตสก็จีนได้ไปไม่น้อยในอีสาน ผูกขาดเลยก็ว่า ยุคใครค้นข้อมูลก็รู้, ..ตัวพ่อไม่น้อยหน้าอเมริกาที่ปล้นชิงไทยในทรัพยากรมีค่ามากมายบนแผ่นดินไทยก็จีนนี้ล่ะ,กดดันธรรมดาที่ไหน ของฟรีไม่มีในโลก ไทยต้องแลกอะไรสาระพัดกับจีนก็ด้วย,ลาวเป็นของจีนแล้วเกือบหมดประเทศ แร่เอิร์ธที่พบในลาว ทำไปทำมาตกเป็นของจีนหมดอีกล่ะ รัสเชียด้วย เอาอาวุธมาให้ลาวทำดีกับลาวหมายแร่เอิร์ธก็ได้และแร่อื่นๆตรึมเต็มลาวที่จีนสแกนจากดาวเทียมค้นพบนานแล้ว หามุกมายึดลาวแบบไหนที่ผู้นำโง่ๆให้ตกหลุมจีนนั้นล่ะ,ขนทรัพยากรมีค่าแร่ธาตุออกจากลาวไปแปรรูปที่จีนตรึม รวมซื้อคนลาวชั่งกิโลไปแดกด้วย ชำแหละค้ามนุษย์ค้าอวัยวะคนลาวสบายใจเลย,จีนจึงอันตรายมากๆจะยุคสมัยใดๆก็ตามทั้งยุคสมัยใหม่คนจีนรุ่นไฮบริดจ์ลูกผสมแรปทีเลี่ยนก็มีไม่น้อย โคลนคนจีนมหาศาลอีก,มาใช้แรงงานโดยเฉพาะ ใช้เสร็จฆ่ากินฆ่าแดกเลยเพราะไม่มีสำนึกจิตใจอะไรแค่โคลน,ทั้งโคลนทั้งหุ่นยนต์ผลิตมาทำลายโลกทีละน้อย แอบซ่อนใต้ดินตรึม,คนเหล็กมาแน่, ..เขมร พม่า จีนแรปทีเลี่ยนค้าแดกมนุษย์มีเยอะมาก,เอเชียอาเชียนต้องตื่นรู้และร่วมกันสแกนกำจัดอย่างจริงจัง,ต้องทำให้แต่ละประเทศสงบให้ได้ก่อนเราจะพูดคุยและลงมือกำจัดอมนุษย์พวกนี้ในแต่ละชาติได้,เริ่มจากเขมรก่อน,ฮุนเซนแท้จริงคือแรปทีเลี่ยนดีๆนี้ล่ะก็ได้ สายมืดผู้รับใช้ตัวจริงของอีลิทเลว,มันเปิดเผยตัวตนชัดเจนในยุคเวลานี้เพราะโคตรพ่อโคตรแมร่งมันสั่งให้เปิดเผยตัวตนแล้วหลังยุคโควิดมานั้นเอง,ความดุเดือดไล่ล่ากำจัดจึงเกิดขึ้น สงครามฝ่ายดีและฝ่ายชั่วจึงอุบัติขึ้นจริงจัง,พม่าอ่องชานโดนทำลาย แหล่งค้ามนุษย์ก็กระเจิงด้วย,โดยแม่ทัพพม่ายึดอำนาจ,จึงหนีมาเขมรอพยพมาเกือบหมด,เขมรจึงลุกเป็นไฟ แหล่งค้ามนุษย์ชำแหละมนุษย์ส่งออกจึงย้ายมาเขมร,ส่วนจีนตัวพ่อค้ามนุษย์อยู่แล้วซึ่งจีนฝ่ายดีต้องจัดการจริงจังภายในตนเอง,อเมริกาก็เหี้ยใช่น้อยโคตรพ่อโคตรแม่ตัวแดกเด็กฮับค้ามนุษย์ของโลก ส่งออกไปดวงจันทร์ด้วย,ไม่ต่างจากวาติกันยุโรปหรืออิสราเอลยูเครนฮับประจำโซนยุโรป, ..คนไทยเราต้องสามัคคีจริงๆ,กำจัดเขมรให้สิ้นซากก่อน,อาเชียนจะสงบทันที อีลิทจะปั่นป่วนอาเชียนยาก ภาคใต้เราก็มันนั่นล่ะทำ,รัฐบาลนี้ทรยศเราก็จบมันเลย,ยึดอำนาจด้วยทหารพระราชาเสีย ทหารพระราชาคุ้มครองความสงบมั่นคงไว้เบื้องต้นในวิกฤติโลกปัจจุบันนี้ เราสามารถปกป้องประเทศไทยให้รอดพ้นวิกฤติได้,ถ้าปล่อยให้นักการเมืองเหี้ยนี้ปกครองอีกอันตรายมาก,จะตัดสินใจยึดอำนาจหรือไม่ดูที่นายกฯหนูกล้ายกเลิกmou43,44ในคณะครม.ตนประชุมครั้งแรกมั้ย,ถ้าไม่ยกเลิก ตัดสินใจได้เลยว่า เป็นฝ่ายตรงข้ามอธิปไตยดินแดนแผ่นดินไทยชัดเจน มีเจตนาต้องการทำให้เสียแผ่นดินไทยถึง1:150,000แล้ว ผิด ม.119 ชัดเจนเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติไทยเสมือนเขมรที่รุกรานไทยในปัจจุบัน. https://youtube.com/watch?v=o6UDZvG0uTQ&si=B738trQKOn4osC2A
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 2 – ทุ่งใหญ่
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 2 : ทุ่งใหญ่
    CFR แอบทำโครงการลับๆ อย่างเงียบๆ และต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1939 ถึง 1945 ชื่อ War and Peace Studies ซึ่งเป็นการประสานงานร่วมมือกันระหว่างสมาชิกของ CFR กับ State Department ของรัฐบาล แต่เงินทุนที่ใช่ในการทำโครงการนี้ทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็คงเดากันออก มาจากนายทุนโคตรรวย กระเป๋าของมูลนิธิ Rockefeller ทั้งหมด (อย่าเพิ่งเบื่อชื่อนี้นะครับ ถึงเบื่อ ก็ต้องทนเอา เพราะเขาเป็นตัวจริงเสียงจริง ในการกำกับพวกพี่เลี้ยง หรือเรียกให้ถูก น่าจะต้องใช้คำว่า เขาเป็น เจ้าของ คงไม่เป็นการแดกดันเขานัก)
    โครงการ War and Peace Studies นี้ วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อสร้างให้อเมริกาเป็นจักรวรรดิอเมริกา เช่นเดียวกับ จักรวรรดิ หรือจักรภพอังกฤษ เพียงแต่จะเป็นจักรวรรดินักล่าที่วิธีการล่าต่างกัน อังกฤษเป็นนักล่าอาณานิคมที่ต้องการขยายดินแดน เพราะประเทศตัวเองเป็นเกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ต้องการเอาประเทศของคนอื่นมาเป็นอาณานิคม เพื่อขยายอาณาจักรตัวเอง เพื่อปกครองและเพื่อใช้ทรัพยากรของเขา เพื่อสร้างความเจริญและความยิ่งใหญ่ของตนเอง แหม ! ให้ใครๆ เรียกว่า Empress of India หรือ Viceroy of Burma มันก็สมเป็นนายเหนือของอาณานิคมกร่างดีออก ภูมิใจนักหนากับประโยคที่พูดซ้ำซากว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกในจักรภพอังกฤษ แสดงให้เห็นถึงอาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล
    แต่ผู้คิดสร้างอเมริกานักล่ารุ่นใหม่บอก คิดแบบนั้นมันไม่ฉลาดเท่าไหร่หรอก เอาไปทำไมประเทศคนอื่น ต้องไปเลี้ยงดูประชาชนพลเมืองเขาอีก ตัวเล็ก ตัวดำ ตัวเหลือง พูดกันไม่รู้เรื่อง คิดก็ต่างกัน ไม่เอาหรอก เราอย่าไปคิดเอาประเทศเขามาเป็นอาณานิคมเลยนะ ภาระมันแยะ เราแค่คิดวิธีที่จะทำอะไรก็ได้ ในแผ่นดินเขาดีกว่า ใช้ทรัพยากร ใช้คน ใช้เงิน ใช้กลอุบายทุกอย่าง ให้ผู้คนในแผ่นดินนั้น มันตกหลุมเราทุกประการ โดยเราไม่ต้องไปรับผิดชอบว่าเขาเป็นคนของเรา มันไม่ดีกว่าหรือ เราแค่อ้างว่าเราจะนำความเจริญมาให้เขา เราทำเพื่อความเจริญของโลก แค่นั้น เขาก็รีบเปิดประตูเมืองรับเรามือไม้สั่นไปหมดแล้ว
    แล้วเราอย่าไปเรียกตัวเองว่า จักรวรรดิอเมริกาด้วย มันล่อแหลม (ต่อความล้มเหลว !) ในทางตรงกันข้าม เรากลับต้องปลอมตัว (ลวงโลก) ว่า อเมริกาต่างหากที่เป็นผู้สนับสนุนให้เสรีภาพ อิสระภาพให้เกิดขึ้นกับประเทศอาณานิคม (ถือโอกาสตบหน้าอังกฤษแถมให้) ให้มีประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกอันสวยงามใบนี้ และให้มีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย ไม่มีการปิดกั้น โดยเราจะใช้กลไกที่จะเราจะตั้งขึ้นใหม่ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่โลกจะดูไม่รู้ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
    มันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ที่สวยหรู ที่บิดเบือนความจริง ลวงโลก ที่ได้ผลอย่างยอดเยี่ยมที่สุดแห่งศตวรรษ จนบัดนี้ยังไม่มีโฆษณาชวนเชื่อใดมาลบล้างได้ !
    ตราบใดที่เศรษฐกิจของอเมริการุ่งเรือง แบงค์ดอลล่าร์สีเขียวของอเมริกา ยังเป็นแผ่นกระดาษที่โลกยอมรับและต้องการ การลวงโลกแบบนี้จะบอกว่าไม่สำเร็จ ได้อย่างไร และตราบใดที่ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และเอเซียตะวันออก เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ยังต้องพึ่งพากองทัพ (ที่อ้างว่า) เกรียงไกรของอเมริกาในการปกป้องภูมิภาคของตน นี่แหละคือข้อพิสูจน์ว่า จักรวรรดิอเมริกามีจริงเป็นจริง จักรวรรดิอเมริกา พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ใหญ่อย่างชนิด ไม่มีใครกล้ามาท้าทาย (แน่ใจหรือเปล่า ? !)
    นอกจากนี้ โครงการ War and Peace Studies นี้ เสนอความคิด และแนวทาง (shopping list) เพื่อให้อเมริกาปฏิบัติการอีกมากมาย ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุด ที่สำคัญคือเขากำหนด บริเวณ ของโลกใบนี้ที่อเมริกาจะต้องประทับตรา ควบคุมหรือครอบครอง เพื่อส่งเสริมให้อเมริกามีเศรษฐกิจที่แข็งแรง บริเวณที่อเมริกาจะควบคุมนี้เขาเรียกกันว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับนักล่า ซึ่งอยู่ในบริเวณต่อไปนี้
– ลาตินอเมริกา (ดินแดนกว้างใหญ่ ทรัพยากรแยะ นักล่าจะเอาไว้ทำอะไร ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธอีกรอบนะครับ)
– ยุโรป ซึ่งจะต้องยับเยินหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด (เป็นพี่เลี้ยงที่สุดเจ๋งจริงๆ คาดการณ์ได้แม่นยำเหมือนลงมือจัดการเอง ! ! เป็นการควบคุมให้ล้มอย่างมีระเบียบ ฮา)
– เหล่าอดีตอาณานิคมของจักรภพอังกฤษ (นายเหนือเจ๊ง แล้วขี้ข้าจะทำยังไง ไม่ฉวยโอกาสฉกมาตอนนี้ แล้วจะไปรอหลังสงครามโลกครั้งหน้าหรือไง)
– เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (มาแล้ว ทุ่งหญ้าของพวกเราไง ที่เหล่าสมันน้อยอยู่แบบกินอิ่ม นอนหลับ ตื่นมาก็วิ่งเล่นเต๊าะแต๊ะน่ารัก) เพราะบริเวณนี้ ยังอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งทรัพยากรและวัตถุดิบ ที่ Great Britain และญี่ปุ่น จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้ผลิต และเหล่าสมันน้อยในทุ่งหญ้านี้จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้บริโภคผลผลิต ของญี่ปุ่น (โอ ! นายท่าน ช่างเก่งจริงๆ อ่านขาดล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกแบบนี้ ถ้านักการเมืองไทยมันรู้ว่า CFR สุดโปรดของผม มันเยี่ยมขนาดนี้นะ หมอดูอีที เห็นทีจะหมดอาชีพ มิน่าเล่าไอ้หมาไนโจรร้ายมันถึงไปใช้บริการของไอ้ก๊วนพวกนี้ !)
    ดังนั้นโปรดเข้าใจด้วย เวลาเขาพูดถึงผลประโยชน์ของอเมริกา เขาบอกว่าจะต้องนับเอา Grand Area ทุ่งใหญ่ รวมทั้งการปกป้อง คุมครองดูแลทุ่งใหญ่นี้ เข้าไปด้วย อ้าว ! สมันน้อยกลายเป็นผลประโยชน์ของเขา ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยนะ รู้ตัวกันบ้างหรือเปล่า และในที่สุดจะรวมไปถึงโจทย์ที่ว่า จะพิจารณาปกป้องเวียตนาม ให้พ้นจากลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย หรือไม่ นี่เขียนไว้ตั้งแต่ ค.ศ.1939 นะเนี่ย ! ศักดิ์สิทธิจริงๆ หลวงพ่อ CFR ! ผมเลื่อนตำแหน่งให้แล้ว เพราะการวิเคราะห์ แบบนี้ หมอดูคนไหนก็ไม่มีทางสู้หลวงพ่อ CFR ได้แน่นอน
    คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 2 – ทุ่งใหญ่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 2 : ทุ่งใหญ่ CFR แอบทำโครงการลับๆ อย่างเงียบๆ และต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1939 ถึง 1945 ชื่อ War and Peace Studies ซึ่งเป็นการประสานงานร่วมมือกันระหว่างสมาชิกของ CFR กับ State Department ของรัฐบาล แต่เงินทุนที่ใช่ในการทำโครงการนี้ทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็คงเดากันออก มาจากนายทุนโคตรรวย กระเป๋าของมูลนิธิ Rockefeller ทั้งหมด (อย่าเพิ่งเบื่อชื่อนี้นะครับ ถึงเบื่อ ก็ต้องทนเอา เพราะเขาเป็นตัวจริงเสียงจริง ในการกำกับพวกพี่เลี้ยง หรือเรียกให้ถูก น่าจะต้องใช้คำว่า เขาเป็น เจ้าของ คงไม่เป็นการแดกดันเขานัก) โครงการ War and Peace Studies นี้ วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อสร้างให้อเมริกาเป็นจักรวรรดิอเมริกา เช่นเดียวกับ จักรวรรดิ หรือจักรภพอังกฤษ เพียงแต่จะเป็นจักรวรรดินักล่าที่วิธีการล่าต่างกัน อังกฤษเป็นนักล่าอาณานิคมที่ต้องการขยายดินแดน เพราะประเทศตัวเองเป็นเกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ต้องการเอาประเทศของคนอื่นมาเป็นอาณานิคม เพื่อขยายอาณาจักรตัวเอง เพื่อปกครองและเพื่อใช้ทรัพยากรของเขา เพื่อสร้างความเจริญและความยิ่งใหญ่ของตนเอง แหม ! ให้ใครๆ เรียกว่า Empress of India หรือ Viceroy of Burma มันก็สมเป็นนายเหนือของอาณานิคมกร่างดีออก ภูมิใจนักหนากับประโยคที่พูดซ้ำซากว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกในจักรภพอังกฤษ แสดงให้เห็นถึงอาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ผู้คิดสร้างอเมริกานักล่ารุ่นใหม่บอก คิดแบบนั้นมันไม่ฉลาดเท่าไหร่หรอก เอาไปทำไมประเทศคนอื่น ต้องไปเลี้ยงดูประชาชนพลเมืองเขาอีก ตัวเล็ก ตัวดำ ตัวเหลือง พูดกันไม่รู้เรื่อง คิดก็ต่างกัน ไม่เอาหรอก เราอย่าไปคิดเอาประเทศเขามาเป็นอาณานิคมเลยนะ ภาระมันแยะ เราแค่คิดวิธีที่จะทำอะไรก็ได้ ในแผ่นดินเขาดีกว่า ใช้ทรัพยากร ใช้คน ใช้เงิน ใช้กลอุบายทุกอย่าง ให้ผู้คนในแผ่นดินนั้น มันตกหลุมเราทุกประการ โดยเราไม่ต้องไปรับผิดชอบว่าเขาเป็นคนของเรา มันไม่ดีกว่าหรือ เราแค่อ้างว่าเราจะนำความเจริญมาให้เขา เราทำเพื่อความเจริญของโลก แค่นั้น เขาก็รีบเปิดประตูเมืองรับเรามือไม้สั่นไปหมดแล้ว แล้วเราอย่าไปเรียกตัวเองว่า จักรวรรดิอเมริกาด้วย มันล่อแหลม (ต่อความล้มเหลว !) ในทางตรงกันข้าม เรากลับต้องปลอมตัว (ลวงโลก) ว่า อเมริกาต่างหากที่เป็นผู้สนับสนุนให้เสรีภาพ อิสระภาพให้เกิดขึ้นกับประเทศอาณานิคม (ถือโอกาสตบหน้าอังกฤษแถมให้) ให้มีประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกอันสวยงามใบนี้ และให้มีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย ไม่มีการปิดกั้น โดยเราจะใช้กลไกที่จะเราจะตั้งขึ้นใหม่ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่โลกจะดูไม่รู้ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน มันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ที่สวยหรู ที่บิดเบือนความจริง ลวงโลก ที่ได้ผลอย่างยอดเยี่ยมที่สุดแห่งศตวรรษ จนบัดนี้ยังไม่มีโฆษณาชวนเชื่อใดมาลบล้างได้ ! ตราบใดที่เศรษฐกิจของอเมริการุ่งเรือง แบงค์ดอลล่าร์สีเขียวของอเมริกา ยังเป็นแผ่นกระดาษที่โลกยอมรับและต้องการ การลวงโลกแบบนี้จะบอกว่าไม่สำเร็จ ได้อย่างไร และตราบใดที่ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และเอเซียตะวันออก เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ยังต้องพึ่งพากองทัพ (ที่อ้างว่า) เกรียงไกรของอเมริกาในการปกป้องภูมิภาคของตน นี่แหละคือข้อพิสูจน์ว่า จักรวรรดิอเมริกามีจริงเป็นจริง จักรวรรดิอเมริกา พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ใหญ่อย่างชนิด ไม่มีใครกล้ามาท้าทาย (แน่ใจหรือเปล่า ? !) นอกจากนี้ โครงการ War and Peace Studies นี้ เสนอความคิด และแนวทาง (shopping list) เพื่อให้อเมริกาปฏิบัติการอีกมากมาย ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุด ที่สำคัญคือเขากำหนด บริเวณ ของโลกใบนี้ที่อเมริกาจะต้องประทับตรา ควบคุมหรือครอบครอง เพื่อส่งเสริมให้อเมริกามีเศรษฐกิจที่แข็งแรง บริเวณที่อเมริกาจะควบคุมนี้เขาเรียกกันว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับนักล่า ซึ่งอยู่ในบริเวณต่อไปนี้
– ลาตินอเมริกา (ดินแดนกว้างใหญ่ ทรัพยากรแยะ นักล่าจะเอาไว้ทำอะไร ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธอีกรอบนะครับ)
– ยุโรป ซึ่งจะต้องยับเยินหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด (เป็นพี่เลี้ยงที่สุดเจ๋งจริงๆ คาดการณ์ได้แม่นยำเหมือนลงมือจัดการเอง ! ! เป็นการควบคุมให้ล้มอย่างมีระเบียบ ฮา)
– เหล่าอดีตอาณานิคมของจักรภพอังกฤษ (นายเหนือเจ๊ง แล้วขี้ข้าจะทำยังไง ไม่ฉวยโอกาสฉกมาตอนนี้ แล้วจะไปรอหลังสงครามโลกครั้งหน้าหรือไง)
– เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (มาแล้ว ทุ่งหญ้าของพวกเราไง ที่เหล่าสมันน้อยอยู่แบบกินอิ่ม นอนหลับ ตื่นมาก็วิ่งเล่นเต๊าะแต๊ะน่ารัก) เพราะบริเวณนี้ ยังอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งทรัพยากรและวัตถุดิบ ที่ Great Britain และญี่ปุ่น จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้ผลิต และเหล่าสมันน้อยในทุ่งหญ้านี้จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้บริโภคผลผลิต ของญี่ปุ่น (โอ ! นายท่าน ช่างเก่งจริงๆ อ่านขาดล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกแบบนี้ ถ้านักการเมืองไทยมันรู้ว่า CFR สุดโปรดของผม มันเยี่ยมขนาดนี้นะ หมอดูอีที เห็นทีจะหมดอาชีพ มิน่าเล่าไอ้หมาไนโจรร้ายมันถึงไปใช้บริการของไอ้ก๊วนพวกนี้ !) ดังนั้นโปรดเข้าใจด้วย เวลาเขาพูดถึงผลประโยชน์ของอเมริกา เขาบอกว่าจะต้องนับเอา Grand Area ทุ่งใหญ่ รวมทั้งการปกป้อง คุมครองดูแลทุ่งใหญ่นี้ เข้าไปด้วย อ้าว ! สมันน้อยกลายเป็นผลประโยชน์ของเขา ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยนะ รู้ตัวกันบ้างหรือเปล่า และในที่สุดจะรวมไปถึงโจทย์ที่ว่า จะพิจารณาปกป้องเวียตนาม ให้พ้นจากลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย หรือไม่ นี่เขียนไว้ตั้งแต่ ค.ศ.1939 นะเนี่ย ! ศักดิ์สิทธิจริงๆ หลวงพ่อ CFR ! ผมเลื่อนตำแหน่งให้แล้ว เพราะการวิเคราะห์ แบบนี้ หมอดูคนไหนก็ไม่มีทางสู้หลวงพ่อ CFR ได้แน่นอน คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 1 : พี่เลี้ยงนางนม
    อเมริกาพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ที่วันนี้กำลังถูกท้าทาย จะรักษาตำแหน่งหมายเลขหนึ่งได้หรือไม่ ได้อีกนานเท่าไร ชาวโลกกำลังจับตามอง อเมริกา ขยับขา อ้าแขน แหกปาก ไม่ว่าจะทำอะไรเป็นข่าวไปทั่วโลก แต่เป็นข่าวในทางร้ายมากกว่าดี แต่ถึงอย่างนี้ก็ยังมีชาวโลกสวยชื่นชอบอเมริกา ผู้นำความเจริญมาสู่โลก ผู้นำเศรษฐกิจเสรี โลกาภิวัฒน์มันไปทุกอย่าง ไม่ ว่าการค้า การศึกษา วัฒนธรรม ฯลฯ ไม่มีอเมริกาเป็นเพื่อน ไม่มีอเมริกาตบหัวลูบหลัง หรืออเมริกาไม่เห็นด้วย ไม่ว่าเรื่องอะไร จะเป็นจะตายเสียให้ได้
    แต่ถ้าถามชาวแหกคอกไม่ว่าพันธ์เทศพันธ์ไทย ต่างบอก ถุด ! อเมริกา มันก็แค่นักล่า(อาณานิคม)รุ่นใหม่ กระสันอยากจะป็นจักรวรรดิอเมริกา แต่ใจไม่ถึงที่จะประกาศให้โลกรู้ ได้แต่ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก อย่างงี้นักเลงจริงเขาดูถูก (โปรดนึกถึงหน้าพี่ปูตินเวลาพูดกับนายโอบามาก็แล้วกัน) แล้วสมันน้อยว่าไงจ๊ะ เห็นอเมริกาเป็นพี่เบิ้ม ผู้นำ ผู้พิทักษ์ ผู้ปกครอง ฯลฯ หรือเป็นนักล่ารุ่นใหม่ ไม่ต่างกับจิ๊กโก๋ปากซอย กล้าเบ่งแต่กับผู้อ่อนแอกว่า เจอนักเลงใหญ่อย่างพี่ปู หรือแค่อาเฮียยืนหน้าเฉย อย่าติดเบรคใส่เกียร์ว่างก็แล้วกัน
    แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพึ่งลงมติ นี่ยังไม่ถึงตีสี่ มีเวลาตัดสินใจ อ่านนิทานกันไปเรื่อยๆก่อนแล้วกัน อ่านๆไปก็จะมองออกเองแหละ ว่าอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์ของโลกสวย หรือเป็นนักล่าของชาวแหกคอก รู้จักเขาให้ชัดเจน จะได้รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวเองหรือปฏิบัติกับอเมริกาอย่างไร
    นักวิเคราะห์การเมืองรุ่นใหม่(สมัยนั้น) ต่างประสานเสียงเชียร์ บอกว่าอเมริกาเป็นนักล่าแน่นอนที่สุดและไม่ได้เป็นนักล่าแบบอุบัติเหตุ ไม่ใช่ประเภทเป็นเด็กกำพร้าไม่มีใครเลี้ยงดู เลยต้องปากถีบตีนกัด ออกมาล่าเหยื่อเลี้ยงตัวเองตั้งกะเด็ก ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด อเมริกาเป็นลูกคนรวย ที่ถูกเลี้ยง ถูกฝึก ถูกเลือกให้เป็นนักล่าเหยื่อต่างหาก ถูกเลือก เข้าใจไหม (America was chosen to be an empire) มันมีการวางยุทธศาสตร์ หารือ วางแผนและปฏิบัติการให้อเมริกาเป็นนักล่าเป็น American Empire !
    เอาละซิ แล้วใครล่ะที่เป็นพี่เลี้ยงนางนม เป็นคนฝึก เป็นคนวางแผนให้อเมริกาเป็นนักล่า จะรู้ให้แน่ต้องแกะรอยเก่าของนักล่าย้อนไปให้เห็นภาพตั้งแต่ ยังเป็นละอ่อน เริ่มตั้งไข่ ดูว่าเขาหัดเดิน หัดคลานอย่างไร ใครเป็นพี่เลี้ยง เป็นพี่เลี้ยงแบบไหน ประเภทวิ่งไปตามเนินเขา แล้วร้องเพลง The Sound of Music หรือเปล่า (ท่านที่เกิดไม่ทันหนังเรื่องนี้ ขออำไพนะครับ ถึงไม่เคยดู ก็น่าจะเคยได้ยินเพลงบ้างน่า พระเอกมีลูกเป็นพรวน เมียตาย หรือไงเนี่ย ผมก็จำไม่ค่อยได้ จ้างนางเอกมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลเด็ก ในที่สุดพระเอกก็รักกับคุณพี่เลี้ยงตามฟอร์ม เด็กก็ดีใจไชโย เรื่องแสนจะธรรมดา สมัยนั้น ไม่มีอะไรซับซ้อนจนแบบเดาไมได้ ไม่ใช่หนังจบแล้ว หันหน้ามองกัน เลิกลั่ก มึนไปหมด ไม่มีครับ) หรือถ้าไม่เป็นพี่เลี้ยงแต่เป็นแม่เลี้ยง แบบแม่เลี้ยงใจร้ายของหนูน้อย Cinderella หนังการ์ตูนยอดฮิตของ Walt Disney ก่อนมาทำเป็นหนังใหญ่ เห็นไหมครับ ขนาดจะอธิบายเรื่องพี่เลี้ยง แม่เลี้ยง ยังต้องยกตัวอย่างหนัง Hollywood เลย เห็นอิทธิพลของเขาไหม จะให้ยกตัวอย่างเป็นปลาบู่ทอง จะมีใครรู้เรื่องบ้าง
    ผู้ที่ร่วมมือกัน ทำหน้าที่พี่เลี้ยง ป้อนนม ป้อนน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม จับอเมริกาตั้งไข่ หัดเดิน ซ้อมให้เป็นนักล่า ไม่ใช่ใครที่ไหนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่เป็นกลุ่มชนชั้นนำในสังคมอเมริกา คือ พวก Elites นั่นแหละ ที่ประกอบด้วย นายธนาคารและบรรดาบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกา (Americas Industrial Revolution) ในปลายศตวรรษที่ 19 รวมทั้งพวกมูลนิธิ ที่อ้างตัวว่าก่อตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ Philanthropic Foundations (พวกมูลนิธิแบบนี้น่ะในบ้านเราก็มีจับตากันให้ดี สอดไส้กันง่ายเหลือเกิน) สถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆ และสถาบันที่เป็นถังความคิด (Think Tank) รวมทั้งกลุ่มทุนธุรกิจ ซึ่งเดินกร่างอยู่บนเส้นทางของอำนาจ สรุปง่ายๆ ว่าเป็นกลุ่มคน ที่ถ้าเปรียบแบบฝรั่ง เขาก็จะบอกว่าเป็นเหมือนพวก cream หรือ topping ที่อยู่ชั้นบนสุดของขนมเค้กนั่นแหละ คือกลุ่มผู้ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงนักล่า
    ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้น พี่เลี้ยงนักล่าที่เดินร้องเพลงเชียร์นำมาก่อนคือพวกนักยุทธศาสตร์อเมริกัน เริ่มประสานเสียงเรียกหา New Global American Empire จักรวรรดิอเมริกาที่จะครองโลกอ ยู่ไหน นำโดย Henry R. Luce บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Yale ผู้ก่อตั้งหนังสือ Time Magazine, Life และ Fortune ซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการสำนักพิมพ์ ที่มีอิทธิพลในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 และเป็นหัวหน้ากองเชียร์ เสียงดังของพรรค Republican ซึ่งต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย ขนาดไปเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกนักการเมืองเผด็จการทางฝั่งยุโรป เช่น Mussolini ของอิตาลีและพวกนาซีของเยอรมัน ด้วยความเชื่อว่าวิถีของเผด็จการ จะหยุดการแพร่พันธ์ของคอมมิวนิสต์ได้ เชื่อกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
    ในปี ค.ศ.1941 นาย Luce เขียนบทความดังเป็นพลุแตก (แบบนิทานจิกโก๋ปากซอย ฮา) ลงในนิตยสาร Life ชื่อ The American Century ศตวรรษของอเมริกา เขาบอกว่าศตวรรษที่ 20 นี้ จะเป็นเวลาของอเมริกา เป็นช่วงเวลาที่โลกจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้นำโลกตัวจริงมาแล้ว มันไม่เหมือนกับการเป็นจักรวรรดิแบบโรม หรือเจ็งกิสข่านหรือจักรภพอังกฤษ ที่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่จะเป็นจักรวรรดิเพื่อมนุษย์ชาติทั้งปวง ไม่ใช่เฉพาะแต่อเมริกันชนเท่านั้น ว่าเข้านั่น พูดแบบอเมริกันแท้ ไม่มีเทียมเลยคุณพี่ คุณพี่ Luce นี่นอกจากเชียร์สุดลิ่ม และยังเป็นนักฝันดีอีกด้วย
    ในขณะที่นาย Luce เป็นนักร้องนำ เขียนบทความสรรเสริญอเมริกา ลงทุนผ่านปากกา แต่ผู้ที่ลงแรง ลงมือ ลงขัน จัดการให้ ศตวรรษอเมริกาเกิดขึ้นจริงๆ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มาจากความคิดริเริ่มและการผลัก ดันของ the Council on Foreign Relations (CFR) กลุ่มนักคิด นักวางแผนโคตรชั่ว ตัวแสบนั่นเอง และนักยุทธศาสตร์คนสำคัญ CFR ที่เป็นหัวรถจักร ของรถไฟสายพี่เลี้ยง คือนาย Dean Acheson นาย Acheson นี้ มีประวัติน่าสนใจ เขาเป็นทนายความ ต่อมาเปลี่ยนเส้นทางมาเข้าวงการ เมือง ไต่กระไดขึ้นมาเรื่อย จนในที่สุดได้เป็น Secretary of State ช่วงปี ค.ศ.1949 – 1953 สมัยนาย Truman เป็นประธานาธิบดี เขามีส่วนสำคัญในการร่างนโยบาย ตปท. ของอเมริกาในช่วงสงครามเย็น (เอ! ใครเอาอย่างนะ จากทนายหน้าหอ มาเป็น รอ มอ ตอ ต่างประเทศ)
    ตั้งแต่ปี ค.ศ.1939 เมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ นาย Acheson เขียนหนังสือเรื่อง An American Attitude เป็นใบสั่งล่วงหน้าว่า หลัง สงครามโลกจบ อเมริกาจะต้องทำอะบ้าง (เขาสั่งกันได้ตั้งแต่ก่อนเข้าไปร่วมทำสงคราม) สิ่งที่สำคัญอเมริกาจะต้องทำคือ ทำให้โลกมีเสรีภาพในทางเศรษฐกิจการค้า หลังจากนั้นนาย Acheson ก็เป็นหนึ่งในคณะผู้ทำงานของ CFR ในการวางแผน ตั้งไข่ ให้แก่นักล่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
    แม้ว่าอเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการในปลายปี ค.ศ.1941 แต่ CFR วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า อเมริกาจะต้องเข้าสู่สงครามโลก เลิกยืนกอดอกดูอยู่ข้างสนามแบบนั้นมันจะไปได้เรื่องอะไร กระโดดลงไปในสนามรบได้แล้ว อันที่จริงพวกเขาวางแผนตั้งแต่ก่อนสงครามโลกจะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ ที่จะให้อเมริกากระโจนลงไปในสนามรบ
    คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 1 : พี่เลี้ยงนางนม อเมริกาพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ที่วันนี้กำลังถูกท้าทาย จะรักษาตำแหน่งหมายเลขหนึ่งได้หรือไม่ ได้อีกนานเท่าไร ชาวโลกกำลังจับตามอง อเมริกา ขยับขา อ้าแขน แหกปาก ไม่ว่าจะทำอะไรเป็นข่าวไปทั่วโลก แต่เป็นข่าวในทางร้ายมากกว่าดี แต่ถึงอย่างนี้ก็ยังมีชาวโลกสวยชื่นชอบอเมริกา ผู้นำความเจริญมาสู่โลก ผู้นำเศรษฐกิจเสรี โลกาภิวัฒน์มันไปทุกอย่าง ไม่ ว่าการค้า การศึกษา วัฒนธรรม ฯลฯ ไม่มีอเมริกาเป็นเพื่อน ไม่มีอเมริกาตบหัวลูบหลัง หรืออเมริกาไม่เห็นด้วย ไม่ว่าเรื่องอะไร จะเป็นจะตายเสียให้ได้ แต่ถ้าถามชาวแหกคอกไม่ว่าพันธ์เทศพันธ์ไทย ต่างบอก ถุด ! อเมริกา มันก็แค่นักล่า(อาณานิคม)รุ่นใหม่ กระสันอยากจะป็นจักรวรรดิอเมริกา แต่ใจไม่ถึงที่จะประกาศให้โลกรู้ ได้แต่ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก อย่างงี้นักเลงจริงเขาดูถูก (โปรดนึกถึงหน้าพี่ปูตินเวลาพูดกับนายโอบามาก็แล้วกัน) แล้วสมันน้อยว่าไงจ๊ะ เห็นอเมริกาเป็นพี่เบิ้ม ผู้นำ ผู้พิทักษ์ ผู้ปกครอง ฯลฯ หรือเป็นนักล่ารุ่นใหม่ ไม่ต่างกับจิ๊กโก๋ปากซอย กล้าเบ่งแต่กับผู้อ่อนแอกว่า เจอนักเลงใหญ่อย่างพี่ปู หรือแค่อาเฮียยืนหน้าเฉย อย่าติดเบรคใส่เกียร์ว่างก็แล้วกัน แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพึ่งลงมติ นี่ยังไม่ถึงตีสี่ มีเวลาตัดสินใจ อ่านนิทานกันไปเรื่อยๆก่อนแล้วกัน อ่านๆไปก็จะมองออกเองแหละ ว่าอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์ของโลกสวย หรือเป็นนักล่าของชาวแหกคอก รู้จักเขาให้ชัดเจน จะได้รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวเองหรือปฏิบัติกับอเมริกาอย่างไร นักวิเคราะห์การเมืองรุ่นใหม่(สมัยนั้น) ต่างประสานเสียงเชียร์ บอกว่าอเมริกาเป็นนักล่าแน่นอนที่สุดและไม่ได้เป็นนักล่าแบบอุบัติเหตุ ไม่ใช่ประเภทเป็นเด็กกำพร้าไม่มีใครเลี้ยงดู เลยต้องปากถีบตีนกัด ออกมาล่าเหยื่อเลี้ยงตัวเองตั้งกะเด็ก ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด อเมริกาเป็นลูกคนรวย ที่ถูกเลี้ยง ถูกฝึก ถูกเลือกให้เป็นนักล่าเหยื่อต่างหาก ถูกเลือก เข้าใจไหม (America was chosen to be an empire) มันมีการวางยุทธศาสตร์ หารือ วางแผนและปฏิบัติการให้อเมริกาเป็นนักล่าเป็น American Empire ! เอาละซิ แล้วใครล่ะที่เป็นพี่เลี้ยงนางนม เป็นคนฝึก เป็นคนวางแผนให้อเมริกาเป็นนักล่า จะรู้ให้แน่ต้องแกะรอยเก่าของนักล่าย้อนไปให้เห็นภาพตั้งแต่ ยังเป็นละอ่อน เริ่มตั้งไข่ ดูว่าเขาหัดเดิน หัดคลานอย่างไร ใครเป็นพี่เลี้ยง เป็นพี่เลี้ยงแบบไหน ประเภทวิ่งไปตามเนินเขา แล้วร้องเพลง The Sound of Music หรือเปล่า (ท่านที่เกิดไม่ทันหนังเรื่องนี้ ขออำไพนะครับ ถึงไม่เคยดู ก็น่าจะเคยได้ยินเพลงบ้างน่า พระเอกมีลูกเป็นพรวน เมียตาย หรือไงเนี่ย ผมก็จำไม่ค่อยได้ จ้างนางเอกมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลเด็ก ในที่สุดพระเอกก็รักกับคุณพี่เลี้ยงตามฟอร์ม เด็กก็ดีใจไชโย เรื่องแสนจะธรรมดา สมัยนั้น ไม่มีอะไรซับซ้อนจนแบบเดาไมได้ ไม่ใช่หนังจบแล้ว หันหน้ามองกัน เลิกลั่ก มึนไปหมด ไม่มีครับ) หรือถ้าไม่เป็นพี่เลี้ยงแต่เป็นแม่เลี้ยง แบบแม่เลี้ยงใจร้ายของหนูน้อย Cinderella หนังการ์ตูนยอดฮิตของ Walt Disney ก่อนมาทำเป็นหนังใหญ่ เห็นไหมครับ ขนาดจะอธิบายเรื่องพี่เลี้ยง แม่เลี้ยง ยังต้องยกตัวอย่างหนัง Hollywood เลย เห็นอิทธิพลของเขาไหม จะให้ยกตัวอย่างเป็นปลาบู่ทอง จะมีใครรู้เรื่องบ้าง ผู้ที่ร่วมมือกัน ทำหน้าที่พี่เลี้ยง ป้อนนม ป้อนน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม จับอเมริกาตั้งไข่ หัดเดิน ซ้อมให้เป็นนักล่า ไม่ใช่ใครที่ไหนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่เป็นกลุ่มชนชั้นนำในสังคมอเมริกา คือ พวก Elites นั่นแหละ ที่ประกอบด้วย นายธนาคารและบรรดาบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกา (Americas Industrial Revolution) ในปลายศตวรรษที่ 19 รวมทั้งพวกมูลนิธิ ที่อ้างตัวว่าก่อตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ Philanthropic Foundations (พวกมูลนิธิแบบนี้น่ะในบ้านเราก็มีจับตากันให้ดี สอดไส้กันง่ายเหลือเกิน) สถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆ และสถาบันที่เป็นถังความคิด (Think Tank) รวมทั้งกลุ่มทุนธุรกิจ ซึ่งเดินกร่างอยู่บนเส้นทางของอำนาจ สรุปง่ายๆ ว่าเป็นกลุ่มคน ที่ถ้าเปรียบแบบฝรั่ง เขาก็จะบอกว่าเป็นเหมือนพวก cream หรือ topping ที่อยู่ชั้นบนสุดของขนมเค้กนั่นแหละ คือกลุ่มผู้ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงนักล่า ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้น พี่เลี้ยงนักล่าที่เดินร้องเพลงเชียร์นำมาก่อนคือพวกนักยุทธศาสตร์อเมริกัน เริ่มประสานเสียงเรียกหา New Global American Empire จักรวรรดิอเมริกาที่จะครองโลกอ ยู่ไหน นำโดย Henry R. Luce บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Yale ผู้ก่อตั้งหนังสือ Time Magazine, Life และ Fortune ซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการสำนักพิมพ์ ที่มีอิทธิพลในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 และเป็นหัวหน้ากองเชียร์ เสียงดังของพรรค Republican ซึ่งต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย ขนาดไปเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกนักการเมืองเผด็จการทางฝั่งยุโรป เช่น Mussolini ของอิตาลีและพวกนาซีของเยอรมัน ด้วยความเชื่อว่าวิถีของเผด็จการ จะหยุดการแพร่พันธ์ของคอมมิวนิสต์ได้ เชื่อกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในปี ค.ศ.1941 นาย Luce เขียนบทความดังเป็นพลุแตก (แบบนิทานจิกโก๋ปากซอย ฮา) ลงในนิตยสาร Life ชื่อ The American Century ศตวรรษของอเมริกา เขาบอกว่าศตวรรษที่ 20 นี้ จะเป็นเวลาของอเมริกา เป็นช่วงเวลาที่โลกจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้นำโลกตัวจริงมาแล้ว มันไม่เหมือนกับการเป็นจักรวรรดิแบบโรม หรือเจ็งกิสข่านหรือจักรภพอังกฤษ ที่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่จะเป็นจักรวรรดิเพื่อมนุษย์ชาติทั้งปวง ไม่ใช่เฉพาะแต่อเมริกันชนเท่านั้น ว่าเข้านั่น พูดแบบอเมริกันแท้ ไม่มีเทียมเลยคุณพี่ คุณพี่ Luce นี่นอกจากเชียร์สุดลิ่ม และยังเป็นนักฝันดีอีกด้วย ในขณะที่นาย Luce เป็นนักร้องนำ เขียนบทความสรรเสริญอเมริกา ลงทุนผ่านปากกา แต่ผู้ที่ลงแรง ลงมือ ลงขัน จัดการให้ ศตวรรษอเมริกาเกิดขึ้นจริงๆ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มาจากความคิดริเริ่มและการผลัก ดันของ the Council on Foreign Relations (CFR) กลุ่มนักคิด นักวางแผนโคตรชั่ว ตัวแสบนั่นเอง และนักยุทธศาสตร์คนสำคัญ CFR ที่เป็นหัวรถจักร ของรถไฟสายพี่เลี้ยง คือนาย Dean Acheson นาย Acheson นี้ มีประวัติน่าสนใจ เขาเป็นทนายความ ต่อมาเปลี่ยนเส้นทางมาเข้าวงการ เมือง ไต่กระไดขึ้นมาเรื่อย จนในที่สุดได้เป็น Secretary of State ช่วงปี ค.ศ.1949 – 1953 สมัยนาย Truman เป็นประธานาธิบดี เขามีส่วนสำคัญในการร่างนโยบาย ตปท. ของอเมริกาในช่วงสงครามเย็น (เอ! ใครเอาอย่างนะ จากทนายหน้าหอ มาเป็น รอ มอ ตอ ต่างประเทศ) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1939 เมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ นาย Acheson เขียนหนังสือเรื่อง An American Attitude เป็นใบสั่งล่วงหน้าว่า หลัง สงครามโลกจบ อเมริกาจะต้องทำอะบ้าง (เขาสั่งกันได้ตั้งแต่ก่อนเข้าไปร่วมทำสงคราม) สิ่งที่สำคัญอเมริกาจะต้องทำคือ ทำให้โลกมีเสรีภาพในทางเศรษฐกิจการค้า หลังจากนั้นนาย Acheson ก็เป็นหนึ่งในคณะผู้ทำงานของ CFR ในการวางแผน ตั้งไข่ ให้แก่นักล่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง แม้ว่าอเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการในปลายปี ค.ศ.1941 แต่ CFR วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า อเมริกาจะต้องเข้าสู่สงครามโลก เลิกยืนกอดอกดูอยู่ข้างสนามแบบนั้นมันจะไปได้เรื่องอะไร กระโดดลงไปในสนามรบได้แล้ว อันที่จริงพวกเขาวางแผนตั้งแต่ก่อนสงครามโลกจะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ ที่จะให้อเมริกากระโจนลงไปในสนามรบ คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 13
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 13
    นาย Kenneth จัดหลักสูตรปรับพื้นสนามล่า ให้การอบรมแก่เหล่าสมุนนักล่าอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นก็มีคนอื่นมารับหน้าที่ปรับพื้นสนามต่อ ตัวเขาย้ายกลับไปอยู่กระทรวงต่าง ประเทศ เดินแกว่งไปมาอีกรอบ จน ค.ศ. 1966 Pentagon มีงานพิเศษ Advanced Research Project Agency (ARPA) ต้องการได้ข้อมูลแบบละเอียดเหมือนทำสารานุกรม เกี่ยวกับพื้นที่แถวอีสานเหนือของไทย ที่อเมริกามาสร้างสนามบินไว้หลายแห่ง เพื่อให้เครื่องบินรบของอเมริกา บินไปถล่มเวียตมินท์ เวียตนาม หรือกัมพูชา ข้อมูลที่ Pentagon ต้องการอยู่แถวอีสาณตอนบน แถบ นครพนม มุกดาหาร และเส้นทางตามแม่น้ำโขง นั้นแหละ ซึ่งอเมริกาอ้างว่าต้องการข้อมูล เพิ่ม หัวหน้าทีม ชื่อ Wilfred Smith ถูกตามตัวมาจากอียิปต์ ( ! ? ) เพื่อมาคุมทีม ทางPentagon ขอให้นาย Kenneth มาด้วย พร้อมกับนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ ผู้ชำนาญด้านเกษตรกรรม และสภาพอากาศ นาย Smith ตามประวัติบอกว่าเกิดและโตที่เมือง จีน พ่อแม่เป็นมิชชั่น นารี (อีกแล้ว!) ต่อมาเป็นทหารอเมริกัน และล่าสุดสังกัดหน่วย OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้ชำนาญด้านระบอบคอมมิวนิสต์ ชนิดติดตามแบบวันต่อวัน ประธานาธิบดี Kennedy ประทับใจมาก ให้ไปจิกตัวกลับมาจากอียิปต์ เพื่อมาคุมงานนี้ แต่เพื่อไม่ให้สมันน้อยตกใจจับไต๋ได้ แทนที่จะมาในนาม ARPA เขาใช้ชื่อบริษัท Philco บังหน้า จึงเรียก Phico Project
    บริษัท Philco นี้ เป็นคู่สัญญากับกองทัพอเมริกา รับงานสร้างและติดตั้งเครื่องมือสื่อสาร ตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็กไปจนถึงสร้างสถานีส่งเรดาห์สัญญาณสื่อ สารและดาวเทียม เขามาทำอะไรมาสำรวจอะไร นาย Kenneth ไม่ได้โม้ให้ฟัง บอกว่ามาสำรวจอยู่กว่า 3 เดือน และเขาได้พบกับนายพจน์ สารสิน (อีกแล้ว ! ) ซึ่งตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีด้านพัฒนาสังคมของเมืองไทย ซึ่งอำนวยความสะดวกให้คณะสำรวจอย่างดี
    ก็น่าสนใจการสำรวจคร้ังนี้ หัวหน้าทีมชำนาญด้าน คอมมิวนิสต์ มาสำรวจพื้นที่บ้านเรา แถบที่พวกเขามาสร้างสนามบินไว้ แต่หอบเอานักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์มาด้วย จะว่ามาสำรวจเพื่อสร้างสนามบินเพิ่ม มันก็จะมากไปหน่อย จะต้ังสนามบินแฝดหรือไง หรือว่ามีอะไรพิเศษที่นักล่าสนใจรู้เค้ามา แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะรู้เรื่องกับเขาหรือเปล่า
    ท่านผู้อ่านนิทานจะพอจำกันได้ไหม เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง อันลือชื่อของไทยเรา ถูกค้นพบโดยนาย Stephen Young ลูกชายของฑูต Kenneth Young ประจำประเทศไทย เมื่อปี ค.ศ. 1966 ตอนนั้นนาย Stephen เพิ่งอายุประมาณ 15 – 16 ปี ยังเรียนหนังสืออยู่มัธยม มันเหลือเชื่อน่าสงสัยขนาดไหน ลองไปหาอ่านกันดู นาย Stephen Young ล่าสุดดำรงตำแหน่ง Global Exclusive Director ของ Caux Round Table
    และหวังว่ายังคงไม่ลืมค่ายรามสูร (ถ้าจำไม่ได้ ช่วยกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอยนะครับ) ที่นักล่าสร้างไว้ที่อุดร ใหญ่ชนิดมีสนามกอล์ฟและสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิก มีพนักงาน 2,000 คน เอาไว้ดักฟังสัญญาณต่างๆ ได้ถึงดาวอังคาร เมื่อสงครามเวียตนามเลิก อเมริกาบอกปิดค่ายรามสูรอพยพกลับบ้าน แต่ข่าววงในบอกว่าอพยพแต่เจ้าหน้าที่ แต่เครื่องมือย้ายมาอยู่แถวบางเขน บ้างก็ว่าอยู่ทุ่งมหาเมฆ แต่สรุปว่า เอาแค่ป้ายชื่อค่ายรามสูรออก ขนคนทำงานประเภทเสมียนกลับอเมริกา ส่วนคนไทยก็ปลดออก แล้วย้ายเรดาห์ทั้งหมดมาอยู่ในที่กรุงเทพแทน! แหม! ดักฟังได้ชัดเจนกว่า นายกรัฐมนตรีคนไหนของไทยจะกระแอม จะคุยกับอาเฮีย หรือ จะเรียก 20 เรียก 30 กับมันได้ยินกันหมด แล้วมันจะไม่อยู่ในมือเขาหรือ แล้วไอ้เรื่อง Philco Project นั้นมันจะเกี่ยวข้องกับบ้านเชียงหรือเปล่า มันน่าอัศจรรย์เกินบรรยาย กรมศิลปากรทั้งกรมค้นหามาไม่รู้กี่สิบปีไม่เจอซักกะหม้อ แหม พอหนุ่มน้อยอายุ 15-16 ปี เดินเล่นชมนกชมไม้ (ไปตามที่เครื่องมือของ Philco Project มันทำทางไว้ ! ?) ดันเจอหม้อไหอายุ 5000 ปี เต็มไปหมด เด็กอะไรมันเก่งขนาดนั้น แล้วมันจะเกี่ยวกับน้ำมัน ที่ภายหลังต่างชาติ โดยเฉพาะ Chevron เขาสำรวจเจอน้ำมัน ได้สัมปทานช่วงปี 1970 ต้นๆ เพียบเลยหรือเปล่า
    นี่ยังไม่นับรวมแร่ธาตุและทองอีกเพียบ ที่สำรวจเจอ แต่ปิดปากกันเงียบรู้กันเฉพาะวงในสุดๆ เช่น โปแตส ซึ่งเป็นแร่สำคัญ เป็นสารต้ังต้นของอุตสาหกรรมเกือบทุกชนิด เป็นส่วนผสมของการทำระเบิดขนาดเล็กไปถึงขนาดปรมาณู มีมากอยู่แถวอีสาณเหนือนั้นแหละ ใครวิ่ง ใครได้สัมปทาน ก็ไปสืบกันดู และไอ้เจ้าโปแตสนี้ มีอยู่มากที่อาฟกานิสถาน นักล่าถึงยังเล่นรบอยู่แถวน้ัน ไม่เลิกเสียที ก็ลองคิดนอกกรอบกันดูบ้างแล้วกัน

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 13 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 13 นาย Kenneth จัดหลักสูตรปรับพื้นสนามล่า ให้การอบรมแก่เหล่าสมุนนักล่าอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นก็มีคนอื่นมารับหน้าที่ปรับพื้นสนามต่อ ตัวเขาย้ายกลับไปอยู่กระทรวงต่าง ประเทศ เดินแกว่งไปมาอีกรอบ จน ค.ศ. 1966 Pentagon มีงานพิเศษ Advanced Research Project Agency (ARPA) ต้องการได้ข้อมูลแบบละเอียดเหมือนทำสารานุกรม เกี่ยวกับพื้นที่แถวอีสานเหนือของไทย ที่อเมริกามาสร้างสนามบินไว้หลายแห่ง เพื่อให้เครื่องบินรบของอเมริกา บินไปถล่มเวียตมินท์ เวียตนาม หรือกัมพูชา ข้อมูลที่ Pentagon ต้องการอยู่แถวอีสาณตอนบน แถบ นครพนม มุกดาหาร และเส้นทางตามแม่น้ำโขง นั้นแหละ ซึ่งอเมริกาอ้างว่าต้องการข้อมูล เพิ่ม หัวหน้าทีม ชื่อ Wilfred Smith ถูกตามตัวมาจากอียิปต์ ( ! ? ) เพื่อมาคุมทีม ทางPentagon ขอให้นาย Kenneth มาด้วย พร้อมกับนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ ผู้ชำนาญด้านเกษตรกรรม และสภาพอากาศ นาย Smith ตามประวัติบอกว่าเกิดและโตที่เมือง จีน พ่อแม่เป็นมิชชั่น นารี (อีกแล้ว!) ต่อมาเป็นทหารอเมริกัน และล่าสุดสังกัดหน่วย OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้ชำนาญด้านระบอบคอมมิวนิสต์ ชนิดติดตามแบบวันต่อวัน ประธานาธิบดี Kennedy ประทับใจมาก ให้ไปจิกตัวกลับมาจากอียิปต์ เพื่อมาคุมงานนี้ แต่เพื่อไม่ให้สมันน้อยตกใจจับไต๋ได้ แทนที่จะมาในนาม ARPA เขาใช้ชื่อบริษัท Philco บังหน้า จึงเรียก Phico Project บริษัท Philco นี้ เป็นคู่สัญญากับกองทัพอเมริกา รับงานสร้างและติดตั้งเครื่องมือสื่อสาร ตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็กไปจนถึงสร้างสถานีส่งเรดาห์สัญญาณสื่อ สารและดาวเทียม เขามาทำอะไรมาสำรวจอะไร นาย Kenneth ไม่ได้โม้ให้ฟัง บอกว่ามาสำรวจอยู่กว่า 3 เดือน และเขาได้พบกับนายพจน์ สารสิน (อีกแล้ว ! ) ซึ่งตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีด้านพัฒนาสังคมของเมืองไทย ซึ่งอำนวยความสะดวกให้คณะสำรวจอย่างดี ก็น่าสนใจการสำรวจคร้ังนี้ หัวหน้าทีมชำนาญด้าน คอมมิวนิสต์ มาสำรวจพื้นที่บ้านเรา แถบที่พวกเขามาสร้างสนามบินไว้ แต่หอบเอานักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์มาด้วย จะว่ามาสำรวจเพื่อสร้างสนามบินเพิ่ม มันก็จะมากไปหน่อย จะต้ังสนามบินแฝดหรือไง หรือว่ามีอะไรพิเศษที่นักล่าสนใจรู้เค้ามา แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะรู้เรื่องกับเขาหรือเปล่า ท่านผู้อ่านนิทานจะพอจำกันได้ไหม เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง อันลือชื่อของไทยเรา ถูกค้นพบโดยนาย Stephen Young ลูกชายของฑูต Kenneth Young ประจำประเทศไทย เมื่อปี ค.ศ. 1966 ตอนนั้นนาย Stephen เพิ่งอายุประมาณ 15 – 16 ปี ยังเรียนหนังสืออยู่มัธยม มันเหลือเชื่อน่าสงสัยขนาดไหน ลองไปหาอ่านกันดู นาย Stephen Young ล่าสุดดำรงตำแหน่ง Global Exclusive Director ของ Caux Round Table และหวังว่ายังคงไม่ลืมค่ายรามสูร (ถ้าจำไม่ได้ ช่วยกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอยนะครับ) ที่นักล่าสร้างไว้ที่อุดร ใหญ่ชนิดมีสนามกอล์ฟและสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิก มีพนักงาน 2,000 คน เอาไว้ดักฟังสัญญาณต่างๆ ได้ถึงดาวอังคาร เมื่อสงครามเวียตนามเลิก อเมริกาบอกปิดค่ายรามสูรอพยพกลับบ้าน แต่ข่าววงในบอกว่าอพยพแต่เจ้าหน้าที่ แต่เครื่องมือย้ายมาอยู่แถวบางเขน บ้างก็ว่าอยู่ทุ่งมหาเมฆ แต่สรุปว่า เอาแค่ป้ายชื่อค่ายรามสูรออก ขนคนทำงานประเภทเสมียนกลับอเมริกา ส่วนคนไทยก็ปลดออก แล้วย้ายเรดาห์ทั้งหมดมาอยู่ในที่กรุงเทพแทน! แหม! ดักฟังได้ชัดเจนกว่า นายกรัฐมนตรีคนไหนของไทยจะกระแอม จะคุยกับอาเฮีย หรือ จะเรียก 20 เรียก 30 กับมันได้ยินกันหมด แล้วมันจะไม่อยู่ในมือเขาหรือ แล้วไอ้เรื่อง Philco Project นั้นมันจะเกี่ยวข้องกับบ้านเชียงหรือเปล่า มันน่าอัศจรรย์เกินบรรยาย กรมศิลปากรทั้งกรมค้นหามาไม่รู้กี่สิบปีไม่เจอซักกะหม้อ แหม พอหนุ่มน้อยอายุ 15-16 ปี เดินเล่นชมนกชมไม้ (ไปตามที่เครื่องมือของ Philco Project มันทำทางไว้ ! ?) ดันเจอหม้อไหอายุ 5000 ปี เต็มไปหมด เด็กอะไรมันเก่งขนาดนั้น แล้วมันจะเกี่ยวกับน้ำมัน ที่ภายหลังต่างชาติ โดยเฉพาะ Chevron เขาสำรวจเจอน้ำมัน ได้สัมปทานช่วงปี 1970 ต้นๆ เพียบเลยหรือเปล่า นี่ยังไม่นับรวมแร่ธาตุและทองอีกเพียบ ที่สำรวจเจอ แต่ปิดปากกันเงียบรู้กันเฉพาะวงในสุดๆ เช่น โปแตส ซึ่งเป็นแร่สำคัญ เป็นสารต้ังต้นของอุตสาหกรรมเกือบทุกชนิด เป็นส่วนผสมของการทำระเบิดขนาดเล็กไปถึงขนาดปรมาณู มีมากอยู่แถวอีสาณเหนือนั้นแหละ ใครวิ่ง ใครได้สัมปทาน ก็ไปสืบกันดู และไอ้เจ้าโปแตสนี้ มีอยู่มากที่อาฟกานิสถาน นักล่าถึงยังเล่นรบอยู่แถวน้ัน ไม่เลิกเสียที ก็ลองคิดนอกกรอบกันดูบ้างแล้วกัน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 341 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 12
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 12
    ประมาณปี พ.ศ.1960 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลEisenhower นาย Kenneth ขออนุญาตกระทรวงต่างประเทศอเม ริกา เดินทางมาสำรวจเมืองไทย และแถบอินโดจีนอีกรอบ (!!!) ตอนนั้น นาย Alexis Johnson เป็นฑูต และ นาย Leonard Unger เป็นผู้ช่วยฑูต ทั้ง 2 คนเป็นคนฉลาดรู้จักเมืองไทยอย่างดี เข้ ากับทหารไทยได้แบบคอหอยกับลูกกระเดือก โดยเฉพาะนาย Unger เมื่อมาถึงปรากฏว่าจอมพลสฤษดิ์ส่งนายทหารคนสนิทมารับนาย Kenneth ถึงสนามบิน จอมพลสฤษดิ์ถามเขาว่า มาทำไม นาย Kenneth บอกจะมาดูสถานการณ์ในลาวสักหน่อย หลังจากนั้นจะไปกัมพูชา ไซ่ง่อนและพม่า นาย Kenneth บอกว่า จริงๆจะมาตรวจการบ้านด้วยว่าเงินช่วยเหลือทางทหาร Military Assistance Program (MAP) ที่อเมริกาให้แต่ละประเทศ ได้ผลมากน้อยแค่ไหน จอมพลสฤษดิ์บอกว่ากลับมาแล้ว มาเล่าให้ฟังกันด้วย ปรากฎว่าส่วนใหญ่ได้ผล ยกเว้นแต่ลาว ซึ่งอเมริกาให้เงินช่วยเหลือมากกว่าไทยเสียอีก แต่อเมริกาทำท่าจะเสียลาวให้แก่คอมมิวนิสต์ (และในที่สุดก็เสียจริงๆ ! ) โดยอาจจะมีการปฏิวัติโดยลาวแดงเร็วๆนี้ ขากลับ นาย Kenneth ก็รายงานเรื่องลาวอาจมีการปฏิวัติให้จอมพลสฤษดิ์ทราบ แล้วก็เดินทางต่อลงมาที่สิงค์โปร์
    ที่สิงคโปร์ เขาได้พบกับเศรษฐีสิงคโปร์คนหนึ่งชื่อ Ko Geng Hsui ซึ่งเป็นกระเป๋าใหญ่ให้แก่นาย Lee Kwan Yew และภายหลังได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม นาย Ko ต้องการให้นาย Kenneth ช่วยตั้งสถาบันเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ให้ ภายหลังนาย Kenneth ได้ลางานจากรัฐบาลอเมริกัน 1 ปี เพื่อมาจัดตั้งสถาบันนี้ให้สิงคโปร์ โดยเอาชาวยิวชื่อ Harry Benda จากมหาวิทยาลัย Yale มาช่วย สิงคโปร์จึงเป็นประเทศแรกในแถบนี้ ที่มีสถาบันการศึกษาลงลึกอย่างจริงจังเกี่ยวกับเอเซียอาคเณย์ ตกลงสิงคโปร์ไม่ได้ลอกเลียนแค่งานสงกรานต์ไปจากบ้านเรา แต่ลอกหลายอย่างรวมทั้งวิชาความรู้เกี่ยวกับภูมิภาคนี้ สิงคโปร์ประเทศที่ไม่มีรากไม่มีเหง้า ไม่มีวัฒนธรรม ประเพณีของตนเอง แต่มีคนไทยหลายคนปลาบปลื้มกับความเจริญของสิงคโปร์ จนถึงขนาดอยากให้เมืองไทยเป็นเหมือนสิงคโปร์ เศร้าครับ!
    เมื่อนาย Kenneth กลับมาถึงวอซิงตัน การเลือกตั้งประธานาธิบดีกำลังเข้มข้น แล้วนาย Kennedy ก็ชนะการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันลาวก็อาการทรุดตามที่นาย Kenneth คาด รัฐบาล Kennedy เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ ยังจับต้นไม่ชนปลาย นาย Mc Geroge Bundy จอมแสบที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ของประธานาธิบดี Kennedy ถึงจะแสนรู้อย่างไร มาใหม่ๆก็มึนรับประทาน แนะนำสั่งการอะไรไม่ถูก ได้แต่เรียกให้นาย Kenneth ให้มาสรุปสถานการณ์ในลาวให้รัฐบาลฟังก่อนตัดสินใจ ทุกอย่างอลเวงไปหมด และนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ ประธานธิบดี Kennedy ฉุนขาด ประกาศว่าหน่วยงาน National Security Council ทำงานไม่ได้ผล (คงไม่ให้ราคานาย Kenneth สักเท่าไหร่) ถ้าเขายุบหน่วยงานนี้ได้เขาจะยุบแล้ว เพียงแต่ต้องไปขออนุมัติจากสภาสูง ต้องออกกฏหมาย ฯลฯ ดังนั้นเขาจึงสั่ง “แขวน” พนักงานทุกคนในหน่วยงานรวมทั้งนาย Kenneth ด้วย และได้ยกเครื่องการทำงานสภาความมั่นคงเสียใหม่
    หลังจากโดนแขวนอยู่หลายเดือน นาย Kenneth ก็เดินแกว่งไปตามหน่วยงานต่างๆ เพื่อหาที่ลง เพราะแม้จะมีเงินเดือนกิน แต่ไม่มีเก้าอี้นั่งชูคอ แบบรัฐบาลก่อนๆ มันก็ทำให้เขาเสียรังวัดไปพอสมควร จะโม้อะไร โอ้อวดอะไร อย่างเมื่อก่อนก็ไม่ถนัดปาก ก็คนโดนแขวนอยู่มันจะให้โม้อะไร ไหว จนวันหนึ่ง นาย Walt Rostow ซึ่งเป็นผู้ช่วยของนาย McGeorge Bundy และรู้จักกับนาย Kenneth ตั้งแต่สมัยทำงานอยู่ OSS เป็นลูกน้องนาย Donovan มาด้วยกัน ก็ติดต่อนาย Kenneth บอกว่ามีงานให้ทำแล้ว ประธานาธิบดี Kennedy เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของอเมริกาไม่ว่าทหาร หรือพลเรือน เมื่อจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เมืองใด ควรรู้เรื่องเมืองนั้นอย่างดี ไม่ใช่ไปแบบยืนหน้าเซ่อ ร้องเพลงรำวงวันคริสตมาสให้ชาวบ้านฟัง (สงสัยคุณนายเคนนี่ฑูตอเมริกาคนปัจจุบัน คงไม่เคยได้รับการอบรมอะไรเลยก่อนมาประจำเมืองไทย คุณนายถึงได้ทำตัวทุเรศปานนั้น) จึงมอบหมายให้นาย Kenneth เป็นผู้จัดการหลักสูตรอบรม เกี่ยวกับการต่อต้านเหตุการณ์ไม่สงบ (Counter Insurgency) ชื่อเต็มก็คือการต่อต้านความไม่สงบ อันเกิดจากภัยคอมมิวนิสต์ในโลกที่ 3 นั่นแหละ เป็นหลักสูตรที่จัดรวมให้สมุนนักล่าไม่ว่าจะอยู่ในเครื่องแบบใด นาย Kenneth บอกไม่มีปัญหาขอให้จัดงบแบบไม่อั้นมาแล้วกัน นักล่ากำลังฟิต เพราะฉะนั้น เท่าไรเท่ากัน จัดไปเลยย
    นาย Kenneth สารภาพว่า แรกๆ เขาก็ยังงงว่าจะทำได้อย่างไร เขาไม่ใช่ทหาร ไม่รู้เรื่องการรบ แต่เขารู้จักประเทศต่างๆ ที่คอมมิวนิสต์กำลังคุกคาม เขาจึงนำประสพการณ์ ข้อมูลที่เขาได้จากการที่เขาเคยอยู่ในเมืองไทยและการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ และเจอผู้คนในประเทศเหล่านั้น ไม่ว่าจะระดับรัฐบาล ผู้นำประเทศ หรือชาวบ้านทั่วไป บวกกับข้อมูลจากหนังสืออีกเกือบ 2,000 เล่ม ที่เขาสะสมไว้ เอามาผสมปนเปแบบตอแหล ทำเป็นหลักสูตรสำหรับการอบรมประมาณ 2 เดือน เป็นการติวเข้มสมุนนักล่า
    ปรากฎว่าการตอแหลได้ผลดีเกินคาด เจ้านายสั่งให้เพิ่มบริเวณพื้นที่การอบรม จากครอบคลุมเฉพาะแถบเอเซีย เพิ่มลาตินอเมริกา อาฟริกา และตะวันออกกลางเข้าไปด้วย นี่มันกำลังทำสนามนักล่าขนาดใหญ่ครอบคลุมโลกนี่หว่า นักล่าหน้าใหม่มาแรงจริงๆ แต่นาย Kenneth มีภูมิมีพื้นแค่แถบอินโดจีน แต่คนพันธ์นาย Kenneth ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เสียเหลี่ยมมิชชันนารีจากเมืองตรังหมด โม้เอาไว้เยอะ เขาบอกไม่มีปัญหา เขาไปกว้านเอาอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญตามที่เจ้านายต้องการ มาช่วยกันสร้างหลักสูตรปรับพื้น สนามนักล่าจนสำเร็จ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกไม่ถึง 15 ปี อเมริกานักล่าหน้าใหม่ ก็พร้อมที่ลงสนามล่า ที่ได้ส่งสมุนไปปรับพื้นทำสนาม เตรียมไว้ตามแผน โดยการอนุเคราะห์ของผู้ถูกล่าเองเสียหลายส่วน! น่าเศร้าใจจนต้องหยุดพักเขียนไปหลายวัน

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 12 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 12 ประมาณปี พ.ศ.1960 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลEisenhower นาย Kenneth ขออนุญาตกระทรวงต่างประเทศอเม ริกา เดินทางมาสำรวจเมืองไทย และแถบอินโดจีนอีกรอบ (!!!) ตอนนั้น นาย Alexis Johnson เป็นฑูต และ นาย Leonard Unger เป็นผู้ช่วยฑูต ทั้ง 2 คนเป็นคนฉลาดรู้จักเมืองไทยอย่างดี เข้ ากับทหารไทยได้แบบคอหอยกับลูกกระเดือก โดยเฉพาะนาย Unger เมื่อมาถึงปรากฏว่าจอมพลสฤษดิ์ส่งนายทหารคนสนิทมารับนาย Kenneth ถึงสนามบิน จอมพลสฤษดิ์ถามเขาว่า มาทำไม นาย Kenneth บอกจะมาดูสถานการณ์ในลาวสักหน่อย หลังจากนั้นจะไปกัมพูชา ไซ่ง่อนและพม่า นาย Kenneth บอกว่า จริงๆจะมาตรวจการบ้านด้วยว่าเงินช่วยเหลือทางทหาร Military Assistance Program (MAP) ที่อเมริกาให้แต่ละประเทศ ได้ผลมากน้อยแค่ไหน จอมพลสฤษดิ์บอกว่ากลับมาแล้ว มาเล่าให้ฟังกันด้วย ปรากฎว่าส่วนใหญ่ได้ผล ยกเว้นแต่ลาว ซึ่งอเมริกาให้เงินช่วยเหลือมากกว่าไทยเสียอีก แต่อเมริกาทำท่าจะเสียลาวให้แก่คอมมิวนิสต์ (และในที่สุดก็เสียจริงๆ ! ) โดยอาจจะมีการปฏิวัติโดยลาวแดงเร็วๆนี้ ขากลับ นาย Kenneth ก็รายงานเรื่องลาวอาจมีการปฏิวัติให้จอมพลสฤษดิ์ทราบ แล้วก็เดินทางต่อลงมาที่สิงค์โปร์ ที่สิงคโปร์ เขาได้พบกับเศรษฐีสิงคโปร์คนหนึ่งชื่อ Ko Geng Hsui ซึ่งเป็นกระเป๋าใหญ่ให้แก่นาย Lee Kwan Yew และภายหลังได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม นาย Ko ต้องการให้นาย Kenneth ช่วยตั้งสถาบันเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ให้ ภายหลังนาย Kenneth ได้ลางานจากรัฐบาลอเมริกัน 1 ปี เพื่อมาจัดตั้งสถาบันนี้ให้สิงคโปร์ โดยเอาชาวยิวชื่อ Harry Benda จากมหาวิทยาลัย Yale มาช่วย สิงคโปร์จึงเป็นประเทศแรกในแถบนี้ ที่มีสถาบันการศึกษาลงลึกอย่างจริงจังเกี่ยวกับเอเซียอาคเณย์ ตกลงสิงคโปร์ไม่ได้ลอกเลียนแค่งานสงกรานต์ไปจากบ้านเรา แต่ลอกหลายอย่างรวมทั้งวิชาความรู้เกี่ยวกับภูมิภาคนี้ สิงคโปร์ประเทศที่ไม่มีรากไม่มีเหง้า ไม่มีวัฒนธรรม ประเพณีของตนเอง แต่มีคนไทยหลายคนปลาบปลื้มกับความเจริญของสิงคโปร์ จนถึงขนาดอยากให้เมืองไทยเป็นเหมือนสิงคโปร์ เศร้าครับ! เมื่อนาย Kenneth กลับมาถึงวอซิงตัน การเลือกตั้งประธานาธิบดีกำลังเข้มข้น แล้วนาย Kennedy ก็ชนะการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันลาวก็อาการทรุดตามที่นาย Kenneth คาด รัฐบาล Kennedy เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ ยังจับต้นไม่ชนปลาย นาย Mc Geroge Bundy จอมแสบที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ของประธานาธิบดี Kennedy ถึงจะแสนรู้อย่างไร มาใหม่ๆก็มึนรับประทาน แนะนำสั่งการอะไรไม่ถูก ได้แต่เรียกให้นาย Kenneth ให้มาสรุปสถานการณ์ในลาวให้รัฐบาลฟังก่อนตัดสินใจ ทุกอย่างอลเวงไปหมด และนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ ประธานธิบดี Kennedy ฉุนขาด ประกาศว่าหน่วยงาน National Security Council ทำงานไม่ได้ผล (คงไม่ให้ราคานาย Kenneth สักเท่าไหร่) ถ้าเขายุบหน่วยงานนี้ได้เขาจะยุบแล้ว เพียงแต่ต้องไปขออนุมัติจากสภาสูง ต้องออกกฏหมาย ฯลฯ ดังนั้นเขาจึงสั่ง “แขวน” พนักงานทุกคนในหน่วยงานรวมทั้งนาย Kenneth ด้วย และได้ยกเครื่องการทำงานสภาความมั่นคงเสียใหม่ หลังจากโดนแขวนอยู่หลายเดือน นาย Kenneth ก็เดินแกว่งไปตามหน่วยงานต่างๆ เพื่อหาที่ลง เพราะแม้จะมีเงินเดือนกิน แต่ไม่มีเก้าอี้นั่งชูคอ แบบรัฐบาลก่อนๆ มันก็ทำให้เขาเสียรังวัดไปพอสมควร จะโม้อะไร โอ้อวดอะไร อย่างเมื่อก่อนก็ไม่ถนัดปาก ก็คนโดนแขวนอยู่มันจะให้โม้อะไร ไหว จนวันหนึ่ง นาย Walt Rostow ซึ่งเป็นผู้ช่วยของนาย McGeorge Bundy และรู้จักกับนาย Kenneth ตั้งแต่สมัยทำงานอยู่ OSS เป็นลูกน้องนาย Donovan มาด้วยกัน ก็ติดต่อนาย Kenneth บอกว่ามีงานให้ทำแล้ว ประธานาธิบดี Kennedy เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของอเมริกาไม่ว่าทหาร หรือพลเรือน เมื่อจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เมืองใด ควรรู้เรื่องเมืองนั้นอย่างดี ไม่ใช่ไปแบบยืนหน้าเซ่อ ร้องเพลงรำวงวันคริสตมาสให้ชาวบ้านฟัง (สงสัยคุณนายเคนนี่ฑูตอเมริกาคนปัจจุบัน คงไม่เคยได้รับการอบรมอะไรเลยก่อนมาประจำเมืองไทย คุณนายถึงได้ทำตัวทุเรศปานนั้น) จึงมอบหมายให้นาย Kenneth เป็นผู้จัดการหลักสูตรอบรม เกี่ยวกับการต่อต้านเหตุการณ์ไม่สงบ (Counter Insurgency) ชื่อเต็มก็คือการต่อต้านความไม่สงบ อันเกิดจากภัยคอมมิวนิสต์ในโลกที่ 3 นั่นแหละ เป็นหลักสูตรที่จัดรวมให้สมุนนักล่าไม่ว่าจะอยู่ในเครื่องแบบใด นาย Kenneth บอกไม่มีปัญหาขอให้จัดงบแบบไม่อั้นมาแล้วกัน นักล่ากำลังฟิต เพราะฉะนั้น เท่าไรเท่ากัน จัดไปเลยย นาย Kenneth สารภาพว่า แรกๆ เขาก็ยังงงว่าจะทำได้อย่างไร เขาไม่ใช่ทหาร ไม่รู้เรื่องการรบ แต่เขารู้จักประเทศต่างๆ ที่คอมมิวนิสต์กำลังคุกคาม เขาจึงนำประสพการณ์ ข้อมูลที่เขาได้จากการที่เขาเคยอยู่ในเมืองไทยและการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ และเจอผู้คนในประเทศเหล่านั้น ไม่ว่าจะระดับรัฐบาล ผู้นำประเทศ หรือชาวบ้านทั่วไป บวกกับข้อมูลจากหนังสืออีกเกือบ 2,000 เล่ม ที่เขาสะสมไว้ เอามาผสมปนเปแบบตอแหล ทำเป็นหลักสูตรสำหรับการอบรมประมาณ 2 เดือน เป็นการติวเข้มสมุนนักล่า ปรากฎว่าการตอแหลได้ผลดีเกินคาด เจ้านายสั่งให้เพิ่มบริเวณพื้นที่การอบรม จากครอบคลุมเฉพาะแถบเอเซีย เพิ่มลาตินอเมริกา อาฟริกา และตะวันออกกลางเข้าไปด้วย นี่มันกำลังทำสนามนักล่าขนาดใหญ่ครอบคลุมโลกนี่หว่า นักล่าหน้าใหม่มาแรงจริงๆ แต่นาย Kenneth มีภูมิมีพื้นแค่แถบอินโดจีน แต่คนพันธ์นาย Kenneth ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เสียเหลี่ยมมิชชันนารีจากเมืองตรังหมด โม้เอาไว้เยอะ เขาบอกไม่มีปัญหา เขาไปกว้านเอาอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญตามที่เจ้านายต้องการ มาช่วยกันสร้างหลักสูตรปรับพื้น สนามนักล่าจนสำเร็จ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกไม่ถึง 15 ปี อเมริกานักล่าหน้าใหม่ ก็พร้อมที่ลงสนามล่า ที่ได้ส่งสมุนไปปรับพื้นทำสนาม เตรียมไว้ตามแผน โดยการอนุเคราะห์ของผู้ถูกล่าเองเสียหลายส่วน! น่าเศร้าใจจนต้องหยุดพักเขียนไปหลายวัน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 449 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 9
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 9
    นาย Kenneth ถูกกระทรวงต่างประเทศ ส่งกลับมาทำการสำรวจเมืองไทยรอบใหญ่อีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1950 นาย Kenneth เล่าว่าเป็นปีที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงทำพิธีอภิเศกสมรสกับสมเด็จพระราชินี และทำพิธีขึ้นครองราชย์ ทางอเมริกาเตรียมของขวัญที่จะถวายสำหรับพระราชพิธีอภิเศก เป็นแก้วเป่าของ Steuben ซึ่งมีชื่อมาก แต่นาย Kenneth ในฐานะเคยอยู่เมืองไทยมานาน และอ้างว่าเคยรู้จักและเคยพบพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง ก็รีบเสนอหน้าแนะนำไปยังประธานาธิบดี ให้รัฐบาลอเมริกันจัดการเปลี่ยนของขวัญ เขาบอกว่าในหลวงทรงเป็นนักดนตรีแจ๊ส และโปรดฟังเพลง ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ก็เริ่มมาจากดนตรี ดังนั้นน่าจะถวายของขวัญเป็นอะไรที่เกี่ยวกับดนตรี
    ในที่สุดนาย Kenneth ก็จัดการให้รัฐบาลอเมริกันถวายเครื่องเล่นแผ่นเสียง รวมทั้งแผ่นเสียงของ Gershwin ครบชุด เขาอ้างว่าทรงโปรดมาก และเป็นของขวัญชิ้นเดียวที่ทรงนำไปยังวังไกลกังวล หลังจากทรงทำพิธีอภิเศกสมรสแล้ว (ไม่รู้นาย Kenneth รู้ได้อย่างไร!? แต่อย่างน้อย การแนะนำเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า การอยู่ใกล้ เข้ามาคลุกคลีในประเทศ ทำให้นักล่ารู้จักหลายอย่างเกี่ยวสมันน้อย ดีกว่ามองจากทางไกลหรืออ่านแต่รายงาน)
    ในการเดินทางมาเมืองไทยครั้งนี้ นาย Kenneth ได้ถือโอกาสจัดการตัวเองให้ได้พบกับจอมพลสฤษดิ์ เขาบอกว่าถ้าอยากรู้เรื่องเมืองไทยต้องอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย และต้องรู้จักอ่าน “ระหว่างบันทัด” ให้เป็น จึงจะรู้ว่าคนไทยพูดเรื่องอะไรกันบ้าง อะไรเป็นข่าวในตอนนั้น ด้วยวิธีนี้ ทำให้เขารู้เรื่องเกี่ยวกับจอมพลสฤษดิ์ในหลายมุม ตอนนั้นจอมพลสฤษดิ์ยังเป็นเพียงนายทหารระดับนายพล คุมกองทัพภาค 1 ในกรุงเทพฯ แต่เขาเห็นว่าแล้วว่าจะมีอนาคตไกล เขาจึงขอให้ฑูต Stanton ช่วยนัดให้เขาพบกับจอมพลสฤษดิ์ ฑูตบอกว่าไม่ได้หรอก ต้องผ่านฑูตทหารอีกที แล้วฑูตทหารก็จะถามว่าไปพบทำไม นาย Kenneth จึงบอกว่าไม่เป็นไร เขานัดเองก็ได้ แล้วเขาก็ให้เพื่อนคนไทยนัดให้
    เพื่อนไปแจ้งสฤษดิ์ สฤษดิ์ถามกลับว่าจะมาพบทำไม เขาไม่พูดภาษาอังกฤษ (I don’t speak English) นาย Kenneth ให้เพื่อนตอบกลับไปว่า เขาก็ไม่พูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน (I don’t speak English either !) คำตอบนี้ทำให้สฤษดิ์ขำ และสนใจนาย Kenneth ขึ้นมา จึงยอมรับนัด ปรากฎว่าเมื่อทั้ง 2 พบกันก็ถูกชะตากัน และคุยกันเป็นภาษาไทย สฤษดิ์ถามว่านาย Kenneth สนใจอะไรเขา นาย Kenneth บอกว่า เขาเชื่อว่าวันหนึ่งสฤษดิ์จะเป็นบุคคลสำคัญมากในวงการเมืองของประเทศไทย สฤษดิ์ถามว่า ฉันจะต้องไปรบกับใครหรือ นาย Kenneth บอกไม่ใช่รบแบบทหาร แต่รบในทางการเมืองละก้อใช่ สฤษดิ์ถามว่าคุณรู้ได้ยังไงนาย Kenneth บอกเขาอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ซึ่งมีบทความมากมายและถ้ารู้จักวิธีอ่าน ก็จะได้ข้อมูลอย่างนึกไม่ถึง สฤษดิ์ตอบว่าใช่ ใช่แล้ว ! หลังจากนั้นทั้ง 2 คน ก็กลายเป็นเพื่อนกัน และเป็นเพื่อนชนิดที่ไว้ใจกัน
    หลังจากพบกับสฤษดิ์ นาย Kenneth เดินทางไปพบกับอดีตจักรพรรดิ์เบาได๋ (Baodai) ของเวียตนาม ซึ่งหนีลุงโฮมาอยู่ทางใต้ของเวียตนาม เบาได๋เชื่อว่าวันหนึ่งฝรั่งเศสจะคืนเอกราชให้เวียตนาม เบาได๋ขอให้อเมริกาช่วยจัดการให้ฝรั่งเศสออกไปจากเวียตนาม และช่วยให้เขากลับมามีอำนาจในเวียตนามต่อไป แล้วเขาจะให้ความร่วมมืออย่างดีกับอเมริกา นาย Kenneth เห็นว่า เบาได๋เป็นคนอ่อนแอ และไม่น่าที่จะรักษาเวียตนามไว้ได้
    จากเวียตนามเขาเดินทางต่อไปพบเจ้านโรดมสีหนุที่เขมร ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ได้อิสรภาพจากฝรั่งเศส ฝรั่งเศสตั้งให้เจ้านโรดมเป็นกษัตริย์ ตั้งแต่ยังเด็กโดยหวังจะให้เป็น หุ่นชักของฝรั่งเศส นาย Kenneth บอก เจ้าสีหนุเป็นคนฉลาด เจ้าเล่ห์ ลื่นไหล ลดเลี้ยวเก่งมาก เขาคิดว่าฝรั่งเศส (รวมทั้งอเมริกาด้วย) คงจะชักหุ่นชื่อสีหนุนี้ยาก
    ต่อจากเขมร นาย Kenneth ก็ไปลาว เขาไปพบรัฐบาลลาวที่เวียงจันทร์ หลังจากนั้นก็ไปพบกษัตริย์ลาวที่หลวงพระบาง ตอนแรกเจ้าลาวก็ทำตัวเกร็งกับนาย Kenneth ฝ่ายหนึ่งพูดฝรั่งเศษ อีกฝ่ายพูดอังกฤษกันจนเมื่อยมือ จนนาย Kenneth พูดภาษาไทยด้วย เจ้าลาวก็ดีใจ ได้พูดลาวโดยนาย Kenneth ก็อ้างว่าเข้าใจ หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็สื่อสารกันได้ (หมายเหตุ คนเล่านิทาน : กษัตริย์ลาวที่นาย Kenneth ไปพบน่าจะเป็นเจ้าสุวรรณภูมา เพราะนาย Kenneth บอกว่าภายหลัง กษัตริย์ลาวองค์นี้ถูกพวกคอมมิวนิสต์จับได้และปฏิบัติต่อพระองค์แย่มาก ในที่สุดก็สวรรคตในค่ายกักกันของคอมมิวนิสต์)
    จากลาว นาย Kenneth กลับมาเมืองไทยและเดินทางลงใต้ไปสิงค์โปร์และกัวลาลัมเปอร์ เสร็จแล้วก็ข้ามไปยังจาร์กาต้า เพื่อพบนายพลซูการ์โน เขาเจอลูกเล่นสาระพัดจากนักการเมือง และทหารที่จาร์กาต้า รวมทั้งถูกลองดี เช่น เครื่องบินที่เขาจะต้องใช้บินกลับมาสิงค์โปร์ ถูกดูดเอาน้ำมันออกจนเกลี้ยงถัง นาย Kenneth “รู้จัก” คนอินโดนีเซียจากประสบการณ์ของจริง !

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 9 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 9 นาย Kenneth ถูกกระทรวงต่างประเทศ ส่งกลับมาทำการสำรวจเมืองไทยรอบใหญ่อีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1950 นาย Kenneth เล่าว่าเป็นปีที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงทำพิธีอภิเศกสมรสกับสมเด็จพระราชินี และทำพิธีขึ้นครองราชย์ ทางอเมริกาเตรียมของขวัญที่จะถวายสำหรับพระราชพิธีอภิเศก เป็นแก้วเป่าของ Steuben ซึ่งมีชื่อมาก แต่นาย Kenneth ในฐานะเคยอยู่เมืองไทยมานาน และอ้างว่าเคยรู้จักและเคยพบพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง ก็รีบเสนอหน้าแนะนำไปยังประธานาธิบดี ให้รัฐบาลอเมริกันจัดการเปลี่ยนของขวัญ เขาบอกว่าในหลวงทรงเป็นนักดนตรีแจ๊ส และโปรดฟังเพลง ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ก็เริ่มมาจากดนตรี ดังนั้นน่าจะถวายของขวัญเป็นอะไรที่เกี่ยวกับดนตรี ในที่สุดนาย Kenneth ก็จัดการให้รัฐบาลอเมริกันถวายเครื่องเล่นแผ่นเสียง รวมทั้งแผ่นเสียงของ Gershwin ครบชุด เขาอ้างว่าทรงโปรดมาก และเป็นของขวัญชิ้นเดียวที่ทรงนำไปยังวังไกลกังวล หลังจากทรงทำพิธีอภิเศกสมรสแล้ว (ไม่รู้นาย Kenneth รู้ได้อย่างไร!? แต่อย่างน้อย การแนะนำเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า การอยู่ใกล้ เข้ามาคลุกคลีในประเทศ ทำให้นักล่ารู้จักหลายอย่างเกี่ยวสมันน้อย ดีกว่ามองจากทางไกลหรืออ่านแต่รายงาน) ในการเดินทางมาเมืองไทยครั้งนี้ นาย Kenneth ได้ถือโอกาสจัดการตัวเองให้ได้พบกับจอมพลสฤษดิ์ เขาบอกว่าถ้าอยากรู้เรื่องเมืองไทยต้องอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย และต้องรู้จักอ่าน “ระหว่างบันทัด” ให้เป็น จึงจะรู้ว่าคนไทยพูดเรื่องอะไรกันบ้าง อะไรเป็นข่าวในตอนนั้น ด้วยวิธีนี้ ทำให้เขารู้เรื่องเกี่ยวกับจอมพลสฤษดิ์ในหลายมุม ตอนนั้นจอมพลสฤษดิ์ยังเป็นเพียงนายทหารระดับนายพล คุมกองทัพภาค 1 ในกรุงเทพฯ แต่เขาเห็นว่าแล้วว่าจะมีอนาคตไกล เขาจึงขอให้ฑูต Stanton ช่วยนัดให้เขาพบกับจอมพลสฤษดิ์ ฑูตบอกว่าไม่ได้หรอก ต้องผ่านฑูตทหารอีกที แล้วฑูตทหารก็จะถามว่าไปพบทำไม นาย Kenneth จึงบอกว่าไม่เป็นไร เขานัดเองก็ได้ แล้วเขาก็ให้เพื่อนคนไทยนัดให้ เพื่อนไปแจ้งสฤษดิ์ สฤษดิ์ถามกลับว่าจะมาพบทำไม เขาไม่พูดภาษาอังกฤษ (I don’t speak English) นาย Kenneth ให้เพื่อนตอบกลับไปว่า เขาก็ไม่พูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน (I don’t speak English either !) คำตอบนี้ทำให้สฤษดิ์ขำ และสนใจนาย Kenneth ขึ้นมา จึงยอมรับนัด ปรากฎว่าเมื่อทั้ง 2 พบกันก็ถูกชะตากัน และคุยกันเป็นภาษาไทย สฤษดิ์ถามว่านาย Kenneth สนใจอะไรเขา นาย Kenneth บอกว่า เขาเชื่อว่าวันหนึ่งสฤษดิ์จะเป็นบุคคลสำคัญมากในวงการเมืองของประเทศไทย สฤษดิ์ถามว่า ฉันจะต้องไปรบกับใครหรือ นาย Kenneth บอกไม่ใช่รบแบบทหาร แต่รบในทางการเมืองละก้อใช่ สฤษดิ์ถามว่าคุณรู้ได้ยังไงนาย Kenneth บอกเขาอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ซึ่งมีบทความมากมายและถ้ารู้จักวิธีอ่าน ก็จะได้ข้อมูลอย่างนึกไม่ถึง สฤษดิ์ตอบว่าใช่ ใช่แล้ว ! หลังจากนั้นทั้ง 2 คน ก็กลายเป็นเพื่อนกัน และเป็นเพื่อนชนิดที่ไว้ใจกัน หลังจากพบกับสฤษดิ์ นาย Kenneth เดินทางไปพบกับอดีตจักรพรรดิ์เบาได๋ (Baodai) ของเวียตนาม ซึ่งหนีลุงโฮมาอยู่ทางใต้ของเวียตนาม เบาได๋เชื่อว่าวันหนึ่งฝรั่งเศสจะคืนเอกราชให้เวียตนาม เบาได๋ขอให้อเมริกาช่วยจัดการให้ฝรั่งเศสออกไปจากเวียตนาม และช่วยให้เขากลับมามีอำนาจในเวียตนามต่อไป แล้วเขาจะให้ความร่วมมืออย่างดีกับอเมริกา นาย Kenneth เห็นว่า เบาได๋เป็นคนอ่อนแอ และไม่น่าที่จะรักษาเวียตนามไว้ได้ จากเวียตนามเขาเดินทางต่อไปพบเจ้านโรดมสีหนุที่เขมร ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ได้อิสรภาพจากฝรั่งเศส ฝรั่งเศสตั้งให้เจ้านโรดมเป็นกษัตริย์ ตั้งแต่ยังเด็กโดยหวังจะให้เป็น หุ่นชักของฝรั่งเศส นาย Kenneth บอก เจ้าสีหนุเป็นคนฉลาด เจ้าเล่ห์ ลื่นไหล ลดเลี้ยวเก่งมาก เขาคิดว่าฝรั่งเศส (รวมทั้งอเมริกาด้วย) คงจะชักหุ่นชื่อสีหนุนี้ยาก ต่อจากเขมร นาย Kenneth ก็ไปลาว เขาไปพบรัฐบาลลาวที่เวียงจันทร์ หลังจากนั้นก็ไปพบกษัตริย์ลาวที่หลวงพระบาง ตอนแรกเจ้าลาวก็ทำตัวเกร็งกับนาย Kenneth ฝ่ายหนึ่งพูดฝรั่งเศษ อีกฝ่ายพูดอังกฤษกันจนเมื่อยมือ จนนาย Kenneth พูดภาษาไทยด้วย เจ้าลาวก็ดีใจ ได้พูดลาวโดยนาย Kenneth ก็อ้างว่าเข้าใจ หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็สื่อสารกันได้ (หมายเหตุ คนเล่านิทาน : กษัตริย์ลาวที่นาย Kenneth ไปพบน่าจะเป็นเจ้าสุวรรณภูมา เพราะนาย Kenneth บอกว่าภายหลัง กษัตริย์ลาวองค์นี้ถูกพวกคอมมิวนิสต์จับได้และปฏิบัติต่อพระองค์แย่มาก ในที่สุดก็สวรรคตในค่ายกักกันของคอมมิวนิสต์) จากลาว นาย Kenneth กลับมาเมืองไทยและเดินทางลงใต้ไปสิงค์โปร์และกัวลาลัมเปอร์ เสร็จแล้วก็ข้ามไปยังจาร์กาต้า เพื่อพบนายพลซูการ์โน เขาเจอลูกเล่นสาระพัดจากนักการเมือง และทหารที่จาร์กาต้า รวมทั้งถูกลองดี เช่น เครื่องบินที่เขาจะต้องใช้บินกลับมาสิงค์โปร์ ถูกดูดเอาน้ำมันออกจนเกลี้ยงถัง นาย Kenneth “รู้จัก” คนอินโดนีเซียจากประสบการณ์ของจริง ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 3

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
    ตอนที่ 3
    หลังจากอยู่กรุงเทพฯได้ 1 ปี นาย Kenneth และครอบครัว ก็ถูกให้ย้ายไปประจำที่นครศรีธรรมราช เขาอยู่ที่นั่น 1 ปี จากนั้นก็ย้ายมาประจำที่ตรัง รวมๆ แล้ว เขาอยู่แถวภาคใต้ของไทย ประมาณเกือบ 10 ปี ตอนที่อยู่ที่นครศรีธรรมราช เขาอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงเรียนสตรี ซึ่งเป็นของพวกมิชชั่นนารี ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นที่พระราชทานจากกรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่เมื่อมาอยู่ตรัง เขามีบ้านแยกต่างหากจากโรงเรียน ระหว่างที่เขาอยู่ตรังเขาเดินทาง ไปทั่ว ขึ้นมาจนทับสะแก (คือหัวหินในปัจจุบัน) และลงใต้ไปถึงแหลมมาลายู เขาบอกว่าในภาคใต้ของไทย มีคนจีนอาศัยอยู่มาก และส่วนมากเป็นพวกใช้แรงงาน หรือขายของชำ บ้างก็เปิดร้านค้าเล็กๆ ในตลาด ครอบครัวเขามีคนรับใช้และคนทำอาหารเป็นชาวจีน เขาจึงหัดพูดภาษาจีนกับคนรับใช้ทุกวัน
    จากการที่เขาคุยกับคนรับใช้ชาวจีน เขารู้ว่าคนจีนเหล่านั้นไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ไม่มีโรงเรียนของคนจีน เขาจึงพยายามให้ทางคณะมิชชั่นนารีช่วยจัดตั้งโรงเรียนให้คนจีน โดยเอาครูมาจากกรุงเทพฯ สิงคโปร์ ปีนัง ส่วนค่าก่อสร้างเขาก็ขอรับบริจาคบ้างจากคนในจังหวัด เขาสามารถสร้างใด้ถึง 4 โรงเรียน การคลุกคลีกับคนจีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนแต้จิ๋วได้และเทศน์เป็นภาษาจีนได้อีกด้วย การสอนภาษาของ นาย Kenneth ขยายไปตั้งแต่คอขอดกระจนถึงชายแดนมาลายู และทำให้เขาต้องเดินทางแถบนั้นบ่อยมาก โดยรถไฟ เกวียน ช้าง เรือข้ามฝั่ง เรือเล็กตามคลอง รวมทั้งที่จักรยาน และการเดินเท้าของตนเอง และเพื่อให้มีการติดต่อระหว่างสังคมไทยและจีน ซึ่งอยู่ห่างไกลกัน นาย Kenneth ลงทุนพิมพ์จดหมายเหตุรายเดือน เป็นภาษาไทยและจีน เพื่อให้คนเหล่านั้นได้ข้อมูลและข่าว (ตามที่เขาเขียน !) ต้องนับถือผู้ที่เลือกถิ่นที่ทำงานให้นาย Kenneth จริงๆ ภาคใต้น่าสนใจหลายอย่าง รวมทั้งภูมิศาสตร์ที่มีพื้นที่ยาวตลอดไป ตามอ่าวไทยของไทยจนไปถึงเขตแดนมลายู
    นาย Kenneth และครอบครัว ย้ายกลับไปอเมริกาใน ค.ศ. 1937 โดยอ้างว่า เบื่อที่จะเป็น มิชชั่นนารีแล้ว เพราะรายได้ไม่พอ (หรือภาระกิจสำเร็จได้ตามเป้า เลยเก็บฉากขนของกลับบ้านซะเฉยๆ งั้นแหละ !?) เมื่อเขากลับ เขาหอบหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่ออกเป็นงวด ที่เกี่ยวกับเมืองไทยที่เขาเก็บสะสมไว้ ตลอด 10 ปีที่อยู่เมืองกลับไปด้วย รวมทั้งแผนที่ของเมืองไทยแสดงอาณาบริเวณต่างๆ ทั่วประเทศอย่างละเอียด ยังไม่หมดยังหอบเอาหนังสือจากห้องสมุดของไทย ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ เท่าที่ตัวเองจะหาได้กลับไปด้วย ที่สำคัญ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย เมื่อปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) นาย Kenneth บอกว่าเป็นช่วงเหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เขาเก็บเอกสารในช่วง 5 ปี ระหว่างนั้นไว้หมด โดยตั้งใจจะเขียนหนังสือ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย (นับว่าเป็นมิชชั่นนารี “ตัวอย่าง” จริงๆ ตกลงจะมาเผยแพร่ศาสนาหรือมาทำอะไรกันแน่)
    วันหนึ่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 ขณะที่เขาเริ่มเขียนหนังสือ เรื่อง Siam in Transition เขายังอยู่ที่ตรังกับครอบครัว มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนสนิทของนายปรีดี พนมยงค์ ตอนเป็นผู้สำเร็จราชการ เกิดอยากจะแต่งงานในโบสถ์คริสเตียน กับสาวตรังซึ่งเป็นคริสเตียน นายคนสนิทนี้ก็มาหา นาย Kenneth เพื่อขออนุญาตนาย Kenneth ให้คู่บ่าวสาวได้แต่งงานและทำพิธีในโบสถ์ นาย Kenneth ดีใจจนบอกไม่ถูก เห็นโอกาสทองลอยอยู่ข้างหน้า เขาบอกกับนายคนสนิทว่า ได้สิ ถ้าคุณหาเอกสารมาให้ผมชิ้นหนึ่ง เอกสารนั้นคือบทความเค้าโครงเศรษฐกิจ ฉบับที่นายปรีดีเขียน เพื่อจะนำมาใช้กับประเทศไทย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงไม่เห็นด้วย ทรงเห็นว่านายปรีดีมีแนวความคิดเช่นลัทธิคอมมิวนิสม์ ต่อมาเอกสารนั้นก็ถูกเก็บ เป็นเอกสารต้องห้าม ไม่มีใครได้เห็นอีก (นาย Kenneth นี่ต้องนับว่าเป็นนักฉวยโอกาสตัวยงจริงๆ) คงจะเป็นเพราะกำลังหน้ามืดอยากแต่งงานเต็มแก่ นายคนสนิทลงทุนไปเอาเอกสารมาให้นาย Kenneth รวมทั้งแถมรายงานการประชุมคณะอภิรัฐมนตรี ซึ่งระบุว่านายปรีดี เป็นคอมมิวนิสต์และที่ประชุมเห็นว่านายปรีดี ควรลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ
    ภายหลังเมื่อนาย Kenneth ได้เขียนหนังสือ Siam in Transition เขาได้นำเอกสารทั้ง 2 ชิ้นมาแนบท้ายหนังสือไว้ด้วย แต่หนังสือนี้ถูกห้ามขายในประเทศไทย
    หลังจากเขาได้เอกสารนี้มาไม่นาน พระองค์เจ้าธานีฯ (นาย Kenneth เขียนชื่อไว้เช่นนั้น) ทรงทราบข่าวที่นาย Kenneth ได้เอกสารนี้มา ท่านสนใจมากถึงขนาดลงทุนเดินทางจากกรุงเทพมาหานาย Kenneth ที่ตรัง เพื่อขออ่านเอกสารทั้ง 2 ชิ้น (แสดงว่าเอกสาร 2 ชิ้นนี้ต้องมีความสำคัญมากสำหรับ การเมืองของไทย แล้วมิชชั่นนารี ซึ่งไม่น่าจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองบ้านเรา ทำไมถึงให้ความสนใจจนลืมมรรยาท ถึงกับใช้วิธีการฉวยโอกาสอย่างคนไม่มีระดับถึงขนาดนี้!?) นาย Kenneth รู้ว่าเอกสารนี้ต้องห้าม เขาเลยเอาไปซ่อนไว้ในกองหนังสือพิมพ์ในห้องส้วมของเขาและ พระองค์เจ้าธานีฯ ก็ต้องไปนั่งอ่านเอกสาร โดยล็อคตัวเองอยู่ในส้วมของนาย Kenneth !
    หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจ้านายหลายพระองค์ รวมทั้งกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ กรมพระยาดำรงฯเสด็จไปอยู่ปีนัง เมื่อนาย Kenneth และครอบครัวจะกลับอเมริกา เขาเดินทางไปเยี่ยมท่านที่ปีนัง เขาอ้างว่าเป็นการเยี่ยมในฐานะเพื่อนเก่า ระหว่างคุยกัน เขาถามกรมพระยาดำรงฯ ว่าท่านจะยินยอมให้เขานำหนังสือที่ท่านทรงสะสมไว้ มอบให้แก่มหาวิทยาลัยในอเมริกาหรือไม่ เพราะกรมพระยาดำรงฯ ท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงศึกษาฯ อยู่ช่วงหนึ่ง และท่านได้รับมอบหมายจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ให้ทรงจัดตั้งหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งกรมพระยาดำรงฯก็จัดตั้งเรียบร้อย โดยหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในหอสมุด ท่านก็จะมีอีกชุดหนึ่งเก็บไว้ที่ท่านเอง รวมทั้งหนังสือที่ท่านทรงสะสม เอง ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วรรณคดี ศาสนา ฯลฯ ของไทยและเอเซียตะวันออก มีทั้งเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส กรมพระยาดำรงฯ ตอบว่าท่านเสียดายที่หนังสือนั้นจะไม่มีใครสนใจอีกต่อไป แต่ถ้ามีมหาวิทยาลัยที่สนใจ มีคนได้ศึกษาและมีคนอย่างนาย Kenneth ดูแลท่านก็ยินดีที่จะยกให้
    แล้วนาย Kenneth ก็นำรายชื่อหนังสือประมาณ 600 เล่ม ของกรมพระยาดำรงกลับอเมริกาไปด้วย โดยเขาอ้างว่า เขาจะนำไปจัดทำห้องสมุดไทยหรือเอเซียตะวันออก ที่มหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ค่าเดินทางไปปีนังนี่มันคงไม่ใช่ราคาถูกๆ แต่คงจะเป็นการลงทุนที่เกินคุ้มหลายร้อยเท่า เมื่อเทียบกับรายชื่อหนังสือ 600 เล่ม ที่นาย Kenneth จะเอาไป อ้างว่าเป็นของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ อดีตเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยของเมืองไทยที่จะมอบให้นาย Kenneth ที่จะได้มาโดยการ “กล่อม” ซึ่งต่อมาเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ให้แก่ตัวเองและสร้างประโยชน์ให้แก่อเมริกาอย่างมหาศาล ในการใช้เป็นต้นแบบเครื่องมือการล่าชนิดหนึ่ง!
    (หมายเหตุคนเล่านิทาน : เข้าใจว่า กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านคงกำลังเศร้าพระทัย จากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และจากการที่คณะราษฎร์แสดงความไม่ประสงค์ดีต่อท่าน จนท่านถึงกับต้องเสด็จไปประทับอยู่ปีนัง ท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ สนใจศึกษาหาความรู้ ทรงเก็บสะสมหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทยไว้แยะ เมื่อคณะราษฎร์ทำการปฏิวัติ เปลี่ยนการปกครอง ซึ่งอาจจะกระทบถึงวัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งหลักสูตรการศึกษา ฯลฯ หนังสือต่างๆ เหล่านั้น คณะราษฎร์อาจไม่เห็นประโยชน์อีกต่อไป เมื่อนาย Kenneth เข้าไปขอในจังหวะนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจที่ท่านจะคล้อยตาม !)

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า” ตอนที่ 3 หลังจากอยู่กรุงเทพฯได้ 1 ปี นาย Kenneth และครอบครัว ก็ถูกให้ย้ายไปประจำที่นครศรีธรรมราช เขาอยู่ที่นั่น 1 ปี จากนั้นก็ย้ายมาประจำที่ตรัง รวมๆ แล้ว เขาอยู่แถวภาคใต้ของไทย ประมาณเกือบ 10 ปี ตอนที่อยู่ที่นครศรีธรรมราช เขาอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงเรียนสตรี ซึ่งเป็นของพวกมิชชั่นนารี ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นที่พระราชทานจากกรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่เมื่อมาอยู่ตรัง เขามีบ้านแยกต่างหากจากโรงเรียน ระหว่างที่เขาอยู่ตรังเขาเดินทาง ไปทั่ว ขึ้นมาจนทับสะแก (คือหัวหินในปัจจุบัน) และลงใต้ไปถึงแหลมมาลายู เขาบอกว่าในภาคใต้ของไทย มีคนจีนอาศัยอยู่มาก และส่วนมากเป็นพวกใช้แรงงาน หรือขายของชำ บ้างก็เปิดร้านค้าเล็กๆ ในตลาด ครอบครัวเขามีคนรับใช้และคนทำอาหารเป็นชาวจีน เขาจึงหัดพูดภาษาจีนกับคนรับใช้ทุกวัน จากการที่เขาคุยกับคนรับใช้ชาวจีน เขารู้ว่าคนจีนเหล่านั้นไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ไม่มีโรงเรียนของคนจีน เขาจึงพยายามให้ทางคณะมิชชั่นนารีช่วยจัดตั้งโรงเรียนให้คนจีน โดยเอาครูมาจากกรุงเทพฯ สิงคโปร์ ปีนัง ส่วนค่าก่อสร้างเขาก็ขอรับบริจาคบ้างจากคนในจังหวัด เขาสามารถสร้างใด้ถึง 4 โรงเรียน การคลุกคลีกับคนจีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนแต้จิ๋วได้และเทศน์เป็นภาษาจีนได้อีกด้วย การสอนภาษาของ นาย Kenneth ขยายไปตั้งแต่คอขอดกระจนถึงชายแดนมาลายู และทำให้เขาต้องเดินทางแถบนั้นบ่อยมาก โดยรถไฟ เกวียน ช้าง เรือข้ามฝั่ง เรือเล็กตามคลอง รวมทั้งที่จักรยาน และการเดินเท้าของตนเอง และเพื่อให้มีการติดต่อระหว่างสังคมไทยและจีน ซึ่งอยู่ห่างไกลกัน นาย Kenneth ลงทุนพิมพ์จดหมายเหตุรายเดือน เป็นภาษาไทยและจีน เพื่อให้คนเหล่านั้นได้ข้อมูลและข่าว (ตามที่เขาเขียน !) ต้องนับถือผู้ที่เลือกถิ่นที่ทำงานให้นาย Kenneth จริงๆ ภาคใต้น่าสนใจหลายอย่าง รวมทั้งภูมิศาสตร์ที่มีพื้นที่ยาวตลอดไป ตามอ่าวไทยของไทยจนไปถึงเขตแดนมลายู นาย Kenneth และครอบครัว ย้ายกลับไปอเมริกาใน ค.ศ. 1937 โดยอ้างว่า เบื่อที่จะเป็น มิชชั่นนารีแล้ว เพราะรายได้ไม่พอ (หรือภาระกิจสำเร็จได้ตามเป้า เลยเก็บฉากขนของกลับบ้านซะเฉยๆ งั้นแหละ !?) เมื่อเขากลับ เขาหอบหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่ออกเป็นงวด ที่เกี่ยวกับเมืองไทยที่เขาเก็บสะสมไว้ ตลอด 10 ปีที่อยู่เมืองกลับไปด้วย รวมทั้งแผนที่ของเมืองไทยแสดงอาณาบริเวณต่างๆ ทั่วประเทศอย่างละเอียด ยังไม่หมดยังหอบเอาหนังสือจากห้องสมุดของไทย ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ เท่าที่ตัวเองจะหาได้กลับไปด้วย ที่สำคัญ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย เมื่อปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) นาย Kenneth บอกว่าเป็นช่วงเหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เขาเก็บเอกสารในช่วง 5 ปี ระหว่างนั้นไว้หมด โดยตั้งใจจะเขียนหนังสือ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย (นับว่าเป็นมิชชั่นนารี “ตัวอย่าง” จริงๆ ตกลงจะมาเผยแพร่ศาสนาหรือมาทำอะไรกันแน่) วันหนึ่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 ขณะที่เขาเริ่มเขียนหนังสือ เรื่อง Siam in Transition เขายังอยู่ที่ตรังกับครอบครัว มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนสนิทของนายปรีดี พนมยงค์ ตอนเป็นผู้สำเร็จราชการ เกิดอยากจะแต่งงานในโบสถ์คริสเตียน กับสาวตรังซึ่งเป็นคริสเตียน นายคนสนิทนี้ก็มาหา นาย Kenneth เพื่อขออนุญาตนาย Kenneth ให้คู่บ่าวสาวได้แต่งงานและทำพิธีในโบสถ์ นาย Kenneth ดีใจจนบอกไม่ถูก เห็นโอกาสทองลอยอยู่ข้างหน้า เขาบอกกับนายคนสนิทว่า ได้สิ ถ้าคุณหาเอกสารมาให้ผมชิ้นหนึ่ง เอกสารนั้นคือบทความเค้าโครงเศรษฐกิจ ฉบับที่นายปรีดีเขียน เพื่อจะนำมาใช้กับประเทศไทย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงไม่เห็นด้วย ทรงเห็นว่านายปรีดีมีแนวความคิดเช่นลัทธิคอมมิวนิสม์ ต่อมาเอกสารนั้นก็ถูกเก็บ เป็นเอกสารต้องห้าม ไม่มีใครได้เห็นอีก (นาย Kenneth นี่ต้องนับว่าเป็นนักฉวยโอกาสตัวยงจริงๆ) คงจะเป็นเพราะกำลังหน้ามืดอยากแต่งงานเต็มแก่ นายคนสนิทลงทุนไปเอาเอกสารมาให้นาย Kenneth รวมทั้งแถมรายงานการประชุมคณะอภิรัฐมนตรี ซึ่งระบุว่านายปรีดี เป็นคอมมิวนิสต์และที่ประชุมเห็นว่านายปรีดี ควรลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ภายหลังเมื่อนาย Kenneth ได้เขียนหนังสือ Siam in Transition เขาได้นำเอกสารทั้ง 2 ชิ้นมาแนบท้ายหนังสือไว้ด้วย แต่หนังสือนี้ถูกห้ามขายในประเทศไทย หลังจากเขาได้เอกสารนี้มาไม่นาน พระองค์เจ้าธานีฯ (นาย Kenneth เขียนชื่อไว้เช่นนั้น) ทรงทราบข่าวที่นาย Kenneth ได้เอกสารนี้มา ท่านสนใจมากถึงขนาดลงทุนเดินทางจากกรุงเทพมาหานาย Kenneth ที่ตรัง เพื่อขออ่านเอกสารทั้ง 2 ชิ้น (แสดงว่าเอกสาร 2 ชิ้นนี้ต้องมีความสำคัญมากสำหรับ การเมืองของไทย แล้วมิชชั่นนารี ซึ่งไม่น่าจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองบ้านเรา ทำไมถึงให้ความสนใจจนลืมมรรยาท ถึงกับใช้วิธีการฉวยโอกาสอย่างคนไม่มีระดับถึงขนาดนี้!?) นาย Kenneth รู้ว่าเอกสารนี้ต้องห้าม เขาเลยเอาไปซ่อนไว้ในกองหนังสือพิมพ์ในห้องส้วมของเขาและ พระองค์เจ้าธานีฯ ก็ต้องไปนั่งอ่านเอกสาร โดยล็อคตัวเองอยู่ในส้วมของนาย Kenneth ! หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจ้านายหลายพระองค์ รวมทั้งกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ กรมพระยาดำรงฯเสด็จไปอยู่ปีนัง เมื่อนาย Kenneth และครอบครัวจะกลับอเมริกา เขาเดินทางไปเยี่ยมท่านที่ปีนัง เขาอ้างว่าเป็นการเยี่ยมในฐานะเพื่อนเก่า ระหว่างคุยกัน เขาถามกรมพระยาดำรงฯ ว่าท่านจะยินยอมให้เขานำหนังสือที่ท่านทรงสะสมไว้ มอบให้แก่มหาวิทยาลัยในอเมริกาหรือไม่ เพราะกรมพระยาดำรงฯ ท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงศึกษาฯ อยู่ช่วงหนึ่ง และท่านได้รับมอบหมายจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ให้ทรงจัดตั้งหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งกรมพระยาดำรงฯก็จัดตั้งเรียบร้อย โดยหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในหอสมุด ท่านก็จะมีอีกชุดหนึ่งเก็บไว้ที่ท่านเอง รวมทั้งหนังสือที่ท่านทรงสะสม เอง ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วรรณคดี ศาสนา ฯลฯ ของไทยและเอเซียตะวันออก มีทั้งเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส กรมพระยาดำรงฯ ตอบว่าท่านเสียดายที่หนังสือนั้นจะไม่มีใครสนใจอีกต่อไป แต่ถ้ามีมหาวิทยาลัยที่สนใจ มีคนได้ศึกษาและมีคนอย่างนาย Kenneth ดูแลท่านก็ยินดีที่จะยกให้ แล้วนาย Kenneth ก็นำรายชื่อหนังสือประมาณ 600 เล่ม ของกรมพระยาดำรงกลับอเมริกาไปด้วย โดยเขาอ้างว่า เขาจะนำไปจัดทำห้องสมุดไทยหรือเอเซียตะวันออก ที่มหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ค่าเดินทางไปปีนังนี่มันคงไม่ใช่ราคาถูกๆ แต่คงจะเป็นการลงทุนที่เกินคุ้มหลายร้อยเท่า เมื่อเทียบกับรายชื่อหนังสือ 600 เล่ม ที่นาย Kenneth จะเอาไป อ้างว่าเป็นของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ อดีตเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยของเมืองไทยที่จะมอบให้นาย Kenneth ที่จะได้มาโดยการ “กล่อม” ซึ่งต่อมาเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ให้แก่ตัวเองและสร้างประโยชน์ให้แก่อเมริกาอย่างมหาศาล ในการใช้เป็นต้นแบบเครื่องมือการล่าชนิดหนึ่ง! (หมายเหตุคนเล่านิทาน : เข้าใจว่า กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านคงกำลังเศร้าพระทัย จากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และจากการที่คณะราษฎร์แสดงความไม่ประสงค์ดีต่อท่าน จนท่านถึงกับต้องเสด็จไปประทับอยู่ปีนัง ท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ สนใจศึกษาหาความรู้ ทรงเก็บสะสมหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทยไว้แยะ เมื่อคณะราษฎร์ทำการปฏิวัติ เปลี่ยนการปกครอง ซึ่งอาจจะกระทบถึงวัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งหลักสูตรการศึกษา ฯลฯ หนังสือต่างๆ เหล่านั้น คณะราษฎร์อาจไม่เห็นประโยชน์อีกต่อไป เมื่อนาย Kenneth เข้าไปขอในจังหวะนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจที่ท่านจะคล้อยตาม !) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 431 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 1

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
    ตอนที่ 1
    เมื่อตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1942 อเมริกาไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่จะไปทำสงคราม แต่เป้าหมายของอเมริกาไกลกว่านั้น เขามองถึงการเป็นพี่เบิ้มใหญ่ของโลกหลังสงคราม และอเมริกาก็ทำได้ตามเป้าหมายมาตลอด ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน กลยุทธใด แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นนักล่าหน้าใหม่ แต่ฝีไม้ลายมือในการล่าไม่เบา หลังจากเป็นผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกามองตัวเองว่าเป็นจักรวรรดิอเมริกา เพราะจักรวรรดิต่างๆ ได้ล่มสลายไปหมดเหลือไว้แต่ซากกับประวัติ อเมริกาหมดคู่แข่งชั่วคราว ผงาดตัวมาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง แม้ตอนนี้ แท่นยืนของนักล่าหมายเลขหนึ่ง จะออกอาการง่อนแง่น แท่นเอียง ขาเก เพราะโดนทั้งปลวกทั้งด้วงแมงแทะในบ้านอยู่ แถมหลายประเทศที่อเมริกาเคยใช้กลยุทธ โกหก ตอแหล สร้างเรื่องสาระพัด หลอกโลกและใช้หน่วยงานที่ตนเองชักใย รุมกันจนประเทศเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยง หรือโดนกองทัพอันเกรียงไกรของพี่เบิ้มบุกเข้าประเทศ ประหนึ่งขี่ช้างจับตั๊กแตน จนบ้างเมืองเขาพินาศ เหลือเป็นซากเศษอิฐ หรือที่เคยมองประเทศเหล่านั้นอย่างหยามเหยียดด้วยหางตา ประเทศเหล่านั้นเริ่มขยับมาตีเสมอ เผลอๆ จะจับมือกันร่วมหัว ร่วมท้าย ท้าทายอเมริกา กระแซะพี่เบิ้มให้ตกจากแท่นยืนในฐานะหมายเลขหนึ่งเอาเสียด้วย ซ้ำ แต่เกมการล่า การแข่งขันชิงแชมป์โลก ต้องมองกันนานๆ ดูกันไปยาวๆ อย่าเพิ่งตัดสินแค่ยกสองยก มวยใหญ่มันอึด มีท่วงทีลีลาน่าศึกษา แต่ที่สำคัญอยู่ที่ชั้นเชิง ไม่รู้ปล่อยกันออกมาหมดหรือยัง
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าสู่ยุคสงครามเย็น ระบอบคอมมิวนิสต์ออกดอกแพร่พันธ์ ไปหลายแห่งในโลก สายหนึ่งไปทางสหภาพโซเวียต สายหนึ่งมาทางเอเซีย สู่จีนและเวียตนาม ใครเป็นคนเอาพันธ์มาแพร่ ก็รู้ๆ กันอยู่ อเมริกาทำเป็นทนดูไม่ได้ แบบนี้เสียหน้าผู้พิทักษ์โลกสวยใบนี้หมด (แหม! ใช้ศัพท์สมัยใหม่เป็นเหมือนกันเหรอลุง ฮา!) ดังนั้น อเมริกาจึงทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้ชาวโลกเชื่อว่า สงครามเท่านั้นแหละ ที่จะเป็นยาขจัดการแพร่พันธ์คอมมิวนิสต์อย่างชงัด
    เมื่ออเมริกาตัดสินใจทำมาหากินกับสงครามเวียตนาม ก็จำเป็นต้องมีเหยื่อเข้ามาร่วมกิจกรรม จะไปรบคนเดียวได้ยังไงเหงาตาย ไทยแลนด์สมันน้อยถูกผู้กำกับคัดตัวให้ไปเล่นบทตัวเอก แต่สมันน้อย อ่านบทไม่แตก ไม่ตัดสินใจเสียที อเมริกาจึงลงทุนประคองคุณป๋าสฤษดิ์บินไปอเมริกาเพื่อไปรักษาตัวตอนคุณป๋าป่วย พอไปถึงคุณป๋านอกจากจะถูกบรรดาหมอรุมกันรักษาแล้วคูณป๋ายังถูกอุ้มลงเปลเห่กล่อม ติวเข้มเกี่ยวกับภัยคอมมี่ กลับมาคุณป๋าร้องเฮ้ยเว้ย เอาไง เอากัน จะปล่อยให้คอมมี่มันบุกบ้านเรา บ้านพี่เมืองน้องเราได้ยังไง (ท่านที่ยังไม่เคยอ่านนิทานจิกโก๋ปากซอย ตอนนี้เป็นโอกาสดี เชิญแวะไปอ่านหน่อยนะครับ ทำลิงค์ไว้ให้แล้ว หาไม่เจอบอกมาจะลงให้ใหม่ จะได้อ่านนิทานเรื่องนี้แบบไม่ขาดลอย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันครับ แหม ! เอาใจคนอ่านจังนะลุง กลัวแฟนเพจไม่ถึงหมื่นหรือไง ฮา !)
    ขบวนการล่อเหยื่อ จับลงเปลเห่กล่อมเขาน่าสนใจ อเมริกาจะทำอะไร ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ จะทำวันนี้เขาคิดมา 20-30 ปีก่อนหน้าแล้ว วางแผนซับซ้อน วิธีการวางแผน หาข้อมูล ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ เหมือนพวกไอ้ป้อดอีแป้ดมันออกรุ่นใหม่ มีลูกเล่นมาหลอกให้เราซื้ออยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็ไม่ต่างกันหรอก เพราะฉะนั้นถึงแม้นักล่าจะเปลี่ยนลูกเล่นอยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็พอมองออก ถ้าหมั่นติดตาม
    แกะสะเก็ด แกะรอยเก่า รอยใหม่ เอาแว่นมาส่องดู ก็คงพอจะตามรอยมันได้บ้าง ตอนนี้นักล่าประกาศไปทั่วโลก ว่าจะกลับมาวิ่งเล่นลิงชิงหลักอยู่แถวเอเซีย ตามนโยบาย Rebalancing ไทยแลนด์แดนสมันน้อยก็ไม่แคล้วจะถูกคัดตัวมาเข้าฉากอีก แต่คราวนี้จะได้รับบทตัวเอก ตัวประกอบ หรือบทไหน เรายังไม่รู้แน่ แต่จะไปรอรู้เอาตอนจบ นอนนับศพนับซากในบ้านเรา มันจะไหวหรือ สมันน้อยตื่นตัว ตามศึกษาแกะรอยนักล่ากันหน่อย อย่าดูแค่ที่เห็นข้างหน้า หัดเหลียวหลังแลข้างบ้างน่าจะดีกว่านะ
    มารู้จักสามีภรรยาคู่หนึ่งกันหน่อย นาย Kenneth และนาง Margaret Landon เขา 2 คนนี้ น่าสนใจมาก เขาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของไทยกับอเมริกา ช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยสร้าง เครื่องมือการล่าเหยื่อของอเมริกาในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในเมืองไทย เครื่องมือการล่าเหยื่อชนิดนี้ยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ อุปกรณ์หลักเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนอุปกรณ์เสริมให้ทันตามสมัยนิยมเท่านั้นเอง
    นาง Margaret มีชื่อเสียงเพราะเป็นคนเขียนหนังสือ เรื่อง Anna and the King ซึ่งตอนหลังHollywood เอาไปสร้างหนังเรื่อง The King and I นำแสดงโดย Rex Harrison ตอนรุ่นแรก แต่มาดังตอนสร้างครั้งที่สองโดยเอานาย Yul Brynner มารับบทเป็น The King หนังเรื่องนี้ถูกห้ามฉายในประเทศไทย นอกจากนั้นหนังสือเรื่องนี้ยังถูกนำไปสร้างเป็นละคร Broadway ดังระเบิด เพลงเพราะ ฉากสวย แต่เนื้อเรื่องแต่งตามความคิดของฝรั่งมองไทย ที่รู้จักไทยอย่างครึ่งๆ กลางๆ แต่คิดเอาเองว่ารู้จักหมด แต่นิทานเรื้องนี้จะไม่เล่าเกี่ยวกับนาง Margaret แต่จะเล่าเกี่ยวกับสามีนาง Margaret ที่ชื่อนาย Kenneth ผู้สร้างรอยเก่าน่าสนใจตามแกะดู


    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า” ตอนที่ 1 เมื่อตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1942 อเมริกาไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่จะไปทำสงคราม แต่เป้าหมายของอเมริกาไกลกว่านั้น เขามองถึงการเป็นพี่เบิ้มใหญ่ของโลกหลังสงคราม และอเมริกาก็ทำได้ตามเป้าหมายมาตลอด ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน กลยุทธใด แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นนักล่าหน้าใหม่ แต่ฝีไม้ลายมือในการล่าไม่เบา หลังจากเป็นผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกามองตัวเองว่าเป็นจักรวรรดิอเมริกา เพราะจักรวรรดิต่างๆ ได้ล่มสลายไปหมดเหลือไว้แต่ซากกับประวัติ อเมริกาหมดคู่แข่งชั่วคราว ผงาดตัวมาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง แม้ตอนนี้ แท่นยืนของนักล่าหมายเลขหนึ่ง จะออกอาการง่อนแง่น แท่นเอียง ขาเก เพราะโดนทั้งปลวกทั้งด้วงแมงแทะในบ้านอยู่ แถมหลายประเทศที่อเมริกาเคยใช้กลยุทธ โกหก ตอแหล สร้างเรื่องสาระพัด หลอกโลกและใช้หน่วยงานที่ตนเองชักใย รุมกันจนประเทศเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยง หรือโดนกองทัพอันเกรียงไกรของพี่เบิ้มบุกเข้าประเทศ ประหนึ่งขี่ช้างจับตั๊กแตน จนบ้างเมืองเขาพินาศ เหลือเป็นซากเศษอิฐ หรือที่เคยมองประเทศเหล่านั้นอย่างหยามเหยียดด้วยหางตา ประเทศเหล่านั้นเริ่มขยับมาตีเสมอ เผลอๆ จะจับมือกันร่วมหัว ร่วมท้าย ท้าทายอเมริกา กระแซะพี่เบิ้มให้ตกจากแท่นยืนในฐานะหมายเลขหนึ่งเอาเสียด้วย ซ้ำ แต่เกมการล่า การแข่งขันชิงแชมป์โลก ต้องมองกันนานๆ ดูกันไปยาวๆ อย่าเพิ่งตัดสินแค่ยกสองยก มวยใหญ่มันอึด มีท่วงทีลีลาน่าศึกษา แต่ที่สำคัญอยู่ที่ชั้นเชิง ไม่รู้ปล่อยกันออกมาหมดหรือยัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าสู่ยุคสงครามเย็น ระบอบคอมมิวนิสต์ออกดอกแพร่พันธ์ ไปหลายแห่งในโลก สายหนึ่งไปทางสหภาพโซเวียต สายหนึ่งมาทางเอเซีย สู่จีนและเวียตนาม ใครเป็นคนเอาพันธ์มาแพร่ ก็รู้ๆ กันอยู่ อเมริกาทำเป็นทนดูไม่ได้ แบบนี้เสียหน้าผู้พิทักษ์โลกสวยใบนี้หมด (แหม! ใช้ศัพท์สมัยใหม่เป็นเหมือนกันเหรอลุง ฮา!) ดังนั้น อเมริกาจึงทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้ชาวโลกเชื่อว่า สงครามเท่านั้นแหละ ที่จะเป็นยาขจัดการแพร่พันธ์คอมมิวนิสต์อย่างชงัด เมื่ออเมริกาตัดสินใจทำมาหากินกับสงครามเวียตนาม ก็จำเป็นต้องมีเหยื่อเข้ามาร่วมกิจกรรม จะไปรบคนเดียวได้ยังไงเหงาตาย ไทยแลนด์สมันน้อยถูกผู้กำกับคัดตัวให้ไปเล่นบทตัวเอก แต่สมันน้อย อ่านบทไม่แตก ไม่ตัดสินใจเสียที อเมริกาจึงลงทุนประคองคุณป๋าสฤษดิ์บินไปอเมริกาเพื่อไปรักษาตัวตอนคุณป๋าป่วย พอไปถึงคุณป๋านอกจากจะถูกบรรดาหมอรุมกันรักษาแล้วคูณป๋ายังถูกอุ้มลงเปลเห่กล่อม ติวเข้มเกี่ยวกับภัยคอมมี่ กลับมาคุณป๋าร้องเฮ้ยเว้ย เอาไง เอากัน จะปล่อยให้คอมมี่มันบุกบ้านเรา บ้านพี่เมืองน้องเราได้ยังไง (ท่านที่ยังไม่เคยอ่านนิทานจิกโก๋ปากซอย ตอนนี้เป็นโอกาสดี เชิญแวะไปอ่านหน่อยนะครับ ทำลิงค์ไว้ให้แล้ว หาไม่เจอบอกมาจะลงให้ใหม่ จะได้อ่านนิทานเรื่องนี้แบบไม่ขาดลอย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันครับ แหม ! เอาใจคนอ่านจังนะลุง กลัวแฟนเพจไม่ถึงหมื่นหรือไง ฮา !) ขบวนการล่อเหยื่อ จับลงเปลเห่กล่อมเขาน่าสนใจ อเมริกาจะทำอะไร ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ จะทำวันนี้เขาคิดมา 20-30 ปีก่อนหน้าแล้ว วางแผนซับซ้อน วิธีการวางแผน หาข้อมูล ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ เหมือนพวกไอ้ป้อดอีแป้ดมันออกรุ่นใหม่ มีลูกเล่นมาหลอกให้เราซื้ออยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็ไม่ต่างกันหรอก เพราะฉะนั้นถึงแม้นักล่าจะเปลี่ยนลูกเล่นอยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็พอมองออก ถ้าหมั่นติดตาม แกะสะเก็ด แกะรอยเก่า รอยใหม่ เอาแว่นมาส่องดู ก็คงพอจะตามรอยมันได้บ้าง ตอนนี้นักล่าประกาศไปทั่วโลก ว่าจะกลับมาวิ่งเล่นลิงชิงหลักอยู่แถวเอเซีย ตามนโยบาย Rebalancing ไทยแลนด์แดนสมันน้อยก็ไม่แคล้วจะถูกคัดตัวมาเข้าฉากอีก แต่คราวนี้จะได้รับบทตัวเอก ตัวประกอบ หรือบทไหน เรายังไม่รู้แน่ แต่จะไปรอรู้เอาตอนจบ นอนนับศพนับซากในบ้านเรา มันจะไหวหรือ สมันน้อยตื่นตัว ตามศึกษาแกะรอยนักล่ากันหน่อย อย่าดูแค่ที่เห็นข้างหน้า หัดเหลียวหลังแลข้างบ้างน่าจะดีกว่านะ มารู้จักสามีภรรยาคู่หนึ่งกันหน่อย นาย Kenneth และนาง Margaret Landon เขา 2 คนนี้ น่าสนใจมาก เขาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของไทยกับอเมริกา ช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยสร้าง เครื่องมือการล่าเหยื่อของอเมริกาในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในเมืองไทย เครื่องมือการล่าเหยื่อชนิดนี้ยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ อุปกรณ์หลักเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนอุปกรณ์เสริมให้ทันตามสมัยนิยมเท่านั้นเอง นาง Margaret มีชื่อเสียงเพราะเป็นคนเขียนหนังสือ เรื่อง Anna and the King ซึ่งตอนหลังHollywood เอาไปสร้างหนังเรื่อง The King and I นำแสดงโดย Rex Harrison ตอนรุ่นแรก แต่มาดังตอนสร้างครั้งที่สองโดยเอานาย Yul Brynner มารับบทเป็น The King หนังเรื่องนี้ถูกห้ามฉายในประเทศไทย นอกจากนั้นหนังสือเรื่องนี้ยังถูกนำไปสร้างเป็นละคร Broadway ดังระเบิด เพลงเพราะ ฉากสวย แต่เนื้อเรื่องแต่งตามความคิดของฝรั่งมองไทย ที่รู้จักไทยอย่างครึ่งๆ กลางๆ แต่คิดเอาเองว่ารู้จักหมด แต่นิทานเรื้องนี้จะไม่เล่าเกี่ยวกับนาง Margaret แต่จะเล่าเกี่ยวกับสามีนาง Margaret ที่ชื่อนาย Kenneth ผู้สร้างรอยเก่าน่าสนใจตามแกะดู คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 25 : เหยื่อ (3)
    ปี ค.ศ. 1990 ญี่ปุ่นเสนอความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่ (อดีต) สหภาพโซเวียต ซึ่งหลังจากแตกเป็นเสี่ยง ๆ (เพราะฝีมือใคร ! ?) ทำให้อเมริกาเป็นห่วงว่า ถ้าญี่ปุ่นไปจับมือกับรัสเซียจริง นานไปญี่ปุ่นอาจจะเอาใจออกห่างอเมริกา แล้วถ้าไปรวมกันเสือเศรษฐกิจแห่งเอเซียล่ะ ที่กำลังทะยานขึ้นมา มันย่อมไม่ใช่แนวทางของโลก ที่อเมริกาอยากให้เป็นนะ
    วิธีกดดันแบบเดิม ๆ จึงเกิดขึ้น มือหนึ่งกันจับบ่าญี่ปุ่นถามกันตรง ๆ ว่า คุณยุ่น คุณจะเลิกแผนช่วยเหลือรัสเซีย หรือคุณจะเริ่มสร้างกองทัพของคุณเอง อย่าลืมว่าทุกวันนี้ คุณยุ่นมีกองทัพเรือของอเมริกาค้ำ (คอ) ให้อยู่นะ ชอบหรือไม่ก็ตาม ระหว่างนั้นตลาดหุ้น Nikkei ก็ร่วง ยังกับใบไม้โดนพายุหมุน เมื่อจับเอาญี่ปุ่นกลับเข้ามาอยู่ในอุ้งมือเหมือนเดิมแล้ว ต่อไปก็พวกที่คิดว่าตัวเองเป็นเสือเอเซียน่ะ มันจะเป็นเสือหรือเป็นแมวเดี๋ยวได้รู้กัน
    ช่วงนั้นหลายประเทศในเอเซีย นอกจากญี่ปุ่นแล้ว อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ต่างก็เริ่มขยับฐานะ อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจแต่ละประเทศพวกนี้สูงกว่า ขีดในปรอทที่อเมริกาให้ IMF คอยวัดไว้ ที่อเมริกาหน้าแดงก่ำ คือมันโตกว่าอเมริกาเกือบเท่าตัว ประเทศพวกนี้ไม่มีหนี้ ไม่อยู่ในเงื่อนอะไรของ IMF เสียด้วยซ้ำ พวกเขานำความเจริญมาสู่ประเทศด้านการศึกษา การผลิตและการสร้างงานในประเทศ ที่สำคัญประเทศพวกนี้ ยังไม่เปิดประตูกว้างรับการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติและแถมมีข้อจำกัดเกี่ยว กับการนำสินค้าเข้า อเมริกาจึงเตรียมรางวัลให้กับประเทศที่กำลังเจริญเติบโตเกินอัตราที่ปรอทขีด ไว้ อย่ามาทำเป็นมีไข้(เติบโต)สูง ไอ ไม่ชอบนะ
    เหมือนกับเวลาที่สิงห์โตล่าเหยื่อ มันจะดูสัตว์ตัวที่อ่อนแอกว่าเพื่อนในฝูง ก่อนไล่ตะบบกิน ค.ศ. 1993 อเมริกาก็ได้เหยื่อที่อยากจะเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งเอเซีย ความอยากรวยเร็วของเสือตัวที่ 5 ไม่ทันดูฉลากที่แปะมากับอาหารที่อเมริกาส่งมาให้ที่ชื่อ George Soros ผลที่ตามมาคงจะพอจำกันได้ ไทยแลนด์แดนสมันน้อย (ไม่ได้เป็นเสืออย่างที่เข้าใจ ทีนี้รู้แล้วนะ ทำไมถึงเรียกว่า “สมันน้อย”) ก็เจอฟองสบู่ลอยเต็มเมือง ตามมาด้วยการลดค่าเงินบาท ที่ทำให้ไอ้พวกโจรร้ายมันรวยล้นแผ่นดินอยู่นี่ไงล่ะ แล้วก็มีคนเดินย่องเข้าไปหานายใหญ่ที่กรุงวอชิงตัน ช่วยอ้ายน้อยด้วย ! แล้วสมันน้อยก็กลับไปซบอกนายใหญ่ ถูกใส่ปลอกคอยี่ห้อ IMF เดินเชื่องไม่ต่างกันเมื่อเขาเอาคอมมิวนิสต์มาขู่ ยอมเดินลงเปลให้เขากล่อม ทำอะไรก็ได้ในไทยแลนด์ตอนนั้น คราวนี้เราก็เสียอธิปไตยอีกหน แต่เป็นเสียอธิปไตยทางการเงิน ! ต้มยำกุ้งดังไปทั่วโลก หลังจากนั้น เสือฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ก็ระเนระนาดล้มตามกันไป จบตำนานเสือแห่งเอเซีย เดินร้องเหมียว ๆ เข้ากรง IMF กันเป็นแถว

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 25 : เหยื่อ (3) ปี ค.ศ. 1990 ญี่ปุ่นเสนอความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่ (อดีต) สหภาพโซเวียต ซึ่งหลังจากแตกเป็นเสี่ยง ๆ (เพราะฝีมือใคร ! ?) ทำให้อเมริกาเป็นห่วงว่า ถ้าญี่ปุ่นไปจับมือกับรัสเซียจริง นานไปญี่ปุ่นอาจจะเอาใจออกห่างอเมริกา แล้วถ้าไปรวมกันเสือเศรษฐกิจแห่งเอเซียล่ะ ที่กำลังทะยานขึ้นมา มันย่อมไม่ใช่แนวทางของโลก ที่อเมริกาอยากให้เป็นนะ วิธีกดดันแบบเดิม ๆ จึงเกิดขึ้น มือหนึ่งกันจับบ่าญี่ปุ่นถามกันตรง ๆ ว่า คุณยุ่น คุณจะเลิกแผนช่วยเหลือรัสเซีย หรือคุณจะเริ่มสร้างกองทัพของคุณเอง อย่าลืมว่าทุกวันนี้ คุณยุ่นมีกองทัพเรือของอเมริกาค้ำ (คอ) ให้อยู่นะ ชอบหรือไม่ก็ตาม ระหว่างนั้นตลาดหุ้น Nikkei ก็ร่วง ยังกับใบไม้โดนพายุหมุน เมื่อจับเอาญี่ปุ่นกลับเข้ามาอยู่ในอุ้งมือเหมือนเดิมแล้ว ต่อไปก็พวกที่คิดว่าตัวเองเป็นเสือเอเซียน่ะ มันจะเป็นเสือหรือเป็นแมวเดี๋ยวได้รู้กัน ช่วงนั้นหลายประเทศในเอเซีย นอกจากญี่ปุ่นแล้ว อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ต่างก็เริ่มขยับฐานะ อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจแต่ละประเทศพวกนี้สูงกว่า ขีดในปรอทที่อเมริกาให้ IMF คอยวัดไว้ ที่อเมริกาหน้าแดงก่ำ คือมันโตกว่าอเมริกาเกือบเท่าตัว ประเทศพวกนี้ไม่มีหนี้ ไม่อยู่ในเงื่อนอะไรของ IMF เสียด้วยซ้ำ พวกเขานำความเจริญมาสู่ประเทศด้านการศึกษา การผลิตและการสร้างงานในประเทศ ที่สำคัญประเทศพวกนี้ ยังไม่เปิดประตูกว้างรับการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติและแถมมีข้อจำกัดเกี่ยว กับการนำสินค้าเข้า อเมริกาจึงเตรียมรางวัลให้กับประเทศที่กำลังเจริญเติบโตเกินอัตราที่ปรอทขีด ไว้ อย่ามาทำเป็นมีไข้(เติบโต)สูง ไอ ไม่ชอบนะ เหมือนกับเวลาที่สิงห์โตล่าเหยื่อ มันจะดูสัตว์ตัวที่อ่อนแอกว่าเพื่อนในฝูง ก่อนไล่ตะบบกิน ค.ศ. 1993 อเมริกาก็ได้เหยื่อที่อยากจะเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งเอเซีย ความอยากรวยเร็วของเสือตัวที่ 5 ไม่ทันดูฉลากที่แปะมากับอาหารที่อเมริกาส่งมาให้ที่ชื่อ George Soros ผลที่ตามมาคงจะพอจำกันได้ ไทยแลนด์แดนสมันน้อย (ไม่ได้เป็นเสืออย่างที่เข้าใจ ทีนี้รู้แล้วนะ ทำไมถึงเรียกว่า “สมันน้อย”) ก็เจอฟองสบู่ลอยเต็มเมือง ตามมาด้วยการลดค่าเงินบาท ที่ทำให้ไอ้พวกโจรร้ายมันรวยล้นแผ่นดินอยู่นี่ไงล่ะ แล้วก็มีคนเดินย่องเข้าไปหานายใหญ่ที่กรุงวอชิงตัน ช่วยอ้ายน้อยด้วย ! แล้วสมันน้อยก็กลับไปซบอกนายใหญ่ ถูกใส่ปลอกคอยี่ห้อ IMF เดินเชื่องไม่ต่างกันเมื่อเขาเอาคอมมิวนิสต์มาขู่ ยอมเดินลงเปลให้เขากล่อม ทำอะไรก็ได้ในไทยแลนด์ตอนนั้น คราวนี้เราก็เสียอธิปไตยอีกหน แต่เป็นเสียอธิปไตยทางการเงิน ! ต้มยำกุ้งดังไปทั่วโลก หลังจากนั้น เสือฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ก็ระเนระนาดล้มตามกันไป จบตำนานเสือแห่งเอเซีย เดินร้องเหมียว ๆ เข้ากรง IMF กันเป็นแถว คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • บ้านเมืองเราวุ่นวายทั้งหมดนี้ ในเวลานี้ ภาวะสงครามนี้ จริงๆมาจากศาลเรานี้ล่ะ,ไม่เด็ดขาดประหารชีวิต นักการเมืองเลวชั่วนี้จริงๆ ปล่อยพวกมันสร้างกระแสชั่วเลวไม่หยุดหย่อน สลับเรื่องเล่นสาระพัด ปล่อยเลยตามน้ำตามเวลาจนเกิดภัยมหันต่อชาติบ้านเมืองจริงเช่นสงครามไทยกับเขมร ถูกเขมรอาชญากรสงครามยิงระเบิดใส่เด็กๆเราตาย ครอบครัวคนไทยตายเกือบหมดครอบครัว ประชาชนผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บล้มตายเป็นอันมากอีก,และในอนาคตอาจชักนำมหาสงครามใหญ่เข้าบ้านเข้าเมืองอีก,ทำเล่นๆเหมือนนักการเมืองไม่ได้,และจริงๆศาลสามารถรับรู้ภัยปกติเหมือนประชาชนทั่วไปรับรู้ภัยนั้นเป็นพื้นฐานสันชาตญาณความจะเกิดภัยจะเป็นภัยได้โดยเฉพาะภัยในระดับชาติระดับประเทศ ภัยด้านอธิปไตยดินแดนไทย,ศาลไม่จำเป็นให้ใครคนไทยที่ไหนร้องขอร้องเรียนก็ได้ คนในศาลก็เป็นคนไทย ถอดหัวโขนก็คนไทยปกตินี้ล่ะ มีตายเผาผีเหมือนกัน มีครอบครัวญาติพี่น้องเป็นคนไทยอาศัยอยู่บนแผ่นดินไทยเหมือนกัน สามัญสำนึกศาลหยั่งเห็นชัดเจนกับพยานแวดล้อมปกติได้เหมือนประชาชนปกติทั่วไปรับรู้ผ่านสื่อข่าวต่างๆแม้ไม่ลึกชัดเจนใช้พยานหลักฐานระดับวิทยศาสตร์นั้นๆพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงและสามารถยุ่งเกี่ยวได้ทันทีอีกด้วย ทางตรงออกนอกหน้าได้ เพราะเมื่อไม่มีแผ่นดินไทยหรือทหารรบแพ้แบบสงครามโลกกับญี่ปุ่น ศาลไทยไม่จำเป็นต้องมีตลอดญี่ปุ่นยึดประเทศไทยได้,ฉันใดคือฉันนั้น ทหารไทยหากแพ้สงครามกับเขมรมีอเมริกาหนุนจริง หายนะความเสียหายอาจประมาณการณ์มิได้,ตำตาคือmou43,44ศาลผ่านอัยการศาลดำเนินการตรวจสอบพิสูจน์ความจริงได้เพราะเกี่ยวข้องกับอธิปไตยดินแดนไทยชัดเจน ร.9ในหลวงเราใช้1:50,000ชัดเจนด้านแผนที่ทั่วราชอาณาจักร รัฐบาลยังกอดmou1:200,000ไว้ แสดงชัดเจนจะเป็นอื่นไม่ได้ ดินแดนไทยอธิปไตยไทยสูญเสียแน่นอนถึง1:150,000 มันเสียพื้นที่น้อยๆมั้ย ศาลย่อมสามารถพิสูจน์ค่าจริงสิ่งนี้ได้ แต่ศาลเราปฏิบัติสถานะน่าผิดหวังมากถึงมากที่สุด,หน้าที่ของศาลมิใช่แค่ตัดสินประชาชนทุกๆคนเพียงในประเทศเท่านั้น ต้องสามารถเป็นแม่ทัพออกมาปกป้องทั้งประเทศไทยตนเองด้วย,แล้วเราจะมีศาลประจำประเทศไทยทำมั้ย?.ข้อผิดพลาดมากคือประชาชนไม่สามารถวิจารณ์ศาลในการตัดสินคดีใดๆได้เลย ปิดปากประชาชนมาก,กฎหมายหมิ่นประมาทก็ด้วย นี้คือกฎหมายของdeep stateสากลโลกเขียนเพื่อบังคับผ่านรัฐบาลประเทศต่างๆทั่วโลกให้เอาไปปิดปากชาวโลก ประชาชนในประเทศนั้นๆ ระบบก็ส่งออกจากฝรั่ง สิ่งจึงง่ายที่จะส่งซอฟแวร์นี้มาด้วย สแกนไวรัสที่ตอต้านนั้นเองในระบบมัน,ระบบประชาธิปไตยส่งออกของฝรั่ง,ระบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ส่งออกของฝรั่ง,ซึ่งทั้งหมดคือของdeep stateสร้างทำออกแบบหมด,เราประเทศไทยต้องสร้างระบบเราขึ้นมาเอง.,ซอฟแวร์แอปและแพลตฟอร์มต่างๆต้องสร้างเองด้วยให้เหมาะสมกับเรา.,ผู้เป็นผู้นำแห่งจิตวิญญาณของโลกอนาคต.,เรามีในหลวงนะ.

    https://youtube.com/shorts/1EEwcbBMwvc?si=Eztc9jrqMM-iTRjN
    บ้านเมืองเราวุ่นวายทั้งหมดนี้ ในเวลานี้ ภาวะสงครามนี้ จริงๆมาจากศาลเรานี้ล่ะ,ไม่เด็ดขาดประหารชีวิต นักการเมืองเลวชั่วนี้จริงๆ ปล่อยพวกมันสร้างกระแสชั่วเลวไม่หยุดหย่อน สลับเรื่องเล่นสาระพัด ปล่อยเลยตามน้ำตามเวลาจนเกิดภัยมหันต่อชาติบ้านเมืองจริงเช่นสงครามไทยกับเขมร ถูกเขมรอาชญากรสงครามยิงระเบิดใส่เด็กๆเราตาย ครอบครัวคนไทยตายเกือบหมดครอบครัว ประชาชนผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บล้มตายเป็นอันมากอีก,และในอนาคตอาจชักนำมหาสงครามใหญ่เข้าบ้านเข้าเมืองอีก,ทำเล่นๆเหมือนนักการเมืองไม่ได้,และจริงๆศาลสามารถรับรู้ภัยปกติเหมือนประชาชนทั่วไปรับรู้ภัยนั้นเป็นพื้นฐานสันชาตญาณความจะเกิดภัยจะเป็นภัยได้โดยเฉพาะภัยในระดับชาติระดับประเทศ ภัยด้านอธิปไตยดินแดนไทย,ศาลไม่จำเป็นให้ใครคนไทยที่ไหนร้องขอร้องเรียนก็ได้ คนในศาลก็เป็นคนไทย ถอดหัวโขนก็คนไทยปกตินี้ล่ะ มีตายเผาผีเหมือนกัน มีครอบครัวญาติพี่น้องเป็นคนไทยอาศัยอยู่บนแผ่นดินไทยเหมือนกัน สามัญสำนึกศาลหยั่งเห็นชัดเจนกับพยานแวดล้อมปกติได้เหมือนประชาชนปกติทั่วไปรับรู้ผ่านสื่อข่าวต่างๆแม้ไม่ลึกชัดเจนใช้พยานหลักฐานระดับวิทยศาสตร์นั้นๆพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงและสามารถยุ่งเกี่ยวได้ทันทีอีกด้วย ทางตรงออกนอกหน้าได้ เพราะเมื่อไม่มีแผ่นดินไทยหรือทหารรบแพ้แบบสงครามโลกกับญี่ปุ่น ศาลไทยไม่จำเป็นต้องมีตลอดญี่ปุ่นยึดประเทศไทยได้,ฉันใดคือฉันนั้น ทหารไทยหากแพ้สงครามกับเขมรมีอเมริกาหนุนจริง หายนะความเสียหายอาจประมาณการณ์มิได้,ตำตาคือmou43,44ศาลผ่านอัยการศาลดำเนินการตรวจสอบพิสูจน์ความจริงได้เพราะเกี่ยวข้องกับอธิปไตยดินแดนไทยชัดเจน ร.9ในหลวงเราใช้1:50,000ชัดเจนด้านแผนที่ทั่วราชอาณาจักร รัฐบาลยังกอดmou1:200,000ไว้ แสดงชัดเจนจะเป็นอื่นไม่ได้ ดินแดนไทยอธิปไตยไทยสูญเสียแน่นอนถึง1:150,000 มันเสียพื้นที่น้อยๆมั้ย ศาลย่อมสามารถพิสูจน์ค่าจริงสิ่งนี้ได้ แต่ศาลเราปฏิบัติสถานะน่าผิดหวังมากถึงมากที่สุด,หน้าที่ของศาลมิใช่แค่ตัดสินประชาชนทุกๆคนเพียงในประเทศเท่านั้น ต้องสามารถเป็นแม่ทัพออกมาปกป้องทั้งประเทศไทยตนเองด้วย,แล้วเราจะมีศาลประจำประเทศไทยทำมั้ย?.ข้อผิดพลาดมากคือประชาชนไม่สามารถวิจารณ์ศาลในการตัดสินคดีใดๆได้เลย ปิดปากประชาชนมาก,กฎหมายหมิ่นประมาทก็ด้วย นี้คือกฎหมายของdeep stateสากลโลกเขียนเพื่อบังคับผ่านรัฐบาลประเทศต่างๆทั่วโลกให้เอาไปปิดปากชาวโลก ประชาชนในประเทศนั้นๆ ระบบก็ส่งออกจากฝรั่ง สิ่งจึงง่ายที่จะส่งซอฟแวร์นี้มาด้วย สแกนไวรัสที่ตอต้านนั้นเองในระบบมัน,ระบบประชาธิปไตยส่งออกของฝรั่ง,ระบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ส่งออกของฝรั่ง,ซึ่งทั้งหมดคือของdeep stateสร้างทำออกแบบหมด,เราประเทศไทยต้องสร้างระบบเราขึ้นมาเอง.,ซอฟแวร์แอปและแพลตฟอร์มต่างๆต้องสร้างเองด้วยให้เหมาะสมกับเรา.,ผู้เป็นผู้นำแห่งจิตวิญญาณของโลกอนาคต.,เรามีในหลวงนะ. https://youtube.com/shorts/1EEwcbBMwvc?si=Eztc9jrqMM-iTRjN
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 357 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลาออกอาจรอด อยู่กับครอบครัวสบายใจขึ้น.
    ..ไม่ออกชิปหายแน่,อาจโทษประหารจริง.

    ..คือชัดเจนขนาดนั้น ถ้าพรรคคอมมิวนิสต์จับไปขึ้นศาล จีนลงดาบประหารชีวิตอย่างเดียวแน่นอน.,คือตรรกะพื้นฐานเลย,มันชัดเจนขนาดนั้นแล้ว.,ร่ำรวยมากมายขนาดนั้นจะอยากได้อ่าวไทยมากมายอะไรอีก,อเมริกาและฝรั่งเศลหรือชาติฝรั่งนี้มันสร้างปัญหาในอาเชียนในเอเชียเราจริงๆนะ.

    https://youtube.com/shorts/tezbBty25BA?si=ZQNxFidemdSuO_u0
    ลาออกอาจรอด อยู่กับครอบครัวสบายใจขึ้น. ..ไม่ออกชิปหายแน่,อาจโทษประหารจริง. ..คือชัดเจนขนาดนั้น ถ้าพรรคคอมมิวนิสต์จับไปขึ้นศาล จีนลงดาบประหารชีวิตอย่างเดียวแน่นอน.,คือตรรกะพื้นฐานเลย,มันชัดเจนขนาดนั้นแล้ว.,ร่ำรวยมากมายขนาดนั้นจะอยากได้อ่าวไทยมากมายอะไรอีก,อเมริกาและฝรั่งเศลหรือชาติฝรั่งนี้มันสร้างปัญหาในอาเชียนในเอเชียเราจริงๆนะ. https://youtube.com/shorts/tezbBty25BA?si=ZQNxFidemdSuO_u0
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts