เราคือเพจ ที่มีจุดประสงค์ เพื่อให้ความรู้ แนวคิด รวมทั้งแลกเปลี่ยน และแชร์ประสบการณ์ของการลงทุน
อัปเดตล่าสุด
- 06/11/2567 ตลาดหุ้นไทยวันนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ
นักลงทุนในประเทศ และสถาบันหรือกองทุน
คือผู้ซื้อหุ้นไทยในวันนี้ ส่วนคนขายหุ้นไทยหลักๆ
คือ นักลงทุนต่างประเทศ และ โบรก
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหุ้นไทย06/11/2567 ตลาดหุ้นไทยวันนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ นักลงทุนในประเทศ และสถาบันหรือกองทุน คือผู้ซื้อหุ้นไทยในวันนี้ ส่วนคนขายหุ้นไทยหลักๆ คือ นักลงทุนต่างประเทศ และ โบรก #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหุ้นไทย0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิวกรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อกดถูกใจ แชร์ และแสดงความคิดเห็น! - 05/11/2567 วันนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ
สถาบัน หรือ กองทุน และ นักลงทุนต่างประเทศ
คือ คนซื้อหุ้นไทยหลักๆ
ส่วนนักลงทุนในประเทศ และ โบรก คือ คนขายหุ้นไทยในวันนี้
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes05/11/2567 วันนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ สถาบัน หรือ กองทุน และ นักลงทุนต่างประเทศ คือ คนซื้อหุ้นไทยหลักๆ ส่วนนักลงทุนในประเทศ และ โบรก คือ คนขายหุ้นไทยในวันนี้ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว - แอดมิน ทำการบ้านหุ้น SETHD, SET50 และ SET100
มีหุ้นอยู่ 5 ตัว ที่ราคาเหมาะสม และจังหวะการซื้อที่ดี
ลองไปทำการบ้านกันต่อด้วยนะครับ 🙏
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหุ้นไทย
#thaitimesแอดมิน ทำการบ้านหุ้น SETHD, SET50 และ SET100 มีหุ้นอยู่ 5 ตัว ที่ราคาเหมาะสม และจังหวะการซื้อที่ดี ลองไปทำการบ้านกันต่อด้วยนะครับ 🙏 #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหุ้นไทย #thaitimes0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว - 01/11/2567 ตลาดหุ้นไทยวันนี้
สิ่งที่น่าสนใจคือ นักลงทุนต่างประเทศ คือ
ผู้ขายหุ้นไทย หลักๆ ในวันนี้
ส่วนผู้ที่ซื้อหลักในวันนี้ คือ นักลงทุนสถาบัน
หรือ กองทุน สมทบด้วย โบรก และ นักลงทุนในประเทศ
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหุ้นไทย
#thaitimes01/11/2567 ตลาดหุ้นไทยวันนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ นักลงทุนต่างประเทศ คือ ผู้ขายหุ้นไทย หลักๆ ในวันนี้ ส่วนผู้ที่ซื้อหลักในวันนี้ คือ นักลงทุนสถาบัน หรือ กองทุน สมทบด้วย โบรก และ นักลงทุนในประเทศ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหุ้นไทย #thaitimes - 💥💥30/10/2567 ตลาดหุ้นไทย
สิ่งที่น่าสนใจวันนี้คือ นักลงทุนต่างประเทศ
คือ ผู้ขายหุ้นไทยหลักๆในวันนี้
ส่วนผู้ซื้อหุ้นไทยหลักๆในวันนี้ คือ นักลงทุนในประเทศ
สมทบการซื้อด้วย นักลงทุนสถาบัน หรือ กองทุน
และ โบรกเกอร์
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหุ้นไทย
#thaitimes💥💥30/10/2567 ตลาดหุ้นไทย สิ่งที่น่าสนใจวันนี้คือ นักลงทุนต่างประเทศ คือ ผู้ขายหุ้นไทยหลักๆในวันนี้ ส่วนผู้ซื้อหุ้นไทยหลักๆในวันนี้ คือ นักลงทุนในประเทศ สมทบการซื้อด้วย นักลงทุนสถาบัน หรือ กองทุน และ โบรกเกอร์ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหุ้นไทย #thaitimes0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว - 💥💥หนังสือพิมพ์ U.S.News จัดสหรัฐอเมริกา
ได้เผยแพร่ผลการจัดอันดับ
ประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก
ประจำปี 2567 พบว่า ประเทศไทย อยู่อันดับที่ 8 ของโลก
จากจำนวน 89 ประเทศทั่วโลก
ส่วอันดับ 1 คือ กรีซ ,อันดับ 2 คือ อิตาลี, อันดับ 3 คือ สเปน
ที่มา : U.S.News
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes💥💥หนังสือพิมพ์ U.S.News จัดสหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่ผลการจัดอันดับ ประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก ประจำปี 2567 พบว่า ประเทศไทย อยู่อันดับที่ 8 ของโลก จากจำนวน 89 ประเทศทั่วโลก ส่วอันดับ 1 คือ กรีซ ,อันดับ 2 คือ อิตาลี, อันดับ 3 คือ สเปน ที่มา : U.S.News #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว - 💥💥สุดยอด ปรบมือ!! ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ประสานความร่วมมือ ยกระดับการทำหน้าที่กำกับดูแล
ตลาดทุนร่วมกัน ให้มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม มากยิ่งขึ้น
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ได้มีการปรับปรุงกรอบการ
ทำงานร่วมกันของทั้ง 2 องค์กรในงานด้านกำกับดูแล
ให้มีความชัดเจน ลดความซ้ำซ้อน รวมถึงสอดรับกับระบบนิเวศ
และการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนในปัจจุบัน
ตลอดจนสามารถรองรับกับแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ได้แก่
(1) การกำกับดูแลบริษัทที่เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน
และการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน
(2) การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสมาชิก
ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
(3) การติดตามดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียน
และการบังคับใช้กฎหมาย และ
(4) การออกระเบียบข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
อีกทั้งจะเพิ่มการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลการกำกับดูแล
ระหว่างกัน เพื่อให้การทำหน้าที่ของแต่ละองค์กรมีประสิทธิภาพ
มากยิ่งขึ้น เช่น การร่วมกันพิจารณาคำขอกรณีการจดทะเบียนโดยอ้อม
(Backdoor Listing) การขอย้ายกลับมาซื้อขายของบริษัทจดทะเบียน
หลังแก้ไขเหตุอาจถูกเพิกถอน (Resume Trading) เพื่อให้กระบวนการ
พิจารณา มีมาตรฐานเทียบเท่าการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่
และยังจะมีการร่วมกันกำหนดหรือปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
หากเห็นว่ากฎเกณฑ์ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยสนับสนุน ป้องปราม
หรือยับยั้งพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่เป็นธรรม
ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นต้น
อีกทั้งบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ยังครอบคลุมถึงแนวทางการทำงาน
และการประสานงานร่วมกัน ทั้งในระดับคณะกรรมการและฝ่ายจัดการ
ของทั้ง 2 องค์กร เพื่อให้การขับเคลื่อนทิศทางนโยบายการพัฒนา
ตลาดทุน การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันกับตลาดทุนอื่น
และการกำกับดูแลตลาดทุนของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ
มีความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ทั้ง 2 องค์กรยังมีการหารือในประเด็นที่จะขับเคลื่อน
ร่วมกันที่สำคัญ ดังนี้
(1) การสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์
เพื่อรองรับการพัฒนาการลงทุนในรูปแบบใหม่ ที่อยู่ระหว่างปรับปรุง
พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(2) การสนับสนุนการเพิ่มมูลค่า (value up) ของบริษัทจดทะเบียน
เพื่อสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนมุ่งมั่น
ที่จะเสริมศักยภาพและมูลค่าของตัวเอง สื่อสารกับนักลงทุน
อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกเหนือจากที่รัฐบาลได้สนับสนุน
การขยายรายชื่อหลักทรัพย์ที่กองทุน Thai ESG สามารถลงทุนได้
(3) การส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามมาตรฐาน
International Sustainability Standards Board (ISSB)
ซึ่ง ก.ล.ต. อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมและขอความร่วมมือ
จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการสนับสนุนและต่อยอดการดำเนินการ
และการทำความเข้าใจกับบริษัทจดทะเบียน
(4) การส่งเสริมผู้ลงทุนให้มีความรู้ (investor empowerment)
ผ่าน Open Data ของภาคตลาดทุนและภาคการเงิน เพื่อให้ผู้ลงทุน
สามารถใช้ข้อมูลของตนที่อยู่กับผู้ประกอบธุรกิจได้อย่างมี
ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ที่มา ก.ล.ต.
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes💥💥สุดยอด ปรบมือ!! ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประสานความร่วมมือ ยกระดับการทำหน้าที่กำกับดูแล ตลาดทุนร่วมกัน ให้มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม มากยิ่งขึ้น บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ได้มีการปรับปรุงกรอบการ ทำงานร่วมกันของทั้ง 2 องค์กรในงานด้านกำกับดูแล ให้มีความชัดเจน ลดความซ้ำซ้อน รวมถึงสอดรับกับระบบนิเวศ และการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนในปัจจุบัน ตลอดจนสามารถรองรับกับแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่ (1) การกำกับดูแลบริษัทที่เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน และการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน (2) การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสมาชิก ของตลาดหลักทรัพย์ฯ (3) การติดตามดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียน และการบังคับใช้กฎหมาย และ (4) การออกระเบียบข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกทั้งจะเพิ่มการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลการกำกับดูแล ระหว่างกัน เพื่อให้การทำหน้าที่ของแต่ละองค์กรมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น เช่น การร่วมกันพิจารณาคำขอกรณีการจดทะเบียนโดยอ้อม (Backdoor Listing) การขอย้ายกลับมาซื้อขายของบริษัทจดทะเบียน หลังแก้ไขเหตุอาจถูกเพิกถอน (Resume Trading) เพื่อให้กระบวนการ พิจารณา มีมาตรฐานเทียบเท่าการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ และยังจะมีการร่วมกันกำหนดหรือปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง หากเห็นว่ากฎเกณฑ์ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยสนับสนุน ป้องปราม หรือยับยั้งพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่เป็นธรรม ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นต้น อีกทั้งบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ยังครอบคลุมถึงแนวทางการทำงาน และการประสานงานร่วมกัน ทั้งในระดับคณะกรรมการและฝ่ายจัดการ ของทั้ง 2 องค์กร เพื่อให้การขับเคลื่อนทิศทางนโยบายการพัฒนา ตลาดทุน การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันกับตลาดทุนอื่น และการกำกับดูแลตลาดทุนของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ทั้ง 2 องค์กรยังมีการหารือในประเด็นที่จะขับเคลื่อน ร่วมกันที่สำคัญ ดังนี้ (1) การสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรองรับการพัฒนาการลงทุนในรูปแบบใหม่ ที่อยู่ระหว่างปรับปรุง พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (2) การสนับสนุนการเพิ่มมูลค่า (value up) ของบริษัทจดทะเบียน เพื่อสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนมุ่งมั่น ที่จะเสริมศักยภาพและมูลค่าของตัวเอง สื่อสารกับนักลงทุน อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกเหนือจากที่รัฐบาลได้สนับสนุน การขยายรายชื่อหลักทรัพย์ที่กองทุน Thai ESG สามารถลงทุนได้ (3) การส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามมาตรฐาน International Sustainability Standards Board (ISSB) ซึ่ง ก.ล.ต. อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมและขอความร่วมมือ จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการสนับสนุนและต่อยอดการดำเนินการ และการทำความเข้าใจกับบริษัทจดทะเบียน (4) การส่งเสริมผู้ลงทุนให้มีความรู้ (investor empowerment) ผ่าน Open Data ของภาคตลาดทุนและภาคการเงิน เพื่อให้ผู้ลงทุน สามารถใช้ข้อมูลของตนที่อยู่กับผู้ประกอบธุรกิจได้อย่างมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ที่มา ก.ล.ต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว - 26/10/2567
แอดมินทำการบ้าน SETHD, SET50 และ SET100
มีหุ้นอยู่ 5 ตัว ที่ราคาเหมาะสม และจังหวะการซื้อที่ดี
ลองไปทำการบ้านกันต่อด้วยนะครับ 🙏
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET
#thaitimes26/10/2567 แอดมินทำการบ้าน SETHD, SET50 และ SET100 มีหุ้นอยู่ 5 ตัว ที่ราคาเหมาะสม และจังหวะการซื้อที่ดี ลองไปทำการบ้านกันต่อด้วยนะครับ 🙏 #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET #thaitimes - 💥💥ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล
แนวโน้มธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง
ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 มีแนวโน้มหดตัว
จากปัจจัยกดดันด้านการฟื้นตัวของกำลังซื้อ
และในปี 2568 ยังคงหดตัวต่อเนื่อง
แต่ในอัตราที่ลดลง
🚩ตลาดที่อยู่อาศัยยังต้องเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะจากการฟื้นตัวช้าของกำลังซื้อ ซึ่งกดดันให้
ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567-2568 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง
🚩ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจทั้งค่าครองชีพ ค่าใช้จ่าย
และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ย
และความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ ยังคงกดดันการฟื้นตัว
ของตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-ล่าง
ที่ส่วนใหญ่ตัดสินใจยังไม่ซื้อที่อยู่อาศัย หรือชะลอการซื้อออกไป
🚩โดยคาดว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ในปี 2567 จะหดตัวราว -10% (เทียบปีต่อปี) และหดตัวต่อเนื่องราว
-1% ถึง -3% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2568
🚩ส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2567
มีแนวโน้มหดตัวราว -9% (เทียบปีต่อปี) แต่อาจเริ่มทรงตัวได้
หรือหดตัวเล็กน้อยราว +0% ถึง -2% (ปีต่อปี) ในปี 2568
🚩ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ในต่างจังหวัด มีแนวโน้มหดตัว
ในอัตราที่สูงกว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑลเล็กน้อย
เนื่องจากมีสัดส่วนกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่สูงกว่า
🚩การเปิดโครงการใหม่ในปี 2567-2568 ยังมีแนวโน้มหดตัว
ต่อเนื่อง จากการที่ผู้ประกอบการระมัดระวังในการเปิดโครงการ
จากหน่วยเหลือขายสะสมที่เพิ่มขึ้น
🚩อีกทั้ง ต้นทุนก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูง จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัย
เปิดใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลคาดว่าจะหดตัวราว
-28% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2567 และหดตัวต่อเนื่องอีกราว
-2% ถึง -4% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2568
โดยเป็นการเปิดโครงการระดับราคาปานกลาง-บนเป็นหลัก
เพื่อเน้นเจาะกลุ่มกำลังซื้อที่มีศักยภาพ
🚩นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาอัตรา
กำไรได้ ท่ามกลางภาวะต้นทุนการก่อสร้างที่ยังอยู่ในระดับสูง
ทั้งวัสดุก่อสร้าง แรงงาน และราคาที่ดิน
🚩ส่วนการเปิดโครงการระดับราคาปานกลาง-ล่าง ยังเป็นไป
อย่างระมัดระวัง เน้นเฉพาะทำเลที่มีศักยภาพ และระบาย
สินค้าคงเหลือ มากขึ้นแทน
🚩ภาวะตลาดที่ซบเซาและการแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัย
ที่ยังมีแนวโน้มเป็นไปอย่างเข้มข้น ผู้ประกอบการจึงต้อง
ปรับกลยุทธ์ในหลายด้าน โดยกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการ
ควรให้ความสำคัญ ได้แก่
🚩1) พัฒนาโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง
🚩2) ตอบโจทย์ความต้องการผู้ซื้อแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุด
🚩3) ขยายตลาดผู้ซื้อชาวต่างชาติ
🚩4) บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษา
อัตรากำไร นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ
กับการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบ ESG มากขึ้น
โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ที่มา : scbeic
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #อสังหาริมทรัพย์ #thaitimes💥💥ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล แนวโน้มธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 มีแนวโน้มหดตัว จากปัจจัยกดดันด้านการฟื้นตัวของกำลังซื้อ และในปี 2568 ยังคงหดตัวต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ลดลง 🚩ตลาดที่อยู่อาศัยยังต้องเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากการฟื้นตัวช้าของกำลังซื้อ ซึ่งกดดันให้ ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567-2568 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง 🚩ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจทั้งค่าครองชีพ ค่าใช้จ่าย และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ย และความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ ยังคงกดดันการฟื้นตัว ของตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-ล่าง ที่ส่วนใหญ่ตัดสินใจยังไม่ซื้อที่อยู่อาศัย หรือชะลอการซื้อออกไป 🚩โดยคาดว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในปี 2567 จะหดตัวราว -10% (เทียบปีต่อปี) และหดตัวต่อเนื่องราว -1% ถึง -3% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2568 🚩ส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2567 มีแนวโน้มหดตัวราว -9% (เทียบปีต่อปี) แต่อาจเริ่มทรงตัวได้ หรือหดตัวเล็กน้อยราว +0% ถึง -2% (ปีต่อปี) ในปี 2568 🚩ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ในต่างจังหวัด มีแนวโน้มหดตัว ในอัตราที่สูงกว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑลเล็กน้อย เนื่องจากมีสัดส่วนกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่สูงกว่า 🚩การเปิดโครงการใหม่ในปี 2567-2568 ยังมีแนวโน้มหดตัว ต่อเนื่อง จากการที่ผู้ประกอบการระมัดระวังในการเปิดโครงการ จากหน่วยเหลือขายสะสมที่เพิ่มขึ้น 🚩อีกทั้ง ต้นทุนก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูง จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัย เปิดใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลคาดว่าจะหดตัวราว -28% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2567 และหดตัวต่อเนื่องอีกราว -2% ถึง -4% (เทียบปีต่อปี) ในปี 2568 โดยเป็นการเปิดโครงการระดับราคาปานกลาง-บนเป็นหลัก เพื่อเน้นเจาะกลุ่มกำลังซื้อที่มีศักยภาพ 🚩นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาอัตรา กำไรได้ ท่ามกลางภาวะต้นทุนการก่อสร้างที่ยังอยู่ในระดับสูง ทั้งวัสดุก่อสร้าง แรงงาน และราคาที่ดิน 🚩ส่วนการเปิดโครงการระดับราคาปานกลาง-ล่าง ยังเป็นไป อย่างระมัดระวัง เน้นเฉพาะทำเลที่มีศักยภาพ และระบาย สินค้าคงเหลือ มากขึ้นแทน 🚩ภาวะตลาดที่ซบเซาและการแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัย ที่ยังมีแนวโน้มเป็นไปอย่างเข้มข้น ผู้ประกอบการจึงต้อง ปรับกลยุทธ์ในหลายด้าน โดยกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการ ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ 🚩1) พัฒนาโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง 🚩2) ตอบโจทย์ความต้องการผู้ซื้อแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุด 🚩3) ขยายตลาดผู้ซื้อชาวต่างชาติ 🚩4) บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษา อัตรากำไร นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ กับการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบ ESG มากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่มา : scbeic #หุ้นติดดอย #การลงทุน #อสังหาริมทรัพย์ #thaitimes - 🔥🔥สตาร์บัค ร้านกาแฟเชนระดับโลก ยังไม่พ้นขีดอันตราย
เมื่อกลยุทธ์ซื้อ 1 แถม 1 ไม่สามารถดันยอดขายขึ้นมาได้
ซึ่งคาดการณ์ยอดขายกาแฟ ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
(ไตรมาส 4/2567)
ยอดขายกาแฟสตาร์บัค มีแนวโน้มออกมาน่าผิดหวัง
โดยยอดขายในสหรัฐ -6% และในจีนดิ่งเหวถึง -14%
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #สตาร์บัค #thaitimes🔥🔥สตาร์บัค ร้านกาแฟเชนระดับโลก ยังไม่พ้นขีดอันตราย เมื่อกลยุทธ์ซื้อ 1 แถม 1 ไม่สามารถดันยอดขายขึ้นมาได้ ซึ่งคาดการณ์ยอดขายกาแฟ ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (ไตรมาส 4/2567) ยอดขายกาแฟสตาร์บัค มีแนวโน้มออกมาน่าผิดหวัง โดยยอดขายในสหรัฐ -6% และในจีนดิ่งเหวถึง -14% ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #สตาร์บัค #thaitimes - 🔥🔥กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ IMF
คาดหนี้สาธารณะโลกจะพุ่งแตะ 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือ ประมาณ 3,400 ล้านล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้
🚩กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกคำเตือน
เมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า สถานการณ์หนี้สาธารณะทั่วโลก
อาจเลวร้ายกว่าที่หลายคนคิด โดยเน้นย้ำถึงการขาดดุล
การคลัง ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในสหรัฐและจีน
🚩หน่วยงานดังกล่าวคาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะทั่วโลก
จะพุ่งสูงเกิน 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ
ประมาณ 3,400 ล้านล้านบาท ภายในสิ้นปี 2567
โดยคาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะทั่วโลกจะพุ่งสูงถึง 100%
ของ GDP ของโลกภายในสิ้นทศวรรษนี้
🚩สหรัฐฯ และจีนมีสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
หากไม่รวมทั้งสองประเทศนี้ในการคำนวณ อัตราส่วน
หนี้สาธารณะต่อ GDP ทั่วโลกจะลดลงประมาณ 20%
ที่มา : cnbc
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #IMF #thaitimes🔥🔥กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ IMF คาดหนี้สาธารณะโลกจะพุ่งแตะ 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 3,400 ล้านล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้ 🚩กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกคำเตือน เมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า สถานการณ์หนี้สาธารณะทั่วโลก อาจเลวร้ายกว่าที่หลายคนคิด โดยเน้นย้ำถึงการขาดดุล การคลัง ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในสหรัฐและจีน 🚩หน่วยงานดังกล่าวคาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะทั่วโลก จะพุ่งสูงเกิน 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 3,400 ล้านล้านบาท ภายในสิ้นปี 2567 โดยคาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะทั่วโลกจะพุ่งสูงถึง 100% ของ GDP ของโลกภายในสิ้นทศวรรษนี้ 🚩สหรัฐฯ และจีนมีสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก หากไม่รวมทั้งสองประเทศนี้ในการคำนวณ อัตราส่วน หนี้สาธารณะต่อ GDP ทั่วโลกจะลดลงประมาณ 20% ที่มา : cnbc #หุ้นติดดอย #การลงทุน #IMF #thaitimes - 💥💥25/10/2567 ตลาดหุ้นไทย
วันนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ 3 รุม 1
โดยนักลงทุนที่ขายหลักๆวันนี้ มี 3 กลุ่ม ได้แก่
นักลงทุนสถาบัน หรือ กองทุน, โบรก และ
นักลงทุนต่างประเทศ
ส่วนนักลงทุนที่รับซื้อหุ้นไว้วันนี้คือ
นักลงทุนในประเทศ
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET
#thaitimes💥💥25/10/2567 ตลาดหุ้นไทย วันนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ 3 รุม 1 โดยนักลงทุนที่ขายหลักๆวันนี้ มี 3 กลุ่ม ได้แก่ นักลงทุนสถาบัน หรือ กองทุน, โบรก และ นักลงทุนต่างประเทศ ส่วนนักลงทุนที่รับซื้อหุ้นไว้วันนี้คือ นักลงทุนในประเทศ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET #thaitimes - 24/10/2567 ตลาดหุ้นไทย วันนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ
สถาบัน หรือ กองทุน รวมทั้ง นักลงทุนต่างประเทศ
คือ ผู้ขายหลักในวันนี้
ส่วนผู้เข้าซื้อหลักๆ ในวันนี้ คือ นักลงทุนในประเทศ
และ มีโบรกบางส่วน
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET24/10/2567 ตลาดหุ้นไทย วันนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ สถาบัน หรือ กองทุน รวมทั้ง นักลงทุนต่างประเทศ คือ ผู้ขายหลักในวันนี้ ส่วนผู้เข้าซื้อหลักๆ ในวันนี้ คือ นักลงทุนในประเทศ และ มีโบรกบางส่วน #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว - 💥💥ศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล
ภาพรวมการส่งออกของไทยในปัจจุบัน อยู่ในสภาวะ
อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ หากไม่ทำอะไรเลย
นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 การส่งออก
เป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมายาวนาน
คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม
ภายในประเทศ (จีดีพี) การส่งออกมีบทบาทสำคัญ
ในการสร้างรายได้จากต่างประเทศ การจ้างงาน และเพิ่ม
ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยได้สูญเสียบทบาท
และความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นที่เคยเป็นมา
SCB EIC มองว่า เครื่องยนต์ส่งออกของไทยกำลังอ่อนแรงลงมาก
จากปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งมีส่วนทำให้การส่งออกไทย
ไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก
ได้เหมือนในอดีต และไม่สามารถปรับตัวตามกระแสโลก
ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ทัน
ปัจจัยภายในประเทศ :
1) สินค้าส่งออกไทยไม่ค่อยสอดคล้องกับความต้องการของโลก :
ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดการผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ
ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนไป
เช่น สมาร์ตโฟน แผงวงจรไฟฟ้า หรือสินค้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด
ขณะที่สินค้าหมวดเครื่องจักรและเครื่องใช้เครื่องกลที่ไทยผลิต
กลับเป็นสินค้าที่โลกต้องการซื้อน้อยลงเช่น Hard Disk Drives (HDD)
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย แต่เมื่อเทคโนโลยี
เปลี่ยนไปสู่ Solid State Drives (SSD) ความต้องการ HDD
ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับสินค้าหมวดยานพาหนะ ส่วนประกอบ
และอุปกรณ์เสริม ที่ไทยเคยส่งออกดีมาก จากการส่งออกยานยนต์
และเครื่องยนต์สันดาป แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทาย
จากการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของผู้ซื้อ ซึ่งรวมมูลค่า
การส่งออก 2 หมวดใหญ่นี้คิดเป็น 27% ของมูลค่าการส่งออก
ไทยทั้งหมดในปี 2566
2) โครงสร้างการผลิตเพื่อส่งออกไทยเปลี่ยนแปลงช้า :
ภาคการผลิตของไทยยังผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเก่าอยู่มาก
ส่งผลให้โครงสร้างการส่งออกเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า
ขณะที่โครงสร้างการผลิตของประเทศคู่แข่งหลายราย
ที่เคยผลิตสินค้าล้าสมัยกว่าไทยในอดีต กลับสามารถ
ปรับตามกระแสความต้องการในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปได้
อย่างรวดเร็วจากการหาห่วงโซ่อุปทานใหม่ สะท้อนจาก
ส่วนแบ่งยอดขายสินค้าไทยในตลาดโลก ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
จาก 10 ปีก่อนมากนัก เช่น รถยนต์ EV แผงวงจรไฟฟ้า/เซมิคอนดักเตอร์
สมาร์ตโฟน แผงโซลาร์เซลล์ (เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงขึ้นในตลาดโลก)
ทั้งนี้ถึงแม้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ของไทยจะมีสัดส่วนต่อมูลค่าการส่งออก
ทั้งหมดสูงขึ้น แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 17% ในปี 2556-2560 เป็น 23%
ในปี 2561-2565 ซึ่งแตกต่างจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
ที่มีสัดส่วนการส่งออกกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมาก จาก 16% เป็น 32%, 38%
เป็น 44% และ 40% เป็น 48% ตามลำดับ โดยสาเหตุเป็นเพราะว่า
ประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ผลิตสินค้ากลุ่มนี้ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
มีขั้นตอนการผลิตซับซ้อนกว่า และสร้างมูลค่าเพิ่มสูงกว่าได้
ในขณะที่ไทยส่วนใหญ่แล้วยังคงผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง
และมีความซับซ้อนน้อยกว่า สะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำกว่า
แสดงให้เห็นว่าไทยอาจไม่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น
ในปัจจุบันได้มากเท่าประเทศเพื่อนบ้าน
3) ความสามารถในการกระจายตลาดใหม่ไม่ค่อยสูง :
การส่งออกของไทยกว่า 75% ยังคงกระจุกตัวในบางตลาดหลัก เช่น จีน สหรัฐฯ
ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน เช่นในอดีต ซึ่งหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น
ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็อาจสร้างความเสี่ยงสูงต่อไทยตามมา เช่น เศรษฐกิจจีน
ชะลอตัว ในช่วงที่ผ่านมา จะกระทบการส่งออกไทยไปตลาดจีนตามไปด้วย
สะท้อนความจำเป็นในการขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง
และเพิ่มยอดส่งออกของไทยได้
จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าปัญหาหลักของการส่งออกไทยมาจาก
ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศที่ไม่ค่อยตอบโจทย์
สินค้าใหม่ ๆ คำถามสำคัญคือ อะไรเป็นสาเหตุทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
ภาคการผลิตของไทยมาถึงจุดนี้?
SCB EIC มองว่าสาเหตุหลักมาจากทักษะแรงงานไทยและการลงทุน
จากต่างชาติที่ลดลง :
1) แรงงานสูงวัยและทักษะต่ำ : ประเทศไทยกำลังเผชิญสังคมผู้สูงอายุ
22.7% จากประชากรทั้งหมดในปี 2566 (อายุ 60 ปีขึ้นไป) และมีแนวโน้ม
เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงปัญหาแรงงานขาดทักษะ
ที่จำเป็น โดยเฉพาะทักษะเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตสินค้า
และการแข่งขันในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ปัญหานี้ทำให้การผลิตสินค้าเทคโนโลยีของไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ
เทคโนโลยีขั้นกลาง และการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงจึงเกิดขึ้นค่อนข้างช้า
เนื่องจากเพิ่มศักยภาพแรงงานไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
2) สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง :
FDI เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยได้รับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และทันสมัย
เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและการส่งออก
รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทยลดลงมาก จากที่เคยเป็นหนึ่ง
ในจุดหมายปลายทางหลักในอาเซียน ไทยกลับตกอันดับมาเรื่อย ๆ
อยู่อันดับ 7 ในปี 2566 แย่กว่าในปี 2543 2553 และ 2562 ที่อันดับ 3, 3,
และ 6 ตามลำดับ เสียอีก (ข้อมูลจาก World Bank)
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก
(1) ทักษะแรงงานไทยไม่สูงและสัดส่วนแรงงานสูงวัย
ยังมีมากที่สุดในอาเซียน
(2) ไทยขาดการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
กับประเทศสำคัญ ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศคู่แข่ง
เช่น เวียดนาม ได้เปรียบจากการมีข้อตกลง FTA กับสหภาพยุโรป
และการเข้าร่วม CPTPP ทำให้เข้าถึงตลาดสำคัญในโลกได้ง่ายขึ้น
(3) การเมืองไทยมีความไม่แน่นอนสูง
(4) นโยบายเศรษฐกิจระยะยาวขาดความชัดเจนและความต่อเนื่อง
นักลงทุนไทยและต่างประเทศขาดความมั่นใจที่จะลงทุน
วิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เนื่องจากเป็นการลงทุนสูง
และใช้เวลากว่าจะเห็นผล และ
(5) กฎระเบียบภาครัฐซับซ้อน ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้นักลงทุน
ต่างชาติเลือกลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง
และนโยบายและสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนดีกว่า
ปัจจัยภายนอก :
การส่งออกของไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกหลายประการ
ได้แก่ 1) China over-capacity ที่อาจซ้ำเติมปัญหาความสามารถ
ในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
กับสินค้าจีน
2) ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจสร้างความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี
สินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศเพิ่มเติม
3) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามยืดเยื้อ การแบ่งขั้ว
ทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น หรือมาตรการกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบ
ต่อการค้าโลก
4) การผันผวนของค่าเงินบาท จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง
สำคัญทั่วโลก
(5) ค่าระวางเรือและค่าขนส่งที่อาจจะกลับมาสูงขึ้น จากสงครามที่เกิดขึ้นบ่อย
และรุนแรงขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์
ปัจจัยภายในและนอกประเทศเหล่านี้กดดันให้เครื่องยนต์ส่งออกของไทย
อ่อนแอลง และเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากการบริโภคและการลงทุน
ในประเทศก็กำลังอ่อนแรงเช่นกัน โดยการบริโภคถูกจำกัดจากภาระหนี้
ครัวเรือนสูง และการลงทุนได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ในประเทศ
ที่เปราะบาง
อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังไม่ไร้ความหวังเสียทีเดียว
หากรัฐบาลสามารถจัดการ 3 ปัจจัยหลักได้ ได้แก่ แรงงาน การลงทุน
โดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และยุทธศาสตร์นโยบายอุปทานที่ชัดเจน
ประเทศไทยจะสามารถปรับโครงสร้างการผลิตให้แข็งแกร่งขึ้น
และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้บนข้อได้เปรียบที่ไทยมีอยู่แล้ว
เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ทังนี้ปัจจัยกดดันจากภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถ
ควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่าหากโครงสร้างการผลิตของไทย
แข็งแกร่ง จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ได้ และอาจทำให้ไทย
ได้รับประโยชน์จากบางปัจจัย เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจนำมาซึ่ง
การย้ายฐานการผลิตและการลงทุนใหม่ ๆ
การส่งออกไทยในปัจจุบันเปรียบเหมือนรถที่กำลังวิ่งอย่างเชื่องช้า
ที่ต้องเลือกว่าจะเริ่มซ่อมแซมและปรับปรุงโครงสร้างเครื่องยนต์
ให้ทันสมัยจุดไหนบ้าง เพื่อให้รถคันนี้กลับมาวิ่งเร็วได้อีกครั้ง
แต่หากไม่เริ่มทำอะไรวันนี้ เครื่องยนต์เก่านี้อาจพังในไม่ช้า
ทำให้รถเราค่อยๆ หยุดวิ่ง และปล่อยให้รถคันอื่นแซงหน้า
ไปคันแล้วคันเล่า
ที่มา : SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกไทย #thaitimes💥💥ศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล ภาพรวมการส่งออกของไทยในปัจจุบัน อยู่ในสภาวะ อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ หากไม่ทำอะไรเลย นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 การส่งออก เป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมายาวนาน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศ (จีดีพี) การส่งออกมีบทบาทสำคัญ ในการสร้างรายได้จากต่างประเทศ การจ้างงาน และเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยได้สูญเสียบทบาท และความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นที่เคยเป็นมา SCB EIC มองว่า เครื่องยนต์ส่งออกของไทยกำลังอ่อนแรงลงมาก จากปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งมีส่วนทำให้การส่งออกไทย ไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก ได้เหมือนในอดีต และไม่สามารถปรับตัวตามกระแสโลก ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ทัน ปัจจัยภายในประเทศ : 1) สินค้าส่งออกไทยไม่ค่อยสอดคล้องกับความต้องการของโลก : ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดการผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนไป เช่น สมาร์ตโฟน แผงวงจรไฟฟ้า หรือสินค้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด ขณะที่สินค้าหมวดเครื่องจักรและเครื่องใช้เครื่องกลที่ไทยผลิต กลับเป็นสินค้าที่โลกต้องการซื้อน้อยลงเช่น Hard Disk Drives (HDD) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย แต่เมื่อเทคโนโลยี เปลี่ยนไปสู่ Solid State Drives (SSD) ความต้องการ HDD ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับสินค้าหมวดยานพาหนะ ส่วนประกอบ และอุปกรณ์เสริม ที่ไทยเคยส่งออกดีมาก จากการส่งออกยานยนต์ และเครื่องยนต์สันดาป แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทาย จากการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของผู้ซื้อ ซึ่งรวมมูลค่า การส่งออก 2 หมวดใหญ่นี้คิดเป็น 27% ของมูลค่าการส่งออก ไทยทั้งหมดในปี 2566 2) โครงสร้างการผลิตเพื่อส่งออกไทยเปลี่ยนแปลงช้า : ภาคการผลิตของไทยยังผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเก่าอยู่มาก ส่งผลให้โครงสร้างการส่งออกเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า ขณะที่โครงสร้างการผลิตของประเทศคู่แข่งหลายราย ที่เคยผลิตสินค้าล้าสมัยกว่าไทยในอดีต กลับสามารถ ปรับตามกระแสความต้องการในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปได้ อย่างรวดเร็วจากการหาห่วงโซ่อุปทานใหม่ สะท้อนจาก ส่วนแบ่งยอดขายสินค้าไทยในตลาดโลก ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง จาก 10 ปีก่อนมากนัก เช่น รถยนต์ EV แผงวงจรไฟฟ้า/เซมิคอนดักเตอร์ สมาร์ตโฟน แผงโซลาร์เซลล์ (เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงขึ้นในตลาดโลก) ทั้งนี้ถึงแม้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ของไทยจะมีสัดส่วนต่อมูลค่าการส่งออก ทั้งหมดสูงขึ้น แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 17% ในปี 2556-2560 เป็น 23% ในปี 2561-2565 ซึ่งแตกต่างจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่มีสัดส่วนการส่งออกกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมาก จาก 16% เป็น 32%, 38% เป็น 44% และ 40% เป็น 48% ตามลำดับ โดยสาเหตุเป็นเพราะว่า ประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ผลิตสินค้ากลุ่มนี้ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง มีขั้นตอนการผลิตซับซ้อนกว่า และสร้างมูลค่าเพิ่มสูงกว่าได้ ในขณะที่ไทยส่วนใหญ่แล้วยังคงผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง และมีความซับซ้อนน้อยกว่า สะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำกว่า แสดงให้เห็นว่าไทยอาจไม่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น ในปัจจุบันได้มากเท่าประเทศเพื่อนบ้าน 3) ความสามารถในการกระจายตลาดใหม่ไม่ค่อยสูง : การส่งออกของไทยกว่า 75% ยังคงกระจุกตัวในบางตลาดหลัก เช่น จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน เช่นในอดีต ซึ่งหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็อาจสร้างความเสี่ยงสูงต่อไทยตามมา เช่น เศรษฐกิจจีน ชะลอตัว ในช่วงที่ผ่านมา จะกระทบการส่งออกไทยไปตลาดจีนตามไปด้วย สะท้อนความจำเป็นในการขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มยอดส่งออกของไทยได้ จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าปัญหาหลักของการส่งออกไทยมาจาก ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศที่ไม่ค่อยตอบโจทย์ สินค้าใหม่ ๆ คำถามสำคัญคือ อะไรเป็นสาเหตุทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ภาคการผลิตของไทยมาถึงจุดนี้? SCB EIC มองว่าสาเหตุหลักมาจากทักษะแรงงานไทยและการลงทุน จากต่างชาติที่ลดลง : 1) แรงงานสูงวัยและทักษะต่ำ : ประเทศไทยกำลังเผชิญสังคมผู้สูงอายุ 22.7% จากประชากรทั้งหมดในปี 2566 (อายุ 60 ปีขึ้นไป) และมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงปัญหาแรงงานขาดทักษะ ที่จำเป็น โดยเฉพาะทักษะเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตสินค้า และการแข่งขันในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปัญหานี้ทำให้การผลิตสินค้าเทคโนโลยีของไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ เทคโนโลยีขั้นกลาง และการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงจึงเกิดขึ้นค่อนข้างช้า เนื่องจากเพิ่มศักยภาพแรงงานไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง 2) สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง : FDI เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยได้รับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และทันสมัย เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและการส่งออก รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทยลดลงมาก จากที่เคยเป็นหนึ่ง ในจุดหมายปลายทางหลักในอาเซียน ไทยกลับตกอันดับมาเรื่อย ๆ อยู่อันดับ 7 ในปี 2566 แย่กว่าในปี 2543 2553 และ 2562 ที่อันดับ 3, 3, และ 6 ตามลำดับ เสียอีก (ข้อมูลจาก World Bank) สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก (1) ทักษะแรงงานไทยไม่สูงและสัดส่วนแรงงานสูงวัย ยังมีมากที่สุดในอาเซียน (2) ไทยขาดการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศสำคัญ ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม ได้เปรียบจากการมีข้อตกลง FTA กับสหภาพยุโรป และการเข้าร่วม CPTPP ทำให้เข้าถึงตลาดสำคัญในโลกได้ง่ายขึ้น (3) การเมืองไทยมีความไม่แน่นอนสูง (4) นโยบายเศรษฐกิจระยะยาวขาดความชัดเจนและความต่อเนื่อง นักลงทุนไทยและต่างประเทศขาดความมั่นใจที่จะลงทุน วิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เนื่องจากเป็นการลงทุนสูง และใช้เวลากว่าจะเห็นผล และ (5) กฎระเบียบภาครัฐซับซ้อน ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้นักลงทุน ต่างชาติเลือกลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง และนโยบายและสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนดีกว่า ปัจจัยภายนอก : การส่งออกของไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกหลายประการ ได้แก่ 1) China over-capacity ที่อาจซ้ำเติมปัญหาความสามารถ ในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันด้านราคา กับสินค้าจีน 2) ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจสร้างความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี สินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศเพิ่มเติม 3) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามยืดเยื้อ การแบ่งขั้ว ทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น หรือมาตรการกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบ ต่อการค้าโลก 4) การผันผวนของค่าเงินบาท จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง สำคัญทั่วโลก (5) ค่าระวางเรือและค่าขนส่งที่อาจจะกลับมาสูงขึ้น จากสงครามที่เกิดขึ้นบ่อย และรุนแรงขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์ ปัจจัยภายในและนอกประเทศเหล่านี้กดดันให้เครื่องยนต์ส่งออกของไทย อ่อนแอลง และเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากการบริโภคและการลงทุน ในประเทศก็กำลังอ่อนแรงเช่นกัน โดยการบริโภคถูกจำกัดจากภาระหนี้ ครัวเรือนสูง และการลงทุนได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ในประเทศ ที่เปราะบาง อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังไม่ไร้ความหวังเสียทีเดียว หากรัฐบาลสามารถจัดการ 3 ปัจจัยหลักได้ ได้แก่ แรงงาน การลงทุน โดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และยุทธศาสตร์นโยบายอุปทานที่ชัดเจน ประเทศไทยจะสามารถปรับโครงสร้างการผลิตให้แข็งแกร่งขึ้น และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้บนข้อได้เปรียบที่ไทยมีอยู่แล้ว เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ทังนี้ปัจจัยกดดันจากภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถ ควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่าหากโครงสร้างการผลิตของไทย แข็งแกร่ง จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ได้ และอาจทำให้ไทย ได้รับประโยชน์จากบางปัจจัย เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจนำมาซึ่ง การย้ายฐานการผลิตและการลงทุนใหม่ ๆ การส่งออกไทยในปัจจุบันเปรียบเหมือนรถที่กำลังวิ่งอย่างเชื่องช้า ที่ต้องเลือกว่าจะเริ่มซ่อมแซมและปรับปรุงโครงสร้างเครื่องยนต์ ให้ทันสมัยจุดไหนบ้าง เพื่อให้รถคันนี้กลับมาวิ่งเร็วได้อีกครั้ง แต่หากไม่เริ่มทำอะไรวันนี้ เครื่องยนต์เก่านี้อาจพังในไม่ช้า ทำให้รถเราค่อยๆ หยุดวิ่ง และปล่อยให้รถคันอื่นแซงหน้า ไปคันแล้วคันเล่า ที่มา : SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกไทย #thaitimes0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว - 💥💥ตลาดหุ้นไทย หรือ SET หลังจากแรลลี่
ขึ้นมากกว่า 170 จุด ตั้งแต่เดือน สิงหาคม
จนถึง ตุลาคม 2567 จากปัจจัยหลักๆคือ
1. กองทุนรวมวายุภักษ์1 ที่เข้าเทรดในตลาด
มากกว่า 1.5 แสนล้านบาท
2. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ในขณะที่
ค่าเงินบาท แข็งค่าขึ้น ทำให้ฟันโฟว์
หรือ เม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศ
ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งตลาดหุ้นไทย
3. ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ได้ลดอัตราดอกเบี้ย
นโยบายลง 0.5% เป็น 4.75 - 5.0%
4. งบประมาณปี 2568 ของรัฐบาลผ่านความเห็นชอบ
จากรัฐสภา
5. มาตการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ด้วยดิจิทัลวอลเลต
เฟส 1 (1.2 แสนล้านบาท) และ รอบเก็บตก
***ตอนนี้ กองทุน หรือ สถาบัน เริ่มเทขายหุ้นทำกำไรออกมา
หลังจากเข้าซื้อมาตลอดระยะเวลา 3 เดือน***
คาดการณ์ว่า นักลงทุนในประเทศ หรือ รายย่อย
ที่เข้าซื้อแบบไล่ราคา จะมีโอกาสสูงที่จะติดดอยหุ้น
ในระยะต่อไป
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET
#thaitimes💥💥ตลาดหุ้นไทย หรือ SET หลังจากแรลลี่ ขึ้นมากกว่า 170 จุด ตั้งแต่เดือน สิงหาคม จนถึง ตุลาคม 2567 จากปัจจัยหลักๆคือ 1. กองทุนรวมวายุภักษ์1 ที่เข้าเทรดในตลาด มากกว่า 1.5 แสนล้านบาท 2. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ในขณะที่ ค่าเงินบาท แข็งค่าขึ้น ทำให้ฟันโฟว์ หรือ เม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศ ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งตลาดหุ้นไทย 3. ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ได้ลดอัตราดอกเบี้ย นโยบายลง 0.5% เป็น 4.75 - 5.0% 4. งบประมาณปี 2568 ของรัฐบาลผ่านความเห็นชอบ จากรัฐสภา 5. มาตการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ด้วยดิจิทัลวอลเลต เฟส 1 (1.2 แสนล้านบาท) และ รอบเก็บตก ***ตอนนี้ กองทุน หรือ สถาบัน เริ่มเทขายหุ้นทำกำไรออกมา หลังจากเข้าซื้อมาตลอดระยะเวลา 3 เดือน*** คาดการณ์ว่า นักลงทุนในประเทศ หรือ รายย่อย ที่เข้าซื้อแบบไล่ราคา จะมีโอกาสสูงที่จะติดดอยหุ้น ในระยะต่อไป #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET #thaitimes - 💥💥ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน ได้แสดงวิสัยทัศน์
และแนวทางของกลุ่ม BRICS ในการประชุม
ฺBRICS Business Forum 2024
ที่เมือง คาซาน ประเทศรัสเซีย ว่า
🚩"เราตั้งใจที่จะปรับปรุงการประสานงานในแพลตฟอร์ม
พหุภาคีทั้งหมดให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้มั่นใจถึงความมั่นคงระดับโลก
และระเบียบโลกที่ยุติธรรม"
🚩 ความร่วมมือในกลุ่ม BRICS ถือเป็น
"เวทีที่สำคัญที่สุดสำหรับความสามัคคีและความร่วมมือ
ระหว่างประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา
ในโลกปัจจุบันอย่างแท้จริง"
🚩รวมทั้งเป็น "พลังหลักในการส่งเสริมการตระหนักถึง
ความเท่าเทียม และความเป็นระเบียบทั่วโลกหลายขั้ว
ตลอดจนโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ ที่ครอบคลุมและอดทน"
ที่มา : Reuters
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #BRICS #thaitimes💥💥ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน ได้แสดงวิสัยทัศน์ และแนวทางของกลุ่ม BRICS ในการประชุม ฺBRICS Business Forum 2024 ที่เมือง คาซาน ประเทศรัสเซีย ว่า 🚩"เราตั้งใจที่จะปรับปรุงการประสานงานในแพลตฟอร์ม พหุภาคีทั้งหมดให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้มั่นใจถึงความมั่นคงระดับโลก และระเบียบโลกที่ยุติธรรม" 🚩 ความร่วมมือในกลุ่ม BRICS ถือเป็น "เวทีที่สำคัญที่สุดสำหรับความสามัคคีและความร่วมมือ ระหว่างประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา ในโลกปัจจุบันอย่างแท้จริง" 🚩รวมทั้งเป็น "พลังหลักในการส่งเสริมการตระหนักถึง ความเท่าเทียม และความเป็นระเบียบทั่วโลกหลายขั้ว ตลอดจนโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ ที่ครอบคลุมและอดทน" ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #BRICS #thaitimes - 💥ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยแพร่ข้อมูล
ธนาคารพาณิชย์ไทยเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
ส่งผลต่อภาวะต้นทุนทางการเงินที่เริ่มผ่อนคลาย
สู่ตลาดสินเชื่อ
ประมาณ 1 สัปดาห์หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน
หรือ กนง. มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเมื่อวันที่
16 ต.ค. 2567 (จากระดับ 2.50% มาที่ 2.25%)
ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งทยอยประกาศปรับลด
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงสูงสุด 0.25% โดยให้มีผล
ต้นเดือนพ.ย. 2567 พร้อมๆ กับต่ออายุมาตรการ
ช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางไปจนถึงสิ้นปี 2567
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การทยอยปรับลด
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ในครั้งนี้
เป็นหนึ่งในกลไกการส่งผ่านต้นทุนทางการเงิน
ที่ปรับผ่อนคลายลงตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
มาสู่ตลาดสินเชื่อ โดยคาดว่า สัดส่วนสินเชื่อรายย่อย
และสินเชื่อธุรกิจ ที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับลด
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก่อนสิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ประมาณ 40.9%
ของสินเชื่อรวมทั้งระบบแบงก์ไทย
ขณะที่ผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียว
ของธนาคารพาณิชย์ในรอบนี้จะทำให้ภาระดอกเบี้ย
ของลูกหนี้รายย่อยและภาคธุรกิจปรับลดลงเกือบ
1,300 ล้านบาท
(คำนวณผลของภาระดอกเบี้ยที่จะปรับลดลง
เฉพาะช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค. 2567 โดยยังไม่ได้นับรวม
สินเชื่อ ส่วนที่จะเข้าสู่ช่วงการปรับอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า)
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
#thaitimes💥ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยแพร่ข้อมูล ธนาคารพาณิชย์ไทยเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ส่งผลต่อภาวะต้นทุนทางการเงินที่เริ่มผ่อนคลาย สู่ตลาดสินเชื่อ ประมาณ 1 สัปดาห์หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2567 (จากระดับ 2.50% มาที่ 2.25%) ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งทยอยประกาศปรับลด อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงสูงสุด 0.25% โดยให้มีผล ต้นเดือนพ.ย. 2567 พร้อมๆ กับต่ออายุมาตรการ ช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางไปจนถึงสิ้นปี 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การทยอยปรับลด อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกลไกการส่งผ่านต้นทุนทางการเงิน ที่ปรับผ่อนคลายลงตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มาสู่ตลาดสินเชื่อ โดยคาดว่า สัดส่วนสินเชื่อรายย่อย และสินเชื่อธุรกิจ ที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับลด อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก่อนสิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ประมาณ 40.9% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบแบงก์ไทย ขณะที่ผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียว ของธนาคารพาณิชย์ในรอบนี้จะทำให้ภาระดอกเบี้ย ของลูกหนี้รายย่อยและภาคธุรกิจปรับลดลงเกือบ 1,300 ล้านบาท (คำนวณผลของภาระดอกเบี้ยที่จะปรับลดลง เฉพาะช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค. 2567 โดยยังไม่ได้นับรวม สินเชื่อ ส่วนที่จะเข้าสู่ช่วงการปรับอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า) ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ศูนย์วิจัยกสิกรไทย #thaitimes - 💥22/10/2567 ตลาดหุ้นไทย สิ่งที่น่าสนใจคือ
สถาบัน หรือ กองทุน รวมทั้งโบรก และ
นักลงทุนต่างประเทศ คือคนที่ขายหุ้นไทยในวันนี้
ส่วนคนซื้อหลักในวันนี้คือ นักลงทุนในประเทศ
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET
#thaitimes💥22/10/2567 ตลาดหุ้นไทย สิ่งที่น่าสนใจคือ สถาบัน หรือ กองทุน รวมทั้งโบรก และ นักลงทุนต่างประเทศ คือคนที่ขายหุ้นไทยในวันนี้ ส่วนคนซื้อหลักในวันนี้คือ นักลงทุนในประเทศ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET #thaitimes - 🔥🔥สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งเตือน
ประชาชนและผู้ลงทุน ให้ระมัดระวังมิจฉาชีพหลอกลวง
แอบอ้างเป็นผู้ประกอบธุรกิจชักชวนให้ลงทุน
สร้างความเสียหายเป็นมูลค่าสูง พร้อมแนะนำ
3 ข้อสังเกตระมัดระวังก่อนการลงทุน
ก.ล.ต. จึงแจ้งเตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวัง
ในการรับข้อมูลชักชวนให้ลงทุน โดยฉพาะผ่านช่อง
ทางโซเชียลมีเดีย อย่าหลงเชื่อเมื่อพบความผิดปกติ
และควรตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ
โดยมีจุดสังเกต 3 ข้อควรระวังก่อนตัดสินใจลงทุน ดังนี้
🚩(1) หากถูกทักส่วนตัวและชักชวนลงทุนในช่องทาง
โซเชียลมีเดีย เช่น ส่งข้อความในไลน์ส่วนตัว หรือกล่อง
ข้อความส่วนตัว ในเฟซบุ๊ก (Messenger) ให้สงสัยไว้ก่อนว่า
อาจเป็นมิจฉาชีพ เพราะผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาต
ส่วนใหญ่ มักไม่ชักชวนลงทุนในลักษณะส่วนตัวผ่าน
โซเชียลมีเดีย
🚩(2) หากถูกชักชวนโดยอ้างชื่อ/ภาพของบุคคลใดก็ตาม
ในข้อความโฆษณา ให้สงสัยไว้ก่อนและสอบถามด้วยตัวเอง
กับบริษัทที่ถูกอ้างชื่อว่า มีบุคคลนั้นเป็นบุคคลากรทำหน้าที่
ผู้แนะนำการลงทุนอยู่ในบริษัทจริงหรือไม่ เพราะมิจฉาชีพ
มักจะแอบอ้างเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือหรือมีชื่อเสียง
รวมทั้งต้องตรวจเช็กด้วยว่าบริษัทนั้น ๆ เป็นผู้ประกอบธุรกิจ
ที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ และ
🚩(3) ก่อนโอนเงินชำระค่าเปิดบัญชีซื้อขายหรือค่าซื้อต้องตรวจดู
ชื่อบัญชีธนาคารปลายทางก่อนโอนทุกครั้งว่า เป็นชื่อบัญชี
ของบริษัทที่ประสงค์จะลงทุนจริงหรือไม่
ที่มา : กลต.
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #กลต #thaitimes🔥🔥สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งเตือน ประชาชนและผู้ลงทุน ให้ระมัดระวังมิจฉาชีพหลอกลวง แอบอ้างเป็นผู้ประกอบธุรกิจชักชวนให้ลงทุน สร้างความเสียหายเป็นมูลค่าสูง พร้อมแนะนำ 3 ข้อสังเกตระมัดระวังก่อนการลงทุน ก.ล.ต. จึงแจ้งเตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวัง ในการรับข้อมูลชักชวนให้ลงทุน โดยฉพาะผ่านช่อง ทางโซเชียลมีเดีย อย่าหลงเชื่อเมื่อพบความผิดปกติ และควรตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ โดยมีจุดสังเกต 3 ข้อควรระวังก่อนตัดสินใจลงทุน ดังนี้ 🚩(1) หากถูกทักส่วนตัวและชักชวนลงทุนในช่องทาง โซเชียลมีเดีย เช่น ส่งข้อความในไลน์ส่วนตัว หรือกล่อง ข้อความส่วนตัว ในเฟซบุ๊ก (Messenger) ให้สงสัยไว้ก่อนว่า อาจเป็นมิจฉาชีพ เพราะผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาต ส่วนใหญ่ มักไม่ชักชวนลงทุนในลักษณะส่วนตัวผ่าน โซเชียลมีเดีย 🚩(2) หากถูกชักชวนโดยอ้างชื่อ/ภาพของบุคคลใดก็ตาม ในข้อความโฆษณา ให้สงสัยไว้ก่อนและสอบถามด้วยตัวเอง กับบริษัทที่ถูกอ้างชื่อว่า มีบุคคลนั้นเป็นบุคคลากรทำหน้าที่ ผู้แนะนำการลงทุนอยู่ในบริษัทจริงหรือไม่ เพราะมิจฉาชีพ มักจะแอบอ้างเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือหรือมีชื่อเสียง รวมทั้งต้องตรวจเช็กด้วยว่าบริษัทนั้น ๆ เป็นผู้ประกอบธุรกิจ ที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ และ 🚩(3) ก่อนโอนเงินชำระค่าเปิดบัญชีซื้อขายหรือค่าซื้อต้องตรวจดู ชื่อบัญชีธนาคารปลายทางก่อนโอนทุกครั้งว่า เป็นชื่อบัญชี ของบริษัทที่ประสงค์จะลงทุนจริงหรือไม่ ที่มา : กลต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กลต #thaitimes0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว - มีบางท่านคอมเม้นต์มาน่าสนใจว่า
ปัจจุบัน บางวัด หรือ พระบางรูป
มีรายได้ที่สูงมาก ควรต้องแสดงทรัพย์สิน
หรือ ยื่นเสียภาษีแบบบุคคลธรรมดาหรือไม่?
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimesมีบางท่านคอมเม้นต์มาน่าสนใจว่า ปัจจุบัน บางวัด หรือ พระบางรูป มีรายได้ที่สูงมาก ควรต้องแสดงทรัพย์สิน หรือ ยื่นเสียภาษีแบบบุคคลธรรมดาหรือไม่? #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes - ถ้าจะลองซื้อหุ้นครั้งแรก แอดมินมีข้อแนะนำมั้ย?
ตอบ : ให้ลองซื้อหุ้น SETHD (ในตลาดมี 30 ตัว)
จำนวน 100 หุ้น เป้าหมายเพื่อปันผล และลองถือระยะยาว
เพื่อดูผลลัพธ์นั้น รวมทั้งติดตามผล และดูการเคลื่อนไหว
ของราคาประกอบไปด้วย เมื่อเราเรียนรู้จนเกิดความชำนาญ
และมีวิธีการที่ถูกต้องแล้ว ค่อยขยับเพิ่มจำนวนหุ้นให้มากขึ้น
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET
#thaitimesถ้าจะลองซื้อหุ้นครั้งแรก แอดมินมีข้อแนะนำมั้ย? ตอบ : ให้ลองซื้อหุ้น SETHD (ในตลาดมี 30 ตัว) จำนวน 100 หุ้น เป้าหมายเพื่อปันผล และลองถือระยะยาว เพื่อดูผลลัพธ์นั้น รวมทั้งติดตามผล และดูการเคลื่อนไหว ของราคาประกอบไปด้วย เมื่อเราเรียนรู้จนเกิดความชำนาญ และมีวิธีการที่ถูกต้องแล้ว ค่อยขยับเพิ่มจำนวนหุ้นให้มากขึ้น #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET #thaitimes - 💥💥ถ้ายังไม่มีเงินลงทุน ให้เริ่มต้นลงทุนในความรู้
คือ ศึกษา จากสิ่งที่เราสามารถจะเรียนรู้ได้
ในสิ่งที่ถูกต้อง เช่น หนังสือ บทความ ยูทูป
สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ หรือ ศึกษาจากคนที่
ประสบความสำเร็จ ของการลงทุนในสิ่งนั้นๆ
เช่น แอดมิน มักศึกษาแนวคิด และวิธีการลงทุน
ของ วอร์เรน บัฟเฟต เป็นต้น
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes💥💥ถ้ายังไม่มีเงินลงทุน ให้เริ่มต้นลงทุนในความรู้ คือ ศึกษา จากสิ่งที่เราสามารถจะเรียนรู้ได้ ในสิ่งที่ถูกต้อง เช่น หนังสือ บทความ ยูทูป สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ หรือ ศึกษาจากคนที่ ประสบความสำเร็จ ของการลงทุนในสิ่งนั้นๆ เช่น แอดมิน มักศึกษาแนวคิด และวิธีการลงทุน ของ วอร์เรน บัฟเฟต เป็นต้น #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes - 🔥🔥อยากรู้ว่า พระสงฆ์ที่เข้าไปลงทุน
ในธุรกิจแชร์ลูกโซ่ กับบริษัท เทรด Forex (อัตราแลกเปลี่ยน)
แล้วเกิดความเสียหายรวมกว่า 1,000 ล้านบาท
ท่านจะกล้าไปแจ้งความมั้ย?
คำถามต่อมาคือ พระสงฆ์สามารถซื้อหุ้น
หรือ ไปลงทุนใน Forex ได้เหรอ? 🤔
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes🔥🔥อยากรู้ว่า พระสงฆ์ที่เข้าไปลงทุน ในธุรกิจแชร์ลูกโซ่ กับบริษัท เทรด Forex (อัตราแลกเปลี่ยน) แล้วเกิดความเสียหายรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ท่านจะกล้าไปแจ้งความมั้ย? คำถามต่อมาคือ พระสงฆ์สามารถซื้อหุ้น หรือ ไปลงทุนใน Forex ได้เหรอ? 🤔 #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes - 🔥🔥สะเทือนวงการพระสงฆ์!!!
เพจอีซ้อขยี้ข่าวระบุ
วงการแชร์ลูกโซ่ของพระสงฆ์ภาคอีสาน
พบผู้เสียหายส่วนใหญ่คือพระสงฆ์เกือบทั้งหมด
หลังหลอกพระสงฆ์ที่อยู่ในภาคอีสานเข้าร่วมลงทุนเทรด
กับบริษัทขายฝัน อ้างไม่เกิน 5 ปี ได้บ้าน ได้รถ
ตอนนี้มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นกว่า 1,000 ล้านบาท
ที่มา : เพจอีซ้อขยี้ข่าว
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes🔥🔥สะเทือนวงการพระสงฆ์!!! เพจอีซ้อขยี้ข่าวระบุ วงการแชร์ลูกโซ่ของพระสงฆ์ภาคอีสาน พบผู้เสียหายส่วนใหญ่คือพระสงฆ์เกือบทั้งหมด หลังหลอกพระสงฆ์ที่อยู่ในภาคอีสานเข้าร่วมลงทุนเทรด กับบริษัทขายฝัน อ้างไม่เกิน 5 ปี ได้บ้าน ได้รถ ตอนนี้มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นกว่า 1,000 ล้านบาท ที่มา : เพจอีซ้อขยี้ข่าว #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes - 💥💥ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยข้อมูล
เศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
จะได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวและส่งออก
🚩โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ในไตรมาส 4 จากกลุ่มตลาดประเทศระยะไกล
รวมถึงการท่องเที่ยวในประเทศจะได้ปัจจัยบวก
จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ
ที่จะออกมาเพิ่มเติม โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ
และเมืองน่าเที่ยว
🚩การส่งออกไทยจะขยายตัวดีขึ้น โดยมีแรงหนุนสำคัญ
จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น อย่างไรก็ดี
ภาคการผลิตอุตสาหกรรมไทยยังฟื้นตัวได้ช้า
และมีสัญญาณการฟื้นตัวไม่ชัดเจน
ขณะที่สินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับสูง
ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง
จากสถานการณ์น้ำท่วมและค่าเงินบาทแข็ง
🚩สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่เกษตรเริ่มคลี่คลายลงบ้าง
โดยพื้นที่เกษตรที่ได้รับผลกระทบยังไม่สูงมากหากเทียบกับ
ภัยน้ำท่วมในอดีต SCB EIC ประเมินว่า มูลค่าความเสียหาย
ในภาคเกษตรอยู่ที่ราว 4,700 ล้านบาท (0.03% ของจีดีพี)
โดยคาดว่าพื้นที่ปลูกข้าวจะเสียหาย 0.83 ล้านไร่
🚩สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงิน 10,000 บาท
จะเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติมในปีนี้ SCB EIC ประเมินโครงการนี้
มีผลบวกต่อเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเม็ดเงินทั้งหมด
อาจไม่ได้ใช้จ่ายลงเศรษฐกิจ สะท้อนจากผลสำรวจ
SCB EIC consumer survey ที่พบว่า ผู้ได้รับสิทธิบางส่วน
จะนำเงินไปออมหรือชำระหนี้ รวมถึงใช้จ่ายเงินนี้
แทนรายจ่ายปกติที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว สำหรับการบริโภค
ภาคเอกชนคาดว่าจะแผ่วลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับ
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลง 7 เดือนติดต่อกัน
และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน
ที่มา : SCBEIC
#หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจไทย #จีดีพี
#thaitimes💥💥ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยข้อมูล เศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จะได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวและส่งออก 🚩โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในไตรมาส 4 จากกลุ่มตลาดประเทศระยะไกล รวมถึงการท่องเที่ยวในประเทศจะได้ปัจจัยบวก จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ ที่จะออกมาเพิ่มเติม โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ และเมืองน่าเที่ยว 🚩การส่งออกไทยจะขยายตัวดีขึ้น โดยมีแรงหนุนสำคัญ จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น อย่างไรก็ดี ภาคการผลิตอุตสาหกรรมไทยยังฟื้นตัวได้ช้า และมีสัญญาณการฟื้นตัวไม่ชัดเจน ขณะที่สินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับสูง ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง จากสถานการณ์น้ำท่วมและค่าเงินบาทแข็ง 🚩สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่เกษตรเริ่มคลี่คลายลงบ้าง โดยพื้นที่เกษตรที่ได้รับผลกระทบยังไม่สูงมากหากเทียบกับ ภัยน้ำท่วมในอดีต SCB EIC ประเมินว่า มูลค่าความเสียหาย ในภาคเกษตรอยู่ที่ราว 4,700 ล้านบาท (0.03% ของจีดีพี) โดยคาดว่าพื้นที่ปลูกข้าวจะเสียหาย 0.83 ล้านไร่ 🚩สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงิน 10,000 บาท จะเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติมในปีนี้ SCB EIC ประเมินโครงการนี้ มีผลบวกต่อเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเม็ดเงินทั้งหมด อาจไม่ได้ใช้จ่ายลงเศรษฐกิจ สะท้อนจากผลสำรวจ SCB EIC consumer survey ที่พบว่า ผู้ได้รับสิทธิบางส่วน จะนำเงินไปออมหรือชำระหนี้ รวมถึงใช้จ่ายเงินนี้ แทนรายจ่ายปกติที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว สำหรับการบริโภค ภาคเอกชนคาดว่าจะแผ่วลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลง 7 เดือนติดต่อกัน และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน ที่มา : SCBEIC #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจไทย #จีดีพี #thaitimes
เรื่องราวเพิ่มเติม