The Case Against Sugar หวานซ่อนตาย (2025/073)

“ความหวาน” …อันตรายและส่งผลต่อสุขภาพมากกว่าที่พวกคุณคิด

นักวิทยาศาสตร์นักเขียนที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพชื่อดัง ในเล่มนี้ผู้อ่านจะได้รับการสื่อสารในมุมของนักวิทยาศาตร์ ซึ่งเป็นอีกกรณีที่เขียนในเรื่องสุขภาพที่ไม่ใช่แพทย์เขียน เป็นมุมมองที่มีต่อความหวานที่รอบด้านมากๆ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ การต่อสู้เพื่อจับผู้ตัองหาอันดับหนึ่ง(น้ำตาล)ที่ส่งผลต่อสุขภาพ การยกงานวิจัยเพื่อจับวายร้ายตัวจริงที่ทำลายสุขภาพ และในแง่ทางการแพทย์ที่น้ำตาลส่งผลต่อร่างกาย น้ำตาลและโดยเฉพาะน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรักโทสสูงส่งผลต่อสุขภาพมากมายกว่าที่เราได้รับข้อมูลมา

เป็นที่ถกเถียงกันมานานว่า โรคภัยต่างๆที่ไม่ใช่โรคติดต่อแต่กลับระบาดเหมือนโรคระบาดเพียงช่วงเวลาสองชั่วอายุคน จากคนป่วยจำนวนเล็กน้อยที่ตรวจพบในแบบที่ต้องค้นหาบันทึกในประวัติศาสตร์ แต่ปัจจุบันมีคนป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโรคเบาหวานที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้อย่างชัดเจน โดยในปัจจุบันที่ประเทศอเมริกา มีผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานถึง 1 ใน 10 ของประชากร ทั้งๆที่หากย้อนกลับไปเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานหาแทบไม่เจอ บันทึกของแต่ละประเทศมีผู้ป่วยอยู่ไม่เกิน 10คนที่มีบันทึก
นี่เป็นคำถามค้างคาใจของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เขาต้องการหาสาเหตุที่ทำไมช่วงเวลา 100 ปีกลับมีโรคเบาหวานเกิดขึ้นกับประชากรโลกอย่างก้าวกระโดดหลายๆร้อยเท่า เขาค้นพบว่าน้ำตาลคือสาเหตุหลัก แต่กว่าที่โลกจะยอมรับว่าน้ำตาลเป็นสาเหตุหลักของโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรความดันโลหิตสูง และอื่นโรคอื่นๆ ซึ่งการต่อสู้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมีตัวการใหญ่คือ อุตสาหกรรมน้ำตาล และอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอาหาร ที่คอยขัดขวางอยู่

ผู้เขียนเล่าประวัติศาสตร์ของน้ำตาลได้อย่างน่าสนใจ เล่าตั้งแต่หลายพันปีก่อนคริสตกาล การนำเอาอ้อยจากตะวันออกกลางไปปลูกที่ยุโรป น้ำตาลมีความต้องการสูงขึ้นสูงขึ้น ในขณะนั้นมีความเชื่อว่าน้ำตาลเป็นยาวิเศษเมื่อดื่มหรือกินเข้าไปจะทำให้กระปรี้กระเปร่า ผู้ป่วยมีแรงขึ้นมาทันใด เมื่อน้ำตาลไม่เพียงพอต่อการบริโภคราคาน้ำตาลก็สูงขึ้น จนมีแต่ชนชั้นสูงที่สามารถรับประทานน้ำตาลได้ ชาวยุโรปเห็นว่าน้ำตาลราคาสูง พวกเขาจึงนำอ้อยไปปลูกที่แอฟริกา อเมริกาใต้ อเมริกากลาง และเกาะแก่งรอบๆมหาสมุทรแอตแลนติก และทำเป็นเกร็ดน้ำตาลทรายขาวน่ารับประทาน ส่งกลับมาขายที่ยุโรป เมื่อเวลาผ่านไป น้ำตาลราคาถูกลงทำให้ประชาชนสามารถเข้าสู่น้ำตาลได้มากขึ้นๆๆ นี่คือจุดเริ่มต้นของหายนะทางสุขภาพ นอกจากนี้เนื่องจากน้ำตาลจากอ้อยที่หายกในยามสงคราม ทำให้เกิดการคิดค้นน้ำตาลและสารให้ความหวานจากแหล่งอื่น ซึ่งได้แก่หัวบีทและข้าวโพด ในช่วงหลังๆยังมีการค้นพบสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอื่นๆด้วย

การบริโภคน้ำตาลต่อปี สูงขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1715 การบริโภคน้ำตาลอยู่ที่ 4ปอนด์/ปี ในปี ค.ศ.1930 เพิ่มขึ้นเป็น 30ปอนด์/ปี และในปี ค.ศ.1960 การบริโภคน้ำตาลเพิ่มเป็น 70ปอนด์/ปี ตัวเลขนี้ล้อไปกับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ แต่สมาคมน้ำตาลไม่ยอมรับคำกล่าวหานี้ พวกเขาต่อสู้และให้เงินจำนวนมากให้กับนักวิจัยจากหลากหลายมหาวิทยาลัยชื่อดังเพื่อโต้แย้งข้อกล่าวหาของน้ำตาล เช่นเรื่องฟันผุ , เรื่องโรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง เรื่องการนับแคลอรี่ และการส่งเสริมให้บริโภคน้ำตาล จนกระทั่ง FDA ของประเทศอเมริกายังคล้อยตาม(อย่างมีข้อสงสัย) และยืนยันว่าการบริโภคน้ำตาลไม่มีผลต่อสุขภาพ ฝ่ายที่เห็นว่าน้ำตาลมีปัญหาก็พยายามยกข้อโต้แย้งทางการวิจัยมากมายเพื่อต่อสู้

ผู้เขียนได้ยกงานวิจัยสองสามชิ้น ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลทางสุขภาพ นักวิจัยไปตามหาแหล่งวัฒนธรรมที่ห่างไกลจากสังคมเมือง ทั้งในทวีปแอฟริกา , ชุมชนอเมริกันพื้นเมือง และเกาะในโอเชียเนีย ที่ไม่เคยมีผู้ป่วยเบาหวานเลยแม้แต่คนเดียว เพียงมีการนำเอาอาหารจากตะวันตกเข้าไป เพียงสองชั่วอายุคนก็มีคนป่วยเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นมากมาย

น้ำตาลและน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรักโทสสูงมีต่อการดื้ออินซูลิน และส่งผลต่อสุขภาพมากมาย ฟรักโทสจะถูกส่งเข้าไปที่ตับโดยตรงและตับจะเปลี่ยนฟรักโทสเป็นไตรกรีเซอไล และมันจะเกาะอยู่ที่ตับเป็นอาการไขมันพอกตับ และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการดื้ออินซูลินและโรคต่างๆตามมามากมาย

น้ำเชื่อมข้าวโพดฟรักโทส(HFCS หรือ HFCS-55) ซึ่งประกอบไปด้วย ฟักโทส 55% และกลูโคส 45% ที่เริ่มคิดค้นในปี ค.ศ.1970 มันถูกสร้างขึ้นมาแทนซูโครส (ที่มาจากน้ำตาลอ้อย) ซึ่งน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรักโทสมีราคาถูกกว่าและถูกนำไปผสมในอาหารและเครื่องดื่มเพื่อลดต้นทุน รสชาดก็ไม่แตกต่างกับซูโครส โดยที่ในปัจจุบันมีผสมอยู่ในเครื่องดื่มสำเร็จรูปที่บรรจุทุกขวด ทุกกระป๋อง ลูกอม และขนมขบเคี้ยว

#TheCaseAgainstSugar #หวานซ่อนตาย #รีวิวหนังสือ
The Case Against Sugar หวานซ่อนตาย (2025/073) “ความหวาน” …อันตรายและส่งผลต่อสุขภาพมากกว่าที่พวกคุณคิด นักวิทยาศาสตร์นักเขียนที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพชื่อดัง ในเล่มนี้ผู้อ่านจะได้รับการสื่อสารในมุมของนักวิทยาศาตร์ ซึ่งเป็นอีกกรณีที่เขียนในเรื่องสุขภาพที่ไม่ใช่แพทย์เขียน เป็นมุมมองที่มีต่อความหวานที่รอบด้านมากๆ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ การต่อสู้เพื่อจับผู้ตัองหาอันดับหนึ่ง(น้ำตาล)ที่ส่งผลต่อสุขภาพ การยกงานวิจัยเพื่อจับวายร้ายตัวจริงที่ทำลายสุขภาพ และในแง่ทางการแพทย์ที่น้ำตาลส่งผลต่อร่างกาย น้ำตาลและโดยเฉพาะน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรักโทสสูงส่งผลต่อสุขภาพมากมายกว่าที่เราได้รับข้อมูลมา เป็นที่ถกเถียงกันมานานว่า โรคภัยต่างๆที่ไม่ใช่โรคติดต่อแต่กลับระบาดเหมือนโรคระบาดเพียงช่วงเวลาสองชั่วอายุคน จากคนป่วยจำนวนเล็กน้อยที่ตรวจพบในแบบที่ต้องค้นหาบันทึกในประวัติศาสตร์ แต่ปัจจุบันมีคนป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโรคเบาหวานที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้อย่างชัดเจน โดยในปัจจุบันที่ประเทศอเมริกา มีผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานถึง 1 ใน 10 ของประชากร ทั้งๆที่หากย้อนกลับไปเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานหาแทบไม่เจอ บันทึกของแต่ละประเทศมีผู้ป่วยอยู่ไม่เกิน 10คนที่มีบันทึก นี่เป็นคำถามค้างคาใจของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เขาต้องการหาสาเหตุที่ทำไมช่วงเวลา 100 ปีกลับมีโรคเบาหวานเกิดขึ้นกับประชากรโลกอย่างก้าวกระโดดหลายๆร้อยเท่า เขาค้นพบว่าน้ำตาลคือสาเหตุหลัก แต่กว่าที่โลกจะยอมรับว่าน้ำตาลเป็นสาเหตุหลักของโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรความดันโลหิตสูง และอื่นโรคอื่นๆ ซึ่งการต่อสู้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมีตัวการใหญ่คือ อุตสาหกรรมน้ำตาล และอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอาหาร ที่คอยขัดขวางอยู่ ผู้เขียนเล่าประวัติศาสตร์ของน้ำตาลได้อย่างน่าสนใจ เล่าตั้งแต่หลายพันปีก่อนคริสตกาล การนำเอาอ้อยจากตะวันออกกลางไปปลูกที่ยุโรป น้ำตาลมีความต้องการสูงขึ้นสูงขึ้น ในขณะนั้นมีความเชื่อว่าน้ำตาลเป็นยาวิเศษเมื่อดื่มหรือกินเข้าไปจะทำให้กระปรี้กระเปร่า ผู้ป่วยมีแรงขึ้นมาทันใด เมื่อน้ำตาลไม่เพียงพอต่อการบริโภคราคาน้ำตาลก็สูงขึ้น จนมีแต่ชนชั้นสูงที่สามารถรับประทานน้ำตาลได้ ชาวยุโรปเห็นว่าน้ำตาลราคาสูง พวกเขาจึงนำอ้อยไปปลูกที่แอฟริกา อเมริกาใต้ อเมริกากลาง และเกาะแก่งรอบๆมหาสมุทรแอตแลนติก และทำเป็นเกร็ดน้ำตาลทรายขาวน่ารับประทาน ส่งกลับมาขายที่ยุโรป เมื่อเวลาผ่านไป น้ำตาลราคาถูกลงทำให้ประชาชนสามารถเข้าสู่น้ำตาลได้มากขึ้นๆๆ นี่คือจุดเริ่มต้นของหายนะทางสุขภาพ นอกจากนี้เนื่องจากน้ำตาลจากอ้อยที่หายกในยามสงคราม ทำให้เกิดการคิดค้นน้ำตาลและสารให้ความหวานจากแหล่งอื่น ซึ่งได้แก่หัวบีทและข้าวโพด ในช่วงหลังๆยังมีการค้นพบสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอื่นๆด้วย การบริโภคน้ำตาลต่อปี สูงขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1715 การบริโภคน้ำตาลอยู่ที่ 4ปอนด์/ปี ในปี ค.ศ.1930 เพิ่มขึ้นเป็น 30ปอนด์/ปี และในปี ค.ศ.1960 การบริโภคน้ำตาลเพิ่มเป็น 70ปอนด์/ปี ตัวเลขนี้ล้อไปกับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ แต่สมาคมน้ำตาลไม่ยอมรับคำกล่าวหานี้ พวกเขาต่อสู้และให้เงินจำนวนมากให้กับนักวิจัยจากหลากหลายมหาวิทยาลัยชื่อดังเพื่อโต้แย้งข้อกล่าวหาของน้ำตาล เช่นเรื่องฟันผุ , เรื่องโรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง เรื่องการนับแคลอรี่ และการส่งเสริมให้บริโภคน้ำตาล จนกระทั่ง FDA ของประเทศอเมริกายังคล้อยตาม(อย่างมีข้อสงสัย) และยืนยันว่าการบริโภคน้ำตาลไม่มีผลต่อสุขภาพ ฝ่ายที่เห็นว่าน้ำตาลมีปัญหาก็พยายามยกข้อโต้แย้งทางการวิจัยมากมายเพื่อต่อสู้ ผู้เขียนได้ยกงานวิจัยสองสามชิ้น ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลทางสุขภาพ นักวิจัยไปตามหาแหล่งวัฒนธรรมที่ห่างไกลจากสังคมเมือง ทั้งในทวีปแอฟริกา , ชุมชนอเมริกันพื้นเมือง และเกาะในโอเชียเนีย ที่ไม่เคยมีผู้ป่วยเบาหวานเลยแม้แต่คนเดียว เพียงมีการนำเอาอาหารจากตะวันตกเข้าไป เพียงสองชั่วอายุคนก็มีคนป่วยเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นมากมาย น้ำตาลและน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรักโทสสูงมีต่อการดื้ออินซูลิน และส่งผลต่อสุขภาพมากมาย ฟรักโทสจะถูกส่งเข้าไปที่ตับโดยตรงและตับจะเปลี่ยนฟรักโทสเป็นไตรกรีเซอไล และมันจะเกาะอยู่ที่ตับเป็นอาการไขมันพอกตับ และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการดื้ออินซูลินและโรคต่างๆตามมามากมาย น้ำเชื่อมข้าวโพดฟรักโทส(HFCS หรือ HFCS-55) ซึ่งประกอบไปด้วย ฟักโทส 55% และกลูโคส 45% ที่เริ่มคิดค้นในปี ค.ศ.1970 มันถูกสร้างขึ้นมาแทนซูโครส (ที่มาจากน้ำตาลอ้อย) ซึ่งน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรักโทสมีราคาถูกกว่าและถูกนำไปผสมในอาหารและเครื่องดื่มเพื่อลดต้นทุน รสชาดก็ไม่แตกต่างกับซูโครส โดยที่ในปัจจุบันมีผสมอยู่ในเครื่องดื่มสำเร็จรูปที่บรรจุทุกขวด ทุกกระป๋อง ลูกอม และขนมขบเคี้ยว #TheCaseAgainstSugar #หวานซ่อนตาย #รีวิวหนังสือ
0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews