• React ออกแพตช์แก้ช่องโหว่ใหม่ เสี่ยงเซิร์ฟเวอร์ล่มและรั่วไหลซอร์สโค้ด

    React Server Components กำลังเผชิญกับปัญหาด้านความปลอดภัยต่อเนื่อง หลังจากเพิ่งแก้ไขช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) ไปไม่นาน ล่าสุดนักวิจัยพบช่องโหว่ใหม่อีกสองรายการที่อาจสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบที่ใช้งาน React

    ช่องโหว่แรก CVE-2025-55184 และ CVE-2025-67779 ถูกจัดระดับความรุนแรงสูง (CVSS 7.5) โดยเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีส่ง HTTP request ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อทำให้เซิร์ฟเวอร์เข้าสู่ infinite loop ส่งผลให้ CPU ถูกใช้งานเต็มและระบบหยุดทำงานทันที ถือเป็นการโจมตีแบบ Denial of Service (DoS) ที่สามารถทำให้ธุรกิจหยุดชะงักได้

    ช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-55183 มีระดับความรุนแรงปานกลาง (CVSS 5.3) แต่ก็อันตรายไม่น้อย เพราะสามารถทำให้เซิร์ฟเวอร์ส่งคืน ซอร์สโค้ดของฟังก์ชันภายใน หากมีการเขียนโค้ดด้วยรูปแบบที่เปิดเผย argument เป็น string โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การรั่วไหลของ logic สำคัญหรือแม้กระทั่ง database keys ที่ฝังอยู่ในโค้ด

    ทีม React ยืนยันว่าช่องโหว่เหล่านี้ ไม่สามารถนำไปสู่ RCE ได้ และแพตช์ที่ออกมาก่อนหน้านี้ยังคงป้องกันการโจมตีแบบยึดครองเซิร์ฟเวอร์ แต่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ผู้พัฒนาควรอัปเดตไปยังเวอร์ชันล่าสุดทันที ได้แก่ 19.0.3, 19.1.4 และ 19.2.3

    สรุปสาระสำคัญ
    ช่องโหว่ใหม่ใน React Server Components
    CVE-2025-55184 และ CVE-2025-67779: เสี่ยง DoS ด้วยการสร้าง infinite loop
    CVE-2025-55183: เสี่ยงรั่วไหลซอร์สโค้ดและข้อมูลสำคัญ

    ระดับความรุนแรง
    DoS: CVSS 7.5 (สูง)
    Source Code Disclosure: CVSS 5.3 (ปานกลาง)

    แพตช์แก้ไขที่ออกแล้ว
    เวอร์ชันที่ปลอดภัย: 19.0.3, 19.1.4, 19.2.3

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนา
    หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการโจมตีที่ทำให้ระบบหยุดทำงาน
    โค้ดที่เขียนผิดรูปแบบอาจเปิดเผยข้อมูลลับโดยไม่ตั้งใจ

    https://securityonline.info/react-patches-two-new-flaws-risking-server-crashing-dos-and-source-code-disclosure/
    ⚛️ React ออกแพตช์แก้ช่องโหว่ใหม่ เสี่ยงเซิร์ฟเวอร์ล่มและรั่วไหลซอร์สโค้ด React Server Components กำลังเผชิญกับปัญหาด้านความปลอดภัยต่อเนื่อง หลังจากเพิ่งแก้ไขช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) ไปไม่นาน ล่าสุดนักวิจัยพบช่องโหว่ใหม่อีกสองรายการที่อาจสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบที่ใช้งาน React ช่องโหว่แรก CVE-2025-55184 และ CVE-2025-67779 ถูกจัดระดับความรุนแรงสูง (CVSS 7.5) โดยเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีส่ง HTTP request ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อทำให้เซิร์ฟเวอร์เข้าสู่ infinite loop ส่งผลให้ CPU ถูกใช้งานเต็มและระบบหยุดทำงานทันที ถือเป็นการโจมตีแบบ Denial of Service (DoS) ที่สามารถทำให้ธุรกิจหยุดชะงักได้ ช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-55183 มีระดับความรุนแรงปานกลาง (CVSS 5.3) แต่ก็อันตรายไม่น้อย เพราะสามารถทำให้เซิร์ฟเวอร์ส่งคืน ซอร์สโค้ดของฟังก์ชันภายใน หากมีการเขียนโค้ดด้วยรูปแบบที่เปิดเผย argument เป็น string โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การรั่วไหลของ logic สำคัญหรือแม้กระทั่ง database keys ที่ฝังอยู่ในโค้ด ทีม React ยืนยันว่าช่องโหว่เหล่านี้ ไม่สามารถนำไปสู่ RCE ได้ และแพตช์ที่ออกมาก่อนหน้านี้ยังคงป้องกันการโจมตีแบบยึดครองเซิร์ฟเวอร์ แต่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ผู้พัฒนาควรอัปเดตไปยังเวอร์ชันล่าสุดทันที ได้แก่ 19.0.3, 19.1.4 และ 19.2.3 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ช่องโหว่ใหม่ใน React Server Components ➡️ CVE-2025-55184 และ CVE-2025-67779: เสี่ยง DoS ด้วยการสร้าง infinite loop ➡️ CVE-2025-55183: เสี่ยงรั่วไหลซอร์สโค้ดและข้อมูลสำคัญ ✅ ระดับความรุนแรง ➡️ DoS: CVSS 7.5 (สูง) ➡️ Source Code Disclosure: CVSS 5.3 (ปานกลาง) ✅ แพตช์แก้ไขที่ออกแล้ว ➡️ เวอร์ชันที่ปลอดภัย: 19.0.3, 19.1.4, 19.2.3 ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนา ⛔ หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการโจมตีที่ทำให้ระบบหยุดทำงาน ⛔ โค้ดที่เขียนผิดรูปแบบอาจเปิดเผยข้อมูลลับโดยไม่ตั้งใจ https://securityonline.info/react-patches-two-new-flaws-risking-server-crashing-dos-and-source-code-disclosure/
    SECURITYONLINE.INFO
    React Patches Two New Flaws Risking Server-Crashing DoS and Source Code Disclosure
    New flaws found in React Server Components risk a Server-Crashing DoS (CVSS 7.5) via infinite loop and Source Code Disclosure (CVE-2025-55183). Update to v19.0.3/19.1.4/19.2.3 immediately.
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • Apple รีบอุดช่องโหว่ WebKit Zero-Day หลังพบการโจมตีจริงต่อเป้าหมายระดับสูง

    Apple ประกาศแพตช์เร่งด่วนสำหรับ iPhone และ iPad หลังพบช่องโหว่ร้ายแรงใน WebKit ซึ่งเป็นเอนจินที่ใช้ในการแสดงผลเว็บเพจบน Safari และแอปพลิเคชันอื่น ๆ ช่องโหว่ทั้งสองถูกระบุว่าเป็น Zero-Day และกำลังถูกโจมตีจริงในโลกไซเบอร์ โดยผู้โจมตีสามารถฝังโค้ดอันตรายผ่านเว็บเพจหรือโฆษณาที่ถูกปรับแต่งมาเฉพาะ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเข้าถึงเครื่องโดยตรง

    ช่องโหว่แรก CVE-2025-43529 เป็นปัญหาแบบ Use-After-Free ซึ่งเกิดจากการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดอันตรายได้ ส่วนช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-14174 เป็นปัญหา Memory Corruption ที่อาจทำให้ระบบล่มหรือเปิดช่องทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลภายใน ทั้งสองช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยทีม Google Threat Analysis Group (TAG) และ Apple เอง

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Apple ระบุว่าการโจมตีครั้งนี้มีความซับซ้อนสูงและเจาะจงเป้าหมาย ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการโจมตีโดย สปายแวร์ที่รัฐสนับสนุน โดยมักมุ่งเป้าไปที่บุคคลสำคัญ เช่น นักข่าว นักการทูต และนักกิจกรรมสิทธิมนุษยชน

    เพื่อป้องกันความเสี่ยง Apple แนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตเป็น iOS 26 หรือเวอร์ชันล่าสุดทันที เนื่องจากอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมตั้งแต่ iPhone 11 ขึ้นไป รวมถึง iPad Pro, iPad Air, iPad รุ่นใหม่ และ iPad mini รุ่นล่าสุด หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ที่อาจนำแพตช์ไปย้อนวิเคราะห์เพื่อสร้างช่องโหว่ใหม่

    สรุปสาระสำคัญ
    Apple ออกแพตช์เร่งด่วน
    แก้ไขช่องโหว่ WebKit Zero-Day 2 รายการ (CVE-2025-43529, CVE-2025-14174)

    รายละเอียดช่องโหว่
    CVE-2025-43529: Use-After-Free → รันโค้ดอันตราย
    CVE-2025-14174: Memory Corruption → ระบบล่ม/เปิดช่องทางโจมตี

    ผู้ค้นพบ
    Google TAG และ Apple

    อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ
    iPhone 11 ขึ้นไป, iPad Pro (3rd gen+), iPad Air (3rd gen+), iPad (8th gen+), iPad mini (5th gen+)

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากไม่อัปเดต iOS 26 อาจถูกโจมตีจากเว็บเพจหรือโฆษณาที่ฝังโค้ดอันตราย
    กลุ่มอาชญากรไซเบอร์อาจย้อนวิเคราะห์แพตช์เพื่อสร้างช่องโหว่ใหม่

    https://securityonline.info/urgent-apple-patches-two-critical-webkit-zero-days-under-active-exploitation-against-high-risk-targets/
    🪱 Apple รีบอุดช่องโหว่ WebKit Zero-Day หลังพบการโจมตีจริงต่อเป้าหมายระดับสูง Apple ประกาศแพตช์เร่งด่วนสำหรับ iPhone และ iPad หลังพบช่องโหว่ร้ายแรงใน WebKit ซึ่งเป็นเอนจินที่ใช้ในการแสดงผลเว็บเพจบน Safari และแอปพลิเคชันอื่น ๆ ช่องโหว่ทั้งสองถูกระบุว่าเป็น Zero-Day และกำลังถูกโจมตีจริงในโลกไซเบอร์ โดยผู้โจมตีสามารถฝังโค้ดอันตรายผ่านเว็บเพจหรือโฆษณาที่ถูกปรับแต่งมาเฉพาะ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเข้าถึงเครื่องโดยตรง ช่องโหว่แรก CVE-2025-43529 เป็นปัญหาแบบ Use-After-Free ซึ่งเกิดจากการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดอันตรายได้ ส่วนช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-14174 เป็นปัญหา Memory Corruption ที่อาจทำให้ระบบล่มหรือเปิดช่องทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลภายใน ทั้งสองช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยทีม Google Threat Analysis Group (TAG) และ Apple เอง สิ่งที่น่ากังวลคือ Apple ระบุว่าการโจมตีครั้งนี้มีความซับซ้อนสูงและเจาะจงเป้าหมาย ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการโจมตีโดย สปายแวร์ที่รัฐสนับสนุน โดยมักมุ่งเป้าไปที่บุคคลสำคัญ เช่น นักข่าว นักการทูต และนักกิจกรรมสิทธิมนุษยชน เพื่อป้องกันความเสี่ยง Apple แนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตเป็น iOS 26 หรือเวอร์ชันล่าสุดทันที เนื่องจากอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมตั้งแต่ iPhone 11 ขึ้นไป รวมถึง iPad Pro, iPad Air, iPad รุ่นใหม่ และ iPad mini รุ่นล่าสุด หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ที่อาจนำแพตช์ไปย้อนวิเคราะห์เพื่อสร้างช่องโหว่ใหม่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Apple ออกแพตช์เร่งด่วน ➡️ แก้ไขช่องโหว่ WebKit Zero-Day 2 รายการ (CVE-2025-43529, CVE-2025-14174) ✅ รายละเอียดช่องโหว่ ➡️ CVE-2025-43529: Use-After-Free → รันโค้ดอันตราย ➡️ CVE-2025-14174: Memory Corruption → ระบบล่ม/เปิดช่องทางโจมตี ✅ ผู้ค้นพบ ➡️ Google TAG และ Apple ✅ อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ ➡️ iPhone 11 ขึ้นไป, iPad Pro (3rd gen+), iPad Air (3rd gen+), iPad (8th gen+), iPad mini (5th gen+) ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากไม่อัปเดต iOS 26 อาจถูกโจมตีจากเว็บเพจหรือโฆษณาที่ฝังโค้ดอันตราย ⛔ กลุ่มอาชญากรไซเบอร์อาจย้อนวิเคราะห์แพตช์เพื่อสร้างช่องโหว่ใหม่ https://securityonline.info/urgent-apple-patches-two-critical-webkit-zero-days-under-active-exploitation-against-high-risk-targets/
    SECURITYONLINE.INFO
    Urgent: Apple Patches Two Critical WebKit Zero-Days Under Active Exploitation Against High-Risk Targets
    Apple patched two critical zero-days in WebKit (UAF & Memory Corruption) under active exploitation in extremely sophisticated attacks against targeted individuals. Update iOS 26 immediately.
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • Apache Airflow อุดช่องโหว่รั่วไหล Credential ผ่าน UI และ Template Rendering

    Apache Airflow ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับการจัดการ workflow แบบโปรแกรม ถูกพบช่องโหว่ที่อาจทำให้ข้อมูลลับรั่วไหลสู่ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เข้าถึง UI โดยตรง ช่องโหว่แรก CVE-2025-65995 (ระดับ Moderate) เกิดขึ้นจากการที่ระบบแสดง DAG traceback ที่ละเอียดเกินไปเมื่อ workflow ล้มเหลว ทำให้ผู้ใช้สามารถเห็นค่า kwargs ที่ส่งไปยัง operator ซึ่งบางครั้งอาจมีข้อมูลลับ เช่น API keys หรือรหัสผ่าน

    ช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-66388 (ระดับ Low) เกิดจากการที่ระบบ template rendering ไม่ได้ทำการ redaction ข้อมูลลับอย่างถูกต้อง ส่งผลให้ผู้ใช้ที่ไม่ควรมีสิทธิ์สามารถเห็นค่า secret ได้ในผลลัพธ์ที่ถูก render ออกมา ถือเป็นการทำลาย boundary ของการอนุญาต (authorization boundary)

    ทั้งสองช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อเวอร์ชันก่อนหน้า 3.1.4 และทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขเรียบร้อยแล้ว โดยแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ โดยเฉพาะระบบที่มีการจัดการ workflow ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทางการเงินหรือ API ที่เชื่อมต่อกับบริการภายนอก

    สรุปสาระสำคัญ
    ช่องโหว่ที่พบใน Apache Airflow
    CVE-2025-65995: DAG traceback แสดงข้อมูล kwargs ที่อาจมี secret
    CVE-2025-66388: Template rendering ไม่ redaction secret อย่างถูกต้อง

    ระดับความรุนแรง
    CVE-2025-65995: Moderate
    CVE-2025-66388: Low

    การแก้ไข
    ทีมพัฒนาออกแพตช์ในเวอร์ชัน 3.1.4

    คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบ
    หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหล API keys และรหัสผ่าน
    การรั่วไหล credential อาจนำไปสู่การเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต

    https://securityonline.info/apache-airflow-flaws-leak-sensitive-credentials-in-ui-via-dag-tracebacks-template-rendering/
    ⏳ Apache Airflow อุดช่องโหว่รั่วไหล Credential ผ่าน UI และ Template Rendering Apache Airflow ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับการจัดการ workflow แบบโปรแกรม ถูกพบช่องโหว่ที่อาจทำให้ข้อมูลลับรั่วไหลสู่ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เข้าถึง UI โดยตรง ช่องโหว่แรก CVE-2025-65995 (ระดับ Moderate) เกิดขึ้นจากการที่ระบบแสดง DAG traceback ที่ละเอียดเกินไปเมื่อ workflow ล้มเหลว ทำให้ผู้ใช้สามารถเห็นค่า kwargs ที่ส่งไปยัง operator ซึ่งบางครั้งอาจมีข้อมูลลับ เช่น API keys หรือรหัสผ่าน ช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-66388 (ระดับ Low) เกิดจากการที่ระบบ template rendering ไม่ได้ทำการ redaction ข้อมูลลับอย่างถูกต้อง ส่งผลให้ผู้ใช้ที่ไม่ควรมีสิทธิ์สามารถเห็นค่า secret ได้ในผลลัพธ์ที่ถูก render ออกมา ถือเป็นการทำลาย boundary ของการอนุญาต (authorization boundary) ทั้งสองช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อเวอร์ชันก่อนหน้า 3.1.4 และทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขเรียบร้อยแล้ว โดยแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ โดยเฉพาะระบบที่มีการจัดการ workflow ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทางการเงินหรือ API ที่เชื่อมต่อกับบริการภายนอก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่พบใน Apache Airflow ➡️ CVE-2025-65995: DAG traceback แสดงข้อมูล kwargs ที่อาจมี secret ➡️ CVE-2025-66388: Template rendering ไม่ redaction secret อย่างถูกต้อง ✅ ระดับความรุนแรง ➡️ CVE-2025-65995: Moderate ➡️ CVE-2025-66388: Low ✅ การแก้ไข ➡️ ทีมพัฒนาออกแพตช์ในเวอร์ชัน 3.1.4 ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบ ⛔ หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหล API keys และรหัสผ่าน ⛔ การรั่วไหล credential อาจนำไปสู่การเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต https://securityonline.info/apache-airflow-flaws-leak-sensitive-credentials-in-ui-via-dag-tracebacks-template-rendering/
    SECURITYONLINE.INFO
    Apache Airflow Flaws Leak Sensitive Credentials in UI via DAG Tracebacks & Template Rendering
    Apache Airflow patched two flaws leaking sensitive credentials in the UI. The Moderate bug exposes secrets in DAG tracebacks (kwargs). Also fixed: secrets visible in rendered templates. Update to v3.1.4.
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • Pop!_OS 24.04 LTS – ก้าวใหม่ของ Linux Desktop ที่ขับเคลื่อนด้วย COSMIC

    หลังจากรอคอยมานานหลายปี System76 ได้เปิดตัว Pop!_OS 24.04 LTS ที่สร้างบน Ubuntu 24.04 LTS และใช้ Linux Kernel 6.17 จุดเด่นคือการมาพร้อม COSMIC Desktop Environment Epoch 1 ซึ่งเป็นเวอร์ชันเสถียรครั้งแรกของ COSMIC ที่เขียนด้วย Rust ทำให้ระบบมีความเร็วและความเสถียรมากขึ้น พร้อมการปรับแต่ง UI ที่ยืดหยุ่น เช่น การจัดการ workspace, dock และ panel ที่สามารถปรับตำแหน่งได้ตามใจผู้ใช้

    ประสบการณ์การติดตั้งได้รับการปรับปรุงอย่างมาก โดยมี password strength checker, ตัวเลือก partition ที่เข้าใจง่าย และแอนิเมชันยานอวกาศที่ทำให้การติดตั้งดูสนุกขึ้น หลังจากติดตั้งเสร็จ ระบบจะมี onboarding ที่ช่วยตั้งค่าพื้นฐาน เช่น ภาษา, keyboard layout, theme และ layout ของ desktop เพื่อให้ผู้ใช้ใหม่เริ่มต้นได้สะดวก

    ในด้านการใช้งานจริง Pop!_OS 24.04 LTS มาพร้อมชุดแอป COSMIC ที่แทนที่ GNOME เช่น Files, Store, Terminal, Text Editor และ Media Player ทั้งหมดถูกเขียนด้วย Rust ทำให้ตอบสนองเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมี COSMIC Store ที่รวมทั้ง repository ของ System76 และ Flathub เพื่อให้ผู้ใช้ติดตั้งแอปได้ง่ายขึ้น

    สำหรับเกมเมอร์ Pop!_OS 24.04 LTS เพิ่มฟีเจอร์ Hybrid Graphics ที่ช่วยเลือก GPU ได้อัตโนมัติหรือด้วยการคลิกขวา ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้นและประหยัดแบตเตอรี่ การทดสอบเกม ARC Raiders พบว่าประสิทธิภาพใกล้เคียง Windows แม้ต้องปรับ Proton และแก้ปัญหากับ external monitor แต่โดยรวมถือว่าเป็นก้าวสำคัญของ Linux ด้านเกม

    อย่างไรก็ตาม ยังมีบั๊กบางอย่าง เช่น ปัญหาเสียงที่ไม่เสถียร, ไอคอนแอปใหม่ไม่แสดงใน dock ทันที และ OBS Studio ยังไม่ทำงานกับการบันทึกหน้าจอ ซึ่งแม้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทีมพัฒนาต้องแก้ไขต่อไป

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปิดตัว COSMIC Desktop Environment
    เขียนด้วย Rust, ปรับแต่ง workspace และ dock ได้ยืดหยุ่น

    การติดตั้งที่ง่ายขึ้น
    มี password checker, onboarding ที่ชัดเจน, theme และ layout ให้เลือก

    ชุดแอป COSMIC ใหม่
    Files, Store, Terminal, Text Editor, Media Player, Screenshot เขียนด้วย Rust

    ฟีเจอร์ Hybrid Graphics
    เลือก GPU อัตโนมัติหรือด้วยคลิกขวา, ประสิทธิภาพเกมใกล้เคียง Windows

    บั๊กที่ยังพบ
    ปัญหาเสียงไม่เสถียร
    ไอคอนแอปใหม่ไม่แสดงใน dock ทันที
    OBS Studio ยังไม่ทำงานกับ screen recording

    https://itsfoss.com/news/pop-os-24-04-review/
    🐧 Pop!_OS 24.04 LTS – ก้าวใหม่ของ Linux Desktop ที่ขับเคลื่อนด้วย COSMIC หลังจากรอคอยมานานหลายปี System76 ได้เปิดตัว Pop!_OS 24.04 LTS ที่สร้างบน Ubuntu 24.04 LTS และใช้ Linux Kernel 6.17 จุดเด่นคือการมาพร้อม COSMIC Desktop Environment Epoch 1 ซึ่งเป็นเวอร์ชันเสถียรครั้งแรกของ COSMIC ที่เขียนด้วย Rust ทำให้ระบบมีความเร็วและความเสถียรมากขึ้น พร้อมการปรับแต่ง UI ที่ยืดหยุ่น เช่น การจัดการ workspace, dock และ panel ที่สามารถปรับตำแหน่งได้ตามใจผู้ใช้ ประสบการณ์การติดตั้งได้รับการปรับปรุงอย่างมาก โดยมี password strength checker, ตัวเลือก partition ที่เข้าใจง่าย และแอนิเมชันยานอวกาศที่ทำให้การติดตั้งดูสนุกขึ้น หลังจากติดตั้งเสร็จ ระบบจะมี onboarding ที่ช่วยตั้งค่าพื้นฐาน เช่น ภาษา, keyboard layout, theme และ layout ของ desktop เพื่อให้ผู้ใช้ใหม่เริ่มต้นได้สะดวก ในด้านการใช้งานจริง Pop!_OS 24.04 LTS มาพร้อมชุดแอป COSMIC ที่แทนที่ GNOME เช่น Files, Store, Terminal, Text Editor และ Media Player ทั้งหมดถูกเขียนด้วย Rust ทำให้ตอบสนองเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมี COSMIC Store ที่รวมทั้ง repository ของ System76 และ Flathub เพื่อให้ผู้ใช้ติดตั้งแอปได้ง่ายขึ้น สำหรับเกมเมอร์ Pop!_OS 24.04 LTS เพิ่มฟีเจอร์ Hybrid Graphics ที่ช่วยเลือก GPU ได้อัตโนมัติหรือด้วยการคลิกขวา ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้นและประหยัดแบตเตอรี่ การทดสอบเกม ARC Raiders พบว่าประสิทธิภาพใกล้เคียง Windows แม้ต้องปรับ Proton และแก้ปัญหากับ external monitor แต่โดยรวมถือว่าเป็นก้าวสำคัญของ Linux ด้านเกม อย่างไรก็ตาม ยังมีบั๊กบางอย่าง เช่น ปัญหาเสียงที่ไม่เสถียร, ไอคอนแอปใหม่ไม่แสดงใน dock ทันที และ OBS Studio ยังไม่ทำงานกับการบันทึกหน้าจอ ซึ่งแม้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทีมพัฒนาต้องแก้ไขต่อไป 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปิดตัว COSMIC Desktop Environment ➡️ เขียนด้วย Rust, ปรับแต่ง workspace และ dock ได้ยืดหยุ่น ✅ การติดตั้งที่ง่ายขึ้น ➡️ มี password checker, onboarding ที่ชัดเจน, theme และ layout ให้เลือก ✅ ชุดแอป COSMIC ใหม่ ➡️ Files, Store, Terminal, Text Editor, Media Player, Screenshot เขียนด้วย Rust ✅ ฟีเจอร์ Hybrid Graphics ➡️ เลือก GPU อัตโนมัติหรือด้วยคลิกขวา, ประสิทธิภาพเกมใกล้เคียง Windows ‼️ บั๊กที่ยังพบ ⛔ ปัญหาเสียงไม่เสถียร ⛔ ไอคอนแอปใหม่ไม่แสดงใน dock ทันที ⛔ OBS Studio ยังไม่ทำงานกับ screen recording https://itsfoss.com/news/pop-os-24-04-review/
    ITSFOSS.COM
    Pop!_OS 24.04 LTS Review: Is This the Linux Distro of the Year 2025?
    After years of development, System76's Rust-based desktop delivers.
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • Cinnamon 6.6 – ก้าวใหม่ของ Linux Mint Desktop

    Cinnamon ซึ่งเป็น desktop environment หลักของ Linux Mint ได้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 6.6 โดยเน้นการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ให้ทันสมัยและใช้งานง่ายขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นที่สุดคือ เมนูหลัก ที่ถูกจัดระเบียบใหม่ โดยแยก system buttons ไว้ด้านบน และเพิ่ม special categories ไว้ด้านล่าง ทำให้การนำทางชัดเจนและเป็นระเบียบมากขึ้น

    ในด้านการแสดงผล Tweener animation engine ถูกแทนที่ด้วย easing animations ที่ทำให้การเคลื่อนไหวของหน้าต่าง, alt-tab switcher, applets และ desklets ดูลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม night light applet ที่สามารถตั้งค่าเป็นโหมด “always” ได้ รวมถึงการแก้ไขพฤติกรรม hover ของ grouped window list และการเพิ่ม notification badges ให้กับ window list ใน taskbar

    การจัดการธีมก็ได้รับการปรับปรุง โดยมี การจัดหมวดหมู่ธีมใหม่ และเพิ่มชุดไอคอน xapp-symbolic-icons เพื่อให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ reset zoom shortcut, การปรับปรุง Polkit authentication agent ที่ช่วยให้ root authentication ทำงานได้แม้ไม่มีผู้ใช้ admin, และการย้าย tiling preferences ไปยังแท็บเฉพาะในเมนูการตั้งค่า

    สุดท้าย Cinnamon 6.6 จะถูกนำไปใช้ใน Linux Mint 22.3 “Zena” แต่ผู้ใช้สามารถทดลองได้ทันทีผ่านการ build จาก source หรือใช้ดิสโทร rolling release เช่น EndeavourOS, CachyOS และ Arch Linux ที่มีแพ็กเกจอัปเดตใน repository แล้ว

    สรุปสาระสำคัญ
    เมนูหลักปรับโฉมใหม่
    system buttons อยู่ด้านบน, special categories อยู่ด้านล่าง

    การปรับปรุง UI และ animation
    ใช้ easing animations แทน Tweener
    เพิ่ม night light applet พร้อมโหมด “always”

    ฟีเจอร์ใหม่ใน applets
    window list รองรับ notification badges
    workspace switcher แสดงไอคอนบน thumbnails

    การจัดการธีม
    จัดหมวดหมู่ใหม่, เพิ่ม xapp-symbolic-icons

    การปรับปรุง usability
    reset zoom shortcut, ปรับปรุง Polkit, ย้าย tiling preferences

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux Mint
    ต้องรอ Linux Mint 22.3 “Zena” จึงจะได้ใช้ Cinnamon 6.6 แบบเสถียร
    หาก build จาก source อาจเจอความไม่เสถียรหรือบั๊กที่ยังไม่แก้ไข

    https://itsfoss.com/news/cinnamon-6-6/
    🦙 Cinnamon 6.6 – ก้าวใหม่ของ Linux Mint Desktop Cinnamon ซึ่งเป็น desktop environment หลักของ Linux Mint ได้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 6.6 โดยเน้นการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ให้ทันสมัยและใช้งานง่ายขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นที่สุดคือ เมนูหลัก ที่ถูกจัดระเบียบใหม่ โดยแยก system buttons ไว้ด้านบน และเพิ่ม special categories ไว้ด้านล่าง ทำให้การนำทางชัดเจนและเป็นระเบียบมากขึ้น ในด้านการแสดงผล Tweener animation engine ถูกแทนที่ด้วย easing animations ที่ทำให้การเคลื่อนไหวของหน้าต่าง, alt-tab switcher, applets และ desklets ดูลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม night light applet ที่สามารถตั้งค่าเป็นโหมด “always” ได้ รวมถึงการแก้ไขพฤติกรรม hover ของ grouped window list และการเพิ่ม notification badges ให้กับ window list ใน taskbar การจัดการธีมก็ได้รับการปรับปรุง โดยมี การจัดหมวดหมู่ธีมใหม่ และเพิ่มชุดไอคอน xapp-symbolic-icons เพื่อให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ reset zoom shortcut, การปรับปรุง Polkit authentication agent ที่ช่วยให้ root authentication ทำงานได้แม้ไม่มีผู้ใช้ admin, และการย้าย tiling preferences ไปยังแท็บเฉพาะในเมนูการตั้งค่า สุดท้าย Cinnamon 6.6 จะถูกนำไปใช้ใน Linux Mint 22.3 “Zena” แต่ผู้ใช้สามารถทดลองได้ทันทีผ่านการ build จาก source หรือใช้ดิสโทร rolling release เช่น EndeavourOS, CachyOS และ Arch Linux ที่มีแพ็กเกจอัปเดตใน repository แล้ว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เมนูหลักปรับโฉมใหม่ ➡️ system buttons อยู่ด้านบน, special categories อยู่ด้านล่าง ✅ การปรับปรุง UI และ animation ➡️ ใช้ easing animations แทน Tweener ➡️ เพิ่ม night light applet พร้อมโหมด “always” ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน applets ➡️ window list รองรับ notification badges ➡️ workspace switcher แสดงไอคอนบน thumbnails ✅ การจัดการธีม ➡️ จัดหมวดหมู่ใหม่, เพิ่ม xapp-symbolic-icons ✅ การปรับปรุง usability ➡️ reset zoom shortcut, ปรับปรุง Polkit, ย้าย tiling preferences ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux Mint ⛔ ต้องรอ Linux Mint 22.3 “Zena” จึงจะได้ใช้ Cinnamon 6.6 แบบเสถียร ⛔ หาก build จาก source อาจเจอความไม่เสถียรหรือบั๊กที่ยังไม่แก้ไข https://itsfoss.com/news/cinnamon-6-6/
    ITSFOSS.COM
    Cinnamon 6.6 Release Sets the Tone for the Next Linux Mint Release
    The update also introduces notification badges and theme categorization.
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • Sysadmin ยังเป็นอาชีพที่มั่นคงในปี 2026 หรือไม่?

    บทความจาก It’s FOSS ได้สัมภาษณ์ Hirdaypal Singh Lamba (Salesforce Consultant) ถึงการเปลี่ยนแปลงของบทบาท Sysadmin ในยุคปัจจุบัน เขาอธิบายว่าในอดีต Sysadmin เปรียบเสมือน “ช่างซ่อมเครื่อง” ที่คอยแก้ปัญหาเซิร์ฟเวอร์และดูแลโครงสร้างพื้นฐานแบบ on-premise แต่ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปอย่างมากด้วย Cloud Infrastructure, Automation และ AI

    งานที่เคยต้องทำด้วยมือ เช่น การซ่อมเซิร์ฟเวอร์หรือการดูแลเครือข่าย ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วย script และเครื่องมืออัตโนมัติ Sysadmin จึงต้องมีทักษะใหม่ ๆ เช่น การเขียนโค้ด, การใช้ cloud platform และการทำงานร่วมกับระบบ monitoring ที่มี AI เข้ามาช่วย ทำให้บทบาทของ Sysadmin เริ่มทับซ้อนกับ DevOps Engineer มากขึ้น

    Hirday ย้ำว่าอาชีพ Sysadmin ยังไม่ตาย แต่ผู้ที่ไม่ปรับตัวจะเสี่ยงตกงาน Sysadmin รุ่นใหม่ต้องเรียนรู้การใช้ automation tools, cloud services และ AI เพื่อให้ทันต่อความต้องการขององค์กร การพัฒนาทักษะเหล่านี้จะทำให้ Sysadmin สามารถขยายเส้นทางไปสู่อาชีพที่มีการเติบโตสูง เช่น DevOps Engineer, Cloud Engineer, Platform Engineer และ Site Reliability Engineer (SRE)

    สำหรับผู้ที่เริ่มต้นในสาย IT Hirday แนะนำให้เรียนรู้พื้นฐานของ System Administration ก่อน แล้วจึงต่อยอดด้วยทักษะ DevOps และ Cloud เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและความสามารถในการแข่งขันในตลาดงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    สรุปสาระสำคัญ
    บทบาท Sysadmin ในอดีต
    ดูแลเซิร์ฟเวอร์ on-premise, ซ่อมเครื่อง, ทำงาน manual

    การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
    ใช้ cloud, automation, AI แทนงาน manual
    ต้องเขียน script และใช้ monitoring tools

    Sysadmin ใกล้เคียง DevOps มากขึ้น
    ทักษะใหม่: cloud technologies, automation tools, AI integration

    เส้นทางอาชีพต่อยอด
    DevOps Engineer, Cloud Engineer, Platform Engineer, SRE

    คำเตือนสำหรับ Sysadmin รุ่นเก่า
    หากไม่เรียนรู้ automation และ cloud จะเสี่ยงตกงาน
    การยึดติดกับงาน manual แบบเดิมไม่ตอบโจทย์ตลาดอีกต่อไป

    https://itsfoss.com/news/is-sysadmin-good-career-choice/
    📰 Sysadmin ยังเป็นอาชีพที่มั่นคงในปี 2026 หรือไม่? บทความจาก It’s FOSS ได้สัมภาษณ์ Hirdaypal Singh Lamba (Salesforce Consultant) ถึงการเปลี่ยนแปลงของบทบาท Sysadmin ในยุคปัจจุบัน เขาอธิบายว่าในอดีต Sysadmin เปรียบเสมือน “ช่างซ่อมเครื่อง” ที่คอยแก้ปัญหาเซิร์ฟเวอร์และดูแลโครงสร้างพื้นฐานแบบ on-premise แต่ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปอย่างมากด้วย Cloud Infrastructure, Automation และ AI งานที่เคยต้องทำด้วยมือ เช่น การซ่อมเซิร์ฟเวอร์หรือการดูแลเครือข่าย ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วย script และเครื่องมืออัตโนมัติ Sysadmin จึงต้องมีทักษะใหม่ ๆ เช่น การเขียนโค้ด, การใช้ cloud platform และการทำงานร่วมกับระบบ monitoring ที่มี AI เข้ามาช่วย ทำให้บทบาทของ Sysadmin เริ่มทับซ้อนกับ DevOps Engineer มากขึ้น Hirday ย้ำว่าอาชีพ Sysadmin ยังไม่ตาย แต่ผู้ที่ไม่ปรับตัวจะเสี่ยงตกงาน Sysadmin รุ่นใหม่ต้องเรียนรู้การใช้ automation tools, cloud services และ AI เพื่อให้ทันต่อความต้องการขององค์กร การพัฒนาทักษะเหล่านี้จะทำให้ Sysadmin สามารถขยายเส้นทางไปสู่อาชีพที่มีการเติบโตสูง เช่น DevOps Engineer, Cloud Engineer, Platform Engineer และ Site Reliability Engineer (SRE) สำหรับผู้ที่เริ่มต้นในสาย IT Hirday แนะนำให้เรียนรู้พื้นฐานของ System Administration ก่อน แล้วจึงต่อยอดด้วยทักษะ DevOps และ Cloud เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและความสามารถในการแข่งขันในตลาดงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ บทบาท Sysadmin ในอดีต ➡️ ดูแลเซิร์ฟเวอร์ on-premise, ซ่อมเครื่อง, ทำงาน manual ✅ การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ➡️ ใช้ cloud, automation, AI แทนงาน manual ➡️ ต้องเขียน script และใช้ monitoring tools ✅ Sysadmin ใกล้เคียง DevOps มากขึ้น ➡️ ทักษะใหม่: cloud technologies, automation tools, AI integration ✅ เส้นทางอาชีพต่อยอด ➡️ DevOps Engineer, Cloud Engineer, Platform Engineer, SRE ‼️ คำเตือนสำหรับ Sysadmin รุ่นเก่า ⛔ หากไม่เรียนรู้ automation และ cloud จะเสี่ยงตกงาน ⛔ การยึดติดกับงาน manual แบบเดิมไม่ตอบโจทย์ตลาดอีกต่อไป https://itsfoss.com/news/is-sysadmin-good-career-choice/
    ITSFOSS.COM
    Is System Administration Still a Good Career Choice in 2026?
    Insights from an Interview with Hirdaypal Singh Lamba, Salesforce Consultant.
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • Mr.President
    Mr.Accident
    ถ้างั้นก็ไม่ต้องหยุดยิง เพราะมันก็แค่อุบัติเหตุ
    #7ดอกจิก
    Mr.President ❌ Mr.Accident ✔️ ถ้างั้นก็ไม่ต้องหยุดยิง เพราะมันก็แค่อุบัติเหตุ #7ดอกจิก
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • อุบัติเหตุ!!!!!
    ห่ากระสุน ตกใส่เกาะกง
    ทหารเขมรดวงซวย นั่งเล่นเป็นฝูง ใกล้จุดเกิดเหตุ
    #7ดอกจิก
    อุบัติเหตุ!!!!! ห่ากระสุน ตกใส่เกาะกง ทหารเขมรดวงซวย นั่งเล่นเป็นฝูง ใกล้จุดเกิดเหตุ #7ดอกจิก
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • ทัวร์ฮ่องกง เซินเจิ้น พามู
    เดินทาง มี.ค. 69 6,969

    🗓 จำนวนวัน 3 วัน 2 คืน
    ✈ EK-เอมิเรตส์แอร์ไลน์
    พักโรงแรม

    เมืองจำลองฮอลแลนด์
    ช้อปปิ้ง COCO Park
    เมืองโบราณหนานโถว
    วัดกวนอู
    วัดแชกงหมิว
    วัดหวังต้าเซียน
    วัดเจ้าแม่กวนอิมฮ่องฮำ
    จิมซาจุ่ย

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์ฮ่องกง #hongkong #เซินเจิ้น #shenzhen
    #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา
    #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    ทัวร์ฮ่องกง 🇭🇰 เซินเจิ้น 🇨🇳 พามู 🙏 🗓️ เดินทาง มี.ค. 69 😍 6,969 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 3 วัน 2 คืน ✈ EK-เอมิเรตส์แอร์ไลน์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐⭐ 📍 เมืองจำลองฮอลแลนด์ 📍 ช้อปปิ้ง COCO Park 📍 เมืองโบราณหนานโถว 📍 วัดกวนอู 📍 วัดแชกงหมิว 📍 วัดหวังต้าเซียน 📍 วัดเจ้าแม่กวนอิมฮ่องฮำ 📍 จิมซาจุ่ย รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์ฮ่องกง #hongkong #เซินเจิ้น #shenzhen #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 0 Reviews
  • pearOS กลับมาอีกครั้งบนฐาน Arch Linux พร้อม KDE Plasma

    pearOS ซึ่งเคยเป็นดิสโทรที่มีชื่อเสียงในอดีตเพราะหน้าตาคล้าย macOS ได้กลับมาพัฒนาใหม่ในเวอร์ชัน pearOS NiceC0re 25.12 โดยใช้ Arch Linux เป็นฐานหลัก และมาพร้อม Linux kernel 6.17 รวมถึง KDE Plasma 6.5.3 ที่ถูกปรับแต่งให้เลียนแบบ macOS รุ่นใหม่ ๆ ด้วยดีไซน์แบบ Liquid Gel. จุดเด่นคือการนำ rolling release มาใช้ ทำให้ผู้ใช้ติดตั้งครั้งเดียวแล้วสามารถอัปเดตต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องลงใหม่.

    นอกจากนั้น pearOS ยังมาพร้อม ตัวติดตั้งใหม่ที่สร้างด้วย Electron และ Node.js ซึ่งให้ประสบการณ์การติดตั้งที่ทันสมัยกว่าเดิม แม้ยังอยู่ในช่วง beta และอาจมีความไม่เสถียร แต่ก็สะท้อนถึงความพยายามของนักพัฒนาในการทำให้ระบบใช้งานง่ายขึ้น.

    สิ่งที่น่าสนใจคือ pearOS ไม่ได้เป็นเพียงการเลียนแบบ macOS เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดทางเลือกใหม่ให้ผู้ใช้ที่ชื่นชอบหน้าตา macOS แต่ต้องการความยืดหยุ่นของ Linux โดยเฉพาะ Arch Linux ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทันสมัยและการปรับแต่งได้สูง.

    ในขณะเดียวกัน โลก Linux ยังมีอีกหนึ่งดิสโทรที่น่าจับตามองคือ blendOS 3 ซึ่งเป็นดิสโทรแบบ immutable บนฐาน Arch Linux เช่นกัน จุดเด่นคือสามารถรองรับ 9 ดิสโทร และ 7 desktop environments ผ่านระบบ container ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับไปมาระหว่างสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น. สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มใหม่ของ Linux ที่มุ่งไปสู่การผสมผสานความยืดหยุ่นและความเสถียรเข้าด้วยกัน.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    pearOS NiceC0re 25.12 เปิดตัวแล้ว
    ใช้ Arch Linux เป็นฐาน พร้อม Linux kernel 6.17 และ KDE Plasma 6.5.3
    ดีไซน์ Liquid Gel เลียนแบบ macOS รุ่นใหม่

    ฟีเจอร์ใหม่ใน pearOS
    ตัวติดตั้งใหม่สร้างด้วย Electron และ Node.js
    ระบบ rolling release อัปเดตต่อเนื่องไม่ต้องลงใหม่

    แนวโน้ม Linux ดิสโทรใหม่ ๆ
    blendOS 3 รองรับ 9 ดิสโทร และ 7 desktop environments
    ใช้ container และระบบ immutable เพื่อความเสถียร

    ข้อควรระวังในการใช้งาน pearOS
    ตัวติดตั้งยังอยู่ในช่วง beta อาจไม่เสถียร
    การเลียนแบบ macOS อาจทำให้ผู้ใช้ใหม่สับสนกับการตั้งค่า Linux จริง

    https://9to5linux.com/pearos-is-back-now-based-on-arch-linux-and-featuring-the-kde-plasma-desktop
    🖥️ pearOS กลับมาอีกครั้งบนฐาน Arch Linux พร้อม KDE Plasma pearOS ซึ่งเคยเป็นดิสโทรที่มีชื่อเสียงในอดีตเพราะหน้าตาคล้าย macOS ได้กลับมาพัฒนาใหม่ในเวอร์ชัน pearOS NiceC0re 25.12 โดยใช้ Arch Linux เป็นฐานหลัก และมาพร้อม Linux kernel 6.17 รวมถึง KDE Plasma 6.5.3 ที่ถูกปรับแต่งให้เลียนแบบ macOS รุ่นใหม่ ๆ ด้วยดีไซน์แบบ Liquid Gel. จุดเด่นคือการนำ rolling release มาใช้ ทำให้ผู้ใช้ติดตั้งครั้งเดียวแล้วสามารถอัปเดตต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องลงใหม่. นอกจากนั้น pearOS ยังมาพร้อม ตัวติดตั้งใหม่ที่สร้างด้วย Electron และ Node.js ซึ่งให้ประสบการณ์การติดตั้งที่ทันสมัยกว่าเดิม แม้ยังอยู่ในช่วง beta และอาจมีความไม่เสถียร แต่ก็สะท้อนถึงความพยายามของนักพัฒนาในการทำให้ระบบใช้งานง่ายขึ้น. สิ่งที่น่าสนใจคือ pearOS ไม่ได้เป็นเพียงการเลียนแบบ macOS เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดทางเลือกใหม่ให้ผู้ใช้ที่ชื่นชอบหน้าตา macOS แต่ต้องการความยืดหยุ่นของ Linux โดยเฉพาะ Arch Linux ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทันสมัยและการปรับแต่งได้สูง. ในขณะเดียวกัน โลก Linux ยังมีอีกหนึ่งดิสโทรที่น่าจับตามองคือ blendOS 3 ซึ่งเป็นดิสโทรแบบ immutable บนฐาน Arch Linux เช่นกัน จุดเด่นคือสามารถรองรับ 9 ดิสโทร และ 7 desktop environments ผ่านระบบ container ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับไปมาระหว่างสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น. สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มใหม่ของ Linux ที่มุ่งไปสู่การผสมผสานความยืดหยุ่นและความเสถียรเข้าด้วยกัน. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ pearOS NiceC0re 25.12 เปิดตัวแล้ว ➡️ ใช้ Arch Linux เป็นฐาน พร้อม Linux kernel 6.17 และ KDE Plasma 6.5.3 ➡️ ดีไซน์ Liquid Gel เลียนแบบ macOS รุ่นใหม่ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน pearOS ➡️ ตัวติดตั้งใหม่สร้างด้วย Electron และ Node.js ➡️ ระบบ rolling release อัปเดตต่อเนื่องไม่ต้องลงใหม่ ✅ แนวโน้ม Linux ดิสโทรใหม่ ๆ ➡️ blendOS 3 รองรับ 9 ดิสโทร และ 7 desktop environments ➡️ ใช้ container และระบบ immutable เพื่อความเสถียร ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน pearOS ⛔ ตัวติดตั้งยังอยู่ในช่วง beta อาจไม่เสถียร ⛔ การเลียนแบบ macOS อาจทำให้ผู้ใช้ใหม่สับสนกับการตั้งค่า Linux จริง https://9to5linux.com/pearos-is-back-now-based-on-arch-linux-and-featuring-the-kde-plasma-desktop
    9TO5LINUX.COM
    pearOS Is Back, Now Based on Arch Linux and Featuring the KDE Plasma Desktop - 9to5Linux
    pearOS NiceC0re 25.12 is now available for download based on Arch Linux and featuring the KDE Plasma desktop environment.
    0 Comments 0 Shares 43 Views 0 Reviews
  • Kali Linux 2025.4 ดิสโทรสาย Ethical Hacking รุ่นใหม่

    Kali Linux ซึ่งเป็นดิสโทรยอดนิยมสำหรับงาน penetration testing และ ethical hacking ได้ออกเวอร์ชัน 2025.4 ซึ่งถือเป็นรุ่นอัปเดตใหญ่ครั้งสุดท้ายของปี 2025 โดย Offensive Security ผู้พัฒนาได้เพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ทั้งในด้าน desktop environments และเครื่องมือเสริมสำหรับผู้ใช้ที่ทำงานบน virtual machines.

    ในเวอร์ชันนี้ Kali Linux มาพร้อม KDE Plasma 6.5 และ GNOME 49 ที่เป็นรุ่นล่าสุด รวมถึงการอัปเดต Xfce ที่รองรับการปรับแต่งธีมสีได้แล้ว ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกโทนสีที่เหมาะสมกับการทำงานได้มากขึ้น. นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม VM guest tools เพื่อให้การใช้งานบน VirtualBox หรือ VMware มีประสิทธิภาพและเสถียรมากขึ้น.

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Offensive Security ยังคงรักษาแนวทางการพัฒนาแบบต่อเนื่อง โดย Kali Linux 2025.4 ไม่ได้เป็นเพียงการอัปเดตเครื่องมือ แต่ยังเป็นการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ให้ทันสมัยและตอบโจทย์นักทดสอบระบบที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง.

    การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Kali Linux ยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับผู้ที่ทำงานด้าน cybersecurity และ ethical hacking โดยเฉพาะในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น การมีเครื่องมือที่ทันสมัยและระบบที่เสถียรถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Kali Linux 2025.4 เปิดตัวแล้ว
    เป็นรุ่นอัปเดตใหญ่ครั้งสุดท้ายของปี 2025
    มาพร้อม KDE Plasma 6.5 และ GNOME 49

    การปรับปรุงด้าน Desktop และ VM
    Xfce รองรับการปรับแต่งธีมสี
    เพิ่ม VM guest tools สำหรับ VirtualBox และ VMware

    ความสำคัญต่อสายงาน Cybersecurity
    ยังคงเป็นดิสโทรหลักสำหรับ ethical hacking และ penetration testing
    การอัปเดตช่วยให้เครื่องมือทันสมัยและเสถียรขึ้น

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    การใช้ Kali Linux ต้องมีความรู้ด้าน cybersecurity มิฉะนั้นอาจเสี่ยงต่อการใช้งานผิดวัตถุประสงค์
    ผู้ใช้ทั่วไปไม่ควรใช้เป็นระบบหลัก เนื่องจากถูกออกแบบมาเพื่อการทดสอบและงานเฉพาะทาง

    https://9to5linux.com/kali-linux-2025-4-ethical-hacking-distro-released-with-kde-plasma-6-5-gnome-49
    🔐 Kali Linux 2025.4 ดิสโทรสาย Ethical Hacking รุ่นใหม่ Kali Linux ซึ่งเป็นดิสโทรยอดนิยมสำหรับงาน penetration testing และ ethical hacking ได้ออกเวอร์ชัน 2025.4 ซึ่งถือเป็นรุ่นอัปเดตใหญ่ครั้งสุดท้ายของปี 2025 โดย Offensive Security ผู้พัฒนาได้เพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ทั้งในด้าน desktop environments และเครื่องมือเสริมสำหรับผู้ใช้ที่ทำงานบน virtual machines. ในเวอร์ชันนี้ Kali Linux มาพร้อม KDE Plasma 6.5 และ GNOME 49 ที่เป็นรุ่นล่าสุด รวมถึงการอัปเดต Xfce ที่รองรับการปรับแต่งธีมสีได้แล้ว ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกโทนสีที่เหมาะสมกับการทำงานได้มากขึ้น. นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม VM guest tools เพื่อให้การใช้งานบน VirtualBox หรือ VMware มีประสิทธิภาพและเสถียรมากขึ้น. สิ่งที่น่าสนใจคือ Offensive Security ยังคงรักษาแนวทางการพัฒนาแบบต่อเนื่อง โดย Kali Linux 2025.4 ไม่ได้เป็นเพียงการอัปเดตเครื่องมือ แต่ยังเป็นการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ให้ทันสมัยและตอบโจทย์นักทดสอบระบบที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง. การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Kali Linux ยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับผู้ที่ทำงานด้าน cybersecurity และ ethical hacking โดยเฉพาะในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น การมีเครื่องมือที่ทันสมัยและระบบที่เสถียรถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Kali Linux 2025.4 เปิดตัวแล้ว ➡️ เป็นรุ่นอัปเดตใหญ่ครั้งสุดท้ายของปี 2025 ➡️ มาพร้อม KDE Plasma 6.5 และ GNOME 49 ✅ การปรับปรุงด้าน Desktop และ VM ➡️ Xfce รองรับการปรับแต่งธีมสี ➡️ เพิ่ม VM guest tools สำหรับ VirtualBox และ VMware ✅ ความสำคัญต่อสายงาน Cybersecurity ➡️ ยังคงเป็นดิสโทรหลักสำหรับ ethical hacking และ penetration testing ➡️ การอัปเดตช่วยให้เครื่องมือทันสมัยและเสถียรขึ้น ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ การใช้ Kali Linux ต้องมีความรู้ด้าน cybersecurity มิฉะนั้นอาจเสี่ยงต่อการใช้งานผิดวัตถุประสงค์ ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปไม่ควรใช้เป็นระบบหลัก เนื่องจากถูกออกแบบมาเพื่อการทดสอบและงานเฉพาะทาง https://9to5linux.com/kali-linux-2025-4-ethical-hacking-distro-released-with-kde-plasma-6-5-gnome-49
    9TO5LINUX.COM
    Kali Linux 2025.4 Ethical Hacking Distro Released with KDE Plasma 6.5, GNOME 49 - 9to5Linux
    Kali Linux 2025.4 ethical hacking and penetration testing distribution is now available for download with 10 new tools and other updates.
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • Grml 2025.12 ดิสโทรสาย Admin บนฐาน Debian Forky

    Grml ซึ่งเป็นดิสโทร Linux แบบ Live ที่ออกแบบมาเพื่อ system administrators และผู้ใช้ที่ชื่นชอบเครื่องมือ command-line ได้เปิดตัวเวอร์ชันใหม่ 2025.12 โดยใช้ฐานจาก Debian Forky และมาพร้อม Linux kernel 6.17 ที่ทันสมัยขึ้น. จุดเด่นของ Grml คือสามารถบูตจาก USB หรือ CD ได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้ง เหมาะสำหรับการกู้ระบบหรือทำงานเชิงเทคนิค.

    ในรุ่นนี้ Grml ได้เพิ่มและอัปเดตเครื่องมือหลายตัว เช่น text-based tools สำหรับการจัดการระบบ, การตรวจสอบเครือข่าย และการทำงานด้าน scripting. สิ่งนี้ทำให้ Grml ยังคงเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องมือที่เบาและรวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งพา GUI หนัก ๆ.

    นอกจากนี้ Grml ยังมีการปรับปรุงให้รองรับ ฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ๆ ผ่าน kernel 6.17 และการอัปเดตแพ็กเกจจาก Debian Forky ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าเครื่องมือที่ใช้จะมีความเสถียรและทันสมัย. จุดแข็งอีกอย่างคือความสามารถในการใช้ Grml เป็น rescue system สำหรับการแก้ไขปัญหาเครื่องที่บูตไม่ได้หรือระบบที่เสียหาย.

    การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนถึงความต่อเนื่องของโครงการ Grml ที่แม้จะไม่ใช่ดิสโทรที่เน้นผู้ใช้ทั่วไป แต่ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในโลก Linux โดยเฉพาะในงาน administration, recovery และ troubleshooting.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Grml 2025.12 เปิดตัวแล้ว
    ใช้ฐาน Debian Forky และ Linux kernel 6.17
    เป็นดิสโทรแบบ Live สำหรับงาน admin และ command-line

    ฟีเจอร์หลักของ Grml
    รวมเครื่องมือ text-based สำหรับการจัดการระบบและเครือข่าย
    ใช้เป็น rescue system สำหรับกู้เครื่องที่บูตไม่ได้

    การปรับปรุงใหม่ในรุ่นนี้
    รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ผ่าน kernel 6.17
    อัปเดตแพ็กเกจจาก Debian Forky ให้ทันสมัยและเสถียร

    ข้อควรระวังในการใช้งาน Grml
    ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการ desktop แบบกราฟิก
    การใช้งานต้องมีความรู้ด้าน command-line และระบบ Linux พอสมควร

    https://9to5linux.com/grml-2025-12-linux-distro-is-out-based-on-debian-forky-and-linux-kernel-6-17
    🖥️ Grml 2025.12 ดิสโทรสาย Admin บนฐาน Debian Forky Grml ซึ่งเป็นดิสโทร Linux แบบ Live ที่ออกแบบมาเพื่อ system administrators และผู้ใช้ที่ชื่นชอบเครื่องมือ command-line ได้เปิดตัวเวอร์ชันใหม่ 2025.12 โดยใช้ฐานจาก Debian Forky และมาพร้อม Linux kernel 6.17 ที่ทันสมัยขึ้น. จุดเด่นของ Grml คือสามารถบูตจาก USB หรือ CD ได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้ง เหมาะสำหรับการกู้ระบบหรือทำงานเชิงเทคนิค. ในรุ่นนี้ Grml ได้เพิ่มและอัปเดตเครื่องมือหลายตัว เช่น text-based tools สำหรับการจัดการระบบ, การตรวจสอบเครือข่าย และการทำงานด้าน scripting. สิ่งนี้ทำให้ Grml ยังคงเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องมือที่เบาและรวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งพา GUI หนัก ๆ. นอกจากนี้ Grml ยังมีการปรับปรุงให้รองรับ ฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ๆ ผ่าน kernel 6.17 และการอัปเดตแพ็กเกจจาก Debian Forky ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าเครื่องมือที่ใช้จะมีความเสถียรและทันสมัย. จุดแข็งอีกอย่างคือความสามารถในการใช้ Grml เป็น rescue system สำหรับการแก้ไขปัญหาเครื่องที่บูตไม่ได้หรือระบบที่เสียหาย. การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนถึงความต่อเนื่องของโครงการ Grml ที่แม้จะไม่ใช่ดิสโทรที่เน้นผู้ใช้ทั่วไป แต่ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในโลก Linux โดยเฉพาะในงาน administration, recovery และ troubleshooting. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Grml 2025.12 เปิดตัวแล้ว ➡️ ใช้ฐาน Debian Forky และ Linux kernel 6.17 ➡️ เป็นดิสโทรแบบ Live สำหรับงาน admin และ command-line ✅ ฟีเจอร์หลักของ Grml ➡️ รวมเครื่องมือ text-based สำหรับการจัดการระบบและเครือข่าย ➡️ ใช้เป็น rescue system สำหรับกู้เครื่องที่บูตไม่ได้ ✅ การปรับปรุงใหม่ในรุ่นนี้ ➡️ รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ผ่าน kernel 6.17 ➡️ อัปเดตแพ็กเกจจาก Debian Forky ให้ทันสมัยและเสถียร ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน Grml ⛔ ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการ desktop แบบกราฟิก ⛔ การใช้งานต้องมีความรู้ด้าน command-line และระบบ Linux พอสมควร https://9to5linux.com/grml-2025-12-linux-distro-is-out-based-on-debian-forky-and-linux-kernel-6-17
    9TO5LINUX.COM
    Grml 2025.12 Linux Distro Is Out Based on Debian Forky and Linux Kernel 6.17 - 9to5Linux
    Grml 2025.12 GNU/Linux distribution is now available for download based on Debian Testing and powered by Linux kernel 6.17.
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • FENGSHUI DAILY
    อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว
    สีเสริมดวง เสริมความเฮง
    ทิศมงคล เวลามงคล
    อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่
    วันอาทิตย์ที่ 14 เดือนธันวาคม พ.ศ.2568
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    FENGSHUI DAILY อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว สีเสริมดวง เสริมความเฮง ทิศมงคล เวลามงคล อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่ วันอาทิตย์ที่ 14 เดือนธันวาคม พ.ศ.2568 ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • เจาะลึกการทำงานของ PDFAid – จาก Upload ถึง Download

    เมื่อผู้ใช้กดปุ่ม Upload บน PDFAid ระบบจะเปิดการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและนำไฟล์เข้าสู่สภาพแวดล้อมที่ถูกป้องกันเพื่อเริ่มการประมวลผล จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอน การวิเคราะห์โครงสร้างไฟล์ PDF โดยตรวจสอบว่ามีข้อความ, ฟอนต์, ภาพ, เมทาดาทา และองค์ประกอบอื่น ๆ อะไรบ้างในเอกสาร เพื่อกำหนดวิธีการบีบอัดที่เหมาะสม.

    ในขั้นตอนถัดมา ระบบจะทำ การบีบอัดภาพ โดยลดความละเอียดให้เหมาะสมกับการแสดงผลบนหน้าจอ แต่ยังคงความคมชัดไว้ พร้อมทั้งลด noise และปรับปรุง palette ของภาพสีเพื่อให้ไฟล์เล็กลงโดยไม่เสียคุณภาพ. สำหรับ ข้อความและฟอนต์ PDFAid จะรวมฟอนต์ที่ซ้ำกันและรักษาไว้ในรูปแบบ vector-based เพื่อให้ข้อความยังคงคมชัด, สามารถค้นหา และแก้ไขได้.

    หากเป็น PDF ที่สแกนมา ซึ่งไม่มีเลเยอร์ข้อความ ระบบจะใช้วิธีบีบอัดแบบเฉพาะหน้า เช่น ลด grain, กำจัดพื้นหลังที่หนัก และบีบอัดภาพทีละหน้าเพื่อให้ไฟล์เล็กลงโดยไม่ทำให้ข้อความเบลอ. นอกจากนี้ PDFAid ยังลบ ข้อมูลที่ไม่จำเป็น เช่น metadata ที่ซ้ำซ้อน, object ที่ไม่ได้ใช้ และประวัติการแก้ไขไฟล์ เพื่อทำให้ไฟล์มีประสิทธิภาพมากขึ้น.

    สุดท้าย PDFAid จะทำการ rebuild ไฟล์ PDF ใหม่ทีละหน้า โดยใส่ภาพและฟอนต์ที่ถูกปรับแต่งแล้วกลับเข้าไป พร้อมตรวจสอบความเข้ากันได้กับโปรแกรมอ่าน PDF มาตรฐาน ก่อนจะส่งออกเป็นไฟล์ที่เล็กลง, สะอาดขึ้น และพร้อมดาวน์โหลดในเวลาเพียงไม่กี่วินาที.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ขั้นตอนการทำงานของ PDFAid
    อัปโหลดไฟล์เข้าสู่สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
    วิเคราะห์โครงสร้างไฟล์ PDF ทั้งข้อความ, ฟอนต์, ภาพ และ metadata

    การบีบอัดและปรับแต่ง
    ลดความละเอียดภาพและปรับ palette ให้เหมาะสม
    รวมฟอนต์ที่ซ้ำและรักษาข้อความในรูปแบบ vector

    การจัดการไฟล์สแกนและข้อมูลส่วนเกิน
    บีบอัดภาพทีละหน้า, ลด noise และพื้นหลังหนัก
    ลบ metadata และ object ที่ไม่จำเป็น

    การสร้างไฟล์ใหม่และดาวน์โหลด
    Rebuild ไฟล์ PDF ให้เข้ากับโปรแกรมอ่านมาตรฐาน
    ส่งออกเป็นไฟล์ที่เล็กลงและพร้อมดาวน์โหลดทันที

    ข้อควรระวังในการใช้งาน PDFAid
    ขนาดไฟล์ใหญ่ยังขึ้นอยู่กับความเร็วอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้
    ไฟล์ที่ซับซ้อนมากอาจใช้เวลาประมวลผลนานขึ้น

    https://hackread.com/what-happens-inside-pdfaid-upload-download/
    📄 เจาะลึกการทำงานของ PDFAid – จาก Upload ถึง Download เมื่อผู้ใช้กดปุ่ม Upload บน PDFAid ระบบจะเปิดการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและนำไฟล์เข้าสู่สภาพแวดล้อมที่ถูกป้องกันเพื่อเริ่มการประมวลผล จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอน การวิเคราะห์โครงสร้างไฟล์ PDF โดยตรวจสอบว่ามีข้อความ, ฟอนต์, ภาพ, เมทาดาทา และองค์ประกอบอื่น ๆ อะไรบ้างในเอกสาร เพื่อกำหนดวิธีการบีบอัดที่เหมาะสม. ในขั้นตอนถัดมา ระบบจะทำ การบีบอัดภาพ โดยลดความละเอียดให้เหมาะสมกับการแสดงผลบนหน้าจอ แต่ยังคงความคมชัดไว้ พร้อมทั้งลด noise และปรับปรุง palette ของภาพสีเพื่อให้ไฟล์เล็กลงโดยไม่เสียคุณภาพ. สำหรับ ข้อความและฟอนต์ PDFAid จะรวมฟอนต์ที่ซ้ำกันและรักษาไว้ในรูปแบบ vector-based เพื่อให้ข้อความยังคงคมชัด, สามารถค้นหา และแก้ไขได้. หากเป็น PDF ที่สแกนมา ซึ่งไม่มีเลเยอร์ข้อความ ระบบจะใช้วิธีบีบอัดแบบเฉพาะหน้า เช่น ลด grain, กำจัดพื้นหลังที่หนัก และบีบอัดภาพทีละหน้าเพื่อให้ไฟล์เล็กลงโดยไม่ทำให้ข้อความเบลอ. นอกจากนี้ PDFAid ยังลบ ข้อมูลที่ไม่จำเป็น เช่น metadata ที่ซ้ำซ้อน, object ที่ไม่ได้ใช้ และประวัติการแก้ไขไฟล์ เพื่อทำให้ไฟล์มีประสิทธิภาพมากขึ้น. สุดท้าย PDFAid จะทำการ rebuild ไฟล์ PDF ใหม่ทีละหน้า โดยใส่ภาพและฟอนต์ที่ถูกปรับแต่งแล้วกลับเข้าไป พร้อมตรวจสอบความเข้ากันได้กับโปรแกรมอ่าน PDF มาตรฐาน ก่อนจะส่งออกเป็นไฟล์ที่เล็กลง, สะอาดขึ้น และพร้อมดาวน์โหลดในเวลาเพียงไม่กี่วินาที. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ขั้นตอนการทำงานของ PDFAid ➡️ อัปโหลดไฟล์เข้าสู่สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ➡️ วิเคราะห์โครงสร้างไฟล์ PDF ทั้งข้อความ, ฟอนต์, ภาพ และ metadata ✅ การบีบอัดและปรับแต่ง ➡️ ลดความละเอียดภาพและปรับ palette ให้เหมาะสม ➡️ รวมฟอนต์ที่ซ้ำและรักษาข้อความในรูปแบบ vector ✅ การจัดการไฟล์สแกนและข้อมูลส่วนเกิน ➡️ บีบอัดภาพทีละหน้า, ลด noise และพื้นหลังหนัก ➡️ ลบ metadata และ object ที่ไม่จำเป็น ✅ การสร้างไฟล์ใหม่และดาวน์โหลด ➡️ Rebuild ไฟล์ PDF ให้เข้ากับโปรแกรมอ่านมาตรฐาน ➡️ ส่งออกเป็นไฟล์ที่เล็กลงและพร้อมดาวน์โหลดทันที ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน PDFAid ⛔ ขนาดไฟล์ใหญ่ยังขึ้นอยู่กับความเร็วอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้ ⛔ ไฟล์ที่ซับซ้อนมากอาจใช้เวลาประมวลผลนานขึ้น https://hackread.com/what-happens-inside-pdfaid-upload-download/
    HACKREAD.COM
    What Happens Inside PDFAid in Seconds: From Upload to Download
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • มัลแวร์ Oyster Backdoor ระบาดผ่านดาวน์โหลดปลอม Teams และ Meet

    นักวิจัยจาก CyberProof รายงานว่าตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2025 มีการโจมตีที่ใช้ SEO poisoning และ malvertising เพื่อดันเว็บไซต์ปลอมขึ้นมาในผลการค้นหาและโฆษณาออนไลน์ โดยเว็บไซต์เหล่านี้ปลอมเป็นหน้าดาวน์โหลดของ Microsoft Teams และ Google Meet เมื่อผู้ใช้หลงเชื่อและดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง จะได้มัลแวร์ Oyster backdoor แทน.

    มัลแวร์นี้ถูกพบครั้งแรกในปี 2023 โดย IBM และมีการปรับเปลี่ยนวิธีการแพร่กระจายอยู่เรื่อย ๆ เช่นในปี 2025 เคยใช้โฆษณาปลอมของ PuTTY และ WinSCP เพื่อหลอกผู้ใช้เช่นกัน แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังเครื่องมือ IT ที่นิยมค้นหา.

    เมื่อผู้ใช้ติดตั้งไฟล์ปลอม เช่น MSTeamsSetup.exe มัลแวร์จะปล่อยไฟล์ AlphaSecurity.dll ลงในระบบ และสร้าง scheduled task ที่รันทุก 18 นาทีเพื่อคงการเข้าถึงไว้ แม้เครื่องจะถูกรีสตาร์ทก็ตาม ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถใช้ช่องทางนี้เจาะเข้าสู่ระบบได้ต่อเนื่อง.

    สิ่งที่น่ากังวลคือมีรายงานว่ากลุ่ม ransomware อย่าง Rhysida ใช้ Oyster backdoor ในการโจมตีเครือข่ายองค์กร ทำให้ภัยนี้ไม่ใช่แค่การติดมัลแวร์ทั่วไป แต่เป็นการเปิดประตูสู่การโจมตีขั้นรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การโจมตีใหม่ด้วย Oyster backdoor
    ใช้เว็บไซต์ปลอมของ Microsoft Teams และ Google Meet
    แพร่กระจายผ่าน SEO poisoning และ malvertising

    รายละเอียดการทำงานของมัลแวร์
    ติดตั้งไฟล์ AlphaSecurity.dll ลงในระบบ
    สร้าง scheduled task รันทุก 18 นาทีเพื่อคงการเข้าถึง

    ความเชื่อมโยงกับกลุ่ม ransomware
    Rhysida และกลุ่มอื่น ๆ ใช้ backdoor นี้โจมตีองค์กร
    คาดว่าจะยังคงเป็นภัยต่อเนื่องถึงปี 2026

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้
    หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดจากผลการค้นหาหรือโฆษณาออนไลน์
    ควรดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากเว็บไซต์ทางการหรือ trusted app store เท่านั้น

    https://hackread.com/fake-microsoft-teams-google-meet-download-oyster-backdoor/
    ⚠️ มัลแวร์ Oyster Backdoor ระบาดผ่านดาวน์โหลดปลอม Teams และ Meet นักวิจัยจาก CyberProof รายงานว่าตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2025 มีการโจมตีที่ใช้ SEO poisoning และ malvertising เพื่อดันเว็บไซต์ปลอมขึ้นมาในผลการค้นหาและโฆษณาออนไลน์ โดยเว็บไซต์เหล่านี้ปลอมเป็นหน้าดาวน์โหลดของ Microsoft Teams และ Google Meet เมื่อผู้ใช้หลงเชื่อและดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง จะได้มัลแวร์ Oyster backdoor แทน. มัลแวร์นี้ถูกพบครั้งแรกในปี 2023 โดย IBM และมีการปรับเปลี่ยนวิธีการแพร่กระจายอยู่เรื่อย ๆ เช่นในปี 2025 เคยใช้โฆษณาปลอมของ PuTTY และ WinSCP เพื่อหลอกผู้ใช้เช่นกัน แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังเครื่องมือ IT ที่นิยมค้นหา. เมื่อผู้ใช้ติดตั้งไฟล์ปลอม เช่น MSTeamsSetup.exe มัลแวร์จะปล่อยไฟล์ AlphaSecurity.dll ลงในระบบ และสร้าง scheduled task ที่รันทุก 18 นาทีเพื่อคงการเข้าถึงไว้ แม้เครื่องจะถูกรีสตาร์ทก็ตาม ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถใช้ช่องทางนี้เจาะเข้าสู่ระบบได้ต่อเนื่อง. สิ่งที่น่ากังวลคือมีรายงานว่ากลุ่ม ransomware อย่าง Rhysida ใช้ Oyster backdoor ในการโจมตีเครือข่ายองค์กร ทำให้ภัยนี้ไม่ใช่แค่การติดมัลแวร์ทั่วไป แต่เป็นการเปิดประตูสู่การโจมตีขั้นรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การโจมตีใหม่ด้วย Oyster backdoor ➡️ ใช้เว็บไซต์ปลอมของ Microsoft Teams และ Google Meet ➡️ แพร่กระจายผ่าน SEO poisoning และ malvertising ✅ รายละเอียดการทำงานของมัลแวร์ ➡️ ติดตั้งไฟล์ AlphaSecurity.dll ลงในระบบ ➡️ สร้าง scheduled task รันทุก 18 นาทีเพื่อคงการเข้าถึง ✅ ความเชื่อมโยงกับกลุ่ม ransomware ➡️ Rhysida และกลุ่มอื่น ๆ ใช้ backdoor นี้โจมตีองค์กร ➡️ คาดว่าจะยังคงเป็นภัยต่อเนื่องถึงปี 2026 ‼️ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ ⛔ หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดจากผลการค้นหาหรือโฆษณาออนไลน์ ⛔ ควรดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากเว็บไซต์ทางการหรือ trusted app store เท่านั้น https://hackread.com/fake-microsoft-teams-google-meet-download-oyster-backdoor/
    HACKREAD.COM
    Fake Microsoft Teams and Google Meet Downloads Spread Oyster Backdoor
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 Reviews
  • Battering RAM – ฮาร์ดแวร์แฮ็กเจาะทะลุ Secure CPU Enclaves

    นักวิจัยจาก KU Leuven University ได้สาธิตการโจมตีใหม่ชื่อว่า Battering RAM ในงาน Black Hat Europe 2025 โดยใช้ DDR4 interposer ราคาประมาณ 50 ดอลลาร์ เพื่อปรับเปลี่ยนการแมปหน่วยความจำ ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ควรจะถูกเข้ารหัสและป้องกันไว้ใน secure enclaves ของ CPU ได้.

    Secure enclaves เช่น Intel SGX (Software Guard Extensions) และ AMD SEV (Secure Encrypted Virtualization) ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันข้อมูลแม้ในกรณีที่ผู้โจมตีมีสิทธิ์ระดับสูงหรือเข้าถึงเครื่องทางกายภาพ แต่การโจมตีนี้สามารถ อ่าน/เขียนข้อมูล plaintext และแม้กระทั่ง ดึง platform provisioning key ออกมาได้ ซึ่งเปิดทางให้สร้าง attestation reports ปลอมและฝัง backdoor ถาวรใน VM.

    สิ่งที่น่ากังวลคือการโจมตีนี้ทำงานใน runtime ทำให้หลบเลี่ยงการป้องกันที่ Intel และ AMD เคยออกแบบไว้สำหรับการโจมตีแบบ aliasing ในอดีต และทั้งสองบริษัทก็ระบุว่าเป็นการโจมตีที่อยู่นอกขอบเขตการป้องกัน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการดัดแปลงฮาร์ดแวร์โดยตรง.

    นักวิจัยเตือนว่าหากผู้โจมตีสามารถแทรกโมดูลหน่วยความจำที่ถูกดัดแปลงเข้าไปใน supply chain ก็จะสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อโจมตีระบบคลาวด์ที่พึ่งพา confidential computing ได้อย่างรุนแรง และเสนอว่าการแก้ไขในอนาคตควรเพิ่ม cryptographic freshness protections เพื่อป้องกันการโจมตีลักษณะนี้.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบใหม่จาก KU Leuven
    การโจมตี Battering RAM ใช้ DDR4 interposer ราคาถูก
    สามารถเจาะ secure enclaves ของ Intel SGX และ AMD SEV

    ผลกระทบต่อระบบคลาวด์
    อ่าน/เขียนข้อมูล plaintext และดึง provisioning key ได้
    เปิดทางให้สร้าง attestation reports ปลอมและฝัง backdoor

    ข้อจำกัดของการป้องกันปัจจุบัน
    การโจมตีทำงานใน runtime หลบเลี่ยง mitigations เดิม
    Intel และ AMD ระบุว่าอยู่นอกขอบเขตการป้องกัน

    ความเสี่ยงใน supply chain
    หากโมดูลหน่วยความจำถูกดัดแปลงและแทรกใน supply chain
    อาจนำไปสู่การโจมตีระบบคลาวด์ที่ใช้ confidential computing

    https://www.csoonline.com/article/4105022/battering-ram-hardware-hack-breaks-secure-cpu-enclaves.html
    🔓 Battering RAM – ฮาร์ดแวร์แฮ็กเจาะทะลุ Secure CPU Enclaves นักวิจัยจาก KU Leuven University ได้สาธิตการโจมตีใหม่ชื่อว่า Battering RAM ในงาน Black Hat Europe 2025 โดยใช้ DDR4 interposer ราคาประมาณ 50 ดอลลาร์ เพื่อปรับเปลี่ยนการแมปหน่วยความจำ ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ควรจะถูกเข้ารหัสและป้องกันไว้ใน secure enclaves ของ CPU ได้. Secure enclaves เช่น Intel SGX (Software Guard Extensions) และ AMD SEV (Secure Encrypted Virtualization) ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันข้อมูลแม้ในกรณีที่ผู้โจมตีมีสิทธิ์ระดับสูงหรือเข้าถึงเครื่องทางกายภาพ แต่การโจมตีนี้สามารถ อ่าน/เขียนข้อมูล plaintext และแม้กระทั่ง ดึง platform provisioning key ออกมาได้ ซึ่งเปิดทางให้สร้าง attestation reports ปลอมและฝัง backdoor ถาวรใน VM. สิ่งที่น่ากังวลคือการโจมตีนี้ทำงานใน runtime ทำให้หลบเลี่ยงการป้องกันที่ Intel และ AMD เคยออกแบบไว้สำหรับการโจมตีแบบ aliasing ในอดีต และทั้งสองบริษัทก็ระบุว่าเป็นการโจมตีที่อยู่นอกขอบเขตการป้องกัน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการดัดแปลงฮาร์ดแวร์โดยตรง. นักวิจัยเตือนว่าหากผู้โจมตีสามารถแทรกโมดูลหน่วยความจำที่ถูกดัดแปลงเข้าไปใน supply chain ก็จะสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อโจมตีระบบคลาวด์ที่พึ่งพา confidential computing ได้อย่างรุนแรง และเสนอว่าการแก้ไขในอนาคตควรเพิ่ม cryptographic freshness protections เพื่อป้องกันการโจมตีลักษณะนี้. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบใหม่จาก KU Leuven ➡️ การโจมตี Battering RAM ใช้ DDR4 interposer ราคาถูก ➡️ สามารถเจาะ secure enclaves ของ Intel SGX และ AMD SEV ✅ ผลกระทบต่อระบบคลาวด์ ➡️ อ่าน/เขียนข้อมูล plaintext และดึง provisioning key ได้ ➡️ เปิดทางให้สร้าง attestation reports ปลอมและฝัง backdoor ✅ ข้อจำกัดของการป้องกันปัจจุบัน ➡️ การโจมตีทำงานใน runtime หลบเลี่ยง mitigations เดิม ➡️ Intel และ AMD ระบุว่าอยู่นอกขอบเขตการป้องกัน ‼️ ความเสี่ยงใน supply chain ⛔ หากโมดูลหน่วยความจำถูกดัดแปลงและแทรกใน supply chain ⛔ อาจนำไปสู่การโจมตีระบบคลาวด์ที่ใช้ confidential computing https://www.csoonline.com/article/4105022/battering-ram-hardware-hack-breaks-secure-cpu-enclaves.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Battering RAM hardware hack breaks secure CPU enclaves
    Black Hat Europe 2025: Low-cost hardware hack opens the door to supply chain attacks against confidential computing servers in cloud environments.
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • การจัดการ Identity เพื่อยกระดับ Cybersecurity ขององค์กร

    การรักษาความปลอดภัยในองค์กรยุคใหม่ไม่ใช่แค่การป้องกันเครือข่าย แต่ต้องเริ่มจากการ ระบุตัวตนและควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง ของผู้ใช้และระบบต่าง ๆ บทความจาก CSO Online ชี้ว่า identity management เป็นหัวใจสำคัญในการลดความซับซ้อนของ cybersecurity โดยเฉพาะเมื่อองค์กรต้องจัดการกับผู้ใช้จำนวนมาก, อุปกรณ์หลายชนิด และระบบคลาวด์ที่กระจายตัว.

    หนึ่งในแนวทางที่ถูกเน้นคือการใช้ multifactor authentication (MFA) และ conditional access เพื่อสร้างชั้นการป้องกันที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบท เช่น การตรวจสอบตำแหน่งที่ผู้ใช้ล็อกอิน, พฤติกรรมการใช้งาน, และสิทธิ์ที่จำเป็นจริง ๆ. นอกจากนี้ privileged access management (PAM) ยังช่วยควบคุมบัญชีที่มีสิทธิ์สูง ป้องกันไม่ให้ถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี.

    บทความยังกล่าวถึงการนำ AI และ machine learning เข้ามาช่วยในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคาม โดยสามารถลดเวลาในการวิเคราะห์เหตุการณ์ลงได้ถึง 70–80% เมื่อเทียบกับการทำงานแบบ manual เช่น การแมปข้อมูลเข้ากับ MITRE ATT&CK framework. สิ่งนี้ทำให้ทีม security operation center (SOC) มีข้อมูลที่แม่นยำและทันเวลาในการรับมือ.

    นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างจากองค์กรอุตสาหกรรมและการเงินที่ใช้ระบบ identity management เพื่อแก้ปัญหาการระบุเจ้าของบัญชีที่ไม่ชัดเจน และจากบริษัทที่ใช้ Azure Active Directory (AAD) ในการตรวจสอบการเข้าถึงตามภูมิศาสตร์ เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ “impossible travel” หรือการล็อกอินจากสถานที่ที่ผู้ใช้ไม่สามารถเดินทางไปถึงได้จริง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Identity management เป็นหัวใจของ cybersecurity องค์กร
    ใช้ MFA และ conditional access เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    PAM ช่วยควบคุมบัญชีที่มีสิทธิ์สูง

    การใช้ AI และ machine learning
    ลดเวลาในการวิเคราะห์เหตุการณ์ลงได้ถึง 70–80%
    เพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับและตอบสนอง

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    อุตสาหกรรมและการเงินใช้ระบบเพื่อแก้ปัญหาการระบุเจ้าของบัญชี
    Apexanalytix ใช้ Azure AD ตรวจสอบการเข้าถึงตามภูมิศาสตร์

    ข้อควรระวังในการจัดการ identity
    หากสิทธิ์การเข้าถูกกำหนดไม่ชัดเจน อาจเปิดช่องให้โจมตี
    การปรับนโยบายเข้มงวดเกินไปอาจกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของผู้ใช้

    https://www.csoonline.com/article/4104438/how-to-simplify-enterprise-cybersecurity-through-effective-identity-management.html
    🛡️ การจัดการ Identity เพื่อยกระดับ Cybersecurity ขององค์กร การรักษาความปลอดภัยในองค์กรยุคใหม่ไม่ใช่แค่การป้องกันเครือข่าย แต่ต้องเริ่มจากการ ระบุตัวตนและควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง ของผู้ใช้และระบบต่าง ๆ บทความจาก CSO Online ชี้ว่า identity management เป็นหัวใจสำคัญในการลดความซับซ้อนของ cybersecurity โดยเฉพาะเมื่อองค์กรต้องจัดการกับผู้ใช้จำนวนมาก, อุปกรณ์หลายชนิด และระบบคลาวด์ที่กระจายตัว. หนึ่งในแนวทางที่ถูกเน้นคือการใช้ multifactor authentication (MFA) และ conditional access เพื่อสร้างชั้นการป้องกันที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบท เช่น การตรวจสอบตำแหน่งที่ผู้ใช้ล็อกอิน, พฤติกรรมการใช้งาน, และสิทธิ์ที่จำเป็นจริง ๆ. นอกจากนี้ privileged access management (PAM) ยังช่วยควบคุมบัญชีที่มีสิทธิ์สูง ป้องกันไม่ให้ถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี. บทความยังกล่าวถึงการนำ AI และ machine learning เข้ามาช่วยในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคาม โดยสามารถลดเวลาในการวิเคราะห์เหตุการณ์ลงได้ถึง 70–80% เมื่อเทียบกับการทำงานแบบ manual เช่น การแมปข้อมูลเข้ากับ MITRE ATT&CK framework. สิ่งนี้ทำให้ทีม security operation center (SOC) มีข้อมูลที่แม่นยำและทันเวลาในการรับมือ. นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างจากองค์กรอุตสาหกรรมและการเงินที่ใช้ระบบ identity management เพื่อแก้ปัญหาการระบุเจ้าของบัญชีที่ไม่ชัดเจน และจากบริษัทที่ใช้ Azure Active Directory (AAD) ในการตรวจสอบการเข้าถึงตามภูมิศาสตร์ เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ “impossible travel” หรือการล็อกอินจากสถานที่ที่ผู้ใช้ไม่สามารถเดินทางไปถึงได้จริง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Identity management เป็นหัวใจของ cybersecurity องค์กร ➡️ ใช้ MFA และ conditional access เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ➡️ PAM ช่วยควบคุมบัญชีที่มีสิทธิ์สูง ✅ การใช้ AI และ machine learning ➡️ ลดเวลาในการวิเคราะห์เหตุการณ์ลงได้ถึง 70–80% ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับและตอบสนอง ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ อุตสาหกรรมและการเงินใช้ระบบเพื่อแก้ปัญหาการระบุเจ้าของบัญชี ➡️ Apexanalytix ใช้ Azure AD ตรวจสอบการเข้าถึงตามภูมิศาสตร์ ‼️ ข้อควรระวังในการจัดการ identity ⛔ หากสิทธิ์การเข้าถูกกำหนดไม่ชัดเจน อาจเปิดช่องให้โจมตี ⛔ การปรับนโยบายเข้มงวดเกินไปอาจกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของผู้ใช้ https://www.csoonline.com/article/4104438/how-to-simplify-enterprise-cybersecurity-through-effective-identity-management.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How to simplify enterprise cybersecurity through effective identity management
    Deloitte and apexanalytix share their insights on the complexities of implementing identity security systems.
    0 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
  • EP 126
    มาดูเทคนิคเทรดทองที่คุณๆ ก็ใช้ได้เข้าใจง่าย
    BY.
    EP 126 มาดูเทคนิคเทรดทองที่คุณๆ ก็ใช้ได้เข้าใจง่าย BY.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 0 Reviews
  • Epic Games ชนะคดี Apple – ศาลอุทธรณ์ยืนยันการละเมิดคำสั่งจ่ายเงิน iOS

    ในเดือนธันวาคม 2025 ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ (Ninth Circuit Court of Appeals) ได้ยืนยันคำตัดสินของศาลชั้นต้นที่ระบุว่า Apple ละเมิดคำสั่งศาลปี 2021 ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องเปิดทางให้ผู้พัฒนาแอปบน iOS สามารถใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ โดยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 27% และการจำกัดรูปแบบลิงก์ภายนอกถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ “เกินขอบเขตและไม่สุจริต”.

    ศาลอุทธรณ์ระบุว่า Apple สามารถเรียกเก็บ “ค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผล” เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว แต่ไม่สามารถใช้วิธีที่ทำให้ผู้พัฒนาถูกบังคับกลับไปใช้ระบบจ่ายเงินของ Apple อีกครั้ง. การตัดสินนี้ถือเป็นการเปิดทางให้เกิดการแข่งขันที่แท้จริงในระบบจ่ายเงินบน iOS.

    Tim Sweeney ซีอีโอของ Epic Games กล่าวว่าการตัดสินนี้คือ “การสิ้นสุดของ Apple Tax ในสหรัฐฯ” และคาดว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดทั่วโลก โดยผู้พัฒนาจะสามารถเลือกใช้ระบบจ่ายเงินที่มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า และผู้ใช้จะได้ประโยชน์จากราคาที่เป็นธรรมมากขึ้น.

    อย่างไรก็ตาม Sweeney ยังเตือนว่าผู้พัฒนาหลายรายยังคง “กลัวการตอบโต้จาก Apple” เช่น การหน่วงเวลาการตรวจสอบแอปหรือการลดการมองเห็นใน App Store ซึ่งอาจเป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิดและ “ผิดกฎหมายโดยสิ้นเชิง”. เขาเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลจับตาดูพฤติกรรมเหล่านี้อย่างใกล้ชิด.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ศาลอุทธรณ์ยืนยันว่า Apple ละเมิดคำสั่งศาลปี 2021
    การเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 27% และการจำกัดลิงก์ภายนอกถือว่าผิดกฎหมาย
    Apple สามารถเรียกเก็บ “ค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผล” เท่านั้น

    Epic Games ประกาศชัยชนะ
    Tim Sweeney เรียกสิ่งนี้ว่า “การสิ้นสุดของ Apple Tax”
    คาดว่าจะนำไปสู่การแข่งขันในระบบจ่ายเงินบน iOS

    ผลกระทบต่อผู้พัฒนาและผู้ใช้
    ผู้พัฒนาสามารถเลือกใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกที่ถูกกว่า ผู้ใช้มีโอกาสได้ราคาที่เป็นธรรมมากขึ้น

    ข้อกังวลและคำเตือน
    ผู้พัฒนาหลายรายยังกลัวการตอบโต้จาก Apple เช่นการหน่วงเวลาตรวจสอบแอป
    หน่วยงานกำกับดูแลต้องจับตาพฤติกรรม “soft power” ที่อาจผิดกฎหมาย

    https://arstechnica.com/tech-policy/2025/12/epic-celebrates-the-end-of-the-apple-tax-after-appeals-court-win-in-ios-payments-case/
    ⚖️ Epic Games ชนะคดี Apple – ศาลอุทธรณ์ยืนยันการละเมิดคำสั่งจ่ายเงิน iOS ในเดือนธันวาคม 2025 ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ (Ninth Circuit Court of Appeals) ได้ยืนยันคำตัดสินของศาลชั้นต้นที่ระบุว่า Apple ละเมิดคำสั่งศาลปี 2021 ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องเปิดทางให้ผู้พัฒนาแอปบน iOS สามารถใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ โดยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 27% และการจำกัดรูปแบบลิงก์ภายนอกถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ “เกินขอบเขตและไม่สุจริต”. ศาลอุทธรณ์ระบุว่า Apple สามารถเรียกเก็บ “ค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผล” เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว แต่ไม่สามารถใช้วิธีที่ทำให้ผู้พัฒนาถูกบังคับกลับไปใช้ระบบจ่ายเงินของ Apple อีกครั้ง. การตัดสินนี้ถือเป็นการเปิดทางให้เกิดการแข่งขันที่แท้จริงในระบบจ่ายเงินบน iOS. Tim Sweeney ซีอีโอของ Epic Games กล่าวว่าการตัดสินนี้คือ “การสิ้นสุดของ Apple Tax ในสหรัฐฯ” และคาดว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดทั่วโลก โดยผู้พัฒนาจะสามารถเลือกใช้ระบบจ่ายเงินที่มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า และผู้ใช้จะได้ประโยชน์จากราคาที่เป็นธรรมมากขึ้น. อย่างไรก็ตาม Sweeney ยังเตือนว่าผู้พัฒนาหลายรายยังคง “กลัวการตอบโต้จาก Apple” เช่น การหน่วงเวลาการตรวจสอบแอปหรือการลดการมองเห็นใน App Store ซึ่งอาจเป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิดและ “ผิดกฎหมายโดยสิ้นเชิง”. เขาเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลจับตาดูพฤติกรรมเหล่านี้อย่างใกล้ชิด. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ศาลอุทธรณ์ยืนยันว่า Apple ละเมิดคำสั่งศาลปี 2021 ➡️ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 27% และการจำกัดลิงก์ภายนอกถือว่าผิดกฎหมาย ➡️ Apple สามารถเรียกเก็บ “ค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผล” เท่านั้น ✅ Epic Games ประกาศชัยชนะ ➡️ Tim Sweeney เรียกสิ่งนี้ว่า “การสิ้นสุดของ Apple Tax” ➡️ คาดว่าจะนำไปสู่การแข่งขันในระบบจ่ายเงินบน iOS ✅ ผลกระทบต่อผู้พัฒนาและผู้ใช้ ➡️ ผู้พัฒนาสามารถเลือกใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกที่ถูกกว่า ➡️ ผู้ใช้มีโอกาสได้ราคาที่เป็นธรรมมากขึ้น ‼️ข้อกังวลและคำเตือน ⛔ ผู้พัฒนาหลายรายยังกลัวการตอบโต้จาก Apple เช่นการหน่วงเวลาตรวจสอบแอป ⛔ หน่วยงานกำกับดูแลต้องจับตาพฤติกรรม “soft power” ที่อาจผิดกฎหมาย https://arstechnica.com/tech-policy/2025/12/epic-celebrates-the-end-of-the-apple-tax-after-appeals-court-win-in-ios-payments-case/
    ARSTECHNICA.COM
    Apple loses its appeal of a scathing contempt ruling in iOS payments case
    But Sweeney warns iOS devs are still afraid of “totally illegal” retaliation by Apple.
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • Google De-Indexed Bear Blog โดยไม่ทราบสาเหตุ

    เจ้าของบล็อกเล่าว่า หลังจากเริ่มต้นสร้างบล็อกบน Bear Blog เพียงหนึ่งเดือน บล็อกทั้งหมดถูก Google de-indexed โดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือคำอธิบายที่ชัดเจน ส่งผลให้บล็อกไม่ปรากฏในผลการค้นหาอีกต่อไป.

    แม้จะพยายามตรวจสอบสาเหตุ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับ robots.txt, sitemap, หรือการละเมิดนโยบาย แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติที่ชัดเจน. การหายไปจากการจัดทำดัชนีทำให้บล็อกสูญเสียการเข้าถึงจากผู้ค้นหาทาง Google อย่างสิ้นเชิง.

    เพื่อแก้ไขปัญหา ผู้เขียนตัดสินใจ ย้ายบล็อกไปยังแพลตฟอร์มใหม่ ที่มีความเสถียรมากกว่า และหวังว่าจะช่วยให้บล็อกกลับมาปรากฏในผลการค้นหาอีกครั้ง. เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวในการเผยแพร่เนื้อหา.

    กรณีนี้ยังเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า แม้ผู้สร้างเนื้อหาจะปฏิบัติตามแนวทาง SEO และนโยบาย แต่ก็ยังมีโอกาสที่ระบบอัตโนมัติของ Google จะทำการ de-index โดยไม่ชี้แจงเหตุผล ทำให้ผู้สร้างเนื้อหาต้องหาทางแก้ไขด้วยตนเอง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    บล็อกที่สร้างด้วย Bear Blog ถูก Google de-indexed
    ไม่มีการแจ้งเตือนหรือคำอธิบายจาก Google

    การตรวจสอบสาเหตุ
    ตรวจสอบ robots.txt และ sitemap แต่ไม่พบปัญหา
    ไม่พบการละเมิดนโยบายที่ชัดเจน

    การแก้ไขปัญหา
    ผู้เขียนย้ายบล็อกไปแพลตฟอร์มใหม่
    หวังให้กลับมาปรากฏในผลการค้นหาอีกครั้ง

    ข้อควรระวังสำหรับผู้สร้างเนื้อหา
    การพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียการเข้าถึง
    ระบบอัตโนมัติของ Google อาจ de-index โดยไม่ชี้แจงเหตุผล

    https://journal.james-zhan.com/google-de-indexed-my-entire-bear-blog-and-i-dont-know-why/
    🌐 Google De-Indexed Bear Blog โดยไม่ทราบสาเหตุ เจ้าของบล็อกเล่าว่า หลังจากเริ่มต้นสร้างบล็อกบน Bear Blog เพียงหนึ่งเดือน บล็อกทั้งหมดถูก Google de-indexed โดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือคำอธิบายที่ชัดเจน ส่งผลให้บล็อกไม่ปรากฏในผลการค้นหาอีกต่อไป. แม้จะพยายามตรวจสอบสาเหตุ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับ robots.txt, sitemap, หรือการละเมิดนโยบาย แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติที่ชัดเจน. การหายไปจากการจัดทำดัชนีทำให้บล็อกสูญเสียการเข้าถึงจากผู้ค้นหาทาง Google อย่างสิ้นเชิง. เพื่อแก้ไขปัญหา ผู้เขียนตัดสินใจ ย้ายบล็อกไปยังแพลตฟอร์มใหม่ ที่มีความเสถียรมากกว่า และหวังว่าจะช่วยให้บล็อกกลับมาปรากฏในผลการค้นหาอีกครั้ง. เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวในการเผยแพร่เนื้อหา. กรณีนี้ยังเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า แม้ผู้สร้างเนื้อหาจะปฏิบัติตามแนวทาง SEO และนโยบาย แต่ก็ยังมีโอกาสที่ระบบอัตโนมัติของ Google จะทำการ de-index โดยไม่ชี้แจงเหตุผล ทำให้ผู้สร้างเนื้อหาต้องหาทางแก้ไขด้วยตนเอง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ บล็อกที่สร้างด้วย Bear Blog ถูก Google de-indexed ➡️ ไม่มีการแจ้งเตือนหรือคำอธิบายจาก Google ✅ การตรวจสอบสาเหตุ ➡️ ตรวจสอบ robots.txt และ sitemap แต่ไม่พบปัญหา ➡️ ไม่พบการละเมิดนโยบายที่ชัดเจน ✅ การแก้ไขปัญหา ➡️ ผู้เขียนย้ายบล็อกไปแพลตฟอร์มใหม่ ➡️ หวังให้กลับมาปรากฏในผลการค้นหาอีกครั้ง ‼️ข้อควรระวังสำหรับผู้สร้างเนื้อหา ⛔ การพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียการเข้าถึง ⛔ ระบบอัตโนมัติของ Google อาจ de-index โดยไม่ชี้แจงเหตุผล https://journal.james-zhan.com/google-de-indexed-my-entire-bear-blog-and-i-dont-know-why/
    JOURNAL.JAMES-ZHAN.COM
    Google De-Indexed My Entire Bear Blog and I Don’t Know Why
    A month after I started my first Bear blog at , my blog was entirely de-indexed by Google for no apparent reason: I have since migrated to (you ar...
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • UK House of Lords พยายามห้ามเยาวชนใช้ VPN

    รายงานจาก Alec Muffett ระบุว่า สภาขุนนางแห่งสหราชอาณาจักร (UK House of Lords) กำลังพิจารณากฎหมายที่มีเป้าหมายห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ VPN (Virtual Private Network) โดยให้เหตุผลว่าเป็นการป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย.

    อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์จำนวนมากมองว่ามาตรการนี้เป็นการ ละเมิดเสรีภาพดิจิทัล และอาจทำให้เยาวชนสูญเสียเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความเป็นส่วนตัวออนไลน์. VPN ถือเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเข้ารหัสการเชื่อมต่อและป้องกันการสอดส่องจากบุคคลที่สาม รวมถึงช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจำกัดทางภูมิศาสตร์.

    การห้ามใช้ VPN อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และการเข้าถึงข้อมูลของเยาวชน โดยเฉพาะในยุคที่การศึกษาและการสื่อสารจำนวนมากอาศัยแพลตฟอร์มออนไลน์. นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่า กฎหมายลักษณะนี้อาจถูกใช้เป็น ข้ออ้างในการควบคุมอินเทอร์เน็ต และเปิดทางให้เกิดการเซ็นเซอร์มากขึ้น.

    นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิ์ดิจิทัลเตือนว่า หากกฎหมายนี้ผ่าน อาจเป็น แบบอย่างที่อันตราย ซึ่งประเทศอื่น ๆ อาจนำไปใช้ตาม และจะกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อเสนอจาก UK House of Lords
    ห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ VPN
    อ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยและการป้องกันเนื้อหาไม่เหมาะสม

    บทบาทของ VPN
    ช่วยเข้ารหัสการเชื่อมต่อและปกป้องความเป็นส่วนตัว
    ใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจำกัดทางภูมิศาสตร์

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    เยาวชนสูญเสียเครื่องมือปกป้องข้อมูลออนไลน์
    กระทบต่อการเรียนรู้และการเข้าถึงข้อมูล

    ข้อกังวลและคำเตือน
    อาจเป็นการละเมิดเสรีภาพดิจิทัลและเปิดทางให้เกิดการเซ็นเซอร์
    หากผ่านกฎหมาย อาจเป็นแบบอย่างที่ประเทศอื่นนำไปใช้ตาม

    https://alecmuffett.com/article/134925
    🛑 UK House of Lords พยายามห้ามเยาวชนใช้ VPN รายงานจาก Alec Muffett ระบุว่า สภาขุนนางแห่งสหราชอาณาจักร (UK House of Lords) กำลังพิจารณากฎหมายที่มีเป้าหมายห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ VPN (Virtual Private Network) โดยให้เหตุผลว่าเป็นการป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย. อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์จำนวนมากมองว่ามาตรการนี้เป็นการ ละเมิดเสรีภาพดิจิทัล และอาจทำให้เยาวชนสูญเสียเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความเป็นส่วนตัวออนไลน์. VPN ถือเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเข้ารหัสการเชื่อมต่อและป้องกันการสอดส่องจากบุคคลที่สาม รวมถึงช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจำกัดทางภูมิศาสตร์. การห้ามใช้ VPN อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และการเข้าถึงข้อมูลของเยาวชน โดยเฉพาะในยุคที่การศึกษาและการสื่อสารจำนวนมากอาศัยแพลตฟอร์มออนไลน์. นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่า กฎหมายลักษณะนี้อาจถูกใช้เป็น ข้ออ้างในการควบคุมอินเทอร์เน็ต และเปิดทางให้เกิดการเซ็นเซอร์มากขึ้น. นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิ์ดิจิทัลเตือนว่า หากกฎหมายนี้ผ่าน อาจเป็น แบบอย่างที่อันตราย ซึ่งประเทศอื่น ๆ อาจนำไปใช้ตาม และจะกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อเสนอจาก UK House of Lords ➡️ ห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ VPN ➡️ อ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยและการป้องกันเนื้อหาไม่เหมาะสม ✅ บทบาทของ VPN ➡️ ช่วยเข้ารหัสการเชื่อมต่อและปกป้องความเป็นส่วนตัว ➡️ ใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจำกัดทางภูมิศาสตร์ ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ เยาวชนสูญเสียเครื่องมือปกป้องข้อมูลออนไลน์ ➡️ กระทบต่อการเรียนรู้และการเข้าถึงข้อมูล ‼️ข้อกังวลและคำเตือน ⛔ อาจเป็นการละเมิดเสรีภาพดิจิทัลและเปิดทางให้เกิดการเซ็นเซอร์ ⛔ หากผ่านกฎหมาย อาจเป็นแบบอย่างที่ประเทศอื่นนำไปใช้ตาม https://alecmuffett.com/article/134925
    ALECMUFFETT.COM
    IT GETS WORSE: UK House of Lords attempting to ban use of VPNs by anyone under 16
    This is deranged, each nation’s boomers and reactionaries attempting to outdo the others: “Action to prohibit the provision of VPN services to children in the United Kingdom” … th…
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • Rivian เปิดตัว Custom Silicon และแพลตฟอร์ม Autonomy ใหม่

    Rivian ประกาศความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในงาน Autonomy and AI Day โดยเปิดเผยว่าได้พัฒนา custom silicon ของตัวเองเพื่อใช้ในระบบขับขี่อัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลข้อมูลจากเซ็นเซอร์และลดการพึ่งพาชิปจากผู้ผลิตรายอื่น. การพัฒนาซิลิคอนเองถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Rivian สามารถควบคุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้อย่างใกล้ชิด.

    นอกจากนี้ Rivian ยังเผย แผนงาน LiDAR สำหรับรถรุ่น R2 ที่จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ โดย LiDAR จะถูกผสานเข้ากับกล้องและเรดาร์เพื่อสร้างระบบ perception ที่ครบถ้วนและปลอดภัยมากขึ้น. สิ่งนี้สะท้อนถึงการลงทุนอย่างจริงจังในเทคโนโลยีเซ็นเซอร์เพื่อรองรับการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ.

    อีกหนึ่งไฮไลต์คือการเปิดตัว Universal Hands-Free ซึ่งเป็นระบบช่วยขับที่สามารถใช้งานได้บนถนนหลากหลายประเภท ไม่จำกัดเฉพาะทางหลวงที่มีการทำแผนที่ไว้ล่วงหน้า. ระบบนี้จะช่วยให้ผู้ขับสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยได้ในสถานการณ์ที่ปลอดภัย โดยยังคงมีการตรวจสอบความพร้อมของผู้ขับอยู่ตลอดเวลา.

    แพลตฟอร์ม autonomy ใหม่ยังมาพร้อมการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ต่อเนื่อง ทำให้ Rivian สามารถส่งฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้ผ่าน OTA (over-the-air updates). สิ่งนี้ทำให้รถยนต์ Rivian ไม่เพียงแต่เป็นยานพาหนะ แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาได้ตลอดอายุการใช้งาน.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Custom Silicon ของ Rivian
    พัฒนาชิปเองเพื่อรองรับระบบขับขี่อัตโนมัติ
    ลดการพึ่งพาผู้ผลิตภายนอกและเพิ่มประสิทธิภาพ

    LiDAR Roadmap สำหรับ R2
    เพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับสภาพแวดล้อม
    ผสานกับกล้องและเรดาร์เพื่อ perception ที่ครบถ้วน

    Universal Hands-Free
    ใช้งานได้บนถนนหลายประเภท ไม่จำกัดเฉพาะทางหลวง
    ตรวจสอบความพร้อมของผู้ขับเพื่อความปลอดภัย

    Next-Gen Autonomy Platform
    อัปเดตซอฟต์แวร์ OTA อย่างต่อเนื่อง
    ยกระดับรถยนต์ Rivian ให้เป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยี

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    ระบบ hands-free ยังต้องพึ่งพาการตรวจสอบผู้ขับ
    การพัฒนา LiDAR และชิปเองต้องใช้ต้นทุนสูงและเวลานาน

    https://riviantrackr.com/news/rivian-unveils-custom-silicon-r2-lidar-roadmap-universal-hands-free-and-its-next-gen-autonomy-platform/
    🚙 Rivian เปิดตัว Custom Silicon และแพลตฟอร์ม Autonomy ใหม่ Rivian ประกาศความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในงาน Autonomy and AI Day โดยเปิดเผยว่าได้พัฒนา custom silicon ของตัวเองเพื่อใช้ในระบบขับขี่อัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลข้อมูลจากเซ็นเซอร์และลดการพึ่งพาชิปจากผู้ผลิตรายอื่น. การพัฒนาซิลิคอนเองถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Rivian สามารถควบคุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้อย่างใกล้ชิด. นอกจากนี้ Rivian ยังเผย แผนงาน LiDAR สำหรับรถรุ่น R2 ที่จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ โดย LiDAR จะถูกผสานเข้ากับกล้องและเรดาร์เพื่อสร้างระบบ perception ที่ครบถ้วนและปลอดภัยมากขึ้น. สิ่งนี้สะท้อนถึงการลงทุนอย่างจริงจังในเทคโนโลยีเซ็นเซอร์เพื่อรองรับการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ. อีกหนึ่งไฮไลต์คือการเปิดตัว Universal Hands-Free ซึ่งเป็นระบบช่วยขับที่สามารถใช้งานได้บนถนนหลากหลายประเภท ไม่จำกัดเฉพาะทางหลวงที่มีการทำแผนที่ไว้ล่วงหน้า. ระบบนี้จะช่วยให้ผู้ขับสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยได้ในสถานการณ์ที่ปลอดภัย โดยยังคงมีการตรวจสอบความพร้อมของผู้ขับอยู่ตลอดเวลา. แพลตฟอร์ม autonomy ใหม่ยังมาพร้อมการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ต่อเนื่อง ทำให้ Rivian สามารถส่งฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้ผ่าน OTA (over-the-air updates). สิ่งนี้ทำให้รถยนต์ Rivian ไม่เพียงแต่เป็นยานพาหนะ แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาได้ตลอดอายุการใช้งาน. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Custom Silicon ของ Rivian ➡️ พัฒนาชิปเองเพื่อรองรับระบบขับขี่อัตโนมัติ ➡️ ลดการพึ่งพาผู้ผลิตภายนอกและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ LiDAR Roadmap สำหรับ R2 ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับสภาพแวดล้อม ➡️ ผสานกับกล้องและเรดาร์เพื่อ perception ที่ครบถ้วน ✅ Universal Hands-Free ➡️ ใช้งานได้บนถนนหลายประเภท ไม่จำกัดเฉพาะทางหลวง ➡️ ตรวจสอบความพร้อมของผู้ขับเพื่อความปลอดภัย ✅ Next-Gen Autonomy Platform ➡️ อัปเดตซอฟต์แวร์ OTA อย่างต่อเนื่อง ➡️ ยกระดับรถยนต์ Rivian ให้เป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยี ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ ระบบ hands-free ยังต้องพึ่งพาการตรวจสอบผู้ขับ ⛔ การพัฒนา LiDAR และชิปเองต้องใช้ต้นทุนสูงและเวลานาน https://riviantrackr.com/news/rivian-unveils-custom-silicon-r2-lidar-roadmap-universal-hands-free-and-its-next-gen-autonomy-platform/
    RIVIANTRACKR.COM
    Rivian Unveils Custom Silicon, R2 LiDAR Roadmap, Universal Hands Free, and Its Next Gen Autonomy Platform
    RJ opened the first ever Autonomy and AI Day explaining why Rivian believes it is positioned to lead in this next phase of the industry. The company is leaning hard into compute, custom hardware, large scale AI systems, and a shared data foundation that touches every part of the ownership experience. Let's break it all
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
  • Litestream VFS – ยกระดับ SQLite ด้วย Virtual File System

    Litestream เป็นเครื่องมือที่ช่วยทำ replication ของฐานข้อมูล SQLite ไปยัง object storage เช่น S3 เพื่อเพิ่มความทนทานและความสามารถในการกู้คืนข้อมูล แต่ก่อนหน้านี้ SQLite ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับการ replication โดยตรง ทำให้ต้องใช้วิธีการดักจับการเขียนไฟล์ WAL (Write-Ahead Log).

    เพื่อแก้ปัญหานี้ Fly.io ได้พัฒนา Litestream VFS (Virtual File System) ที่ทำให้ SQLite สามารถเชื่อมต่อกับระบบ replication ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดย VFS จะทำหน้าที่เป็นชั้นกลางที่จัดการการอ่าน/เขียนไฟล์ และส่งข้อมูลไปยัง Litestream replication engine โดยตรง.

    ข้อดีของการใช้ VFS คือสามารถลดความซับซ้อนในการติดตั้งและใช้งาน Litestream เพราะไม่ต้องพึ่งพาการดักจับไฟล์ WAL อีกต่อไป นอกจากนี้ยังช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการ sync ข้อมูล.

    การพัฒนา Litestream VFS ถือเป็นการยกระดับ SQLite ให้สามารถใช้งานในระบบ production ที่ต้องการความทนทานสูงได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ใช้ cloud-native applications ซึ่งต้องการฐานข้อมูลที่เบาแต่ยังคงมีความสามารถด้าน replication และ recovery.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Litestream VFS คืออะไร
    Virtual File System ที่ทำให้ SQLite เชื่อมต่อกับ replication engine ได้โดยตรง
    ลดการพึ่งพาการดักจับ WAL file

    ข้อดีของการใช้ VFS
    ลดความซับซ้อนในการติดตั้งและใช้งาน
    เพิ่มประสิทธิภาพและลดโอกาส sync error

    ผลกระทบต่อการใช้งาน SQLite
    ทำให้ SQLite รองรับ production workloads ได้ดีขึ้น
    เหมาะกับ cloud-native applications ที่ต้องการ replication และ recovery

    ข้อควรระวัง
    การเปลี่ยนไปใช้ VFS อาจต้องปรับแต่งระบบที่มีอยู่เดิม
    ยังอยู่ในช่วงพัฒนา อาจมีบั๊กหรือข้อจำกัดที่ต้องติดตาม

    https://fly.io/blog/litestream-vfs/
    💾 Litestream VFS – ยกระดับ SQLite ด้วย Virtual File System Litestream เป็นเครื่องมือที่ช่วยทำ replication ของฐานข้อมูล SQLite ไปยัง object storage เช่น S3 เพื่อเพิ่มความทนทานและความสามารถในการกู้คืนข้อมูล แต่ก่อนหน้านี้ SQLite ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับการ replication โดยตรง ทำให้ต้องใช้วิธีการดักจับการเขียนไฟล์ WAL (Write-Ahead Log). เพื่อแก้ปัญหานี้ Fly.io ได้พัฒนา Litestream VFS (Virtual File System) ที่ทำให้ SQLite สามารถเชื่อมต่อกับระบบ replication ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดย VFS จะทำหน้าที่เป็นชั้นกลางที่จัดการการอ่าน/เขียนไฟล์ และส่งข้อมูลไปยัง Litestream replication engine โดยตรง. ข้อดีของการใช้ VFS คือสามารถลดความซับซ้อนในการติดตั้งและใช้งาน Litestream เพราะไม่ต้องพึ่งพาการดักจับไฟล์ WAL อีกต่อไป นอกจากนี้ยังช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการ sync ข้อมูล. การพัฒนา Litestream VFS ถือเป็นการยกระดับ SQLite ให้สามารถใช้งานในระบบ production ที่ต้องการความทนทานสูงได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ใช้ cloud-native applications ซึ่งต้องการฐานข้อมูลที่เบาแต่ยังคงมีความสามารถด้าน replication และ recovery. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Litestream VFS คืออะไร ➡️ Virtual File System ที่ทำให้ SQLite เชื่อมต่อกับ replication engine ได้โดยตรง ➡️ ลดการพึ่งพาการดักจับ WAL file ✅ ข้อดีของการใช้ VFS ➡️ ลดความซับซ้อนในการติดตั้งและใช้งาน ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพและลดโอกาส sync error ✅ ผลกระทบต่อการใช้งาน SQLite ➡️ ทำให้ SQLite รองรับ production workloads ได้ดีขึ้น ➡️ เหมาะกับ cloud-native applications ที่ต้องการ replication และ recovery ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การเปลี่ยนไปใช้ VFS อาจต้องปรับแต่งระบบที่มีอยู่เดิม ⛔ ยังอยู่ในช่วงพัฒนา อาจมีบั๊กหรือข้อจำกัดที่ต้องติดตาม https://fly.io/blog/litestream-vfs/
    FLY.IO
    Litestream VFS
    Query your SQLite database any time, anywhere
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • EFF เปิดตัว Age Verification Hub ต่อต้านกฎหมายตรวจสอบอายุออนไลน์

    EFF ประกาศเปิดตัว Age Verification Hub ซึ่งเป็นศูนย์รวมข้อมูลและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายการตรวจสอบอายุออนไลน์ที่กำลังถูกผลักดันในหลายประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชน, นักวิชาการ, นักกฎหมาย และผู้กำหนดนโยบายเข้าใจผลกระทบที่แท้จริงของมาตรการเหล่านี้.

    องค์กรเตือนว่ากฎหมายตรวจสอบอายุออนไลน์มักถูกอ้างว่าเพื่อปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ในทางปฏิบัติกลับสร้างความเสี่ยงต่อ ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ เนื่องจากต้องมีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล เช่น บัตรประชาชนหรือข้อมูลชีวมิติ ซึ่งอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดหรือรั่วไหล.

    EFF ยังชี้ว่ามาตรการดังกล่าวอาจนำไปสู่การ เซ็นเซอร์เนื้อหาออนไลน์ และการจำกัดเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพ, การศึกษา, หรือสิทธิพลเมือง ซึ่งอาจถูกบล็อกโดยระบบตรวจสอบอายุที่เข้มงวดเกินไป.

    Age Verification Hub จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการให้ความรู้, สนับสนุนการวิจัย, และเป็นฐานข้อมูลสำหรับผู้ที่ต้องการต่อสู้กับกฎหมายที่ถูกมองว่า “misguided” หรือผิดทิศทาง โดยเน้นการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    EFF เปิดตัว Age Verification Hub
    เป็นศูนย์รวมข้อมูลและทรัพยากรเกี่ยวกับกฎหมายตรวจสอบอายุออนไลน์
    สนับสนุนประชาชนและนักวิชาการในการทำความเข้าใจผลกระทบ

    ปัญหาของกฎหมายตรวจสอบอายุ
    เสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัวจากการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
    อาจนำไปสู่การเซ็นเซอร์และจำกัดเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล

    เป้าหมายของ Hub
    ให้ความรู้และสนับสนุนการวิจัย
    เป็นฐานข้อมูลสำหรับการต่อสู้กับกฎหมายที่ผิดทิศทาง

    ข้อกังวลและคำเตือน
    การตรวจสอบอายุอาจทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลหรือถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
    ระบบที่เข้มงวดเกินไปอาจบล็อกการเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น สุขภาพและสิทธิพลเมือง

    https://www.eff.org/press/releases/eff-launches-age-verification-hub-resource-against-misguided-laws
    🔐 EFF เปิดตัว Age Verification Hub ต่อต้านกฎหมายตรวจสอบอายุออนไลน์ EFF ประกาศเปิดตัว Age Verification Hub ซึ่งเป็นศูนย์รวมข้อมูลและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายการตรวจสอบอายุออนไลน์ที่กำลังถูกผลักดันในหลายประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชน, นักวิชาการ, นักกฎหมาย และผู้กำหนดนโยบายเข้าใจผลกระทบที่แท้จริงของมาตรการเหล่านี้. องค์กรเตือนว่ากฎหมายตรวจสอบอายุออนไลน์มักถูกอ้างว่าเพื่อปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ในทางปฏิบัติกลับสร้างความเสี่ยงต่อ ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ เนื่องจากต้องมีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล เช่น บัตรประชาชนหรือข้อมูลชีวมิติ ซึ่งอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดหรือรั่วไหล. EFF ยังชี้ว่ามาตรการดังกล่าวอาจนำไปสู่การ เซ็นเซอร์เนื้อหาออนไลน์ และการจำกัดเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพ, การศึกษา, หรือสิทธิพลเมือง ซึ่งอาจถูกบล็อกโดยระบบตรวจสอบอายุที่เข้มงวดเกินไป. Age Verification Hub จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการให้ความรู้, สนับสนุนการวิจัย, และเป็นฐานข้อมูลสำหรับผู้ที่ต้องการต่อสู้กับกฎหมายที่ถูกมองว่า “misguided” หรือผิดทิศทาง โดยเน้นการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ EFF เปิดตัว Age Verification Hub ➡️ เป็นศูนย์รวมข้อมูลและทรัพยากรเกี่ยวกับกฎหมายตรวจสอบอายุออนไลน์ ➡️ สนับสนุนประชาชนและนักวิชาการในการทำความเข้าใจผลกระทบ ✅ ปัญหาของกฎหมายตรวจสอบอายุ ➡️ เสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัวจากการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ➡️ อาจนำไปสู่การเซ็นเซอร์และจำกัดเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล ✅ เป้าหมายของ Hub ➡️ ให้ความรู้และสนับสนุนการวิจัย ➡️ เป็นฐานข้อมูลสำหรับการต่อสู้กับกฎหมายที่ผิดทิศทาง ‼️ ข้อกังวลและคำเตือน ⛔ การตรวจสอบอายุอาจทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลหรือถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ⛔ ระบบที่เข้มงวดเกินไปอาจบล็อกการเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น สุขภาพและสิทธิพลเมือง https://www.eff.org/press/releases/eff-launches-age-verification-hub-resource-against-misguided-laws
    WWW.EFF.ORG
    EFF Launches Age Verification Hub as Resource Against Misguided Laws
    With ill-advised and dangerous age verification laws proliferating across the United States and around the world, creating surveillance and censorship regimes that will be used to harm both youth and adults, the Electronic Frontier Foundation has launched a new resource hub that will sort through the mess and help people fight back. To mark the hub's launch, EFF will host a Reddit AMA (“Ask Me Anything”) next week and a free livestreamed panel discussion on January 15 highlighting the dangers of these misguided laws.
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • การทดลอง “4 Billion If Statements”

    บทความนี้เป็นการเล่าเชิงบันทึกเกี่ยวกับการทดลองเขียนโค้ดที่มีเงื่อนไข if จำนวนมหาศาล (4 พันล้านครั้ง) เพื่อสำรวจประสิทธิภาพและผลกระทบต่อการทำงานของโปรแกรม รวมถึงการสะท้อนถึงความไร้ประโยชน์เชิงปฏิบัติ แต่มีคุณค่าทางการเรียนรู้และความสนุกเชิงทดลอง.

    ผู้เขียนบล็อกได้ทำการทดลองสร้างโปรแกรมที่มี คำสั่ง if จำนวนมหาศาลกว่า 4 พันล้านครั้ง เพื่อดูว่าคอมไพล์เลอร์และระบบจะจัดการอย่างไรกับโค้ดที่ไร้สาระในเชิงปฏิบัติ แต่ท้าทายเชิงเทคนิค. จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อสร้างโปรแกรมที่ใช้งานได้จริง แต่เพื่อสำรวจขีดจำกัดของเครื่องมือและระบบที่ใช้.

    การทดลองนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้โค้ดจะไม่มีประโยชน์ในเชิงการทำงาน แต่ก็สามารถเปิดมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับ การจัดการหน่วยความจำ, เวลาในการคอมไพล์, และการทำงานของ optimization ในคอมไพล์เลอร์. สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้พัฒนามีความเข้าใจลึกขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของเครื่องมือที่ใช้งานอยู่ทุกวัน.

    ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทดลอง “4 Billion If Statements” ก็คือการแสดงให้เห็นว่าโค้ดที่มีเงื่อนไขจำนวนมหาศาลนั้น ไม่สามารถใช้งานได้จริงในเชิงปฏิบัติ แต่กลับเผยให้เห็นพฤติกรรมที่น่าสนใจของระบบและเครื่องมือที่ใช้ เช่น:
    โปรแกรมใช้เวลาคอมไพล์นานมากจนแทบไม่สมเหตุสมผล
    ขนาดไฟล์ที่สร้างขึ้นใหญ่ผิดปกติและกินทรัพยากรเครื่องมหาศาล
    คอมไพล์เลอร์พยายามทำ optimization เพื่อลดความซ้ำซ้อน แต่ก็ยังต้องใช้เวลาและหน่วยความจำจำนวนมาก
    สุดท้ายโค้ดที่ได้ไม่มีประโยชน์เชิงการทำงาน แต่เป็นการทดลองที่ช่วยให้เข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือและระบบ

    นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ในโลกโปรแกรมมิ่ง ที่บางครั้งการทดลองที่ดู “ไร้สาระ” ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจและความสนุกให้กับนักพัฒนาได้ โดยเฉพาะในแง่ของการตั้งคำถามว่า “ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ควรทำ จะเกิดอะไรขึ้น?” ซึ่งเป็นหัวใจของการเรียนรู้เชิงทดลอง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การทดลองหลัก
    สร้างโปรแกรมที่มี if statements จำนวน 4 พันล้านครั้ง
    จุดประสงค์เพื่อทดสอบขีดจำกัด ไม่ใช่การใช้งานจริง

    ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทดลอง “4 Billion If Statements”
    โปรแกรมใช้เวลาคอมไพล์นานมากจนแทบไม่สมเหตุสมผล
    ขนาดไฟล์ที่สร้างขึ้นใหญ่ผิดปกติและกินทรัพยากรเครื่องมหาศาล
    คอมไพล์เลอร์พยายามทำ optimization เพื่อลดความซ้ำซ้อน แต่ก็ยังต้องใช้เวลาและหน่วยความจำจำนวนมาก
    สุดท้ายโค้ดที่ได้ไม่มีประโยชน์เชิงการทำงาน แต่เป็นการทดลองที่ช่วยให้เข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือและระบบ

    สิ่งที่ได้เรียนรู้
    พฤติกรรมของคอมไพล์เลอร์และ optimization เมื่อเจอโค้ดมหาศาล
    ผลกระทบต่อหน่วยความจำและเวลาในการคอมไพล์

    คุณค่าทางการทดลอง
    เปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับการทำงานของเครื่องมือ
    เป็นการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์และสร้างแรงบันดาลใจ

    ข้อควรระวัง
    โค้ดลักษณะนี้ไม่มีประโยชน์เชิงปฏิบัติและอาจทำให้ระบบทำงานช้าหรือค้าง
    ไม่ควรใช้ในโปรเจกต์จริง เนื่องจากเป็นการทดลองเชิงท้าทายเท่านั้น

    https://andreasjhkarlsson.github.io//jekyll/update/2023/12/27/4-billion-if-statements.html
    💻 การทดลอง “4 Billion If Statements” บทความนี้เป็นการเล่าเชิงบันทึกเกี่ยวกับการทดลองเขียนโค้ดที่มีเงื่อนไข if จำนวนมหาศาล (4 พันล้านครั้ง) เพื่อสำรวจประสิทธิภาพและผลกระทบต่อการทำงานของโปรแกรม รวมถึงการสะท้อนถึงความไร้ประโยชน์เชิงปฏิบัติ แต่มีคุณค่าทางการเรียนรู้และความสนุกเชิงทดลอง. ผู้เขียนบล็อกได้ทำการทดลองสร้างโปรแกรมที่มี คำสั่ง if จำนวนมหาศาลกว่า 4 พันล้านครั้ง เพื่อดูว่าคอมไพล์เลอร์และระบบจะจัดการอย่างไรกับโค้ดที่ไร้สาระในเชิงปฏิบัติ แต่ท้าทายเชิงเทคนิค. จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อสร้างโปรแกรมที่ใช้งานได้จริง แต่เพื่อสำรวจขีดจำกัดของเครื่องมือและระบบที่ใช้. การทดลองนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้โค้ดจะไม่มีประโยชน์ในเชิงการทำงาน แต่ก็สามารถเปิดมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับ การจัดการหน่วยความจำ, เวลาในการคอมไพล์, และการทำงานของ optimization ในคอมไพล์เลอร์. สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้พัฒนามีความเข้าใจลึกขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของเครื่องมือที่ใช้งานอยู่ทุกวัน. ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทดลอง “4 Billion If Statements” ก็คือการแสดงให้เห็นว่าโค้ดที่มีเงื่อนไขจำนวนมหาศาลนั้น ไม่สามารถใช้งานได้จริงในเชิงปฏิบัติ แต่กลับเผยให้เห็นพฤติกรรมที่น่าสนใจของระบบและเครื่องมือที่ใช้ เช่น: 💠 โปรแกรมใช้เวลาคอมไพล์นานมากจนแทบไม่สมเหตุสมผล 💠 ขนาดไฟล์ที่สร้างขึ้นใหญ่ผิดปกติและกินทรัพยากรเครื่องมหาศาล 💠 คอมไพล์เลอร์พยายามทำ optimization เพื่อลดความซ้ำซ้อน แต่ก็ยังต้องใช้เวลาและหน่วยความจำจำนวนมาก 💠 สุดท้ายโค้ดที่ได้ไม่มีประโยชน์เชิงการทำงาน แต่เป็นการทดลองที่ช่วยให้เข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือและระบบ นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ในโลกโปรแกรมมิ่ง ที่บางครั้งการทดลองที่ดู “ไร้สาระ” ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจและความสนุกให้กับนักพัฒนาได้ โดยเฉพาะในแง่ของการตั้งคำถามว่า “ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ควรทำ จะเกิดอะไรขึ้น?” ซึ่งเป็นหัวใจของการเรียนรู้เชิงทดลอง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การทดลองหลัก ➡️ สร้างโปรแกรมที่มี if statements จำนวน 4 พันล้านครั้ง ➡️ จุดประสงค์เพื่อทดสอบขีดจำกัด ไม่ใช่การใช้งานจริง ✅ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทดลอง “4 Billion If Statements” ➡️ โปรแกรมใช้เวลาคอมไพล์นานมากจนแทบไม่สมเหตุสมผล ➡️ ขนาดไฟล์ที่สร้างขึ้นใหญ่ผิดปกติและกินทรัพยากรเครื่องมหาศาล ➡️ คอมไพล์เลอร์พยายามทำ optimization เพื่อลดความซ้ำซ้อน แต่ก็ยังต้องใช้เวลาและหน่วยความจำจำนวนมาก ➡️ สุดท้ายโค้ดที่ได้ไม่มีประโยชน์เชิงการทำงาน แต่เป็นการทดลองที่ช่วยให้เข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือและระบบ ✅ สิ่งที่ได้เรียนรู้ ➡️ พฤติกรรมของคอมไพล์เลอร์และ optimization เมื่อเจอโค้ดมหาศาล ➡️ ผลกระทบต่อหน่วยความจำและเวลาในการคอมไพล์ ✅ คุณค่าทางการทดลอง ➡️ เปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับการทำงานของเครื่องมือ ➡️ เป็นการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์และสร้างแรงบันดาลใจ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ โค้ดลักษณะนี้ไม่มีประโยชน์เชิงปฏิบัติและอาจทำให้ระบบทำงานช้าหรือค้าง ⛔ ไม่ควรใช้ในโปรเจกต์จริง เนื่องจากเป็นการทดลองเชิงท้าทายเท่านั้น https://andreasjhkarlsson.github.io//jekyll/update/2023/12/27/4-billion-if-statements.html
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews