อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษาว่าผู้จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน
สัทธรรมลำดับที่ : 309
ชื่อบทธรรม :- จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=309
เนื้อความทั้งหมด :-
--จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน
--“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ
ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง พระเจ้าข้า ?”
--มิคชาละ ! รูป ทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ
อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก
เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่.
ถ้าหากว่าภิกษุย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้ ;

+--แก่ภิกษุผู้เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นอยู่นั่นแหละ,
นันทิ (ความเพลิดเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น.
+--เมื่อนันทิ มีอยู่,
สาราคะ (ความกำหนัดกล้า) ย่อมมี ;
+--เมื่อสาราคะ มีอยู่,
สัญโญคะ (ความผูกจิตติดกับอารมณ์-มโนกรรม) ย่อมมี ;
--มิคชาละ ! ภิกษุผู้ ประกอบพร้อมแล้ว
ด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์ ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน นั่นแล
เราเรียกว่า “#ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง”.

(ในกรณีแห่ง
เสียง ทั้งหลายอันจะพึงได้ยินด้วยหูก็ดี,
กลิ่น ทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูกก็ดี,
รส ทั้งหลายอันจะพึงลิ้มด้วยลิ้นก็ดี,
โผฏฐัพพะ ทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกายก็ดี,
และธรรมารมณ์ ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจก็ดี,
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้มีนัยยะอย่างเดียวกัน
กับในกรณีแห่งรูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นด้วยจักษุ
).

--มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้จะส้องเสพเสนาสนะ
อันเป็นป่าและป่าชัฏ ซึ่งเงียบสงัด มีเสียงรบกวนน้อย
มีเสียงกึกก้องครึกโครมน้อย ปราศจากลมจากผิวกายคน
เป็นที่ทำการลับของมนุษย์ เป็นที่สมควรแก่การหลีกเร้น เช่นนี้แล้วก็ตาม,
+--ถึงกระนั้น ภิกษุนั้นเราก็ยังคงเรียกว่าผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสองอยู่นั่นเอง.
+--ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่า #ตัณหานั่นแลเป็นเพื่อนสองของภิกษุนั้น ;
+--ตัณหา นั้น อันภิกษุนั้นยังละไม่ได้แล้ว เพราะเหตุนั้น
ภิกษุนั้นเราจึงเรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง
ดังนี้.-

#ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/34/66.
http://etipitaka.com/read/thai/18/34/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%96
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๔๓/๖๖.
http://etipitaka.com/read/pali/18/43/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%96
ศึกษาเพิ่มเติม...
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=309
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=20&id=309
หรือ
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=20
ลำดับสาธยายธรรม : 20 ฟังเสียง...
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_20.mp3
อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษาว่าผู้จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน สัทธรรมลำดับที่ : 309 ชื่อบทธรรม :- จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=309 เนื้อความทั้งหมด :- --จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง พระเจ้าข้า ?” --มิคชาละ ! รูป ทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่. ถ้าหากว่าภิกษุย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้ ; +--แก่ภิกษุผู้เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นอยู่นั่นแหละ, นันทิ (ความเพลิดเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น. +--เมื่อนันทิ มีอยู่, สาราคะ (ความกำหนัดกล้า) ย่อมมี ; +--เมื่อสาราคะ มีอยู่, สัญโญคะ (ความผูกจิตติดกับอารมณ์-มโนกรรม) ย่อมมี ; --มิคชาละ ! ภิกษุผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์ ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน นั่นแล เราเรียกว่า “#ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง”. (ในกรณีแห่ง เสียง ทั้งหลายอันจะพึงได้ยินด้วยหูก็ดี, กลิ่น ทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูกก็ดี, รส ทั้งหลายอันจะพึงลิ้มด้วยลิ้นก็ดี, โผฏฐัพพะ ทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกายก็ดี, และธรรมารมณ์ ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจก็ดี, พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้มีนัยยะอย่างเดียวกัน กับในกรณีแห่งรูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นด้วยจักษุ ). --มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้จะส้องเสพเสนาสนะ อันเป็นป่าและป่าชัฏ ซึ่งเงียบสงัด มีเสียงรบกวนน้อย มีเสียงกึกก้องครึกโครมน้อย ปราศจากลมจากผิวกายคน เป็นที่ทำการลับของมนุษย์ เป็นที่สมควรแก่การหลีกเร้น เช่นนี้แล้วก็ตาม, +--ถึงกระนั้น ภิกษุนั้นเราก็ยังคงเรียกว่าผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสองอยู่นั่นเอง. +--ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า #ตัณหานั่นแลเป็นเพื่อนสองของภิกษุนั้น ; +--ตัณหา นั้น อันภิกษุนั้นยังละไม่ได้แล้ว เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นเราจึงเรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง ดังนี้.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/34/66. http://etipitaka.com/read/thai/18/34/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๔๓/๖๖. http://etipitaka.com/read/pali/18/43/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%96 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=309 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=20&id=309 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=20 ลำดับสาธยายธรรม : 20 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_20.mp3
WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
- จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน
-จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง พระเจ้าข้า ?” มิคชาละ ! รูป ทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่. ถ้าหากว่าภิกษุย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้ ; แก่ภิกษุผู้เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นอยู่นั่นแหละ, นันทิ (ความเพลิดเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น. เมื่อนันทิ มีอยู่, สาราคะ (ความกำหนัดกล้า) ย่อมมี ; เมื่อสาราคะ มีอยู่, สัญโญคะ (ความผูกจิตติดกับอารมณ์) ย่อมมี ; มิคชาละ ! ภิกษุผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์ ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน นั่นแล เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง”. (ในกรณีแห่ง เสียง ทั้งหลายอันจะพึงได้ยินด้วยหูก็ดี, กลิ่น ทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูกก็ดี, รส ทั้งหลายอันจะพึงลิ้มด้วยลิ้นก็ดี, โผฏฐัพพะ ทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกายก็ดี, และธรรมารมณ์ ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจก็ดี, พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้มีนัยยะอย่างเดียวกัน กับในกรณีแห่งรูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นด้วยจักษุ). มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้จะส้องเสพเสนาสนะ อันเป็นป่าและป่าชัฏ ซึ่งเงียบสงัด มีเสียงรบกวนน้อย มีเสียงกึกก้องครึกโครมน้อย ปราศจากลมจากผิวกายคน เป็นที่ทำการลับของมนุษย์ เป็นที่สมควรแก่การหลีกเร้น เช่นนี้แล้วก็ตาม, ถึงกระนั้น ภิกษุนั้นเราก็ยังคงเรียกว่าผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสองอยู่นั่นเอง. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสองของภิกษุนั้น ; ตัณหานั้น อันภิกษุนั้นยังละไม่ได้แล้ว เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นเราจึงเรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง ดังนี้.
0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews