การจัดการทางการเงิน
ตอนที่ 5.
เปลี่ยนเป้าหมายให้ถึงเส้นชัยด้วย Smart Goal
หลายคน… ไม่ใช่ไม่มีความฝัน แต่ปัญหาคือมีความฝันแต่ยังไปไม่ถึงฝันสักที ไม่ว่าจะฝันว่าอยากมีบ้านไม้ มีรถใหม่ เรียนต่อ ใช้เงินเยอะทั้งนั้นเลย เงินอาจไม่ได้สำคัญที่สุดในชีวิต แต่ทุกอย่างที่สำคัญในชีวิตล้วนใช้เงินทั้งนั้น ถ้าอยากทำฝันให้เป็นจริงต้องเปลี่ยนความฝันให้เป็นเป้าหมายก่อน หลายคนประเมินการตั้งเป้าหมายที่ต่ำมาก มีงานวิจัยเด็กที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย เกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายซึ่งแน่นอนทุกคนล้วนเก่งมากๆแต่ผลที่ออกมาน่าตกใจมากครับ
.
ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่า
เด็กรุ่นแรก 80% ไม่เป้าหมาย กลุ่มที่ สอง 13% มีเป้าหมายแต่ไม่ได้เขียน กลุ่มสุดท้ายมีเพียง 3% ที่มีเป้าหมายอย่างชัดเจนและเขียนมันออกมา แล้วทีมวิจัยก็ติดตามเด็กกลุ่มนี้ไปอีกหลายปี และได้พบว่าในเด็กกลุ่มสุดท้ายที่มีเพียง 3 เปอร์เซ็นนั้นจะมีรายได้มากกว่าเด็ก สอง กลุ่มที่เหลืออีก 97% ร่วมกัน แถมมากกว่าถึง 10 เท่าตัวด้วย
.
การไม่มีเป้าหมายเหมือนการยิงธนูโดยไม่มีเป้า เป้าหมายไม่ชัดเจนก็เหมือนการปาลูกดอกออกไปให้โดนผนังซึ่งมันกว้างเหลือเกิน แบบนี้คุณจะไปหาท่าไหน ท่าไหนก็ได้ปลาแบบไม่ตั้งใจก็ยังโดน แต่ถ้าเป้าหมายคือ Blue eyes กลางเป้าเลยนะคุณจะปาแบบไหน คุณจะตั้งใจมากเล็งแล้วเล็งอีกมีสมาธิและนิ่งมากๆ เห็นไหมว่าเป้าหมายสำคัญมากๆจงเขียนมันออกมา
.
มาดูกันต่อครับว่าแล้วเราต้องเขียนเป้าหมายอย่างไรจึงจะทำให้มันกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ การเขียนเป้าหมายให้ได้ผลจะต้องเป็นแบบเป้าหมายที่เรียกว่า Smart Goal ซึ่งประกอบด้วย 5 สิ่งดังนี้
S = Specific หรือการเจาะจง ยกตัวอย่างเช่น อยากรวย อยากดูแลพ่อแม่อย่างดี เป็นเป้าหมายที่ไม่ชัดเจนเลยเท่าไหร่คือรวย ให้พ่อแม่เดือนละเท่าไหร่จึงจะถือว่าดูแลอย่างดี ต้องตั้งเป้าหมายว่ามี Passive Income เดือนละ 300,000 บาทตอนอายุ 50 ให้เงินพ่อแม่เดือนละ 50,000 บาทภายในปี xxx นี่คือตัวอย่างของเป้าหมายที่ชัดเจน
.
อยากมีความรู้การเงินเพิ่ม แบบนี้ไม่ใช่เป้าหมายที่ดีเพราะไม่เจาะจง แต่ถ้าตั้งเป้าหมายว่าฉันจะอ่านหนังสือการเงินเพิ่มเดือนละ หนึ่ง เล่ม เพื่อที่ 3 ารถมีรายได้ที่ดีเพิ่มขึ้น อย่างนี้เป็นเป้าหมายที่ดีเพราะเจาะจงและชัดเจน
.
ทำไมเป้าหมายที่เจาะจงจึงสำคัญ พอหากเป้าหมายไม่เจาะจงการกระทำก็จะไม่เจาะจงในทางกลับกัน ถ้าเป้าหมายของเราเจาะจงเราจะเจาะจงการกระทำตาม จึงทำให้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้
.
M = Measurable วัดผลได้
ใช่ตัวอย่างเดิมเลยนะครับ ถ้าเราตั้งเป้าหมายที่ดีเราจะรู้เลยว่ารายได้ที่เราต้องการเพิ่มคือปีละ 500,000 บาท เราก็ 3 ารถวัดผลได้เลยว่าเราต้องทำเดือนละเท่าไหร่แล้วตอนนี้ได้เท่าไหร่แล้ว
.
เราต้องการอ่านหนังสือการเงินเพิ่มเดือนละ หนึ่ง เล่มดังนั้นต้องอ่านวันละกี่หน้าแล้วตอนนี้อ่านได้กี่หน้าแล้ว ตามที่วางแผนไว้หรือยัง ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วเท่ากับว่าควรอ่านจบไปครึ่งเล่ม แบบนี้คือวัดผลได้ ถ้าเราตั้งเป้าหมายที่วัดผลไม่ได้ไม่มีค่าเลยเพราะจะไม่ทราบความก้าวหน้าของเราเลย
.
A = Achievable หรือรู้ว่าต้องทำอย่างไร
มีวิธีการลงมือทำอย่างชัดเจน มีวิธีการที่จะไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้ ไม่ใช่จินตนาการไปว่าเดี๋ยวมันคงเกิดขึ้นสักวัน เช่น ตั้งเป้าหมายว่าฉันจะผอม แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะผอมได้อย่างไร อย่างนี้ไม่ใช่เป้าหมายที่ดี
ตั้งเป้าหมายว่าจะอ่านหนังสือการเงินก่อนนอนวันละ 10 หน้า จะสร้างรายได้เพิ่มเดือนละ 5000 บาท จากการลงทุนในกองทุนรวมอย่างนี้เป็นต้น
.
R = Relevant หรือสอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่
เป้าหมายที่ดีต้องท้าทาย แต่ต้องเป็นไปได้ด้วยนะครับ ถ้าเราจะตั้งเป้าหมายว่าฉันจะอ่านหนังสือวันละเล่ม ทั้งๆที่ไม่เคยจับหนังสือมาเลยตั้งแต่เรียนจบ แบบนี้ก็คงจะเป็นไปได้ยากมันฝืนตัวเองจนเกินไป ถ้าวันนี้ได้รับเงินเดือนเดือนละ 20,000 บาทแล้วตั้งเป้าหมายว่าจะลงทุนเดือนละแสน แบบนี้คือมันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าตั้งเป้าหมายว่าจะลงทุนเดือนละ 2000 บาทแบบนี้เป็นเป้าหมายที่ดีเพราะเป็นไปได้
.
T = Time-bound หรือมีกรอบเวลาที่ชัดเจน
ยกตัวอย่างว่าอย่าอ่านหนังสือ 10 เล่ม อย่างนี้ไม่รู้เลยว่าต้องครบเมื่อไหร่ แต่ถ้าตั้งเป้าหมายว่าต้องอ่านหนังสือ 10 เล่มภายใน หนึ่ง ปีแบบนี้คือเป้าหมายที่ดีเพราะมีกรอบเวลาที่ชัดเจน
ถ้าคุณบอกว่าอย่างมีพอร์ตร้อยลล้านแต่ไม่รู้เมื่อไหร่แบบนี้คือการตั้งเป้าหมายที่ไม่ดี แต่ถ้าตั้งเป้าหมายว่าจะ DCA ทุกเดือน เดือนละ 7000 บาทได้รับผลตอบแทนปีละ 10% เป็นเวลา 10 ปีอย่างนี้เป็นต้นจึงเป็นเป้าหมายที่ดีมีกรอบเวลาชัดเจน ซึ่งมีผลต่อความสำเร็จมากๆเลยนะครับ
.
#สอนการลงทุน #สอนเล่นหุ้น #การลงทุน #หุ้น #ตลาดหุ้น #สอนฟรี #กลุ่มคนเล่นหุ้น #เรียนการลงทุน #เรียนหุ้น #พื้นฐานหุ้น #พื้นฐานการลงทุน #การเงิน #การธนาคาร
การจัดการทางการเงิน ตอนที่ 5. เปลี่ยนเป้าหมายให้ถึงเส้นชัยด้วย Smart Goal หลายคน… ไม่ใช่ไม่มีความฝัน แต่ปัญหาคือมีความฝันแต่ยังไปไม่ถึงฝันสักที ไม่ว่าจะฝันว่าอยากมีบ้านไม้ มีรถใหม่ เรียนต่อ ใช้เงินเยอะทั้งนั้นเลย เงินอาจไม่ได้สำคัญที่สุดในชีวิต แต่ทุกอย่างที่สำคัญในชีวิตล้วนใช้เงินทั้งนั้น ถ้าอยากทำฝันให้เป็นจริงต้องเปลี่ยนความฝันให้เป็นเป้าหมายก่อน หลายคนประเมินการตั้งเป้าหมายที่ต่ำมาก มีงานวิจัยเด็กที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย เกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายซึ่งแน่นอนทุกคนล้วนเก่งมากๆแต่ผลที่ออกมาน่าตกใจมากครับ . ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่า เด็กรุ่นแรก 80% ไม่เป้าหมาย กลุ่มที่ สอง 13% มีเป้าหมายแต่ไม่ได้เขียน กลุ่มสุดท้ายมีเพียง 3% ที่มีเป้าหมายอย่างชัดเจนและเขียนมันออกมา แล้วทีมวิจัยก็ติดตามเด็กกลุ่มนี้ไปอีกหลายปี และได้พบว่าในเด็กกลุ่มสุดท้ายที่มีเพียง 3 เปอร์เซ็นนั้นจะมีรายได้มากกว่าเด็ก สอง กลุ่มที่เหลืออีก 97% ร่วมกัน แถมมากกว่าถึง 10 เท่าตัวด้วย . การไม่มีเป้าหมายเหมือนการยิงธนูโดยไม่มีเป้า เป้าหมายไม่ชัดเจนก็เหมือนการปาลูกดอกออกไปให้โดนผนังซึ่งมันกว้างเหลือเกิน แบบนี้คุณจะไปหาท่าไหน ท่าไหนก็ได้ปลาแบบไม่ตั้งใจก็ยังโดน แต่ถ้าเป้าหมายคือ Blue eyes กลางเป้าเลยนะคุณจะปาแบบไหน คุณจะตั้งใจมากเล็งแล้วเล็งอีกมีสมาธิและนิ่งมากๆ เห็นไหมว่าเป้าหมายสำคัญมากๆจงเขียนมันออกมา . มาดูกันต่อครับว่าแล้วเราต้องเขียนเป้าหมายอย่างไรจึงจะทำให้มันกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ การเขียนเป้าหมายให้ได้ผลจะต้องเป็นแบบเป้าหมายที่เรียกว่า Smart Goal ซึ่งประกอบด้วย 5 สิ่งดังนี้ S = Specific หรือการเจาะจง ยกตัวอย่างเช่น อยากรวย อยากดูแลพ่อแม่อย่างดี เป็นเป้าหมายที่ไม่ชัดเจนเลยเท่าไหร่คือรวย ให้พ่อแม่เดือนละเท่าไหร่จึงจะถือว่าดูแลอย่างดี ต้องตั้งเป้าหมายว่ามี Passive Income เดือนละ 300,000 บาทตอนอายุ 50 ให้เงินพ่อแม่เดือนละ 50,000 บาทภายในปี xxx นี่คือตัวอย่างของเป้าหมายที่ชัดเจน . อยากมีความรู้การเงินเพิ่ม แบบนี้ไม่ใช่เป้าหมายที่ดีเพราะไม่เจาะจง แต่ถ้าตั้งเป้าหมายว่าฉันจะอ่านหนังสือการเงินเพิ่มเดือนละ หนึ่ง เล่ม เพื่อที่ 3 ารถมีรายได้ที่ดีเพิ่มขึ้น อย่างนี้เป็นเป้าหมายที่ดีเพราะเจาะจงและชัดเจน . ทำไมเป้าหมายที่เจาะจงจึงสำคัญ พอหากเป้าหมายไม่เจาะจงการกระทำก็จะไม่เจาะจงในทางกลับกัน ถ้าเป้าหมายของเราเจาะจงเราจะเจาะจงการกระทำตาม จึงทำให้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้ . M = Measurable วัดผลได้ ใช่ตัวอย่างเดิมเลยนะครับ ถ้าเราตั้งเป้าหมายที่ดีเราจะรู้เลยว่ารายได้ที่เราต้องการเพิ่มคือปีละ 500,000 บาท เราก็ 3 ารถวัดผลได้เลยว่าเราต้องทำเดือนละเท่าไหร่แล้วตอนนี้ได้เท่าไหร่แล้ว . เราต้องการอ่านหนังสือการเงินเพิ่มเดือนละ หนึ่ง เล่มดังนั้นต้องอ่านวันละกี่หน้าแล้วตอนนี้อ่านได้กี่หน้าแล้ว ตามที่วางแผนไว้หรือยัง ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วเท่ากับว่าควรอ่านจบไปครึ่งเล่ม แบบนี้คือวัดผลได้ ถ้าเราตั้งเป้าหมายที่วัดผลไม่ได้ไม่มีค่าเลยเพราะจะไม่ทราบความก้าวหน้าของเราเลย . A = Achievable หรือรู้ว่าต้องทำอย่างไร มีวิธีการลงมือทำอย่างชัดเจน มีวิธีการที่จะไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้ ไม่ใช่จินตนาการไปว่าเดี๋ยวมันคงเกิดขึ้นสักวัน เช่น ตั้งเป้าหมายว่าฉันจะผอม แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะผอมได้อย่างไร อย่างนี้ไม่ใช่เป้าหมายที่ดี ตั้งเป้าหมายว่าจะอ่านหนังสือการเงินก่อนนอนวันละ 10 หน้า จะสร้างรายได้เพิ่มเดือนละ 5000 บาท จากการลงทุนในกองทุนรวมอย่างนี้เป็นต้น . R = Relevant หรือสอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่ เป้าหมายที่ดีต้องท้าทาย แต่ต้องเป็นไปได้ด้วยนะครับ ถ้าเราจะตั้งเป้าหมายว่าฉันจะอ่านหนังสือวันละเล่ม ทั้งๆที่ไม่เคยจับหนังสือมาเลยตั้งแต่เรียนจบ แบบนี้ก็คงจะเป็นไปได้ยากมันฝืนตัวเองจนเกินไป ถ้าวันนี้ได้รับเงินเดือนเดือนละ 20,000 บาทแล้วตั้งเป้าหมายว่าจะลงทุนเดือนละแสน แบบนี้คือมันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าตั้งเป้าหมายว่าจะลงทุนเดือนละ 2000 บาทแบบนี้เป็นเป้าหมายที่ดีเพราะเป็นไปได้ . T = Time-bound หรือมีกรอบเวลาที่ชัดเจน ยกตัวอย่างว่าอย่าอ่านหนังสือ 10 เล่ม อย่างนี้ไม่รู้เลยว่าต้องครบเมื่อไหร่ แต่ถ้าตั้งเป้าหมายว่าต้องอ่านหนังสือ 10 เล่มภายใน หนึ่ง ปีแบบนี้คือเป้าหมายที่ดีเพราะมีกรอบเวลาที่ชัดเจน ถ้าคุณบอกว่าอย่างมีพอร์ตร้อยลล้านแต่ไม่รู้เมื่อไหร่แบบนี้คือการตั้งเป้าหมายที่ไม่ดี แต่ถ้าตั้งเป้าหมายว่าจะ DCA ทุกเดือน เดือนละ 7000 บาทได้รับผลตอบแทนปีละ 10% เป็นเวลา 10 ปีอย่างนี้เป็นต้นจึงเป็นเป้าหมายที่ดีมีกรอบเวลาชัดเจน ซึ่งมีผลต่อความสำเร็จมากๆเลยนะครับ . #สอนการลงทุน #สอนเล่นหุ้น #การลงทุน #หุ้น #ตลาดหุ้น #สอนฟรี #กลุ่มคนเล่นหุ้น #เรียนการลงทุน #เรียนหุ้น #พื้นฐานหุ้น #พื้นฐานการลงทุน #การเงิน #การธนาคาร
Like
1
0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews