💥💥ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล
แนวโน้มธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง
ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 มีแนวโน้มหดตัว
จากปัจจัยกดดันด้านการฟื้นตัวของกำลังซื้อ
และในปี 2568 ยังคงหดตัวต่อเนื่อง
แต่ในอัตราที่ลดลง

🚩ตลาดที่อยู่อาศัยยังต้องเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะจากการฟื้นตัวช้าของกำลังซื้อ ซึ่งกดดันให้
ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567-2568 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง

🚩ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจทั้งค่าครองชีพ ค่าใช้จ่าย
และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ย
และความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ ยังคงกดดันการฟื้นตัว
ของตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-ล่าง
ที่ส่วนใหญ่ตัดสินใจยังไม่ซื้อที่อยู่อาศัย หรือชะลอการซื้อออกไป

🚩โดยคาดว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ในปี 2567 จะหดตัวราว -10% (เทียบปีต่อปี) และหดตัวต่อเนื่องราว
-1% ถึง -3% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2568

🚩ส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2567
มีแนวโน้มหดตัวราว -9% (เทียบปีต่อปี) แต่อาจเริ่มทรงตัวได้
หรือหดตัวเล็กน้อยราว +0% ถึง -2% (ปีต่อปี) ในปี 2568

🚩ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ในต่างจังหวัด มีแนวโน้มหดตัว
ในอัตราที่สูงกว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑลเล็กน้อย
เนื่องจากมีสัดส่วนกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่สูงกว่า


🚩การเปิดโครงการใหม่ในปี 2567-2568 ยังมีแนวโน้มหดตัว
ต่อเนื่อง จากการที่ผู้ประกอบการระมัดระวังในการเปิดโครงการ
จากหน่วยเหลือขายสะสมที่เพิ่มขึ้น

🚩อีกทั้ง ต้นทุนก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูง จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัย
เปิดใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลคาดว่าจะหดตัวราว
-28% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2567 และหดตัวต่อเนื่องอีกราว
-2% ถึง -4% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2568
โดยเป็นการเปิดโครงการระดับราคาปานกลาง-บนเป็นหลัก
เพื่อเน้นเจาะกลุ่มกำลังซื้อที่มีศักยภาพ

🚩นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาอัตรา
กำไรได้ ท่ามกลางภาวะต้นทุนการก่อสร้างที่ยังอยู่ในระดับสูง
ทั้งวัสดุก่อสร้าง แรงงาน และราคาที่ดิน

🚩ส่วนการเปิดโครงการระดับราคาปานกลาง-ล่าง ยังเป็นไป
อย่างระมัดระวัง เน้นเฉพาะทำเลที่มีศักยภาพ และระบาย
สินค้าคงเหลือ มากขึ้นแทน


🚩ภาวะตลาดที่ซบเซาและการแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัย
ที่ยังมีแนวโน้มเป็นไปอย่างเข้มข้น ผู้ประกอบการจึงต้อง
ปรับกลยุทธ์ในหลายด้าน โดยกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการ
ควรให้ความสำคัญ ได้แก่

🚩1) พัฒนาโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง
🚩2) ตอบโจทย์ความต้องการผู้ซื้อแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุด
🚩3) ขยายตลาดผู้ซื้อชาวต่างชาติ
🚩4) บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษา
อัตรากำไร นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ
กับการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบ ESG มากขึ้น
โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ที่มา : scbeic
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #อสังหาริมทรัพย์ #thaitimes
💥💥ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล แนวโน้มธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 มีแนวโน้มหดตัว จากปัจจัยกดดันด้านการฟื้นตัวของกำลังซื้อ และในปี 2568 ยังคงหดตัวต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ลดลง 🚩ตลาดที่อยู่อาศัยยังต้องเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากการฟื้นตัวช้าของกำลังซื้อ ซึ่งกดดันให้ ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567-2568 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง 🚩ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจทั้งค่าครองชีพ ค่าใช้จ่าย และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ย และความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ ยังคงกดดันการฟื้นตัว ของตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-ล่าง ที่ส่วนใหญ่ตัดสินใจยังไม่ซื้อที่อยู่อาศัย หรือชะลอการซื้อออกไป 🚩โดยคาดว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในปี 2567 จะหดตัวราว -10% (เทียบปีต่อปี) และหดตัวต่อเนื่องราว -1% ถึง -3% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2568 🚩ส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2567 มีแนวโน้มหดตัวราว -9% (เทียบปีต่อปี) แต่อาจเริ่มทรงตัวได้ หรือหดตัวเล็กน้อยราว +0% ถึง -2% (ปีต่อปี) ในปี 2568 🚩ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ในต่างจังหวัด มีแนวโน้มหดตัว ในอัตราที่สูงกว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑลเล็กน้อย เนื่องจากมีสัดส่วนกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่สูงกว่า 🚩การเปิดโครงการใหม่ในปี 2567-2568 ยังมีแนวโน้มหดตัว ต่อเนื่อง จากการที่ผู้ประกอบการระมัดระวังในการเปิดโครงการ จากหน่วยเหลือขายสะสมที่เพิ่มขึ้น 🚩อีกทั้ง ต้นทุนก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูง จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัย เปิดใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลคาดว่าจะหดตัวราว -28% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2567 และหดตัวต่อเนื่องอีกราว -2% ถึง -4% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2568 โดยเป็นการเปิดโครงการระดับราคาปานกลาง-บนเป็นหลัก เพื่อเน้นเจาะกลุ่มกำลังซื้อที่มีศักยภาพ 🚩นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาอัตรา กำไรได้ ท่ามกลางภาวะต้นทุนการก่อสร้างที่ยังอยู่ในระดับสูง ทั้งวัสดุก่อสร้าง แรงงาน และราคาที่ดิน 🚩ส่วนการเปิดโครงการระดับราคาปานกลาง-ล่าง ยังเป็นไป อย่างระมัดระวัง เน้นเฉพาะทำเลที่มีศักยภาพ และระบาย สินค้าคงเหลือ มากขึ้นแทน 🚩ภาวะตลาดที่ซบเซาและการแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัย ที่ยังมีแนวโน้มเป็นไปอย่างเข้มข้น ผู้ประกอบการจึงต้อง ปรับกลยุทธ์ในหลายด้าน โดยกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการ ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ 🚩1) พัฒนาโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง 🚩2) ตอบโจทย์ความต้องการผู้ซื้อแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุด 🚩3) ขยายตลาดผู้ซื้อชาวต่างชาติ 🚩4) บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษา อัตรากำไร นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ กับการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบ ESG มากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่มา : scbeic #หุ้นติดดอย #การลงทุน #อสังหาริมทรัพย์ #thaitimes
Like
1
0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 584 มุมมอง 0 รีวิว