• "อดีต" รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล โยอัฟ กัลลันต์ กล่าวกับสื่อมวลชนถึง เหตุผลที่เขาถูกไล่ออกจากตำแหน่งเป็นเพราะว่า เขาต้องการให้ชาวยิวออร์โธดอกซ์เข้าร่วมการเกณฑ์ทหารภาคบังคับเพื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วย (นี่หมายความว่ากองทัพขาดแคลนกำลังพลอย่างหนักตามข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริง)

    นอกจากนี้เขายังสนับสนุนให้มีการเจรจาในข้อตกลงกหยุดยิงและปล่อยตัวประกันในฉนวนกาซา ซึ่งเนทันนาฮูไม่เห็นด้วย เพราะเขาพร้อมยอมเสียตัวประกันเพื่อทำลายฮามาส (เป็นไปตามข่าวลือที่มีมาก่อนหน้านี้อีกเช่นกันถึงความขัดแย้งของทั้งสองคนเรื่องการเจรจากับฮามาส ซึ่งกัลลันต์ต้องการมานานแล้ว)

    อีกหนึ่งเหตุผลคือ เขาเรียกร้องให้มีการสอบสวนถึงความล้มเหลวของหน่วยงานด้านการทหารและข่าวกรองในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่ฮามาสโจมตีอิสราเอลอีกด้วย
    "อดีต" รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล โยอัฟ กัลลันต์ กล่าวกับสื่อมวลชนถึง เหตุผลที่เขาถูกไล่ออกจากตำแหน่งเป็นเพราะว่า เขาต้องการให้ชาวยิวออร์โธดอกซ์เข้าร่วมการเกณฑ์ทหารภาคบังคับเพื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วย (นี่หมายความว่ากองทัพขาดแคลนกำลังพลอย่างหนักตามข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริง) นอกจากนี้เขายังสนับสนุนให้มีการเจรจาในข้อตกลงกหยุดยิงและปล่อยตัวประกันในฉนวนกาซา ซึ่งเนทันนาฮูไม่เห็นด้วย เพราะเขาพร้อมยอมเสียตัวประกันเพื่อทำลายฮามาส (เป็นไปตามข่าวลือที่มีมาก่อนหน้านี้อีกเช่นกันถึงความขัดแย้งของทั้งสองคนเรื่องการเจรจากับฮามาส ซึ่งกัลลันต์ต้องการมานานแล้ว) อีกหนึ่งเหตุผลคือ เขาเรียกร้องให้มีการสอบสวนถึงความล้มเหลวของหน่วยงานด้านการทหารและข่าวกรองในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่ฮามาสโจมตีอิสราเอลอีกด้วย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม หลังหายหน้าหลายวัน ท่ามกลางกระแสข่าวลือหลบหนี แจงไม่ได้มีความคิดจะหลบหนีไปไหน พร้อมแสดงจุดยืนที่จะให้ความร่วมมือกับตำรวจอย่างเต็มที่ แม้จะมีเจ้าหน้าที่เฝ้าดักรอหน้าหมู่บ้านโดยไม่มีหมายเรียก ติงตำรวจเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงตัดสินใจมาพบเจ้าหน้าที่ด้วยตัวเอง ไม่หวั่นข้อกล่าวหา

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000106649

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม หลังหายหน้าหลายวัน ท่ามกลางกระแสข่าวลือหลบหนี แจงไม่ได้มีความคิดจะหลบหนีไปไหน พร้อมแสดงจุดยืนที่จะให้ความร่วมมือกับตำรวจอย่างเต็มที่ แม้จะมีเจ้าหน้าที่เฝ้าดักรอหน้าหมู่บ้านโดยไม่มีหมายเรียก ติงตำรวจเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงตัดสินใจมาพบเจ้าหน้าที่ด้วยตัวเอง ไม่หวั่นข้อกล่าวหา อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000106649 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    Yay
    Wow
    22
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 647 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศเหนือ

    เดือนนี้ ต้องหนักแน่นอย่าหูเบา มีโอกาสตื่นเต้นตกใจจากข่าวลือ หรือเป็นเพราะการได้ยินที่ผิดพลาดทำให้เกิดการเข้าใจผิด ความลับในองค์กรจะถูกเปิดเผยให้รั่วไหล จะเกิดการทรยศหักหลัง ทั้งศัตรูคู่แข่งขันจะคอยจ้องทำร้าย ลูกหลานบริวารไม่ยอมปฏิบัติเชื่อฟัง รวมทั้งกระทำการนอกกฎระเบียบจะถูกตัดสิทธิ์ริบเงินมัดจำ เลี้ยงสุนัขอาจจะแวงกัดจนเกิดเป็นโรคร้ายให้ต้องเสียทรัพย์เพื่อรักษาพยาบาล ชายที่ชอบเที่ยวเตร่ระวังจะเป็นโรคเลือด เดินทางไปที่ๆชื้นแฉะและมืดมิดจะเกิดอุบัติเหตุลื่นหกล้มได้รับบาดเจ็บเลือดตกยางออกได้ รวมทั้งเดินทางไกลควรระมัดระวังภัยธรรมชาติด้วย
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศเหนือ เดือนนี้ ต้องหนักแน่นอย่าหูเบา มีโอกาสตื่นเต้นตกใจจากข่าวลือ หรือเป็นเพราะการได้ยินที่ผิดพลาดทำให้เกิดการเข้าใจผิด ความลับในองค์กรจะถูกเปิดเผยให้รั่วไหล จะเกิดการทรยศหักหลัง ทั้งศัตรูคู่แข่งขันจะคอยจ้องทำร้าย ลูกหลานบริวารไม่ยอมปฏิบัติเชื่อฟัง รวมทั้งกระทำการนอกกฎระเบียบจะถูกตัดสิทธิ์ริบเงินมัดจำ เลี้ยงสุนัขอาจจะแวงกัดจนเกิดเป็นโรคร้ายให้ต้องเสียทรัพย์เพื่อรักษาพยาบาล ชายที่ชอบเที่ยวเตร่ระวังจะเป็นโรคเลือด เดินทางไปที่ๆชื้นแฉะและมืดมิดจะเกิดอุบัติเหตุลื่นหกล้มได้รับบาดเจ็บเลือดตกยางออกได้ รวมทั้งเดินทางไกลควรระมัดระวังภัยธรรมชาติด้วย ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปิโตรเลียมเกาะกูด น้ำมันแพงเหมือนเดิม

    มีคำกล่าวว่า "ข่าวลือมักจะมาก่อนข่าวจริงเสมอ" ประเด็นเกาะกูดเกิดขึ้นจากข่าวลือแบบปากต่อปากว่า นักการเมืองรายหนึ่งจะยกเกาะกูดให้เขมร กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักการลงโทษจากคดีทุจริตไปแสดงวิสัยทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา หรือ OCA (Overlapping Claims Area) อ้างว่ากัมพูชาลากเส้นจากไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเลแล้วเกยกัน ถือว่าเป็นเขตทับซ้อน ถ้ามีทรัพยากรอยู่ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่ง

    แม้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.125 แต่เมื่อปี 2515 กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย 200 ไมล์ทะเลฝ่ายเดียว โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด ไปผ่ากลางครึ่งหนึ่งของเกาะกูด แต่ก็มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยในปี 2516 โดยแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 ระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายสากล คือ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 แต่กัมพูชายังคงยึดถือเขตไหล่ทวีปของตนเอง หนำซ้ำรัฐบาลทักษิณไปเซ็น MOU 2544 ทำให้นายทักษิณอ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน

    ต่อมาวันที่ 10 ต.ค. 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ จะเริ่มเจรจากับกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีมูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เนื่องจากต้องการเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ควบคุมค่าไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายนำเข้าเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น คาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทั้งสองประเทศขัดแย้งทางการทูตและความอ่อนไหวเรื่องอธิปไตย ทำให้การเจรจาหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2544

    แม้เรื่องเกาะกูดจะไม่โด่งดัง แต่ก็เป็นที่พูดถึงในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กังวลว่าไทยจะเสียสิทธิ์ทางทะเล และเสียดินแดนเช่นเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหาร ส่วนรัฐบาลตอบโต้ว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศจะร่วมกันนำพลังงานขึ้นมาใช้ แต่สุดท้ายคนไทยใช้น้ำมันแพงเหมือนเดิม เพราะอ้างอิงราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ แถมต้นทุนโรงกลั่นในไทยสูงกว่าสิงค์โปร์ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติยังจำกัดอยู่ที่รายใหญ่ เชื่อไม่ได้ว่าค่าไฟฟ้าจะถูกลง คนที่ได้ประโยชน์ตัวจริงคือนักการเมือง กับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มเท่านั้น

    #Newskit #เกาะกูด
    ปิโตรเลียมเกาะกูด น้ำมันแพงเหมือนเดิม มีคำกล่าวว่า "ข่าวลือมักจะมาก่อนข่าวจริงเสมอ" ประเด็นเกาะกูดเกิดขึ้นจากข่าวลือแบบปากต่อปากว่า นักการเมืองรายหนึ่งจะยกเกาะกูดให้เขมร กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักการลงโทษจากคดีทุจริตไปแสดงวิสัยทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา หรือ OCA (Overlapping Claims Area) อ้างว่ากัมพูชาลากเส้นจากไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเลแล้วเกยกัน ถือว่าเป็นเขตทับซ้อน ถ้ามีทรัพยากรอยู่ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่ง แม้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.125 แต่เมื่อปี 2515 กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย 200 ไมล์ทะเลฝ่ายเดียว โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด ไปผ่ากลางครึ่งหนึ่งของเกาะกูด แต่ก็มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยในปี 2516 โดยแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 ระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายสากล คือ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 แต่กัมพูชายังคงยึดถือเขตไหล่ทวีปของตนเอง หนำซ้ำรัฐบาลทักษิณไปเซ็น MOU 2544 ทำให้นายทักษิณอ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน ต่อมาวันที่ 10 ต.ค. 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ จะเริ่มเจรจากับกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีมูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เนื่องจากต้องการเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ควบคุมค่าไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายนำเข้าเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น คาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทั้งสองประเทศขัดแย้งทางการทูตและความอ่อนไหวเรื่องอธิปไตย ทำให้การเจรจาหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2544 แม้เรื่องเกาะกูดจะไม่โด่งดัง แต่ก็เป็นที่พูดถึงในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กังวลว่าไทยจะเสียสิทธิ์ทางทะเล และเสียดินแดนเช่นเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหาร ส่วนรัฐบาลตอบโต้ว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศจะร่วมกันนำพลังงานขึ้นมาใช้ แต่สุดท้ายคนไทยใช้น้ำมันแพงเหมือนเดิม เพราะอ้างอิงราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ แถมต้นทุนโรงกลั่นในไทยสูงกว่าสิงค์โปร์ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติยังจำกัดอยู่ที่รายใหญ่ เชื่อไม่ได้ว่าค่าไฟฟ้าจะถูกลง คนที่ได้ประโยชน์ตัวจริงคือนักการเมือง กับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มเท่านั้น #Newskit #เกาะกูด
    Like
    14
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เขาเล่ามา.(จริงหรือเท็จ มิทราบได้ อาจมโนกันมานานหลายปีแล้วก็ได้)
    ..ตรองกันเอง,เพียงผู้นำเสนอแนวทาง&ทางเลือกเท่านั้น.

    MED BEDS:

    · อาทิตย์ที่ 27 ต.ค. 2024: ข่าวล่าสุด! ทรัมป์จัดสรรเงินของรัฐบาลกลางเพื่อสนับสนุนศูนย์รักษาผู้ป่วย Med Bed – สถานพยาบาลกำลังรักษาทหารและเด็กๆ ในขณะที่กลุ่มแพทย์กำลังเผชิญกับการล่มสลาย!

    Med Beds มาแล้ว! ศูนย์รักษาผู้ป่วยที่ปฏิวัติวงการและโครงการฝึกอบรมลับของกองทัพ!

    · Med Bed แตกต่างจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ใดๆ ที่เราเคยเห็น—รากฐานของมันไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีขั้นสูงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณที่ทรงพลัง ข่าวที่ว่าการฝึกอบรมสำหรับผู้ปฏิบัติงาน Med Bed ถูกตัดจาก 12-18 เดือนเหลือเพียง 6 เดือนนั้นมีความสำคัญ ทำไม? เพราะตอนนี้เน้นที่ความพร้อมทางจิตวิญญาณมากกว่าทักษะทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว

    · นี่เป็นมากกว่าการทำความเข้าใจชีววิทยา ผู้ปฏิบัติงานต้องปรับตัวให้เข้ากับพลังงานสั่นสะเทือน—เข้าใจถึงความเชื่อมโยงกันของทุกสิ่ง แพทย์ทั่วไปอาจเข้าใจพื้นฐานของการผ่าตัด Med Bed ได้ภายในสองวัน แต่ถ้าขาดความตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณ พวกเขาจะต้องเดินทางเป็นเวลาหกเดือนเพื่อปลดล็อกพลังที่แท้จริงของมัน นี่คือการรักษาแบบองค์รวมในระดับที่เราไม่เคยพบมาก่อน ยินดีต้อนรับสู่โลก 5 มิติ

    · การเปิดเผยที่น่าตกตะลึงที่สุดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ Med Beds คือจิตสำนึกของพวกเขา นี่ไม่ใช่แค่เครื่องจักร แต่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก ผู้ควบคุมเชื่อมต่อกับ Med Beds ด้วยพลังจิต ซึ่งเป็นโลกที่ความคิดชี้นำเครื่องจักร ที่เจตนาแสดงการรักษา แต่ไม่ใช่ทุกคนจะควบคุมพลังนี้ได้ เฉพาะผู้ที่ตื่นรู้จริงๆ เท่านั้นที่เข้าถึงได้

    · การฝึกอบรมนี้ไม่ใช่เรื่องตลก มันต้องการความมุ่งมั่นของคุณทุกหยด มันไม่ใช่งานอดิเรกหรือโปรเจ็กต์เสริม มันคืออาชีพ และอย่าเข้าใจผิด สิ่งมีชีวิตต่างมิติที่ดูแลกระบวนการนี้จะรู้ว่าคุณไม่มุ่งมั่น คนเกียจคร้านไม่มีที่ยืนที่นี่

    · ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณมีบทบาทสำคัญเช่นกัน พวกเขาไม่เพียงแต่แนะนำผู้ป่วยผ่านการรักษาทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำให้แน่ใจว่าจิตใจและวิญญาณของพวกเขาอยู่ในแนวเดียวกัน การฝึกอบรมของพวกเขามีความเข้มงวดไม่แพ้กัน และพวกเขายังต้องปฏิบัติตามมาตรฐานสูงสุดของการปรับความสั่นสะเทือนอีกด้วย

    · การปฏิวัติ Med Bed ไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าทางการแพทย์เท่านั้น เป็นการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ เป็นการเรียกร้องไปยังผู้ที่เชื่อในแนวทางการรักษาแบบองค์รวม หากคุณสนใจสิ่งนี้ ตอนนี้คือเวลาที่เหมาะสม เจาะลึกจิตวิญญาณ สำรวจจิตสำนึก และเตรียมพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติที่จะปรับเปลี่ยนโลกแห่งการรักษา

    · การมีส่วนร่วมของกองทัพในการจัดจำหน่ายเตียงพยาบาล: คำถามที่ร้อนแรง: ทำไมต้องปิดบังไว้? เหตุใดจึงล่าช้าในการประกาศเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเช่นนี้? แหล่งข่าวระบุว่าไม่นานหลังจากมีการเปิดเผยเงินทุนด้านมนุษยธรรม เตียงพยาบาลจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ทำไมเรื่องนี้ถึงถูกปกปิดไว้?

    · การมีส่วนร่วมของกองทัพในการจัดจำหน่ายและดำเนินการเตียงพยาบาลเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามมากมาย ทันทีหลังจากการประกาศต่อสาธารณะ พวกเขาจะขนส่งผู้ป่วยไปยังศูนย์เหล่านี้ แต่ทำไมต้องเป็นกองทัพ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์? แล้วลำดับชั้นของการรักษาล่ะ—กลุ่มแรกและกลุ่มถัดไป?

    · รายงานระบุว่ากลุ่มแรกจะเป็นกลุ่มที่ใกล้จะตาย: ผู้ป่วยในสถานพยาบาลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยชีวิต และผู้ป่วยวิกฤต กลุ่ม NEXT จะรักษาผู้ป่วยที่มีอาการร้ายแรงแต่ไม่ถึงขั้นคุกคามชีวิตในทันที แต่ทำไมถึงจัดอยู่ในประเภทนั้น ทำไมบางคนถึงบอกว่าหลายคนจะปฏิเสธการรักษา

    · คำตอบอาจทำให้คุณตกใจ หลายคนเชื่อว่า Med Bed เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวาระที่ยิ่งใหญ่กว่า ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว มีข่าวลือเกี่ยวกับกิจกรรมคล้ายลัทธิและแม้แต่การโคลนนิ่งที่เกี่ยวข้องกับศูนย์เหล่านี้ เป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก?

    · แต่ขออย่าละเลยศักยภาพที่นี่ ลองนึกถึงสภาพแวดล้อมในการรักษาที่ไม่หนาวเย็นและปลอดเชื้อ แต่เต็มไปด้วยความงามตามธรรมชาติ—ต้นไม้ ลำธาร และสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย ศูนย์ Med Bed เหล่านี้มุ่งหวังที่จะทำมากกว่าการรักษา พวกเขามุ่งหวังที่จะยกระดับจิตสำนึกของมนุษย์ ผลักดันให้ผู้คนรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองและไปสู่สภาวะที่สูงขึ้น

    · อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขอยู่ว่า หากต้องการเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมนุษยธรรม Med Bed คุณต้องมีเจตนาที่แท้จริง ในระหว่างการนัดหมายที่ศูนย์ไถ่บาป การสั่นสะเทือนของคุณจะถูกอ่าน นี่เป็นเพียงพิธีการหรือเป็นการทดสอบจิตวิญญาณของคุณ?

    ..เขาเล่ามา.(จริงหรือเท็จ มิทราบได้ อาจมโนกันมานานหลายปีแล้วก็ได้) ..ตรองกันเอง,เพียงผู้นำเสนอแนวทาง&ทางเลือกเท่านั้น. MED BEDS: · อาทิตย์ที่ 27 ต.ค. 2024: ข่าวล่าสุด! ทรัมป์จัดสรรเงินของรัฐบาลกลางเพื่อสนับสนุนศูนย์รักษาผู้ป่วย Med Bed – สถานพยาบาลกำลังรักษาทหารและเด็กๆ ในขณะที่กลุ่มแพทย์กำลังเผชิญกับการล่มสลาย! Med Beds มาแล้ว! ศูนย์รักษาผู้ป่วยที่ปฏิวัติวงการและโครงการฝึกอบรมลับของกองทัพ! · Med Bed แตกต่างจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ใดๆ ที่เราเคยเห็น—รากฐานของมันไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีขั้นสูงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณที่ทรงพลัง ข่าวที่ว่าการฝึกอบรมสำหรับผู้ปฏิบัติงาน Med Bed ถูกตัดจาก 12-18 เดือนเหลือเพียง 6 เดือนนั้นมีความสำคัญ ทำไม? เพราะตอนนี้เน้นที่ความพร้อมทางจิตวิญญาณมากกว่าทักษะทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว · นี่เป็นมากกว่าการทำความเข้าใจชีววิทยา ผู้ปฏิบัติงานต้องปรับตัวให้เข้ากับพลังงานสั่นสะเทือน—เข้าใจถึงความเชื่อมโยงกันของทุกสิ่ง แพทย์ทั่วไปอาจเข้าใจพื้นฐานของการผ่าตัด Med Bed ได้ภายในสองวัน แต่ถ้าขาดความตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณ พวกเขาจะต้องเดินทางเป็นเวลาหกเดือนเพื่อปลดล็อกพลังที่แท้จริงของมัน นี่คือการรักษาแบบองค์รวมในระดับที่เราไม่เคยพบมาก่อน ยินดีต้อนรับสู่โลก 5 มิติ · การเปิดเผยที่น่าตกตะลึงที่สุดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ Med Beds คือจิตสำนึกของพวกเขา นี่ไม่ใช่แค่เครื่องจักร แต่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก ผู้ควบคุมเชื่อมต่อกับ Med Beds ด้วยพลังจิต ซึ่งเป็นโลกที่ความคิดชี้นำเครื่องจักร ที่เจตนาแสดงการรักษา แต่ไม่ใช่ทุกคนจะควบคุมพลังนี้ได้ เฉพาะผู้ที่ตื่นรู้จริงๆ เท่านั้นที่เข้าถึงได้ · การฝึกอบรมนี้ไม่ใช่เรื่องตลก มันต้องการความมุ่งมั่นของคุณทุกหยด มันไม่ใช่งานอดิเรกหรือโปรเจ็กต์เสริม มันคืออาชีพ และอย่าเข้าใจผิด สิ่งมีชีวิตต่างมิติที่ดูแลกระบวนการนี้จะรู้ว่าคุณไม่มุ่งมั่น คนเกียจคร้านไม่มีที่ยืนที่นี่ · ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณมีบทบาทสำคัญเช่นกัน พวกเขาไม่เพียงแต่แนะนำผู้ป่วยผ่านการรักษาทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำให้แน่ใจว่าจิตใจและวิญญาณของพวกเขาอยู่ในแนวเดียวกัน การฝึกอบรมของพวกเขามีความเข้มงวดไม่แพ้กัน และพวกเขายังต้องปฏิบัติตามมาตรฐานสูงสุดของการปรับความสั่นสะเทือนอีกด้วย · การปฏิวัติ Med Bed ไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าทางการแพทย์เท่านั้น เป็นการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ เป็นการเรียกร้องไปยังผู้ที่เชื่อในแนวทางการรักษาแบบองค์รวม หากคุณสนใจสิ่งนี้ ตอนนี้คือเวลาที่เหมาะสม เจาะลึกจิตวิญญาณ สำรวจจิตสำนึก และเตรียมพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติที่จะปรับเปลี่ยนโลกแห่งการรักษา · การมีส่วนร่วมของกองทัพในการจัดจำหน่ายเตียงพยาบาล: คำถามที่ร้อนแรง: ทำไมต้องปิดบังไว้? เหตุใดจึงล่าช้าในการประกาศเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเช่นนี้? แหล่งข่าวระบุว่าไม่นานหลังจากมีการเปิดเผยเงินทุนด้านมนุษยธรรม เตียงพยาบาลจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ทำไมเรื่องนี้ถึงถูกปกปิดไว้? · การมีส่วนร่วมของกองทัพในการจัดจำหน่ายและดำเนินการเตียงพยาบาลเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามมากมาย ทันทีหลังจากการประกาศต่อสาธารณะ พวกเขาจะขนส่งผู้ป่วยไปยังศูนย์เหล่านี้ แต่ทำไมต้องเป็นกองทัพ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์? แล้วลำดับชั้นของการรักษาล่ะ—กลุ่มแรกและกลุ่มถัดไป? · รายงานระบุว่ากลุ่มแรกจะเป็นกลุ่มที่ใกล้จะตาย: ผู้ป่วยในสถานพยาบาลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยชีวิต และผู้ป่วยวิกฤต กลุ่ม NEXT จะรักษาผู้ป่วยที่มีอาการร้ายแรงแต่ไม่ถึงขั้นคุกคามชีวิตในทันที แต่ทำไมถึงจัดอยู่ในประเภทนั้น ทำไมบางคนถึงบอกว่าหลายคนจะปฏิเสธการรักษา · คำตอบอาจทำให้คุณตกใจ หลายคนเชื่อว่า Med Bed เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวาระที่ยิ่งใหญ่กว่า ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว มีข่าวลือเกี่ยวกับกิจกรรมคล้ายลัทธิและแม้แต่การโคลนนิ่งที่เกี่ยวข้องกับศูนย์เหล่านี้ เป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก? · แต่ขออย่าละเลยศักยภาพที่นี่ ลองนึกถึงสภาพแวดล้อมในการรักษาที่ไม่หนาวเย็นและปลอดเชื้อ แต่เต็มไปด้วยความงามตามธรรมชาติ—ต้นไม้ ลำธาร และสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย ศูนย์ Med Bed เหล่านี้มุ่งหวังที่จะทำมากกว่าการรักษา พวกเขามุ่งหวังที่จะยกระดับจิตสำนึกของมนุษย์ ผลักดันให้ผู้คนรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองและไปสู่สภาวะที่สูงขึ้น · อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขอยู่ว่า หากต้องการเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมนุษยธรรม Med Bed คุณต้องมีเจตนาที่แท้จริง ในระหว่างการนัดหมายที่ศูนย์ไถ่บาป การสั่นสะเทือนของคุณจะถูกอ่าน นี่เป็นเพียงพิธีการหรือเป็นการทดสอบจิตวิญญาณของคุณ?
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากงานเปิดตัวหนังสือ "ความจริงที่ไม่ทีใครพูด กรณีสวรรคต ร.8"

    เมื่อบ่ายวันที่ 31 ตุลาคม 2567 .. ขณะที่ผม(ผู้เขียน) ดูไลฟ์สดจากเฟสบุ๊ก ก็ได้อ่านคอมเมนต์ต่าง ๆ ไปด้วย

    แล้วพบว่า อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เข้ามาแสดงความเห็นอยู่ 3 ครั้ง
    เป็นคอมเมนต์เย้ยหยันว่า ไม่เห็นมีอะไรใหม่

    ลักษณะเย้ยหยันเช่นนี้ ได้กลายเป็นบุคลิกของคนชื่อสมศักดิ์ เจียมฯ ไปแล้ว
    ทั้ง ๆ ที่มันมีใหม่อยู่ในเก่า แต่ตาถั่วไม่เห็นเอง
    ...

    ถนนสายหนึ่ง มันก็ยังคงเป็นเส้นทางเดิม ๆ ทุกครั้ง ซอยซ้ายและขวาก็คงเดิม ทุกคนที่เคยผ่านล้วนคิดว่ารู้จักมันดี

    รู้จักมันดีจริงหรือ ?

    แต่แท้ที่จริงแล้ว กลับไม่รู้จักในรายละเอียดของถนนเส้นนั้นเลย
    เช่น ไม่รู้ว่าต้นราชพฤกษ์มีกี่ต้น อยู่ก่อนต้นนางพญาเสือโคร่ง หรืออยู่หลังต้นนางพญาเสือโคร่ง

    เช่น ระหว่างซอยสองซอย ไม่รู้ว่าแผงขายหมูปิ้งตอนเช้า อยู่ใกล้กับแผงขายปาท่องโก้ หรือเลยไปจากร้านขายโจ๊กอีกซอยหนึ่ง

    รู้เส้นทางถนน แต่ใช่ว่าจะเข้าใจลำดับรอบ ๆ ทางของมัน
    ...

    อ.สมศักดิ์ เจียมฯ .. เข้ามาพิมพ์ว่า ไม่เห็นมีอะไรใหม่ในช่วงแรก ๆ ของการเปิดงาน / หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่า อ.สมศักดิ์ได้ดูต่อเนื่องอีกหรือไม่ ?

    เพราะความใหม่ มันได้เกิดขึ้นหลังข้อความการด้อยค่าของ อ.สมศักดิ์

    และมันคือการ "โป๊ะแตก" อย่างจัง
    ....

    คุณวิมลพรรณ ปีตะธวัชชัย .. นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์อาวุโส อดีตนักข่าวหญิงคนแรกของสยามรัฐ
    ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาของ นสพ. โพสต์ทูเดย์ (และเป็นผู้เขียนหนังสือ เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ)

    คุณวิมลพรรณ ได้เล่าบางช่วงเวลาให้ฟังว่า

    ที่เขียนหนังสือเอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ เป็นเพราะบังเอิญไปอ่านหนังสือของ อ.สมศักดิ์

    อ.สมศักดิ์บอกว่า ..
    รัชกาลที่ 9 อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (16 กย. 2500 - โค่นจอมพล ป. ซึ่งครองอำนาจสมัยที่ 2)

    โดยก่อนหน้าจอมพลสฤษดิ์ จะทำการปฏิวัติ 2 สัปดาห์ ได้มีการประชุมวางแผนกันถึง 70 คน

    ใน 70 คนนั้น มีพี่น้องปราโมช 2 คน (ม.ร.ว.เสนีย์ - ม.ร.ว.คึกฤทธิ์) และมีพระองค์เจ้าธานีนิวัติ (พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร)

    ซึ่งแสดงว่า ร.9 รู้เห็นในการปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ให้ยึดอำนาจจากจอมพล ป.

    คุณวิมลพรรณ ซึ่งรู้จักทางฝ่าย ม.ร.ว.เสนีย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และพระองค์เจ้าธานีนิวัต จึงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่อ.สมศักดิ์ บอกไว้

    แต่ในเวลานั้นผู้ใหญ่ทั้งสามท่าน ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วไม่รู้จะไปถามใคร ทำให้ต้องค้นหาความจริงเอง

    คุณวิมลพรรณ ได้เดินทางตามหาเอกสารตามที่อ.สมศักดิ์ อ้างไว้ ..
    ไปถึงห้องสมุดประเทศอังกฤษ , พบบันทึกฝรั่งที่เขียนใส่แฟ้มเอาไว้หลายหน้า ในบันทึกแรก ๆ ล้วนแต่บอกว่า ได้รับฟังมาจากคนอื่น ๆ ในประเทศไทย

    ฝรั่งเขียนรายงานตามที่ได้ยินมา ว่าสองพี่น้องปราโมชและพระองค์เจ้าธานีนิวัต ไปประชุมร่วมมือการปฏิวัติกับจอมพลสฤษดิ์

    พอเปิดเอกสารในแฟ้มไปเรื่อย ๆ จนพบจดหมายของทูตอังกฤษ ที่เขียนไว้ว่า ..
    .. ข้อมูลคำบอกเล่าด้านหน้าที่บันทึกไว้ มันเป็น "ข่าวลือ" ไม่มีความจริง
    ...

    ต่อมาคุณวิมลพรรณ ได้ออกหนังสือเอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ได้ลงภาพการสัมภาษณ์ โดยมีภาพเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ เต็มไปหมด

    อ.สมศักดิ์ เห็นภาพข่าว จึงได้โทรมาหา .. แล้วบอกว่าผมอยากรู้และอยากแลกเปลี่ยนเอกสารที่คุณวิมลพรรณมีอยู่

    คุณวิมลพรรณ ตอบไปว่า .. ก็เพราะอ.สมศักดิ์นี้แหละ ที่ไปเขียนว่า ร.9 รู้เห็นกับการปฏิวัติของจอมพล สฤษดิ์. จึงทำให้ดิฉันต้องไปค้นหาเอกสารความจริงทั้งหมด

    อ.สมศักดิ์ บอกว่า
    📍 "ขอโทษครับ ผมลอกข้อมูลดังกล่าวมาจาก ณัฐพล ใจจริง"

    โป๊ะแตก ทันที
    ...

    ณัฐพล ใจจริง กลายเป็นมือปล่อยข่าวลือที่พยายามจะสร้างให้เป็นข่าวจริง

    และคือจุดด่างพร้อยของนักวิชาการ
    ....

    ✍️✍️✍️


    Padipon Apinyankul
    จากงานเปิดตัวหนังสือ "ความจริงที่ไม่ทีใครพูด กรณีสวรรคต ร.8" เมื่อบ่ายวันที่ 31 ตุลาคม 2567 .. ขณะที่ผม(ผู้เขียน) ดูไลฟ์สดจากเฟสบุ๊ก ก็ได้อ่านคอมเมนต์ต่าง ๆ ไปด้วย แล้วพบว่า อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เข้ามาแสดงความเห็นอยู่ 3 ครั้ง เป็นคอมเมนต์เย้ยหยันว่า ไม่เห็นมีอะไรใหม่ ลักษณะเย้ยหยันเช่นนี้ ได้กลายเป็นบุคลิกของคนชื่อสมศักดิ์ เจียมฯ ไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่มันมีใหม่อยู่ในเก่า แต่ตาถั่วไม่เห็นเอง ... ถนนสายหนึ่ง มันก็ยังคงเป็นเส้นทางเดิม ๆ ทุกครั้ง ซอยซ้ายและขวาก็คงเดิม ทุกคนที่เคยผ่านล้วนคิดว่ารู้จักมันดี รู้จักมันดีจริงหรือ ? แต่แท้ที่จริงแล้ว กลับไม่รู้จักในรายละเอียดของถนนเส้นนั้นเลย เช่น ไม่รู้ว่าต้นราชพฤกษ์มีกี่ต้น อยู่ก่อนต้นนางพญาเสือโคร่ง หรืออยู่หลังต้นนางพญาเสือโคร่ง เช่น ระหว่างซอยสองซอย ไม่รู้ว่าแผงขายหมูปิ้งตอนเช้า อยู่ใกล้กับแผงขายปาท่องโก้ หรือเลยไปจากร้านขายโจ๊กอีกซอยหนึ่ง รู้เส้นทางถนน แต่ใช่ว่าจะเข้าใจลำดับรอบ ๆ ทางของมัน ... อ.สมศักดิ์ เจียมฯ .. เข้ามาพิมพ์ว่า ไม่เห็นมีอะไรใหม่ในช่วงแรก ๆ ของการเปิดงาน / หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่า อ.สมศักดิ์ได้ดูต่อเนื่องอีกหรือไม่ ? เพราะความใหม่ มันได้เกิดขึ้นหลังข้อความการด้อยค่าของ อ.สมศักดิ์ และมันคือการ "โป๊ะแตก" อย่างจัง .... คุณวิมลพรรณ ปีตะธวัชชัย .. นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์อาวุโส อดีตนักข่าวหญิงคนแรกของสยามรัฐ ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาของ นสพ. โพสต์ทูเดย์ (และเป็นผู้เขียนหนังสือ เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ) คุณวิมลพรรณ ได้เล่าบางช่วงเวลาให้ฟังว่า ที่เขียนหนังสือเอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ เป็นเพราะบังเอิญไปอ่านหนังสือของ อ.สมศักดิ์ อ.สมศักดิ์บอกว่า .. รัชกาลที่ 9 อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (16 กย. 2500 - โค่นจอมพล ป. ซึ่งครองอำนาจสมัยที่ 2) โดยก่อนหน้าจอมพลสฤษดิ์ จะทำการปฏิวัติ 2 สัปดาห์ ได้มีการประชุมวางแผนกันถึง 70 คน ใน 70 คนนั้น มีพี่น้องปราโมช 2 คน (ม.ร.ว.เสนีย์ - ม.ร.ว.คึกฤทธิ์) และมีพระองค์เจ้าธานีนิวัติ (พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร) ซึ่งแสดงว่า ร.9 รู้เห็นในการปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ให้ยึดอำนาจจากจอมพล ป. คุณวิมลพรรณ ซึ่งรู้จักทางฝ่าย ม.ร.ว.เสนีย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และพระองค์เจ้าธานีนิวัต จึงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่อ.สมศักดิ์ บอกไว้ แต่ในเวลานั้นผู้ใหญ่ทั้งสามท่าน ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วไม่รู้จะไปถามใคร ทำให้ต้องค้นหาความจริงเอง คุณวิมลพรรณ ได้เดินทางตามหาเอกสารตามที่อ.สมศักดิ์ อ้างไว้ .. ไปถึงห้องสมุดประเทศอังกฤษ , พบบันทึกฝรั่งที่เขียนใส่แฟ้มเอาไว้หลายหน้า ในบันทึกแรก ๆ ล้วนแต่บอกว่า ได้รับฟังมาจากคนอื่น ๆ ในประเทศไทย ฝรั่งเขียนรายงานตามที่ได้ยินมา ว่าสองพี่น้องปราโมชและพระองค์เจ้าธานีนิวัต ไปประชุมร่วมมือการปฏิวัติกับจอมพลสฤษดิ์ พอเปิดเอกสารในแฟ้มไปเรื่อย ๆ จนพบจดหมายของทูตอังกฤษ ที่เขียนไว้ว่า .. .. ข้อมูลคำบอกเล่าด้านหน้าที่บันทึกไว้ มันเป็น "ข่าวลือ" ไม่มีความจริง ... ต่อมาคุณวิมลพรรณ ได้ออกหนังสือเอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ได้ลงภาพการสัมภาษณ์ โดยมีภาพเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ เต็มไปหมด อ.สมศักดิ์ เห็นภาพข่าว จึงได้โทรมาหา .. แล้วบอกว่าผมอยากรู้และอยากแลกเปลี่ยนเอกสารที่คุณวิมลพรรณมีอยู่ คุณวิมลพรรณ ตอบไปว่า .. ก็เพราะอ.สมศักดิ์นี้แหละ ที่ไปเขียนว่า ร.9 รู้เห็นกับการปฏิวัติของจอมพล สฤษดิ์. จึงทำให้ดิฉันต้องไปค้นหาเอกสารความจริงทั้งหมด อ.สมศักดิ์ บอกว่า 📍 "ขอโทษครับ ผมลอกข้อมูลดังกล่าวมาจาก ณัฐพล ใจจริง" โป๊ะแตก ทันที ... ณัฐพล ใจจริง กลายเป็นมือปล่อยข่าวลือที่พยายามจะสร้างให้เป็นข่าวจริง และคือจุดด่างพร้อยของนักวิชาการ .... ✍️✍️✍️ Padipon Apinyankul
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ เปิดเผยเป็นครั้งแรก พวกเขาพบเห็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่าเกาหลีเหนือส่งทหาร 3,000 นายไปยังรัสเซีย สำหรับความเป็นไปได้เข้าประจำการในยูเครน ความเคลื่อนไหวที่อาจทำให้สงครามระหว่างมอสโกกับเคียฟลุกลามบานปลายครั้งใหญ่
    .
    ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวในกรุงโรม ว่า "มันจะเป็นเรื่องร้ายแรงมากๆ ถ้าเกาหลีเหนือเตรียมการสู้รบเคียงข้างรัสเซียในยูเครน ตามที่เคียฟกล่าวหา" อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่ายังคงต้องดูว่าทหารเหล่นั้นเข้าไปทำอะไรในรัสเซีย "มีหลักฐานว่าทหารเกาหลีเหนืออยู่ในรัสเซีย" เขาบอกกับผู้สื่อข่าว
    .
    จอห์น เคอร์บี โฆษกทำเนียบข่าวให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวในเวลาต่อมาในวันพุธ (23 ต.ค.) ระบุสหรัฐฯ เชื่อว่ามีทหารเกาหลีเหนืออย่างน้อย 3,000 นายกำลังฝึกฝนที่ฐานทัพ 3 แห่ง ทางตะวันออกของรัสเซีย
    .
    เคอร์บี ระบุต่อว่าสหรัฐฯ ได้ข้อสรุปว่า ทหารเกาหลีเหนือถูกลำเลียงทางเรือจากภูมิภาคว็อนซันของเกาหลีเหนือ ไปยังเมืองวลาดิวอสต็อกของรัสเซีย ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนจนถึงกลางเดือนตุลาคม ก่อนเคลื่อนย้ายไปยังศูนย์ฝึกทหาร 3 แห่งทางตะวันออกของยูเครน
    .
    ในกรุงโซล บรรดาสมาชิกรัฐสภาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวหลังได้รับรายงานสรุปจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ ระบุว่าเบื้องต้นเปียงยางส่งทหารเข้าไปยังรัสเซียแล้ว 3,000 นาย และคาดหมายว่ารวมแล้วจะมีกำลังพลเกาหลีเหนือทั้งสิ้นราว 10,000 นาย เมื่อการประจำการเสร็จสมบูรณ์ในเดือนธันวาคม
    .
    ความขัดแย้งในยูเครนปะทุขึ้นมา หลังจากรัสเซียเปิดฉากรุกรานประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 และนับตั้งแต่นั้นมันได้พัฒนาการเข้าสงครามหนึ่งที่การสู้รบส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแนวหน้าทางตะวันออกของยูเครน และทั้งสองฝ่ายสูญเสียกำลังพลไปอย่างมหาศาล
    .
    สหรัฐฯ บอกว่าการประจำการของทหารเกาหลีเหนือ อาจเป็นหลักฐานเพิ่มเติมที่บ่งชี้ว่ากองทัพรัสเซียกำลังมีปัญหาด้านกำลังพล หลังจากก่อนหน้านี้พวกเจ้าหน้าที่อเมริกาเคยกล่าวอ้างว่ามีทหารของมอสโกเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บในสงครามยูเครนไปแล้วมากกว่า 600,000 นาย
    .
    วังเครมลินปฏิเสธคำกล่าวหาโซลเกี่ยวกับการประจำการทหารเกาหลีเหนือว่าเป็น "ข่าวปลอม" และตัวแทนรายหนึ่งของเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ เรียกมันว่าเป็นข่าวลือที่ไร้หลักฐาน
    .
    ที่ผ่านมา ทั้งมอสโกและเปียงยางปฏิเสธเช่นกันเกี่ยวกับการส่งมอบอาวุธ แต่พวกเขาประกาศยกระดับความสัมพันธ์ทางทหาร และลงนามในสนธิสัญญากลาโหมร่วม ณ ที่ประชุมซัมมิต เมื่อเดือนมิถุนายน
    .
    คำกล่าวอ้างล่าสุดเกี่ยวกับการประจำการทหารเกาหลีเหนือในรัสเซีย มีขึ้นหลังจากหน่วยข่าวกรองแห่งชาติของโซล ระบุเมื่อวันศุกร์ (18 ต.ค.) ว่าเกาหลีเหนือได้ขนส่งทางเรือ พาบุคลากรกองกำลังพิเศษราว 1,500 นายไปยังรัสเซีย และมีความเป็นไปได้ว่ากำลังพลเหล่านี้จะถูกส่งเข้าประจำการเพื่อสู้รบในสงครามในยุเครน หลังผ่านการฝึกฝนและมีความเคยชินกับสภาพอากาศแล้ว
    .
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน กล่าวหาเช่นกันว่า เปียงยางกำลังส่งทหาร 10,000 นาย ไปยังรัสเซีย และในวันอังคาร (22 ต.ค.) เขาเรียกร้องให้บรรดาพันธมิตรตอบสนองต่อหลักฐานที่ว่า เกาหลีเหนือเข้ามาพัวพันในสงครามของรัสเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    .
    ในเรื่องนี้ โฆษกของนาโตบอกว่าเหล่าพันธมิตรนาโตกำลังปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับกรณีเกาหลีเหนือส่งทหารเข้าประจำการในรัสเซีย
    .
    เจ้าหน้าที่รายหนึ่งในรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน บอกว่ามอสโกอาจส่งทหารเกาหลีเหนือไปยังภาคตะวันออกของยูเครน หรือในแคว้นคูร์สก์ของตนเอง ดินแดนที่ทหารรัสเซียกำลังสู้รบขับไล่กองกำลังยูเครนที่ยึดครองพื้นที่หนึ่งๆ ที่พวกเขายึดมาได้ในปฏิบัติการรุกรานตอบโต้ ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
    .
    ไมค์ เทอร์เนอร์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลง เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไฟเขียวเคียฟตอบโต้ด้วยอาวุธที่จัดหาให้โดยอเมริกา หากว่าทหารเกาหลีเหนือโจมตียูเครนมาจากดินแดนของรัสเซีย
    .
    "ถ้าทหารเกาหลีเหนือรุกรานเข้าสู่ดินแดนอธิปไตยของยูเครน สหรัฐฯ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างจริงจังในการใช้ปฏิบัติการทางทหารโดยตรงกับกองกำลังเกาหลีเหนือ" เทอร์เนอร์กล่าว
    .
    เมื่อวันอังคาร (22 ต.ค.) ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เรียกร้องให้เกาหลีเหนือถอนทหารออกจากรัสเซียในทันที พร้อมเตือนว่าพวกเขาอาจพิจารณาป้อนอาวุธร้ายแรงแก่ยูเครนเช่นกัน หากว่าความสัมพันธ์ทางทหารระหว่าง 2 ชาตินั้นเลยเถิดเกินไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102308
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯ เปิดเผยเป็นครั้งแรก พวกเขาพบเห็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่าเกาหลีเหนือส่งทหาร 3,000 นายไปยังรัสเซีย สำหรับความเป็นไปได้เข้าประจำการในยูเครน ความเคลื่อนไหวที่อาจทำให้สงครามระหว่างมอสโกกับเคียฟลุกลามบานปลายครั้งใหญ่ . ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวในกรุงโรม ว่า "มันจะเป็นเรื่องร้ายแรงมากๆ ถ้าเกาหลีเหนือเตรียมการสู้รบเคียงข้างรัสเซียในยูเครน ตามที่เคียฟกล่าวหา" อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่ายังคงต้องดูว่าทหารเหล่นั้นเข้าไปทำอะไรในรัสเซีย "มีหลักฐานว่าทหารเกาหลีเหนืออยู่ในรัสเซีย" เขาบอกกับผู้สื่อข่าว . จอห์น เคอร์บี โฆษกทำเนียบข่าวให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวในเวลาต่อมาในวันพุธ (23 ต.ค.) ระบุสหรัฐฯ เชื่อว่ามีทหารเกาหลีเหนืออย่างน้อย 3,000 นายกำลังฝึกฝนที่ฐานทัพ 3 แห่ง ทางตะวันออกของรัสเซีย . เคอร์บี ระบุต่อว่าสหรัฐฯ ได้ข้อสรุปว่า ทหารเกาหลีเหนือถูกลำเลียงทางเรือจากภูมิภาคว็อนซันของเกาหลีเหนือ ไปยังเมืองวลาดิวอสต็อกของรัสเซีย ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนจนถึงกลางเดือนตุลาคม ก่อนเคลื่อนย้ายไปยังศูนย์ฝึกทหาร 3 แห่งทางตะวันออกของยูเครน . ในกรุงโซล บรรดาสมาชิกรัฐสภาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวหลังได้รับรายงานสรุปจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ ระบุว่าเบื้องต้นเปียงยางส่งทหารเข้าไปยังรัสเซียแล้ว 3,000 นาย และคาดหมายว่ารวมแล้วจะมีกำลังพลเกาหลีเหนือทั้งสิ้นราว 10,000 นาย เมื่อการประจำการเสร็จสมบูรณ์ในเดือนธันวาคม . ความขัดแย้งในยูเครนปะทุขึ้นมา หลังจากรัสเซียเปิดฉากรุกรานประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 และนับตั้งแต่นั้นมันได้พัฒนาการเข้าสงครามหนึ่งที่การสู้รบส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแนวหน้าทางตะวันออกของยูเครน และทั้งสองฝ่ายสูญเสียกำลังพลไปอย่างมหาศาล . สหรัฐฯ บอกว่าการประจำการของทหารเกาหลีเหนือ อาจเป็นหลักฐานเพิ่มเติมที่บ่งชี้ว่ากองทัพรัสเซียกำลังมีปัญหาด้านกำลังพล หลังจากก่อนหน้านี้พวกเจ้าหน้าที่อเมริกาเคยกล่าวอ้างว่ามีทหารของมอสโกเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บในสงครามยูเครนไปแล้วมากกว่า 600,000 นาย . วังเครมลินปฏิเสธคำกล่าวหาโซลเกี่ยวกับการประจำการทหารเกาหลีเหนือว่าเป็น "ข่าวปลอม" และตัวแทนรายหนึ่งของเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ เรียกมันว่าเป็นข่าวลือที่ไร้หลักฐาน . ที่ผ่านมา ทั้งมอสโกและเปียงยางปฏิเสธเช่นกันเกี่ยวกับการส่งมอบอาวุธ แต่พวกเขาประกาศยกระดับความสัมพันธ์ทางทหาร และลงนามในสนธิสัญญากลาโหมร่วม ณ ที่ประชุมซัมมิต เมื่อเดือนมิถุนายน . คำกล่าวอ้างล่าสุดเกี่ยวกับการประจำการทหารเกาหลีเหนือในรัสเซีย มีขึ้นหลังจากหน่วยข่าวกรองแห่งชาติของโซล ระบุเมื่อวันศุกร์ (18 ต.ค.) ว่าเกาหลีเหนือได้ขนส่งทางเรือ พาบุคลากรกองกำลังพิเศษราว 1,500 นายไปยังรัสเซีย และมีความเป็นไปได้ว่ากำลังพลเหล่านี้จะถูกส่งเข้าประจำการเพื่อสู้รบในสงครามในยุเครน หลังผ่านการฝึกฝนและมีความเคยชินกับสภาพอากาศแล้ว . ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน กล่าวหาเช่นกันว่า เปียงยางกำลังส่งทหาร 10,000 นาย ไปยังรัสเซีย และในวันอังคาร (22 ต.ค.) เขาเรียกร้องให้บรรดาพันธมิตรตอบสนองต่อหลักฐานที่ว่า เกาหลีเหนือเข้ามาพัวพันในสงครามของรัสเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว . ในเรื่องนี้ โฆษกของนาโตบอกว่าเหล่าพันธมิตรนาโตกำลังปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับกรณีเกาหลีเหนือส่งทหารเข้าประจำการในรัสเซีย . เจ้าหน้าที่รายหนึ่งในรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน บอกว่ามอสโกอาจส่งทหารเกาหลีเหนือไปยังภาคตะวันออกของยูเครน หรือในแคว้นคูร์สก์ของตนเอง ดินแดนที่ทหารรัสเซียกำลังสู้รบขับไล่กองกำลังยูเครนที่ยึดครองพื้นที่หนึ่งๆ ที่พวกเขายึดมาได้ในปฏิบัติการรุกรานตอบโต้ ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา . ไมค์ เทอร์เนอร์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลง เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไฟเขียวเคียฟตอบโต้ด้วยอาวุธที่จัดหาให้โดยอเมริกา หากว่าทหารเกาหลีเหนือโจมตียูเครนมาจากดินแดนของรัสเซีย . "ถ้าทหารเกาหลีเหนือรุกรานเข้าสู่ดินแดนอธิปไตยของยูเครน สหรัฐฯ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างจริงจังในการใช้ปฏิบัติการทางทหารโดยตรงกับกองกำลังเกาหลีเหนือ" เทอร์เนอร์กล่าว . เมื่อวันอังคาร (22 ต.ค.) ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เรียกร้องให้เกาหลีเหนือถอนทหารออกจากรัสเซียในทันที พร้อมเตือนว่าพวกเขาอาจพิจารณาป้อนอาวุธร้ายแรงแก่ยูเครนเช่นกัน หากว่าความสัมพันธ์ทางทหารระหว่าง 2 ชาตินั้นเลยเถิดเกินไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102308 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1823 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้แทนเกาหลีเหนือประจำยูเอ็น ออกมาแถลง โต้ข่าวซึ่งเผยแพร่อยู่ในโลกตะวันตก ที่กล่าวหาโสมแดงส่งทหารไปช่วยรัสเซียสู้รบในยูเครน ชี้เป็นข่าวลือไม่มีมูล หลังจากก่อนหน้านี้ เกาหลีใต้แสดงปฏิกิริยาต่อข่าวนี้ด้วยการประณามโสมเหนืออย่างรุนแรง พร้อมเรียกร้องให้เปียงยางถอนทหารกลับทันที รวมทั้งประกาศว่า ถ้าการเป็นพันธมิตรทางทหารระหว่างเปียงยางกับมอสโกยังดำเนินต่อไป โซลจะดำเนินมาตรการตอบโต้ นอกจากนั้นผู้นำเกาหลีใต้ยังเล็งเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเกาหลีใต้ ยูเครน และนาโต
    .
    สืบเนื่องจากที่หน่วยงานข่าวกรองของเกาหลีใต้กล่าวอ้างตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ (18) ว่า เปียงยางได้จัดส่งทหารจำนวนมากไปช่วยรัสเซีย โดยระบุว่า ขณะนี้กองกำลังสู้รบพิเศษราว 1,500 นายของเกาหลีเหนือ ถูกส่งไปฝึกอยู่ในบริเวณภาคตะวันออกไกลของรัสเซียแล้ว และพร้อมไปร่วมรบในสงครามยูเครนเร็วๆ นี้
    .
    อย่างไรก็ดี ในวันจันทร์ (21) ผู้แทนของเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ แถลงในการประชุมคณะกรรมาธิการของสมัชชาใหญ่ยูเอ็นว่า การกล่าวอ้างของโซลมีเป้าหมายเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของเกาหลีเหนือ รวมทั้งบ่อนทำลายความสัมพันธ์ฉันมิตรอันชอบธรรมระหว่างเกาหลีเหนือกับรัสเซีย
    .
    เปียงยางและมอสโกเป็นพันธมิตรกันนับจากการก่อตั้งประเทศเกาหลีเหนือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นภายหลังรัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2022 ขณะที่เกาหลีใต้และอเมริกาซึ่งก็สนิทสนมกันมากตั้งแต่หลังสงคราม กล่าวหามานานแล้วว่า คิม จองอึน ผู้นำโสมแดง ส่งอาวุธให้รัสเซียใช้ในยูเครน
    .
    เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กับคิมยังลงนามข้อตกลงความมั่นคงที่กำหนดว่า สองประเทศจะช่วยเหลือกันหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกศัตรูรุกราน
    .
    ทางด้านจอร์จี ซีโนเวียฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำโซล ที่ถูกเกาหลีใต้เรียกเข้าพบในวันจันทร์ (21) เพื่อร้องเรียน ไม่ได้ยืนยันข้อกล่าวหาของเกาหลีใต้ แต่ย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนืออยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศและไม่กระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของเกาหลีใต้แต่อย่างใด
    .
    นอกจากนั้นเมื่อคืนวันจันทร์ ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ยังแถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือไม่ได้พุ่งเป้าที่ประเทศที่สาม และไม่มีใครต้องกังวล
    .
    ในส่วนอเมริกาและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) แม้ไม่ได้ออกมายืนยันข้อกล่าวอ้างของโซล แต่โรเบิร์ต วูด รองเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น แถลงต่อคณะมนตรีความมั่นคงว่า หากข้อกล่าวหาเรื่องเกาหลีเหนือเป็นจริง จะถือเป็นความเคลื่อนไหวที่อันตรายและน่ากังวลมาก อีกทั้งสะท้อนความสัมพันธ์ทางทหารที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างเกาหลีเหนือกับรัสเซีย
    .
    ส่วน มาร์ก รึตเตอ เลขาธิการนาโต กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า การที่เปียงยางส่งทหารไปช่วยรัสเซียรบจะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยิ่งลุกลาม
    .
    ระหว่างการหารือทางโทรศัพท์กับรึตเตอ ในวันเดียวกัน ประธานาธิบดียุน ซอกยอลของเกาหลีใต้ เรียกร้องให้นาโตสำรวจมาตรการตอบโต้ที่เป็นรูปธรรม และสำทับว่า จะดำเนินการขั้นตอนต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเกาหลีใต้ ยูเครน และนาโต
    .
    ขณะเดียวกัน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ตอบคำถามบีบีซีเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการร่วมมือระหว่างเปียงยาง-มอสโกว่า จีนหวังว่า ทุกฝ่ายจะดำเนินการเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์และหาทางแก้ไขวิกฤตยูเครนด้วยแนวทางการเมือง
    .
    ต่อมาในวันอังคาร (22 ต.ค.) สภาความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้ออกคำแถลงประณามเกาหลีเหนืออย่างรุนแรงว่า การส่งทหารไปร่วมสงครามรุกรานที่ผิดกฎหมายของรัสเซียในยูเครนเป็นภัยคุกคามความมั่นคงอย่างมากไม่เฉพาะกับเกาหลีใต้ แต่รวมถึงนานาชาติ พร้อมเรียกร้องให้เปียงยางถอนทหารกลับประเทศทันที และประกาศว่า ถ้าการเป็นพันธมิตรทางทหารระหว่างเปียงยางกับมอสโกยังดำเนินต่อไป เกาหลีใต้จะดำเนินมาตรการตอบโต้
    .
    วันเดียวกันนั้น สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวในรัฐบาลคนหนึ่งว่า โซลกำลังพิจารณาส่งทีมเจ้าหน้าที่ไปยูเครนเพื่อติดตามตรวจสอบเกี่ยวกับทหารเกาหลีเหนือที่ถูกส่งไปรัสเซีย
    .
    จากข้อมูลของแหล่งข่าว ทีมที่จะส่งไปมีแนวโน้มประกอบด้วยนายทหารจากหน่วยข่าวกรองเพื่อวิเคราะห์กลยุทธ์ในสนามรบของเกาหลีเหนือ และร่วมสอบปากคำเชลยสงครามที่ยูเครนควบคุมตัวอยู่
    .
    ยอนฮัปยังรายงานว่า บัญชีเทเลแกรมที่สนับสนุนรัสเซียโพสต์ภาพธงรัสเซียและเกาหลีเหนือเคียงข้างกันอยู่ในสนามรบในยูเครน
    .
    สื่อบางสำนักของเกาหลีใต้อ้างว่า เกาหลีเหนืออาจส่งทหารถึง 12,000 นายไปช่วยรัสเซีย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102030
    ..............
    Sondhi X
    ผู้แทนเกาหลีเหนือประจำยูเอ็น ออกมาแถลง โต้ข่าวซึ่งเผยแพร่อยู่ในโลกตะวันตก ที่กล่าวหาโสมแดงส่งทหารไปช่วยรัสเซียสู้รบในยูเครน ชี้เป็นข่าวลือไม่มีมูล หลังจากก่อนหน้านี้ เกาหลีใต้แสดงปฏิกิริยาต่อข่าวนี้ด้วยการประณามโสมเหนืออย่างรุนแรง พร้อมเรียกร้องให้เปียงยางถอนทหารกลับทันที รวมทั้งประกาศว่า ถ้าการเป็นพันธมิตรทางทหารระหว่างเปียงยางกับมอสโกยังดำเนินต่อไป โซลจะดำเนินมาตรการตอบโต้ นอกจากนั้นผู้นำเกาหลีใต้ยังเล็งเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเกาหลีใต้ ยูเครน และนาโต . สืบเนื่องจากที่หน่วยงานข่าวกรองของเกาหลีใต้กล่าวอ้างตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ (18) ว่า เปียงยางได้จัดส่งทหารจำนวนมากไปช่วยรัสเซีย โดยระบุว่า ขณะนี้กองกำลังสู้รบพิเศษราว 1,500 นายของเกาหลีเหนือ ถูกส่งไปฝึกอยู่ในบริเวณภาคตะวันออกไกลของรัสเซียแล้ว และพร้อมไปร่วมรบในสงครามยูเครนเร็วๆ นี้ . อย่างไรก็ดี ในวันจันทร์ (21) ผู้แทนของเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ แถลงในการประชุมคณะกรรมาธิการของสมัชชาใหญ่ยูเอ็นว่า การกล่าวอ้างของโซลมีเป้าหมายเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของเกาหลีเหนือ รวมทั้งบ่อนทำลายความสัมพันธ์ฉันมิตรอันชอบธรรมระหว่างเกาหลีเหนือกับรัสเซีย . เปียงยางและมอสโกเป็นพันธมิตรกันนับจากการก่อตั้งประเทศเกาหลีเหนือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นภายหลังรัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2022 ขณะที่เกาหลีใต้และอเมริกาซึ่งก็สนิทสนมกันมากตั้งแต่หลังสงคราม กล่าวหามานานแล้วว่า คิม จองอึน ผู้นำโสมแดง ส่งอาวุธให้รัสเซียใช้ในยูเครน . เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กับคิมยังลงนามข้อตกลงความมั่นคงที่กำหนดว่า สองประเทศจะช่วยเหลือกันหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกศัตรูรุกราน . ทางด้านจอร์จี ซีโนเวียฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำโซล ที่ถูกเกาหลีใต้เรียกเข้าพบในวันจันทร์ (21) เพื่อร้องเรียน ไม่ได้ยืนยันข้อกล่าวหาของเกาหลีใต้ แต่ย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนืออยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศและไม่กระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของเกาหลีใต้แต่อย่างใด . นอกจากนั้นเมื่อคืนวันจันทร์ ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ยังแถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือไม่ได้พุ่งเป้าที่ประเทศที่สาม และไม่มีใครต้องกังวล . ในส่วนอเมริกาและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) แม้ไม่ได้ออกมายืนยันข้อกล่าวอ้างของโซล แต่โรเบิร์ต วูด รองเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น แถลงต่อคณะมนตรีความมั่นคงว่า หากข้อกล่าวหาเรื่องเกาหลีเหนือเป็นจริง จะถือเป็นความเคลื่อนไหวที่อันตรายและน่ากังวลมาก อีกทั้งสะท้อนความสัมพันธ์ทางทหารที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างเกาหลีเหนือกับรัสเซีย . ส่วน มาร์ก รึตเตอ เลขาธิการนาโต กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า การที่เปียงยางส่งทหารไปช่วยรัสเซียรบจะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยิ่งลุกลาม . ระหว่างการหารือทางโทรศัพท์กับรึตเตอ ในวันเดียวกัน ประธานาธิบดียุน ซอกยอลของเกาหลีใต้ เรียกร้องให้นาโตสำรวจมาตรการตอบโต้ที่เป็นรูปธรรม และสำทับว่า จะดำเนินการขั้นตอนต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเกาหลีใต้ ยูเครน และนาโต . ขณะเดียวกัน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ตอบคำถามบีบีซีเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการร่วมมือระหว่างเปียงยาง-มอสโกว่า จีนหวังว่า ทุกฝ่ายจะดำเนินการเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์และหาทางแก้ไขวิกฤตยูเครนด้วยแนวทางการเมือง . ต่อมาในวันอังคาร (22 ต.ค.) สภาความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้ออกคำแถลงประณามเกาหลีเหนืออย่างรุนแรงว่า การส่งทหารไปร่วมสงครามรุกรานที่ผิดกฎหมายของรัสเซียในยูเครนเป็นภัยคุกคามความมั่นคงอย่างมากไม่เฉพาะกับเกาหลีใต้ แต่รวมถึงนานาชาติ พร้อมเรียกร้องให้เปียงยางถอนทหารกลับประเทศทันที และประกาศว่า ถ้าการเป็นพันธมิตรทางทหารระหว่างเปียงยางกับมอสโกยังดำเนินต่อไป เกาหลีใต้จะดำเนินมาตรการตอบโต้ . วันเดียวกันนั้น สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวในรัฐบาลคนหนึ่งว่า โซลกำลังพิจารณาส่งทีมเจ้าหน้าที่ไปยูเครนเพื่อติดตามตรวจสอบเกี่ยวกับทหารเกาหลีเหนือที่ถูกส่งไปรัสเซีย . จากข้อมูลของแหล่งข่าว ทีมที่จะส่งไปมีแนวโน้มประกอบด้วยนายทหารจากหน่วยข่าวกรองเพื่อวิเคราะห์กลยุทธ์ในสนามรบของเกาหลีเหนือ และร่วมสอบปากคำเชลยสงครามที่ยูเครนควบคุมตัวอยู่ . ยอนฮัปยังรายงานว่า บัญชีเทเลแกรมที่สนับสนุนรัสเซียโพสต์ภาพธงรัสเซียและเกาหลีเหนือเคียงข้างกันอยู่ในสนามรบในยูเครน . สื่อบางสำนักของเกาหลีใต้อ้างว่า เกาหลีเหนืออาจส่งทหารถึง 12,000 นายไปช่วยรัสเซีย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102030 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1172 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้ประกาศตอกย้ำเอาไว้อีกครั้ง ว่าภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” กำลังใกล้นำพาประเทศอเมริกาเข้าสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” อีกแค่ไม่กี่เดือนข้างหน้า ถ้าว่ากันโดยคำพูดแบบ “คำต่อคำ” ที่ถูกถ่ายทอดผ่านสำนักข่าวต่างๆ ก็คือ... “เรากำลังมีปัญหา ที่ทำให้ผมรู้สึกวิตกกังวลเอาจริงๆ ต่อเหตุการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผมกังวลว่าเราอาจต้องจบลงด้วยสงครามโลกครั้งที่ 3 ด้วยเหตุเพราะรัฐบาลที่กำลังเป็นอยู่” หรือถึงขั้นถ้าตัวเองเกิดชนะเลือกตั้งขึ้นมา มีแต่ต้อง “ลงมืออย่างเร่งด่วนและด้วยความรวดเร็ว...ถึงจะช่วยปกปักรักษาประเทศอเมริกา ช่วยกอบกู้ประชาชนชาวแคลิฟอร์เนียให้พ้นไปจากเงื้อมมือของพรรคการเมืองตรงกันข้าม ด้วยการหยุดสงครามยูเครน ยุติความสับสนอลหม่านในตะวันออกกลาง และป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ให้จงได้!!!” นี่...เป็นเรื่อง-เป็นราว เป็นจริง-เป็นจัง ไปได้ถึงขั้นนั้น...

    เหตุที่ “ทรัมป์บ้า” ต้องนำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาพูดจาหาเสียงกันอีกครั้ง แม้ว่าเคยพูดจาทำนองนี้มาแล้วหลายครั้งหลายหน มันออกจะเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจ อยู่พอสมควรเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านั้น...หนังสือพิมพ์ “The Washington Post” เขาได้นำเสนอรายงานข่าวเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 ต.ค.) ว่าประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “โจ ซึมเซา” ได้บอกกับที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว ให้ไป “เตือนอิหร่าน” ว่าความพยายามลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” นั้น เท่ากับเป็นการ “ประกาศสงคราม” กับอเมริกา อันอาจถือเป็นการแสดงความห่วงใย ความต้องการปกป้องชาวอเมริกัน แม้จะเป็นคู่แข่งทางการเมืองของตัวเองก็ตาม แต่ปัญหามีอยู่ว่า...ทำไมการคิดลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” มันดันถูกโยงไปยังคู่กัด-คู่อาฆาตของอเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล เช่นประเทศอิหร่านจนได้??? ทั้งที่น่าจะเป็น “คนละเรื่อง” แท้ๆ...

    ส่วนที่อาจเกี่ยวข้องอยู่บ้างนิดๆ ก็คือ...กรณีเกิดการลอบสังหารผู้นำทางทหารอิหร่าน อย่าง “พลเอกQassem Soleimani” เมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2020 อันเป็นช่วงเดียวกับที่ “ทรัมป์บ้า” ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และอาจมีส่วนรับทราบ รู้เห็นต่อการกระทำเช่นนี้ แต่นั่นก็ยากที่จะนำมาเกี่ยวข้องโยงใยกับบรรดา “ผู้ต้องหา” หรือ “มือปืน” ที่พยายามลอบฆ่า ลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” คราวแล้ว คราวเล่า ซึ่งออกจะหนักไปทางพวก “สาวกเดโมแครต” นั่นแหละเป็นหลัก ไม่ได้เกี่ยวกับมุสลิม อิสลาม หรือกับอิหร่านด้วยเลย อีกทั้งในคำประกาศแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่านต่อกรณีดังกล่าว ก็ดูจะเน้นหนักไปในทาง “ยุทธศาสตร์” ไม่ได้คิดจะอาศัยเพียงแค่ “ยุทธวิธี” แบบโง่ๆ-ง่ายๆ หรือมุ่งที่คิดจะเสือกไสไล่ส่ง บรรดาทหารอเมริกาทั้งมวลไม่ให้เหลือติดอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางแม้แต่รายเดียว...อะไรประมาณนั้น...

    และก็แน่ล่ะว่า...ทางการอิหร่านเขาได้ออกมาปฏิเสธแบบหัวเด็ด-ตีนขาด ต่อ “ข้อกล่าวหา” เรื่องคิดจะลอบฆ่า ลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” มาแล้วตั้งแต่ต้น หรือตั้งแต่ถูก “ยิงเฉี่ยวหู” เมื่อช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน “นายNasser Kanaani” ได้ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการว่าอิหร่านไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย และ “สิ่งที่อิหร่านต้องการก็คือการอาศัยการกระทำที่ถูกต้องตามตัวบทกฎหมายต่อผู้ที่มีส่วนรู้เห็น รับผิดชอบ การลอบสังหารพลเอกSoleimani” ด้วยเหตุนี้การนำเอาเรื่องการลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” มาเกี่ยวโยงกับอิหร่าน หรือมาใช้เป็น “ข้ออ้าง” ในการ “ประกาศสงคราม” ของอเมริกา มันเลยออกจะคล้ายๆ การประกาศสงครามกับ “ซัดดัม ฮุสเซน” แห่งอิรัก อันเนื่องมาจากมี “อาวุธทำลายล้าง” อยู่ในครอบครอง อะไรทำนองนั้น คือแม้จะมาจาก “การข่าว” ใดๆ ก็เถอะ แต่หนักไปทาง “ข่าวลวง-ข่าวลือ” ที่หาหลักฐาน-ข้อพิสูจน์ใดๆ แทบไม่ได้ ชนิดเผลอๆ... “ทรัมป์บ้า” อาจต้อง “ตายฟรี” พร้อมๆ กับการเปิดฉากสงครามกับอิหร่าน แบบยิงปืนนัดเดียวนกหล่นลงมาทั้งพวง เอาเลยก็ไม่แน่!!!

    การโยงเอาอิหร่านกับการลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” ให้กลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ถึงขั้นที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่าง “โจ ซึมเซา” ถึงกับออกมาประกาศว่าเป็นการ “ประกาศสงครามโดยตรงกับอเมริกา” ขณะที่พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลก็กำลังกระเหี้ยนกระหือรือ อยากจะแก้แค้น-เอาคืนกับอิหร่านเต็มที โดยหวังจะฉุดกระชากลากถูให้อเมริกาเข้ามาร่วมรุมถล่มอิหร่านอีกด้วยต่างหาก อันอาจนำไปสู่ฉากเหตุการณ์ “สงครามโลกครั้งที่ 3” อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดังที่ “ทรัมป์บ้า” ออกมาแสดงความวิตกกังวลในเวทีปราศรัยคราวล่าสุด อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยชักจะเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” อย่างแทบไม่น่าเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อจนได้...

    เพราะแม้ว่าอเมริกาภายใต้การนำของ “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ ล้างเผ่าพันธุ์” ก็แล้วแต่จะเรียก พยายามแสดงท่าทีภายนอกว่าไม่อยากเห็นสงครามในตะวันออกกลาง ไม่ว่าอิสราเอลกับฮามาส กับเฮซบอลเลาะห์หรือกับอิหร่านก็ตามที แต่โดยความเคลื่อนไหวลึกๆ ลงไปแล้ว มันออกจะขัดแย้งและสวนทางกับการแสดงออกภายนอกอย่างเห็นได้โดยชัดเจน ไม่ว่าการมุ่ง “เติมเงิน-เติมอาวุธ” ให้กับรัฐบาลและกองทัพอิสราเอลแบบไม่ได้คิดยับยั้งชั่งใจใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แม้บรรดาประเทศต่างๆ นับเป็นร้อยๆ ต่างออกมาตำหนิประณามอิสราเอล คราวแล้ว-คราวเล่า ไม่ว่าเรื่องการประกาศให้เลขาธิการยูเอ็นเป็น “บุคคลไม่พึงปรารถนา” การโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติโดยใคร่ครวญเอาไว้ก่อน รวมทั้งการมุ่งหน้า “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์อย่างไม่คิดจะยั้งมือ ฯลฯ แต่บรรดาสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลให้ผู้สนับสนุนอิสราเอลแบบ “มากกว่าประธานาธิบดีอเมริกันรายใดเท่าที่เคยมีมา” ดังที่ผู้ประกาศตัวเป็น “Zionist” อย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ได้ออกมาอวดโชว์คุณสมบัติของตัวเอง เกิดอาการคิดหน้า-คิดหลังต่อการสนับสนุนอิสราเอลแต่อย่างใด แต่กลับพร้อมที่จะกระพือฮือโหม “ไฟสงคราม”

    ไม่ว่าในแนวรบยุโรปตะวันออก หรือตะวันออกกลาง อย่างเป็นระบบและกิจการ...

    ล่าสุด...เห็นว่ากำลังคิดจะส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศ “THAAD” ที่ว่ากันว่าสามารถสกัดกั้นการโจมตีจากจรวดที่มีความเร็วระดับ Mach 7.5 ไปให้กับอิสราเอล แถม “พลตรีPat Ryder” โฆษกเพนตากอนแสดงท่าทีว่าคิดจะส่งกำลังทหารอเมริกาและอังกฤษเพิ่มเติมเข้าไปในตะวันออกกลาง ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (13 ต.ค.) รวมทั้งผู้บัญชาการ “CENTCOM” (The Commander of the US Central Command) “พลเอกMichale Kurilla” ยังอุตส่าห์ถ่อไปถึงประเทศอิสราเอลเพื่อแสดงออกถึงความร่วมมือกับกองทัพอิสราเอลในการวางแผนโจมตีอิหร่านอีกต่างหาก อันนี้นี่แหละ...เลยทำให้สิ่งที่เรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3” อาจระเบิดเถิดเทิงขึ้นในอีก “ไม่กี่เดือนข้างหน้า” จนส่งผลให้ “ทรัมป์บ้า” อดไม่ได้ต้องออกมาแสดงความวิตกกังวล ขณะปราศรัยหาเสียง ณ เวทีแคลิฟอร์เนีย...

    โดยเฉพาะสำหรับใครก็ตาม ที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียนบทความชิ้นล่าสุด ของอดีตทูตอินเดีย “M.K. Bhadrakumar” เรื่อง “Russia aligns with Iran, war cloud scatter” ที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮานำมาแปลและถ่ายทอดไปเมื่อวัน-สองวันมานี้ ก็น่าจะพอมองเห็นถึง “ความเป็นไปได้” ของ “อภิมหาสงคราม” อันเนื่องมาจากการบ่งชี้ถึงการบรรลุข้อตกลงความร่วมมือทางความมั่นคงระหว่าง “อิหร่าน-รัสเซีย” หรือที่เรียกๆ กันว่า “The Big Treaty” ที่อาจทำให้การโจมตีอิหร่านย่อมหมายถึงการเผชิญหน้าโดยตรงกับคุณน้ารัสเซียควบคู่ไปด้วย และคงไม่ต่างอะไรไปจากคุณพี่จีนที่นักยุทธศาสตร์การทหารของจีนเขาเคยพูดๆ เอาไว้ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ว่าจีนพร้อมที่จะปกป้องอิหร่าน...แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ตามที...

    ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้...เลยคงต้องขออนุญาตแนะนำให้ลองไปหาอ่านข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุดของ “นายRon Paul” อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐเท็กซัส และผู้เคยลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกามาแล้ว 3 ครั้ง ว่าด้วยเรื่อง “American Neocons Get Their Iran War as Congress Sleeps” หรือในขณะที่สมาชิกสภาคองเกรสอเมริกันกำลังนอนหลับคร่อกฟี้ๆ อยู่นั้น พวก “ขวาใหม่” หรือพวก “Neoconservative” ในอเมริกา อันเต็มไปด้วยลูกหลานชาวยิวยุ่มย่ามยั้วเยี้ยไปหมด อีกทั้งยังมีบทบาทอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกันในแทบทุกยุค-ทุกสมัยกำลังประสบความสำเร็จในการฉุดกระชากลากถูให้อเมริกาต้องเปิดศึกสงครามกับอิหร่านจนได้ โดยย้ำให้เห็นว่า...สงครามเช่นนี้แทบไม่ก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลใดๆ ต่อชาวอเมริกันและประเทศอเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยเหตุเพราะ... “เรา(ชาวอเมริกัน)กำลังเดินละเมอไปสู่สงครามแห่งกลียุค ที่ถูกกล่อมเกลาโดยการโฆษณาของบรรดาสื่อมวลชน อันจะมีผลให้ผู้คนนับพันๆ ล้านต้องประสบกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจ และผู้บริสุทธิ์อีกมากกว่านั้นจะต้องสูญเสียชีวิตไปกับความบ้าคลั่งแห่งสงคราม...”

    ในบทความชิ้นนี้ยังได้สรุปไว้ในตอนท้ายอย่างน่าคิดสะกิดใจเอามากๆ ด้วยข้อความที่ว่า... “มากกว่าครึ่งศตวรรษมาแล้วที่เรายังคงไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนแห่งเหตุการณ์ 9/11 เมื่อเราออกไปสร้างความฉิบหายวายวอดให้กับผู้คนนอกประเทศที่ไม่เคยทำร้ายอะไรเราเลย นั่นก็คือเราได้สร้าง...ศัตรู ผู้ที่คิดจะแก้แค้น-เอาคืน หรือนั่นก็คือเราได้ทำร้ายตัวเราเอง เราสร้างความเสี่ยงให้กับการโต้กลับ ด้วยเหตุนี้...ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลุกขึ้นมาคัดค้านและปฏิเสธสงครามที่กำลังใกล้เข้ามา นับตั้งแต่...เดี๋ยวนี้!!!” นี่...เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ว่าจะ “ฟัง...แล้วได้ยิน” ต่อคำเตือนของอดีตนักการเมืองรายนี้หรือไม่? อย่างไร? นั่นแล...

    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/daily/detail/9670000100145

    #Thaitimes
    ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้ประกาศตอกย้ำเอาไว้อีกครั้ง ว่าภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” กำลังใกล้นำพาประเทศอเมริกาเข้าสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” อีกแค่ไม่กี่เดือนข้างหน้า ถ้าว่ากันโดยคำพูดแบบ “คำต่อคำ” ที่ถูกถ่ายทอดผ่านสำนักข่าวต่างๆ ก็คือ... “เรากำลังมีปัญหา ที่ทำให้ผมรู้สึกวิตกกังวลเอาจริงๆ ต่อเหตุการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผมกังวลว่าเราอาจต้องจบลงด้วยสงครามโลกครั้งที่ 3 ด้วยเหตุเพราะรัฐบาลที่กำลังเป็นอยู่” หรือถึงขั้นถ้าตัวเองเกิดชนะเลือกตั้งขึ้นมา มีแต่ต้อง “ลงมืออย่างเร่งด่วนและด้วยความรวดเร็ว...ถึงจะช่วยปกปักรักษาประเทศอเมริกา ช่วยกอบกู้ประชาชนชาวแคลิฟอร์เนียให้พ้นไปจากเงื้อมมือของพรรคการเมืองตรงกันข้าม ด้วยการหยุดสงครามยูเครน ยุติความสับสนอลหม่านในตะวันออกกลาง และป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ให้จงได้!!!” นี่...เป็นเรื่อง-เป็นราว เป็นจริง-เป็นจัง ไปได้ถึงขั้นนั้น... เหตุที่ “ทรัมป์บ้า” ต้องนำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาพูดจาหาเสียงกันอีกครั้ง แม้ว่าเคยพูดจาทำนองนี้มาแล้วหลายครั้งหลายหน มันออกจะเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจ อยู่พอสมควรเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านั้น...หนังสือพิมพ์ “The Washington Post” เขาได้นำเสนอรายงานข่าวเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 ต.ค.) ว่าประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “โจ ซึมเซา” ได้บอกกับที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว ให้ไป “เตือนอิหร่าน” ว่าความพยายามลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” นั้น เท่ากับเป็นการ “ประกาศสงคราม” กับอเมริกา อันอาจถือเป็นการแสดงความห่วงใย ความต้องการปกป้องชาวอเมริกัน แม้จะเป็นคู่แข่งทางการเมืองของตัวเองก็ตาม แต่ปัญหามีอยู่ว่า...ทำไมการคิดลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” มันดันถูกโยงไปยังคู่กัด-คู่อาฆาตของอเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล เช่นประเทศอิหร่านจนได้??? ทั้งที่น่าจะเป็น “คนละเรื่อง” แท้ๆ... ส่วนที่อาจเกี่ยวข้องอยู่บ้างนิดๆ ก็คือ...กรณีเกิดการลอบสังหารผู้นำทางทหารอิหร่าน อย่าง “พลเอกQassem Soleimani” เมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2020 อันเป็นช่วงเดียวกับที่ “ทรัมป์บ้า” ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และอาจมีส่วนรับทราบ รู้เห็นต่อการกระทำเช่นนี้ แต่นั่นก็ยากที่จะนำมาเกี่ยวข้องโยงใยกับบรรดา “ผู้ต้องหา” หรือ “มือปืน” ที่พยายามลอบฆ่า ลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” คราวแล้ว คราวเล่า ซึ่งออกจะหนักไปทางพวก “สาวกเดโมแครต” นั่นแหละเป็นหลัก ไม่ได้เกี่ยวกับมุสลิม อิสลาม หรือกับอิหร่านด้วยเลย อีกทั้งในคำประกาศแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่านต่อกรณีดังกล่าว ก็ดูจะเน้นหนักไปในทาง “ยุทธศาสตร์” ไม่ได้คิดจะอาศัยเพียงแค่ “ยุทธวิธี” แบบโง่ๆ-ง่ายๆ หรือมุ่งที่คิดจะเสือกไสไล่ส่ง บรรดาทหารอเมริกาทั้งมวลไม่ให้เหลือติดอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางแม้แต่รายเดียว...อะไรประมาณนั้น... และก็แน่ล่ะว่า...ทางการอิหร่านเขาได้ออกมาปฏิเสธแบบหัวเด็ด-ตีนขาด ต่อ “ข้อกล่าวหา” เรื่องคิดจะลอบฆ่า ลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” มาแล้วตั้งแต่ต้น หรือตั้งแต่ถูก “ยิงเฉี่ยวหู” เมื่อช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน “นายNasser Kanaani” ได้ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการว่าอิหร่านไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย และ “สิ่งที่อิหร่านต้องการก็คือการอาศัยการกระทำที่ถูกต้องตามตัวบทกฎหมายต่อผู้ที่มีส่วนรู้เห็น รับผิดชอบ การลอบสังหารพลเอกSoleimani” ด้วยเหตุนี้การนำเอาเรื่องการลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” มาเกี่ยวโยงกับอิหร่าน หรือมาใช้เป็น “ข้ออ้าง” ในการ “ประกาศสงคราม” ของอเมริกา มันเลยออกจะคล้ายๆ การประกาศสงครามกับ “ซัดดัม ฮุสเซน” แห่งอิรัก อันเนื่องมาจากมี “อาวุธทำลายล้าง” อยู่ในครอบครอง อะไรทำนองนั้น คือแม้จะมาจาก “การข่าว” ใดๆ ก็เถอะ แต่หนักไปทาง “ข่าวลวง-ข่าวลือ” ที่หาหลักฐาน-ข้อพิสูจน์ใดๆ แทบไม่ได้ ชนิดเผลอๆ... “ทรัมป์บ้า” อาจต้อง “ตายฟรี” พร้อมๆ กับการเปิดฉากสงครามกับอิหร่าน แบบยิงปืนนัดเดียวนกหล่นลงมาทั้งพวง เอาเลยก็ไม่แน่!!! การโยงเอาอิหร่านกับการลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” ให้กลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ถึงขั้นที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่าง “โจ ซึมเซา” ถึงกับออกมาประกาศว่าเป็นการ “ประกาศสงครามโดยตรงกับอเมริกา” ขณะที่พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลก็กำลังกระเหี้ยนกระหือรือ อยากจะแก้แค้น-เอาคืนกับอิหร่านเต็มที โดยหวังจะฉุดกระชากลากถูให้อเมริกาเข้ามาร่วมรุมถล่มอิหร่านอีกด้วยต่างหาก อันอาจนำไปสู่ฉากเหตุการณ์ “สงครามโลกครั้งที่ 3” อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดังที่ “ทรัมป์บ้า” ออกมาแสดงความวิตกกังวลในเวทีปราศรัยคราวล่าสุด อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยชักจะเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” อย่างแทบไม่น่าเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อจนได้... เพราะแม้ว่าอเมริกาภายใต้การนำของ “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ ล้างเผ่าพันธุ์” ก็แล้วแต่จะเรียก พยายามแสดงท่าทีภายนอกว่าไม่อยากเห็นสงครามในตะวันออกกลาง ไม่ว่าอิสราเอลกับฮามาส กับเฮซบอลเลาะห์หรือกับอิหร่านก็ตามที แต่โดยความเคลื่อนไหวลึกๆ ลงไปแล้ว มันออกจะขัดแย้งและสวนทางกับการแสดงออกภายนอกอย่างเห็นได้โดยชัดเจน ไม่ว่าการมุ่ง “เติมเงิน-เติมอาวุธ” ให้กับรัฐบาลและกองทัพอิสราเอลแบบไม่ได้คิดยับยั้งชั่งใจใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แม้บรรดาประเทศต่างๆ นับเป็นร้อยๆ ต่างออกมาตำหนิประณามอิสราเอล คราวแล้ว-คราวเล่า ไม่ว่าเรื่องการประกาศให้เลขาธิการยูเอ็นเป็น “บุคคลไม่พึงปรารถนา” การโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติโดยใคร่ครวญเอาไว้ก่อน รวมทั้งการมุ่งหน้า “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์อย่างไม่คิดจะยั้งมือ ฯลฯ แต่บรรดาสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลให้ผู้สนับสนุนอิสราเอลแบบ “มากกว่าประธานาธิบดีอเมริกันรายใดเท่าที่เคยมีมา” ดังที่ผู้ประกาศตัวเป็น “Zionist” อย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ได้ออกมาอวดโชว์คุณสมบัติของตัวเอง เกิดอาการคิดหน้า-คิดหลังต่อการสนับสนุนอิสราเอลแต่อย่างใด แต่กลับพร้อมที่จะกระพือฮือโหม “ไฟสงคราม” ไม่ว่าในแนวรบยุโรปตะวันออก หรือตะวันออกกลาง อย่างเป็นระบบและกิจการ... ล่าสุด...เห็นว่ากำลังคิดจะส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศ “THAAD” ที่ว่ากันว่าสามารถสกัดกั้นการโจมตีจากจรวดที่มีความเร็วระดับ Mach 7.5 ไปให้กับอิสราเอล แถม “พลตรีPat Ryder” โฆษกเพนตากอนแสดงท่าทีว่าคิดจะส่งกำลังทหารอเมริกาและอังกฤษเพิ่มเติมเข้าไปในตะวันออกกลาง ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (13 ต.ค.) รวมทั้งผู้บัญชาการ “CENTCOM” (The Commander of the US Central Command) “พลเอกMichale Kurilla” ยังอุตส่าห์ถ่อไปถึงประเทศอิสราเอลเพื่อแสดงออกถึงความร่วมมือกับกองทัพอิสราเอลในการวางแผนโจมตีอิหร่านอีกต่างหาก อันนี้นี่แหละ...เลยทำให้สิ่งที่เรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3” อาจระเบิดเถิดเทิงขึ้นในอีก “ไม่กี่เดือนข้างหน้า” จนส่งผลให้ “ทรัมป์บ้า” อดไม่ได้ต้องออกมาแสดงความวิตกกังวล ขณะปราศรัยหาเสียง ณ เวทีแคลิฟอร์เนีย... โดยเฉพาะสำหรับใครก็ตาม ที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียนบทความชิ้นล่าสุด ของอดีตทูตอินเดีย “M.K. Bhadrakumar” เรื่อง “Russia aligns with Iran, war cloud scatter” ที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮานำมาแปลและถ่ายทอดไปเมื่อวัน-สองวันมานี้ ก็น่าจะพอมองเห็นถึง “ความเป็นไปได้” ของ “อภิมหาสงคราม” อันเนื่องมาจากการบ่งชี้ถึงการบรรลุข้อตกลงความร่วมมือทางความมั่นคงระหว่าง “อิหร่าน-รัสเซีย” หรือที่เรียกๆ กันว่า “The Big Treaty” ที่อาจทำให้การโจมตีอิหร่านย่อมหมายถึงการเผชิญหน้าโดยตรงกับคุณน้ารัสเซียควบคู่ไปด้วย และคงไม่ต่างอะไรไปจากคุณพี่จีนที่นักยุทธศาสตร์การทหารของจีนเขาเคยพูดๆ เอาไว้ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ว่าจีนพร้อมที่จะปกป้องอิหร่าน...แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ตามที... ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้...เลยคงต้องขออนุญาตแนะนำให้ลองไปหาอ่านข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุดของ “นายRon Paul” อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐเท็กซัส และผู้เคยลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกามาแล้ว 3 ครั้ง ว่าด้วยเรื่อง “American Neocons Get Their Iran War as Congress Sleeps” หรือในขณะที่สมาชิกสภาคองเกรสอเมริกันกำลังนอนหลับคร่อกฟี้ๆ อยู่นั้น พวก “ขวาใหม่” หรือพวก “Neoconservative” ในอเมริกา อันเต็มไปด้วยลูกหลานชาวยิวยุ่มย่ามยั้วเยี้ยไปหมด อีกทั้งยังมีบทบาทอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกันในแทบทุกยุค-ทุกสมัยกำลังประสบความสำเร็จในการฉุดกระชากลากถูให้อเมริกาต้องเปิดศึกสงครามกับอิหร่านจนได้ โดยย้ำให้เห็นว่า...สงครามเช่นนี้แทบไม่ก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลใดๆ ต่อชาวอเมริกันและประเทศอเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยเหตุเพราะ... “เรา(ชาวอเมริกัน)กำลังเดินละเมอไปสู่สงครามแห่งกลียุค ที่ถูกกล่อมเกลาโดยการโฆษณาของบรรดาสื่อมวลชน อันจะมีผลให้ผู้คนนับพันๆ ล้านต้องประสบกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจ และผู้บริสุทธิ์อีกมากกว่านั้นจะต้องสูญเสียชีวิตไปกับความบ้าคลั่งแห่งสงคราม...” ในบทความชิ้นนี้ยังได้สรุปไว้ในตอนท้ายอย่างน่าคิดสะกิดใจเอามากๆ ด้วยข้อความที่ว่า... “มากกว่าครึ่งศตวรรษมาแล้วที่เรายังคงไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนแห่งเหตุการณ์ 9/11 เมื่อเราออกไปสร้างความฉิบหายวายวอดให้กับผู้คนนอกประเทศที่ไม่เคยทำร้ายอะไรเราเลย นั่นก็คือเราได้สร้าง...ศัตรู ผู้ที่คิดจะแก้แค้น-เอาคืน หรือนั่นก็คือเราได้ทำร้ายตัวเราเอง เราสร้างความเสี่ยงให้กับการโต้กลับ ด้วยเหตุนี้...ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลุกขึ้นมาคัดค้านและปฏิเสธสงครามที่กำลังใกล้เข้ามา นับตั้งแต่...เดี๋ยวนี้!!!” นี่...เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ว่าจะ “ฟัง...แล้วได้ยิน” ต่อคำเตือนของอดีตนักการเมืองรายนี้หรือไม่? อย่างไร? นั่นแล... ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/daily/detail/9670000100145 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    อีกไม่เกิน 3 เดือน...สงครามโลกครั้งที่ 3???
    ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปดู “เลือกตั้งอเมริกา” ไว้สักหน่อยแล้วล่ะทั่น!!! เพราะไม่เพียงเขาจะเลือกกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า (5 พ.ย.) แต่เห็นว่าผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งพรรครีพับลิกัน อย่าง “ทรัมป์บ้า”
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทักษิณย่องเงียบรายงานตัวคดี 112ต่อศาลอาญา
    และไม่ยื่นขอออกนอกประเทศ

    17 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางมารายงานตัวที่ศาลอาญาในคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์กับเดอะโชซอนมีเดียของเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันฯ ซึ่งก่อนหน้านี้นายทักษิณได้รับการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 5 เเสนบาท กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล
    .
    ทั้งนี้ นายทักษิณไม่ได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าเตรียมจะยื่นคำร้องขอออกนอกประเทศอีกครั้ง หลังศาลอาญาเคยยกคำร้องไปเมื่อวันที่ 30 ก.ค.2567 ที่มารายงานตัวในวันนี้เป็นไปตามกำหนดเงื่อนไขที่จะต้องมารายงานตัวต่อศาลเดือนละ1 ครั้ง โดยในครั้งนี้ไม่ได้เเจ้งล่วงหน้า ภายหลังรายงานตัว ใช้ระยะเวลาประมาณ 5-10 นาที นายทักษิณก็เดินทางกลับทันที
    .
    คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณ ศาลกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกวันที่ 1 ก.ค. 2568
    .
    ที่มา https://sondhitalk.com/detail/9670000100078

    #Thaitimes
    ทักษิณย่องเงียบรายงานตัวคดี 112ต่อศาลอาญา และไม่ยื่นขอออกนอกประเทศ 17 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางมารายงานตัวที่ศาลอาญาในคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์กับเดอะโชซอนมีเดียของเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันฯ ซึ่งก่อนหน้านี้นายทักษิณได้รับการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 5 เเสนบาท กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล . ทั้งนี้ นายทักษิณไม่ได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าเตรียมจะยื่นคำร้องขอออกนอกประเทศอีกครั้ง หลังศาลอาญาเคยยกคำร้องไปเมื่อวันที่ 30 ก.ค.2567 ที่มารายงานตัวในวันนี้เป็นไปตามกำหนดเงื่อนไขที่จะต้องมารายงานตัวต่อศาลเดือนละ1 ครั้ง โดยในครั้งนี้ไม่ได้เเจ้งล่วงหน้า ภายหลังรายงานตัว ใช้ระยะเวลาประมาณ 5-10 นาที นายทักษิณก็เดินทางกลับทันที . คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณ ศาลกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกวันที่ 1 ก.ค. 2568 . ที่มา https://sondhitalk.com/detail/9670000100078 #Thaitimes
    SONDHITALK.COM
    ทักษิณย่องเงียบ รายงานตัวคดี 112 ไม่ยื่นขอออกนอกประเทศ
    วันนี้ (17 ต.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางมารายงานตัวที่ศาลอาญาในคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์กับเดอะโชซอ
    Like
    Haha
    Wow
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1043 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าสู่กันฟัง..

    ล่าสุด..มีแฟนเพจ มีนักข่าวทักมาถามเรื่อง บอสพอลจ่ายส่วยหมื่นล้าน แอดมินมีข้อมูลบ้างไหมครับ.?

    มีคนส่งข้อมูลมาให้เราก่อนจะเป็นข่าวอีก แต่เราไม่ได้เล่น #เพราะมันไม่เมคเซ้นส์ เพราะหลายจุดมันยังดูมีพิรุธอยู่

    และใดๆเลยคือ มันไม่มีหลักฐานอ้างอิงไม่มีเส้นเงินมาสนับสนุนเรื่องเล่า ถ้าเราเล่นไปมันจะกลายเป็นการกล่าวหาแบบเลื่อนลอย

    เดี๋ยวโป๊ะโบ๊ะบ๊ะขึ้นมา พาเขินแป้นพิมพ์แย่เลย ปั่ดโธ่😅
    ----------
    ส่วย..

    อาชญากรทุกองค์กร “ถ้าตัวเองยังไม่ถูกจับกุม”ทุกองค์กร จะจ่ายส่วยด้วยเงินไม่เกิน 20% ของรายได้ที่ตัวเองได้รับ

    จนกว่าจะถึงวันที่อาชญากรถูกจับกุมตัวได้แล้วตอนนั้นล่ะถึงจะดิ้นจ่ายเงินซื้ออิสระภาพ ด้วยตัวเลขหลัก 1-2-3-4-500 ล้านบาท

    เมื่อสิ้นอิสระภาพอาชญากรจะยอมจ่าย..แทบทุกตัวเลขที่ถูกเรียกรับสินบน

    จะเขียนให้อ่านว่า“เรามีวิธีคิดอย่างไร”กับเรื่องบอสพอลจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้าน

    วิธีวิเคราะห์หาข้อเท็จจริงของเราเริ่มจาก“ตั้งสมมติฐาน”หาตัวเลขกำไรของบริษัท The Icon

    #เอาจำนวนผู้ร่วมลงทุนกับบริษัทเป็นตัวตั้งของรายรับ..

    บริษัท..มียอดผู้ร่วมทุน 6 แสนกว่ารหัส แต่ละรหัสลงทุนตั้งแต่ 2,500,25,000,250,000 บาท นั่นคือรายรับหลักๆ

    มีรายรับย่อยๆคือ..ค่าคอร์สสอนเรียนกับรายรับที่อยู่นอกระบบคือ“เงิน 400 ล้านบาท”ที่พอลปล่อยกู้คิดดอกร้อยละ 0.50

    #ประมาณการรายจ่ายหลักๆของบริษัท

    1.ต้นทุนค่าสินค้า 2.ค่าบริหารจัดการที่รวมถึงค่ายิงแอดค่าทำการตลาด 3.ปันผลเป็นขั้นบันไดลงไปสู่แม่ทีม

    รายจ่าย 3 ข้อรวมกันคิดเป็น 70% โดยประมาณ

    เอารายจ่าย 70% ไปลบออกจากรายรับจาก 6 แสนกว่ารหัส กำไรสุทธิของบริษัทเหลือไม่เกิน 30% โดยประมาณ

    ต้องไม่ลืมว่าช่วงระหว่างปี 2566 บริษัท Thi Icon เหลือรหัสที่เคลื่อนไหวร่วมทุนจริงๆอยู่ราวๆ 3 แสนรหัส

    อีก 3 แสนรหัส บ้างก็รวยแล้วลุก บ้างก็เจ๊ง บ้างก็ตื่นรู้แล้วถอย The Icon จึงถึงยุคขาลงตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา

    ดังนั้น #เรามีความเชื่อส่วนตัว ว่าบริษัท The Icon มีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท(ไม่รวมเงินของลูกทีม)

    ก็ลองดูตัวเลขเข้าทำการอายัดบอสพอลดิ่มีอยู่ 125 ล้านบาท ตัวเลขมันห่างจากการมีกำไรสุทธิหลักหมื่นล้านไปเยอะมาก

    ดังนั้นคำว่าบริษัท The Icon มีกำไร”แสนล้านบาท“ตามที่เป็นข่าวลือนั้น..มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน

    เราจึงได้หลักคิดง่ายๆว่า.ถ้าบริษัทมีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท ตัวเลขส่วยหมื่นล้านบาท..มันก็เป็นเรื่องเท็จ

    ถ้าเรื่องส่วยหมื่นล้านมันเป็นเรื่องเท็จ เรื่องตัวละครที่รับส่วยชื่อนั้นหน่วยงานโน้นบลาๆๆ..มันก็เป็นเรื่องเท็จในเท็จ

    ลองนึกถึงคลิปเสียงที่พอลคุยกับ”ซาดหมา“เรื่องจ่ายให้เดือนละแสน ซึ่งพอลยอมรับกับพี่หนุ่มกลางรายการโหนว่าเป็นคลิปจริง

    อ้าว..แล้วถ้าบอสพอลมันมีเทวดาผู้คุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศเป็นคนใหญ่คนโตเป็นหุ้นส่วน มีการจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้านจริงๆ.?

    คนอย่าง”ซาดหมา“ซึ่งไก่กาอาราเล่มากๆถ้าเทียบกับเทวดาผู้คุ้มครองในยุคนั้น เจอแค่ลูกรักของเทวดาเข้าไปซาดหมา ก็ฉิบหายแล้ว

    เออ.! แล้วทำไมพอลถึงไปขอความช่วยเหลือกับซาดหมา.?

    เออ.! แล้วพอลทำไมต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้ซาดหมาอีกเดือนละแสน ทั้งๆที่มีเทวดาผู้ยิ่งใหญ่คุ้มตัวอยู่แล้ว.?

    เห็นไหมครับ ว่าหลายเรื่องมันดูมีพิรุธ หลายจุดมันเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผลจนยากจะเชื่อ และอะไรที่เหลือเชื่อ..จงอย่าเชื่อจนกว่าจะมีบทพิสูจน์

    ด้วยตรรกะทางความคิดดังกล่าวของพวกเรา จึงตัดสินใจไม่เล่นเรื่องส่วยที่เรารู้ว่ามันมีส่วยแน่ๆ แต่ตัวเลขมันเวอร์เกินไปจนยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง

    เมื่อถึงเวลาที่ตำรวจแถลงยอดเงินของผู้เสียหายซึ่งเรามั่นใจว่ารวมกันแล้วไม่น่าจะถึง 5 พันล้านบาท

    ถ้ายอดเงินผู้เสียหายไม่ถึง 5 พันล้านบาทจริงๆ เรื่องส่วยหมื่นล้านมันก็ได้คำตอบแล้วว่าเป็นเรื่ิอง..จ้อจี้

    เพราะตามหลักแล้วตัวเลขส่วยของบอสพอลมันจะต้องไม่จ่ายเงินส่วยมากกว่ายอดเงินของผู้เสียหาย..นั่นเอง

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    เล่าสู่กันฟัง.. ล่าสุด..มีแฟนเพจ มีนักข่าวทักมาถามเรื่อง บอสพอลจ่ายส่วยหมื่นล้าน แอดมินมีข้อมูลบ้างไหมครับ.? มีคนส่งข้อมูลมาให้เราก่อนจะเป็นข่าวอีก แต่เราไม่ได้เล่น #เพราะมันไม่เมคเซ้นส์ เพราะหลายจุดมันยังดูมีพิรุธอยู่ และใดๆเลยคือ มันไม่มีหลักฐานอ้างอิงไม่มีเส้นเงินมาสนับสนุนเรื่องเล่า ถ้าเราเล่นไปมันจะกลายเป็นการกล่าวหาแบบเลื่อนลอย เดี๋ยวโป๊ะโบ๊ะบ๊ะขึ้นมา พาเขินแป้นพิมพ์แย่เลย ปั่ดโธ่😅 ---------- ส่วย.. อาชญากรทุกองค์กร “ถ้าตัวเองยังไม่ถูกจับกุม”ทุกองค์กร จะจ่ายส่วยด้วยเงินไม่เกิน 20% ของรายได้ที่ตัวเองได้รับ จนกว่าจะถึงวันที่อาชญากรถูกจับกุมตัวได้แล้วตอนนั้นล่ะถึงจะดิ้นจ่ายเงินซื้ออิสระภาพ ด้วยตัวเลขหลัก 1-2-3-4-500 ล้านบาท เมื่อสิ้นอิสระภาพอาชญากรจะยอมจ่าย..แทบทุกตัวเลขที่ถูกเรียกรับสินบน จะเขียนให้อ่านว่า“เรามีวิธีคิดอย่างไร”กับเรื่องบอสพอลจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้าน วิธีวิเคราะห์หาข้อเท็จจริงของเราเริ่มจาก“ตั้งสมมติฐาน”หาตัวเลขกำไรของบริษัท The Icon #เอาจำนวนผู้ร่วมลงทุนกับบริษัทเป็นตัวตั้งของรายรับ.. บริษัท..มียอดผู้ร่วมทุน 6 แสนกว่ารหัส แต่ละรหัสลงทุนตั้งแต่ 2,500,25,000,250,000 บาท นั่นคือรายรับหลักๆ มีรายรับย่อยๆคือ..ค่าคอร์สสอนเรียนกับรายรับที่อยู่นอกระบบคือ“เงิน 400 ล้านบาท”ที่พอลปล่อยกู้คิดดอกร้อยละ 0.50 #ประมาณการรายจ่ายหลักๆของบริษัท 1.ต้นทุนค่าสินค้า 2.ค่าบริหารจัดการที่รวมถึงค่ายิงแอดค่าทำการตลาด 3.ปันผลเป็นขั้นบันไดลงไปสู่แม่ทีม รายจ่าย 3 ข้อรวมกันคิดเป็น 70% โดยประมาณ เอารายจ่าย 70% ไปลบออกจากรายรับจาก 6 แสนกว่ารหัส กำไรสุทธิของบริษัทเหลือไม่เกิน 30% โดยประมาณ ต้องไม่ลืมว่าช่วงระหว่างปี 2566 บริษัท Thi Icon เหลือรหัสที่เคลื่อนไหวร่วมทุนจริงๆอยู่ราวๆ 3 แสนรหัส อีก 3 แสนรหัส บ้างก็รวยแล้วลุก บ้างก็เจ๊ง บ้างก็ตื่นรู้แล้วถอย The Icon จึงถึงยุคขาลงตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ดังนั้น #เรามีความเชื่อส่วนตัว ว่าบริษัท The Icon มีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท(ไม่รวมเงินของลูกทีม) ก็ลองดูตัวเลขเข้าทำการอายัดบอสพอลดิ่มีอยู่ 125 ล้านบาท ตัวเลขมันห่างจากการมีกำไรสุทธิหลักหมื่นล้านไปเยอะมาก ดังนั้นคำว่าบริษัท The Icon มีกำไร”แสนล้านบาท“ตามที่เป็นข่าวลือนั้น..มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เราจึงได้หลักคิดง่ายๆว่า.ถ้าบริษัทมีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท ตัวเลขส่วยหมื่นล้านบาท..มันก็เป็นเรื่องเท็จ ถ้าเรื่องส่วยหมื่นล้านมันเป็นเรื่องเท็จ เรื่องตัวละครที่รับส่วยชื่อนั้นหน่วยงานโน้นบลาๆๆ..มันก็เป็นเรื่องเท็จในเท็จ ลองนึกถึงคลิปเสียงที่พอลคุยกับ”ซาดหมา“เรื่องจ่ายให้เดือนละแสน ซึ่งพอลยอมรับกับพี่หนุ่มกลางรายการโหนว่าเป็นคลิปจริง อ้าว..แล้วถ้าบอสพอลมันมีเทวดาผู้คุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศเป็นคนใหญ่คนโตเป็นหุ้นส่วน มีการจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้านจริงๆ.? คนอย่าง”ซาดหมา“ซึ่งไก่กาอาราเล่มากๆถ้าเทียบกับเทวดาผู้คุ้มครองในยุคนั้น เจอแค่ลูกรักของเทวดาเข้าไปซาดหมา ก็ฉิบหายแล้ว เออ.! แล้วทำไมพอลถึงไปขอความช่วยเหลือกับซาดหมา.? เออ.! แล้วพอลทำไมต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้ซาดหมาอีกเดือนละแสน ทั้งๆที่มีเทวดาผู้ยิ่งใหญ่คุ้มตัวอยู่แล้ว.? เห็นไหมครับ ว่าหลายเรื่องมันดูมีพิรุธ หลายจุดมันเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผลจนยากจะเชื่อ และอะไรที่เหลือเชื่อ..จงอย่าเชื่อจนกว่าจะมีบทพิสูจน์ ด้วยตรรกะทางความคิดดังกล่าวของพวกเรา จึงตัดสินใจไม่เล่นเรื่องส่วยที่เรารู้ว่ามันมีส่วยแน่ๆ แต่ตัวเลขมันเวอร์เกินไปจนยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง เมื่อถึงเวลาที่ตำรวจแถลงยอดเงินของผู้เสียหายซึ่งเรามั่นใจว่ารวมกันแล้วไม่น่าจะถึง 5 พันล้านบาท ถ้ายอดเงินผู้เสียหายไม่ถึง 5 พันล้านบาทจริงๆ เรื่องส่วยหมื่นล้านมันก็ได้คำตอบแล้วว่าเป็นเรื่ิอง..จ้อจี้ เพราะตามหลักแล้วตัวเลขส่วยของบอสพอลมันจะต้องไม่จ่ายเงินส่วยมากกว่ายอดเงินของผู้เสียหาย..นั่นเอง สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค
    เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
    ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย
    ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี
    -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร
    -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน
    -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า
    1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต
    2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา
    3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น
    คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า 1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต 2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา 3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้ #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 70 0 รีวิว
  • กองทัพเกาหลีใต้เปิดเผยพวกเขาพร้อมเต็มพิกัดสำหรับการตอบโต้ หลังเกาหลีเหนือสั่งการทหารตามแนวชายแดนให้อยู่ในภาวะเตรียมพร้อมสำหรับเปิดฉากยิง ท่ามกลางสถานการณ์ที่ร้อนระอุขึ้นอย่างฉับพลันในคาบสมุทรเกาหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากโซลส่งโดรนบินไปถึงกรุงเปียงยางเมื่อเร็วๆนี้
    .
    เกาหลีเหนือ ชาติติดอาวุธนิวเคลียร์ กล่าวหาโซลส่งโดรนบินเหนือเมืองหลวงของพวกเขา เพื่อปล่อยใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อที่เต็มไปด้วยข่าวลือที่อันเป็นเท็จและไร้สาระ พร้อมเตือนในวันอาทิตย์(13ต.ค.) ว่าพวกเขาจะพิจารณาว่ามันเท่ากับเป็นการประกาศสงคราม หากว่ามีการตรวจพบโดรนอีกรอบ
    .
    กองทัพเกาหลีใต้ปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังโดรนเหล่านั้น ในขณะที่พวกนักเคลื่อนไหวเกาหลีใต้ ดำเนินการมาช้านานในการส่งโฆษณาชวนเชื่อต่างๆนานา ส่วนใหญ่ผ่านการปล่อยลูกโป่ง มุ่งหน้าขึ้นสู่ทางเหนือ
    .
    แม้พวกเจ้าหน้าที่มีความพยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น แต่บรรดานักเคลื่อนไหวเกาเหลีใต้มักปล่อยลูกโป่งที่ลอยไปได้ไกล บรรจุใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านผู้นำเกาหลีเหนือและเนื้อหาอื่นๆ ในนั้นรวมถึงอุปกรณ์ยูเอสบีที่บรรจุเพลงเค-ป็อป และซีรีส์เกาหลี ข้ามชายแดนเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ ในกลยุทธ์ที่ทางเกาหลีเหนือประท้วงด้วยความเดือดดาลมาตลอด
    .
    อย่างไรก็ตามเกาหลีเหนือยืนยันว่าโซลต้องเป็นผู้รับผิดชอบอย่างเป็นทางการ และแถลงในช่วงเย็นวันอาทิตย์(13ต.ค.) ว่าได้สั่งการให้กองพันทหารปืนใหญ่ 8 กองพัน ที่เตรียมตัวสำหรับทำสงครามอยู่ก่อนแล้ว "ให้พร้อมอย่างเต็มพิกัดในการเปิดฉากยิง" และเสริมกำลังตามป้อมสังเกตการณ์ทางอากาศในกรุงเปียงยาง
    .
    "กองทัพของเรากำลังจับตาสถานการณ์และพร้อมอย่างเต็มกำลัง" โฆษกของเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้กล่าวระหว่างแถลงข่าว
    .
    ขณะเดียวกันสื่อมวลชนแห่งรัฐเกาหลีเหนือ รายงานว่าท่านผู้นำคิม จองอึน เรียกประชุมด้านความมั่นคงแห่งชาติในวันจันทร์(14ต.ค.) พร้อมสั่งการให้วางแผนหนึ่งๆ สำหรับปฏิบติการทางทหารในทันที ในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดกับเกาหลีใต้พุ่งสูงขึ้น
    .
    การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในกรุงเปียงยาง และมีบรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงของประเทศเข้าร่วม ในนั้นรวมถึงผู้บัญชาการกองทัพและเจ้าหน้าที่ทหารอื่นๆ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐและกระทรวงกลาโหม
    .
    เปียงยางอ้างว่าโดรนโฆษณาชวนเชื่อแทรกซึมเข้ามาในน่านฟ้าเมืองหลวงของพวกเขาถึง 3 ครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ในขณะที่ คิม โยจอง น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลของ คิม จองอึน ขุ่เกาหลีใต้ว่าจะต้องเจอกับหายนะอันน่าสยดสยองหากไม่ยอมหยุดการกระทำดังกล่าว
    .
    เสขาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้ ในวันจันทร์(14ต.ค.) ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธคำกล่าวอ้างที่ว่ากองทัพโซลอยู่เบื้องหลังการส่งโดรนข้ามชายแดน แต่เรียกคำกล่าวหาของเกาหลีเหนือว่า "น่าละอาย"
    .
    "เกาหลีเหนือไม่สามารถยืนยันแหล่งที่มาของโดรนลำหนึ่งเหนือน่านฟ้าเปียงยางได้ด้วยซ้ำ แต่กลับมากล่าวโทษเกาหลีใต้ ขณะเดียวกันพวกเขาปิดปากเงียบ กรณีที่วางโดรนมุ่งหน้ามาทางทิศใต้มาแล้วกว่า 10 รอบ" โฆษกเสขาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้ระบุ
    .
    ในวันจันทร์(14ต.ค.) กองทัพเกาหลีใต้เปิดเผยด้วยว่าดูเหมือนเกาหลีเหนือกำลังเตรียมการระเบิดถนนสายต่างๆที่เชื่อมต่อกับเกาหลีใต้ ไม่กี่วันหลังจากเปียงยางบอกว่าพวกเขาจะปิดผนึกชายแดน
    .
    กองทัพประชาชนเกาหลีเหนือแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่ามาตรการนี้จะช่วยแยกดินแดนเกาหลีเหนือจากเกาหลีใต้โดยสิ้นเชิง ขณะที่โฆษกของเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้ สันนิษฐานว่าการระเบิดถนนน่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในวันจันทร์(14ต.ค.)
    .
    กระทรวงรวมชาติของเกาหลีใต้ ระบุว่าคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับโดรน อาจเป็นความพยายามของเกาหลีเหนือในการยกระดับความเป็นหนึ่งเดียวกันภายชาติ ขณะเดียวกันเกาหลีเหนืออาจกำลังมองหาข้ออ้างสำหรับ "ก่อการยั่วยุ สร้างความหวาดวิตกและความสับสนในสังคมของเรา"
    .
    อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งมองว่าผู้อยู่เบื้องหลังโดรนดังกล่าวน่าจะเป็นพวกนักเคลื่อนไหวในเกาหลีใต้ มากว่าที่จะเป็นการจัดฉากของเกาหลีเหนือ เพราะว่าในถ้อยแถลงของเปียงยาง อีกด้านหนึ่งก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่ามาตรการคุ้มกันทางอากาศของพวกเขานั้นมีช่องโหว่
    .
    "แม้กระทั่งหากมันเป็นความพยายามจัดฉากของพวกเขา มันเท่ากับเป็นการเปิดเผยให้เห็นถึงความอ่อนแออย่างมากในน่านฟ้าต่างๆของตนเอง" ยาง อุค นักวิจัยจากสถาบันเอเชียเพื่อการศึกษานโยบายกล่าว
    .
    ตระกูลคิม พึ่งพิงการควบคุมข้อมูลข่าวสารโดยสิ้นเชิงเพื่อรักษาอำนาจไว้ โดยที่ชาวเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือและข้อมูลข่าวสารจากภายนอก "หากการส่งข้อมูลผ่านโดรนกลายเป็นกิจกรรมที่เป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะเป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับเกาหลีเหนือ" ยาง กล่าว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099223
    ..............
    Sondhi X
    กองทัพเกาหลีใต้เปิดเผยพวกเขาพร้อมเต็มพิกัดสำหรับการตอบโต้ หลังเกาหลีเหนือสั่งการทหารตามแนวชายแดนให้อยู่ในภาวะเตรียมพร้อมสำหรับเปิดฉากยิง ท่ามกลางสถานการณ์ที่ร้อนระอุขึ้นอย่างฉับพลันในคาบสมุทรเกาหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากโซลส่งโดรนบินไปถึงกรุงเปียงยางเมื่อเร็วๆนี้ . เกาหลีเหนือ ชาติติดอาวุธนิวเคลียร์ กล่าวหาโซลส่งโดรนบินเหนือเมืองหลวงของพวกเขา เพื่อปล่อยใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อที่เต็มไปด้วยข่าวลือที่อันเป็นเท็จและไร้สาระ พร้อมเตือนในวันอาทิตย์(13ต.ค.) ว่าพวกเขาจะพิจารณาว่ามันเท่ากับเป็นการประกาศสงคราม หากว่ามีการตรวจพบโดรนอีกรอบ . กองทัพเกาหลีใต้ปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังโดรนเหล่านั้น ในขณะที่พวกนักเคลื่อนไหวเกาหลีใต้ ดำเนินการมาช้านานในการส่งโฆษณาชวนเชื่อต่างๆนานา ส่วนใหญ่ผ่านการปล่อยลูกโป่ง มุ่งหน้าขึ้นสู่ทางเหนือ . แม้พวกเจ้าหน้าที่มีความพยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น แต่บรรดานักเคลื่อนไหวเกาเหลีใต้มักปล่อยลูกโป่งที่ลอยไปได้ไกล บรรจุใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านผู้นำเกาหลีเหนือและเนื้อหาอื่นๆ ในนั้นรวมถึงอุปกรณ์ยูเอสบีที่บรรจุเพลงเค-ป็อป และซีรีส์เกาหลี ข้ามชายแดนเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ ในกลยุทธ์ที่ทางเกาหลีเหนือประท้วงด้วยความเดือดดาลมาตลอด . อย่างไรก็ตามเกาหลีเหนือยืนยันว่าโซลต้องเป็นผู้รับผิดชอบอย่างเป็นทางการ และแถลงในช่วงเย็นวันอาทิตย์(13ต.ค.) ว่าได้สั่งการให้กองพันทหารปืนใหญ่ 8 กองพัน ที่เตรียมตัวสำหรับทำสงครามอยู่ก่อนแล้ว "ให้พร้อมอย่างเต็มพิกัดในการเปิดฉากยิง" และเสริมกำลังตามป้อมสังเกตการณ์ทางอากาศในกรุงเปียงยาง . "กองทัพของเรากำลังจับตาสถานการณ์และพร้อมอย่างเต็มกำลัง" โฆษกของเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้กล่าวระหว่างแถลงข่าว . ขณะเดียวกันสื่อมวลชนแห่งรัฐเกาหลีเหนือ รายงานว่าท่านผู้นำคิม จองอึน เรียกประชุมด้านความมั่นคงแห่งชาติในวันจันทร์(14ต.ค.) พร้อมสั่งการให้วางแผนหนึ่งๆ สำหรับปฏิบติการทางทหารในทันที ในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดกับเกาหลีใต้พุ่งสูงขึ้น . การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในกรุงเปียงยาง และมีบรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงของประเทศเข้าร่วม ในนั้นรวมถึงผู้บัญชาการกองทัพและเจ้าหน้าที่ทหารอื่นๆ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐและกระทรวงกลาโหม . เปียงยางอ้างว่าโดรนโฆษณาชวนเชื่อแทรกซึมเข้ามาในน่านฟ้าเมืองหลวงของพวกเขาถึง 3 ครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ในขณะที่ คิม โยจอง น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลของ คิม จองอึน ขุ่เกาหลีใต้ว่าจะต้องเจอกับหายนะอันน่าสยดสยองหากไม่ยอมหยุดการกระทำดังกล่าว . เสขาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้ ในวันจันทร์(14ต.ค.) ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธคำกล่าวอ้างที่ว่ากองทัพโซลอยู่เบื้องหลังการส่งโดรนข้ามชายแดน แต่เรียกคำกล่าวหาของเกาหลีเหนือว่า "น่าละอาย" . "เกาหลีเหนือไม่สามารถยืนยันแหล่งที่มาของโดรนลำหนึ่งเหนือน่านฟ้าเปียงยางได้ด้วยซ้ำ แต่กลับมากล่าวโทษเกาหลีใต้ ขณะเดียวกันพวกเขาปิดปากเงียบ กรณีที่วางโดรนมุ่งหน้ามาทางทิศใต้มาแล้วกว่า 10 รอบ" โฆษกเสขาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้ระบุ . ในวันจันทร์(14ต.ค.) กองทัพเกาหลีใต้เปิดเผยด้วยว่าดูเหมือนเกาหลีเหนือกำลังเตรียมการระเบิดถนนสายต่างๆที่เชื่อมต่อกับเกาหลีใต้ ไม่กี่วันหลังจากเปียงยางบอกว่าพวกเขาจะปิดผนึกชายแดน . กองทัพประชาชนเกาหลีเหนือแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่ามาตรการนี้จะช่วยแยกดินแดนเกาหลีเหนือจากเกาหลีใต้โดยสิ้นเชิง ขณะที่โฆษกของเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้ สันนิษฐานว่าการระเบิดถนนน่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในวันจันทร์(14ต.ค.) . กระทรวงรวมชาติของเกาหลีใต้ ระบุว่าคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับโดรน อาจเป็นความพยายามของเกาหลีเหนือในการยกระดับความเป็นหนึ่งเดียวกันภายชาติ ขณะเดียวกันเกาหลีเหนืออาจกำลังมองหาข้ออ้างสำหรับ "ก่อการยั่วยุ สร้างความหวาดวิตกและความสับสนในสังคมของเรา" . อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งมองว่าผู้อยู่เบื้องหลังโดรนดังกล่าวน่าจะเป็นพวกนักเคลื่อนไหวในเกาหลีใต้ มากว่าที่จะเป็นการจัดฉากของเกาหลีเหนือ เพราะว่าในถ้อยแถลงของเปียงยาง อีกด้านหนึ่งก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่ามาตรการคุ้มกันทางอากาศของพวกเขานั้นมีช่องโหว่ . "แม้กระทั่งหากมันเป็นความพยายามจัดฉากของพวกเขา มันเท่ากับเป็นการเปิดเผยให้เห็นถึงความอ่อนแออย่างมากในน่านฟ้าต่างๆของตนเอง" ยาง อุค นักวิจัยจากสถาบันเอเชียเพื่อการศึกษานโยบายกล่าว . ตระกูลคิม พึ่งพิงการควบคุมข้อมูลข่าวสารโดยสิ้นเชิงเพื่อรักษาอำนาจไว้ โดยที่ชาวเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือและข้อมูลข่าวสารจากภายนอก "หากการส่งข้อมูลผ่านโดรนกลายเป็นกิจกรรมที่เป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะเป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับเกาหลีเหนือ" ยาง กล่าว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099223 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 857 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวลือก็คือข่าวลือ (14/10/67) #news1 #ข่าวกีฬา #ข่าวลือ
    ข่าวลือก็คือข่าวลือ (14/10/67) #news1 #ข่าวกีฬา #ข่าวลือ
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1121 มุมมอง 418 0 รีวิว
  • น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลของคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เตือนเกาหลีใต้จะต้องเจอกับ "หายนะอันน่าสยดสยอง" หากว่าอากาศยานไร้คนขับบินมาถึงกรุงเปียงยางอีกรอบ หนึ่งวันหลังจากกล่าวหาโซลส่งอากาศยานดังกล่าวฝ่ามาถึงเมืองหลวงของเกาหลีเหนือ
    .
    เกาหลีเหนือเมื่อวันศุกร์ (11 ต.ค.) กล่าวหาเกาหลีใต้ส่งโดรนหลายลำบรรทุกใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อเข้าสู่น่านฟ้าของกรุงเปียงยางเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม และอีกครั้งในวันพุธ (9 ต.ค.) และวันพฤหัสบดี (10 ต.ค.) ที่ผ่านมา
    .
    เบื้องต้น คิม ยอง-ฮยุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ ปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าว แต่ต่อมาเสนาธิการทหารร่วมปรับเปลี่ยนจุดยืน ระบุในถ้อยแถลงว่าพวกเขา "ไม่อาจยืนยันได้ว่าคำกล่าวหาของเกาลีเหนือเป็นจริงหรือไม่"
    .
    คิม โยจอง น้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือ กล่าวว่าท่าทีของโซลที่ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธคำกล่าวหา หมายความว่าโดรนเหล่านั้นถูกส่งมาโดย "กองทัพอันธพาล" เธอกล่าวอ้างถึงกองทัพเกาหลีใต้
    .
    "ทันทีโดรนลำหนึ่งลำใดของเกาหลีใต้ถูกพบเหนือน่านฟ้าเมืองหลวงของเราอีกรอบ แน่นอนว่ามันจะนำไปซึ่งหายนะอันน่าขนลุกขนพอง" เธอระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ในช่วงเย็นวันเสาร์ (12 ต.ค.)
    .
    ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (เคซีเอ็นเอ) รายงานในวันศุกร์ (11 ต.ค.) ว่าโดรนของเกาหลีใต้หย่อนโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐบาล และใบปลิวที่เต็มไปด้วยข่าวลืออันเป็นเท็จและขยะ" พร้อมให้คำจำกัดความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า "ละเมิดอย่างป่าเถื่อนต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการโจมตีทางทหารอย่างเลวร้าย"
    .
    แม้พวกเจ้าหน้าที่มีความพยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น แต่บรรดานักเคลื่อนไหวเกาเหลีใต้มักปล่อยลูกโป่งที่ลอยไปได้ไกล บรรจุใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านผู้นำเกาหลีเหนือและเนื้อหาอื่นๆ ในนั้นรวมถึงอุปกรณ์ยูเอสบีที่บรรจุเพลงเค-ป็อป และซีรีส์เกาหลี ข้ามชายแดนเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ ในกลยุทธ์ที่ทางเกาหลีเหนือประท้วงด้วยความเดือดดาลมาตลอด
    .
    ในการตอบโต้ เกาหลีเหนือที่รัฐบาลมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อการที่ประชาชนกำลังเข้าถึงสินค้าวัฒนธรรมเค-ป็อปของเกาหลีใต้มากขึ้นเรื่อยๆ ได้ปล่อยบอลลูนบรรทุกขยะมากกว่า 6,000 ลูก มุ่งหน้าสู่ทางใต้มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
    .
    ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติเกาหลีดำดิ่งสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี หลังจากข้อตกลงทางทหารหนึ่ง ซึ่งมีเจตนาลดความตึงเครียด ได้ถูกระงับอย่างสมบูรณ์ ตามหลังเหตุการณ์ปล่อยบอลลูนเมื่อเดือนมิถุนายน
    .
    คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ กล่าวเตือนหลายรอบ ว่าประเทศของเขาจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยปราศจากความลังเลใดๆ หากถูกเกาหลีใต้โจมตี
    .
    ในปี 2022 โดรนของเกาหลีเหนือ 5 ลำ ล่วงล้ำเข้าสู่เกาหลีใต้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าว กระตุ้นให้กองทัพเกาหลีใต้ยิงเตือนและส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นสู่ท้องฟ้า อย่างไรก็ตาม เครื่องบินรบเหล่านั้นไม่สามารถสอยร่วงโดรนใดๆ ของเกาหลีเหนือ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000097937
    ..............
    Sondhi X
    น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลของคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เตือนเกาหลีใต้จะต้องเจอกับ "หายนะอันน่าสยดสยอง" หากว่าอากาศยานไร้คนขับบินมาถึงกรุงเปียงยางอีกรอบ หนึ่งวันหลังจากกล่าวหาโซลส่งอากาศยานดังกล่าวฝ่ามาถึงเมืองหลวงของเกาหลีเหนือ . เกาหลีเหนือเมื่อวันศุกร์ (11 ต.ค.) กล่าวหาเกาหลีใต้ส่งโดรนหลายลำบรรทุกใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อเข้าสู่น่านฟ้าของกรุงเปียงยางเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม และอีกครั้งในวันพุธ (9 ต.ค.) และวันพฤหัสบดี (10 ต.ค.) ที่ผ่านมา . เบื้องต้น คิม ยอง-ฮยุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ ปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าว แต่ต่อมาเสนาธิการทหารร่วมปรับเปลี่ยนจุดยืน ระบุในถ้อยแถลงว่าพวกเขา "ไม่อาจยืนยันได้ว่าคำกล่าวหาของเกาลีเหนือเป็นจริงหรือไม่" . คิม โยจอง น้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือ กล่าวว่าท่าทีของโซลที่ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธคำกล่าวหา หมายความว่าโดรนเหล่านั้นถูกส่งมาโดย "กองทัพอันธพาล" เธอกล่าวอ้างถึงกองทัพเกาหลีใต้ . "ทันทีโดรนลำหนึ่งลำใดของเกาหลีใต้ถูกพบเหนือน่านฟ้าเมืองหลวงของเราอีกรอบ แน่นอนว่ามันจะนำไปซึ่งหายนะอันน่าขนลุกขนพอง" เธอระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ในช่วงเย็นวันเสาร์ (12 ต.ค.) . ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (เคซีเอ็นเอ) รายงานในวันศุกร์ (11 ต.ค.) ว่าโดรนของเกาหลีใต้หย่อนโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐบาล และใบปลิวที่เต็มไปด้วยข่าวลืออันเป็นเท็จและขยะ" พร้อมให้คำจำกัดความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า "ละเมิดอย่างป่าเถื่อนต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการโจมตีทางทหารอย่างเลวร้าย" . แม้พวกเจ้าหน้าที่มีความพยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น แต่บรรดานักเคลื่อนไหวเกาเหลีใต้มักปล่อยลูกโป่งที่ลอยไปได้ไกล บรรจุใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านผู้นำเกาหลีเหนือและเนื้อหาอื่นๆ ในนั้นรวมถึงอุปกรณ์ยูเอสบีที่บรรจุเพลงเค-ป็อป และซีรีส์เกาหลี ข้ามชายแดนเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ ในกลยุทธ์ที่ทางเกาหลีเหนือประท้วงด้วยความเดือดดาลมาตลอด . ในการตอบโต้ เกาหลีเหนือที่รัฐบาลมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อการที่ประชาชนกำลังเข้าถึงสินค้าวัฒนธรรมเค-ป็อปของเกาหลีใต้มากขึ้นเรื่อยๆ ได้ปล่อยบอลลูนบรรทุกขยะมากกว่า 6,000 ลูก มุ่งหน้าสู่ทางใต้มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม . ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติเกาหลีดำดิ่งสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี หลังจากข้อตกลงทางทหารหนึ่ง ซึ่งมีเจตนาลดความตึงเครียด ได้ถูกระงับอย่างสมบูรณ์ ตามหลังเหตุการณ์ปล่อยบอลลูนเมื่อเดือนมิถุนายน . คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ กล่าวเตือนหลายรอบ ว่าประเทศของเขาจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยปราศจากความลังเลใดๆ หากถูกเกาหลีใต้โจมตี . ในปี 2022 โดรนของเกาหลีเหนือ 5 ลำ ล่วงล้ำเข้าสู่เกาหลีใต้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าว กระตุ้นให้กองทัพเกาหลีใต้ยิงเตือนและส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นสู่ท้องฟ้า อย่างไรก็ตาม เครื่องบินรบเหล่านั้นไม่สามารถสอยร่วงโดรนใดๆ ของเกาหลีเหนือ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000097937 .............. Sondhi X
    Like
    Yay
    Haha
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1009 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ปฐมบท DNW

    สาคร..เจ้าของสโลแกน รวยไม่รวย ดีไม่ดี DNetwork ต้นฉบับคอร์สยิงแอดออนไลน์

    ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปลายปี 2552 นักธุรกิจเครือข่ายท่านหนึ่ง ยอดขายก็พออยู่ได้ นามว่านาย สาคร

    นายสาครโดนเหตุการณ์ผลกระทบกับตัวเองคือโดนตัดรหัสจากค่ายเดิมในขณะนั้น ซึ่งสาครอ้างว่าเจ้าของเข้าใจว่าจะมีการทำสินค้าและเปิดบริษัทขายตรงเข้ามาแข่งขัน

    แต่ข้อมูลอีกกระแสกล่าวว่า มีปัญหาเรื่องเชิงชู้สาวในองค์กร โดยนาย สาคร จับดาวน์ไลน์สาวรุ่นในขณะนั้น ชื่อว่า แซน ภรัณธรณ์ เป็นเมียน้อย

    และเรื่องราวเกิดแดงขึ้นที่บริษัทฯ ทางบริษัทฯ จึงเห็นว่าเป็นความเสื่อมเสียและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในองค์กร เพราะนักธุรกิจท่านนี้ในขณะนั้น เป็นถึงหัวหน้าทีมในการจัดฝึกอบรมคอร์สต่างๆ ให้กับบริษัทฯ

    ทั้งคู่เลยโดนตัดรหัสและไล่ออกจากบริษัท

    หลังจากนาย สาคร โดนตัดรหัสจากบริษัทเดิม ก็ได้หอบดาวน์ไลน์สาวน้อย แซน ภรัณธรณ์ ไปด้วย

    แซนไหนอีกวะ แอดไร้เงา.?
    -แซน ที่เขาเซฟธุรกิจขายตรงที่กูลงไว้โพสต์ก่อนไง ปั่ดโธ่ว์
    👉 https://www.facebook.com/share/p/xBBBPDtPqjgrmM22/?mibextid=WC7FNe

    ภาพในโพสต์👆เฟซบนอ่ะแซน เฟซล่างอ่ะอวตารของ สาคร ถถถ

    สาคร..ไปร่วมกับเพื่อนนักธุรกิจเครือข่ายที่เคยร่วมงานกันในธุรกิจเครือข่ายในอดีตอีก 2 ท่าน ชื่อว่านาย ภูมิสนอง และนาย อุทัย

    ทำให้ข่าวลือเรื่องชู้สาวที่เกิดขึ้นที่บริษัทเก่าดูเป็นความจริงขึ้นมาทันที

    สาคร..ได้ไปจัดตั้งบริษัทธุรกิจเครือข่ายของตัวเองแถวสุวินทวงศ์ โดยเริ่มจากการเช่าอาคารพาณิชย์ 1 คูหา ในการเริ่มต้นธุรกิจในขณะนั้น เมื่อต้นปี 2553

    โดยตั้งชื่อบริษัทว่า DNetwork Worldwide เรียกสั้นๆว่า DNW ผลิตสินค้าออกมาชื่อว่า KOREGINS (โกเรจินส์)

    MLM ที่ดีต้องมีเรื่องราวความสำเร็จ ต้นเหตุของปลอมที่ทำเหมือน ต้นแบบของมี 10 พูด 100

    ในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจของ DNW ก็เหมือนกับธุรกิจเครือข่ายอื่นๆ โดยทั่วไป ทั้งสามคนสถาปณาตัวเองขึ้นเป็นอาจารย์

    ทุกคนต้องเรียกว่า อ.สาคร อ.ภูมิสนอง อ.อุทัย และทั้งสามคนก็เริ่มไปรวบรวมรายชื่อเพื่อสปอนเซอร์ทีมงานจากธุรกิจเดิมก่อนหน้า และผู้มุ่งหวังใหม่ๆ เข้าสู่องค์กร

    โดยดึงหัวกะทิแห่งวงการเข้ามาทำงาน ซึ่งในขณะนั้นธุรกิจ MLM ที่เติบโตเป็นอย่างมากในช่วงเวลาขณะนั้น คือ ธุรกิจ AimStar

    จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่ DNW จะนำแผนการจ่ายผลตอบแทนของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในขณะนั้น และใช้วิธีให้โปรแกรมเมอร์เขียนระบบลอกมาทั้งดุ้น

    เท่าที่ดูหลังบ้านไอ้โปรแกรมตัวนี้ค่าจ้างเขียนราคาไม่กี่แสนบาท แต่สาครโม้กับนักเรียนบอกว่าระบบเขียนมาหลายสิบล้านบาท บ้งแล้ว 1.

    สำหรับธุรกิจชวนคนที่เพิ่งเริ่มต้นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้เลยคือตัวละครที่เรียกว่า“ผู้สำเร็จ”มาเป็นตัวล่อเหยื่อถ้าไม่มีผู้สำเร็จจะไปชวนคนมาเป็นเหยื่อได้อย่างไรล่ะ

    ถูกไหม.?

    นายสาครมองว่าผู้สำเร็จในธุรกิจชวนคนนั้นต้องมีระดับสูงๆในบริษัท ก็คือระดับ Blue Diamond ซึ่งเป็นระดับตำแหน่งสูงสุดของบริษัท

    ดังนั้นเมื่อมันไม่มีก็ต้องปั้น Blue Diamond ปลอมขึ้นมา 1 คน และคนนั้นต้องเป็นคนของตัวเองเพราะควบคุมได้ง่ายกว่า

    ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการสร้างตัวละครผู้สำเร็จที่ขาดหายไปโดยใช้วิธีปั้น แซน ภรัณธรณ์ ที่เป็นเมียน้อยของตัวเอง ให้ขึ้นเป็น Blue Diamond (เทียม)

    *นั่นเท่ากับว่านายสาครเริ่มต้นธุรกิจด้วยการลวงโลกตั้งแต่ก้าวแรก**
    ----------

    ซึ่งการสร้างผู้สำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับคนที่นอนคุยกันบนเตียง การดีลและความลับจึงรู้กันแค่สี่คน อ.ทั้งสาม และ เมียน้อย ที่รับรู้แผนการอันโสมม

    วิธีการที่นายสาคร ใช้คือการยืมคะแนนบริษัทมาใส่ในชื่อของ แซน เมียน้อยที่เป็นคนในองค์กรของตัวเองที่ต้องการทำคุณสมบัติให้ครบตามเงื่อนไขในการขี้นตำแหน่ง

    จึงเป็นเหตุให้มีการกระทำเพื่อทำให้เป็นการขึ้นตำแหน่งสูงสุดของบริษัทในขณะนั้น โดยใช้เวลาสั้นที่สุดเรียกว่าเป็นสถิติโลกเลยคือใช้เวลาแค่.."คืนเดียว"

    หลังจากสาครปั้นตำแหน่ง Blue Diamond ให้กับเมียน้อยได้ขึ้นตำแหน่งได้แล้วนั้น แซนก็ดึงค่าคอมมิชชั่นกลับหลังจากขึ้นตำแหน่งสูงสุด โดยการไปดึงค่าคอมจากสมาชิกที่สามีลงตังลงไป (ก็ตังสามีนี่หว่าต้องดึงคืน)

    ตำแหน่งสูงสุดในบริษัท (Blue Diamond) ถูกนำมาใช้ในการโปรโมทในการชวนคนใหม่ๆ เข้าร่วมธุรกิจกับบริษัท

    หลายคนเข้ามาในช่วงแรกๆก็คิดว่า แซน ภรัณธรณ์ ดาวน์ไลน์สาวน้อยท่านนี้เก่งมาก ระดับหัวกะทิของวงการ MLM เลยใช้เวลาปีเดียวขึ้น Blue Diamond ได้

    การขยายเครือข่ายแบบแยบยลและต้มตุ๋น

    เมื่อภาพของผู้ประสบความสำเร็จ Blue Diamond ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว กระบวนการขับเคลื่อนธุรกิจ MLM แบบต้มตุ๋นจึงเริ่มขยับทำการสร้างเครือข่ายหาผู้บริโภค

    ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงเฟื่องฟูของวิทยุชุมชนและการขายสินค้าในช่องจานดาวเทียม นาย สาคร จึงขายแนวคิดให้ทีมงานไปใช้เงินส่วนตัวของแต่ละคนไปจ้างสถานีวิทยุชุมชนและช่องทีวีจานดาวเทียมเพื่อทำการตลาด.?

    สาคร..ได้ใช้หลักการ OPM (Other People Money) ง่ายๆก็คือ กูไม่จ่ายเองหรอกค่าโฆษณา กูให้ Downline เป็นคนจ่ายทำให้ยอดขายเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริษัท

    จากเครือข่ายผู้บริโภคที่ควรจะเป็นกลายไปเป็นเครือข่ายสถานีวิทยุ เครือขายช่องทีวีในจานดาวเทียม และสุดท้ายเครือข่ายร้านค้า

    เหตุนี้ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จากเช่า 1 คูหา กลายเป็นเช่า 2 คูหา จนนาย สาคร พูดว่ามียอดธุรกิจถึง 2,000 ล้านบาทเพื่อล่อเม่า (ความจริง 500 กว่าล้านบาทเศษ)

    ซึ่งความสำเร็จนั้นไม่ว่ามันจะมากน้อยเท่าไหร่ก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นเงินในกระเป๋าของชาวบ้านทุกบาท ทุกสตางค์..ดังนั้นต้องแหก

    รอติดตามความแหกตอนที่ 2

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    #ปฐมบท DNW สาคร..เจ้าของสโลแกน รวยไม่รวย ดีไม่ดี DNetwork ต้นฉบับคอร์สยิงแอดออนไลน์ ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปลายปี 2552 นักธุรกิจเครือข่ายท่านหนึ่ง ยอดขายก็พออยู่ได้ นามว่านาย สาคร นายสาครโดนเหตุการณ์ผลกระทบกับตัวเองคือโดนตัดรหัสจากค่ายเดิมในขณะนั้น ซึ่งสาครอ้างว่าเจ้าของเข้าใจว่าจะมีการทำสินค้าและเปิดบริษัทขายตรงเข้ามาแข่งขัน แต่ข้อมูลอีกกระแสกล่าวว่า มีปัญหาเรื่องเชิงชู้สาวในองค์กร โดยนาย สาคร จับดาวน์ไลน์สาวรุ่นในขณะนั้น ชื่อว่า แซน ภรัณธรณ์ เป็นเมียน้อย และเรื่องราวเกิดแดงขึ้นที่บริษัทฯ ทางบริษัทฯ จึงเห็นว่าเป็นความเสื่อมเสียและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในองค์กร เพราะนักธุรกิจท่านนี้ในขณะนั้น เป็นถึงหัวหน้าทีมในการจัดฝึกอบรมคอร์สต่างๆ ให้กับบริษัทฯ ทั้งคู่เลยโดนตัดรหัสและไล่ออกจากบริษัท หลังจากนาย สาคร โดนตัดรหัสจากบริษัทเดิม ก็ได้หอบดาวน์ไลน์สาวน้อย แซน ภรัณธรณ์ ไปด้วย แซนไหนอีกวะ แอดไร้เงา.? -แซน ที่เขาเซฟธุรกิจขายตรงที่กูลงไว้โพสต์ก่อนไง ปั่ดโธ่ว์ 👉 https://www.facebook.com/share/p/xBBBPDtPqjgrmM22/?mibextid=WC7FNe ภาพในโพสต์👆เฟซบนอ่ะแซน เฟซล่างอ่ะอวตารของ สาคร ถถถ สาคร..ไปร่วมกับเพื่อนนักธุรกิจเครือข่ายที่เคยร่วมงานกันในธุรกิจเครือข่ายในอดีตอีก 2 ท่าน ชื่อว่านาย ภูมิสนอง และนาย อุทัย ทำให้ข่าวลือเรื่องชู้สาวที่เกิดขึ้นที่บริษัทเก่าดูเป็นความจริงขึ้นมาทันที สาคร..ได้ไปจัดตั้งบริษัทธุรกิจเครือข่ายของตัวเองแถวสุวินทวงศ์ โดยเริ่มจากการเช่าอาคารพาณิชย์ 1 คูหา ในการเริ่มต้นธุรกิจในขณะนั้น เมื่อต้นปี 2553 โดยตั้งชื่อบริษัทว่า DNetwork Worldwide เรียกสั้นๆว่า DNW ผลิตสินค้าออกมาชื่อว่า KOREGINS (โกเรจินส์) MLM ที่ดีต้องมีเรื่องราวความสำเร็จ ต้นเหตุของปลอมที่ทำเหมือน ต้นแบบของมี 10 พูด 100 ในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจของ DNW ก็เหมือนกับธุรกิจเครือข่ายอื่นๆ โดยทั่วไป ทั้งสามคนสถาปณาตัวเองขึ้นเป็นอาจารย์ ทุกคนต้องเรียกว่า อ.สาคร อ.ภูมิสนอง อ.อุทัย และทั้งสามคนก็เริ่มไปรวบรวมรายชื่อเพื่อสปอนเซอร์ทีมงานจากธุรกิจเดิมก่อนหน้า และผู้มุ่งหวังใหม่ๆ เข้าสู่องค์กร โดยดึงหัวกะทิแห่งวงการเข้ามาทำงาน ซึ่งในขณะนั้นธุรกิจ MLM ที่เติบโตเป็นอย่างมากในช่วงเวลาขณะนั้น คือ ธุรกิจ AimStar จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่ DNW จะนำแผนการจ่ายผลตอบแทนของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในขณะนั้น และใช้วิธีให้โปรแกรมเมอร์เขียนระบบลอกมาทั้งดุ้น เท่าที่ดูหลังบ้านไอ้โปรแกรมตัวนี้ค่าจ้างเขียนราคาไม่กี่แสนบาท แต่สาครโม้กับนักเรียนบอกว่าระบบเขียนมาหลายสิบล้านบาท บ้งแล้ว 1. สำหรับธุรกิจชวนคนที่เพิ่งเริ่มต้นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้เลยคือตัวละครที่เรียกว่า“ผู้สำเร็จ”มาเป็นตัวล่อเหยื่อถ้าไม่มีผู้สำเร็จจะไปชวนคนมาเป็นเหยื่อได้อย่างไรล่ะ ถูกไหม.? นายสาครมองว่าผู้สำเร็จในธุรกิจชวนคนนั้นต้องมีระดับสูงๆในบริษัท ก็คือระดับ Blue Diamond ซึ่งเป็นระดับตำแหน่งสูงสุดของบริษัท ดังนั้นเมื่อมันไม่มีก็ต้องปั้น Blue Diamond ปลอมขึ้นมา 1 คน และคนนั้นต้องเป็นคนของตัวเองเพราะควบคุมได้ง่ายกว่า ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการสร้างตัวละครผู้สำเร็จที่ขาดหายไปโดยใช้วิธีปั้น แซน ภรัณธรณ์ ที่เป็นเมียน้อยของตัวเอง ให้ขึ้นเป็น Blue Diamond (เทียม) *นั่นเท่ากับว่านายสาครเริ่มต้นธุรกิจด้วยการลวงโลกตั้งแต่ก้าวแรก** ---------- ซึ่งการสร้างผู้สำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับคนที่นอนคุยกันบนเตียง การดีลและความลับจึงรู้กันแค่สี่คน อ.ทั้งสาม และ เมียน้อย ที่รับรู้แผนการอันโสมม วิธีการที่นายสาคร ใช้คือการยืมคะแนนบริษัทมาใส่ในชื่อของ แซน เมียน้อยที่เป็นคนในองค์กรของตัวเองที่ต้องการทำคุณสมบัติให้ครบตามเงื่อนไขในการขี้นตำแหน่ง จึงเป็นเหตุให้มีการกระทำเพื่อทำให้เป็นการขึ้นตำแหน่งสูงสุดของบริษัทในขณะนั้น โดยใช้เวลาสั้นที่สุดเรียกว่าเป็นสถิติโลกเลยคือใช้เวลาแค่.."คืนเดียว" หลังจากสาครปั้นตำแหน่ง Blue Diamond ให้กับเมียน้อยได้ขึ้นตำแหน่งได้แล้วนั้น แซนก็ดึงค่าคอมมิชชั่นกลับหลังจากขึ้นตำแหน่งสูงสุด โดยการไปดึงค่าคอมจากสมาชิกที่สามีลงตังลงไป (ก็ตังสามีนี่หว่าต้องดึงคืน) ตำแหน่งสูงสุดในบริษัท (Blue Diamond) ถูกนำมาใช้ในการโปรโมทในการชวนคนใหม่ๆ เข้าร่วมธุรกิจกับบริษัท หลายคนเข้ามาในช่วงแรกๆก็คิดว่า แซน ภรัณธรณ์ ดาวน์ไลน์สาวน้อยท่านนี้เก่งมาก ระดับหัวกะทิของวงการ MLM เลยใช้เวลาปีเดียวขึ้น Blue Diamond ได้ การขยายเครือข่ายแบบแยบยลและต้มตุ๋น เมื่อภาพของผู้ประสบความสำเร็จ Blue Diamond ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว กระบวนการขับเคลื่อนธุรกิจ MLM แบบต้มตุ๋นจึงเริ่มขยับทำการสร้างเครือข่ายหาผู้บริโภค ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงเฟื่องฟูของวิทยุชุมชนและการขายสินค้าในช่องจานดาวเทียม นาย สาคร จึงขายแนวคิดให้ทีมงานไปใช้เงินส่วนตัวของแต่ละคนไปจ้างสถานีวิทยุชุมชนและช่องทีวีจานดาวเทียมเพื่อทำการตลาด.? สาคร..ได้ใช้หลักการ OPM (Other People Money) ง่ายๆก็คือ กูไม่จ่ายเองหรอกค่าโฆษณา กูให้ Downline เป็นคนจ่ายทำให้ยอดขายเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริษัท จากเครือข่ายผู้บริโภคที่ควรจะเป็นกลายไปเป็นเครือข่ายสถานีวิทยุ เครือขายช่องทีวีในจานดาวเทียม และสุดท้ายเครือข่ายร้านค้า เหตุนี้ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จากเช่า 1 คูหา กลายเป็นเช่า 2 คูหา จนนาย สาคร พูดว่ามียอดธุรกิจถึง 2,000 ล้านบาทเพื่อล่อเม่า (ความจริง 500 กว่าล้านบาทเศษ) ซึ่งความสำเร็จนั้นไม่ว่ามันจะมากน้อยเท่าไหร่ก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นเงินในกระเป๋าของชาวบ้านทุกบาท ทุกสตางค์..ดังนั้นต้องแหก รอติดตามความแหกตอนที่ 2 สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค
    เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
    ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย
    ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี
    -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร
    -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน
    -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า
    1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต
    2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา
    3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น
    คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า 1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต 2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา 3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้ #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิงส์โพธิ์ดำ ep.2 จับอาการทักษิณ ข่าวลือยุบพรรค
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    #ทักษิณ
    #จับสังเกต
    คิงส์โพธิ์ดำ ep.2 จับอาการทักษิณ ข่าวลือยุบพรรค #คิงส์โพธิ์ดำ #ทักษิณ #จับสังเกต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 23 0 รีวิว
  • สื่อต่างประเทศบางสำนักรายงานในช่วงต้นสัปดาห์ อิสราเอลยกเลิกแผนโจมตีแก้แค้นเตหะราน ท่ามกลางข่าวลือว่าอิหร่านได้ทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ จากกรณีเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงสั่นสะเทือนอิหร่านเมื่อวันเสาร์(5ต.ค.) ที่ผ่านมา
    .
    เมื่อวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม เกิดแผ่นดินไหวระดับ 4.6 สั่นสะเทือนอิหร่าน โดยมีศูนย์กลางอยู่ในเมืองอราดัน จังหวัดเซมนัน ณ ความลึกเพียง 10 กิโลเมตร อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ แรงสั่นสะเทือนสามารถสัมผัสได้ไกลถึงกรุงเตหะราน ที่อยู่ห่างจากศูนย์กลางราวๆ 110 กิโลเมตร
    .
    แผ่นดินไหวดังกล่าว โหมกระพือข่าวลือว่าอิหร่านได้ทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ แม้ไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการในประเด็นนี้ ขณะที่พวกผู้เชี่ยวชาญเคยเชื่อว่าอิหร่านเข้าใกล้การมีอาวุธนิวเคลียร์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และท่ามกลางความตึงเครียดกับอิหร่าน ผู้เชี่ยวชาญคิดว่า ณ เวลานี้ อิหร่าน อาจจำเป็นต้องมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง
    .
    ข่าวลือและประเด็นถกเถียงโหมกระพือขึ้น ภายในไม่กี่นาทีหลังแผ่นดินไหว ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลายคน โดยเฉพาะในอิสราเอล เชื่อมโยงเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาครั้งนี้ในทันทีกับความเป็นไปได้ที่อิหร่านได้ทำการทดสอบนิวเคลียร์แบบลับๆ สืบเนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดในปัจจุบันระหว่าง 2 ชาติ
    .
    ผู้ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์รายหนึ่งคาดการณ์ว่า "อิหร่านทดสอบนิวเคลียร์ พวกเขาทดสอบระเบิดลึกลงไปใต้พื้นผิว 10 กิโลเมตร ใกล้กับเซมนัน เพื่อรับประกันการปล่อยกัมมันตภาพรังสีน้อยที่สุด และผลก็คือเครื่องวัดแผ่นดินไหวสามารถตรวจจับแผ่นดินไหวระดับ 4.6"
    .
    การคาดเดาในเรื่องนี้ โหมกระพือหนักหน่วงยิ่งขึ้น เนื่องจากจุดที่เกินแผ่นดินไหวนี้อยู่บริเวณใกล้เคียงกับโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ก่อความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการทดสอบนิวเคลียรใต้ดิน ในขณะที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์รายหนึ่งอ้างว่า "แผ่นดินไหวอิหร่านก่อแรงสั่นสะเทือนไปถึงอิสราเอล พวกเขาคงต้องคิดทบทวนอย่างหนักหากคิดโจมตีอิหร่าน มันดูเหมือนว่าความลับคืออิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ ไม่มีประเทศไหนที่อยากไปยุ่งกับพลังทำลายล้างของนิวเคลียร์"
    .
    อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนระบุว่าแม้นอิหร่านเข้าใกล้การมีอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตนเอง แต่การทดสอบแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์ ไม่ได้หมายความว่าประเทศนั้นๆ จะมีอาวุธนิวเคลียร์ที่ใช้งานได้จริงภายในไม่กี่สัปดาห์
    .
    กระนั้นก็ดีหนังสือพิมพ์ฮินดูสถานไทม์ส อ้างรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส ระบุมีข่าวว่าอิสราเอลตัดสินใจยกเลิกแผ่นโจมตีแก้แค้นอิหร่าน ท่ามกลางข่าวลือว่าอิหร่านทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
    .
    รายงานของนิวยอร์กไทม์ส ไม่คาดหมายว่าอิสราเอลจะโจมตีที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน ตอบโต้กรณีที่เตหะรานรัวยิงขีปนาวุธถล่มอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม แต่มีความเป็นไปได้ที่ อิสราเอล จะเล็งเป้าถล่มฐานทัพทหาร เป้าหมายข่าวกรองหรือพวกผู้นำของอิหร่านแทน อย่างไรก็ตามมันยังมีความเป็นไปได้ที่ อิสราเอล จะลงมือเลยเถิดมากกว่านั้น ด้วยการโจมตีโครงการนิวเคลียร์ หากอิหร่านตอบโต้กลับ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000096126
    ..............
    Sondhi X
    สื่อต่างประเทศบางสำนักรายงานในช่วงต้นสัปดาห์ อิสราเอลยกเลิกแผนโจมตีแก้แค้นเตหะราน ท่ามกลางข่าวลือว่าอิหร่านได้ทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ จากกรณีเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงสั่นสะเทือนอิหร่านเมื่อวันเสาร์(5ต.ค.) ที่ผ่านมา . เมื่อวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม เกิดแผ่นดินไหวระดับ 4.6 สั่นสะเทือนอิหร่าน โดยมีศูนย์กลางอยู่ในเมืองอราดัน จังหวัดเซมนัน ณ ความลึกเพียง 10 กิโลเมตร อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ แรงสั่นสะเทือนสามารถสัมผัสได้ไกลถึงกรุงเตหะราน ที่อยู่ห่างจากศูนย์กลางราวๆ 110 กิโลเมตร . แผ่นดินไหวดังกล่าว โหมกระพือข่าวลือว่าอิหร่านได้ทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ แม้ไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการในประเด็นนี้ ขณะที่พวกผู้เชี่ยวชาญเคยเชื่อว่าอิหร่านเข้าใกล้การมีอาวุธนิวเคลียร์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และท่ามกลางความตึงเครียดกับอิหร่าน ผู้เชี่ยวชาญคิดว่า ณ เวลานี้ อิหร่าน อาจจำเป็นต้องมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง . ข่าวลือและประเด็นถกเถียงโหมกระพือขึ้น ภายในไม่กี่นาทีหลังแผ่นดินไหว ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลายคน โดยเฉพาะในอิสราเอล เชื่อมโยงเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาครั้งนี้ในทันทีกับความเป็นไปได้ที่อิหร่านได้ทำการทดสอบนิวเคลียร์แบบลับๆ สืบเนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดในปัจจุบันระหว่าง 2 ชาติ . ผู้ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์รายหนึ่งคาดการณ์ว่า "อิหร่านทดสอบนิวเคลียร์ พวกเขาทดสอบระเบิดลึกลงไปใต้พื้นผิว 10 กิโลเมตร ใกล้กับเซมนัน เพื่อรับประกันการปล่อยกัมมันตภาพรังสีน้อยที่สุด และผลก็คือเครื่องวัดแผ่นดินไหวสามารถตรวจจับแผ่นดินไหวระดับ 4.6" . การคาดเดาในเรื่องนี้ โหมกระพือหนักหน่วงยิ่งขึ้น เนื่องจากจุดที่เกินแผ่นดินไหวนี้อยู่บริเวณใกล้เคียงกับโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ก่อความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการทดสอบนิวเคลียรใต้ดิน ในขณะที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์รายหนึ่งอ้างว่า "แผ่นดินไหวอิหร่านก่อแรงสั่นสะเทือนไปถึงอิสราเอล พวกเขาคงต้องคิดทบทวนอย่างหนักหากคิดโจมตีอิหร่าน มันดูเหมือนว่าความลับคืออิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ ไม่มีประเทศไหนที่อยากไปยุ่งกับพลังทำลายล้างของนิวเคลียร์" . อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนระบุว่าแม้นอิหร่านเข้าใกล้การมีอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตนเอง แต่การทดสอบแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์ ไม่ได้หมายความว่าประเทศนั้นๆ จะมีอาวุธนิวเคลียร์ที่ใช้งานได้จริงภายในไม่กี่สัปดาห์ . กระนั้นก็ดีหนังสือพิมพ์ฮินดูสถานไทม์ส อ้างรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส ระบุมีข่าวว่าอิสราเอลตัดสินใจยกเลิกแผ่นโจมตีแก้แค้นอิหร่าน ท่ามกลางข่าวลือว่าอิหร่านทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ . รายงานของนิวยอร์กไทม์ส ไม่คาดหมายว่าอิสราเอลจะโจมตีที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน ตอบโต้กรณีที่เตหะรานรัวยิงขีปนาวุธถล่มอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม แต่มีความเป็นไปได้ที่ อิสราเอล จะเล็งเป้าถล่มฐานทัพทหาร เป้าหมายข่าวกรองหรือพวกผู้นำของอิหร่านแทน อย่างไรก็ตามมันยังมีความเป็นไปได้ที่ อิสราเอล จะลงมือเลยเถิดมากกว่านั้น ด้วยการโจมตีโครงการนิวเคลียร์ หากอิหร่านตอบโต้กลับ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000096126 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 1330 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช้าไปนิด ไม่ว่าอะไรนะติ่งขา………พี่ปูเขาเรื่องแยะ เลยต้องค้นหาข้อมูลมาเม้าท์กันเยอะหน่อยค่าาาา…!!!

    ตอนยี่สิบเอ็ด………งานหลวงงานราษฎร์……งานปราบปิดจ๊อบเป็นงานถนัด…!!!

    ในการกลับมาในครั้งนี้ ปูตินผ่านสารพัดม็อบมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในช่วงนี้ของชีวิตที่จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในยุคสังคมเปิดทางโลกออนไลน์……เขาพบว่ากลุ่มต่อต้านได้เติบโตไปมาก
    คราวนี้ เขามีอายุ ห้าสิบเก้า……สุขภาพดีเยี่ยม พร้อมที่จะนำพาประเทศไปยังจุดที่สูงสุด จะต้องเป็นมหาอำนาจในทุกด้าน
    และจะต้องเป็นศูนย์กลางของยูเรเชีย……
    เขาเดินออกมาจากพระวิหารในวันที่เข้าพบกับ
    พระอธิการคิริลล์ หลังจากการเข้าสาบานตน ด้วยท่าทางที่พร้อมที่จะรับมือกับฝ่ายตรงข้ามทุกหมู่เหล่า

    กลุ่มแรก…คือ กลุ่มที่ชุมนุมอยู่ที่จตุรัส Bolotnaya กลางกรุงมอสโคว์ ที่ปูตินต้องการแค่ผู้นำ Leonid Razvozzhayev (ซ้ายจัด) ที่ไหวตัวทัน หนีไปกบดานที่ยูเครน
    เพียงไม่กี่วันต่อมา ……ก็มีกลุ่มคนมา”อุ้ม” เขาไปจากที่พัก นำตัวกลับไปยังรัสเซีย ขึ้นศาล
    ถูกตัดสินให้ไปนอนเล่นที่ไซบีเรียห้าปี……

    กลุ่มหัวหอกอื่นๆ เช่น Aleksei Navalny ทนายความนักการเมืองที่มีฐานเสียงพอสมควร ที่ไม่ยอมรับผลเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะต้องรับข้อหาในการก่อความไม่สงบตามมา
    แต่.……สิ่งที่ไม่คาดคิด คือ หนึ่งในหัวหอกที่ต่อต้านปูตินในขบวนการเดียวกัน คือ Ksena Sobchak ธิดาสาวของ อนาโตลี
    เจ้านายและผู้สนับสนุนที่สำคัญของปูติน ที่ได้ช่วยเหลือและตอบแทนกันมาตั้งแต่สมัยที่ปูตินเพิ่มเริ่มเตาะแตะทางการเมือง ในกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ที่แม้แต่อนาโตลีจะจากโลกนี้ไปแล้ว ปูตินก็ยังคือว่าครอบครัวนี้เป็นผู้ที่เขาต้องให้ความสงเคราะห์ เช่น ภริยาของอนาโตลี ได้เป็นกรรมการบริหารในเทศบาล (ข้าราชการประจำ)
    แม้แต่ตัว เซน่าเอง……ก็ได้เข้ามาทำงานในสถานีโทรทัศน์ (ด้วยการสนับสนุนของปูติน) ตั้งแต่ปี 2014 ตามสายงานที่เรียนมา จนมาเป็นผู้ดำเนินรายการที่มีชื่อเสียงพอสมควร

    สรุปว่า…ชีวิตทางการงานของเธอและมารดา……ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น (2012) แต่เหมือนกับส่งเสือเข้าป่า เพราะเซน่าได้หันไปซบกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มตัว

    ส่วนเรื่องคดีสาวห่ามทั้งหลาย ที่ขึ้นไปเต้นเหยงๆอยู่บนพระวิหาร ได้ถูกตัดสินจำคุก ในข้อหา……ลบหลู่ศาสนาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์……และเนื่องจากหลายคนเป็นนักดนตรีแนวพั้งค์
    ข่าวในทางตะวันตกจึงตีไปในทิศทางที่ว่า “จำกัดอิสรภาพของศิลปิน…” ที่เหล่าดาราใหญ่ๆ เช่น Paul McCartney ก็พลอยบ้าจี้ตามไปด้วย

    ปูตินได้ไปร่วมประชุมในวาระงานโอลิมปิกภาคฤดูร้อนที่ลอนดอน
    นายกรัฐมนตรี David Cameron ได้เข้ามาถามถึงเรื่องนี้
    ปูตินตอบว่า……
    “เรื่องนี้ดูยังไงก็ผิด ไม่ว่าเขาจะแย้งว่าอะไร ชาติไหนก็ต้องมีขอบเขตในเรื่องศาสนา ถ้าพวกก่อการพวกนี้ลองไปเต้นที่มัสยิด….คุณคิดว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดออกมาหรือ..??
    แน่นอนว่า…ในวันที่ 17 สิงหาคม เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล การตัดสินคือ จำคุก 2 ปี (ติดจริงๆแค่ เจ็ดเดือน)
    จากนั้นกลุ่ม ***** Riot ก็สลายตัวลงไปจากบนดิน แต่ยังพอมีกระแสทางลับๆ

    ทางด้านการต่างประเทศระหว่างสหรัฐ เริ่มตึงเครียด เข้ามาทุกที เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า ในกลุ่มผู้ชุมนุมระดับหัวหน้า ได้มีกลุ่มตะวันตกสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสนับสนุนพวกนั้นมาในรูปแบบขององค์กร เช่น USAID, NGO
    ปูตินได้วางนโยบายไว้ว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในลิเบีย…
    ที่เขาได้เห็นกลุ่มนาโต้ได้เข้ารุมย่ำยีเพราะเพียงเพื่อหวังจะเอากัดดาฟีลงจากอำนาจนั้น เขาจะไม่ยอมให้สหรัฐและพรรคพวกที่เรียกว่า NATO มาเป็นคนชี้ชะตาของชาติไหนในโลกนี้อีก……พอกันที……!!

    การแก้และออกกฎหมายใหม่ได้ทำขึ้นรัวๆ เริ่มจาก……ห้ามการรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าจากรัสเซีย (จากต่างประเทศ ที่อเมริกาเป็นประเทศที่ขอไปเลี้ยงมากสุด) แม้ว่าบางรายที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการทางเอกสาร
    เมื่อถูกซักถามหนักๆจากสื่อ ในเรื่องว่าเป็นการดับอนาคตของเด็กหรือไม่…??
    เขาตอบว่า…”คุณคิดว่านี่คือการดับอนาคตหรือ มันน่าอับอายและเป็นรอยบาปให้กับเด็กของเราต่างหาก……นี่คุณบ้าไปหรือเปล่า…?!!

    ในวันคล้ายวันเกิดของปูตินที่ครบหกสิบปี………เขาเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ตัวเองอย่างรัวๆ เช่น ดำน้ำในทะเลดำ หาไหโบราณ (ถึงแม้จะเป็นการจัดฉาก ก็ดูเนียน……)
    ขี่ม้า เปลือยอก…(ถึงจะจัด……ก็โอเค) ขี่เครื่องร่อน……มีนกบินตาม (อันนี้ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ…) ไปสมทบกับกลุ่มบิ๊กไบค์ที่เป็นเกลอกัน ( ก็ดูแพง……เพราะใช้ Harley Davidson สามล้ออย่างใหญ่……)
    และที่ต้องกรี๊ดดด…คือ ปูตินไปแอบหัดเล่นไอซ์ ฮ๊อกกี้ ที่ค่อนข้างจะดูแอ๊บสักหน่อย แต่พอออกงานได้ มีสะดุดล้มพังพาบให้เห็น…ก็ยังน่าเอ็นดู (แต่คนถ่าย……ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้)

    มีการให้ทำคลิปรายการของความเป็นอยู่ในบ้านพัก ที่ให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า ท่านผู้นำตื่นในเวลาแปดโมงครึ่ง จากเตียงก็ออกกำลังกายเลย คือเข้าห้องยิม และดูข่าวไปด้วย จากนั้นไปว่ายน้ำระยะ 1000 เมตร เริ่มอาหารเช้าในเวลาเที่ยง
    เป็นพวกโจ๊กด้วยธัญพืช ไข่นกกระทา สลัดและน้ำผลไม้คั้นสดส่วนประกอบจะมาจากสวนในพระวิหารของพระอธิการ Kirill
    จากนั้นจะทำงานจนถึงดึก การประชุมมักจะเป็นในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้านอนไปแล้ว…
    ที่บ้าน…ไม่มีวี่แววของผู้อาศัยคนอื่น ไม่มีลุดมิลา และ บุตรสาวทั้งสอง นอกจาก Koni สุนัขข้างกายที่ตามติดไปทุกที่
    แต่…อย่างไรก็ตาม ในยุคเขานั้น รายได้ของประชาชนจากปีละจำนวนพันดอลล่าร์ พุ่งขึ้นมาเป็นหลักหมื่น

    ธิดาทั้งสองของปูติน คนโต คือ มาเรีย ได้แต่งงานกับนักธุรกิจชาวดัทช์ Jorrit Faassen ที่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในอนุกรรมการของ Gazprom แทบไม่มีใครรู้จักเขาเลยจนกระทั่ง วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2010 ที่เขาไปเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถอีกคันหนึ่งที่เป็นรถเบ๊นซ์ของมหาเศรษฐีหนุ่ม Matvei Urin
    เหล่าบอดี้การ์ดของมหาเศรษฐีที่ตามมาในรถตู้ ได้กรูกันมาทำร้าย Faassen จนถึงขั้นหาม…

    เรื่องได้ไปถึงปูติน (เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ผลคือ เหล่าบอดี้การ์ดติดคุกกันพร้อมหน้า ส่วน Urin โดนหลายคดี……
    ทำร้ายร่างกาย และ ยกเลิกใบอนุญาตทำธนาคาร เพราะตรวจสอบบัญชีในการดำเนินการพบว่ามีการทุจริต……ติดคุก สี่ปีครึ่ง
    ทั้งมาเรียและฟาสเซ่น ได้แต่งงานกันที่กรีซ ในปี 2012 และมีบุตรชาย ที่ปูตินได้เป็นพ่อทูนหัว
    ส่วนบุตรสาวคนเล็ก Katya มีข่าวลือว่ามีคู่รักเป็นลูกชายนายพลเกาหลีเหนือ (ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน) แต่เธอชอบศิลปการแสดง และเคยเป็นผู้อำนวยการในองค์กรพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยมอสโคว์

    ถึงแม้จะอยู่คนเดียว แต่บ่อยครั้งที่ปูตินจะรายล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนเก่าๆที่เคยกอดคอสู้กันมา จัดปาร์ตี้และได้มีคอนเสิร์ตเล็กๆจากวงดุริยางค์จากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มาขับกล่อม

    และในวันที่ปูตินเข้าสาบานตนในฐานะประธานาธิบดี ในเดือนพฤษภาคมนั้น คือวันที่ทุกคนได้เห็นลุดมิลายืนเคียงข้างกับเขา แต่ทุกคนก็ได้รับรู้แล้วว่า ทั้งคู่นี้แยกกันอยู่มานานแสนนาน
    จนในเดือนมิถุนายน ที่เขาทั้งคู่ไปในงานบัลเล่ต์ “Esmeralda”
    ที่นักข่าวได้ยิงคำถามตรง ว่า
    “ไม่เห็นท่านมาด้วยกันบ่อยๆ แล้วข่าวลือที่ว่าท่านได้แยกกันอยู่มันเท็จจริงประการใด?”
    ปูติน เหลือบไปมองลุดมิลา ก่อนที่จะตอบว่า
    “เป็นเรื่องจริง ลุดมิลาต้องทนกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นเวล่ำเวลาของผมมานานแสนนาน เราแทบไม่มีเวลาพบกันเลย ต่างคนต่างอยู่มาแปดเก้าปีแล้ว..”
    ลุดมิลาได้พูดขึ้นมาว่า…
    “เราหย่ากันก็จริง แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
    นั่นคือการยืนยันจากคนทั้งสองด้วยตัวเอง

    ปูตินมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้งานกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi เป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของรัสเซียสู่สายตาชาวโลก โดยทุ่มทุนถึง หกหมื่นล้านดอลล่าร์ (เทียบเท่า) ที่นับว่าเป็นงบที่ใช้สำหรับโอลิมปิกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (เจ็ดเท่าเหนือกว่าแคนาดาในปี 2010)
    ที่ทุกคนทางทีมฝ่ายเศรษฐกิจเริ่มอึดอัด เพราะยังไม่นับทางรถไฟเชื่อมสู่เขา และ เส้นทางถนน
    ผู้รับเหมาต่างพากันอิ่มเอมในการบวกราคา (เพราะยิ่งเร่งยิ่งแพง)
    เรื่องนี้ถึงหูปูติน……เขาเรียกคณะกรรมการมาถามว่า ใครเป็นคนรับผิดชอบส่วนที่ล่าช้า (คือ เส้นทางของสกีสลาลอม หรือ ลงเขาที่ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ……ที่ปูตินเห็นว่า……งานไม่เนี๊ยบ)
    คำตอบคือ Akhmed Bilalov รองประธานคณะมนตรี ที่มีผลประโยชน์แอบแฝงคือมีที่ทางอยู่ทางด้านล่างของภูเขา เลยกินเศษกินเลยกับบริษัทก่อสร้าง งบประมาณ 40 ล้านในทีแรก
    บานมาเป็น 260 ล้าน…
    ปูตินเรียกให้มาพบพร้อมกับประธานงานโอลิมปิก(ออกสื่อ)
    แล้วถามตรงๆว่า……อธิบายมา……ช้าแล้วยังไม่ดีสมราคา เพราะ…???
    คำอธิบายทั้งหมดที่ยกมา……ฟังไม่ขึ้น……!!
    ปูตินเลยสั่งแบบสั้นๆแต่ได้ใจความว่า……”งั้นก็คงต้องจัดการกันใหม่……”
    แล้วเขาก็เดินออกไป….

    วันรุ่งขึ้น…Akhmed ถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในคณะมนตรี
    ปูตินได้ให้ฝ่ายบัญชีทำการตรวจสอบย้อนหลังในทุกงานที่เขารับทำมา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ออกจะเว่อร์ในการไปดูงานประชุมที่ลอนดอน……
    ผู้ที่มารับหน้าที่แทนคือ ผู้ที่ชนะการประกวดราคาประมูล ธนาคาร Sberbank ที่มีประธานคือ German Greff
    (ที่งานนี้ต้องเข้าเนื้อไปอย่างมากมาย เพราะต้องยอมขาดทุน)

    ~~-ต้องเล่าต่อถึง Akhmed Bilalov ไม่งั้นจะค้างคาในใจ
    หลังจากที่โดนการตรวจสอบบัญชีแบบเข้ม อาเหมดถูกข้อหาฉ้อโกง คอรัปชั่น ตามมาติดๆ ที่มีโทษถึงจำคุกสี่ถึงสิบปี
    ไม่ใช่เขาคนเดียว ……แต่พี่น้องสองคนและผู้บริหารทุกคนในบริษัทโดนคดีหมด
    เขาหนีออกจากรัสเซีย ไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลโดยอ้างว่าจะถูกคุกคามเอาชีวิต เพราะในที่ทำงานของเขามีร่องรอยของผงยาพิษ
    เขาหนีไปที่เยอรมัน และ ไปปักหลักที่ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา
    ที่เขาถูกจับกุมเพราะไม่มีเอกสารการอนุญาตให้ต่อวีซ่า (2019) ที่ตามกฏแล้ว……เขาอาจจะต้องส่งกลับไปที่รัสเซีย
    แต่จากนั้น ข่าวของเขาก็เงียบหายไป………
    รัสเซียได้ทวงถามไปที่อเมริกา….ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร
    เชื่อว่า…คงใช้เงินซื้อเส้นทางใบเขียวไปแล้ว..


    Wiwanda W. Vichit
    ช้าไปนิด ไม่ว่าอะไรนะติ่งขา………พี่ปูเขาเรื่องแยะ เลยต้องค้นหาข้อมูลมาเม้าท์กันเยอะหน่อยค่าาาา…!!! ตอนยี่สิบเอ็ด………งานหลวงงานราษฎร์……งานปราบปิดจ๊อบเป็นงานถนัด…!!! ในการกลับมาในครั้งนี้ ปูตินผ่านสารพัดม็อบมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในช่วงนี้ของชีวิตที่จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในยุคสังคมเปิดทางโลกออนไลน์……เขาพบว่ากลุ่มต่อต้านได้เติบโตไปมาก คราวนี้ เขามีอายุ ห้าสิบเก้า……สุขภาพดีเยี่ยม พร้อมที่จะนำพาประเทศไปยังจุดที่สูงสุด จะต้องเป็นมหาอำนาจในทุกด้าน และจะต้องเป็นศูนย์กลางของยูเรเชีย…… เขาเดินออกมาจากพระวิหารในวันที่เข้าพบกับ พระอธิการคิริลล์ หลังจากการเข้าสาบานตน ด้วยท่าทางที่พร้อมที่จะรับมือกับฝ่ายตรงข้ามทุกหมู่เหล่า กลุ่มแรก…คือ กลุ่มที่ชุมนุมอยู่ที่จตุรัส Bolotnaya กลางกรุงมอสโคว์ ที่ปูตินต้องการแค่ผู้นำ Leonid Razvozzhayev (ซ้ายจัด) ที่ไหวตัวทัน หนีไปกบดานที่ยูเครน เพียงไม่กี่วันต่อมา ……ก็มีกลุ่มคนมา”อุ้ม” เขาไปจากที่พัก นำตัวกลับไปยังรัสเซีย ขึ้นศาล ถูกตัดสินให้ไปนอนเล่นที่ไซบีเรียห้าปี…… กลุ่มหัวหอกอื่นๆ เช่น Aleksei Navalny ทนายความนักการเมืองที่มีฐานเสียงพอสมควร ที่ไม่ยอมรับผลเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะต้องรับข้อหาในการก่อความไม่สงบตามมา แต่.……สิ่งที่ไม่คาดคิด คือ หนึ่งในหัวหอกที่ต่อต้านปูตินในขบวนการเดียวกัน คือ Ksena Sobchak ธิดาสาวของ อนาโตลี เจ้านายและผู้สนับสนุนที่สำคัญของปูติน ที่ได้ช่วยเหลือและตอบแทนกันมาตั้งแต่สมัยที่ปูตินเพิ่มเริ่มเตาะแตะทางการเมือง ในกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่แม้แต่อนาโตลีจะจากโลกนี้ไปแล้ว ปูตินก็ยังคือว่าครอบครัวนี้เป็นผู้ที่เขาต้องให้ความสงเคราะห์ เช่น ภริยาของอนาโตลี ได้เป็นกรรมการบริหารในเทศบาล (ข้าราชการประจำ) แม้แต่ตัว เซน่าเอง……ก็ได้เข้ามาทำงานในสถานีโทรทัศน์ (ด้วยการสนับสนุนของปูติน) ตั้งแต่ปี 2014 ตามสายงานที่เรียนมา จนมาเป็นผู้ดำเนินรายการที่มีชื่อเสียงพอสมควร สรุปว่า…ชีวิตทางการงานของเธอและมารดา……ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น (2012) แต่เหมือนกับส่งเสือเข้าป่า เพราะเซน่าได้หันไปซบกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มตัว ส่วนเรื่องคดีสาวห่ามทั้งหลาย ที่ขึ้นไปเต้นเหยงๆอยู่บนพระวิหาร ได้ถูกตัดสินจำคุก ในข้อหา……ลบหลู่ศาสนาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์……และเนื่องจากหลายคนเป็นนักดนตรีแนวพั้งค์ ข่าวในทางตะวันตกจึงตีไปในทิศทางที่ว่า “จำกัดอิสรภาพของศิลปิน…” ที่เหล่าดาราใหญ่ๆ เช่น Paul McCartney ก็พลอยบ้าจี้ตามไปด้วย ปูตินได้ไปร่วมประชุมในวาระงานโอลิมปิกภาคฤดูร้อนที่ลอนดอน นายกรัฐมนตรี David Cameron ได้เข้ามาถามถึงเรื่องนี้ ปูตินตอบว่า…… “เรื่องนี้ดูยังไงก็ผิด ไม่ว่าเขาจะแย้งว่าอะไร ชาติไหนก็ต้องมีขอบเขตในเรื่องศาสนา ถ้าพวกก่อการพวกนี้ลองไปเต้นที่มัสยิด….คุณคิดว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดออกมาหรือ..?? แน่นอนว่า…ในวันที่ 17 สิงหาคม เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล การตัดสินคือ จำคุก 2 ปี (ติดจริงๆแค่ เจ็ดเดือน) จากนั้นกลุ่ม Pussy Riot ก็สลายตัวลงไปจากบนดิน แต่ยังพอมีกระแสทางลับๆ ทางด้านการต่างประเทศระหว่างสหรัฐ เริ่มตึงเครียด เข้ามาทุกที เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า ในกลุ่มผู้ชุมนุมระดับหัวหน้า ได้มีกลุ่มตะวันตกสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสนับสนุนพวกนั้นมาในรูปแบบขององค์กร เช่น USAID, NGO ปูตินได้วางนโยบายไว้ว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในลิเบีย… ที่เขาได้เห็นกลุ่มนาโต้ได้เข้ารุมย่ำยีเพราะเพียงเพื่อหวังจะเอากัดดาฟีลงจากอำนาจนั้น เขาจะไม่ยอมให้สหรัฐและพรรคพวกที่เรียกว่า NATO มาเป็นคนชี้ชะตาของชาติไหนในโลกนี้อีก……พอกันที……!! การแก้และออกกฎหมายใหม่ได้ทำขึ้นรัวๆ เริ่มจาก……ห้ามการรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าจากรัสเซีย (จากต่างประเทศ ที่อเมริกาเป็นประเทศที่ขอไปเลี้ยงมากสุด) แม้ว่าบางรายที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการทางเอกสาร เมื่อถูกซักถามหนักๆจากสื่อ ในเรื่องว่าเป็นการดับอนาคตของเด็กหรือไม่…?? เขาตอบว่า…”คุณคิดว่านี่คือการดับอนาคตหรือ มันน่าอับอายและเป็นรอยบาปให้กับเด็กของเราต่างหาก……นี่คุณบ้าไปหรือเปล่า…?!! ในวันคล้ายวันเกิดของปูตินที่ครบหกสิบปี………เขาเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ตัวเองอย่างรัวๆ เช่น ดำน้ำในทะเลดำ หาไหโบราณ (ถึงแม้จะเป็นการจัดฉาก ก็ดูเนียน……) ขี่ม้า เปลือยอก…(ถึงจะจัด……ก็โอเค) ขี่เครื่องร่อน……มีนกบินตาม (อันนี้ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ…) ไปสมทบกับกลุ่มบิ๊กไบค์ที่เป็นเกลอกัน ( ก็ดูแพง……เพราะใช้ Harley Davidson สามล้ออย่างใหญ่……) และที่ต้องกรี๊ดดด…คือ ปูตินไปแอบหัดเล่นไอซ์ ฮ๊อกกี้ ที่ค่อนข้างจะดูแอ๊บสักหน่อย แต่พอออกงานได้ มีสะดุดล้มพังพาบให้เห็น…ก็ยังน่าเอ็นดู (แต่คนถ่าย……ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้) มีการให้ทำคลิปรายการของความเป็นอยู่ในบ้านพัก ที่ให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า ท่านผู้นำตื่นในเวลาแปดโมงครึ่ง จากเตียงก็ออกกำลังกายเลย คือเข้าห้องยิม และดูข่าวไปด้วย จากนั้นไปว่ายน้ำระยะ 1000 เมตร เริ่มอาหารเช้าในเวลาเที่ยง เป็นพวกโจ๊กด้วยธัญพืช ไข่นกกระทา สลัดและน้ำผลไม้คั้นสดส่วนประกอบจะมาจากสวนในพระวิหารของพระอธิการ Kirill จากนั้นจะทำงานจนถึงดึก การประชุมมักจะเป็นในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้านอนไปแล้ว… ที่บ้าน…ไม่มีวี่แววของผู้อาศัยคนอื่น ไม่มีลุดมิลา และ บุตรสาวทั้งสอง นอกจาก Koni สุนัขข้างกายที่ตามติดไปทุกที่ แต่…อย่างไรก็ตาม ในยุคเขานั้น รายได้ของประชาชนจากปีละจำนวนพันดอลล่าร์ พุ่งขึ้นมาเป็นหลักหมื่น ธิดาทั้งสองของปูติน คนโต คือ มาเรีย ได้แต่งงานกับนักธุรกิจชาวดัทช์ Jorrit Faassen ที่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในอนุกรรมการของ Gazprom แทบไม่มีใครรู้จักเขาเลยจนกระทั่ง วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2010 ที่เขาไปเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถอีกคันหนึ่งที่เป็นรถเบ๊นซ์ของมหาเศรษฐีหนุ่ม Matvei Urin เหล่าบอดี้การ์ดของมหาเศรษฐีที่ตามมาในรถตู้ ได้กรูกันมาทำร้าย Faassen จนถึงขั้นหาม… เรื่องได้ไปถึงปูติน (เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ผลคือ เหล่าบอดี้การ์ดติดคุกกันพร้อมหน้า ส่วน Urin โดนหลายคดี…… ทำร้ายร่างกาย และ ยกเลิกใบอนุญาตทำธนาคาร เพราะตรวจสอบบัญชีในการดำเนินการพบว่ามีการทุจริต……ติดคุก สี่ปีครึ่ง ทั้งมาเรียและฟาสเซ่น ได้แต่งงานกันที่กรีซ ในปี 2012 และมีบุตรชาย ที่ปูตินได้เป็นพ่อทูนหัว ส่วนบุตรสาวคนเล็ก Katya มีข่าวลือว่ามีคู่รักเป็นลูกชายนายพลเกาหลีเหนือ (ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน) แต่เธอชอบศิลปการแสดง และเคยเป็นผู้อำนวยการในองค์กรพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยมอสโคว์ ถึงแม้จะอยู่คนเดียว แต่บ่อยครั้งที่ปูตินจะรายล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนเก่าๆที่เคยกอดคอสู้กันมา จัดปาร์ตี้และได้มีคอนเสิร์ตเล็กๆจากวงดุริยางค์จากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มาขับกล่อม และในวันที่ปูตินเข้าสาบานตนในฐานะประธานาธิบดี ในเดือนพฤษภาคมนั้น คือวันที่ทุกคนได้เห็นลุดมิลายืนเคียงข้างกับเขา แต่ทุกคนก็ได้รับรู้แล้วว่า ทั้งคู่นี้แยกกันอยู่มานานแสนนาน จนในเดือนมิถุนายน ที่เขาทั้งคู่ไปในงานบัลเล่ต์ “Esmeralda” ที่นักข่าวได้ยิงคำถามตรง ว่า “ไม่เห็นท่านมาด้วยกันบ่อยๆ แล้วข่าวลือที่ว่าท่านได้แยกกันอยู่มันเท็จจริงประการใด?” ปูติน เหลือบไปมองลุดมิลา ก่อนที่จะตอบว่า “เป็นเรื่องจริง ลุดมิลาต้องทนกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นเวล่ำเวลาของผมมานานแสนนาน เราแทบไม่มีเวลาพบกันเลย ต่างคนต่างอยู่มาแปดเก้าปีแล้ว..” ลุดมิลาได้พูดขึ้นมาว่า… “เราหย่ากันก็จริง แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” นั่นคือการยืนยันจากคนทั้งสองด้วยตัวเอง ปูตินมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้งานกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi เป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของรัสเซียสู่สายตาชาวโลก โดยทุ่มทุนถึง หกหมื่นล้านดอลล่าร์ (เทียบเท่า) ที่นับว่าเป็นงบที่ใช้สำหรับโอลิมปิกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (เจ็ดเท่าเหนือกว่าแคนาดาในปี 2010) ที่ทุกคนทางทีมฝ่ายเศรษฐกิจเริ่มอึดอัด เพราะยังไม่นับทางรถไฟเชื่อมสู่เขา และ เส้นทางถนน ผู้รับเหมาต่างพากันอิ่มเอมในการบวกราคา (เพราะยิ่งเร่งยิ่งแพง) เรื่องนี้ถึงหูปูติน……เขาเรียกคณะกรรมการมาถามว่า ใครเป็นคนรับผิดชอบส่วนที่ล่าช้า (คือ เส้นทางของสกีสลาลอม หรือ ลงเขาที่ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ……ที่ปูตินเห็นว่า……งานไม่เนี๊ยบ) คำตอบคือ Akhmed Bilalov รองประธานคณะมนตรี ที่มีผลประโยชน์แอบแฝงคือมีที่ทางอยู่ทางด้านล่างของภูเขา เลยกินเศษกินเลยกับบริษัทก่อสร้าง งบประมาณ 40 ล้านในทีแรก บานมาเป็น 260 ล้าน… ปูตินเรียกให้มาพบพร้อมกับประธานงานโอลิมปิก(ออกสื่อ) แล้วถามตรงๆว่า……อธิบายมา……ช้าแล้วยังไม่ดีสมราคา เพราะ…??? คำอธิบายทั้งหมดที่ยกมา……ฟังไม่ขึ้น……!! ปูตินเลยสั่งแบบสั้นๆแต่ได้ใจความว่า……”งั้นก็คงต้องจัดการกันใหม่……” แล้วเขาก็เดินออกไป…. วันรุ่งขึ้น…Akhmed ถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในคณะมนตรี ปูตินได้ให้ฝ่ายบัญชีทำการตรวจสอบย้อนหลังในทุกงานที่เขารับทำมา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ออกจะเว่อร์ในการไปดูงานประชุมที่ลอนดอน…… ผู้ที่มารับหน้าที่แทนคือ ผู้ที่ชนะการประกวดราคาประมูล ธนาคาร Sberbank ที่มีประธานคือ German Greff (ที่งานนี้ต้องเข้าเนื้อไปอย่างมากมาย เพราะต้องยอมขาดทุน) ~~-ต้องเล่าต่อถึง Akhmed Bilalov ไม่งั้นจะค้างคาในใจ หลังจากที่โดนการตรวจสอบบัญชีแบบเข้ม อาเหมดถูกข้อหาฉ้อโกง คอรัปชั่น ตามมาติดๆ ที่มีโทษถึงจำคุกสี่ถึงสิบปี ไม่ใช่เขาคนเดียว ……แต่พี่น้องสองคนและผู้บริหารทุกคนในบริษัทโดนคดีหมด เขาหนีออกจากรัสเซีย ไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลโดยอ้างว่าจะถูกคุกคามเอาชีวิต เพราะในที่ทำงานของเขามีร่องรอยของผงยาพิษ เขาหนีไปที่เยอรมัน และ ไปปักหลักที่ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา ที่เขาถูกจับกุมเพราะไม่มีเอกสารการอนุญาตให้ต่อวีซ่า (2019) ที่ตามกฏแล้ว……เขาอาจจะต้องส่งกลับไปที่รัสเซีย แต่จากนั้น ข่าวของเขาก็เงียบหายไป……… รัสเซียได้ทวงถามไปที่อเมริกา….ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร เชื่อว่า…คงใช้เงินซื้อเส้นทางใบเขียวไปแล้ว.. Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • มนุษย์ชอบตัดสินผู้อื่นโดยใช้ความชั่ว
    และกิเลสของตัวเองเป็นที่ตั้ง
    ชอบใช้บริบทในปัจจุบัน
    ไปตัดสินคนในอดีตเป็นสิ่งที่โง่
    และมนุษย์แบบนี้ไม่ควรเป็นนักเขียน
    เพราะจะเผยแพร่ความชั่ว
    และความเข้าผิดใจในสังคมได้มาก
    มนุษย์พวกนี้แหละคือผู้สร้าง Toxic Propaganda
    สร้างกับดักว่าเป็น วิทยานิพนธ์ชั้นเลิศ อันดับ 1
    🍓ว่า Best Sales , New Arrival
    เพื่อดึงดูด
    เพราะมันจะต้องมีใครสักคนที่เชื่อแหละ
    ข่าวลือถูกเล่าโดยคนที่เกลียด
    แพร่กระจายโดยคนโง่
    ถูกเชื่อโดยคนปัญญาอ่อน

    เป็นวิทยานิพนธ์ชั้นเลิศ
    ที่ต้องหาที่อยู่ที่เหมาะสมให้เขา
    ก็คือ “ถังขยะ” 👏🏻👏🏻

    ผู้ถูกกล่าวถึง ท่านเคยกล่าวว่า
    “กว่าคนจะรู้ว่าฉันทำอะไรให้บ้านเมือง
    ก็เวลาล่วงไปกว่าร้อยปี” มันก็จริงนะ

    เราเทิดทูนท่านมาก
    ช่วงระยะเวลา 20 กว่าปี +
    ที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับงานของท่าน
    แล้วพอมาเจอหนังสือที่เรียกว่า
    Toxic Propaganda แต่ก่อนกาล
    ช่างต่างเหลือเกินเทียบไทม์ไลน์
    เหตุผล อุปสงค์-อุปทานแล้ว
    ยิ่งรักท่านมากกว่าเดิม
    และท่านต้องมีขันติสูงจริงๆ
    ความฉลาดมองการไกลล่วงหน้าว่า
    ร้อยปีทุกอย่างมันจะเปลี่ยน

    Toxic พวกนั้นทำลายความจริงที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ ทำทำลายความดีของสถาบันไม่ได้ นอกจากจะล้างสมอง Gen Y ไม่ได้แล้ว
    ยิ่งทำให้รักและเทิดทูนท่านมากกว่าเดิม
    😆😆😆😆😆😆😆😆😆😆
    #ด้อยค่าเจ้ายังไง #ให้โดนรุมด่า
    #สะใจว่ะ
    มนุษย์ชอบตัดสินผู้อื่นโดยใช้ความชั่ว และกิเลสของตัวเองเป็นที่ตั้ง ชอบใช้บริบทในปัจจุบัน ไปตัดสินคนในอดีตเป็นสิ่งที่โง่ และมนุษย์แบบนี้ไม่ควรเป็นนักเขียน เพราะจะเผยแพร่ความชั่ว และความเข้าผิดใจในสังคมได้มาก มนุษย์พวกนี้แหละคือผู้สร้าง Toxic Propaganda สร้างกับดักว่าเป็น วิทยานิพนธ์ชั้นเลิศ อันดับ 1 🍓ว่า Best Sales , New Arrival เพื่อดึงดูด เพราะมันจะต้องมีใครสักคนที่เชื่อแหละ ข่าวลือถูกเล่าโดยคนที่เกลียด แพร่กระจายโดยคนโง่ ถูกเชื่อโดยคนปัญญาอ่อน เป็นวิทยานิพนธ์ชั้นเลิศ ที่ต้องหาที่อยู่ที่เหมาะสมให้เขา ก็คือ “ถังขยะ” 👏🏻👏🏻 ผู้ถูกกล่าวถึง ท่านเคยกล่าวว่า “กว่าคนจะรู้ว่าฉันทำอะไรให้บ้านเมือง ก็เวลาล่วงไปกว่าร้อยปี” มันก็จริงนะ เราเทิดทูนท่านมาก ช่วงระยะเวลา 20 กว่าปี + ที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับงานของท่าน แล้วพอมาเจอหนังสือที่เรียกว่า Toxic Propaganda แต่ก่อนกาล ช่างต่างเหลือเกินเทียบไทม์ไลน์ เหตุผล อุปสงค์-อุปทานแล้ว ยิ่งรักท่านมากกว่าเดิม และท่านต้องมีขันติสูงจริงๆ ความฉลาดมองการไกลล่วงหน้าว่า ร้อยปีทุกอย่างมันจะเปลี่ยน Toxic พวกนั้นทำลายความจริงที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ ทำทำลายความดีของสถาบันไม่ได้ นอกจากจะล้างสมอง Gen Y ไม่ได้แล้ว ยิ่งทำให้รักและเทิดทูนท่านมากกว่าเดิม 😆😆😆😆😆😆😆😆😆😆 #ด้อยค่าเจ้ายังไง #ให้โดนรุมด่า #สะใจว่ะ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • โผมหาดไทยป่วน ส่อเลื่อน! 7 ต.ค. ได้ ผบ.ตร.คนใหม่ เก้าอี้เลขาฯ สมช.ยังอึมครึม
    .
    ย่างเข้าเดือนตุลาคม หลายหน่วยงานภาครัฐ เริ่มทยอยแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อไม่ให้การทำงานเกิดสุญญากาศ ซึ่งปีนี้ ต้องถือว่า การทำโผแต่งตั้งบิ๊กข้าราชการ ล่าช้ากว่าทุกปี จากเหตุเรื่องการตั้งรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กว่าจะเสร็จสิ้น เข้าทำงานได้ ก็ปาเข้าไปเกือบกลางกันยายน แต่ตอนนี้หลายหน่วยงานก็เร่งแล้ว
    .
    อย่างในส่วนของ”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”ก็เคาะออกมาแล้วว่า แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะประธานก.ตร.โดยตำแหน่ง และต้องเป็นคนเสนอชื่อผบ.ตร.ต่อที่ประชุมก.ตร. ด้วยตัวเอง ได้นัดประชุมก.ตร. ในวันจันทร์ที่ 7ต.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งแรกของแพทองธาร และนัดแรกก็สำคัญเลย เพราะจะต้องเสนอชื่อผบ.ตร.คนใหม่ให้ก.ตร.เห็นชอบ ที่จะเป็นผบ.ตร.คนที่ 15
    .
    ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเต็งหนึ่ง หากดูจากลำดับอาวุโส ก็คือ บิ๊กต่าย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. เกษียณอายุราชการปี 2569 โดยมีคู่ชิงอีกสองคน คือ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ส่วนจะเป็นใครเข้าวิน และจะมีอะไรพลิกโผหรือไม่ ก็รอติดตาม
    .
    ขณะที่ในส่วนของ”กระทรวงมหาดไทย”หลังมีข่าวว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กับอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ที่จะเข้าเป็นปลัดมหาดไทยคนใหม่อย่างเป็นทางการ วันอังคารที่ 1 ตุลาคมนี้ จะเอาโผ แต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กคลองหลอดร่วมสามสิบกว่าตำแหน่งตั้งแต่ รองปลัดกระทรวง-อธิบดี-ผวจ.ทั่วประเทศ เข้าที่ประชุมครม.อังคารนี้ 1 ต.ค. แต่ล่าสุดลือกันว่า
    “โผไม่ลงตัว”
    .
    เลยเลื่อนเอาเข้าครม.ไปเป็น 8 ต.ค.สัปดาห์หน้าโน่นเลย เพราะมีการปรับเปลี่ยนทำโผจากของเดิม ยุคปลัดเก่ง สุทธิพงษ์ จุลเจริญ บางตำแหน่งโดยเฉพาะผวจ.หลายจังหวัดทั่วประเทศ ที่อนุทิน ลงมาไล่เช็คประวัติการทำงานด้วยตัวเอง เลยทำให้ ต้องขยับออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์
    .
    เว้นแต่เคลียร์ลงตัวตอนค่ำและเช้าวันที่ 1 ต.ค.ถ้าเรียบร้อยดีก็อาจนำเข้า แต่ข่าวหลายกระแสบอกว่าน่าจะเลื่อน แล้วไปรอลุ้น 8 ต.ค.สำหรับสิงห์มหาดไทยทั่วประเทศ
    .
    ท่ามกลางข่าวลือว่าโผมีการปรับบางตำแหน่งเช่น จากเดิมที่จะให้ ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นอธิบดีกรมการปกครอง แล้วโยก “นฤชา โฆษาศิวิไลซ์”ผวจ.บุรีรัมย์สายตรง เนวิน ชิดชอบ มาเป็นอธิบดีปภ.นั้น
    ล่าสุดข่าวว่า โผพลิก โดยคนที่จะมาเป็นอธิบดีปภ.คนใหม่ ลือกันว่า เป็น ภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าฯปทุมธานี
    .
    แล้วเอา นฤชา ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ไปเป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นแทน ขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ที่เหลืออายุราชการอีกหนึ่งปี จะโดนแขวนเป็น รองปลัดกระทรวงกระทรวงมหาดไทยเป็นต้น
    .
    ทั้งหมด ทำให้โผเลยไม่ลงตัว จึงต้องเลื่อนเอาโผเข้าครม.ไปเป็นสัปดาห์หน้าแทน
    .
    ขณะเดียวกัน เก้าอี้”เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ”คนใหม่ ที่จะมาแทน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ถึงตอนนี้ ข่าวว่ายังไม่นิ่ง เพราะฝ่ายการเมืองในเพื่อไทยและทำเนียบรัฐบาล จะรอให้แต่งตั้งบิ๊กตำรวจให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จากนั้น ค่อยมาพิจารณาเรื่องเลขาธิการสมช.
    .
    กระแสข่าวว่า รอบนี้ เลขาธิการสมช. มีสองสูตร คือเป็นลูกหม้อสมช. กับอีกสูตรคืออาจเป็นบิ๊กสีกากี ข้ามห้วยมา ปีนี้ ไม่น่าจะเป็นการเอาบิ๊กทหาร มาเป็นเลขาธิการสมช.อย่างที่มีข่าวลือตอนแรกว่าจะมาจากกระทรวงกลาโหม เว้นแต่ถ้าโผสีกากีลงตัว ก็อาจพลิกมาเป็นสองสูตรคือ คนในกับบิ๊กกองทัพ แต่ชั่วโมงนี้ข่าวว่า สีกากี ยังแรงอยู่
    .
    เรื่องนี้ทำให้ “อดีตเลขาธิการสมช.”อย่าง ถวิล เปลี่ยนศรี ที่เคยทำให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเก้าอี้นายกฯมาแล้ว ในคดีย้ายถวิล เปลี่ยนศรี ออกมาระบุล่าสุด วันนี้ 30 ก.ย.ว่า
    “มีข่าวออกมาอีกแล้ว ว่า…การแต่งตั้งทาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติอาจไม่ลงตัว หรือ มันอาจลงตัวตามระบบของมันแล้ว แต่คนกำกับอาจยังไม่พอใจ และอาจมีการแต่งตั้งระดับรอง ผบ สตช บางคนมาที่ สมช อีก ..เหมือนที่เคยดัน พล ต อ รอย อิงคไพโรจน์ มาเป็นเลขา สมช เมื่อปีที่ผ่านมา ตำแหน่ง เลขา สมช เป็นตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบงานสำคัญของชาติ ไม่ใช่ ตำแหน่งสำรอง หรือใช้ รองรับคนที่อกหัก ผิดหวัง จากที่ใด ที่หนึ่ง
    .
    การแต่งตั้ง แบบข้ามห้วย อย่างนี้ มันสร้างปัญหาความไม่เป็นธรรม และความระส่ำระสายในราชการมาตลอด และมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ หรอกครับ นอกจากเพื่อประโยชน์ตน พวก พรรค ไม่ได้เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางราชการ อย่างที่ผมพูดไว้แล้ว .. เพราะคนใน ทำงาน สะสมประสบการณ์ เครือข่ายมากว่า 30 กว่าปี กลับไม่แต่งตั้ง แต่กลับไปตั้งคนของตน หรือ ถ้าไม่ใช่ ก็เพื่อสับหลีกให้กับคนของตนที่อื่น ..
    .
    . ตำแหน่งหน้าที่ราชการนั้น ..,นั้นไม่ใช่บริษัท หรือกิจการส่วนตัวของใครๆ ที่จะบงการ หรือ แต่งตั้งกันตามอำเภอใจ .. ก็หวังว่าทุกฝ่ายจะเข้าใจเหตุผล และไม่ทำอะไรผิดซ้ำไปซ้ำมาอีก”
    .
    ทั้งหมดคือภาพรวม การแต่งตั้งโยกย้ายระดับบิ๊กในสามองค์กรสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ-กระทรวงมหาดไทย-สภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่บอกได้เลยว่า ทุกตำแหน่งสำคัญ ยังไง ต้องให้ จันทร์ส่องหล้า เห็นชอบก่อน!!!
    ..............
    Sondhi X
    โผมหาดไทยป่วน ส่อเลื่อน! 7 ต.ค. ได้ ผบ.ตร.คนใหม่ เก้าอี้เลขาฯ สมช.ยังอึมครึม . ย่างเข้าเดือนตุลาคม หลายหน่วยงานภาครัฐ เริ่มทยอยแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อไม่ให้การทำงานเกิดสุญญากาศ ซึ่งปีนี้ ต้องถือว่า การทำโผแต่งตั้งบิ๊กข้าราชการ ล่าช้ากว่าทุกปี จากเหตุเรื่องการตั้งรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กว่าจะเสร็จสิ้น เข้าทำงานได้ ก็ปาเข้าไปเกือบกลางกันยายน แต่ตอนนี้หลายหน่วยงานก็เร่งแล้ว . อย่างในส่วนของ”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”ก็เคาะออกมาแล้วว่า แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะประธานก.ตร.โดยตำแหน่ง และต้องเป็นคนเสนอชื่อผบ.ตร.ต่อที่ประชุมก.ตร. ด้วยตัวเอง ได้นัดประชุมก.ตร. ในวันจันทร์ที่ 7ต.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งแรกของแพทองธาร และนัดแรกก็สำคัญเลย เพราะจะต้องเสนอชื่อผบ.ตร.คนใหม่ให้ก.ตร.เห็นชอบ ที่จะเป็นผบ.ตร.คนที่ 15 . ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเต็งหนึ่ง หากดูจากลำดับอาวุโส ก็คือ บิ๊กต่าย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. เกษียณอายุราชการปี 2569 โดยมีคู่ชิงอีกสองคน คือ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ส่วนจะเป็นใครเข้าวิน และจะมีอะไรพลิกโผหรือไม่ ก็รอติดตาม . ขณะที่ในส่วนของ”กระทรวงมหาดไทย”หลังมีข่าวว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กับอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ที่จะเข้าเป็นปลัดมหาดไทยคนใหม่อย่างเป็นทางการ วันอังคารที่ 1 ตุลาคมนี้ จะเอาโผ แต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กคลองหลอดร่วมสามสิบกว่าตำแหน่งตั้งแต่ รองปลัดกระทรวง-อธิบดี-ผวจ.ทั่วประเทศ เข้าที่ประชุมครม.อังคารนี้ 1 ต.ค. แต่ล่าสุดลือกันว่า “โผไม่ลงตัว” . เลยเลื่อนเอาเข้าครม.ไปเป็น 8 ต.ค.สัปดาห์หน้าโน่นเลย เพราะมีการปรับเปลี่ยนทำโผจากของเดิม ยุคปลัดเก่ง สุทธิพงษ์ จุลเจริญ บางตำแหน่งโดยเฉพาะผวจ.หลายจังหวัดทั่วประเทศ ที่อนุทิน ลงมาไล่เช็คประวัติการทำงานด้วยตัวเอง เลยทำให้ ต้องขยับออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์ . เว้นแต่เคลียร์ลงตัวตอนค่ำและเช้าวันที่ 1 ต.ค.ถ้าเรียบร้อยดีก็อาจนำเข้า แต่ข่าวหลายกระแสบอกว่าน่าจะเลื่อน แล้วไปรอลุ้น 8 ต.ค.สำหรับสิงห์มหาดไทยทั่วประเทศ . ท่ามกลางข่าวลือว่าโผมีการปรับบางตำแหน่งเช่น จากเดิมที่จะให้ ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นอธิบดีกรมการปกครอง แล้วโยก “นฤชา โฆษาศิวิไลซ์”ผวจ.บุรีรัมย์สายตรง เนวิน ชิดชอบ มาเป็นอธิบดีปภ.นั้น ล่าสุดข่าวว่า โผพลิก โดยคนที่จะมาเป็นอธิบดีปภ.คนใหม่ ลือกันว่า เป็น ภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าฯปทุมธานี . แล้วเอา นฤชา ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ไปเป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นแทน ขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ที่เหลืออายุราชการอีกหนึ่งปี จะโดนแขวนเป็น รองปลัดกระทรวงกระทรวงมหาดไทยเป็นต้น . ทั้งหมด ทำให้โผเลยไม่ลงตัว จึงต้องเลื่อนเอาโผเข้าครม.ไปเป็นสัปดาห์หน้าแทน . ขณะเดียวกัน เก้าอี้”เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ”คนใหม่ ที่จะมาแทน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ถึงตอนนี้ ข่าวว่ายังไม่นิ่ง เพราะฝ่ายการเมืองในเพื่อไทยและทำเนียบรัฐบาล จะรอให้แต่งตั้งบิ๊กตำรวจให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จากนั้น ค่อยมาพิจารณาเรื่องเลขาธิการสมช. . กระแสข่าวว่า รอบนี้ เลขาธิการสมช. มีสองสูตร คือเป็นลูกหม้อสมช. กับอีกสูตรคืออาจเป็นบิ๊กสีกากี ข้ามห้วยมา ปีนี้ ไม่น่าจะเป็นการเอาบิ๊กทหาร มาเป็นเลขาธิการสมช.อย่างที่มีข่าวลือตอนแรกว่าจะมาจากกระทรวงกลาโหม เว้นแต่ถ้าโผสีกากีลงตัว ก็อาจพลิกมาเป็นสองสูตรคือ คนในกับบิ๊กกองทัพ แต่ชั่วโมงนี้ข่าวว่า สีกากี ยังแรงอยู่ . เรื่องนี้ทำให้ “อดีตเลขาธิการสมช.”อย่าง ถวิล เปลี่ยนศรี ที่เคยทำให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเก้าอี้นายกฯมาแล้ว ในคดีย้ายถวิล เปลี่ยนศรี ออกมาระบุล่าสุด วันนี้ 30 ก.ย.ว่า “มีข่าวออกมาอีกแล้ว ว่า…การแต่งตั้งทาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติอาจไม่ลงตัว หรือ มันอาจลงตัวตามระบบของมันแล้ว แต่คนกำกับอาจยังไม่พอใจ และอาจมีการแต่งตั้งระดับรอง ผบ สตช บางคนมาที่ สมช อีก ..เหมือนที่เคยดัน พล ต อ รอย อิงคไพโรจน์ มาเป็นเลขา สมช เมื่อปีที่ผ่านมา ตำแหน่ง เลขา สมช เป็นตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบงานสำคัญของชาติ ไม่ใช่ ตำแหน่งสำรอง หรือใช้ รองรับคนที่อกหัก ผิดหวัง จากที่ใด ที่หนึ่ง . การแต่งตั้ง แบบข้ามห้วย อย่างนี้ มันสร้างปัญหาความไม่เป็นธรรม และความระส่ำระสายในราชการมาตลอด และมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ หรอกครับ นอกจากเพื่อประโยชน์ตน พวก พรรค ไม่ได้เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางราชการ อย่างที่ผมพูดไว้แล้ว .. เพราะคนใน ทำงาน สะสมประสบการณ์ เครือข่ายมากว่า 30 กว่าปี กลับไม่แต่งตั้ง แต่กลับไปตั้งคนของตน หรือ ถ้าไม่ใช่ ก็เพื่อสับหลีกให้กับคนของตนที่อื่น .. . . ตำแหน่งหน้าที่ราชการนั้น ..,นั้นไม่ใช่บริษัท หรือกิจการส่วนตัวของใครๆ ที่จะบงการ หรือ แต่งตั้งกันตามอำเภอใจ .. ก็หวังว่าทุกฝ่ายจะเข้าใจเหตุผล และไม่ทำอะไรผิดซ้ำไปซ้ำมาอีก” . ทั้งหมดคือภาพรวม การแต่งตั้งโยกย้ายระดับบิ๊กในสามองค์กรสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ-กระทรวงมหาดไทย-สภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่บอกได้เลยว่า ทุกตำแหน่งสำคัญ ยังไง ต้องให้ จันทร์ส่องหล้า เห็นชอบก่อน!!! .............. Sondhi X
    Like
    Yay
    Sad
    13
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 1009 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์เรื่องอื้อฉาวโสมมของDiddyเจ้าพ่อบันเทิงคนดังของอเมริกา
    “ปรากฏการณ์ดิ๊ดดี้ (Diddy) สะเทือนสังคมอเมริกันอย่างรุนแรง เพราะมีเซเลบริตี้เข้าไปข้องเกี่ยวมากมาย

    ก่อนจะเกิดเรื่องฉาว ดิ๊ดดี้ มีความสัมพันธ์ดีๆ กับ นักกีฬาระดับโลกหลายคน แต่ในวันนี้ทุกคนตัดความสัมพันธ์ทิ้งหมดแล้ว

    เลอบรอน เจมส์ นักบาสเกตบอลผู้โด่งดัง สนิทสนมกับดิ๊ดดี้ เป็นการส่วนตัว ลูกชายคนเล็กของเขาชื่อ บรีซ เคยไปเที่ยวกับ เจสซี่ และ ดีลีล่า ลูกสาวแฝดของดิ๊ดดี้ และเคยถ่ายคลิปเต้นด้วยกันอีกต่างหาก

    เลอบรอน เคยพูดอินสตาแกรมไลฟ์ ว่า "ทุกคนรู้ว่า ไม่มีปาร์ตี้ไหน จะเหมือนปาร์ตี้ของดิ๊ดดี้" กลายเป็นประโยคไวรัล ที่จะถูกใช้ไปอีกนานต่อจากนี้

    แต่จากความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ล่าสุดเลอบรอน อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ไปแล้วเรียบร้อย ตัดขาดกันไปเลย ไม่อยากข้องเกี่ยวใดๆ ด้วย

    แพทริก มาโฮมส์ ควอเตอร์แบ็กจากแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ เจ้าของแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 3 สมัย ไล่ลบทวีต ที่เคยแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ดิ๊ดดี้ พยายามไม่ให้เหลือหลักฐานว่าเคยสนิทกัน (แต่โดนคนแคปเก็บไว้แล้ว)

    เช่นเดียวกับ สเตฟเฟ่น เคอร์รี่ และ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ก็อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ ในโซเชียลมีเดียไปแล้วทั้งหมด

    เรื่องราวของดิ๊ดดี้เป็นอย่างไร ทำไมนักกีฬาต้องเลิกติดตามเขา เราจะไปลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่แรก อย่างเข้าใจง่ายนะครับ

    ดิ๊ดดี้ มีชื่อจริงว่า ฌอน คอมบ์ส เขาเป็นคนนิวยอร์ก และเข้าสู่วงการดนตรีตั้งแต่วัยรุ่น และอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มา 3 ทศวรรษ ถือเป็นหนึ่งในเลเจนด์ของวงการเพลงแร็พ

    ฌอน คอมบ์ส มีชื่อในวงการหลายชื่อ เช่น Diddy, P.Diddy, Puff Daddy เป็นต้น

    ดิ๊ดดี้ ได้รางวัลใหญ่ๆ ในด้านดนตรีมาแล้ว แทบทุกสถาบัน เช่นแกรมมี่ อวอร์ดส และ MTV Music Awards

    เขามีซิงเกิ้ลขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ด ถึง 3 เพลง โดยหนึ่งในเพลงคลาสสิคที่สุด ที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินแน่นอน คือเพลงชื่อ I'll be missing you แค่อินโทรดังขึ้นมา ก็ติดหูแล้ว (แต่จริงๆ ไปเอาทำนองมาจากเพลงชื่อ Every Breath You Take ของ Police)

    ในปี 1993 ดิ๊ดดี้ เปิดค่ายเพลงชื่อ แบด บอย เรคคอร์ดส และเป็นโปรดิวเซอร์ให้สตาร์ของวงการมาแล้วหลายคน เช่น The Notorious B.I.G. ที่เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนในยุคปัจจุบันก็มี MGK ศิลปินที่ทำเพลงร้อยล้านวิวเป็นว่าเล่น

    ดิ๊ดดี้ ไม่ใช่แค่ทำเพลงเก่งอย่างเดียว แต่ยังมีหัวธุรกิจในระดับสุดยอดอีกด้วย พอมีชื่อเสียงจากฮิปฮอป เขาต่อยอดไปทำแบรนด์เสื้อผ้าชื่อ ฌอน จอห์น ตามด้วยเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับว็อดก้ายี่ห้อซิร็อค ได้รับส่วนแบ่งยอดขายต่อขวด

    นอกจากนั้น เขายังก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ชื่อ Revolt TV เพื่อนำเสนอวัฒนธรรมและดนตรี ของกลุ่มแอฟริกัน อเมริกัน โดยเฉพาะ

    และในที่สุด ปี 2022 ดิ๊ดดี้ ก็มีสินทรัพย์ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ (32,000 ล้านบาท) กลายเป็นศิลปินฮิปฮอปแค่ไม่กี่คนบนโลก ที่มีรายได้มหาศาลในเลเวลนี้

    ไม่ใช่แค่ความรวย แต่ดิ๊ดดี้ ยังสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา รวมถึงสร้างเครือข่ายของกลุ่มเซเลบริตี้ ที่คอยซัพพอร์ทช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำให้ดิ๊ดดี้ ถูกสื่อมวลชน ใช้คำว่า Mogul (ผู้มีอำนาจ, เจ้าพ่อ) ในวงการดนตรี

    ดิ๊ดดี้นั้น ขึ้นชื่อมาก เรื่องการจัดงานปาร์ตี้ ในช่วงปี 1998-2009 เขาจัดงานชื่อ "ไวท์ปาร์ตี้" สังสรรค์เฉพาะกลุ่มคนรวย คนดัง ใส่เสื้อขาวทั้งงาน เป็นปาร์ตี้ที่พวกเซเล็บอยากไปร่วมกันมากๆ

    ชีวิตของเขาก็ดูราบรื่นดี อย่างในปี 2022 เขาจัดงานปาร์ตี้ ฉลองวันเกิดอายุ 53 ปี ที่เบเวอร์ลี่ฮิลส์ คนดังๆ ทั้ง เจย์ซี, ทราวิส สกอตต์, แมรี่ เจ ไบล์ และ คริส บราวน์ ก็มาร่วมงานด้วย ดูแล้ว ชีวิตก็สบายๆ ไม่มีปัญหาอะไร

    ส่วนเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวนั้น ในอดีต เขาโดนคดีต่างๆ มาบ้าง เช่น พกพาอาวุธปืน หรือ ทำร้ายร่างกายคนอื่น แต่ก็รอดมาได้ตลอด ไม่เคยต้องติดคุกสักครั้ง

    อย่างไรก็ตาม ชีวิตของดิ๊ดดี้ ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นับจากวันที่ 16 พฤศจิกายน 2023 เมื่อคาซานดร้า เวนทูร่า หรือ แคสซี่ อดีตแฟนสาวของของเขา ที่เลิกรากันไปแล้ว ไปแจ้งความที่นิวยอร์ก

    แคสซี่ ระบายความในใจทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าช่วงเวลาที่เธอคบหากับดิ๊ดดี้ มีแต่ความทรมาน และโดนทำร้ายร่างกายเป็นว่าเล่น

    เธอบอกว่าเคยโดนดิ๊ดดี้ ทั้งเตะ ทั้งต่อย จนตาเขียวช้ำ เลือดออก และมีแผลทั่วร่างกาย ครั้งหนึ่งเคยโดนต่อยท้องต่อหน้าเพื่อนๆ ของดิ๊ดดี้ด้วย

    นอกจากนั้น ยังใช้อำนาจในการบังคับ และล่อลวง ให้เธอมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น โดยที่ดิ๊ดดี้จะนั่งดูอย่างสนุกสนาน เหมือนกิจกรรมบันเทิง

    ตลอดช่วงที่คบกัน แคสซี่ โดนกระทำมากมาย เช่นบีบคอ ผลักรุนแรงจนกระแทกกำแพง เคยโดนปาไข่ใส่หน้ามาแล้ว เวลาทำอะไรไม่ถูกใจ

    ไม่ใช่แค่ทำร้ายร่างกาย หรือ บังคับเรื่องเพศ แต่ดิ๊ดดี้ ยังมีส่วนพัวพันกับอาชญากรรมหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือการจ้างคนไปเผารถยนต์ ของแรพเปอร์ชื่อ คิด คูดี้ ที่มีข่าวว่าปลื้มแคสซี่

    แล้วไม่ใช่แค่เรื่องที่ตัวเธอโดน แต่แคสซี่ แฉมากกว่านั้น บอกว่า มีปาร์ตี้พิสดาร ที่ดิ๊ดดี้เป็นเจ้าภาพ มีชื่อว่า "freak offs" (ปาร์ตี้หลุดโลก) โดยในงานมีเหล้า มียา สารผิดกฎหมาย และมีการจ้างเด็กเอ็น ทั้งชายและหญิง มามีเซ็กส์กันแบบมั่วสุดๆ และยังมีการถ่ายคลิปเก็บไว้ด้วย โดยไม่สนใจว่า คนในงานจะเต็มใจหรือไม่

    เมื่อโดนแจ้งความใส่ยับแบบนี้ ดิ๊ดดี้ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เขาว่าจ้างทนายให้มาสู้คดีกับแคสซี่บนศาล คุณมีหลักฐานอะไรก็งัดกันออกมาดู

    หลังจากที่แคสซี่ ทำการแฉดิ๊ดดี้นั้น ในจังหวะใกล้ๆ กัน มีคนออกมาแจ้งความใส่ดิ๊ดดี้รัวๆ แบบต่างกรรมต่างวาระ เช่น

    - จอย ดิกเกอร์สัน-นีล เธออ้างว่า ในสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เธอโดนดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิประหว่างใช้กำลังมีเซ็กส์กับเธอ จ่ายนั้นเอาไปส่งต่อให้คนอื่น โดยที่เธอไม่ได้ยินยอม

    - ลิซ่า การ์ดเนอร์ บอกว่าเธอกับเพื่อนถูกชวนไปปาร์ตี้ตอนอายุ 16 และโดนดิ๊ดดี้ กับ เพื่อน ล่อลวงให้มีเซ็กส์ด้วย ทั้งๆ ที่เธอยังเป็นผู้เยาว์

    - ผู้หญิงอีกคนที่ไม่เอ่ยนาม บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้ กับ ประธานบริษัทแบดบอย เรคคอร์ด ชื่อ ฮาร์ฟ ปิแอร์ และผู้ชายอีกคนหนึ่ง ทำการลงแขก ตอนเธออายุ 17 ปี โดยหลอกล่อว่าจะให้โอกาสทางหน้าที่การงาน

    - ร็อดนีย์ โจนส์ โปรดิวเซอร์ผู้ชาย ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนกดดันให้ไปมีเซ็กส์กับผู้ชายอีกคนหนึ่งในงานปาร์ตี้ โดยอ้างว่า 'นี่เป็นเรื่องปกติในอุตสาหกรรมดนตรี'

    คดีแล้ว คดีเล่า ที่ค่อยๆ แดงออกมาเรื่อยๆ แต่ดิ๊ดดี้ ไม่ยอมจำนน เขาตั้งใจจะสู้ทุกคดี เพราะแค่พูด ใครก็พูดได้ ไว้มีหลักฐานจะจะ ค่อยคิดจะมาโค่นเขา

    วันที่ 17 พฤษภาคม 2024 สถานี CNN ก็ได้หลักฐานเด็ดในคดี แคสซี่-ดิ๊ดดี้ นั่นคือกล้องวงจรปิด จากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนทัล ในลอสแองเจลิส

    เป็นจังหวะที่แคสซี่ เดินออกจากห้องพัก เพื่อลงลิฟต์เตรียมจะกลับบ้าน แต่ดิ๊ดดี้ ตื่นขึ้นมาพอดี และเห็นแคสซี่ไม่อยู่ จึงวิ่งใส่ผ้าเช็ดตัว ออกมาตามทางเดินแล้วมาเจอเธอที่ลิฟต์

    เขาต่อยเธอด้วยหมัดขวา ถีบไปอีก 2 ที แล้วเอาแจกันแก้วที่โรงแรมวางประดับเอาไว้ ขว้างใส่ ก่อนจะลากคอกลับเข้าห้องนอน

    เมื่อมีหลักฐานจะแจ้งขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าการใช้กำลังเกิดขึ้นจริง ทำให้ดิ๊ดดี้ก็ต้องออกมายอมรับ และกล่าวคำขอโทษต่อมวลชน

    และจากจุดนั้นเอง ทำให้เซเล็บหลายๆ คน เริ่มอันฟอลโลว์เขา ไม่มีใครอยากจะสนิทชิดเชื้อกับคนที่ใช้ความรุนแรงแบบนี้ คือภาพที่ออกไป มันแย่มาก

    และจากจุดนั้น ก็มีคดีใหม่ๆ ที่ถูกเปิดเผยเรื่อยๆ ประเดประดังเข้ามาใส่ดิ๊ดดี้ จนตั้งตัวไม่ทัน

    - คริสตัล แม็คเคนนีย์ นางแบบสาว อ้างว่าโดนดิ๊ดดี้ ใช้กำลังลากเธอเข้าไปในห้องนำแล้วบังคับให้ทำออรัลเซ็กส์ให้ ในสตูดิโอที่ใช้อัดเพลงในนิวยอร์ก

    - เอพริล แลมพรอส นักศึกษาสถาบันแฟชั่น บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้บังคับให้ทำการเซ็กส์หมู่

    - อาเดรีย อิงลิช นักแสดงหนังโป๊ บอกว่าเธอโดนล่อหลอกให้แสดงกิจกรรมทางเพศ ระหว่างงานปาร์ตี้ โจมตีดิ๊ดดี้ว่าทำการค้ามนุษย์

    - ดอว์น ริชาร์ดส นักร้องจากวงดานิตี้ เคน ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนดิ๊ดดี้แอบจับหน้าอก และจับก้นหลายครั้ง ทำแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร เหมือนเป็นเรื่องปกติ คุณพ่อของดอว์น ริชาร์ดส ขับรถจากบัลติมอร์ มานิวยอร์กเพื่อมาคุยกับดิ๊ดดี้ แต่โดนขู่ว่า "คิดถึงครอบครัวของแกให้ดีเถอะ"

    เมื่อคดียาวเป็นหางว่าวแบบนี้ ทำให้วันที่ 16 กันยายน 2024 ดิ๊ดดี้ โดนตำรวจจับกุมตัว ที่โรงแรมพาร์กไฮแอต ในนิวยอร์ก

    โดยคดีที่ตำรวจให้ความสนใจคือ การจัดปาร์ตี้เบื้องหน้า แต่เบื้องหลังคือขบวนการค้ากาม ค้ามนุษย์ รวมถึงพรากผู้เยาว์ รวมถึงการทำร้ายร่างกาย ที่มีคลิปหลักฐานชัดเจน

    สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ มองอยู่ คือดิ๊ดดี้ อาจทำเรื่องผิดกฎหมายที่ร้ายแรงกว่านั้นอีก เช่น การสร้างองค์กรอาชญากรรมของตัวเองขึ้นมา แล้วมีส่วนในการลักลอบวางเพลิง, การลักพาตัว, การใช้แรงงานทาส, การค้าสารเสพติด และ การติดสินบนเจ้าพนักงาน

    เขาอาจจะไม่ใช่แค่เจ้าพ่อเพลงฮิปฮอปเฉยๆ แต่อาจเป็นผู้มีอิทธิพลของจริงเลยก็ได้

    หลังจากดิ๊ดดี้โดนจับ มีข้อมูลน่าสนใจ ที่ตำรวจค้นพบ ระหว่างการค้นบ้านของดิ๊ดดี้ ที่ลอสแองเจลิส กับ ไมอามี่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้ freak offs

    ตำรวจพบว่า มีขวดเบบี้ออยล์ มากถึง 1,000 ขวด อยู่ในบ้าน

    แน่นอน คนก็เชื่อมโยงว่า คุณจะซื้อเบบี้ออยล์มาเยอะขนาดนั้นทำไม เหตุผลน่าจะมีอย่างเดียวคือ คงเอาไปใช้ในกิจกรรมทางเพศอย่างบ้าคลั่ง เช่นงาน ปาร์ตี้เซ็กส์ เป็นต้น

    นับจนถึงเมื่อวานนี้ (24 กันยายน) มีคนแจ้งความดิ๊ดดี้ ทั้งหมด 11 คน และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นอีกเรื่อยๆ

    รวมถึงบางคดี ที่น่าสนใจเหมือนกัน เช่น จากัวร์ ไรท์ นักร้องสาวชาวอเมริกัน อ้างว่า ดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิปของเซเลบริตี้หลายคนเอาไว้ แล้วไปปล่อยในดาร์กเว็บ ได้เงินมา 500 ล้านดอลลาร์

    นอกจากนั้น ยังมีข่าวลืออีกสารพัด ว่าเขาเคยล่วงละเมิด ศิลปินทั้งชาย และ หญิง มาแล้วหลายคน ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์ในปัจจุบันด้วย

    สถานการณ์ล่าสุด ดิ๊ดดี้ต้องไปอยู่ในห้องขัง โดยเขายื่นข้อเสนอประกันตัว 50 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งติด GPS เพื่อการันตีว่าจะไม่หลบหนี แต่ศาลไม่อนุมัติ ทำให้ตอนนี้ดิ๊ดดี้ต้องอยู่ในเรือนจำที่บรู๊คลิน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

    สเต็ปต่อไปทนายของดิ๊ดดี้ กำลังเตรียมสู้คดีอย่างเต็มที่ คือมีบางเคสที่ดิ๊ดดี้โดนแน่ๆ เช่นทำร้ายร่างกายแคสซี่ เพราะมีกล้องวงจรปิดชัดเจน

    แต่กับคดีอื่นๆ ที่เขาโดนกล่าวหาว่ากระทำ ก็ต้องมาพิสูจน์กันต่อไป ว่าทำจริงหรือไม่

    สำหรับในวงการกีฬานั้น เรื่องนี้ก็สั่นสะเทือนเช่นกัน เพราะศิลปินฮิปฮ็อป กับนักกีฬาอีลีท มักจะสนิทสนมกัน เช่น เคนดริค ลามาร์ กับ เดมาร์ เดโรซาน สนิทกันถึงขั้นเดโรซานไปเล่นในเอ็มวีให้

    หรือตอนรัสเซลล์ เวสต์บรู๊ก นำทริปเปิ้ลดับเบิ้ลในตำนาน (20 แต้ม, 20 รีบาวด์, 20 แอสซิสต์) เขาอุทิศผลงานนี้ ให้กับแรพเปอร์ ชื่อ นิปซีย์ ผู้ล่วงลับ

    โดยดิ๊ดดี้ อยู่ในวงการมาเกิน 30 ปี รู้จักคนมากมาย และสนิทสนมกับนักกีฬาหลายคน ไปร่วมกิจกรรมกับ NBA ก็บ่อย แต่ถึงตรงนี้ ก็คงไม่มีใครที่พร้อมจะอยู่ซัพพอร์ทเขา เพราะไม่อยากติดร่างแหไปด้วย

    มีคนย้อนไปดูคลิปงานปาร์ตี้ freak offs ที่เผยแพร่ออกมา พบว่า มีนักกีฬาบางคนไปร่วมงานด้วย เช่น เลียวนาร์ด โฟร์เนตต์ รันนิ่งแบ็กชุดแชมป์ NFL ของแทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ ซึ่งโฟร์เนตต์ก็โดนสังคมจับจ้องทันทีว่า ไปมั่วยา มั่วเซ็กส์ หรือทำอะไรผิดกฎหมายหรือเปล่า

    ดังนั้นสิ่งที่นักกีฬาทำตอนนี้คือ เอาตัวออกห่างจากดิ๊ดดี้ให้ไกลที่สุด ไม่ให้เชื่อมโยงกันได้ อะไรที่เคยโพสต์ถึงก็ไล่ลบจนเกลี้ยงทั้งหมด

    สิ่งที่เราเห็นจากเรื่องนี้ คือในวันที่ยิ่งใหญ่ ทำอะไรก็ราบรื่น ผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ในวันนี้ ที่ความผิดเริ่มแดงออกมาเรื่อยๆ ดิ๊ดดี้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครอยากจะร่วม "ปาร์ตี้" ของเขาอีกแล้ว

    และแน่นอน ถ้าพิสูจน์ได้ว่าทำผิดจริง ก็ต้องรับโทษทางกฎหมายกันไป

    บางคนบอกว่า ถ้าทีมทนายไม่เก่งระดับเทพล่ะก็ อิสรภาพวันสุดท้ายของดิ๊ดดี้ อาจจะหมดลงแล้ว และอาจติดคุกในช่วงที่เหลืออยู่ของชีวิต แม้จะมีเงินในบัญชีถึง 1 พันล้านดอลลาร์ก็ตามที”

    ที่มา : เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง https://www.facebook.com/share/5f8x3Zx1WzpUs8b5/?mibextid=CTbP7E
    ภาพ

    #Thaitimes
    รีโพสต์เรื่องอื้อฉาวโสมมของDiddyเจ้าพ่อบันเทิงคนดังของอเมริกา “ปรากฏการณ์ดิ๊ดดี้ (Diddy) สะเทือนสังคมอเมริกันอย่างรุนแรง เพราะมีเซเลบริตี้เข้าไปข้องเกี่ยวมากมาย ก่อนจะเกิดเรื่องฉาว ดิ๊ดดี้ มีความสัมพันธ์ดีๆ กับ นักกีฬาระดับโลกหลายคน แต่ในวันนี้ทุกคนตัดความสัมพันธ์ทิ้งหมดแล้ว เลอบรอน เจมส์ นักบาสเกตบอลผู้โด่งดัง สนิทสนมกับดิ๊ดดี้ เป็นการส่วนตัว ลูกชายคนเล็กของเขาชื่อ บรีซ เคยไปเที่ยวกับ เจสซี่ และ ดีลีล่า ลูกสาวแฝดของดิ๊ดดี้ และเคยถ่ายคลิปเต้นด้วยกันอีกต่างหาก เลอบรอน เคยพูดอินสตาแกรมไลฟ์ ว่า "ทุกคนรู้ว่า ไม่มีปาร์ตี้ไหน จะเหมือนปาร์ตี้ของดิ๊ดดี้" กลายเป็นประโยคไวรัล ที่จะถูกใช้ไปอีกนานต่อจากนี้ แต่จากความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ล่าสุดเลอบรอน อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ไปแล้วเรียบร้อย ตัดขาดกันไปเลย ไม่อยากข้องเกี่ยวใดๆ ด้วย แพทริก มาโฮมส์ ควอเตอร์แบ็กจากแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ เจ้าของแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 3 สมัย ไล่ลบทวีต ที่เคยแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ดิ๊ดดี้ พยายามไม่ให้เหลือหลักฐานว่าเคยสนิทกัน (แต่โดนคนแคปเก็บไว้แล้ว) เช่นเดียวกับ สเตฟเฟ่น เคอร์รี่ และ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ก็อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ ในโซเชียลมีเดียไปแล้วทั้งหมด เรื่องราวของดิ๊ดดี้เป็นอย่างไร ทำไมนักกีฬาต้องเลิกติดตามเขา เราจะไปลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่แรก อย่างเข้าใจง่ายนะครับ ดิ๊ดดี้ มีชื่อจริงว่า ฌอน คอมบ์ส เขาเป็นคนนิวยอร์ก และเข้าสู่วงการดนตรีตั้งแต่วัยรุ่น และอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มา 3 ทศวรรษ ถือเป็นหนึ่งในเลเจนด์ของวงการเพลงแร็พ ฌอน คอมบ์ส มีชื่อในวงการหลายชื่อ เช่น Diddy, P.Diddy, Puff Daddy เป็นต้น ดิ๊ดดี้ ได้รางวัลใหญ่ๆ ในด้านดนตรีมาแล้ว แทบทุกสถาบัน เช่นแกรมมี่ อวอร์ดส และ MTV Music Awards เขามีซิงเกิ้ลขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ด ถึง 3 เพลง โดยหนึ่งในเพลงคลาสสิคที่สุด ที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินแน่นอน คือเพลงชื่อ I'll be missing you แค่อินโทรดังขึ้นมา ก็ติดหูแล้ว (แต่จริงๆ ไปเอาทำนองมาจากเพลงชื่อ Every Breath You Take ของ Police) ในปี 1993 ดิ๊ดดี้ เปิดค่ายเพลงชื่อ แบด บอย เรคคอร์ดส และเป็นโปรดิวเซอร์ให้สตาร์ของวงการมาแล้วหลายคน เช่น The Notorious B.I.G. ที่เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนในยุคปัจจุบันก็มี MGK ศิลปินที่ทำเพลงร้อยล้านวิวเป็นว่าเล่น ดิ๊ดดี้ ไม่ใช่แค่ทำเพลงเก่งอย่างเดียว แต่ยังมีหัวธุรกิจในระดับสุดยอดอีกด้วย พอมีชื่อเสียงจากฮิปฮอป เขาต่อยอดไปทำแบรนด์เสื้อผ้าชื่อ ฌอน จอห์น ตามด้วยเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับว็อดก้ายี่ห้อซิร็อค ได้รับส่วนแบ่งยอดขายต่อขวด นอกจากนั้น เขายังก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ชื่อ Revolt TV เพื่อนำเสนอวัฒนธรรมและดนตรี ของกลุ่มแอฟริกัน อเมริกัน โดยเฉพาะ และในที่สุด ปี 2022 ดิ๊ดดี้ ก็มีสินทรัพย์ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ (32,000 ล้านบาท) กลายเป็นศิลปินฮิปฮอปแค่ไม่กี่คนบนโลก ที่มีรายได้มหาศาลในเลเวลนี้ ไม่ใช่แค่ความรวย แต่ดิ๊ดดี้ ยังสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา รวมถึงสร้างเครือข่ายของกลุ่มเซเลบริตี้ ที่คอยซัพพอร์ทช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำให้ดิ๊ดดี้ ถูกสื่อมวลชน ใช้คำว่า Mogul (ผู้มีอำนาจ, เจ้าพ่อ) ในวงการดนตรี ดิ๊ดดี้นั้น ขึ้นชื่อมาก เรื่องการจัดงานปาร์ตี้ ในช่วงปี 1998-2009 เขาจัดงานชื่อ "ไวท์ปาร์ตี้" สังสรรค์เฉพาะกลุ่มคนรวย คนดัง ใส่เสื้อขาวทั้งงาน เป็นปาร์ตี้ที่พวกเซเล็บอยากไปร่วมกันมากๆ ชีวิตของเขาก็ดูราบรื่นดี อย่างในปี 2022 เขาจัดงานปาร์ตี้ ฉลองวันเกิดอายุ 53 ปี ที่เบเวอร์ลี่ฮิลส์ คนดังๆ ทั้ง เจย์ซี, ทราวิส สกอตต์, แมรี่ เจ ไบล์ และ คริส บราวน์ ก็มาร่วมงานด้วย ดูแล้ว ชีวิตก็สบายๆ ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวนั้น ในอดีต เขาโดนคดีต่างๆ มาบ้าง เช่น พกพาอาวุธปืน หรือ ทำร้ายร่างกายคนอื่น แต่ก็รอดมาได้ตลอด ไม่เคยต้องติดคุกสักครั้ง อย่างไรก็ตาม ชีวิตของดิ๊ดดี้ ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นับจากวันที่ 16 พฤศจิกายน 2023 เมื่อคาซานดร้า เวนทูร่า หรือ แคสซี่ อดีตแฟนสาวของของเขา ที่เลิกรากันไปแล้ว ไปแจ้งความที่นิวยอร์ก แคสซี่ ระบายความในใจทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าช่วงเวลาที่เธอคบหากับดิ๊ดดี้ มีแต่ความทรมาน และโดนทำร้ายร่างกายเป็นว่าเล่น เธอบอกว่าเคยโดนดิ๊ดดี้ ทั้งเตะ ทั้งต่อย จนตาเขียวช้ำ เลือดออก และมีแผลทั่วร่างกาย ครั้งหนึ่งเคยโดนต่อยท้องต่อหน้าเพื่อนๆ ของดิ๊ดดี้ด้วย นอกจากนั้น ยังใช้อำนาจในการบังคับ และล่อลวง ให้เธอมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น โดยที่ดิ๊ดดี้จะนั่งดูอย่างสนุกสนาน เหมือนกิจกรรมบันเทิง ตลอดช่วงที่คบกัน แคสซี่ โดนกระทำมากมาย เช่นบีบคอ ผลักรุนแรงจนกระแทกกำแพง เคยโดนปาไข่ใส่หน้ามาแล้ว เวลาทำอะไรไม่ถูกใจ ไม่ใช่แค่ทำร้ายร่างกาย หรือ บังคับเรื่องเพศ แต่ดิ๊ดดี้ ยังมีส่วนพัวพันกับอาชญากรรมหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือการจ้างคนไปเผารถยนต์ ของแรพเปอร์ชื่อ คิด คูดี้ ที่มีข่าวว่าปลื้มแคสซี่ แล้วไม่ใช่แค่เรื่องที่ตัวเธอโดน แต่แคสซี่ แฉมากกว่านั้น บอกว่า มีปาร์ตี้พิสดาร ที่ดิ๊ดดี้เป็นเจ้าภาพ มีชื่อว่า "freak offs" (ปาร์ตี้หลุดโลก) โดยในงานมีเหล้า มียา สารผิดกฎหมาย และมีการจ้างเด็กเอ็น ทั้งชายและหญิง มามีเซ็กส์กันแบบมั่วสุดๆ และยังมีการถ่ายคลิปเก็บไว้ด้วย โดยไม่สนใจว่า คนในงานจะเต็มใจหรือไม่ เมื่อโดนแจ้งความใส่ยับแบบนี้ ดิ๊ดดี้ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เขาว่าจ้างทนายให้มาสู้คดีกับแคสซี่บนศาล คุณมีหลักฐานอะไรก็งัดกันออกมาดู หลังจากที่แคสซี่ ทำการแฉดิ๊ดดี้นั้น ในจังหวะใกล้ๆ กัน มีคนออกมาแจ้งความใส่ดิ๊ดดี้รัวๆ แบบต่างกรรมต่างวาระ เช่น - จอย ดิกเกอร์สัน-นีล เธออ้างว่า ในสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เธอโดนดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิประหว่างใช้กำลังมีเซ็กส์กับเธอ จ่ายนั้นเอาไปส่งต่อให้คนอื่น โดยที่เธอไม่ได้ยินยอม - ลิซ่า การ์ดเนอร์ บอกว่าเธอกับเพื่อนถูกชวนไปปาร์ตี้ตอนอายุ 16 และโดนดิ๊ดดี้ กับ เพื่อน ล่อลวงให้มีเซ็กส์ด้วย ทั้งๆ ที่เธอยังเป็นผู้เยาว์ - ผู้หญิงอีกคนที่ไม่เอ่ยนาม บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้ กับ ประธานบริษัทแบดบอย เรคคอร์ด ชื่อ ฮาร์ฟ ปิแอร์ และผู้ชายอีกคนหนึ่ง ทำการลงแขก ตอนเธออายุ 17 ปี โดยหลอกล่อว่าจะให้โอกาสทางหน้าที่การงาน - ร็อดนีย์ โจนส์ โปรดิวเซอร์ผู้ชาย ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนกดดันให้ไปมีเซ็กส์กับผู้ชายอีกคนหนึ่งในงานปาร์ตี้ โดยอ้างว่า 'นี่เป็นเรื่องปกติในอุตสาหกรรมดนตรี' คดีแล้ว คดีเล่า ที่ค่อยๆ แดงออกมาเรื่อยๆ แต่ดิ๊ดดี้ ไม่ยอมจำนน เขาตั้งใจจะสู้ทุกคดี เพราะแค่พูด ใครก็พูดได้ ไว้มีหลักฐานจะจะ ค่อยคิดจะมาโค่นเขา วันที่ 17 พฤษภาคม 2024 สถานี CNN ก็ได้หลักฐานเด็ดในคดี แคสซี่-ดิ๊ดดี้ นั่นคือกล้องวงจรปิด จากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนทัล ในลอสแองเจลิส เป็นจังหวะที่แคสซี่ เดินออกจากห้องพัก เพื่อลงลิฟต์เตรียมจะกลับบ้าน แต่ดิ๊ดดี้ ตื่นขึ้นมาพอดี และเห็นแคสซี่ไม่อยู่ จึงวิ่งใส่ผ้าเช็ดตัว ออกมาตามทางเดินแล้วมาเจอเธอที่ลิฟต์ เขาต่อยเธอด้วยหมัดขวา ถีบไปอีก 2 ที แล้วเอาแจกันแก้วที่โรงแรมวางประดับเอาไว้ ขว้างใส่ ก่อนจะลากคอกลับเข้าห้องนอน เมื่อมีหลักฐานจะแจ้งขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าการใช้กำลังเกิดขึ้นจริง ทำให้ดิ๊ดดี้ก็ต้องออกมายอมรับ และกล่าวคำขอโทษต่อมวลชน และจากจุดนั้นเอง ทำให้เซเล็บหลายๆ คน เริ่มอันฟอลโลว์เขา ไม่มีใครอยากจะสนิทชิดเชื้อกับคนที่ใช้ความรุนแรงแบบนี้ คือภาพที่ออกไป มันแย่มาก และจากจุดนั้น ก็มีคดีใหม่ๆ ที่ถูกเปิดเผยเรื่อยๆ ประเดประดังเข้ามาใส่ดิ๊ดดี้ จนตั้งตัวไม่ทัน - คริสตัล แม็คเคนนีย์ นางแบบสาว อ้างว่าโดนดิ๊ดดี้ ใช้กำลังลากเธอเข้าไปในห้องนำแล้วบังคับให้ทำออรัลเซ็กส์ให้ ในสตูดิโอที่ใช้อัดเพลงในนิวยอร์ก - เอพริล แลมพรอส นักศึกษาสถาบันแฟชั่น บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้บังคับให้ทำการเซ็กส์หมู่ - อาเดรีย อิงลิช นักแสดงหนังโป๊ บอกว่าเธอโดนล่อหลอกให้แสดงกิจกรรมทางเพศ ระหว่างงานปาร์ตี้ โจมตีดิ๊ดดี้ว่าทำการค้ามนุษย์ - ดอว์น ริชาร์ดส นักร้องจากวงดานิตี้ เคน ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนดิ๊ดดี้แอบจับหน้าอก และจับก้นหลายครั้ง ทำแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร เหมือนเป็นเรื่องปกติ คุณพ่อของดอว์น ริชาร์ดส ขับรถจากบัลติมอร์ มานิวยอร์กเพื่อมาคุยกับดิ๊ดดี้ แต่โดนขู่ว่า "คิดถึงครอบครัวของแกให้ดีเถอะ" เมื่อคดียาวเป็นหางว่าวแบบนี้ ทำให้วันที่ 16 กันยายน 2024 ดิ๊ดดี้ โดนตำรวจจับกุมตัว ที่โรงแรมพาร์กไฮแอต ในนิวยอร์ก โดยคดีที่ตำรวจให้ความสนใจคือ การจัดปาร์ตี้เบื้องหน้า แต่เบื้องหลังคือขบวนการค้ากาม ค้ามนุษย์ รวมถึงพรากผู้เยาว์ รวมถึงการทำร้ายร่างกาย ที่มีคลิปหลักฐานชัดเจน สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ มองอยู่ คือดิ๊ดดี้ อาจทำเรื่องผิดกฎหมายที่ร้ายแรงกว่านั้นอีก เช่น การสร้างองค์กรอาชญากรรมของตัวเองขึ้นมา แล้วมีส่วนในการลักลอบวางเพลิง, การลักพาตัว, การใช้แรงงานทาส, การค้าสารเสพติด และ การติดสินบนเจ้าพนักงาน เขาอาจจะไม่ใช่แค่เจ้าพ่อเพลงฮิปฮอปเฉยๆ แต่อาจเป็นผู้มีอิทธิพลของจริงเลยก็ได้ หลังจากดิ๊ดดี้โดนจับ มีข้อมูลน่าสนใจ ที่ตำรวจค้นพบ ระหว่างการค้นบ้านของดิ๊ดดี้ ที่ลอสแองเจลิส กับ ไมอามี่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้ freak offs ตำรวจพบว่า มีขวดเบบี้ออยล์ มากถึง 1,000 ขวด อยู่ในบ้าน แน่นอน คนก็เชื่อมโยงว่า คุณจะซื้อเบบี้ออยล์มาเยอะขนาดนั้นทำไม เหตุผลน่าจะมีอย่างเดียวคือ คงเอาไปใช้ในกิจกรรมทางเพศอย่างบ้าคลั่ง เช่นงาน ปาร์ตี้เซ็กส์ เป็นต้น นับจนถึงเมื่อวานนี้ (24 กันยายน) มีคนแจ้งความดิ๊ดดี้ ทั้งหมด 11 คน และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นอีกเรื่อยๆ รวมถึงบางคดี ที่น่าสนใจเหมือนกัน เช่น จากัวร์ ไรท์ นักร้องสาวชาวอเมริกัน อ้างว่า ดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิปของเซเลบริตี้หลายคนเอาไว้ แล้วไปปล่อยในดาร์กเว็บ ได้เงินมา 500 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้น ยังมีข่าวลืออีกสารพัด ว่าเขาเคยล่วงละเมิด ศิลปินทั้งชาย และ หญิง มาแล้วหลายคน ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์ในปัจจุบันด้วย สถานการณ์ล่าสุด ดิ๊ดดี้ต้องไปอยู่ในห้องขัง โดยเขายื่นข้อเสนอประกันตัว 50 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งติด GPS เพื่อการันตีว่าจะไม่หลบหนี แต่ศาลไม่อนุมัติ ทำให้ตอนนี้ดิ๊ดดี้ต้องอยู่ในเรือนจำที่บรู๊คลิน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง สเต็ปต่อไปทนายของดิ๊ดดี้ กำลังเตรียมสู้คดีอย่างเต็มที่ คือมีบางเคสที่ดิ๊ดดี้โดนแน่ๆ เช่นทำร้ายร่างกายแคสซี่ เพราะมีกล้องวงจรปิดชัดเจน แต่กับคดีอื่นๆ ที่เขาโดนกล่าวหาว่ากระทำ ก็ต้องมาพิสูจน์กันต่อไป ว่าทำจริงหรือไม่ สำหรับในวงการกีฬานั้น เรื่องนี้ก็สั่นสะเทือนเช่นกัน เพราะศิลปินฮิปฮ็อป กับนักกีฬาอีลีท มักจะสนิทสนมกัน เช่น เคนดริค ลามาร์ กับ เดมาร์ เดโรซาน สนิทกันถึงขั้นเดโรซานไปเล่นในเอ็มวีให้ หรือตอนรัสเซลล์ เวสต์บรู๊ก นำทริปเปิ้ลดับเบิ้ลในตำนาน (20 แต้ม, 20 รีบาวด์, 20 แอสซิสต์) เขาอุทิศผลงานนี้ ให้กับแรพเปอร์ ชื่อ นิปซีย์ ผู้ล่วงลับ โดยดิ๊ดดี้ อยู่ในวงการมาเกิน 30 ปี รู้จักคนมากมาย และสนิทสนมกับนักกีฬาหลายคน ไปร่วมกิจกรรมกับ NBA ก็บ่อย แต่ถึงตรงนี้ ก็คงไม่มีใครที่พร้อมจะอยู่ซัพพอร์ทเขา เพราะไม่อยากติดร่างแหไปด้วย มีคนย้อนไปดูคลิปงานปาร์ตี้ freak offs ที่เผยแพร่ออกมา พบว่า มีนักกีฬาบางคนไปร่วมงานด้วย เช่น เลียวนาร์ด โฟร์เนตต์ รันนิ่งแบ็กชุดแชมป์ NFL ของแทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ ซึ่งโฟร์เนตต์ก็โดนสังคมจับจ้องทันทีว่า ไปมั่วยา มั่วเซ็กส์ หรือทำอะไรผิดกฎหมายหรือเปล่า ดังนั้นสิ่งที่นักกีฬาทำตอนนี้คือ เอาตัวออกห่างจากดิ๊ดดี้ให้ไกลที่สุด ไม่ให้เชื่อมโยงกันได้ อะไรที่เคยโพสต์ถึงก็ไล่ลบจนเกลี้ยงทั้งหมด สิ่งที่เราเห็นจากเรื่องนี้ คือในวันที่ยิ่งใหญ่ ทำอะไรก็ราบรื่น ผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ในวันนี้ ที่ความผิดเริ่มแดงออกมาเรื่อยๆ ดิ๊ดดี้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครอยากจะร่วม "ปาร์ตี้" ของเขาอีกแล้ว และแน่นอน ถ้าพิสูจน์ได้ว่าทำผิดจริง ก็ต้องรับโทษทางกฎหมายกันไป บางคนบอกว่า ถ้าทีมทนายไม่เก่งระดับเทพล่ะก็ อิสรภาพวันสุดท้ายของดิ๊ดดี้ อาจจะหมดลงแล้ว และอาจติดคุกในช่วงที่เหลืออยู่ของชีวิต แม้จะมีเงินในบัญชีถึง 1 พันล้านดอลลาร์ก็ตามที” ที่มา : เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง https://www.facebook.com/share/5f8x3Zx1WzpUs8b5/?mibextid=CTbP7E ภาพ #Thaitimes
    Like
    1
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 954 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ผู้แจ้งเบาะแสของ NSA เพิ่งเปิดเผยวาระการประชุมระดับโลกอันน่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนลึกอยู่ในอลาสก้า เอกสารเผยให้เห็นว่า HAARP ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเป็น "การวิจัยทางวิทยาศาสตร์" แท้จริงแล้วเป็นอาวุธที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมและบงการมนุษยชาติในระดับโลก
    https://vk.com/wall545107656_11165

    https://vk.com/wall545107656_7385

    จุดประสงค์อันมืดมนของ HAARP:
    เป็นเวลาหลายปีที่กองทัพได้ปลอมตัว HAARP ให้เป็นสถานีวิจัย โดยปกปิดภารกิจที่แท้จริงจากสาธารณชน ตามข้อมูลที่รั่วไหลของสโนว์เดน HAARP ไม่ใช่การทดลองที่บริสุทธิ์ แต่เป็นอาวุธที่ใช้บงการคนจำนวนมาก โดยกำหนดเป้าหมายไปที่สมองของผู้คน ส่งผลให้ผู้คนเสียชีวิตตามธรรมชาติ เช่น หลอดเลือดสมองแตก หัวใจวาย นี่เป็นมากกว่าทฤษฎีสมคบคิด มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ต่อหน้าต่อตาเราตอนนี้

    การควบคุมจิตใจในระดับที่ไม่อาจจินตนาการได้:
    สโนว์เดนเปิดเผยว่า HAARP สามารถควบคุมจิตใจของผู้ที่พูดออกมาได้จากระยะไกล ทำให้ผู้คนกลายเป็นบุคคลที่ไม่มีเหตุผลและ "บ้า" ในสายตาของโลก เป้าหมายของพวกเขาคือ การทำให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยเงียบลง โดยใช้คลื่นความถี่เหล่านี้เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามของพวกเขาพังทลายจากภายใน ลองคิดดูสิ—ผู้นำโลก เจ้าพ่อสื่อ และซีอีโอที่คุณเห็นในทีวีเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมเสียงที่มีอำนาจมากที่สุดบางส่วนเพื่อความจริงจึงเงียบไปในชั่วข้ามคืน

    การป้องกันกรงฟาราเดย์:
    สโนว์เดนได้หลบภัยในกรงฟาราเดย์ โดยตัดคลื่นวิทยุภายนอก ป้องกันตัวเองจากอาวุธควบคุมจิตใจระดับโลกนี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อคุณรู้ความจริงแล้ว คุณก็ตกเป็นเป้าหมาย เทคโนโลยีนี้สามารถทำลายชีวิต ทำให้ผู้ที่กล้าพูดออกมาเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้พวกเขากลายเป็นเพียง "นักทฤษฎีสมคบคิด" เท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว

    หลักฐานที่พิสูจน์การควบคุมของ HAARP:
    เอกสารเหล่านี้ไม่ใช่แค่ข่าวลือ สโนว์เดนได้แชร์อีเมลลับจากเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงที่ยืนยันความจริงอันน่าสยดสยองเบื้องหลังปฏิบัติการของ HAARP นี่ไม่ใช่การคาดเดาอีกต่อไป แต่เป็นข้อเท็จจริง คุณตื่นแล้วหรือไม่ก็โดนหลอก พวกเขาต้องการให้คุณเชื่อง ตาบอด และยอมจำนน ในขณะที่กลุ่มคนชั้นสูงคอยดึงเชือกอยู่เบื้องหลัง

    การเข้าถึงของ HAARP – มากกว่าแค่ในอลาสก้า:
    ไม่ใช่แค่ในอลาสก้าเท่านั้น มีศูนย์ HAARP หลายแห่งทั่วโลก ในสวีเดน รัสเซีย แม้แต่ภายใต้เสาโทรศัพท์มือถือที่บ้าน พวกเขาได้สร้างเครือข่ายทั่วโลกเพื่อควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่ใช่แค่อาวุธ แต่เป็นระบบครอบงำ สร้างความโกลาหล ความกลัว และความสับสนไปทั่วโลก ลองดูรูปแบบสภาพอากาศที่แปลกประหลาด ภัยธรรมชาติ และบุคคลสาธารณะที่เสียชีวิตแบบไม่ทันตั้งตัวสิ

    ถึงเวลาลุกขึ้นแล้ว:
    การเปิดเผยของสโนว์เดนได้แสดงให้เราเห็นว่าพายุมาถึงแล้ว ความจริงนั้นมืดมนกว่าที่เราจะจินตนาการได้มาก แต่ตอนนี้คุณรู้แล้ว—คุณจะทำอย่างไรกับความรู้นี้? คุณจะนั่งเฉยๆ และปล่อยให้ชนชั้นนำระดับโลกเข้ามาควบคุม หรือจะสู้กลับ ประเทศของคุณ เสรีภาพของคุณ และชีวิตของคุณอาจขึ้นอยู่กับมัน

    ตื่นได้แล้ว ผู้รักชาติ!
    นี่คือช่วงเวลา ความจริงถูกเปิดเผย และพวกเขาไม่สามารถปิดปากเราทุกคนได้ ร่วมกัน เราสามารถเปิดโปงรัฐบาลเงาและกลไกทางการทหารที่คอยดึงเชือกมาเป็นเวลานานเกินไปได้ ถึงเวลาที่ต้องลงมือทำแล้ว—ก่อนที่มันจะสายเกินไป

    ติดตามช่องของฉัน เพื่อรับข้อมูลอัปเดต👇
    https://t.me/BenjaminFulfordJ ✅️
    เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ผู้แจ้งเบาะแสของ NSA เพิ่งเปิดเผยวาระการประชุมระดับโลกอันน่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนลึกอยู่ในอลาสก้า เอกสารเผยให้เห็นว่า HAARP ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเป็น "การวิจัยทางวิทยาศาสตร์" แท้จริงแล้วเป็นอาวุธที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมและบงการมนุษยชาติในระดับโลก https://vk.com/wall545107656_11165 https://vk.com/wall545107656_7385 จุดประสงค์อันมืดมนของ HAARP: เป็นเวลาหลายปีที่กองทัพได้ปลอมตัว HAARP ให้เป็นสถานีวิจัย โดยปกปิดภารกิจที่แท้จริงจากสาธารณชน ตามข้อมูลที่รั่วไหลของสโนว์เดน HAARP ไม่ใช่การทดลองที่บริสุทธิ์ แต่เป็นอาวุธที่ใช้บงการคนจำนวนมาก โดยกำหนดเป้าหมายไปที่สมองของผู้คน ส่งผลให้ผู้คนเสียชีวิตตามธรรมชาติ เช่น หลอดเลือดสมองแตก หัวใจวาย นี่เป็นมากกว่าทฤษฎีสมคบคิด มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ต่อหน้าต่อตาเราตอนนี้ การควบคุมจิตใจในระดับที่ไม่อาจจินตนาการได้: สโนว์เดนเปิดเผยว่า HAARP สามารถควบคุมจิตใจของผู้ที่พูดออกมาได้จากระยะไกล ทำให้ผู้คนกลายเป็นบุคคลที่ไม่มีเหตุผลและ "บ้า" ในสายตาของโลก เป้าหมายของพวกเขาคือ การทำให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยเงียบลง โดยใช้คลื่นความถี่เหล่านี้เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามของพวกเขาพังทลายจากภายใน ลองคิดดูสิ—ผู้นำโลก เจ้าพ่อสื่อ และซีอีโอที่คุณเห็นในทีวีเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมเสียงที่มีอำนาจมากที่สุดบางส่วนเพื่อความจริงจึงเงียบไปในชั่วข้ามคืน การป้องกันกรงฟาราเดย์: สโนว์เดนได้หลบภัยในกรงฟาราเดย์ โดยตัดคลื่นวิทยุภายนอก ป้องกันตัวเองจากอาวุธควบคุมจิตใจระดับโลกนี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อคุณรู้ความจริงแล้ว คุณก็ตกเป็นเป้าหมาย เทคโนโลยีนี้สามารถทำลายชีวิต ทำให้ผู้ที่กล้าพูดออกมาเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้พวกเขากลายเป็นเพียง "นักทฤษฎีสมคบคิด" เท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว หลักฐานที่พิสูจน์การควบคุมของ HAARP: เอกสารเหล่านี้ไม่ใช่แค่ข่าวลือ สโนว์เดนได้แชร์อีเมลลับจากเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงที่ยืนยันความจริงอันน่าสยดสยองเบื้องหลังปฏิบัติการของ HAARP นี่ไม่ใช่การคาดเดาอีกต่อไป แต่เป็นข้อเท็จจริง คุณตื่นแล้วหรือไม่ก็โดนหลอก พวกเขาต้องการให้คุณเชื่อง ตาบอด และยอมจำนน ในขณะที่กลุ่มคนชั้นสูงคอยดึงเชือกอยู่เบื้องหลัง การเข้าถึงของ HAARP – มากกว่าแค่ในอลาสก้า: ไม่ใช่แค่ในอลาสก้าเท่านั้น มีศูนย์ HAARP หลายแห่งทั่วโลก ในสวีเดน รัสเซีย แม้แต่ภายใต้เสาโทรศัพท์มือถือที่บ้าน พวกเขาได้สร้างเครือข่ายทั่วโลกเพื่อควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่ใช่แค่อาวุธ แต่เป็นระบบครอบงำ สร้างความโกลาหล ความกลัว และความสับสนไปทั่วโลก ลองดูรูปแบบสภาพอากาศที่แปลกประหลาด ภัยธรรมชาติ และบุคคลสาธารณะที่เสียชีวิตแบบไม่ทันตั้งตัวสิ ถึงเวลาลุกขึ้นแล้ว: การเปิดเผยของสโนว์เดนได้แสดงให้เราเห็นว่าพายุมาถึงแล้ว ความจริงนั้นมืดมนกว่าที่เราจะจินตนาการได้มาก แต่ตอนนี้คุณรู้แล้ว—คุณจะทำอย่างไรกับความรู้นี้? คุณจะนั่งเฉยๆ และปล่อยให้ชนชั้นนำระดับโลกเข้ามาควบคุม หรือจะสู้กลับ ประเทศของคุณ เสรีภาพของคุณ และชีวิตของคุณอาจขึ้นอยู่กับมัน ตื่นได้แล้ว ผู้รักชาติ! นี่คือช่วงเวลา ความจริงถูกเปิดเผย และพวกเขาไม่สามารถปิดปากเราทุกคนได้ ร่วมกัน เราสามารถเปิดโปงรัฐบาลเงาและกลไกทางการทหารที่คอยดึงเชือกมาเป็นเวลานานเกินไปได้ ถึงเวลาที่ต้องลงมือทำแล้ว—ก่อนที่มันจะสายเกินไป ติดตามช่องของฉัน เพื่อรับข้อมูลอัปเดต👇 https://t.me/BenjaminFulfordJ ✅️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 399 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณติ่งๆทั้งหลายขา….ฉุดไม่อยู่แล้วค่าาาา พี่ปูก้าวขึ้นไปในจุดที่สูงสุดแบบรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มนั้นเชียว…

    ตอนสิบ……ปูตินที่ว่าเหนือชั้นแล้ว……เยลซินยิ่งเหนือกว่า……!!!

    จากสายตาของประชาชนทั่วไป นายกรัฐมนตรีปูติน คือ คนที่เยลซินเลือกมานั่งในตำแหน่ง เหมือนอย่างคนอื่นๆที่มาแล้วก็ไป จนผู้คนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แถมไม่สนใจด้วยซ้ำ
    พอเรื่องสงครามที่เชเชนที่มีผลดี ชื่อปูตินก็ดีขึ้นมาหน่อย
    แต่ก็ยังเป็นหน้าใหม่อยู่ดี
    ในผลโพลความนิยมในเดือนตุลาคม กระเตื้องขึ้นมาเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ ยังน้อยกว่า Primakov
    นโยบายพรรคการเมือง Unity ของเยลซิน คือ กึ่งสังคมนิยม
    แต่ที่ผ่านๆมา คือการสนับสนุนไปทางทหาร รักษาชายแดน
    เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ……จึงเชื่อได้ว่า ไม่น่าจะชนะแบบแลนด์สไลด์……
    ในเดือนตุลาคม ที่พอมองเห็นว่า คะแนนของพรรคยังอยู่หลังพรรคฝั่งซ้าย The Fatherland ที่มีฐานเสียงเป็นประชาชนรอบนอกส่วนใหญ่
    พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ฐานเสียงคือ มอสโคว์ เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และเหล่านายทุน (ที่จะไประดมมา……)
    ยกตัวอย่างเช่น Boris Berezovsky**(ที่เยลซินเทไปแล้ว…)
    เขาได้ใช้ความเป็นเจ้าของสถานีวิทยุ โทรทัศน์ ออกข่าว
    โจมตีคู่แข่งอย่าง Luzhkov ในเรื่อง คอร์รัปชั่นกันทั้งครอบครัว
    และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในหลายคดี
    คนอื่นๆก็ถูกขุดขึ้นมาแฉโพยด้วย เป็นการสกัดไว้ชั้นหนึ่งก่อน
    การกล่าวหานี้ โดยปรกติแล้วมันเป็นยิ่งกว่าการหมิ่นประมาท
    แต่…มักใช้ได้ผลแบบทันตาเห็น (เรื่องคดีไว้ว่ากันทีหลัง…)

    แต่ที่ทุกคนไม่รู้……คือ เยลซินได้ฝากความหวังของรัสเซียทั้งหมดไว้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแกะกล่อง วลาดิเมียร์ ปูติน
    เมื่อช่วงปลายปี 1999 สุขภาพของเยลซินเริ่มถดถอย อีกทั้งเรื่องคดีความทางกฎหมาย เช่นเรื่องไล่อัยการ Skuratov ออกเพราะว่ามีเทปลับสามคนผัวเมีย……
    ซึ่งอัยการฟ้องกลับ……อีกทั้งสาวหาเรื่องอื่นเกี่ยวกับ”วงใน” และ”นายทุน” รวมทั้งการที่ครอบครัวของท่านผู้นำไปมีหุ้นอยู่ที่บริษัท Mabetex ในสวิตเซอร์แลนด์

    เยลซินเหลือเวลาไม่มากนักในการต่อสู้กับเกมชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะสำหรับเขาคือ ไม่มีโอกาสเพราะเป็นสมัยที่สอง และถ้าพรรคอื่นได้มาเป็น……นั่นหมายถึงเขาจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อย่าหวังว่าจะได้พึ่งพวกเศรษฐีนายทุน เพราะคนพวกนี้มักจะเกาะอยู่กับกลุ่มอำนาจที่อำนวยผลประโยชน์ให้ได้เท่านั้น

    หลังสงครามเชเชน……ปูตินได้รับความนิยมขึ้นมาถึง 40%
    แต่เขาไม่ได้ร่วมเป็นสมาขิกของพรรค Unity
    เพราะเขาต้องการความเป็นอิสระ จากกรอบนโยบาย
    หากแต่…เขาให้ความสนับสนุนโดยการให้สัมภาษณ์ว่า
    “ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมไม่ควรที่จะบอกว่าชื่นชอบพรรคไหนเป็นพิเศษ……แต่ถ้าในฐานะประชาชนคนธรรมดา ผมจะโหวตให้กับยูนิตี้……”

    วันที่ 14 ธันวาคม ก่อนวันเลือกตั้ง 5 วัน และเยลซินได้เรียกให้ปูตินไปพบเป็นการส่วนตัว……เพื่อที่จะบอกแผนการที่ได้ตระเตรียมไว้……

    “ฉันจะลาออกจากตำแหน่งแล้วนะ ปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญมากแห่งศตวรรษ มันจะเป็นศตวรรษที่ยิ่งใหญ่ของนาย……วลาดิเมียร์ ปูติน……นายเข้าใจไหม…?”
    ปูตินส่ายหน้า….ไม่เข้าใจ……เพราะที่เคยคุยกันไว้ครั้งที่แล้ว คือ ถ้าเยลซินพ้นจากตำแหน่งไป……เขาก็จะลาออก จบชีวิตทางการเมือง……
    เยลซินกล่าวต่อว่า………
    “นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ฉันได้เตรียมแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว นายก็รู้ดีถึงรัฐธรรมนูญในตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ว่า
    ถ้าประธานาธิบดีลาออกจากตำแหน่งกลางคัน ก่อนวันเลือกตั้ง
    ผู้ที่จะต้องดำรงตำแหน่งแทน คือ นายกรัฐมนตรี และการเลือกตั้งจะต้องมีขึ้นภายใน 90 วัน…นายเข้าใจหรือยัง…?

    ในเก้าสิบวันนี้แหละ คือ เก้าสิบวันที่นายจะได้ทำหน้าที่ สร้างความเลื่อมใสกับประชาชน เพื่อที่จะครองตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งต่อไป……”

    ปูตินนั่งนิ่งขึง………อยู่ในอาการสับสนปนทึ่ง สักพัก เขาตอบว่า
    “ผมยังไม่แน่ใจกับการที่จะตัดสินใจ เพราะเป้าหมายคือหน้าที่ที่ใหญ่ยิ่ง”

    เยลซินได้พูด(กล่อม) ต่อไปว่า……
    “ฟังนะ ตอนที่ฉันเข้ามาในสนามการเมืองในมอสโคว์ ตอนนั้นฉันอายุห้าสิบกว่าแล้ว ยังทำได้ แล้วหนุ่มๆไฟแรง มุ่งมั่นอย่างนายจะไปได้ไกล และจะดูแลบ้านเมืองไปได้อีกนาน จะรอให้แต่คนแก่มาทำงาน ชาติก็จะยิ่งถอยหลัง ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมานั่งในตำแหน่งนี้ มันไม่ง่าย มันเหนื่อย แต่เราถอยไม่ได้……นายเป็นคนที่เหมาะที่สุด……ว่าไง……ให้คำตอบฉันได้หรือยัง……วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช..?”
    ~~”วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช คือการเรียกเต็มยศ ที่แปลได้ว่า
    วลาดิเมียร์ บุตรชายนายวลาดิเมียร์…”

    ในที่สุด ปูตินได้ตกลงใจ รับข้อเสนอที่เยลชินบรรจงจัดแต่งให้
    เป็นความลับที่รู้กันแค่สองคน……ในใจความคือ เยลซินต้องการยิงนกหลายตัวในกระสุนนัดเดียว
    การที่ประกาศลาออกของเขานั้น คือ ……กระสุน
    นกตัวที่หนึ่ง คือ การเลือกตั้งที่จะตอนกลางปี คือ เดือนมิถุนายน จะต้องเลื่อนขึ้นมาในเดือนมีนาคม
    นกตัวที่สอง คือ เมื่อปูตินก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษาการ จะได้”แสง” ทั้งหมดจากนอกและในประเทศ ไม่ต้องง้อสื่อไหนๆ ทุกคนย่อมติดตามทำข่าวประธานาธิบดีตามหน้าที่อยู่แล้ว
    นกตัวที่สาม……คือ กลุ่มที่จะล้างแค้นเยลซิน ก็จะหมดโอกาส
    เผลอๆจะถูกล้างเอง…
    นกตัวที่สี่……ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป……ปูตินก็จะได้เป็นประธานาธิบดีต่อไปอย่างแน่นอน เพราะกำลังอยู่ในขาขึ้น
    นกตัวที่ห้า……คือเหล่านายทุนทั้งหลายที่เกาะกินประเทศมาสุมหัวกันอยู่ในเครมลินตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ จะได้โดนล้างบางเสียที…

    ต้องยกให้เยลซิน………เป็นขงเบ้งแห่งรัสเซีย….!!!!

    วันที่ 19 ธันวาคม 1999 ที่มีการเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภา
    พรรคคอมมิวนิสต์ ได้ 24%, พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ได้ 23%
    พรรค Luzhkov-Primakov alliance ได้ 13%
    ซึ่งยังต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ยังต้องดูบัตรเสีย และต้องผ่านขั้นตอนขบวนพิจารณาทางกฏหมาย ที่จะต้องใช้เวลาในช่วงหลังปีใหม่ไปแล้ว……

    เยลซินได้เตรียมการประกาศลาออกแบบฟ้าผ่าในวันสิ้นปี
    เพราะจะใช้เวลาที่ประธานาธิบดีกล่าวสวัสดีปีใหม่และอวยพรออกทีวี……ในคราวเดียวกัน
    ในเช้าวันนั้น ปูตินได้มาถึงพร้อมทีม ตั้งแต่เวลา 9:30 เพื่อซักซ้อมอัดเทปการอ่านคำรับแถลงการณ์ ที่มีทีท่าเขินอายนิดๆ
    เยลซินได้มีคำสั่งให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมการส่งกระเป๋าที่มี โค้ดสำหรับปุ่มกดนิวเคลียร์ทั้งหลายให้เรียบร้อย เพื่อที่จะส่งมอบให้กับประธานาธิบดีคนใหม่

    เมื่อเวลามาถึง……เที่ยงตรง สถานีโทรทัศน์ Ostankino ได้เตรียมออกอากาศในวาระสำคัญของการเริ่มต้นปี 2000
    ที่ประธานาธิบดีเยลซินได้เริ่มต้นว่า……

    “เพื่อนประชาชนที่รักทั้งหลาย……
    ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามาก กับข่าวลือที่ว่า ข้าพเจ้าหวงอำนาจ
    เกาะติดเก้าอี้ ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีความจริงแต่ประการใด ข้าพเจ้าพร้อมที่จะมอบตำแหน่งให้กับผู้ที่รักชาติที่มีความสามารถ

    แต่ข้าพเจ้าต้องขออภัย ขอให้ยกโทษให้กับข้าพเจ้าในสิ่งที่อาจมีความผิดพลาด หรือ สร้างความไม่สบายใจ แต่จากนี้ไป ข้าพเจ้าได้หวังว่า เราจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ประเทศชาติแข็งแกร่ง เจริญรุ่งเรือง มากไปกว่าที่ผ่านมา………
    รัสเซียควรเข้าสู่ยุคสองพัน ด้วยนักการเมืองรุ่นใหม่ ไฟแรง
    มีวิสัยทัศน์กระจ่างแจ้ง ในขณะที่ข้าพเจ้าที่มองเห็นตัวเองว่าเป็นคนรุ่นเก่า….จึงขออำลา……และเปิดทางให้เขาก้าวเข้ามา
    สร้างฝันของพวกเราให้เป็นจริง…”

    เยลซินได้กล่าวคำอำลา ด้วยน้ำตาของลูกผู้ชาย………

    ลุดมิลาไม่ได้ดูข่าวทีวี……แต่เพียงห้านาทีจากนั้น มีเพื่อนสาวโทรเข้ามาแสดงความยินดีและอวยพรที่เธอก็แสดงความยินดีตอบ เพราะคิดว่าเป็นการอวยพรวันปีใหม่
    เพื่อนต้องอธิบายให้ฟัง ว่า “สามีเธอน่ะ……เป็นประธานาธิบดีไปแล้ว..”
    ลุดมิลา…ไม่รู้เรื่องอะไรเลย……ปูตินไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังแม้แต่นิด เหมือนอย่างครั้งแรก ที่เช้ายังคุยกันดีๆ จู่ๆตอนบ่ายเขาก็เป็นผู้ว่านครเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก หรือ จากคนตกงาน กลายมาเป็น ผู้อำนวยการ FSB
    เธอก็ไม่แปลกใจอะไร……แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ความเป็นอยู่ของครอบครัว ที่เหมือนเธอกลับเข้าสู่ยุคของมาดามสายลับอีกครั้ง ไปไหนก็จะมีทีมอารักขา ลูกๆต้องเรียนที่บ้านกับเหล่าติวเตอร์

    ลุดมิลามีเพื่อนน้อยมาก เพราะเธอไม่สามารถมีสังคมเหมือนคนทั่วไป อดีตเพื่อนสนิทคนหนึ่ง คือ Irene Pietsch เป็นภรรยาของนายธนาคารเยอรมัน ไอรีน ที่ลุดมิลาสามารถปรับทุกข์ได้
    ว่า ชีวิตสมรสของเธอมีปัญหา เธอไม่เคยมีเครดิตการ์ดเหมือนคนอื่นๆ ต้องใช้ชีวิตเหมือนค้างคาวที่ต้องอยู่ในความมืดตลอดเวลา ไม่เคยได้ไปไหนตามที่ต้องการ ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการ เธออยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ
    ส่วนปูติน……ก็เคยบอกกับไอรีนในช่วงที่เคยไปเที่ยวพักร้อนด้วยกันว่า……

    “ถ้าใครสามารถอยู่กับเมียผมได้ถึงสามอาทิตย์ละก้อ……ผมจะสร้างอนุสาวรีย์ให้อย่างใหญ่เลยเชียว……”

    ลุดมิลา…ได้แต่หวังว่า สามีของเธอจะอยู่ในตำแหน่งในฐานะ
    ประธานาธิบดีรักษาการ ที่มีอายุสามเดือนเท่านั้น……
    เพราะถ้านานกว่านั้น……เธอคงรับไม่ไหว..!!!

    คนอื่นๆก็คงอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน หมายถึงคนในเครมลิน
    เพราะนโยบายหลักของปูติน คือ ล้างบางคอร์รัปชั่น และ
    กำจัดเหลือบนายทุนที่เกาะกินอยู่กับรัฐบาลเยลซินมานานแสนนาน
    สอบสวนไปมา ปรากฏว่า มาเฟียตัวแม่……ที่ทำตัวเป็นสายใยชักเปอร์เซ็นต์ เป็นล็อบบี้กินส่วนแบ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน
    แต่ เธอคือ Tatyana Yumasheva ที่เป็นธิดาของอดีตประธานาธิบดีเยลซิน มือปั้นนั่นเอง
    ทาเทียน่า มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีในเครมลิน
    และเป็นหนึ่งในวงในที่ประสานทางการเงินกับ Boris Berezovsky และ Roman Abramovich (อดีตเจ้าของทีมเชลซี) รวมทั้งมีส่วนได้ส่วนเสียกับเส้นทางการเงินที่ไหลไปในต่างประเทศ

    ปูตินได้ให้ความกรุณาสูงสุด คือ ไล่เธอออกจากตำแหน่งในเดือนแรกที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี….!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    คุณติ่งๆทั้งหลายขา….ฉุดไม่อยู่แล้วค่าาาา พี่ปูก้าวขึ้นไปในจุดที่สูงสุดแบบรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มนั้นเชียว… ตอนสิบ……ปูตินที่ว่าเหนือชั้นแล้ว……เยลซินยิ่งเหนือกว่า……!!! จากสายตาของประชาชนทั่วไป นายกรัฐมนตรีปูติน คือ คนที่เยลซินเลือกมานั่งในตำแหน่ง เหมือนอย่างคนอื่นๆที่มาแล้วก็ไป จนผู้คนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แถมไม่สนใจด้วยซ้ำ พอเรื่องสงครามที่เชเชนที่มีผลดี ชื่อปูตินก็ดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังเป็นหน้าใหม่อยู่ดี ในผลโพลความนิยมในเดือนตุลาคม กระเตื้องขึ้นมาเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ ยังน้อยกว่า Primakov นโยบายพรรคการเมือง Unity ของเยลซิน คือ กึ่งสังคมนิยม แต่ที่ผ่านๆมา คือการสนับสนุนไปทางทหาร รักษาชายแดน เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ……จึงเชื่อได้ว่า ไม่น่าจะชนะแบบแลนด์สไลด์…… ในเดือนตุลาคม ที่พอมองเห็นว่า คะแนนของพรรคยังอยู่หลังพรรคฝั่งซ้าย The Fatherland ที่มีฐานเสียงเป็นประชาชนรอบนอกส่วนใหญ่ พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ฐานเสียงคือ มอสโคว์ เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และเหล่านายทุน (ที่จะไประดมมา……) ยกตัวอย่างเช่น Boris Berezovsky**(ที่เยลซินเทไปแล้ว…) เขาได้ใช้ความเป็นเจ้าของสถานีวิทยุ โทรทัศน์ ออกข่าว โจมตีคู่แข่งอย่าง Luzhkov ในเรื่อง คอร์รัปชั่นกันทั้งครอบครัว และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในหลายคดี คนอื่นๆก็ถูกขุดขึ้นมาแฉโพยด้วย เป็นการสกัดไว้ชั้นหนึ่งก่อน การกล่าวหานี้ โดยปรกติแล้วมันเป็นยิ่งกว่าการหมิ่นประมาท แต่…มักใช้ได้ผลแบบทันตาเห็น (เรื่องคดีไว้ว่ากันทีหลัง…) แต่ที่ทุกคนไม่รู้……คือ เยลซินได้ฝากความหวังของรัสเซียทั้งหมดไว้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแกะกล่อง วลาดิเมียร์ ปูติน เมื่อช่วงปลายปี 1999 สุขภาพของเยลซินเริ่มถดถอย อีกทั้งเรื่องคดีความทางกฎหมาย เช่นเรื่องไล่อัยการ Skuratov ออกเพราะว่ามีเทปลับสามคนผัวเมีย…… ซึ่งอัยการฟ้องกลับ……อีกทั้งสาวหาเรื่องอื่นเกี่ยวกับ”วงใน” และ”นายทุน” รวมทั้งการที่ครอบครัวของท่านผู้นำไปมีหุ้นอยู่ที่บริษัท Mabetex ในสวิตเซอร์แลนด์ เยลซินเหลือเวลาไม่มากนักในการต่อสู้กับเกมชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะสำหรับเขาคือ ไม่มีโอกาสเพราะเป็นสมัยที่สอง และถ้าพรรคอื่นได้มาเป็น……นั่นหมายถึงเขาจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อย่าหวังว่าจะได้พึ่งพวกเศรษฐีนายทุน เพราะคนพวกนี้มักจะเกาะอยู่กับกลุ่มอำนาจที่อำนวยผลประโยชน์ให้ได้เท่านั้น หลังสงครามเชเชน……ปูตินได้รับความนิยมขึ้นมาถึง 40% แต่เขาไม่ได้ร่วมเป็นสมาขิกของพรรค Unity เพราะเขาต้องการความเป็นอิสระ จากกรอบนโยบาย หากแต่…เขาให้ความสนับสนุนโดยการให้สัมภาษณ์ว่า “ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมไม่ควรที่จะบอกว่าชื่นชอบพรรคไหนเป็นพิเศษ……แต่ถ้าในฐานะประชาชนคนธรรมดา ผมจะโหวตให้กับยูนิตี้……” วันที่ 14 ธันวาคม ก่อนวันเลือกตั้ง 5 วัน และเยลซินได้เรียกให้ปูตินไปพบเป็นการส่วนตัว……เพื่อที่จะบอกแผนการที่ได้ตระเตรียมไว้…… “ฉันจะลาออกจากตำแหน่งแล้วนะ ปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญมากแห่งศตวรรษ มันจะเป็นศตวรรษที่ยิ่งใหญ่ของนาย……วลาดิเมียร์ ปูติน……นายเข้าใจไหม…?” ปูตินส่ายหน้า….ไม่เข้าใจ……เพราะที่เคยคุยกันไว้ครั้งที่แล้ว คือ ถ้าเยลซินพ้นจากตำแหน่งไป……เขาก็จะลาออก จบชีวิตทางการเมือง…… เยลซินกล่าวต่อว่า……… “นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ฉันได้เตรียมแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว นายก็รู้ดีถึงรัฐธรรมนูญในตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ว่า ถ้าประธานาธิบดีลาออกจากตำแหน่งกลางคัน ก่อนวันเลือกตั้ง ผู้ที่จะต้องดำรงตำแหน่งแทน คือ นายกรัฐมนตรี และการเลือกตั้งจะต้องมีขึ้นภายใน 90 วัน…นายเข้าใจหรือยัง…? ในเก้าสิบวันนี้แหละ คือ เก้าสิบวันที่นายจะได้ทำหน้าที่ สร้างความเลื่อมใสกับประชาชน เพื่อที่จะครองตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งต่อไป……” ปูตินนั่งนิ่งขึง………อยู่ในอาการสับสนปนทึ่ง สักพัก เขาตอบว่า “ผมยังไม่แน่ใจกับการที่จะตัดสินใจ เพราะเป้าหมายคือหน้าที่ที่ใหญ่ยิ่ง” เยลซินได้พูด(กล่อม) ต่อไปว่า…… “ฟังนะ ตอนที่ฉันเข้ามาในสนามการเมืองในมอสโคว์ ตอนนั้นฉันอายุห้าสิบกว่าแล้ว ยังทำได้ แล้วหนุ่มๆไฟแรง มุ่งมั่นอย่างนายจะไปได้ไกล และจะดูแลบ้านเมืองไปได้อีกนาน จะรอให้แต่คนแก่มาทำงาน ชาติก็จะยิ่งถอยหลัง ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมานั่งในตำแหน่งนี้ มันไม่ง่าย มันเหนื่อย แต่เราถอยไม่ได้……นายเป็นคนที่เหมาะที่สุด……ว่าไง……ให้คำตอบฉันได้หรือยัง……วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช..?” ~~”วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช คือการเรียกเต็มยศ ที่แปลได้ว่า วลาดิเมียร์ บุตรชายนายวลาดิเมียร์…” ในที่สุด ปูตินได้ตกลงใจ รับข้อเสนอที่เยลชินบรรจงจัดแต่งให้ เป็นความลับที่รู้กันแค่สองคน……ในใจความคือ เยลซินต้องการยิงนกหลายตัวในกระสุนนัดเดียว การที่ประกาศลาออกของเขานั้น คือ ……กระสุน นกตัวที่หนึ่ง คือ การเลือกตั้งที่จะตอนกลางปี คือ เดือนมิถุนายน จะต้องเลื่อนขึ้นมาในเดือนมีนาคม นกตัวที่สอง คือ เมื่อปูตินก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษาการ จะได้”แสง” ทั้งหมดจากนอกและในประเทศ ไม่ต้องง้อสื่อไหนๆ ทุกคนย่อมติดตามทำข่าวประธานาธิบดีตามหน้าที่อยู่แล้ว นกตัวที่สาม……คือ กลุ่มที่จะล้างแค้นเยลซิน ก็จะหมดโอกาส เผลอๆจะถูกล้างเอง… นกตัวที่สี่……ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป……ปูตินก็จะได้เป็นประธานาธิบดีต่อไปอย่างแน่นอน เพราะกำลังอยู่ในขาขึ้น นกตัวที่ห้า……คือเหล่านายทุนทั้งหลายที่เกาะกินประเทศมาสุมหัวกันอยู่ในเครมลินตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ จะได้โดนล้างบางเสียที… ต้องยกให้เยลซิน………เป็นขงเบ้งแห่งรัสเซีย….!!!! วันที่ 19 ธันวาคม 1999 ที่มีการเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภา พรรคคอมมิวนิสต์ ได้ 24%, พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ได้ 23% พรรค Luzhkov-Primakov alliance ได้ 13% ซึ่งยังต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ยังต้องดูบัตรเสีย และต้องผ่านขั้นตอนขบวนพิจารณาทางกฏหมาย ที่จะต้องใช้เวลาในช่วงหลังปีใหม่ไปแล้ว…… เยลซินได้เตรียมการประกาศลาออกแบบฟ้าผ่าในวันสิ้นปี เพราะจะใช้เวลาที่ประธานาธิบดีกล่าวสวัสดีปีใหม่และอวยพรออกทีวี……ในคราวเดียวกัน ในเช้าวันนั้น ปูตินได้มาถึงพร้อมทีม ตั้งแต่เวลา 9:30 เพื่อซักซ้อมอัดเทปการอ่านคำรับแถลงการณ์ ที่มีทีท่าเขินอายนิดๆ เยลซินได้มีคำสั่งให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมการส่งกระเป๋าที่มี โค้ดสำหรับปุ่มกดนิวเคลียร์ทั้งหลายให้เรียบร้อย เพื่อที่จะส่งมอบให้กับประธานาธิบดีคนใหม่ เมื่อเวลามาถึง……เที่ยงตรง สถานีโทรทัศน์ Ostankino ได้เตรียมออกอากาศในวาระสำคัญของการเริ่มต้นปี 2000 ที่ประธานาธิบดีเยลซินได้เริ่มต้นว่า…… “เพื่อนประชาชนที่รักทั้งหลาย…… ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามาก กับข่าวลือที่ว่า ข้าพเจ้าหวงอำนาจ เกาะติดเก้าอี้ ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีความจริงแต่ประการใด ข้าพเจ้าพร้อมที่จะมอบตำแหน่งให้กับผู้ที่รักชาติที่มีความสามารถ แต่ข้าพเจ้าต้องขออภัย ขอให้ยกโทษให้กับข้าพเจ้าในสิ่งที่อาจมีความผิดพลาด หรือ สร้างความไม่สบายใจ แต่จากนี้ไป ข้าพเจ้าได้หวังว่า เราจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ประเทศชาติแข็งแกร่ง เจริญรุ่งเรือง มากไปกว่าที่ผ่านมา……… รัสเซียควรเข้าสู่ยุคสองพัน ด้วยนักการเมืองรุ่นใหม่ ไฟแรง มีวิสัยทัศน์กระจ่างแจ้ง ในขณะที่ข้าพเจ้าที่มองเห็นตัวเองว่าเป็นคนรุ่นเก่า….จึงขออำลา……และเปิดทางให้เขาก้าวเข้ามา สร้างฝันของพวกเราให้เป็นจริง…” เยลซินได้กล่าวคำอำลา ด้วยน้ำตาของลูกผู้ชาย……… ลุดมิลาไม่ได้ดูข่าวทีวี……แต่เพียงห้านาทีจากนั้น มีเพื่อนสาวโทรเข้ามาแสดงความยินดีและอวยพรที่เธอก็แสดงความยินดีตอบ เพราะคิดว่าเป็นการอวยพรวันปีใหม่ เพื่อนต้องอธิบายให้ฟัง ว่า “สามีเธอน่ะ……เป็นประธานาธิบดีไปแล้ว..” ลุดมิลา…ไม่รู้เรื่องอะไรเลย……ปูตินไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังแม้แต่นิด เหมือนอย่างครั้งแรก ที่เช้ายังคุยกันดีๆ จู่ๆตอนบ่ายเขาก็เป็นผู้ว่านครเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก หรือ จากคนตกงาน กลายมาเป็น ผู้อำนวยการ FSB เธอก็ไม่แปลกใจอะไร……แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ความเป็นอยู่ของครอบครัว ที่เหมือนเธอกลับเข้าสู่ยุคของมาดามสายลับอีกครั้ง ไปไหนก็จะมีทีมอารักขา ลูกๆต้องเรียนที่บ้านกับเหล่าติวเตอร์ ลุดมิลามีเพื่อนน้อยมาก เพราะเธอไม่สามารถมีสังคมเหมือนคนทั่วไป อดีตเพื่อนสนิทคนหนึ่ง คือ Irene Pietsch เป็นภรรยาของนายธนาคารเยอรมัน ไอรีน ที่ลุดมิลาสามารถปรับทุกข์ได้ ว่า ชีวิตสมรสของเธอมีปัญหา เธอไม่เคยมีเครดิตการ์ดเหมือนคนอื่นๆ ต้องใช้ชีวิตเหมือนค้างคาวที่ต้องอยู่ในความมืดตลอดเวลา ไม่เคยได้ไปไหนตามที่ต้องการ ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการ เธออยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ ส่วนปูติน……ก็เคยบอกกับไอรีนในช่วงที่เคยไปเที่ยวพักร้อนด้วยกันว่า…… “ถ้าใครสามารถอยู่กับเมียผมได้ถึงสามอาทิตย์ละก้อ……ผมจะสร้างอนุสาวรีย์ให้อย่างใหญ่เลยเชียว……” ลุดมิลา…ได้แต่หวังว่า สามีของเธอจะอยู่ในตำแหน่งในฐานะ ประธานาธิบดีรักษาการ ที่มีอายุสามเดือนเท่านั้น…… เพราะถ้านานกว่านั้น……เธอคงรับไม่ไหว..!!! คนอื่นๆก็คงอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน หมายถึงคนในเครมลิน เพราะนโยบายหลักของปูติน คือ ล้างบางคอร์รัปชั่น และ กำจัดเหลือบนายทุนที่เกาะกินอยู่กับรัฐบาลเยลซินมานานแสนนาน สอบสวนไปมา ปรากฏว่า มาเฟียตัวแม่……ที่ทำตัวเป็นสายใยชักเปอร์เซ็นต์ เป็นล็อบบี้กินส่วนแบ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่ เธอคือ Tatyana Yumasheva ที่เป็นธิดาของอดีตประธานาธิบดีเยลซิน มือปั้นนั่นเอง ทาเทียน่า มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีในเครมลิน และเป็นหนึ่งในวงในที่ประสานทางการเงินกับ Boris Berezovsky และ Roman Abramovich (อดีตเจ้าของทีมเชลซี) รวมทั้งมีส่วนได้ส่วนเสียกับเส้นทางการเงินที่ไหลไปในต่างประเทศ ปูตินได้ให้ความกรุณาสูงสุด คือ ไล่เธอออกจากตำแหน่งในเดือนแรกที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี….!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 587 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จีนตื่นตัวพีเคฟอกขาว
    รายละเอียดดังนี้ บอกเลย ละเอียดยิบจริงๆ
    ---------------------------------------------
    นักร้องอินเทอร์เน็ตหวังมี่เหียน (王冕) ถูกจับกุมเนื่องจากใช้การให้รางวัลในถ่ายทอดสดเพื่อฟ-อ-กเ-งิ-นเกือบ 100 ล้านหยวน โดยเขาเคยร้องเพลงที่โด่งดัง "勉为其难" (Mianweiqinan)
    เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม สถานีข่าว CCTV รายงานเกี่ยวกับคดี-ฟ-อ-ก-เงินผ่านการให้รางวัลในถ่ายทอดสด ซึ่งเป็นค-ดีแรกในประเทศที่จั-บกุ-มได้ โดยมีผู้ต้องสงสัย 21 คน รวมถึง 4 คนที่เป็นนักร้องชื่อดังในแพลตฟอร์ม
    ตามรายงานของ CCTV เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ตำรวจได้สื-บส-ว-นค-ดีต้มการระดมทุน และพบว่าทรัพย์สินที่ถูกเก็บมานั้นถูกใช้ในการให้รางวัลในถ่ายทอดสด โดยมีเงินที่เกี่ยวข้องเกือบ 100 ล้านหยวน ผู้ต้องสงสัยในค-ดีห-ล-อ-ก-ล-ว-งได้ติดต่อกับนักร้องออนไลน์คนหนึ่งและเสนอให้ใช้การให้รางวัลในถ่ายทอดสดเพื่อฟ-อ-ก-เ-งิ-น
    นักร้องที่เกี่ยวข้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ได้รับคือเงินจากการห-ล-อ-ก-ล-ว-ง และหวังมี่เหียนยังเคยขอให้มีส่วนร่วมในการฟอกเพื่อให้ได้ตำแหน่งในอันดับประจำปี
    แม้ว่าสถานีข่าวจะไม่ได้เปิดเผยชื่อของผู้ต้องสงสัยทั้งหมด แต่จากคลิปที่เผยแพร่ ผู้คนในโลกออนไลน์ได้ระบุถึงผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับได้รวมถึงหวังมี่เหียน
    ปัจจุบัน-ตำร-ว-จได้จั-บ-กุ-มผู้ต้องสงสัย 4 คน รวมถึงนักร้องออนไลน์ และเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอของนักร้องที่รู้ว่าเป็นการฟอกแต่ยังคงทำเงินจากการกระทำนี้
    ก่อนหน้านี้มีข่าวลือเกี่ยวกับปัญหาของหวังมี่เหียน และบัญชีโซเชียลมีเดียของเขาได้หยุดอัปเดตมาหลายเดือน โดยโพสต์สุดท้ายของเขาคือเมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา
    หวังมี่เหียนเคยเขียนเกี่ยวกับความรู้สึกของเขาที่ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว แต่เป็นชายวัย 39 ปี เขาเขียนว่า "เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตในช่วงที่สับสนที่สุดคือช่วงที่ยังไม่แก่แต่ไม่ใช่หนุ่มแล้ว" อาจเป็นไปได้ว่าเขาไม่คาดคิดว่าตนเองจะถู-กจั-บในไม่ช้านี้
    หลังจากที่ข่าวถูกเผยแพร่ ผู้คนได้ไปที่บัญชีโซเชียลมีเดียของหวังมี่เหียนและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้
    หวังมี่เหียนเริ่มต้นเส้นทางการถ่ายทอดสดออนไลน์ตั้งแต่ปี 2012 และมีผลงานในภาพยนตร์และเพลงหลายเพลง โดยเพลง "勉为其难" ทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ แต่เขากลับเลือกเส้นทางที่ผิดและทำให้โอกาสที่ดีในชีวิตของเขาสูญเสียไป
    -------------------------------
    ข้อมูลอ้างอิงเดี๋ยวเอาไว้ใต้โพส
    สรุป
    อเมริกา ไต้หวัน ตุรกี จีน อีกไม่นาน ก็ไทย รอติดตาม
    โจ มณฑานี รอรับกรรมนะ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #จีนตื่นตัวพีเคฟอกขาว รายละเอียดดังนี้ บอกเลย ละเอียดยิบจริงๆ --------------------------------------------- นักร้องอินเทอร์เน็ตหวังมี่เหียน (王冕) ถูกจับกุมเนื่องจากใช้การให้รางวัลในถ่ายทอดสดเพื่อฟ-อ-กเ-งิ-นเกือบ 100 ล้านหยวน โดยเขาเคยร้องเพลงที่โด่งดัง "勉为其难" (Mianweiqinan) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม สถานีข่าว CCTV รายงานเกี่ยวกับคดี-ฟ-อ-ก-เงินผ่านการให้รางวัลในถ่ายทอดสด ซึ่งเป็นค-ดีแรกในประเทศที่จั-บกุ-มได้ โดยมีผู้ต้องสงสัย 21 คน รวมถึง 4 คนที่เป็นนักร้องชื่อดังในแพลตฟอร์ม ตามรายงานของ CCTV เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ตำรวจได้สื-บส-ว-นค-ดีต้มการระดมทุน และพบว่าทรัพย์สินที่ถูกเก็บมานั้นถูกใช้ในการให้รางวัลในถ่ายทอดสด โดยมีเงินที่เกี่ยวข้องเกือบ 100 ล้านหยวน ผู้ต้องสงสัยในค-ดีห-ล-อ-ก-ล-ว-งได้ติดต่อกับนักร้องออนไลน์คนหนึ่งและเสนอให้ใช้การให้รางวัลในถ่ายทอดสดเพื่อฟ-อ-ก-เ-งิ-น นักร้องที่เกี่ยวข้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ได้รับคือเงินจากการห-ล-อ-ก-ล-ว-ง และหวังมี่เหียนยังเคยขอให้มีส่วนร่วมในการฟอกเพื่อให้ได้ตำแหน่งในอันดับประจำปี แม้ว่าสถานีข่าวจะไม่ได้เปิดเผยชื่อของผู้ต้องสงสัยทั้งหมด แต่จากคลิปที่เผยแพร่ ผู้คนในโลกออนไลน์ได้ระบุถึงผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับได้รวมถึงหวังมี่เหียน ปัจจุบัน-ตำร-ว-จได้จั-บ-กุ-มผู้ต้องสงสัย 4 คน รวมถึงนักร้องออนไลน์ และเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอของนักร้องที่รู้ว่าเป็นการฟอกแต่ยังคงทำเงินจากการกระทำนี้ ก่อนหน้านี้มีข่าวลือเกี่ยวกับปัญหาของหวังมี่เหียน และบัญชีโซเชียลมีเดียของเขาได้หยุดอัปเดตมาหลายเดือน โดยโพสต์สุดท้ายของเขาคือเมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา หวังมี่เหียนเคยเขียนเกี่ยวกับความรู้สึกของเขาที่ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว แต่เป็นชายวัย 39 ปี เขาเขียนว่า "เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตในช่วงที่สับสนที่สุดคือช่วงที่ยังไม่แก่แต่ไม่ใช่หนุ่มแล้ว" อาจเป็นไปได้ว่าเขาไม่คาดคิดว่าตนเองจะถู-กจั-บในไม่ช้านี้ หลังจากที่ข่าวถูกเผยแพร่ ผู้คนได้ไปที่บัญชีโซเชียลมีเดียของหวังมี่เหียนและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้ หวังมี่เหียนเริ่มต้นเส้นทางการถ่ายทอดสดออนไลน์ตั้งแต่ปี 2012 และมีผลงานในภาพยนตร์และเพลงหลายเพลง โดยเพลง "勉为其难" ทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ แต่เขากลับเลือกเส้นทางที่ผิดและทำให้โอกาสที่ดีในชีวิตของเขาสูญเสียไป ------------------------------- ข้อมูลอ้างอิงเดี๋ยวเอาไว้ใต้โพส สรุป อเมริกา ไต้หวัน ตุรกี จีน อีกไม่นาน ก็ไทย รอติดตาม โจ มณฑานี รอรับกรรมนะ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2212 มุมมอง 0 รีวิว
  • ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาคอยหน้าวิก……แต่งองค์ทรงเครื่องพี่ปูเสร็จแล้วค่าาาา…………เชิด…!!!!!!

    ตอนแปด…………มารไม่มี……บารมีไม่เกิด……!!!

    ท่านนายกฯหนุ่ม Kiriyenko ได้พาปูตินไปที่ สำนักงานใหญ่ FSB ที่ตั้งอยู่บนถนน Lubyanka, Moscow ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1998 เพื่อไปทำความรู้จักกับ
    Nikolai Kovalyov ผู้อำนวยการคนเก่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เพราะทีวีออกข่าว ท่านนายกฯได้กล่าวสั้นๆว่า “เปลี่ยนสถานะการณ์……ก็ต้องเปลี่ยนคน……”
    นิโคไล……รับสภาพการเปลี่ยนนั้นได้ดี เขาพาปูตินไปที่ห้องทำงานและได้มอบเอกสารลับทั้งหมดให้ และย้ำว่า เอกสารพวกนี้เป็นยิ่งกว่าอาวุธ……

    การปรับตำแหน่งใหม่แบบก้าวกระโดดนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก
    ทุกคนพุ่งความสนใจไปยัง วลาดิเมียร์ ปูติน ……ใครๆก็อยากรู้ว่า เขาเป็นใคร……มาได้อย่างไร?
    สองวันต่อมา ปูตินจึงได้อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ Kommersant เข้ามาทำการสัมภาษณ์ เพื่อที่จะบอกวัตถุประสงค์หลักในการทำงาน
    เขาให้การสัมภาษณ์ว่า……เขามุ่งไปที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพที่เขาหวังว่าจะได้รับจากผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน และองค์กรนี้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือ พวกสุดโต่งทุกสายพันธุ์ และจะระวังเข้มในเรื่องการแทรกแซงของสายลับต่างชาติ
    เมื่อถูกถามเรื่องใช้อินเตอร์เน็ต (สอดแนมประชาชน)
    คำตอบคือ ไม่ถึงขนาดนั้น……แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า การใช้อินเทอร์เน็ตมันก็คือความมั่นคงของชาติอีกโสดหนึ่ง……

    การมาของปูตินได้สร้างความหวั่นไหวไปทั้งองค์กร โดยเฉพาะพวกกลุ่มสายลับเก่าสมัยยุค KGB โอนมาเป็น FSB ที่มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะมาจากถิ่นอื่น (เลนินกราด) ยังอายุน้อย และเป็นแค่ “พันโท”
    (โดยปรกติต้องเป็นนายพล) สุดท้าย คือ สถานภาพของปูตินในยามนั้น
    เขาคือนายทหารนอกประจำการ

    ทั้งหมดนี้……ทำให้เกิดความท้าทายและลองดี รวมทั้งคอยดูว่าจะไปรอดหรือไม่……!!!

    วันที่ 1 สิงหาคม หลังจากที่เยลซินกลับมาจากการพักร้อน เขาเรียกให้ปูตินเข้าพบเพื่อถามไถ่ความคืบหน้า และได้เสนอหลักการว่า ควรจะต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าใช้ระบบการเมืองในการปกครอง
    เยลซินอยากให้ปูตินกลับเข้าไปรับราชการใหม่ โดยเสนอยศพลตรีให้……
    แต่ปูตินปฏิเสธ เพราะเขาคิดถึงอดีตในวันที่เขาลาออก เป็นวันเดียวกับวันนี้ คือ 1 สิงหาคม (1991) มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องแบกยศเอาไว้
    เขาจึงบอกว่า
    “ผมอยากเป็นประชาชนธรรมดาดีกว่า ไม่ต้องมีพรรคมีพวก ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใคร ในการที่จะควบคุมองค์กรขนาดนี้ หัวโขนไม่ใช่สิ่งจำเป็น”
    สรุปว่า……ปูตินคือผู้อำนายการคนแรกและคนสุดท้ายของ FSB ที่เป็นคนธรรมดา……!!!

    งานแรก……เขาจัดห้องที่ทำงานในห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องเดิมตามตำแหน่ง
    แต่เขาได้จัดห้องนั้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะมันเป็นห้องที่เคยเป็นที่ทำงานของ Lavrenty Beria (จอมเชือดในยุคสตาลิน)
    ต่อมา คือ การตัดงบ จาก สายลับหกพันนาย เหลือ สี่พันนาย
    แผนกไหน……ไม่มีผลงาน ยุบ……

    วันที่ 20 สิงหาคม เขาได้ทำงานยังไม่ถึงเดือน นักข่าวจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก นาย Anatoly Levin ผันตัวมาเป็นบรรณาธิการและเจ้าของได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ในชื่อว่า Legal Petersburg Today
    ตัวนายเลวินเอง……ไม่มีเงินทองอะไรที่จะมาเป็นทุนรอน แต่เขามีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ Boris Berezovsky ที่เป็นมหาเศรษฐีที่คอยจับจ้องเกาะติดผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะใช้เป็นอาวุธ (ทั้ง soft และ direct power)
    เขาใช้เลวิน เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงในการดิสเครดิตทุกคนที่ขวางเส้นทางเขา หรือ เพื่อที่จะใช้ให้มาสยบในอำนาจของเขา

    เลวินเล่นข่าวใหญ่ประเดิมทันที พาดหัวว่า “ วลาดิเมียร์ ปูติน คนเหนือกฏหมาย สู่ FSB” ในเนื้อข่าว คือการโจมตีที่ อนาโตลีที่ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ เพราะการช่วยเหลือของ ปูติน ที่ปัจจุบันได้ดิบได้ดีมาเป็นผู้อำนวยการ FSB
    หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า มีลูกน้องของปูตินได้เข้าไปพบปะเจรจากับบก.ฝ่ายข่าว ซึ่งได้บอกไปว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ไม่กี่วัน คนก็ลืม…!!

    แต่เผอิญว่า.……มันไม่เงียบ เพราะ ค่ำวันหนึ่ง เลวินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์
    เขาแวะไปเปิดตู้จดหมาย ทันใดนั้น มีชายสองคนพุ่งตัวมาจากทางด้านหลัง กระหน่ำตีเขาด้วยท่อนเหล็ก และปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์……
    เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และเสียชีวิตในสองวันต่อมา

    เหตุอุบัติแบบนี้……ในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มีเกิดขึ้นรายวัน เพราะเป็นดงมาเฟีย แต่เรื่องมันไม่เงียบ……เพราะเลวินเป็นนักข่าว สมาคมนักข่าวจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ในการคุกคามเสรีภาพสื่อ
    ชื่อของ ปูติน และ บอริส เกี่ยวกับเรื่องฆาตกรรมนี้บนหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน
    (นี่เป็นแค่ปฐมฤกษ์………จะมีตามอีกเรื่อยๆ…)
    เพียงแต่……ไม่มีใครสามารถหาเส้นสายที่จะโยงไปถึงปูตินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องได้

    สามวันหลังจากที่เลวินได้จากโลกนี้ไป สภาพเศรษฐกิจของรัสเซียล้มครืนลงจริงๆ หลังจากที่จวนเจียนไหวคลอนมาเรื่อยๆ จนสุดที่จะยื้อ
    ในวันที่ 21 สิงหาคม สภามีมติขอให้เยลซินลาออก…
    แต่เยลซิน…ยังวางเฉย เขาปลดนายกฯหนุ่ม คิริเยงโก ออกจากตำแหน่งในสองวันต่อมา หวังที่จะทอนกระแส..
    แล้วเยลซินคิดที่จะเอาอดีตนายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin มาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ
    แต่ข่าวว่าจะมีการปฏิวัตเริ่มหนาหู ฝ่ายโปรคอมมิวนิสต์ที่ช่วยกันกระจาย สร้างข่าวลวงรายวันและใช้โอกาสนี้ กล่าวโทษยิว พร้อมส่งคำอาฆาต
    มีข่าวว่าฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดได้มีการเตรียมพร้อม ในการรับมือ
    ประชาชนเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว

    วันที่ 1 กันยายน ปูติน พร้อมหน่วยFSB ที่ยืนเรียงรายอยู่เป็นฉากหลังประกาศออกทีวีว่า
    “ไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างปรกติ แต่ใครก็ตามที่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคงและฝ่าฝืนกฎหมาย ผมไม่รับรองในความปลอดภัย……”

    วันที่ 11 กันยายน สภามีมติที่จะให้นาย Yevgeny Primakov อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
    พรีมาคอฟ คืออดีตนักข่าวที่ทำงานในตะวันออกกลางมานานถึงสิบสี่ปี และได้ทำงานให้กับ KGB ในสายต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลางและอเมริกา หลังจากที่โซเวียตได้สลายตัวลงในปี 1991
    เขาได้มารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ
    การที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เขาคิดที่จะรื้อฟื้นโครงสร้างยุทธการสามเหลี่ยม……คือ รัสเซีย จีน อินเดีย เพื่อที่จะถ่วงดุลย์อำนาจกับสหรัฐอเมริกา
    ทฤษฎีนี้……เขาได้เขียนไว้นานแล้ว ในชื่อว่า Primakov doctrine…!!
    แต่การที่จะทำงานได้สำเร็จ เขาจะต้องมีแรงสนับสนุนจาก FSB
    (เพราะนี่คือ……สงครามเย็น)
    หากแต่……เขายังไม่แน่ใจกับปูตินและทีมที่มาจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ว่าเขาจะพึ่งพาทำงานด้วยได้มากน้อยแค่ไหน……

    ส่วนปูติน……ต้องเจอกับศึกหนักอีกครั้ง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน
    มีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่ง จำนวนหกคน สี่คนใส่หน้ากากดำใส่แว่น ส่วนอีกสองคน เปิดหน้าตาชัดเจน คือ Aleksandr Litvitnenko และ Mikhaïl Trepashkin ทั้งหมดทั้งที่ปิดหน้าและไม่ปิด คือ เจ้าหน้าที่ในหน่วย FSB
    ที่ได้เปิดการจัดรายการพบปะนักข่าว……เพื่อที่จะแฉ ชี้ความผิดในองค์กร
    ที่ทำงานว่ามีการคอร์รัปชั่น มีขบวนการสร้างความแตกแยก มีการทำอาชญากรรม มีการเกี่ยวข้องกับกลุ่มมาเฟีย…
    แต่เรื่องนี้……ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปูตินโดยตรง เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นก่อนที่เขามารับตำแหน่ง
    ที่เกี่ยวข้องเต็มๆ คือ อเล็กซานเดอร์ ได้เป็นตัวแทนที่นำเสนอว่า เขาได้พยายามหาทางเจรจากับปูตินแล้ว แต่ไม่สามารถพบได้
    ส่งเอกสารไปกี่ชุด……ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ไม่เคยสนใจ และไม่ช่วยแก้ไขปัญหา……

    สองอาทิตย์ต่อมา ปูตินได้เรียกอเล็กซานเดอร์ไปพบที่ห้องทำงาน
    ที่เขาไปพบพร้อมเอกสารปึกโต เข้าไปพบว่า ปูตินนั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วยเหมือนเช่นเคย
    ปูตินลุกขึ้นมาจับมือทักทาย คุยด้วย ปรกติ
    แต่อเล็กซานเดอร์ไปเล่าให้ภรรยาฟังว่า………ผมเห็นแววตาเขาชัดเจนเลย ว่า เขาเกลียดผม……!!

    วันที่ 19 พฤศจิกายน ปูตินออกรายการในโทรทัศน์ เพื่อแถลงในการข้อพิสูจน์หาความเป็นจริงจากเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
    ว่า ไม่พบหลักฐานที่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน ทุกอย่างเป็นเพียงปากคำ
    พล็อตเรื่องออกแนวนิยายเด็ก การกระทำก็เป็นเด็ก เพราะเรียกประชุมนักข่าว ใส่หน้ากาก แต่บอกชื่อเสียงเรียงนาม………(สาบานว่าเป็นสายลับ……)
    ที่ขำๆ คือ ตบท้าย…ปูตินเล่าว่า อดีตภรรยาของหนึ่งในสี่คนที่ใส่หน้ากาก หลังจากวันพบปะกับนักข่าวในวันนั้น โทรมาหาปูติน บอกว่า
    “ท่านคะ ช่วยทวงค่าเลี้ยงดูจากไอ้นั่นให้หน่อย ไม่ได้จ่ายมาหลายเดือนแล้ว……”
    ปูติน…เลยบอกว่า “ตรงนี้ต่างหาก……ที่ผิดกฎหมายเต็มๆ”

    เยลซินเรียกปูตินเข้าพบ……เพื่อถามถึงเรื่องนี้
    ปูตินเลยเปิดอกพูด…บอกว่า ถ้าคนในองค์กรจะทำความผิด มันก็เป็นอีหรอบเดียวกันกับกลุ่มคนในรัฐบาลเท่าที่เห็นอยู่ในวันนี้ แต่……สิ่งที่อเล็กซานเดอร์และพวกทำลงไป (ที่จัดแถลงข่าว) นั่นถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อสัตยาบันของหน่วยงาน เพราะ หน้าที่ของหน่วยงานคือต้องรักษาความลับขององค์กร ถ้ามีปัญหา……ก็ต้องแก้ไขในองค์กร
    ไม่ใช่ไปเที่ยวป่าวประกาศ……

    ปูตินรู้ตัวดีว่า จะหาคนรักหรือพวกพ้องคนยาก เพราะเขาได้วางระบบเข้ม ตั้งแต่เรื่องการลดเจ้าหน้าที่ การใส่ร้ายป้ายสี การขัดขาขัดแข้ง
    และที่ร้ายคือ……ข่าวจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ส่งมาว่า
    Galina Starovoitova นักเคลื่อนไหวสาวเพื่อสิทธิของชนกลุ่มน้อย ได้ถูกสังหารไปเมื่อไม่กี่วันนี้
    หล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปูติน ก็คือเรื่องที่ขานรับกับเลวินในกรณีที่กล่าวหาว่า ปูตินได้ทำผิดกฏหมายในเรื่องช่วยเหลืออนาโตลีให้หนีคดีออกไปยังฝรั่งเศส
    ที่พลอยทำให้ปูติน……อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัยไปด้วย

    วันที่ 15 ธันวาคม ที่ปูตินได้พบกับเยลซินอีกครั้ง ที่จะหารือกันเรื่องของการฆาตกรรมนี้ ……และเรื่องกระแสการต่อต้านบอริส และเรื่องงานของปูตินที่หลายคนไม่พอใจเพราะต้องตกงาน……
    ปูตินจึงสรุปให้เยลซินฟังว่า……ข่าวลือทั้งหลายนั้น มาจากวงในของท่านทั้งหมด มันมาทุกรูปแบบ แบบโยนหินถามทางบ้าง หรือโยนลงบนหัวชาวบ้านบ้าง เพราะไม่มีใครรักษากฎระเบียบ การควบคุมก็หย่อนยาน
    และที่ออกข่าวลวงๆกันทุกวันนี้ ก็เพราะทุกคนกลัว กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกระผมจะเรียนท่านให้ทราบตรงนี้เลย ว่า เมื่อไหร่ที่ท่านลงจากตำแหน่ง……ผมก็ขอลาออก…!!!

    แต่……ก่อนที่ท่านจะจากไป และก่อนที่ปูตินจะลาออก……ก็ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์กันก่อน
    ในช่วงนั้นรัฐบาลของเยลซินกำลังโดนไล่บี้ในเรื่องทุจริต สินบน ที่ทีมอัยการนำโดย Yuri Skuratov เป็นหัวหน้าทีมในการสอบสวน เพราะเยลซินจะหมดวาระในปีรุ่งขึ้น คือ ปี 2000
    นั่นหมายถึงทุกคนจะต้องโดนคดีกันระนาวเพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเสื่อมถอยนั้น รัฐบาลของเยลซินได้ทำทุกอย่างที่จะผันเงิน แม้แต่เงินของ IMF ก็ใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์
    รวมทั้งหน่วยงาน FSB ทั้งระบบด้วย
    ถึงแม้อาจจะไม่เกี่ยวกับปูตินเท่าไหร่ในฐานะที่มาทีหลัง
    แต่……เรื่องนี้เกี่ยวกับหน่วยงานภาษีของอิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์ และ คาริบเบียนด้วย……
    เดือนมกราคม 1999 วันหนึ่งก่อนที่ท่านอัยการยูริจะนำเอกสารทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการศาล
    คืนนั้น……สถานีโทรทัศน์แห่งชาติได้ออกรายการ “สามคนบนเตียง” ที่มีความยาวร่วมชั่วโมงสู่สายตาของประชาชน ที่มีทั้งหนุ่มสาว เด็กเล็ก คนชรา……
    เป็นกิจกรรมบนเตียงของชายหนึ่ง หญิงสอง แม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ (ขาว-ดำ) แต่พอเห็นได้ว่า ฝ่ายชายคือ ท่านอัยการยูริ
    และมีเสียงสนทนาด้วย……หนึ่งในสองสาว ถามว่า “คุณชื่ออะไร?”
    ฝ่ายชายตอบว่า…”ยูรา” (เป็นชื่อเล่นของ ยูริ)

    วันต่อมา เยลซินจึงเรียกยูริขึ้นพบ ถามถึงเรื่องกิจกรรมสามคนผัวเมีย……ผลคือ ท่านอัยการต้องเซ็นใบลาออกตรงนั้นเลย……
    เรื่องการที่จะเอาผิดเยลซินก็จบลงแค่นั้น…

    ทั้งหมดคือฝีมือของหน่วยงาน “Kompromat” ในสังกัดของ FSB ของปูตินที่มีหน้าที่ในการ blackmail โดยเฉพาะ…!!

    Wiwanda W. Vichit
    ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาคอยหน้าวิก……แต่งองค์ทรงเครื่องพี่ปูเสร็จแล้วค่าาาา…………เชิด…!!!!!! ตอนแปด…………มารไม่มี……บารมีไม่เกิด……!!! ท่านนายกฯหนุ่ม Kiriyenko ได้พาปูตินไปที่ สำนักงานใหญ่ FSB ที่ตั้งอยู่บนถนน Lubyanka, Moscow ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1998 เพื่อไปทำความรู้จักกับ Nikolai Kovalyov ผู้อำนวยการคนเก่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เพราะทีวีออกข่าว ท่านนายกฯได้กล่าวสั้นๆว่า “เปลี่ยนสถานะการณ์……ก็ต้องเปลี่ยนคน……” นิโคไล……รับสภาพการเปลี่ยนนั้นได้ดี เขาพาปูตินไปที่ห้องทำงานและได้มอบเอกสารลับทั้งหมดให้ และย้ำว่า เอกสารพวกนี้เป็นยิ่งกว่าอาวุธ…… การปรับตำแหน่งใหม่แบบก้าวกระโดดนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก ทุกคนพุ่งความสนใจไปยัง วลาดิเมียร์ ปูติน ……ใครๆก็อยากรู้ว่า เขาเป็นใคร……มาได้อย่างไร? สองวันต่อมา ปูตินจึงได้อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ Kommersant เข้ามาทำการสัมภาษณ์ เพื่อที่จะบอกวัตถุประสงค์หลักในการทำงาน เขาให้การสัมภาษณ์ว่า……เขามุ่งไปที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพที่เขาหวังว่าจะได้รับจากผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน และองค์กรนี้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือ พวกสุดโต่งทุกสายพันธุ์ และจะระวังเข้มในเรื่องการแทรกแซงของสายลับต่างชาติ เมื่อถูกถามเรื่องใช้อินเตอร์เน็ต (สอดแนมประชาชน) คำตอบคือ ไม่ถึงขนาดนั้น……แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า การใช้อินเทอร์เน็ตมันก็คือความมั่นคงของชาติอีกโสดหนึ่ง…… การมาของปูตินได้สร้างความหวั่นไหวไปทั้งองค์กร โดยเฉพาะพวกกลุ่มสายลับเก่าสมัยยุค KGB โอนมาเป็น FSB ที่มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะมาจากถิ่นอื่น (เลนินกราด) ยังอายุน้อย และเป็นแค่ “พันโท” (โดยปรกติต้องเป็นนายพล) สุดท้าย คือ สถานภาพของปูตินในยามนั้น เขาคือนายทหารนอกประจำการ ทั้งหมดนี้……ทำให้เกิดความท้าทายและลองดี รวมทั้งคอยดูว่าจะไปรอดหรือไม่……!!! วันที่ 1 สิงหาคม หลังจากที่เยลซินกลับมาจากการพักร้อน เขาเรียกให้ปูตินเข้าพบเพื่อถามไถ่ความคืบหน้า และได้เสนอหลักการว่า ควรจะต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าใช้ระบบการเมืองในการปกครอง เยลซินอยากให้ปูตินกลับเข้าไปรับราชการใหม่ โดยเสนอยศพลตรีให้…… แต่ปูตินปฏิเสธ เพราะเขาคิดถึงอดีตในวันที่เขาลาออก เป็นวันเดียวกับวันนี้ คือ 1 สิงหาคม (1991) มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องแบกยศเอาไว้ เขาจึงบอกว่า “ผมอยากเป็นประชาชนธรรมดาดีกว่า ไม่ต้องมีพรรคมีพวก ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใคร ในการที่จะควบคุมองค์กรขนาดนี้ หัวโขนไม่ใช่สิ่งจำเป็น” สรุปว่า……ปูตินคือผู้อำนายการคนแรกและคนสุดท้ายของ FSB ที่เป็นคนธรรมดา……!!! งานแรก……เขาจัดห้องที่ทำงานในห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องเดิมตามตำแหน่ง แต่เขาได้จัดห้องนั้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะมันเป็นห้องที่เคยเป็นที่ทำงานของ Lavrenty Beria (จอมเชือดในยุคสตาลิน) ต่อมา คือ การตัดงบ จาก สายลับหกพันนาย เหลือ สี่พันนาย แผนกไหน……ไม่มีผลงาน ยุบ…… วันที่ 20 สิงหาคม เขาได้ทำงานยังไม่ถึงเดือน นักข่าวจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก นาย Anatoly Levin ผันตัวมาเป็นบรรณาธิการและเจ้าของได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ในชื่อว่า Legal Petersburg Today ตัวนายเลวินเอง……ไม่มีเงินทองอะไรที่จะมาเป็นทุนรอน แต่เขามีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ Boris Berezovsky ที่เป็นมหาเศรษฐีที่คอยจับจ้องเกาะติดผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะใช้เป็นอาวุธ (ทั้ง soft และ direct power) เขาใช้เลวิน เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงในการดิสเครดิตทุกคนที่ขวางเส้นทางเขา หรือ เพื่อที่จะใช้ให้มาสยบในอำนาจของเขา เลวินเล่นข่าวใหญ่ประเดิมทันที พาดหัวว่า “ วลาดิเมียร์ ปูติน คนเหนือกฏหมาย สู่ FSB” ในเนื้อข่าว คือการโจมตีที่ อนาโตลีที่ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ เพราะการช่วยเหลือของ ปูติน ที่ปัจจุบันได้ดิบได้ดีมาเป็นผู้อำนวยการ FSB หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า มีลูกน้องของปูตินได้เข้าไปพบปะเจรจากับบก.ฝ่ายข่าว ซึ่งได้บอกไปว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ไม่กี่วัน คนก็ลืม…!! แต่เผอิญว่า.……มันไม่เงียบ เพราะ ค่ำวันหนึ่ง เลวินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ เขาแวะไปเปิดตู้จดหมาย ทันใดนั้น มีชายสองคนพุ่งตัวมาจากทางด้านหลัง กระหน่ำตีเขาด้วยท่อนเหล็ก และปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์…… เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และเสียชีวิตในสองวันต่อมา เหตุอุบัติแบบนี้……ในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มีเกิดขึ้นรายวัน เพราะเป็นดงมาเฟีย แต่เรื่องมันไม่เงียบ……เพราะเลวินเป็นนักข่าว สมาคมนักข่าวจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ในการคุกคามเสรีภาพสื่อ ชื่อของ ปูติน และ บอริส เกี่ยวกับเรื่องฆาตกรรมนี้บนหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน (นี่เป็นแค่ปฐมฤกษ์………จะมีตามอีกเรื่อยๆ…) เพียงแต่……ไม่มีใครสามารถหาเส้นสายที่จะโยงไปถึงปูตินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องได้ สามวันหลังจากที่เลวินได้จากโลกนี้ไป สภาพเศรษฐกิจของรัสเซียล้มครืนลงจริงๆ หลังจากที่จวนเจียนไหวคลอนมาเรื่อยๆ จนสุดที่จะยื้อ ในวันที่ 21 สิงหาคม สภามีมติขอให้เยลซินลาออก… แต่เยลซิน…ยังวางเฉย เขาปลดนายกฯหนุ่ม คิริเยงโก ออกจากตำแหน่งในสองวันต่อมา หวังที่จะทอนกระแส.. แล้วเยลซินคิดที่จะเอาอดีตนายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin มาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ แต่ข่าวว่าจะมีการปฏิวัตเริ่มหนาหู ฝ่ายโปรคอมมิวนิสต์ที่ช่วยกันกระจาย สร้างข่าวลวงรายวันและใช้โอกาสนี้ กล่าวโทษยิว พร้อมส่งคำอาฆาต มีข่าวว่าฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดได้มีการเตรียมพร้อม ในการรับมือ ประชาชนเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว วันที่ 1 กันยายน ปูติน พร้อมหน่วยFSB ที่ยืนเรียงรายอยู่เป็นฉากหลังประกาศออกทีวีว่า “ไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างปรกติ แต่ใครก็ตามที่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคงและฝ่าฝืนกฎหมาย ผมไม่รับรองในความปลอดภัย……” วันที่ 11 กันยายน สภามีมติที่จะให้นาย Yevgeny Primakov อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรีมาคอฟ คืออดีตนักข่าวที่ทำงานในตะวันออกกลางมานานถึงสิบสี่ปี และได้ทำงานให้กับ KGB ในสายต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลางและอเมริกา หลังจากที่โซเวียตได้สลายตัวลงในปี 1991 เขาได้มารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ การที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เขาคิดที่จะรื้อฟื้นโครงสร้างยุทธการสามเหลี่ยม……คือ รัสเซีย จีน อินเดีย เพื่อที่จะถ่วงดุลย์อำนาจกับสหรัฐอเมริกา ทฤษฎีนี้……เขาได้เขียนไว้นานแล้ว ในชื่อว่า Primakov doctrine…!! แต่การที่จะทำงานได้สำเร็จ เขาจะต้องมีแรงสนับสนุนจาก FSB (เพราะนี่คือ……สงครามเย็น) หากแต่……เขายังไม่แน่ใจกับปูตินและทีมที่มาจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ว่าเขาจะพึ่งพาทำงานด้วยได้มากน้อยแค่ไหน…… ส่วนปูติน……ต้องเจอกับศึกหนักอีกครั้ง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน มีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่ง จำนวนหกคน สี่คนใส่หน้ากากดำใส่แว่น ส่วนอีกสองคน เปิดหน้าตาชัดเจน คือ Aleksandr Litvitnenko และ Mikhaïl Trepashkin ทั้งหมดทั้งที่ปิดหน้าและไม่ปิด คือ เจ้าหน้าที่ในหน่วย FSB ที่ได้เปิดการจัดรายการพบปะนักข่าว……เพื่อที่จะแฉ ชี้ความผิดในองค์กร ที่ทำงานว่ามีการคอร์รัปชั่น มีขบวนการสร้างความแตกแยก มีการทำอาชญากรรม มีการเกี่ยวข้องกับกลุ่มมาเฟีย… แต่เรื่องนี้……ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปูตินโดยตรง เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นก่อนที่เขามารับตำแหน่ง ที่เกี่ยวข้องเต็มๆ คือ อเล็กซานเดอร์ ได้เป็นตัวแทนที่นำเสนอว่า เขาได้พยายามหาทางเจรจากับปูตินแล้ว แต่ไม่สามารถพบได้ ส่งเอกสารไปกี่ชุด……ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ไม่เคยสนใจ และไม่ช่วยแก้ไขปัญหา…… สองอาทิตย์ต่อมา ปูตินได้เรียกอเล็กซานเดอร์ไปพบที่ห้องทำงาน ที่เขาไปพบพร้อมเอกสารปึกโต เข้าไปพบว่า ปูตินนั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วยเหมือนเช่นเคย ปูตินลุกขึ้นมาจับมือทักทาย คุยด้วย ปรกติ แต่อเล็กซานเดอร์ไปเล่าให้ภรรยาฟังว่า………ผมเห็นแววตาเขาชัดเจนเลย ว่า เขาเกลียดผม……!! วันที่ 19 พฤศจิกายน ปูตินออกรายการในโทรทัศน์ เพื่อแถลงในการข้อพิสูจน์หาความเป็นจริงจากเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ว่า ไม่พบหลักฐานที่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน ทุกอย่างเป็นเพียงปากคำ พล็อตเรื่องออกแนวนิยายเด็ก การกระทำก็เป็นเด็ก เพราะเรียกประชุมนักข่าว ใส่หน้ากาก แต่บอกชื่อเสียงเรียงนาม………(สาบานว่าเป็นสายลับ……) ที่ขำๆ คือ ตบท้าย…ปูตินเล่าว่า อดีตภรรยาของหนึ่งในสี่คนที่ใส่หน้ากาก หลังจากวันพบปะกับนักข่าวในวันนั้น โทรมาหาปูติน บอกว่า “ท่านคะ ช่วยทวงค่าเลี้ยงดูจากไอ้นั่นให้หน่อย ไม่ได้จ่ายมาหลายเดือนแล้ว……” ปูติน…เลยบอกว่า “ตรงนี้ต่างหาก……ที่ผิดกฎหมายเต็มๆ” เยลซินเรียกปูตินเข้าพบ……เพื่อถามถึงเรื่องนี้ ปูตินเลยเปิดอกพูด…บอกว่า ถ้าคนในองค์กรจะทำความผิด มันก็เป็นอีหรอบเดียวกันกับกลุ่มคนในรัฐบาลเท่าที่เห็นอยู่ในวันนี้ แต่……สิ่งที่อเล็กซานเดอร์และพวกทำลงไป (ที่จัดแถลงข่าว) นั่นถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อสัตยาบันของหน่วยงาน เพราะ หน้าที่ของหน่วยงานคือต้องรักษาความลับขององค์กร ถ้ามีปัญหา……ก็ต้องแก้ไขในองค์กร ไม่ใช่ไปเที่ยวป่าวประกาศ…… ปูตินรู้ตัวดีว่า จะหาคนรักหรือพวกพ้องคนยาก เพราะเขาได้วางระบบเข้ม ตั้งแต่เรื่องการลดเจ้าหน้าที่ การใส่ร้ายป้ายสี การขัดขาขัดแข้ง และที่ร้ายคือ……ข่าวจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ส่งมาว่า Galina Starovoitova นักเคลื่อนไหวสาวเพื่อสิทธิของชนกลุ่มน้อย ได้ถูกสังหารไปเมื่อไม่กี่วันนี้ หล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปูติน ก็คือเรื่องที่ขานรับกับเลวินในกรณีที่กล่าวหาว่า ปูตินได้ทำผิดกฏหมายในเรื่องช่วยเหลืออนาโตลีให้หนีคดีออกไปยังฝรั่งเศส ที่พลอยทำให้ปูติน……อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัยไปด้วย วันที่ 15 ธันวาคม ที่ปูตินได้พบกับเยลซินอีกครั้ง ที่จะหารือกันเรื่องของการฆาตกรรมนี้ ……และเรื่องกระแสการต่อต้านบอริส และเรื่องงานของปูตินที่หลายคนไม่พอใจเพราะต้องตกงาน…… ปูตินจึงสรุปให้เยลซินฟังว่า……ข่าวลือทั้งหลายนั้น มาจากวงในของท่านทั้งหมด มันมาทุกรูปแบบ แบบโยนหินถามทางบ้าง หรือโยนลงบนหัวชาวบ้านบ้าง เพราะไม่มีใครรักษากฎระเบียบ การควบคุมก็หย่อนยาน และที่ออกข่าวลวงๆกันทุกวันนี้ ก็เพราะทุกคนกลัว กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกระผมจะเรียนท่านให้ทราบตรงนี้เลย ว่า เมื่อไหร่ที่ท่านลงจากตำแหน่ง……ผมก็ขอลาออก…!!! แต่……ก่อนที่ท่านจะจากไป และก่อนที่ปูตินจะลาออก……ก็ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์กันก่อน ในช่วงนั้นรัฐบาลของเยลซินกำลังโดนไล่บี้ในเรื่องทุจริต สินบน ที่ทีมอัยการนำโดย Yuri Skuratov เป็นหัวหน้าทีมในการสอบสวน เพราะเยลซินจะหมดวาระในปีรุ่งขึ้น คือ ปี 2000 นั่นหมายถึงทุกคนจะต้องโดนคดีกันระนาวเพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเสื่อมถอยนั้น รัฐบาลของเยลซินได้ทำทุกอย่างที่จะผันเงิน แม้แต่เงินของ IMF ก็ใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ รวมทั้งหน่วยงาน FSB ทั้งระบบด้วย ถึงแม้อาจจะไม่เกี่ยวกับปูตินเท่าไหร่ในฐานะที่มาทีหลัง แต่……เรื่องนี้เกี่ยวกับหน่วยงานภาษีของอิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์ และ คาริบเบียนด้วย…… เดือนมกราคม 1999 วันหนึ่งก่อนที่ท่านอัยการยูริจะนำเอกสารทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการศาล คืนนั้น……สถานีโทรทัศน์แห่งชาติได้ออกรายการ “สามคนบนเตียง” ที่มีความยาวร่วมชั่วโมงสู่สายตาของประชาชน ที่มีทั้งหนุ่มสาว เด็กเล็ก คนชรา…… เป็นกิจกรรมบนเตียงของชายหนึ่ง หญิงสอง แม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ (ขาว-ดำ) แต่พอเห็นได้ว่า ฝ่ายชายคือ ท่านอัยการยูริ และมีเสียงสนทนาด้วย……หนึ่งในสองสาว ถามว่า “คุณชื่ออะไร?” ฝ่ายชายตอบว่า…”ยูรา” (เป็นชื่อเล่นของ ยูริ) วันต่อมา เยลซินจึงเรียกยูริขึ้นพบ ถามถึงเรื่องกิจกรรมสามคนผัวเมีย……ผลคือ ท่านอัยการต้องเซ็นใบลาออกตรงนั้นเลย…… เรื่องการที่จะเอาผิดเยลซินก็จบลงแค่นั้น… ทั้งหมดคือฝีมือของหน่วยงาน “Kompromat” ในสังกัดของ FSB ของปูตินที่มีหน้าที่ในการ blackmail โดยเฉพาะ…!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 695 มุมมอง 0 รีวิว
  • ติ่งขาาาา……มาช่วยกันเป็นกำลังใจให้พี่ปูหน่อยยยย……กำลังเคว้งคว้างหาที่ลงสวยๆไม่ได้………!!!

    ตอนหก…..……ดวงรุ่งไม่นาน…ต้องหางานใหม่ซะแล้วววว…!!!

    ปูตินทำงานอยู่แค่ในเบื้องหลังของอนาโตลี ในขณะที่เจ้านายใช้เวลาส่วนใหญ่เดินทางระหว่างเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก กับมอสโคว์ เพื่ออยู่ใกล้ชิดกับเยลซิน การทำงานของปูติน จากปากคำของเลขาฯ Marina Yentaltseva ที่บอกว่า

    “เขาเป็นคนจริงจังกับงานมาก แต่ไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร……งานที่สั่งมา
    เขาไม่สนใจว่าใครจะเอาไปทำ หรือมีปัญหาอะไร ……แต่ต้องเสร็จตามเวลา……ไม่มีใครรู้เลยว่า เขากำลังคิดอะไร เก็บอารมณ์ดีเป็นที่สุด ครั้งหนึ่งสุนัขสุดที่รักที่บ้าน ถูกรถชนตาย ฉันเอาข่าวไปบอก….เขาพยักหน้านิดนึง
    ไม่มีอากัปกิริยาอะไรมากกว่านั้นเลย……”

    ปูตินทำงานทั้งงานราษฎร์งานหลวง งานราษฎร์คือการที่ต้องขับเคี่ยวกับเหล่าแก๊งค์มาเฟียระดับตลาดล่าง ที่มีมากมายในเมือง โดยเฉพาะยิ่งจะมีบริษัทใหญ่ Golden Gate ที่จะมาทำการสร้างบริษัทส่งออกน้ำมัน โดย Gennady Timchenko เป็นนายทุนใหญ่
    เรื่องอันธพาลกลางเมืองคือเรื่องที่เป็นอุปสรรค ต่อการที่จะพัฒนา
    ดังนั้น ปูตินจึงต้องรีบจัดการส่งลูกสาวทั้งสองคน มาชาและแคทยา ไปที่เยอรมันสักพักหนึ่งเพื่อความปลอดภัย
    เพื่อที่จะจัดการกับพวกอุปสรรคทั้งหลาย (ไม่ทราบว่าวิธีไหน……?)
    แต่ เยนนาดี ได้ดำเนินการธุรกิจอย่างปลอดโปร่งจนเป็นอภิมหาเศรษฐีและเป็นสหายของปูตินจนถึงปัจจุบัน

    นอกจากนั้น งานแจกจ่ายใบอนุญาตการค้าต่างๆ ก็ต้องเร่งมือ เพราะต้องเร่งหาเงินเข้ามาบำรุงท้องถิ่น
    จะหวังพึ่งทางมอสโคว์ก็ริบหรี่ เพราะช่วงเดือน ตุลาคม เกิดการประท้วงใหญ่ ที่มีการจับกุม ทุบตีผู้ประท้วง จนเยลซินก็ประกาศกฎอัยการศึก
    ถึงขนาดต้องใช้รถถังมาควบคุมสถานการณ์

    ความยุ่งยากยืดเยื้อมาจนถึงปี 1993 การทำงานของอนาโตลี ที่มีปูตินเป็นเบื้องหลังให้นั้น เริ่มมีปัญหาจากฝ่ายตรงข้าม เพราะเค้าของการเลือกตั้งใหม่เริ่มมีการเตรียมตัวส่งแคนดิเดทมาร่วมเปิดตัวลงสมัคร และการดิสเครดิต สาดโคลนตามมาเป็นระลอก
    ที่ทำให้ปูตินต้องทำงานทั้งวัน…ต่อไปจนถึงมืดค่ำ

    เช้าวันที่ 23 ตุลาคม ปูตินขับรถไปส่งมาชาที่โรงเรียน
    ลุดมิลาจะต้องพาแคทยาไปซ้อมละครเวที
    ระหว่างที่กำลังขับรถกำลังจะขึ้นสะพาน
    มีรถคันหนึ่งขับผ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนอย่างจัง กลางลำ……
    กว่าเธอและลูกสาวจะไปถึงโรงพยาบาลเพราะรอรถพยาบาล ต้องใช้เวลาถึง 45 นาที
    แคทยา ฟกช้ำดำเขียวไปพอประมาณ แต่ลุดมิลากระดูกสันหลังเคลื่อนและมีบาดแผลตามตัว
    มารินา เลขาฯพยายามติดต่อปูติน เธอได้รับเอาแคทยามาดูแล

    แต่เขายังอยู่ในการประชุมกับ Ted Turner และ Jane Fonda (ตอนนั้นเป็นสามีภรรยากัน) ในเรื่องการจัดแข่งกีฬา Goodwill Games ครั้งที่สาม
    ทันทีที่รู้เรื่อง……ปูตินรีบไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปถามแพทย์ว่า หนักหนาหรือไม่?
    เมื่อทราบจากแพทย์ว่า กำลังดูแลเป็นอย่างดี…
    เขาก็กลับไปประชุมต่อ……ไม่ได้แวะไปดูลุดมิลาแต่อย่างใด

    มารินาได้เข้ามาดูแลลุดมิลาที่โรงพยาบาลและเด็กๆในช่วงที่รอมารดาของลุดมิลาจะเดินทางมาจากคาลินินกราด
    แม้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนในโรงพยาบาลเมื่อออกมา……เธอก็ยังต้องใส่เฝือกอ่อนรัดตัว
    แต่ปูติน……มีความห่วงใย(แบบไม่แสดงออก) ในเรื่องการรักษาเขาไปปรึกษากับ เซอร์เก เพื่อนรักโดยเขาต้องการให้ลุดมิลาไปรักษาตัวต่อในโรงพยาบาลที่เดรสเดน เยอรมัน ที่เป็นที่ที่ดีที่สุด

    แต่ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ
    ปัญหาเหล่านั้น……ได้สลายลงด้วยการช่วยเหลือของ Matthias Waring***
    อดีตหัวหน้า Stasi ที่ผันตัวมาเป็นนายธนาคาร Dresdner ในกรุงเซนต์
    โดยได้รับใบอนุญาตจากอนาโตลี (ผ่านปูติน) จนได้มาเปิดธนาคารในเมืองเป็นธนาคารต่างชาติแห่งแรก

    ที่เยอรมันนี ลุดมิลาได้รับการรักษาอย่างดี ในโรงพยาบาลที่ Bad Homburg จนหายเป็นปรกติ

    หลังจากที่มอสโคว์เสร็จสิ้นจากการปราบม็อบไปในปี 1993 นั้น
    สัมพันธภาพระหว่าง อนาโตลีกับเยลซิน เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจาก
    การเลือกตั้งนกยกเทศมนตรีในเมืองต่างๆจะมีขึ้นในในเดือนมีนาคม 1994 ซึ่ง เยลซินเห็นว่า ถ้าอนาโตลีได้รับเลือกอีกสมัยหนึ่ง ก็อาจจะอาจเอื้อมเข้ามาเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยต่อไป
    ซึ่งตัวเยลซินเองนั้นไม่เท่าไหร่ แต่คณะคนที่รายล้อมรอบตัวเขา แต่ละคนคือมาเฟียตัวพ่อ ที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินให้กับพรรค
    คนเหล่านั้น……ต้องการให้เยลซินอยู่ต่อไป หรือถ้าจะมีคนมาแทนก็ต้อวเป็นพรรคพวกของตัวเอง
    อย่าง……อนาโตลี นั้นไม่ใช่……!!

    งานสาดโคลนตามประเพณีเลือกตั้งจึงตามมา อนาโตลีถูกแฉว่าได้ยักยอกทรัพย์ออกนอกประเทศ ได้ทำการคอร์รัปชั่นในใบอนุญาต รวมทั้งการกระจายข่าวลือว่า อนาโตลีได้ติดต่อกับทางนายกรัฐมนตรีเยอรมันเพื่อที่จะโค่นล้มเยลซิน……
    ซึ่งปูตินได้ติดร่างแหไปด้วย เพราะเป็นหนึ่งในทีม
    แต่ในที่สุดเขาก็เคลียร์ตัวเองได้ ……เพราะตรวจสอบได้หมด
    เนื่องจากไม่มีสมบัติอะไร

    เวลาแห่งการหาเสียงมาถึง อนาโตลีต้องพบกับความประหลาดใจ ที่ผู้สมัครเข้าแข่งขันนั้น คือ รองของเขาเอง Vladimir Yakovlev
    ที่ตอนนั้น อนาโตลีมีความรู้สึกว่าโดนหักหลังจากคนใกล้ชิดที่สุด
    พวกกลุ่มทำงานในสำนักงานได้เริ่มแยกฝ่าย ไปตามคนที่ตัวเองถือหาง
    แต่ปูตินยังมั่นคงอยู่กับอนาโตลีไม่เปลี่ยนแปลง…

    การหาเสียงเป็นไปอย่างเข้าข้น เป็นการหาเสียงที่ต้องใช้เงินมากมาย
    ที่อนาโตลีด้อยกว่า เพราะท่อน้ำเลี้ยงจากมอสโคว์เหือดแห้งไปแล้ว
    สรุปว่า โยโกสเลฟ ชนะด้วยคะแนนเฉี่ยวฉิว……
    อนาโตลี มีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอ เขาได้ใช้ประโยคเด็ดของ Winston Churchill ในตอนที่แพ้เลือกตั้งในปี 1945 ว่า
    “การที่เราได้ช่วยชาติให้แล้วรอดปลอดภัย……นั่นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

    แต่นั่นหมายถึงว่า เมื่อหมดวาระ(ในไม่กี่เดือนข้างหน้า) ปูตินจะต้องหางานใหม่ทำ เพราะเขาไม่คิดที่จะทำงานกับโยโกสเลฟ ที่จะผันตัวจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นนาย……

    ปูตินมีบ้านพักเล็กๆสำหรับพักผ่อนที่นอกเมือง เป็นบังกาโลไม้ธรรมดา ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้
    เขาและครอบครัวใช้เป็นที่หย่อนใจ ในเดือนสิงหาคม อันเป็นเดือนของการพักร้อนที่งานไม่ค่อยเดิน
    เขาจึงได้เชิญครอบครัวของมารินาไปพักผ่อนด้วยกัน
    พวกผู้หญิงอยู่กันที่ชั้นบน ผู้ชายปูที่นอนกันที่ข้างล่าง…

    ปูตินออกไปว่ายน้ำในทะเลสาบ เมื่อเขาเดินกลับมา เห็นควันไฟพลุ่งออกมาจากตัวบ้าน เปลวไฟกำลังลามขึ้นไปชั้นบน เขารีบวิ่งฝ่าขึ้นไป ส่งเด็กๆลงมาจากระเบียงโดยใช้ผ้าปูที่นอนผูกแทนเชือก ทุกคนออกมาอย่างปลอดภัย
    แต่ทันใดนั้น เขานึกขึ้นได้ว่า กระเป๋าเอกสารที่มีเงินอยู่ราวๆห้าพัน (ดอลล่าร์ โดยประมาณ) อันเป็นเงินก้อนเดียวที่เขามี
    ปูตินรีบวิ่งเข้าไปเอามันออกมา และโรยตัวออกทางระเบียงเช่นกัน
    กว่ารถดับเพลิงจะมาได้ บ้านทั้งหลังก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
    และเมื่อรถมาถึง……พนักงานดับไฟบอกว่า ไม่มีน้ำ…
    ปูตินโกรธจนตัวสั่น เขาชี้ไปที่ทะเลสาบ……บอกว่า นั่นไง……น้ำ…!!
    ไอ้หมอนั่นตอบกลับมาว่า……สายยางยาวไม่พอ…!!!

    เมื่อค้นหาสาเหตุได้ มาจากเครื่องทำความร้อนที่ชั้นล่าง ที่ได้เกิดช๊อตขึ้นมา……เมื่อทุกอย่างเริ่มเย็นลง
    ปูตินได้เข้าไปคุ้ยหาของที่อาจจะไม่เสียหายมาก เขาได้พบกับก้อนโลหะเล็กๆ ที่ได้หลอมละลายไป นั่นก็คือ กางเขนน้อยที่มาเรียมารดาของเขาได้ให้มา พร้อมกับกำชับว่าให้นำไปขอพรที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็ม, อิสราเอล
    ที่ปูตินได้จัดการให้ตามนั้น เมื่อครั้งที่เขาติดตามอนาโตลีไปเยือนเมื่อสามปีที่แล้ว……!!

    ที่มอสโคว์……ปลายปี 1995 เยลซินได้เกิดอาการหัวใจกำเริบ ที่ค่อนข้างน่าตกใจ กลุ่มนายทุนที่รายล้อมรอบตัวเขา รีบตื่นตัวกันจ้าละหวั่น เพราะการเลือกตั้งจะมีขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า
    บางคนบอกว่า รีบออกกฎหมายให้เลื่อนการลงคะแนนออกไปก่อน
    บางคนรีบเสนอชื่อแคนดิเดทพวกพ้องของตัวเองที่จะให้มาลงแทน
    บางคนเสนอตัวเอง…
    เยลซินถึงกับบรรลุในสัจธรรม……ว่า…..ทุกคนมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น เขาวางใจใครไม่ได้เลยจริงๆ

    มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเหล่า Oligarchs พวกนี้คือเหลือบไรที่เกาะตามตัวของท่านผู้นำที่เนรมิตรสัมปทานทั้งแผ่นดินใหักับพวกเขาจนร่ำรวยกันมหาศาล……เขาเหล่านั้นคือ
    1 Boris Berezovsky
    2 Mikhaïl Fridman
    3 Vladimir Gusinsky
    4 Mikhaïl Khodorkovsky
    5 Vladimir Potanin

    (ดิฉันเคยเล่าถึง หมายเลข 1 และ 4 ไปแล้ว …จะนำมาลงให้อีกในคอมเม้นต์)

    สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุด คือ ถ้าเยลซินหลุดไปจากอำนาจ แล้วถ้าคนใหม่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์……นั่นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างจะหายวับไปกับตา
    อาจรวมถึงชีวิต ดังที่เยลซินพูดบ่อยๆว่า มันจะเอาพวกเราไปแขวนคอที่เสาไฟฟ้า……!!
    เหล่ามหาเศรษฐีพวกนั้นเลยระดมทุนกันใหญ่ ว่ากันว่า ถึงสองพันล้านดอลล่าร์……
    สุขภาพของเยลซินก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ข่าวที่ออกก็เลือกแต่ส่วนช่วงดีๆ ………………ปกปิดเรื่องการป่วยไข้อย่างสนิท
    ในส่วนตัวของเยลซินเอง……เขาถอดใจแล้ว เขาเริ่มมองหาตัวแทนที่จะมาเป็นผู้นำด้วยตัวเอง
    เขามุ่งไปที่ลักษณะของนายทหาร ที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น
    และสามารถเข้ากับทุกกลุ่มได้ คนที่เขาหมายตา
    คือ นายพลหนุ่ม Aleksandr Lebed ที่กะจะมาเอามาเป็นเด็กสร้าง
    เขาจึงเรียกตัวให้มารับหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลความมั่นคงในส่วนของเครมลิน
    หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งได้วันเดียว นายพลหนุ่ม Alexandr ได้พบกับอดีตนายพลอาวุโส แห่งหน่วย คอสแซค ที่ทักทายเขาด้วยความมีไมตรีว่า…”ทราบว่าคุณก็มาจากกองพันคอสแซคเช่นกัน…ยินดีที่ได้รู้จัก”
    นายพลหนุ่มเชิดใส่……สบัดเสียงตอบไปว่า
    “ทำไมพูดจาเหมือนพวกยิว……!!”

    เยลซินถึงได้รู้ว่า เขาดูคนผิด เพราะนายพลที่เขาวาดภาพถึงนั้น คงมีแต่ในหนังสือที่อ่านสมัยเป็นเด็กๆ……ตอนนี้นายพลพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกยามรักษาความปลอดภัยดีๆนี่เอง

    การเลือกตั้งได้เกิดขึ้น ตัวเยลซินเองก็ต้องแอบไปลงคะแนนในหน่วยใกล้บ้านแต่เช้าตรู่ เพราะเขาป่วยจนแทบเดินไม่ไหว ต้องมีคนคอยประคอง
    แต่อย่างไรเสีย……เขาก็ชนะด้วยคะแนนไม่มากนัก เพราะแรงทุนที่ทุ่มไม่อั้น

    ปูตินได้ช่วยเยลซินหาเสียงอยู่ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ถือว่าเป็นหน่วยสนับสนุนเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นกลไกสำคัญอะไร
    แต่ที่มอสโคว์……เมื่อเยลซินได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาได้จัดการเอาพวกที่คอยแทงข้างหลังออกไปเป็นแผง ที่ต้องหาคนมาแทนใหม่
    และเขาได้เลือก Alexsei Bolshakov อดีตอัยการแห่งกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    เข้าไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รองจาก Viktor Chernomyrdrin
    ซึ่ง Alexsei คนนี้ ได้เป็นผู้นำปูตินเข้าไปพบกับเยลซิน เพราะเขาเลื่อมใสในการทำงาน เฝ้าดูมาตลอด แต่ไม่ได้สนิทกัน

    งานที่ปูตินได้รับการแต่งตั้ง คือ ผู้อำนวยการในฝ่ายมวลชนและประชาสัมพันธ์ ที่ต้องประสานกับ Pavel Borodin
    ที่เผอิญปูตินได้เคยสัมผัสกัน……โดยปาเวลได้ถือเป็นบุญคุณอย่างมากมาย กล่าวคือ
    บุตรสาวของปาเวลเคยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เมื่อครั้ง
    ปูตินเป็นคณบดี และได้เกิดป่วยไข้ขึ้นมา ปูตินได้จัดการให้เธอได้พบแพทย์และช่วยเรื่องการทดแทนชั้นเรียนในช่วงการขาดลา……
    ยิ่งพอมาพบกันจริงๆ…ปาเวลยิ่งปลาบปลื้มขอบอกขอบใจ และสะดวกใจที่จะช่วยเหลืองานอย่างเต็มที่

    แต่นั่นหมายถึง……ปูตินจะต้องย้ายไปอยู่ที่มอสโคว์…นี่คือสิ่งเดียวที่เขายังรู้สึกลังเล………!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งขาาาา……มาช่วยกันเป็นกำลังใจให้พี่ปูหน่อยยยย……กำลังเคว้งคว้างหาที่ลงสวยๆไม่ได้………!!! ตอนหก…..……ดวงรุ่งไม่นาน…ต้องหางานใหม่ซะแล้วววว…!!! ปูตินทำงานอยู่แค่ในเบื้องหลังของอนาโตลี ในขณะที่เจ้านายใช้เวลาส่วนใหญ่เดินทางระหว่างเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก กับมอสโคว์ เพื่ออยู่ใกล้ชิดกับเยลซิน การทำงานของปูติน จากปากคำของเลขาฯ Marina Yentaltseva ที่บอกว่า “เขาเป็นคนจริงจังกับงานมาก แต่ไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร……งานที่สั่งมา เขาไม่สนใจว่าใครจะเอาไปทำ หรือมีปัญหาอะไร ……แต่ต้องเสร็จตามเวลา……ไม่มีใครรู้เลยว่า เขากำลังคิดอะไร เก็บอารมณ์ดีเป็นที่สุด ครั้งหนึ่งสุนัขสุดที่รักที่บ้าน ถูกรถชนตาย ฉันเอาข่าวไปบอก….เขาพยักหน้านิดนึง ไม่มีอากัปกิริยาอะไรมากกว่านั้นเลย……” ปูตินทำงานทั้งงานราษฎร์งานหลวง งานราษฎร์คือการที่ต้องขับเคี่ยวกับเหล่าแก๊งค์มาเฟียระดับตลาดล่าง ที่มีมากมายในเมือง โดยเฉพาะยิ่งจะมีบริษัทใหญ่ Golden Gate ที่จะมาทำการสร้างบริษัทส่งออกน้ำมัน โดย Gennady Timchenko เป็นนายทุนใหญ่ เรื่องอันธพาลกลางเมืองคือเรื่องที่เป็นอุปสรรค ต่อการที่จะพัฒนา ดังนั้น ปูตินจึงต้องรีบจัดการส่งลูกสาวทั้งสองคน มาชาและแคทยา ไปที่เยอรมันสักพักหนึ่งเพื่อความปลอดภัย เพื่อที่จะจัดการกับพวกอุปสรรคทั้งหลาย (ไม่ทราบว่าวิธีไหน……?) แต่ เยนนาดี ได้ดำเนินการธุรกิจอย่างปลอดโปร่งจนเป็นอภิมหาเศรษฐีและเป็นสหายของปูตินจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น งานแจกจ่ายใบอนุญาตการค้าต่างๆ ก็ต้องเร่งมือ เพราะต้องเร่งหาเงินเข้ามาบำรุงท้องถิ่น จะหวังพึ่งทางมอสโคว์ก็ริบหรี่ เพราะช่วงเดือน ตุลาคม เกิดการประท้วงใหญ่ ที่มีการจับกุม ทุบตีผู้ประท้วง จนเยลซินก็ประกาศกฎอัยการศึก ถึงขนาดต้องใช้รถถังมาควบคุมสถานการณ์ ความยุ่งยากยืดเยื้อมาจนถึงปี 1993 การทำงานของอนาโตลี ที่มีปูตินเป็นเบื้องหลังให้นั้น เริ่มมีปัญหาจากฝ่ายตรงข้าม เพราะเค้าของการเลือกตั้งใหม่เริ่มมีการเตรียมตัวส่งแคนดิเดทมาร่วมเปิดตัวลงสมัคร และการดิสเครดิต สาดโคลนตามมาเป็นระลอก ที่ทำให้ปูตินต้องทำงานทั้งวัน…ต่อไปจนถึงมืดค่ำ เช้าวันที่ 23 ตุลาคม ปูตินขับรถไปส่งมาชาที่โรงเรียน ลุดมิลาจะต้องพาแคทยาไปซ้อมละครเวที ระหว่างที่กำลังขับรถกำลังจะขึ้นสะพาน มีรถคันหนึ่งขับผ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนอย่างจัง กลางลำ…… กว่าเธอและลูกสาวจะไปถึงโรงพยาบาลเพราะรอรถพยาบาล ต้องใช้เวลาถึง 45 นาที แคทยา ฟกช้ำดำเขียวไปพอประมาณ แต่ลุดมิลากระดูกสันหลังเคลื่อนและมีบาดแผลตามตัว มารินา เลขาฯพยายามติดต่อปูติน เธอได้รับเอาแคทยามาดูแล แต่เขายังอยู่ในการประชุมกับ Ted Turner และ Jane Fonda (ตอนนั้นเป็นสามีภรรยากัน) ในเรื่องการจัดแข่งกีฬา Goodwill Games ครั้งที่สาม ทันทีที่รู้เรื่อง……ปูตินรีบไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปถามแพทย์ว่า หนักหนาหรือไม่? เมื่อทราบจากแพทย์ว่า กำลังดูแลเป็นอย่างดี… เขาก็กลับไปประชุมต่อ……ไม่ได้แวะไปดูลุดมิลาแต่อย่างใด มารินาได้เข้ามาดูแลลุดมิลาที่โรงพยาบาลและเด็กๆในช่วงที่รอมารดาของลุดมิลาจะเดินทางมาจากคาลินินกราด แม้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนในโรงพยาบาลเมื่อออกมา……เธอก็ยังต้องใส่เฝือกอ่อนรัดตัว แต่ปูติน……มีความห่วงใย(แบบไม่แสดงออก) ในเรื่องการรักษาเขาไปปรึกษากับ เซอร์เก เพื่อนรักโดยเขาต้องการให้ลุดมิลาไปรักษาตัวต่อในโรงพยาบาลที่เดรสเดน เยอรมัน ที่เป็นที่ที่ดีที่สุด แต่ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ ปัญหาเหล่านั้น……ได้สลายลงด้วยการช่วยเหลือของ Matthias Waring*** อดีตหัวหน้า Stasi ที่ผันตัวมาเป็นนายธนาคาร Dresdner ในกรุงเซนต์ โดยได้รับใบอนุญาตจากอนาโตลี (ผ่านปูติน) จนได้มาเปิดธนาคารในเมืองเป็นธนาคารต่างชาติแห่งแรก ที่เยอรมันนี ลุดมิลาได้รับการรักษาอย่างดี ในโรงพยาบาลที่ Bad Homburg จนหายเป็นปรกติ หลังจากที่มอสโคว์เสร็จสิ้นจากการปราบม็อบไปในปี 1993 นั้น สัมพันธภาพระหว่าง อนาโตลีกับเยลซิน เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจาก การเลือกตั้งนกยกเทศมนตรีในเมืองต่างๆจะมีขึ้นในในเดือนมีนาคม 1994 ซึ่ง เยลซินเห็นว่า ถ้าอนาโตลีได้รับเลือกอีกสมัยหนึ่ง ก็อาจจะอาจเอื้อมเข้ามาเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยต่อไป ซึ่งตัวเยลซินเองนั้นไม่เท่าไหร่ แต่คณะคนที่รายล้อมรอบตัวเขา แต่ละคนคือมาเฟียตัวพ่อ ที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินให้กับพรรค คนเหล่านั้น……ต้องการให้เยลซินอยู่ต่อไป หรือถ้าจะมีคนมาแทนก็ต้อวเป็นพรรคพวกของตัวเอง อย่าง……อนาโตลี นั้นไม่ใช่……!! งานสาดโคลนตามประเพณีเลือกตั้งจึงตามมา อนาโตลีถูกแฉว่าได้ยักยอกทรัพย์ออกนอกประเทศ ได้ทำการคอร์รัปชั่นในใบอนุญาต รวมทั้งการกระจายข่าวลือว่า อนาโตลีได้ติดต่อกับทางนายกรัฐมนตรีเยอรมันเพื่อที่จะโค่นล้มเยลซิน…… ซึ่งปูตินได้ติดร่างแหไปด้วย เพราะเป็นหนึ่งในทีม แต่ในที่สุดเขาก็เคลียร์ตัวเองได้ ……เพราะตรวจสอบได้หมด เนื่องจากไม่มีสมบัติอะไร เวลาแห่งการหาเสียงมาถึง อนาโตลีต้องพบกับความประหลาดใจ ที่ผู้สมัครเข้าแข่งขันนั้น คือ รองของเขาเอง Vladimir Yakovlev ที่ตอนนั้น อนาโตลีมีความรู้สึกว่าโดนหักหลังจากคนใกล้ชิดที่สุด พวกกลุ่มทำงานในสำนักงานได้เริ่มแยกฝ่าย ไปตามคนที่ตัวเองถือหาง แต่ปูตินยังมั่นคงอยู่กับอนาโตลีไม่เปลี่ยนแปลง… การหาเสียงเป็นไปอย่างเข้าข้น เป็นการหาเสียงที่ต้องใช้เงินมากมาย ที่อนาโตลีด้อยกว่า เพราะท่อน้ำเลี้ยงจากมอสโคว์เหือดแห้งไปแล้ว สรุปว่า โยโกสเลฟ ชนะด้วยคะแนนเฉี่ยวฉิว…… อนาโตลี มีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอ เขาได้ใช้ประโยคเด็ดของ Winston Churchill ในตอนที่แพ้เลือกตั้งในปี 1945 ว่า “การที่เราได้ช่วยชาติให้แล้วรอดปลอดภัย……นั่นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” แต่นั่นหมายถึงว่า เมื่อหมดวาระ(ในไม่กี่เดือนข้างหน้า) ปูตินจะต้องหางานใหม่ทำ เพราะเขาไม่คิดที่จะทำงานกับโยโกสเลฟ ที่จะผันตัวจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นนาย…… ปูตินมีบ้านพักเล็กๆสำหรับพักผ่อนที่นอกเมือง เป็นบังกาโลไม้ธรรมดา ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ เขาและครอบครัวใช้เป็นที่หย่อนใจ ในเดือนสิงหาคม อันเป็นเดือนของการพักร้อนที่งานไม่ค่อยเดิน เขาจึงได้เชิญครอบครัวของมารินาไปพักผ่อนด้วยกัน พวกผู้หญิงอยู่กันที่ชั้นบน ผู้ชายปูที่นอนกันที่ข้างล่าง… ปูตินออกไปว่ายน้ำในทะเลสาบ เมื่อเขาเดินกลับมา เห็นควันไฟพลุ่งออกมาจากตัวบ้าน เปลวไฟกำลังลามขึ้นไปชั้นบน เขารีบวิ่งฝ่าขึ้นไป ส่งเด็กๆลงมาจากระเบียงโดยใช้ผ้าปูที่นอนผูกแทนเชือก ทุกคนออกมาอย่างปลอดภัย แต่ทันใดนั้น เขานึกขึ้นได้ว่า กระเป๋าเอกสารที่มีเงินอยู่ราวๆห้าพัน (ดอลล่าร์ โดยประมาณ) อันเป็นเงินก้อนเดียวที่เขามี ปูตินรีบวิ่งเข้าไปเอามันออกมา และโรยตัวออกทางระเบียงเช่นกัน กว่ารถดับเพลิงจะมาได้ บ้านทั้งหลังก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว และเมื่อรถมาถึง……พนักงานดับไฟบอกว่า ไม่มีน้ำ… ปูตินโกรธจนตัวสั่น เขาชี้ไปที่ทะเลสาบ……บอกว่า นั่นไง……น้ำ…!! ไอ้หมอนั่นตอบกลับมาว่า……สายยางยาวไม่พอ…!!! เมื่อค้นหาสาเหตุได้ มาจากเครื่องทำความร้อนที่ชั้นล่าง ที่ได้เกิดช๊อตขึ้นมา……เมื่อทุกอย่างเริ่มเย็นลง ปูตินได้เข้าไปคุ้ยหาของที่อาจจะไม่เสียหายมาก เขาได้พบกับก้อนโลหะเล็กๆ ที่ได้หลอมละลายไป นั่นก็คือ กางเขนน้อยที่มาเรียมารดาของเขาได้ให้มา พร้อมกับกำชับว่าให้นำไปขอพรที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็ม, อิสราเอล ที่ปูตินได้จัดการให้ตามนั้น เมื่อครั้งที่เขาติดตามอนาโตลีไปเยือนเมื่อสามปีที่แล้ว……!! ที่มอสโคว์……ปลายปี 1995 เยลซินได้เกิดอาการหัวใจกำเริบ ที่ค่อนข้างน่าตกใจ กลุ่มนายทุนที่รายล้อมรอบตัวเขา รีบตื่นตัวกันจ้าละหวั่น เพราะการเลือกตั้งจะมีขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า บางคนบอกว่า รีบออกกฎหมายให้เลื่อนการลงคะแนนออกไปก่อน บางคนรีบเสนอชื่อแคนดิเดทพวกพ้องของตัวเองที่จะให้มาลงแทน บางคนเสนอตัวเอง… เยลซินถึงกับบรรลุในสัจธรรม……ว่า…..ทุกคนมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น เขาวางใจใครไม่ได้เลยจริงๆ มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเหล่า Oligarchs พวกนี้คือเหลือบไรที่เกาะตามตัวของท่านผู้นำที่เนรมิตรสัมปทานทั้งแผ่นดินใหักับพวกเขาจนร่ำรวยกันมหาศาล……เขาเหล่านั้นคือ 1 Boris Berezovsky 2 Mikhaïl Fridman 3 Vladimir Gusinsky 4 Mikhaïl Khodorkovsky 5 Vladimir Potanin (ดิฉันเคยเล่าถึง หมายเลข 1 และ 4 ไปแล้ว …จะนำมาลงให้อีกในคอมเม้นต์) สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุด คือ ถ้าเยลซินหลุดไปจากอำนาจ แล้วถ้าคนใหม่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์……นั่นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างจะหายวับไปกับตา อาจรวมถึงชีวิต ดังที่เยลซินพูดบ่อยๆว่า มันจะเอาพวกเราไปแขวนคอที่เสาไฟฟ้า……!! เหล่ามหาเศรษฐีพวกนั้นเลยระดมทุนกันใหญ่ ว่ากันว่า ถึงสองพันล้านดอลล่าร์…… สุขภาพของเยลซินก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ข่าวที่ออกก็เลือกแต่ส่วนช่วงดีๆ ………………ปกปิดเรื่องการป่วยไข้อย่างสนิท ในส่วนตัวของเยลซินเอง……เขาถอดใจแล้ว เขาเริ่มมองหาตัวแทนที่จะมาเป็นผู้นำด้วยตัวเอง เขามุ่งไปที่ลักษณะของนายทหาร ที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น และสามารถเข้ากับทุกกลุ่มได้ คนที่เขาหมายตา คือ นายพลหนุ่ม Aleksandr Lebed ที่กะจะมาเอามาเป็นเด็กสร้าง เขาจึงเรียกตัวให้มารับหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลความมั่นคงในส่วนของเครมลิน หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งได้วันเดียว นายพลหนุ่ม Alexandr ได้พบกับอดีตนายพลอาวุโส แห่งหน่วย คอสแซค ที่ทักทายเขาด้วยความมีไมตรีว่า…”ทราบว่าคุณก็มาจากกองพันคอสแซคเช่นกัน…ยินดีที่ได้รู้จัก” นายพลหนุ่มเชิดใส่……สบัดเสียงตอบไปว่า “ทำไมพูดจาเหมือนพวกยิว……!!” เยลซินถึงได้รู้ว่า เขาดูคนผิด เพราะนายพลที่เขาวาดภาพถึงนั้น คงมีแต่ในหนังสือที่อ่านสมัยเป็นเด็กๆ……ตอนนี้นายพลพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกยามรักษาความปลอดภัยดีๆนี่เอง การเลือกตั้งได้เกิดขึ้น ตัวเยลซินเองก็ต้องแอบไปลงคะแนนในหน่วยใกล้บ้านแต่เช้าตรู่ เพราะเขาป่วยจนแทบเดินไม่ไหว ต้องมีคนคอยประคอง แต่อย่างไรเสีย……เขาก็ชนะด้วยคะแนนไม่มากนัก เพราะแรงทุนที่ทุ่มไม่อั้น ปูตินได้ช่วยเยลซินหาเสียงอยู่ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ถือว่าเป็นหน่วยสนับสนุนเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นกลไกสำคัญอะไร แต่ที่มอสโคว์……เมื่อเยลซินได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาได้จัดการเอาพวกที่คอยแทงข้างหลังออกไปเป็นแผง ที่ต้องหาคนมาแทนใหม่ และเขาได้เลือก Alexsei Bolshakov อดีตอัยการแห่งกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก เข้าไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รองจาก Viktor Chernomyrdrin ซึ่ง Alexsei คนนี้ ได้เป็นผู้นำปูตินเข้าไปพบกับเยลซิน เพราะเขาเลื่อมใสในการทำงาน เฝ้าดูมาตลอด แต่ไม่ได้สนิทกัน งานที่ปูตินได้รับการแต่งตั้ง คือ ผู้อำนวยการในฝ่ายมวลชนและประชาสัมพันธ์ ที่ต้องประสานกับ Pavel Borodin ที่เผอิญปูตินได้เคยสัมผัสกัน……โดยปาเวลได้ถือเป็นบุญคุณอย่างมากมาย กล่าวคือ บุตรสาวของปาเวลเคยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เมื่อครั้ง ปูตินเป็นคณบดี และได้เกิดป่วยไข้ขึ้นมา ปูตินได้จัดการให้เธอได้พบแพทย์และช่วยเรื่องการทดแทนชั้นเรียนในช่วงการขาดลา…… ยิ่งพอมาพบกันจริงๆ…ปาเวลยิ่งปลาบปลื้มขอบอกขอบใจ และสะดวกใจที่จะช่วยเหลืองานอย่างเต็มที่ แต่นั่นหมายถึง……ปูตินจะต้องย้ายไปอยู่ที่มอสโคว์…นี่คือสิ่งเดียวที่เขายังรู้สึกลังเล………!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 706 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลอบสังหาร"ทรัมป์" ครั้งที่สอง แต่ทรัมป์ปลอดภัยหลังเกิดเหตุยิงครั้งใหม่, FBI เชื่อคนร้ายจ้องลอบสังหาร

    15 กันยายน2567- รายงานข่าวอินโฟเควสระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน เผชิญกับเหตุการณ์ระทักขวัญรอบใหม่ โดยมีชายคนหนึ่งยิงปืนใกล้สนามกอล์ฟของทรัมป์ในเมืองเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา เมื่อวานนี้ (15 ก.ย.) อย่างไรก็ดี ทรัมป์ปลอดภัยจากเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะที่สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (FBI) เชื่อว่า มือปืนรายนี้มีเป้าหมายที่จะลอบสังหารทรัมป์

    มือปืนที่ก่อเหตุได้ถูกหน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐฯ (US Secret Service) หรือ USSS ยิงและถูกรวบตัวเอาไว้ได้ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ทรัมป์กำลังเล่นกอล์ฟในสนามแห่งนี้ และจุดที่ทรัมป์เล่นกอล์ฟนั้น อยู่ห่างจากมือปืนในรัศมี 300-500 หลา

    ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของหน่วย USSS ได้นำตัวทรัมป์ไปยังที่ที่ปลอดภัยทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น และขบวนรถของหน่วย USSS ใช้เวลาไม่นานในการพาทรัมป์เดินทางถึงบ้านพักของเขาที่รีสอร์ตมาร์-อะ-ลาโก ในปาล์มบีช

    สำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) รายงานว่า หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวไม่นาน ทีมหาเสียงของทรัมป์ได้ส่งข้อความของทรัมป์ผ่านทางอีเมลที่ตั้งขึ้นเพื่อการระดมทุน โดยมีใจความว่า "เกิดเหตุการณ์ยิงในพื้นที่ของผม แต่ก่อนที่ข่าวลือจะแพร่สะพัดออกไปจนไม่อาจควบคุมได้นั้น ผมต้องการให้ท่านฟังทางนี้ว่า 'ผมปลอดภัยและผมสบายดี' ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมช้าลงได้ และผมจะไม่มีวันยอมแพ้"

    ริค แบรดชอร์ นายอำเภอเขตปาล์มบีช เคาตี้ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากเสียงปืนดังขึ้นไม่นาน พยานคนหนึ่งในที่เกิดเหตุได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าเขาเห็นชายคนหนึ่งวิ่งออกจากพุ่มไม้ และจากนั้นได้กระโดดเข้าไปในรถยนต์นิสสันสีดำคันหนึ่ง

    นอกจากนี้ แบรดชอร์เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตรวจได้พบปืนไรเฟิลรุ่น AK-47 พร้อมกล้องส่องทางไกลใกล้กับพุ่มไม้ และยังพบกระเป๋าเป้สองใบที่มีกระเบื้องเซรามิกอยู่ข้างใน และพบกล้อง GoPro ที่ผูกยึดติดกับรั้ว

    ทั้งนี้ ทรัมป์เผชิญกับเหตุการณ์ระทึกขวัญเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ถูกคนร้ายลอบยิงในระหว่างการปราศรัยหาเสียงในเมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย โดยทรัมป์ถูกยิงที่หูด้านขวาและทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ผู้ที่เข้าร่วมฟังการปราศรัยเสียชีวิต 1 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย ส่วนมือปืนได้ถูกหน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐยิงเสียชีวิตหลังก่อเหตุทันที

    #Thaitimes
    ลอบสังหาร"ทรัมป์" ครั้งที่สอง แต่ทรัมป์ปลอดภัยหลังเกิดเหตุยิงครั้งใหม่, FBI เชื่อคนร้ายจ้องลอบสังหาร 15 กันยายน2567- รายงานข่าวอินโฟเควสระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน เผชิญกับเหตุการณ์ระทักขวัญรอบใหม่ โดยมีชายคนหนึ่งยิงปืนใกล้สนามกอล์ฟของทรัมป์ในเมืองเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา เมื่อวานนี้ (15 ก.ย.) อย่างไรก็ดี ทรัมป์ปลอดภัยจากเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะที่สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (FBI) เชื่อว่า มือปืนรายนี้มีเป้าหมายที่จะลอบสังหารทรัมป์ มือปืนที่ก่อเหตุได้ถูกหน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐฯ (US Secret Service) หรือ USSS ยิงและถูกรวบตัวเอาไว้ได้ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ทรัมป์กำลังเล่นกอล์ฟในสนามแห่งนี้ และจุดที่ทรัมป์เล่นกอล์ฟนั้น อยู่ห่างจากมือปืนในรัศมี 300-500 หลา ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของหน่วย USSS ได้นำตัวทรัมป์ไปยังที่ที่ปลอดภัยทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น และขบวนรถของหน่วย USSS ใช้เวลาไม่นานในการพาทรัมป์เดินทางถึงบ้านพักของเขาที่รีสอร์ตมาร์-อะ-ลาโก ในปาล์มบีช สำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) รายงานว่า หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวไม่นาน ทีมหาเสียงของทรัมป์ได้ส่งข้อความของทรัมป์ผ่านทางอีเมลที่ตั้งขึ้นเพื่อการระดมทุน โดยมีใจความว่า "เกิดเหตุการณ์ยิงในพื้นที่ของผม แต่ก่อนที่ข่าวลือจะแพร่สะพัดออกไปจนไม่อาจควบคุมได้นั้น ผมต้องการให้ท่านฟังทางนี้ว่า 'ผมปลอดภัยและผมสบายดี' ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมช้าลงได้ และผมจะไม่มีวันยอมแพ้" ริค แบรดชอร์ นายอำเภอเขตปาล์มบีช เคาตี้ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากเสียงปืนดังขึ้นไม่นาน พยานคนหนึ่งในที่เกิดเหตุได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าเขาเห็นชายคนหนึ่งวิ่งออกจากพุ่มไม้ และจากนั้นได้กระโดดเข้าไปในรถยนต์นิสสันสีดำคันหนึ่ง นอกจากนี้ แบรดชอร์เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตรวจได้พบปืนไรเฟิลรุ่น AK-47 พร้อมกล้องส่องทางไกลใกล้กับพุ่มไม้ และยังพบกระเป๋าเป้สองใบที่มีกระเบื้องเซรามิกอยู่ข้างใน และพบกล้อง GoPro ที่ผูกยึดติดกับรั้ว ทั้งนี้ ทรัมป์เผชิญกับเหตุการณ์ระทึกขวัญเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ถูกคนร้ายลอบยิงในระหว่างการปราศรัยหาเสียงในเมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย โดยทรัมป์ถูกยิงที่หูด้านขวาและทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ผู้ที่เข้าร่วมฟังการปราศรัยเสียชีวิต 1 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย ส่วนมือปืนได้ถูกหน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐยิงเสียชีวิตหลังก่อเหตุทันที #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 523 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤡 🤣บลิงเคน ประณามการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของนักข่าวชาวรัสเซีย🤣 ("ความสามารถทางไซเบอร์")

    “ด้วยข้อมูลใหม่ซึ่ง, ส่วนใหญ่มาจากพนักงานของ RT, เราจึงรู้ว่า RT มีศักยภาพทางไซเบอร์,” แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศเปิดเผยด้วยความกังวล

    🤣มีข่าวลือว่าการสืบสวนยังคงดำเนินต่อไปเพื่อตรวจสอบว่านักข่าวชาวรัสเซียมีความสามารถในการส่งและรับอีเมลหรือแม้แต่ข้อความหรือไม่... 🤣
    .
    🤡 Blinken denounces Russian journalists' internet access ("cyber capabilities")

    “Thanks to new information, much of which originates from RT employees, we know that RT possessed cyber capabilities,” Secretary of State Antony Blinken revealed forebodingly.

    Rumor has it investigation remains ongoing to determine whether Russian journalists also possess the ability to send and receive email or even text messages...
    .
    4:22 AM · Sep 14, 2024 · 2,941 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1834704179526615282
    🤡 🤣บลิงเคน ประณามการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของนักข่าวชาวรัสเซีย🤣 ("ความสามารถทางไซเบอร์") “ด้วยข้อมูลใหม่ซึ่ง, ส่วนใหญ่มาจากพนักงานของ RT, เราจึงรู้ว่า RT มีศักยภาพทางไซเบอร์,” แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศเปิดเผยด้วยความกังวล 🤣มีข่าวลือว่าการสืบสวนยังคงดำเนินต่อไปเพื่อตรวจสอบว่านักข่าวชาวรัสเซียมีความสามารถในการส่งและรับอีเมลหรือแม้แต่ข้อความหรือไม่... 🤣 . 🤡 Blinken denounces Russian journalists' internet access ("cyber capabilities") “Thanks to new information, much of which originates from RT employees, we know that RT possessed cyber capabilities,” Secretary of State Antony Blinken revealed forebodingly. Rumor has it investigation remains ongoing to determine whether Russian journalists also possess the ability to send and receive email or even text messages... . 4:22 AM · Sep 14, 2024 · 2,941 Views https://x.com/SputnikInt/status/1834704179526615282
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 71 0 รีวิว
  • #เรื่องป้าโจยิ่งล้วงยิ่งลึกยิ่งชวนอึ้ง
    #เปิดข้อมูลที่นี่ที่แรกลึกสุด
    หลังจากที่เพจคิงส์โพธิ์แดงได้ทำการเปิดข้อมูลและสื่อมวลชนหลายสำนักได้กรุณานำไปเผยแพร่เพื่อเป็นข้อมูลอีกด้าน เพื่อปกป้องไม่ให้พี่น้องชาวไทยตกเป็น เ-ห-ยื่-อ มิจกิมจิไปแล้วนั้น
    พี่คิงส์เปิดต่อเลยว่านี่ไม่ใช่แค่กามิจหวังติ๊กเกอร์ แต่มันคือข-บ-ว-น-ก-า-ร
    -โดยปัจจุบันมีคนไทยเข้าไปได้รับผลประโยชน์ และกำลังเสียประโยชน์จากการที่คนไทยได้ตื่นรู้
    คำถาม ป้าโจ ทำไมต้องออกหน้าออกตา presert face ป้องอิเหวิงกาฝากอย่างไม่เกรงกลัว ถึงขนาดกล้าท้าทายไร้มารยาทกับสื่อตำนานระดับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล
    -ถ้าแฟนเพจคิงส์รับรู้เนื้อหาจากนี้ จะร้องอ๋ออย่างไม่ได้นัดหมาย
    -ก่อนอื่น ต้องเปิดที่มาขอรายรับหลักที่คนนอกน้อยคนที่จะรู้
    ซึ่งส่วนนี้เปรียบเสมือนเครือข่ายหลักของอิเหวิงกาฝากเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของอิเหวิง และปัจจุบันนี้ห้องคลับนี้ก็เป็นที่รวมคนคลั่งรักกามิน เปรียบเสมือนลัทธิเชื่อมจิตไปแล้วจริงๆ
    -กลุ่มลั-บนี้ เป็นจุดรวมพลfcของกามินที่เต็มไปด้วยความภักดี เป็นชายไทย 99% ซึ่งมันชื่อเป็นห้องแชท ลักษณะเหมือนกรุ๊ปไลน์ห้องใหญ่ บรรจุจำนวนคนที่อยู่ห้องแชทนี่ประมาณ 1,200 กว่าคน มีชื่อว่าห้อง Discord
    .......
    -ห้องแชทนี้มันฟังก์ชั่นที่ผูกติดกับแอพ tiktok เกาหลีได้จัดทำขึ้น ซึ่งคนที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปอยู่ในห้องนี้ได้ ต้องชำระเงินรายเดือนๆละประมาณ 250บาท รวมเบ็ดเสร็จโดยรวมๆนางกามินจะได้รายรับจากห้องนี้เดือนละ 250×1,200=300,000 บาท อันนี้คือยืนพื้นเลย ฮ่าๆ
    -ขบวนการนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่?-
    ก็ตั้งแต่ที่อิเหวิงเป็นที่รู้จักแรกๆจากแค่เป็น tiktoker ที่ชาลีกำลังจีบในช่วงแรกๆ ย้อนไปเมื่อประมาณ 8 เดือนที่แล้ว
    -อิกาฝากก็เริ่มมาประกาศในกลุ่มfcชาลีว่าถ้าอยากจะได้คุยส่วนตัวแบบ vip และอาจจะได้รับข่าวความเคลื่อนไหวพิเศษๆ ก็ให้สมัครเข้ามาอยู่ในห้องนี้ เป็นไงหละ ฉ่ำมั๊ย “ฉันมาเพราะฉันรักชาลี” ถถถถถ
    -ฉะนั้นfcของชาลีที่เป็นผู้ชายกลุ่มแรกๆก็สมัครเข้าไปเพราะจะเข้าไปดูอิเหวิง เพราะแสดงเก่งมากจะมีล่อหลอกว่ามีการพูดถึงความรู้สึกที่อิกาฝากที่มีต่อชาลีว่าอย่างไรบ้าง นี่แหละมันถึงดึงเช็งไม่ยอมบอกว่าเป็นแฟนชาลี เวลาสื่อถาม เช็ดดดด
    นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการกล่อมจาก fcชาลีให้กลายเป็นfcอิเหวิงจนถึงทุกวันนี้
    -ตอนเริ่มแรกมีแค่200 กว่าๆ จนเพิ่มจำนวนพีคสุดถึง 5,000 คน
    แต่เผอิญไปเจอดราม่าที่นางกลับเกาหลีแล้วขาดการติดต่อไปรอบแรก โดนทัวร์ลงคนเลยออกจากห้องไปเหลือแค่ประมาณ 1,500 คน
    -ห้องนี้คือห้องโปรยสเน่ห์ของกามิจของแทร่ มารอบนี้วางแผนมาดีไอ่ที่เงียบๆไปชาลีทักก็ไม่ตอบนี่แหละ กลับมาปุ๊บเริ่มระดม MVP ที่เป็นfc กระเป๋าหนักเข้ามาสื่อสารกันในกลุ่มนี้นี้
    ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาชาลีเคยฟาดและตำหนิห้องแชทนี้บ่อยๆ เพราะชาลีไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกกลุ่ม fcด้วยการเสียเงิน และมันเหมือนหาผลประโยชน์กับfcมากไป
    แต่ชาลีไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้ ก็ได้แต่ขอร้องว่าห้ามมาโฆษณาให้หาสมาชิกเพิ่มด้วยการเอาโมเม้นท์จิ้นมาขายในนี้
    -นั่นจึงเป็นที่มาว่าเริ่มมีfcใน discord เริ่มไม่ชอบชาลีเพราะรู้สึกว่าถึงการขัดขาของชาลีมีผลกระทบต่อรายได้ของกามิจและคนในขบวนการ
    และเมื่อเวลาผ่านไป fcใน discord ก็เริ่มชัดเจนขึ้นว่าพวกเค้าเป็น fcกามิจแค่คนเดียว 100% เพราะสร้างอคติในกลุ่มให้ชังชาลีหนักมาก
    นั่นจึงเป็นที่มาว่าเวลาที่ชาลีทำอะไรกระทบถึงกามิน วันต่อมาชาลีจะโดนทัวร์มาตลอดก็เพราะอิกลุ่มนี้นี่แหละ
    - และอิเหวิงเองก็จะให้ความพิเศษว่า fc จากdiscord คือคนพิเศษของเธอ วีรกรรมเด็ดๆคือ เคยมีครั้งนึงที่นางอยู่ที่คู้บอนแล้วไปฟ้อง fcว่ายุงกัด วันต่อมาชาลีก็จะโดนไดเรคส่วนตัวด่าทันที สุดมั๊ยล่ะ
    -Discord เป็นแหล่งรวมพลที่ใช้กล่อมให้เกิดอุปทานหมู่ fcอิเหวิงที่แข็งแกร่งมาก ถึงขั้นเคยมีคนในห้องแชทแทบจะลงแดงถ้าอิเหวิงกามิจไม่ได้เข้าไปทักแชทในนั่นเกิน1วัน นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมยังมีfc ที่ไม่ยอมรับฟังและรับรู้ความถูกผิดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน fcในdiscord
    จะมีแนวคิดว่า “อิเหวิงคือเทวดาของทุกคนในนั้นจริงๆ”
    ที่ผ่านมาจึงมีปัญหากับชาลีมาตลอดเพราะชาลีพยายามจะเตือนว่า อย่าสปอยล์จนเหมือนใครๆก็ตำหนิไม่ได้ และที่นี่เปรียบเสมือนทหารของกามินที่เวลามีแข่ง tiktok PK แมทซ์ใหญ่ๆ กามินก็จะมาตามเทพและ fcทุกคนให้ไปเปย์อิเหวิงด้วยคำว่า.. "ชั้นเกรงใจทุกคนมากๆ แต่แต่แมทซ์นี้ ชั้นต้องการชนะนะ" เท่านั้นหละติ๊กเกอร์ลอยมาเพียบบบบ
    -ปัจจุบันจากกระแสลบๆที่อิเหวิงทำมา ล่าสุดจำนวนfcในdiscordเหลือเพียง 1,200 กว่าคน แต่ก็ยังถือว่านางมีผู้สนับสนุนแบบภักดี ชนิดที่บางคนเคยออกมาประกาศว่าจะยอมตุยเพื่ออิห่านจิกเลย อันนี้แหละที่น่ากลัวมากๆ และในช่วงที่ผ่านมาในตอนที่ชาลีประกาศแยกทางกับกามิน ชาลีพยายามอย่างหนักที่จะสื่อสารกับfcทุกกลุ่มและทุกฝ่ายถึงการเลิกรา เพื่อที่จะถนอมใจfcไม่ให้ตกใจและเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและตีกัน
    ชาลีใช้เวลาเป็นอาทิตย์ที่พยายามเรียก หัวหน้ากลุ่มfcแต่ละกลุ่มเข้าพบที่บ้านคู้บอน เพื่อสร้างความเข้าใจและให้เลิกรากันด้วยดี และพยายามหยุดวงจรการสนับสนุนการส่งสติกเกอร์ให้กามินแบบบ้-า-ค-ลั่-ง เพราะที่ผ่านมามีfcบางรายสูญเสียเงินจากตรงนี้เป็นล้าน และบางคนต้องเป็นหนี้เป็นสินจากการที่กามินเล่น PK
    -ชาลีพยายามหยุดกามินให้เพลาๆเรื่องการหากินกับการ PK เพราะมันคือการดูดเงินจากfcชาวไทย ด้วยการใช้ความรักเข้าแลก แต่กามินไม่มีทีท่าจะหยุด และยังแพลนที่จะสำนักงานธุรกิจนี้ในประเทศไทยด้วย และนี่ก็เป็นส่วนอีกส่วนนึงที่ทำให้ชาลีเลือกที่จะขอเลิก ทั้งๆที่ก็ยังรัก ชาลีรู้สึกถึงละโมบที่ไม่มีวันเพียงพอที่จะเข้ามกอบโกยเงินไทยของกามินแบบไม่สิ้นสุด
    ..
    -สุดท้ายวินาทีนี้ความมั่นใจของกามินยังไม่ได้สลดหรือรู้สึกผิดใดๆเลยค่ะ นางใช้จุดรวมพลใน discord เอาไว้บัญชาการปั่นให้fcตามไป-ด่-า-ชาลีทุกช่องทาง สร้างข่าวลือหาว่าชาลีป่-ว-ย-ท-า-ง-จิ-ต และเริ่มปลุกระดมจะฟ้องร้องชาลีด้วยการประสานงานจากหัวหน้า FCและเทพทุนหนาคนไทย
    ..
    -จนล่าสุดวันนี้ที่ชาลีออกมาไลฟ์ประมาณ5นาที ที่มีเนื้อหาพยายามสื่อสารบอกทางกามินให้หยุดการยุยงให้ fc ตีกัน แต่ฝ่ายเชียร์อิเหวิงก็แถว่าชาลีสื่อถึงเพจคิงส์โพธิ์แดง ไอ่ฉัดคนละเรื่องเลยอิเวง
    และบอกให้ทาง discord ให้รู้จักคิดได้แล้วเพราะแต่ละคนที่กำลังวางแผนเรื่องแบบนี้อยู่ ก็อายุอาวุโสกันทั้งนั้นแต่ก็ยังโดนผู้หญิงเกาหลีคนเดียวปั่นหัว ชาลีบอกถ้าไม่หยุด เค้าจะไม่เซฟกามินแล้ว เพราะที่ผ่านมาชาลียังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของความชั่วร้ายที่กามินทำเอาไว้หมดเลย เพราะเห็นแก่ยังอยากให้นางยังมีที่ยืนบ้าง แต่ถ้าไม่หยุดและยังคอยปั่นให้fcไทยตีกันอีก ชาลีจะไม่ทน
    ..
    -ชาลีต้องพยายามหยุดอิเหวิงให้ได้เพราะอินางนี่ใช้วิธีแบบ Romance scammed คือการล่อหลอกรายได้ด้วยความสเน่หาจาก fcชาวไทย จนหลายคนหมดตัวและมีหนี้สินเยอะมาก
    ชื่อคนที่อยู่เบื้องหลังการปลุกระดมในกลุ่มของกามิน และได้รับเงินจ้างจาก MPVสายเปย์ของกามิน
    คือ โจ มนฑานี
    อ๋อยัง อิป้าโจ อิเหวิงอิกามิจ
    อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เรื่องป้าโจยิ่งล้วงยิ่งลึกยิ่งชวนอึ้ง #เปิดข้อมูลที่นี่ที่แรกลึกสุด หลังจากที่เพจคิงส์โพธิ์แดงได้ทำการเปิดข้อมูลและสื่อมวลชนหลายสำนักได้กรุณานำไปเผยแพร่เพื่อเป็นข้อมูลอีกด้าน เพื่อปกป้องไม่ให้พี่น้องชาวไทยตกเป็น เ-ห-ยื่-อ มิจกิมจิไปแล้วนั้น พี่คิงส์เปิดต่อเลยว่านี่ไม่ใช่แค่กามิจหวังติ๊กเกอร์ แต่มันคือข-บ-ว-น-ก-า-ร -โดยปัจจุบันมีคนไทยเข้าไปได้รับผลประโยชน์ และกำลังเสียประโยชน์จากการที่คนไทยได้ตื่นรู้ คำถาม ป้าโจ ทำไมต้องออกหน้าออกตา presert face ป้องอิเหวิงกาฝากอย่างไม่เกรงกลัว ถึงขนาดกล้าท้าทายไร้มารยาทกับสื่อตำนานระดับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล -ถ้าแฟนเพจคิงส์รับรู้เนื้อหาจากนี้ จะร้องอ๋ออย่างไม่ได้นัดหมาย -ก่อนอื่น ต้องเปิดที่มาขอรายรับหลักที่คนนอกน้อยคนที่จะรู้ ซึ่งส่วนนี้เปรียบเสมือนเครือข่ายหลักของอิเหวิงกาฝากเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของอิเหวิง และปัจจุบันนี้ห้องคลับนี้ก็เป็นที่รวมคนคลั่งรักกามิน เปรียบเสมือนลัทธิเชื่อมจิตไปแล้วจริงๆ -กลุ่มลั-บนี้ เป็นจุดรวมพลfcของกามินที่เต็มไปด้วยความภักดี เป็นชายไทย 99% ซึ่งมันชื่อเป็นห้องแชท ลักษณะเหมือนกรุ๊ปไลน์ห้องใหญ่ บรรจุจำนวนคนที่อยู่ห้องแชทนี่ประมาณ 1,200 กว่าคน มีชื่อว่าห้อง Discord ....... -ห้องแชทนี้มันฟังก์ชั่นที่ผูกติดกับแอพ tiktok เกาหลีได้จัดทำขึ้น ซึ่งคนที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปอยู่ในห้องนี้ได้ ต้องชำระเงินรายเดือนๆละประมาณ 250บาท รวมเบ็ดเสร็จโดยรวมๆนางกามินจะได้รายรับจากห้องนี้เดือนละ 250×1,200=300,000 บาท อันนี้คือยืนพื้นเลย ฮ่าๆ -ขบวนการนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่?- ก็ตั้งแต่ที่อิเหวิงเป็นที่รู้จักแรกๆจากแค่เป็น tiktoker ที่ชาลีกำลังจีบในช่วงแรกๆ ย้อนไปเมื่อประมาณ 8 เดือนที่แล้ว -อิกาฝากก็เริ่มมาประกาศในกลุ่มfcชาลีว่าถ้าอยากจะได้คุยส่วนตัวแบบ vip และอาจจะได้รับข่าวความเคลื่อนไหวพิเศษๆ ก็ให้สมัครเข้ามาอยู่ในห้องนี้ เป็นไงหละ ฉ่ำมั๊ย “ฉันมาเพราะฉันรักชาลี” ถถถถถ -ฉะนั้นfcของชาลีที่เป็นผู้ชายกลุ่มแรกๆก็สมัครเข้าไปเพราะจะเข้าไปดูอิเหวิง เพราะแสดงเก่งมากจะมีล่อหลอกว่ามีการพูดถึงความรู้สึกที่อิกาฝากที่มีต่อชาลีว่าอย่างไรบ้าง นี่แหละมันถึงดึงเช็งไม่ยอมบอกว่าเป็นแฟนชาลี เวลาสื่อถาม เช็ดดดด นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการกล่อมจาก fcชาลีให้กลายเป็นfcอิเหวิงจนถึงทุกวันนี้ -ตอนเริ่มแรกมีแค่200 กว่าๆ จนเพิ่มจำนวนพีคสุดถึง 5,000 คน แต่เผอิญไปเจอดราม่าที่นางกลับเกาหลีแล้วขาดการติดต่อไปรอบแรก โดนทัวร์ลงคนเลยออกจากห้องไปเหลือแค่ประมาณ 1,500 คน -ห้องนี้คือห้องโปรยสเน่ห์ของกามิจของแทร่ มารอบนี้วางแผนมาดีไอ่ที่เงียบๆไปชาลีทักก็ไม่ตอบนี่แหละ กลับมาปุ๊บเริ่มระดม MVP ที่เป็นfc กระเป๋าหนักเข้ามาสื่อสารกันในกลุ่มนี้นี้ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาชาลีเคยฟาดและตำหนิห้องแชทนี้บ่อยๆ เพราะชาลีไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกกลุ่ม fcด้วยการเสียเงิน และมันเหมือนหาผลประโยชน์กับfcมากไป แต่ชาลีไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้ ก็ได้แต่ขอร้องว่าห้ามมาโฆษณาให้หาสมาชิกเพิ่มด้วยการเอาโมเม้นท์จิ้นมาขายในนี้ -นั่นจึงเป็นที่มาว่าเริ่มมีfcใน discord เริ่มไม่ชอบชาลีเพราะรู้สึกว่าถึงการขัดขาของชาลีมีผลกระทบต่อรายได้ของกามิจและคนในขบวนการ และเมื่อเวลาผ่านไป fcใน discord ก็เริ่มชัดเจนขึ้นว่าพวกเค้าเป็น fcกามิจแค่คนเดียว 100% เพราะสร้างอคติในกลุ่มให้ชังชาลีหนักมาก นั่นจึงเป็นที่มาว่าเวลาที่ชาลีทำอะไรกระทบถึงกามิน วันต่อมาชาลีจะโดนทัวร์มาตลอดก็เพราะอิกลุ่มนี้นี่แหละ - และอิเหวิงเองก็จะให้ความพิเศษว่า fc จากdiscord คือคนพิเศษของเธอ วีรกรรมเด็ดๆคือ เคยมีครั้งนึงที่นางอยู่ที่คู้บอนแล้วไปฟ้อง fcว่ายุงกัด วันต่อมาชาลีก็จะโดนไดเรคส่วนตัวด่าทันที สุดมั๊ยล่ะ -Discord เป็นแหล่งรวมพลที่ใช้กล่อมให้เกิดอุปทานหมู่ fcอิเหวิงที่แข็งแกร่งมาก ถึงขั้นเคยมีคนในห้องแชทแทบจะลงแดงถ้าอิเหวิงกามิจไม่ได้เข้าไปทักแชทในนั่นเกิน1วัน นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมยังมีfc ที่ไม่ยอมรับฟังและรับรู้ความถูกผิดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน fcในdiscord จะมีแนวคิดว่า “อิเหวิงคือเทวดาของทุกคนในนั้นจริงๆ” ที่ผ่านมาจึงมีปัญหากับชาลีมาตลอดเพราะชาลีพยายามจะเตือนว่า อย่าสปอยล์จนเหมือนใครๆก็ตำหนิไม่ได้ และที่นี่เปรียบเสมือนทหารของกามินที่เวลามีแข่ง tiktok PK แมทซ์ใหญ่ๆ กามินก็จะมาตามเทพและ fcทุกคนให้ไปเปย์อิเหวิงด้วยคำว่า.. "ชั้นเกรงใจทุกคนมากๆ แต่แต่แมทซ์นี้ ชั้นต้องการชนะนะ" เท่านั้นหละติ๊กเกอร์ลอยมาเพียบบบบ -ปัจจุบันจากกระแสลบๆที่อิเหวิงทำมา ล่าสุดจำนวนfcในdiscordเหลือเพียง 1,200 กว่าคน แต่ก็ยังถือว่านางมีผู้สนับสนุนแบบภักดี ชนิดที่บางคนเคยออกมาประกาศว่าจะยอมตุยเพื่ออิห่านจิกเลย อันนี้แหละที่น่ากลัวมากๆ และในช่วงที่ผ่านมาในตอนที่ชาลีประกาศแยกทางกับกามิน ชาลีพยายามอย่างหนักที่จะสื่อสารกับfcทุกกลุ่มและทุกฝ่ายถึงการเลิกรา เพื่อที่จะถนอมใจfcไม่ให้ตกใจและเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและตีกัน ชาลีใช้เวลาเป็นอาทิตย์ที่พยายามเรียก หัวหน้ากลุ่มfcแต่ละกลุ่มเข้าพบที่บ้านคู้บอน เพื่อสร้างความเข้าใจและให้เลิกรากันด้วยดี และพยายามหยุดวงจรการสนับสนุนการส่งสติกเกอร์ให้กามินแบบบ้-า-ค-ลั่-ง เพราะที่ผ่านมามีfcบางรายสูญเสียเงินจากตรงนี้เป็นล้าน และบางคนต้องเป็นหนี้เป็นสินจากการที่กามินเล่น PK -ชาลีพยายามหยุดกามินให้เพลาๆเรื่องการหากินกับการ PK เพราะมันคือการดูดเงินจากfcชาวไทย ด้วยการใช้ความรักเข้าแลก แต่กามินไม่มีทีท่าจะหยุด และยังแพลนที่จะสำนักงานธุรกิจนี้ในประเทศไทยด้วย และนี่ก็เป็นส่วนอีกส่วนนึงที่ทำให้ชาลีเลือกที่จะขอเลิก ทั้งๆที่ก็ยังรัก ชาลีรู้สึกถึงละโมบที่ไม่มีวันเพียงพอที่จะเข้ามกอบโกยเงินไทยของกามินแบบไม่สิ้นสุด .. -สุดท้ายวินาทีนี้ความมั่นใจของกามินยังไม่ได้สลดหรือรู้สึกผิดใดๆเลยค่ะ นางใช้จุดรวมพลใน discord เอาไว้บัญชาการปั่นให้fcตามไป-ด่-า-ชาลีทุกช่องทาง สร้างข่าวลือหาว่าชาลีป่-ว-ย-ท-า-ง-จิ-ต และเริ่มปลุกระดมจะฟ้องร้องชาลีด้วยการประสานงานจากหัวหน้า FCและเทพทุนหนาคนไทย .. -จนล่าสุดวันนี้ที่ชาลีออกมาไลฟ์ประมาณ5นาที ที่มีเนื้อหาพยายามสื่อสารบอกทางกามินให้หยุดการยุยงให้ fc ตีกัน แต่ฝ่ายเชียร์อิเหวิงก็แถว่าชาลีสื่อถึงเพจคิงส์โพธิ์แดง ไอ่ฉัดคนละเรื่องเลยอิเวง และบอกให้ทาง discord ให้รู้จักคิดได้แล้วเพราะแต่ละคนที่กำลังวางแผนเรื่องแบบนี้อยู่ ก็อายุอาวุโสกันทั้งนั้นแต่ก็ยังโดนผู้หญิงเกาหลีคนเดียวปั่นหัว ชาลีบอกถ้าไม่หยุด เค้าจะไม่เซฟกามินแล้ว เพราะที่ผ่านมาชาลียังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของความชั่วร้ายที่กามินทำเอาไว้หมดเลย เพราะเห็นแก่ยังอยากให้นางยังมีที่ยืนบ้าง แต่ถ้าไม่หยุดและยังคอยปั่นให้fcไทยตีกันอีก ชาลีจะไม่ทน .. -ชาลีต้องพยายามหยุดอิเหวิงให้ได้เพราะอินางนี่ใช้วิธีแบบ Romance scammed คือการล่อหลอกรายได้ด้วยความสเน่หาจาก fcชาวไทย จนหลายคนหมดตัวและมีหนี้สินเยอะมาก ชื่อคนที่อยู่เบื้องหลังการปลุกระดมในกลุ่มของกามิน และได้รับเงินจ้างจาก MPVสายเปย์ของกามิน คือ โจ มนฑานี อ๋อยัง อิป้าโจ อิเหวิงอิกามิจ อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3242 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเกาะกูด ไม่ใช่ข่าวลือ ไม่ใช่มโน โทนี่ไปทอร์คที่เนชั่น ชัดเจน จะแบ่งทรัพยากรคนละครึ่งกับฮุนเซน ไอ่ฉัดเอ๊ย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เรื่องเกาะกูด ไม่ใช่ข่าวลือ ไม่ใช่มโน โทนี่ไปทอร์คที่เนชั่น ชัดเจน จะแบ่งทรัพยากรคนละครึ่งกับฮุนเซน ไอ่ฉัดเอ๊ย #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Angry
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน คูเลบา ถูกบังคับให้ลาออกไม่กี่วันหลังจากที่เขายอมรับว่ายูเครนกำลังแพ้สงครามและชาติตะวันตกต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้

    4 กันยายน 2567- รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า Ruslan Stefanchuk ประธานรัฐสภายูเครน รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดิมิโตร คูเลบา(Dmytro Kuleba)ได้ยื่นจดหมายลาออกแล้ว หลังจากเมื่ออังคาร3 กันยายน ที่ผ่านมา มีรัฐมนตรี 5 คนลาออก คือ Oleksandr Kamyshin รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์, Olha Stefanishyna รองนายกรัฐมนตรี และDenys Maliuska รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม Ruslan Strilets รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม Olha Stefanishyna รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายบูรณาการยุโรปและยูโร-แอตแลนติก และ Iryna Vereshchuk. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงบูรณาการยุโรป

    ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโครงสร้างพื้นฐานและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายบูรณะOleksandr Kubrakov และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรMykola Solskyiถูกไล่ออกไปแล้วในเดือนพฤษภาคมนี้เอง

    สำหรับKuleba ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศตั้งแต่ปี 2020 โดยเขามีบทบาทนำในความพยายามของยูเครนในการร่วมมือกับพันธมิตรระหว่างประเทศและสร้างความร่วมมือใหม่นับตั้งแต่เริ่มต้นสงครามเต็มรูปแบบ

    หลังจากมีข่าวลือมาก่อนหน้านี้ว่าเขาจะถูกไล่ออกในเดือนสิงหาคม 2023คูเลบากล่าวทางโทรทัศน์ระดับประเทศว่าเขาไม่กังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ดังกล่าว “ผมทำงาน ไม่มีงานไหนถาวร และผมใจเย็นมากกับทุกๆ เรื่อง”

    เขากล่าวในตอนนั้น “ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าผมจะลาออกภายใต้สถานการณ์สองสถานการณ์: สถานการณ์แรกคือถ้าประธานาธิบดีขอให้ผมทำ และสถานการณ์ที่สองคือถ้าผมขัดแย้งกับนโยบายต่างประเทศในระดับพื้นฐานและไม่คิดว่าจะทำงานกับมันได้” คูเลบากล่าวเสริม

    หนังสือพิมพ์ยูเครนปราฟดารายงานเมื่อวันที่ 3 กันยายน โดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อ ว่านายคูเลบาจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง และยังคงมีการพิจารณาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทนอยู่ ผู้ที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะดำรงตำแหน่งนี้คือนายอันดรี ซิบีฮา รองรัฐมนตรีต่างประเทศ แหล่งข่าวกล่าว

    หลังจากรัฐมนตรี 5 รายลาออกเมื่อวันอังคาร ซึ่งพันธมิตรระดับสูงของ Zelenskyy มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการ "รีเซ็ต" รัฐบาลก่อนฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็น

    เซเลนสกีกล่าวว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเพื่อบรรลุผลตามที่ยูเครนต้องการ
    “ฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นช่วงที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับยูเครน และสถาบันของรัฐของเราควรได้รับการจัดการเพื่อให้ยูเครนบรรลุผลสำเร็จตามที่เราต้องการสำหรับเราทุกคน”

    ปลายเดือนนี้ เซเลนสกีจะเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อขอพบประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญ

    ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารัสเซียได้เพิ่มการโจมตีด้วยโดรนขีปนาวุธถล่มยูเครนหนัก

    #Thaitimes
    รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน คูเลบา ถูกบังคับให้ลาออกไม่กี่วันหลังจากที่เขายอมรับว่ายูเครนกำลังแพ้สงครามและชาติตะวันตกต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ 4 กันยายน 2567- รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า Ruslan Stefanchuk ประธานรัฐสภายูเครน รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดิมิโตร คูเลบา(Dmytro Kuleba)ได้ยื่นจดหมายลาออกแล้ว หลังจากเมื่ออังคาร3 กันยายน ที่ผ่านมา มีรัฐมนตรี 5 คนลาออก คือ Oleksandr Kamyshin รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์, Olha Stefanishyna รองนายกรัฐมนตรี และDenys Maliuska รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม Ruslan Strilets รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม Olha Stefanishyna รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายบูรณาการยุโรปและยูโร-แอตแลนติก และ Iryna Vereshchuk. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงบูรณาการยุโรป ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโครงสร้างพื้นฐานและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายบูรณะOleksandr Kubrakov และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรMykola Solskyiถูกไล่ออกไปแล้วในเดือนพฤษภาคมนี้เอง สำหรับKuleba ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศตั้งแต่ปี 2020 โดยเขามีบทบาทนำในความพยายามของยูเครนในการร่วมมือกับพันธมิตรระหว่างประเทศและสร้างความร่วมมือใหม่นับตั้งแต่เริ่มต้นสงครามเต็มรูปแบบ หลังจากมีข่าวลือมาก่อนหน้านี้ว่าเขาจะถูกไล่ออกในเดือนสิงหาคม 2023คูเลบากล่าวทางโทรทัศน์ระดับประเทศว่าเขาไม่กังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ดังกล่าว “ผมทำงาน ไม่มีงานไหนถาวร และผมใจเย็นมากกับทุกๆ เรื่อง” เขากล่าวในตอนนั้น “ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าผมจะลาออกภายใต้สถานการณ์สองสถานการณ์: สถานการณ์แรกคือถ้าประธานาธิบดีขอให้ผมทำ และสถานการณ์ที่สองคือถ้าผมขัดแย้งกับนโยบายต่างประเทศในระดับพื้นฐานและไม่คิดว่าจะทำงานกับมันได้” คูเลบากล่าวเสริม หนังสือพิมพ์ยูเครนปราฟดารายงานเมื่อวันที่ 3 กันยายน โดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อ ว่านายคูเลบาจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง และยังคงมีการพิจารณาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทนอยู่ ผู้ที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะดำรงตำแหน่งนี้คือนายอันดรี ซิบีฮา รองรัฐมนตรีต่างประเทศ แหล่งข่าวกล่าว หลังจากรัฐมนตรี 5 รายลาออกเมื่อวันอังคาร ซึ่งพันธมิตรระดับสูงของ Zelenskyy มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการ "รีเซ็ต" รัฐบาลก่อนฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็น เซเลนสกีกล่าวว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเพื่อบรรลุผลตามที่ยูเครนต้องการ “ฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นช่วงที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับยูเครน และสถาบันของรัฐของเราควรได้รับการจัดการเพื่อให้ยูเครนบรรลุผลสำเร็จตามที่เราต้องการสำหรับเราทุกคน” ปลายเดือนนี้ เซเลนสกีจะเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อขอพบประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารัสเซียได้เพิ่มการโจมตีด้วยโดรนขีปนาวุธถล่มยูเครนหนัก #Thaitimes
    Like
    Yay
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 957 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากคอลัมน์ มันเป็นเช่นนั้นเอง โดยทับทิม พญาไท ในผู้จัดการออนไลน์ 1 กันยายน 2567

    “สำหรับ “แนวรบทะเลจีนใต้” นั้น...แม้ลักษณะภายนอก อาจดูผิดแผก แตกต่างไปจากทั้งสองแนวรบอยู่มั่ง แต่ถ้ามองลึกลงไปถึงไส้ในความร้อนเร่า ร้อนผ่าวๆ หรือ “ความไวไฟ” ก็ไม่น่าจะผิดไปจากกันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อมองถึงการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายJake Sullivan”

    เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา (27-29 ส.ค.) เพราะการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงอเมริกันรายนี้ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...อาจต่างไปจากการเดินทางไปเยี่ยมเยือนประเทศแต่ละประเทศตามปกติธรรมดา หรือตามขนบธรรมเนียมประเพณีโดยทั่วๆ ไป แต่ถือเป็นการเดินทางไปเยือนตาม “คำเชื้อเชิญ” ของคณะกรรมการกลางและโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อให้มีโอกาส “รับฟัง...สิ่งที่ควรได้ยิน” ดังที่บทบรรณาธิการ “Global Times” เขาว่าเอาไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละทั่น...

    และการพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะเจรจาของ 2 มหาอำนาจในคราวนี้...อาจแทบไม่ต้องเสียเวลาประดิษฐ์คิดค้นคำพูดประเภทสวยๆ หรูๆ แบบพวกนักการทูตที่ชอบวกไป-วนมาแต่อย่างใด เพราะถือเป็นการพูดคุยสื่อสารแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” (military-to-military communications) อะไรประมาณนั้น โดยผลสรุปของการพูดคุยเจรจา ถ้าฟังจากคำแถลงของกระทรวงกลาโหมจีน หรือจากคำประกาศของตัวแทนฝ่ายจีน อย่างรองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง “พลเอกZhang Youxia” ต้องเรียกว่า...เผลอๆอาจต้อง “หรี่แอร์” ในระหว่างการประชุมหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะออกจะเป็นอะไรที่ “หนาวว์ว์ว์ยะเยือก” อยู่พอสมควรทีเดียว หรืออย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศบางสำนักเขาถึงกับหยิบไปพาดหัวไว้ว่า...ปักกิ่งแสดงความต้องการที่จะให้วอชิงตัน “หยุดสมคบคิดทางทหาร” กับไต้หวัน เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

    คือ “พลเอกZhang Youxia” รายที่ว่านี้...แม้ว่าโดยฐานะ ตำแหน่ง จะเป็นแค่ “รองประธาน” ของคณะกรรมาธิการกลางทางทหารกองทัพจีนก็เถอะ แต่โดยความสนิทชิดเชื้อกับผู้นำสูงสุดของจีน อย่างประธานาธิบดี “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” นั้นว่ากันว่าสนิทกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อของทั้งคู่ และนอกจากเคยผ่านศึกสมรภูมิสงครามอย่าง “สงครามสั่งสอนเวียดนาม” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1979 แล้ว ยังมีสถานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คำพูด คำจาในแต่ละวรรค แต่ละประโยค ของบุคคลผู้นี้ คงต้อง “ฟัง” และฟังแบบต้อง “ได้ยิน” อีกต่างหาก โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ปมประเด็นปัญหาไต้หวันอันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่มิอาจแบ่งแยกได้นั้น ถือเป็นรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ และเป็นหมายเลขหนึ่งของ...เส้นตาย (Red Line) ที่ไม่อาจก้าวข้ามได้โดยเด็ดขาด แม้ว่าจีนจะพยายามรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในบริเวณช่องแคบไต้หวันมาโดยตลอด แต่ก็ต้องขอเตือนเอาไว้ด้วยว่า...สิ่งเหล่านี้อาจเป็นไปไม่ได้ถ้าหากยังมีความพยายามแบ่งแยกไต้หวันออกจากจีน!!!”

    นี่...ฟังแล้วต้องหรี่แอร์-ไม่หรี่แอร์ คงต้องไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน ยิ่งเป็นคำพูดระหว่าง “ทหาร-ต่อ-ทหาร” ไม่ใช่คำพูดหวานๆ แบบบรรดานักการทูตทั้งหลาย ก็คงต้องคิดหน้า-คิดหลังยิ่งขึ้นไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อรองประธานคณะกรรมาธิการทหารรายนี้ได้เน้นย้ำไว้ด้วยว่า “อเมริกาควรจะมียุทธศาสตร์ที่ถูกต้องในมุมมองที่มีต่อจีน และควรที่จะกลับมาสู่ความมีเหตุมีผลและนโยบายที่สอดคล้องกับความเป็นจริงต่อประเทศของเรา เคารพในผลประโยชน์หลักของจีนในทางปฏิบัติและพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ ร่วมกันแบกรับภาระความรับผิดชอบในฐานะประเทศมหาอำนาจ” อันถือเป็นคำพูดที่สอดคล้องต้องกันกับผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่บอกกับ “นายJake Sullivan” เอาไว้ก่อนหน้านั้นประมาณว่า... “จีนและสหรัฐฯ ควรจะมีความรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ ต่อประชาชนและต่อโลก” อีกด้วย...

    ดังนั้น...คำพูดที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวได้รับฟังแบบชนิดเต็มรูหู ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณ 11 ชั่วโมงในการพูดคุยหัวข้อต่างๆ ประมาณ 6 วาระ ระหว่างวันอังคารที่ 27 และพุธที่ 28 ส.ค. ถ้าหากจะสรุปย่อๆ แบบสั้นๆ-ง่ายๆ ตามสำบัดสำนวนของ “พลเอกZhang Youxia” ก็คือ... “หยุดสมคบคิดทางทหารกับไต้หวัน-หยุดติดอาวุธ-หยุดสร้างข่าวลือแบบผิดๆ” หรือเลิกกระตุ้น เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ให้เกิดความคิดความทะเยอทะยานของบรรดาชาวไต้หวันบางกลุ่ม-บางราย ที่จะแยกไต้หวันออกจากจีนโดยเด็ดขาด!!!

    ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้การพบปะระหว่างที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวกับฝ่ายจีนคราวนี้ ในสายตานักคิด-นักเขียนและนักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเอเชีย-แปซิฟิกโดยเฉพาะ อย่าง “K.J. Noh” ถึงได้สรุปว่า นี่ไม่ใช่การพบปะเพื่อกระชับความสัมพันธ์ หรือปรับปรุงความสัมพันธ์ใดๆ อีกต่อไป แต่ถือเป็นการตอกย้ำ “ข้อสงสัย” ของจีนต่อบทบาทของอเมริการในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ควรจะต้องเป็นไปตาม “ข้อตกลงที่บาหลี” (Bali Agreement) หรือระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำจีนและผู้นำอเมริกันที่นครซานฟรานซิสโก เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2023 นั่นก็คือข้อห้าม 5 ข้อ (Five Nos) ที่อเมริกาเคยสัญญิง-สัญญาไว้กับจีนว่าไม่คิดจะก่อสงครามเย็น-สงครามร้อน-ไม่คิดเปลี่ยนแปลงระบบปกครองจีน-ไม่ขัดขวางกิจกรรมของกันและกันและไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน...

    ดังนั้น...การที่คุณพ่ออเมริกายังไม่หยุดขายอาวุธไม่รู้จะกี่ต่อกี่พันล้าน-หมื่นล้านให้กับไต้หวัน ยังเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวันและที่ปรึกษาความมั่นคง ดอดเข้าไป “ประชุมลับ” กับอเมริกากันถึงที่ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแถมยังพยายามหันไปสร้าง “ดาวยั่วดวงใหม่”

    อย่างฟิลิปปินส์ ชนิดถึงกับยอมทุ่มเทเงินทองถึง 1.894 ล้านล้านเปโซ หรือ 1.1 ล้านล้านบาท (33,740 ล้านดอลลาร์) เพื่อซื้ออาวุธ ซื้อเครื่องบินโจมตีมารับมือกับจีน โดยยังไม่นับรวมไปถึงการคิดจะนำเอาขีปนาวุธพิสัยกลางของอเมริกามาติดตั้งไว้ในฟิลิปปินส์อีกต่างหาก ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่น่าจะทำให้ “แนวรบในทะเลจีนใต้” นับแต่นี้ น่าจะยิ่งร้อนเร่า ร้อนแรง ยิ่งขึ้นไปตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกอย่างจีน ไม่ได้คิดจะเอาแต่ลอดเลื้อย โอบกระหวัดรัดพันแบบแต่ก่อน แต่กล้าที่จะพูดจาแบบตรงไป-ตรงมา หรือแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” กับอเมริกา ให้ต้อง “ฟัง...แล้วได้ยิน” อย่างมิอาจเอาหูไปนา-เอาตาไปไร่ได้อีกต่อไป...

    อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้ “แนวรบ” ทุกแนวรบ กลายเป็นสิ่งที่สอดประสานซึ่งกันและกันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะแนวรบยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลางและทะเลจีนใต้ ที่ได้กลายเป็นตัวสร้าง “แรงกดดัน” ให้กับมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรตะวันตกทั้งหลาย ที่เพียงแค่เจอกับรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออกเท่านั้นก็แทบ “ไปไม่เป็น” กันไปทั้งแผง ไม่ใช่ “เสาหลักทางเศรษฐกิจ” อย่างเยอรมนีเท่านั้น ที่ต้องออกมาสารภาพว่าชักจะ “บ่อจี๊” ไม่เหลือเงิน-เหลือทองพอที่จะไปช่วย “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนได้อีกต่อไปแล้ว แต่กระทั่งโปแลนด์ที่อยู่หน้าปากประตูบ้านของรัสเซีย เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ก็ยังต้องออกมาสารภาพว่าแทบไม่เหลืออาวุธที่จะส่งไปให้ยูเครนอีกต่อไป ส่วนในแนวรบตะวันออกกลาง การตระเตรียมรับมือกับ “สงครามใหญ่” อันอาจเกิดจากการแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่าน ถึงกับทำให้เรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำของอเมริกาไม่สามารถถอนสมอไปไหน-มาไหนได้อีก แถมจรวดราคาลูกละเป็นล้านๆ ดอลลาร์ที่ต้องเอาไว้สกัดกั้นจรวดหรือเครื่องบินโดรนราคาถูกๆ ของพวกนักรบเยเมนอย่าง “กบฏฮูตี” ก็ชักจะร่อยหรอแทบไม่เหลือติดคลังเอาไว้เลยก็ว่าได้...

    ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากต้องมาเจอกับแนวรบอีกแนวรบ นั่นคือแนวรบทะเลจีนใต้ขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา รวมทั้งบรรดาพันธมิตรในโลกตะวันตกทั้งหลาย ที่ต่างก็ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้นจะยังคงยืนหยัด ยืนยัน ถึงความเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” ไม่ยอมเปิดโอกาส ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงว่าโลกทุกวันนี้ ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเรียบร้อยแล้ว ก็คงเป็นได้แค่คำคุยโม้ คุยโต ไปวันๆ เท่านั้นเอง!!!”

    ที่มา : คอลัมน์มันเป็นเช่นนั้นเอง/ทับทิม พญาไท
    https://mgronline.com/daily/detail/9670000080996

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากคอลัมน์ มันเป็นเช่นนั้นเอง โดยทับทิม พญาไท ในผู้จัดการออนไลน์ 1 กันยายน 2567 “สำหรับ “แนวรบทะเลจีนใต้” นั้น...แม้ลักษณะภายนอก อาจดูผิดแผก แตกต่างไปจากทั้งสองแนวรบอยู่มั่ง แต่ถ้ามองลึกลงไปถึงไส้ในความร้อนเร่า ร้อนผ่าวๆ หรือ “ความไวไฟ” ก็ไม่น่าจะผิดไปจากกันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อมองถึงการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายJake Sullivan” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา (27-29 ส.ค.) เพราะการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงอเมริกันรายนี้ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...อาจต่างไปจากการเดินทางไปเยี่ยมเยือนประเทศแต่ละประเทศตามปกติธรรมดา หรือตามขนบธรรมเนียมประเพณีโดยทั่วๆ ไป แต่ถือเป็นการเดินทางไปเยือนตาม “คำเชื้อเชิญ” ของคณะกรรมการกลางและโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อให้มีโอกาส “รับฟัง...สิ่งที่ควรได้ยิน” ดังที่บทบรรณาธิการ “Global Times” เขาว่าเอาไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละทั่น... และการพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะเจรจาของ 2 มหาอำนาจในคราวนี้...อาจแทบไม่ต้องเสียเวลาประดิษฐ์คิดค้นคำพูดประเภทสวยๆ หรูๆ แบบพวกนักการทูตที่ชอบวกไป-วนมาแต่อย่างใด เพราะถือเป็นการพูดคุยสื่อสารแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” (military-to-military communications) อะไรประมาณนั้น โดยผลสรุปของการพูดคุยเจรจา ถ้าฟังจากคำแถลงของกระทรวงกลาโหมจีน หรือจากคำประกาศของตัวแทนฝ่ายจีน อย่างรองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง “พลเอกZhang Youxia” ต้องเรียกว่า...เผลอๆอาจต้อง “หรี่แอร์” ในระหว่างการประชุมหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะออกจะเป็นอะไรที่ “หนาวว์ว์ว์ยะเยือก” อยู่พอสมควรทีเดียว หรืออย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศบางสำนักเขาถึงกับหยิบไปพาดหัวไว้ว่า...ปักกิ่งแสดงความต้องการที่จะให้วอชิงตัน “หยุดสมคบคิดทางทหาร” กับไต้หวัน เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! คือ “พลเอกZhang Youxia” รายที่ว่านี้...แม้ว่าโดยฐานะ ตำแหน่ง จะเป็นแค่ “รองประธาน” ของคณะกรรมาธิการกลางทางทหารกองทัพจีนก็เถอะ แต่โดยความสนิทชิดเชื้อกับผู้นำสูงสุดของจีน อย่างประธานาธิบดี “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” นั้นว่ากันว่าสนิทกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อของทั้งคู่ และนอกจากเคยผ่านศึกสมรภูมิสงครามอย่าง “สงครามสั่งสอนเวียดนาม” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1979 แล้ว ยังมีสถานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คำพูด คำจาในแต่ละวรรค แต่ละประโยค ของบุคคลผู้นี้ คงต้อง “ฟัง” และฟังแบบต้อง “ได้ยิน” อีกต่างหาก โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ปมประเด็นปัญหาไต้หวันอันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่มิอาจแบ่งแยกได้นั้น ถือเป็นรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ และเป็นหมายเลขหนึ่งของ...เส้นตาย (Red Line) ที่ไม่อาจก้าวข้ามได้โดยเด็ดขาด แม้ว่าจีนจะพยายามรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในบริเวณช่องแคบไต้หวันมาโดยตลอด แต่ก็ต้องขอเตือนเอาไว้ด้วยว่า...สิ่งเหล่านี้อาจเป็นไปไม่ได้ถ้าหากยังมีความพยายามแบ่งแยกไต้หวันออกจากจีน!!!” นี่...ฟังแล้วต้องหรี่แอร์-ไม่หรี่แอร์ คงต้องไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน ยิ่งเป็นคำพูดระหว่าง “ทหาร-ต่อ-ทหาร” ไม่ใช่คำพูดหวานๆ แบบบรรดานักการทูตทั้งหลาย ก็คงต้องคิดหน้า-คิดหลังยิ่งขึ้นไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อรองประธานคณะกรรมาธิการทหารรายนี้ได้เน้นย้ำไว้ด้วยว่า “อเมริกาควรจะมียุทธศาสตร์ที่ถูกต้องในมุมมองที่มีต่อจีน และควรที่จะกลับมาสู่ความมีเหตุมีผลและนโยบายที่สอดคล้องกับความเป็นจริงต่อประเทศของเรา เคารพในผลประโยชน์หลักของจีนในทางปฏิบัติและพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ ร่วมกันแบกรับภาระความรับผิดชอบในฐานะประเทศมหาอำนาจ” อันถือเป็นคำพูดที่สอดคล้องต้องกันกับผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่บอกกับ “นายJake Sullivan” เอาไว้ก่อนหน้านั้นประมาณว่า... “จีนและสหรัฐฯ ควรจะมีความรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ ต่อประชาชนและต่อโลก” อีกด้วย... ดังนั้น...คำพูดที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวได้รับฟังแบบชนิดเต็มรูหู ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณ 11 ชั่วโมงในการพูดคุยหัวข้อต่างๆ ประมาณ 6 วาระ ระหว่างวันอังคารที่ 27 และพุธที่ 28 ส.ค. ถ้าหากจะสรุปย่อๆ แบบสั้นๆ-ง่ายๆ ตามสำบัดสำนวนของ “พลเอกZhang Youxia” ก็คือ... “หยุดสมคบคิดทางทหารกับไต้หวัน-หยุดติดอาวุธ-หยุดสร้างข่าวลือแบบผิดๆ” หรือเลิกกระตุ้น เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ให้เกิดความคิดความทะเยอทะยานของบรรดาชาวไต้หวันบางกลุ่ม-บางราย ที่จะแยกไต้หวันออกจากจีนโดยเด็ดขาด!!! ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้การพบปะระหว่างที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวกับฝ่ายจีนคราวนี้ ในสายตานักคิด-นักเขียนและนักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเอเชีย-แปซิฟิกโดยเฉพาะ อย่าง “K.J. Noh” ถึงได้สรุปว่า นี่ไม่ใช่การพบปะเพื่อกระชับความสัมพันธ์ หรือปรับปรุงความสัมพันธ์ใดๆ อีกต่อไป แต่ถือเป็นการตอกย้ำ “ข้อสงสัย” ของจีนต่อบทบาทของอเมริการในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ควรจะต้องเป็นไปตาม “ข้อตกลงที่บาหลี” (Bali Agreement) หรือระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำจีนและผู้นำอเมริกันที่นครซานฟรานซิสโก เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2023 นั่นก็คือข้อห้าม 5 ข้อ (Five Nos) ที่อเมริกาเคยสัญญิง-สัญญาไว้กับจีนว่าไม่คิดจะก่อสงครามเย็น-สงครามร้อน-ไม่คิดเปลี่ยนแปลงระบบปกครองจีน-ไม่ขัดขวางกิจกรรมของกันและกันและไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน... ดังนั้น...การที่คุณพ่ออเมริกายังไม่หยุดขายอาวุธไม่รู้จะกี่ต่อกี่พันล้าน-หมื่นล้านให้กับไต้หวัน ยังเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวันและที่ปรึกษาความมั่นคง ดอดเข้าไป “ประชุมลับ” กับอเมริกากันถึงที่ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแถมยังพยายามหันไปสร้าง “ดาวยั่วดวงใหม่” อย่างฟิลิปปินส์ ชนิดถึงกับยอมทุ่มเทเงินทองถึง 1.894 ล้านล้านเปโซ หรือ 1.1 ล้านล้านบาท (33,740 ล้านดอลลาร์) เพื่อซื้ออาวุธ ซื้อเครื่องบินโจมตีมารับมือกับจีน โดยยังไม่นับรวมไปถึงการคิดจะนำเอาขีปนาวุธพิสัยกลางของอเมริกามาติดตั้งไว้ในฟิลิปปินส์อีกต่างหาก ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่น่าจะทำให้ “แนวรบในทะเลจีนใต้” นับแต่นี้ น่าจะยิ่งร้อนเร่า ร้อนแรง ยิ่งขึ้นไปตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกอย่างจีน ไม่ได้คิดจะเอาแต่ลอดเลื้อย โอบกระหวัดรัดพันแบบแต่ก่อน แต่กล้าที่จะพูดจาแบบตรงไป-ตรงมา หรือแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” กับอเมริกา ให้ต้อง “ฟัง...แล้วได้ยิน” อย่างมิอาจเอาหูไปนา-เอาตาไปไร่ได้อีกต่อไป... อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้ “แนวรบ” ทุกแนวรบ กลายเป็นสิ่งที่สอดประสานซึ่งกันและกันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะแนวรบยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลางและทะเลจีนใต้ ที่ได้กลายเป็นตัวสร้าง “แรงกดดัน” ให้กับมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรตะวันตกทั้งหลาย ที่เพียงแค่เจอกับรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออกเท่านั้นก็แทบ “ไปไม่เป็น” กันไปทั้งแผง ไม่ใช่ “เสาหลักทางเศรษฐกิจ” อย่างเยอรมนีเท่านั้น ที่ต้องออกมาสารภาพว่าชักจะ “บ่อจี๊” ไม่เหลือเงิน-เหลือทองพอที่จะไปช่วย “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนได้อีกต่อไปแล้ว แต่กระทั่งโปแลนด์ที่อยู่หน้าปากประตูบ้านของรัสเซีย เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ก็ยังต้องออกมาสารภาพว่าแทบไม่เหลืออาวุธที่จะส่งไปให้ยูเครนอีกต่อไป ส่วนในแนวรบตะวันออกกลาง การตระเตรียมรับมือกับ “สงครามใหญ่” อันอาจเกิดจากการแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่าน ถึงกับทำให้เรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำของอเมริกาไม่สามารถถอนสมอไปไหน-มาไหนได้อีก แถมจรวดราคาลูกละเป็นล้านๆ ดอลลาร์ที่ต้องเอาไว้สกัดกั้นจรวดหรือเครื่องบินโดรนราคาถูกๆ ของพวกนักรบเยเมนอย่าง “กบฏฮูตี” ก็ชักจะร่อยหรอแทบไม่เหลือติดคลังเอาไว้เลยก็ว่าได้... ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากต้องมาเจอกับแนวรบอีกแนวรบ นั่นคือแนวรบทะเลจีนใต้ขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา รวมทั้งบรรดาพันธมิตรในโลกตะวันตกทั้งหลาย ที่ต่างก็ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้นจะยังคงยืนหยัด ยืนยัน ถึงความเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” ไม่ยอมเปิดโอกาส ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงว่าโลกทุกวันนี้ ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเรียบร้อยแล้ว ก็คงเป็นได้แค่คำคุยโม้ คุยโต ไปวันๆ เท่านั้นเอง!!!” ที่มา : คอลัมน์มันเป็นเช่นนั้นเอง/ทับทิม พญาไท https://mgronline.com/daily/detail/9670000080996 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    สมรภูมิใหม่...ในแนวรบทะเลจีนใต้???
    เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตชวนไปแวะดู “แนวรบทะเลจีนใต้” เป็นการเฉพาะ เพราะสำหรับแนวรบอีก 2 แนวคือยุโรปตะวันออกกับตะวันออกกลางนั้น แทบไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์เจาะลึกอะไรกันมาก ด้วยเหตุเพราะโดยสภาพ
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 887 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ ลุงไม่แคร์ ข่าวลือใครต่อใครเป็นนายกฯ เพราะลุงเป็นเต็ง 1 เหรียญทองพาราลิมปิก เอาดีทางนี้ไปเลย
    #7ดอกจิก
    #ลุงป้อม
    #ตัวเต็ง
    ♣ ลุงไม่แคร์ ข่าวลือใครต่อใครเป็นนายกฯ เพราะลุงเป็นเต็ง 1 เหรียญทองพาราลิมปิก เอาดีทางนี้ไปเลย #7ดอกจิก #ลุงป้อม #ตัวเต็ง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว