การจัดการทางการเงิน

ตอนที่ 4.
ความมั่งคั่งวัดกันที่เวลา - มาดูกันว่าคุณมั่งคั่งแค่ไหนนี่คือสูตรคำนวณ ความมั่งคั่งจะเท่ากับเงินเก็บของคุณหารด้วยค่าใช้จ่ายต่อเดือนของคุณ ยกตัวอย่างเช่นคุณมีเงินเก็บ 100,000 บาท ค่าใช้จ่ายเดือนละ 20,000 บาท 100,000/20,000 = 5 แปลว่าคุณมีความมั่งคั่ง 5 เดือนครับ
.
ลองทายกันดูสิครับว่าคนรวยเขามั่งคั่งกันเท่าไหร่ หนึ่ง ปี สอง ปี 5 ปี 10 ปี คำตอบคือ อินฟินิตี้ คือตลอดไปเป็นไป ไปได้อย่างไรมาดูกัน รายได้ส่วนมากของคนรวยเป็น passive income เป็นรายได้ที่มาจากทรัพย์สินและถ้ามันมากกว่าการใช้จ่ายแปลว่าเขาจะมั่งคั่งตลอดไปครับ
.
ยกตัวอย่างเช่นถ้าคน หนึ่ง มี passive income เดือนละ หนึ่ง ล้านบาทจากเงินปันผล จากดอกเบี้ย จากค่าเช่าร่วมกันนะครับ เดือนละ หนึ่ง ล้านบาท แต่ว่าค่าใช้จ่ายเขาคือ 500,000 บาท เขาจะอยู่ได้นานแค่ไหนครับ คำตอบคือตลอดไป
.
Active income คือรายได้ที่เกิดจากการทำงานหากไม่ทำงานก็ไม่เกิดรายได้เช่น ค่าจ้าง เงินเดือนค่าคอมมิชชั่น รายได้จากการเปิดร้านค้า
Passive income คือรายได้ที่เกิดจากทรัพย์สินเช่น ค่าเช่า 5 ลิขสิทธิ์ เงินปันผล
.
ดอกเบี้ยตอนนี้ทุกคนคงเห็นความสำคัญของการลงทุนแล้วนะครับ แต่ก่อนที่เราจะไปคุยกันเรื่องของการลงทุน ผมมีคำถามครับ
เป้าหมายการลงทุนของคุณคืออะไร
คุณต้องการเท่าไหร่
และอยากได้เมื่อไร ตอบได้ทันทีหรือเปล่า ขอแสดงความยินดีกับคนที่ตอบได้ทันทีนะครับคุณมีเป้าหมายชัดเจนดีแล้ว แต่ถ้าใครยังตอบไม่ได้ไม่เป็นไรครับเราตั้งเป้าหมายกันตอนนี้เลย ทำไมเราต้องตั้งเป้าหมายหลายคนรู้สึกเบื่อคำนี้แล้ว อย่าเบื่อเลยครับ เพราะเป้าหมายคือความชัดเจนคือคำตอบว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไร เราต้องการนำรายได้จากการลงทุนไปทำอะไรกันแน่ เมื่อรู้แล้วเราจะนำไปออกแบบวิธีการและเลือกเครื่องมือที่จะพาเราไปถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างถูกต้อง
ดังนั้นตอนนี้เรามาตั้งเป้าหมายกันก่อน ถ้าเป้าหมายคุณชัดที่เหลือก็ชัด เราต้องออกแบบเป้าหมายกันอย่างชัดเจนอย่างละเอียดเลยครับหลายคนบอกว่าเป้าหมายคืออยากรวย ถ้าตอบแบบนี้ไม่พอนะครับ ต้องถามต่อว่าคำว่ารวยนั้นคือเท่าไหร่ เพราะคำว่ารวยของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนมี หนึ่ง ล้านคือรวย บางคนบอกต้องมีร้อยล้านถึงจะรวย บางคนบอกว่ามีเพียงพอกับการใช้ชีวิตอย่างสบายๆ แค่นี้ก็รวยแล้ว เห็นไหมว่าไม่เท่ากัน ถ้าเราไม่รู้คำตอบที่ชัดเจนเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรารวยแล้ว
.
ดังนั้นเราต้องมีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน ชัดแจ๋วละเอียดเลยนะครับ เพราะการที่ไม่มีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ก็เหมือนการยิงธนูโดยไม่มีปลายทางซึ่งไม่มีทางโดนอะไรเลยใช่ไหมครับ และต้องขอบอกอีกด้วยว่าไม่มีเป้าหมายแบบไหนที่ดีที่สุด มีแต่เป้าหมายที่ตอบโจทย์คุณที่สุด
.
ดังนั้นไม่ต้องถามผมว่าต้องตั้งเป้าหมายแบบไหนถึงจะดีเพราะคำถามนี้คุณต้องถามตัวคุณเองแล้วฟังคำตอบจากตัวคุณเองด้วยครับ และเป้าหมายของคุณไม่จำเป็นต้องเหมือนของคนอื่นนะครับ ถ้าตอนนี้ยังไม่ได้วางเป้าหมายเอาไว้เลยและคิดไม่ออกเลยว่าจะวางเป้าหมายอย่างไรด้วย ผมมีตัวอย่างการตั้งเป้าหมายมาฝาก ลองอ่านแล้วพิจารณาแล้วเลือกหรือจะนำมาปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของตัวเองดูครับ
1. เงินเก็บที่เพียงพอ – จนทำให้สามารถเกษียณได้ เป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายที่คนส่วนใหญ่บนโลกนี้ต้องการ ถ้าคุณตั้งเป้าหมายข้อนี้คุณต้องตอบคำถามตัวเองว่าคุณจะเกษียณเมื่ออายุเท่าไหร่ และคาดว่าจะเสียชีวิตตอนอายุเท่าไหร่ เราต้องคิดเรื่องนี้ไว้เพื่อวางแผนการเงินให้ชัดเจน แค่คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามนั้นจริงๆนะ เมื่อเราได้ตัวเลขอายุที่ต้องการเกษียณ และตัวเลขอายุขัยโดยประมาณ เราก็จะนำมาคำนวณตัวเลขง่ายๆเพื่อหาเป้าหมายในการลงทุนกัน
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณจะเกษียณตอนอายุ 60 ปีที่แล้วคาดว่าจะเสียชีวิตตอนอายุ 90 ปี ลบเลขง่ายๆก็ใช้ชีวิตต 30 ปีหรือ 360 เดือนใช่ไหมครับ
.
สิ่งที่ต้องมาคิดกันต่อคือ 30 ปีที่เหลืออยู่นั้น ต้องการใช้เงินเดือนละเท่าไหร่เพื่อจะนำมาคำนวณหาเงินเก็บที่จะต้องมีก่อนวันเกษียณ
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าต้องการใช้เงินเดือนละ 25,000 บาท
ก็ต้องมีเงินเก็บ 25,000 x 12 x 30 = 9 ล้านบาท
ถ้าต้องการใช้เงินเดือนละ 50,000 บาท
ก็ต้องมีเงินเก็บ 50,000 x 12 x 30 = 18 ล้านบาท
ถ้าต้องการใช้เงินเดือนละ 100,000 บาท
ก็ต้องมีเงินเก็บ 100,000 x 12 x 30 = 36 ล้านบาท
ถ้าต้องการใช้เงินเดือนละ 200,000 บาท
ก็ต้องมีเงินเก็บ 200,000 x 12 x 30 = 72 ล้านบาท
ถ้าต้องการใช้เงินเดือนละ 500,000 บาท
ก็ต้องมีเงินเก็บ 500,000 x 12 x 30 = 180 ล้านบาท
อย่างนี้เป็นต้น อย่าลืมด้วยว่าตัวเลขนี้ยังไม่รวมเงินเฟ้อนะครับ เก็บไว้ไหมครับ
.
2. มีอิสรภาพทางการเงิน – คือการที่มีรายได้จาก passive income มากกว่าค่าใช้จ่ายนั่นเองครับ รายได้จาก passive income คืออะไร ต้องอธิบายก่อนว่ารายได้ของเราถูกแบ่งออกเป็น สอง ประเภทใหญ่ๆคือ active และ Passive income
Active Income คือรายได้จากการทำงานที่ใช้แรงหรือเวลาของเราไปแลกกับรายได้ประเภทนี้มา เช่นค่าแรงเงินเดือนค่าคอมมิชชั่นเมื่อทำก็เกินรายได้แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่เกิดรายได้
Passive income คือรายได้ที่มาจากทรัพย์สินที่สร้างรายได้ต่อเนื่องกลับมาให้เราเช่น บ้านให้เช่า อพาร์ทเม้นท์ ค่าลิขสิทธ์ดอกเบี้ยเงินฝากปันผล
.
รายได้จาก Passive income ควรมีเท่าไหร่ เราวัดได้จาก Wealth Ratio หรืออัตราส่วนความมั่งคั่งซึ่งยิ่งมากยิ่งดีมีวิธีการคำนวณดังนี้
.
อัตราส่วนความมั่งคั่ง = รายได้จากทรัพย์สิน/ค่าใช้จ่ายเช่น ถ้ามีรายจ่าย 50,000 บาท และมี Passive income 50,000 บาท
อัตราส่วนความมั่งคั่งคือ 50,000/50,000 = 1
หรือถ้ามีรายจ่าย 100,000 บาท และมี passive income 500,000 บาท
อัตราส่วนความมั่งคั่งคือ 500,000/100,000 = 5
จะเห็นได้ว่ายิ่งมีอัตราส่วนความมั่งคั่งที่ยิ่งมากก็ยิ่งดีนะครับ ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไร้ความกังวลเท่านั้น
.
3. Generational Wealth เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลัง
เป้าหมายข้อนี้เหมือนเป้าหมายของผมครับ เราอาจตั้งเป้าหมายทางการเงินเป็นการสร้างแล้วส่งมอบต่อให้คนรุ่นหลังได้ ไม่ว่าจะเป็นลูก ล้าน องค์กรการกุศลหรือสาธารณประโยชน์ก็ได้ ถ้าคุณอยากจะส่งรายได้ต่อให้ผู้อื่นคุณจะต้องส่งต่อ Productive Asset หรือทรัพย์สินที่ผลิตเงินได้เช่นอสังหา ปล่อยเช่า หุ้นปันผล กองทุน ETF และส่งต่อความรู้ทางด้านการเงินด้วยนะครับ เพราะถ้าให้แค่เงินไม่ให้ความรู้ไม่ว่าจะมีมากเท่าไหร่ไม่นานก็หมด ต้องส่งทั้ง Mindset และ Skillset ให้เขา ความจริงแล้วแค่ให้ความรู้ทางด้านการเงินที่ถูกต้อง โดยที่ไม่ต้องให้ทรัพย์สิน ไม่ให้รายได้ เค้าก็ 3 ารถหาเงินเองได้ สร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองได้แล้ว แต่ถ้าให้ทรัพย์สินไปด้วยก็ยิ่งก็ยอดเยี่ยม
.
4. เป้าหมายแบบอื่นๆ - ได้อีกมากมายที่คุณ 3 ารถออกแบบขึ้นมาตามความต้องการของตัวเอง แต่ขั้นต่ำข้อ หนึ่ง ต้องทำให้ได้เท่าไม่ได้จะลำบากเลยนะครับแถมยังจะเป็นภาระให้คนอื่นด้วย ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างการวางเป้าหมายทางการลงทุนเพื่อให้คุณชัดเจนว่าต้องการอะไรจากการลงทุน ไม่ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร คุณต้องสร้าง แผนการและค้นหาวิธีการค้นหาเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายนั้นได้แล้วตั้งแต่วันนี้
.
เป้าหมายที่ไร้ซึ่งแผนการเป็นแค่ความฝัน – เหมือนเรามีเป้าหมายการเดินทางจากกรุงเทพฯจะไปเชียงใหม่เราจะขึ้นเครื่องบินไปก็ได้นั่งรถโดยสารไปก็ได้ขับรถไปเองก็ได้โบกรถไปก็ได้ใช่ไหม การเงินก็เช่นกัน เมื่อรู้เป้าหมายชัดเจนแล้ว เราก็ต้องมาวางแผนกันว่าจะไปถึงเป้าหมายทางการลงทุนนั้นด้วยเครื่องมืออะไร ซึ่งเครื่องมือที่เรากำลังพูดถึงอยู่นั้นผมเตรียมมาให้ทั้งหมดแล้ว ค่อยๆอ่านทำความเข้าใจและเลือกเครื่องมือไปใช้ตามเป้าหมายของคุณ ไม่มีที่ดีกว่าหรือแย่กว่า และไม่มีเครื่องมือที่ผิดหรือถูกนะครับมีแต่คำตอบที่ตอบโจทย์คุณ ดังนั้นตอนนี้ลองเขียนเป้าหมายออกมาให้ชัดเจนก่อน โดยยังไม่ต้องกังวลถึงวิธีการ เพราะวิธีการนั้นมากมายและไม่ต้องไปหาที่ไหนผมรวบรวมมาให้ทั้งหมดแล้วครับ ไปเรียนรู้ต่อได้เลย
.
#สอนการลงทุน #สอนเล่นหุ้น #การลงทุน #หุ้น #ตลาดหุ้น #สอนฟรี #กลุ่มคนเล่นหุ้น #เรียนการลงทุน #เรียนหุ้น #พื้นฐานหุ้น #พื้นฐานการลงทุน #การเงิน #การธนาคาร
การจัดการทางการเงิน ตอนที่ 4. ความมั่งคั่งวัดกันที่เวลา - มาดูกันว่าคุณมั่งคั่งแค่ไหนนี่คือสูตรคำนวณ ความมั่งคั่งจะเท่ากับเงินเก็บของคุณหารด้วยค่าใช้จ่ายต่อเดือนของคุณ ยกตัวอย่างเช่นคุณมีเงินเก็บ 100,000 บาท ค่าใช้จ่ายเดือนละ 20,000 บาท 100,000/20,000 = 5 แปลว่าคุณมีความมั่งคั่ง 5 เดือนครับ . ลองทายกันดูสิครับว่าคนรวยเขามั่งคั่งกันเท่าไหร่ หนึ่ง ปี สอง ปี 5 ปี 10 ปี คำตอบคือ อินฟินิตี้ คือตลอดไปเป็นไป ไปได้อย่างไรมาดูกัน รายได้ส่วนมากของคนรวยเป็น passive income เป็นรายได้ที่มาจากทรัพย์สินและถ้ามันมากกว่าการใช้จ่ายแปลว่าเขาจะมั่งคั่งตลอดไปครับ . ยกตัวอย่างเช่นถ้าคน หนึ่ง มี passive income เดือนละ หนึ่ง ล้านบาทจากเงินปันผล จากดอกเบี้ย จากค่าเช่าร่วมกันนะครับ เดือนละ หนึ่ง ล้านบาท แต่ว่าค่าใช้จ่ายเขาคือ 500,000 บาท เขาจะอยู่ได้นานแค่ไหนครับ คำตอบคือตลอดไป . Active income คือรายได้ที่เกิดจากการทำงานหากไม่ทำงานก็ไม่เกิดรายได้เช่น ค่าจ้าง เงินเดือนค่าคอมมิชชั่น รายได้จากการเปิดร้านค้า Passive income คือรายได้ที่เกิดจากทรัพย์สินเช่น ค่าเช่า 5 ลิขสิทธิ์ เงินปันผล . ดอกเบี้ยตอนนี้ทุกคนคงเห็นความสำคัญของการลงทุนแล้วนะครับ แต่ก่อนที่เราจะไปคุยกันเรื่องของการลงทุน ผมมีคำถามครับ เป้าหมายการลงทุนของคุณคืออะไร คุณต้องการเท่าไหร่ และอยากได้เมื่อไร ตอบได้ทันทีหรือเปล่า ขอแสดงความยินดีกับคนที่ตอบได้ทันทีนะครับคุณมีเป้าหมายชัดเจนดีแล้ว แต่ถ้าใครยังตอบไม่ได้ไม่เป็นไรครับเราตั้งเป้าหมายกันตอนนี้เลย ทำไมเราต้องตั้งเป้าหมายหลายคนรู้สึกเบื่อคำนี้แล้ว อย่าเบื่อเลยครับ เพราะเป้าหมายคือความชัดเจนคือคำตอบว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไร เราต้องการนำรายได้จากการลงทุนไปทำอะไรกันแน่ เมื่อรู้แล้วเราจะนำไปออกแบบวิธีการและเลือกเครื่องมือที่จะพาเราไปถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นตอนนี้เรามาตั้งเป้าหมายกันก่อน ถ้าเป้าหมายคุณชัดที่เหลือก็ชัด เราต้องออกแบบเป้าหมายกันอย่างชัดเจนอย่างละเอียดเลยครับหลายคนบอกว่าเป้าหมายคืออยากรวย ถ้าตอบแบบนี้ไม่พอนะครับ ต้องถามต่อว่าคำว่ารวยนั้นคือเท่าไหร่ เพราะคำว่ารวยของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนมี หนึ่ง ล้านคือรวย บางคนบอกต้องมีร้อยล้านถึงจะรวย บางคนบอกว่ามีเพียงพอกับการใช้ชีวิตอย่างสบายๆ แค่นี้ก็รวยแล้ว เห็นไหมว่าไม่เท่ากัน ถ้าเราไม่รู้คำตอบที่ชัดเจนเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรารวยแล้ว . ดังนั้นเราต้องมีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน ชัดแจ๋วละเอียดเลยนะครับ เพราะการที่ไม่มีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ก็เหมือนการยิงธนูโดยไม่มีปลายทางซึ่งไม่มีทางโดนอะไรเลยใช่ไหมครับ และต้องขอบอกอีกด้วยว่าไม่มีเป้าหมายแบบไหนที่ดีที่สุด มีแต่เป้าหมายที่ตอบโจทย์คุณที่สุด . ดังนั้นไม่ต้องถามผมว่าต้องตั้งเป้าหมายแบบไหนถึงจะดีเพราะคำถามนี้คุณต้องถามตัวคุณเองแล้วฟังคำตอบจากตัวคุณเองด้วยครับ และเป้าหมายของคุณไม่จำเป็นต้องเหมือนของคนอื่นนะครับ ถ้าตอนนี้ยังไม่ได้วางเป้าหมายเอาไว้เลยและคิดไม่ออกเลยว่าจะวางเป้าหมายอย่างไรด้วย ผมมีตัวอย่างการตั้งเป้าหมายมาฝาก ลองอ่านแล้วพิจารณาแล้วเลือกหรือจะนำมาปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของตัวเองดูครับ 1. เงินเก็บที่เพียงพอ – จนทำให้สามารถเกษียณได้ เป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายที่คนส่วนใหญ่บนโลกนี้ต้องการ ถ้าคุณตั้งเป้าหมายข้อนี้คุณต้องตอบคำถามตัวเองว่าคุณจะเกษียณเมื่ออายุเท่าไหร่ และคาดว่าจะเสียชีวิตตอนอายุเท่าไหร่ เราต้องคิดเรื่องนี้ไว้เพื่อวางแผนการเงินให้ชัดเจน แค่คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามนั้นจริงๆนะ เมื่อเราได้ตัวเลขอายุที่ต้องการเกษียณ และตัวเลขอายุขัยโดยประมาณ เราก็จะนำมาคำนวณตัวเลขง่ายๆเพื่อหาเป้าหมายในการลงทุนกัน ยกตัวอย่าง ถ้าคุณจะเกษียณตอนอายุ 60 ปีที่แล้วคาดว่าจะเสียชีวิตตอนอายุ 90 ปี ลบเลขง่ายๆก็ใช้ชีวิตต 30 ปีหรือ 360 เดือนใช่ไหมครับ . สิ่งที่ต้องมาคิดกันต่อคือ 30 ปีที่เหลืออยู่นั้น ต้องการใช้เงินเดือนละเท่าไหร่เพื่อจะนำมาคำนวณหาเงินเก็บที่จะต้องมีก่อนวันเกษียณ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการใช้เงินเดือนละ 25,000 บาท ก็ต้องมีเงินเก็บ 25,000 x 12 x 30 = 9 ล้านบาท ถ้าต้องการใช้เงินเดือนละ 50,000 บาท ก็ต้องมีเงินเก็บ 50,000 x 12 x 30 = 18 ล้านบาท ถ้าต้องการใช้เงินเดือนละ 100,000 บาท ก็ต้องมีเงินเก็บ 100,000 x 12 x 30 = 36 ล้านบาท ถ้าต้องการใช้เงินเดือนละ 200,000 บาท ก็ต้องมีเงินเก็บ 200,000 x 12 x 30 = 72 ล้านบาท ถ้าต้องการใช้เงินเดือนละ 500,000 บาท ก็ต้องมีเงินเก็บ 500,000 x 12 x 30 = 180 ล้านบาท อย่างนี้เป็นต้น อย่าลืมด้วยว่าตัวเลขนี้ยังไม่รวมเงินเฟ้อนะครับ เก็บไว้ไหมครับ . 2. มีอิสรภาพทางการเงิน – คือการที่มีรายได้จาก passive income มากกว่าค่าใช้จ่ายนั่นเองครับ รายได้จาก passive income คืออะไร ต้องอธิบายก่อนว่ารายได้ของเราถูกแบ่งออกเป็น สอง ประเภทใหญ่ๆคือ active และ Passive income Active Income คือรายได้จากการทำงานที่ใช้แรงหรือเวลาของเราไปแลกกับรายได้ประเภทนี้มา เช่นค่าแรงเงินเดือนค่าคอมมิชชั่นเมื่อทำก็เกินรายได้แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่เกิดรายได้ Passive income คือรายได้ที่มาจากทรัพย์สินที่สร้างรายได้ต่อเนื่องกลับมาให้เราเช่น บ้านให้เช่า อพาร์ทเม้นท์ ค่าลิขสิทธ์ดอกเบี้ยเงินฝากปันผล . รายได้จาก Passive income ควรมีเท่าไหร่ เราวัดได้จาก Wealth Ratio หรืออัตราส่วนความมั่งคั่งซึ่งยิ่งมากยิ่งดีมีวิธีการคำนวณดังนี้ . อัตราส่วนความมั่งคั่ง = รายได้จากทรัพย์สิน/ค่าใช้จ่ายเช่น ถ้ามีรายจ่าย 50,000 บาท และมี Passive income 50,000 บาท อัตราส่วนความมั่งคั่งคือ 50,000/50,000 = 1 หรือถ้ามีรายจ่าย 100,000 บาท และมี passive income 500,000 บาท อัตราส่วนความมั่งคั่งคือ 500,000/100,000 = 5 จะเห็นได้ว่ายิ่งมีอัตราส่วนความมั่งคั่งที่ยิ่งมากก็ยิ่งดีนะครับ ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไร้ความกังวลเท่านั้น . 3. Generational Wealth เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลัง เป้าหมายข้อนี้เหมือนเป้าหมายของผมครับ เราอาจตั้งเป้าหมายทางการเงินเป็นการสร้างแล้วส่งมอบต่อให้คนรุ่นหลังได้ ไม่ว่าจะเป็นลูก ล้าน องค์กรการกุศลหรือสาธารณประโยชน์ก็ได้ ถ้าคุณอยากจะส่งรายได้ต่อให้ผู้อื่นคุณจะต้องส่งต่อ Productive Asset หรือทรัพย์สินที่ผลิตเงินได้เช่นอสังหา ปล่อยเช่า หุ้นปันผล กองทุน ETF และส่งต่อความรู้ทางด้านการเงินด้วยนะครับ เพราะถ้าให้แค่เงินไม่ให้ความรู้ไม่ว่าจะมีมากเท่าไหร่ไม่นานก็หมด ต้องส่งทั้ง Mindset และ Skillset ให้เขา ความจริงแล้วแค่ให้ความรู้ทางด้านการเงินที่ถูกต้อง โดยที่ไม่ต้องให้ทรัพย์สิน ไม่ให้รายได้ เค้าก็ 3 ารถหาเงินเองได้ สร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองได้แล้ว แต่ถ้าให้ทรัพย์สินไปด้วยก็ยิ่งก็ยอดเยี่ยม . 4. เป้าหมายแบบอื่นๆ - ได้อีกมากมายที่คุณ 3 ารถออกแบบขึ้นมาตามความต้องการของตัวเอง แต่ขั้นต่ำข้อ หนึ่ง ต้องทำให้ได้เท่าไม่ได้จะลำบากเลยนะครับแถมยังจะเป็นภาระให้คนอื่นด้วย ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างการวางเป้าหมายทางการลงทุนเพื่อให้คุณชัดเจนว่าต้องการอะไรจากการลงทุน ไม่ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร คุณต้องสร้าง แผนการและค้นหาวิธีการค้นหาเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายนั้นได้แล้วตั้งแต่วันนี้ . เป้าหมายที่ไร้ซึ่งแผนการเป็นแค่ความฝัน – เหมือนเรามีเป้าหมายการเดินทางจากกรุงเทพฯจะไปเชียงใหม่เราจะขึ้นเครื่องบินไปก็ได้นั่งรถโดยสารไปก็ได้ขับรถไปเองก็ได้โบกรถไปก็ได้ใช่ไหม การเงินก็เช่นกัน เมื่อรู้เป้าหมายชัดเจนแล้ว เราก็ต้องมาวางแผนกันว่าจะไปถึงเป้าหมายทางการลงทุนนั้นด้วยเครื่องมืออะไร ซึ่งเครื่องมือที่เรากำลังพูดถึงอยู่นั้นผมเตรียมมาให้ทั้งหมดแล้ว ค่อยๆอ่านทำความเข้าใจและเลือกเครื่องมือไปใช้ตามเป้าหมายของคุณ ไม่มีที่ดีกว่าหรือแย่กว่า และไม่มีเครื่องมือที่ผิดหรือถูกนะครับมีแต่คำตอบที่ตอบโจทย์คุณ ดังนั้นตอนนี้ลองเขียนเป้าหมายออกมาให้ชัดเจนก่อน โดยยังไม่ต้องกังวลถึงวิธีการ เพราะวิธีการนั้นมากมายและไม่ต้องไปหาที่ไหนผมรวบรวมมาให้ทั้งหมดแล้วครับ ไปเรียนรู้ต่อได้เลย . #สอนการลงทุน #สอนเล่นหุ้น #การลงทุน #หุ้น #ตลาดหุ้น #สอนฟรี #กลุ่มคนเล่นหุ้น #เรียนการลงทุน #เรียนหุ้น #พื้นฐานหุ้น #พื้นฐานการลงทุน #การเงิน #การธนาคาร
Like
1
0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว